Perfect Match! ซ่อนรักร้าย / Epilogue บทส่งท้าย [จบแล้ว ^ ^]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณคิดว่าตอนจบ ใครจะคู่กับใคร ?

BELLMOUS - SECRET
BELLMOUS - SIN
CHERBELL - SECRET
VEGUS - BITEEN
RAKTAR - CHERBELL

ผู้เขียน หัวข้อ: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย / Epilogue บทส่งท้าย [จบแล้ว ^ ^]  (อ่าน 32708 ครั้ง)

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

 


                                                                     




                                                                           



HI THERE ! WELCOME TO MY DREAM
ARE YOU SURE FOR JOIN IT WITH ME ? :P



สวัสดีครับทุกคน :) (ถือโอกาสจัดหน้ากระทู้ตัวเองใหม่ซะเลย เพราะมันรกมากกก)
ผมชื่อ โจ๊ก นะครับ ติดตามอ่านนิยายในบอร์ดนี้มานานพอสมควร เลยเกิดความฝันว่าตัวเองอยากมีเรื่องราวเป็นของตัวเองบ้าง
ก็เลยลงมือแต่งซะเลย หวังว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่างและทำให้คนที่อ่านมีความสุขกับมัน (>O<)

เรื่องนี้ชื่อว่า Perfect Math ซ่อนรักร้ายนะครับ ดูจากชื่อเรื่องก็สามารถเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องราวอันแสนวุ่นวายเกี่ยวกับการจับคู่แน่ๆ เรื่องราวอาจจะซับซ้อนชวนปวดหัวหน่อยนะครับ อาจจะดูดาร์กๆ หน่อย แต่จะพยายามสอดแทรกข้อคิดต่างๆ ลงไปให้เยอะที่สุดนะครับ (: อยากฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจทุกคนได้นะครับ มีความเห็นยังไงก็ติชมกันได้




                                                 





Synopsis


One day,I woke up just? to realize
That there is no more sunshine
And no more love in the sky...


Tried and tried to let go of what was mine,
Love that I thought was so fine
Keeps holding my heart,won't let go...

One kiss for goodbye. One touch for the last time
Just one more chance to be in your life...
So deep,our love lies. Bring tears to my eyes,
To realize we're not meant for each other...




....My heart still denies to let go.....



 
               ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตพ่อกับแม่จะสอนผมอยู่เสมอว่าให้มองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างให้เป็นสีชมพูอยู่เสมอ คิดเสมอว่าทางเดินที่เราเดินนั้น คือ พรหมยาวสีแดงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีชมพู (^____^) แต่วันนี้ผมกลับคิดว่ากลีบกุหลาบที่หล่นตามทางเป็นสีเทาซะอย่างนั้น -_____-;; การได้พบเจอกับเขาถือว่าเป็นเรื่องราวสวยงามของชีวิตที่ผมไม่มีวันลืมเลย แต่ในขณะเดียวกัน... เรื่องราวในชีวิตผมกลับเปลี่ยนไปเพียงเพราะเขาคนเดียว ส่วนจะเปลี่ยนไปในด้านไหนคงต้องดูกันต่อไปแล้วล่ะ ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางกั้นผมก็จะสู้เต็มที่ (>O<)

               แต่เอ๊ะ O___o นั่นมัน .... หมายความว่ายังไง ทำไมผู้ชายพวกนี้ถึงโผล่เข้ามาในชีวิตผมได้เนี่ย และนั่นมันเรื่องอะไรกันทำไมมีฉากหลังของดินแดงแห่งความโรแมนติกมาเกี่ยวข้องด้วย และผู้ชายปริศนาคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมแววตาเขาถึงเจ็บปวดจัง แล้วนายบ้าบาสเกสบอลนี่ทำไมชอบมาวุ่นวายในชีวิตผมจัง เดี๋ยวสั่งให้เพื่อนรักผมจัดการน็อกซะเลย ไม่เป็นไรผมยังมีพี่ชายอยู่อีกคน ใครจะทำอะไรผม ผ่านด่านพี่ชายผมไปให้ได้ก่อนเถอะ !!!





ขอบคุณภาพโปสเตอร์ประกอบนิยายสวยๆ จากเเพื่อนผมนะครับ @Kat
เรียงจากซ้ายไปขวา เวกัส บีทีน เบลมอธ เชอร์เบล แร็กตาร์ ซิน ซีเครท



                                                     

Poster อีกอันนะครับ เวอร์ชั่นซีเครท กับ เชอร์เบล ฟินมากๆ (>O<)

                                                       


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2014 23:01:04 โดย Homepage »

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #1 เมื่อ17-02-2013 20:33:49 »

น่าสนใจค่ะ ติดตามมม

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #2 เมื่อ17-02-2013 21:55:24 »

อย่าลืมแปะกฏน๊าาาาาา   

ตัวหนังสือตัวเล็กอ่ะ T^T  :z3:

แต่น่าติดตามดีจ้าาาาา   :o8:


ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #3 เมื่อ18-02-2013 14:09:01 »

Prologue I
Bellmous


2.38 PM 14 June 20XX @ Suvarnabhumi Airport 
เสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์ในสนามบินดังขึ้นมาเป็นครั้งคราวเพื่อเตือนผู้โดยสารที่เตรียมจะเดินทางไปยังที่ต่างๆ ชาวต่างชาติผมหลากสีเดินผ่านกันไปมาสลับกับคนไทยด้วยกันเองในมือของทุกคนมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บ้างก็มากับลูกเล็กชายหญิง บ้างก็เดินมาคนเดียว

ผมถอดแว่นกันแดดสีชาออกแล้วคาดไว้ที่คอเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อน พลางกวาดสายตามองความวุ่นวายในสนามบินไปรอบๆ อันที่จริงผมเดินทางกลับมาไทยไม่บ่อยหรอก นอกจากมาทำธุระสำคัญจริงๆ หรือ กลับมาเยี่ยมบรรดาญาติของผม พ่อแม่ผมท่านทำงานอยู่สถานทูตระหว่างประเทศอังกฤษกับประเทศไทย ทำให้ไม่มีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดบ่อยๆ เหมือนผม แต่การกลับมาครั้งนี้ของผมคงเป็นการกลับมาถาวร เพราะผมย้ายกลับมาเรียนต่อมหาลัยในไทย อีกนานกว่าจะได้กลับไปอังกฤษ ช่วงเวลาวัยรุ่นของผมในประเทศไทยนั้นมีน้อยเหลือเกิน ตั้งแต่จำความได้หลังจบ ม.ปลาย ผมก็เดินทางตามพ่อแม่ไปเรียนต่อมหาลัยในอังกฤษ ความทรงจำของผมส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้นในเมืองผู้ดีแห่งนั้นซะมากกว่า

ตอนแรกพ่อผมก็ไม่ยอมหรอกที่จะให้มาเรียนที่ไทยเพราะผมก็อยู่ปี 2 แล้ว อีกสองปีก็จะเรียนจบทำให้เสียเวลาเปล่าๆ ถ้าต้องมาหามหาลัยเพื่อโอนย้ายหน่วยกิตและมาเรียนปี 3 ที่นี่ แต่พอผมอ้อนเข้าหน่อยท่านก็ใจอ่อนแล้วล่ะ :P

อืม... ช่วงบ่ายแบบนี้ถ้าผมจะกลับไปที่บ้านเลยคงเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก อากาศเมืองไทยร้อนจะตายนี่นา สายตาผมเหลือบไปเห็นร้านกาแฟในตัวสนามบินนี้ร้านหนึ่ง ก็คิดว่านั่งจิบกาแฟทอดอารมณ์อยู่ที่นี่อีกสักพักค่อยกลับบ้านดีกว่า

ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางโค้งเลี้ยวไปยังบันไดเลื่อน ตัวร้านจัดแต่งน่ารักมาก มีกระถางดอกคาร์เนชั่นเล็กๆ วางอยู่หน้าร้าน ข้างในมีชุดโต๊ะเก้าอี้สีชมพูขาวประมาณหกชุด บนฝาผนังร้านประดับไปด้วยรูปวาดสีน้ำในสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลายลงได้ ตอนนี้ในร้านมีคนอยู่ประมาณ 2-3 โต๊ะ เอ ผมจะนั่งตรงไหนดีนะ

   “สวัสดีค่ะ ร้านกาแฟของเรายินดีต้อนรับนะคะ มาคนเดียวหรือเปล่าคะ”

พนักงานผู้หญิงตัวเล็กเดินมาถามผมด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ผมยิ้มให้เธอกลับไปแล้วตอบ

   “ครับ มาคนเดียวครับ ไม่ทราบว่านั่งตรงไหนได้บ้าง”

   “มีโต๊ะด้านในสุดอยู่ 1 โต๊ะนะคะ จะติดกับผนังกระจกทำให้มองเห็นบรรยากาศด้านนอกได้แต่กระจกตรงด้านนอกจะถูกเคลือบสีดำไว้ทำให้ไม่มีใครมองเห็นข้างใน เป็นส่วนตัวดีค่ะ ยังไงเชิยทางนี้เลยนะคะ”

   “ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ”

ผมเดินตามพนักงานร้านเข้าไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เล็กๆ นั้น ส่วนตัวจริงๆ ด้วย ถ้ามากับแฟนคงสามารถแอบทำอะไรประเจิดประเจ้อได้แน่ พนักงานหยิบเมนูบนโต๊ะมาให้ผมเปิดดูเตรียมจดรายการ ที่นี่มีไอศกรีมด้วยแฮะ เค้กก็มีหลายรส เอาอันนี้ดีกว่า..

“ขอเป็นไอศกรีมมะนาว 1 ถ้วย เค้กสตอเบอร์รี่ 1 ชิ้น แล้วโก้โก้ปั่น 1 แก้วครับ”

   “ค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ”

   พนักงานจดรายการแล้วเดินแยกตัวออกไปอีกทาง ผมเอนหลังพิงลงบนพนักเก้าอี้

   ...นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้มานั่งร้านกาแฟแบบนี้...คงตั้งแต่ตอนที่ผมเดินทางไปอังกฤษตอนจบม.ปลายแล้วสินะ...

   ตั้งแต่ที่เขาบอกเลิกผมในวันนั้น... และผมยังจำเหตุการณ์ทุกอย่างระหว่างเราได้จนวันนี้...

2 years ago 8.23 PM @ Public Park
เราสองคนเดินจับมือกันมาตลอดทาง มีความสุขจริงๆ นะ อากาศเย็นสบายในกลางคืนเนี่ย สวนสาธารณะที่ปราศจากคน มีหลอดไฟวงกลมประดับอยู่ข้างทาง ทำให้มองเห็นสองข้างทางขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าใครขี้กลัวหน่อยมาเดินเล่นตอนนี้ก็ไม่ขอแนะนำนะครับ
   
สระน้ำปรากอยู่เบื้องหน้า ตรงริมนั้นมีเก้าอี้ยาวสีขาวแกะสลักเป็นลายดอกไม้ทับกันไปมา หญ้าเตียนๆ บริเวณนี้คงให้ความรู้สึกนุ่มเท้าน่าเถ้าเราถอดรองเท้าและเหยียบย่ำลงไป เขาจูงมือผมนั่งลงบนเก้าอี้นั้น

‘อากาศเย็นสบายจัง’

ผมเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม หวังว่าเขาคงไม่เห็นแก้มแดงๆ ของผมนะ ก็มืดขนาดนี้นี่นา

‘ก็ไหนตอนแรกใครบอกว่ากลัวยุงไง แล้วตกลงได้ใช้ป่ะ ยากันยุงที่ซื้อมาน่ะ’ เขาแซวแล้วหัวเราะเบาๆ ผมเลยหลุดหัวเราะออกมาด้วย ก็ใครจะไปรู้ล่ะนัดมาเดินเล่นตอนกลางคืนแบบนี้ซื้อป้องกันไว้ก่อนไม่ดีหรือไง แล้วก็นะทำไมผมต้องรู้สึกเขินมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ โทษว่าบรรยากาศมันดีเกินไปได้ไหมนะ ลมเย็นๆ แบบนี้ มือที่เขากุมเอาไว้ บ้าจัง ทำไมผมคิดว่าถ้าเขาจูบผมขึ้นมามันคงโรแมนติกมากแน่ๆ เลย

แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหมือนเราแค่กำลังดูกันเฉยๆ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เอ่ยปากบอกความรู้สึกให้รู้ว่าตกลงคิดยังไงอยู่กันแน่ แล้วที่เขาจับมือผมแบบนี้ สัมผัสอบอุ่นแล่นจากฝ่ามือมาจนถึงหัวใจ ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ไหนจะความรู้สึกร้อนวูบวาบไปตลอดทั้งตัวแบบนี้ล่ะ เขาใจร้ายที่สุดเลย ทำไมต้องรังแกกันแบบนี้ด้วย คิดยังไงก็ไม่พูดออกมา

‘เบลมอธ...’

‘อะไรเหรอ’

‘ถามอะไรนายอย่างหนึ่งสิ’

ผมขมวดคิ้วในความมืด แล้วถามกลับไป ‘พูดมาสิ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ’

‘แต่เรามั่นใจว่านายจะต้องตอบได้แน่ๆ’

‘มั่นใจเหลือเกินนะตาบ้า ถ้าตอบไม่ได้ขึ้นมาล่ะ’
 
‘หึ จะถามแล้วนะ พร้อมหรือยัง’

‘เกิดมาเล่นตัวทำไมตอนนี้เนี่ย พร้อมตั้งนานแล้ว’

พอจบคำพูด เขาก็เอื้อมมือมาโน้มลำตัวผมเข้าไปใกล้เขา ใช้มือข้างขวากุมมือเล็กของผมทั้งสองข้างวางไว้บนตักและดันตัวเองเข้ามาจนแผ่นแกชิดติดกัน ริมฝีปากบางสีแดงตรงหน้าเลื่อนเข้ามาจนประทับลงบนฝีปากผม หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลัวว่ามันจะทะลุตกสระน้ำข้างหน้านี้ไป ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้จริงๆ อา.. ผมรู้สึกเวียนหัวจัง หน้าร้อนวูบวาบไปหมด
 
...นายจูบเรานานเกินไปแล้วนะ ‘ซิน’ …จะปล่อยให้หายใจมั่งหรือไง...

‘หวาน’
   
ผมรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินเสียงของซิน บ้าจัง นี่ผมนั่งเหม่อมองหน้าเขานานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ตอนนี้ผมต้องหน้าแดงไปหมดแล้วแน่ๆ หวังว่าเขาจะไม่เห็นนะ
   
ผมจับมือตัวเองแล้วบิดกันไปมา ตาบ้านี่...แบบนี้เขาเรียกว่าถามที่ไหน มันคือกระทำต่างหากเล่า!
   
‘ใจร้าย’
   
‘อะไรครับ โอ๋ อยากได้อีกรอบเหรอ’
   
‘บ้า ไม่ใช่สักหน่อย ก็ซินบอกว่าจะถามเรา ไม่ได้บอกว่าจะ เอ่อ...’
   
‘ไม่ได้บอกว่าจะจูบใช่ไหม’
   
‘…’
   
ถ้าเขายังหยอดผมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หน้าผมต้องร้อนจนระเบิดแน่ๆ เอาออกไปได้ไหม หน้าตาหล่อๆ ชวนให้คง้าเข้ามาจูบซ้ำเนี่ย จะใจร้ายไปถึงไหน!     
   
‘เราพูดไม่เก่ง เลยไม่รู้ว่าจะถามออกไปยังไง เลยใช่การกระทำบอกแทน หวังว่าคงไม่โกรธนะ’
   
‘ยังไม่เข้าใจอยู่ดี’
   
‘เป็นแฟนกันนะ’
   
ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยรู้สึกแน่ๆ ความรู้สึกที่ราวกับโลกกำลังหมุนรอบตัวเรา เราสามารถบงการให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ ซินต้องรู้ดีแน่ๆ ก่อนเขาจะถามมันออกมา มันเป็นคำตอบที่ผมไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว
   
‘นายก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ยังจะถามอีกเหรอ’
   
‘หึ ปากดีนักนะ แค่อยากแน่ใจขึ้นมาเฉยๆ หรอก แบบนี้ต้องทำโทษซะแล้ว’
   
‘เห้ย อย่านะซิน’
   
แล้วเราสองคนก็วิ่งไล่จับกันเหมือนเด็กๆ ไปทั่วสวนสาธารณะแห่งนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงหัวเราะปนเสียงเหนื่อยหอบดังก้องไปทั่ว คืนนี้ผมรู้สึกว่าพระจันทร์จะกลมและสว่างกว่าที่มองเห็นวันก่อนหลายเท่านัก
   
...ถ้าผมจะถือว่าพระจันทร์กำลังอวยพรให้ผมกับเรารักกันไปนานๆ...จะได้ไหมนะ...
   
เราวิ่งจับกันไปเรื่อยๆ จนผมล้มลงไปกองกับพื้นหญ้าจุดหนึ่งบริเวณข้างที่ออกกำลังกาย เสียงหอบหายใจของผมดังเร็วถี่ จนคนที่ตามมาล้มตัวนอนลงข้างๆ หัวเราะขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวผม
   
‘ไม่ออกกำลังกายเลย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวเลย’
   
‘ใครจะไปถึกเหมือนนายล่ะ บ้าพลังจะตาย โอ้ย! เหนื่อย’   
   
‘ฮ่าๆ หายใจเข้าออกช้าๆ เข้าสุดออกสุดสิ เดี๋ยวสักพักจะดีขึ้นเอง ผู้จัดการทีมเราเคยบอกเอาไว้’
   
ซินเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน แน่นอนว่าเขาแข็งแรงมากแถมยังสูงกว่าผมอีกมากโข เขาสูง 180 เซนติเมตร ในขณะที่ผมสูงแค่ 172 เซนติเมตร เวลาจะคุยกันทีก็ต้องแหงนหน้า เขามีผมสีดำสนิทรองทรงแบบนักเรียนชายทั่วไปแต่เงาสวยเหมือนผมผู้หญิงเลย หน้าตาเข้มแบบหนุ่มไทยแท้ๆ ปากบางเฉียบเย็นชา แต่เวลายิ้มดูเท่อย่าบอกใครเชียว ตัวสมส่วนกล้ามเป็นมัด ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับเด็กกะโปโลเหมือนผม คิดไปแล้วเหมือนฝัน เพราะผมชอบซินมาก แอบมองมาตั้งแต่ ม.4 แล้ว จนตอนนี้ ม.6 เราเพิ่งจะได้คบกันเป็นแฟนเมื่อกี้นี้เอง                     
   
‘วันนี้พระจันทร์สวยจังเลย ว่ามั้ย’

‘ใช่ เหมือนมีกระต่ายตำข้าวอยู่ด้านบนเลย’
   
‘ถ้าเราพาไปดวงจันทร์ จะไปด้วยกันไหม’
   
ผมยิ้มกับคำถามที่แสนน่ารักของเขา ‘ถ้ามีซิน ที่ไหนเราก็เต็มใจจะไปทั้งนั้น’
   
เขาหันมาสบตาผมอย่างลึกซึ้ง เรามองตากันในความมืดอยู่สักพัก ซินจึงหมุนตัวขึ้นมาคล่อมผมเอาไว้ ร่างกายแข็งแรงของเขาอยู่ใกล้ผมมากจนบางส่วนในร่างกายสัมผัสกัน ก่อให้เกิดสัมผัสร้อนวูบไปหมดทั้งตัว จนผมรู้สึกว่า...
   
‘หึ ยังไม่เช้าเลยนะ เคารพธงชาติแล้วเหรอ’
   
‘บ้า ใครบอกให้จับ เอามือออกไปเดี๋ยวนี้นะ’
   
ผมเขินมากเมื่อซินเอื้อมมือลงไปจับส่วนนั้นของผมไว้แล้วลูบเบาๆ ราวกับจะหยอกเล่น พอเห็นผมเขินแบบนี้เขาก็หัวเราะชอบใจแล้วก้มหน้าลงมาต่ำกระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ
   
‘เรารักนายนะเบลมอธ’
   
‘เราก็รักนาย...ซิน’
   
หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดอะไรหลุดปากออกมาอีก เพราะเราได้ใช้ความหวานจากรสจูบคุยกันแทนแล้ว เขาค่อยๆ รุกรานผมขึ้นมากเรื่อยๆ ริมฝีปากบดเบียดลงมาราวกับจะกลืนกินผมลงไปทั้งตัว มือเขาลูบไล้ไปทั่วร่างกายผมอย่างแสดงความปรารถนา ผมบิดตัวไปมาด้วยความเสียวซ่านทั้งที่ยังจูบเขา ความรู้สึกบางอย่างในหัวใจก่อขึ้นช้าๆ หลอมรวมหัวใจเราสองคนไว้ด้วยกัน
   
‘อยากให้หยุดไหม’
   
ซินถอนปากออกมาแล้วถามผมเสียงแหบพร่า ผมรู้ดี...ว่าเขากำลังอดกลั้นกับอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ใช่ตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เราจะไปไกลกันขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งที่เราสองคนก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลสักแค่ไหน
   
ผมยิ้มบางให้เขา แล้วพูดต่อไป ‘ถ้าซินรักเราได้โปรดถนอมเรา รักษาเรา…’
   
ราวกับคำพูดผมสื่อให้ซินรู้ว่าใจผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มบางๆ ให้ผมแล้วลุกขึ้นยืน ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เราสองคนมองตากัน ประกายระยิบระยับในดวงตาของเราสองคนราวกับดาวบนท้องฟ้ามากมาย เขาจับมือแล้วผมดึงตัวเองลุกขึ้นมา เราจับมือกันเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามทางกลับบ้าน
   
แปลกจัง...ทั้งที่นี่เป็นหน้าหนาว แต่ทำไมหัวใจผมถึงรู้สึกอบอุ่นขนาดนี้กัน...
   
คงเป็นเพราะ...ผู้ชายที่กำลังจับมือผมเดินไปข้างหน้าคนนี้ล่ะมั้ง...



   
‘ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ขอให้เตรียมตัวให้พร้อมค่ะ อีก 30 นาที เครื่องบินของสายการบินการบินไทยจะออกเดินทาง รบกวนท่านผู้โดยสารเช็คสัมภาระให้เรียบร้อย และรอขึ้นเครื่องค่ะ...’
   
เสียงโอเปอร์เรเตอร์สาวในสนามบินดังขึ้น ผมหันมามองหน้าซิน แล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
   
‘ป่ะ ไปกันเถอะซิน อยากไปเวนิสแล้ว อยากนั่งเรือ อยากถ่ายรูปกับสะพาน อยากมองสายน้ำใสใกล้ๆ อยากไปมหาวิหารเซนต์มาร์ก แล้วก็ยัง…’
   
‘คร้าบๆ ทราบแล้วครับที่รัก ที่ว่ามาทั้งหมดได้ไปแน่ๆ’
   
‘เย่ รักซินที่สุด’
   
ผมเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มซินหนึ่งทีเป็นรางวัล เขายิ้มมุมปากเล็กๆ แล้วจับมือผมเพื่อเดินไปขึ้นเครื่องๆ ผู้คนเดินผ่านเราไปมามองเราอย่างประหลาดใจบ้าง ตลกบ้าง แล้วอมยิ้มบ้าง คงแปลกใจสินะว่าทำไมผู้ชายสองคนถึงเดินจับมือกันแล้วยิ้มอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้
   
ก็คนมันมีความสุขนี่นา...จะรักใครสักคนแล้วไม่แสดงออก มันก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ ‘รัก’ เขานั่นแหละ
   
หรือคุณจะบอกว่าไม่จริง?
   
ผมกับซินวางแผนกันว่าช่วงหยุดยาวเล็กๆ หลังสอบกลางภาคจะไปเที่ยวอิตาลีด้วยกัน ซึ่งทางครอบครัวของซินก็อนุญาตไม่ได้ว่าอะไร แถมยังจองตั๋วเครื่องบิน หาโรงแรม พร้อมกับแลกเงินไว้ให้ด้วย คุณพ่อคุณแม่เขาเป็นคนน่ารักมาก เข้าใจลูกทุกอย่าง เชื่อเถอะว่าถ้าปล่อยให้เราสองคนดำเนินเรื่องเองป่านนี้ยังไม่เสร็จแน่ๆ
   
เสียงโทรศัพท์มือถือของซินดังขึ้นมา เขาหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ต
   
‘เดี๋ยวนายเดินไปก่อนเราเลยนะ ขอไปรับโทรศัพท์แปปหนึ่ง’
   
‘ใครเหรอซิน’
   
ผมถามอย่างแปลกใจ ปกติเวลามีใครโทรมาเขาก็รับสายต่อหน้าผม แต่ครั้งนี้แปลกๆ เอ๊ะ หรือว่าเขาจะมีอะไรปิดบังผมไว้นะ ไม่เอา อย่าคิดดีกว่า มาเที่ยวกันก็ต้องมีความสุขสิ ไม่งั้นเสียบรรยากาศเปล่าๆ
   
ซินเดินไปรับโทรศัพท์จากที่ที่ผมยืนอยู่ไม่มาก เท่าที่มองตรงนี้สีหน้าเขาเคร่งเครียดพอดู คงจะเป็นเรื่องสำคัญสินะ งั้นผมเดินไปรอเขาตรงประตูทางเข้าดีกว่า
   
เครื่องบินหลายลำจอดอยู่ด้านนอกผนังกระจกใหญ่เท่าบ้านหลังหนึ่ง บางเครื่องก็เตรียมตัวจะบินขึ้น บางเครื่องก็กำลังจะลงจอด เทคโนโลยีของมนุษย์นี่ก้าวไกลจริงๆ สามารถสร้างเจ้านกยักษ์นี่และให้เรานั่งมันไปที่ต่างๆ ได้ทั่วโลกเลย ถัดไปประมาณสองเมตรมีผู้ชายวัยรุ่นหน้าตาดีสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น หน้าตาคล้ายกันคงจะเป็นพี่น้องกันแหละ
   
‘พี่ซีท เวกัสบอกว่าจะมาถึงที่นี่ตอนกี่โมงนะ’
   
‘น่าจะอีกสักแปปแหละ นั่งจากภูเก็ตมานี่ไม่น่าจะใช้เวลานานมาก ทำไม ตื่นเต้นอ่ะดิ’
   
‘ใช่แล้ว ผมกับเวกัสเรียนคนละจังหวัดกันนะ สอบติดมหาลัยเดียวกันก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาสิ จะได้เจอกันบ่อยๆ’
   
ใบหน้าใสซื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ เขาเป็นเด็กที่มีผิวขาวใสอมชมพู หน้ากลม ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีกปากอวบอิ่มเหมือนผู้หญิง ในดวงตากลมนั้นมีประกายแสดงความดื้อรั้นอยู่ในที ใครเห็นไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็คงหลงน้องเขาหัวปักหัวปำแน่ๆ เลย
   
ส่วนคนด้านข้างที่น่าจะเป็นพี่ชาย เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างแบบคนที่น่าจะออกกำลังกายประเภทว่ายน้ำ ผิวสีแทนเล็กน้อยแต่กลับทำให้รู้สึกถึงความดิบ เถื่อนในแบบฉบับที่ผู้ชายสมควรมี เสื้อกล้ามสีดำที่เขาใส่อยู่นั้นทำให้เห็นบอดี้สุดแสนจะเพอร์เฟ็กชัดเจน กล้ามเป็นมัดจนทำเอาผมอยากลองไปกัดเล่น กางเกงขาสามส่วนลายทหารทำให้ผมใจแกว่งไปวูบหนึ่ง
   
....ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนี้แต่งตัวธรรมดาแท้ๆ...แต่เขากลับดูเท่โดยไม่ต้องแต่งเติมอะไรเลย...
   
‘ป่ะ เบลมอธ เราไปกันเถอะ เครื่องจะออกแล้ว ขอโทษทีคุยนานไปหน่อย แหะๆ’
   
ซินเอามือมาแตะไหล่ผมแล้วเอ่ยขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปยิ้มให้เขา
   
‘อิ้ม ไปกันเถอะ’
   
ผมถอนสายตาจากสองพี่น้องคู่นั้นมาแล้วเดินไปต่อกับซินเพื่อขึ้นเครื่อง พี่ชายของเด็กคนนั้นหันมาสบตาผมแวบหนึ่ง เขามีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน พอจ้องมาแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกเขินแปลกๆ ทั้งที่กำลังจับมือซินอยู่แท้ๆ
   
...ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา...มันจะผิดมากไหมนะ...
   
ที่ผม....อยากเจอผู้ชายนัยน์ตาสีน้ำสีน้ำตาลอ่อนคนนั้นอีก....

   


5.47 PM 24 Feb 20XX @ Venice (Venezia)
ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adraitic) เป็นฉายาของเมืองเวนิสแห่งนี้ เมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่รู้จักกันในด้านของความเจริญรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ทุกครั้งที่ผมมองภาพวิวทิวทัศน์เมืองนี้ผ่านจอคอมพิวเตอร์ ก็อดคิดทุกครั้งไม่ได้ว่าเมืองนี้เหมือนภาพวาดเหลือเกิน ตึกที่ก่อด้วยอิฐสีเหลืองอ่อนเหมือนเนยที่ทาบนขนมปัง ยิ่งตอนที่แสงแดดยามเย็นสาดส่องมาทาบทับราวกับประติมากรรมชั้นดีจากสวรรค์ที่หลงเหลือไว้ให้มนุษย์ชื่นชม รอบๆ ตัวเมืองเป็นทะเล สีฟ้าอ่อนของแม่น้ำเมื่อรวมอยู่เคียงข้างกับเมืองแห่งภาพวาดแห่งนี้ (ตั้งเอง) ทำให้สวยขึ้นจนยากที่จะละสายตาไปได้ ทำเอาผมอยากขึ้นไปยืนบนยอดตึกแล้วมองลงมาชะมัด
   
‘มีความสุขจังเลยนะ’
   
ซินทักผมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส ในมือถือกระเป๋าเดินทางของผมและเขา แต่ไม่แสดงท่าทีว่าเหนื่อยออกมาแม้แต่นิด แหม ก็เขาแข็งแรงขนาดนั้นนี่นา
   
‘นายลองมาดูสิ สวยมากเลยนะ นี่ขนาดเรายืนอยู่บนถนนธรรมดามองไปรอบด้านยังสวยขนาดนี้ อยากบินอยู่บนฟ้าแล้วมองลงมาจัง’
   
เมืองในฝันของผมคือเวนิสแห่งนี้และความฝันของผมก็คือ... ได้มาเยือนที่นี่กับเขาในฐานะคนรักและวันนี้ความฝันก็เป็นจริงแล้ว อ๊ะ นั่นสิ ผมล้วงกระเป๋าที่ซินถืออยู่แล้วหยิบกล้องถ่ายรูปสีเบจสวยออกมา แล้วกดถ่ายเขาที่ยังไม่ทันตั้งตัว
   
‘โห แอบถ่ายกันนี่นา’
   
‘ห้าๆ หน้านายตอนเผลอนี่ตลกชะมัด เอาไปทำเป็นภาพหน้าจอมือถือดีกว่า’
   
‘เอาไปเถอะ เรารู้อยู่แล้วว่าตัวเองหล่อจนเบลมอธต้องหึง’
   
คำพูดหลงตัวเองแต่จริงของเขานั่นทำให้ผมหมั่นไส้ จึงเดินเข้าไปหยิกพุงเขา แต่ไม่เจอพุงมีแต่เนื้อแข็งๆ เอง
   
‘โอ๊ย! เจ็บจัง’
   
ซินร้องออกมาได้เว่อร์มาก ผมหยิกไปเบาๆ เอง
   
‘แค่นี้ก็เจ็บแล้ว ไม่อดทนเอาซะเลย ฮ่าๆ ถ้าอยากเอาคืนก็วิ่งตามมาให้ทันสิ ไปล่ะนะ’
   
พูดจบผมก็วิ่งหนีทันที ซินเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวเลยวิ่งตามมา แต่สู้ผมไม่ได้หรอก เพราะเขาถือกระเป๋าอยู่ตั้งสองใบนี่นา ผมวิ่งไปหันกลับหลังไปถ่ายรูปเขาตอนวิ่งแล้วหัวเราะไปด้วย มีความสุขจัง คนมีความรักทุกคนเวลาได้อยู่กับคนที่รักจะมีความสุขแบบนี้ทุกคนไหมนะ แต่สำหรับผมต่อให้ต้องช่วยกันไถนาก็ยังมีความสุขอยู่ดี (?)
   
ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ซินเองก็วิ่งตามผมมาเรื่อยๆ ผมเหนื่อยแล้วนะ เขาเป็นนักกีฬานี่นาวิ่งแค่นี้สบายมาก สงสัยผมคงพลาดท่าเขาเอีกแล้ว
   
‘จับได้แล้ว’
   
‘อ๊ะ’
   
ซินวางกระเป๋าพิงตรงพื้นแล้วเข้ามาสวมกอดผมทางด้านหลังแล้วซุกหน้าลงมายังซอกคอผม
   
‘อย่านะซิน เดี๋ยวคนเห็น’
   
‘เห็น ก็ช่างเขาสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย’
   
‘ไม่ ไม่เอานะซิ...’
   
เสียงของผมหายไปทันทีเพราะริมฝีปากของคนตรงหน้าได้มายึดพื้นที่การพูดไปเสียแล้ว ไม่เลวเหมือนกันนะ บรรยากาศตอนเย็นแบบนี้ผู้คนเดินทางกลับบ้านกัน กลุ่มเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มก็ร้องเพลง เล่นกีตาร์กัน ไม่ไกลนักก็มีเด็กสาวตัวน้อยยืนให้อาหารนกนางนวลสีขาวที่บินลงมาเกาะตรงขอบรั้วที่กั้นระหว่างสะพานกับพื้นถนน
   
ซินคลายอ้อมกอดและปลดปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากริมฝีปากบางนั้น เราสองคนเหม่อมองไปยังสายน้ำข้างหน้า สายลมปลิวมาเบาๆ ทำให้ผมที่ปรกลงมาด้านหน้าของเขาปลิวตามลมเบาๆ เขาดูดีราวกับรูปสลักของพระเจ้า งดงามเหลือเกิน จนผมคิดว่าการที่เขายืนเคียงข้างผมแบบนี้ ที่สุดแล้วอาจจะเป็นแค่ฝันเพียงตื่นหนึ่งเท่านั้น
   
‘ยืนรอแปปนะ เดี๋ยวมา’
   
เขาบอกผมแล้วเดินผละออกไป ผมมองตามไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมา ซินมีมุมน่ารักแบบนี้เสมอ เขาซื้อไอศครีมโคนสีขาวอ่อนนุ่มมาให้ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงซื้อมาอันเดียวล่ะ ผมท้วงทันที
   
‘เรามากันสองคนนะ กินอันเดียวไม่พอหรอก’
   
‘พอสิ ถ้าเรากินด้วยกันยังไงก็ต้องพออยู่แล้ว’
   
‘ง่ะ’ ผมหน้าง้ำทันที นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย
   
ซินกัดไอศกรีมไปหนึ่งคำแล้วยื่นมาให้ผม ผมหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที ทั้งที่เราเคยจูบกันแล้วแท้ๆ แต่ทำไมพอเขาทำอะไรแบบนี้ผมถึงรู้สึกเขินขนาดนี้นะ ตาบ้า...ชอบรังแกกันอยู่เรื่อยเลย อย่าให้ถึงคราวผมนะ
   
สุดท้ายผมก็ยอมกินไอศกรีมต่อเขา เสียงหัวเราะหึๆ ดังมาจากคนด้านข้างจนผมอยากเอาไอศกรีมยัดปากซะทีหนึ่ง
   
...รู้ว่าเขินแล้วยังจะแกล้งกันอีก
   
‘เดินขึ้นไปบนสะพานกันเถอะ มองไปไกลๆ น่าจะเห็นวิวสวยๆ แน่’
   
‘อื้ม ไปสิ’
   
เราสองคนจูงมือกันและเดินไปยังสะพานตรงหน้า เวนิสนอกจากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำแล้ว ยังได้รับสมญานามอีกว่าเป็นเมืองแห่งสะพาน ตลอดทางที่ผ่านมาเราจะเจอสะพานโค้งที่ทำด้วยหินเยอะมาก ผู้คนเดินผ่านสัญจรกันไป ด้านล่างสะพานเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่มีเรือกอนโดล่าพายผ่านไปมาเป็นระยะ (เรือกอนโดล่าถือเป็นพาหนะสำคัญของชาวอิตาลีมาตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้ว นักท่องเที่ยวอีกส่วนหนึ่งก็ชื่นชอบการนั่งเรือชมวิวไปเรื่อยๆ โรแมนติกไปอีกแบบสำหรับคนชอบอะไรที่เรียบง่าย) นกน้อยบินผ่านไปมาเป็นฝูงทำให้รู้ว่าอิสระมีอยู่ทุกแห่งบนโลกใบนี้
   
ซินหยุดเดินเมื่อมาถึงกลางสะพาน ถ้าถ่ายรูปออกมาต้องสวยมากแน่ๆ สะพานโค้งทำด้วยหิน ด้านล่างเป็นแม่น้ำมีเรือกอนโดล่า และเรายืนอยู่ด้านบน เหมือนในหนึ่งรูปมีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวเวนิสบันทึกไว้เลย
   
‘สวยเนอะ คิดถูกแล้วที่มาที่นี่’
   
‘ใช่มั้ยล่ะ ไหนๆ เราถ่ายรูปคู่กันหน่อย’
   
ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติคนหนึ่งให้เขาถ่ายรูปให้ เขามองเราสองคนแล้วยิ้มออกมาย่างใจดี
   
‘ถ่ายกันเถอะ’
   
ผมเดินเข้ามากอดคอซินไว้ และฉีกยิ้มกว้างเต็มที่ ซินหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วยิ้มออกมาเช่นกัน
   
‘One Two Three…’
   
แชะ!
   
และความทรงจำของเราก็ถูกบันทึกเอาไว้ใต้สายน้ำแห่งนี้ตลอดกาล จนกว่าจะมีคู่รักคู่ต่อไปเดินมาหยุดตรงนี้แล้วถ่ายรูปด้วยกัน เพื่อแบ่งปันความสุขให้โลกได้รับรู้...



‘เหนื่อยจังเลย ไม่อยากทำอะไรแล้ว’
   
ซินล้มตัวกางแขนกางขานอนลงไปบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า จริงๆ ผมก็เหนื่อยนะเราเดินเที่ยวกันตั้งนาน กว่าจะเดินมาหาโรงแรมที่พ่อแม่เขาจองไว้ ล้าพอสมควรเลย
   
‘ไม่ได้นะซิน นายต้องอาบน้ำก่อน สกปรกแย่เลย’
   
‘ม่ายยยยยยยย’
   
ผมก้มไปยื้อยุดฉุดกระชากเขาให้ลุกขึ้นให้ได้ แต่เขาก็ขืนตัวไว้ไม่ยอมลุกขึ้นมา ทำไมตัวโตแบบนี้นะ!
   
‘ถ้าไม่อาบน้ำจะไปนอนห้องอื่นนะ’
   
‘ก็ได้!’
   
ซินเด้งตัวลุกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประกาษิตจากผม หึ ต้องให้ใช้ไม้นี้ ผมเอานิ้วชี้ลงไปจิ้มแก้มพองๆ ของซินแล้วก้มตัวไปกระซิบริมหูเบาๆ ‘นะครับคนดี คืนนี้เวลานอนกอดกัน จะได้อุ่นสบาย’
   
‘รับทราบครับผม’
   
ผมยิ้มให้เขาและดันตัวให้ไปทางห้องน้ำ แต่พอจะหันไปคุยกับเขา....
   
‘เฮ้ย ซิน ถอดเสื้อผ้าตรงนี้ทำไม’
   
วาบ...
   
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมาและรีบหันไปทางอื่นทันที รูปร่างของคนตรงหน้าทำให้ใจผมเต้นแรงแปลกๆ
   
‘ฮ่าๆ ก็จะให้อาบน้ำนี่ ถอดในนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย มามะ หันมาดูซะดีๆ’
   
‘ว้าก ไม่เอานะซิน เราไม่ดู’
   
‘ฮ่าๆ’
   
ซินเดินมาพลิกตัวผมให้หันกลับไปมองของดีอีกด้าน แต่ผมต่อสู้สุดฤทธิ์จนดิ้นหลุดมาได้ จากนั้นจึงวิ่งออกไปยังห้องนั่งเล่นด้านนอกโดยที่เสียงหัวเราะนั้นยังดังไม่หยุดพอๆ กับเสียงบางอย่างใต้อกข้างซ้ายนี้เช่นกัน แต่ผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้เหมือนกัน...
   
...ว่าเขาน่ะ...ฮอตน่าดูเลย :)
   
ผมฮัมเพลงเบาๆ อย่างมีความสุข พลางคิดว่ามื้อเย็นนี้จะทานอะไรกันดีนะ สั่งเซอร์วิสขึ้นมาหรือว่าทำเองดีนะ เซอร์วิสแล้วกันสะดวกกว่า ผมก็ค่อนข้างเพลียด้วย เดี๋ยวอาหารจะไม่อร่อยเพราะฝีมือผมด้วย
   
กริ๊ง!
   
เสียงมือถือของซินดังขึ้นมาจากโต๊ะหน้าโซฟา ผมเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู ไม่ขึ้นชื่อคนโทรเข้าด้วยแฮะ เป็นเบอร์แปลก ขณะที่ผมกำลังจะกดรับเสียงเพลงก็หยุดดังไปก่อน เอ้อ งั้นเดี๋ยวรอเขาโทรมาอีกรอบแล้วกันแล้วค่อยให้ซินรับ
   
ผมวางมือถือซินไว้ที่เดิมแล้วโทรไปสั่งเซอร์วิสให้เอาอาหารเย็นขึ้นมาให้ จะกินอะไรกันดีนะ เอ อยากกินไก่แฮะ เอาไก่ด้วยดีกว่า เอ สลัดก็น่าจะโอเค...
   
‘เสร็จแล้วครับผม’
   
เสียงเขาตะโกนมาจากด้านหลัง อาบเร็วไปนะ! หวังว่าคงใส่เสื้อผ้าแล้วสินะ ผมหันไปคุยกับเขา
   
‘อาบเร็วไปนะ’
   
‘โธ่ เบลมอธ.. อากาศมันเย็นนี่นา อีกอย่างเราก็อยากนอนกอดนายเร็วๆ แล้วด้วย’
   
‘บ้า ฮ่าๆ รออีกแปปอาหารน่าจะขึ้นมาส่ง’
   
‘งั้นระหว่างนี้กินนายก่อนได้ป่ะ’
   
…ตาวาวเลยนะตาบ้า
   
‘ไม่ได้!’
   
‘กึ๋ย’
   
‘ห้ามเข้าใกล้เกินกว่าสองเมตร ขยับออกไปๆ ชิ่วๆ’
   
‘โห กล้าไล่แฟนสุดที่รักเหรอ แบบนี้ต้องโดนดีซะแล้ว’
   
‘อย่านะ! ฮ่าๆ’
   
ซินพุ่งเข้ามารวบตัวผมไว้ในแอ้มกอดแล้วจั๊กกะจี้ผมอย่างแรง ผมหัวเราะออกมาเสียงดังมาก โอย น้ำจาไหลหมดแล้วนะ ฮ่าๆ ผมปัดมือเขาออกเป็นพัลวัน แต่เขากลับรวบมือผมเอาไว้ไม่ให้ขยับ แว้กๆ ฮ่าๆ ไม่ไหวแล้วน้า
   
‘ยอมหรือยัง’ …คำถามชวนคิดลึกจัง
   
‘ยอมอะไร พูดดีๆ นะตาบ้า ลามกอ่ะ!’
   
‘โห อะไรกัน เรายังไม่ทันพูดอะไรเลย นายคิดไปก่อนแล้ว ใครกันแน่ที่ลามก’
   
‘ฮึ่ย ยอมแล้ว’
   
จบคำนั้นเขาก็ก้มฝังจมูกลงมาบนแก้มผมอย่างรวดเร็วและวิ่งหนีกำปั้นของผมไป ผมแตะเบาๆ ตรงแก้มสัมผัสเบาๆ ยังหลงเหลืออยู่ ทุกที่ในร่างกายที่เขาลากนิ้วผ่านราวกับร้อนวูบวาบขึ้นมาเฉยๆ
   
...เขาชักจะเป็นนักรักที่เก่งเกินไปแล้วนะ

To Be Continue...

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #4 เมื่อ18-02-2013 14:10:59 »

มื้อเย็นของเราสองคนผ่านไปอย่างสนุกสนาน เหมือนทำสงครามกันมากกว่ากินข้าว เราแย่งกับข้าวกินกันไปมาจนโต๊ะเลอะไปหมดเลย แล้วผมก็ต้องมาตามปัดกวาดเช็ดถูอีก
   
ตอนนี้น่าจะดึกพอสมควรแล้วล่ะแต่ผมขี้เกียจเกินที่จะลุกไปดูนาฬิกาด้านนอกห้อง เลยนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงแบบนี้ ว้าว ผมเพิ่งสังเกตบนเพดานห้องนอนเรามีรูปดาวเรืองแสงหลายดวงติดอยู่ด้วย สวยจังเลย พระอาทิตย์ก็มี เหมือนได้นอนดูดาวอยู่ด้วยกันเลยแหะ
   
สัมผัสเตียงด้านข้างที่ต่ำลงไปทำให้ผมรับรู้ว่าซินคงขึ้นมานอนบนเตียงแล้วล่ะ เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเราสองคน แปลกจัง ทำไมผมรู้สึกเขินขนาดนี้เนี่ย คงเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราใกล้กันขนาดนี้ด้วยมั้ง ผมต้องพยายามบังคับหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงจนอึดอัดไปหมด เราสองคนประสานสายตากันในความมืด แวววาบๆ ในดวงตาเขาทำให้ผมต้องหลบสายตาอย่างช่วยไม่ได้ พระเจ้า นี่ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย
   
‘วันนี้เรามีความสุขมากเลยนะ’
   
‘เราก็มีความสุขเหมือนกัน ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งในชีวิตจะได้มีโอกาสมาที่นี่กับซิน’
   
‘ทำเพื่อคนที่เรารัก เราทำได้เสมอ’
   
‘อืม... ถ้ามีเวลาอีกเราไปเที่ยวอัมเตอร์ดัมกันนะ’
   
‘ได้เลยครับผม’
   
‘เราอยากเดินเที่ยวในทุ่งดอกทิวลิป ใส่หมวกสานสีน้ำตาลอ่อนแล้วยืนถ่ายรูปกับซิน ฉากหลังเป็นทุ่งทิวลิปหลากสีกว้างสุดลูกหูลูกตา’
   
‘เหมือนเห็นภาพขึ้นมาเลยอ่ะ เราสองคนต้องมีความสุขมากแน่ๆ’
   
‘ใช่แล้ว’
   
‘เบลมอธ’
   
‘อะไรเหรอ’
   
‘….’
   
ซินกอดผมเอาไว้เบาๆ มือลูบไล้บนแผ่นหลังผม ความรู้สึกประหลาดพุ่งเข้ากลางใจผมจนเบลอไปหมด เขาสอดมือเข้ามาใต้เสื้อนอนของผม ลูบขึ้นมาถึงกลางหลัง แล้ววนมาด้านหน้าหยอกล้อกับเม็ดบัวสีชมพูที่ชูชันขึ้นตามอารมณ์ปรารถนา มืออีกข้างค่อยๆ ไล้บหน้าผมตั้งแต่ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ลำคอ ลงมาที่หน้าท้อง และเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้น...
   
‘อา...’
   
ผมครางออกมาอย่างลืมตัว บ้าจริง เขาทำอะไรของเขาเนี่ย แล้วทำไมร่างกายผมถึงมีประกายตอบสนองเขาเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ เขาจูบผมเบาๆ สัมผัสอันอ่อนโยนส่งผลให้ผมผ่อนคลายจากความตึงเครียดกับเรื่องที่เรากำลังทำกันอยู่
   
เขาจูบผมหนักขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นร้อนกวาดไปทั่วโพรงปากค้นหาความหวานจากตัวผม กางเกงของผมหลุดไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เขาถอดเสื้อผ้าตัวเองตามออกมาอย่างรวดเร็ว มือผมสาละวนอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อชุดนอนเขาออก แล้วโยนผ้าชิ้นนั้นลงเตียงไป มือยาวของซินกวาดผ้าห่มผืนหนาสีขาวที่เราใช้ห่มกันเมื่อครู่ลงพื้นเตียงไปจนหมด ทำให้บนเตียงว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
   
...ทำให้ผมและเขา ‘เห็น’ อะไรอย่างชัดเจน
   
เหตุการณ์หลังจากนั้นทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว เจ็บปวดที่สุดในชีวิตแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีมากถึงมากที่สุด จนไม่อยากให้เขาหยุดเลย ดังนั้นสิ่งที่เรากำลัง ‘ทำ’ กันอยู่ มันจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และ...อีกครั้ง
   
...ผมว่าทริปเวนิสของผมกับซินในครั้งนี้...มันเกินคุ้มจริงๆ




1.32 PM 26 April 20XX @ Party Dorm
พ่อแม่ซินก็เหมือนพ่อแม่ผมที่มักจะงานยุ่งตลอดเวลา เขาเลยขออนุญาตออกมาพักหอพักนักเรียนด้านนอกแทน และตัวผมเองก็เพิ่งกลับจากต่างหวัดมาไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งสามวันแน่ะ คิดถึงชะมัดเลย ผมเลยตื่นเช้ามาอบคุกกี้รสกาแฟที่เขาชอบกินมาให้ ตั้งใจทำสุดๆ เลยแหละ มั่นใจว่าเขาต้องชอบมากแน่ๆ
   
...เพราะเขาไม่เคยปฏิเสธผมได้หรอก
   
ผมกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 5 ที่ซินอยู่ ตลอดทางเดินมีนักเรียนหลายคนเดินผ่านกันไปมา คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีเยอะ บ้างก็คนรู้จักผม ชั้นที่ซินอยู่เป็นชั้นธรรมดาเรียบๆ ไม่หรูหรา เขาเคยบอกผมว่าไม่ชอบความโอ่อ่าเห็นแล้งมันทำให้รู้สึกอึดอัด และก็เป็นผมนี่แหละที่แนะนำคอนโดนี้ให้เขา
   
หลังกลับมาจากเวนิสคราวนั้นนี่ก็ผ่านไปสองเดือนแล้วสินะ แต่เขายังคงปฏิบัติตัวกับผมแบบเดิม และยังมีทีท่าว่าน่ารักขึ้นด้วย มีความสุขจังเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายและมีเขาเป็นองครักษ์เลย
   
พูดถึงเวนิสทีไรทำให้ผมชอบคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นซะทุกครั้งไปเลย แล้วก็ได้แต่ยิ้มเขินอยู่คนเดียว แหม... หลับไปในอ้อมกอดของคนที่เรารักน่ะมีความสุขจะตาย ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเรามองหน้ากันแล้วเขาก็คว้าผมเข้าไปจูบอีก สภาพปากผมตอนนั้นต้องบวมมากแน่ๆ
   
ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักของซินแล้วเอามือค้นกระเป๋างกางเกงหากุญแจสำรองที่เขาเคยให้เอาไว้ แต่สิ่งของบางอย่างที่วางอยู่ข้างล่างทำให้ผมประหลาดใจ
   
...รองเท้าหนังเหรอ
   
ไม่ใช่แน่นอน ผมจดจำรายละเอียดของเขาตั้งแต่หัวถึงเท้าได้หมดทุกอย่างเลย และเคยได้ยินว่าเขาไม่ชอบใส่รองเท้าหนังแบบคุณผู้ชายแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นรองเท้าของใครกันล่ะ? ใจผมแกว่งไปมาแปลกๆ มีความรู้สึกเจ็บแน่นในอกทั้งที่ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร ผมยกมืออันสั่นเทาขึ้นไปสัมผัสประตูดูปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อค
   
เสียงกุกกักจากด้านในห้องทำให้รู้ว่าต้องมีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคน มันเป็นเสียงหัวเราะสดใสเหมือนคนกำลังวิ่งเล่นกัน เสียงนั้นดังต่อไปสักพักแล้วหยุดลง สิ่งที่ตามมา คือ เสียงครวญครางอย่างสุขสมอารมณ์หมายของผู้ชายสองคน ตาผมร้อนชื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ มือขวากำหมัดแน่นจนเกรงว่าเล็บจะจิกเข้าไปในเนื้อ เพื่อไม่ให้เป็นการบั่นทอนจิตใจตัวเอง ผมจึงกดกริ่งสองครั้งและผลักประตูเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต
   
‘นายรีบเข้าไปหลบในห้องนอนก่อน เฮ้ย!’
   
ซินร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้า เขาอยู่ในสภาพผ้าขนหนูพันเอวจนแทบจะหลุดออกมา บนซอกคอแกร่งที่ผมชอบบีบเล่นเต็มไปด้วยรอยสีม่วงบ่งบอกการกระทำก่อนหน้านี้มาได้ และวัตถุสีชมพูบรรจุของเหลวสีขาวที่หล่นอยู่บนพื้นส่งกลิ่นคาวขึ้นมาจนอวลไปหมดก็เป็นหลักฐานชั้นดีในสิ่งที่เขากระทำ
   
ผมน้ำตาไหลลงมาราวกับเขื่อนแตก ไม่จริง เป็นไปได้ยังไงกัน เขาต้องไม่มีทางทำแบบนี้กับผมสิ เราสองคนรักกันจะตาย มันไม่จริง....
   
....เขาหักหลังผม
   
‘ทำไมทำแบบนี้’
   
ผมเอ่ยถามเขาเสียงเบาหวิวเหมือนคนจะขาดใจ แววลำบากใจปรากฏอยู่ในตาเขา แต่ทำไมล่ะ ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจหรืออยากจะขอโทษ อย่างน้อยก็ได้โปรดกอดผมเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย มันเท่ากับว่าเขายอมรับและเต็มใจในเหตุการณ์นี้
   
‘เบลมอธ... เรา...’
   
‘...’
   
ในเวลานี้ผมให้เขาได้แค่ความเงียบเท่านั้นเพราะผมให้น้ำตาคุยแทนไปก่อน เขาไม่เข้ามากอดปลอบผมเลย
   
‘เราขอโทษ เราดูกับเขามานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่คบกับนายได้สามสัปดาห์ เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ พวกเราแค่อยากจะให้เป็นแค่เรื่องสนุกระหว่างช่วงเวลาเท่านั้นเอง’
   
‘…’
   
‘เราไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แต่เราขาดเขาไม่ได้จริงๆ...’
   
‘…’
   
‘เบลมอธ เรารักนายมากจริงๆ นะ แต่วันนี้...’
   
‘…’
   
‘เราขอโทษนะ...เบลมอธ’
   
ผมแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเดินออกมาจากห้องซินเมื่อไหร่ ยังไม่เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นคนที่มาแย่งของรักของผมไป แล้วหลังจากนี้ล่ะ เขาไม่คิดถึงผมบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง ความทรงจำอันมีค่าของเราสองคนเขาโยนมันทิ้งลงถังขยะไปแล้วสินะ เขากำลังจะเริ่มต้นกับคนใหม่ อนาคตใหม่ๆ
   
...และเรื่องของเราก็จะถูกแม่น้ำใต้สะพานในเมืองเวนิสฝังไว้ตลอดไป



   
“เค้ก ไอศกรีม กับกาแฟที่สั่งได้แล้วค่ะ”
   
เสียงพนักงานในร้านกาแฟปลุกผมให้ตื่นจากความคิด
   
“ขอบคุณมากครับ”
   
เธอยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป ไม่น่าเลย... ไม่น่าปล่อยให้บรรยากาศพาผมคิดไปถึงอดีตอันน่าเจ็บปวดเหล่านั้น มันผ่านมาสองปีแล้วนะ เราต้องปล่อยวางสิ เรากำลังจะมีอนาคตที่แสนสดใส ในขณะที่เขากำลังมีชีวิตกับสิ่งที่เขาเลือก
   
ตอนเด็กๆ แม่บอกผมเสมอว่าคนเราไม่สามารถมีสองอย่างพร้อมกันได้ เราต้องเสียสละของอย่างหนึ่งเพื่อแลกกับของอีกอย่างหนึ่งมา
   
...ผมแลกความรักทั้งหมดที่มีต่อเขาเพื่อรับความก้าวหน้าในชีวิตเฉกเช่นวันนี้
   
รูปถ่ายตอนไปเวนิสด้วยกันผมทิ้งไว้ในลิ้นชักคอนโดที่อังกฤษ และคงไม่กลับไปเปิดมันออกดูแล้วล่ะ ให้มันอยู่ตรงนั้นคงดีที่สุดแล้ว ผมเปิดกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่หิ้วมาด้วยค้นเอกสารการโอนหน่วยกิตมายังมหาลัยที่ผมกำลังจะศึกษาต่อนี้   
   
...มหาวิทยาลัยไฮเดรนเยียร์
   
มหาวิทยาลัยของคนไฮโซทั้งหลาย ที่มีแค่ความฉลาดอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องมีเงินมากมายมหาศาลถึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในนี้ได้ และผมก็เลือกมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้กับตัวเอง เพื่อพัฒนาความรู้ผมให้ประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า
   
พรุ่งนี้ผมต้องไปเดินเรื่องเอกสารทั้งหมดให้เสร็จ จ่ายค่าเทอม และกะว่าจะไปเดินเล่นดูรอบมหาลัยด้วย เผื่อวันเปิดเทอมจริงๆ จะได้ไม่หลงทาง ผมน่ะ...ขี้ลืมซะด้วยสิ
   
ของหวานที่สั่งมาตรงหน้าแทบจะไม่พร่องลงไปเลย เพราะอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกไม่อยากกินขึ้นมาซะอย่างนั้น สายตาผมมองเหม่อออกไปยังทางเดินด้านนอก ผ่านผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา หยุดลงที่ผนังกระจกขนาดใหญ่ ที่กั้นระหว่างลานจอดเครื่องบินและอาคารผู้โดยสาร
   
เครื่องบินสีขาวลำหนึ่งกำลังจะขึ้นบินอีกแล้ว....
   
คงเหมือนกับนกที่พร้อมจะโผบินไปข้างหน้าเพื่อตามหาสิ่งที่เรียกว่าความสุข








Talk
ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง พอใช้ได้หรือเปล่าครับ 1 ตอน 17 หน้า น้อยไปมั้ยครับ
ถ้าน้อยคราวต่อไปจะได้เพิ่มขึ้นอีก ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ >W<
   

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #5 เมื่อ18-02-2013 15:44:10 »

ไม่รู้เมนต์แรกรึเปล่านะเนี่ย แต่โดยรวมน่าสนใจนะครับ เขียนอ่านง่ายดี แนะนำให้ลองใช้ตัวคั่นย่อหน้า (รูปลูกศรที่มีหัวสองข้าง) นะครับ จะได้แบ่งพาร์ทง่ายๆ

อินโทรน่าสนใจดีครับ และชื่อเรื่องก็ตรงคอนเซปต์ที่ผมชอบอ่าน แต่คงต้องรอดูพล็อตด้วย แล้วเดี๋ยวค่อยดูอีกทีว่าเวิร์คไหม

ส่วนเรื่องความยาว ความจริงแล้วความยาวของแต่ละตอน ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้อารมณ์ตัวละครหยุดที่ตรงไหนมากกว่านะครับ ถ้าคิดว่าต่อเนื่องก็เขียนยาวได้ แต่ถ้าคิดว่าปมควรหยุดก่อนเพื่อให้คนอ่านคิดตาม ก็แล้วแต่พล็อต สิ่งที่สำคัญกว่าความยาวของตอนนิยาย ผมคิดว่าเป็นความถี่ในการลงเรื่องนะครับ ถ้าหายวาร์ปไปเลยนี่ก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสร้างกำหนดการณ์ไว้หน่อยก็ดีครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2013 15:47:35 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #6 เมื่อ18-02-2013 16:16:21 »

น่าอ่านน่าติดตามจังค้าบ งานนี้มารออ่านเรื่องนี้เช่นกัน

ออฟไลน์ BlueHoney

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #7 เมื่อ18-02-2013 19:47:22 »

เรื่องนี้ Okay เลย!!!  :teach: ติดตามค่ะ
ปล.พระเอกยังไม่ออกชิมิ?? แล้วคนที่สนามบินเกี่ยวไรด้วยเปล่า

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue I Bellmous)
«ตอบ #8 เมื่อ19-02-2013 22:04:27 »

Prologue II
Secret & Vegus

-Secret-


10.31 PM @ Night Pub

ผมยืนพิงบาร์ยาวสีเงินอยู่มุมในสุดที่ไม่มีใครเห็น มือขวาถือแก้วมาร์ตินี่จิบสลับกับกวาดสายตามองไปรอบสถานบันเทิงแห่งนี้ แสงสีส้ม เขียว สาดส่องไปมา กลางฟลอร์มีคนจำนวนมากกำลังยืนเต้นกัน สีหน้าตกอยู่ในความเมามาย ผู้หญิงบางคนโอบคอกับผู้ชายที่คาดว่าเพิ่งจะเจอกันได้ไม่ถึงสิบนาทีแล้วจ้องตากันอย่างหวานซึ้ง อีกมุมหนึ่งของผับเป็นเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม มีผู้หญิงห้าคนใส่ชุดเดรสหนังสีดำนั่งไขว่ขวาอยู่ เรียวขายาวสวยบนส้นสูงห้านิ้วสลับไปมาจนอาจทำให้ผู้ชายบริเวณนั้นหัวใจวายได้ เสียงเพลงดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจคนที่นี่ก็ครึกครื้นตามไปเท่านั้น ราวกับไม่มีใครมาสารถหยุดได้

ชั้นสองของผับแห่งนี้มีห้องพักสุดหรูให้เช่าอยู่เป็นจำนวนมาก และเหมือนว่าห้องเหล่านั้นจะทำรายได้ให้แก่เจ้าของผับมากกว่าเงินค่าสมาชิกที่นี่เสียอีก

...ตามบันไดขึ้นไปชั้นสองมักมีเงาตะคุ่มสีดำหยุดอยู่ไปแห่งหน

ตัวผมเองก็ไม่ทราบว่าทุกสถานบันเทิงจะมีสองอาชีพในตัวแบบนี้ทุกที่ไหม แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าเป็นอาชีพสุจริตก็ทำไปเถอะ ดีกว่าไปฆ่าคนตายให้ตำรวจต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้นไปอีก

ความรู้สึกราวกับมีคนจ้องมองอยู่ทำให้ผมหันหน้าไปทางด้านซ้าย ...ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในมุมมืดเช่นเดียวกับผม แสงสว่างจากลูกดิสโก้สาดส่องไปมากระทบร่างคนนั้น ดวงตาเรียวคมสีดำที่ไม่ส่อแววเย็นชาแม้แต่นิด แต่กลับทำให้คนมองหายใจไม่ทั่วท้องซะมากกว่า ผมยาวระต้นคอถูกจัดทรงมาอย่างดีแบบพวกคุณชายไฮโซ เสื้อผ้าแบรนด์ดังที่เขาสวมใส่อยู่ยิ่งขับดวงหน้าขาวอมชมพูนั้นให้น่ามองขึ้นไปอีก ริมฝีปากบางชมพูอ่อนเหยียดยิ้มที่มุมปากเหมือนจะบอกว่าอะไรในโลกนี้ถ้าเขาต้องการมันก็จะมากองอยู่ตรงหน้าโดยไม่ต้องกระดิกนิ้ว เขาชูแก้วเหล้าขึ้นตรงหน้าเป็นเชิงชวนดื่มผมชูแก้วเหล้าตอบกลับไป

ทุกอย่างมันน่าจะจบแค่นั้นหลังจากที่ผมหมดความสนใจบุคคลตรงหน้าแล้วหันกลับมา แต่สัมผัสอ่อนนุ่มของอะไรบางอย่างพร้อมกับเสียงที่จงใจดัดให้สูงกว่าเดิมทำให้ผมจำเป็นต้องสานต่อเรื่องราวโดยไม่รู้ตัว

“อ๊ะ ขอโทษทีครับ”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ร่างบางที่เซล้มเอาสะโพกกลมมากระแทกต้นขาผมเกือบล้มจนผมต้องคว้าตัวเขาเอาไว้ในอ้อมกอด ดวงตาเรียวคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับหวานซึ้ง ไม่แน่ใจว่าเขาเมาหรือเปล่า นิ้วชี้เรียวยาวสวยยกขึ้นกรีดไล้ตั้งแต่ริมฝีปากผมลงมายังแผ่นอกกว้างและวนนิ้วไปมาตรงกลางอก หัวใจผมเต้นที่แรง ร่างกายร้อนวูบวาบ อารมณ์บางอย่างประทุขึ้นกลางใจยิ่งบวกกับมาร์ตินี่ที่เพิ่งดื่มเข้าไป ทำให้ผมเบลอไปหมด คนในอ้อมกอดตรงหน้าผมหัวเราะคิกคักอย่างมีจริตจะก้านเมื่อเห็นแววตาสั่นไหวของผม เขาดันตัวเองออกจากอ้อมกอดผม แล้วจ้องผมด้วยสายตายั่วยวน

“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยผม ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ผมคงล้มลงไปแน่ๆ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณโอเคก็ดีแล้ว”

“เอ..แปลกจัง”

“ทำไมเหรอครับ”

“ผมว่าสรรพนามการแทนตัวของเราสองคนดูแปลกๆ คุณอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสี่นะ ส่วนผมก็เพิ่งจะยี่สิบเอ็ดปีนี้”

“ผมเรียนวิศวะปี 5 ที่มหาวิทยาลัยไฮเดรนเยียร์ครับ”

“บังเอิญจังเลยครับ ผมก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน แต่เรียนมัลติปี 3”

แววตาของคนตรงหน้าสั่นระริกเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันสินะว่าผมอาจจะรุนแรงกว่าที่เห็นภายนอก

“งั้นเปลี่ยนมาแทนตัวเองว่าเรากับนายแล้วกันเนอะ เราชื่อซีเคร็ท แต่เรียกสั้นๆ ว่า ‘ซีท’ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“เช่นกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เรา ‘เชอร์เบล หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ’”

เชอร์เบลยื่นมือออกมาตรงหน้า ผมส่งมือตอบกลับไปให้จับ ทันทีที่มือบางสัมผัสกับมือผมราวกับกระแสไฟฟ้าละเลงไปทั้งตัว เขาบีบมือผมไปมาเบาๆ ยิ่งทำให้ความปรารถนาในใจผมเพิ่มมากขึ้น

หรือว่าอยากเล่นกับไฟ ไม่แน่ใจเหมือนกันอาจเป็นตัวผมมากว่าที่อยากเล่นกับไฟ

ก็กองไฟที่ลุกโชนตรงหน้ามันช่างเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัสเหลือเกิน วินาทีนั้นไม่รู้ว่าอะไรครอบงำจิตใจผมอยู่ สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวคือถ้าผมปล่อยร่างบางนุ่มนิ่มที่แสนจะเชิญชวนตรงหน้าไป ผมคงเป็นคนที่โง่ที่สุด

“ถ้านายยังไม่รีบกลับ อยู่ดื่มด้วยกันก่อนสิ พอดีเราออกมานั่งแก้เซ็งน่ะ คิดการบ้านไม่ออก”

“อื้ม ได้สิ ให้เราช่วยคิดป่ะ เราเรียนมัลติน่าจะพอช่วยงานในสายที่นายเรียนอยู่ได้”

“อืม สัญญาแล้วนะว่าจะ ช่วย น่ะ”

ดวงตาของเชอร์เบลเป็นประกายระยับซะจนผมแอบกลัวว่าผมอาจจะเป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือเขาเท่านั้นเอง เขาเหมือนเป็คนคุมเกมทุกอย่าง และผมเป็นเพียงหมากในกระดานที่เขาจะผลักดันมันไปทางไหนก็ได้ ปากผมกล่าวเสียงเบาออกไปโดยไม่ทันคิด

“ถ้ายังไงด้านบนนี้มีห้องว่างอยู่ ไป ช่วย กันคิดด้านบนดีไหมล่ะ เพราะเท่าที่ดีนายคงไม่สนุกกับเสียงเพลงด้านล่างนี้เท่าไหร่”

“ใช่แล้ว เราเบื่อมากเลยแหละ แต่เราคิดค่าจ้างนะ นายต้องเปิดไวน์แดงให้เราหนึ่งขวด เพราะตอนนี้อากาศเริ่มร้อน เรารู้สึก กระหายน้ำ แล้วล่ะ”

คำพูดของเขาทำให้บางสิ่งบางอย่างตื่นตัวขึ้นมาเร็วขึ้นทั้งที่แทบจะไม่ได้สัมผัสมัน ผมมองคนหน้าหวานตรงหน่าอนจะเอื้อมไปกุมมือพาเดินไปบอกบาเทนเดอร์ที่ยืนรับคำสั่งตรงมุมห้องว่าเราสองคนอยากได้ห้องสวีทกั้นเสียงได้ และขอไวน์แดงหนึ่งขวด จากนั้นเราสองคนจึงรับกุญแจและขึ้นไปรอด้านบนก่อน ตลอดทางเราสองคนจับมือกันแน่ไม่ยอมปล่อย อากาศร้อนหรือใจคนที่ร้อนกันทำให้มือผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากบองของเชอร์เบลเหยียดตรงดูมีเสน่ห์จนอยากก้มลงไปลิ้มลอง รูปร่างสูงสมส่วนแบบผู้ชายทั่วไปแต่บอบบางอยู่ในที ถ้าปราศจากเสื้อผ้าปกคลุมมันจะฮอตขนาดไหนนะ

ผมสะดุ้งตกใจเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มกระทบลงบนจุดศูนย์กลางของร่างกายผม ทำให้อารมณ์ที่ผมเพิ่งจะดับมันลงไปเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

“อุ๊ย ขอโทษที ไม่ทันเห็น พอดีตอนแรกจะดึงเสื้อออกจากางเกงอ่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว”

“อ๋อ อืม ไม่เป็นไรหรอก ถึงห้องแล้ว ไขกุญแจแปปนะ อ๊ะ”

เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นเป็นข้อความจาก ‘บีทีน’ น้องชายเพียงคนเดียวของผม ขัดจังหวะชะมัดเลย มีอะไรอีกเนี่ยเจ้าตัวดี ผมกดรับและกรอกเสียงลงไป

“ว่าไงบีน”

ชื่อของผมมีสองพยางค์เช่นเดียวกับชื่อบีทีน พ่อแม่บอกว่าบางครั้งออกเสียงยาก จึงรวมเสียงซะเวลาเรียนกันเฉยๆ เช่น บีทีน จะเรียกผมว่า พี่ซีท แต่ผมจะเรียกบีทีนว่า บีน

“ตอนนี้บีนมารอพี่ซีทอยู่หน้าผับอ่ะ พอดีจะขอกุญแจเข้าบ้านหน่อยอ่ะ บีนลืมมันไว้ในบ้าน แหะๆ”

เสียงหัวเราะแบบเด็กกลัวความผิดทำให้ผมอมยิ้ม ...น้องชายผมน่ารักแบบนี้เสมอแหละ

“โอเค ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ลงไปให้ข้างล่าง รอแปปนะ ว่าแต่มากับใคร”

“อ๋อ บีนมากับ ‘เวกัส’ อ่ะ วันนี้เราสองคนไปเดินเที่ยวที่ทะเลกัน กะจะฉลองให้เต็มที่ก่อนเปิดเรียนอาทิตย์หน้าไง”

“เหรอ ฉลองอย่างเดียวใช่ไหม ไม่มีของมึนเมานะ”

“แหม พี่ชายก็ ระดับบีนแล้วไม่มีทางทำให้พี่ผิดหวัง”

“โอเค ได้ๆ งั้นรอพี่แปปนะ เดี๋ยวเอาลงไปให้”

“คร้าบบบบ”

ผมวางสายจากบีทีนแล้วหันไปบอกเชอร์เบล “นายนั่งโซฟาหน้าห้องรอเราแปปนึงนะ พอดีน้องเรามาเอากุญแจอ่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนะ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก เรานั่งรอตรงนี้แหละ รีบไปเถอะ เดี๋ยวเขารอนาน หน้าผับยิ่งพวกวัยรุ่นเยอะอยู่”

“ครับผม รอแปปนึงนะ”





เสียงรองเท้าหนังเสริมส้นดังกระทบพื้นเกิดเป็นเสียงกึกกักในความมืด หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ แล้ว คนที่อยู่บริเวณนั้นอาจจะเข้าใจว่าไม่ใช่เสียงที่บ่งบอกการมาของคน รองเท้าคู่นั้นมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งแล้ว มือขวายกขึ้นมาบิดลูกบิดเข้าไปอย่างง่ายดาย ในความมืดนั้นไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นผู้มาเยือนยามวิกาล ร่างนั้นสอดกายเข้าไปในห้องใช้มือคลำผนังห้องในการบอกทางโดยเลือกที่จะไม่เปิดไฟ


ประตูห้องด้านในสุดถูกเปิดออกอย่างเบามือ สายตาที่เริ่มจะชินกับความมืดมองเห็นของตกแต่งภายในชัดเจน โต๊ะเครื่องแป้งสีขาวตั้งอยู่บริเวณปลายเตียงห่างออกไปประมาณสองเมตร ร่างในเงามืดเดินไปหยุดอยู่ตรงนั้น มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทหยิบของบางอย่างมีลักษณะสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีจุดสีขาวเงินตรงกลางวางทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งโดยหันจุดสีเงินขาวนั้นไปยัง


...เตียงขนาดคิงไซส์


ร่างนั้นเดินถอยห่างออกมาค่อยๆ ปิดประตูลงตามเดิม คลำทางไปที่ทางออกและปิดประตูลง ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นทางเดินในความมืดทั้งชั้นก็เหลือเพียงแต่ความเงียบ


To Be Continue
Part นี้ยังไม่จบนะครับ เหลืออีก 60 %

ออฟไลน์ nine_molly

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 40%
«ตอบ #9 เมื่อ21-02-2013 10:11:39 »

รออ่านต่อน๊า
 :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 40%
« ตอบ #9 เมื่อ: 21-02-2013 10:11:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 40%
«ตอบ #10 เมื่อ21-02-2013 17:55:37 »

 :mc4:

ยินดีต้อนรับเรื่องใหม่จ้า
สนุกดีนะ ดูท่าจะมีปมอะไรให้แก้เยอะเลย
เป็นกำลังใจให้จ้าคนเขียน :กอด1:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 40%
«ตอบ #11 เมื่อ21-02-2013 19:56:35 »

ผมเปิดประตูเลื่อนห้องน้ำใสออก ไออุ่นจากเครื่องทำน้ำร้อนลอยมากระทบตัวผมสร้างความวูบวาบ เบื้องหน้าผมมีร่างขาวบริสุทธิ์ของเชอร์เบลยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัว น้ำที่หยดลงมาตามใบหน้าทำให้เขาดูเซ็กซี่เกินจะต้านทาน ผมเดินเข้าไปหาเขาใกล้ขึ้นและโอบเอวเอาไว้ ริมฝีปากแกร่งของผมซุกไซ้หาความหอมหวานจากซอกคอ มือที่โอบเอวเริ่มเคลื่อนลงต่ำสัมผัสกับสะโพกกลมกลึงน่าสัมผัสจนต้องบีบมันเบาๆ เรียกเสียงครางจากคนตรงหน้าได้ เสียงที่ราวกับเสียงสวรรค์...

เชอร์เบลไม่ปล่อยให้ผมรุกรานเขาอยู่ฝ่ายเดียว นิ้วเรียวระหงเลื่อนลงไปด้านล่างและสัมผัสกับจุดที่ไวต่อความรู้สึกที่ตื่นตัวเต็มที่ มือบางค่อยๆ ขยับช้าๆ และวนนิ้วเล่นกับมัน ผมกัดฟันไว้ด้วยความรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ดันหลังเขาให้ชิดกับผนังสีขาวที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ ตัวของเราบดเบียดกันใต้ฝักบัว ริมฝีปากจูบบดใส่กันควานหาความหวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เชอร์เบลยกขาข้างขวาขึ้นมาเกี่ยวสะโพกผมไว้ ทำให้ช่องทางลับด้านหลังของเขาปรากฏชัดแก่สายตาผมมากขึ้น ผมเลื่อนมือลงไปหยอกล้อบริเวณจุดนั้น เขาโอบรอบคอผมแล้วกัดติ่งหูเบาๆ เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูผมอย่างยั่วยวน

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ที่นี่”

จบคำนั้นผมก็ช้อนตัวร่างนุ่มไว้แนบอกแล้วอุ้มเขาออกไปข้างนอกเจอกับห้องนอนและเตียงคิงไซส์ ผมค่อยๆ ว่างรางเขาลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะโน้มตัวตามลงไปเพื่อจูบริมฝีปากคู่นั่น ราวกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงเราสองคน อากาศในห้องนั้นที่เข้ามาตอนแรกเย็นพอสมควร แต่ยิ่งร่างกายของเรากระทบกันมากเท่าไหร่อากาศยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้นจนอยากเร่งความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบถุงยางอนามัยบนโต๊ะมา แต่ก่อนจะฉีก เชอร์เบลก็แย่งมันไปและคาบไว้ที่ปากก่อนจะฉีกออกเบาๆ แล้วถือมันมาสวมให้ผม วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนไก่อ่อนที่โดนอะไรแค่นี้ก็จะถึงฝั่ง ผมผลักเขาลงไปบนเตียง ประสานสายตาเข้ากับเขาแล้วค่อยดันร่างกายของผมเข้าไปเพื่อประสานตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับเขา เชอร์เบลร้องครางออกมาอย่างสุขสม ผมลูบตั้งแต่ซอกคอเขาลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงส่วนนั้นของเขาและจับมันไว้ เพื่อมอบความสุขให้เขาบ้าง

ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้แค่ว่าตัวเองหาความสุขจากร่างนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งเหมือนเขาเองก็สามารถตอบรับความต้องการจากร่างกายผมได้ ท่วงท่าของเขาเวลาอยู่บนตัวผมดูดีจนเกินบรรยาย เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลลงมาตามคิ้วยิ่งทำให้เขาร้อนแรงขึ้น

...ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้ผมคิดอย่างไรกับคนตรงหน้า ...คนเราจะสามารถมีอะไรกันกับคนที่ไม่ได้รักได้อย่างนั้นเหรอ

แล้วถ้าผมบอกว่าผมมีความสุขได้สัมผัสเขาแบบนี้ นั่นเท่ากับว่าผมรักเขา? หรือว่ามันเป็นเพียงเรื่องปกติที่คนมาเที่ยวสถานบันเทิงเขาทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว

ไม่หรอกมั้ง...

ไม่หรอก... ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะตกเป็นทาสรักทาสอารมณ์ของคนตรงหน้า

ผมรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้ธรรมดาแค่ไหนสำหรับคนที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างผม มันไม่ใช่ครั้งแรกของผม แต่ทำไมครั้งนี้เหมือนทุกลมหายใจอันร้อนแผ่วของร่างบางทำให้ผมไม่อยากลุกไปไหนแบบนี้

คิดตอนนี้ก็เสียเวลาป่าว...

พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาค่อยคิดก็แล้วกัน

“อ๊า...”

ผมกับเชอร์เบลร้องครางเสียงยาวเมื่อบทรักร้อนแรงได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้าย ความอบอุ่นแล่นวาบจากด้านหลังขึ้นมาสู่หัวใจผม รู้สึกได้ว่าผมกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแล้ว เสียงหายใจเหนื่อยหอบของเราดังสลับกันไป เขากระพริบดวงตาปรือที่มีหยาดน้ำคลอใสอยู่ ใบหน้านั้นแดงเหมือนลูกเชอร์รี่ชวนให้ไปแตะต้อง ผมก้มลงจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ โดยมีเขาตอบรับสัมผัสอย่างรู้งาน

อากาศในห้องกลับมาเย็นลงอีกครั้ง ผมก้มตัวทาบทับกับร่างเขาราวกับจะขอพักสักแปป เชอร์เบลเอื้อมมือมาโอบรอบคอผมไว้ และกระซิบที่ข้างหูเบาๆ

“พักก่อนเถอะ”

และผมก็หลับคาอ้อมออกนั้นไปโดยไม่รู้ตัว...







จิตใต้สำนึกเตือนผมให้รู้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว ผมขยับตัวเบาๆ มือไปสัมผัสกับร่างบางนุ่มนิ่มบอกผมว่าเมื่อคืนผมทำอะไรกับใคร ร่างของเชอร์เบลมีรอยแดงตามตัวจากอารมณ์ที่ขึ้นลงของผม ริมฝีปากบวมเจ่อที่มีผลมาจากการจูบกันอย่างเร่าร้อนของเรา

ผมนวดบริเวณหางคิ้วเพื่อไล่ความอ่อนล้าออกไป เตียงนอนสีขาวยับยู่ยี่ หมอนตกลงอยู่ข้างล่าง มีเพียงผ้าห่มที่คลุมตัวเราอยู่ กับกลิ่นคาวของบางอย่างที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ด้านข้างเตียงมีถุงยางใช้แล้วไม่ต่ำกว่าสามชิ้นหล่นอยู่

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงเรียกจากคนที่นอนด้านข้างทำให้ผมหันหน้าไป

“อืม เพิ่งตื่นก่อนหน้านายเมื่อกี้นี่เอง”

“ไงล่ะนอนเต็มอิ่มเลยสินะ”

“แน่นอนล่ะ สายแล้วด้วย นายจะกลับหรือยัง”

“ว้า ทำไมใจร้ายแบบนี้ล่ะ เจอกันแปปเดียวก็จะไล่กันกลับซะแล้ว ลืมความรู้สึกเมื่อคืนไปหมดแล้วเหรอ”

….ใครจะไปลืมได้ล่ะ
บทรักร้อนแรงบนเตียงที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจากใครที่ไหน แต่คนตรงหน้าสามารถเติมเต็มมันได้ ต่อให้ผมจะนอนกับใครอีกกี่คนก็ไม่รู้จะลืมได้หรือเปล่า... เชอร์เบลปลดผ้าห่มออกจากตัวดึงผมให้ลุกขึ้นนั่งแล้วคลานมานั่งบนตักผม

...เขาแกล้งลืมหรือว่าลืมไปจริงๆ นะว่าเราทั้งคู่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า

มือเขาโอบรอบคอผมเอาไว้ ริมฝีปากลากไล้ไปตามซอกคอผม ทำให้อารมณ์ดิบเถื่อนที่ผมคิดว่าหยุดไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมสัมผัสเขาอย่างเร่าร้อนและล้มไปบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ เชอร์เบลจูบไล่ตั้งแต่หน้าผากผมลงไปจนถึงด้านร่างก่อนจะใช้ปากปิดส่วนนั้นเอาไว้ ทำให้ผมเผลอตัวครางออกมาเสียงดัง

“อ๊า...”

เขาเก่งเกินไปแล้วนะเรื่องแบบนี้... ผมคงแพ้เขาจริงๆ แล้วล่ะ ไม่แน่หรอกนะนี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราจะทำอะไรกัน หลังจากนี้ก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง

กริ๊ง!

เสียงมือถือของเขาดังขึ้นมาทำให้เราทั้งสองชะงัก เชอร์เบลถอนปากออกมาแล้วทำหน้ามุ่ยใส่ผม

“แปปนึงนะ รับโทรศัพท์ก่อน”

“เอาสิ พ่อแม่นายอาจจะโทรตามกลับบ้าน” ผมแซวเขา

“ฮ่าๆ ก็เป็นไปได้นะ”

เขาเดินออกไปรับโทรศัพท์อีกทางหนึ่งทิ้งให้ผมนอนรออยู่บนเตียง รูปร่างสูงโปร่งบอบบางชวนให้น่ารักษาอยู่ในที ผิวขาวสะอาดเหมือนไข่มุกใต้ท้องทะเลลึก ยามร่างนั้นเยื้องย่างเดินไปข้างหน้าราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆ ยิ่งในเวลานี้ที่เขาไม่ได้สวมอะไรอยู่ทำให้ผมหลงใหลมากขึ้น

ผมหยิบมือถือที่วางบนชั้นหนังสือเล็กๆ ข้างเตียงขึ้นมาสไลด์หน้าจอดูเวลา ...จะเที่ยงแล้วเหรอเนี่ย ป่านนี้น้องชายตัวยุ่งของผมจะตื่นรึยังนะ ใครจะหาข้าวให้เขากินเนี่ย ยิ่งทำอะไรไม่เป็นแบบนั้นอยู่ด้วย คิดได้ดังนั้นผมจึงต่อสายโทรไปหาบีทีนอีกครั้ง

“ฮัลโหล”

“ว่าไงน้องพี่ตื่นหรือยังเนี่ยจะเที่ยงแล้วนะ”

“โห่ พี่ซีท บีนตื่นตั้งนานแล้วต่างหาก แล้วพี่ซีทไปนอนที่ไหนเนี่ย เมื่อคืนก็ไม่กลับบ้าน”

“พี่มานอนหอเพื่อนอ่ะ แต่อีกสักพักคงกลับแล้วล่ะ ตัวเองหาอะไรกินไปก่อนนะ”

“ครับผม จะให้บีนทำเผื่อไว้มั้ยอ่ะ”

“ทำไว้ก็ได้ เพราะพี่เองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

“โอเคครับพี่ซีท เดี๋ยวเจอกันนะครับ บ๊ายบาย”

“ครับผม”

ผมกดวางสายแล้ววางมือถือไว้ที่เดิม เมื่อหันหน้ากลับมาก็เจอใบหน้าของเชอร์เบลมองผมอยู่ก่อนแล้ว ...แปลกจัง เขาเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมผมไม่รู้สึกตัวเลย แต่เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้เราสองคนมีเรื่องอย่างอื่นสำคัญกว่าต้องรีบทำแล้วล่ะ...


-Vegus-

“พี่นายอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“อ๋อ พี่เรานอนหอเพื่อน แต่ตอนบ่ายน่าจะกลับมาแล้ว เดี๋ยวเราจะลงไปหาอะไรให้นายกิน แล้วทำเผื่อพี่ซีทด้วย”

“โอเคได้ เดี๋ยวเราอาบน้ำเสร็จแล้วจะลงไปรอห้องนั่งเล่นข้างล่างนะ”

บีทีนพยักหน้ารับแล้วเดินออกนอกห้องไป ผมปิดปากหาวแล้วบิดขี้เกียจไปมาอยู่สองสามที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดลำลองที่บีทีนเตรียมไว้ให้ก้าวเข้าห้องน้ำไป ...ห้องน้ำบ้านเขาโอเคเลยทีเดียวครับ แยกเป็นสัดส่วนระว่างห้องน้ำกับที่อาบน้ำ แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำ มีแต่ฝักบัวติดเพดานด้านบนที่พอหมุนคันล็อกข้างล่างน้ำก็จะร่วงหล่นลงมา ตามผนังกระเบื้องสีขาวประดับไว้ด้วยรูปสติกเกอร์ใสสัตว์น้ำใต้ทะเลลึกไว้เป็นแห่งๆ เหมือนว่าผนังนี้คือที่ว่ายน้ำของพวกมัน

ผมหมุนคันล็อกนั้นแล้วน้ำเย็นสบายก็ร่วงหล่นลงมา มีความสุขจังแฮะเวลาอาบน้ำเนี่ย ตั้งแต่เด็กๆ ที่ผมติดนิสัยชอบอาบน้ำเย็นมากกว่าน้ำอุ่น ไม่ว่าอากาศจะหนาวสักแค่ไหนถ้าได้อาบน้ำเย็นผมก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาได้ หยดน้ำเย็นที่หล่นลงมาทำให้ผมผ่อนคลายความเครียดจากทุกอย่าง และได้รับสายน้ำเย็นเป็นยาคลายความเครียดชั้นดี

อาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว ชีวิตนักศึกษาปีสามจะเป็นแบบไหนผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ที่แน่ๆ งานเยอะพอสมควรเลยแหละ กิจกรรมก็เยอะพอตัวเลย เมื่อวานบีทีนก็ชวนผมว่าให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิมได้แล้ว โตกันจนป่านนี้ยังขี้เกียจอยู่อีกจะไปทำมาหากินอะไรได้ การบ้านหลายอย่างที่ผมทำไม่ทันก็ได้เขานี่แหละคอยช่วยทำ ตอนใกล้สอบแต่ละครั้งก็เขาอีกนี่แหละที่ค่อยติวผมจนสอบผ่านได้คะแนนระดับดีทุกครั้ง

...บีทีนเหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องลงมานำทางความมืดในใจผม

เรารู้จักกันครั้งแรกตอนผมเรียน ม.3ปลาย แล้วเราบังเอิญสอบติดมหาลัยเดียวกัน เราสองคนดีใจกันมากที่ได้เรียนด้วยกัน และยังได้เจอตัวกันจริงๆ อีก เขามารับผมที่สนามบินและพาไปพักที่บ้านเขาโดยมีพี่ชายสุดใจดีแต่ก็เจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกันคอยดูแล ลึกๆ ในใจผมแอบปลื้มพี่ซีเครทนะครับ เขาเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นมาก ยิ่งเรียนวิศวะแบบนี้ แหงละมีแต่คนชอบ

...ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเขามั้ย?

สายน้ำเย็นๆ ที่หล่นกระทบพาผมหวนคิดไปถึงความทรงจำก่อนหน้านี้ ครั้งแรกที่มาพักบ้านบีทีน




8.23 PM @ Biteen Home


‘พี่ซีทชอบแต่งเพลงเหรอครับ’

ผมเอ่ยถามพี่ซีเครทในขณะที่เรานั่งทานข้าวเย็นกัน และบีทีนลุกขึ้นไปยกเค้กไอศกรีมของหวานหลังอาหารมา

“หืม เรารู้ได้ยังไง”

“ตอนกลางวันผมเห็นพี่นั่งดีดกีตาร์ไปด้วยและจดอะไรไปด้วยน่ะครับ”

“ใช่แล้วพี่ชอบเล่นกีตาร์และแต่งเพลงมาก ตอนนี้แต่งได้หลายเพลงแล้วล่ะ ดูไม่เข้ากับบุคลิกคนเรียนวิศวะแบบพี่เลยสินะ ฮ่าๆ”

“ไม่นะครับ ผมมองแล้วให้ความรู้สึกว่าพี่เท่ชะมัดเลย”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยยิ้มมุมปากออกมา สายตาที่เขามองมานั้นทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง ...สายตาคู่นั่นทำให้ผมเหมือนโดนเขาจับถอดเสื้อผ้าออกและสำรวจไปทั่วร่างกายเลย

“พี่เท่จริงๆ เหรอ”

เขาถามผมกลับด้วยเสียงพยายามจะกลั้นหัวเราะกับท่าทางเหนียมอายของผม ...คนบ้า ผมจึงค้อนใส่พี่เขาไปทีหนึ่ง และพี่ซีเครทก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลอยทำให้ผมหลุดเก็กหัวเราะตามออกมาด้วย รอยยิ้มของพี่เขาดูอบอุ่นและเจ้าเล่ห์อยู่ในที หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่งก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้







Talk
และแล้วตอนที่สองก็ไม่สามารถจบได้ในโพสต์นี้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะยังเหลืออีกส่วนหนึ่งของตอนนี้ ):
ผมดีใจมากเลยมีคนอ่านแสดงความเห็นเพิ่มขึ้นตั้งสองคนแน่ (>___<) ดีใจที่สุดเลย
พบกับส่วนสุดท้ายเร็วๆ นี้ครับ

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #12 เมื่อ21-02-2013 21:27:04 »

นั่นไง...ใครคู่ใคร พูด ! กี่ p ล่ะที่เนี่ย รักกันมั่วจริงๆ
กัสชอบซีทแต่พี่แกชอบเชอเบล ทีนี้ล่ะสนุกแน่
มั่วไปหมด เชอเบลนี่ก็แรงดีนะ แต่ชอบอ่ะ มากกว่าตัวอื่นอีก

Syntyche

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #13 เมื่อ21-02-2013 22:02:24 »

แปะกฏผิดนะ ที่แปะนั่นมันประกาศค่ะ ไม่ใช่กฏ
ลองไปดูนิยายเรื่องอื่นๆดูนะคะ

nubeebaa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #14 เมื่อ21-02-2013 22:18:36 »

ตามมาเจิมเรื่องใหม่จ้า  ยาวได้ใจจริงๆ ><

Syntyche

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #15 เมื่อ21-02-2013 22:25:33 »


เป็นกำลังใจให้น้า  :L2:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #16 เมื่อ21-02-2013 22:35:08 »

เอ้อใช่ ผมเพิ่งสังเกตเหมือนกัน แก้ตรงโพสต์แรกด้วยนะครับ อันนั้นมันเป็นประกาศ แก้ให้เป็นกฏของเว็บบอร์ดนะครับ (ดูจากเรื่องอื่นก็ได้ ในโพสต์แรกน่ะครับ)

ดูรูปแล้ว ผมว่าผมชอบเบลมอธมากนะ หน้าตาดูมีเสน่ห์ดี ชอบซินด้วย หน้าตาสองคนนี้ดู Match กันมาก

จากเนื้อเรื่อง โดยส่วนตัวผมก็ชอบเชอร์เบลนะ ดูมีเสน่ห์มาก น่าหลงใหลเหมือนไวน์ชั้นดี เหมาะกับซีเคร็ทดีเหมือนกัน ปมตอนนี้ที่อยากรู้จุดหนึ่ง คือจะอัดวีดีโอบทร่วมรักไปทำไม? ผมคิดว่าคนที่ทำน่าจะรู้จักกับเชอร์เบล แต่ตรงจุดประสงค์นี่ยังเป็นเงื่อนงำอยู่ หวังว่าคงไม่ดราม่ามากนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นนิยายตบจูบๆแบบเกลื่อนกลาดแทน ฮะๆๆ

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #17 เมื่อ22-02-2013 01:25:08 »

มารอเบลมอธ อยู่น๊่า

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 60%
«ตอบ #18 เมื่อ22-02-2013 21:38:29 »

‘มาแล้วๆ ของว่างหลังอาหารมาแล้วครับ’

บีทีนยกถาดใส่ไอศกรีมสามถ้วยออกมาวางตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะตักกินอย่างมีความสุข

‘เลอะปากหมดแล้วนั่น ไหนหันมาสิ’

‘อื้อ’

พีซีเครทหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของบีทีนให้ สองคนนี้เป็นพี่น้องที่รักกันมากเลยครับคงเพราะว่าพ่อแม่ทำงานอยู่ต่างประเทศต้องดูแลกันเองนี่แหละมั้ง ผมเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง พ่อแม่ผมทำธุรกิจรีสอร์ตอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตบ้านเกิดผม ผมสอบติดมหาลัยวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมหาศาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ มหาวิทยาลัยไฮเดรนเยียร์นั่นเอง ซึ่งผมรู้จักกับบีทีนก่อนหน้านั้นมาแล้ว

‘เวกัส..พรุ่งนี้เราว่าจะไปซื้อรองเท้าใหม่หน่อยน่ะ ไปด้วยกันนะ เสร็จแล้วก็ไปส่งนายที่บ้าน อ้อ พี่ซีท ต้องขับรถไปส่งเรานะครับ’ บีทีนหันไปเอ่ยกับพี่ชายที่ทำหน้าง่วงใส่

‘ฮ้าว ขยันออกจากบ้านจริงๆ นะ ไม่ให้พี่ได้พักผ่อนบ้างเลย’

‘น่านะ บีนแค่อยากได้รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่หน่อย ถ้าพี่ซีทไม่ยอมทำตาม บีนจะงอลแล้วนะ เชอะ’

บีทีนทำแก้มป่องแล้วกันหน้าไปทางอื่น เรียกเสียงหัวเราะจากผมและพี่ซีเครทได้ บีทีนติดนิสัยเหมือนเด็กแบบนี้เสมอ แต่อย่าให้ได้ก่อเรื่องขึ้นมาเชียวล่ะ ปวดหัวไปตามกันเลยทีเดียว

‘ครับผม ได้เลยครับพระราชาน้อย’

‘งั้นเดี๋ยวบีนขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ เวกัสนั่งคุยกับพี่ซีทไปก่อนนะ เดี๋ยวถ้าอาบเสร็จเราลงมาเรียก’

‘โอเค ได้’

แล้วบีทีนก็เดินขึ้นไปชั้นบนทิ้งผมไว้กับหมาป่าเจ้าเล่ห์ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอึดอัด ...ผมคิดไปเองหรือเปล่านะเหมืนอว่าพี่ซีเครทจะแอบพอใจในตัวผมระดับหนึ่ง จากสายตาที่มองมานั้น... ไม่ได้การแล้วล่ะเงียบแบบนี้คงไม่ดี เพราะอย่างนั้นต้องหาเรื่องคุยสักหน่อยแล้ว

‘ทำไมพี่ซีทถึงชอบเล่นกีตาร์เหรอครับ’

พี่ซีเครทยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะตอบคำถาม ‘พี่ชอบพวกเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ แต่โตมาก็อยากเป็นวิศวะ เล่นดนตรี แต่งเพลง เป็นงานอดิเรกแทน’

‘อ๋อ...ผมก็เคยเล่นนะเครื่องดนตรี ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ จำได้ว่าพ่อแม่บังคับให้ผมเรียน ขี้เกียจมากเลย’

‘เราเล่นอะไรล่ะ?’

ผมอมยิ้มนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กที่ชอบหนีการเรียนดนตรี ‘ผมเล่นไวโอลินครับ’

‘โห ยากเหมือนกันนะนั่น ตอนเด็กๆ เราคงแสบสินะ เหมือนบีนเลย’

‘คงอย่างนั้นมั้งครับ ฮ่าๆ เอ้อ พี่ซีท ผมอยากฟังพี่เล่นกีตาร์จังเลยอ่ะ’

‘เอาสิ จะฟังรู้เรื่องเหรอ’

‘แหม ฟังแค่รู้ว่าเพราะหรือไม่เพราะก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องอะไรมากเลย’

‘รอแปปหนึ่งพี่ไปหยิบก่อน เราฟังเพลงสากลออกใช่ไหม’

‘แน่นอนครับ’

พี่ซีเครทเดินไปอีกทางหยิบกีตาร์สีน้ำตาลเข้มไม้โอ๊คมา ‘ออกไประเบียงด้านนอกแล้วกัน’

เราสองคนนั่งหย่อนขาให้หญ้าต้นเล็กๆ นวดฝ่าเท้า พี่ซีเครทเริ่มดีดกีตาร์ด้วยทำนองหวานซึ้ง และร้องเพลงออกมา...


One day,I woke up just? to realize
That there is no more sunshine
And no more love in the sky...



เนื้อเพลง Not get along well ดังขึ้น ...ผมเคยฟังเพลงนี้นะมีเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย ฟังแล้วเหมือนใจจะสลายตามความหมายเพลงไปด้วย คู่รักที่รักกันแล้วต้องเลิกกันนั้นเจ็บปวดพอแล้ว แต่บางคู่ต้องจบกันเพราะไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้อีก

...แบบไหนเศร้ากว่ากันนะ


Tried and tried to let go of what was mine,
Love that I thought was so fine
Keeps holding my heart,won't let go...



สายตาคนตรงหน้าที่มองมาทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจในความรู้สึก พี่ชายของเพื่อนคนนี้เขารู้สึกยังไงต่อผมกันแน่ หรือนี่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เพราะแสงจันทร์ ลมหนาวทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นสินะ


One kiss for goodbye. One touch for the last time.
Just one more chance to be in your life... 



ผมประสานสายตากับพี่ซีเครทเบาๆ เขามองกลับมาอย่างมั่นคง นี่ผมคงไม่ได้ตกหลุมรักพี่เขาไปแล้วหรอกนะ... อะไรกัน ทำไมผมใจง่ายแบบนี้เนี่ย


So deep,our love lies. Bring tears to my eyes,
 To realize we're not meant for each other...






10.56 PM

บีทีนหลับไปแล้ว ในมือกอดตุ๊กตาแร็คคูนสีน้ำตาลเข้มเอาไว้ ใบหน้ายามหลับดูไร้เดียงสาเหลือเกิน ผมอมยิ้มแล้วคิดถึงคนตรงหน้ายามตื่นแล้วมาเปรียบเทียบกับตอนนี้

ผมดึงผ้าห่ม ห่มให้ถึงคอของเขาแล้วก้มตัวลงนอนตามบ้าง... แปลกใจตัวเองจังทำไมวันนี้นอนไม่หลับราวกับในใจมีความรู้สึกแสนพิเศษก่อกวนอยู่จนไม่อาจข่มตาลง แขนผมสัมผัสตัวนุ่มนิ่มของคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกร้อนทั่วร่างกาย บางอย่างกำลังเรียกร้องผมจากใต้จิตสำนึก ผมหลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์มองเพดานแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออก

บีทีนหันหน้ามาทาผงแมทั้งที่หลับตาอยู่ก่อนจะกอดผมไว้ทั้งตัวเหมือนผมเป็นหมอนข้าง ...เด็กบ้าเอ๊ย ชอบมาทำให้หวั่นไหวอยู่เรื่อยเลย ผมหันไปจ้องหน้าเขาสักพักก่อนจะตัดสินใจจูบลงไปบนริมฝีปากคนตรงหน้า รสชาติจากคนตรงนี้หวานหอมเหมือนน้ำตาลไอซิง ดูไร้เดียงสาไม่ทันโลก ชวนให้ลิ้มลอง สัมผัส อยากเป็นเจ้าของ

...สองพี่น้องคู่นี้...กำลังปั่นป่วนหัวใจผมอยู่...






“กัส...เวกัส...เวกัส ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

ผมได้สติขึ้นมาทันทีได้ยินเสียงบีทีนเรียกผมมาจากด้านนอก นี่ผมเผลอนั่งหลับในห้องน้ำเนี่ยนะแถมยังปล่อยให้ฝักบัวรดตัวแบบนี้อีก เป็นไข้แน่เลย

“เสร็จแล้ว กำลังแต่ตัว เดี๋ยวตามลงไป”

ผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ด้านข้างถูกผมนำมาเช็ดแบบลวกๆ ใส่เสื้อผ้าแล้วรีบตามบีทีนลงไปกินข้าวด้านล่าง

เวลาผ่านมาสองปีแล้วบีทีนกับผมเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ในจิตใจส่วนลึกผมได้ล้ำเส้นคำว่าเพื่อนไปนานแล้ว

“บีน พี่กลับมาแล้ว”

“พี่ซีท กลับมาแล้วเหรอ นั่งรอแปปนึง ทานข้าวด้วยกันเลย เดี๋ยวบีนไปหยิบแก้วแปป”

และเขาคนนี้...ก็ยังปฏิบัติตัวกับผมเหมือนเดิม แกล้งให้ผมใจสั่นเล่นเป็นบางครั้ง ความสัมพันธ์แปลกประหลาดของพวกเราสามคนที่ผมรู้สึกคนเดียว เป็นแบบนี้คงดีกว่าได้ทั้งเพื่อนทั้งพี่ชาย มันจะดูเห็นแก่ตัวไปไหมนะ

ไม่หรอก...ยังไงซะมนุษย์ทุกคนก็เห็นแก่ตัวอยู่แล้วนี่

...และผมเองก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง

“ไง เวกัส ไม่ได้เจอกันนานเลย คิดถึงเราชะมัด”

ผมช้อนสายตาขึ้นมองพี่ซีเครทก่อนส่งยิ้มบางเบาไปให้

“ผมเองก็คิดถึงพี่ซีท...เหมือนกันครับ”



To be continue the last prologue >> "Prologue III Raktar"
I wish you to happy read it (:

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 100% wait for Prologue III
«ตอบ #19 เมื่อ23-02-2013 19:32:36 »

Prologue III
Raktar


7.23 AM @ Hydrenyear University

ผมเปิดประตูรถที่คนขับที่บ้านขับมาส่งแล้วผูกเนกไทแบบลวกๆ ก่อนวิ่งเข้าไปในมหาลัย ระหว่างทางเจอเพื่อนในคณะเดียวกันบ้าง เพื่อนต่างคณะบ้าง เพื่อนที่เล่นบาสเก็ตบอลบ้าง ก็ทักทายกันไปตามประสา ผมกระชับเป้ในมือแน่นขึ้นอีกนิดเมื่อเจออาจารย์ประจำภาควิชา ผมกล่าวทักทายเสียงร่าเริง

“อาจารย์ลดากร สวัสดีครับ”

“สวัสดี ไงล่ะ วันนี้มาเช้าเชียว มีเรียนอย่างนั้นเหรอ ปกติเห็นเลทไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ อยากมาออกกำลังกายตอนเช้าเฉยๆ ครับ ผมมีเรียนวิชาสาขาตอนบ่ายนู่นครับ”

“ดีแล้ว อย่างน้อยก็รู้จักออกกำลังกายบ้าง ไม่ใช่ว่าเหนื่อยแล้วไปหลับในคลาสอาจารย์นะ”

“ฮ่าๆ ผมไปก่อนนะครับอาจารย์ สวัสดีครับ”

ผมยกมือไหว้อาจารย์ลดากรแล้ววิ่งไปทางสนามบาสที่มีเพื่อนนักศึกษาชายยืนกันข้างสนามอยู่กลุ่มหนึ่งพวกมันโบกมือทักทายผม ผมจึงโบกกลับไป เดินไปถึงก็โยนกระเป๋าเป้ทิ้งไว้ตรงนั้น แล้วตีมือกับเพื่อนสองสามคนในกลุ่ม

“ไงวะตาร์ วันนี้ลงทุนตื่นเช้ามาเล่นเชียวนะ”

“ของมันแน่อยู่แล้ว เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ฉันไม่พลาด พวกแกล่ะพร้อมกันหรือยัง วันนี้ฉันฟิตมาดีนะเว้ย”

“พร้อมไม่พร้อมก็ต้องมาลองดูกัน”

จากนั้นพวกเราก็วิ่งไปกลางสนามพร้อมกับลูกบาสสีส้มหนึ่งลูก ท้องฟ้ายามเช้าแบบนี้อากาศดีจังเลย แสงแดดยังไม่ค่อยสาดลงมาอาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกหนักเมื่อคืนด้วยแหละมั้ง บนพื้นสนามที่ทาด้วยสีเขียวสลับสีฟ้าไปมีเส้นแบ่งเขตสีขาว บางจุดมีแอ่งน้ำขนาดเล็กอยู่ บ่งบอกถึงสภาพอากาศที่ผ่านมาเมื่อคืน

ผมเลี้ยงลูกบาสไปที่แป้นใงตรงข้ามที่ติดกับทางเดินไปตึกคณะสถาปัตยกรรม แป้นบาสตรงหน้าคือจุดหมายที่ผมมุ่งไว้ ผมกระโดดสูงเพื่อจะดังค์ลูกลงไป แต่ว่าสายตาของผมดันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาทางนี้ด้วยความรีบร้อน ผมที่ไม่ทันระวังมัวแต่มองจึงเผลอปาลูกบาสไปทางนั้นแทนที่จะหย่อนมันลงบนแป้นที่อยู่ไม่ไกลนั่น

...งานเข้าแล้วสิ ผมทำลูกบาสหล่นใส่หัวใครเนี่ย

โป้ก!

“โอ๊ย!”

เสียงเข้มของผู้ชายคนนั้นร้องขึ้นพร้อมกับเซไปด้านข้าง ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าด้านข้างนั้นไม่มีอะไรเป็นเพียงพื้นปูนธรรมดา ไม่ใช่...ทางระบายน้ำทิ้งที่เอาฝาครอบออก ร่างนั้นเซลงไปก่อนจะเหยียบขอบพลาด ตกลงไปในทางระบายนั้น โดยขาอีกข้างพาดอยู่ด้านบน อีกข้างจมอยู่ในทางระบายน้ำนั่น อูย...ผมเจ็บแทนเลยอ่ะ

“เฮ้ย”

พวกเพื่อนๆ ผมร้องเสียงดังกันอย่างตกใจ ผมกำลังจะวิ่งขึ้นไปช่วยแต่ช้าไปเพราะผู้ชายคนนั้นดึงขาตัวเองขึ้นมาก่อนจะมองหน้าผมแบบโกรธสุดฤทธิ์ ใบหน้ากลมๆ นั้นแดงลามไปถึงหู แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขิน แต่มาจากความโกรธจนอยากจะฆ่าผมต่างหาก ในมือเขาถือลูกบาสต้นเหตุเอาไว้ แล้วทำท่าจะปาคืนมาอีกหน สำหรับผมที่เล่นบาสจนชิน เรื่องหลบลูกบาสแค่นี้ถือว่าสบายมาก
แต่เหมือนวันนี้พระเจ้าจะไม่เข้าข้างผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่ เพราะขณะที่เขาจะปากลับมานั้น รองเท้าหนังที่ใส่อยู่ดันไปเหยียบใส่แอ่งน้ำเล็กที่ลื่นพอสมควรส่งผลให้ร่างนั้นล้มเซไปทางหน้าก่อนจะหงายหลังเอาก้นกระแทกพื้น แต่ยังไม่พอแค่นั้นเพราะลูกบาสที่กำลังจะปาใส่ผมดันหล่นลงใส่หัวเขาที่ล้มลงบนพื้น

เกิดความเงียบไปทั่วทั้งสนามบาส รวมถึงผมด้วย หลังจากนั้น

“ฮ่าๆ”

เสียงหัวเราะดังลั่นสนามบาสไปหมดกับท่าทางของคนนั้น ผมอดที่จะยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ตลกก็ตลกสงสารก็สงสาร แต่ต้องช่วยเขาก่อนแล้วล่ะ เขากระแทกพื้นคงเป็นแผลถลอกแน่ๆ เลย ผมวิ่งเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา เอ หน้าคุ้นๆ แหะ

“นายเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ ขอโทษนะ”

“ไอ้บ้า นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่มั้ย ฉันอยู่ไกลขนาดนี้นายยังปามาแม่นเหมือนจับวาง โอ๊ย! เจ็บ”

เขาโวยวายไปด้วยก่อนจะลูบแผลที่หัวเขา ผมยังไม่เห็นแผลหรอกเพราะเขาใส่กางเกงนักศึกษาสีดำเอาไว้ แต่ตรงข้อศอกข้างซ้ายคงเป็นแผลถลอกแน่เลย เพราะเลือดซึมผ่านเสื้อนักศึกษาออกมาเลย

“เดี๋ยวฉันจะพาไปห้องพยาบาล เลิกโวยวายก่อน ลุกไหวไหม”

ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเล็กๆ ที่กำลังโวยวายแล้วทำท่าจะพยุงเขาขึ้นมา

“โอ๊ย!”

เขาลุกขึ้นทีหนึ่งแล้วล้มลงไปอีก

“สงสัยขาแพลงแน่เลย”

“เพราะนายนั่นแหละ ฉันเดินมาของฉันดีๆ ดันต้องมาเจ็บตัว รับผิดชอบเลย”

“จะให้พ่อแม่มาขอเลยไหมล่ะ” ผมแซวเล่นกลับไป

“ชิ” คนตรงหน้าทำแก้มป่องแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

...น่ารักจัง...แก้มป่องๆ นี้ทำให้ผมอยากเอานิ้วจิ้มเล่นจัง...

“นายขี่หลังฉันไปแล้วกันมา”

“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้หนักเท่าใบไม้นะ นายจะแบกไปไหวได้ไง คิดว่าตัวเองแข็งแรงนักเหรอ”

“เฮ้อ ขึ้นมาก่อนเถอะ จะได้ไปสักที ชุดนายเปื้อนหมดแล้วด้วย”

ผมนั่งยองๆ ให้เขาไต่ขึ้นมาข้างหลังแล้วลุกขึ้นยืน ก็ไม่หนักเท่าไหร่นี่นา สงสัยไม่ค่อยกินอะไร ระหว่างที่ผมแบกเขาไป เพื่อนผมที่ยืนในสนามก็ส่งเสียงโห่แซวมาตามทาง จนผมรู้สึกได้เลยว่าคนบนหลังผมกำลังเขินอยู่แน่ๆ ว่าแต่เขินอะไรอ่ะ...

...แล้วทำไมผมต้องรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วย...

...สงสัยเหนื่อยและอากาศร้อนแน่เลย

...ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

“ฉันไม่เคยเห็นหน้านายมาก่อนเลย เรียนสาขาอะไรเหรอ”

ผมชวนเขาคุยไปด้วยระหว่างทางไปห้องพยาบาล มือที่โอบรอบคอผมแน่นเหมือนเด็กกลัวตกทำให้ผมอยากช่วยให้เขาผ่อนคลาย

“ฉันเรียนการท่องเที่ยวน่ะ เรียนแถวตึกทางด้านหลังเลยไม่ค่อยเข้าทางประตูหน้า ม. เท่าไหร่ จนวันนี้กะจะเดินเล่นรับลมเย็นสักหน่อย แล้วโดนของดีที่นายปาใส่นั่นแหละ”

…ปากดีนักนะ...เดี๋ยวก็โดนของดียัดปากหรอก...

เฮ้ย ผมคิดอะไรของผมอยู่เนี่ย ไม่ใช่หรอก ของดีที่ว่าอาจจะเป็นไอศกรีมรสช็อกโกแลตก็ได้นี่นา

“แบบนี้นี่เอง ขอโทษอีกครั้งหนึ่งนะ นายคงจะเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว”

“ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว คราวหลังก็ระวังบ้าง เผื่อไม่ใช่ฉันแต่เป็นเด็กหรือผู้หญิงขึ้นมา”

“อืม แต่ตอนนายล้มลงในทางระบายแล้วลื่นอีกทีน่ะโคตรตลกเลย หัวเราะจนปวดท้องไปหมด”

โป๊ก!

“โอ๊ย!” คนบนหลังผมเขกหัวผมเสียงดังจนผมแทบมึนเลย

“ปากดีนักนะ ทำคนอื่นเจ็บแล้วยังจะยิ้มมีความสุขได้อีกเดี๋ยวเถอะ”

“แหะๆ ฉันชื่อ ‘แร็กตาร์’ นะ เรียกตาร์เฉยๆ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป้นทางการนะ”

“เช่นกัน ฉันชื่อบีทีน ยินดีที่ได้รู้จัก นายเรียนคณะอะไรเหรอ”

“ฉันเรียนวิศวะน่ะ”

“เรียนคณะเดียวกับพี่ฉันเลย แต่พี่ฉันเรียนปีห้าแล้ว พี่ซีเครทน่ะนายน่าจะรู้จักอยู่มั้ง โหดๆ หน่อยแต่ใจดีมาก ฮ่าๆ”

“เขาเป็นพี่ชายนายเหรอ รู้จักสิ เคยเล่นบาสกับพี่เขาด้วยแหละ”

“อืม อิจฉาพี่จัง ความสามารถเยอะทำอะไรก็ได้ ดูฉันสิทำไมตัวเล็กบอบบางเหมือนผู้หญิงแบบนี้ไม่รู้”

“นายอาจจะเกิดมาให้ฉันปกป้องไง อุ๊บ”

“หืม ว่าไงนะ” บีทีนที่คงทันฟังถามย้ำผมอีกครั้ง เกือบไปแล้วไหมล่ะ...

“เปล่าหรอก ถึงห้องพยาบาลแล้ว นายลองลงมาเดินดูก่อนสิ เดี๋ยวฉันช่วยพยุง”

ผมวางร่างของบีทีนลงบนพื้นแล้วเอื้อมไปดึงมือเขามาโอบคอผมแล้วช่วยพยุงที่เอวอีกที ใบหน้าหวานของเขาแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยแต่พยายามเก็กหน้าโกรธกลบเกลื่อน ...ทำไมน่ารักแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวจะอดใจไม่ไหวแล้วนะ ผมเปิดประตูห้องพยาบาลออกมองเข้าไปด้านในปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย สงสัยอาจารย์ประจำห้องคงยังไม่มา งั้นทำแผลให้ก่อนก็แล้วกัน

“อาจารย์ไม่อยู่น่ะ นายนั่งรอบนเตียงนะเดี๋ยวฉันทำให้”

“บ้า ลามกว่ะ!”

บีทีนหน้าแดงก่ำทันที เอ๋ ลามกอะไรอ่ะ ผมไม่ทันพูดอะไรแบบนั้นเลยนะ

“ลามกอะไรเหรอ”

“ก็นายเล่นพูดว่านั่งรอบนเตียงแล้วจะทำให้ บ้าเอ๊ย” ยิ่งพูดหน้าเขายิ่งแดง ฮ่าๆ ผมหัวเราะเสียงดังทันทีกับอาการคนตรงหน้าแล้วหันไปค้นอุปกรณ์ทำแผลในตู้สีเทาด้านข้าง หยิบน้ำยาฆ่าเชื้อ ยาล้างแผล ผ้าพันแผล เทปกาวสำหรับติดออกมา คงใช้เท่านี้แหละมั้งเพราะปกติผมไม่ได้ทำแผลให้ใครเท่าไหร่

ผมใช้สำลีชุดน้ำยาล้างแผลก่อนเช็ดเบาๆที่ศอกซ้ายของบีที

“โอ๊ย ซีด แสบชะมัดเลย” คนตัวเล็กตรงหน้าโวยวายออกมา ...อะไรกันผมทำเบาที่สุดแล้วนะ ว่าแต่มาครางเสียงแบบนี้ ทำหน้าฟินแบบนี้ต่อหน้าผมได้ยังไงกัน และลืมไปเหรอว่านายนั่งบนเตียงนะ เดี๋ยวก็...

“เช็ดเบาๆ หน่อยสิ แสบมากเลย”

“เบาที่สุดแล้วนระ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่สะอาด อดทนหน่อยสิ แหม”

“ฮึ่ยๆ อ๊าก แสบโว้ย”

“โอเคๆ เสร็จแล้ว พันแผลแปป” ผมพูดไปและหยิบผ้าพันแปลมาแปะไว้ “แผลที่เข่าล่ะจะทำยังไง ดึงกางเกงขึ้นไปได้ไหม”

“ไม่ได้อ่ะ มันตึงมากเลย ไหนจะถุงเท้าอะไรอีก”

“มีทางเดียวคือต้องถอดกางเกงออกสินะ”

“นายลามกอีกแล้ว! เรื่องอะไรฉันต้องมาถอดกางเกงให้นายดู”

“โฮะ อะไรแค่นี้เองทำเป็นบ่น ผู้ชายเหมือนกันเขินทำไม ฉันก็มีเหมือนนายแหละ”

“ไม่เอา ฉันไม่ยอมถอดแน่ๆ”

“ก็ตามใจนาย ปล่อยให้แผลเน่าคากางเกงไปเลย เสร็จแล้วนะ ฉันไปล่ะ”

ผมพูดแล้วทำท่าลุกเดินออกมาจริงๆ บีทีนโวยวายเสียงดังทันที

“เห้ย อย่าเพิ่งดิ ถอดก็ถอดสิ”

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”

ผมมองหน้าบีทีนเป็นประกายตอนที่เขาค่อยๆ ปลดเข็มขัดถอดกางเกงลง ท่อนขาเรียวสวยแต่มีกล้ามเนื้อแบบผู้ชายทั่วไป กางเกงในสีขาวที่เขาใส่อยู่ทำเอาอารมณ์ดิบในใจผมปะทุขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เลือดที่แผลตรงหัวเข่าตัดกับผิวขาวเนียนของเขา แต่ดูงดงามเหมือนศิลปะที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ใบหน้าแดงๆ ของเขาที่พยายามหลบสายตาผมนั้นดูน่ารักจนผมอยากคว้าเขาเข้ามากอด

“มองอยุ่นั่นแหละ จะทำได้หรือยัง”

“อ๊ะ ลืมตัว เอ้ย ไม่ใช่ ทำเถอะ นายจะได้ไปทำธุระต่อไวๆ”

…และผมก็ต้องเริ่มสอบวิชาควบคุมสติและสมาธิของตัวเองอยู่เกือบสิบนาที

...คะแนนสอบคงไม่ผ่านแน่ๆ เพราะตาผมโฟกัสอยู่แค่ที่ต้นขาขาวกับ....ตรงนั้น







7.45 PM @ Raktar Home , After dinner with family

ผมนั่งเก้าอี้เอามือทาบขอบหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท ไม่มีดาวสักดวง เมื่อวานเพิ่งฝนตกไปหวังว่าวันนี้จะไม่ตกอีกนะ ขอแค่บรรยากาศที่ไม่มีแดดก็พอ ลมเย็นๆ โชยเข้ามาทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น ยิ่งวันนี้ไม่มีงานผมยิ่งรู้สึกสุขใจ

...แสงจันทร์สีทองส่องสว่างลงมา เพิ่งรู้ว่าไม่มีดาวอาจจะเป็นเพราะวันนี้คือคืนเดือนแรม เอ๊ะ หรือ มืด มั่วใหญ่แล้วผม แต่พระจันทร์สวยจริงๆ กลมๆ เหมือนขนมปังไส้ครีมเลย อยากกินจัง เหมือน...

...เหมือนหน้าบีนเลย...ให้ตายเถอะนี่นายหน้ากลมเหมือนพระจันทร์ขนาดนั้นเลยเหรอ...

หรือเพราะผมคิดถึงเขากันแน่ที่มองแค่พระจันทร์ก็เห็นหน้าเขาลอยมาแล้ว ผมเคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งเขากล่าวเอาไว้ว่ามีอยู่สามสิ่งที่ทำให้หัวใจเราอ่อนไหว คือ พระจันทร์ ลมหนาว และทะเล แสดงว่านี่ผมกำลังอ่อนไหวอยู่อย่างนั้นเหรอ

“เหมียว”

สิ่งประหลาดขนปุยหนานุ่มคลานเข้ามาเคลียเท้าผม ก่อนจะใช้ลิ้นเลียบนหลังเท้าเบาๆ เอ่อ สงสัยมันคงไม่รู้สินะว่าเท้าสกปรก -___-^ มันคือ ‘แมงโก้’ แมวของผมเองแหละครับ มันมีขนสีน้ำตาลตัดกับสีขาว วันนั้นระหว่างที่แม่ผมไปจ่ายตลาด กลับมาเจอมันโดนทิ้งเอาไว้ในกล่อง เกิดความสงสารขึ้นมา เลยพามันกลับบ้านมาด้วย

ผมอุ้มเจ้าแมงโก้มาไว้บนตัก ลูบหัวมันและคุยกับมันเหมือนเป็นเรื่องปกติ (?)

“เจ้าแมงโก้ แกเคยมีความรักป่ะ”

“เหมียว” มันขานรับตอบอย่างเอาใจผม

“เคยเหรอ แล้วแมวตัวนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ”

“เหมียว”

“แล้วทำไมแกไม่ขอโทษเขาล่ะ”

“เหมียว”

...ผมว่าอีกแปปเดียวผมต้องประสาทแน่ๆ ที่คุยกับมันรู้เรื่องและตีความไปคนเดียวแบบนี้ บ้าบอชะมัดเลยผมเนี่ย

วันนี้ไม่มีการบ้านไม่มีงาน ไม่มีภาระอะไรต้องทำ เซ็งแฮะ แต่พอมีอะไรให้ทำขึ้นมาจริงๆ กลับไม่อยากทำซะอย่างนั้น ดูคลิปโป๊แล้วทำร้ายตัวเองแก้เซ็งดีกว่าค่อยนอน

แสงจันทร์นวลสว่างบนฟ้าทำให้ผมคิดถึงใครบางคนอีกรอบ ...ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ใครอนุญาตให้แกเข้ามาอยู่ในความคิดฉัน ออกไปๆ ชิ่ว

...คืนนี้ทั้งคืนผมจะนอนหลับไหมเนี่ย...ถ้าหน้าบีทีนยังลอยอยู่เต็มห้องแบบนี้ เฮ้อ





โรงอาหาร

ผมถือจานข้าวกับแก้วน้ำผลไม้ปั่นแล้วมองหาโต๊ะกิน โต๊ะว่างมากเลยแหละครับ คงเพราะตอนเช้าอยู่ แล้วนักศึกษาส่วนใหญ่คงยังไม่ตื่นกัน แต่การจะนั่งกินเดียวรึมันก็แปลกๆ หาคนรู้จักแล้วไปนั่งกินด้วยน่าจะดีกว่า สายตาผมกวาดมองไปทั่วบริเวณ ก่อนจะเจอร่างบางคุ้นตานั่งอยู่กับเพื่อนตรงโต๊ะอีกฟากหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นทีวีที่ติดด้านบนได้ชัดเจน ผมสาวเท้าเดินไปตามทางนั้นทันทีและวางจนเข้าลงบนโต๊ะ

“อรุณสวัสดิ์นะ ขอทานข้าวด้วยคนสิ”

“อ๊ะ นาย”

บีทีนเงยหน้าขึ้นมองแล้วชะงักไป ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าแล้วเชิญผมนั่งลง ตรงกันข้ามผมมีชายหนุ่มอีกคนที่เป็นเพื่อนของบีทีนนั่งอยู่ หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ตาบ๊องแบ๊วนั่นดูใสซื่อเกินไป จะตามคนสมัยนี้ทันมั้ยนั่น

“ทำไมวันนี้มากินข้าวที่โรงเรียนล่ะ ปกตินายมาสายนี่”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาเช้าเฉยๆ” ...อยากมาเจอหน้าคนบางคนแถวนี้แหละ

“อ๋อ คนนี้เพื่อนฉันเองนะ ชื่อเวกัส กัสนี่ก็เพื่อนเรานะชื่อแร็กตาร์เรียนวิศวะเป็นรุ่นน้องพี่ซีทด้วยแหละ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะแร็กตาร์ เราเวกัสนะ”

หนุ่มน้อยตรงหน้าส่งยิ้มหวานมาให้ มองแล้วไม่ได้ดูน่ารักแต่ให้ความรู้สึกว่าหล่อมากกว่า ...แปลกแฮะ คนอะไรมีทั้งความหล่อและความน่ารักรวมกันอยู่ในคนเดียว

ผมส่งยิ้มตอบกลับไปแบบเท่ๆ แล้วยื่นมือไปให้เขาจับ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ”

“ถ้าจำไม่ผิด นายเป็นนักบาสของมหาลัยด้วยนี่”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนจำได้ด้วย ใช่แล้วล่ะ”

“จริงๆ แล้วฉันชอบกีฬาจำพวกฟุตบอลอ่ะ แต่ชอบบาสเป็นพิเศษ”

“ดีจัง เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกันด้วยแฮะ”

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป เย็นนี้ฉันว่างน่ะอยากชวนนายไปเล่นด้วยกันดู”

“เอาสิ สำหรับบาสฉันว่างเสมอแหละ”

“ได้เลย งั้นประมาณหกโมงเย็นเจอกันสนามบาสด้านหน้านะ”

หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องไร้สาระกันไปเรื่อยๆ เรื่องสมัยเด็กของผมบ้าง ความฝันของบีทีนกับเวกัสที่ในอนาคตอยากไปเปิดบริษัททัวร์ด้วยกัน และผมเพิ่งรู้ด้วยแหละว่าสองคนนี้เรียนการท่องเที่ยวอยู่และบังเอิญที่ผมก็เลือกวิชาเสรีเป็นการท่องเที่ยวปฏิบัติที่พวกเขาก็คงเรียนอยู่ด้วย

ผมกินข้าวเสร็จก็ขอตัวกับทั้งสองคนนั้นก่อนเพราะวันนี้อาจารย์ลดากรมีควิชฟิสิกส์ภาคเช้านี้ ไปสายคงไม่น่าจะเป็นเรื่องดีเท่าไหร่



The end of prologue (: See you later in Chapter One "Hydrenyears University"
Thank for read it , Thank for your comment , and hank you very much


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Perfect Match! (Prologue II Secret&Vegus) 100% wait for Prologue III
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-02-2013 19:32:36 »





ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! (Prologue III Raktar)
«ตอบ #20 เมื่อ26-02-2013 19:33:55 »

Chapter 1
Hydrenyears University







...อากาศเย็นสบายแบบนี้ทำให้เขาอยากกลับไปตอนที่บ้านซะให้รู้แล้วรู้รอด...ไม่น่าไปตกปากรับคำว่าจะมาเล่นบาสด้วยกันตอนเย็นเลย...

เวกัสคิดอย่างเซ็งๆ แล้วเอามือปิดปากหาว แม้จะผ่านมาถึงตอนเย็นแล้วแต่นักศึกษาบางคนในมหาลัยยังคงเดินผ่านไปผ่านมาให้เห็นประปราย ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อยเหมือนสัญญาณว่าในไม่ช้านี้ฝนอาจจะตก แต่ดูเหมือนคนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้จะชินเสียแล้วกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย บางคนอาจจะหงุดหงิดโมโหจากผลกระทบที่มาจากฝน แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เพราะเขาสามารถนอนห่มผ้าห่มหลับอย่างมีความสุขท่ามกลางอากาศเย็นสบายและเสียงหยดน้ำจากฝนที่หล่นกระทบหน้าต่างด้านนอก

เขาหันไปมองบีทีนที่นั่งอ่านนิยายอยู่ข้างๆ แล้วกลอกสายตาไปมา บางครั้งเขาก็อยากชวนบีทีนให้หัดออกกำลังกายเสียบ้าง รู้ก็รู้ว่าตัวเองตัวเล็กไม่ชอบออกกำลังเลยป่วยบ่อยไงล่ะ เขาจะชวนไปวิ่งแต่ละครั้งก็ต้องยื้อยุดฉุดกระชากออกมาให้ได้ แถมยังมีหน้ามาบ่นว่าเขาพาออกมาเหนื่อยฟรีๆ อีก

...บางทีนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาชอบชวนบีทีนออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่ว่าจะไปเที่ยวสวนสนุก อ่านหนังสือ เดินเล่น หาร้านเค้กอร่อยกิน ซึ่งอย่างสุดท้ายเจ้าตัวดูท่าจะชอบที่สุดแล้ว และเขาเองก็ชอบด้วย ชอบ...ที่จะได้อยู่ใกล้กับบีทีน

ความรู้สึกที่เขาไม่เคยหาคำตอบได้เลยตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ทำเอาเขาหงุดหงิดแทบบ้าที่แต่ละวันต้องขนภาพความน่ารักของคนข้างๆ ไปฝันทุกคืน ก่อนนอนก็คิด ตื่นนอนก็คิด ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดนี้นะ ไหนจะแววตาอบอุ่นในความเจ้าเล่ห์ของพี่ชายบีทีนอีก เสียงร้องบวกกับเสียงกีตาร์ในวันนั้นเมื่อสองปีก่อนในเพลงเข้ากันไม่ได้เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ยังคงดังหลอกหลอนเขามาทุกครั้งที่เดินผ่านร้านเครื่องดนตรีหรือร้านขายแผ่นซีดี

ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเขานี่ ?

“ทำไมแร็กตาร์มาช้าจัง”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ยินหมอนั่นว่าอาจจะช้าหน่อยเพราะมีเรียนวิชาสาขาก่อนเลิกน่ะ”

“อ๋อ เวกัสเดี๋ยวเราจะไปซื้อน้ำเปล่าตรงนั้นจะฝากซื้ออะไรไหม”

“เหมือนเดิม”

“โอเค โกโก้เย็นสินะ”

บีทีนหยิบกระเป๋าเงินและเดินไปทางซุ้มขายน้ำที่ไม่ไกลจากตรงนั้น เขามองตามสะโพกกลมมนที่เดินไปข้างหน้าแล้วต้องบังคับตัวเองให้หันหน้าหนีไปทางอื่น ซึ่งบังเอิญไปเจอกับแร็กตาร์ที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้ ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะอยู่ ข้างหลังมีเป้สีดำใบเก่งพาดอยู่บนไหล่ มืออีกข้างกอดลูกบาสสีส้มไว้แนบอก เขาวิ่งมายืดอยู่หน้าเวกัส

“แฮกๆ ขอโทษทีนะ อาจารย์ปล่อยช้าไปหน่อยน่ะ รอนานหรือยังเนี่ย”

“ไม่เป็นไรๆ ตอนเช้านายบอกฉันไว้แล้วล่ะ เลยเพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

“ขอโทษทีนะ ป่ะ พร้อมหรือยัง ฉันพร้อมเต็มที่”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ นายมีชุดกีฬามาเปลี่ยนใช่ไหม”

“แน่นอน”

“ไปเปลี่ยนห้องน้ำตรงนั้น เดี๋ยวเจอกัน”

“ได้”

แล้วทั้งสองก็ค้นเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเดินไปเปลี่ยนตรงห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก

ทางด้านของบีทีนที่กำลังถือน้ำเปล่ากลับมาสองขวดกับแก้วโกโก้เย็นหนึ่งแก้ว นำมาวางไว้ตรงที่นั่งเมื่อครู่

...สงสัยไปเปลี่ยนชุดกันแน่ๆ เลย...ว่าแต่ทำไมเราต้องซื้อน้ำเปล่ามาสองขวดนะ เวกัสเองก็มีโกโก้แล้วนี่...

ใบหน้าของบีทีนแดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะใจกำลังคิดไปถึงใบหน้าหล่อเหลากวนประสาทของผู้ชายอีกคนที่นัดเวกัสมาเล่นบาสด้วยกันเย็นนี้ แล้วต้องรีบสะบัดหัวไปมาแก้อาการฟุ้งซ่าน

...บ้าน่า...ไม่จริงหรอก...

...ที่เราซื้อมาสองขวดก็เพราะว่าต้องเผื่อเวกัสตอนเล่นเหนื่อยกลับมาไง เผื่ออยากกินน้ำเปล่าขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปซื้อ...

...ใช่แล้วล่ะ...ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เลย...




7.17 PM
ผู้ชายสองคนที่กำลงเล่นบาสอยู่กลางสนามไม่ได้เรียกความสนใจจากบีทีนเลยแม้แต่น้อย เขานั่งอ่านนิยายจนจบไปหลายบทแต่สองคนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยหรืออยากพัก กลับคึกคักถอดเสื้อกีฬาออกโชว์รูปร่างท่อนบนสุดเซ็กซี่ขยี้ใจสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปมา แม้เวลาจะผ่านมาเกือบชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ตาม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลเปื้อนตัวของคนทั้งคู่ราวกับไปอาบน้ำมา เสียงตะโกนสลับกัน เสียงลูกบอลกระทบพื้นจากการเดาะ เสียงโห่ดีใจตอนใครคนใดสามารถดังค์ลูกลงห่วงได้ เขาคิดว่าตัวเองก็มีจุดดีเหมือนกันตรงนี้แหละที่เป็นคนประเภทไม่ชอบเล่นกีฬา ถ้าชอบเล่นขึ้นมาป่านนี้คงยืนเหนื่อยวิ่งไปมาอยู่กลางสนามอย่างนั้น แล้วกลับบ้านไปก็คงต้องกินยาแก้ปวดแก้อาการขัดยอกแน่ๆ นั่งมองเขาเล่นแบบนี้คงดีกว่า แม้ว่าจะเบื่อแสนเบื่อมากก็ตาม

บรรยากาศโดยรอบมืดลงเรื่อยๆ ไฟที่ติดไว้ตลอดทางสว่างขึ้น สีส้มของมันที่แผ่กระจายออกมาให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้นมา บีทีนคิดว่ามันเหมือนขนมเค้กรสส้มที่ชอบกินเลย มันจะสีส้มๆ ชวนกินแบบนี้ แถมยังหวานสุดๆ ไปเลย พูดถึงของกินแล้วเริ่มหิวแล้วสิ ก่อนกลับบ้านแวะซื้อขนมปังกับนมสดที่ปากซอยเข้าบ้านดีกว่า ซื้อเผื่อพี่ซีทด้วย รายนั้นคงไม่ยอมหาอะไรกินเองแน่

“โอเคนะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ เหนื่อยแล้ว”

“ได้ๆ วันหลังถ้าว่างตรงกันค่อยมาเล่นใหม่ อ้าว บีน นายเป็นอะไรหน้าบึ้งเชียว”

เวกัสที่เดินเปลือย (?) มากับแร็กตาร์เอ่ยทักเขาที่นั่งหน้าบึ้งอยู่

“รอพวกนายสองคนนั่นแหละ เย็นป่านนี้แล้วนะ ฉันหิวจะแย่”

“พูดถึงก็หิวขึ้นมาเลยทีเดียว”

“งั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม ฉันรู้จักร้านอาหารตามสั่งอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ใกล้มหาลัยนี่แหละ ถ้าพวกนายไม่รีบกลับไปกินด้วยกันสิ”

แร็กตาร์เอ่ยชวนทั้งสองคน บีทีนกับเวกัสมองหน้ากันเป็นเชิงตัดสินใจ ก่อนเวกัสจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเกรงใจ “ฉันขอโทษนะแร็กตาร์ อันที่จริงฉันอยากไปแต่บ้านฉันไกลน่ะ ยิ่งวันนี้ไม่ได้ค้างกับบีนด้วย กลับดึกคงไม่ดีเท่าไหร่ อยู่คนเดียวด้วยน่ะ”

บีทีนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวคืนนี้นายนอนบ้านฉันก็ได้ จะได้ไปกินข้าวด้วยกันไง”

เวกัสขมวดคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนสวนกลับไป “เดี๋ยวนี้บีนสรรพนามแทนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ เมื่อก่อนบังคับให้พูดก็ไม่ยอมพูด”

จบคำพูดนั้นบีทีนหน้าแดงทันที ...ก็แหม...อยู่กับพวกนายสองคนถ้าไม่พูดเขาก็ประหลาดอ่ะสิ

...ถือว่าเปลี่ยนแล้วกัน...ดูสนิทกันมากขึ้นด้วยเนอะ...

เวกัสมองหน้าอายๆ ของบีทีนแล้วเอามือไปโยกหัวไปมาเบาๆ จนบีทีนหัวเราะออกมาในที่สุด แร็กตาร์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ทำไมถึงต้องไม่พอใจลึกๆ ด้วย

“เดี๋ยวขอไปล้างหน้าแปปหนึ่งนะ ค่อยไปกัน ไม่เปลี่ยนชุดแล้วล่ะ”

“อืม รีบไปรีบมาล่ะ มืดมากแล้ว”

เวกัสเดินจากไปทิ้งแร็กตาร์กับบีทีนอยู่ด้วยกันสองคน บีทีนก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า จะให้กล้าได้ไงล่ะมายืนถอดเสื้ออยู่แบบนี้ คนเขาเขินนะ

หมับ!

“เฮ้ย”

เขาร้องเสียงดังเมื่ออยู่ดีๆ แร็กตาร์ก็ล้มทับตัวเขาลงบนเก้าอี้นั่งตัวยาวที่นั่งอยู่ ลำตัวของเขาสองคนแนบชิดติดกัน ยิ่งแร็กตาร์ตัวเปียกเพราะเหงื่อทำอะให้อะไรต่อมิอะไรกระทบกันมากยิ่งขึ้น แร็กตาร์ประสานสายตากับบีทีนก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

“เหนื่อยจัง ขอพักสักแปปสิ”

“พักก็พักไปสิ นายจะมาทับตัวฉันทำไม ตัวไม่ใช่น้อยๆ นะ ออกไปเลย หายใจไม่ออก”

“ไม่ออก จะกอดแบบนี้แหละ”

“อ๊าก อะไรของนายเนี่ย”

บีทีนร้องออกมาเสียงดังเมื่อแร็กตาร์นึกพิลึกอะไรไม่รู้ เอาจมูกมากดไซร้ซอกคอเขาอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนจวนจะระเบิด แต่คนด้านบนยังไม่หยุดแกล้ง

“ทำไมหัวใจเต้นแรงจังเลยอ่ะ” แร็กตาร์เอ่ยแซวออกมา ยิ่งทำให้เขาเขินหนักขึ้นไปอีก

ตึกตัก... ตึกตัก...

“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ย้าก!”

เขารวบรวมแรงทั้งหมดผลักแร็กตาร์ออกไปล้มลงบนพื้น แล้วกุมอกตัวเองเอาไว้ คนที่นั่งกองอยู่ด้านล่างหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา เขาทำหน้าไม่ถูกกับสถาณการณ์แบบนี้ ได้แต่บอกตัวเองให้มีสติ

...เขาแค่แกล้งเราเล่นเท่านั้นเอง...

แร็กตาร์ขยับขึ้นมาหยิบเสื้อใส่และนั่งลงข้างเขาก่อนจะชวนคุย

“อากาศเย็นสบายได้เนอะวันนี้”

“แต่อีกแปปฝนคงตกแน่ๆ ดูฟ้าสิมืดไม่มีดาวเลย จะทันกินข้าวเสร็จหรือเปล่าเนี่ย”

“ทันสิ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปส่งพวกนายสองคนแล้วกัน”

“ให้มันตกจริงๆ ก่อนเถอะ ตอนนี้มันยังไม่ตก” บีทีนขัดแร็กตาร์ออกมาอีกครั้ง เขายิ้มที่มุมปากไม่พูดอะไร ก่อนจะเริ่มชี้ชวนบีทีนให้ดูนั่นนี่ไประหว่างรอเวกัส

...โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ว่าหลังเสาต้นเล็กถัดไปไม่ไกลจากจุดที่เวกัสไปล้างหน้านั้นตัวเขาเองก็กำลังมองทั้งคู่อยู่เช่นกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะว่ายินดีก็ไม่ใช่ จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ คือมันเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาคิดร้ายต่อคนทั้งคู่

...อย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่นิด




เบลมอธถอดรองเท้าหนังสีดำไว้บนชั้นวางรองเท้านอกห้องสมุด วางกระเป๋าหนังสีดำไว้บนโต๊ะแถวนั้น เช็กของเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน

วันนี้ห้องสมุดคนค่อนข้างเงียบเขาขอโทษฟ้าฝนเมื่อคืนแล้วกันที่ทำให้อากาศเย็นสบายจนนักศึกษาขี้เกียจตื่น แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเขาแน่นอนไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรเขาก็ทำกิจวัตรประจำวันได้ดีไม่มีผิดเพี้ยนเสมอ

บรรณารักษ์ส่งยิ้มให้เขาอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเอ่ยทัก

“วันนี้มาเช้าจังเลยนะคะ คนอื่นๆ คงยังไม่ตื่นแน่ๆ”

“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก็ดีไปอีกแบบคนน้อยดี”

“ฮ่าๆ นั่นสิคะ วันนี้จะจองหมวดวรรณคดีตะวันตกอีกไหมเอ่ย”

“ครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ”

เขาส่งยิ้มให้บรรณารักษ์อีกครั้งแล้วเดินไปเข้าไปด้านในสุดซึ่งเป็นชั้นหนังสือของหมวดวรรณคดีตะวันตก

เบลมอธเดินเลือกหนังสือไปเรื่อยๆ ก่อนจะเลือกได้แล้วหยิบออกมาสองเล่ม หนังสือในห้องสมุดค่อนข้างกว่าตามอายุของมัน แต่เนื้อหาด้านในไม่ได้ลดคุณค่าลงเลยสักนิด และเขาเองก็หลงเสน่ห์แบบนี้จนทำให้ชอบหามุมสงบในซอกตู้วางหนังสืออ่านอยู่บ่อยๆ

...อย่างน้อยก็มีเรื่องราวในหนังสือนั่งเหงาเป็นเพื่อนดีกว่านั่งคนเดียวก็แล้วกันน่า....

"อ๊ะ" เบลมอธอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถอยหลังไปชนกับใครเข้า ...เมื่อกี้ยังไม่มีใครนี่นา...หันมาอีกทีมีคนตามเข้ามาแล้วเหรอเนี่ย...

"ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ เป็นอะไรหรือเปล่า"

เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้นก่อนจะตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใช่แล้ว เขาจำได้ ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอแววอ่อนโยน เขาเจอผู้ชายคนนี้เมื่อเกือบสองปีที่แล้วก่อนขึ้นเครื่องไปเวนิสกับซิน

...ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมได้เจอเขาอีกครั้ง...

คนตรงหน้าดูเหมือนจะงงไปเล็กน้อยกับอาการตกใจของเบลมอธ เขาเลื่อนมือไปแตะหน้าผากคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถาม "นายเป็นอะไรหรือเปล่า"

วินาทีนั้นเบลมอธเหมือนจะรู้ตัวขึ้นมา เขาละล่ำละลักพูดพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้น "เปล่าน่ะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เอ่อ ขอโทษทีนะที่ยืนขวางทาง"

"อืม ว่าแต่นายก็ชอบอ่านนวนิยายแถบตะวันตกเหมือนกันหรอ" คนตรงหน้าเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นการชวนคุย เขายิ้มทันทีเมื่อเจอเรื่องที่ตัวเองชอบ

"ใช่แล้วล่ะ ฉันชอบแนวคิดของคนทางนั้น มันดูเป็นศิลปะดีอ่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าอะไรที่ไม่สามารถเกิดขึ้นมันสามารถเป็นไปได้เสมอถ้าเรามีศรัทธาและตั้งใจจะทำมันขึ้นมาจริงๆ"

"โห นายลึกซึ้งนะเนี่ย สงสัยจะอ่านบ่อยล่ะสิ"

"แน่นอน ที่บ้านฉันมีเป็นชั้นเลยล่ะหนังสือนิยายแนวนี้น่ะ"

"ยังไงว่างๆ ลองแนะนำนิยายน่าอ่านให้บ้างนะ ฉันเลือไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เล่มไหนอยู่ใกล้มือก็หยิบมาอ่านเลย"

"อื้ม ได้สิ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ว่าแต่นาย...เอ่อ..."

"ซีเครท หรือ เรียกสั้นๆ ว่า ซีท ก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก"

เขาส่งมือแข็งแรงมาข้างหน้าเพื่อยื่นให้เบลมอธจับ เบลมอธจับกลับไปและยิ้มแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่

"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ ฉันชื่อเบลมอธ ปี 3 เรียนการท่องเที่ยวอยู่น่ะ"

"จริงเหรอ?" คนตรงหน้าขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ "นายอยู่ปีสามสินะ แต่ฉันปีห้าแล้ว เรียนวิศวะน่ะ"

"บังเอิญจังเลย อยากให้เรียกว่าพี่ไหม? ฮ่าๆ"

เสียงหัวเราะสดใสของเบลมอธทำให้ซีเครทอึ้งไปครูหนึ่ง ...เสียงหัวเราะที่มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ได้เสแสร้งเพื่อทำให้ดูดีเหมือนใครหลายคนที่ประสบพบเจอ... หน้าตาเรียวคมดุสง่าเมื่อจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดวงตาเฉียบคมเหมือนสายตาเหยี่ยวแต่สวยงาม ความเศร้าที่หาคำมาอธิบายไม่ได้เปล่งประกายอยู่ในนั้นจนเขาอยากจะช่วยรักษาความเจ็บปวดในดวงตา

...คนตรงหน้านี้...เหมือนอัญมณีล้ำค่าที่นักรบในตำนานล้วนอยากครอบครอง...

"ไม่ต้องหรอก ว่าแต่นายน่ะเรียนสาขาเดียวกับน้องฉันเลยนะ"

"เหรอ บังเอิญจัง น้องนายชื่ออะไรเหรอ"

"บีทีนน่ะ"

"บีทีน..."

เบลมอธทำหน้านึกไปสักพัก ...เขาเพิ่งมาเรียนที่นี่ตอนปีสามเลยยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวก็ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบความวุ่นวาย

"ถ้าเห็นหน้าน่าจะนึกออกน่ะ ยังไงจะลองเข้าไปทักดูนะ"

"อื้ม โอเคเลย"

"ว่าแต่นายอ่านเรื่องอะไรอยู่เหรอช่วงนี้น่ะ อ๊ะ!"

ตุบตับ... ตุบตับ...

"โอ๊ย!"

เบลมอธร้องออกมาเสียงดังเมื่อหนังสือเป็นจำนวนมากหล่นลงมาเหมือนมีคนผลักออกมาจากอีกฟากของชั้นหนังสือ หนังสือเหล่านั้นล้วนมีสันที่หนา บางสันแหลม มันหล่นกระทบใบหน้าของเบลมอธจนเกิดบาดแผล และเลือดสีแดงเป็นทางจากทางซ้ายของหน้าผาก ซีเครทตกใจมาก รีบเข้าไปประครองเบลมอธเอาไว้ แล้วพยุงออกมาอีกด้าน ก่อนจะมองไปด้านนั้นปรากฏว่าหนังสือหล่นลงไปหมดแล้ว เหลือเพียงร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำหน้าตาแตกตื่นเหมือนกลัวความผิด เขาตะลึงไปทันทีเมื่อมองเห็นหน้าเด็กคนนั้นชัดๆ ...คนที่มีสัมผัสร้อนแรงจนเขาไม่มีวันลืมแน่ๆ หลังจากวันนั้นคนๆ นี้ก็หายตัวไปแบบลับๆ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน เขาไปที่สถานบันเทิงห่งนั้นอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจออีกเลย แล้วนี้มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถาณการณ์แบบนี้ที่คนตรงหน้า...

...ใส่ชุดนังศึกษาของมหาลัยเดียวกับเขา

...เชอร์เบล...

"ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนี้นะ จะหยิบหนังสืออีกเล่มแต่มือพลาดไปปัดมันตกมาหมดเลย"

เชอร์เบลที่วิ่งหน้ามีอีกฟากของชั้นหนังสือก้มหัวลงและเอ่ยขอโทษอย่างน่าสงสาร เบลมอธที่เริ่มตั้งสติได้แล้วยิ้มส่งไปลดความกังวลกับคนตรงหน้า ...เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอแหละ...

"ไม่เป็นไรหรอก มีแผลแค่นิดเดียวเอง"

"ยังไงเดี๋ยวฉันพาไปห้องพยาบาลนะ ดูสิ มีเลือดออกด้วย"

"อืม ว่าแต่ฉันกับนายเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า"

เชอร์เบลยิ้ม ...ยิ้มที่ทำให้ซีเครทรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว "ฉันเรียนมัลติน่ะ แต่เหมือนเราจะเคยเจอกันในวิชาเสรีการจัดการการท่องเที่ยวน่ะ"

"อ๋อ เข้าใจแล้ว ฉันเบลมอธนะ" เบลมอธเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง

"ยินดีที่ได้รู้จักนะเบลมอธ ฉันเชอร์เบล หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"

รอยยิ้มสว่างสดใสถูกส่งไปให้เบลมอธที่ยิ้มตอบกลับมาให้ก่อนจะหันไปบอกซีเครทที่ยืนอยู่ด้านหลัง

"ถ้ามีโอกาสไว้คุยกันนะซีท เราชอบอ่านหนังสือแนวเดียวกัน คงได้เจอกันบ่อยๆ"

"อื้ม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ"

"อือ ไปกันเถอะเชอร์เบล"

"จ้า อ๊ะ เบลมอธ เดี๋ยวนายเดินไปก่อนเลยฉันขอไปหยิบหนังสือที่จะยืมแปป นายรอหน้าห้องสมุดนะ"

"ได้ เดี๋ยวตามมานะ" จบคำนั้นเบลมอธก็เดินออกไปทิ้งเชอร์เบลกับซีเครทให้มองตามแผ่นหลังอันสง่างามนั้น

หมับ... ผลัก

"อ๊ะ"

ซีเครทร้องครางออกมาเมื่อคนตรงหน้าคว้าที่จุดไวต่อความรู้สึกของเขา...บีบมันเอาไว้แล้วผลักเขาเข้าไปสุดทางของชั้นหนังสือ มือเรียวคู่นั้นโอบรอบคอเขาเอาไว้แล้วยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมใบหูโดยที่มือยังไม่ยอมหยุดออกจากตรงนั้น

"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะซีเครทที่รัก"

"....."

"อย่าบอกนะว่านายจำฉันไม่ได้ นายจำคืนนั้นของเราไม่ได้แล้วเหรอ"

"ฉันไปหานายที่นั่นอีกหลายครั้งแต่ไม่เคยเจอนายเลย นึกว่านายคงไม่อยากมาหาฉันแล้ว"

พอตั้งสติได้เขาจึงเอามือโอบรอบเอวร่างบางเอาไว้ ยื่นหน้าผากไปชนกับคนตรงหน้า

"หึ ใครบอก...ฉันน่ะคิดถึงนายจะแย่แล้วนะ"

"....."

ในมุมมืดของห้องสมุดในตอนเช้า วันที่ฝนตกห้องสมุดแทบจะไม่มีคน...ราวกับบรรยากาศเป็นใจ เชอร์เบลรูดซิปกางเกงของเขาลงแล้วล้วงมือเข้าไปจับส่วนสำคัญของเขาแล้วเริ่มขยับมือช้าๆ

ซีเครทเริ่มตาลายกับสัมผัสที่แสนวาบหวาบมนั้น กัดฟันไม่ให้ส่งเสียงออกมา เพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงหน้าที่มองเขาราวกับเป็นเด็กน้อยได้ตลกตัวเขาไปกว่านี้

"ทำไมล่ะ ทำไมไม่ส่งเสียง นายนี่เกรดตกไปเยอะนะ"

เชอร์เบลพูดแล้วยื่นหน้าไปกัดซอกคอซีเครทที่เริ่มมีเหงื่อไหลลงมา

"นายกำลังจะทำให้ห้องสมุดมหาลัยเปื้อนนะ แฮกๆ"

เขาเริ่มหายใจหอบถี่ขึ้นเมื่อบางอย่างบอกเขาว่าสวรรค์กำลังจะมาอยู่ตรงหน้า เชอร์เบลยิ้มหวานก่อนกระตุกมือเป็นครั้งสุดท้าย

"อ๊าก..."

ซีเครทพยายามส่งเสียงให้เบาที่สุดแล้วเอนตัวพิงผนังหายใจหอบ เชอร์เบลมองภาพนั้นอย่างพอใจ

...ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ ผู้ชายพวกนี้

พรึ่บ

เสียงวัตถุบางอย่างหล่นลงตรงหน้าเขาพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น

"อ่ะ ฉันให้ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก"

เชอร์เบลโยนกระดาษทิชชู่จำนวนหนึ่งลงตรงหน้าเขาและหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย...

...ผู้ชายคนนี้...ทำให้เขาหลงยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว...




"ขอโทษทีนะเบลมอธ พอดีช่วยอาจารย์จัดหนังสือน่ะ เลยมาช้าไปหน่อย"

เชอร์เบลวิ่งออกมาท่าทางตื่นๆ จนเขาอดยิ้มไม่ได้

"ไม่เป็นไรหรอกไปกันเถอะ ไปตึกเรียนเลยแล้วกัน"

"ห้องพยาบาลสิ ฉันจะพานายไปทำแผล"

"ไม่ต้องแล้วล่ะมีพลาสเตอร์อยู่ในกระเป๋าแผลเล็กนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย"

"ขอโทษอีกทีนะ..."

เบลมอธมองหน้าหงอยๆ ของคนตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปยีหัวเชอร์เบลจนฟูแล้วจับมือพากันเดินไปข้างหน้า เชอร์เบลโพล่งออกมาเมื่อคิดอะไรออก

"วันนี้เราเรียนวิฃาเสรีกันนี่ แสดงว่าเราได้เรียนเซกเดียวกันสินะ"

"อ๋อ ใช่ จริงด้วยสิ ไปกันเถอะ ไปสายเดี๋ยวอาจารย์บ่นอีก"

ทั้งสองคนใช้เวลาประมาณห้านาทีในการเดินไปตึกที่ใช้เรียนวิชาเสรี วิชาที่ทั้งคู่บังเอิญเลือกเหมือนกันคือการจัดการบริหารการท่องเที่ยว ซึ่งเบลมอธที่ย้ายจากที่อื่นมาสนใจสาขานี้จึงเลือกเรียน แต่เชอร์เบลเลือกเรียนวิชานี้เพราะความชอบส่วนตัว เมื่อมาถึงหน้าห้องปรากฏว่าอาจารย์เพิ่งจะเดินเข้าไปพอดี ทั้งคู่รีบวิ่งไปนั่งตรงหลังห้องทันที นักศึกษาที่มารอก่อนแล้วมองตามพวกเขาไปจนถึงหลังห้อง เบลมอธรู้สึกอายเมื่อคิดว่าตัวเองไม่เคยสายเลยวันนี้ดันมาสายซะได้

"ไงพวกนาย วันนี้มาสายกันเหรอ"

เสียงหวานนุ่มด้านหน้าเอ่ยทักทำให้เบลมอธกับเชอร์เบลที่เพิ่งนั่งลงเงยหน้าขึ้นไปหาคนพูด

เบลมอธรู้สึกสะดุดตากับหนุ่มน้อยตรงหน้าทันทีราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ....เรียนสาขาเดียวกันแน่ๆ แต่ไม่ได้สนใจมอง ที่แท้คนนี้นี่เอง

"นายคือ บีทีนหรือเปล่า"

"อ๋อ ใช่ ฉันบีทีนเอง ว่าจะเข้าไปคุยกับนายหลายครั้งแล้ว เห็นชอบไปไหนคนเดียวน่ะ อยากทำความรู้จักด้วย"

"อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะบีทีน นี่เชอร์เบลเพื่อนเราที่เรียนมัลติบังเอิญเลือกวิชาเสรีอันนี้ด้วย" เบลมอธผายมือไปทางด้านข้างเชอร์เบลที่ส่งยิ้มไปให้บีทีน บีทีนส่งยิ้มกลับแล้วยื่นมือไปให้จับ

"พวกนายคุยอะไรกันเนี่ย คนจะหลับจะนอน เสียงดัง ฮ้าว" คนที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ บีทีนเอ่ยขึ้นเสียงงัวเงีย

"อะไรกัน ก็นายเล่นเกมจนดึกเองจะมาโวยวายอย่างนี้ได้ยังไง ลุกขึ้นมารู้จักเพื่อนใหม่เลยเดี๋ยวนี้นะ"

"อ๊าก อะไรของนายเนี่ย วู้ๆ"

บีทีนลากคอชายหนุ่มคนนั้นให้ขึ้นมาสบตากับพวกเขา เบลมอธหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าสบตาเข้าพอดี

"ฉันชื่อแร็กตาร์นะยินดีที่ได้รู้จัก"

พูดจบเขาก็ฟุบหลับลงไปอีก บีทีนทุบหลังเข้าไปทีหนึ่งดังอั้กก่อนจะหันมาส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา "ตาร์ก็แบบนี้แหละ ชอบหลับเป็นงานอดิเรก"

"พวกนายสองคนดูสนิทกันดีจัง :)" เชอร์เบลเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นมา บีทีนหันไปยิ้มให้ ดวงตาคนตรงหน้าที่มองมาสวยงามแต่มีบางอย่างบอกเขาว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับบุคคลนี้เป็นอันขาด เพราะอะไรเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

...คงต้องดูไปเรื่อยๆ

"อืม พอดีแร็กตาร์กับเพื่อนเราคนนี้เวกัสชอบเล่นบาสเหมือนกันน่ะเลยพอเข้ากันได้"

เวกัสที่อ่านหนังสืออยู่หันมาส่งยิ้มให้ เบลมอธยิ้มตอบกลับไปในขณะที่เชอร์เบลเอ่ยขึ้นมาอย่างร่าเริง "ยินดีที่ได้รู้จักนะเวกัส ฉันเชอร์เบล"

"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ" เวกัสส่งยิ้มมาให้

อาจารย์เริ่มการบรรยายขึ้น ทุกคนจึ่งหันมาสนใจกับการเรียน ยกเว้นแร็กคาร์ที่ยังหลับเหมือนเดิม
เบลมอธถือปากกาหมึกสีดำขึ้นมาเตรียมจดฟังอาจารย์บรรยายเรื่องประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ชอบที่จะไปเที่ยว โปรเจ็กเตอร์ด้านหน้าฉายภาพมุมนั้นนี้ของประเทศที่ว่าสร้างความฮือฮาให้กับนักศึกษาหลายคน จนอาจารย์เปิดภาพๆ หนึ่งขึ้นมา พร้อมกับกล่าวบรรยาย

"เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ก็เป้นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนส่วนมากชอบไปกัน เมืองนี้โรแมนติกไปกับคนรักจะต้องถูกใจมากแน่ๆ และยังมีอารายธรรมโบราณแฝงอยู่ทุกที่บนถนนที่เดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรือกอนโดลา การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ และยัง...."

เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วตั้งแต่อาจารย์กล่าวคำว่าเวนิสขึ้นมา ความทรงจำส่วนลึกในหัวใจกำลังจะทำร้ายเขาอีกครั้ง

....เมื่อไหร่เราจะลืมนายได้สักทีนะ...ได้โปรดปลดปล่อยที...

ซินจากเขาไปแล้วเนิ่นนานป่านนี้คงกำลังมีความสุขอยู่กับคนที่เขาเลือก เบลมอธบอกตัวเองเสมอว่าตนมีความสุขดี ไม่ได้ใส่ใจซินเลยแม้แต่น้อย ใช้ชีวิตเข้มแข็งตลอดมาโดยไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองบาดเจ็บจากแผลเก่ามากแค่ไหนเวลาที่มีคนพูดถึงและไปสะกิดแผล เขาเคยคิดอยากให้คนอื่นเข้ามาแทนที่ตำแหน่งซิน แต่ไม่ว่าจะลองสักกี่คนก็ไม่เคยเลย

...ที่จะลืมได้แม้สักวินาที...

"อยากไปจังเลย..."

เสียงเชอร์เบลที่นั่งด้านข้างเอ่ยขึ้นมาอย่างเพ้อๆ

"ใช่ ฉันก็อยากไป อยากถ่ายรูปกับเรือกอนโดลา สวยจัง" แม้แต่บีทีนเองก็ไม่เว้น

"ไว้มีโอกาสพวกเราไปด้วยกันเนอะ" เบลมอธพึมพำออกมาลอยๆ เหมือนคนไม่รู้สึกตัว เชอร์เบลหันหน้าไปอีกทางและกระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


...แน่นอน...พวกเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกแน่ๆ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2014 14:09:49 โดย Homepage »

ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 1 100%)
«ตอบ #21 เมื่อ04-03-2013 13:03:04 »

กดบวกปล่อยเป็ดฉลองเรื่องใหม่
เป็นกำลังใจ
กำลังจะอ่านทันล่ะ
สู้ๆ

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 1 100%)
«ตอบ #22 เมื่อ04-03-2013 15:35:03 »

ตัวละคนมันเยอะไปจนอ่านแล้วงงนะค่ะ
ใครคู่ใครดูงงไป หมดอ่านไปอ่านมาคนนี้คู่คนนี้
พออีกตอนกลับไปคู่กับอีกคนซะงั้น
ความสัมพันธ์มันดูงงๆอ่ะนะ แปลกๆไงไม่รู้
แล้วสรุปว่าพี่ซีทคู่ใครล่ะทีนี้...เวกัส เบลมอธ เชอร์เบล?
หรือว่าจะไม่ใช่แบบนั้นอีก...เอาเป็นว่ารอดูไปก่อนแล้วกัน

ปล. คนแต่งใจดีแบบนี้คนอ่านรักตายเลย ลงทีจุใจเลยนะเนี่ย><

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 1 100%)
«ตอบ #23 เมื่อ04-03-2013 22:00:00 »

Chapter 2
Canival

เบลมอธไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ตั้งแต่เมื่อวานที่เจอเขา เขาคนที่เคยเจอกันเมื่อสองปีก่อน และเด็กผู้ชายน่ารักคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา คือ บีทีนนั่นเอง วันนี้เขามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง เพื่ออะไรกัน ? หรือว่าพระเจ้าอยากจะมอบโอกาสอันแสนงดงามนี้ให้เขา

…ให้เขาหลุดจากบ่วงความรักอันแสนเจ็บปวดในอดีต

บรรยากาศตอนเย็นหลังเลิกเรียนคนเริ่มน้อยลง เนื่องจากช่วงนี้ฝนตกบ่อยทำให้แต่ละคนอยากกลับไปซุกตัวนอนอยู่ในผ้าห่มบนเตียงมากกว่า แต่ในทางกลับกันมันเป็นโอกาสดีของเขาที่จะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องสมุดที่ไม่ค่อยมีคนอยู่

เสียงตุบตับเหมือนวัตถุนุ่มนิ่มกระทบพื้นดังมากลับความเงียบในบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ทำให้เบลมอธรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นึกว่าทั้งมหาลัยเหลือแค่เขาคนเดียวเสียอีก พอเดินเลี้ยวไปด้านหน้าก็เจอกับสนามบาสที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังดังค์ลูกบาสเข้าช่องตาข่ายด้วยท่าทางที่ดูดีเหลือเกิน

เขาจำได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้คือแร็กตาร์เพื่อนของบีทีนนั่นเอง ได้ยินมาว่าผู้ชายคนนี้ฮอตในหมู่ผู้หญิง เก้ง กวางพอสมควรเลย และเขาเองก็มองทุกอย่างออกแบบทะลุปุโปร่งว่าระหว่างบีทีนกับแร็กตาร์มีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนเป็นเพื่อนกันทั่วไป บวกกับสายตาหวานที่เวกัสเพื่อนหนุ่มผู้อ่อนโยนคนนั้นใช้มองบีทีนอีก

“อ้าว ว่าไงเบลมอธ กลับบ้านหรือยัง”

“ถามแปลกๆ ถ้ากลับแล้วจะยังอยู่ตรงนี้เหรอ”

เบลมอธหัวเราะออกมาด้วยท่าทีสดใสมีความสุขจนแร็กตาร์เผลอยิ้มตามออกมา

“ขอเล่นด้วยคนสิ”

“ประหลาดจัง”

“ทำไมเหรอ” เบลมอธเอียงคอมองแวถามเขาออกไป

“เจ้านั้นน่ะเกลียดการออกกำลังกายมากเลยแหละ”

“อะไรนะ พูดดังๆ หน่อย ไม่ได้ยิน”

เบลมอธขมวดคิ้วเมื่อคนตรงหน้าพึมพำออกมาจนจับใจความไม่ได้

“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก มาสิ อยากเล่นก็เข้ามาแย่งให้ได้สิ ฮ่าๆ” แร็กตาร์พูดแล้วเลี้ยงลูกบาสหลบไปอีกทาง เบลมอธหัวเราะตามก่อนจะส่ายหัวแล้ววิ่งตามเข้าไปในสนาม

จริงๆ แล้วเขาไม่เคยเล่นหรอกเจ้าลูกกลมๆ สีส้มนี่ แต่ไม่น่ามานี้หลังจากที่เลิกกับซิน เขาไม่อยากอยู่กับตัวเองมากจนเกินไปเลยไปหากีฬาเล่นดู จนพอจะคลำทางได้ ถ้ามีโอกาสเลยไปสนามกีฬาเพื่อออกกำลังกายบ้าง

ท่วงท่า และวิธีการเล่นของแร็กตาร์ดูดีมีเสน่ห์ ก็แน่นอนล่ะสิ เขาชอบเล่นบาสมากนี่นา คงถูกฝึกมาอย่างดีเลยแหละ

อืมมม จะว่าไปแล้วมันก็น่าสนุกนะ เล่นบาสกันในสนามกว้างๆ นี่ แค่สองคน สงบสติอารมณ์ไปได้เยอะเลยทีเดียว แต่คาดว่าวันนี้หลังเขากลับบ้านไปคงต้องกินยาแก้ปวดเพิ่มแน่ๆ

“วิ่งเร็วๆ หน่อยสิเบลมอธ ช้าอย่างกับเต่าไล่ไม่ทันหรอก ฮ่าๆ”

และเสียงหัวเราะอันสดใสของแร็กตาร์ก็ทำให้มหาลัยที่เงียบสงบในตอนเย็นอบอุ่นขึ้นมาได้ในทันที

…ด้วยเสียงหัวเราะของเขา

ตุบ!

“อ๊ะ แร็กตาร์ โทรศัพท์นายหล่นน่ะ”

“อ้าวเหรอ งั้นพักก่อนก็ได้”

“โอเค ขอไปเข้าห้องน้ำแปปนะ” พูดจบเบลมอธก็เดินออกจากสนามบาสไปที่ห้องน้ำ

แร็กตาร์ยืนพิงเสาซีเมนต์สีขาวที่ยึดไว้เป็นห่วงสำหรับดังค์ลูก เขาเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาและสไลด์โทรศัพท์ออกดู ปรากฏว่าเป็นเฟสบุคที่เขาเล่นเมื่อตอนกลางวันแล้วลืมออก ใบหน้าหล่อเหลานิ่วเล็กน้อย

“ลืมออก ระบบมันดูดตังค์หมดไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย”

เขากวาดสายตามองไปทั่วหน้าจอก่อนจะสะดุดกับรายชื่อของคนที่เกิดวันนี้ เขานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเบลมอธแต่เหมือนว่าเจ้าตัวแทบจะลืมไปแล้วสินะ มันคงจะดีสินะถ้าเขาสามารถทำให้ใบหน้าที่มักจะฉายประกายความเศร้ามากกว่าความสุขนั้นสามารถยิ้มออกมาได้

แต่นี่ก็เย็นแล้วคงเตรียมการอะไรไม่ทัน แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่แล้วกัน

“มาแล้ว เล่นต่อกันเถอะ”

เบลมอธที่เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเดินกลับมาหาแร็กตาร์ที่ยืนพิงอยู่ แร็กตาร์มองใบหน้าของคนตรงหน้าก่อนจะถามออกไป

“เลิกก่อนเถอะ เหนื่อยแล้ว ว่าแต่นายรีบกลับบ้านหรือเปล่า”

เบลมอธขมวดคิ้ว “หืม ว่างสิ ทำไมเหรอ”

“ไปฉลองกัน :)




ร้านที่แร็กตาร์พาเบลมอธมาฉลองนั้นเป็นร้านไอศกรีมโทนสีหวานแหวว ผนังถูกทาด้วยสีชมพูอ่อนสลับกับสีฟ้าอ่อน ตลอดทางมีรูปอัดใส่กรอบด้านในเป็นผ้าครอชติสปักรายประณีตน่ารัก ชวนให้คนมองรู้สึกอบอุ่น ในร้านมีลูกค้าอยู่ประมาณสี่ห้าโต๊ะ พนักงานผู้ชายเมื่อเห็นทั้งคู่จึงเดินเข้ามาทักทาย

“สวัสดีครับ มาสองท่านนะครับ อยากได้โต๊ะแบบไหนครับ ส่วนตัวไหมเอ่ย”

“เอ่อ ขอส่วนตัวแล้วกันนะครับ”

“ครับผม เชิญทางนี้เลยครับ”

พนักงานพาเขาสองคนเดินเข้ามาในสุดร้านที่มีน้ำพุขนาดเล็กตั้งอยู่ มีโต๊ะอยู่ประมาณสองสามตัวติดกับผนังกระจกที่ด้านนอกมองเห็นสวนขนาดเล็กให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้เห็น เบลมอธนั่งลงบนเก้าอี้กำมะหยี่สีแดงรอแร็กตาร์ที่สั่งรายการไอศกรีม โดยไม่ถามเขาเลยว่าเขาอยากกินอะไร

“เป็นยังไงบ้างร้านน่ารักมากเลยนะ”

“ใช้ได้เลยแหละ มองแล้วรู้สึกปลอดโปร่งดี ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าผู้ชายอย่างนายจะสันทัดกับการเลือกอะไรแบบนี้”

“เปล่าหรอก เมื่อก่อนฉันชอบกินอะไรเย็นๆ หวานๆ ไง เจอร้านนี้เข้า เลยกลายเป็นลูกค้าประจำไปเลย แต่ก็นะหลังๆ มางานยุ่งก็ไม่ค่อยได้ไปแล้วล่ะ เพิ่งมาอีกทีก็วันนี้แหละ”

เบลมอธมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาเสมองออกไปนอกหน้าต่างในหัวคิดไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยพบเจอในชีวิต แววตาหม่นเศร้าคล้ายมีฝ้าน้ำตาคลออยู่ในนั้น

แร็กตาร์ที่ลอบมองเบลมอธอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้เอื้อมมือำจีบมือเรียวของเบลมอธที่วางตรงหน้า ร่างนั้นสะดุ้งไปชั่ววินาทีก่อนจะมองกลับมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

ความอบอุ่นจากมือคนตรงหน้าส่งความอบอุ่นที่มั่นคงแล่นเข้าสู่กลางหัวใจเบลมอธโดยไม่รู้ตัวดูเหมือนว่าแร็กตาร์จะรู้ว่าเขาเดียวดายมากแค่ไหน

…ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม…แต่ก็ขอบคุณมากจริงๆ

“เดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ แปปเดี๋ยวมา”

พูดจบแร็กตาร์ก็เดินไปอีกมุมหนึ่งของร้าน ระหว่างรอเบลมอธจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นไปพลางๆ

จึก จึก

สัมผัสนุ่มที่แผ่นหลังทำให้เขาหันไปมองเจอเด็กชายตัวอ้วนกำลังยืนยิ้มเผล่ให้เขาอยู่ มืออวบนั้นถือกุหลาบไว้ในมือหนึ่งดอก เขาทำหน้างง

ใครเอามาให้เขาเนี่ย

เบลมอธยิ้มแล้วรับดอกกุหลาบสีแดงสดจากเด็กชายตรงหน้า “ขอบคุณมากนะครับ ว่าแต่ใครเอาให้หนูมาเนี่ย”

เด็กชายยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแล้วตอบเบลมอธเสียงใส “วันนี้วันเกิดพี่ไงครับ ผมให้”

“เอ๋”

พรึ่บ

ไฟทั้งร้านถูกปิดลงจนเขามองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่พอผ่านประมาณห้าวินาทีแสงไฟจากเทียนก็สว่างขึ้น

แสงเทียนงั้นเหรอ…

เสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้นมาจากอีกมุมหนึ่งพร้อมกับร่างของแร็กตาร์ที่ยกขนมเค้กสีขาวออกมา บนนั้นมีเทียนปักอยู่หนึ่งเล่ม แสงเรืองรองเป็นประกายนั้นทำให้เขารู้สึกตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก

แม้แต่ตัวเขาเองยังลืมไปว่านี่เป็นวันเกิดเขา…

เขาจมอยู่กับความเสียใจมานานจนลืมวันดีๆ แบบนี้ไปเลยเหรอเนี่ย

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาเงียบๆ มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มใจหาใช่ความเสียใจไม่ แร็กตาร์ที่เดินใกล้เข้ามา ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ยกเค้กเช็ดน้ำตาเขาออก แล้วเอ่ยเสียงนุ่ม

“อธิฐานสิ แล้วค่อยเป่าเค้ก”

เบลมอธยิ้มทั้งน้ำตา นำมือขึ้นมาประสานแล้วอวยพรให้ตัวเอง ให้ทุกคนบนโลก และให้คนตรงหน้าที่ทำให้วันธรรมดาของเขาเป็นวันที่พิเศษขึ้นมาได้

…วันนี้จะอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป

…ขอบคุณนายนะแร็กตาร์…ขอบคุณจริงๆ





“แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ไปส่ง”

“เถอะน่า วันนี้นายทำเพ่อฉันมามากพอแล้วนะ เกรงใจจะแย่”

“อย่าคิดอย่างนั้นสิ เพราะฉันเต็มใจ” แร็กตาร์พูดพร้อมกับทำแก้มป่อง เบลมอธหัวเราะออกมาแล้วเอามือจุ้มแก้มคนตรงหน้า

“รู้แล้ว ขอบคุณมากจริงๆ แต่ฉันกลับเองได้ นายรีบกลับบ้านเถอะ ป่านนี้คนขับรถมารอแล้วมั้ง”

“อืม โอเค นายก็กลับบ้านดีๆ นะ ไว้เจอกันในคลาสพรุ่งนี้”

“ได้เลย ไว้เจอกัน”

หลังจากแยกกับแร็กตาร์แล้วเขาก็เดินตามทางฟุตบาธเพื่อเตรียมจะเรียกแท็กซี่

บรรยากาศตอนกลางคืนบริเวณหน้ามหาลัยดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ฟ้ามืดไม่มีดาวสักดวง เขาเหมือนเห็นฟ้าเป็นสีม่วงเทาด้วย คาดว่าอีกสักแปปฝนคงตกลงมาแน่ๆ

พูดไม่ทันขาดคำเขาก็รู้สึกถึงละอองน้ำที่หล่นกระทบตัว เบลมอธหันหน้าไปมาไม่รู้จะแก้ไขปัญหาเบื้องหน้ายังไง เขาวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด เผื่อจะเจอร้านค้าอย่างน้อยก็สามารถหลบฝนได้

ปรื้น…

เสียงบีบแตรรถที่ดังทางด้านซ้ายทำให้เขากลอกตาไปมอง เจอกับรถเก๋งสีดำติดฟิลม์คันหนึ่ง ทันใดนั้นกระจกทางฝั่งคนนั่งก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคย เบลมอธเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“ซีเครท”

คนที่นั่งในรถส่งยิ่มมาให้ก่อนเอ่ยแบบรีบเร่ง

“ขึ้นมาก่อนเถอะ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แค่นี้นายก็เปียกจะแย่แล้ว” เบลมอธรีบเปิดประตูเข้าไปนั่ง พอปิดประตูซีเครทจึงบึ่งรถออกไป

เบลมอธนั่งกอดอกเนื่องจากเพิ่งเปียกฝนมาแล้วต้องมาตากแอร์เย็นต่อ ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ จึงเลื่อนมือไปกดลดแอร์

“เป็นยังไงบ้าง อุ่นขึ้นหรือยัง”

“ขอบคุณมากนะ”

“ว่าแต่ทำไมวันนี้กลับค่ำจัง”

“อ๋อ” เบลมอธลากเสียงก่อนจะอมยิ้มอย่างมีความสุข “พอดีวันนี้ไปกินไอศกรีมกับแร็กตาร์มาน่ะ”

“แร็กตาร์?”

“อืม แร็กตาร์เพื่อนบีทีนน้องนายน่ะแหละ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแล้วนะ”

“อ๋อ เจ้าเด็กคนนั้นนี่เอง เคยเล่นบาสด้วยกันสองสามครั้ง ว่าแต่ไปกินไอศกรีมกันทำไมเหรอ”

“วันนี้เป็นวันเกิดของฉันน่ะ”

“…”

“ทำไมเหรอ”

“เปล่าหรอก สุขสันต์วันเกิดนะ ขอโทษทีฉันไม่มีอะไรให้นายเลย”

เบลมอธยิ้มแล้วสะบัดหน้าไปมา “ไม่เป็นอะไรหรอก ขอบคุณมากนะ”

“อือ บ้านนายเข้าซอยด้านหน้าหรือเปล่า”

“อ่อ ใช่แล้ว จอดตรงหน้าประตูรั้วสีขาวนะ”

รถเก๋งสีดำของซีเครทจอดหน้าบ้านหลังเล็กน่ารัก รั้วบ้านเป็นสีขาว ดูไม่ยากว่าคนในบ้านคงมีแค่คนเดียวคือคนที่นั่งข้างเขา

“นายอยู่บ้านคนเดียวเหรอ”

“ใช่แล้ว พ่อแม่ฉันทำงานอยู่ต่างประเทศน่ะ ยังไงเข้ามาก่อนนะ นายยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหม เดี๋ยวฉันทำให้กิน ถือว่าฉลองวันเกิดเป็นเพื่อนหน่อย”

“ได้เลย คืนนี้ฉันจะเอาตัวเองเป็นของขวัญให้นายเอง”

“บ้า ฮ่าๆ”

ซีเครทดูรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกใจสั่นอย่างประหลาด เขาเปิดรถลงไป เบลมอธเดินไปเปิดระตูเดินนำเข้าไปในบ้าน ด้านในไม่มีอะไรมาก เป็นบ้านหลังเล็กชั้นเดียว ด้านในเปิดไปเจอชั้นวางรองเท้าทำด้วยไม้โอ๊ควางอยู่ด้านซ้าย ตรงเข้าไปเป็นห้องนั่งเล่น มีห้องนอน กับ ห้องน้ำ อยู่อีกฟาหหนึ่งของห้องครัว เบลมอธเดินเอากระเป๋าไปวางบนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วหันมาพูดกับซีเครท

“รอแปปนะ นายดูทีวีไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน รับรองอร่อยไม่แพ้ร้านใหญ่ๆ เลย”

พูดจบเบลมอธจึงเดินเข้าไปในหองครัว ซีเครทเดินตามไปทันที

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”

“ไม่มี นั่งอยู่เฉยๆ พอ ในตู้เย็นมีไวน์องุ่นอยู่ เอาออกไปตั้งรอเลย”

“ปกตอนายดื่มด้วยเหรอ แปลกจัง”

“คนเราต้องเข้าสังคมนี่นา มันจำเป็นน่ะ”

ซีเครทเดินถือขวดไวน์กับแก้วสองใบออกไปวางโต๊ะที่เดิมแล้วนั่งรอคนที่กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว

“มาแล้ว” เสียงร่างบางเดินมาแต่ไกลพร้อมกับมือที่ยกชามใบหนึ่งค่อนข้างใหญ่ออกมา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ส่งกลิ่นยั่วยวนใจอยู่

“อาหารสุดอร่อยที่นายว่านี่คือมาม่า”

ซีเครทอดที่จะประชดไม่ได้ เบลมอธยิ้มหวานมาให้ก่อนจะหยิบตะเกียบส่งให้ หัวใจเขาแกว่งไปเมื่อต้องกินถ้วยเดียวกับซีเครท แปลกจัง

…ความรู้สึกเหมือนได้กลับมาบ้านอันแสนอบอุ่นและมีคนรออยู่

“กินสิ เงียบทำไมล่ะ”

เบลมอธที่คีบเส้นบะหมี่ในปากเงยหน้าถามเขา และภาพนั้นทำให้ซีเครทร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขาสลัดภาพไม่ดีออกจากหัวไป ก้มลงจับตะเกียบกินมาม่าตรงหน้า

“นายอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ไม่รู้สึกว่าเหงาบ้างเหรอ” ระหว่างมื้ออาหารเขาสองคนก็คุยกันไปด้วย

“ไม่หรอก เพราะเราเลือกไม่ได้อย่างไงล่ะ ต้องยอมรับความเดียวดายที่เกิดขึ้น”

“ไว้ฉันจะมาเที่ยวหานายบ่อยๆ”

“หึ ให้มันจริงเถอะ”

เบลมอธพูดจบแล้วหยิบแก้วไวน์ที่รินเสร็จแล้วยื่นให้แร็กตาร์ เขามองมันและยื่นมือไปรับในที่สุด


“ปกติแล้ววันหยุดนายทำอะไรบ้าง ดูจากท่าทางแล้วนายคงไม่ใช่ประเภทที่ชอบออกไปเที่ยวข้างนอกสักเท่าไหร่หรอก”

ซีเครทที่ถือแก้วไวน์และเขย่าเบาๆ ไปมาเอ่ยถามเบลมอธที่หน้าแดงไปแล้วกับฤทธิ์ของไวน์ เขาวางแก้วไวน์ไว้ก่อนจะเปิดขวดและเทลงไปอีกรอบ “อย่างที่นายรู้ว่าฉันชอบอ่านนิยายทางแถบตะวันตก มันหยุดก็นั่งตรงนี้แหละ อ่านนิยายไป คิดอะไรไป แปปเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วล่ะ”

“นายดูจะอยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ เลยนะ”

“คนเราน่ะถ้าหาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ต่อไปได้คงอยากใช้ทุกวินาทีอย่างมีความสุขและเวลาคงจะผ่านไปเร็วมากเลยแหละ นายไม่เคยได้ยินเหรอช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ แม้ว่าจะพบเจอความสุขแล้วตอนสุดท้ายยังไงงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา ต้องหยุดความสุขเหล่านั้นไว้และเก็บมันบันทึกไว้ในลิ้นชักความทรงจำหรือก็คือสมองนั่นแหละ”

“…”

“พอเวลาผ่านไป อาจจะสักสิบปี ยี่สิบปี หรือว่านานกว่านั้นมันก็จะยังคงวนเวียนอยู่ เพื่อบอกว่าในอดีตที่ผ่านมาเราเคยเจออะไรมาบ้าง แต่สำหรับคนที่ต้องโดดเดี่ยวไร้คนกางปีกปกป้อง…”

“…”

“ช่วงเวลาที่ที่ว่าผ่านไปไวสำหรับคนที่เรียกมันว่าความสุข ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่เสียใจน่ะ หนึ่งวินาทีก็ยาวนานจนแผลร้ายนั้นกัดกินหัวใจจนทรมานไปหมด”

“นายเมาแล้วเบลมอธ อยากนอนพักไหม”

“ใครบอกฉันไม่ได้เมาสักหน่อย ฉันยังดื่มไหวอยู่นะ วันนี้วันเกิดฉัน ฉันไม่มาง่ายๆ หรอก…”

พรึ่บ

ขณะที่เบลมอธกำลังจะจรดริมฝีปากเพื่อจิบไวน์อีกครั้ง ซีเครทก็พุ่งเข้ามารวบตัวเขาไปกอดเอาไว้ ทำให้แก้วไวน์ใบนั้นหกใส่คนทั้งคู่ แต่เหมือนซีเครทจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่

“ได้โปรดเถอะ อย่าพูดแบบนี้อีกเลย”

“แววตานายเหมาะที่จะมองโลกใบนี้อย่างมีความสุขมากกว่านะ ถ้ามีอะไรนายสามารถคุยกับฉันได้ อย่าเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาเลย”

ของเหลวอุ่นไหลออกมาจากหางตาเบลมอธ ความรู้สึกอบอุ่นนี้ เขาไม่ได้รับมันมานานแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่ที่คนนั้นเขาจากไป วันนี้เขากำลังได้สัมผัสมันอีกครั้ง แม้ว่าในฐานะคนรู้จักก็ยังดี

นี่คงจะเป็น…ของขวัญวันเกิดจากพระเจ้าสินะ ที่ส่งผู้ชายคนนี้มาเขาในคืนที่เดียวดาย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะส่วนลึกในใจเขาอยากให้เป็นแบบนั้นกันแน่ เขาคลายอ้อมกอดออกเพื่อจ้องตาร่างบางในอ้อมกอดให้ชัดเจน แววตาสุกใสที่มีหยาดน้ำคลออยู่ทำให้อารมณ์บางอย่างภายใต้จิตใจที่เขาพยายามสะกดเอาไว้ปะทุขึ้นมา แต่เขาแปลกใจที่ว่า…มันไม่ใช่ความรู้สึกของการอยากได้อยากครอบครอง อยากปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นแบบที่เคยทำมา

…เหมือนที่เคยทำกับผู้ชายคนนั้น…เชอร์เบล…

จุดต่างของความรู้สึกมีอยู่นิดเดียวเท่านั้น กับเบลมอธเขาเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งแต่สามารถรับรู้ความเหงาเดียวดายจากร่างบางนี้ได้ และทำให้เขาอยากปกป้อง อยากดูแลไม่ให้ใครมาทำร้าย กลัวเหลือเกินว่าแก้วที่บอบบางใบนี้เคยแตกมาก่อนและเขาไม่อยากให้มันแตกซ้ำเป็นครั้งที่สอง

กับเชอร์เบลนั้นเขาอยากค้นหา อยากท้าทายว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าหวานแหววและเจ้าเล่ห์นั้นอยู่ในที เหมือนเขาเพียงแค่มาล้อเล่น เป็นนางฟ้าที่บินลงจากสวรรค์มาเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ธรรมดาแบบเขาและจะจากไปในที่สุด มีตัวตนแต่สัมผัสไม่ได้…

เบลมอธประคองหน้าซีเครทเอาไว้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากคนตรงหน้า มือทั้งสองข้างโอบกอดร่างสูงเอาไว้ราวกับกลัวว่าหากปล่อยไปเขาจะหายไปได้ ซีเครทเองก็จูบตอบเบลมอธอย่างเร่าร้อน ทั้งคู่ต่างมอบสัมผัสแสนหวานให้แก่กันและกัน มือขวาของเบลมอธปัดไปมาจนไปชนกับแก้วไวน์และขวดไวน์จนล้มลงพื้นแตกกระจาย เสียงดังของแก้วไม่อาจหยุดอารมณ์ของคนทั้งคู่ได้

ชุดนักศึกษาที่ทั้งคู่ใส่อยู่ถูกถอดทิ้งไปอย่างรวดเร็วราวกับกำแพงขวางกั้นความสุข อารมณ์ของเบลมอธสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อซีเครทลากนิ้วสัมผัสไปทั่วร่างกายเขาอย่างแสดงความปรารถนา
แผ่นหลังบางสัมผัสได้ถึงความนุ่มจากโซฟาที่นั่งอยู่ เบลมอธหลับตาลงรับสัมผัสที่วิเศษที่สุดในโลก ริมฝีปากบางยิ้มอย่างมีความสุข

แวบหนึ่งในความคิดของเบลมอธกลับมีภาพของผู้ชายอีกคนซ้อนทับเข้ามา เขาคนนั้นมีแววตาเศร้าสร้อยราวกับจะบอกว่าเสียใจต่อการกระทำของเขา

…นายจะเสียใจไปทำไมซิน…ในเมื่อนายเป็นคนทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้เอง…

ก่อนที่ซีเครทจะพาเบลมอธขึ้นสู่ดินแดนอันแสนหวาน หยดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมาจากตาเบลมอธ

“เรายังรักนายเสมอนะ…ซิน”





เชอร์เบลขยับตัวไปมาบนเตียงนอนหนานุ่ม เขาพยายามกระพริบตาเพื่อปรับความรู้สึกให้ชินกับแสงแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสียงกดกริ่งที่ดังมาทำให้เขาเบ้หน้าด้วยความหงุดหงิด เพราะนี้เพิ่งจะแปดโมงเช้า ใครหนาไหนมีธุระมาหาเขากัน มือบางเอื้อมเสื้อคลุมอาบน้ำมาคลุมตัวเองและมัด

ขณะที่กำลังจะลุกจากเตียงและเดินออกไปมือหนาของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก็คว้าเอวเขาเอาไว้ก่อน เสียงแหบต่ำเหมือนคนตื่นใหม่กระซิบถาม

“ไปไหนแต่เช้าเชียว”

“เอามือออกก่อน มีคนมาหาฉันแน่ๆ”

มือคู่นั้นละจากร่างเชอร์เบลไป เขาขยี้ผมตัวเองให้ยุ่งกว่าเดิมก่อนจะเดินออกไปส่องตาแมวเจอผู้ชายที่ท่าทางคงจะเป็นพนักงานไปรษณีย์ เขาเปิดประตูออกไป

“มีพัสดุส่งถึงคุณห้องนี้ครับ”

ชายหนุ่มตรงหน้ายื่นห่อของสีน้ำตามาให้และยื่นกระดาษมาให้เขาเซ็นรับและจึงขอตัวจากไป

เซอร์เบลหันหลังพิงประตูและมองกล่องในมืออย่างงงๆ ส่งถึงห้องนี้แต่ไม่บอกว่าใคร ฉับพลันมือนั้นจึงฉีกกระดาษแกะออกดูทันที ด้านในเป็นกล่องสีขาวเรียบๆ ไม่มีอะไร

แต่มันมีสิ่งที่น่าตกใจมากกว่า…ลายเซ็นของ ‘เขา’ อีกคนที่นอนอยู่ในห้อง

มือบางรีบแกะกล่องเปิดดูด้านในทันที

มันคือแผ่นซีดีแผ่นหนึ่ง…

ความทรงจำส่วนลึกพาเขาย้อนกลับไปวันนั้นทันที วันที่เขาเจอกับซีเครทครั้งแรก ตอนตื่นเช้าขึ้นมาหลังจากนอนด้วยกันและกำลังจะแยกย้ายกันกลับนั่นเอง เขาสังเกตเห็นของบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะปลายเตียงลักษณะเหมือนกล้อง แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะใช่จริงๆ

แววตาของเชอร์เบลทอประกายกร้าว ความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่ในนั้น มือบางคว้าไฟแช็กที่วางอยู่บนชั้นวางรองเท้าและจุดไฟเผาทั้งกล่องทันทีก่อนจะโยนลงบนพื้นทั้งที่ไฟยังไม่หยุด จนเวลาผ่านไปสักพักเขาหยิบรองเท้าหนังคู่โปรดของตัวเองตีซ้ำลงไปบนกองเศษนั้นจนไฟหายไปเหลือเพียงแต่เศษขี้เถ้าก่อนจะไปหยิบไม้กกวาดกับที่ตักผงมาทำความสะอาด

…ทำไมถึงทำกับเขาแบบนี้

สัมผัสจากมือที่โอบรอบเอวเขาทำให้เชอร์เบลรู้สึกตัว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซุกอยู่ตรงซอกคอเขา

“หน้าบึ้งเชียว หงุดหงิดอะไรแต่เช้าล่ะ”

เชอร์เบลถอนหายใจออกมาก่อนจะสลัดอารมณ์เหล่านั้นทิ้งไป มือเรียวจับมือหนาที่วางอยู่บนท้องเขา เสียงแผ่วเบาหันกลับไปกระซิบริมหูคนด้านหลัง

“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่นายน่ะแหละ”

“….”

“ใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ…ซิน”







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2014 14:13:51 โดย Homepage »

Golem237

  • บุคคลทั่วไป
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 2 60%)
«ตอบ #24 เมื่อ04-03-2013 23:28:56 »

ออกตัวก่อนว่า ได้ตามมาอ่านเพราะว่าเพื่อน (Grey Twilight) แนะนำมาค่ะ พอลองอ่านดูก็พบว่าน่าสนใจมาก ขอติชมสักนิดนะคะ

อันดับแรก จากมุมมองของไลท์ที่เรียนทางอักษรมาโดยตรง คิดว่าพล็อตที่วางไว้น่าจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนพอสมควร ซึ่งนี่เป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยนะคะ
- ข้อดีคือ พล็อตแบบนี้จะกระตุ้นให้คนอ่านได้คิดตาม ในทางการวิเคราะห์งานประพันธ์ เราถือว่าวรรณกรรมที่มีพล็อตแบบนี้มีคุณค่าทางสังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งนักอ่านที่ชอบวิเคราะห์ (แบบไลท์) จะค่อนข้างชอบนิยายแบบนี้ค่ะ
- แต่ก็มีข้อด้อยที่ควรระวัง คือ การวางพล็อตที่ซับซ้อนมากไป จำเป็นต้องมีการเฉลยออกมาเป็นระยะๆด้วยนะคะ อย่ามาโถมเฉลยหมดทีเดียวภายในหนึ่งตอน เพราะมันจะดูเป็นการเล่นระดับอารมณ์มากเกินไป แล้วมันจะทำให้ผู้อ่านตามไม่ทัน

สำหรับด้านความสัมพันธ์ทางอารมณ์ของตัวละคร คิดว่าทำได้ดีแล้วค่ะ โดยส่วนตัวไลท์ชอบบทนำของเบลมอธมากที่สุด เพราะว่าอธิบายได้กระจ่าง ใช้คำได้ไม่เวิ่นเว้อเกินไป แล้วก็ละเอียดละออทางความรู้สึก

อีกเรื่องนึงที่สังเกต คือความเกี่ยวพันทางอารมณ์มันอีรุงตุงนังยังไงชอบกล มันเลยทำให้ดูเหมือนไม่มีตัวละครไหนเด่นออกมาเลย ยกเว้นเชอร์เบลที่เป็นคาแรกเตอร์ลึกลับ อันนี้มันดูเด่นเพราะบทอยู่แล้ว ถ้าให้ดี พยายามแยกเมเจอร์ฟีลลิ่งของแต่ละตัวละครออกมาหน่อยก็ดีค่ะ แล้วก็อย่าเขียนบทโดดไปโดดมา เพราะว่ามันจะดูสับสน ถ้าให้แนะนำ คือเขียนตอนนึงเป็นมุมมองของคนนึงไปเลย มันจะได้เห็นภาพรวมว่าเป็นยังไง และสามารถเก็บปมซ่อนได้

พล็อตก็ท่าทางจะยังไม่เฉลยออกมาถึง 10% ก็ต้องรอติดตามต่อไป แต่ตอนนี้ไลท์คิดว่ามันมีตัวละครที่ดูขาดๆเหลือๆ (กึ่งหลักกึ่งตัวประกอบ) อยู่ ก็คือเวกัสกับซิน เพราะว่าซินเปิดมาแค่บทแรกแล้วยังไม่โผล่ (แต่ถ้ามาโผล่เพิ่มมันก็ยังโอเคค่ะ เพราะว่าตัวละครที่เป็นรุกในเรื่องนี้มันยังดูน้อยๆอยู่ ถ้าเพิ่มมาก็จะได้มีเป็น 3 คน) แต่ที่สำคัญคือเวกัส เพราะตัวละครประเภทรับเรื่องนี้เยอะมาก เบลมอธ เซอร์เบล บีทีน เวกัส แล้วเป็นตัวละครหลักหมดเลย การแบ่งบทพล็อตหลักให้คน 7 คน(3 + 4 รวมเวกัส) นี่เป็นเรื่องหินมากนะคะ ถ้าให้ดี กำหนดคู่รองลงมา หรือว่าสร้างบางตัวละครเป็นตัวละครผลักพล็อต [มีความสำคัญกับพล็อต แต่ไม่เน้นชีวิตรัก] ก็จะทำให้ control เรื่องได้ดีขึ้นค่ะ

ยังติดตามอยู่ค่ะ ถ้ามีอะไนเพิ่มเติมจะคอมเมนท์ให้ค่ะ ชอบพล็อตมาก โดยส่วนตัวชอบชื่อเรื่อง แล้วก็ชอบเคมีของเชอร์เบลกับซีเคร็ทที่ดูเข้าคู่กันดี ส่วนเรื่องเบลมอธ ไลท์คิดว่าซินน่าจะมีบทเพิ่มนะ ไม่งั้นตัวละครรุกมันขาด เพราะแรกตาร์ก็น่าจะไปลงกับบีทีนแล้ว ที่เหลือเป็นรับ 3 คน กับซีเคร็ท มันก็ดูไม่สมดุลเท่าไหร่

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Re: Perfect Match! ซ่อนรักร้าย (Chapter 3)
«ตอบ #25 เมื่อ07-03-2013 21:19:31 »

Chapter 3
Scar


บีทีนเดินลงบันไดบ้านเพื่อจะออกไปรดน้ำดอกไม้ในสวน เขาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมรสกล้วยหอมออกมาเจาะดูด แล้วเดินเปิดประตูออกไปข้างนอก

บรรยากาศตอนเช้าอากาศดีจนบีทีนหาวออกมาด้วยความขี้เกียจ สายตาเหลือบไปด้านข้างสวนมีโต๊ะสำหรับนั่งพักอยู่หนึ่งชุดพี่ชายเขากำลังนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น บีทีนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออะไรบางอย่างบอกเขาว่าอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนพี่ชายตอนนี้ เพราะฉะนั้นจึงเดินเลี่ยงออกมาอีกทางแทนการไปเอาบัวรดน้ำมาให้อาหารเช้าต้นไม้ต่างๆ

ติ๊งต่อง!

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นทำให้บีทีนที่กำลังจะเดินเข้าบ้านเดินออกไปหน้าบ้านอีกครั้ง

นอกประตูเหล็กนั้นปรากฏร่างสูงของคนที่เขาคุ้นเคยเป็นพิเศษในช่วงนี้ บีทีนหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อต้องมาเจอใบหน้าของชายหนุ่มในสภาพที่ตนเองตื่นนอนไม่นาน เขาโวยวายไปก่อนทันที

“ตาบ้า นายมาทำอะไรแต่เช้าเนี่ย ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“เฮ้ย ยังไงก็น่ารักน่า”

บีทีนเขินไปใหญ่กับคำพูดคนตรงหน้า …รู้อยู่แล้วว่าเขาแซวเล่น…ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงแบบนี้นะ

“พอดีว่าฉันได้บัตรเข้าสวนสนุกฟรีมาสองใบน่ะ ไม่รู้จะชวนใครไปดี เห็นช่วงนี้นายว่างเลยถามดู”

แร็กตาร์พูดความจริงขึ้นเดียว…เพราะเขาตั้งใจมาชวนร่างบางตรงหน้าอยู่แล้ว คิดคำพูดตั้งนานแน่ะเมื่อคืน

“สวนสนุกเหรอ” บีทีนเงียบไป …เขาไม่ได้ไปเที่ยวสวนสนุกนานเท่าไหร่แล้วนะ

“น่าสนใจไหมล่ะ”

“โอเค นายรอนี่แปปหนึ่งนะ หรือจะเข้าไปรอในบ้าน ขออาบน้ำแปปหนึ่ง”

“แหม คุณบีทีนครับ แดดแรงขนาดนี้ใจคอจะให้ผมยืนรอตรงนี้เหรอ”

“ก็นึกว่าอยากรอข้างนอก เข้ามาสิ ฮ่าๆ”

รอยยิ้มของบีทีนทำให้แร็กตาร์หัวใจเต้นแรง เขายิ้มตามก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่จัดแต่งด้วยสีโทนอ่อนคล้ายไส้ครีมของขนมปัง เขานั่งบนโซฟาสีขาวที่มีตุ๊กตาหมาน้อยสีขาววางคว่ำอยู่

เขาคิดว่าการตกแต่งภายในบ้านน่าจะเป็นความคิดของบีทีนและซีเครทน่าจะเป็นคนแก้ไขจุดที่ผิดพลาดไม่ควรทำ ดูเป็นพี่น้องที่รักกันดี

สายตาแร็กตาร์เหลือบมองบีทีนที่เดินขึ้นไปชั้นสองแล้วเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องหนึ่ง นี่อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นนอนชั้นบน ส่วนพี่ซีเครทนอนชั้นล่าง

เสียงฝีเท้าเดินมาทำให้เขาหันไปมอง เป็นซีเครทนั่นเอง แร็กตาร์เอ่ยทักทาสียงใส

“พี่ซีท หวัดดีครับ ไม่ได้เล่นบาสด้วยกันนานเลย”

“เออ หวัดดี ฉันก็ไม่คิดว่าแกจะมาติดพันน้องชายฉันเหมือนกัน” ประโยคแซวด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำเอาเขาอ้าปากค้างไปชั่ววินาที

“พะ…พี่ซีทรู้ได้ไงครับ”

“ฮ่าๆ โธ่เอ้ย สีหน้าแกมันแสดงออกมากมายขนาดนั้น ไม่แน่นะบีทีนมันอาจจะรู้ก็รู้ ว่ามีคนรอขย้ำมันอยู่”

“พี่อย่าเพิ่งบอกบีนนะ” แร็กตาร์อ้อนเสียงอ่อยอย่างหมดท่า

“ทำไมล่ะ นี่กะจะขึ้นไปบอกพอดีเลยเนี่ย”

“โธ่ พี่ครับ อย่าแกล้งผมเลย ผมแค่อยากทำให้เขามั่นใจในตัวผมจริงๆ ก่อนแล้วค่อยบอก ไม่อยากให้เขาคิดว่าผมเล่นเฉยๆ”

“น่า ฉันล้อเล่น ไม่คิดจะไปบอกหรอก”

“ขอบคุณมากเลยครับ >O<”

“แล้วนี่จะออกไปเที่ยวไหนกันเนี่ย”

“อ๋อ” แร็กตาร์พึมพำแล้วหยิบบัตรสองใบในกระเป๋าเสื้อออกมาโชว์ให้ซีเครทดู “ผมได้ตั๋วเข้าสวนสนุกฟรีมาสองใบน่ะครับ เลยมาชวนเขาไป ไม่หรอก คือ จริงๆ ก็ตั้งใจเลยแหละ แหะๆ”

แร็กตาร์เกาหัวแก้เก้ออย่างหมดท่า ซีเครทยิ้มกับท่าทางนั้นก่อนจะเอ่ยตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ ฉันเข้าไปทำงานต่อในห้องแล้ว”

“ครับพี่ ไว้คุยกัน”

แร็กตาร์มองตามซีเครทที่เดินเลี้ยวไปอีกทางที่มีประตูห้องสีน้ำตาลอ่อนอยู่ เป็นเขาเองที่คิดถูก บีทีนนอนชั้นบนจริงๆ ด้วย
รอบห้องนั่งเล่นนี่มีแต่ของน่ารักเต็มไปหมด ตุ๊กตาไขลานเอย กล่องดนตรีเอย สารพัดตุ๊กตาตัวเล็กที่ตั้งโชว์บนตู้ มีกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งตั้งอยู่หลังตู้วางของ คาดว่าน่าจะเป็นของพี่ชายบีทีน

“เสร็จแล้วรอนานป่ะ”

แร็กตาร์หันไปมองามเสียงก่อนจะตะลึงไปกับคนตรงหน้า บีทีนเกาหัวอย่างเขินๆ เมื่อถูกจ้องขนาดนั้น ขาใส่ชดเอี๊ยมแฟชั่นแบบผู้ชายสีเหลือง กางเกงเลยยาวเข่าลงไป ด้านบนนั้นเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดแขนสั้น กับรองเท้าแตะสีเหลืองอ่อน ดูแล้วเหมือนเป็ดน้อยจริงๆ

“เสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ ออกไปสายเดี๋ยวแดดร้อน”

“ไปกันเถอะ ว่าแต่นายยังไม่ชมฉันเลยนะ” บีทีนหลบตาไปทางซ้ายแก้เขินก่อนจะถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ

แร็กตาร์เผยรอยยิ้มสุดเท่ที่มุมปากก่อนจะเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้บีทีนยิ้มไม่หุบจนไปถึงสวนสนุกเลยทีเดียว

“น่ารัก”

หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปแล้วซีเครทที่ตอนแรกบอกว่าจะเข้าไปนอนในห้องทำการบ้านก็เดินออกมาด้านนอกเพื่องบวติอารมณ์ตัวเองเรื่องของเบลมอธเมื่อคืนก่อน เขาเดินเข้าไปในห้องครัวตรงอ่างล้างหน้าจากนั้นจึงเปิดน้ำให้ไหลออกมาพร้อมกับเอามือแช่ผ่านสายน้ำค้างไว้แบบนั้น

เขาไม่รู้ว่าป่านนี้เบลมอธจะเป็นยังไงบ้าง จะเจอเหตุการณ์เดียวแบบที่เขาเจอหรือเปล่า กับอาการว้าวุ่นแบบนี้ เพราะซีเครทเองจำได้ว่าพอตื่นเช้าเขารีบแต่งตัวออกมาเลยและเอาผ้าห่มบริเวณนั้นคุมตัวเบลมอธไว้

ติ้งต่อง

ซีเครทละมือจากสายน้ำข้างหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว …เมื่อกี้เจ้าเด็กนั่นก็มาหาน้องชายเขาแล้ว…แล้วคนนี้ใครอีกล่ะ

เขาปิดน้ำ เช็ดมือกับผ้าเช็ดมือที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปที่ประตูนอกบ้าน ปรากฏว่าเป็นเวกัสนั่นเอง ซีเครทเอ่ยทักทันที

“อ้าว เวกัส”

“สวัสดีครับพี่ซีท” เวกัสพนมมือไว้พี่ชายของเพื่อนอย่างนอบน้อม

“มาหาเจ้าบีนมันเหรอ”

“ใช่ครับ บีทีนอยู่บ้านหรือเปล่าครับ”

“เพิ่งออกไปก่อนหน้านี้เลย แร็ดตาร์ชวนไปเที่ยวสวนสนุกน่ะ”

“เหรอครับ เวกัสหน้าหม่นไป ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงพูดออกไป “ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ อย่าเพิ่งกลับเลย บ้านนายก็อยู่ไกลด้วยนี่”

“จะดีเหรอครับ” เวกัสรู้สึกเกรงใจขึ้นมา เพราะถึงแม้บีทีนจะเป็นเพื่อนเขาแต่ตอนนี้เจ้าตัวไม่อยู่นี่นา และต้องมาอยู่กับผู้ขายที่ทำให้เขาใจเต้นแบบนี้เอง จะให้ทำยังไงล่ะ

“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า อ้อ วันนี้มีหนังใหม่เข้าด้วยนี่นา ไปดูเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ พี่เซ็งมากเลย” ซีเครทไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาตัดสินใจชวนเวกัสไปตรงหน้าแบบนั้น รู้เพียงแต่หากเขาอยู่คนเดียวคงได้คิดมากจนปวดหัวแน่ๆ ออกไปหาอะไรทำด้านนอกน่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า

เวกัสคิดอยู่แวบหนึ่ง ไหนๆ ก็ออกมาแล้วนี่นา คงไม่เป็นอะไรหรอก คนตรงหน้าก็พี่ชายเพื่อนสนิทเรา ถือว่าไปเดินเล่นคลายเครียดดีกว่า

“โอเคครับ”





“นายแน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปในนี้จริงๆ” บีทีนถามเสียงหยาดๆ เพราะเครื่องเล่นแสนสนุกที่ปรากฏตรงหน้าเขาตรงนี้ คือ

…บ้านผีสิง

จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนกลัวอะไรแบบนี้นะ แค่กลัวความมืดเฉยๆ และในนั้นมันก็ต้องมืดและมีอะไรแวบไปแวบมาอยู่แล้ว ใครจะไกล้าเข้าล่ะ

“หรือว่านายกลัว” แร็กตาร์แหย่ออกไปซึ่งวิธีนี้ได้ผลทันที เพราะบีทีนขมวดคิ้วขึ้นมองหน้เขาแบบท้าทาย “นายว่าใครกลัว”

“ถ้าไม่กลัวก็เข้ามาเลยสิ”

แร็กตาร์จูงมือบีทีนเข้าไปในประตูสีดำตรงหน้าทันที คนควบคุมส่งยิ้มให้เขาและอวยพรให้สนุกกับบ้านผีสิง เขาพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เมื่อบีทีนเหงื่อออกตามมืดและเริ่มตัวสั่นเล็กน้อย

…ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งน่าแกล้ง

…เขาคิดว่าวันนี้ในสวนสนุกที่คิดว่าอากาศจะร้อนจนอยากนอนอยู่ในห้องแอร์ คงมีอะไรให้เขาทำมากกว่าอยู่เฉยๆ แน่ๆ อย่างน้อยก็คือการเห็นคนตัวเล็กด้านข้างกลัวจนแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาล่ะน่า




หญิงสาวปลดผ้าคลุมอาบน้ำของเธอจนหลุดเคลียไปกับไหล่บอบบางขาวบริสุทธิ์ เธอค่อยๆ ใช้นิ้วชี้เรียวยาวสวยกรีดไปตามใบหน้าชายหนุ่มที่ถอดเสื้อออกและมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ริมฝีปากสีแดงสดของหญิงสาวก้มลงกระซิบบางอย่างบริเวณข้างหูของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะผลักเธอล้มลงบนเตียงไว้ด้านล่าง และเขาขึ้นไปคร่อมเธอไว้ด้านบน ทั้งคู่จูบกันอย่างเร่าร้อน หมุนตัวสลับกันไปมากับตำแหน่งด้านบนด้านล่าง

อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่หนาวแทบจะตัวแข็ง พอมาเจอฉากรักร้อนแรงแบบนี้เวกัสกลับคิดว่าจะมีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกร้อนจนอยากจะแก้ผ้าออกให้หมด แล้วดูชายหนุ่มที่นั่งข้างเขาสิ อมยิ้มบางๆ แล้วจ้องฉากด้านหน้าตาไม่กระพริบ หนังเรื่องอะไรกันนะ ทำไมมีแต่ฉากแบบนี้ ใครจะไปกล้าดูแบบเต็มตาล่ะ เขาทำใจมองว่ามันศิลปะไม่ได้หรอก แถมจำนวนคนที่ดูหนังเรื่องนี้ก็น้อยมาก และยังมากันเป็นคู่ๆ อีก หวังว่าคงไม่มีเมคเลิฟกันกลางโรงหนังหรอกนะ

…เขาไม่น่ายอมตกลงดูหนังเรื่องนี้เลย ให้ตายสิ

ตอนแรกโปสเตอร์หนังเป็นรูปชายหญิงฝรั่งสองคนยืนกอดกันบนเรือยอร์ชโดยที่ฝ่ายชายไม่สวมเสื้อ นึกว่าจะมาแนวเดียวกับไททานิก หนังในตำนานที่เขาชอบซะอีก แต่คงไม่ทันแล้วล่ะหลับหูหลับตาดูไปเลยแล้วกัน

“อา…”

เสียร้องครวญครางจากผู้หญิงในจอใหญ่ด้านหน้าทำให้เวกัสหน้าร้อนฉ่าขึ้นมา แถมฝ่ายชายก็เริ่มค่อยจูบต่ำลงมาเรื่อยๆ

หมับ…

เวกัสสะดุ้งแทบตกเก้าอี้ก่อนจะหันไปมองซีเครทที่หัวเราะเบาๆ ตลกเขา และมองมือใหญ่โอบจับมือเรียวของเขาเอาไว้

“ทำอะไรครับ พี่ซีท”

“เถอะน่าอากาศมันเย็นนี่นา ขอจับมือหน่อยจะได้อุ่นๆ” ซีเครทกระชับมือเขาแน่นขึ้นโดยที่สายตายังไม่ละไปจากจอหนังเบื้องหน้า สัมผัสอุ่นๆ แล่นเข้ากลางหัวใจเวกัส เขาเบือนหน้าไปอีกข้างและลอบยิ้มออกมา

…บีทีน…พี่ชายนายร้ายกาจกับฉันมากเลยนะ…

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาหนังก็จบลงด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อชายหญิงสองคนในหนังจริงๆ แล้วต่างมีคนรักเป็นของตัวเอง แต่ลักลอบคบชู้กัน จนความแตกและถูกสังคมประณามไปในที่สุด

เวกัสเพิ่งจะเห็นข้อดีจากหนังเรื่องนี้ มันคือข้อคิดตอนจบเรื่องนั่นแหละว่าการแอบทำอะไรแบบนี้มันไม่ดีเลย ไม่ดีต่อเรา ไม่ดีต่อใครทั้งนั้น แถมผลที่ตามมายังทำให้ใครต่อใครที่ไม่รู้เรื่องต้องมาเสียใจอีก

“เป็นไงติดใจฉากรักร้อนแรงเหรอ”

“บ้า พี่มากกว่า ผมล่ะอยากให้จบเร็วๆ”

“ฮ่าๆ เอาไงล่ะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งก็ได้”

เวกัสดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะตอบ “เพิ่งเที่ยงเองนะครับ เหมือนที่พี่ว่าอ่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เราไปหาอะไรทำกันเถอะ”

“แล้วนายอยากทำอะไรล่ะ”

“อืม…”

“…”

“นึกออกแล้ว ไปกินไอศกรีมกัน ไม่ได้กินมานานแล้ว อยู่ในโรงหนังอากาศเย็น พอออกมาข้างนอกแล้วอากาศร้อน ทำให้อยากกินขึ้นมาเลย”

“จริงเหรอ”

“อะไรจริงเหรอ”

“ที่บอกว่าในโรงหนังหนาวอ่ะ”

“อ้าว ทำไมถามแปลกๆ อ่ะ อากาศเย็นขนาดนั้น พี่จะบอกว่าไม่หนาวเหรอ”


ก็พี่จับมือนายไว้ตลอดเลยไง สงสัยว่าทำไมถึงยังหนาว (:




“ที่จริงพี่ไม่ต้องมาส่งผมก็ได้อ่ะ มันไกลแล้วพี่ต้องตีรถกลับไปอีก”

เวกัสบ่นงุ้งงิ้งตอนที่เขาจอดรถหน้าบ้านของร่างบาง ก็อยากมาส่งนี่นาทำยังไงได้ล่ะ

“ทำไมล่ะ ก็พี่เต็มใจมาส่งนี่นา”

“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปทานข้าวกับผมนะครับ ให้ผมได้ตอบแทนพี่บ้าง”

“โอเค ก็ได้ นี่ถือว่าขอนะเนี่ย ไม่อย่างนั้นกลับรถขับออกไปแล้ว”

“หมั่นไส้ นี่แน่ะ”

เวกัสว่าแล้วหยิกพุงซีเครทเบาๆ ก่อนจะหัวเราะตาม จากนั้นจึงเปิดประตูรถลงเพื่อเปิดประตูบ้าน

ขณะที่ร่างบางกำลังเดินลงไปเปิดประตูนั้น  อะไรบางอย่างทำให้ซีเครทหันไปมองทางด้านหลังเสาไฟฟ้าที่มีเงาดำหลบอยู่พร้อมกับหันวัตถุบางอย่างเล็งไปที่เวกัส

เขาตาเบิกกว้างทันที นั่นมัน…

…ปืนนี่นา

ซีเครทเปิดประตูออกไปทันทีและวิ่งเข้าไปหาเวกัสที่กำลังลากประตูออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเหนี่ยวไกปืนดังขึ้น

“มีอะไรเหรอพี่ซี…”

ปัง!

ร่างสูงของซีเครทล้มลงตรงหน้าเขาก่อนของเหลวสีแดงที่ถูกความมืดย้อมเป็นสีดำจะไหลออกมากช่วงท้องล่างซ้าย ค่อยๆ ไหลลงพื้น

“พี่ซีท!!!!!”







Talking Shalala (:
บางครั้งผมก็แอบงงว่าชื่อเรื่องผมกับหัวข้อเรื่องมันดาร์กไปหรือเปล่า ถึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาอ่านเลย
อยากถามความคิดเห็นหน่อยครับว่าถ้าผมลงนิยายสองเรื่องไปพร้อมกันเลยจะดีไหม ?
แต่แอบกลัวแบ่งเวลาไม่ได้ และทำให้เรื่องไม่จบ T____T
ซึ่งผมตั้งใจกับสองเรื่องนี้มากแต่กลัวแบ่งเวลาไม่ได้

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ (^O^)


ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 4
Ill

          2 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

          เชอร์เบลนั่งดูหนังอยู่บนโซฟาหนานุ่มสีน้ำตาลอ่อน มือทั้งสองข้างกอดหมอนอิงสีเทากำมะหยี่เอาไว้ ดวงตาของเขาทอแวว เปลี่ยนไปตามสถาณการณ์หนังในทีวี เวลานี้ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาช่างเป็นผู้ชายที่น่าดูแลรักษาเหลือเกิน ดวงตาเรียวที่มักจะมองโลกด้วยความสดใสเวลาอยู่กับผู้คนมากมาย และในเวลาที่อยู่คนเดียว มีเพียงความเย็นชาเท่านั้นที่ทอดออกผ่านมาทางแววตาเรียวคู่นี้

          มือข้างขวาเอื้อมมือไปหยิบรีเมทสีดำขึ้นมากดหยุดหนังตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมา สายตาเบือนออกไปมองทางระเบียงชั้นหกของคอนโดสุดหรูใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ ท้องฟ้าเริ่มครึ้มขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานสายฝนคงเทกระหน่ำลงมา เครื่องปรับอากาศที่เปิดในห้องนี้ค่อนข้างเย็นจัดตามประสาคนชอบความเย็นแบบผู้ชายคนนั้นที่เขา…รักหมดหัวใจ

          หัวสมองเขาพลันคิดไปถึงซีดีแผ่นนั้น ในนั้นมีเรื่องบนเตียงระหว่างเขากับซีเครทอยู่ ซินจะทำร้ายเขาไปทำไมในเมื่อเคยบอกว่ารักเขา หรือซินคิดจะแบล็กเมลล์เขากลับเหมือนที่เขา…ทำเมื่อก่อน


          ก่อนหน้านี้สองปี เขากลับมาจากอเมริกาเนื่องจากพ่อกับแม่เขาหย่ากัน และเขาคือส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ เขาเสียใจมากในตอนแรกเมืองหลวงแห่งนี้เขาไม่สามารถหันหน้าไปหาใครได้อีกแล้ว สิ่งที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้เขาก่อนจะเลิกรากันไปคือเงินในบัญชีจำนวนมหาศาลที่ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด เขาจึงคิดจะกลับมาตั้งหลักที่ประเทศไทย…คนเดียว

          วันนั้นเขาไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งเพื่อดับความทุกข์ภายในจิตใจ มีผู้ชายหลายคนมาติดพันเขาและอยากจะไปต่อกับเขา แน่นอนเขาจะตอบตกลงและไปสนุกกับผู้ชายพวกนั้นก็ได้ แต่ส่วนลึกภายในจิตใจบอกเขาว่าคนเหล่านั้นไม่ได้คิดจริงจังกับเขามากไปกว่าของเล่นสนุกชั่วข้ามคืน และพอตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็จะนอนห่มผ้าห่มร้องไห้อย่างเดียวดายเมื่อตื่นมาแล้วไม่เจอคนนอนอยู่ข้างๆ เขาเกือบจะกลับไปกับชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่แล้วถ้าไม่มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาชวนเขาคุย บางทีนะคนๆ นี้อาจจะเห็นความเหงาที่ซ่อนอยู่ในแววตาเขาก็ได้ และคนๆ นี้อาจจะช่วยโอบอุ้มเขาไปเจอกับช่วงเวลาที่งดงาม

          ‘ทำไมนายมานั่งคนเดียวล่ะ เห็นมั้ย ผู้ชายคนเมื่อกี้เกือบจะพานายไปต่อแล้ว’

          ‘ฉันไม่มีเพื่อนน่ะเลยต้องมาคนเดียว ว่าแต่นายเหอะก็มาคนเดียวเหมือนกันนี่’

          ‘ฮ่าๆ แค่นานๆ ทีออกมาครั้ง ปกติแฟนฉันไม่ค่อยชอบให้ออกมาเที่ยวที่แบบนี้หรอก’

          แววตาคนตรงหน้าทอประกายวิบวับอย่างมีความสุขเมื่อพูดถึงคนนั้น เชอร์เบลคิดอิจฉาในใจอย่างช่วยไม่ได้ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้สัมผัสเลยว่าการมีคนห่วงใยและคิดถึงเราตลอดเวลาเป็นอย่างไร

          …คนนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน…ที่มีคนที่รักเขามากมายขนาดนั้น…

          …มากจนเขาอิจฉา

          ‘ดูจากท่าทางนายคงไม่ใช่คนไทยสินะ’ คนตรงหน้าถามเขาด้วยความอยากรู้

          ‘ใช่แล้ว ฉันเป็นคนลูกครึ่งไทย-อเมริกาน่ะ แต่ตอนนี้ย้ายกลับมาเรียนที่ไทย’

          ‘อืม ฉันชื่อ ซิน นะ ยินดีที่ได้รู้จัก นายชื่ออะไรเหรอ’

          เชอร์เบลเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายคนนี้ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไงเวลาที่มีคนมาถามชื่อแบบนี้ เพราะผู้ชายที่เขาเจอในสถานบันเทิงไม่เคยแม้แต่จะถามชื่อเขาเลย

          ‘เชอร์เบล ฉันชื่อเชอร์เบล’

          พวกเขาคุยกันไปเรื่อยๆ จนลืมเลือนเวลา แอลกอฮอล์ในเลือดก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของซินแดงก่ำ เริ่มพูดมากขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายเราจะจบกันลงบนเตียง เชอร์เบลหลงใหลไปกับสัมผัสอันแสนเย้ายวนของซินจนถอนตัวไม่ขึ้น ความอบอุ่นที่ซินมีให้ทำให้เขารับรู้ว่าในโลกที่โหดร้ายใบนี้ยังมีคนต้องการเขาอยู่ และเขา…จะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีก

          เชอร์เบลตัดสินใจตั้งกล้องวิดีโอขนาดเล็กเอาไว้และบันทึกภาพความรักระหว่างเขากับซิน และนำมันมาเป็นข้อต่อรองในวันรุ่งขึ้นเพื่อยื้อซินให้อยู่กับเขา แววตาของคนหัวใจสลายในวันนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในความทรงจำเขาเสมอว่าซินเสียใจมากแค่ไหนที่ต้องบอกเลิกคนที่เขารักในวันนั้น เจ้าของรองเท้าหนังสีน้ำตาลคู่นั้น…คือเขาเอง

          ชีวิตของเขากับซินหลังจากนั้นเหมือนอยู่กันคนละโลก เขาอาจจะมีความสุขที่สมารถครอบครองซินเอาไว้ข้างกาย แต่หัวใจซินฝากไว้ที่ใครอีกคนนานแล้ว เขารักซินมาก รักจนยอมทำเพื่อซินได้ทุกอย่าง ขอแค่ซินยังอยู่ข้างกายเขา

          วันนั้นซินเอ่ยบางอย่างกับเขา…

          ‘ในเมื่อฉันคงไม่มีโอกาสกลับไปหาเบลมอธอีกแล้ว นายจะช่วยฉันทำอะไหน่อยได้ไหม’

          ‘สิ่งที่นายต้องการ ฉันทำให้ได้หมด ขอแค่เพียงนายยังอยู่ข้างฉัน’

          ‘อย่าให้เบลมอธมีใคร…’

          ‘…’

          ‘ให้ฉันได้มองเห็นเขาอยู่แบบนี้ต่อไป โดยที่เขาไม่มีใครเถอะ’

          ‘…’

          ‘…’ ซินหันมาสบตาเขา ในแววตานั้นแฝงไปด้วยคำขอร้องที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการจะทำเพื่อคนที่เขารัก เพราะมารร้ายอย่างเขาได้ใช้กรงทองที่เรียกว่าความรักกักขังเขาเอาไว้ และไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก

          ‘ได้สิ ฉัน…จะจัดการให้นายเอง วางใจเถอะ’

          เชอร์เบลดึงสติตัวเองกลับมายังปัจจุบันเมื่อรู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว เขาส่ายหน้าไปมากับความคิดโง่ๆ ของตัวเอง มือบางเดินไปหยิบกระเป๋าเงินหนังสีดำบนโต๊ะและก้าวออกห้องไปทันที วันนี้เขามีภารกิจต้องทำเพื่อผู้ชายที่เขารัก และต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้

          วันนี้ซินบอกว่าจะออกไปคุยงานกับลูกค้าคนสำคัญแทนพ่อเขาที่ทำงานอยู่บริษัทใหญ่ต่างประเทศ หลังจากสองปีที่แล้วซินก็ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เขาไม่ยอมเรียนมหาลัยเพราะคงไม่มีหน้าไปเจอเบลมอธ แน่นอนว่าเบลมอธต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยไฮเดรนเยียร์…มหาวิทยาลัยในฝันของพวกเขาสองคน

          ด้วยมันสมองที่ฉลาดหลักแหลมทำให้ซินเลือกที่จะช่วยงานบริษัทของคุณพ่อทางประเทศไทยและมาอยู่กับเขาที่คอนโดแห่งนี้ตามข้อเสนอที่เคยให้ไว้

          …เขาต้องหาแพะรับบาปที่จะก่อบาปแทนเขาในคืนนี้…เขาจะทำเพื่อผู้ชายที่เขารักอีกครั้ง
และสุดท้ายสถานที่ที่เขาเลือกก็คือสถานบันเทิงประจำที่เขาชอบมานั่งปล่อยอารมณ์

          ผู้ชายหน้าโง่คนไหนกัน…ที่จะไปจัดการตามแผนเขาในคืนนี้



          Hospital

          บีทีนกับแร็กตาร์ที่นั่งเล่นกันอยู่ที่บ้านหลังจากกลับมาจากสวนสนุกถึงกับตกใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จากเวกัสเรื่องที่ซีเครทถูกยิงขณะที่มาส่งเวกัสที่บ้าน พวกเขาทั้งสองคนรีบเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลทันที มือเย็นเฉียบของบีทีนถูกแร็กตาร์กุมไว้หลวมๆ อย่างให้กำลังใจ

          ที่โรงพยาบาลหน้าห้องผ่าตัดมีร่างของเวกัสนั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปหาทันที เวกัสที่พยายามกลั้นความรู้สึกตัวเองมาตั้งแต่เมื่อกี้ถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อเจอหน้าบีทีน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังไปทั่วบริเวณทางเดินหน้าห้องผ่าตัดแห่งนั้น บีทีนกอดเวกัสไว้หลวมๆ ก่อนจะพาไปนั่งเก้าอี้ที่เดิม

          “นายใจเย็นๆ ก่อนนะเวกัส พี่ซีทถึงมือหมอแล้ว”

          “เป็นเพราะฉันเอง ทุกอย่างเป็นเพราะฉัน”

          “อย่าคิดอย่างนั้นเลย ตอนนี้นายต้องสงบสติอารมณ์ก่อนนะ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอและให้กำลังใจพี่ซีทอยู่ด้านนอกนี้”

          “ฮึก”

          เวกัสพยายามหยุดร้องไห้ ถือผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินสดเช็ดรอบดวงตาที่แดงก่ำโดยที่บีทีนยังคงกอดเขาไว้หลวมๆ แร็กตาร์ที่เดินตามมาทีหลังยื่นขวดน้ำดื่มที่ซื้อจากด้านล่างให้เวกัส เขาหยิบขึ้นมาเปิดขวดออกดื่ม

          ไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาที่ต้องรอคอยคนที่เรารักระหว่างเวลาแห่งความตายกับความจริงมันแสนทรมานเหลือเกิน…

          “ไหนนายลองตั้งสติดีๆ และเล่าออกมาสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” แร็กตาร์ที่ยืนพิงผนังอยู่ถามออกมาเมื่อเวกัสตั้งสติได้และหยุดร้องไห้ไปแล้ว เวกัสสูบลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาดูเข้มแข็งขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาเล่าออกมาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในที

          “ฉันกับพี่ซีทเพิ่งกลับจากไปเที่ยวกันมา…”

          แววประหลาดใจปรากฏในตาของบีทีนก่อนมันจะเลือนหายไป เวกัสพูดต่อ “พี่ซีทมาส่งฉันที่บ้าน ตอนนั้นพี่เขารอฉันอยู่บนรถและฉันลงไปเปิดประตู ได้ยินเสียงพี่ซีทเรียกเสียงดัง หันมาอีกทีพี่เขาก็โดนยิงแทนฉันไปแล้ว”

          “นายเห็นหน้าคนร้ายมั้ย” แร็กตาร์ถาม

          เวกัสทำหน้าครุ่นคิด “มันมืดพอสมควรน่ะ แล้วฉันตกใจมาก ทำให้ไม่ทันเห็นอะไรสักอย่าง มันหนีไปเร็วมาก”

          “เราต้องแจ้งความหรือเปล่า” คำถามของบีทีนทำให้ทั้งหมดเงียบไป แปลกนะ ทั้งที่คำตอบก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องดำเนินการอย่างไร แต่คงต้องรอคำตอบจากซีเครทเท่านั้น

          “อย่าเพิ่งคิดมากกันเลย รอพี่ซีทออกมาก่อนค่อยคุยแล้วกัน นี่ก็ดึกแล้ว เอายังไงจะนั่งเฝ้าตรงนี้เลยใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปซื้อกาแฟกับพวกขนมปังมาให้” แร็กตาร์ถามทั้งสองคนที่นิ่งไป

          “อืม จะนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ”

          บีทีนเอ่ยตอบแทนเวกัสที่ดูจะตกอยู่ในภวังค์ไปแล้ว เขาเอื้อมมือไปกุมมือบางนั้นไว้และบีบมือเพื่อให้กำลังใจ แร็กตาร์ลอบมองหน้าบีทีนแล้วทำแก้มป่องใส่เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาการแบบนั้นทำให้บีทีนหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาโวยวายแก้เขินทันที

          “รีบไปสิ มัวยืนทำอะไรอยู่”

          “เฮอะ เดี๋ยวโดนลงโทษแบบจัดหนักแน่ๆ”

          เมื่อแร็กตาร์เดินจากไปแล้วบีทีนถึงหายใจสะดวก …ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมในมนต์เสน่ห์ของแร็กตาร์แล้วสิ ทำไมใจง่ายแบบนี้เนี่ย แต่ไม่หรอก จะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด

          สัมผัสหนักที่หล่นกระทบลงไหล่ทำให้บีทีนสะดุ้ง พอหันไปจึงพบว่าเวกัสผล็อยหลับไปแล้ว เขาจัดตัวเวกัสที่ซบไหล่เขาให้อยู่ในท่าสบายก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนกลางคืนแบบนี้ในโรงพยาบาลราวกับมีความรู้สึกมากมายไหลวนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า หรือ…ความตาย

          พื้นกระเบื้องทางเดินปูด้วยสีขาวหม่นๆ ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนความรู้สึกของคนที่รออยู่บริเวณนี้ บีทีนคิดมาเสมอว่าถ้าเป็นไปได้ถ้าเขาป่วยและจำเป็นต้องมาโรงพยาบาลจริงๆ เขาคงไปโรงพยาบาลของรัฐบาลมากกว่าโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้
โรงพยาบาลรัฐบาลสถานที่จะไม่เงียบเหงาแบบนี้ ผู้คนจะเดินผ่านไปมา เราสามารถนั่งคุยกับคนแปลกหน้าแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ ได้ เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นคนที่จะช่วยเราก็มีเยอะ แต่มันติดตรงที่ว่าคนเยอะเกินไปและบางพื้นที่อาจจะสกปรกไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่เดียวดายเหมือนโรงพยาบาลเอกชนที่คนน้อยแบบนี้

          เงียบเหงา… วังเวง…

          “คิดอะไรอยู่เหรอ” แร็กตาร์ที่เพิ่งเดินมาถึงนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างเขาเอ่ยถามขึ้นมา

          “ไม่หรอก แค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันวังเวงเฉยๆ”

          “มีฉันอยู่ยังบังอาจรู้สึกแบบนั้นอีก”

          “อะไรของนายเนี่ยวันนี้มาแปลกทั้งวันเลยนะ”

          “เปล่าหรอก เรื่องของผู้ใหญ่เด็กห้ามยุ่ง”

          “ใครเด็กฮะ ฉันอายุเท่านายนะ”

          “เหรอ”

          เสียงเปิดประตูทางด้านหลังทำให้ทั้งคู่ชะงักกึกหันไปมองเป็นเวลาเดียวกับที่เวกัสตื่นขึ้นมา คุณหมอในชุดทำการผ่าตัดสีเขียวยืนอยู่ตรงนั้นมีเหงื่อผุดตามไรผม พวกเขาทั้งสามคนรีบกรูเข้าไปถามทันที

          “หมอครับ พี่ชายผมเป็นยังไงบ้างครับ” บีทีนถามออกไปทันที

          รอยยิ้มอบอุ่นของหมอตรงหน้าทำให้พวกเขาใจชื้นขึ้น “คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีที่ไม่ได้โดนจุดสำคัญ คงต้องนอนพักในโรงพยาบาลสักอาทิตย์หนึ่งนะครับ”

          ทั้งสามคนถอยหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หมอยิ้มให้และขอตัวออกไป เวกัสทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม ริมฝีปากบางประดับไปด้วยรอยยิ้มแม้จะเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนมาเกือบครึ่งคืนแล้ว บีทีนตบบ่าเวกัสสองทีแล้วเอ่ยขึ้น

          “พี่ซีทปลอดภัยแล้ว วันนี้เรากลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ นายนอนบ้านฉันแล้วกัน เดินทางมันจะอันตราย”

          เวกัสพยักหน้าเบาๆ แล้วทั้งสามคนจึงลุกเดินออกไป ทางเดินที่เงียบเหงาของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ดูจะอบอุ่นขึ้นเมื่อรอยยิ้มเริ่มมาประดับบนหน้าทั้งสามคนแล้ว

          ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังจะเดินเพื่อลงไปชั้นล่างนั้น แร็กตาร์ก็เอ่ยขึ้นมา “บีทีน”

          “อะไร”

          “ฉันล่ะ”

          “นายทำไม” บีทีนขมวดคิ้วกับคำพูดคนที่เดินอยู่ด้านข้าง

          “ฉันจะได้นอนบ้านนายด้วยหรือเปล่า” เวกัสที่แอบได้ยินบทสนทนานี้อมยิ้มออกมาบางๆ แต่ไม่พูดอะไร

          บีทีนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ลอยหน้าลอยตาตอบ “จะนอนก็ได้นะดึกแล้ว กลับบ้านไปเสียเวลา อีกอย่างพรุ่งนี้นายต้องขับรถมาส่งฉันกับเวกัสที่โรงพยาบาลอีก เราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ทานข้าวเลย เดี๋ยวกลับไปฉันทำอะไรง่ายๆ ให้กิน”

          …และแร็กตาร์ก็ยิ้มไปตลอดทางจนกลับบ้าน



          เชอร์เบลวางสายลงอย่างหงุดหงิดเมื่อผู้ชายที่เขาเจอในผับวันนี้และจ้างวานไปจัดการซีเครททำงานเกือบพลาดและโดนจับได้ และยังเอาปืนกระบอกนั้นที่ใช้ยิงไปทิ้งในถังขยะบริเวณนั้นอีก

          …โง่ซะจริงๆ…เขาไม่น่าเสียเวลากับคนแบบนี้เลย

          แก้วไวน์ที่เขาถืออยู่ในมือ ถูกปาไปโดนผนังห้องด้านข้างตกลงพื้นจนแตก เชอร์เบลกวาดสายตาเย็นชาไปที่เศษแก้วเหล่านั้น เขาเดินไปหยิบเศษแก้วแหลมคมชิ้นหนึ่งขึ้นมา ดวงตาเรียวทอประกายวิบวับ

          …จะต้องไม่มีใครหน้าไหน…มาขัดขวางความต้องการผู้ชายที่เขารักได้…

          เขาบีบเศษแก้วชิ้นนั้นจนมันปักลงไปในมือของเขา เลือดสีแดงสดไหลลงพื้นเป็นสายรวมกันจนเหมือนทะเลเลือด เขาไม่สนใจมันและโยนเศษแก้วนั้นลงที่เดิม ริมฝีปากบางหยักยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น

          …เหลือเพียงเศษแก้วที่แตกร้าว…และเลือดของเขาเท่านั้น…



          วันรุ่งขึ้นซีเครทถูกย้ายออกมานอกห้องไอซียู เป็นห้องพิเศษระดับธรรมดาห้องหนึ่ง ถูกปูพื้นด้วยสีขาวสะอาดตา ด้านข้างยื่นออกไปเป็นระเบียง มีผ้าม่านสีขาวแขวนอยู่ด้านใน

          ซีเครทนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจากฤทธิ์ยาที่หมอให้ไปเมื่อเช้า เวกัสอาสามาเฝ้าซีเครทให้เพราะคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น บีทีนจึงอาสาเข้าห้องเลคเชอร์ไปจดเนื้อหามาให้ และในตอนเย็นจะเข้ามาหา

          อาการขยับตัวของคนที่นอนบนเตียงทำให้เวกัสที่อ่านนิตยสารตรงโซฟาริมห้องเงยหน้าขึ้นมอง และเดินมานั่งยังเก้าอี้ข้างเตียง ซีเครทลืมตาขึ้นมาเจอเวกัสจึงยิ้มออกมาบางๆ เวกัสเอ่ยต่อทันที “ผมขอโทษนะครับพี่ซีท ทุกอย่างเป็นเพราะผม พี่ถึงได้รับอันตรายแบบนี้”

          คนบนเตียงเอื้อมมาจับมือเวกัสแล้วบีบไว้เบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงซะตอนนี้พี่ก็ปลอดภัยแล้ว อย่าคิดมากเลย”

          “ครับ ถ้าพี่อยากได้อะไรก็บอกผมนะครับ วันนี้ผมจะเฝ้าพี่ทั้งวันเลย”

          “ครับผม ขอบคุณครับ นี่เที่ยงหรือยังเนี่ย แอบหิวขึ้นมาแล้วแฮะ”

          เวกัสเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังบอกเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว “อ๋อ จริงด้วย เมื่อกี้เขายกอาหารมาให้แล้ว แปปหนึ่งนะครับ” พูดจบเขาก็ลุกเดินไปหยิบถาดอาหารมาวางไว้โต๊ะข้างเตียง ซีเครทรีบพูดทันที  “ป้อนหน่อยสิ ขยับตัวลำบากอ่ะ”

          “แหม ตัวก็โตขนาดนี้ยังทำอ่อนแออีก”

          และทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน เวกัสหยิบชามโจ๊กขึ้นมาถือ ตักขึ้นมาคำหนึ่งเป่าแล้วยื่นไปตรงหน้าซีเครท เขาอ้าปากงับกินอย่างมีความสุข ซึ่งท่าทางมีความสุขของซีเครทนั้นทำให้เวกัสเผลอยิ้มออกมา

          บรรยากาศอบอุ่นของคนสองคนดำเนินผ่านไปเรื่อยๆ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เวกัสวางชามข้าวต้มไว้และลุกยืนไปเปิดประตู คนที่มารากฎตัวด้านหน้าทำให้เวกัสรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย

          “สวัสดีเชอร์เบล”

          คนตรงหน้าส่งยิ้มกว้างมาให้เขา เวกัสยิ้มตอบก่อนจะเชิญร่างบางเข้ามาข้างในและปิดประตูตาม ซีเครทที่หันมาสบตากับแขกผู้มาเยี่ยมพอดีถึงกับเกิดอาการหวั่นแปลกๆ ขึ้นในใจ เขาปั้นยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้ซึ่งผู้รับก็เหมือนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เชอร์เบลเอาดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่วางไว้ข้างเตียง เสียงนุ่มชวนฝันกล่าวขึ้นราวกับกำลังร้องเพลง

          “ได้ข่าวจากบีทีน วันนี้ฉันเลยตั้งใจมาเยี่ยมพี่น่ะ”

          สรรพนามทางการที่คนตรงหน้าใช้นั้นทำให้ซีเครทรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มบางๆ “ขอบคุณนะที่มาเยี่ยม”

          “พี่ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย”

          “ตรงช่วงท้องน่ะ โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ”

          “ดีแล้วล่ะครับ คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้”

          “มาเป็นสำนวนเชียวนะ”

          เวกัสที่เดินเข้ามาได้ยินเข้าพอดีเอ่ยแวซเชอร์เบลยิ้มๆ เขายิ้มตอบกลับไปก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงตู้เย็น เจอแก้วกาแฟกับกาแฟซองวางอยู่บนนั้น

          “ขอหน่อยนะ”

          “ไม่มีปัญหา” เวกัสตอบ

          เชอร์เบลเทซองกาแฟสีแก้วเซรามิกเล็กน่ารัก และเดินไปกดกระติกน้ำร้อนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วคนให้เข้ากัน

          “หมอได้บอกหรือเปล่าว่าพี่จะได้ออกโรงพยาบาลเมื่อไหร่” เขาชวนซีเครทคุยไปด้วยและคนกาแฟไปด้วย

          “คงเกือบสองอาทิตย์ ถ้าแผลสมานกันเร็วคงได้ออกก่อน ใช่ไหมเวกัส”

          ซีเครทหันไปพยักเพยิดให้เวกัสที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ เขาเพียงเงยหน้าพยักหน้าให้เท่านั้น เชอร์เบลไม่ได้ตอบอะไรต่อ แต่ถือแก้วกาแฟเดินไปนั่งลงข้างเวกัส และทันในนั้นเอง เชอร์เบลเผลอเดินไปสะดุดกับตะกร้าถังขยะที่วางข้างโซฟาทำให้เขาสะดุดล้ม มือยื่นไปข้างหน้าเทกาแฟที่กำลังร้อนจัดใส่เวกัส

          “โอ๊ย”

          เวกัสร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เขาลุกกระโดดเหยงๆ ไปมา เชอร์เบลที่กำลังตกใจอยู่รีบพาเจ้าตัวเอาไปมือไปแช่น้ำในห้อน้ำทันที

          “นายเป็นอะไรไหม ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ” เชอร์เบลละล่ำละลักบอก พร้อมกับบีบนวดมือไปด้วย เวกัสยังเรียกสติตัวเองกลับมาไม่ได้ ใบหน้าขาวใสแดงจัด้วยความเจ็บปวด ซีเครทที่นั่งอยู่บนเตียง ตะโกนถามเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

          “เวกัสนายเป็นอะไรมากไหม”

          “รบกวนพี่กดกริ่งเรียกพยาบาลหน่อยครับ”

          เชอร์เบลตอบแทน มือยังบีบนวดให้เวกัสอยู่ ซีเครทเอื้อมไปกดกริ่งที่อยู่ข้างเตียงเรียกพยาบาล ไม่นานพยาบาลสาวก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้น เวกัสเลยได้ผ้าพันมือหนักๆ เป็นของขวัญก่อนกลับบ้าน

          …เป็นวันที่วุ่นวายเหลือเกิน











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2014 14:15:21 โดย Homepage »

ออฟไลน์ MaiSwifties

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โห ถ้าเชอร์เบลจะร้ายขนาดนี้อ่านะ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ dark-soleil

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
เชอร์เบลน่ากลัวมาก เราไม่ชอบคนประเภทนี้เลย รู้หน้า...ไม่รู้ใจ โดยส่วนตัวชอบเบลมอธมาก เบลมอธน่ารัก >< แต่ก็สงสารเบลมอธอยู่นะ

ออฟไลน์ Homepage

  • 520 - 我爱你
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
Chapter 5
Change


          วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ คนเมืองหลวงทั้งหลายน่าจะหลบแดดเปิดแอร์นอนอยู่บ้านมากกว่าออกไปเดินเตร็ดเตร่ในที่ที่มีคนเยอะแบบนี้

          แต่เหมือนว่าเบลมอธจะคิดผิดไป เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในตัวห้างก็แทบอยากจะเดินกลับออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมวันหยุดเสาร์อาทิตย์คนถึงได้เยอะแบบนี้ พวกเขาไม่เหนื่อยกันบ้างหรือยังไง ทำงานมาทั้งอาทิตย์แทนที่จะพักผ่อนอยู่บ้าน กลับออกมาเดินห้าง ไม่ไหวเลยจริงๆ เขายิ่งเป็นประเภทที่ว่าไม่ชอบคนเยอะซะด้วย

          เบลมอธเดินไปหยุดตรงร้านขายน้ำแห่งหนึ่ง เขาตัดสินใจซื้อบลูเบอร์รี่โยเกิร์ตมาหนึ่งแก้วเพื่อดื่มแก้เซ็ง ในระหว่างที่นั่งรอของอยู่นั้นในหัวเขาก็พลันคิดไปถึงเรื่องราวบางอย่างที่ได้ยินมาเมื่อวานจากบีทีน ขณะที่กำลังเข้าเรียนตามปกติ บีทีนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พร้อมแร็กตาร์ที่เดินถือกระเป๋ามาทีหลัง เขาแอบคิดว่าบีทีนยอมให้แร็กตาร์ถือกระเป๋าให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือสองคนนี้จะมีบางอย่างที่ไม่ได้บอกเขา แถมเพื่อนสนิทตัวดีอย่างเวกัสก็ดันไม่เข้าเรียนซะด้วย และยังเชอร์เบลที่โทรมาบอกว่าเช็กชื่อแทนหน่อยจะออกไปทำธุระนี่อีก เขาจึงถามบีทีนออกไปด้วยความเป็นห่วง

          ‘นายเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ’

          บีทีนนั่งลงบนโต๊ะเลกเชอร์และเล่าออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นโดยมีแร็กตาร์นั่งประกับอยู่ด้านข้าง ‘ใช่ พี่ซีทโดนยิงอ่ะสิ เลยเข้าโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ย้ายมาจากห้องไอซียูแล้ว เมื่อคืนอยู่รอฟังผลไงเลยหลับดึก’

          ชื่อของคนในหัวข้อสนทนาทำให้เขาหัวใจแกว่งไปวูบหนึ่ง เพราะบางอย่างระหว่างเขากับซีเครทมันไม่เหมือนเดิอีกแล้ว ตั้งแต่คืนนั้น…คืนวันเกิดของเขา

          เบลมอธลอบถอนหายใจออกมาและปั้นหน้าถามออกไป ‘เหรอ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ทำยังไงถึงโดนยิงล่ะ’

          ‘ก็ตอนที่พี่ซีทไปส่งเวกัสที่บ้านน่ะ มีคนลอบจะทำร้ายเวกัส โชคดีที่พี่ซีทไหวตัวทัน รีบวิ่งออกไปจนโดนยิงนี่แหละ’

          ได้ยินดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยด้วยสาเหตุที่เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกัน รู้แค่ว่าไม่พอใจที่เวกัสได้อยู่สองต่อสองกับซีเครท

          และทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่เขามาเดินห้างเพื่อหาซื้อดอกไม้ไปเยี่ยมซีเครทยังไงล่ะ แต่จะไปในฐานะอะไรกัน เพื่อนอ่านหนังสือ เพื่อนน้องชาย หรือว่าคนพิเศษกันดีล่ะ

          คนจำนวนมากที่เดินสวนกันไปมากับเสียงทั้งหลายที่ดังเข้าโสตประสาทเขา ทำให้เขาไม่อยากซื้อมันที่นี่แล้ว ออกไปซื้อที่อื่นดีกว่าไหมนะ

          “ของที่สั่งได้แล้วนะคะ” พนักงานขายหน้าตาน่ารักยื่นแก้วน้ำที่เขาสั่งมาให้ เขาหยิบเงินจ่ายและรับมันมาดูดก่อนจะออกเดินตามหาร้านดอกไม้ไปด้วย เขาจำมันได้ว่าอยู่บริเวณนี้ เป็นร้านดอกไม้ร้านเล็กๆ ที่รับจัดช่อและเตรียมดอกไม้สำหรับไปเยี่ยมผู้ป่วย แต่ก่อนจะถึงร้านนั้นเขาก็เจอกับร้านไอศกรีมเล็กๆ ร้านหนึ่ง เบลมอธหยุดยืนมองด้วยความสนใจ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก

          …ใครบางคนทำให้เขาชอบกินไอศกรีมไปแล้วนะเนี่ย เห็นเป็นต้องหยุดซื้อทุกครั้ง

          เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมิก่อนจะพบว่ายังไม่เที่ยงเหลืออีกประมาณยี่สิบนาที เอ…งั้นแวะกินสักแปปก็แล้วกัน คงไม่เสียเวลามากเท่าไหร่หรอก

          คิดได้ดังนั้นเขาก็เดินเข้าไปด้านในทันทีเลือกโต๊ะในสุดที่มีวอลเปเปอร์เป็นรูปไอศกรีมจานยักษ์ติดอยู่ บรรยากาศน่ารักในร้านทำให้เขาหายหงุดหงิดสภาพบรรยากาศเป็นปลิดทิ้ง

          เขาสั่งไอศกรีมรสช็อกโกแลตไป ระหว่างรอก็เปิดเมนูไอศกรีมดูไปพลางๆ เสียงเปิดประตูหน้าร้านทำให้ทราบว่ามีลูกค้าคนใหม่เข้ามา เบลมอธไม่ได้สนใจมากมาย จนมีความรู้สึกว่าเก้ากี้ฝั่งตรงข้ามยุบลงเหมือนมีคนนั่ง เสียงทุ้มนุ่มกล่าวขึ้น

          “จะเป็นการรบกวนไหมครับ ถ้าผมจะขอนั่งด้วยคน”

          เบลมอธเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

          …นี่มันซินนี่นา แต่จะเป็นไปได้ยังไง

          อาการตะลึงของคนตรงหน้าทำให้เขาแย้มยิ้มมุมปากบางๆ ก่อนจะถามออกไป “เอ่อ ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ”

          “ชะ…เชิญครับ” เสียงสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คนตรงหน้านี้เหมือนซินเกินไปแล้ว ที่ไม่เหมือนคือสีผมสีน้ำตาลอ่อนเพราะปกติซินผมสีดำและเขาไม่ชอบการเปลี่ยนสีผม แถมยังดวงตาสีเฮเซลนัทนี่อีก เขารู้ดีว่าซินมีดวงตาสีดำสนิทน่ามองขนาดไหน

          ถ้าอย่างนั้นคนตรงหน้านี้เป็นใครกันล่ะ…

          …เรื่องแบบนี้มันบังเอิญเกินไปไหม…จะทำใจเชื่อได้ยังไงกันล่ะว่าเขาไม่ได้ฝันอยู่

          เบลมอธสบตาคนตรงหน้าที่งุนงงเล็กน้อยจากการที่เขาเผลอแสดงอาการประหลาดๆ แบบนี้ออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานยกไอศกรีมมาเสิร์ฟเขา พนักงานถามบุคคลตรงหน้าว่าอยากกินอะไร เขาบอกว่าขอรสมะนาว

          และนั่นเป็นตัวยืนยันชั้นดีว่าคนตรงหน้าไม่มีทางเป็นซินได้หรอก เขารู้อีกนั่นแหละว่าซินไม่ชอบอะไรเปรี้ยวแต่จะติดรสขมแบบกาแฟเสียมากกว่า

          “คุณมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ ถามออกมาได้นะ เห็นคุณจ้องผมตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” คนร่วมโต๊ะคงจะอดไม่ได้ล่ะมั้งถึงยอมถามขนาดนี้ เบลมอธส่ายหน้าไปมาและตอบด้วยน้ำเสียงราวกับคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ “เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าคุณเหมือนคนๆ หนึ่งที่ผมรู้จักน่ะครับ”

          “คนรู้จักคุณเหรอครับ”

          “ไม่เชิงน่ะครับ คนรักเก่าน่าจะเหมาะสมกว่า แต่เราเลิกกันแล้วนะครับ ฮ่าๆ”

          …มันมีอะไรน่าขำตรงไหน เขาเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่มีใครจุดประกายเขาให้พูดเรื่องแบบนี้ออกมา เขาจะเสแสร้งทำเป็นว่ามันไม่สำคัญซะ

          อย่างน้อย…ก็สามารถปกป้องจิตใจอันบอบช้ำเอาไว้ได้

          “เป็นเรื่องบังเอิญมากเลยนะครับ หวังว่าผมคงไม่ได้ทำให้คุณคิดถึงเขา” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างเกรงใจเมื่อสีหน้าคนตรงข้ามเปลี่ยนไปเวลากล่าวถึงคนในอดีต

          “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ มันห้ามกันไม่ได้นี่นา”

          “ครับ ว่าแต่คุณมาทำอะไรเหรอครับวันนี้ ดูแล้วคุณน่าจะยังเรียนอยู่”

          “ครับ ผมเรียนที่ไฮเดรนเยียร์น่ะครับ วันนี้ออกมาซื้อดอกไม้ไปเยี่ยมเพื่อนน่ะครับ”

          สีหน้าเบลมอธทอประกายอ่อนโยนเมื่อพูดถึงเพื่อนคนนั้น ชายหนุ่มสังเกตเห็นมันแต่เขาเลือกที่จะปล่อยเลยผ่านไปมากกว่าดึงมันมาเป็นหัวข้อในการสนทนา

          “ซื้อดอกไม้? แปลกจังทำไมมาซื้อในห้าง”

          “จริงๆ ก็ไม่หรอกครับ ผมถือโอกาสมาเดินเที่ยวด้วย แต่ไม่นึกว่าคนจะเยอะขนาดนี้ เลยมานั่งพักในนี้สักแปปหนึ่ง” พนักงานยกไอศกรีมรสมะนาวมาเสิร์ฟพวกเขาจึงหยุดคุยกันรอให้พนักงานคนนั้นเดินออกไปก่อนแล้วเริ่มพูดต่อ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นความลับแท้ๆ

          “อีกอย่างผมชอบดอกไม้ร้านนั้นน่ะครับ เขาจัดช่อสวยดี”

          “ถ้าไม่รังเกียจให้ผมไปด้วยนะครับ ผมพอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องดอกไม้อยู่บ้าง น่าจะพอช่วยคุณได้”

          “จะดีเหรอครับ” เบลมอธทำสีหน้าเกรงใจ จะไม่ให้รู้สึกแปลกๆ ได้อย่างไร เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงเนี่ยนะ จะเดินไปซื้อดอกไม้ด้วยกันซะแล้ว

          ชายหนุ่มตรงหน้าแววตาสลดลง “ไม่อยากให้ผมไปด้วยก็ไม่เป็นไรครับ”

          “เอ้อ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” เบลมอธทักท้วงขึ้นมาทันที

          “แล้วอย่างไหนล่ะครับ”

          “คือ ผมเกรงใจน่ะครับ บางทีคุณอาจจะมาทำธุระ”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ ด้วยความเต็มใจ ให้ผมไปด้วยเถอะนะครับ”

          เบลมอธถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนนในที่สุด “ก็ได้ครับ”

          ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะยื่นมือขวาออกมาตรงหน้า “ผมชื่อซิลเวียร์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณ…?”

          “ผมชื่อเบลมอธครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

          เบลมอธยื่นมือเล็กออกไปจับตอบ วินาทีนั้นที่มือเขาสองคนสัมผัสกันราวกับของที่สูญหายไปเมื่อนานมาแล้วได้กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ คิดถึงลอยวนอยู่ในมือใหญ่นี้ มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน อบอุ่นมากจนเหมือนคนๆ นั้น

          …มือของซินจะใหญ่และอบอุ่นเสมอ ยามที่สัมผัสคาใด เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่หลวงหมดหนทางแก้ไข แค่มีเขาอยู่เคียงข้าง เรื่องราวเหล่านั้นจะผ่านไปได้อย่างงดงาม

          ทำไมคนตรงหน้าเขาถึงคล้ายซินมากขนาดนี้ …

          “คุณจ้องผมแบบนี้สองรอบแล้วนะ คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย ฮ่าๆ” ซิลเวียร์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เบลมอธที่เพิ่งรู้ตัว หน้าแดงจัดหัวเราะออกมาเสียงแห้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มกินไอศกรีมของตัวเอง




          เบลมอธไม่รู้ว่าตัวเขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ถ้ามันเป็นความฝันจริงๆ ล่ะก็ มันคงเป็นฝันที่งดงามที่สุดในชีวิตเขาเลยแหละ การได้เดินเคียงข้างเขาคนนั้น เจ้าชายคนเดียวในหัวใจเขาอีกครั้ง คุยกันไป แซวกันเล่น ยิ้มและหัวเราะไปตามทาง พวกเขาไม่ได้สัมผัสตัวกันเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้จับมือกันมีเพียงรอยยิ้มและแววตาแห่งความสุขเท่านั้นที่มอบให้แก่กัน

          แต่ถึงยังไงคนๆ นี้ก็ไม่ใช่ซิน เขาคือซิลเวียร์ ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาเพิ่งรู้จักในร้านไอศกรีมเมื่อกี้

          แต่ถึงมันจะเป็นภาพลวงตาและผู้ชายคนที่เดินข้างเขานี่คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในความคิดเขาเป็นใคร …แต่การหลอกตัวเองเพื่อให้มีความสุขไปชั่วคราวมันคงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ให้หัวใจเขาเต้นด้วยความสุขมาก ไม่ใช่รู้สึกถึงเพียงแต่ความเศร้าเหมือนที่ผ่านมา

          ความสุขเหรอ?

          พอคิดถึงความสุขเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดเขา ผู้ชายที่ชอบอ่านนิยายแถบตะวันตกเหมือนเขา ช่างไม่เข้ากับร่างสูงใหญ่นั่นเลย และยังเหตุการณ์ทางความรู้สึกตอนวันเกิดเขาอีก ตั้งแต่วันนั้นมาเขายังไม่ได้คุยกับซีเครทถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย และซีเครทเองก็ไม่ได้ติดต่อมาและเคลียร์มันให้จบ

          สำหรับซีเครทแล้วมันคงเป็นเรื่องราวธรรมดา เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิต และอาจจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยลึกซึ้งกับเขามากแค่ไหน เขาก็ควรจะคิดให้ได้เหมือนซีเครท จบเรื่องคืนนั้นไปซะราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

          ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันพอคิดว่าต้องแกล้งลืมเรื่องอันหวานซึ้งนั้นไป หัวใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาคล้ายจะหายใจไม่ออก

          “คนที่คุณจะไปเยี่ยมเนี่ยเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”

          ซิลเวียร์ถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในร้านดอกไม้ได้สักพักแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าโปสเตอร์ใหญ่มีรายชื่อดอกไม้ที่ในร้านมีให้สั่งจัดเป็นช่อได้

          เบลมอธพยายามดึงความคิดตัวเองกลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ดูจะลำบากเหลือเกิน เขาขมวดคิ้วราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของซิลเวียร์ จนเขาต้องเอานิ้วไปแตะหน้าผากร่างบาง ก่อนจะนวดให้เบาๆ เสียงอบอุ่นอ่อนโยนที่เหมือนซินราวกับแกะทำให้เบลมอธสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

          “วันนี้ผมเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ครับ รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย สงสัยไม่สบายแน่เลย”

          “เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเรารีบดูแล้วกลับกันเถอะครับ”

          “ครับ เมื่อกี้ที่คุณถาม เขาคนนั้นคือพี่ชายของเพื่อนผมน่ะครับ พอดีประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย”

          ดวงตาของซิลเวียร์สั่นไหวไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นคุณอาจจะต้องเลือกเองก็ได้นะครับ เขาดูเป็นคนที่คุณให้ความสำคัญน่าดู น่าเสียดายจังที่ผมมาด้วยแต่ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย”

          “อย่าคิดอย่างนั้นสิครับ อย่างน้อยก็ถือว่าทำความรู้จักเพื่อนใหม่”

          “ดีใจนะครับที่คุณคิดอย่างนั้น”

          เบลมอธกวาดตามองไปรอบข้างก่อนจะพบกับดอกไฮเดรนเยียร์สีชมพู แล้วหันไปพูดกับพนักงานร้านที่จัดดอกไม้อยู่อีกมุม “พี่ครับ จัดช่อดอกไฮเดรนเยียร์สีชมพูครับ”

          ซิลเวียร์มองตามเบลมอธที่เดินไปกับพนักงาน ดวงตาเขาทอแววครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามเข้าไปกระซิบข้างหูเบลมอธเบาๆ “เดี๋ยวผมรออยู่ด้านนอกร้านนะครับ เสร็จแล้วค่อยออกมานะครับ”

          สิบห้านาทีหลังจากนั้นเบลมอธจึงเดินออกมา เจอซิลเวียร์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง หัวใจเขากระตุกขึ้นมาอีกรอบเมื่อแผ่นหลังคนตรงหน้าทำให้เขาอยากวิ่งเข้าไปกอด

          ผู้ชายที่เหมือนซินคนนี้…

          “ยังไงผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีมีประชุมด่วน” ซิลเวียร์ที่วางโทรศัพท์แล้วเดินมาบอกเขา เขายิ้มส่งไปให้ กดความรู้สึกต่างๆ ลงในหัวใจ “ครับ หวังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก ยังไงผมขออีเม…”

          “เอ่อ พอดีผมไม่ได้ใช้น่ะครับ ยังไงวันไหนถ้าบังเอิญเราอาจจะได้กลับมาเจอกันที่นี่อีกก็ได้นะครับ”

          “อย่างนั้นเหรอครับ” เบลมอธทำหน้าเสียดายและพยักหน้าลงก่อนเขาจะบอกลาและขอตัวกลับไปก่อนในมือถือช่อดอกไฮเดรนเยียร์สีชมพู

          แผ่นหลังที่โดดเดี่ยวเดินจากไปแล้วทิ้งซิลเวียร์ หรือ ซิน ให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว เขาดีใจมากที่ได้เจอเบลมอธอีกครั้ง ในใจอยากดึงมากอดให้รู้แล้วรู้รอด แต่สถานะเขาในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว

          “คุณผู้ชายจะให้ผมตามไปไหมครับ”

          ชายชุดดำที่ปรากฏตัวด้านหลังซินเอ่ยขึ้น

          “ไม่ต้องหรอก ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน”

          จบคำนั้นเขาก็เดินหันหลังกลับไปอีกทางทิ้งให้ผู้ติดตามยืนอยู่สักครู่ก่อนจะเดินตามไปห่างๆ




          “จากนั้นคุณซินก็แยกกับผู้ชายคนนั้นครับ”

          “อย่างนั้นเหรอ ขอบใจมาก นายกลับไปทำงานเถอะ”

          เชอร์เบลกดวางสายจากสายลับที่ฝากให้ติดตามซินไป ดวงตาเรียวทอประกายเศร้าด้วยความเจ็บปวด

          …เพราะอะไรกันนะ

          …ทั้งๆ ที่ฉันทำเพื่อนายขนาดนี้แล้วแท้ๆ

          หัวใจของนาย…จะไม่มีฉันอยู่ข้างในนั้นได้เลยสินะ…

          เขาปัดความคิดเหล่านั้นออกไปและเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของซีเครท วันนี้เขาอาสามาเฝ้าเจ้าตัวเองเพราะเวกัสมีเรียนและบีทีนก็ติดทำงานของคณะ

          “นายอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะลงไปซื้อให้” เชอร์เบลเอ่ยถามซีเครทที่นอนอยู่บนเตียง

          “ไม่ต้องหรอก วันนี้อยู่เฉยๆ บ้างก็ดี ช่วงนี้กินเยอะมาก มีแต่คนแย่งกันดูแล”

          เชอร์เบลเบ้ปากใส่คำพูดชวนหลงตัวเองนั่น “กล้าพูดนะนาย”

          “หรือจะบอกว่าไม่จริง นายน่ะหลงเสน่ห์ฉันเข้าแล้วล่ะสิ”

          “ฉันบอกตอนไหน…”

          ก๊อก ก๊อก…

          เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้ทั้งคู่หยุดการโต้เถียงกัน เชอร์เบลเดินออกไปเปิดประตูห้องปรากฏว่าเป็นเบลมอธนั่นเอง เขายิ้มออกมาอย่างดีใจเพราะไม่ได้เจอร่างบางตรงหน้ามาหลายวันแล้ว

          “เบลมอธ นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว ฉันคิดถึงนายจัง ยังไงเข้ามาข้างในก่อนสิ”

          เบลมอธส่งยิ้มเศร้าให้กับเชอร์เบลก่อนจะยิ้มและส่งช่อดอกไฮเดรนเยียร์สีชมพูให้ “พอดีฉันต้องไปทำธุระต่อน่ะ ฝากนี่เยี่ยมไข้แทนฉันหน่อยนะ บอกเขาด้วยว่าหายเร็วๆ ถ้ามีเวลาฉันจะแวบเข้ามาใหม่” เขาได้แต่หวังว่าซีเครทจะยังไม่ทันสังเกตเห็นเขา เพราะห้องพักที่ซีเครทอยู่เป็นแบบซุปเปอร์วีไอพีที่ห้องคนป่วยอยู่ในสุด ต้องเดินเลี้ยวโค้งผ่านโซฟาห้องนั่งเล่นเล็กๆ ออกมา ถึงจะมาเจอประตู

          …บอกตามตรงว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเจอซีเครทในเวลานี้…คงต้องรอให้เวลาผ่านอีกสักพัก…

          เชอร์เบลมองคนตรงหน้านิ่งๆ เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันที่มหาลัยนะ กลับบ้านดีๆ ล่ะ”

          “ไว้เจอกันนะ”

          เบลมอธบอกลาเขาแล้วหันหลังเดินกลับไป เขามองตามหลังร่างบางนั้นไปก่อนจะปิดประตูห้องพักเบาๆแล้วยืนพิงประตูเอาไว้ เท้าเขาเหยียบเข้ากับสปริงถังขยะข้างๆ และหย่อนช่อดอกไฮเดรนเยียร์สีฟ้านั้นลงไป

          “ดอกไม้ของคนที่เอามาเยี่ยมน่ะ เยอะเกินไปแล้ว ช่อนี้ฝากคนเก็บขยะเอาไปย่อยสลายลดภาวะโลกร้อนเถอะ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2013 19:25:31 โดย Homepage »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด