The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]  (อ่าน 85234 ครั้ง)

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
«ตอบ #90 เมื่อ05-12-2012 00:45:00 »

อยากตะโกนว่าพี่คิวสู้เค้า

พี่เท่มาก o13

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
«ตอบ #91 เมื่อ05-12-2012 11:02:33 »

ท่าทางพี่คิวจะได้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมเร็วๆ นี้แล้วสินะ

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
«ตอบ #92 เมื่อ06-12-2012 13:54:30 »

อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาคลอเลยอ่ะ

สู้ๆนะพี่คิว

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
«ตอบ #93 เมื่อ06-12-2012 15:59:41 »

สภาพจิตใจดีมากเลยนะพี่คิว สู้ๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
«ตอบ #94 เมื่อ10-12-2012 19:56:55 »

ตอนที่ 9

เช้าวันถัดมา เราสองคนลงมานั่งจิบกาแฟริมหาดกันตั้งแต่ยังไม่แปดโมง และพอเก้าโมง ผมก็ชวนเขาขับรถออกไปหาข้าวเช้ากินกันที่อื่น ตอนแรกเขามีท่าทีลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง ผมพาเขามานั่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบติดริมหาดหัวหินซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านพอประมาณ ผมว่าปกติผมเองก็สามารถดึงดูดสายตาของทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้ประมาณหนึ่ง แต่เมื่ออยู่กับพี่คิว ดูเหมือนว่าเราจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนที่เดินผ่านไปมาโดยปริยาย บางคนก็มองขาของเขาและอาจจะมีคำถามอยู่ในใจ แต่หลายๆ คนมองเราด้วยสายตาชื่นชมมากกว่า และผมว่าพี่คิวเองก็คงจะรู้สึกอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อมีผู้หญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมองมาที่เขาและหันไปซุบซิบหัวเราะคิกคักกันด้วยท่าทางเขินๆ

“พี่เคยได้ยินทฤษฎีที่ว่าถ้าผู้หญิงสวยหลายๆ คนอยู่ด้วยกัน ทุกคนจะดูสวยขึ้นกว่าเดิม 50% มั้ย” ผมหันไปพูดกับเขา

“ไม่เคยว่ะ 50% เลยเหรอวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ผมก็จำตัวเลขแน่ๆ ไม่ได้หรอก เฮ้ย แต่ก็อะไรประมาณนั้นแหละ พี่ไม่เคยได้ยินจริงๆ เหรอ แบบว่าไม่ต้องผู้หญิงสวยก็ได้ แค่คนหน้าตาดีประมาณมึงอะ หรืออาจจะมีคนหน้าตาธรรมดาๆ สักคนสองคนในกลุ่ม แต่ถ้าจับพวกนี้มาเดินด้วยกัน ทุกคนจะดูสวยขึ้นกว่าความเป็นจริง ไรเงี้ย””

“เหรอวะ ก็คงงั้นมั้ง กูไม่เคยสังเกต ทำไมวะ”

“ผมแค่จะบอกว่ามันก็คล้ายๆ เราตอนนี้ไง ผู้ชายหน้าตาดีสองคนอยู่ด้วยกัน เราเลยยิ่งดูหล่อขึ้นเป็นทวีคูณ”

เขาหัวเราะ “มึงไม่คิดว่าเค้ามองกูคนเดียวเลยรึไงวะ”

“ไม่คิด เพราะผมหล่อ ผมรู้ตัว” ผมยักไหล่

“ฮ่าๆ ก็อาจจะจริง แต่กูว่าคนแม่งมองกูแล้วคงคิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันไปทำอะไรมาถึงได้ขาขาดแบบนี้มากกว่า”

ก็อาจจะถูกของเค้าส่วนหนึ่ง แต่ผมว่าไม่ทั้งหมด

“แล้วอึดอัดมั้ยล่ะ กับสายตาของคนพวกนั้น” ผมถาม

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “ไม่ว่ะ... คนมันก็มีสิทธิ์จะคิดหรือสงสัยจริงมั้ยล่ะ ก็อย่างที่มึงย้ำกับกูตลอดนั่นแหละ กูจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเลย รอจนกว่าขาจะงอกออกมาก็เป็นไปไม่ได้”

“ดีแล้ว เพราะผมว่าพี่ก็คงเห็นมั้งว่าสายตาของพวกเค้ามันเป็นสายตาของความชื่นชม สายตาลุกวาวเวลาเห็นผู้ชายหน้าตาดี ไม่ใช่สายตาเวทนาอย่างที่พี่เคยกลัวสักนิดเดียว”

“กูไม่ได้กลัว แต่กูแค่...” เขาไม่ได้พูดให้จบประโยค และผมก็ไม่ถามอะไรเขาต่อด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ เราก็กลับไปที่บ้าน ผมได้รับโทรศัพท์จากเนยชวนเราออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกันข้างนอก เพราะเมื่อคืนเราไม่ได้ไปหาพวกเขาที่บ้าน แต่เนื่องจากเราเพิ่งกลับมาจากข้างนอกได้ไม่นาน ผมจึงปฏิเสธไป

เมื่อตกบ่ายแก่ๆ ผมกับพี่คิวก็ลงไปนั่งเล่นที่เดิมกับที่เราเจอเจ้าตัวเล็กเมื่อวาน แต่วันนี้เราเจอกับผู้หญิงวัยรุ่นสองคนแทน รอบแรกที่เดินผ่านเราไป พวกเธอมองมาที่พี่คิวและซุบซิบบางอย่างกัน และอีกหลายนาทีถัดมา เมื่อพวกเธอเดินวนกลับมาและต้องผ่านเราสองคนอีกครั้ง คนผมสั้นก็ถามคำถามหนึ่งขึ้น

“เมาแล้วขับเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นทหาร” พี่คิวตอบ

“เห็นมั้ยแก ฉันเดาถูก!” คนที่ถามหันกลับไปหัวเราะกับเพื่อนผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆ

คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันที ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเลย!

“พี่ที่เคยออกข่าวเมื่อหลายเดือนก่อนใช่ปะ ที่ว่าโดนระเบิดอะไรสักอย่างอะค่ะ”

“ใช่ครับ”

“ใช่จริงๆ ด้วย แต่หนูก็จำชื่อจำหน้าพี่ไม่ได้หรอก แค่เอะใจเฉยๆ ว่าจะใช่มั้ย เพราะที่ภาคใต้ก็มีข่าวพวกนี้เยอะเหลือเกิน ไม่จบไม่สิ้นเนอะ แกว่ามะ”

“ใช่ๆ แล้วขาขาดไปข้างนึงแบบนี้ พี่ว่ามันคุ้มกันเหรอ ทำไมไม่ไปประจำที่อื่นล่ะคะ” คนผมยาวถามขึ้นบ้าง

ผมพยายามควบคุมความโกรธจนรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นเทาน้อยๆ แต่ดูเหมือนพี่คิวจะรับมือกับผู้หญิงสองคนนี้ได้ดีกว่าผมมาก

พี่คิวยิ้มและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุ้มครับ มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอยู่แล้ว และอีกอย่าง พอได้ขาใหม่มา ผมก็จะกลับไปประจำการอีกครั้งด้วย”

“ทำได้ด้วยเหรอคะ” คนผมสั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“เออว่ะ ปกติเค้ารับคนพิการเข้าเป็นทหารด้วยเหรอแก”

“ฉันก็ไม่รู้ว่ะ”

“ผมจะพยายามทำเรื่องเพื่อจะกลับไปอีกครั้งให้ได้ครับ ปีนี้ผมน่าจะทำได้”

“แล้วพี่จะกลับไปทำไมอีกล่ะ ไม่กลัวว่าครั้งหน้าจะเสียอย่างอื่นที่ยิ่งกว่าขาไปอีกเหรอ”

“พอ! พี่ไม่ต้องตอบเหี้ยอะไรแล้ว!” ผมลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับพี่คิว จากนั้นก็หันไปหาผู้หญิงสองคนนั้น “ส่วนคุณสองคนก็เลิกถามทุเรศๆ แบบนั้นสักที! รู้จักมารยาทบ้างมั้ยเนี่ย มีสมองบ้างรึเปล่า!”

ทั้งคู่มองหน้าผมและชักสีหน้าใส่ผมทันที

“อะไรของแกอะ!” คนผมสั้น “เสียมารยาทที่สุด อุบาทว์!”

“ไปเถอะแก อย่าไปยุ่งกับแม่งเลย” คนผมยาวดึงแขนเพื่อนของตัวเองและทั้งคู่ก็เริ่มเดินออกไป

“เออ! รีบไปไกลๆ เลย แล้วช่วยกลับไปเอาสิ่งที่เรียกว่า ‘สามัญสำนึก’ ยัดใส่ลงหัวตัวเองบ้างนะ ไอ้พวกไร้สมองเอ๊ย!”

“ไอ้เหี้ย!!” ทั้งสองคนหันมาตะโกนด่าผม

“ใครกันแน่!!” ผมชูนิ้วกลางให้ทั้งคู่ก่อนที่พวกนั้นจะหันกลับและรีบเดินจากไป “แม่งงง! อีพวกเหี้ยเอ๊ยย! มารยาทไม่มีแล้วยังไม่มีสมองอีก คำพูดแต่ละคำ แม่งพ่นออกมาได้ไงวะ!” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด

“มึงจะเดือดร้อนขนาดนี้ทำไม” พี่คิวถามผม

“ผมไม่ได้เดือดร้อนเว้ย แต่ผมทนฟังไม่ได้ต่างหาก แม่งงง!”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงพยายามปกป้องกูเหรอ กลัวกูทนยัยพวกนั้นไม่ได้รึไง”

“ก็มันน่าปะล่ะ สมองแม่งคงมีแต่ขี้เปียกมั้ง ถึงคิดแต่ละอย่างได้ต่ำขนาดนั้น แถมแม่งไม่เห็นเลยรึไงว่าพี่มีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าเรื่องขาของพี่ตั้งเยอะ”

“เช่นอะไร”

ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองเริ่มใจเย็นลงเล็กน้อย “พี่ไม่รู้จริงๆ รึไง”

“เช่นอะไรล่ะ หน้าตากูรึไง หรือว่า...”

“นี่พี่” ผมขัดขึ้น “เมื่อคืนเรายังไม่ได้ทำอะไรกันเลยนะ”

เขาหัวเราะ “อะไรวะ แล้วมึงจะให้กูทำยังไง”

“ขึ้นบ้านกันเหอะ ผมอยากกอดพี่ว่ะ อยากทำให้พี่รู้ว่าพี่มีดีให้ชื่นชมมากขนาดไหน”

“มึงเงี่ยนอะดิ พอโกรธแล้วเงี่ยนเหรอวะ”

ผมพยักหน้า “ใช่ มากด้วย แต่ที่สำคัญคือพี่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมเงี่ยน”

เราเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยที่ผมไม่ต้องเสนอความช่วยเหลือเขาในการขึ้นบันไดหรือแม้แต่คอยเดินตามหลังเขาเพื่อคอยระวังเลย และเมื่อเราเข้าไปในห้องนอนของผมแล้ว ผมก็เริ่มด้วยการใช้ปากและลิ้นปลุกอารมณ์ให้เขาก่อน หลังจากนั้นเขาก็เป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าผมไม่ลืมตามองดูขาของเขา ผมก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าเขามีขาแค่เพียงข้างเดียว และเมื่อเราต่างถึงจุดสุดยอดด้วยกันทั้งคู่แล้ว เขาก็ล้มตัวนอนหงานแผ่อยู่ข้างๆ ผม

“พี่แน่ใจนะ... ว่าพี่พิการจริงๆ น่ะ...” ผมพูดพลางหอบเบาๆ

เขาหัวเราะ “กูว่าสภาพมึงตอนนี้น่ะ ดูเหมือนคนพิการมากกว่ากูอีก เหมือนขาดปอดไปข้างนึงรึอะไรแบบนั้นน่ะ”

ผมหันไปมองหน้าเขา เขาช่างงดงามจริงๆ คำว่า ‘หล่อ’ ยังไม่เพียงพอเลย ถ้าหากว่าผมไม่ระวังล่ะก็ ผมอาจจะตกหลุมรักเขาไปแล้วก็ได้

“หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ” เขาถาม

“ตอนเย็นไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำกันมั้ย” ผมเสนอและคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธ แต่แล้วเขาก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเขาตอบตกลง

“โอเค แต่ขอนอนสักงีบก่อนแล้วกัน”

“ได้ และพอว่ายน้ำเสร็จก็ไปหาอะไรกิน กลับมาเอากันอีกรอบ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ กทม. กันตั้งแต่เช้า โอเคปะ”

เขาหัวเราะชอบใจจากนั้นก็เหยียดแขนออกมาล็อคคอของผมเอาไว้ แล้วเราก็หลับลงไปแทบจะพร้อมๆ กัน

ที่สระว่ายน้ำ ผมเดินไปบอกคนดูแลประจำสระเรื่องของพี่คิวว่าให้เขาคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ เอาไว้ แต่ปรากฏว่าพี่คิวกลับสามารถว่ายน้ำได้ดียิ่งกว่าคนปกติบางคนอีกด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเขาได้ลองดำผุดดำว่ายในทะเลมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวของเขามากที่สุดคือการที่เขากล้าใส่กางเกงว่ายน้ำตัวที่ผมซื้อมาให้ และสายตาชื่นชมของหลายๆ คนที่อยู่ที่นั่นมากกว่า

วันถัดมา ผมขับรถไปส่งเขาที่โรงพยาบาลแล้วก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในใจชอบกล แต่ผมก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมัน และเมื่อวันจันทร์มาถึง ผมก็เข้ารายงานตัวตอนเช้ากับพี่โจตามปกติ

“เป็นยังไงบ้าง หือ” เขาถาม

“ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้แล้วมั้งครับ ผมว่า”

“แล้วสรุปว่าได้ผู้หญิงมามั้ย”

“ผมไม่ได้หาผู้หญิงให้เค้านะครับ แต่โชคดีที่เราเจอโอกาสเหมาะๆ เข้ามากกว่า ซึ่งผู้หญิงเองก็สนใจเค้ามากด้วย ผมเลยปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสอยู่กันแบบสองต่อสองดู จากนั้นที่เหลือเค้าเป็นคนคุยและจัดการเองหมดเลย ผมเองยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าเค้าจะได้มีอะไรกับผู้หญิงเร็วขนาดนี้น่ะ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่โจเลิกคิ้วขึ้นท่าทางสนใจ “ผมต้องรู้รายละเอียดเรื่องนี้มั้ย”

“ไม่จำเป็นมั้งครับ เพราะจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ผมบอกพี่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนของรุ่นน้องผมเอง เราไปเจอพวกเค้าโดยบังเอิญน่ะ และสุดท้ายคือเราคงสรุปได้แล้วล่ะว่าพี่คิวน่าจะได้ความมั่นใจในการคุยหรือแม้แต่จีบผู้หญิงกลับคืนมาเยอะแล้วล่ะครับ”

“อืมม แบบนั้นก็ดี”

“อ้อ อีกอย่างคือเค้ายอมใส่กางเกงว่ายน้ำแล้วด้วยนะ หนแรกเค้าใส่กางเกงขาสั้นลงว่ายน้ำในทะเล ส่วนอีกหนคือใส่กางเกงว่ายน้ำลงสระว่ายน้ำในหมู่บ้านเลย” ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ

“เฮ้ย! จริงรึเปล่า!” พี่โจยิ้มกว้าง “ถ้าพวกหมอๆ ได้ยินเรื่องนี้เข้าคงดีใจแน่!”

“ให้ขาใหม่เค้าเถอะครับ พี่โจ” ผมพูด

“อีกสามชั่วโมงเราจะมีประชุมกับหมอเจ้าของไข้ทั้งสองคนของคิวอีกครั้ง คุณพูดเรื่องนี้กับพวกเค้าเองเลยก็แล้วกัน”

“หมายถึงอาจารย์ปฏิภาณกับอาจารย์ไพศาลนะเหรอครับ”

“ใช่”

“แล้วผมต้องเป็นคนพูดอีกแล้วเหรอ ผมนึกว่าจะไม่ต้องไปเจอหน้าอาจารย์หมอพวกนั้นอีกแล้วนะเนี่ย” ผมกลอกตาเซ็งๆ

“หมอเค้าอยากได้ยินรายงานจากปากของคุณทั้งคู่มากกว่า”

“ทั้งคู่เหรอครับ”

“ใช่ ทั้งคุณแล้วก็คิวเลย”

“เฮ้ย แล้วเจ้าตัวรู้เรื่องนี้รึยังครับเนี่ย”

“ยัง แต่คุณกำลังจะเป็นคนไปบอกเค้าเองอยู่นี่ไง”

“ครับ” ผมพยักหน้า จากนั้นก็ขอตัวออกจากห้อง

“พลุ” พี่โจเรียกผมให้หยุดก่อนที่ผมจะทันได้เปิดประตูห้องออก “คุณทำได้ดีมากนะ ท่านผู้อำนวยการเองก็ฝากผมมาชมคุณด้วย”

“ขอบคุณครับพี่ แต่ผมก็แค่ทำหน้าที่อาสาสมัครให้ดีที่สุดเองครับ ผมแค่อยากให้เค้ากลับไปทำหน้าที่ของเค้าต่อได้อย่างที่ตั้งใจ และก็ทำเพื่อให้ตัวเองผ่านการประเมิน ก็แค่นั้นเอง ที่สำคัญ ผมเหลือเวลาทำงานที่นี่อีกแค่ไม่ถึงอาทิตย์เดียวแล้วด้วย เพราะงั้นก็จะทำหน้าที่ให้เต็มที่จนกว่าจะเดินออกจากที่นี่ไปนั่นแหละครับ” ผมตอบกลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าความจริงที่ผมพูดออกจากปากไปมันจะทำให้ผมรู้สึกจุกและแน่นในอกได้ถึงขนาดนี้

“ไปบอกให้ทหารหนุ่มของเราเตรียมตัวเถอะ” พี่โจพยักหน้าให้ผม ผมจึงเดินออกจากห้องไป

ผมอธิบายเรื่องการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นให้พี่คิวฟัง ท่าทางเขาจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“ปกติพี่ไม่ได้เจอหมอสองคนนี้บ่อยๆ อยู่แล้วเหรอ” ผมถาม

“ช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยเจอแล้ว ส่วนมากจะเจอพี่โจกับนักจิตเวชคนอื่นมากกว่า และอีกอย่างกูก็ไม่เคยเข้าประชุมอะไรที่เป็นทางการแบบนี้ด้วย”

“ผมว่ามันก็ไม่ได้ทางการอะไรมากหรอก แค่ไปนั่งพูดให้เค้าฟังมากกว่า”

“มึงว่ากูจะได้ขาใหม่เร็วๆ นี้มั้ยวะ”

“ผมก็ไม่เห็นเหตุผลที่เค้าจะประวิงเวลาต่อไปนะ” ผมตอบตามที่คิด “เอ้อ ผมเองก็ไม่ได้บอกพี่อย่าง ผมทำงานที่นี่ถึงแค่วันศุกร์นี้แล้วนะครับ”

“อ้อเหรอ” คือคำพูดสั้นๆ ที่เขาตอบกลับมา

พวกเราไปพบกับอาจารย์หมอทั้งสองคนที่ห้องเดิมที่ผมเคยขึ้นไป พี่คิวอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวและกางเกงขาสั้นเหนือเข่าตามที่ผมบอก เพราะผมต้องการให้พวกเขาเห็นว่าผู้ชายคนนี้แข็งแรงสมบูรณ์มากขนาดไหน หลังจากทักทายกันตามพิธีนิดหน่อย อาจารย์ไพศาลก็บอกให้ผมรายงานผลประเมินที่ผมมีให้เขาฟัง

“ผมว่า... ก็คงไม่มีอะไรให้รายงานมากมั้งครับ คือผมคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วอะครับ ผมมั่นใจว่าพี่คิวพร้อมแล้วที่จะได้ขาเทียมและได้กลับออกไปสู่ข้างนอกอีกครั้ง”

“ผมหมายถึงสามวันสองคืนที่ผ่านมานี่ต่างหาก คุณมีอะไรจะรายงานผมบ้าง” อาจารย์ไพศาลขยับแว่นตา

“อ๋อ ครับ มีครับ” ผมกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนความเขิน “ผมว่าพี่คิวเปิดใจออกมากแล้วครับ เค้าได้ความมั่นใจกลับคืนมา เราออกไปกินข้าวนอกบ้าน เจอผู้คน ว่ายน้ำทั้งที่ทะเลและสระว่ายน้ำ... โดยใส่กางเกงว่ายน้ำแบบบิกินี่นะครับ” ผมเน้นย้ำ “แล้วพี่เค้าก็ได้เจอผู้หญิงคนนึงด้วย”

หมอทั้งสองคนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ผมคิดว่าเขาคงเข้าใจความหมายทั้งหมดที่ผมตั้งใจสื่อออกไปเป็นอย่างดี

“ไม่ใช่แค่นั้น แต่มันยังมีทัศนคติหลายๆ อย่างที่พี่เค้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และผมว่าอาจารย์คงเห็นว่าร่างกายของพี่เค้าก็พร้อมแล้วสำหรับการใช้ขาทั้งสองข้าง เค้าอยากจะวิ่งได้อีกครั้ง ซึ่งผมก็คิดว่าเค้าต้องทำได้แน่ๆ ด้วย ผมไม่ใช่หมอ แล้วก็ไม่ใช่นักกายภาพบำบัด เพราะงั้นผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นศัพท์ทางการแพทย์ไม่เป็น แต่จากที่ผมได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่เค้า ผมมั่นใจว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเค้าพร้อมทุกๆ อย่างแล้วครับ ผมไม่เข้าใจว่าเรายังจะต้องรออะไรอีกหรือรอไปอีกถึงเมื่อไหร่ ผมแค่อยากเห็นเค้าได้กลับไปทำในสิ่งที่เค้าอยากทำไวๆ เท่านั้นเองครับ”

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมรู้สึกกังวลและกดดันขนาดไหนจนกระทั่งผมพูดจบ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังสั่นอยู่ข้างใน

“สำหรับเรื่องการกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้งอย่างที่เจ้าตัวต้องการนั้นผมคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผมต้องตัดสินใจ แต่เป็นทางกองทัพน่ะ” อาจารย์ปฏิภาณพูด

“ใช่ และผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ คุณพิทักษ์กลไกล แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าในทางการแพทย์ เราไม่สามารถหยิบขาปลอมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วให้ผู้ป่วยกระโดดเหยงๆ มาหยิบไปคนละขา สวม แล้วหัดเดินเองออกจากห้องไปได้เลย มันใช้เวลาและขั้นตอนที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความต้องการในการกลับไปใช้ชีวิตที่ผิดจากธรรมดาอย่างกรณีของคุณ...” อาจารย์ไพศาลพูดพลางหันไปมองที่พี่คิว “คุณไม่ได้ต้องการจะกลับไปเป็นพลเรือนธรรมดา แต่อยากกลับไปเป็นทหารอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากทั้งสำหรับคุณ โรงพยาบาล และกองทัพ เพราะฉะนั้นเรื่องทุกอย่างจะต้องผ่านการประเมิน ตรวจสอบ และทำให้แน่ใจซะก่อนว่าคุณพร้อมแล้วจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือลงไปใต้โต๊ะและหยิบขาเทียมสำหรับพี่คิวขึ้นมาวางบนโต๊ะ “แต่ผมว่าผมเห็นด้วยนะว่าคนไข้ของเราคนนี้พร้อมแล้วจริงๆ”

พี่คิวสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง เขาหันมาหาผมและพี่โจพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เราจะให้นักกายภาพบำบัดของเราช่วยเตรียมคุณให้พร้อมกับขาใหม่ของคุณอย่างเร็วที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ฝึกใช้งานมันให้เป็นส่วนนึงของอวัยวะจริงๆ ซึ่งที่จริงเราจะเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยด้วยซ้ำ”

“เดี๋ยวเราจะให้เจ้าหน้าที่ช่วยใส่มันให้นะ แล้วคุณก็เริ่มลงไปวิ่งที่ลู่ได้เลย” อาจารย์ปฏิภาณพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม

“วันนี้เลยเหรอครับ” พี่คิวถามซ้ำ

“อยากจะเลื่อนไปก่อนเหรอ ไม่พร้อมรึไง” พี่โจถามกลับ

“ไม่ครับๆ ผมพร้อม พร้อมมานานแล้วด้วย” พี่คิวพูดพลางยื่นมือออกมาสัมผัสขาเทียมของเขาเบาๆ “ผมจะเดิน วิ่ง หรือออกกำลังได้ด้วยขาข้างนี้รึเปล่าครับ”

“มันทำได้ทุกอย่างที่ขาเก่าคุณเคยทำได้นั่นแหละ” อาจารย์ปฏิภาณตอบ

“มีคำถามอะไรอีกมั้ยครับ” อาจารย์ไพศาลถามขึ้น

“ถ้าเป็นไปได้...” พี่คิวลดมือลงและมองหน้าหมอทั้งสองคนสลับกัน “ผมอยากให้พลุทำงานกับผมต่อครับ ในฐานะนักกายภาพบำบัดหรืออะไรก็ได้”

“เฮ้ยพี่ ผมไม่ใช่นักกายภาพบำบัดนะ ไม่ได้มีความรู้เรื่องพวกนั้นแม้แต่นิดเดียวเลยด้วย” ผมรีบหันไปพูดกับเขาด้วยความตกใจ

เขาไม่สนใจผม “ผมพูดตรงๆ นะครับว่าผมมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะเด็กคนนี้ มัน... ขอโทษครับ พลุอาจจะไม่ใช่นักกายภาพบำบัดหรือนักจิตเวชที่ดีที่สุด แต่เค้าคือคนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง และผมก็อยากให้เค้าอยู่ช่วยผมต่อจนกระทั่งผมหัดเดินด้วยขาสองข้างเป็นอีกครั้ง”

อาจารย์หมอทั้งสองคนฟังและพยักหน้าเบาๆ ดูท่าทางเขาจะกำลังคิดเรื่องนี้กันอยู่จริงๆ

“ผมว่าเป็นไปได้นะ” อาจารย์ไพศาลพูดขึ้น “คุณต้องทำงานเป็นอาสาสมัครที่นี่ถึงเมื่อไหร่นะ พิทักษ์กลไกล”

“วันศุกร์นี้ครับ” ผมตอบ

“หัวหน้าแผนกกายภาพบำบัดจะไปหาคุณที่ห้องหลังจากเราประชุมกันเสร็จ แต่ก่อนหน้านั้นผมจะคุยกับเขาให้ก่อนก็แล้วกัน” อาจารย์ไพศาลพูดกับพี่คิว จากนั้นก็หันมาทางผม “ส่วนคุณ พ่อหนุ่ม ถ้าคุณอยากจะทำงานกับทางเราต่อ ผมว่าคุณมีสองตัวเลือกนะ ตัวเลือกที่หนึ่งคือคุณทำเป็นอาสาสมัครต่อไป คุณอาจจะไม่ได้เงิน ไม่ได้เครดิตไปใช้ในวิชาที่คุณเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ผมจะออกจดหมายรับรองพิเศษให้ เพื่อว่ามันอาจจะมีประโยชน์สำหรับคุณในอนาคตหลังจากที่เรียนจบ หรืออีกทางหนึ่ง คุณมาทำงานที่นี่เป็นงานพิเศษ ทำจนกว่ามหาวิทยาลัยจะเปิด แต่แบบนี้ผมจะยังไม่สามารถรับปากเรื่องตำแหน่งหน้าที่หรือเงินตอบแทนที่คุณจะได้รับได้นะ ผมต้องคุยกับท่านผู้อำนวยการอีกที”

“ผมว่าถ้าหากคุณสนใจงานสายนี้จริงๆ คุณอาจจะเข้าร่วมอบรมกับทางโรงพยาบาลและลองทำงานอินเทิร์นชิพที่นี่ดูมั้ยล่ะ ที่จริงโรงพยาบาลของเราก็กำลังจะจัดหลักสูตรอบรมพิเศษสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่อยู่แล้ว ผมว่ามันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีของคุณนะ” อาจารย์ปฏิภาณพูดต่อ

ผมได้แต่นั่งฟัง อึ้ง ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะสนใจทำงานในสายอาชีพนี้ ถ้าถามว่าผมอยากจะทำงานแบบนี้ต่อไปมั้ย ผมก็อาจจะตอบว่าใช่ แต่คงเฉพาะกับพี่คิวคนเดียวเท่านั้น ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีจากการได้ทำงานอาสาสมัครที่นี่ จะสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกคนหรือเปล่า

“ขอบคุณมากครับ” ผมยกมือไหว้หมอทั้งสองคน “แต่ผมขอคิดดูก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมเองก็ชอบทำงานที่นี่ครับ อยากจะอยู่ช่วยพี่โจ แล้วก็ช่วยพี่คิวต่อจนกว่าเค้าจะเดินได้เหมือนกัน แต่ผมขอเวลากลับไปคิดก่อนให้คำตอบได้มั้ยครับ ต้องปรึกษาที่บ้านด้วย”

“ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก แต่พอคุณได้คำตอบแล้วก็บอกโจแล้วกัน ผมจะได้นำเรื่องเสนอท่านผู้อำนวยการ” อาจารย์ปฏิภาณตอบพร้อมรอยยิ้ม และหลังจากนั้นการประชุมก็จบลง

“พี่คิว ถามไรหน่อยดิ...” ผมถามเขาขณะเรากำลังเดินกลับห้องด้วยกัน “ทำไมพี่ถึงขอให้ผมอยู่กับพี่ต่อล่ะ”

เขาหันมายิ้มกว้างและชะโงกหน้าเข้ามากระซิบที่หูของผม “ก็เผื่อกูต้องการคนช่วยอาบน้ำอีกล่ะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 23:29:20 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #95 เมื่อ10-12-2012 20:20:44 »

เดี๋ยวกลับมาอ่าน

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #96 เมื่อ10-12-2012 20:30:59 »

แหม ช่วยอาบน้ำ
หนูไม่เชื่อพี่หรอก !!!!!!!
:o8:

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #97 เมื่อ11-12-2012 09:55:28 »

พี่คิวเริ่มจะชอบพลุขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ
ส่วนพลุคงไม่ต้องถามแล้วล่ะ ก็เล่นหึงซะออกนอกหน้าขนาดนั้นถึงขึ้น'แจกของ'ให้สาวๆ เลยทีเดียว

ออฟไลน์ miracle22936

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #98 เมื่อ11-12-2012 10:26:48 »

โอ้ววว ว้าววว ต้องการคนมาช่วยอาบน้ำ ฮ่าๆๆๆ ฟินนนน

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #99 เมื่อ11-12-2012 10:52:16 »

อ่านแล้วอิ่ม
รู้สึกได้ถึงความผูกพันของคนทั้งสอง
Sexมันก็คงเป็นประเด็น แต่ก็คงไม่ทั้งหมด
อยากใช้คำว่าคงเป็นมิตรภาพและความรู้สึกดีๆที่มีให้กันมากกว่า
ขอบคุณครับ!!!!!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
« ตอบ #99 เมื่อ: 11-12-2012 10:52:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #100 เมื่อ11-12-2012 11:32:02 »

แหมๆ พี่คิว o18

ถ้าอยากหาคนช่วยอาบน้ำหาแถวนั้นก็ได้มั้ง :z1:

บอกไปเลยกล้าๆหน่อย  ว่าอยากให้พลุอยู่ด้วยในวันที่ตัวเองเดิน 2 ขาได้อีกครั้ง :impress2:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #101 เมื่อ11-12-2012 18:59:29 »

ผมชื่มชมภาษาในนิยายของพี่เสมอมมา แล้วเรื่อวนี้ก็ยังคงประทับใจอยู่ สารภาพตามตรงนะ นิยายของพี่จะแมนๆเนอะ ซึ่งผมก็ไม่แมนเท่าไหร่

แต่ก็ไม่ได้ฝักไฝ่ในนิยายรักหวานจ๋านักหนา แต่ก็อ่านนะ เรื่องของพี่มันน่าประทับใจมากๆ มันมีความเป็นธรรมชาติเหมือนผมดูละครดูหนังอยู่เลย

อ่านแล้วผมตกหลุมรักพี่คิวอ่ะ แต่ผมกลัวทหาร เพราะผมกำลังจะ22ต้องไปผ่อนผันทหารรอบที่สองเร็วๆนี้ เสียวเว๊ยยยย แฮ่ะๆ

ดีใจมากๆที่ได้มาตามผลงานของพี่ต้นอีกครั้งนะครับ

รอตอนต่อไปครับ :L2:

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
«ตอบ #102 เมื่อ11-12-2012 19:23:01 »

อ่านที่ไรประทับใจทุกที

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #103 เมื่อ14-12-2012 21:22:02 »

ตอนที่ 10

ตั้งแต่ผมได้ทำงานกับพี่คิว ก็มีเรื่องบางอย่างที่รบกวนจิตใจผมมาตลอด แต่ผมเรียนรู้ที่จะไม่ถามออกไป จนกระทั่งเมื่อเขาได้ขาข้างใหม่และแลดูจะตื่นเต้นกับมันมาก ความกังวลที่ผมเคยเก็บไว้มาตลอดอย่างหนึ่งก็เริ่มกลับมารบกวนจิตใจผมอีกครั้ง

“พี่ ผมถามอะไรหน่อยดิครับ” ผมถามพี่โจขึ้นหลังจากที่รายงานตัวกับเขาเสร็จ

“เรื่องอะไร”

“พี่คิดว่าพี่คิวจะกลับไปเป็นทหารอีกครั้งได้จริงๆ เหรอครับ”

ผมคิดว่าเขาคงรู้สึกได้ถึงความกังวลและเจตนาในคำถามของผม เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตาผม “คุณไม่ได้กำลังถามถึงศักยภาพของเจ้าตัวใช่มั้ย”

“ถ้าเรื่องนั้นน่ะ ผมไม่ห่วงหรอกครับ ผมว่าเค้าแข็งแรงกว่าผมอีกด้วยซ้ำ”

“ปกติแล้วทหารที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากสงครามจะถูกปลดประจำการโดยอัตโนมัตินะ”

“ผมก็คิดว่าแบบนั้นแหละครับ” ผมพยักหน้า “ผมเคยเห็นรูปที่คนแชร์ในเฟซบุ๊คหลายครั้ง ที่เป็นเรื่องราวของทหารที่ขาขาดจากการรบ แล้วสุดท้ายก็ไปทำงานอื่นไม่ได้ ไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน ไม่มีคนเหลียวแล...”

“ก็ไม่เสมอไป” พี่โจพูดเสียงเข้ม “แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าส่วนมากมันเป็นแบบนั้นจริงๆ”

“แล้วทำไมพี่ถึงบอกพี่คิวไปว่าเค้ายังมีโอกาสล่ะครับ พี่ก็รู้ว่าเค้าทุ่มเทกับเรื่องนี้มากแค่ไหน”

“ผมแค่พูดตามที่ผมคิด” เขาตอบ “คิวอาจจะโชคดีกว่าหลายๆ คนที่เคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันมา ตรงที่ปีนี้เป็นปีแรกที่ทางกองทัพกำลังเริ่มจะทบทวนนโยบายการปลดประจำการทหารและเริ่มเอามาตรการแบบของทางอเมริกามาใช้มากขึ้น คุณคิดว่าผมทำงานกับทหารผ่านศึกมากี่คนกี่ปีแล้ว และผมจะบอกให้ว่าความเป็นจริงคือทหารส่วนมาก ไม่มีใครเลือกจะกลับไปเสี่ยงตายในสนามรบอีกครั้งหรอกนะ เพราะฉะนั้นคิวจะเป็นกรณีแรกเลยที่กองทัพไทยจะพิจารณาการกลับเข้าประจำการอีกครั้งหลังจากการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่”

“แปลว่าเค้ามีหวังจริงๆ ใช่มั้ยครับ” ผมถามย้ำ

“หน้าที่ของผมคือการทำความหวังและความฝันของผู้ฟื้นฟูให้เป็นจริง ไม่ใช่สร้างมันขึ้นมาปลอมๆ แล้วทำลายมันนะ”

“ครับ ขอโทษครับพี่ ผมคงพูดเกินไป ผมรู้ว่าพี่ทำหน้าที่ของพี่อย่างดีที่สุดและหวังดีกับทุกคนอยู่แล้ว”

“และผมก็รู้เหมือนกันว่าคุณหวังดีกับเค้ามาก แต่ระวังอย่าให้มันมากจนเกินไปล่ะ”

คำพูดของพี่โจทำให้ผมสะอึกไปนิดหน่อย ผมกล่าวขอบคุณเขาแล้วจากนั้นก็ขอตัวออกจากห้อง

หนึ่งปัญหาคาใจของผมได้ถูกตอบไปแล้ว แต่ถึงแม้ผมจะดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ลึกๆ ภายในใจ ผมกลับรู้สึกกลัวและกังวลกับการที่เขาจะต้องกลับไปเผชิญอันตรายอีกครั้งมากกว่า ซึ่งดูเหมือนว่าพี่คิวเองก็จะดูออกว่าผมกำลังรู้สึกถูกรบกวนอยู่มากขนาดไหน

“เป็นอะไร” เขาถาม

“เปล่า”

เขาหรี่ตา “อย่ามาโกหกกูน่ะ”

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่มีอะไร ผมแค่กังวลๆ เรื่องที่พี่จะกลับไปเป็นทหารอีกครั้งแค่นั่นแหละ”

“ทำไมวะ มึงไม่ดีใจกับกูรึไง”

“ไอ้ดีใจน่ะดีใจแหงล่ะ เพราะผมเองก็อยู่กับพี่มาตลอดเพื่อทำให้พี่เดินไปถึงเป้าหมายนั่นให้ได้อยู่แล้ว ผมรู้ดีหรอกน่า แต่มันก็อันตรายไม่ใช่รึไง ลึกๆ แล้วผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่หว่า ถึงมันจะไม่ใช่หน้าที่หรือธุระกงการอะไรของผมก็ตามเหอะ”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาวางลงบนหัวของผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขางงๆ

“ขอบใจนะเว้ย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เรื่องไร”

“ที่มึงเป็นห่วงกูน่ะ” เขาขยี้หัวผม “กูดีใจที่มึงเป็นห่วงกู คิดถึงกู เพราะงั้นอย่าคิดว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของมึง กูดีใจที่กูเป็นส่วนนึงในความคิดมึงว่ะ”

ผมเห็นบางอย่างในแววตาของเขาที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก มันคือความเปราะบางและอ่อนโยนแบบที่ทำให้ผมรู้สึกใจหายชอบกล

“พี่... ที่จริงผมสงสัยอะไรอย่างนึงมานานแล้วว่ะ”

“อะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้น

“แต่ถ้าผมถามไป พี่อาจต้องโกรธผมแหง”

เขาเลื่อนมือออกและหันไปทางทีวีแทน “งั้นก็ไม่ต้องถาม”

“นั่นดิ” ผมยักไหล่

เขาเหลือบมามองผมด้วยหางตาแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“อะไร” ผมถาม

“เปล่า ก็แค่คิดว่ามึงก็เป็นคนตรงๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ก็คงงั้นมั้ง”

“แล้วสรุปตัดสินใจจะทำงานที่นี่ต่อรึยัง” เขาหันมาถามผมด้วยดวงตาเป็นประกาย “กูอยากได้คนช่วยอาบน้ำให้หลังจากออกกำลังมาเหนื่อยๆ นา”

“เรื่องนั้น...” ผมกำลังจะตอบ แต่เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

ผมกับพี่คิวหันไปมองที่ประตูพร้อมๆ กัน ผมคิดว่าคนที่มาน่าจะเป็นพี่โจหรือพนักงานของโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด เมื่อคนที่เปิดประตูออกและเดินเข้ามาคือผู้หญิงและผู้ชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็แต่งตัวดีและมีสีหน้าเคร่งขรึม ผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้ชายคนนี้ชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน จนกระทั่งอีกไม่กี่วินาทีถัดมานั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว

“พ่อ แม่” พี่คิวพูดขึ้นเบาๆ

ผมรีบลุกออกจากเก้าอี้และยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนทันที “สวัสดีครับ”

พวกเขารับไหว้ผมและเดินตรงมาที่เตียง

“สบายดีมั้ยลูก” แม่ของพี่คิวถามขึ้น

“ก็สบายตัวดีแหละครับ ขาหายไปตั้งข้างนึงนี่” พี่คิวตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน คล้ายกับเมื่อตอนที่เขาพูดกับผมแรกๆ ไม่มีผิด

“ทางโรงพยาบาลติดต่อไปว่าแกได้ขาใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ อยู่ไหนล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นบ้าง จากนั้นก็หันมาทางผม “แล้วเด็กคนนี้คือใคร”

“น้องมันเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ เป็นคนช่วยเหลือคิวทุกๆ อย่างนั่นแหละ” พี่คิวตอบ “ว่าแต่พ่อกับแม่มาที่นี่ทำไม... ครับ”

“พ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมเรายังไงล่ะลูก ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”

“คิวบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องมา” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ

“อย่ามาทำกิริยาแบบนั้นใส่พ่อกับแม่นะ คิว” พ่อของเขาเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย

“คิวสบายดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกสักพักก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปประจำการที่เดิมแล้ว” พี่คิวพูดโดยไม่สนใจพ่อของตัวเอง

ผมรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ค่อยสู้ดีนักและตัดสินใจว่าไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงค่อยๆ ถอยหลังออกมาทีละก้าว และเมื่อผมกับพี่คิวสบตากัน ผมก็ส่งสัญญาณบอกเขาว่าผมจะออกไปข้างนอก เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ผมด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“แล้วไอ้พัตล่ะครับ คงยุ่งกับเรื่องงานเหมือนเดิมสิ”

“พี่พัตมันต้องบินไปญี่ปุ่นอีก 2-3 วันนี้แล้วเลยไม่ว่างมาน่ะ” แม่ของเขาตอบ

เมื่อผมเดินออกจากห้องและปิดประตูลง ผมก็ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันอีกเลย

ดูท่าทางว่าพี่คิวกับพ่อแม่จะไม่ค่อยถูกกันหรืออาจจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างกันอยู่ เขาถึงได้แสดงท่าทีและปฏิกิริยาแบบที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ออกไป และนี่ก็คงจะเป็นคำตอบของอีกคำถามหนึ่งที่ผมสงสัยมานานแล้วก็เป็นได้ ว่าทำไมผมถึงไม่เคยเห็นใครมาเยี่ยมเขาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนในครอบครัว เพราะถ้าสำหรับเพื่อนๆ ผมก็เข้าใจว่าคงเพราะเขามาจากต่างจังหวัด และเพื่อนๆ ส่วนมากก็อาจจะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนั้นเขาก็เป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกด้วยว่าเขาเคยบอกเพื่อนๆ ไม่ให้มาที่นี่ แต่จะเป็นฝ่ายเดินออกไปพบกับทุกคนด้วยตัวเอง ซึ่งเรื่องนั้นผมก็พอเข้าใจ แต่สิ่งที่ผมคาใจมาตลอดคือทำไมคนเป็นพ่อแม่ถึงจะไม่คิดมาหาลูกของตัวเองบ้างทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แท้ๆ

ผมเตร็ดเตร่ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ถึงได้เดินกลับไปที่ห้องอีกครั้ง และเมื่อผมเปิดประตูออกก็พบว่าเขากำลังนอนเอกเขนกอยู่คนเดียวบนโซฟา

“พ่อกับแม่พี่กลับไปแล้วเหรอ” ผมถามพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขา

“เออ” เขาตอบ ท่าทางไม่สบอารมณ์ “กลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนได้แล้วมั้ง”

“อ้าว” ผมแปลกใจ เกือบจะถามแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงรีบกลับ แต่ก็ตัดสินใจหุบปากลงได้ทันก่อนที่จะหลุดปากออกไป

พี่คิวสั่งให้ผมส่งรีโมททีวีไปให้ จากนั้นก็กดปุ่มเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เราสองคนต่างก็นั่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน จนกระทั่งเขาถอนหายใจ ปิดทีวี และวางรีโมทลงข้างตัวอย่างหงุดหงิด

“กูไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่มาหลายปีแล้ว” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “กูมีพี่ชายคนนึง ชื่อพัตเตอร์ ไอ้เหี้ยนั่นมันหัวดี เรียนเก่ง เป็นความหวังของพ่อแม่ เรียกง่ายๆ คือเป็นลูกที่ดีตามที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่างนั่นแหละ ตรงกันข้ามกับกูที่เรียนไม่เก่ง หัวดื้อ แล้วก็ไม่ได้เอาใจพวกเค้าเก่งเหมือนไอ้พัตมัน ไม่เคยทำให้พวกเค้าภูมิใจได้เลยสักอย่าง...”

ผมนั่งฟังเงียบๆ รอจนกว่าเขาพร้อมจะพูดต่อ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้ายุ่งยากใจ “พอกูเรียนจบปริญญาตรีมา กูก็ตัดสินใจสมัครเป็นทหารซะเลย พ่อกับแม่ก็ไม่เห็นด้วยนักหรอก ตอนนั้นเค้าด่ากูจะตายห่า หาว่ากูนอกคอก ยิ่งพอรู้ว่ากูจะไปลงภาคใต้ เค้าก็ยิ่งประสาทแดกเข้าไปใหญ่ กูเลยไม่ค่อยได้ติดต่อพวกเค้าอีกเลย” เขาเว้นช่วงอีกครั้ง แต่คราวนี้มีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “ตอนแรกๆ ที่กูยังประสาทแดกกับอาการหดหู่หลังจากตัดขาทิ้งไปแล้ว กูก็เคยคิดนะว่าถ้ากูตายๆ ไปซะเค้าคงสบายใจกว่าด้วยซ้ำมั้ง”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ไงวะพี่” ผมพูดขึ้น “แล้วคิดแบบนั้นมันช่วยอะไรขึ้นมารึเปล่า ผมว่าก็ไม่มั้ง ไร้สาระน่ะ”

“เออ กูรู้ เพราะงั้นกูถึงไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วไง ชีวิตนี้มันเป็นของกู กูจะใช้ยังไงก็เรื่องของกู โชคดีที่กูมีเงินเก็บอยู่บ้าง และตากับยายที่เชียงใหม่ก็ให้กูไว้เยอะ กูว่ากูก็อยู่ได้สบายๆ จนกว่าจะปลดประจำการแล้วออกไปหางานทำล่ะมั้ง” เขาก้มลงมองที่ขาของตัวเอง “แต่ก็คงยากแล้วล่ะว่ะ ใครมันจะรับคนขาเดียวเข้าทำงานวะ”

ผมอยากจะเถียงเขากลับไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะลึกๆ แล้วผมก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

“ผมถามไรหน่อยดิพี่... แค่เรื่องที่ว่าพี่เรียนไม่ดีอะไรพวกนั้นมันทำให้พี่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ไม่ใช่หรอก ก็เรื่องแฟนกูด้วยน่ะ...” เขาเหม่อมองออกไปข้างหน้า “ตอนนั้นกูยังเด็ก แล้วกูทำตัวให้เค้าผิดหวังหลายครั้งจริงๆ”

“เช่นอะไร”

เขาหันมามองหน้าผม “กูเคยพาผู้หญิงเข้าบ้านแล้วมันขโมยของในบ้านกูไปครั้งนึง และกูก็เคยทำผู้หญิงท้องด้วย”

“เฮ้ยยย! แล้วพี่ทำไงวะ!”

“ทำแท้ง...” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด “ชีวิตกูทำอะไรผิดพลาดมาเยอะ และนั่นก็เป็นเรื่องที่เหี้ยที่สุดแล้วว่ะ ถึงกูจะไม่อยากให้แฟนกูมันไปทำแท้งก็เหอะ แต่มันก็หนีกูไปทำ และมันก็เป็นความผิดกูด้วยส่วนนึง กูว่าการที่กูต้องมาอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นการชดใช้กรรมที่กูสมควรได้รับแล้วมั้ง”

ผมลุกและเดินเข้าไปหาเขา ผมยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นและบีบมือเขาเบาๆ เขาหันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

“พี่คิว อดีตจะเป็นยังไงก็ช่างมันเหอะว่ะพี่ แต่พี่เสียสละเพื่อผู้คนอีกไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคน หรือเผลอๆ ก็ทั้งเจ็ดสิบล้านคน เพื่อให้พวกเค้า... พวกเราทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และนี่พี่ยังอยากจะกลับไปทำหน้าที่นั้นของพี่อีก ผมว่าพี่ทำดีที่สุดแล้วนะเว้ย ไม่มีการเสียสละไหนจะยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว”

เขามองตาผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่น “กูว่ากูคงพูดมากไปหน่อยแล้วว่ะ...”

“นานๆ พูดบ้างคงไม่ตายหรอกมั้ง” ผมยืนขึ้น “จริงๆ ผมก็สงสัยเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่แค่ไม่อยากถามน่ะ”

“ดีแล้วล่ะ เพราะต่อให้มึงถาม กูก็คงไม่พูดอยู่ดี และกูคงไม่รู้สึกชอบมึงเท่ากับที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้”

“โชคดีนะเนี่ยที่ผมไม่ได้เป็นคนช่างเสือกน่ะ”

“กูต้องขอบใจมึงเรื่องนั้นแหละ”

“ที่ไม่ชอบเสือกน่ะนะ”

“ไม่ใช่ กูหมายถึงที่มึงเป็นคนไม่วุ่นวายเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากกว่า กูขอบใจมึงที่ไม่ถามเรื่องครอบครัวกูให้กูเสียอารมณ์” เขาตอบ “แต่มึงอย่าเข้าใจผิดล่ะ กูอาจจะไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่เท่าไหร่ แต่คนที่มีปัญหากับกูมากกว่าคือพ่อ ไม่ใช่แม่ กับแม่กูก็ยังโอเค เค้าก็ยังโทรหากูบ้าง แต่กูบอกเค้าเองว่าไม่ให้มาเยี่ยม กูคิดว่ามันน่าจะทำให้เค้ารู้สึกผิดหรืออะไรแบบนั้นมากขึ้นมั้ง” เขายักไหล่ “ก็แค่ความคิดโง่ๆ ว่ะ”

“แล้วผู้หญิงคนนั้น... พี่ยังคบกันอยู่รึเปล่า”

“เปล่า เลิกกันไปหลายปีแล้ว แต่แฟนคนล่าสุดกูเพิ่งบอกเลิกไปตอนที่กูอยู่โรงพยาบาล และบอกตรงๆ ถึงกูไม่บอก มันก็คงบอกเลิกกูอยู่ดีว่ะ กูรู้ ใครมันจะอยากได้คนพิการเป็นผัววะ”

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมคนนึงล่ะ ที่อยากได้น่ะ”

เขาหันมามองผมทันที “มึงอยากมีผัวพิการขาขาดรึไง”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่ใครก็ได้” ผมหยุดตัวเอง สะบัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว “ช่างมันเหอะ ผมแค่จะบอกว่าผมเองก็เคยเป็นเมียพี่มาแล้ว จำไม่ได้รึไงวะ แต่อย่าใช้คำพูดพวกนั้นหลายครั้งเลย แม่งตลกว่ะ ไม่ชอบ”

“คำว่าอะไร”

“เมีย”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงพูดขึ้นก่อนเองชัดๆ”

“เออนี่พี่ ผมตัดสินใจอะไรอย่างว่ะ ผมว่าผมควรบอกพี่ก่อน”

“เรื่องอะไร”

“ที่พี่ถามผมค้างไว้ก่อนหน้านี้น่ะ”

เขานิ่ง รอฟังผมพูดต่อ

“ผมว่าผมจะไม่ทำงานที่นี่ต่อนะ ผมคงได้เจอพี่วันศุกร์นี้วันสุดท้ายแล้ว”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 23:34:33 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #104 เมื่อ14-12-2012 21:56:23 »

เห้ยยยย ทำไมอ่ะ
เอาเถอะ จะได้รุ้ว่า สองคนนี้คิดถึงกันแค่ไหนเนอะ คนเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #105 เมื่อ14-12-2012 23:20:58 »

ง่ะ พลุพูดอะไรออกไปน่ะ จะไม่อยู่ดูแลพี่คิวต่อจริงๆ เหรอ
ทั้งที่ 'รัก' เค้าไปขนาดนั้นแล้วอะนะ

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #106 เมื่อ14-12-2012 23:45:58 »

พลุจะไม่อยู่ดูแลพี่คิวแล้วหรอ แล้วใครจะคอยเติมส่วนที่ขาดหายล่ะ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #107 เมื่อ15-12-2012 00:01:23 »

ผมว่าเรื่องนี้มันอบอุ่น หวานๆในทุกๆตอนที่อ่านเลยนะ

มันไม่ได้หวานเยิ้มๆเลี่ยนๆ แต่มัน ...อธบายไม่ถูกอ่ะ

แต่ผมมีความสุขที่ได้อ่านมากๆครับ

+1 (ผมว่าพี่เป็นนักเขียนที่ผมกดบวกบ่อยที่สุดแล้วหล่ะ :laugh:)


รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #108 เมื่อ15-12-2012 00:10:02 »

แล้วจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่เนี่ย..

แต่ห่างกันก็ดีนะ จะได้แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง..

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #109 เมื่อ15-12-2012 00:59:35 »

เชื่อว่าพลุมีเหตุผลคับ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
« ตอบ #109 เมื่อ: 15-12-2012 00:59:35 »





ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #110 เมื่อ15-12-2012 03:31:55 »

อ่านคอมเมนท์แล้วชื่นใจ แต่ลืมบอกว่าตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะครับ :)

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #111 เมื่อ15-12-2012 09:42:23 »

เย้ย !!!!!~

อะไรอ่ะ!!!!

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #112 เมื่อ15-12-2012 10:19:09 »

ตอนสุดท้ายแล้วจริงอะ ยังรู้สึกไม่ค่อยจุใจเลยนะ

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #113 เมื่อ17-12-2012 08:11:32 »

สุดท้ายไม่เป็นไร ขอให้ happy ending ก็พอค่ะ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #114 เมื่อ17-12-2012 08:31:13 »

โอ๊ว จะจบแล้วหรอครับ ยังไม่อยากให้จบเลย   :o11:

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
«ตอบ #115 เมื่อ17-12-2012 09:20:30 »

อ้าวจะจบแล้วหรอ ยังอยากอ่านอีกเยอะๆเลย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
«ตอบ #116 เมื่อ19-12-2012 20:36:05 »

ตอนที่ 11

พี่คิวนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาจับจ้องมองมาที่ผม แววตาของเขาแลดูผิดหวัง แต่ผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้

“งั้นเหรอ” เขาพูดขึ้นในที่สุด

“ใช่”

“แปลว่ามึงจะไม่อยู่ช่วยกู ไม่ได้อยู่ดูตอนที่กูเดินได้วิ่งได้เหมือนเดิมน่ะสิ”

ผมก้มหน้าแล้วเกาหัวเซ็งๆ “ผมคุยกับพ่อแม่แล้ว และเค้าก็ไม่ค่อยอยากให้ผมทำต่อเท่าไหร่ด้วย”

“แล้วมึงล่ะ อยากทำรึเปล่า”

“อยากดิ” ผมตอบได้ทันที “ความจริงคือผมอยากใช้เวลาอยู่กับพี่มาก มากกว่าให้ผมไปทำงานกับคนอื่นซะด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจไม่ทำต่อเลยดีกว่า”

“สรุปแล้วมึงตัดสินใจเองหรือว่าเพราะพ่อกับแม่บังคับกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง”

เขายักไหล่ “งั้นก็แล้วแต่มึง”

“เอาไว้ผมจะมาเยี่ยมพี่บ่อยๆ ก็แล้วกัน”

“ก็เรื่องของมึงอีกนั่นแหละ”

“พี่อยากให้ผมมามั้ยล่ะ”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “...ถ้ามึงไม่อยู่ กูคงเหงาว่ะ”

“แล้วใครบอกว่าผมจะไม่อยู่เล่า ผมว่าผมคงมาหาพี่ได้แทบทุกวันนั่นแหละ แต่คราวนี้ผมแค่ไม่ต้องมาทำงานแค่นั้นเอง”

เขาไม่พูดอะไร และหัวข้อคุยเรื่องนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านั้น

เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันสุดท้ายที่ผมจะได้ทำงานที่นี่แล้ว น่าแปลกที่การจากลาครั้งนี้ไม่น่าใจหายเท่าไหร่นัก เพราะผมรู้ดีว่าผมจะยังคงมาหาเขาอยู่เรื่อยๆ จนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลนั่นแหละ และดูเหมือนเขาเองก็จะรู้สึกแบบเดียวกันด้วย

“พรุ่งนี้มึงจะมารึเปล่า” เขาถามก่อนที่ผมจะทันเดินออกจากห้องไป

“อยากให้มามั้ยล่ะ” ผมยักคิ้ว

“เรื่องของมึงเหอะ” เขายังคงพูดเหมือนเดิม

ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกลาเขา ผมเดินไปบอกลาพี่ๆ พยาบาลและพนักงานทุกคนที่ผมรู้จักแต่ก็บอกพวกเขาว่าผมจะยังมาหาอยู่เรื่อยๆ และผมก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ เช้าวันถัดมา แค่การได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเขาหลังจากที่เขาเห็นว่าคนที่เปิดประตูห้องเข้ามาคือผม ก็ทำให้ผมมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าได้แล้ว

เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งดูข่าวอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่ ผู้ประกาศข่าวก็พูดถึงเรื่องราวของทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดที่ภาคใต้และตัดภาพไปที่พี่คิว แต่เป็นภาพข่าวเก่า เพราะพี่คิวที่นอนอยู่บนเตียงนั้นยังดูมีร่องรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่มากมาย แถมยังดูโทรมและอิดโรยราวกับเป็นคนละคน

“นี่มันคนที่พลุไปทำงานอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ ใช่รึเปล่า” แม่ผมถามขึ้น

“ใช่ครับ ทำไมแม่รู้อะ” ผมถามกลับเพราะปกติผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องของพี่คิวกับพ่อแม่เท่าไหร่นัก

“แหม แกว่าทหารที่ขาขาดจะมีสักกี่คน และแม่ก็พอจำหน้าเค้าได้หรอก”

“แล้วตอนนี้เค้าเป็นไงบ้างแล้วล่ะ” พ่อถามขึ้นบ้าง “แกยังไปเยี่ยมเค้าอยู่เรื่อยๆ นี่ ใช่มั้ย”

“ใช่ครับ ผมว่าพี่เค้าก็สบายดีแหละ แข็งแรงดี กำลังใจก็ดี ตอนนี้ก็กำลังฝึกใช้ขาเทียมอยู่ ซึ่งก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เพราะงั้นที่เหลือก็มีแค่ว่าทางกองทัพจะรับเค้ากลับไปเป็นทหารอีกครั้งรึเปล่าแค่นั้นเอง”

“นี่ไงๆ นักข่าวกำลังพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” แม่กดปุ่มรีโมทเพิ่มเสียงขึ้นอีกหน่อย แต่ผมไม่ได้สนใจฟัง เพราะส่วนมากผมก็รู้จากพี่โจและพี่คิวมาหมดแล้ว

หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่วัน เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เขาก็ต้อนรับผมด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจและรอยยิ้มกว้าง เขาบอกผมว่าทางกองทัพอนุมัติให้เขากลับไปประจำการอีกครั้งแล้ว แต่เขาจะต้องกลับไปรับการฝึกฝนอีกครั้งเพื่อประเมินว่าพร้อมจะไปประจำแนวรบชายแดนอีกครั้งหรือเปล่า แต่ถึงจะไม่ได้ ผมก็รู้ดีว่ามันไม่ได้การันตีความปลอดภัยในชีวิตของเขาได้มากขึ้นเท่าไหร่เลย

ผมแสดงความยินดีกับเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นความผิดหวังที่ผมซ่อนมันไว้ไม่ดีนัก

“มึงไม่ดีใจกับกูเหรอวะ”

“เฮ้ย ไม่ดิ ผมดีใจกับพี่จริงๆ เพราะมันก็เป็นเป้าหมายที่ทั้งผม พี่ แล้วก็พี่โจพยายามไปให้ถึงด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วนี่หว่า ผมเคยพูดไปแล้ว จำไม่ได้รึไง” ผมยิ้มกว้าง พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกใจหายและผิดหวังไว้ข้างใน แต่ก็คงทำได้ไม่ดีนัก

“ไม่จริงอะ มึงแม่งโกหกไม่เก่งหรอกนะ กูว่ากูผิดเองว่ะ ขอโทษที” เขาพูด

“เฮ้ย จะบ้ารึไง พี่จะผิดอะไรได้ไงวะ” ผมรีบเดินไปจับไหล่เขา “พี่เป็นทหารนะเว้ย ผมรู้แล้วว่ามันคือทุกๆ อย่างของพี่ พี่ต้องดีใจที่ได้กลับไปทำหน้าที่ของพี่อีกครั้ง กลับไปยังสถานที่ของพี่เหมือนเดิม พี่ต้องดีใจนั่นแหละ ถูกแล้ว”

“แล้วทำไมมึงถึงได้ไม่ดีใจจริงๆ”

“ผม... ผมแค่...” ผมหลบสายตาของเขา

“กูต้องคิดถึงมึงแน่ๆ เลยว่ะ”

ผมส่ายหน้า รู้สึกใจหายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ไม่เท่าที่ผมจะคิดถึงพี่หรอก”

“กูรู้เรื่องนี้จากพี่โจเมื่อคืน แล้วมึงรู้มั้ยว่ามันทำกูนอนไม่หลับเลยนะเว้ย พรุ่งนี้นักข่าวจะมาสัมภาษณ์กูด้วย”

“อะไรวะ ตื่นเต้นที่จะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เนี่ยนะ” ผมหัวเราะ

“ไม่ใช่ กูนอนไม่หลับเพราะความดีใจและคิดว่าจะตอบแทนมึงยังไงดีต่างหาก ถ้าไม่มีมึง กูก็คงไม่ยืนอยู่ได้อย่างในตอนนี้” เขาชี้ลงที่ขาเทียมของเขา

“ไม่ต้องตอบแทนอะไรผมหรอก ผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นหน้าที่ของผม และผมทำด้วยความเต็มใจ”

“และกูก็อยากจะตอบแทนมึงด้วยความเต็มใจเหมือนกัน ไม่ได้รึไง”

“เอ่ออ... เออๆ ถ้าพูดขนาดนั้นก็ได้วะ แล้วพี่คิดได้รึยังล่ะว่าจะตอบแทนผมยังไง”

“คิดไว้แล้ว แต่กูก็ติดค้างอะไรมึงหลายอย่างจริงๆ ว่ะ หยุดเลย!” เขารีบพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากเถียง “ไม่ต้องปฏิเสธเลย เอาเป็นว่ากูคิดไว้แล้วล่ะว่ากูอยากจะตอบแทนอะไรมึงบ้าง อยากจะทำอะไรพิเศษๆ ให้มึง อะไรที่แสดงถึงความกล้าหาญพร้อมกับความจริงใจที่กูมีให้กับมึง อะไรที่มาจากใจจริงๆ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะพี่” ผมหัวเราะเบาๆ “มันจะเว่อร์ไปรึเปล่า”

“ไม่เว่อร์สำหรับกู” เขาตอบ “ก็กูเป็นทหาร กูอยากจะมอบสิ่งพิเศษในแบบของกูให้แก่มึงบ้าง อะไรที่กล้าหาญและเป็นฮีโร่สมกับที่มึงเคยบอกว่ากูเป็นอย่างนั้นไง”

ผมนึกสงสัยว่าเขาจะทำหรือมอบอะไรให้แก่ผม ถึงจะเป็นการแสดงความหาญกล้าแบบชายชาติทหารอย่างที่เขาบอกผมได้ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็คงไม่บอกผมอยู่ดี

“แต่ตอนนี้กูอยากรู้ว่ามึงมีอะไรบางอย่างที่อยากได้จากกูเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า อะไรก็ได้ ลองบอกมาซิ”

ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่า ‘ไม่มี’ แต่แล้วก็คิดถึงสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากเขา ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะมอบอะไรให้ผมมาหลายต่อหลายอย่างแล้วก็ตาม

“อะไร ว่ามา” เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มน้อยๆ “ทำหน้าแบบนี้แปลว่ามีใช่มั้ย”

“จะว่ามีก็ได้มั้ง” ผมตอบ

“อะไรล่ะ”

“ถ้าผมบอกไป พี่จะต่อยผมมั้ยวะ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“ผมอยากกอดพี่ว่ะ ไม่ดิ ผมอยากให้พี่กอดผมอะ แค่อีกสักครั้ง...”

เขาไม่พูดอะไร แต่ดึงตัวของผมเข้าไปกอดทันที ผมแทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกับร่างกายของเขา กล้ามเนื้อของเขากอดรัดผมอย่างแนบแน่น แต่กลับอ่อนโยนและอบอุ่น

“แค่นี้เองเหรอ ที่มึงต้องการน่ะ” เขาพูดลงที่หูของผม “แค่นี้กูจะไปต่อยมึงทำไมวะ”

“เปล่า ผมยังพูดไม่จบ... ผมอยากให้พี่จูบผมด้วยว่ะ”

เขาดันตัวผมออกช้าๆ และมองหน้าผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะหัวเราะและถามว่าผมล้อเล่นหรือเปล่า หรือไม่ก็ทำสีหน้ารังเกียจผม แต่ปรากฏว่าเขาแค่ยิ้มที่มุมปากน้อยๆ พร้อมกับใช้หลังมือเขกลงบนหน้าผากของผมเบาๆ จากนั้นก็ผละตัวออก

ผมยืนมองดูเขาเดินกลับไปที่เตียง จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องการตัดสินใจของกองทัพและเงื่อนไขอื่นๆ ให้ผมฟังเหมือนเขาไม่ได้ยินคำขอเมื่อครู่นี้ของผมเลย ผมเองก็ตัดสินใจที่จะปล่อยเลยตามเลยและทำเป็นเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน

อีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ถัดมา พี่คิวก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เขาโทรมาหาผมในคืนสุดท้ายของเขาที่โรงพยาบาลและบอกให้ผมขับรถไปรับเขาที่นั่นเช้าวันถัดมา เขาบอกว่าเขาจองโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของผมเอาไว้ ผมจึงถามกลับว่าแล้วทำไมเราไม่ไปนอนกันที่บ้านของผมเหมือนครั้งก่อนๆ เขาตอบว่าเขาไม่อยากรบกวนผมเพราะพ่อกับแม่ผมกลับมาแล้ว และที่สำคัญเขายังบอกอีกด้วยว่าเขาอยากให้มันเป็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแล้ว

ผมขับรถไปรับเขาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตามที่เขาบอก หลังจากที่เราขนของใส่รถหมดแล้ว ผมก็เดินไปบอกลาพี่โจและพี่ๆ คนอื่นๆ ที่รู้จัก เพราะผมคงไม่ได้เข้ามาหาพวกเขาอีกแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่บ่อยเท่าเดิม

เมื่อเดินกลับมาที่รถ พี่คิวก็ยื่นมือขอกุญเจรถไปขับ ตอนแรกผมก็ลังเลนิดหน่อย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วผมก็นึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะให้เขาขับไม่ได้

เมื่อไปถึงโรงแรม เขาก็เดินนำผมไปเช็คอินและพาขึ้นไปยังห้องพัก ผมอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่าพนักงานของโรงแรมและแขกบางคนหันมามองเรา... ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกคือมอง ‘เขา’ อย่างสนใจ แต่เป็นการแสดงความสนใจในทางที่ดี แววตาของพวกเขาแลดูชื่นชมมากกว่าสงสาร และผมก็ดีใจที่เขาใส่ขาสั้นอย่างที่พี่โจเคยบอกด้วย

เมื่อขึ้นไปถึงบนห้องและเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ที่ตั้งอยู่กลางห้องแล้วผมก็หันไปมองหน้าเขาทันที ซึ่งเขาเองก็กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่แล้ว

“ทำไม มีปัญหารึไง” เขาถาม

“เปล่า จะไปมีอะไร” ผมยักไหล่

“หิวข้าวรึยัง ออกไปหาอะไรกินกันเหอะ”

“แล้วแต่พี่อะ”

“ถูกต้อง วันนี้กูเป็นคนดูแลมึงเอง มึงมีหน้าที่ทำตามกูก็พอ” เขายักคิ้ว

เราสองคนออกไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงแรม เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและร้านอาหารแห่งนี้จากในอินเทอร์เน็ตและเพื่อนๆ หลายคน ผมรู้สึกอึ้งนิดๆ ที่เขาดูจริงจังกับมันมาก และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษขึ้นนิดๆ อย่างช่วยไม่ได้

หลังจากกลับมาถึงโรงแรม เราก็นั่งจิบเบียร์และคุยกันบนระเบียงห้องที่มองออกไปเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมและชายหาดที่อยู่เลยออกไปอีก เขาเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวให้ผมฟังมากขึ้น รวมทั้งเรื่องของแฟนเก่าและเรื่องเพื่อนๆ ที่เขายอมรับว่ามีอยู่ไม่มากนักด้วยเช่นกัน

“เพื่อนๆ ในค่ายต่างหาก ที่คือเพื่อนแท้จริงๆ ของกู เรากินด้วยกัน นอนด้วยกัน และแม้แต่ตายแทนกัน มันเห็นกันชัดๆ เลยว่าเนื้อแท้ของแต่ละคนเป็นยังไง” เขาพูดและเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า

ผมรู้สึกว่าเขากำลังกลับไปคิดถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนั้นอีกครั้ง และผมก็ไม่อยากให้เขาต้องจมอยู่กับอดีตที่หลอกหลอนอีก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดหรือทำตัวอย่างไรดี เพราะว่าแม้แต่ตัวผมเองในตอนนี้ก็ยังกลัวที่จะต้องเสียเขาไปด้วยเหมือนกัน

“ไปกินข้าวกันดีกว่า” เขาพูดขึ้น

ผมดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มและอากาศเริ่มเย็นลงมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

เราลงไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารของโรงแรมโดยที่เขาเป็นคนสั่งอาหารให้ผมหมดทุกอย่าง เรานั่งคุยและดื่มเบียร์กันต่ออีกคนละสองขวดพอทำให้ผมเริ่มรู้สึกมึนๆ มากขึ้น ผมจึงชวนเขากลับขึ้นห้อง เพราะเขาเองก็เริ่มหน้าแดงมากแล้วเหมือนกัน

เมื่อเรากลับขึ้นมาถึงที่ห้อง เขาก็ดึงตัวของผมเข้าไปจูบทันที ผมยืนตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะค่อยๆ เผยอริมฝีปากออกและลิ้มรสจูบของเขาอย่างเต็มที่ ลิ้นของเราตวัดเข้าหากันอย่างโหยหา ลมหายใจของผมหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมือไม้ก็เริ่มป่ายไปบนตัวของเขา

เขาใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนแก้มของผมแล้วจึงค่อยๆ ถอนปากออกอย่างช้าๆ “แบบนี้โอเคมั้ยวะ”

ผมยืนนิ่ง ยังคงรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเมื่อครู่เพิ่งเกิดขึ้นจริง

“เฮ้ย เป็นไร ตอบดิเว้ย” เขาหัวเราะเบาๆ

“ทำไมจู่ๆ ถึงได้จูบผมได้วะพี่” ผมถามกลับ

“ก็มึงต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ”

“ก็... ก็ใช่ แต่...”

“แต่ที่โรงพยาบาลมันก็ไม่ดีใช่มั้ยล่ะ และอีกอย่าง กูก็ตั้งใจจะทำแบบนี้กับมึงอยู่แล้ว และไม่ใช่แค่นี้ด้วย...” เขายักคิ้วมีเลศนัย จากนั้นก็ดังตัวผมเข้าไปกอดและจูบอีกครั้ง

เขาเบียดร่างกายเข้าแนบชิดกับผมจนผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไอ้น้องชายของเขาแข็งเป็นลำอยู่ใต้กางเกง แล้วจู่ๆ เขาก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งด้วยการยกตัวผมขึ้นจากพื้นครู่สั้นๆ ก่อนจะปล่อยผมลง

“เฮ้ยย! พี่แข็งแรงไปปะวะเนี่ย!” ผมหัวเราะเบาๆ “นี่ผมสูงกว่าพี่ตั้งเท่าไหร่ และตัวผมก็ไม่ใช่เล็กๆ นะเว้ย”

“ต้องขอบคุณมึงนั่นแหละ ที่ทำให้กูแข็งแรงขึ้นขนาดนี้ และยังช่วยให้กูได้ขาอีกข้างมาช่วยพยุงน้ำหนักด้วยไง”

“บางครั้งผมก็คิดนะว่าผมไม่น่าทำหน้าที่ดีขนาดนั้นเลย ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะทำให้ผมต้องเสียพี่ไปแบบนี้น่ะ”

“มึงยังไม่ได้เสียกูไปสักหน่อย... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่คืนนี้” เขาจูงมือผมไปที่เตียง

ผมช่วยเขาถอดขาเทียมออกและวางมันลงบนพื้น จากนั้นก็ซุกหน้าลงที่เป้ากางเกงของเขาพลางใช้ลิ้นดุนไปด้วย เขาลูบหัวผมเบาๆ พลางส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ อย่างพึงพอใจ

“ขอถอดกางเกงได้ปะ ไม่ไหวแล้วว่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นถามเขา

“ฮ่าๆๆ คืนนี้เป็นคืนของมึงนะ อยากทำอะไรก็ทำเหอะ และถ้ากูไม่อยากให้มึงทำแบบนั้น กูคงไม่พามึงมาที่นี่หรอกมั้ง”

“ผมก็ว่างั้นแหละ” ผมจับขอบกางเกงของเขา เขายกสะโพกขึ้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ผมถอดมันออกได้ง่ายขึ้น

“อีกอย่าง วันนี้กูอยากให้มึงเอากูด้วย”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 23:40:32 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
«ตอบ #117 เมื่อ19-12-2012 20:36:33 »

มือของผมที่กำลังดึงกางเกงของเขาลงไปกองที่ตาตุ่มหยุดลงทันที ผมเงยหน้ากลับขึ้นไปมองดวงตาของเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“พี่ว่าไงนะ”

“กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู ไม่ได้ยินรึไง”

“พี่พูดจริงอะ”

“จริง”

“ไม่”

เขาชักสีหน้าทันที “มึงจะปฏิเสธกูรึไง”

“ก็ใช่อะดิ ผมจะไม่ยอมให้พี่ทำแบบนั้นเพราะแค่พี่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำหรอกนะเว้ย”

“มึงเอาอะไรมาพูดวะ ไม่ได้ฟังที่กูเพิ่งบอกไปรึไง กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู มึงเข้าใจภาษาคนรึเปล่าวะเนี่ย”

“ผมเข้าใจภาษาคนทุกอย่างนั่นแหละ และพี่ก็เคยบอกผมด้วยว่าพี่รู้สึกติดค้างผมอยู่ พี่อยากจะตอบแทนผม ซึ่งผมไม่เคยคิดและไม่เคยต้องการแบบนั้น พี่ต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาคนรึไง”

เขาชันตัวขึ้นนั่ง “นี่มันเหี้ยอะไรวะเนี่ย! เฮ้ย! นี่กูกำลังบอกให้ผู้ชายอีกคนเอาตูดกูเป็นครั้งแรก แต่มึงกลับปฏิเสธเนี่ยนะ! มึงไม่คิดบ้างรึไงว่ากูต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงจะพูดแบบนั้นออกไปได้น่ะ กูคิดว่ามึงอยากจะเอากูมาตั้งนานแล้วซะอีก!”

“ไอ้อยากน่ะมันก็อยากอยู่หรอก แต่ผมแค่อยากให้พี่แน่ใจจริงๆ ว่าพี่ต้องการแบบนั้น ไม่ใช่แค่พูดเพราะอยากชดเชยอะไรให้ผม หรือรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเพื่อให้ผมรู้สึกดีอะไรแบบนั้น”

“ไม่ใช่มึง แต่เป็นกูต่างหากที่อยากรู้สึกดี มึงไม่เข้าใจรึไงวะ เวลามึงโดนกูเอา กูเห็นมึงก็เสียว มีความสุขตลอด แล้วถ้ากูอยากจะลองรู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ได้รึไงวะ และที่สำคัญ จำไว้ด้วยว่ากูไม่คิดอยากจะไปลองกับใครคนอื่นนอกจากกับมึง!”

ผมนั่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการจะตอบแทนอะไรผมมากไปกว่าอยากจะลองรู้สึกถึงความสุขแบบที่ผมเคยรู้สึกเวลาเขาทำผมบ้างเท่านั้นเอง และสิ่งที่ทำให้ผมพูดไม่ออกมากที่สุดคือการที่เขาบอกว่าเขาอยากให้ผมเป็นคนแรก และเป็นคนๆ เดียวที่จะมอบความสุขนั้นให้แก่เขาด้วย

“ช่างแม่ง! กูไปหาเอาจากคนอื่นก็ได้วะ!” เขาคำรามเบาๆ พลางทำท่าจะลุกออกจากเตียง

“ตลกแล้ว” ผมรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “ผมขอโทษ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”

“กูไม่ต้องการคำขอโทษ แต่กูต้องการอย่างอื่น ไม่เข้าใจรึไง”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมขอโทษ เมื่อกี้ผมแค่คิดว่าพี่อาจจะแค่อยากทำแบบนั้นเพียงเพราะอยากจะชดใช้ให้ผมสำหรับ...”

“แล้วไง มันจะผิดอะไรนักหนากับการอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กูมาแล้วเยอะแยะวะ” เขาขัดขึ้น “มึงเองก็ทำแบบนั้นเพื่อกูมาตลอดไม่ใช่รึไง”

“เรื่องนั้นมันก็จริง...”

“พรุ่งนี้กูก็ไม่อยู่แล้วนะ พลุ ถึงกูจะไม่ได้พูดออกไป แต่กูก็รู้ดีว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก หรือครั้งหน้ากูอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาแบบมีลมหายใจก็ได้” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ไอ้พลุ กูอยากทำแบบนี้กับมึง แค่มึงคนเดียว กูอยากทำเพื่อเราสองคน กูอยากให้มีอะไรบางอย่างพิเศษติดไปกับกูด้วย และก็อยากทิ้งบางอย่างที่พิเศษไว้กับมึงเหมือนกัน... เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่การตอบแทนตื้นๆ พรรค์นั้นหรอกนะ เข้าใจรึเปล่า”

“ผมเข้าใจแล้ว และผมก็ดันโง่เองที่ทำลายความรู้สึกของพี่ ผมขอโทษ...” ผมพูดเสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นการกระซิบ ผมแทบจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อแล้วด้วยซ้ำ แต่แล้วผมก็รู้สึกมือของเขาที่วางลงบนไหล่ของผม

“อยากเริ่มใหม่มั้ยล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ปกติกูไม่ค่อยให้โอกาสผู้ชายเอาตูดกูเป็นครั้งที่สองหรอกนะ แต่กับมึงกูยกเว้นให้” รอยยิ้มและคำพูดติดตลกของเขาทำให้ความตึงเครียดจางลง

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจึงโน้มตัวเข้าหาเขา “เป็นเกียรติมากครับ คุณรติบดี”

เขาหัวเราะและกอดรัดตัวผมลงไปกลิ้งบนเตียง จากนั้นก็คว้ามือเข้าจับและขยำไอ้น้องชายของผม เมื่อมันเริ่มแข็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ดึงกางเกงของผมลง ผมเตะมันออกไปจากตัวและจัดการทำแบบเดียวกันกับเขา ผมเลื่อนตัวลงใช้ปากให้กับเขาจนกระทั่งไอ้น้องชายของเขาแข็งตัวจนสุด

“ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เอากูเลยเถอะ” เขาพูดเสียงกระเส่า

ผมยังคงใช้ลิ้นเลียท่อนลำของเขาพลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยที่ประตูหลังของเขาเบาๆ อยู่ตลอด เขาส่งเสียงครางอย่างไม่ขาดสาย จนในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลง

“พอได้แล้ว! เดี๋ยวกูก็แตกก่อนหรอก รีบๆ เอากูสักทีสิวะ!” เขาพูดพร้อมยกตัวขึ้นจับข้อมือผมไว้แน่น

ผมยิ้มให้เขาก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปหยิบเจลล่อหลื่นกับถุงยางออกจากกระเป๋าของเขา จากนั้นก็เริ่มทาเจลหล่อลื่นลงบนประตูหลังของเขาพร้อมกับใช้นิ้วชี้สอดใส่เข้าไปอย่างช้าๆ เขาแอ่นหน้าอกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ ผมพอบอกได้จากสีหน้าว่าเขาคงจะรู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมส่งเสียงโอดโอยหรือบอกให้ผมหยุดแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเมื่อผมเริ่มสอดนิ้วที่สามเข้าไปแล้ว เขาก็ยังคงกัดฟันและคอยช่วยตัวเองไปด้วยอยู่ตลอดเวลา จนผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสีหน้าเหยเกของเขานั้น เขากำลังเจ็บหรือเสียวอยู่กันแน่

“พร้อมรึยัง” ผมถาม

“ใส่เข้ามาได้เลย พร้อมนานแล้ว” เขาตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า

“โอเค” ผมตอบรับพร้อมกับจับส่วนหัวน้องชายจ่อเข้าที่ประตูหลังของเขา

“ไม่ต้องกลัวกูเจ็บ” เขาพูดย้ำ

ผมรู้ว่าเขาคงไม่ยอมให้ผมปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นคนบอบบางคนหนึ่งอยู่แล้ว และผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงสอดใส่ท่อนลำเข้าไปในประตูหลังของเขารวดเดียวจนมิดด้าม เราสองคนต่างก็ร้องครางออกมาเสียงดังเป็นจังหวะเดียวกัน

“ซี้ดดด..ด..ดส์!! รูพี่แม่งโคตรฟิตเลยว่ะ!”

“อึ๊กกก.กก..!! อาาา...า..ห์!” เขาหอบ

ผมรู้ว่าเขาคงรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย จึงแช่ค้างเอาไว้อย่างนั้นครู่หนึ่ง เขาเอื้อมมือมาจับสะโพกผมเอาไว้ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมองหน้าผม แววตาของเขาแลดูเว้าวอน และเมื่อเขาเริ่มหายใจเป็นปกติแล้ว เขาก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ

ผมค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออก เริ่มจากช้า เป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ การเคลื่อนตัวของผมทำให้เราทั้งคู่ต้องส่งเสียงครางออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน และในที่สุดไอ้น้องชายของเขาที่เคยหดลงเล็กน้อยก็กลับมาแข็งตัวจนสุดและพาดเป็นลำขนาดเขื่องอยู่บนหน้าท้องอันแข็งเกร็งของเขา

ผมร่วมรักกับเขาด้วยทุกท่วงท่าและลีลาที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีและทำได้เพื่อให้เขาประทับใจกับประสบการณ์ครั้งนี้แบบไม่มีวันลืม ผมรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างเวลาที่เราสบตากัน ดวงตาของเขาเป็นประกายและอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งๆ นั้นทำให้กิจกรรมของเราที่เริ่มต้นด้วยความร้อนแรงแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและนุ่มนวลในตอนท้าย ผมยกขาข้างซ้ายของเขาขึ้นและระดมจูบลงบนปลายขาส่วนที่ถูกตัดออกเหมือนเมื่อครั้งนั้น

พี่คิวยื่นมือมาลูบหน้าอกของผมและกระซิบออกมาเบาๆ “ไอ้พลุ... มึง... มึงทำแบบนี้อีกแล้ว...”

“ก็ผมชอบนี่ ผมบอกไปแล้วว่าผมชอบร่างกายของพี่ ทุกส่วน ไม่ว่าจะขาข้างนี้หรืออีกข้าง กล้ามเนื้อทุกส่วนของพี่ ผมชอบพี่...” ผมจูบลงบนโคนขาของเขาอีกครั้ง “อาา..าา.. พี่คิว ผมรักพี่ว่ะ ผมรักพี่จริงๆ”

“กูรู้อยู่แล้ว พลุ กูรู้... เพราะงั้นกูถึงได้ทำแบบนี้กับมึงไง...”เขาพูดเสียงกระเส่า “อาาา...าา.. กูจะแตกแล้วว่ะ พลุ มึงใกล้รึยัง”

ผมพยักหน้า และจากนั้นก็เริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พี่คิวจึงใช้มือสาวไอ้น้องชายของตัวเองไปด้วย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เราสองคนก็หลั่งออกมาพร้อมๆ กัน ผมล้มตัวทับลงบนร่างกายของเขาอย่างหมดแรงและนอนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะมีกำลังพอที่จะถอนไอ้น้องชายออกจากประตูหลังของเขาได้

“แม่งงง...” เขาสบถเบาๆ “ดูซิมึงทำอะไรกับกูเนี่ย...”

“ผมทำอะไร” ผมถอดและโยนถุงยางลงบนพื้นก่อนละล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา

“มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นคนละคนเลยว่ะ”

“พี่ก็เป็นพี่คนเดิมนั่นแหละ”

“ไม่จริงหรอก...” เขาหันมามองหน้าผม “มึงเปลี่ยนกูไปแล้วจริงๆ”

“พี่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก ผมรู้ และพี่ก็รู้ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น”

“แต่กูไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องพวกนั้นนี่หว่า” เขาแย้ง “เมื่อกี้มึงพูดว่ามึงรักกูเหรอวะ”

“ใช่... ครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่ผมคิดเสียอีก “ผมว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และผมว่าหลังจากนี้ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป เพราะผมเองก็คงเปลี่ยนไปเหมือนกัน” ความคิดที่ว่าเขาจะจากผมไปไกลเริ่มทำให้ใจผมหวั่นไหวอีกครั้ง

“แต่กูไม่รู้ว่ากูจะรักมึงได้แบบเดียวกับที่มึงรักกูรึเปล่านะ พลุ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนรู้สึกผิด และก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป เขาก็รีบชิงพูดต่อเสียก่อน “แต่กูเองก็รักมึงเหมือนกัน จะรักแบบไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่กูรู้ว่ากูรักมึง”

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่คิว พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่จะคิดยังไงกับผมก็ได้ ผมเข้าใจ ผมไม่เรียกร้องให้พี่ต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมอยู่แล้ว ถ้าผมอยากได้พี่เป็นของตัวเองคนเดียวจริง ตอนนั้นผมคงไม่ยอมให้พี่ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นหรอก”

“ถ้างั้นมึงอยากได้อะไรจากกู”

“ไม่อยากได้อะไรเลย”

“จริงเหรอวะ” เขาพูดอย่างไม่อยากเชื่อ

“จริง แต่ก็...”

“แต่อะไร”

“แต่ผมขอแค่ให้พี่เอาความรักที่ผมมีต่อพี่เนี่ย ติดตัวไปกับพี่ด้วยก็พอ ผมอยากให้พี่ลองเก็บรักษามันเอาไว้ ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นอาจจะเป็นแค่เพียงเมล็ดพันธุ์ ผมอยากให้พี่ให้เวลากับมันและดูว่ามันจะงอกเงยขึ้นได้รึเปล่า ถ้าวันนึงพี่รู้สึกพิเศษกับผมและรักผมแบบเดียวกัน มันก็คงจะดี แต่ถ้าไม่ ผมก็ขอแค่พี่ไม่ลืมว่ายังมีคนๆ นี้ที่รักและเป็นห่วงพี่มากๆ อีกคนก็พอ”

คราวนี้เป็นคราวของเขาที่เงียบไปบ้าง “...กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครจริงๆ ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหน กูก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ กูไม่เคยให้ใครได้เข้ามาใกล้ชิดกับกูเท่านี้มาก่อนเลย”เขาพูดเบาๆ “กูรู้สึกเหมือนมึงเป็นเพื่อนสนิท เป็นน้องชายที่กูไม่เคยมี และเป็นคนพิเศษ... พิเศษจริงๆ ว่ะ โดยเฉพาะหลังจากคืนนี้ กูว่ากูคงไม่มีวันลืมมึงและเรื่องราวของเราแน่นอน”

“ผมรักพี่ว่ะ พี่คิว ผมว่าผม...” ผมหลับตาลง พยายามฝืนกลั้นน้ำตา ไม่ให้มันไหลออกมา

“นานแล้วนะ ที่กูไม่ได้รู้สึกพิเศษแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกเป็นคนพิเศษของใครเลย กูรู้สึก... ไม่รู้ดิ สมบูรณ์อะ มันเติมเต็มอย่างบอกไม่ถูก กูต้องขอบใจมึงจริงๆ พลุ ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตกูแบบนี้ มึงชักทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่อยากจากไปแล้วนะ”

“แต่พี่ก็ต้องไป”

“ใช่...”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะเว้ยพี่ ผมรู้ว่าไม่ว่าพี่จะกลับไปที่นั่นในฐานะอะไร ไปปฏิบัติงานแบบไหน มันก็ยังอันตรายอยู่ดี จะเป็นตายร้ายดียังไงพี่ก็ต้องกลับมา แล้วก็ต้องพาไอ้น้องชายนี่กลับมาด้วยนะเว้ย” ผมกำไปที่ไอ้น้องชายของเขาแล้วบีบเบาๆ

เขาหัวเราะ “สรุปคือมึงติดใจแค่ไอ้นั่นของกูใช่มั้ยเนี่ย”

“ผมติดใจพี่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้าไปในห้องแล้วต่างหาก”

เขาชันตัวขึ้นและถอดสร้อยคอทหารออก เขาแกะป้ายชื่อโลหะแผ่นเล็กๆ อันหนึ่งออกและยื่นให้กับผม

“เก็บเอาไว้นะ จนกว่ากูจะกลับมาอีก และจำไว้ว่าถ้าหากว่าวันหนึ่งกูจะตกลุมรักผู้ชายสักคนจริงๆ คนที่กูอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย คนๆ นั้นคือมึงแค่เพียงคนเดียว”

“ขอบคุณครับ” น้ำตาของผมไหลออกจากดวงตาและหยดลงบนป้ายชื่อในมือ “แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับพี่ ดีใจจริงๆ...”


.................... จบ ....................

จบละครับ อีกแนวที่ผมไม่เคยแต่งมาก่อน ยากเหมือนกัน แต่ยังไงก็ขอบคุณมากๆๆๆ ที่ทนอ่านจนจบนะครับ เรื่องใหม่จะมาเร็วๆ นี้ ติดตาม ทักทาย ติชม พูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel เหมือนเดิมนะครับ ยังคงน้อมรับทุกคำติเช่นเคยนะครับ ถ้าตรงไหนปรับปรุงได้ จะนำไปใช้กับนิยายเรื่องต่อๆ ไปครับ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 23:46:45 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ Motion_Lover

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
«ตอบ #118 เมื่อ19-12-2012 21:24:07 »

ซึ้งมากค่ะคุณต้น ประทับใจ..

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
«ตอบ #119 เมื่อ19-12-2012 21:52:57 »

อ่านแล้วแบบคือชั่วขณะที่เป็นนิรันดร์

เป็นเรื่องที่จะเก็บไว้ในใจไปตลอดชีวิตเลย ซึ้งมาก ;____;

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด