Page 07 : กวีบทเก่า
โบราณท่านว่า เกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น สิปป์ศิลป์ไม่เคยเชื่อ จนเมื่อวันหนึ่งโชคชะตาบันดาลให้อิเจ๊ที่เคยชี้หน้าด่ากันกลางห้องประชุมกลายมาเป็นผู้หญิงที่เขาตกลงใช้คำว่า ‘แฟน’ ระหว่างเขากับแนนนี่เรียกว่าเจอความประหลาดมากกว่าความพิเศษของกันและกัน เราข้ามขั้นการโทรจีบ นัดเดท หรือความกุ๊กกิ๊กประเภท ตัวเอง เค้า คุณอ้วน กระต่ายน้อย เขาค้นพบว่า อิเจ๊ที่หยิ่ง เชิด และเหยียดสายตาต่ำอยู่เป็นนิจตามแบบฉบับของเอเจนซี่ คือคนเดียวกับผู้หญิงที่วิ่งวุ่นคุมงานหกชั่วโมง พรู๊ฟทุกตัวอักษรแม้กระทั่งจุดไข่ปลา ยอมเสียเวลาแก้งานใหม่ทั้งหมดถ้ามันจะทำให้ภาพรวมออกมาดี ซึ่งหมายถึงตัวเองที่ต้องอดหลับอดนอนไปอีกหลายคืน
แนนนี่เป็นผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ส่วนแฟนคือกำไรที่งอกเงยขึ้นมา ไม่มีก็ไม่ตาย และนั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่สิปป์ศิลป์ตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน ...ผู้หญิงที่ดูแลตัวเองได้และไม่เป็น ‘ภาระ’
“แล้วรักเค้าหรือเปล่าล่ะ” บก.เอ้เอ่ยถาม หลังจากฟังเรื่องย่อละครหลังข่าวระหว่างนักเขียนหนุ่มกับเอเจนซี่สาว ที่ไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ ก่อนจะได้เห็นความดีของกันและกันในภายหลัง
คนถูกถามนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “มันต้อง...รัก...ด้วยเหรอ”
“อ้าว!” คราวนี้คนในออฟฟิศถึงกับอุทานอย่างหน่ายใจ
“แล้วเค้าไม่เคยถามเอ็งเรอะไอ้สิปป์” พี่เป็ดเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ต้องขอร่วมวงจนได้
“ไม่เคยอ่ะ” พ่อนักเขียนตอบแบบไม่คิด ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เค้าก็ไม่เคยบอกรักผมเหมือนกัน”
“แล้วถ้าวันนึงแกเจอคนที่แกรัก...” บก.สาววายแอบส่งสายตาไปยังตากล้องที่ตีหน้ามึนเหมือนไม่ได้ยินเรื่องที่คนเค้าคุยกันอยู่ “แกจะทำไงวะไอ้สิปป์”
คนถูกถามยักไหล่เหมือนไม่แคร์ “ก็เลิกกันไปสิ”
“เลว!” พี่เป็ดสบถตามหลังทันที
“บางที...คนที่เรากอดได้ ก็ทำให้โลกนี้สดชื่นสว่างไสวนะพี่” นักเขียนประจำทีมรำพึงเบาๆ เป็นประโยคหนึ่งในบทกวีที่ตัวเองจำได้ขึ้นใจ
“เจอ ‘ประภาคาร’ ของตัวเองแล้วรึไง” ตากล้องโต๊ะข้างๆ ถามลอยๆ ขณะกำลังไดคัทภาพบนหน้าจอ
สิปป์ศิลป์หันขวับจ้องคนถามตาค้าง “หมายความว่าไง”
เมตตาละมือออกจากเมาส์แล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ หนุ่มเซอร์ถอนหายใจเนือยๆ “ก็ทำรายงานคู่กันไม่ใช่หรือไง ‘รักเธอกอดคนอื่น’ น่ะ”
ตากล้องประจำกองหมายถึงวิชาวรรณกรรมวิจารณ์สมัยเรียนมหา’ลัย ที่อาจารย์สั่งให้หาบทกวีมาวิจารณ์ส่งปลายภาค จริงๆ แล้วเมตตาไม่ชอบอ่านอะไรพวกนี้ เขาถนัดแนวเรื่องสั้นดิบๆ อย่างชาติ กอบจิตติ หรือไม่ก็แนววิทยาศาสตร์ทดลองอย่าง วินทร์ เลียววาริณ ไม่งั้นก็โดดไปสายนิยายหนักๆ แบบอุทิศ เหมะมูล ในขณะที่สิปป์ศิลป์มีเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นไอดอล หลงใหลงานเขียนของไพรวรินทร์ ขาวงาม และเคยน้ำตารินให้กับบทกวีของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ งานชิ้นนี้เลยยกให้บัดดี้จัดการแทนอย่างไม่มีข้อกังขา
‘ทำไมถึงเลือกงานของ ‘ปราย พันแสงล่ะ’ เมตตาเคยถามคู่หูอย่างแปลกใจ
‘อยู่ในกระแสและงดงาม’ สิปป์ศิลป์ในตอนนั้นตอบสั้นๆ แต่กินความกว้างไกลนัก
“ไม่คิดว่ายังจำได้” คนชอบบทกวียิ้มบางๆ ให้ความทรงจำ
“เย็นนี้ไปไหนป่ะ ไปคอนเวอร์เซชั่นกันมั้ย” เมตตาเอ่ยชวนเพื่อนสนิทไปร้านหนังสือเล็กๆ แถวบ้านเก่า ที่เขาสองคนชอบไปขลุกตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงปัจจุบัน คนถูกชวนคว้าปฏิทินตั้งโต๊ะมาเปิดดูตารางงาน เมื่อเห็นว่าเย็นนี้ยังว่างเลยตอบตกลง
…………. Gayscale Magazine………….
งานเปิดตัวรองเท้ากีฬาสไตล์ Metro Sport จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ลานกลางแจ้งของห้างดังแถวสยาม โดยมีทีมออแกไนเซอร์จากเอเจนซี่ชื่อดังอย่าง AGiff เป็นผู้ดำเนินการ นั่นทำให้น้องจีผู้น่ารักต้องแปลงร่างเป็นสปอร์ตแมนเพื่อมาร่วมงานครั้งนี้
ร่างเล็กในเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนกำลังยืนรอใครบางคนอยู่หน้างาน จริงๆ แล้วจีรวัฒน์ไม่พิสมัยงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ แบบนี้ เพราะพูดคุยกับใครไม่ค่อยได้เนื่องจากทุกคนดูจะยุ่งวุ่นวายไปหมด ทำได้เพียงแลกนามบัตรแนะนำตัวเท่านั้น
“คุณจี!!” เสียงใสที่จีรวัฒน์เริ่มคุ้นเคยร้องทักจากด้านหลัง หลังจากนัดเจอกันครั้งหนึ่งที่ร้านราเมงแถวพระราม 9 เขากับคุณนุ่นก็ยังติดต่อกันเรื่อยๆ คุณนุ่นเป็นหนึ่งในทีมเอเจนซี่ของ AGiff ซึ่งดูแลด้านโฆษณาให้กับสินค้าหลายตัว นั่นหมายถึงว่า ยิ่งซี้กันเท่าไร โอกาสที่เขาจะขายแอดได้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
โดยทั่วไป สินค้าต่างๆ จะมีระบบการโปรโมทอยู่สองแนวทาง หนึ่งคือทางบริษัทดูแลจัดการเรื่องโฆษณาเอง กับอีกวิธีที่นิยมกันคือใช้บริษัทเอเจนซี่ดูแลด้านการโฆษณาให้ เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวายเวลาสื่อวิ่งเข้าหา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ทำงานเป็นเอเจนซี่ถึงสามารถเชิดและหยิ่งได้ เพราะไม่ว่าเซลส์ที่ไหนก็ต้องตามเอาใจนั่นเอง
“มานานหรือยังคะ” สาวสวยจาก AGiff ยื่นบัตรเข้างานให้แขกผู้มาเยือน ก่อนจะพาไปยังจุดลงทะเบียนพร้อมรับของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ
นอกจากเซเลบดาราที่มากันคับคั่งแล้ว งานวันนี้ยังมีแฟชั่นโชว์สุดพิเศษที่หลายเสียงพูดกันว่านายแบบสุดหล่อจะใส่วันพีซ แค่ ‘รองเท้า’ คู่เดียวเท่านั้น!
หลังจากพาจีรวัฒน์เข้ามาในงานแล้ว เอเจนซี่สาวก็ขอตัวไปดูแลแขกคนอื่นๆ ต่อ น้องจีมองคนที่คลาคล่ำในวันนี้แล้วก็ถอนหายใจเบื่อๆ เขาไม่ใช่คนช่างพูด เข้าหาคนไม่เก่ง และมีเกณฑ์มนุษยสัมพันธ์ค่อนไปทางติดลบ แต่หลังจากได้มาทำงานที่นี่ พี่เป็ดก็พาเขามารู้จักกับโลกอีกใบ สอนให้เขาถือหน้ากากหนึ่งอัน และใช้นามบัตรเป็นใบผ่านทาง
“หวัดดีครับ” ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก จีรวัฒน์ก้มหัวตอบเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะรับนามบัตรของคนตรงหน้า และยื่นของตนเองให้เช่นกัน
“จี จาก Gayscale Magazine ครับ”
“ผมเต้ครับ เป็นดีลเลอร์อุปกรณ์กีฬาเครือ BKK Sport”
“มาคนเดียวเหรอครับ” ดีลเลอร์หนุ่มเจ้าสำอางเอ่ยถาม ทำให้น้องจีนึกได้ว่าลืมโทรหาเซลส์อีกคนไปเสียสนิท
“จริงๆ นัดเซลส์ที่ออฟฟิศไว้อ่าครับ แต่ผมลืม แฮ่ๆ เดี๋ยวขอตัวแปปนึงนะฮะ” มือเล็กล้วงโทรศัพท์สื่อสารออกมา ก่อนจะพบ miss call จำนวนไม่น้อยบ่งบอกว่าคนโทรคงมาถึงนานแล้ว ไม่ทันได้โทรกลับ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาก่อน
“ขอโทษครับพี่เป็ด ผมไม่ได้ยิน” น้องจีแก้ตัวเป็นพัลวัน และก่อนจะโดนบ่นจนหูชา เจ้าตัวเลยรีบบอกให้ปลายสายไปยืนรอที่จุดลงทะเบียนโดยเร็ว
เซลส์นัมเบอร์ทรีกระหืดกระหอบออกมาหน้างาน สายตากำลังสอดส่องหาคนที่นัดไว้ แต่ไม่ทันได้มองไปไกล เจ้าของร่างสมส่วนในเสื้อไหมพรมสีแดงเข้มกับกางเกงยีนส์ก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน
“กูเกือบจะกลับแล้วนะไอ้จี!!” มาถึงคุณพี่เปรตก็เตรียมตั้งกัณฑ์เทศน์ชุดใหญ่ มึงรู้มั้ยว่าไอ้เสื้อไหมพรมลุคคุณชายนี่มันร้อนขนาดไหน ใครแม่งอุตริจัดงานกลางแจ้งตอนบ่ายวะ กูจะเป็นลมโว้ย!!
เสียงพิธีกรกล่าวเข้างานทำให้พี่เป็ดด่าไม่ได้ดั่งใจคิด เพราะโดนคนตัวเล็กกว่าฉุดไปที่จุดลงทะเบียนก่อนจะลากเข้าไปในงานอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจเซลส์สองคนก็มานั่งอยู่ตรงเก้าอี้วีไอพีหน้าเวทีเรียบร้อย
“อ้าว! คุณจี” ผู้ชายคนข้างๆ ร้องทัก เจ้าของชื่อหันไปมองแล้วส่งยิ้มเป็นมิตร “เห็นหายไปเลย นึกว่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว”
ขณะที่น้องจีกำลังนึกชื่ออีกคนแบบเอาเป็นเอาตาย เซลส์นัมเบอร์วันก็ยื่นนามบัตรผ่านหน้าไปพร้อมแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ “เป็ดครับ อยู่ทีมเซลส์เดียวกันกับจี”
“ครับ เต้ครับ” อีกคนรับอย่างมีมารยาท แต่ไม่ได้สนใจเซลส์คนใหม่มากไปกว่าการจับจ้องเสี้ยวหน้าของคนที่บังเอิญได้นั่งข้างกัน
“เลิกงานแล้วคุณจีไปไหนต่อหรือเปล่าครับ” ดีลเลอร์ของ BKK Sport เอ่ยถาม ดวงตาวิบวับส่อแววเจ้าชู้ ทำเอาพี่เป็ดต้องรีบรับหน้าแทนเด็กในปกครอง ก่อนที่ไอ้ลูกหมาจะโดนเก้งคาบไปแดก!
“เดี๋ยวผมกับจีต้องเข้าไปสรุปงานที่ออฟฟิศต่ออ่ะครับ” ตอบเสร็จก็แอบกระตุกชายเสื้อของคนที่นั่งตรงกลางให้รับมุขด้วยกัน น้องจีหน้าเหวอกับตารางงานด่วนที่พี่เป็ดเสกขึ้นมาครู่ แต่ก็ยอมตามน้ำไปแบบเนียนๆ
“ใช่ครับ ใช่ๆ”
“เสียดายจัง ว่าจะชวนไปชิมบุฟเฟต์ของร้านอาหารในห้างซะหน่อย เผื่อจะได้นั่งคุยเรื่องเรทโฆษณานิตยสารของคุณจี....เอ่อ กับคุณเป็ดบ้าง เพราะทาง BKK Sport กำลังจะปิดงบของปีพอดี เห็นว่ามีงบเหลืออยู่ก็จะได้แนะนำกันได้”
เล่นดึงงานเข้ามาเกี่ยวข้องแบบนี้พี่เป็ดก็ทำใจลำบาก ไม่รู้ทีเล่นหรือทีจริง แต่ถ้าปล่อยไปก็น่าเสียดายอยู่ ไม่ทันได้ตอบอะไรอีก แฟชั่นโชว์ที่ทางงานเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรซ์ท้ายสุดก็เริ่มต้นขึ้น พี่เป็ดอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจโชว์ ส่งข้อความไปหาเซลส์นัมเบอร์ทูให้เช็คข้อมูลของ BKK Sport ทันที
“เฮ้ย!!” น้องจีอุทานด้วยความตกใจ เมื่อนายแบบคนสุดท้ายออกมาด้วยชุดสีเนื้อที่แนบไปกับทุกสัดส่วน มองไกลๆ เหมือนไม่ใส่อะไรเลย นอกจากรองเท้ากีฬาซึ่งเป็นพระเอกของงาน
พี่เป็ดเอื้อมแขนไปล็อคคอคนตัวเล็ก ก่อนจะยกมือปิดตาอีกฝ่าย “ต่ำกว่า 18 ห้ามดู!!”
คนถูกเหมาว่าต่ำกว่า 18 พยายามดึงสิ่งกีดขวางทางตาออก น้องจีเกิน 18 มานานโขแล้วนะเว้ยยยย!!
“จบแล้วเหรอว๊า” น้องจีพูดเสียงหงอย จริงๆ ไม่ได้อยากดูอะไรขนาดนั้น ของตัวเองก็มี แต่แบบว่า เค้าอุตส่าห์มาเดินให้ดูนะเฮ่ย! ไอ้พี่เปรตบ้า พ่อมึงเป็นกระทรวงวัฒนธรรมเหรอ ถึงได้เซนเซอร์ลูกกะตากูแบบนี้ ฮืออออ
พองานเลิก จีก็พาพี่เป็ดไปทำความรู้จักกับคุณนุ่น อยู่พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับ ขณะเดินไปยังลานจอดรถ เซลส์ตัวเล็กก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “พี่เป็ด เดี๋ยววันหลังผมนัดคุณเต้คุยเรื่อง BKK Sport ดีมั้ย”
คนถูกถามกดปลดล็อครถยนต์ส่วนตัว ก่อนจะพาตัวเองนั่งประจำที่คนขับ ทำให้อีกคนต้องเข้าไปนั่งที่ข้างๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบ เจ้าของรถที่เตรียมถอยออกจากซองชะงักนิดหนึ่งเพื่อกดมือถือแล้วโยนให้ผู้โดยสารข้างกาย
หน้าจอทัชกรีนขนาดใหญ่ปรากฏโปรแกรมสนทนายอดฮิต น้องจีสไลด์หน้าจอขึ้นและลงเพื่ออ่านข้อความทั้งหมด ก่อนจะพบว่ามันคือข้อมูลของ BKK Sport ที่พี่ชิ เซลส์นัมเบอร์ทูส่งมาให้พี่เป็ดนั่นเอง “อ้าว...ปิดงบไปแล้วนี่ แล้วทำไมคุณเต้ถึงบอกว่ายังไม่ปิดอ่ะ”
คนบังคับพวงมาลัยถอนหายใจเฮือกกับความไร้ไหวพริบทางด้านความรู้สึกของเซลส์รุ่นน้อง นี่ถ้าโดนไอ้เกย์หน้าขาวลากไปรวบหัวรวบหาง แล้วกินกลางตลอดตัว มึงก็คงปล่อยให้เค้ารวบใช่มั้ยเนี่ยไอ้จี๊!
“ไปลงไหนน่ะ” โชเฟอร์เอ่ยถาม เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว
จีรวัฒน์พลิกดูนาฬิกาข้อมือ เพิ่งหกโมงกว่าๆ เอง ทุกทียังต้องทำงานหรือออกอีเว้นท์อยู่เลย “ไปไหนดีอ่ะพี่ กลับบ้านตอนนี้เดี๋ยวแม่ตกใจตาย”
คนได้ฟังขำพรืดกับเด็กที่เริ่มงอแงไม่อยากกลับบ้าน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเซลส์เป็นอะไรที่ประหลาดมาก เราจะแบ่งแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวไม่ได้หรอก ตราบใดที่ยังทำอาชีพนี้อยู่ ถ้ามีงานลูกค้าตอนเที่ยงคืน เราก็ต้องไป แม้ว่าจะนัดคุยกับเอเจนซี่ไว้เก้าโมงเช้าในวันรุ่งขึ้นก็ตาม
“ไปบ้านพี่มั้ย” เจ้าของรถชะลอความเร็วลง เมื่อถึงแยกที่รอการตัดสินใจ ถ้าเลี้ยวซ้าย ก็ไปส่งเด็กดื้อที่บ้านมัน ถ้าเลี้ยวขวา ก็พามันไปบ้านตัวเองแทน
น้องจีตาลุกวาวกับคำเอ่ยชวนนั้น โอกาสแบบนี้ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “ไป!!”
…………. Gayscale Magazine………….
ร้านเล็กๆ ที่ซุกตัวอยู่ย่านเมืองเก่าถูกจับจองพื้นที่ด้านบนจากชายหนุ่มสองคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ‘Conversation’ เป็นร้านหนังสือที่สิปป์ศิลป์และเมตตาบังเอิญเจอ ขณะหาที่หลบฝนหลังจากพลาดรถเที่ยวสุดท้ายในการเดินทางกลับมหา’ลัยสมัยอยู่ปี 3
“มึงเอากาแฟอีกป่ะ” นักเขียนเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่นั่งจมอยู่กับหนังสือเล่มโตในมือ เมตตาสั่นหัวเป็นเชิงปฏิเสธ แค่สองแก้วก็มากพอจะทำให้ตาค้างไปถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วมั้ง
สิปป์เดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง ก่อนจะกลับมาประจำการที่โน้ตบุคตัวเองอีกครั้ง ข้อมูลรีสอร์ทที่อัมพวาเพิ่งถูกส่งมาเมื่อสี่โมงเย็น นักเขียนผู้(จำใจ)รักงานยิ่งชีพจึงต้องหอบมันมาด้วย เพราะคำสั่งที่ลงท้ายอีเมล์ว่า ‘ขอพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงนะคะ’
บางทีกูก็อยากฆ่าพระเจ้าที่ชื่อเล่นว่า ‘ลูกค้า’ เหลือเกิน T__T
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มยกเมนูที่สั่งขึ้นมาให้ นมสดสตอว์เบอร์รี่ปั่นกับครัวซองส์แฮมชีสส่งกลิ่นหอมฉุย จนคนตัวโตที่เกือบจะชอนไชเข้าไปในหนังสือต้องหันมามอง “กินเยอะจัง เดี๋ยวก็กินข้าวเย็นไม่ได้หรอก”
คนโดนดุยู่หน้าขณะกำลังตักขนมเข้าปาก “อ้ออันอิ๋วอี้”
“หิวอะไร เมื่อกี๊ก็กินบานอฟฟี่พายไปตั้งค่อนชิ้น” มือใหญ่วางหนังสือลงกับโต๊ะ ก่อนจะแย่งส้อมในมือไอ้จอมตะกละมาจิ้มขนมเข้าปากตัวเอง
“อยากกินก็ไปสั่งเองดิ่วะ” เจ้าของเมนูแย่งส้อมคืนมา แล้วยกจานหนีมาไว้ฝั่งขวามือ ชิ!
“หวงจริ๊ง! ขอให้อ้วนเป็นหมู!” ตากลมโตของว่าที่หมูค้อนขวับไปยังไอ้ตากล้องปากหมา เฮอะ! คนอย่างไอ้สิปป์น่ะเหรอจะอ้วน กินมากกว่านี้อีกสิบโลก็บ่ยั่นหรอกเฟร้ยยย
แม้จะมั่นใจอย่างแรง แต่ก็ยังแอบจับแก้มตัวเองเบาๆ เอ่อ...ไอ้ที่มันยืดๆ ออกมานี่คงไม่เกี่ยวอะไรกับที่กินเข้าไปใช่มั้ย เหอะๆ
“มึงทำงานมากี่ปีแล้วอ่ะ” อยู่ๆ คนที่เอกเขนกบนโซฟายาวก็ถามขึ้นมา
สิปป์กรอกตาขึ้นมองเพดาน นับคร่าวๆ ในใจ “สองปีมั้ง พร้อมมึงอ่ะ ทำไมหรอ”
คราวนี้เมตตาลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วกระโดดผลุงลงบันไดร้านไป หากไม่ลืมตอบคำถามอีกคน
“เก่งเนอะ แค่สองปีมึงก็เก็บตังค์ทำคางสองชั้นได้แล้วอ่ะ กร๊ากกก!”
มึงเล่นกูอีกแล้วนะเชี่ยเมต ฮือๆ T___T
TBC.
//กลับมาแว้ววววว หลังจากหายไปในช่วงเวลาการปิดเล่มอันหนักหน่วง ฮือๆ
ตอนนี้ไม่ฮา ไม่ตลก ไม่มีมุขอะไรเลย ลองลงลึกเรื่องการทำงานของเซลส์บ้าง หวังว่าคงไม่น่าเบื่อเกินไปนะคะ >.<
อ้อ... "รักเธอกอดคนอื่น" เป็นบทกวีของคุณ 'ปราย พันแสง
จากพ็อกเก็ตบุค "ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ ชีวิต" นะคะ
ลองอ่านกันเล่นๆ เชื่อว่าหลายคนต้องเคยรู้สึกแบบนี้

รักเธอกอดคนอื่น
'ปราย พันแสง
.
.
.
เมื่อรักใครคนหนึ่ง
จึงไม่สำคัญเลยว่าเราจะได้กอดกันหรือไม่
ความรักบางอย่างในชีวิต
คนเราเอื้อมไม่ถึง สัมผัสไม่ได้
เหมาะสำหรับเอาไว้มองดู...
ไว้ชื่นชมอยู่ไกลๆ
.
.
ดวงไฟประภาคารสวยล้ำค่า
ยามที่เราล่องเรืออยู่ในทะเลจนหาทางกลับไม่ได้
แต่เราจ้องดูดวงไฟ
เพียงให้รู้ว่าควรเดินหน้าไปในทิศทางใด
ใช่ว่าเราจะต้องเบนหัวเรือเพื่อมุ่งไปจอดเทียบท่าหน้าประภาคารเสียเมื่อไหร่
.
.
ได้รักเธอ...ประภาคารก็ดูสวยดี
คนที่ฉันกอดได้ ทำให้โลกนี้สดชื่นสว่างไสว
อย่าสนใจเลยนะคนดีว่ารักเธอแล้วฉันคนนี้จะกอดใคร
แค่เชื่อว่าฉันรักเธอตลอดไป...เพียงพอแล้ว
เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^