- 17 -
(part1)
เช้าวันต่อมาผมตื่นมาแบบสติไม่อยู่กับร่องกับรอย หัวสมองเบลอๆเหมือนยังไม่เข้าที่ ร่างกายเคลื่อนไหวเหมือนเป็นระบบอัตโนมัติว่าต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะแต่งตัวเพื่อไปให้ทันเข้าเรียนวิชาแรก
เมื่อคืนไอ้โทมันบอกรักผม...หรือผมแค่ฝันไป?
มันต้องเป็นฝันแน่ๆ ไม่มีทางที่จู่ๆไอ้โทมันจะบอกรักผมได้ คิดหาเหตุผลมารองรับไม่ได้เลย ผมเป็นผู้ชาย ผมหน้าตาธรรมดา ฐานะยากจน และที่สำคัญมันเกลียดผม
และผมก็เกลียดมัน…
พอเข้าห้องเรียนมาเจอหน้ามัน วินาทีที่สบตากัน ริมฝีปากได้รูปยกขึ้นน้อยๆก่อนที่มันจะได้ยิ้มผมรีบหันหน้าหนีทันที ผมทำเหมือนเดิม คือคิดซะว่ามันเป็นแค่อากาศ ไม่มีตัวตน ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เดินไปนั่งที่ห่างไกลจากมันมากที่สุด หลายครั้งที่เสียงทุ้มเข้าโสตประสาทซึ่งดูเหมือนว่ามันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจตอบคำถามอาจารย์ผิดปกติ
ผมควรเดินเรื่องเอกสารการย้ายภาควิชาให้เร็วที่สุด เบื่อที่จะเห็นหน้าหรือแม้แต่เสียงของมัน
“...กูรักมึง...”
แต่จู่ๆเสียงกระซิบทุ้มลึกกลับดังก้องในหัวสมองผมอีกครั้ง ผมสะบัดหัวอย่างรุนแรง ขจัดไอ้เสียงบ้าๆนี่ออกไป แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ผลก็ตาม
“เป็นไรวะ?” คนที่นั่งข้างๆอย่างไอ้บูมถึงกับงง
“เปล่าๆ” ตอบปฏิเสธไปงั้น
“เรื่องไอ้โทหรอ? กูได้ยินข่าวลือกันให้แซ่ด” น้ำเสียงมันเหมือนพวกผู้หญิงที่อยากนินทาเรื่องชาวบ้านเลย
“ลือว่า..?”
“หนุ่มวิศวะหน้าหล่อขวัญใจสาวๆก้มกราบผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ยังไม่มีหน่วยข่าวกรองทราบว่ากราบเพราะเรื่องอะไร สันนิษฐานว่าอาจเป็นการแกล้งจากรุ่นพี่เล่นๆ หรืออาจเป็นการแสดงละครสักเรื่อง”
อยากทำให้มันอับอาย กลายเป็นว่าเพิ่มกระแสความนิยมให้ซะงั้น เหอะๆ คนหน้าตาดีทำอะไรก็ไม่ผิดจริงๆ
“แต่ไม่รู้ว่าหมู่นี้หนุ่มวิศวะหน้าหล่อขวัญใจสาวๆเป็นอะไร อาจโดนหักอกมา ถึงกับต้องเพ้อลงสเตตัสในเฟซบุคทุกวัน เล่นเอาหลายๆคนอยากรู้ว่าใครกันนะที่ทำให้หนุ่มหล่อคนนี้เป็นหนักถึงขนาดนี้ได้” ไอ้บูมพูดต่อ “แถมช่วงนี้หนุ่มหล่อก็ไม่ได้ควงสาวๆ บรรดากิ๊กในรั้วมหาลัยเท่าไหร่...”
“พอๆ กูไม่ได้อยากรู้เรื่องมัน” ร่ายยาวเหยียดอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับว่ามันเป็นดาราที่ต้องมีข่าวซุบซิบรายวัน
“เพราะมึงรู้สาเหตุที่แท้จริงหมดแล้วน่ะสิ”
“ไม่! กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้จักคนชื่อโทด้วย” ผมสวนกลับทันที
“อ้าวๆ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าหนุ่มหล่อคนนั้นคือไอ้โท”
ไอ้เหี้ยบูม!!!
ผมหันไปถลึงตาใส่มัน แต่ดูเหมือนว่าคนหยอกจะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ยิ้มกรุ่มกริ่มเหมือนถูกใจอะไรสักอย่าง นี่ขนาดมันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ ยังทำท่าเหมือนเข้าข้างมัน
“ถ้ามึงจะกวนตีนกูอีก กูขอให้มึงไปนั่งไกลๆกู เอาให้ระยะในขาที่กูเอื้อมไม่ถึงยิ่งดี” ก่อนที่ขากูจะกระตุกไปเตะมึง แม่ง ทำเป็นเล่นอยู่ได้ ผมนี่เครียดจะตายห่าอยู่แล้ว
“เนี่ยแหละ ไกลแล้ว ระยะที่ขามึงเอื้อมไม่ถึงอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ไอ้หะ...”
“นี่! เธอทั้ง 2 คน ถ้าจะคุยก็ออกไปคุยกันข้างนอก!” เสียงดุจากอาจารย์ทำให้ผมหุบปากเอาสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกลืนลงคอแทบไม่ทัน
พักกลางวันไอ้บูมมันไปกินข้าวกับผัว ส่วนผมเดินไปยังฝ่ายกิจการนักศึกษาก่อนจะไปห้องพักอาจารย์ ผมกรอกเอกสารทั้งหมดแล้วเหลือเพียงแค่ให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับรอง ส่งยื่นไปยังหัวหน้าภาควิชา และจบลงด้วยลายเซ็นคณบดี หากเสร็จสิ้นขั้นตอนเมื่อไหร่ นั่นแสดงว่าเทอมหน้าผมเตรียมแก้ตัวอักษรย่อที่เสื้อช๊อปได้เลย
แต่เพียงเทอมนี้ต้องทนเรียนไปก่อน ถึงวันสอบไฟนอลเมื่อไหร่ ผมเป็นอิสระทันที ซึ่งก็ไม่อีกกี่สัปดาห์ข้างหน้านี้แล้ว...อดทนไว้นะโม อีกนิดเดียวเท่านั้น มึงจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเน่าๆของไอ้หลามกับไอ้โท ยุติเรื่องบ้าๆนี้สักที
ช่วงนี้ไอ้หลามเงียบสงบ มันไม่มาวอแวอะไรกับผมเลยทั้งๆที่มันน่าจะรู้ว่าไอ้ผลงานหน้าห้องตอนพรีเซนต์มันมาจากฝีมือใคร มันติดเอฟไปแล้วเลยไม่ต้องเข้าเรียนวิชาอาจารย์กมลอีก แต่ผมกับมันยังพอได้ปะทะอารมณ์กันทางสายตาบ้างในวิชาอื่น ไอ้เหี้ยหลามมันย้ายไปขลุกอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่นแล้ว ตำนานหนุ่มหล่อบอยแบนด์5คนที่หล่อที่สุดในภาควิชาวิศวกรรมปิโตรเคมีเป็นอันต้องจบลง
ไม่รู้ว่ามันจะมีแผนอะไรอีกมั้ย แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่เกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยไปก่อน ผมรอวันที่มันนัดรับน้ำแข็งอีกครั้ง วันนั้นแหละ จะเป็นวันสิ้นสุดในรั้วมหาวิทยาลัยของมันและเป็นวันที่ผมมีความสุข แต่นึกแล้วก็ยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
ครอบครัวไอ้หลามมันรวย....
กฎหมายไทยคุกมีไว้ขังสำหรับคนจนเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร ขอให้แค่มันมีคดีติดตัวจนไม่สามารถกลับเข้ามาเรียนได้ก็พอ
“แน่ใจจริงๆเหรอว่าจะย้ายน่ะนายพบธรรม?” อาจารย์วัยกลางคนลอดมองแว่นตาก่อนจะสลับไปดูเอกสาร “เกรดก็ไม่แย่”
“ครับ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบสาขานี้ หลังจากที่เทอมนี้ผมได้ลงวิชาภาคไป4ตัวแล้ว มันต่างจากตอนปี1ที่ผมยังไม่ได้จับต้องวิชาภาคเท่าไหร่ มีแต่พวกวิชาเสรีและบังคับลงในหลังสูตรเท่านั้นครับ” ผมตอบด้วยความมั่นใจ ฉะฉาน เพิ่มความน่าเชื่อถือว่าเรื่องนี้มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัว
“ดีแล้วที่รู้ตัวก่อน ฝืนเรียนไปถ้าคนไม่ชอบก็มีแต่จะทรมานตัวเองเปล่าๆ” สิ้นคำในห้องก็เงียบ มีเพียงแค่เสียงแอร์หึ่งๆกับปลายปากกาที่ตวัดลายเส้นลงบนกระดาษ
“ขอบคุณครับ” ผมรับเอกสารทั้งหมดคืน
“เอาทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะหร้าหน้าห้องหัวหน้าภาคนะ...ขอให้โชคดี”
“ครับ ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอด1ปีกับอีก1เทอมครับ”
มือเลื่อนปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา กลัวจะรบกวนอาจารย์ท่านอื่น ตรงดิ่งไปยังห้องพักหัวหน้าภาควิชาเป็นสถานที่ถัดไป ซึ่งก็เหมือนกับห้องที่ผมเพิ่งจากมาเมื่อสักครู่ เพียงแต่ภายในห้องจะกว้างขวางกว่า ผมหย่อนเอกสารทั้งหมดที่เรียงไว้เรียบร้อยพร้อมติดคลิปหนีบกระดาษกันเอกสารแยกสะเปะสะปะลงไว้ในตะกร้าที่เขียนว่า ‘ส่งเอกสาร/งาน’
ผมจัดแจงเอกสารให้เข้าที่ก่อนจะมองมันเป็นครั้งสุดท้าย ให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นและเดินลงบันไดไป
Rrrrrrr Rrrrrrr Rrrrrrrrrrเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสั่น ผมหยิบขึ้นมาดู ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เด็กหัวเกรียนผมยาวไม่เคยเกินลองทรงเบอร์2นั่นไงที่นับวันๆมันชักจะลามปามปีนเกลียวมากขึ้นทุกที
/โมทำไรอยู่/
“หายใจ”
/กวนว่ะ/ น้ำเสียงที่คุ้นเคยขึ้นจมูกนิดๆ ผมยกมุมปากขึ้นนิดนึง ไม่รู้เป็นอะไร แค่ได้แกล้ง ได้กวนตีนไอ้เด็กนี่เล็กๆน้อยทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
/เอาดีๆ/ ปกป้องถามซ้ำ เสียงแบรคกราวน์ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเรื่องปุตบอละไรสักอย่างค่อยๆเบาลงไปแล้ว สงสัยคนโทรเพิ่งเดินหนีออกมา
“กำลังจะไปกินข้าว” โอเค เลิกกวนตีนก็ได้ “แล้วมึงกินยัง?” กลับมาหยาบคายเหมือนเดิม
/กินแล้ว...ตอนบ่ายมีเรียนไหม? เลิกกี่โมง?/
“มี เลิก4โมงเยน” ผมนึกเล็กน้อยก่อนจะตอบไป วันนี้บ่ายมีเรียนตัวเดียวแต่ 3 ชั่วโมงติด ตายห่าแน่ๆถ้าไม่รีบไปแดกข้าวตอนนี้ พอดีกับที่ผมเดินมาถึงโรงอาหารของคณะวิทยาศาสตร์ อันที่จริงจะไปกินโรงอาหารกลางก็ได้ แต่มันไกลจากตึกเรียน ผมเลยเลือกมากินที่นี่ดีกว่า
“แค่นี้ก่อนนะ จะแดกข้าว”
/4โมงเย็นผมรอใต้คณะที่เดิมนะ/
“เออ” ผมตอบห้วนๆตามแบบฉบับก่อนจะกดวางสาย
สาเหตุที่ปกป้องมาป้วนเปี้ยนแถวคณะผมบ่อยก็คงเป็นเพราะงานพิเศษร้านเฮียกวงนั่นแหละ มาก่อนเวลาแล้วไม่มีที่อยู่จนต้องลำบากห้องผม พอถึงเวลาเข้างานเด็กหัวเกรียนก็ลากผมไปตอกบัตรเข้าเวลางานเป๊ะๆ แบบนี้ฉายาสายนิดๆหน่อยๆของผมเป็นอันต้องจบลงเพราะมันเนี่ยแหละ ไม่รู้จะกระตือรือร้นอะไรนักหนา ขยันเกินเหตุ
ร้านข้าวราดแกงแถวไม่ยาวมากนัก ผมจึงเลือกไปต่อแถวร้านนี้ เดินถือข้าวไปซื้อน้ำแก้วละ5บาทแต่แก้วโคตรใหญ่ อิ่มคุ้มแน่นอน สายตากวาดหาทำเลดีๆ ที่นั่งมุมสงบ ไม่นานผมก็เจอ
ขณะที่ผมกำลังทานข้าวอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกหวานๆ ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่เคนได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เสียงหวานใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนผมเงยหน้า และพบกับหญิงสาวน่ารักที่ผมชักจะคุ้นๆมาหน่อยแล้ว
กิ๊กไอ้เหี้ยโทนี่หว่า
“ครับ?”
“นะโมมาคนเดียวเหรอ?” หญิงสาวตรงหน้าถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามโดยที่ไม่ถามความเห็นผมสักคำ คือมันก็ดีอยู่หรอกที่จู่ๆมีสาวน่ารักมาเป็นอาหารตา แต่ไอ้สายตาเขม่นจากรอบข้างนี่ทำผมหนาวๆร้อนๆ
“อ่า ครับ”
“แล้วโทไปไหน ปกติเห็นอยู่ด้วยกันตลอด” นิ้วที่จับช้อนเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ไม่ใช่แล้วล่ะครับ ผมไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไหร่”
“อ้าว ก็อยู่เจอร์เดียวกันไม่ใช่เหรอ?”
จะผิดไหมถ้าผมบอกว่าชักรำคาญเสียงหวานๆเจื้อยแจ้วของหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้นทุกทีๆ
“เดี๋ยวนี้โทรหาก็ไม่ค่อยรับ ไม่รู้ไปติดสาวที่ไหน เห็นในเฟสก็พร่ำเพ้ออะไรรู้ เห้อออ”
“...” ผมเงียบ ไม่ตอบรับ ไม่หือไม่หา
“เอางี้ถ้านะโมเจอโทฝากบอกด้วยว่าโทรหาเกี๊ยวด้วย..นะคะ” รอยยิ้มของเธอแถมเสียงขี้อ้อนที่หางประโยคทำเอาชายหนุ่มรอบข้างละลาย แต่มันใช้ไม่ได้กับผม
ผมตักข้าวเข้าปากคำสุดท้าย รวบช้อน กลืน และดื่มน้ำ
“ตอนบ่ายมีเรียนรึเปล่าครับ?” ผมไม่ได้รับปาก แต่ถามกลับขึ้นมาแทน หญิงสาวตรงหน้าถึงกับงง
“คะ?...เอ่อ ก็ไม่มีนะ”
“วิชาต่อไปอาจารย์ใจดี ลองเข้าไปนั่งเรียนที่ตึกวิทย์4 ห้อง502 สิ”
เท่านั้นแหละ สาวเจ้าก็ยิ้มกว้าง นี่ถ้าโดดข้ามโต๊ะมาหอมแก้มผมได้คงทำไปแล้ว
“ขอบคุณนะโมมากน้า”
บางทีการมีผู้หญิงมาเจาะแจ๊ะข้างๆมัน อาจทำให้มันหุบปากเงียบและเลิกจ้องผมตลอดทั้งคาบก็ได้
“อาทิตย์หน้าผมสอบอ่ะโม”
“แล้ว?”
“ติวให้หน่อยยย”
“กูเรียนกับมึงเหรอ?” เอาตัวเองยังไม่รอดเล๊ยยย
ผมปรายหางตาไปมองคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง กางหนังสือม.ปลายอ่าน พลางกระดิกเท้าไปด้วย
“โมแก่กว่าผม เป็นรุ่นพี่ผม แถมอยู่คณะวิศวะ แสดงว่าต้องเก่งดิ”
“เออเก่งมั้ง คะแนนแอดมิชชั่นเป็นที่1” คราวนี้ปกป้องลุกขึ้นมานั่ง ทำตาโต
“โห จริงดิ”
“นับจากท้ายสุดอะนะ”
ฟุ่บบ!!
“โว๊ย ปาหมอนใส่กูทำไมวะ?” มือที่กำลังพิมพ์งานต้องหยุดชะงักเพื่อมาปัดไอ้หมอนเน่าๆนี่ออกไป
“ก็โมกวนอีกแล้ว”
“กูไม่ได้กวน แค่ยังพูดไม่จบ”
เท่านั้นแหละ หมอนอีกใบก็ตามมาทันที
“จะเล่นใช่มะ?” ผมหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับไอ้เด็กหัวเกรียน คนยิ่งเหนื่อยๆอยู่ แถมงานก็เยอะ สั่งอย่างกับว่ากลัวนักศึกษาว่างงาน และไอ้งานที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี่ก็ส่งพรุ่งนี้ด้วย
ผมก้มลงไปหยิบหมอนทั้ง 2 ใบแล้วปากลับ หวังจะให้ปะทะใบหน้าใสๆของอีกฝ่าย ทว่ามือหนาทั้ง 2 ข้างกลับรับไว้ได้พอดิบพอดี
“อ่านหนังสือไปเลยมึง กูจะทำงาน”
“งานร้อนเหรอ?”
“เออดิ ส่งพรุ่งนี้ ร้อนจนลุกเป็นไฟแล้ว...ชิบหาย ตี2” ผมอุทานเมื่อเห็นเวลามุมขวาล่างของจอมอนิเตอร์ เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน ทั้งๆที่วันนี้ลูกค้าที่ร้านไม่เยอะเท่าไหร่ ผมรีบขอตัวเฮียกวงกลับก่อนเพื่อที่จะมาปั่นงาน “นอนก่อนก็ได้นะ ปิดไฟเลย งานเสร็จเดี๋ยวกูตามไปนอนเอง”
“ไม่เอา นอนพร้อมกัน” งอแงชิบหายเลยเด็กคนนี้
“งั้นก็อย่ากวนกู” จบคำทั้งห้องก็เงียบไป เหลือเพียงเสียงพัดลมแก่ๆที่น๊อตจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่
ไม่นานนักผมก็ปิดคอมพ์ หันกลับไปมองที่เตียง ปกป้องหลับไปแล้ว ผมเดินไปปิดไฟก่อนจะเดินไปที่เตียงอย่างเคยชิน คว้าผ้าห่มมาห่มแม้จะรู้ว่าตอนเช้าผ้าห่มคงได้ลงไปกองกับพื้น
นอนกับปกป้อง หมายถึงนอนหลับจริงๆ ไม่ได้18+ ผมไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ได้ผวา เหมือนมีน้องชายอยู่ใกล้ๆได้อุ่นใจ เนื้อตัวเราแทบไม่สัมผัสกันเลย ใช่..มันมีบ้างในเวลาที่กวนตีนหยอกล้อกันแบบตอนเช้าที่ผมจะขี้เซา ปกป้องเลยกลายเป็นนาฬิกาปลุกมีชีวิตอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งลาก ทั้งนอนทับ เอานิ้วมาเกาที่เท้าให้ผมจั๊กจี้จนผมถีบทื่ท้องมันเข้าให้ พอผมตื่นมันก็จะไปซื้อปาท๋องโก๋ หรือไม่ก็หมูปิ้งมาไว้ แต่เนื่องจากโรงเรียนมีเข้าแถวเคารพธงชาติตอน8โมง น้องมันเลยต้องออกจากห้องไปก่อน ไม่เคยได้ออกพร้อมผมสักที
มันคือการเห็นแก่ตัว อาศัยความใจดี ใสซื่อของปกป้องมาบดบังความน่าสมเพชที่ให้โทก่อไว้กับผมจนมันกัดกินลึกไปจนถึงจิตใจ หลอกตัวเองว่ามันคือฝัน ฝันร้ายๆ ฝันเหี้ยๆที่ตื่นมาเดี๋ยวมันก็จบลง คำว่ารักจากปากมันในวันนั้นก็เหมือนกัน แม้จะทำหัวใจผมเต้นผิดจังหวะ แต่มันก็ได้แค่นั้นแหละ...ชีวิตของผมกับไอ้โทมันคือเส้นขนานตั้งแต่วันที่มันทำร้ายผม
ตอนนี้ผมแข็งแกร่งขึ้น อาการทั้งร่างกายและจิตใจดีขึ้น แม้จะยังมีรอยแผลเป็นจางๆ แต่มันก็ทุเลา คงเพราะกิจวัตรเดิมๆที่มีปกป้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ถ้าปกป้องรู้ว่าตัวผมมันสกปรกเขาจะยังนับถือผมเป็นพี่รึเปล่า จะห่างเหินกับผมไปเลยหรือไม่
ผมว่าผมพร้อมรับคำตอบแล้ว
“ปกป้อง” ผมกระซิบเรียก
“อืออ...” เสียงครางแบบรำคาญเบาๆดังขึ้น “มีอะไร โมยังไม่นอนอีกหรอ?”
“เปล่า ง่วงก็นอนเถอะ”
“อือ นอนกันๆ ฝันดีครับโม” ท่าทางจะง่วงจริง งั้นไว้วันหลังก็ได้
“ฝันดี”
Next Chapter >> - 17 - (part2)อัพนิยายแล้วก็เผ่นสิคะ รอไรล่ะ หลายไปหลายเดือนเกิน เดี๋ยวนักอ่านดักตีหัว 55555
คิดถึงทุกคนนะคะ