...อสงไขย...
...กาลที่๒...
“......”
“เธอมีปัญหาอะไรที่อยากบอกครูหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มนั่งก้มหน้านิ่ง เสียงถอนหายใจของผู้อาวุโสตรงหน้าทำให้เขาใจเสียมากขึ้น เมื่อจนแล้วจนรอดผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเขาก็ยังไม่สามารถส่งงานให้อาจารย์ได้ ทั้งๆที่ตอนแรกมีฤดีวาดไม่ทันเป็นเพื่อนแล้วแท้ๆ สุดท้ายเพื่อนสาวก็วาดเสร็จแล้วเขาก็บังคับให้ฝ่ายนั้นส่งงานไม่ต้องรอเขาไปแล้ว
“ผม...” มือใหญ่ของอาจารย์กิตติวางลงบนต้นขาเล็กพลางบีบเบาๆคล้ายให้กำลังใจ หากแต่แก้วตาก็พยายามดึงขาออกไม่ให้ทางนั้นรู้ตัว ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่แก้วตาไม่ชอบสายตาของอาจารย์ที่มองเขาเลย
“เอ่อ ขอโทษนะคะอาจารย์กิตติ” เหมือนเสียงสวรรค์เมื่อฤดีโผล่หน้ามาทางด้านหลัง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเพื่อนสาวพลางยิ้มกว้างดีใจ
“มีอะไร?” เหมือนคนแก่กว่าคล้ายจะไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ มือใหญ่ละออกจากต้นขาของแก้วตารวดเร็วหากแต่ก็ยังมีแววเสียดายอยู่ในที
“เจ้าขี้ลืมนี่มีนัดซ้อมลีลาศกับหนู เพราะฉะนั้นขอตัวเขาก่อนนะคะ” ไม่รอคำอนุญาต เด็กสาวลากแขนเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้นออกไปจากห้องทันที
.
.
“ขอบใจนะฤดี”
“บอกแล้วไงว่าเวลาที่ไปหาอาจารย์กิตติน่ะให้เรียกเราไปด้วย รู้ๆอยู่ว่าอาจารย์กิตติแกมองเธอแบบแปลกๆน่ะ” เด็กสาวหันมาเท้าสะเอวใส่
“ก็ทีแรกมีอาจารย์คนอื่นๆอยู่เต็มห้องนี่นา” แก้วตาตอบเสียงอ่อย
“ช่างเถอะๆ ไปซ้อมเต้นกับเราก่อน” ฤดีโบกมือในอากาศคล้ายไม่อยากฟัง
“ซ้อมเต้น?”
“คิดว่าเราโกหกอาจารย์หรือไงกัน? นายนี่น้า ~ จริงๆเลย สิ้นเดือนหน้าที่บ้านเรามีเลี้ยงต้อนรับคุณพี่ชายกลับจากเมืองนอกไง เตี่ยเลยให้ชวนเธอไปด้วย”
“อ๋อ~” แก้วตาลากเสียงรับก่อนจะยอมให้เพื่อนสาวลากแขนไปที่บ้านของฝ่ายนั้นทันที
ฤดีให้แก้วตาเลิกคิดเรื่องรูปที่ไม่สามารถวาดได้นั้นพลางว่าเธอจะช่วยอีกแรงเอง แต่หลังจากไปซ้อมลีลาศที่บ้านฤดีเด็กสาวแทบอยากจะกลับคำให้แก้วตากลับไปนั่งหมกมุ่นอยู่กับการวาดรูปตามเดิมเมื่อเท้าของเธอโดนเพื่อนตัวเล็กเหยียบจนช้ำไปหมด
“โอ๊ย!”
“ขอโทษ” แก้วตาปล่อยเอวของฤดี ก้มลงแตะหลังเท้าเพื่อนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“จริงๆนะแก้ว เราว่านายนี่ไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลยทั้งๆที่ฝีมือการวาดรูปออกจะเด่นขนาดนั้นแท้ๆ” ฤดีบ่น
“เกี่ยวอะไรกับวาดรูปเนี่ย? อันที่จริงแล้วเราไม่เคยเต้นลีลาศด้วยซ้ำ ฤดีน่ะแทนที่จะสอนเราก่อนแต่ให้มาซ้อมเลยเนี่ย คนผิดเลยไม่ใช่เหรอไง? โดนเหยียบเท้าแล้วก็มาโทษเรา” แก้วตาหัวเราะขำ ก่อนชะงักนิ่งเมื่อได้ยินบางอย่าง ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนฤดีตกใจ
“มีอะไร?”
“ชู่ว!”
“?” แก้วตาเงี่ยหูฟังก่อนจะเดินไปตามเสียงดนตรีที่แว่วได้ยิน ฤดีมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจก่อนจะตามหลังเพื่อนตัวเล็กไปเงียบๆโดยไม่ขัดไม่รั้ง
สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ โดยไม่รู้ตัวแก้วตาหยุดยืนนิ่งหน้าประตูเรือนนั้น ไม่รู้ทำไม...แต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้นัก จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน มือเล็กยกขึ้นแตะหน้าอกตัวเองรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ทั่วท้อง
ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศภาพใครสักคนชุดรำสีขาวขยับเท้า ยกแขนอ่อนช้อย...แล้วความรู้สึกปีติยามที่ร่างนั้นแย้มยิ้ม... แล้วมือเล็กจึงดันบานประตูนั้นให้เปิดออกโดยไม่รู้ตัว
“อ้าว คุณฤดีกับเพื่อนนั่นเอง” เด็กสาวหันมามองว่าใครเปิดประตูเมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูเล็กของเรือนใหญ่จึงเอ่ยทักแล้วเอื้อมปิดวิทยุ เพลงนั้นจึงเงียบลง
“นั่นเพลงอะไรหรือครับ?” เสียงหวานแหบพร่าเอ่ยเลื่อนลอย
“ฉุยฉายค่ะ ฉุยฉาย ดิฉันซ้อมไปงานพิธีของโรงเรียนสัปดาห์หน้าค่ะ” เธอตอบพลางยิ้มกว้าง หมูแดงเป็นเด็กสาวใช้ในบ้านที่เตี่ยของฤดีส่งเสียให้เรียนหนังสือ
“มีอะไรเหรอแก้ว?” ฤดีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านิ่งไปแถมมีท่าทีแปลกๆอีก
“เปล่า... แค่เห็นว่าเพลงเพราะดี”
“เพลงฉุยฉายเนี่ยนะ?” เด็กสาวเลิกคิ้วมองใบหน้าซีดขาวของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“อืม ที่จริงเธอน่าจะมารำฉุยฉายแทนลีลาศนะเนี่ย” แก้วตาดึงสติของตัวเองกลับมาแล้วเอ่ยแซวเพื่อนให้ต้องทุบไหล่เขาเบาๆ
“เธอน่ะซิรำฉุยฉาย!”
“คิก งั้นเดี๋ยวเรารำให้ดูเอาไหม?” แก้วตาหัวเราะคิกกับท่าทางของฤดี หมูแดงที่เห็นดังนั้นเลยเอื้อมมือไปกดเปิดเพลงอีกครั้งคล้ายช่วยแก้วตาหยอกล้อคุณหนูเล็กของตน หากแต่เด็กสาวกลับต้องเบิกตากว้างพลางอุทานชื่นชมเสียงดัง
“คุณรำสวยจังค่ะ!”
น่ารักเอย น่ารักดรุณแก้วตาเอียงตัวอ่อน ยกแขนวาดประสานไว้กลางอก กระดกเท้า ขยับแขนอ่อนหวานไม่ติดขัด เสียงดนตรีและจังหวะช่างแตกต่างกับลีลาศที่ฤดีบังคับให้เขาเต้นแต่แก้วตารู้สึกว่าไม่ยากเย็นเลย เหมือนแขนขาจะขยับไปเองเสียด้วยซ้ำ
เหมือนแรกจะรุ่น จะรู้เดียงสาริมฝีปากสีเข้มของแก้วตาแย้มยิ้มเป็นสุข ย่อกายลงนั่งบนส้นเท้า แขนเนียนยังคงยกขยับวาดลื่นไหลงดงาม อ่อนหวาน อ่อนช้อยเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่รำแบบนี้...
“เธอรำเป็นได้ยังไง?” ฤดีถามเสียงเบาหวิว
“ก็เขาชอบ” เสียงใสเอ่ยตอบรวดเร็วไม่ชัดเจน คล้ายพูดกับตัวเองคนเดียวเท่านั้น หากคนที่รอฟังอยู่อย่างฤดีขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจ เธอมั่นใจว่าตัวเองนั้นสนิทกับเพื่อนตัวเล็กมาก และไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้หากว่าแก้วตาจะแอบไปเรียนรำไทยที่ไหน
“ใครชอบ?”
“หืม อะไร? ใครชอบ?” แก้วตาหันมามองหน้าเพื่อน คิ้วเข้มเลิกขึ้น ดวงตาใสแจ๋วนั้นบ่งบอกว่าที่ถามกลับไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด เด็กหนุ่มคล้ายไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตัวเองตอบหรือพูดอะไรออกไป
“ก็เธอบอกว่า...เขาชอบ”
“ใครชอบ? เรายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ฤดีหูฝาดหรือเปล่า” แก้วตายิ้มกว้างให้เพื่อน
“แต่...”
“เธอเมาท่าเต้นลีลาศเมื่อครู่แน่ๆ”
“เอ่อ” ฤดีหัวแกรกด้วยท่าทางของแก้วตานั้นใสซื่อเสียจนต้องยอมเงียบปากในที่สุด แล้วยอมเดินตามเพื่อนออกจากเรือนหลังเล็กไป
“แล้วเธอรำฉุยฉายเป็นด้วยเหรอ?”
“ไม่นี่” แก้วตาสั่นหัว
“แต่ว่าเมื่อกี้ เธอ...”
“อืม เราคงเคยเห็นใครรำมาละมั้ง รู้สึกว่าอย่างนั้นนะ เราความจำดีจะตายเธอก็รู้เห็นแค่ครั้งเดียวเราก็จำได้แล้ว” แก้วตายิ้มกว้างโอ้อวด
“จ้าๆ งั้นคราวนี้คงจำท่าเต้นลีลาศได้แล้วนะ”
“ครับผม”
เสียงหัวเราะของสองเพื่อนซี้แผ่วหายไปทางเรือนหลังใหญ่ ทิ้งหมูแดงเด็กสาวที่กดปิดเพลงไปนานแล้วหน้าถอดสี ตอนแรกเธอชื่นชมที่เพื่อนคุณฤดีรำได้สวยขนาดนั้นอยู่หรอก แต่พอเจอบทสนทนาของสองคนเมื่อครู่ทำเอาเธอพูดไม่ออก และหากฤดีจะหันมามองเธอสักนิด จะรู้ว่า...หมูแดงได้ยินคุณแก้วตาพูดรัวเร็ว....ว่า... ก็เขาชอบ...เช่นกัน
**********
“วันนี้นายน่ารักจัง!” ฤดีเอ่ยชมเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อ
“ทำไมต้องชมว่าน่ารัก ถ้าบอกว่าหล่อเราจะดีใจกว่านี้อีกนะเนี่ย” เด็กหนุ่มแกล้งว่า วันนี้เขาถูกฤดีจับแต่งตัวเข้าชุดกับเด็กสาวคือสีฟ้าอ่อนยิ่งขับผิวขาวให้นวลมากขึ้นไปอีก เรียกสายตาคนรอบข้างให้หันมามองไม่หยุดจนคนถูกมองอายเสียจนต้องก้มหน้าคางแทบชิดอก
“พี่ชายคะ!” ฤดีเรียกพี่ชายเจ้าของงานที่เดินเข้ามาพร้อมเตี่ยและแม่ แก้วตายกมือไหว้โดยไม่ต้องรอเพื่อนบอก ฤดีเองก็แนะนำว่าเป็นเพื่อนรักเรียนคณะเดียวกัน เตี่ยกับแม่นั้นรู้จักแก้วตาดีอยู่แล้ว หากชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้นกลับจ้องดวงหน้าเนียนไม่วางตาจนฤดีต้องแซวบ่อยๆ
“พี่ชายมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?” ในที่สุดก็อดเอ่ยถามไม่ได้เมื่อฤดีขอตัวไปเต้นรำกับเตี่ย ส่วนคนตัวสูงมายืนเป็นเพื่อนและปฏิเสธสาวๆที่เข้ามาชวนเต้นรำจนแก้วตาอดเกรงใจไม่ได้
“ทำไมหรือครับ? แก้วรังเกียจพี่หรือ?”
“ผมว่า...มันดูไม่ค่อยเหมาะนะครับที่เจ้าของงานมายืนนิ่งๆอยู่ตรงนี้ ไม่ไปเต้นรำกับสาวๆล่ะครับ”
“พี่อยากเต้นรำกับแก้วมากกว่า”
“หา?” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจก็เลยเห็นรอยยิ้มล้อเลียนจากอีกฝ่าย
“พี่ล้อเล่นครับ เห็นยืนเหงาคนเดียวจะให้ทิ้งไปได้อย่างไร”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ชายไปเถอะ”
“อยู่ได้แน่นะ?” ชายเลิกคิ้วถาม
“ครับ”
“นี่ มาเต้นรำกับเราหน่อยซิ” ไม่รู้ว่าฤดีเอาแรงมาจากไหน เต้นรำกับเตี่ยเสร็จก็วิ่งมาลากเขาไปกลางฟลอร์เต้นต่อ จังหวะเพลงเปลี่ยนจากเร็วเป็นช้าให้ได้พักเหนื่อย แก้วตาหัวเราะเมื่อโดนฤดีชมว่าเขาสามารถเต้นรำได้เหมือนคนที่เต้นมานาน ทำเอาอดเขินไม่ได้
“เธอเองก็เต้นเก่งเหมือนกันนะ...” คำพูดจากริมฝีปากสีเข้มชะงักเมื่อสายตาเหลือบเห็นใครบางคนตรงมุมห้อง
“?”
เหมือนเวลาหยุดนิ่ง....
รอยยิ้มที่เคยเห็นแค่เพียงในความฝัน...และนานเกือบเดือนที่แก้วตาไม่ได้ฝันถึงรอยยิ้มนั้นอีก หากวันนี้...รอยยิ้มนั่นกำลังอยู่ตรงหน้าห่างออกไป... ริมฝีปากอิ่มสีเข้ม...รอยยิ้มเจือจางแฝงความหวานเศร้าให้ใจกระตุก
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวล้วน...โครงหน้าสวยได้รูป...แก้วตาไล่สายตาจากริมฝีปากคู่นั้นและก่อนจะได้สบตา ก่อนจะได้เห็นใบหน้าทั้งหมด...ร่างสูงก็หันหลังเดินออกไปรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งไป!”
“เดี๋ยว แก้ว!” ร่างเล็กวิ่งตามทันที เขาไม่ได้ยินเสียงของฤดีที่ร้องเรียก ไม่เห็นแววตาตกใจของชายหรือคำถามของเตี่ยกับแม่เพื่อน แก้วตารู้แต่เพียงต้องวิ่ง...วิ่งให้ทันคนคนนั้น..
หัวใจของเขากระตุกรุนแรง ไม่รู้ทำไมความรู้สึกถึงพลุ่งพล่านระงับเอาไว้ไม่ได้...แก้วตาไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน...รู้แค่เพียงว่า อยากพบ
...อยากพบเหลือเกิน...
ในอกมันอัดอั้นเสียจนอยากจะร้องไห้...
ริมฝีปากสีเข้มสั่นระริก ในตามันร้อนผ่าวเหมือนจะมีน้ำอุ่นจัดพร้อมจะไหล แก้วตาหันไปมองรอบๆที่มีแต่เพียงความว่างเปล่าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขาก็แค่อยากจะร้องไห้...โดยไม่รู้เหตุผล
เจ้าของร่างสูงโปร่ง เจ้าของรอยยิ้มแสนเศร้าในความฝัน....หายไปกับความมืดรอบด้านเสียแล้ว
“ทำไมคุณถึงไม่กลับไปขอรับ?” เสียงทุ้มห้าวด้านหลังเรียกสติของร่างเล็กให้หันกลับมอง ดวงตาเรียวเบิกกว้าง เขาไม่คิดว่าจะเจอ แสน ที่นี่
“กลับ?”
“ทำไมคุณถึงใจร้ายแบบนี้ขอรับคุณแก้วตา?” น้ำเสียงนั้นตัดพ้อต่อว่า หากความเศร้ายังคงส่งมาไม่ปิดบัง
“ผมใจร้ายอะไร?” แก้วตาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังกล่าวหาเขาเรื่องอะไร
“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปขอรับ?” คำถามเดิมส่งมาให้ ซองเอกสารสีน้ำตาลในมือร่างสูงทำให้แก้วตาเลิกคิ้วมอง มันคือซองโฉนดที่ดินที่แสนเอามาให้ หรือแม่จะคืนไปแล้ว? แก้วตามองอย่างไม่เข้าใจ แสนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆก่อนจะเทซองนั้นให้บางสิ่งหล่นลงบนมือใหญ่ของตัวเอง
แหวนทองวงเล็กสลักลาย...
“ของคุณขอรับ”
“ไม่..” แก้วตาตั้งใจจะปฏิเสธหากแสนวางมันลงในมือของเขา
“ได้โปรดเถอะขอรับ อย่าให้คุณพระนาย...”
แสน ! เหมือนมีเสียงทุ้มจากที่ไหนตวาดลั่นให้ชายหนุ่มร่างสูงหยุดชะงัก ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดพลางกำหมัดแน่น ก้มมองแก้วตาที่เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันหลังออกมา
“เดี๋ยว!” แก้วตาร้องเรียกอีกฝ่าย เขามีเรื่องที่อยากถาม มีเรื่องไม่เข้าใจ...
“แก้ว!” ฤดีรั้งไหล่เขาให้หันไป สีหน้าตกใจของเพื่อนและพี่ชายทำให้เด็กหนุ่มนึกได้ว่าวิ่งออกมาทั้งที่กำลังเต้นรำอยู่
“น้องแก้วเป็นอะไรไปครับ พี่เห็นวิ่งออกมา สีหน้าไม่ดีเลย” ชายถามอย่างเป็นห่วง แก้วตาหันหลังกลับไปมองที่ที่แสนเคยอยู่ หากบัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า มือเล็กกำแหวนวงเล็กไว้แน่นแล้วซุกลงในกระเป๋ากางเกง เขาไม่อยากตอบอะไรฤดีตอนนี้
“มองหาใคร?”
“ฤดี แขกวันนี้มีผู้ชายตัวสูงๆใส่ชุดสีขาวล้วนหรือเปล่า?” อดไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถาม
“ชุดสีขาวในงานมีพี่คนเดียวนี่แหละครับ” ชายตอบเสียเอง
“.....”
“มีอะไร?”
“เปล่า กลับเข้าข้างในเถอะ” แก้วตารุนหลังเพื่อนเข้าไปในงาน ก่อนจะหันไปมองทางที่แสนเดินไปอีกครั้ง ไม่นานแก้วตาก็ขอตัวกลับโดยไม่ยอมให้ใครไปส่ง
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง....ท้องฟ้าเลยไม่มืดนัก ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน..แก้วตาล้วงแหวนวงนั้นขึ้นมามองอีกครั้ง สายลมอ่อนพัดเบาๆจนเส้นผมสีนิลละล่อยปลิวไปด้านหลัง หากความรู้สึกคำนึงและโหยหา...กลับแทรกซึมเสียจนหยดน้ำตาค่อยๆอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
“คุณเป็นใครกัน? ทำไมผมถึงรู้สึกเสียใจเหลือเกิน...ที่ไม่อาจเจอคุณ...”
เหมือนคำถามนั้นจะถูกปลอบประโลม สายลมเย็นแปรเปลี่ยนอุ่นโอบรอบตัวแก้วตาแผ่วเบาคล้ายโอบกอดเอาไว้อย่างรักใคร่...
...รีบกลับมาเถอะนะ ดวงใจของฉัน...
...แก้วตาของพี่...
**********
ซองสีน้ำตาลเก่ายังคงวางอยู่ที่เดิม แก้วตาหยิบขึ้นดูและเขาแน่ใจว่ามันเป็นซองเดียวกับที่แสนถือให้เขาดูเมื่อคืนไม่ผิดแน่ ไหนจะแหวนทองวงเล็กยังคงอยู่ในมือของเขา แก้วตาจำได้ว่าวันแรกที่ได้ซองเอกสารนี้มาเขากับแม่เปิดดูก็ไม่เห็นมีอะไรอื่นนอกจากโฉนดที่ดิน....หรือแสนจะเอามาให้ทีหลังกัน?
“แม่จ๊ะ”
“ว่าไงลูก?” เพ็ญจันทร์ละมือจากหม้อขนมหันมาทางลูกชาย
“เมื่อคืนผู้ชายคนนั้น แสนน่ะเขามาเอาเอกสารพวกนี้ไปหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่นี่ลูก ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ไม่เห็นเขาอีกเลย แก้วมีอะไรกับเขาหรือ?”
“เปล่าจ้ะ งั้นเดี๋ยวแก้วไปแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัยก่อนนะจ๊ะแม่”
“ไปเถอะ สายแล้วจะแย่เอา” เพ็ญจันทร์ยิ้มละมุน หากวันนี้ใบหน้าอาบเหงื่อนั้นดูซีดเซียวจนคนเป็นลูกต้องเดินเข้ามาใกล้
“แม่ไม่สบายหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่คงเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวแก้วแต่งตัวเสร็จแล้วจะไปส่งแม่ที่ตลาดนะจ๊ะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน ก่อนจะวิ่งกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านนอก และสิ่งที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อร่างของมารดาล้มลงกับพื้น
“ถึงว่าทำไมนายไม่ไปเรียน แล้วแม่เป็นอย่างไรบ้าง?” ฤดีถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งหน้าซีดวิตกกังวลหน้าระเบียงเรือนคนไข้
“อืม หมอว่าความดันโลหิตสูงน่ะ แล้วดูเหมือนจะมีโรคอย่างอื่นด้วย เราก็เลยบอกให้หมอตรวจสุขภาพแม่เพิ่ม”
“ดีแล้วล่ะ เอ้านี่ การบ้านของวันนี้” ฤดียื่นสมุดให้เพื่อน
“ขอบใจนะฤดี” แก้วตายิ้มเซียว คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่น
“มีอะไรให้เราช่วยอีกไหม?”
“ไม่มีหรอก” แก้วตาปฏิเสธ ถึงอย่างนั้นฤดีก็รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กของเธอกำลังกลุ้มใจนั้นคือเรื่องอะไร แต่ถ้าแก้วตาไม่เอ่ยปากเธอก็คงไม่สามารถยื่นข้อเสนอไปให้ได้เพราะแก้วตานั้นไม่อยากรบกวนใครถ้าไม่จำเป็นแม้แต่เธอที่เป็นเพื่อนก็ตาม
เงินค่ารักษาพยาบาล...
แก้วตาถอนหายใจ เงินเก็บที่มีไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า เห็นทีค่าเทอมเทอมนี้คงต้องทำเรื่องขอผ่อนผันไปก่อนแล้วล่ะ เด็กหนุ่มเข้าไปดูอาการมารดาก่อนจะกลับบ้านเพื่อเตรียมทำขนมขายต่อในวันพรุ่งนี้แทนมารดา อย่างน้อยก็เอาเงินมารวบรวมให้มากพอเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน
“แก้ว เธอดูเพลียๆนะ” ฤดีถามอย่างเป็นห่วง
“อืม นอนดึกน่ะแล้วเช้ามืดก็ต้องไปขายของที่ตลาดแล้วค่อยมาเรียนน่ะ”
“เธอไหวนะ?”
“ไหวซิ”
“....” ฤดีไม่เซ้าซี้ต่อ เธอรู้ดีว่าแก้วตานั้นดื้อแค่ไหน ต่อให้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็จะไม่เอ่ยขอปากยืมเงินเธอเด็ดขาด
หลังจากไปเยี่ยมเพ็ญจันทร์ฤดีตามเพื่อนมาบ้านด้วย เด็กสาวมองตัวบ้านเก่าคร่ำหลังเล็กที่มาบ่อยๆแล้วเข้าไปช่วยเพื่อนเตรียมของทำขนมคืนนี้
“แม่เพ็ญจันทร์!” เสียงเรียกตะโกนหน้าบ้าน แก้วตาละมือจากมะพร้าวก่อนจะเดินออกไป
“แม่ไม่อยู่หรอกจ้ะ ป้าผ่อง”
“อ้อ อย่างนั้นก็บอกแม่เธอด้วยนะ ว่าถ้าเดือนนี้ยังไม่จ่ายค่าเช่าบ้านล่ะก็เตรียมย้ายออกไปได้เลย หรือถึงมีจ่ายก็ให้เตรียมย้ายอยู่ดี” ป้าผ่องเจ้าของบ้าน บอกเหตุผลการมาให้เด็กหนุ่มฟัง
“เดี๋ยวซิจ๊ะป้า ก็ถ้าเราหาค่าเช่าบ้านให้ป้าได้แล้วทำไมเราต้องย้ายออกด้วยล่ะจ๊ะ?” แก้วตาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ฉันจะขายที่นี่น่ะซิ”
“ขาย? แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะป้า?”
“อ้าว! ก็เรื่องของพวกแกซิ ที่ของฉัน ฉันจะขายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกแกกัน ภายในสิ้นเดือนนี้ก็รีบๆหาที่อยู่ใหม่ซะล่ะ” ว่าแล้ว ป้าผ่อง ก็เดินสะบัดออกไปพร้อมลูกน้องอีก2คน ทิ้งให้แก้วตายืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“แก้ว...” ฤดีแตะไหล่เพื่อน แก้วตาหันมายิ้มให้คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร
“พรุ่งนี้คงต้องไปบอกแม่แล้วล่ะนะ”
“แล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหน ถ้ายังไงมาบ้าน...”
“ฤดี!” เสียงใสเรียกชื่อเพื่อนขัดขึ้นก่อนคำพูดนั้นจะจบประโยคจนเด็กสาวต้องเงียบปากลง
“....”
“ขอบใจนะ เราขอพยายามจนถึงที่สุดก่อนก็แล้วกัน”
แก้วตาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงคนไข้ ข้อความที่บอกให้มารดารับฟังนั้นทำเอาเด็กหนุ่มต้องขบริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือดแล้วยิ้มเซียวของมารดาที่ส่งมาให้เขานั้นทำให้แก้วตาอยากจะหันกลับไปหาเพื่อนสาวแล้วถอนคำพูดเรื่องจะพยายามเอง
“เรามาพยายามด้วยกันนะลูก แก้วไม่ต้องคิดมากนะรู้ไหม?” เพ็ญจันทร์ลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างรักใคร่ กลับกลายเป็นคนถูกปลอบเสียเองก็ให้หัวเราะแผ่ว
แก้วตาเด็กดี...
เพ็ญจันทร์รักลูกชายคนนี้เหลือเกิน ถึงแม้จะต้องเลี้ยงมาเพียงลำพังแต่เพ็ญจันทร์เชื่อว่าหากสามีที่ล่วงลับของเธอยังอยู่ก็คงทั้งรักและหลงลูกชายคนนี้ไม่แพ้กันแน่นอน
“แล้วนี่ไม่ไปเรียนหรือไงกัน หืม?”
“หมอบอกว่าจะให้แม่ออกโรงพยาบาลได้วันนี้ แก้วเลยมารับดีกว่า” เด็กหนุ่มรั้งมือหยาบกร้านของมารดาแนบแก้มยิ้มบาง
.
.
“......” ปลายเท้าที่หยุดนิ่งตรงหน้าทำให้แก้วตาเงยหน้าจากกระจาดขนมขึ้นมอง
“ทำไมถึงไม่ใช้มันล่ะขอรับ?”
“?”
“โฉนดนั่นเป็นของคุณ ที่ดินนั่น เรือนนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคุณ” แก้วตาขมวดคิ้วมองร่างสูงใหญ่ของแสนอย่างไม่ไว้ใจ คนตรงหน้าเขารู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังมีปัญหาอะไร
“มันไม่ใช่ของผม!”
“...มันเป็นของคุณขอรับ ต่อให้คุณปฏิเสธอย่างไรมันก็ยังคงเป็นของคุณ แล้วตอนนี้คุณคิดว่าจะทิ้งมันไปได้หรือขอรับ?”
“.....” คำพูดของชายหนุ่มทำให้แก้วตานิ่งคิด ตอนนี้ต่อให้เขาพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองและมารดาได้ และเขาก็คงทิ้งโฉนดแผ่นนั้นไม่ได้อย่างที่คนตรงหน้าพูด
แก้วตากลับมาบ้านในตอนค่ำ กว่าขนมจะขายหมดก็มีเวลามากพอให้เขาได้นั่งคิดถึงคำพูดของแสน ซองสีน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาหลังจากถูกลืมไว้ในชั้นหนังสือเรียนตั้งแต่คราวนั้น...
“แก้ว?”
“แม่?” เพ็ญจันทร์มองกระดาษในมือลูกชายแล้วนั่งลงข้างๆ
“ลูกจะ....”
“เมื่อเช้า..เขา คนที่ชื่อแสนน่ะ”
“.....”
“เขา...บอกว่าที่นั่นเป็นของลูก”
“อืม...”
“...แม่คิดว่ายังไงดีจ๊ะ?” แก้วตาวางกระดาษลงแล้วสวมกอดเอวมารดาแน่น
“แม่เชื่อในการตัดสินใจของลูกจ้ะ”
“...แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละจ้ะ แล้วแก้วจะพยายามให้มากขึ้น เราจะได้มีบ้านของตัวเอง” เพ็ญจันทร์ลูบผมแก้วตาแผ่วเบา มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสว่างด้วยแสงของพระจันทร์ สายลมเย็นวูบหนึ่งผัดแผ่วให้ใจของคนเป็นแม่กระตุกวูบแล้วกอดลูกชายเอาไว้แน่น
เวลายังคงเดินไปอย่างสม่ำเสมอ...
การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง...
ถ้อยคำรัก...ลอยแฝงลมอ่อนจะโอบกอดเจ้า...ยอดดวงใจ...
โปรดติดตามกาลต่อไป