เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมชิง Special Booklet จากนิยายเรื่อง"ทัณฑ์กามเทพ" (นิยายทัณฑ์กามเทพบทที่1-จบ)  (อ่าน 74891 ครั้ง)

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #30 เมื่อ31-07-2012 15:55:14 »

เปิดเรื่องมานึกว่าเป็นนิยายวัยใส ที่ไหนได้ เข้มข้นดีน่าติดตามมาก

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-10
«ตอบ #31 เมื่อ31-07-2012 16:52:38 »

ต้อนรับเรื่องใหม่
เนื้อเรื่องเข้มข้นมากแค่ 10 ตอนเองนะเนี่ย
เกลียดสองพ่อลูกมากๆเลย

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่11
«ตอบ #32 เมื่อ01-08-2012 11:18:35 »

บทที่ 11


   หลังจากพักฟื้นที่บ้านไม่นาน ศรารัตน์ก็มาทำงานที่บริษัทได้ตามปกติ วันนี้หญิงสาวตั้งใจว่าหลังเลิกงานแล้วจะชวนคุณหมอนภัทรไปดินเนอร์เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มได้คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวคิดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหาเบอร์ของนภัทรแล้วโทรออก

   ศรารัตน์นั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานระหว่างรอปลายสายรับโทรศัพท์ แต่เสียงสัญญาณก็ดังนานโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับจนกระทั่งมีเสียงให้ฝากข้อความในที่สุด หญิงสาวตัดสายทิ้ง คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมนภัทรถึงไม่รับสายของเธอ บางทีคุณหมออาจจะติดงานยุ่ง ศรารัตน์คิดในแง่ดี ในใจก็อยากลองโทรไปอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าหากนภัทรกำลังยุ่งอยู่จริงๆ เธอโทรไปก็จะกลายเป็นไปกวนเขาเสียเปล่า สู้รอให้ฝ่ายนั้นติดต่อกลับมาหาเธอดีกว่า

   เวลาตลอดทั้งบ่ายนั้น ศรารัตน์ทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเพราะสายตาคู่งามก็มักจะตวัดมองไปยังโทรศัพท์มือถือข้างๆตัวอยู่เรื่อย จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเสียที จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาคอยกระวนกระวายใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรด้วย ทำไมเธอถึงต้องอยากพูดคุยกับคนๆนั้นตลอดเวลา แค่เพียงได้ยินเสียงเขา เธอก็ดีใจมากแล้ว และที่สำคัญทำไมเธอถึงรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองเริ่มจะผิดปกติเมื่อได้สบตาหรือใกล้ชิดกับนภัทร หญิงสาวสงสัยเพียงไม่นาน เธอก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย ดูท่าเธอคงจะหลงรักคุณหมอรูปหล่อเข้าแล้วแน่ๆ

   ศรารัตน์ยิ้มกับคำตอบของตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าถือเดินออกจากห้องทำงานของตนไปทันที คลาดกับวิศรุตที่เดินถือแฟ้มเอกสารเพื่อมาปรึกษาเรื่องงานกับหญิงสาวเพียงนิดเดียว

   “ท่านประธานคะ คือว่าคุณศราเธอเพิ่งออกไปเมื่อซักครู่นี้เองค่ะ” เลขาหน้าห้องของศรารัตน์เอ่ยบอกในตอนที่วิศรุตกำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูห้องทำงานของผู้ช่วยรองประธานกรรมการซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของศรารัตน์

   “ไปไหน แล้วได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไหร่?”

   “ไม่ทราบค่ะท่าน คุณศราไม่ได้สั่งอะไรไว้”

   “ออกไปพบลูกค้าหรือเปล่า?”

   “เปล่าค่ะ วันนี้ตารางงานคุณศราไม่มีนัดอะไรเลย ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเธอไปไหนเช่นกัน”

   “แล้วทำไมไม่ถามล่ะ? มีอย่างที่ไหนที่เลขาไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหน แล้วกำลังทำอะไรอยู่” วิศรุตถามด้วยน้ำเสียง หงุดหงิดในขณะที่เลขาสาวก้มหน้าอย่างกลัวเกรงในอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิศรุต
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก อันที่จริงจะตำหนิเลขาสาวตรงหน้าอย่างเดียวก็ไม่ถูกเพราะรู้ว่าศรารัตน์นิสัยเหมือนกับเขาตรงที่เวลานึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจนึก ไม่จำเป็นต้องมาคอยรายงานเลขาตลอดเวลาเหมือนอย่างกับตัวเองเป็นนักโทษที่ต้องมีผู้คุมความประพฤติตลอดเวลา

   “เอาเถอะๆ ถ้ายัยศรากลับมาบอกว่าให้ขึ้นไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย ฉันมีเรื่องงานที่จะปรึกษาด่วน” เลขาสาวรับคำเสียงอ่อยในขณะที่วิศรุตนึกสงสัยว่าศรารัตน์ออกไปไหนในเวลางานแบบนี้




   เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีรถยุโรปราคาแพงมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเขา ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนคิดว่าคงเป็นรถของเพื่อนแม่เขาคนใดคนหนึ่งที่ชอบแวะเวียนไปมาหาสู่กับบ้านของเขาบ่อยๆ

   เมื่อมาถึงห้องรับแขก ภาพศรารัตน์ที่คุยยิ้มแย้มกับคุณพ่อคุณแม่เขาอย่างเป็นกันเองทำให้นภัทรรู้ว่าเขาเดาผิด เจ้าของรถคันนั้นคงเจาะจงมาหาเขาโดยตรงนั่นเอง

   “อ้าว เจ้ากานต์กลับมาพอดีเลย” คุณนรินทร์ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน
   ศรารัตน์หันไปส่งยิ้มกว้างให้นภัทร ชายหนุ่มคงนึกแปลกใจที่เธอมาหาเขาถึงที่นี่ได้ แถมยังมาโดยไม่บอกก่อนเสียด้วย

   “หนูศราเค้ามารอลูกนานแล้ว แถมยังซื้อของฝากแล้วก็ผลไม้มาให้ตั้งเยอะแยะ บอกว่าเป็นการขอบคุณแทนน้ำใจที่ลูกดูแลเธอเป็นอย่างดี” รัญญาเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องอาหารเย็นในครัวแล้วเชิญหญิงสาวที่มาเป็นแขกของบ้านให้ทานอาหารเย็นด้วยกันซึ่งศรารัตน์ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อขอตัวไปอ่านหนังสือต่อด้านบนแล้วกัน ตามสบายเลยนะหนู” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ ก่อนที่คุณนรินทร์จะขึ้นบันไดไปด้านบนชั้นสองโดยปล่อยให้ลูกชายของตนและศรารัตน์ได้มีโอกาสคุยธุระกันตามลำพัง

   นภัทรพาศรารัตน์มาคุยกันในสวนเล็กๆบริเวณบ้าน หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างสนใจเพราะในสวนบริเวณบ้านนั้นมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเอาไว้เต็มไปหมดและแทบทุกต้นจะถูกดูแลและบำรุงรักษาเป็นอย่างดี บ่งบอกได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าของบ้านคงจะ
ชื่นชอบการปลูกดอกไม้เป็นแน่

   “คุณแม่ท่านชอบปลูกดอกไม้น่ะครับ” คำพูดของนภัทรยืนยันสิ่งที่หญิงสาวคิด

   “บ้านของหมอน่าอยู่ดีนะคะ ดูแล้วอบอุ่นจังเลย” ศรารัตน์อดนึกอิจฉานภัทรหน่อยๆไม่ได้ที่บ้านของชายหนุ่มถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนอย่างบ้านทัดเทวา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนบ้านนี้มันทำให้เธอสัมผัสได้ถึงคำว่าบ้านที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสจากบ้านของตัวเองมาก่อนเลย “คุณพ่อของหมอก็เป็นแพทย์เหมือนกันเหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถาม เมื่อกี้เธอได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณนรินทร์จึงได้รู้ว่าคุณพ่อของนภัทรเองก็เป็นหมอเช่นกัน มิน่าล่ะนภัทรถึงได้เชื้อความเก่งมาจากพ่อนี่เอง

นภัทรรับคำ “ท่านเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจน่ะครับ ว่าแต่คุณศรายังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาผมถึงที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย?” นภัทรเปลี่ยนประเด็นมาเอ่ยถามเรื่องที่ยังคาใจอยู่

   “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอมากไปหน่อย ถึงขนาดบุกมาหาถึงที่บ้านเลย”น้ำเสียงอ้อนของศรารัตน์ทำให้นภัทรตัดใจเคืองเธอไม่ลง ทั้งที่เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบให้ใครมาล้ำเรื่องส่วนตัวเท่าใดนัก 

“จริงๆฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ แค่อยากจะมาเจอหน้าหมอเท่านั้นเอง”

คราวนี้นภัทรถึงกับอึ้งไปกับคำพูดตรงๆของศรารัตน์ ดวงตาสีถ่านสบตาสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วก็นึกถึงใครบางคนที่มีดวงตาแบบเดียวกัน แต่ของคนๆนั้นเป็นดวงตาหวานโศก 

   “หมอไม่พอใจที่ฉันมาที่นี่เหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถามตรงๆ เพราะไม่แน่ใจกับสายตาของนภัทรที่มองมา ไม่รู้ว่านภัทรจะโกรธเธอหรือเปล่าที่จู่ๆก็มาโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้

   นภัทรปฎิเสธคำถามนั้นก่อนจะเชิญให้ผู้เป็นแขกนั่งลงที่ชุดโต๊ะสนามที่ทำจากอัลลอยด์สีขาว ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำหวานจากเด็กรับใช้ที่เอามาเสริ์ฟให้ตนและศรารัตน์

   “แล้วคุณศรามาบ้านผมถูกได้ยังไงครับเนี่ย?”

   “ก็ถามเอาจากโรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ ต้องหลอกล่อตั้งนานกว่าจะยอมบอก”
ชายหนุ่มหัวเราะแล้วส่งเสียงอื้อหื้อพร้อมถามว่าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ ศรารัตน์อมยิ้มไม่ตอบคำถามนั้น วันนี้เธอต้องโทรไปหลอกถามและออดอ้อนต้นอ้อ พยาบาลที่เคยดูแลเธอตอนประสบอุบัติเหตุเสียตั้งนานสองนานกว่าพยาบาลสาวจะยอมไปค้นที่อยู่ของหมอนภัทรจากแฟ้มทะเบียนมาให้ พร้อมกับกำชับเอาไว้ว่าอย่าบอกหมอนภัทรเด็ดขาดว่าได้ที่อยู่มาจากเธอ

   “ตั้งแต่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย พอดีวันนี้ฉันว่างก็เลยแวะมาหากะว่าจะมาเซอร์ไพร์ที่บ้านนี่แหล่ะค่ะ” เซอร์ไพร์จริงๆด้วย นภัทรคิด

   “พอดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เลยครับ เพราะติดเรื่องสัมมนาต่างๆของทางโรงพยาบาล ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อไป” นภัทรบอกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้โทรหาศรารัตน์นัก ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะออกจากโรงพยาบาล เธอเคยให้เบอร์มือถือส่วนตัวกับเขาไว้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์ให้เธอคิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน เพราะชายหนุ่มคงกระดากใจไม่น้อยหากว่าผู้หญิงที่เพื่อนสนิทตัวเองชอบจะกลับกลายมาชอบเขาเสียเอง

   ศรารัตน์หลุบตาต่ำซ่อนสีหน้าเขินอายของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามนภัทรตรงๆอย่างไม่คิดอ้อม ค้อมให้เสียเวลา “ขอถามตรงๆนะคะ” ศรารัตน์เว้นไปนิดหนึ่งก่อนต่อให้จบประโยค “หมอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่คะ?” มือที่ถือแก้วน้ำหวานสีสวยชะงักนิ่งไปกับคำถามนั้น ก่อนคนถูกถามจะแสร้งย้อนถามกลับ

   “แล้วคุณศราคิดยังไงกับผมเหรอครับ?” คุณหมอหนุ่มยกแก้วน้ำหวานขึ้นจิบก่อนจะแทบสำลักออกมาเมื่อได้ยิน คำตอบจากปากของศรารัตน์

   “ก็คิดว่าหมอเป็นคนที่อยู่ใกล้ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่เข้าใจฉันในหลายๆเรื่องที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ เป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเวลาที่ฉันต้องการใครซักคน ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตกหลุมรักคุณหมอนภัทร อิสรีย์เข้าไปเต็มๆแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มหวาน ดวงหน้าหวานเป็นสีระเรื่อเมื่อยามเอ่ยความในใจออกมาให้คนตรงหน้าที่เธอเพิ่งบอกว่าตกหลุมรักได้ฟัง

   “คุณศราครับ คือว่า...เอ่อ...”

   “เรามาคบกันไหมคะคุณหมอ?” ศรารัตน์พูดรัวประโยคนี้ออกมา แต่นภัทรที่ได้ยินกลับตัวแข็งทื่อ ในใจก็ชื่นชมกับความใจกล้าของเธอที่เขาไม่ค่อยได้เจอจากผู้หญิงคนไหน ส่วนหนึ่งที่เขาเอ็นดูศรารัตน์ก็คือบุคลิคตรงๆไม่อ้อมค้อมแบบนี่เนี่ยแหล่ะ หญิงสาวเป็นคนใจคิดยังไงปากก็พูดไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ไม่ได้เป็นคนเก็บงำความรู้สึกเก่งแบบพี่ชายของเธอเลยซักนิด

   เมื่อเห็นว่านภัทรมีสีหน้าหนักใจราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ศรารัตน์ก็ถามขึ้น “หรือว่าหมอมีคนรักอยู่แล้วคะ?”

   “เปล่าหรอกครับ ผมยังไม่มีใคร เพียงแต่ว่า...”

   “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีโอกาสใช่ไหมคะ?”

   “ผมว่าเราอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้กันเลยดีกว่านะครับ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันดีเลยเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าถ้าคุณศราได้รู้จักผมจริงๆ คุณอาจจะไม่อยากคบกับผมก็ได้”

   “แหม คุณหมอเนี่ยพูดเหมือนพี่ชายฉันเด๊ะเลยค่ะ อย่างกับโคลนนิ่งคำพูดกันมาอย่างนั้นแหล่ะ” ศรารัตน์หัวเราะออกมาเลยทำให้บรรยากาศที่ดูทึมๆเมื่อครู่กลายเป็นสดใสขึ้นในความคิดของนภัทร

   “บอกตรงๆนะครับ ตอนนี้ผมเองยังไม่พร้อมจะคบกับใครเลย จะเรียกว่าปิดตัวเองก็ได้” นภัทรหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ช่วงนี้ขนาดเวลาดูแลตัวเองเขายังไม่ค่อยจะมีเลย วันๆเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานที่โรงพยาบาลเกือบทั้งวัน จะให้เอาเวลาที่ไหนไปดูแลคนอื่นนอกจากคนไข้ได้ล่ะ

“ฉันไม่ได้จะเร่งรัดอะไรคุณหมอหรอกค่ะ เราสองคนอาจจะต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จริงๆอย่างที่คุณหมอบอกนั่นแหล่ะ แต่ว่า...”

   “แต่ว่าอะไรเหรอครับ?”

   “แต่ว่าถ้าคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใครเมื่อไหร่ อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรกนะคะ” นภัทรยิ้มให้แทนคำตอบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ในเมื่อเขารู้ใจตัวเองดีว่าคิดกับศรารัตน์เป็นแค่น้องสาวเท่านั้น เอาไว้เขาจะค่อยๆบอกเรื่องนี้กับเธออีกทีหนึ่งเพราะถึงบอกไปตอนนี้หญิงสาวคงดึงดันและไม่ยอมฟังแน่ ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากหลอกให้ความหวังเธอแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่สำคัญคือเขาไม่อยากจะทำผิดต่อเพื่อนสนิทที่เขารักมากที่สุดอย่างพงศธร

   ศรารัตน์มองรอยยิ้มนั้นอย่างสุขใจ หญิงสาวไม่ได้คาดหวังให้นภัทรตอบตกลงคบกับเธอในทันที แค่เขารับฟังความรู้สึกของเธอเท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว ยิ่งรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่มีใคร เธอก็ค่อยปลอบใจตัวเองว่าคนตรงหน้ายังไม่มีเจ้าของเสียหน่อย สักวันเธอจะต้องพิชิตหัวใจของนภัทรได้แน่ๆ ขอเพียงแต่เวลาและโอกาสเท่านั้น

   “เราเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ ฉันชักอยากจะชิมอาหารฝีมือของคุณแม่เสียแล้ว” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบแล้วชวนนภัทรเข้าไปในบ้านเมื่อเด็กรับใช้เดินมาแจ้งว่าคุณผู้หญิงให้มาตามเพราะว่าอาหารเย็นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

   นภัทรรับคำก่อนจะเดินนำหญิงสาวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง ถ้าวิศรุตรู้ว่าน้องสาวตัวเองมาบอกรักเขาถึงที่บ้านแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะทำหน้ายังไงนะ คงจะชักสีหน้าและแววตาวาวโรจน์ใส่เขาเหมือนอย่างเคยแน่ๆเพราะวิศรุตทำท่าหวงน้องสาวอย่างกับอะไรดี ท่าทางของวิศรุตที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดทำเอานภัทรอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับตัวเองคนเดียว





   “ไปไหนมา ทำไมกลับเอาป่านนี้?” เสียงวิศรุตที่เอ่ยทักทำให้ศรารัตน์ที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านต้องหันไปตอบคำถามอย่างเสียไม่ได้

   “แวะไปที่บ้านคุณหมอนภัทรมา แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย” น้ำเสียงหญิงสาวเรียบเรื่อยแต่หางตาคน
ฟังกลับกระตุกเมื่อได้ยินชื่อชายหนุ่มอีกคนที่น้องสาวเขาพูดถึง

   “ไปบ้านหมอนภัทรเนี่ยนะ ไปทำไมกัน?” ปลายเสียงวิศรุตห้วนเจือแววไม่พอใจ ซึ่งศรารัตน์ก็เดาได้อยู่แล้วว่าพี่ชายต้องออกอาการไม่พอใจแน่ถ้าเธอบอกออกไปแบบนี้ ก็เพราะวิศรุตกันท่าเธอกับนภัทรอย่างกับอะไรดี

   “แล้วทำไมฉันจะไปไม่ได้ล่ะ? ฉันกับหมอนภัทรสนิทกัน จะไปเยี่ยมทักทายที่บ้านก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
ศรารัตน์ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยแสดงถึงอาการไม่พอใจที่หมู่นี้วิศรุตชอบมายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเธอเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนเธอจะคบหากับใครก็ไม่เห็นว่าวิศรุตจะเข้ามายุ่งด้วยเลยสักครั้ง

   “แต่มันไม่เหมาะสม เธอเป็นสาวเป็นแส้จะไปวิ่งไล่ตามผู้ชายถึงที่บ้านเค้าได้ยังไงกัน” วิศรุตหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองได้ก่อนตั้งท่าจะไล่บี้ศรารัตน์ต่อแต่คู่สนทนากลับพูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

   “ถามจริงๆเถอะ นายเคยมีเรื่องอะไรกับหมอนภัทรมาก่อนหรือเปล่า? ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเค้าเอามากๆเลยนะ ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้นายเสียหน่อย”

วิศรุตค้านในใจเสียงแข็ง ใครว่านภัทรไม่เคยทำอะไรให้เขาล่ะ ฝ่ายนั้นแหล่ะที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาต้องเสียใจและรู้จักกับคำว่าอกหักเป็นครั้งแรกของชีวิต ผู้ชายที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงแปดปีแล้วก็ตาม

   “ถ้านายหาเหตุผลดีๆมาให้ฉันไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะมาเถียงเรื่องนี้กันอีก เพราะขนาดฉันยังไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายเลย นายเองก็ไม่ควรจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันเหมือนกัน” ศรารัตน์เน้นเสียงที่คำว่าเรื่องส่วนตัวก่อนจะสาวเท้าตั้งใจจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตน

   “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตรั้งไว้อีกครั้งซึ่งศรารัตน์คิดว่าพี่ชายคงจะต้องพูดเรื่องนภัทรอีกแน่ เธอจึงตั้งใจจะตัดบท

   “บอกแล้วไงว่า...”

   “ฉันเพิ่งเอาเอกสารเรื่องโครงการบ้านจัดสรรที่เรากำลังจะเปิดเฟสใหม่ไปไว้ที่ห้องนอนของเธอเมื่อกี้ ช่วยศึกษารายละเอียดด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานเราจะเริ่มประชุมเพื่อประเมินโครงการนี้กันแล้ว” ศรารัตน์ไหวไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงว่าเธอรู้แล้วก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบนโดยมีวิศรุตมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา




   “ท่านประธานคะ มีแขกต้องการเรียนสายด้วยค่ะ เค้าบอกว่าชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสมัยเรียนของท่านประธาน” อิงอรรายงานผ่านอินเตอร์โฟน ทำให้วิศรุตที่กำลังนึกเบื่อกับการพิจารณาเอกสารกองโตละสายตาจากงานตรงหน้าทันที

   “โอนสายเข้ามาได้เลยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขา สักพักไม่ถึงอึดใจเขาก็ได้รับสายของพงศธรที่ถูกโอนเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวในห้องทำงานของท่านประธานแห่งทัดเทวา

   “ว่ายังไงไอ้พงษ์ ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหาฉันได้เนี่ย?” วิศรุตกรอกเสียงลงไป ในใจก็นึกเดาเอาว่าที่พงศธรโทรมาหาเขาที่บริษัทแบบนี้คงต้องเป็นเพราะฝ่ายนั้นตัดสินใจได้แล้วแน่ๆว่าจะเลือกร่วมงานกับที่ไหน และคำตอบของพงศธรก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ

   “ฉันโทรมาเพราะเรื่องที่นายเคยเสนองานที่ทัดเทวาให้ฉันนั่นแหล่ะ”

   “ตกลงนายว่ายังไงล่ะ นี่ฉันรอลุ้นคำตอบอยู่นะ” วิศรุตพูดเย้าอีกฝ่ายก่อนที่พงศธรจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน

   “ฉันตกลงที่จะร่วมงานกับทัดเทวา จากนี้ต่อไปนายก็จะกลายเป็นเจ้านายของฉันแล้วนะ” วิศรุตหัวเราะประโยคสุดท้ายของพงศธร แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายตามหน้าที่แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถือตัวกับเพื่อนเลย “เออ แล้วฉันต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย” พงศธรวกกลับมาที่เรื่องงานอีกครั้ง ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้จัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน

   “เดี๋ยวนายเอาพวกเอกสารเกี่ยวกับการสมัครงานมากรอกแบบฟอร์มการสมัครที่ฝ่ายบุคคลได้เลย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปทำเรื่องให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่นายพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ล่ะ?”

   “ฉันพร้อมเสมอนั่นแหล่ะ แล้วแต่เจ้านายจะบัญชาเลยครับผม” ท้ายประโยคแอบล้อเลียนคู่สนทนาอีกครั้ง
วิศรุตยิ้มแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วให้พงศธรเข้ามาเริ่มงานได้เลย เพราะว่าพอดีช่วงนี้ตนกำลังจะทำโปรเจคบ้านจัดสรรโครงการใหม่อยู่พอดี จึงอยากให้พงศธรเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ด้วย

   พงศธรรับคำ จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป วิศรุตลอบถอนหายใจเฮือกเมื่อต้องกลับมามุ่งทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ถ้าได้คนเก่งๆอย่างพงศธรเข้ามาช่วยดูโครงการนี้อีกแรง รับรองว่าโครงการนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาแน่ๆ และที่สำคัญพวกบอร์ดผู้บริหารจะได้เลิกมองเขาว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเสียทีโดยเฉพาะคุณ มงคลที่จ้องจับผิดเขาตลอดและคุณอาวันชัยกับภาคินที่เขารู้สึกได้ลึกๆว่าทั้งคู่กำลังหาโอกาสจ้องจะขึ้นมากุมอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัททัดเทวาแทนเขา มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก


จบบทที่ 11
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2012 11:28:34 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่12
«ตอบ #33 เมื่อ01-08-2012 11:21:09 »

บทที่ 12


   “เฮ้ย ไอ้วิน ทำไมทำหน้าเซ็งซังกะตายแบบนั้นวะ? นี่มาสนุกนะเว้ย ไม่ได้มานั่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวกันอยู่แล้ว” ภาณุบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนสนิทเขากำลังวุ่นๆอยู่กับงานที่บริษัท ไอ้โครงการ บ้านจัดสรรนั่นคงจะเป็นงานที่วิศรุตคาดหวังเอาไว้อย่างมากเลยทีเดียว เขาเคยแอบถามคุณอิงอรว่าเพื่อนของเขากินยาสลับขวดมาหรือเปล่า ช่วงนี้ถึงได้ขยันรีบเข้าบริษัทตั้งแต่เช้า คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือวิศรุตกำลังทุ่มเทให้กับโปรเจคชิ้นสำคัญนี้อยู่ ขนาดที่ว่าเดี๋ยวนี้ต้องหอบงานเอากลับไปทำต่อที่บ้านอยู่บ่อยๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาลากตัวฝ่ายนั้นออกมาเที่ยวด้วยกันในคืนนี้เพราะกลัวว่าคนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะเฉาตายคากองเอกสารเสียก่อน

   “ถ้าคิดจะชวนมาเที่ยว ทำไมไม่หาที่อื่นบ้างวะ มาที่นี่บ่อยๆเบื่อจะตาย” วิศรุตยกเหล้าดีกรีแรงขึ้นจิบลิ้มรสเล็กน้อยก่อนจะถาม

“ที่มาที่นี่บ่อยๆ หรือว่ามาติดใจสาวแถวนี้?”

   ภาณุหัวเราะก่อนภาพแวบแรกที่เคยเจอเมริษาจะผ่านเข้ามาในสมองแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มปฎิเสธแล้วบอกว่าทีเมื่อสมัยก่อนตอนเรียนม.ปลาย เขาชวนมาเที่ยวผับทีไรไม่เห็นบ่นเหมือนในตอนนี้เลย ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าผับเข้าบาร์ได้ด้วยซ้ำ

   “ก็นั่นมันเมื่อก่อนนี่หว่า ตอนสมัยเรียนน่ะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้วเว้ย ใช้เงินไปวันๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก พอเงินหมดก็ขอพ่อแม่ แล้วมาดูตอนนี้ดิ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าเงินแต่ละบาทมันหามาได้ยากขนาดไหนก็เมื่อตอนมาทำงานแล้วนี่แหล่ะ”

   ภาณุมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่แปลกไป เขารู้สึกดีใจที่วิศรุตเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้จักทำงานทำการบ้างแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยกินสมบัติเก่าของพ่อแม่ไปวันๆ

   “แกรู้ตัวไหมว่าตอนนี้แกเริ่มเปลี่ยนไปจากวิศรุตคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก?” วิศรุตไหวไหล่แล้วถามต่อทันที

   “แล้วมันดีหรือว่าไม่ดีล่ะ?”

   “ก็ดีน่ะสิ ถ้าพ่อแม่แกยังอยู่ ท่านต้องดีใจมากแน่ๆที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลุกขึ้นมาปฎิวัติตัวเองสนใจงานที่บริษัทมากขึ้น ฉันดีใจนะเว้ยที่แกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แกจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที” ภาณุพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แสดงถึง ความจริงใจที่มีต่อคนตรงหน้า

   “ถ้าฉันเปลี่ยนตัวเองได้จริงๆก็คงจะดีน่ะสิ” แม้ประโยคนี้วิศรุตดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองแต่ทว่าภาณุก็ยังจับใจความในคำพูดนั้นได้ ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆเหมือนอย่างที่เคยทำเวลาให้กำลังใจอีกฝ่าย

   “แกยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องของนภัทรอีกเหรอ?”

   “ฉันพยายามแล้วแต่ก็เลิกคิดไม่ได้ว่ะ ตอนที่ฉันไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันเคยนึกว่าถ้าห่างกันไปจะทำให้ฉันลืมเค้าไปได้ ถ้าไม่ต้องเจอ ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ฉันคงทรมานน้อยกว่าที่เป็นในตอนนั้น แต่ที่ไหนได้ฉันกลับยิ่งคิดถึงนภัทรมากขึ้นกว่าเก่า แกรู้ไหม ตอนที่ฉันเจอหน้าเค้าอีกครั้งที่โรงพยาบาล แล้วได้รู้ว่าเค้าเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศรา ฉันแทบจะล้มทั้งยืนเพราะทำอะไรไม่ถูกเลย” คนเล่าหัวเราะขื่นๆเหมือนกับจะสมเพชตัวเอง มือหนาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม แต่คราวนี้ดื่มรวดเดียวหมดจนเหลือแต่แก้วเปล่า

   “แล้วยัยศราล่ะเป็นยังไงบ้าง? ออกจากโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็คงหายสนิทแล้วล่ะสิ” ภาณุเปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องศรารัตน์แทนเพราะกลัวว่าวิศรุตจะยกเรื่องเกี่ยวกับนภัทรมาพูดตอกย้ำให้ตัวเองต้องเสียใจอีก แต่ทว่าวิศรุตก็กลับยกประเด็นเรื่องศรารัตน์วกกลับเข้ามาที่เรื่องของนภัทรอีกจนได้

   “แกรู้อะไรไหมไอ้โอม ตอนนี้น่ะยัยศรากำลังหลงใหลคลั่งไคล้คุณหมอนภัทรรูปหล่ออย่างกับอะไรดี นี่ขนาดตามไปหาถึงที่บ้านเลยนะเว้ย ฉันชอบนภัทรมาก่อนยัยศราตั้งแปดปี แต่บ้านเค้าอยู่ไหนฉันยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยแต่ยัยศรากลับรู้ หึๆ ฟ้าไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ” วิศรุตกระดกแก้วเหล้าที่ถูกรินชงจนเต็มแก้วเข้าปากอีกครั้ง ปล่อยให้ของเหลวราคาแพงไหลผ่านลงลำคอเพรียวสวยราวอิสตรีจนหมดสิ้น

   “เอาเถอะหน่า นายเคยบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าน้องสาวนายน่ะเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็ว ฉันว่าอีกไม่นานยัยศราก็คงเบื่อนภัทรเองนั่นแหล่ะ ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วยเสียอย่าง หรือว่า...”

   “ฉันกลัวอย่างเดียวว่านภัทรจะเล่นด้วยน่ะสิ” วิศรุตเริ่มรินเหล้าลงในแก้วตัวเองอีกครั้ง “แล้วฉันก็ดูออกนะว่าคราวนี้ยัยศราจริงจังกับนภัทรมากๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นที่ยัยนั่นเคยคบมาหรอก แค่มองตาฉันก็รู้ สายตาที่มองไปยังนภัทรของศราไม่ต่างอะไรจากฉันเลย แต่ถ้าจะต่างก็คงเป็นสายตาที่ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมาที่ฉันกับศรานั่นแหล่ะ”

   มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียวว่านภัทรจะรู้สึกสนใจหรือว่าเกิดชอบพอกับศรารัตน์ขึ้นมา ในเมื่อน้องสาวของเพื่อนสนิทเขาออกจะเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ และที่สำคัญระหว่างที่ศรารัตน์พักรักษาอาการป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวก็ดูท่าทางจะสนิทกับนภัทรเอามากๆถึงขนาดเรียกชื่อเล่นอีกฝ่ายได้เสียเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น แม้ในใจจะคิดอย่างหนึ่งแต่คำพูดที่ออกจากปากของภาณุกลับตรงกันข้ามกับความคิด เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องไม่สบายใจไปมากกว่านี้

   “แกก็อย่าคิดมากไปไอ้วิน แกลองดูอย่างตอนสมัยเรียนสิ ร้อยวันพันปีไม่เห็นนภัทรจะสนใจจีบผู้หญิงคนไหนเลย มันดูท่าทางจะซื่อบื้อๆเรื่องพวกนี้จะตาย วันๆเอาแต่เรียน หมกตัวอยู่กับตำราอย่างเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

   วิศรุตอยากจะเถียงว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนนี่นา โดยเฉพาะกรณีนี้ที่เขาตั้งข้อสันนิษฐานว่าน้องสาวตัวดีของเขาเป็นฝ่ายรุกคืบเข้าไปหาฝ่ายนั้นก่อน แล้วผู้ชายที่บื้อทื่ออย่างนภัทรจะตามทันเกมของศรารัตน์ได้อย่างไร ยัยศราเองก็ใช่ย่อย เขาซึ่งเป็นพี่ชายก็รู้นิสัยของเธอดี ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งขัดใจ อันที่จริงเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจของเขาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของศรารัตน์กับนภัทรแทบจะทั้งนั้น ส่วนเรื่องงานที่เขาจะเก็บกลับมาคิดให้เปลืองสมองน่ะมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย 

   “แกช่วยหาวิธีแยกยัยศราออกมาจากนภัทรได้ไหมวะไอ้โอม? ฉันไม่อยากปล่อยให้สองคนนั้นยิ่งสานสัมพันธ์กันต่อไปเรื่อยๆอีกแล้ว” วิศรุตพูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่ฟังถึงกับหัวเราะขำ

   “อย่าบอกนะว่าแกกำลัง‘หึง’นภัทรกับยัยศราน่ะ ไม่เอาหน่าเพื่อน ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้นะเว้ย ถ้าเค้าเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันจริงๆ แกจะไปพยายามพรากเค้าออกจากกันมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะ...” ภาณุกลืนคำว่า ‘แกก็รู้ว่านภัทรไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย’ ลงคอไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่วิศรุตไม่ได้สนใจซักไซ้ต่อ

   “แล้วตกลงแกจะช่วยฉันรึเปล่า?” วิศรุตจ้องหน้าคู่สนทนาเขม็งระหว่างรอคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลโศกในตอนนี้เป็น ประกายเจิดจ้าระคนไหววูบตามดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป

   “แล้วอย่างฉันเนี่ยจะไปทำอะไรได้วะ ฉันว่านะเว้ย...” คำตอบของภาณุก็สื่อเป็นนัยแล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาคนนี้คงไม่ยอมช่วยแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรวิศรุตก็ไม่สนใจ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่เคยต้องอ้อนวอนใคร ถ้าภาณุไม่ช่วย งานนี้เขาก็คงต้องลงมือเองอย่างจริงๆจังๆเสียที

   “แกไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาขวางฉันก็แล้วกัน เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”

   “แกจะทำอะไรวะ?” วิศรุตไม่ตอบแต่ถามอีกฝ่ายกลับ

   “แกจำได้ไหมตอนสมัยเรียนน่ะ ฉันเคยพูดเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องทำให้นภัทรหันมารักฉันให้ได้ โดยไม่แคร์ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม และต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งนภัทรไปจากฉัน แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง” วิศรุตเค้นเสียงเย็นเยียบจนภาณุแอบขนลุก ลองวิศรุตพูดออกมาอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวก็คงจะหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เขารู้นิสัยวิศรุตดี เพื่อนของเขาเป็นคนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้โดยไม่สนใจถึงวิธีการที่จะได้มันมาเสียเท่าไหร่ ชายหนุ่มนึกเป็นห่วง
นภัทรกับศรารัตน์อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้วิศรุตจะทำอะไรแผลงๆบ้าง หวังว่าเพื่อนของเขาคงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่จะเจ็บหนักที่สุดก็คือวิศรุตเอง





   โปรเจคบ้านจัดสรรโครงการใหม่ของทัดเทวาคืบหน้าไปมาก หลังผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมแล้ว วิศรุตก็เดินหน้าลุยงานโครงการนี้ต่อทันที ชายหนุ่มยังจำสีหน้าปนทึ่งของคุณมงคลได้ดีเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นคงคิดว่าเขาเป็นได้แค่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปวันๆสิท่า พอวันนี้ได้ฟังแผนงานโครงการของเขาก็ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่เสียแรงที่เป็นโปรเจคที่เขาทุ่มสุดตัวจริงๆ เขาจะใช้โปรเจคนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือทายาทของสกุลทัดเทวาและกอบกู้ศรัทธาของผู้ถือหุ้นและพวกกรรมการบริษัทกลับคืนมาให้ได้ วิศรุตคิดในใจอย่างหมายมาด

   หลังจากประชุมงานกับบรรดาวิศวกรและสถาปนิคฝ่ายออกแบบจัดสร้างในตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่ายวิศรุตก็ชวนพงศธรออกไปดูทำเลที่จะเริ่มก่อสร้างโครงการด้วยกันในฐานะที่พงศธรเป็นหนึ่งในวิศวกรฝีมือดีที่เขาดึงเข้ามาร่วมงานในโครงการนี้ด้วย ซึ่งงานนี้ก็ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือของอีกฝ่ายเช่นกัน

   ใช้เวลาขับรถไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย บริเวณที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างโครงการนี้อยู่แถบชานเมืองที่ถือได้ว่าเป็นย่านที่ทำเลสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯเลยทีเดียว วิศรุตมองไปรอบๆด้วยความปลาบปลื้มที่พองตัวเล็กน้อยในอกด้วยเพราะทำเลนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เขาตั้งใจเลือกเองกับมือ ก่อนสายตาคู่สวยจะไปสะดุดกับรถคันหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณนั้น...รถของศรารัตน์

   “เราไปดูทางด้านนั้นกันเถอะ” วิศรุตบอกกับพงศธรที่นั่งรถมาด้วยกัน อีกฝ่ายรับคำก่อนจะล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมเผื่อสำหรับการถ่ายรูปเพื่อนำไปประกอบการร่างแปลนงาน

   หลังจากที่วิศรุตและพงศธรลุยสำรวจที่ดินบริเวณนั้นไปได้ไม่นานเท่าใดนัก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังคนทั้งคู่
   “นายเพิ่งมาเหรอ?” วิศรุตรู้โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าคนที่กล้าทักท่านประธานแห่งบริษัททัดเทวาแบบนี้ได้ มีอยู่คนเดียวซึ่งก็คือศรารัตน์ ในขณะที่พงศธรเองก็จำน้ำเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำ ผิดแต่ว่าคราวนี้มันไม่ใช่น้ำเสียงเจือแววหวานเหมือนตอนอยู่กับนภัทร ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง...ศรารัตน์ ทัดเทวา

   “มาได้ซักพักแล้วล่ะ แล้วเธอล่ะมานานหรือยัง?” วิศรุตหันไปตอบ ในขณะที่ศรารัตน์กลับหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายของวิศรุตแทน

“สวัสดีครับคุณศรารัตน์” พงศธรเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน เขาไม่แน่ใจว่าศรารัตน์จะยังจำเขาได้หรอเปล่า แต่เมื่อศรารัตน์ได้เห็นหน้าของคู่สนทนาชัดๆ หญิงสาวก็อุทานออกมาเบาๆ

   “คุณพงศธร” ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเพื่อนสนิทของหมอนภัทรในสถานการณ์แบบนี้และที่สำคัญพงศธรมากับวิศรุต

   “อ้าว นี่รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอ? กำลังจะแนะนำอยู่พอดีเลย” วิศรุตถามด้วยความสงสัยที่สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่

   “เรารู้จักกันแล้วล่ะ เพราะว่าคุณพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของหมอกานต์” วิศรุตเสียวสันหลังวูบ เขาลืมคิดไปเสียสนิทเลยว่าพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร หากศรารัตน์เคยรู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้แล้ว เธอจะรู้หรือเปล่านะว่าเขาปิดบังเธอเรื่องที่เคยรู้จักกับนภัทรมาก่อน

   “บังเอิญจังเลยนะครับ พอดีว่าผมเพิ่งกลับจากเรียนต่อเมืองนอก กำลังหางานอยู่พอดี คุณวิศรุตก็เลยชวนผมมาทำงานที่ทัดเทวาด้วยกัน” สรรพนามที่พงศธรใช้เรียกวิศรุตเปลี่ยนไปเป็นทางการมากขึ้นเพราะตอนนี้วิศรุตอยู่ในฐานะเจ้านายของเขา ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะเรียกชายหนุ่มว่าท่านประธานเหมือนอย่างคนอื่นๆแต่ทว่าวิศรุตขอเอาไว้เพราะความรู้สึกไม่ชินหากว่าพงศธรจะมาเรียกแบบนั้น

   “แล้วนายกับคุณพงศธรไปรู้จักกันได้ยังไงเนี่ย?” ศรารัตน์หันมาตั้งคำถามกับวิศรุตซึ่งชายหนุ่มก็อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อน จะเฉไฉบอกไปว่าพงศธรเป็นเพื่อนเก่าของตน ซึ่งพงศธรเองก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบนั้นเพราะก่อนหน้านี้นภัทรเคยบอกเขาเอาไว้แล้วว่าชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับนภัทรเมื่ออยู่ต่อหน้าศรารัตน์

   เมื่อเห็นว่าศรารัตน์เริ่มมีสีหน้าสงสัย วิศรุตก็เปลี่ยนประเด็นทันทีโดยลองถามความเห็นของศรารัตน์ว่าที่ดินแถบนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

   “ฉันลองเดินดูรอบๆบริเวณนี้แล้ว ไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ นายนี่ก็ตาถึงใช้ได้เลยนะเนี่ย” ประโยคสุดท้ายก็อดชมวิศรุตอย่างเสียไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าพี่ชายแท้ๆของตัวเองเริ่มทำงานทำการเหมือนคนอื่นเขาเสียที และดูท่าทางจะเริ่มได้สวยเลยทีเดียว ในใจหญิงสาวก็ภาวนาขอให้วิศรุตจริงจังกับงานไปได้ตลอดเถอะ ไม่ใช่ท่าดีทีเหลวแบบที่คนอื่นๆเขาสบประมาทกัน

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปดูทางด้านโน้นแล้วกัน จะได้ขอคำปรึกษาคุณพงศธรด้วยเรื่องแปลนตัวอย่าง” ศรารัตน์พยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินแยกไปอีกทางโดยบอกว่าจะไปคุยกับพวกสถาปนิคออกแบบต่อ

    พงศธรมองตามร่างบางระหงของศรารัตน์ที่เดินจากไปด้วยแววตาอ่อนแสง ทั้งที่ในใจอยากจะหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวให้มากกว่านี้ จะติดก็แต่วิศรุตผู้เป็นพี่ชายที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วยนั่นแหล่ะ ชายหนุ่มเลยแอบถอนหายใจที่พลาดโอกาสทำความรู้จักหญิงสาวที่ตนหมายปองให้มากขึ้นกว่านี้ พงศธรปลอบตัวเองในใจว่าถึงยังไงเมื่อเขามีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบโครงการบ้านจัดสรรนี้ ยังไงก็ต้องมีโอกาสได้เจอกับศรารัตน์อยู่บ่อยๆอย่างแน่นอน

   ทุกกริยาอาการของพงศธรไม่รอดสายตาของวิศรุต ชายหนุ่มแอบลอบมองสายตาของพงศธรตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน สายตาของพงศธรฉายชัดอย่างไม่ปิดบังว่าชายหนุ่มเกิดความรู้สึกพิเศษกับศรารัตน์ ขนาดที่ศรารัตน์เดินหายไปไกลแล้ว พงศธรยังไม่ยอมละสายตาไปจากน้องสาวของเขาเลย  ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของวิศรุตอย่างรวดเร็ว บางทีพงศธรนี่แหล่ะที่เขาจะใช้เป็นเครื่องมือในการแยกศรารัตน์ให้ออกห่างจากนภัทร และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขาก็ย่อมต้องให้ความร่วมมือแน่ ไม่ว่าจะเป็นไปโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม



จบบทที่12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2012 11:28:53 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่13
«ตอบ #34 เมื่อ01-08-2012 11:24:12 »

บทที่ 13


   วันนี้เป็นวันหยุด ในตอนบ่ายวิศรุตใช้เวลาว่างด้วยการตั้งใจไปว่ายน้ำที่สปอร์ตคลับสุดหรูที่ตนเป็นเมมเบอร์อยู่        สปอร์ตคลับแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโดมิเนียมหรูหราย่านใจกลางเมืองที่นับเป็นโครงการหนึ่งของบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวา 

   หลังจากจัดการเรื่องบัตรเมมเบอร์เพื่อเข้าใช้บริการเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไหล่เพื่อตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำเรียบร้อย วิศรุตก็เดินตรงไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของบรรดาพนักงานสปอร์ตคลับสาวๆที่ต่างมองจ้องไปยังรูปร่างอันสวยงามที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของตนด้วยแววตาหลงใหล

   เมื่อหย่อนตัวลงมาบริเวณขอบสระ มือหนาก็สวมแว่นตาว่ายน้ำให้เข้าที่เพื่อเตรียมพร้อม แต่เสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะ ทำให้วิศรุตต้องแหงนหน้ามองผู้มาใหม่

   “มาว่ายน้ำที่นี่บ่อยเหรอ?” นภัทรที่อยู่ในชุดว่ายน้ำกางเกงขาสั้นแบบเดียวกันเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน ตอนนี้คุณหมอหนุ่ม ไม่ได้ใส่แว่นสายตาอีกต่อไป ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เคยคมคายอยู่แล้วกลับยิ่งโดดเด่นมากขึ้นชวนให้หัวใจของวิศรุตเกิดวูบไหวขึ้นมาทันที

   “ก็ไม่บ่อยหรอก นี่ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหลังกลับจากอังกฤษ” วิศรุตตอบคำถามพร้อมกับนภัทรที่หย่อนตัวลงมาในสระน้ำข้างๆกันกับเขา

   “มิน่าล่ะ ถึงไม่ค่อยได้เจอ”

   “มาคนเดียวเหรอ?” นภัทรพยักหน้าก่อนจะถามกลับว่าแล้วอีกฝ่ายล่ะ มากับใครหรือเปล่า

“ฉันก็มาคนเดียวเหมือนกัน ทำไมล่ะ คิดว่าฉันจะมากับยัยศราหรือยังไง?” ประโยคสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ นภัทรและพาดพึงไปถึงน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการศึกษาเอกสารที่เขามอบหมายให้ไปเสียกองโตอยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ

   นภัทรอ่อนใจกับคำพูดคนตรงหน้า หากวันไหนที่เจอหน้ากันแล้ววิศรุตไม่พูดจากระแนะกระแหนเขากับศรารัตน์วันนั้นหิมะก็คงตกแล้วล่ะ

   “ก็แล้วทำไมนายไม่ชวนคุณศรามาด้วยกันกับนายล่ะ?” นภัทรเริ่มยั่วโมโหฝ่ายนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คุณหมอหนุ่มจึงมักจะแอบขำในใจเงียบๆเมื่อได้เห็นท่าทางหวงน้องสาวหรืออะไรก็ไม่ทราบที่วิศรุตแสดงออกมาให้เห็น

   “หึ” วิศรุตแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ดีแล้วล่ะที่วันนี้ไม่นึกชวนยัยศราให้ออกมาด้วยกัน
นภัทรอมยิ้มอย่างนึกรู้ความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในการว่ายน้ำ

   “เรามาว่ายน้ำแข่งกันไหม?” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยท้าขึ้นมา ทำให้นภัทรที่เตรียมออกสตาร์ทต้องหันกลับมามองคนที่เป็นฝ่ายท้าทายเขา

   “แน่ใจว่าจะแข่ง?”
วิศรุตพยักหน้าให้อย่างถือดี แววตาสีน้ำตาลโศกฉายแววรั้นอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“นายคงลืมไปแล้วว่าฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียน”

   “นายอย่าดูถูกให้มากนักเลย กีฬาว่ายน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบแล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย นายเองก็อย่าประมาท
แล้วกัน”

   “ถ้างั้นนายก็เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลย แล้วก็อย่าเป็นพวกแพ้แล้วพาลล่ะ” คำสบประมาทของอีกฝ่ายทำให้วิศรุตเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว

   “แล้วถ้าฉันชนะ นายจะว่ายังไง?”

   “แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะได้อะไรล่ะ?” คำถามย้อนกลับทำเอาวิศรุตตาวาวโรจน์ก่อนสมองจะคิดอะไรบางอย่างออก

   “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครชนะจะต้องเลี้ยงข้าวเย็นอีกฝ่าย ตกลงไหม?” นภัทรรับคำท้าก่อนที่ทั้งคู่จะออกสตาร์ทการแข่งขันว่ายน้ำไปพร้อมๆกัน

   และผลการแข่งขันก็กลายเป็นว่าคนที่ชนะคือนภัทร โดยในตอนแรกทั้งคู่ว่ายตีคู่กันมาแบบสูสี ก่อนที่นภัทรจะเริ่มออกนำในตอนกลางสระและแซงได้ในที่สุดจนเป็นฝ่ายชนะว่ายไปถึงขอบสระอีกด้านหนึ่งก่อน เฉียดชนะวิศรุตไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

   “สรุปว่าฉันชนะนาย” นภัทรยิ้มในหน้าก่อนจะเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

   “ก็แค่ชนะนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

   “แต่ก็ชนะ” นภัทรเน้นเสียงที่คำว่าชนะก่อนจะบอกให้วิศรุตรักษาสัญญาด้วย ที่ว่าใครแพ้จะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเย็นคนที่ชนะ วิศรุตตอบกลับว่าไม่ลืมหรอก ชายหนุ่มมองตามผู้ชนะที่ว่ายน้ำออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ สีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากด้วยความสมใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ สุดท้ายแล้วดินเนอร์คืนนี้เขาก็ได้ทานข้าวกับนภัทรสองต่อสองอยู่ดีนั่นแหล่ะ





   หลังจากว่ายน้ำเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ไปออกกำลังกายในฟิตเนสด้วยกันอีกประมาณสองสามชั่วโมงแล้วจึงเลิก ตอนนี้เป็น ช่วงฤดูหนาว ฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติเล็กน้อย  ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะพานภัทรไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนร้านโปรดของตน แต่พอดีว่านภัทรเองก็ขับรถมาด้วย คงไม่สะดวกที่จะให้นภัทรขับรถตามไปแน่ๆ ดังนั้นวิศรุตจึงตัดปัญหาด้วยการชวนนภัทรดินเนอร์ที่ร้านอาหารของสปอร์ตคลับแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด

   “นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เรากินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้?” นภัทรพูดขึ้นหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว

   “ก็คงอย่างนั้นแหล่ะ” วิศรุตเลี่ยงคำถามด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สีหน้าคนถูกถามเจือแววระเรื่อเล็กน้อย

   ทั้งวิศรุตและนภัทรเงียบไปสักพักอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันถึงขนาดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสนิทใจและก็ไม่ได้ห่างเหินเสียจนเป็นแค่คนรู้จัก ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้จึงออกจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย จนในที่สุดนภัทรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

   “วันนั้นน่ะ...วันสอบวันสุดท้ายก่อนที่นายจะไปอังกฤษ”

วิศรุตชะงักจากการคลึงแก้วในมือเล่นไปมาก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่นภัทรอ่านไม่ออก

“กระดาษแผ่นนั้นที่นายเคยเขียนให้ฉัน ฉันยังเก็บมันเอาไว้อยู่เลย”
คงเป็นกระดาษที่เขาเขียนคำว่าขอโทษแล้วสอดไว้ในหนังสือของนภัทรแน่ๆ วิศรุตนึกในใจ ไม่น่าเชื่อว่านภัทรจะยังเก็บมันไว้ทั้งที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องขยำมันทิ้งอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น

   “นายยังเก็บมันไว้อยู่อีกเหรอ?” นภัทรพยักหน้าแล้วพูดต่อ

   “หลังจากที่ได้อ่านกระดาษแผ่นนั้น ฉันก็พยายามวิ่งหานายไปทั่วโรงเรียนเลย แต่ก็ไม่ทันเพราะว่านายขึ้นรถไปแล้ว”

   “นี่นายยังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อนอีกเหรอ?” วิศรุตกลั้นใจถาม

   “แล้วนายล่ะ ลืมไปแล้วหรือยัง?” นภัทรสบตาสีน้ำตาลโศกของคนตรงหน้าแล้วถามกลับคำถามเดิม วิศรุตสูดลม หายใจลึกก่อนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกระซิบ

   “ฉันพยายามลืมแล้ว แต่ทำยังไงก็ยังลืมไม่ได้เสียที”

   “นี่คงเป็นเหตุผลที่นายพยายามหลบหน้าฉันมาตลอด รวมถึงการแกล้งว่าไม่รู้จักและพวกคำพูดที่คอยแดกดันฉันกับคุณศราอยู่เสมอๆสินะ”

เสียงหึในลำคอของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าตนเดาถูก คุณหมอหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับชายหนุ่มตรงหน้า เพราะถึงอย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่อาจตอบสนองความรักอย่างที่วิศรุตต้องการได้ แต่อย่างน้อยเขากับคนตรงหน้าก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา

   และแล้วบรรยากาศอาหารค่ำในวันนี้ก็กลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ทานอาหารกันโดยไร้ซึ่งการสนทนาใดๆ เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องราวที่ยังค้างคาในใจอยู่

   หลังจากทานอาหารเสร็จ วิศรุตและนภัทรเดินเคียงกันออกมายังลานจอดรถของสปอร์ตคลับ จากนั้นวิศรุตก็ทำท่าจะแยกไปยังบริเวณที่ตนจอดรถเอาไว้ แต่นภัทรเรียกเอาไว้ก่อนซึ่งคนที่ถูกเรียกก็ชะงักฝีเท้าไว้แล้วหันกลับมามองอีกฝ่าย

   “มีอะไรเหรอ?”

   “ฉันแค่จะบอกว่า ที่ฉันวิ่งตามหานายไปทั่วโรงเรียนแบบนั้นเป็นเพราะฉันเองก็มีบางอย่างจะพูดกับนายเหมือนกัน” นภัทรเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาช้าๆทว่าน้ำเสียงมั่นคง “ฉันยกโทษให้นายแล้ววิศรุต”

   สมองของวิศรุตมึนตื้อไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “นายยกโทษให้ฉันแล้วจริงๆเหรอ?” นภัทรพยักหน้า แต่แล้วคำพูดถัดมาก็ทำเอาวิศรุตต้องยิ้มค้าง

   “ฉันยกโทษให้เพราะอยากจะลืมเรื่องในอดีตเกี่ยวกับนายให้หมดยังไงล่ะ นายจะได้ไม่เหลือตัวตนอยู่ในความทรงจำของฉันอีกต่อไป” คำพูดเรียบนิ่งของนภัทรเป็นเสมือนมีดที่กรีดให้หัวใจของวิศรุตเป็นแผลเหวอะขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนนึกสมเพชตัวเองว่าไม่ควรไปหวังอะไรลมๆแล้งๆจากคนใจร้ายอย่างนภัทร วิศรุตพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถที่จอดอยู่อย่างช้าๆ

   “ฉันต้องการให้สมองฉันลบความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายไปให้หมด เพื่อที่ว่าพอได้มาเจอกันอีกครั้ง เราสองคนจะได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ตั้งแต่แรก” คำพูดที่ดังเข้าโสตประสาททำให้วิศรุตชะงักกึกอีกรอบ นี่เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม? คราวนี้นภัทรไม่ได้ล้อเขาเล่นอีกแล้วใช่ไหม?

 วิศรุตเหลือบตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องลึกลงไปอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีถ่านของฝ่ายนั้น

   “คราวนี้นายไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?” นภัทรยิ้มกว้างไม่ยอมตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้าคนถาม

   “สวัสดีครับ ผมชื่อนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณวิศรุต ทัดเทวา”





   คืนนี้วิศรุตจึงขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีผิดปกติ แม้ว่าตอนนี้นภัทรจะยังไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้นึกเกลียดเขาแบบอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว ความกังวลในใจเริ่มคลายตัวลง และเมื่อชายหนุ่มคิดถึงคำพูดของนภัทรที่ลานจอดรถสปอร์ตคลับเมื่อครู่ก็อดอมยิ้มบางๆกับตัวเองไม่ได้

   เมื่อกลับมาถึงบ้านทัดเทวา วิศรุตจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาอิงอรเพื่อขอให้เลขาติดต่อเรื่องบางอย่างให้ตนเองพร้อมกับต้องการจะกำชับเรื่องเอกสารโครงการที่เขากำลังดูแลอยู่ด้วย

   “สวัสดีครับคุณอิงอร ผมโทรมากวนคุณหรือเปล่าครับเนี่ย?” วิศรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะโทรมารบกวนการพักผ่อนของคู่สนทนาหรือเปล่า เมื่อปลายสายปฎิเสธว่าไม่รบกวนเพราะเธอยังไม่ได้เข้านอน วิศรุตจึงพูดเข้าเรื่องถึงจุดประสงค์ที่โทรไปทันที “คือว่าผมอยากให้คุณอิงอรช่วยสั่งคนให้จัดการเรื่องคอนโดให้หน่อยน่ะครับ ผมต้องการเปิดห้องที่คอนโดแถวๆสาทร ไอ้คอนโดที่เป็นหนึ่งในสี่โครงการใหญ่ของทัดเทวานั่นแหล่ะครับ ใช่ครับ ขอบคุณมาก”

หลังจากจัดการบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้วและอิงอรตอบกลับมาว่าตนจะรีบติดต่อให้ทันที  เจ้านายหนุ่มก็วกกลับเข้ามาเรื่องงานต่อ “ส่วนเอกสารเกี่ยวกับโครงการใหม่ทั้งหมด พรุ่งนี้รบกวนคุณอิงอรเอามาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยนะครับ ผมอยากจะดูความคืบหน้าว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว” วิศรุตสั่งงานอีกสองสามอย่างก่อนจะวางสายไป พอดีกับที่ศรารัตน์มาเคาะประตูห้องของเขา

   “เข้ามาสิ” เมื่อเจ้าของห้องอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์ก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารกองโต

   “ฉันอ่านเอกสารพวกนี้จบแล้ว” หญิงสาวเอาแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของวิศรุตก่อนจะหันมาพูด “เท่าที่ฉันอ่านพวกเอกสารประเมินโครงการดูแล้วก็คิดว่าโอเคเลยนะ โครงการนี้ก็น่าจะไปได้สวยอย่างที่นายหวังเอาไว้”

   “เธออ่านรายงานงบประมาณจากฝ่ายการเงินที่ภาคินเสนอมาให้หรือยัง?” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเธอเห็นงบที่ว่านั้นแล้ว

“คิดว่าไงบ้าง?” วิศรุตถามต่อ

   “ฉันว่าตัวเลขมันดูแปลกๆพิกลนะ ดูจะเกินจริงยังไงก็ไม่รู้ หรือนายคิดว่า...” วิศรุตพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ศรารัตน์คิด ก่อนหน้าที่จะเอาเอกสารทั้งหมดให้ศรารัตน์ ชายหนุ่มลองอ่านมาหมดแล้ว ก่อนจะมาสะดุดที่รายงานงบการเงินของโครงการนี่แหล่ะ เขาก็เลยอยากฟังความเห็นของศรารัตน์ในฐานะที่หญิงสาวผ่านงานแนวนี้มามากกว่าเขา

   “ฉันก็ว่าตัวเลขมันดูสูงไป ค่าวัสดุก็แพงจนโอเวอร์ทั้งๆที่เทียบกับโครงการอื่นๆที่ใช้วัสดุแบบเดียวกัน”

   “นายกำลังคิดว่าภาคินแอบตกแต่งงบใหม่เพื่อยักยอกเงินบริษัทงั้นเหรอ?”

   “ฉันถึงอยากให้เธอคอยจับตาดูไอ้ภาคินให้ดี ถ้ามันโกงบริษัทจริงๆ ฉันไม่เอามันไว้แน่” วิศรุตหมายความอย่างที่พูด เพราะหากภาคินทำผิดและเขาสามารถหาหลักฐานมามัดตัวฝ่ายนั้นได้แล้วล่ะก็ เขาจะจัดการกับทายาทนอกสายเลือดอย่างภาคินโดยไม่ไว้หน้าใครเลยคอยดู แม้แต่คุณอาวันชัยก็ตาม





   เมื่อวิศรุตมาทำงานในตอนเช้า ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ข่าวจากพนักงานในบริษัทว่าคุณอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างแรงเมื่อเช้านี้ขณะจะเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติ วิศรุตใจหายวูบเพราะเมื่อคืนนี้ยังได้คุยกับอิงอรอยู่เลย ไม่นึกว่าเช้ามาเลขาของเขาจะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสเสียแล้ว

   วิศรุตจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการไปตรวจไซส์งานในตอนบ่ายเพื่อไปเยี่ยมอิงอรที่โรงพยาบาลแทน เมื่อชายหนุ่มไปถึง อิงอรก็ถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้วแต่เลขาคนเก่งก็ยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นเมื่อวิศรุตไปเยี่ยม เธอจึงยังไม่ฟื้น พบเพียงแต่สามีของเธอที่นั่งเฝ้าอาการภรรยาอยู่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น

   “อรเค้ายังไม่ฟื้นเลยครับคุณวิศรุต” ธนินทร์ผู้เป็นสามีบอกหลังจากที่วิศรุตแนะนำตัวเองเรียบร้อยแล้วโดยการบอกว่าเขาเป็นเจ้านายของอิงอร

   “แล้วทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ละครับเนี่ย?”

   “รู้สึกว่ารถของอรจะชนเข้ากับรถสิบล้ออย่างแรงเลยล่ะครับ ตอนนั้นอรคงขับเร็วมากจนเมื่อเบรคกะทันหันก็เลยเสียหลักรถพลิกคว่ำ” วิศรุตมองผ้าพันแผลรอบตัว กระดูกขาที่ต้องดามเฝือกและใบหน้าฟกช้ำของอิงอรแล้วถอนหายใจบาง ดูท่า
คงจะต้องพักงานเป็นเดือนแน่ๆ

   “คุณธนินทร์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ เพราะทางบริษัทเรามีเรื่องสวัสดิการการประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงานด้วย เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เอง” ธนินทร์กล่าวขอบคุณในน้ำใจของเจ้านายภรรยาตน ก่อนที่วิศรุตจะขอตัวกลับ หลังจากที่มาเยี่ยมได้สักพัก

   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลก่อนจะเจอกับนภัทรที่เดินสวนมาอย่างบังเอิญ  ชายหนุ่มมัวแต่คิดเรื่องอุบัติเหตุของอิงอรจนลืมไปเสียสนิทว่านภัทรเป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย

   “มาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามาเยี่ยมใครหรือเปล่า?” นภัทรเป็นฝ่ายทักขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กัน

   “พอดีว่าฉันมาเยี่ยมเลขาน่ะ เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเช้านี้เอง” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะทำสีหน้าโล่งใจแล้วบอกว่าตอนแรกคิดว่าวิศรุตป่วยเป็นอะไรถึงต้องมาที่โรงพยาบาล แต่ในเมื่อวิศรุตไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว “นายเป็นห่วงฉันเหรอ?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบแต่คนถูกถามกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆโดยไม่พูดอะไร

   “แล้วนี่นายจะกลับแล้วเหรอ?” วิศรุตพยักหน้าแล้วบอกว่าเขามีงานค้างอยู่ต้องรีบกลับไปทำต่อ นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูด “นี่ฉันกำลังจะออกเวรพอดี ว่าจะชวนนายไปดื่มกาแฟเสียหน่อย แต่ถ้านายกำลังยุ่งก็ไม่เป็นไร” นี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเอ่ยปากชวนวิศรุตก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ อย่าหวังไปเลยที่อีกฝ่ายจะมาญาติดีกับเขาด้วย แต่ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และนภัทรก็ยอมให้อภัยกับเรื่องในอดีตของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเป็นไปในแง่ที่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยทีเดียว

   “เอาสิ ฉันไปดื่มกาแฟกับนายก็ได้” วิศรุตตอบโดยไม่ต้องคิด ชายหนุ่มไม่อยากพลาดโอกาสนี้จึงรีบตอบตกลงทันที

   “อ้าว ไหนว่าต้องรีบกลับไปเคลียร์งานต่อไง” คุณหมอหนุ่มเริ่มงงกับคำพูดกลับไปกลับมาของคนตรงหน้า

   “งานน่ะปล่อยไว้ก่อนก็ได้ ยังไงบริษัทก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดีนั่นแหล่ะ อีกอย่างนายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นประธานบริษัทนะ ใครจะกล้ามาออกคำสั่งกับฉันได้” นภัทรหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินนำวิศรุตไปยังร้านคอฟฟี่ช็อฟของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก





   ด้วยความที่คุณอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่แรมเดือนประกอบกับการคะยั้นคะยอบ่อยครั้งของวันชัยทำให้วิศรุตตัดสินใจรับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาส่วนตัวของเขาชั่วคราวแทนตำแหน่งของคุณอิงอร แม้ในใจจะไม่อยากรับเมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้เท่าใดนัก แต่งานและโครงการที่เขารับผิดชอบนั้นก็ต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าวิศรุตจะค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าเมริษาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ต้องการจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาของเขาเพียงอย่างเดียวแน่   

   เมื่อวิศรุตเอาเรื่องนี้มาเล่าให้กับภาณุฟัง เพื่อนสนิทของเขากลับมีความเห็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง

   “แล้วแกจะรับยัยเมริษาอะไรนั่นมาเป็นเลขาทำไมวะ? คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทั้งๆที่รู้ว่ายัยนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงในการเข้ามาทำงานกับแก ก็ยังจะไปรับเค้าเข้าทำงานอีก” ภาณุไม่เข้าใจความคิดของวิศรุตเลยจริงๆ นี่เพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไปรับคนของวันชัยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวแบบนี้

   “ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอก แต่คุณอามาคอยตื้อตอแยเรื่องเมริษาบ่อยๆจนฉันรำคาญว่ะ อีกอย่างถ้าคิดในแง่ดีนะเว้ย ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของเค้า เอาให้มาทำงานใกล้ๆตัวน่ะดีแล้วจะได้จับตาดูได้อย่างถนัดหน่อย”

   “ว่าแต่ยัยคุณเมริษาเนี่ย...สวยรึเปล่า?” สายตาของภาณุเปลี่ยนเป็นกลุ้มกริ่มทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง วิศรุตยิ้มเหยียดก่อนจะยอมรับว่าเมริษาทั้งสวยและฉลาด แต่ผู้หญิงแบบนี้ดูจะอันตรายพอสมควร

   “นั่นแน่ะไอ้โอม แกสนใจล่ะสิ”

ภาณุยักไหล่ไม่ตอบ ในใจก็คิดว่าสักวันเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บริษัทบ้างแล้วจะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเลขาคนใหม่ของวิศรุตแล้วก็พิสูจน์ว่าเธอสวยและฉลาดสมคำกล่าวอ้างของคนตรงหน้าหรือเปล่า





   “แกให้คนไปจัดการกับนังเลขานั่นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” วันชัยถามเสียงเย็นก่อนภาคินจะรับคำ

   “ตอนนี้ผมให้พวกมันหลบหน้าตำรวจไปก่อนสักพัก พอจัดการให้เรื่องเงียบแล้วค่อยติดต่อมาใหม่” วันชัยสำทับอีกครั้งว่าอย่าให้พวกมันซัดทอดมาถึงเขาและภาคินได้ ซึ่งภาคินเองก็บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงเพราะลูกน้องที่เขาจ้างมาแต่ละคนไว้ใจได้ทั้งนั้น

   “ว่าแต่ไอ้วินมันตกลงให้เมไปทำงานเป็นเลขามันแล้วใช่ไหมครับพ่อ?” วันชัยพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้ภาคินติดต่อบอกเรื่องนี้กับเมริษาทันที เขาต้องการให้เมริษาเข้าไปสืบความลับเรื่องโครงการใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่ว่าเขาจะได้วางแผนหาโอกาสทำลายความน่าเชื่อถือของวิศรุตต่อกรรมการบริหารทั้งหมดให้เร็วที่สุด ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ บริษัททัดเทวายิ่งจะกลายมาเป็นของเขาเร็วเท่านั้น วันชัยจุดยิ้มที่มุมปากแววตามาดร้าย




จบบทที่13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2012 11:29:14 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่14
«ตอบ #35 เมื่อ01-08-2012 11:27:54 »

บทที่ 14


โครงการบ้านจัดสรรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว หลังจากที่ให้ทีมสถาปนิคแก้แปลนไปหลายครั้งจนในที่สุดแบบก็เสร็จเรียบร้อย วิศรุตจึงสั่งให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที ชายหนุ่มมักจะมาคุมงานด้วยตัวเองเสมอเพราะไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด หากแต่วันนี้ชายหนุ่มมีนัดเจรจางานกับลูกค้าระดับสูงของบริษัท จึงมาคุมงานด้วยตัวเองไม่ได้ เขาจึงสั่งให้ศรารัตน์มาคุมงานให้แทน ซึ่งตอนแรกศรารัตน์ก็อิดออดไม่อยากมาเพราะหญิงสาวบอกว่าตอนบ่ายเธอติดธุระต้องไปข้างนอก แต่วิศรุตก็เดาได้อยู่ดีว่าเธอจะต้องไปหานภัทรแน่ๆ ชายหนุ่มจึงใช้ตำแหน่งประธานบริษัทสั่งงานทำให้หญิงสาวไม่อาจปฎิเสธได้เลย

เมื่อมาถึงไซส์งานก่อสร้าง ศรารัตน์เห็นพงศธรกำลังคุมงานอยู่จึงจอดรถเอาไว้ข้างทางแล้วเดินตรงเข้าไปทักวิศวกรหนุ่ม

“สวัสดีค่ะคุณพงศธร” พงศธรหันมาตามเสียงเรียกก่อนแววตาจะเป็นประกายด้วยความยินดีที่ได้เจอศรารัตน์อีกครั้ง

“สวัสดีครับคุณศรารัตน์ วันนี้มาคุมด้วยตัวเองเลยเหรอครับเนี่ย?” พงศธรถามเพราะปกติหญิงสาวจะมาพร้อมกับวิศรุต ไม่ก็วิศรุตมาคุมงานเพียงคนเดียว ชายหนุ่มคิดว่าเขาจะไม่มีโอกาสเจอหน้าศรารัตน์เสียแล้ว เพราะลำพังหากให้เขาหาเรื่องไปเจอเธอที่บริษัท เขาก็ไม่รู้จะยกเรื่องอะไรไปอ้างดีเพราะเขากับหญิงสาวเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้นเสียหน่อย

“วันนี้ฉันมาคนเดียวน่ะค่ะ พอดีวินเค้าติดธุระก็เลยฝากให้ฉันมาดูแลแทน เอ้อ คุณพงศธรเรียกฉันว่าศราก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มก็ได้ มันดูเป็นทางการไปน่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มให้พงศธรอย่างอัธยาศัยดี หญิงสาวอนุญาตให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร ผู้ชายที่เธอแอบหลงรัก

“ถ้าอย่างนั้นคุณศรารัตน์ เอ้อ คุณศรา ก็เรียกผมว่าพงษ์ก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มตอบแบบเขินๆ ในขณะที่
ศรารัตน์เองก็อดหัวเราะกับท่าทางคนตรงหน้าไม่ได้ เขาจะเขินอะไรเธอนักหนา

   “ได้ค่ะ คุณพงษ์” ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กันก่อนที่ศรารัตน์จะขอตัวไปตรวจงานรอบๆก่อน ซึ่งพงศธรก็อาสาพาไปเองด้วยความเต็มใจ

   “ตอนนี้เรากำลังวางโครงของอาคารอยู่ครับ คิดว่าไม่เกินอาทิตย์นี้คงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนทางด้านนั้นผมกำลังให้คนงานปรับพื้นดินใหม่อยู่ คิดว่าจะราดยางทำเป็นถนนเส้นใหม่เลยครับ” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ก่อนมือเรียวที่ถือปากกาอยู่จะทยอยจดความคืบหน้าของโครงการลงไปในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่ถือติดมือมาด้วย

   “แล้วพวกวัสดุล่ะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? เห็นวินบอกว่าวัสดุที่ส่งมาเมื่อล็อตเก่ามีปัญหาทำให้ต้องส่งคืนบริษัทเกือบทั้งล็อตเลย” ศรารัตน์หมายถึงวัสดุที่ทางโรงงานส่งมาให้ผิดสเป็คจนวิศรุตต้องส่งกลับคืนเพราะไม่ได้ของตามที่ต้องการ และยิ่งจะส่งผลให้โครงการต้องหยุดชะงักเพราะปัญหาด้านขาดวัสดุ

   พงศธรตอบว่าหากมีการอนุมัติงบเรื่องค่าวัสดุให้เร็วกว่านี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรและคงไม่กระเทือนกับโครงการ
มากนักซึ่งศรารัตน์ก็บอกว่าเดี๋ยวตนจะเข้าไปดูเรื่องงบค่าวัสดุให้อีกทีหนึ่ง

   ทั้งคู่เดินตรวจงานไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินมาถึงเขตก่อสร้างอันตราย พงศธรอธิบายความคืบหน้าของงานให้
ศรารัตน์ฟังไปเรื่อยๆ ซึ่งหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาจดอย่างขะมักเขม้นจนไม่ได้ระวังตัวเลยว่าเธอกำลังอยู่ในรัศมีของไม้คานขนาดใหญ่ที่เคลื่อนหลุดจากโครงและกำลังตกลงมายังที่ที่เธอกำลังยืนคุยงานกับพงศธรอยู่ แต่คนที่เห็นกลับเป็นพงศธร ด้วยอารมณ์ตกใจตามสัญชาตญาณทำให้พงศธรใช้มือผลักศรารัตน์แล้วโถมตัวใช้ร่างกายเข้าไปบังร่างเธอให้พ้นจากตรงนั้น จนทั้งคู่ล้มกลิ้งตัวไปยังอีกด้านหนึ่งจนพ้นรัศมีของไม้คานที่ตกลงมาเสียงดังสนั่น

   ‘ปังงงงง’

เสียงไม้คานขนาดใหญ่ตกกระทบพื้น แต่พงศธรเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น ชายหนุ่มมัวแต่เผลอเพ่งพิศดวงหน้าสวยหวานของร่างบอบบางในอ้อมแขนเขา ดวงตาสีนิลสบประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ที่มองตอบกลับมาด้วยประกายตาแปลกๆเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวเมื่อเหล่าคนงานส่งเสียงเอะอะและมีคนงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามพงศธรกับศรารัตน์ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?

   โชคดีที่ศรารัตน์ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะพงศธรเป็นฝ่ายเอาตัวเข้ามาบังเธอไว้ทำให้รอดจากการที่ไม้คานตกใส่ศีรษะอย่างเฉียดฉิว ส่วนพงศธรก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไรเพียงแต่มีแผลถลอกตามแขนจากการล้มกลิ้งไปตามพื้นคอนกรีตเท่านั้น  หัวหน้าโฟร์แมนที่คุมงานอยู่ก็รีบวิ่งมาขอโทษขอโพยกับศรารัตน์และพงศธรเป็นการใหญ่ที่คนงานสะเพร่าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนเกือบจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ พร้อมกับบอกว่าจะต่อว่าและตัดเงินคนงานที่สะเพร่าให้หมดทุกคน

   “เอาเถอะ ไหนๆฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร คุณพงษ์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แล้วกันไปเถอะ แต่ทีหน้าทีหลังก็กำชับเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดหน่อยแล้วกัน ไม่ต้องถึงขนาดตัดเงินเดือนหรอก” ศรารัตน์พูดไปด้วยความสงสาร หากคนงานโดนตัดเงินเดือนจนหมดแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงปากท้อง ดังนั้นหญิงสาวจึงแค่ขอให้ตักเตือนไม่ต้องถึงขนาดลงโทษคนงานเหล่านั้น

   พงศธรมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความพิศวง ตอนแรกเขานึกว่าเธอจะต้องโวยวายเป็นคุณหนูเรียกร้องให้พวกคนงานรับผิดชอบเสียแล้วโทษฐานที่ทำให้เธอเกือบได้รับอันตราย แต่ที่ไหนได้เธอกลับบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยังห่วงกลัวว่าพวกคนงานจะถูกตัดเงินเดือนเสียอีก ผู้หญิงคนนี้จิตใจงดงามเหมือนอย่างหน้าตาจริงๆ พงศธรคิดในใจอย่างชื่นชม

   “เดี๋ยวนายไปหาพวกอุปกรณ์ทำแผลมานะ คุณพงษ์เค้ามีแผลถลอกที่แขน เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้เค้าเอง” หัวหน้าคนงานรับคำก่อนจะรีบวิ่งไปหากล่องอุปกรณ์ทำแผลมาให้ตามความต้องการของศรารัตน์โดยไม่รอช้า

   “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า ลำบากคุณศราเปล่าๆ” พงศธรพยายามปฎิเสธเพราะเกรงใจศรารัตน์

   “ได้ยังไงล่ะคะ ที่คุณพงษ์บาดเจ็บก็เป็นเพราะฉัน ถ้าไม่ได้คุณพงษ์ช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงต้องไปนอนเดี้ยงอยู่ที่โรงพยาบาลอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ให้ฉันทำแผลให้เถอะนะคะ” ในที่สุดพงศธรก็ทนแรงคะยั้นคะยอของศรารัตน์ไม่ไหวจึงยอมให้หญิงสาวทำแผลให้แต่โดยดี พลางคิดในใจว่าเจ็บตัวแค่นี้แต่แลกกับการได้ใกล้ชิดผู้หญิงในดวงใจอย่างศรารัตน์ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม





   เพื่อเป็นการตอบแทนที่พงศธรช่วยเธอเอาไว้ ศรารัตน์จึงขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำพงศธร ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ปฎิเสธ แต่อย่างใด ดังนั้นศรารัตน์จึงขับรถพาพงศธรมายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งย่านชานเมือง

   “ที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยนะครับเนี่ย” พงศธรพูดพลางมอบไปรอบๆตัวอย่างสนใจ
ร้านนี้ตกแต่งแบบบรรยากาศสไตล์คันทรี่ ห้องอาหารอยู่ในตัวบ้านแบบโรมัน แถมรอบนอกร้านยังเป็นสระน้ำขนาดเล็กและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อมที่เจ้าของร้านปลูกเอาไว้อีกด้วย

   “ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารของเพื่อนฉันเอง บรรยากาศดีมาก ฉันก็เลยคิดว่าคุณพงษ์คงชอบน่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มให้คู่สนทนาก่อนจะเดินนำพงศธรไปยังห้องอาหารด้านใน

   หลังจากที่สั่งเสร็จแล้ว ระหว่างรอพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พงศธรก็เป็นฝ่ายชวนศรารัตน์คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ตามประสาคนอัธยาศัยดีซึ่งศรารัตน์ก็พูดคุยกับชายหนุ่มอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้ถือตัวว่าเธอเองมีตำแหน่งเป็นเจ้านายของพงศธร

   “เอ้อ ว่าจะถามคุณพงษ์ตั้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นไงมาไงวินถึงชวนมาทำงานด้วยกันที่ทัดเทวาได้คะเนี่ย?”

   “อ้อ พอดีว่าผมเคยรู้จักกับคุณวินมาก่อนหน้านั้นตั้งนานน่ะครับ คุณวินก็เลยชวนมาทำงานที่นี่” พงศธรเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าวิศรุตไม่อยากให้ศรารัตน์รู้ว่าตัวเองเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขากับนภัทร

   แม้ว่าจะสะดุดใจกับคำตอบของพงศธร แต่ศรารัตน์ก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ ถ้าหากเป็นแบบที่พงศธรพูดจริง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ในเมื่อวิศรุตรู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้ตั้งนาน แล้วจะเป็นไปได้เหรอที่วิศรุตจะไม่รู้จักกับนภัทรที่เป็นเพื่อนสนิทของพงศธร หรือว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่วิศรุตเลือกที่จะปิดบังเธอ ซึ่งเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่

   “คุณศราเหม่ออะไรเหรอครับ” พงศธรถามเพราะเห็นว่าศรารัตน์นั่งเงียบไปนาน เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

   “เอ้อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าทำไมวันนี้อาหารนานจัง ฉันกลัวว่าคุณพงษ์จะหิวก่อนน่ะสิคะ” ศรารัตน์แก้ตัวก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มแย้มไม่ให้พงศธรสงสัย พร้อมๆกับที่พนักงานยกอาหารหน้าตาหน้าทานมาเสริ์ฟให้พอดี หญิงสาวจึงชวนให้พงศธรลองชิมดูด้วยการตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่าย

   การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของวิศรุตที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน ชายหนุ่มมองศรารัตน์กับพงศธรที่ผลัดกันตักอาหารใส่จานให้กันด้วยแแววตาเป็นประกาย ความสัมพันธ์ของพงศธรกับศรารัตน์คืบหน้าไปไวกว่าที่เขาตั้งใจให้เป็นมาก แต่อย่างนี้ก็ถือเป็นการดีกับเขาเองเช่นกัน ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไรถ้าหากพงศธรจะเลื่อนระดับจากลูกน้องมาเป็นน้องเขยของเขา วิศรุตคิดในใจว่าน้องเขยของเขาจะเป็นใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่นภัทร คนที่เขาหมายปองคนนั้นอย่างเด็ดขาด

   “มองอะไรเหรอคะพี่วิน?” เมริษาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวแล้วถามเมื่อเห็นว่าวิศรุตกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่

   หลังจากคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้ว เธอก็ชวนเขามาทานข้าวเย็นด้วยกันโดยอ้างว่าเธอเริ่มหิวแล้ว ทั้งที่จุดประสงค์จริงๆของเธอคือต้องการหาเรื่องใกล้ชิดแบบสองต่อสองกับวิศรุต เพื่อที่ว่าเธอจะได้แสดงมารยาใช้เสน่ห์อ่อยชายหนุ่มได้อย่างเต็มที่

   “ตกลงว่าพี่วินมองอะไรกันแน่คะ? หรือว่าเจอคนรู้จัก” เมริษาหันหลังกลับไปมองตามสายตาของวิศรุต แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พงศธรที่นั่งหันหลังให้โต๊ะของเขาขยับเก้าอี้พอดี เมริษาจึงไม่ทันได้เห็นว่าศรารัตน์ก็มาทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

   “เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก แค่เมื่อกี้เหมือนเจอคนรู้จักแค่นั้นเอง แต่มองดีๆแล้วก็ไม่ใช่” วิศรุตแกล้งยิ้มหวานให้หญิงสาวตรงหน้าแบบไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจแอบเบื่อหน่ายกับการชอบสอดรู้สอดเห็นและจ้องจับผิดอย่างแนบเนียนของเมริษา นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ยอมให้หญิงสาวตรงหน้ามาทำหน้าที่เลขาส่วนตัวของเขาแทนคุณอิงอร





   “อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก? แม่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถเลย” รัญญาเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก มืออูมของหญิงสาวสูงวัยหยุดชะงักจากการปักผ้าเช็ดหน้าแล้วหันมาสนใจผู้มาใหม่แทน “ทานอะไรมาหรือยังลูก? เดี๋ยวแม่เข้าไปหาอะไรให้ทานในครัว”

   “ไม่ต้องหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมจัดการเอง แม่ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ” นภัทรบอกเพราะเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เขากลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล หมู่นี้คุณรัญญาสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงไม่อยากให้มารดามาเสียเวลารอเขาดึกๆดื่นๆแบบนี้อีก เขาอยากให้ผู้เป็นแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่า

   “เอางั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรก็เรียกแม่แล้วกันนะ เดี๋ยวแม่จะขึ้นข้างบนก่อนแล้ว” รัญญาพูดย้ำกับนภัทรเรื่องตรวจตรา
ปิดประตูบ้านและล็อครั้วให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องด้านบน

   หลังจากนภัทรจัดการหาอะไรทานเป็นอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินตัดผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านเพื่อตั้งใจจะไปปิดประตูรั้ว แต่ดวงตาสีถ่านกลับหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ใกล้ๆริมรั้วด้านนอก ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพลางฉวยท่อนไม้ขนาดกระชับมือที่อยู่แถวนั้นแล้วค่อยๆเดินไปที่ประตูรั้ว

   “ใครน่ะ?” นภัทรส่งเสียงถามออกไป สักพักกลับได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมาในความมืด

   “ฉันเอง” นภัทรเพ่งมองไปทางต้นเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนข้างแรม ท้องฟ้าจึงค่อนข้างมืดสนิท ชายหนุ่มจึงไม่เห็นว่ามีใครอีกคนยืนพิงกำแพงติดรั้วบ้านของเขาอยู่จนกระทั่งฝ่ายนั้นก้าวออกมาจากความมืด ไฟข้างถนนในซอยหมู่บ้านส่องกระทบใบหน้าผู้มาเยือนก่อนที่นภัทรจะอุทานออกมาเบาๆเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาในเวลาแบบนี้

   “วิศรุต” นภัทรลดไม้ในมือลงเมื่อเห็นว่าคนที่มายืนลับๆล่อๆคือวิศรุตนั่นเอง

   “ขอโทษด้วยที่มาดึกขนาดนี้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนนาย” วิศรุตยืดตัวตรงก่อนหันมาประจันหน้ากับนภัทร ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลุ่มลึก

   “นายมีอะไรหรือเปล่า? มาซะดึกขนาดนี้เลย ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นพวกโจรเสียอีก”

   “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่...นึกอยากเห็นหน้านายเท่านั้นเอง” นภัทรรู้สึกไหววูบแปลกๆในใจกับคำพูดแบบเถรตรงของฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มหลบสายตาสีน้ำตาลโศกที่จ้องมองมายังเขาก่อนจะพูดแก้เก้อ

   “ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่นา กลับไปได้แล้วล่ะ ขับรถกลับมืดๆเดี๋ยวจะอันตรายเปล่าๆ” วิศรุตจุดยิ้มมุมปากก่อนพูดขึ้นมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเป็นห่วงตัวเขา

   “ฉันพูดเมื่อไหร่กันว่าฉันเป็นห่วงนาย” นภัทรผินหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้วิศรุตจับได้ว่าตัวเองกำลังหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาไม่สมควรจะมีความรู้สึกแบบนี้กับวิศรุตเลย มันเป็นอาการแปลกๆเฉพาะยามเมื่อเผชิญหน้ากับวิศรุตเท่านั้น...บางสิ่งบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเข้าใจ

   “เอาเถอะ ถือว่านายไม่ได้พูดก็เลยแล้ว ฉันคงหูฝาดไปเอง” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนบอกให้นภัทรเข้าบ้านไปได้แล้วเพราะเขาเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน

   “ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดีๆแล้วกันนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยลาก่อนขอตัวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพราะขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงไม่สามารถควบคุมอะไรบางอย่างที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจได้

   “นภัทร” เสียงที่เรียกด้านหลังรั้งให้นภัทรต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองคนเรียกอีกครั้ง

   “มีอะไรอีกเหรอ?”

   “นายเองก็รู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย แต่ถ้านายไม่ได้คิดอะไร...ทำไมถึงยังมาทำดีกับฉันอีกล่ะ?” ดวงตาสีน้ำตาลโศก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาความจริงที่อยู่ภายใต้ดวงตาสีถ่านคู่นั้น เขาอยากรู้ว่านภัทรกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เคยนึกชอบเขา แล้วจะมาให้ความหวังด้วยการทำดีกับเขาทำไม ทำไมไม่กลับไปเกลียดขี้หน้ากันแบบเมื่อตอนสมัยเรียนล่ะ ที่นภัทรกำลังทำอยู่มันคืออะไรกันแน่?

   “เพราะว่า...เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ” คำตอบจากปากของนภัทรกลับเป็นคำตอบที่เสียดแทงใจคนฟังอย่างรุนแรง วิศรุตยิ้มเศร้าก่อนจะหันหน้าแล้วเดินไปจากตรงนั้น เขาไม่ควรจะหวังให้เกินจริงเลยเพราะยิ่งหวังมากเท่าไหร่ ถ้าหากว่าผิดหวังก็ยิ่งต้องเจ็บปวดมากกว่านั้นหลายเท่าตัว ในใจนภัทรคิดกับเขาแค่‘เพื่อน’เท่านั้น จะมีสักวันไหมนะที่ฝ่ายนั้นจะคิดกับเขามากเกินกว่าคำว่าเพื่อน จะมีสักวันไหมที่นภัทรจะตอบสนองความรักของเขาในแบบที่เขาต้องการจากฝ่ายนั้นมาตลอดเวลาสิบสามปีเต็ม

   นภัทรมองตามหลังวิศรุตที่ค่อยๆเดินจากไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคำตอบที่บอกวิศรุตไปเมื่อครู่นั้นมันคือความจริง เรื่องระหว่างเขากับฝ่ายนั้นมันเป็นเรื่องวิปริตผิดธรรมชาติและมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น เขาให้วิศรุตได้เพียงแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นคือเขาไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้จริงๆ คุณหมอหนุ่มพร่ำเน้นย้ำกับตัวเองเพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะเผลอไผลหลงไปกับความรู้สึกพิเศษลึกๆที่อยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจก็เป็นได้


...เราไม่น่าจะมาเจอกันอีกเลย...



จบบทที่14

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่15
«ตอบ #36 เมื่อ01-08-2012 11:38:50 »

บทที่ 15


   ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าจอต้องขมวดคิ้วมุ่นจนคิ้วเรียวงามแถบจะติดเชื่อมเป็นเส้นเดียวกัน ข้อมูลที่ศรารัตน์กำลังพิจารณาอยู่นี้เป็นงบเบิกจ่ายสำหรับโปรเจคโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวาที่เธอขอมาจากฝ่ายการเงิน เมื่อเช้านี้ศรารัตน์โทรไปบอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินส่งเอกสารงบการเงินย้อนหลังในโครงการต่างๆของทัดเทวามาให้เธอโดยด่วนรวมถึงงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของโปรเจคใหม่นี้ด้วย โดยอ้างว่าต้องการข้อมูลสำหรับประเมินขออนุมัติงบสำหรับโครงการอื่นในปีถัดไป หญิงสาวใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันในการศึกษาเอกสารทั้งหมดก่อนจะพบว่ายอดตัวเลขของฝ่ายการเงินมีความผิดปกติและความคลาดเคลื่อนสูงจากงบที่แผนกอื่นๆส่งข้อมูลมามากเลยทีเดียว ศรารัตน์หมุนปากกาในมืออย่างใช้ความคิดก่อนตัดสินใจพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานโดยมีจุดหมายคือห้องประธานกรรมการบริษัท

   ศรารัตน์เดินมาถึงห้องทำงานส่วนตัวของวิศรุตและตั้งท่าจะเปิดประตูเข้าไป แต่เมริษาที่มีตำแหน่งเป็นเลขาของวิศรุตก็รีบวิ่งเข้ามาขวางประตูไว้

   “คุณเป็นใครคะ? จะเข้าห้องท่านประธานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้นะคะ” เมริษาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ แต่ดูจากลักษณะท่าทางที่เธอกล้าเปิดประตูห้องทำงานของประธานบริษัทได้โดยที่ไม่ต้องเคาะประตู ตำแหน่งของเธอก็น่าจะใหญ่พอสมควรหรือไม่ก็ต้องสนิทสนมกับท่านประธานเอามากๆ

   “เธอคงเป็นเลขาใหม่ของวินสินะ ฉันชื่อศรารัตน์ ทัดเทวา เป็นน้องสาวแท้ๆของคุณวิศรุต ทัดทวา แล้วก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของที่นี่ด้วย รู้อย่างนี้แล้วจะให้ฉันเข้าไปได้หรือยัง?” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเรียบ เมริษาจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายแล้วบอกว่าตอนนี้วิศรุตไม่อยู่เพราะติดออกไปพบลูกค้าข้างนอก

   “ถ้าท่านประธานกลับมา ดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณศรารัตน์มาพบ”

   “ไม่ต้องหรอก ฉันแวะมาที่นี่ก็เพื่อจะเอาเอกสารบางอย่างเท่านั้นแหล่ะ ไม่ได้จะมาพบวินหรอก” พูดจบศรารัตน์ก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของวิศรุตทันที เมริษาจะตามเข้าไปแต่ศรารัตน์ส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้อีกฝ่ายตามเข้ามา เลขาสาวจึงได้แต่มองตามร่างระหงของอีกฝ่ายเข้าไปด้วยสายตาอยากรู้

   ศรารัตน์ใช้กุญแจสำรองเปิดตู้เอกสารสำคัญหลังโต๊ะทำงานของวิศรุต กุญแจนี้เป็นกุญแจสำรองที่วิศรุตให้เธอเก็บเอาไว้หนึ่งดอกเผื่อต้องการเอกสารในห้องประธานบริษัทก็จะได้มาเอาเองโดยสะดวกเพราะตอนแรกวิศรุตก็ไม่ได้สนใจงานบริษัทอยู่แล้ว ที่ให้กุญแจตู้เอกสารสำคัญกับศรารัตน์ไปก็เพื่อต้องการจะโยนงานให้หญิงสาวนั่นแหล่ะ ศรารัตน์เปิดหาเอกสารปึกหนาจากแฟ้มต่างๆก่อนจะเจอสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวหอบแฟ้มเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะล็อคกุญแจตู้เหมือนอย่างเดิม

   เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ศรารัตน์ก็เริ่มพิจารณาข้อมูลใหม่ที่เอามาจากห้องทำงานของวิศรุตทันที เมื่อลองเทียบเอกสารหลายๆฉบับจากหลายๆปีทำให้พบว่ายอดตัวเลขมีความผิดปกติอย่างที่เธอคาดเอาไว้จริงๆ แม้ว่ามองเผินๆทั่วไปงบการเงินนี้จะไม่มีความผิดปกติ แต่เธอศึกษาเรื่องงบมานานทำให้สามารถมองออกว่าเอกสารพวกนี้ที่เธอได้มานั้นมันล้วนแต่ผ่านการตกแต่งบัญชีมาอย่างแนบเนียนทั้งสิ้น หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น จำนวนตัวเลขที่ผิดปกตินั้นไม่ใช่น้อยๆเลย มันแสดงถึงว่ามีคนกำลังยักยอกเงินของบริษัทไปจำนวนมากและทำมาหลายปีแล้วด้วยโดยที่ในตอนแรกเธอไม่ได้เคยเอะใจถึงเรื่องนี้จนกระทั่งวิศรุตเตือนเธอเมื่อวันก่อน ตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวอยากรู้ก็คือภาคินจะตอบคำถามเรื่องนี้กับเธอยังไงในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน




   ศรารัตน์ไปหาภาคินที่ฝ่ายการเงิน แต่เลขาบอกว่าภาคินไม่อยู่เพราะวันชัยเพิ่งเรียกตัวไปพบเมื่อสักครู่นี้เอง ศรารัตน์พยักหน้ารับรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปยังห้องทำงานของรองประธานบริษัทซึ่งเป็นห้องทำงานของวันชัยแทน ดีเหมือนกันจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าคุณอาวันชัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า? ศรารัตน์คิดอย่างหมายมาด เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองพ่อลูกนี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่

   เมื่อมาถึงห้องทำงานของวันชัย มาลิกาที่เป็นเลขากลับไม่ได้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ศรารัตน์เดาเอาว่าเธอคงพักไปรับประทานอาหารกลางวันเพราะนี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆพอดี มือบางตั้งใจจะเคาะประตูห้องทำงานเพื่อขออนุญาตเจ้าของห้อง แต่เสียงวันชัยกับภาคินที่คุยกันดังลอดออกมาทำให้หญิงสาวหยุดฟังด้วยความสนใจ

   “เมื่อเช้าลูกน้องที่แผนกผมมารายงานว่ายัยศรามาขอข้อมูลงบการเงินย้อนหลังไป บอกว่าจะเอาไปศึกษาน่ะครับ แล้วก็ยังมีพวกงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของโครงการปัจจุบันด้วย” ภาคินรายงานผู้เป็นพ่อด้วยเสียงเครียด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดศรารัตน์จู่ๆถึงมาเรียกตรวจสอบงบย้อนหลังแบบนี้ แต่ที่แน่ๆคือถ้าหากอีกฝ่ายตรวจพบความผิดปกติของงบแล้วละก็ คนที่ซวยก็คงหนีไม่พ้นเขาแน่ๆ

   “ยัยศราไม่มีทางรู้หรอก ไหนแกชอบโม้ว่าลูกน้องแกตกแต่งงบเก่งไงล่ะ” น้ำเสียงวันชัยไม่ค่อยเดือดร้อน เด็กเมื่อวาน
ซืนอย่างศรารัตน์จะมาทำอะไรเขาได้ หรือถ้าขืนถูกจับได้ก็โบ้ยว่าเป็นความสะเพร่าของพนักงานบริษัทก็สิ้นเรื่อง

   “โธ่พ่อ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะครับ จริงอยู่ว่าตกแต่งงบได้เก่งแค่ไหนก็เถอะ แต่เงินที่หายไปจากบริษัทมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ ผมกลัวว่า...”

   “แกอย่ามาขี้กลัวไปหน่อยเลย อย่างมากยัยศราก็แค่สงสัยเท่านั้นแหล่ะ คงไม่กล้ามาทำอะไรเราหรอก ต่อไปนี้แกก็บอกให้ลูกน้องแกระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” ภาคินยังไม่หายกังวล ดูท่าพ่อของเขาคงจะประเมินศรารัตน์ต่ำไปแล้ว ไม่ใช่เพราะ
ศรารัตน์เคยไปขุดคุ้ยเรื่องงบการเงินเมื่อปีที่แล้วจนทำให้ป่วนไปทั้งฝ่ายการเงินหรอกเหรอถึงทำให้วันชัยต้องสั่งกำจัดหลานสาวคนนี้โดยจัดฉากเพื่อให้กลายเป็นอุบัติเหตุ แต่ศรารัตน์ก็ดวงแข็งรอดมาได้

   บุคคลที่สามที่กำลังถูกพาดพิงตอนนี้ยืนกำมือแน่นอยู่หน้าห้อง ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์เพราะข้อสันนิษฐานของเธอ ที่ว่าภาคินกับวันชัยร่วมกันยักยอกเงินบริษัทนั้นเป็นเรื่องจริง มือบางค่อยๆแง้มบานประตูหนาให้กว้างขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้แอบฟังอย่างสะดวก แต่ประตูเจ้ากรรมดันหนักเลยส่งเสียงครืดไปกับพื้นห้อง แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็ทำให้บุคคลในห้องรู้สึกได้ว่าบทสนทนาของพวกตนกำลังถูกคนอื่นได้ยิน

   “ใครน่ะมายืนลับๆล่อๆที่ประตู ฉันถามว่าใคร?” น้ำเสียงวันชัยเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขณะตะคอกถามเพื่อให้คนที่แอบ อยู่หลังประตูแสดงตัวออกมา ภาคินหันไปมองที่ประตูด้านหลังอย่างตกใจก่อนจะสาวเท้าไปหาคนที่มาแอบฟังบทสนทนาของตนกับผู้เป็นพ่ออย่างไม่ประสงค์ดี

   “ศรา” ภาคินอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาแอบฟังพวกตนก็คือศรารัตน์ หญิงสาวก้าวเท้าออกมาจากกรอบประตู วันชัยเองก็ถึงกับอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าศรารัตน์จะบังเอิญมาได้ยินเรื่องทั้งหมดแบบนี้

   “คุณอากับภาคินร่วมมือกันโกงบริษัทจริงๆด้วย” ศรารัตน์เค้นเสียงต่ำ หากไม่ได้ยินกับหูเธอก็คงไม่มีวันเชื่อว่าวันชัย
ผู้ซึ่งเป็นอาแท้ๆของเธอจะกล้ายักยอกเงินของบริษัท เสียแรงที่พ่อของเธอไว้ใจวันชัยมากเหลือเกิน

   คำพูดของศรารัตน์ทำให้วันชัยกับภาคินต้องลอบมองหน้ากัน นี่เธอคงจะได้ยินที่เขาสองคนพูดทุกอย่างแล้ว ภาคิน กลืนน้ำลายในขณะที่มือก็ชื้นเพราะเหงื่อซึมออกมา ตรงข้ามกับวันชัยที่ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว

   “นี่หลานได้ยินทุกอย่างเลยเหรอ?” ศรารัตน์พยักหน้ารับพร้อมกับถามว่าทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกงเงินบริษัทจำนวนมหาศาลแบบนี้ ลำพังเงินเดือนผู้บริหารและการจ่ายปันผลต่อหุ้นยังไม่พอกินพอใช้อีกเหรอ? “อากับภาคินยอมรับว่าเราทั้งคู่ทำผิด แต่ตอนนั้นเราต้องการใช้เงินจริงๆเพราะว่าเราหมุนเงินกันไม่ทัน สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีนี้”
ศรารัตน์ยิ้มเหยียด ที่ว่าหมุนเงินไม่ทันก็คงเป็นเพราะสองพ่อลูกคู่นี้ชอบใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินไม่ต่างจากเบี้ยหอยไร้ค่า อีกทั้งยังเอาเงินไปถลุงที่บ่อนแถวปอยเปตไม่ก็ที่มาเก๊าอยู่บ่อยๆสิท่า

   “ศรา เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกวินเลยนะ ไม่อย่างนั้นไอ้วินมันเอาฉันกับพ่อตายแน่ โดยเฉพาะฉัน เธอก็รู้ว่ามันจงเกลียดจงชังฉันอย่างกับอะไรดี” ศรารัตน์หันไปมองหน้าญาตินอกสายเลือดอย่างภาคินด้วยสายตาว่างเปล่า ภาคินกล้าทำแบบนี้กับตระกูลทัดเทวาที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนโตได้อย่างไรกัน อำนาจของเงินนั้นไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ

   “ถ้ากลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน แล้วนายกับพ่อเวลาคิดที่จะทำอะไรทำไมไม่คิดให้ดีก่อนบ้างล่ะ”

   “เอาเถอะ อายอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองทำผิดไปจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ความเลอะเลือนเห็นเงินบังตาเพียงชั่ววูบเท่านั้น อากับภาคินสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด หลานวางใจได้เลย” ได้ฟังอย่างนั้นศรารัตน์ก็แค่นเสียงในคอพร้อมถามว่าอากับภาคินยังหวังว่าจะมีครั้งต่อไปให้แก้ตัวอีกเหรอ? ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเล็กๆเลย แต่มันกระทบถึงสถานภาพและความมั่นคงของบริษัทด้วย

   “นี่หมายความว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้วินใช่ไหม?” ภาคินขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความโมโห

   “ถ้าหลานคิดจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน หลานก็คิดดีๆก็แล้วกัน อากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไหร่เพื่อบริหารให้ทัดเทวาเจริญเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่พี่วรุตเสียไป จริงอยู่ว่าหลานเองก็มาคอยช่วยงานที่บริษัท แต่ทายาทที่จะต้องสืบทอดทัดเทวาอย่างวิศรุตกลับไม่เคยย่างเท้าเข้ามาบริหารงานที่นี่เลยซักครั้ง แล้วใครล่ะที่เป็นคนประคับประคองบริษัทมาตลอดหลายปี ใครล่ะที่เป็นคนคอยกอบกู้ภาพพจน์ของบริษัทต่อบรรดาผู้ถือหุ้น ใครล่ะที่คอยแก้ปัญหาให้กับบริษัทเมื่อเวลาที่ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ใช่อากับภาคินหรอกเหรอ อาไม่เถียงว่าวิศรุตมีสิทธิ์ชอบธรรมทุกอย่างในการเข้ามานั่งแท่นเป็นประธานบริษัท แต่การก้าวเข้ามาโดยเหยียบหัวไอ้แก่คนนี้เพื่อให้ตัวเองไปสู่จุดสูงสุดโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย มันสมควรแล้วเหรอ? พออาและภาคินเผลอทำผิดพลาดเพราะความคิดแค่ชั่ววูบเดียว หลานก็คิดจะเฉดหัวอากับลูกให้พ้นจากบริษัทนี้ นี่น่ะเหรอสิ่งตอบแทนที่อากับลูกได้รับจากทายาทของทัดเทวา ลองคิดดูดีๆเถอะว่าทัดเทวามั่นคงมาได้ขนาดนี้ก็เพราะใคร?” วันชัยเน้นเสียงหนักในตอนท้าย ดวงตาเจิดจ้าที่ไม่ได้ฟ่าฟางไปตามกาลเวลากำลังจับจ้องที่ดวงหน้าของศรารัตน์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดจากคำพูดของเขา

   “แต่คุณอาก็ไม่สมควรทำแบบนี้” ศรารัตน์เอ่ยเสียงแผ่ว ในใจก็เริ่มลังเลกับสิ่งที่วันชัยพูด

   “เรื่องนี้ก็สุดแท้แต่ใจหลานเถอะ” วันชัยหย่อนระเบิดลูกสุดท้ายลงไป ดูจากสีหน้าศรารัตน์แล้ว วันชัยก็คิดว่าคำพูดของเขาคงได้ผลไม่น้อยเลยทีเดียว และก็เป็นแบบที่เขาคิดไว้ ในที่สุดศรารัตน์ก็ยอมอ่อนข้อให้ หญิงสาวถอนหายใจแรงโดยบอกว่าจะยอมยกโทษให้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

   “ครั้งนี้ศราจะไม่บอกเรื่องนี้กับวิน และก็หวังว่าคราวหน้าคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกตามที่คุณอาสัญญาเอาไว้อีกนะคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นศราก็คงทำเป็นนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

   “ขอบใจหลานมากนะศรา” วันชัยกับภาคินเอ่ยขอบคุณศรารัตน์ด้วยความโล่งอกที่ครั้งนี้หญิงสาวยอมไม่เอาเรื่อง ก่อนที่ศรารัตน์จะเดินออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเพราะไม่รู้ว่าที่ตนทำไปมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่

   “เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว” วันชัยพูดเสียงเหี้ยม นับวันศรารัตน์ก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องจัดการกับหลานสาวคนนี้ให้เด็ดขาดเสียที “แกรู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำยังไง?” ประโยคนี้วันชัยหันไปสบตากับภาคินที่พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน

   “ศราน่ะสวยใช่เล่นเลย ผมขอหาความสุขจากยัยนั่นก่อนก็แล้วกันนะครับ จากนั้น...” ภาคินใช้นิ้วชี้ทำท่าปาดคอด้วยแววตาเลือดเย็น ในขณะที่วันชัยก็ไม่ได้คัดค้านอะไรถ้าหากภาคินจะทำแบบนั้น ถึงจะเป็นหลานสาวแท้ๆก็เถอะ แต่หากใครหน้าไหนมันมาขวางทางของเขาล่ะก็ เขาก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน





   วันนี้วิศรุตมาเยี่ยมอาการป่วยของอิงอรอีกครั้ง คราวนี้อิงอรรู้สึกตัวแล้วโดยอาการทั่วไปก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับแต่ตามร่างกายก็ยังมีแผลฟกช้ำอยู่หลายแห่งและต้องใส่เฝือกดามขาอยู่ วิศรุตมองคนป่วยด้วยความสงสารก่อนจะบอกให้อิงอร พักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลเพราะบริษัทจะดูแลเรื่องนี้ให้เอง

   “ขอให้คุณอิงอรหายไวๆนะครับ จะได้กลับมาทำงานเป็นเลขาผมต่อ ไม่มีคุณอิงอรคอยช่วยแล้วเนี่ย ผมแทบจะเหมือนคนแขนขาดไปข้างหนึ่งเลย” อิงอรหัวเราะน้อยๆกับคำพูดเกินจริงของเจ้านายหนุ่ม

   “ตอนนี้ท่านประธานก็ได้เลขาใหม่มาทำงานแทนแล้วนี่คะ ดิฉันก็คงหมดความสำคัญแล้วล่ะ” อิงอรแซวกลับ เธอรู้มาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นว่าตอนนี้วิศรุตรับเลขาใหม่เข้ามาทำงานแล้วแถมยังสวยเสียด้วย ในขณะที่วิศรุตต้องลอบเบ้หน้าเมื่ออิงอรพูดถึงเลขาคนใหม่ของเขา

   “ผมก็รับมาทำงานแก้ขัดไปก่อนน่ะครับ ไว้คุณอิงอรหายดีเมื่อไหร่ก็กลับมาทำตำแหน่งเดิมได้เลย ผมจะย้ายเมริษาไปทำแผนกอื่นแทน” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ยิ่งนับวันชายหนุ่มยิ่งไม่ค่อยอยากจะทนกับนิสัยสอดรู้สอดเห็นของเมริษา ไม่รู้ว่าเธอจะแอบสืบความลับของเขาไปบอกกับภาคินหรือว่าคุณอาวันชัยหรือเปล่า

   หลังจากพูดคุยกับคนป่วยได้ไม่นานนัก วิศรุตก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของอิงอร ชายหนุ่มตั้งใจว่าไหนๆก็มาที่โรงพยาบาลนี้แล้ว ก็ควรจะแวะไปหานภัทรเสียหน่อยตามประสาคนรู้จัก แต่ในใจลึกๆคืออยากจะเจอหน้าฝ่ายนั้นเพราะเขาคิดถึงนภัทรเหลือเกิน





   วิศรุตจำทางไปยังห้องของนายแพทย์ นภัทร อิสรีย์ได้เป็นอย่างดีเพราะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ศรารัตน์ยังป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ไม่นานนักวิศรุตก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของฝ่ายนั้น ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉายแววลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเคาะประตู

   “เชิญครับ” เมื่อได้ยินเสียงนภัทรตอบกลับมา วิศรุตจึงเปิดประตูแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เสียงเดินของชายหนุ่มทำให้คุณหมอเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมาผู้มาใหม่ “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นนายนั่นเอง”

   “ฉันมารบกวนนายหรือเปล่า?” นภัทรสั่นศีรษะก่อนจะเก็บเอกสารการตรวจคนไข้และฟิล์มเอ็กเรย์ที่ดูค้างอยู่เมื่อครู่กลับลงไปในซองตามเดิม

   “ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า?” นภัทรถามพร้อมจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างสงสัย ในขณะที่คนถูกถามยืนนิ่งเพราะคิดหาเหตุผลในการมาครั้งนี้ไม่ได้เช่นกัน จะให้บอกไปตรงๆได้อย่างไรล่ะ ว่าเขามาหาเพราะคิดถึงฝ่ายนั้น

   “ไม่มีอะไรหรอก พอดีฉันแวะมาเยี่ยมเลขาน่ะ ก็เลย เอ้อ แวะมาเยี่ยมนายด้วย” วิศรุตพูดอ้อมแอ้มไม่ยอมสบตาสีถ่านของนภัทร แต่จากคำพูดของวิศรุตก็ทำให้นภัทรเดาได้ไม่ยาก เขาไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย เขารู้ดีว่าวิศรุตรู้สึกอย่างไรกับเขา และตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา...กลัวว่าตัวเองจะเผลอใจไปกับฝ่ายนั้นเข้าจนได้



จบบทที่15


Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพให้แล้วเน้อ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับการติดตามค่ะ เปิดมาเห็นคอมเม้นท์หลายๆคอมเม้นท์แล้วก็ชื่นใจ เป็นกำลังใจให้อย่างดีเลยแหล่ะ ขอบอกนิดนึงนะคะ ว่าหลังจากตอนที่15ไป เรื่องจะเริ่มเข้มขึ้นขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงความรักก็ออกแนวต้มมาม่าให้กินด้วย (แต่ก็ดราม่าไม่เยอะนะ (หรือเปล่าหว่า?) ในความคิดของเรา 555) ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆจนจบด้วยค่ะ หลังๆรับประกันความเข้มขึ้นถึงใจแน่นอน ช่วงนี้มีฉากหมอกานต์ออกน้อยไปหน่อย หลังๆเดี๋ยวจัดเต็ม ^ ^

           ขอให้อ่านอย่างสนุกและมีความสุขกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ เจอกันตอนหน้าเด้อค่ะ :)

ปล. นิยายเรื่องนี้เรารวมเล่มขาย แต่เดี๋ยวเอามาโพสให้ได้อ่านกันค่ะ โพสจบแน่นอน ไม่ต้องกังวลนะคะ  :z1:

สามารถเข้าไปร่วมพูดคุยกันได้ทาง FB Fanpage เลยค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยได้ตอบคอมเม้นท์เล้ยยย (แต่ก็อ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ แหะๆ)

http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-YaoiBoys-love/201117953284062

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
«ตอบ #37 เมื่อ01-08-2012 11:59:24 »

หนูศราไม่น่ายอมเลย แล้วเมื่อไหร่หมอกานต์จะเปิดใจซะทีเนี่ย

วินกลับมาเฉดหัวสองพ่อลูกนั่นออกไปก่อนเร็ว

ออฟไลน์ ipookza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
«ตอบ #38 เมื่อ01-08-2012 17:27:26 »

สนุกมากลยค่ะ สงสารวินจังเลย รักเขาชอบเขามาตั้งหลายปีไม่สมหวังสักที

ขอให้สมหวังเร็วๆ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
«ตอบ #39 เมื่อ01-08-2012 23:52:19 »

ขอตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงไว้ที่เด็กดีลงที่นี่น่ะค่ะ อยากอ่านค่ะ :z3: :z3: :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
« ตอบ #39 เมื่อ: 01-08-2012 23:52:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
«ตอบ #40 เมื่อ02-08-2012 01:40:12 »

เชือดเฉือนทั้งด้านธุรกิจ. บีบคั้นทั้งเรืองหัวใจ
พี่น้องคงไม่แตกคอกันนะ จับมือกันจัดการคนโกงก่อน

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-15
«ตอบ #41 เมื่อ02-08-2012 02:55:05 »

ศราไม่น่าให้อภัยสองพ่อลูกมันเลย
ภัยจะมาถึงตัวอยู่แล้ว

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่16
«ตอบ #42 เมื่อ02-08-2012 11:21:44 »

บทที่  16


   หลังจากเลิกงาน ศรารัตน์ก็ขับรถมายังห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมือง หญิงสาวตั้งใจว่าจะแวะมาซื้อขนมและของบำรุงไปฝากนภัทรและคุณพ่อคุณแม่ของชายหนุ่ม หลังจากที่จัดการซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว ศรารัตน์ก็ถือถุงของพะรุงพะรังมายังรถที่จอดอยู่ที่ชั้นของลูกค้าวีไอพี ก่อนจะใช้กุญแจเปิดกระโปรงรถยุโรปคันหรูแล้วนำของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บที่ท้ายรถ จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูรถฝั่งด้านคนขับก็มีมือหนาจากทางด้านหลังใช้ผ้าโปะยาสลบมาอุดจมูกเธอไว้ ศรารัตน์ดิ้นรนไปมาอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะนิ่งและทรุดฮวบลงไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่รอรับอยู่พอดี


   เมื่อจัดการให้ศรารัตน์สลบไปแล้ว ชายกำยำผิวคล้ำร่างใหญ่ก็อุ้มศรารัตน์ไปยังรถอีกคันหนึ่งที่จอดหลบมุมอยู่ใกล้ๆนั้น

   “เรียบร้อยแล้วครับนาย” สิ้นเสียงรายงานของลูกน้องร่างใหญ่ แบงค์พันจำนวนหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาจากรถทางด้านของคนขับซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปแล้วรีบขอบคุณผู้เป็นนายก่อนจะเดินหายลับไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

   ที่ชั้นจอดรถวีไอพีเป็นที่จอดรถส่วนตัวสำหรับลูกค้าคนพิเศษของห้าง ที่ชั้นนี้จึงไม่มีคนพลุกพล่าน สะดวกในการลงมือที่สุด และแน่นอนไม่มีใครเห็นว่าคุณหนูศรารัตน์ ทายาทคนดังของทัดเทวาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะก่อนที่จะวางยาสลบศรารัตน์ ภาคินได้สั่งให้ลูกน้องไปจัดการกับกล้องวงจรปิดของอาคารจอดรถชั้นนี้เรียบร้อยแล้ว ภาคินจุดยิ้มมุมปากขณะเหลียวหน้าไปมองร่างของศรารัตน์ที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า อีกไม่นานเขาจะทำให้เธอขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว ชายหนุ่มกระหยิ่มใจก่อนสตาร์ทรถแล้วขับออกไปจากตรงนั้น




   ภาคินขับรถด้วยความเร็วเพื่อเร่งอยากจะไปให้ถึงที่หมายไวๆ เขาชักจะอดใจไม่ไหวกับร่างเย้ายวนของศรารัตน์ที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างกายเขา ในใจภาคินตอนนี้จินตนาการไปถึงตอนที่ตนได้มีความสุขกับศรารัตน์กับสีหน้าของวิศรุตเมื่อได้รู้ว่าน้องสาวของตัวเองพลาดท่าให้กับคนอย่างเขาที่มันเคยดูถูกเหยียบย่ำสารพัด คิดมาถึงตอนนี้ ภาคินก็ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้น วันนี้เขาจะขอเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกกับศรารัตน์ก่อนก็แล้วกัน

   ศรารัตน์เริ่มขยับตัวเล็กน้อยโดยที่ภาคินไม่ได้สังเกต ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆเปิดขึ้นด้วยอาการที่ยังสะลึมสะลืออยู่จากฤทธิ์ของยาสลบ หญิงสาวพยายามกระพริบตาถี่ๆแล้วสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อไล่ความมึนงงออกไปก่อนสติจะระลึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอโดนใครก็ไม่รู้เอาผ้าโป๊ะยาสลบมาอุดจมูกไว้ เมื่อเธอมารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

   “แก...ไอ้ภาคิน...แก...” ศรารัตน์อุทานออกมาเสียงดังอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นว่าภาคินคือคนที่จับตัวเธอมา
ฝ่ายภาคินก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าศรารัตน์รู้สึกตัวแล้วและกำลังใช้สองมือระดมทุบตีเขาไม่ยั้ง

   “โอ๊ยยย อย่านะศรา ฉันขับรถอยู่ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ภาคินใช้มือข้างหนึ่งรวบข้อมือศรารัตน์เอาไว้เมื่อหญิงสาวเปลี่ยนจากการทุบหน้าอกเขามาเป็นการยื้อแย่งพวงมาลัยรถยนต์แทน “บอกให้อยู่เฉยๆไงศรา ปล่อยสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ภาคิน
พยายามปัดมือของศรารัตน์ที่กำลังยื้อดึงพวงมาลัยอย่างสุดแรง ส่งผลให้ตอนนี้รถของเขากำลังส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียวเพราะเขาขับด้วยความเร็วขนาดที่ว่าถ้ารถเกิดเสียหลักก็คงจะไม่เหลือซากให้เก็บกู้เลยทีเดียว

   “รถชนก็ดีน่ะสิ ฉันบอกให้จอดไง แกจะพาฉันไปไหน? ปล่อยฉันนะ โอ๊ย” ภาคินโมโหที่ศรารัตน์ไม่ยอมปล่อยมือจากพวงมาลัยจึงใช้สองมือผลักศรารัตน์อย่างแรงจนศีรษะของหญิงสาวไปชนกับกรอบประตูรถทำให้หัวแตกและเลือดสีสดไหลออกมาท่ามกลางความตกใจของศรารัตน์ที่ไม่คิดว่าภาคินจะกล้าทำเธอถึงขนาดนี้

   “อยู่นิ่งๆนะถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีก จะพาไปไหนเดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหล่ะ รับรองเธอจะต้องสุขสมจนร้องครางออกมาแน่นอน” คำพูดลามกหยาบโลนทำให้ศรารัตน์นึกรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจับตัวเธอมาด้วยจุดประสงค์อะไร หญิงสาวจ้องภาคินอย่างขยะแขยง เธอไม่มีวันยอมให้คนตรงหน้าทำร้ายเธอแน่ ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือหยุดรถคันนี้ให้เร็วที่สุด

   ศรารัตน์โถมตัวไปทับภาคินอีกครั้งก่อนจะใช้สองมือหมุนพวงมาลัยไปมาเพราะต้องการให้รถเสียหลัก ภาคินพยายามปัดป้องการกระทำนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องละมือออกจากพวงมาลัยเพื่อมารวบตัวศรารัตน์ไว้ไม่ให้เธอเข้าใกล้เขาอีก ผลคือรถคันหรูกำลังส่ายไปมาจนมากินเลนรถคันอื่นๆ ทำให้เสียงบีบแตรดังลั่นไปทั่วทั้งถนน

   “แมร่ง ขับรถภาษาอะไรของมันวะ ขับแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไปพบยมบาลหรอก” ภาณุสบถออกมาอย่างหัวเสียกับรถคันข้างหน้าที่ขับเข้ามากินเลนในช่องของเขา แถมตอนนี้รถยังส่ายเอียงไปมาอย่างน่ากลัวจนหวิดจะชนกับรถคันอื่นอยู่หลายครั้ง ภาณุจึงตัดสินใจหาจังหวะเร่งเครื่องแซงรถคันหน้าไป เพราะขืนขับตามหลังรถเจ้ากรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวังรถของเขาได้ไปจูบท้ายรถกับคันข้างหน้าอย่างแน่นอน

 ในขณะที่รถของชายหนุ่มตีคู่ไปกับรถเจ้าปัญหา ภาณุก็หันหน้าไปมองคนขับรถคันนั้นอย่างหัวเสียก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนขับคือภาคิน ทัดเทวา ญาติผู้พี่ของวิศรุตนั่นเอง แต่ความตกใจนี้ก็ไม่เท่ากับการได้เห็นศรารัตน์กำลังหมุนพวงมาลัยรถอย่างรุนแรงจนเป็นสาเหตุทำให้รถเริ่มเสียหลัก ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงและดูภาคินจะอารมณ์เสียมากด้วย
ภายในรถของภาคิน ศรารัตน์กำลังทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มเจ้าของรถอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มหมดความอดทน จนในที่สุดเขาก็ใช้ฝ่ามือหนาฟาดเข้าไปที่แก้มเนียนของศรารัตน์อย่างรุนแรง ทำให้หญิงสาวต้องเบิกตากว้างด้วยความโกรธอีกรอบ ภาคินไม่มีสิทธิ์จะมาทำกับเธอแบบนี้

“แกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ไอ้คนเลว...ไอ้ชั่ว...ไอ้...” ก่อนที่ศรารัตน์จะด่าจบ ภาคินก็สบโอกาสคว้าผ้าโปะยาสลบจากแผงคอนโซลหน้ารถมาอุดจมูกของหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้ร่างบางเริ่มหมดฤทธิ์และสลบไปอีกรอบโดยที่เหตุการณ์ภายในรถทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของภาณุที่มองจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองพลางคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นศรารัตน์จะยื้อยุดฉุดกระชากทะเลาะกับภาคินเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดรถทำไมกัน และที่สำคัญทำไมภาคินต้องวางยาสลบศรารัตน์ด้วย
เมื่อสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆของตน ภาณุก็ไม่รีรอที่จะขับตามรถของภาคินไปทันที โดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้ฝ่ายนั้นรู้ตัวและไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมากดโทรออกไปหาวิศรุต





ภายในห้องทำงานของนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ในตอนนี้ก็เหมือนกับว่ามีบรรยากาศอึมครึมกำลังโอบอ้อมนภัทรกับวิศรุตอยู่จนแทบจะหายใจไม่ออก วิศรุตสบประสานสายตากับดวงตาเรียวยาวสีถ่านนิ่งเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายก็เงียบเช่นกัน นภัทรไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาสมควรพูดอะไรดี การมายืนจ้องหน้ากันแบบนี้มันช่างชวนให้อึดอัดสิ้นดี แต่แล้วในที่สุดวิศรุตก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

   “หมู่นี้นายยังเจอกับยัยศราอยู่หรือเปล่า?” คำถามของวิศรุตทำให้นภัทรต้องถอนหายใจพร้อมกับยอมรับ

   “คุณศราแวะมาหาฉันที่บ้านบ่อยๆ ฉันรู้ว่านายคงไม่พอใจ แต่ว่า...” เขารู้ว่าวิศรุตไม่ค่อยชอบใจนักที่น้องสาวของตนเที่ยวมาติดพันเขา แต่เขาเองก็ห้ามศรารัตน์ไม่ได้เช่นกัน ทั้งที่เขาคิดกับศรารัตน์เพียงแบบพี่น้องเท่านั้น

“ช่างเถอะ ฉันรู้ดีว่ายัยนั่นน่ะดื้อแค่ไหน แต่ที่ฉันอยากรู้มากกว่านั้นและนายก็ยังไม่ได้ตอบคำถามฉันก็คือ นายคิดยังไงกับน้องสาวของฉัน?” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบของอีกฝ่าย ถ้านภัทรตอบมาว่าชายหนุ่มมีใจให้กับศรารัตน์แล้วล่ะก็ เขาคงจะต้องแทบล้มทั้งยืนต่อหน้าคนๆนี้อย่างแน่นอน

   “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดกับคุณศราแค่น้องสาวจริงๆ” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างให้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรของวิศรุต ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ซึ่งนภัทรก็ยืนยันในคำตอบตัวเองอย่างชัดเจน

   “ถ้านายไม่ได้คิดอะไรกับศรา แล้วฉันล่ะ นายคิดยังไงกับฉัน?” คำถามนี้ถูกวิศรุตยกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นภัทรก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปหลังจากฟังคำถามของอีกฝ่ายจบ ทำไมคนตรงหน้าชอบถามคำถามนี้กับเขาเหลือเกิน ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่เคยหาคำตอบดีๆให้อีกฝ่ายได้เลยสักครั้ง

   “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่เคยถามก็แล้วกัน” แค่ได้ยินว่านภัทรไม่ได้คิดอะไรกับศรารัตน์ เท่านี้วิศรุตก็ดีใจมากแล้ว “ถ้างั้นฉันกลับก่อนก็แล้วกัน ไม่กวนนายทำงานแล้วล่ะ” วิศรุตยิ้มให้ก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินออกจากห้อง แต่มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเสียก่อน วิศรุตมองชื่อคนโทรมาก็เห็นว่าเป็นภาณุจึงกดรับ

   “ว่าไงไอ้โอม? ห๊ะ อะไรนะ ยัยศราเนี่ยนะไปกับไอ้ภาคิน” ดวงตาสีน้ำตาลโศกตวัดมองไปที่นภัทรอย่างแปลกใจ ซึ่ง
คุณหมอหนุ่มก็มองมาที่เขาเช่นกัน “ได้ๆ เดี๋ยวแกขับตามรถมันไปก่อน เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากวางสายภาณุไปแล้ว วิศรุตก็รีบร้อนจะออกจากห้องแต่นภัทรมาคว้าข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน

   “เกิดอะไรขึ้นกับคุณศราเหรอ?” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจบอก

   “ไอ้โอมบังเอิญเห็นว่าไอ้ภาคิน ญาติของฉันกำลังพาตัวยัยศราไปที่ไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญยัยศราโดนยาสลบ” พูดจบวิศรุตก็สะบัดแขนจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีโดยมีนภัทรวิ่งตามไปด้วยอีกคน





   ภาคินขับรถพาศรารัตน์ที่สลบไม่ได้สติไปยังโกดังเปลี่ยวชานเมือง เมื่อไปถึงชายหนุ่มได้สั่งให้ลูกน้องดูต้นทางเอาไว้ เพราะตนตั้งใจจะหาความสุขกับศรารัตน์ก่อนจะฆ่าทิ้ง ภาคินอุ้มศรารัตน์เข้าไปยังด้านในของโกดังก่อนจะกำชับลูกน้องอีกครั้งไม่ให้เข้ามาขัดจังหวะความสุขของเขาอย่างเด็ดขาด

   ภาคินวางร่างของศรารัตน์ที่พื้นโกดังด้านหนึ่งก่อนจะพิศมองดวงหน้าสวยหวานในอ้อมแขนด้วยความหื่นกระหาย ชายหนุ่มฝันมานานแล้วว่าซักวันเขาจะได้เชยชมร่างกายที่สวยงามนี้ และไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึงในที่สุด มือหนาค่อยๆเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางทีละเม็ด ก่อนไล่ลงต่ำมาปลดซิปกับตะขอกระโปรง ฝ่ามือหนาตะโบมไล้ไปยังเนินเนื้อผุดผ่องของ
ศรารัตน์อย่างหยาบโลน

   “อือ” เสียงครางเบาๆหลุดรอดจากริมฝีปากบางของหญิงสาวก่อนที่เจ้าของร่างจะสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมามอง “แก...อย่า...อย่านะ...ปล่อยฉัน...ปล่อย...” เมื่อเห็นภาคินกำลังปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจากร่าง ศรารัตน์ก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมสติเท่าที่มีแล้วใช้สองมือรวบเสื้อผ้าที่เปิดอ้าอยู่ก่อนจะกระเสือกกระสนวิ่งหนีให้ห่างจากภาคินให้มากที่สุด

   “จะหนีไปไหนล่ะศรา? เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก” ภาคินตามไปรวบตัวศรารัตน์ให้มาอยู่ในอ้อมแขนตนอีกครั้ง เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้แน่ เธอต้องเป็นของเขาเท่านั้น

   “ปล่อยฉันไอ้คนชั่ว ปล่อยสิ” เมื่อเห็นว่าภาวินไม่ปล่อยแถมยังออกแรงรัดเธอแน่นกว่าเก่า หญิงสาวก็เลยตัดสินใจกัดเข้าที่ท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงจนฝ่ายนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

   “ฤทธิ์เยอะนักนะนังนี่” ภาคินโกรธจัดที่โดนศรารัตน์กัด จึงชกเข้าที่ท้องน้อยของหญิงสาวเต็มแรงซึ่งก็ทำให้แม่สาวตัวดีหมดฤทธิ์อ่อนแรงอยู่ในวงแขนของภาคินตามเดิม

   “ไอ้ภาคิน แก...อย่าทำอะไรฉัน...” ความเจ็บปวดจากการถูกชกที่ท้องทำให้ศรารัตน์หมดสติไปอีกรอบ ภาคินมองอย่างสบใจ ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความสุขเขาได้อีกแล้ว





   “พวกมันพาศราไปไหนแล้วไอ้โอม?” วิศรุตรีบถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อได้เจอกับเพื่อนสนิท ภาณุเลือกที่จะจอดรถเอาไว้ที่หน้าปากซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่ภาคินขับรถพาศรารัตน์เข้าไป ซอยนี้เป็นซอยขนาดเล็กไม่เหมาะที่เขาจะเอารถตามเข้าไปเพราะกลัวว่าภาคินจะรู้ตัวแล้วพาศรารัตน์หนีไปที่อื่นเสียก่อน

   “มันพายัยศราเข้าไปในซอยนี้แหล่ะ เมื่อกี้ฉันลองเข้าไปสำรวจก่อนแล้ว ในนั้นน่ะเปลี่ยวแล้วก็ลึกเหมือนกันนะเว้ย ฉันเห็นรถของนายภาคินจอดอยู่ที่โกดังร้างแถวๆท้ายซอยด้วย แถมหน้าโกดังยังมีลูกน้องมันยืนเฝ้าอยู่อีกต่างหาก” ภาณุรีบบอก ในขณะที่วิศรุตก็ฮึดฮัดอยากจะตามเข้าไปแทบจะทันที แต่ถูกนภัทรที่มาด้วยกันรั้งเอาไว้เสียก่อน

   “แล้วพวกลูกน้องมันมีเยอะหรือเปล่า?” คุณหมอหนุ่มถามขึ้นมา เขาไม่อยากให้วิศรุตบุ่มบ่ามเข้าไป เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายถ้าหากทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบที่ฝ่ายนั้นกำลังทำอยู่

   “ประมาณสี่ห้าคน ฉันคิดว่าถ้าเราสามคนช่วยกันก็น่าจะจัดการได้อย่างไม่ยากนัก” ภาณุบอกในขณะที่นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลากวิศรุตให้วิ่งตามเข้าไปในซอยด้วยกัน ภาณุมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย แล้วนภัทรมากับวิศรุตได้ยังไงกัน? แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนนี้เรื่องสำคัญคือต้องหาทางเข้าไปในโกดังร้างนั้นให้ได้ จะได้รู้เสียทีว่าภาคินจับตัว ศรารัตน์มาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่






   ที่บริเวณหน้าประตูโกดังมีลูกน้องภาคินอยู่ประมาณสี่ถึงห้าคนอย่างที่ภาณุบอกเอาไว้จริงๆ ท่าทางของพวกนั้นดูลับๆล่อๆไม่น่าไว้ใจเลย ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งเป็นห่วงศรารัตน์มากกว่าเดิมก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งสัญญาณให้ทั้งหมดแยกย้ายกันไปจัดการกับเหล่าสมุนของภาคินทันที

   วิศรุตจัดการกับสมุนคนแรกไปอย่างไม่ต้องเปลืองแรงมากนักเพราะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มเสยหมัดไปที่ใบหน้าของสมุนผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างเต็มแรงก่อนจะกระแทกเข่าซ้ำไปยังบริเวณลำตัวแล้วคว้าคอเสื้อสมุน ขึ้นมาถาม

   “ไอ้ภาคินเจ้านายแกมันพาศรารัตน์มาที่นี่ใช่ไหม?”

“คุณวิศรุต” สมุนคนนั้นมองหน้าวิศรุตอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าวิศรุตจะตามมาถึงที่นี่ได้
เมื่อสมุนไม่ยอมเปิดปากตอบคำถามตน วิศรุตจึงเริ่มมีอารมณ์เดือดมากขึ้นก่อนจะกระแทกเข่าอัดท้องน้อยของอีกฝ่ายไม่ยั้ง

“ตอบมาสิวะ ตอบมาว่าไอ้ภาคินมันพาศรารัตน์มาที่นี่ทำไม? ตอบมา” วิศรุตตวาดเสียงดัง แววตากร้าวอย่างน่ากลัว สมุนผู้นั้นมองวิศรุตอย่างตกใจก่อนที่ร่างของตนจะโงนเงนและล้มลง

‘พลั่กกกกก’

วิศรุตตัวเซไปอีกทางเมื่อถูกไม้หน้าสามตีเข้าที่สะบักไหล่ด้านหลังอย่างแรง ชายหนุ่มเหลียวหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งเป็นสมุนอีกคนของภาคินที่คงจะได้ยินเสียงการต่อสู้เมื่อครู่จึงได้มาช่วยเพื่อนตัวเอง สมุนคนแรกรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะที่วิศรุตโดนตีจนเซเข้าล็อคตัวชายหนุ่มเอาไว้ก่อนพยักหน้าบอกเพื่อนสมุนให้จัดการกับวิศรุตได้เลย ซึ่งสมุนอีกคนก็ไม่ลังเลที่จะหวดไม้หนาลงไปที่หน้าท้องของวิศรุตซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนจนชายหนุ่มจุกจนแทบพูดไม่ออก

วิศรุตรวบรวมแรงโดยอาศัยแรงยึดที่สมุนคนแรกรวบตัวเขาไว้ก่อนจะตวัดขาที่เป็นอิสระอยู่กระโดดถีบฝ่ายตรงข้ามจนไม้หลุดมือไปแล้วจึงสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ลูกสมุนของภาคินกลับไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆจนวิศรุตหมดความอดทนจึงพลิกตัวให้กลิ้งไปกับพื้นก่อนจะตวัดตัวคร่อมร่างอีกฝ่ายไว้แล้วรัวหมัดไม่ยั้ง

   ฝ่ายสมุนคนที่สองก็รีบฉวยเอาไม้ที่เมื่อครู่หลุดไปจากมือคืนมาอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะเล็งเป้าหมายไปยังศีรษะของวิศรุตซึ่งพอดีกับที่ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาได้ทัน ในจังหวะที่กำลังจะฟาดไม้ลงไปนั้นเอง สมุนผู้นั้นกลับถูกของแข็งฟาดที่ท้ายทอยจากทางด้านหลังอย่างแรงจนสลบเหมือดไปทันที

   “นภัทร” คนที่ถูกเรียกรีบโยนไม้ในมือทิ้งก่อนจะถลาเข้าไปช่วยประคองวิศรุตให้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง

   “นายเป็นยังไงบ้าง” เป็นอีกหนึ่งครั้งที่วิศรุตเห็นสายตาเจือความห่วงใยของนภัทรที่มองมาทางเขา ชายหนุ่มเบ้หน้าด้วยความเจ็บที่ท้องน้อยแต่ลึกๆในใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาให้เขาเห็นแบบนี้แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม

   “ขอบใจนะที่ช่วย” นภัทรพยักหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

   “ฉันจัดการพวกสมุนนั่นไปสองคนแล้วล่ะ นายเองก็จัดการไปแล้วสอง ถ้างั้นก็เหลืออีกแค่หนึ่ง”

   “หวังว่าไอ้โอมคงจะเอาอยู่นะ” วิศรุตบอกก่อนจะชวนให้นภัทรรีบเข้าไปในโกดังด้วยกันเพราะเขาไม่ไว้ใจภาคินเลย

   ‘ปังงง’

เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นทำลายความเงียบ ก่อนที่วิศรุตจะหันไปมองหน้านภัทรอย่างหวั่นวิตก

   “ไอ้โอม” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว ดวงตาสีน้ำตาลโศกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าภาณุไม่ได้พกปืน แสดงว่า
เสียงปืนที่ดังเมื่อครู่นี้ก็ต้องไม่ใช่ของภาณุแน่ วิศรุตกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพุ่งตัวไปยังทางต้นเสียงที่อยู่อีกด้านของโกดังทันที แต่นภัทรรีบฉวยข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

   “นายรีบเข้าไปช่วยคุณศราเถอะ เดี๋ยวฉันไปดูไอ้โอมเอง” วิศรุตลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจฝากให้นภัทรดูแลเพื่อนรักของตนด้วย หลังจากนั้นจึงกัดฟันข่มความปวดที่บริเวณท้องน้อยแล้วจึงรีบวิ่งไปทางประตูโกดัง






   ภาคินละมือออกจากการปลดตะขอเสื้อชั้นในของศรารัตน์หลังจากที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ชายหนุ่มมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันทีก่อนมือหนาจะรีบติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างลวกๆ แล้วตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆจึงมีเสียงปืนดังขึ้นมาได้ แต่จังหวะที่ภาคินกำลังเอื้อมมือหมายจะผลักประตูให้เปิด ประตูหนาหนักของโกดังก็ถูกกระแทกให้เปิดออกจากทางด้านนอกเสียก่อน

   “วิศรุต” ภาคินเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร ในขณะที่วิศรุตก็มองสภาพเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของอีกฝ่ายด้วยความตกใจก่อนดวงตาสีน้ำตาลโศกจะไล่มองไปยังข้างในโกดังก่อนจะสะดุดกับร่างเกือบเปลือยของศรารัตน์ที่นอนนิ่งไม่ได้สติ อยู่ที่พื้นอีกด้านหนึ่งไม่ไกลนัก

“ไอ้ภาคิน ไอ้ชาติชั่ว มึง...” สภาพของศรารัตน์ที่วิศรุตได้เห็น ทำให้ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้ชั่วอย่างภาคินจะต้องวางแผนหลอกพาน้องสาวเขามาย่ำยีอย่างแน่นอน วิศรุตจ้องภาคินที่กำลังยืนตัวสั่น
ด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะใช้สองมือกระชากคอเสื้อของภาคินเข้าหาตัวแล้วตะคอกถามเสียงดังด้วยความโกรธที่
กำลังโหมกระพือ

“มึงทำอย่างนี้กับศราได้ยังไงวะ? ไอ้สารเลว มึง...อย่าอยู่เลย” กำปั้นหนักๆถูกส่งไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของภาคิน ก่อนวิศรุตจะตามซ้ำด้วยหมัดจำนวนไม่ยั้งที่ระดมอัดจนใบหน้าอีกฝ่ายเริ่มช้ำและมีเลือดสดๆไหลรินออกมาราวกับน้ำทะลัก

ภาคินหน้าสะบัดไปตามแรงมือของวิศรุตก่อนจะแข็งใจใช้ท่อนแขนรับกำปั้นที่สวนมาของวิศรุตได้พอดี แล้วจึงเงื้อขาถีบเข้าที่ท้องน้อยจนวิศรุตเสียหลักล้มไปอีกทาง แล้วภาคินจึงตามเข้ามาหมายจะอัดฝ่ายตรงข้ามให้เละเพื่อเป็นการเอาคืนที่วิศรุตทำกับตน

“แส่ไม่เข้าเรื่องนักนะมึงไอ้วิน” ภาคินเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมบนตัวของวิศรุต ก่อนจะใช้สองมือขยุ้มผมของฝ่ายนั้นแล้วจับศีรษะของวิศรุตโขกกับพื้นซีเมนต์ของโกดังอย่างแรงจนชายหนุ่มหัวแตกและมึนงงจากการที่ศีรษะถูกกระแทกหลายครั้ง

“อยากแส่เองนะมึง จะมาหาว่ากูใจร้ายไม่ได้นะ” ภาคินยิ้มเหี้ยมก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากการจับศีรษะของวิศรุตโขกพื้นมาเป็นการบีบคออีกฝ่ายแทน “กูทนมึงมานานแล้วเว้ย ถึงเวลาที่กูจะเอาคืนบ้างล่ะ” ภาคินบีบคอวิศรุตจนอีกฝ่ายหน้าเขียวแทบขาดอากาศหายใจ วิศรุตพยายามแกะมือที่บีบคอตนเองออกอย่างสุดแรงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะตอนนี้ชายหนุ่มเจ็บจากการโดนอีกฝ่ายชกเข้าที่แผลเก่าที่ท้องน้อย ประกอบกับภาคินกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา

ภาคินตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ฆ่าวิศรุตไปพร้อมๆกับศรารัตน์เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจแค่จะจัดการกับศรารัตน์แค่คนเดียวก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าวิศรุตจะด่วนเข้ามาหาที่ตายเร็วเช่นนี้  ภาคินมองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่เริ่มเหยเกเพราะขาดอากาศหายใจด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมก่อนลงมือบีบคอวิศรุตให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

วิศรุตควานมือไปรอบๆตัวอย่างอ่อนแรง ในขณะที่พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากอุ้งมือของภาคิน ทันใดนั้นมือหนาของวิศรุตก็ไปสัมผัสเข้ากลับอิฐมอญก้อนเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นโกดัง ชายหนุ่มฉวยอิฐก้อนนั้นมากำแน่นแล้วฟาดไปยังศีรษะของภาคินเต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องคลายมือที่กำลังบีบคอเขาทันที

วิศรุตพลิกตัวหอบหายใจแรงแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดชดเชยกับตอนที่ถูกบีบคอ ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองภาคินที่กำลังกุมศีรษะโชกเลือดของตนด้วยความแค้นแล้วจึงโถมถลาเข้าไปจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ

คราวนี้วิศรุตเป็นฝ่ายได้เปรียบและกลายเป็นฝ่ายที่ได้ขึ้นคร่อมเหนือร่างของภาคิน ชายหนุ่มใช้สองมือขยุ้มผมภาคินแล้วจับโขกกับพื้นโกดังแบบที่อีกฝ่ายทำกับเขา เมื่อเห็นว่ายังไม่สาแก่ใจจึงกระชากภาคินให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงฝ่ายนั้นไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโกดังใกล้ๆกับที่ศรารัตน์นอนอยู่

“มึงแหกตาดูคนที่มึงกำลังจะทำร้ายสิวะได้ชาติชั่ว คนอย่างมึงไม่น่าจะเกิดมาได้ใช้นามสกุลทัดเทวาเลยไอ้ภาคิน มึงแน่มากที่กล้าทำกับน้องสาวกูแบบนี้” ไม่รอให้พูดจบ วิศรุตก็เสยกำปั้นไปที่ใบหน้าที่เริ่มยับเยินของภาคินอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์โกรธจัดที่ไม่เคยได้เห็นจากวิศรุตมาก่อนในชีวิต วิศรุตคงจะซัดภาคินจนอีกฝ่ายช้ำในตายถ้าหากนภัทรไม่รีบวิ่งเข้ามาห้ามเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นภาคินก็สะบักสะบอมไปทั้งตัว

“พอเถอะ” นภัทรรีบเข้ามารั้งร่างของวิศรุตไม่ให้เข้าไปทำร้ายภาคินได้อีก แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่สงบลง

“ปล่อยฉัน วันนี้ฉันจะต้องเอาเลือดหัวไอ้สารเลวนี่มาล้างตีนยัยศราให้ได้” วิศรุตพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของนภัทร แต่คุณหมอหนุ่มพูดเสียงเข้ม

“ฆ่ามันให้ตายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก สงบสติอารมณ์แล้วใจเย็นๆหน่อยสิ” ดวงตาสีถ่านที่จ้องมายังเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งทำให้วิศรุตเริ่มสงบขึ้นมาบ้าง ก่อนจะถามหาภาณุเพราะไม่เห็นว่าภาณุเข้ามาด้วยกันกับนภัทร

“ไอ้โอมล่ะ ไอ้โอมไปไหน?”

“ไอ้โอมถูกยิง” วิศรุตตัวชาไปหลังจากรู้ว่าภาณุถูกยิง ที่แท้เสียงปืนนัดนั้นเป็นเสียงปืนที่ยิงภาณุเพื่อนของเขานั่นเอง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้โอมมันดวงแข็ง กระสุนแค่เฉี่ยวถากๆเท่านั้นเอง ตอนนี้ฉันปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แล้ว” นภัทรรีบชิงพูดขึ้นก่อนเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ ในขณะที่วิศรุตก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าภาณุไม่เป็นอะไรมากก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบวิ่งปราดเข้าไปหาศรารัตน์ที่สลบอยู่อีกด้านด้วยความห่วงใย

“ศราๆๆ ตื่นสิยัยศรา ศรา...”

“คงโดนยาสลบน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพอยาหมดฤทธิ์คุณศราก็ฟื้นเอง ไม่เป็นอันตรายหรอก” นภัทรพูดหลังจากที่ตามวิศรุตเข้ามาดูอาการของศรารัตน์

   วิศรุตจ้องไปยังภาคินที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นด้วยความแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน น้องสาวของเขาก็คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ เมื่อยิ่งคิดยิ่งแค้น วิศรุตจึงตั้งใจจะเข้าไปจัดการกับภาคินอีกรอบ แต่นภัทรรู้ทันความคิดที่ถูกสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น คุณหมอหนุ่มจึงรั้งวิศรุตไว้อีกหน

   “ใจคอนายคิดจะฆ่าหมอนั่นให้ตายไปเลยหรือยังไง?”

   “ใช่ น้องสาวนายไม่โดนแบบนี้ นายก็ไม่รู้สึกหรอก” วิศรุตตวัดเสียงห้วนก่อนจะรู้สึกว่าตนพูดแรงไปจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย แต่นภัทรกลับไม่ถือเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างวิศรุตดี ดูภายนอกวิศรุตกับศรารัตน์ก็เหมือนคู่กัดที่ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เนื้อแท้แล้ววิศรุตกลับรักและเป็นห่วงศรารัตน์มากเหลือเกิน ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นเรื่องราวในวันนี้ด้วยตัวเอง เขาต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าวิศรุต ทัดเทวาจะบ้าดีเดือดสู้จนเลือดเข้าตาเพื่อปกป้องน้องสาวของตัวเองได้มากขนาดนี้

   “ฉันว่านายรีบพาคุณศราออกไปจากที่นี่ดีกว่า อีกอย่างนายจะได้ไปทำแผลด้วย” นภัทรบอกเมื่อได้ทันสังเกตเห็นว่าวิศรุตก็มีสภาพยับเยินไม่ค่อยต่างจากภาคินเท่าใดนัก ซึ่งคราวนี้วิศรุตก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบจัดการเสื้อผ้าของ
ศรารัตน์ให้เรียบร้อยตามเดิมก่อนใช้สองมือช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากพื้นก่อนจะอุ้มร่างที่ยังไม่ได้สติเดินไปทางประตูโกดังที่เปิดอ้าอยู่ จังหวะที่เดินผ่านร่างภาคินที่นอนหมอบอยู่นั้น วิศรุตก็เค้นเสียงต่ำกับอีกฝ่าย

   “นี่มันยังไม่สาสมกับที่มึงทำร้ายน้องสาวกู และอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีกนะ ไม่อย่างนั้นกูเอามึงตายแน่ไอ้สารเลวภาคิน”

   วิศรุตอุ้มศรารัตน์ออกไปพร้อมกับนภัทรที่ตามไปติดๆ ทิ้งให้ภาคินนอนเจ็บใจและกัดฟันด้วยความแค้นที่ทำอะไรวิศรุตไม่ได้เสียที

   “อย่าให้ถึงทีของกูบ้างก็แล้วกัน กูจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้วิน”



จบบทที่ 16

ปล. วินก็บู้เก่งนะเนี่ย เหอๆๆ  :z6:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่17
«ตอบ #43 เมื่อ02-08-2012 11:24:26 »

บทที่ 17

   
เมื่อศรารัตน์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวก็มานอนอยู่บนเตียงในห้องส่วนตัวของเธอที่บ้านทัดเทวาเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปด้านข้างเตียงก็พบกับนภัทรที่กำลังจดจ่ออยู่กับการจัดของในกระเป๋ายาของตนและถัดไปไม่ไกลก็คือวิศรุตที่กำลังยืนพิงกรอบหน้าต่างบานใหญ่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “อ้าวคุณศรา ฟื้นแล้วเหรอครับ?” นภัทรหันมาก็พบว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วและกำลังพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากเตียงนอน แต่หญิงสาวก็ต้องเบ้หน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อย “ค่อยๆนะครับ” คุณหมอหนุ่มช่วยพยุงคนป่วยให้ลุกขึ้นมานั่งได้ก่อนจะใช้หมอนยันรองหลังเพื่อกันกระแทกให้กับศรารัตน์

   “เกิดอะไรขึ้นกับฉันคะ? แล้วนี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองถูกวางยาสลบที่ลานจอดรถของห้างก่อนจะถูกภาคินพาตัวขึ้นรถเพื่อจับเธอไปข่มขืน คิดมาถึงตรงนี้ศรารัตน์ก็หน้าซีดเผือดก่อนจะสบตากับดวงตาสีถ่านเข้มที่มองตอบกลับมาอย่างเห็นใจ

   “เธอถูกไอ้ภาคินหลอกพาไปข่มขืนน่ะสิ” วิศรุตเป็นคนตอบคำถามนั้นเอง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าเตียงของศรารัตน์ก่อนเอ่ยถามผู้เป็นน้องสาวว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วภาคินจับตัวเธอไปได้อย่างไร?

   “ฉันโดนใครก็ไม่รู้โปะยาสลบที่ลานจอดรถของห้างหลังจากที่ซื้อของเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน จากนั้นฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในรถของภาคินแล้ว ฉันพยายามทำให้รถเสียหลักเพื่อหยุดรถ แต่ฉันก็โดนมันเอาผ้าโปะยาสลบอุดจมูกอีกรอบ จากนั้นมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในโกดังร้างนั่นแล้ว มัน...มัน...มันทำร้ายฉัน” พูดจบศรารัตน์ก็น้ำตาไหลพรากเมื่อนึกถึงสิ่งที่ภาคินทำกับเธอ หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะต้องมาเผชิญกับเรื่องร้ายๆแบบนี้โดยคนที่ทำร้ายเธอคือญาติผู้พี่ของเธอเอง

   “ใจเย็นๆนะครับคุณศรา ไม่ต้องกลัวนะครับ ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” นภัทรบีบมือศรารัตน์เบาๆอย่างต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นไปสู่อีกฝ่าย หญิงสาวคงจะเสียขวัญจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากซึ่งเขาเองก็เห็นใจเธอเหลือเกินเพราะเรื่องที่เธอได้เจอมันคือฝันร้ายสำหรับผู้หญิงทุกคน

   ศรารัตน์มองมือหนาที่กำลังกุมฝ่ามือของเธอไว้อย่างขอบคุณก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลลงมาอีกรอบอย่างกลั้นไม่อยู่  ยิ่งได้เห็นนภัทรแบบนี้เธอยิ่งกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ที่เธอตกเป็นของไอ้คนสารเลวอย่างภาคินแล้ว ร่างบางสะอื้นไห้ออกมาอย่างหนักจนตัวโยนทำให้นภัทรต้องรั้งร่างบางเข้ามากอดปลอบด้วยความเห็นใจ

   ภาพตรงหน้าทำให้วิศรุตต้องเบือนหน้าไปอีกทาง ถึงแม้จะเข้าใจว่านภัทรคงไม่ได้คิดอะไรที่ทำแบบนั้น แต่ศรารัตน์ล่ะ ชายหนุ่มคิดว่าน้องสาวของเขาคงต้องหวั่นไหวกับสัมผัสแบบนี้แน่ ซึ่งวิศรุตก็มั่นใจว่าตัวเองเดาถูกเมื่อสังเกตเห็นสองแก้มของ ศรารัตน์เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ

   “หยุดร้องไห้ได้แล้วยัยศรา ไอ้ภาคินยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอหรอก” วิศรุตพูดเสียงแผ่วในขณะที่ศรารัตน์หยุดร้องไห้ทันที หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งก่อนถามย้ำกับวิศรุตอีกรอบเพื่อความแน่ใจ อย่างน้อยวันนี้เธอก็ยังไม่ถึงกับโชคร้ายไป
เสียหมด ศรารัตน์คิดในใจ

   “จริงครับ ที่พี่ชายคุณพูดเป็นเรื่องจริง โชคดีที่ช่วยคุณศราออกมาจากโกดังได้ทัน” นภัทรยืนยันแทนวิศรุต ในขณะที่
ศรารัตน์เริ่มเอะใจ

   “นี่คุณหมอเป็นคนไปช่วยฉันที่โกดังร้างนั่นเหรอคะ” เมื่อเจอกับสายตาคาดคั้นของศรารัตน์ก็ทำให้นภัทรอึกอัก คุณหมอหนุ่มหันไปมองวิศรุตโดยตั้งใจจะบอกว่าวิศรุตเป็นคนที่เข้าไปช่วยเธอให้พ้นเงื้อมมือของภาคินต่างหาก ไม่ใช่เขา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “ใช่แล้วล่ะ คุณหมอนภัทรเป็นคนไปช่วยเธอออกมาแถมยังอัดไอ้ภาคินซะเละเลย” ศรารัตน์หันไปมองนภัทรอีกครั้งด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขอบคุณและความประทับใจในตัวคุณหมอหนุ่มที่เริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ถูกอ้างชื่อกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนพลางส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยคำถามไปทางวิศรุต เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิศรุตทำแบบนี้ทำไมกัน ทำไมต้องบอกศรารัตน์ไปอย่างนั้นด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ช่วยศรารัตน์จากภาคินก็คือวิศรุตเอง

   “ว่าแต่หน้านายทำไมเยินอย่างนั้นล่ะวิน ไปโดนอะไรมา?” ศรารัตน์จ้องไปยังใบหน้าของวิศรุตอย่างสงสัย เมื่อเพิ่งมีโอกาสสังเกตเห็นว่าใบหน้าของวิศรุตมีรอยช้ำและบวมอยู่หลายแห่ง อีกทั้งหัวก็ยังแตกอีกด้วย

   “ช่างเถอะ พอดีไปฟัดกับพวกลูกน้องของไอ้ภาคินมาน่ะ ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ตอนนี้เธอน่ะนอนพักผ่อนไปก่อนเถอะ” วิศรุตหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นรอยแผลฟกช้ำบนใบหน้าเขาไปมากกว่านี้

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะจัดยาให้แล้วกันนะครับ คุณศราจะได้พักผ่อนเสียที” นภัทรตัดบทก่อนจะประคองให้ศรารัตน์นอนลงตามเดิมแล้วคุณหมอหนุ่มก็หันมาจัดยาให้กับศรารัตน์โดยไม่ลืมที่จะจ่ายยานอนหลับให้ด้วย เขารู้ว่าวันนี้เธอทั้งเหนื่อยและเพลียมาก หญิงสาวต้องการการพักผ่อนอย่างจริงจังเสียที เมื่อจัดยาเสร็จจึงยื่นให้กับศรารัตน์ที่รับไปเข้าปากอย่างว่าง่าย

   นภัทรดูแลให้ศรารัตน์ทานยาเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักหญิงสาวก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา เมื่อแน่ใจว่าร่างบนเตียงหลับสนิท นภัทรจึงหันไปหาวิศรุตที่กำลังยืนจ้องมาทางตนอยู่

   “แล้วไอ้โอมล่ะ กลับไปแล้วเหรอ?” นภัทรพยักหน้า หลังจากที่เขาทำแผลที่โดนกระสุนถากให้กับภาณุเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังไม่อยากอยู่รบกวนศรารัตน์ อีกทั้งที่บ้านก็โทรมาตามเห็นบอกว่ามีเรื่องด่วน ภาณุก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านไปก่อนโดยที่ไม่ทันได้บอกกับวิศรุตทั้งๆที่ยังแขนเจ็บอยู่

   “ทำไมนายบอกคุณศราไปอย่างนั้นล่ะ? ทำไมต้องบอกว่าคนที่เข้าไปช่วยเธอคือฉัน ทั้งๆที่คนๆนั้นก็คือนาย” วิศรุตถอนหายใจบางก่อนเอ่ยเสียงเบา

   “ยัยศราคงจะดีใจมากกว่าถ้าคนที่เป็นฮีโร่ไปช่วยเธอก็คือนาย ไม่ใช่พี่ชายอย่างฉัน” นภัทรมองวิศรุตด้วยความรู้สึกแปลกๆ เป็นอีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจเลยว่าวิศรุตกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

   “แต่ฉันว่าตรงกันข้าม ถ้าคุณศรารู้ว่านายเป็นคนช่วยเธอล่ะก็เธอคงต้องดีใจมากกว่านี้เสียอีก อย่าลืมสิว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของนายนะ”

   “ความสัมพันธ์พี่น้องของเรามันแปลกๆไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขาหรอก บอกศราไปแบบนั้นน่ะดีแล้ว” ในสายตาของ
ศรารัตน์ ชายหนุ่มคงเป็นพี่ชายที่แย่มากจนกระทั่งปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเองสินะ วิศรุตมองไปยังศรารัตน์อีกครั้งด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความน้อยใจลึกๆ






   “คุณหนูใหญ่ครับ คุณวันชัยกับคุณภาคินมาขอพบน่ะครับ” เสียงเรียกของลุงมั่นทำให้วิศรุตที่กำลังนั่งอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัททัดเทวาอยู่ถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อสองพ่อลูกคู่นี้ นี่ไอ้ภาคินยังมีหน้ามาที่บ้านนี้อีกเหรอ ลำพังเขาไม่เอาเรื่องมันก็ดีแค่ไหนแล้ว วิศรุตคิดในใจพลางกัดกรามแน่นด้วยความที่ยังแค้นอีกฝ่ายไม่หาย

   “แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงที่ถามถึงแขกทั้งสองคนดูห้วนกระด้าง

   “ผมให้รออยู่ที่ห้องรับแขกครับ” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะบอกให้ลุงมั่นไปตามศรารัตน์ลงมาพบเขาที่ห้องรับแขกด้วย




   “แกยังกล้ามาที่นี่อีกเหรอภาคิน?” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านถามเสียงเย็นทันทีที่เห็นหน้าคู่กรณี ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายกร้าวอย่างเอาเรื่อง

   “ใจเย็นๆก่อนนะวิน ที่อากับภาคินมาวันนี้ก็เพื่อตั้งใจจะมาขอโทษวินกับศราใน เอ่อ...เรื่องที่เกิดขึ้น” วิศรุตหันหน้าหนีเพราะไม่อยากฟัง “ให้โอกาสภาคินได้อธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเถอะนะวิน”

   “อาอยากจะให้ผมฟังคำแก้ตัวอะไรอีกงั้นเหรอ? ลูกชายตัวดีของอามันทำกับยัยศราถึงขนาดนี้ อายังจะให้ผมอภัยและยกโทษให้มันเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ?” วิศรุตสูดลมหายใจแรงอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนจะหันไปมองภาคินอย่างเอาเรื่อง

“หน้ายังบวมช้ำอยู่เลยนี่ สงสัยฉันคงจะออกแรงหนักไปหน่อย”

   ภาคินมองตอบสายตาคู่นั้นอย่างไม่กลัว ก่อนที่แววตาท้าทายเมื่อครู่จะเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยแววตาสำนึกผิดแทน “ฉันขอโทษนะวิน คือวันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นกับศราจริงๆ คือว่าฉัน...”

   “เก็บคำพูดของนายไว้ไปแก้ตัวกับศราเถอะ นั่นไงยัยศรามาแล้ว” ภาคินหันไปมองศรารัตน์ที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องรับแขกช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่ถอดแบบมาจากพี่ชายฉายแววเย็นชาเมื่อสบตากับภาคิน

   “ศรา เรื่องเมื่อวานฉันอธิบายได้นะ คือว่าฉัน...”

   “พอที ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่นายทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นไปเพราะอะไร แต่ฉันอยากจะรู้ว่านายกล้าทำได้ยังไงต่าง
หาก” ศรารัตน์เน้นเสียงประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้าเย็นชา 

   “ที่ฉันทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นไปก็เพราะฉันรักเธอมากนะ รักจนอยากให้เธอเป็นของฉันเพียงคนเดียว”

   “นายก็เลยใช้แผนชั่วๆจับตัวฉันเพื่อจะหลอกพาไปข่มขืนเนี่ยนะ นี่น่ะเหรอที่นายบอกว่ารักฉัน? หึ นายรักฉันหรือว่ารักสมบัติของฉันกันแน่ อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไรภาคิน” วิศรุตเหลือบมองภาคินที่หน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอย่างสมเพช ใจจริงเขาต้องการจะจับภาคินส่งตำรวจให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่ติดที่ศรารัตน์ไม่ยอมเพราะเกรงว่าจะเสียชื่อเสียงของทัดเทวา หญิงสาวไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาวออกไปเพราะเกรงว่าเธอเองนั่นแหล่ะที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

   “อย่างนี้มันน่าจะจับส่งตำรวจเสียให้เข็ด” วิศรุตเอ่ยเบาๆ แต่ในห้องรับแขกที่เงียบอยู่แล้ว ดังนั้นคำพูดของวิศรุตทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจนโดยเฉพาะภาคินที่ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นใจ เพราะหากวิศรุตและศรารัตน์ทำอย่างที่พูดจริงๆ
เขาคงหมดอนาคตและชื่อเสียงคงดังฉาวโฉ่ไปทั่ววงการไฮโซแน่ เขารู้จักนิสัยของวิศรุตดี ชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามีโอกาสจะกำจัดคู่แค้นอย่างเขาแล้วละก็ หมอนั่นกัดไม่ปล่อยแน่

   “อาว่าอย่าให้เรื่องนี้ถึงตำรวจเลยนะ มันจะเสียชื่อทัดเทวาเปล่าๆ อาผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี แต่อาขอรับรองว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ให้อภัยภาคินสักครั้งเถอะนะวิน ศรา” วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนจะเบือนหน้าไปยังน้องสาวของเขาที่ตกเป็นผู้เสียหายจากเรื่องนี้ทำนองว่าศรารัตน์จะเอายังไง จะเปลี่ยนใจให้เขาแจ้งความเพื่อเอาเรื่องกับภาคินไหม?

   “เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณอารับรองอย่างนั้น คราวนี้ศราจะไม่เอาเรื่องก็ได้ เห็นแก่ภาคินก็ใช้นามสกุลทัดเทวาร่วมกับเรา ถ้าเรื่องนี้หลุดรอดออกไปจะกลายเป็นเรื่องที่คนนินทาสนุกปากกันมากกว่า”

   “ขอบใจมากนะศรา ขอบใจเธอจริงๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว” มือหนาของภาคินเอื้อมมาคว้ามือของศรารัตน์ไปกุมไว้ แต่วิศรุตก็ดึงมือน้องสาวของตนให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแทบจะทันทีพร้อมพูดใส่หน้า

   “ที่ศราให้อภัยนายครั้งนี้ก็เพราะว่าสงสาร ถึงนายจะไม่ใช่สายเลือดแท้ๆของทัดเทวา แต่ยังไงเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และฉันจะขอเตือนเอาไว้นะ ถ้าหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองหรือถ้านายมาทำร้ายน้องสาวฉันอีกละก็ ฉันสัญญาว่าแม้แต่นามสกุลทัดเทวา นายก็จะไม่มีสิทธิได้ใช้อีกต่อไป” วิศรุตสบตาภาคินด้วยความเกลียดชังน้ำหน้าอีกฝ่าย ซึ่งภาคินก็
มองตอบกลับมาด้วยแววตาที่สื่อความหมายแบบเดียวกัน






   “โธ่เว้ย เจ็บใจไอ้วินจริงๆ ทำมาเป็นวางก้ามว่าเป็นทายาทที่แท้จริงของทัดเทวาอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าให้ถึงที่ผมบ้างก็แล้วกัน ผมจะเอาคืนมันให้เจ็บแสบจนสะกดคำว่าทัดเทวาไม่เป็นเลยทีเดียว” ภาคินกระแทกตัวนั่งบนโซฟาเมื่อกลับมาถึงที่บ้านของตนแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างจากบ้านทัดเทวายังไม่จางหายไปง่ายๆ ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นพ่อ “แล้วพ่อจะให้ผมทำไงต่อไปครับ?”

   “แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ก็เพราะความไม่ได้เรื่องของแกแล้วก็ลูกน้องโง่ๆของแกนั่นแหล่ะ ทำงานไม่ได้เรื่องเลยซักนิด และคราวนี้ถือว่าแกโชคดีมากนะที่วินกับยัยศราไม่เอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นแกได้ไปนอนในคุกแน่”

   “โธ่พ่อครับ ถ้าไอ้วินกับเพื่อนมันไม่มาช่วยศราเอาไว้ได้ทัน ยัยนั่นเสร็จผมไปเรียบร้อยแล้ว”

   “ช่างเถอะ ฉันไม่อยากฟัง” วันชัยยกมือปราม ในขณะภาคินพูดต่อ

   “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไอ้วินมันต้องไม่ยอมให้ผมได้เข้าใกล้ศราแน่ๆ รวมถึงมันก็ต้องระวังตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แล้วเราจะหาโอกาสจัดการมันสองคนได้ยังไงล่ะครับ?” วันชัยหันไปสบตาลูกชายด้วยแววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ






   เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นก่อนประตูจะถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์จึงก้าวเข้ามาในห้อง หญิงสาวสบตากับวิศรุตที่กำลังมองจ้องมาที่ผู้มาใหม่เป็นคำถามว่าเธอเข้ามาในห้องทำงานของเขาทำไมกัน ศรารัตน์สูดลมหายใจลึกพลางนึกทบทวนถึงจุดประสงค์ที่เธอมาหาวิศรุตอยู่ในใจ หญิงสาวไม่มั่นใจสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เธอนอนคิดตรองเรื่องนี้มาทั้งคืน ถ้าหากเธอไม่บอกเรื่องนี้ให้วิศรุตรู้ บางทีผลลัพธ์ของมันอาจจะเลวร้ายกว่าที่เธอคาดไว้ก็ได้

   “ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องบอกนาย” ศรารัตน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของพี่ชายก่อนจะพูดต่อ “เรื่องที่ภาคินทำกับฉันเมื่อวันก่อน ฉันคิดว่าภาคินคงต้องการจะแก้แค้นฉันหรือไม่ก็ต้องการจะเอาเรื่องที่มันจงใจรังแกฉันมาเพื่อแบ็คเมล์ไม่ให้ฉันบอกความจริงกับนาย”

   “ความจริงอะไร? นี่เธอไปรู้อะไรเกี่ยวกับสองพ่อลูกนั่นมางั้นเหรอ?” วิศรุตขยับตัวลุกจากเก้าอี้นวมตัวหนาแล้วมายืนประจันหน้ากับศรารัตน์ “แล้วความจริงที่ว่านั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่?”

   “วันนั้นฉันไปที่ห้องทำงานของภาคินเพราะสงสัยเรื่องความผิดปกติของงบการเงินปีก่อนๆ แล้วฉันก็บังเอิญได้ยินคุณอาวันชัยกับภาคินคุยกันถึงเรื่องยักยอกโกงเงินของบริษัท”

   “อะไรนะ นี่อาวันชัยกับไอ้ภาคินกล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ” วิศรุตอึ้งไปเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมาลองคิดดูถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับศรารัตน์แล้ว เหตุผลนี้ก็เป็นไปได้มากทีเดียว สองพ่อลูกนั่นคงจะกลัวว่าศรารัตน์จะเอาเรื่องนี้มาบอกเขา เลยชิงที่จะกำจัดศรารัตน์ให้พ้นทางก่อน จากนั้นก็คงวางแผนค่อยๆเขี่ยให้เขากระเด็นจากบริษัททัดเทวา แล้วตัวเองกับลูกชายจึงขึ้นมาบริหารงานรับช่วงต่อแทน โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของตัวเขาต่อบรรดากรรมการบริหารยิ่งไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ด้วย

   “ตอนแรกที่ฉันรู้ ฉันตั้งใจว่าจะไม่บอกนายเรื่องนี้ เพราอย่างน้อยเขาก็เป็นญาติของเรา แล้วฉันก็อยากให้พวกเขาได้แก้ตัว แต่ว่าสิ่งที่ภาคินทำกับฉันวันนั้น ถึงฉันจะไม่เอาเรื่องส่งตำรวจแต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้ไม่น่าไว้ใจอีกต่อไปแล้ว”

   “เธอมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า? เพราะถ้าเราไม่มีหลักฐานอาศัยแค่คำพูดของเธอ การจะเอาผิดกับสองคนนั้นก็คงยาก” ศรารัตน์พยักหน้า หญิงสาวยื่นแผ่นซีดีข้อมูลที่ถือมาด้วยให้วิศรุต

   “ฉันเซฟข้อมูลทั้งหมดไว้ในแผ่นซีดีนี่แล้ว นายลองเอาไปเปิดดูก็แล้วกัน ในนั้นน่ะเป็นงบการเงินของหลายๆปีที่ผ่านการตกแต่งบัญชีมาแล้วอย่างแนบเนียน ฉันทำเครื่องหมายเน้นจุดที่ผิดปกติเอาไว้ให้แล้ว รับรองว่าอาวันชัยกับภาคินเห็นเอกสารพวกนี้แล้วต้องดิ้นไม่หลุดแน่นอน” วิศรุตมองแผ่นซีดีข้อมูลในมือแล้วยิ้มเย็น ในขณะที่ศรารัตน์ก็ถามว่าเขารู้อย่างนี้แล้วจะจัดการยังไงต่อไป?

   “เธออย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะ เพราะถ้าหากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูคนนอกล่ะก็ ข่าวการยักยอกเงินของผู้บริหารระดับสูงจะต้องกระเทือนกับภาพลักษณ์ของบริษัททัดเทวาแน่นอน ฉันไม่อยากให้พวกผู้ถือหุ้นขาดความเชื่อมั่นในบริษัทเราเพราะเรื่องนี้”

   “แล้วนายจะปล่อยเอาไว้อย่างนี้น่ะเหรอ?”

   “เธอไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ฉันไม่ปล่อยให้สองคนนั้นเสวยสุขอยู่บนเงินที่โกงมาจากบริษัทของเราได้นานหรอก แม้ว่าคนๆนั้นจะมีสายสัมพันธ์เป็นญาติสนิทของเราก็ตาม”


จบบทที่17

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่18
«ตอบ #44 เมื่อ02-08-2012 11:27:52 »

บทที่ 18


   การเรียกเปิดประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารของบริษัททัดเทวาทำให้บรรดากรรมการบริหารหลายๆท่านเกิดความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าท่านประธานมีเรื่องด่วนอะไรกันแน่ถึงประกาศขอเปิดวาระการประชุมแบบกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่วันชัยที่เป็นถึงรองประธานกรรมการก็ไม่ทราบเรื่องด้วยเช่นกัน คราวนี้ไม่รู้ว่าวิศรุตจะมาไม้ไหนอีก วันชัยคิดในใจ

   “นี่มันเรื่องอะไรกันครับพ่อ อยู่ๆไอ้วินก็มาเปิดประชุมด่วนแบบนี้ หรือว่า...” ภาคินมีสีหน้าร้อนรนเมื่อนึกถึงว่าวิศรุตอาจจะรู้เรื่องที่ตนกับพ่อโกงเงินบริษัทจากศรารัตน์แล้วก็ได้

   “พ่อก็ไม่รู้ แกอยู่นิ่งๆเถอะหน่า รอดูไปก่อน อย่ามาทำลุกลี้ลุกลนแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นก็จับสังเกตได้หรอก” วันชัยเอ็ดลูกชายเบาๆให้ได้ยินกันสองคน เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าวิศรุตเรียกประชุมด่วนทำไม แต่ว่าหากวิศรุตคิดจะใช้โอกาสนี้แฉเรื่องที่เขากับภาคินยักยอกเงินจริงๆ เขาก็ไม่กลัว เพราะได้เตรียมการเอาไว้พร้อมหมดแล้วตั้งแต่วันที่ศรารัตน์บังเอิญได้รู้ความจริงเข้า ดังนั้นการที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างวิศรุตจะมาเขี่ยเขาให้พ้นจากเก้าอี้ผู้บริหารของทัดเทวาล่ะก็ เกรงว่ามันจะไม่ง่ายนัก

   เวลาผ่านไปซักพัก วิศรุตก็เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับศรารัตน์และเมริษาซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาคนปัจจุบันของวิศรุต ชายหนุ่มกวาดตาไปรอบห้องก่อนจะมาหยุดที่ภาคินและวันชัยก่อนจะยิ้มน้อยๆแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาจนอีกฝ่ายรู้สึกได้  ภาคินหันไปสบตากับเมริษาที่ยืนอยู่ข้างกายวิศรุตเป็นเชิงถามว่าที่วิศรุตเรียกประชุมแบบนี้มันจะต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่เมริษาก็มองตอบสายตานั้นเป็นเชิงว่าเธอเองก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้เช่นกัน

   “สวัสดีครับทุกท่าน” วิศรุตเอ่ยทักทายผู้บริหารคนอื่นๆทันทีที่นั่งลงยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งที่หัวมุมโต๊ะเรียบร้อยแล้ว “ที่ผมต้องรบกวนเวลาทุกท่านและเรียกเปิดประชุมด่วนแบบนี้ก็เพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะให้ทุกท่านได้รับทราบ”

   “เรื่องสำคัญอะไรล่ะครับคุณวิศรุต พวกเราอยากจะรู้เต็มทีแล้ว” คุณมงคลถามขึ้น ในขณะที่วิศรุตหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะบอกว่าเรื่องที่เขาจะพูดนี้เป็นเรื่องสำคัญกับบริษัททัดเทวามากทีเดียว

   วิศรุตยื่นแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งให้กับเมริษาก่อนจะสั่งให้เลขาสาวเอาไปเปิดขึ้นหน้าจอโปรเจ็คเตอร์เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจะได้ให้วันชัยกับภาคินเห็นถึงความสกปรกไม่ซื่อของตนที่พยายามปกปิดมาตลอดแต่ในที่สุดก็ปิดไม่
มิดอยู่วันยังค่ำ

   ข้อมูลที่แสดงอยู่บนจอโปรเจคเตอร์ทำให้ภาคินถึงกับหน้าถอดสี ในขณะที่วันชัยเองก็อึ้งไปแต่ก็ยังคงรักษาท่าทางสุขุมได้อย่างเยือกเย็น วิศรุตปรายตาไปมองยังสองพ่อลูกก่อนจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้บรรดากรรมการบริหารฟังในขณะที่
ศรารัตน์ลอบยิ้มในหน้าอย่างสะใจ

   “ข้อมูลที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ เป็นข้อมูลงบการเงินย้อนหลังและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องของบริษัทเรา จากจุดที่มีการเน้นเอาไว้หากพิจารณาดีๆจะเห็นได้ถึงความผิดปกติอย่างมากของงบ จากที่เห็นมันแสดงได้ว่าในแต่ละโครงการหนึ่งๆของบริษัทมีเงินถูกเบิกจ่ายออกไปเป็นจำนวนมากโดยไม่ได้ถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆ หรือไม่ก็มีการประเมินราคาวัสดุก่อสร้างที่เกินจริง ซึ่งใบเสนอราคาและข้อมูลการยื่นแบบประมูลทั้งหมดผมได้เอาหลักฐานมาแสดงด้วยในวันนี้” วิศรุตพยักหน้าให้เลขาการประชุมแจกเอกสารที่เตรียมมาให้กับบรรดาผู้บริหารหลังจากนั้นจึงอธิบายต่อ “จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่ปรากฎในรายงานการเงินของบริษัทกับข้อมูลจริงๆตามที่ควรจะเป็นมันไม่สอดคล้องกัน แต่กลับขัดแย้งกันแทบจะสิ้นเชิง”

   “นี่คุณกำลังจะหมายความว่าเกิดการยักยอกเงินของบริษัทโดยผู้บริหารระดับสูงอย่างนั้นเหรอ” คุณมงคลเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาและคำพูดของคุณมงคลทำให้เกิดความฮือฮาและตึงเครียดในหมู่ของบอร์ดบริหารระดับสูงทันที โดยเฉพาะภาคินที่ตอนนี้แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆด้วย ศรารัตน์บอกเรื่องที่เขากับพ่อยักยอกเงินบริษัทให้วิศรุตรู้แล้ว

   “คุณมงคลเข้าใจถูกแล้วครับ” วิศรุตเอ่ยเสียงเครียด ในขณะที่บรรดากรรมการบริหารหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ชั่วขณะเพื่อรอดูว่าท่านประธานกรรมการหนุ่มจะจัดการยังไงต่อไป “ผมคิดว่าทุกคนคงต้องการคำอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะจำนวนเงินที่หายไปไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลยซักนิด และผมก็คิดว่าจะมีคนหนึ่งที่อธิบายถึงเรื่องนี้ได้ ผมเข้าใจถูกไหมครับคุณภาคิน?” คนที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งเฮือกก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างรุนแรง

   “นี่ท่านประธานคิดว่าผมเป็นคนยักยอกเงินของบริษัทงั้นเหรอครับ?”

   “อย่าเพิ่งร้อนตัวสิครับคุณภาคิน ผมก็แค่อยากให้คุณชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้บริหารท่านอื่นๆรับทราบก็เท่านั้นในฐานะที่คุณเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัท หรือที่คุณภาคินอยู่ๆก็โมโหขึ้นมาแบบนี้มันเป็นเพราะกลัวว่าเรื่องเน่าๆสกปรกที่ตัวเองเคยทำไว้มันจะแดงออกมาหรือเปล่า?”

   “นี่มันเกินไปแล้วนะวิศรุต คำพูดของหลานเมื่อครู่นี้มันบ่งบอกออกมาชัดๆว่าหลานคิดว่าภาคินเป็นคนยักยอกเงิน อาคิดว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับภาคินเลยนะ” วันชัยทักท้วงขึ้นมาเสียงเย็นในขณะที่วิศรุตกลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

“ผมถึงได้ให้ภาคินเค้าอธิบายไงครับคุณอา แต่ไม่รู้ว่าคุณผู้จัดการฝ่ายการเงินจะสามารถอธิบายได้หรือเปล่า?” ตอนนี้สายตาคนทั้งห้องเบนไปจับจ้องอยู่ที่ภาคินเพียงคนเดียว ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตากัดกรามแน่น ใบหน้าคมสันมีเหงื่อเยียบเย็นผุดออกมาจนชื้นในขณะที่แววตาจ้องไปยังวิศรุตอย่างอาฆาต

   “คือว่า...เอ่อ คือ...” ภาคินอ้ำอึ้งอย่างนั้นด้วยความที่จนคำพูดเพราะไม่คิดว่าวิศรุตจะเอาเรื่องตนมาเปิดโปงต่อหน้าที่ ประชุมผู้บริหารแบบนี้ หากเขารู้ล่วงหน้าล่ะก็ ไม่มีวันที่วิศรุตจะได้มีโอกาสมาซักฟอกเขาแบบวันนี้แน่

   “ว่ายังไงล่ะครับคุณภาคิน? ถ้าคุณตอบคำถามนี้ไม่ได้ ผมจะให้คุณพ่อของคุณเป็นคนตอบแทน” วิศรุตเบนสายตาไปยังวันชัยที่นั่งอยู่ข้างๆภาคิน พลางสบตากับผู้มีศักดิ์เป็นอาอย่างถือดีด้วยความมั่นใจว่าวันนี้สองพ่อลูกไม่มีทางดิ้นหลุดแน่

   “ผมอธิบายได้ครับ” วันชัยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะอธิบายด้วยเสียงที่หนักแน่น “เรื่องงบการเงินที่ผิดปกติ ผมสามารถอธิบายได้เพราะดูจากปีงบประมาณแล้ว ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ผมเข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการชั่วคราวในตอนที่ท่านประธานคนก่อนเพิ่งจะสิ้นบุญไป  สาเหตุที่ยอดไม่ตรงกันกับเอกสารดั้งเดิมก็เพราะว่ายังมีรายการจ่ายอื่นๆที่คุณวิศรุตยังไม่ได้รับทราบอีกมากมาย ซึ่งเอกสารพวกนั้นเป็นเอกสารข้อมูลลับของบริษัทที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งผมได้เก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ผมจึงกล้ารับประกันแน่นอนว่าระหว่างที่ตัวผมบริหารงานในตำแหน่งประธานของทัดเทวา เรื่องการฉ้อโกงบริษัทไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด อีกทั้งเอกสารทั้งหมดจากฝ่ายการเงินที่คุณภาคินเสนอมา ผมก็ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนที่จะลงชื่อเซ็นอนุมัติในโครงการต่างๆไป ดังนั้นการที่คุณวิศรุตเข้าใจว่ามีการยักยอกเงินหรือฉ้อโกงบริษัทไปนั้น ผมจึงขอยืนยันว่ามันไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด” คำพูดของวันชัยทำให้บรรดาผู้บริหารพากันมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของใครดีระหว่างผู้เป็นอากับผู้เป็นหลาน  มีผู้บริหารบางส่วนที่ออกตัวเข้าข้างวันชัยเพราะด้วยความที่มีการตั้งแง่กับวิศรุตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสถานการณ์กลับพลิกผลันเช่นนี้ วิศรุตจึงกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

   วันชัยมองไปยังหลานชายและหลานสาวทั้งคู่อย่างเป็นต่ออีกครั้ง การจะมาต่อกรกับเขา ฝีมือของทั้งคู่ยังห่างอีกหลายขุม เขาเจนสนามทางแวดวงธุรกิจมากกว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างทั้งคู่มากนัก

   “ถ้าเป็นอย่างที่คุณวันชัยว่าไว้จริง ถ้าอย่างนั้นผมขอดูเอกสารลับที่ว่านั้นได้หรือเปล่าครับ?”

   “จริงๆเอกสารนั้นเป็นความลับอย่างมากของบริษัท แต่ในเมื่อผมพูดออกไปอย่างนี้แล้ว ถ้าหากผมไม่กล้าให้ดูก็เท่ากับว่าผมคงไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาของคุณวิศรุตได้” วันชัยปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเยาะๆ ภาคินก็เหลือบตามองไปยังคู่อริอย่างสะใจ ตอนนี้วิศรุตหน้าม้านไปเลย นี่คงเตรียมตัวมาแฉเขากับพ่ออย่างเต็มที่ ไม่ได้เผื่อใจเอาไว้เลยว่าตัวเองกลับจะต้องหน้าแตกกลางบอร์ดผู้บริหารเสียเอง

   “ว่าแต่ทางคุณวันชัยก็มีเอกสารที่จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน แล้วทางท่านประธานล่ะครับ มีเอกสารอื่นที่พอจะมายันสู้ได้หรือเปล่า หรือว่าอาศัยแค่งบการเงินพวกนี้กับคำพูดกล่าวหาลอยๆก็มาเที่ยวประกาศบอกใครต่อใครไปทั่วว่าผมกับพ่อยักยอกเงินของบริษัททัดเทวา”

   “โกหก แกนี่มันเลวจริงๆๆ ไอ้ภาคิน แก...” วิศรุตโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ชายหนุ่มตั้งท่าจะไปเอาเรื่องกับภาคิน แต่ถูกศรารัตน์ดึงเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวกระซิบบอกให้วิศรุตใจเย็นๆเพราะตอนนี้ฝ่ายนั้นกลับกลายมาเป็นต่อเราแล้ว

   “นี่มันอะไรกันครับ? ทำไมต้องเอะอะใช้กำลังกันด้วย ทำเหมือนกับคนไม่มีการศึกษา” คำพูดของภาคินทำให้วิศรุตยิ่งเลือดขึ้นหน้า ผู้บริหารคนอื่นๆก็มองพฤติกรรมที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ของท่านประธานบริษัทแล้วก็ต้องส่ายหน้า ทุกคนเข้าใจว่าวิศรุตอาจจะโมโหที่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคาดเอาไว้แต่ก็ไม่น่าจะต้องใช้กำลังตัดสินแบบที่วิศรุตตั้งใจจะทำเมื่อครู่นี้

   “ไอ้สารเลวภาคิน แกมันเลวจริงๆ”

   “ใจเย็นๆสิครับท่านประธาน แค่การที่ผมเคยไปทำอะไรบางอย่างขัดใจท่านก็ทำให้ท่านถึงกับต้องมายัดเยียดข้อ
กล่าวหาร้ายแรงให้ผมกับพ่อแบบนี้เลยเหรอครับ?”

   “โกหก นี่ต่อหน้าบรรดาผู้บริหาร นอกจากจะไม่ยอมรับสารภาพแล้ว คุณยังกล้าโกหกแบบนี้อีกเหรอ” คราวนี้ศรารัตน์เป็นฝ่ายทนไม่ไหว จึงต้องพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นั่งเงียบมานาน

   “ใครกันแน่ที่โกหกที่ใส่ความคนอื่น ถ้าคุณมีหลักฐานว่าผมกับพ่อยักยอกเงินไปจริง คุณก็เอาออกมาแสดงให้เห็นสิ แล้วก็กรุณาอย่าใช้ศาลเตี้ยมาตัดสินผมกับพ่อแบบนี้อีกนะคุณศรารัตน์”

   “ถึงแม้หลักฐานจะไม่มี แต่ฉันนี่แหล่ะที่เป็นพยานรู้เห็น” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเครียดก่อนจะหันไปพูดต่อหน้าที่ประชุม ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่น “เมื่อหลายวันก่อนดิฉันได้เอาเอกสารข้อมูลงบการเงินจากห้องของท่านประธานมาตรวจสอบ รวมถึงงบเบิกจ่ายวัสดุของโครงการใหม่ด้วย นอกจากนั้นยังได้ขอเอกสารย้อนหลังของฝ่ายการเงินมาตรวจสอบ  ดิฉันได้ตรวจพบข้อบกพร่องอยู่หลายแห่งจึงตัดสินใจจะไปถามคุณภาคินที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินให้รู้เรื่อง แต่พอดีดิฉันกลับบังเอิญได้ยินคุณภาคินกับคุณวันชัยกำลังคุยกันถึงเรื่องการปกปิดยอดเงินที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันยักยอกออกจากบริษัทไป รวมถึงการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีใหม่ให้แนบเนียนจนตรวจสอบไม่พบอีกด้วย”

   “นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆเลยนะ เธอกับพี่ชายไม่พอใจฉันก็เลยสร้างเรื่องนี้มาใส่ร้ายเพื่อให้ฉันกับพ่อโดนปลดออกจากตำแหน่งใช่ไหม? คงจะกลัวสินะว่าฉันกับพ่อจะได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหารมากกว่าเธอและพี่ชาย ก็เลยมาเล่นแผนสกปรกแบบนี้”

   “ฉันจะกลัวเรื่องนั้นทำไมในเมื่อบริษัททัดเทวาก็เป็นของฉันกับศรารัตน์อยู่วันยังค่ำ แล้วฉันก็ไม่ได้ใส่ร้ายนายกับพ่อ ด้วย นายคิดเหรอว่าถ้าฉันรู้เรื่องที่นายกับพ่อยักยอกเงินบริษัทแล้วจะปล่อยเอาไว้เฉยๆน่ะ?”

   “นายกลัวมากกว่าวิศรุต ถึงแม้ว่านายจะเป็นทายาทที่ได้รับมรดกเป็นหุ้นจำนวนมหาศาลของทัดเทวา ฉันไม่เถียง หรอกว่านายเป็นเจ้าของที่นี่ แต่นายเคยทำอะไรเพื่อที่นี่บ้างหรือเปล่า? เคยทุ่มเทแรงใจทำงานเพื่อทัดเทวาขนาดไหนกันเชียว นอกจากจะกอดตำแหน่งประธานบริษัทกินเงินเดือนไปวันๆ หึ นายลองถามผู้บริหารในที่นี้ก็ได้ ลองถามดูสิว่ามีอยู่กี่คนที่อยากสนับสนุนนายให้เป็นประธานกรรมการบริหารต่อไปน่ะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ บริษัททัดเทวาไม่อยากได้ผู้บริหารที่ไม่เอาอ่าว ไร้ฝีมือแล้วก็ปราศจากผลงานแบบนายหรอก”

   “อ่อ ในที่สุดนายก็เผยความจริงออกมาแล้ว ที่แท้นายกับพ่อก็ต้องการจะฮุบทุกอย่างของทัดเทวาเอาไว้นี่เอง นี่คงจะเป่าหูพวกผู้บริหารว่าฉันไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ไปเยอะแล้วสินะ คงจะหวังว่าถ้าฉันโดนลงมติไม่ไว้วางใจจากคณะกรรมการ บริหารแล้ว นายกับพ่อก็จะขึ้นมานั่งที่ประธานกรรมการแทนฉันอย่างนั้นเหรอ จะบอกอะไรให้นะ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเป็นอันขาด ฉันจะไม่ยอมให้นายมาฮุบสมบัติของทัดเทวาไปแม้แต่ชิ้นเดียว โดยเฉพาะบริษัทที่พ่อของฉันสร้างมากับมือบริษัทนี้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม”

   “แต่นายก็ระวังเอาไว้หน่อยละกัน ว่าบริษัทที่ตัวเองหวงนักหวงหนา สักวันนึงจะรักษามันเอาไว้กับตัวไม่รอด”

   “หยุดเดี๋ยวนี้นะภาคิน หยุดก้าวร้าวคุณวิศรุตได้แล้ว” วันชัยตวาดลั่นก่อนจะแสร้งมองภาคินด้วยสายตาน่ากลัว

   “พ่อห้ามผมทำไมครับ ผมกำลัง...” ภาคินจะแย้งแต่คุณมงคลชิงพูดก่อนที่เรื่องจะบานปลายเข้าไปใหญ่

   “เอาหล่ะๆ พอได้แล้วทั้งสองฝ่ายนะครับ” สุดท้ายคุณมงคลต้องเป็นฝ่ายคนกลางเพื่อเจรจา อารมณ์ของทั้งสองฝ่ายตอนนี้ก็เดือดไม่แพ้กัน หากปล่อยให้เถียงกันไปมาแบบนี้ รับรองว่าห้องประชุมนี้ได้เป็นสนามรบของบรรดาทายาทรุ่นหลังของทัดเทวาอย่างแน่นอน “ผมเสนอว่าเราควรจะมาพูดจาดีๆกันนะครับ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก”

   “ผมเห็นด้วยครับคุณมงคล ผมว่าก่อนที่จะตัดสินถูกผิดเนี่ยก็ควรจะตรวจสอบให้กระจ่างเสียก่อน” วันชัยเห็นด้วย ส่วนศรารัตน์กับวิศรุตก็มองหน้ากันอย่างหมันไส้ที่วันชัยช่างเล่นบทตีสองหน้าได้เก่งกาจเสียเหลือเกิน

   “เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ ผมว่าเราควรตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วต่างฝ่ายต่างก็เอาหลักฐานหรือข้อมูลมายันกัน เดี๋ยวใครถูกใครผิดจะได้ตัดสินกันอย่างยุติธรรมกับทุกฝ่าย ว่ายังไงครับคุณวิศรุต คุณศรารัตน์?” ท้ายประโยคหันไปถามสองพี่ท้องทัดเทวาซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด

   “ก็ดีครับคุณมงคล แต่ว่ากรณีนี้ถึงยังไม่ได้พิสูจน์ถูกผิดอย่างชัดเจน แต่ด้วยหลักฐานที่ผมยกมาแสดงในวันนี้ก็น่าจะสมควรให้คุณภาคินกับคุณวันชัยรับผิดชอบบ้างนะครับ อย่างน้อยถ้าเป็นแบบที่คุณวันชัยอ้างจริง ทั้งคู่ก็มีความผิดฐานปกปิดข้อมูลต่อประธานกรรมการและสมควรที่จะพิจารณาตัวเองด้วย” วิศรุตมองไปทางวันชัยและภาคินอย่างท้าทายก่อนที่วันชัยจะเอ่ย

   “เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมและลูกจะเป็นฝ่ายพิจารณาเคลียร์ตัวเองครับ โดยการขอหยุดทำหน้าที่รองประธานกรรมการและผู้จัดการฝ่ายการเงินชั่วคราวจนกว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างถึงที่สุดและมีการชี้ถูกผิดอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้น”

   “อะไรกันครับพ่อ” ภาคินตั้งท่าจะแย้งแต่วันชัยลอบหลิ่วตาให้อีกฝ่าย

   “และถ้าหากตรวจพบว่าผมกับลูกไม่ได้มีความผิดอย่างที่คุณวิศรุตกล่าวหาจริง ผมและลูกจะกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง แต่หากว่าถ้าตรวจสอบออกมาแล้ว คนที่ผิดคือคุณวิศรุตและคุณศรารัตน์ ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณทั้งสองคนจะพิจารณาถึงการทำหน้าที่ของตัวเองในบริษัททัดเทวานี้เช่นกัน” คำพูดของวันชัยทำให้ภาคินต้องหันไปลอบยิ้มเยาะใส่วิศรุต ลองประกาศท้าชนแบบนี้แล้วล่ะก็ พ่อของเขาจะต้องมีไม้เด็ดมาจัดการกับวิศรุตและศรารัตน์อย่างแน่นอน

   วิศรุตสบตากับศรารัตน์อย่างอึดอัด ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าสองพ่อลูกอสรพิษจะต้องถือโอกาสนี้มากำจัดเขาและ
ศรารัตน์ออกจากทัดเทวาแน่ๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว และถ้าหากว่าเขารักษาสมบัติที่พ่อเขารักอย่างบริษัททัด
เทวาเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ เขาเองก็ไม่คู่ควรจะใช้นามสกุลทัดเทวาเช่นกัน ซึ่งวิศรุตก็มั่นใจว่าศรารัตน์เองก็คิดแบบเดียวกันกับเขา

   “ตกลงครับ หากพิสูจน์ได้ว่าที่ผมพูดมาเป็นการใส่ร้ายคุณอากับลูกชาย ผมและศรารัตน์ก็พร้อมจะพิจารณาตัวเองลาออกจากบริษัททัดเทวาเช่นกัน”


จบบทที่18

ปล. มีนักอ่านบางท่านอ่านตอนนี้แล้ว เคยมาเม้นท์บอกเราว่าอย่างกับได้ไปนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยแนะ เพราะมันเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในการโต้เถียงทางด้านธุรกิจจริงๆ อิอิ

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #45 เมื่อ02-08-2012 11:29:50 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่19
«ตอบ #46 เมื่อ02-08-2012 11:32:46 »

บทที่ 19

   
“สวัสดีค่ะคุณอา ภาคิน” เมริษาเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านก่อนที่วันชัยจะเชิญให้เมริษานั่งลงคุยกันยังโซฟารับแขกตัวกว้าง “เรียกเมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” เมริษาถามตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะหากเป็นปกติ เธอและภาคินจะนัดเจอกันข้างนอกเสียมากกว่า แต่วันนี้แปลกเมื่อภาคินโทรไปหาเธอแล้วบอกว่าเขาและพ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวโดยให้เธอมาเจอเขาที่บ้าน

   “หนูก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ประชุมกรรมการบริหารวันนั้นด้วย” วันชัยเอ่ยเรียบๆปราศจากรอยยิ้มซึ่งเมริษาก็รับคำ “ก็คงน่าจะรู้ว่าตอนนี้อากับภาคินหยุดพักงานที่บริษัททัดเทวาไปแล้วจนกว่าเรื่องข้อกล่าวหานั้นจะรับการตรวจสอบจนถึงที่สุด” เมริษาพยักหน้าว่าเธอรู้ดีก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

   “เมว่าคุณวิศรุตกับคุณศรารัตน์เธอก็ทำเกินไปนะคะ ทั้งๆที่คุณอากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจบริหารงานเพื่อทัดเทวามาตลอดแท้ๆ แต่สองคนนั้นกลับมาหักหน้าคุณอากลางที่ประชุมแบบนั้นได้”

   “มันคงจะคิดแหล่ะว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะฉันได้ หึ รู้จักคนอย่างวันชัย ทัดเทวาน้อยไปเสียแล้ว”

   “ที่คุณอาเรียกให้เมมาหาที่บ้านแบบนี้ มีอะไรจะใช้เมงั้นเหรอคะ?” วันชัยยิ้มให้กับความฉลาดของอีกฝ่ายก่อนจะสั่งงานที่ต้องการให้เมริษาไปทำ

   “อาต้องการให้หนูเมแอบไปขโมยเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องยักยอกเงินบริษัทที่วินกับศรามีอยู่ทั้งหมดมาให้อา ถ้าเป็นไปได้ก็ทำลายทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือสาวมาถึงตัวอากับภาคินได้เป็นอันขาด แค่นี้หนูทำให้อาได้ไหม?” ท้ายประโยคถูกคนพูดเน้นเสียงหนักเป็นแกนบังคับว่าถึงอย่างไรหญิงสาวก็ต้องพยายามทำมันให้สำเร็จให้จงได้

   “ได้ค่ะ เมจะพยายามแล้วก็จะหาโอกาสทำลายข้อมูลให้เร็วที่สุดด้วย” คำตอบที่หนักแน่นของเมริษาทำให้ภาคินอดไม่ได้ที่จะให้รางวัลหญิงสาวด้วยการหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่ ในขณะที่วันชัยมองอย่างพอใจ เขาเชื่อว่าคนฉลาดและมีไหวพริบอย่างเมริษาคงจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน

   “หลังจากให้เมจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดแล้ว พ่อจะเอาไงต่อครับ?” ภาคินถามเมื่อเมริษาขอตัวกลับไปแล้ว

   ส่วนเมริษาที่กำลังเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปยังรถที่จอดเอาไว้ก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมกระเป๋าถือเอาไว้ในห้องรับแขกซึ่งในนั้นก็มีกุญแจรถอยู่ด้วย หญิงสาวบ่นเบาๆอย่างหัวเสียในความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะย้อนกลับเข้าไปเอากระเป๋าที่ลืมไว้ยังห้องรับแขกอีกครั้ง

   เมริษาเดินเข้าไปจนใกล้จะถึงตัวห้องรับแขก แต่ว่าเสียงภาคินและวันชัยที่หลุดรอดออกมาจากภายในห้องทำให้เธอต้องชะงักหยุดฟังด้วยความสนใจ

   “หลังจากที่เมริษาหาทางทำลายพวกหลักฐานได้หมดแล้ว แกคิดว่าฉันจะยังปล่อยให้ไอ้หลานทรยศสองคนมันยังมีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไปงั้นเหรอ? มันทำกับฉันขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ปล่อยมันสองคนเอาไว้แน่” คำพูดของวันชัยที่เมริษาได้ยินทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเธอเองไม่รู้เรื่องที่วันชัยกับภาคินโกงเงินบริษัททัดเทวา เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าวันชัยจะโหดเหี้ยมถึงขนาดจะฆ่าหลานในไส้ของตัวเองทั้งสองได้ลงคอ

   “ถ้าหากไอ้วินกับศรามันมาด่วนตายไปแบบมีเงื่อนงำอย่างนี้ล่ะก็ คนอื่นจะต้องสงสัยเราแน่ๆครับ ดีไม่ดีมันจะพลอยซวยมาถึงเรานะพ่อ”

   “แกคิดจะทำงานใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก ก็แค่จัดการให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างนะ เส้นสายพ่อก็ใหญ่พอตัว ใช้เงินปิดคดีเท่านี้ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยเราแล้ว”

“จะให้ผมสั่งลูกน้องไปจัดการเมื่อไหร่ก็บอกล่ะกันนะครับ”

   “ไม่ต้อง ลูกน้องของแกไม่เห็นเคยทำงานได้เรื่องซักครั้ง ครั้งที่แล้วใช้ให้ไปจัดการยัยศราก็พลาดทั้งสองครั้ง แกคิดว่าครั้งนี้ฉันจะไว้ใจให้งานแกไปทำอีกเหรอภาคิน?”

   คำพูดของวันชัยทำให้เมริษาเบิกตากว้างอีกรอบกับความจริงใหม่ที่เธอเพิ่งได้รู้ ที่แท้วันชัยเคยส่งลูกน้องไปฆ่าปิดปากศรารัตน์ก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่โชคดีที่ศรารัตน์ดวงแข็งจึงรอดตายมาได้ถึงสองครั้ง  ความจริงนี้ทำให้เมริษาขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้รับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของสองพ่อลูกคู่นี้ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “ขอโทษด้วยนะคะคุณอา พอดีเมลืมกระเป๋าทิ้งไว้น่ะค่ะ” เมริษายิ้มหวานก่อนจะเดินตรงไปหยิบกระเป๋าถือแบรนด์เนมราคาแพงของตนที่วางทิ้งไว้ยังเก้าอี้โซฟาที่เธอเคยนั่งก่อนจะขอตัวกลับออกไปท่ามกลางสายตาไม่ไว้ใจของภาคินและวันชัยเพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เมริษาได้ยินในสิ่งที่ทั้งคู่คุยกันหรือเปล่าถึงเรื่องแผนการกำจัดวิศรุตและศรารัตน์

   “เดี๋ยว” เสียงเรียกของวันชัยทำเอาเมริษาถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหญิงสาวจะหันไปสบตาผู้สูงวัยกว่าด้วยแววตาที่เหมือนบริสุทธิ์ใจ

   “มีอะไรเหรอคะคุณอา?” ท่าทางและแววตาของเมริษาทำให้วันชัยคลายใจลง เขาคงคิดมากไปเองเท่านั้น ผู้สูงวัยกว่ายิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนจะบอกว่าให้เธอขับรถกลับบ้านดีๆ ส่วนเมริษาก็ลอบถอนหายใจบางๆอย่างโล่งอกที่วันชัยและภาคินจับพิรุธของเธอไม่ได้





   เสียงออดหน้าบ้านทัดเทวาดังขึ้น ศรารัตน์เงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารแฟชั่นที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ นึกสงสัยว่าใครมากดออดที่บ้านแบบนี้

   “เสียงใครที่ไหนมากดออดกันคะลุงมั่น?” ศรารัตน์ถามลุงมั่นที่เดินผ่านหน้าเธอไป

   “ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณหนูเล็ก ผมเองก็กำลังจะออกไปดูเหมือนกัน” หญิงสาวพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

   แขกที่ว่านั้นกลับกลายเป็นช่างซ่อมแอร์สามคน เมื่อได้รู้ว่าช่างเหล่านี้จะมาซ่อมแอร์ที่บ้านทัดเทวา ลุงมั่นก็ทำหน้างงเพราะไม่ได้ติดต่อโทรไปบอกให้ช่างมาซ่อมเสียหน่อย แต่ทั้งสามคนนั้นก็ยืนยันว่าเจ้าของบ้านเป็นคนโทรไปให้พวกตนมาซ่อมแอร์ที่เสียในห้องนอนให้วันนี้ พร้อมทั้งโชว์บัตรประจำตัวช่างซ่อมแอร์ของบริษัทแอร์แห่งหนึ่งให้ลุงมั่นดู เมื่อตรวจตราแน่ใจแล้วลุงมั่นจึงยอมเปิดประตูให้ช่างทั้งสามคนเข้ามาภายในรั้วบ้าน

   ลุงมั่นเดินนำช่างทั้งหมดเข้ามายังตัวบ้าน ก่อนจะบอกศรารัตน์ว่ามีช่างแอร์มาซ่อมแอร์ให้

   “เอ๊ะ แอร์ห้องไหนเสียเหรอคะ? ห้องของศราก็ไม่ได้เสียนี่นา” ลุงมั่นก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกัน แต่ช่างพวกนี้ยืนยันว่ามีคนโทรไปแจ้งว่าให้มาซ่อมแอร์ที่นี่ ศรารัตน์ไม่ได้คิดมากอะไรและคิดว่าคนที่โทรไปแจ้งคือวิศรุต ไม่แน่ห้องของวิศรุตแอร์อาจจะเสียก็ได้ หญิงสาวจึงให้ลุงมั่นพาช่างไปตรวจแอร์ห้องของวิศรุตว่าขัดข้องหรือเปล่า ถ้าขัดข้องจะได้ซ่อมให้เรียบร้อยเลย
โดยไม่ได้สังเกตว่าช่างแอร์ทั้งสามคนลอบสบตากันอย่างมีพิรุธ

หลังจากซ่อมแอร์ไปได้ซักพัก เหล่าช่างแอร์ก็ทำตามแผนที่วางเอาไว้ โดยการออกอุบายให้ช่างแอร์คนหนึ่งปวดท้องหนัก อยากจะเข้าห้องน้ำด่วนและขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ลุงมั่นอนุญาตแบบไม่ติดใจอะไร ในขณะที่ช่างแอร์อีกสองคนสบตากันอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

   ช่างแอร์ที่แกล้งปวดท้องรีบออกจากห้องนอนของวิศรุตทันทีแล้วตรงไปยังโรงจอดรถของบ้านทัดเทวา ระหว่างที่ลงบันไดจากชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของวิศรุตก็เกือบจะโดนศรารัตน์ที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องรับแขกจับพิรุธได้ แต่เขาก็แก้ตัวไปได้อย่างแนบเนียน

   “เอ่อ ผมปวดท้องหนักน่ะครับ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางนั้นใช่ไหมครับ? ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับคุณผู้หญิง” ช่างแอร์รีบเอ่ยพลางทำท่ากุมท้องแบบคนปวดท้องหนักจริงๆ ก่อนจะรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยที่ศรารัตน์มองตามอย่างงงๆเพราะ ในตัวบ้านก็มีห้องน้ำ ทำไมถึงจะต้องไปเข้าห้องน้ำที่บริเวณรอบนอกตัวบ้านด้วย สงสัยคงจะเกรงใจ หญิงสาวคิดในใจอย่างขำๆ

   ช่างแอร์รีบเดินจ้ำไปยังโรงจอดรถอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงโรงจอดรถ เขาหันซ้ายหันขวารอบตัว ดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี ใครอยู่แถวนั้นจึงล้วงเอาแผ่นกระดาษใบเล็กๆที่ระบุหมายเลขทะเบียนรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง งานของเขาคือต้องตัดสายเบรกรถตามใบสั่งที่ได้รับมา เมื่อมองหารถเป้าหมายได้แล้ว เขาจึงเอาอุปกรณ์ตัดสายเบรคที่พกมาในกระเป๋าเสื้อออกมาก่อนจะสอดตัวไปใต้ท้องรถแล้วดำเนินการตัดสายเบรกทันที ใช้เวลาเพียงไม่นานสายเบรกของรถก็ถูกตัดอย่างเรียบร้อย เขามองผลงานของตนอย่างพอใจก่อนจะดันตัวออกมาจากใต้ท้องรถยุโรปคันหรูของศรารัตน์เพื่อจะได้ตัดสายเบรกของรถวิศรุตเป็นคันต่อไป

   “เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเหรอคะ? แล้วนั่นคุณไปยืนทำอะไรแถวรถของพี่ชายฉันคะ?” ศรารัตน์ถามอย่างสงสัย เธอตั้งใจจะออกมานั่งเล่นอ่านหนังสือในสวน แต่ก็มาเจอช่างแอร์คนเดิมมายืนด้อมๆมองๆอยู่แถวรถคันโปรดของวิศรุต

   “เอ่อ คือว่าผมเห็นว่ารถคันนี้สวยดีน่ะครับ ท่าทางคงจะแพงมาก ถ้าหากผมมีรถสวยๆแบบนี้บ้างก็คงจะดี” ศรารัตน์ยิ้มรับคำชมนั้น ก่อนจะพยักหน้าเมื่อช่างแอร์ขอตัวไปทำงานต่อ ในใจก็นึกสบถไปด้วย ถ้าศรารัตน์ไม่มาขัดจังหวะเขาไว้เมื่อครู่ ป่านนี้รถคันงามของวิศรุตได้ถูกตัดสายเบรกไปอีกคันแล้ว





   นภัทรเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ชายหนุ่มแจ้งบริกรว่าได้จองโต๊ะเอาไว้แล้ว โดยบอกชื่อผู้จองเป็นชื่อของฝ่ายที่นัดเขาออกมา จากนั้นบริกรจึงนำเขาไปยังโต๊ะที่อยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ซึ่งที่โต๊ะนั้นก็มีอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

   “มาตรงเวลาดีนะ นั่งสิ” เจ้าของโต๊ะเอ่ยเชิญ ในขณะที่บริกรก็ทำหน้าที่เลื่อนเก้าอี้ให้ซึ่งนภัทรก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี

   “นัดฉันออกมาที่นี่มีเรื่องอะไรเหรอ?”

   “ฉันก็แค่อยากจะหาโอกาสเลี้ยงขอบคุณนาย เรื่องที่นายไปช่วยศราในวันนั้น” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนจะเริ่มเปิดเมนูอาหารดู

“อยากทานอะไรก็สั่งได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

   “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรอะไรมากเสียหน่อย นายเองต่างหากที่ไปบู๊ต่อยตีกับคนที่จับตัวคุณศราไปจนน่วมทั้งตัว ดูสิยังมีรอยแผลช้ำบางจุดที่หน้าอยู่เลย” นภัทรไม่พูดเปล่า แต่เอาปลายนิ้วเอื้อมมาไล้ใบหน้าที่ยังคงเหลือร่องรอยช้ำอยู่เล็กน้อยของ วิศรุต ซึ่งการกระทำแบบนี้กลับทำให้วิศรุตรู้สึกวาบหวามในใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ห้าม ออกจะพอใจด้วยซ้ำ ที่นภัทรสัมผัสเขาแบบนี้เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าทั้งคู่...เป็นคนรักกัน

   “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” นภัทรเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อน คุณหมอหนุ่มกระดากใจเล็กน้อยกับท่าทางเกินเลยที่แสดงกับวิศรุตเมื่อครู่ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันที่เผลอไปทำอะไรอย่างนั้นได้

   “ช่างเถอะ สั่งอาหารดีกว่า” วิศรุตพูดแก้เกี้ยวก่อนหลบสายตาจากดวงตาสีถ่านที่กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าตนแล้วจึงสั่งอาหารกับบริกรที่เดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ

   อาหารราคาแพงถูกสั่งมามากมายเต็มโต๊ะจนคุณหมอหนุ่มนึกขำ สั่งมาเยอะขนาดนี้ ทานสองคนจะไปทานหมดได้อย่างไรกัน

   “ทำไมนายสั่งมาเยอะขนาดนี้ล่ะ? ทำอย่างกับมากินสักสิบคน” นภัทรถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแต่อีกฝ่ายกลับบอก

   “ก็ถามนายแล้วนี่นาว่าอยากจะทานอะไร นายเองก็ตอบว่ายังไงก็ได้เพราะทานได้หมด ฉันไม่ใช่คนรักของนายนะที่จะไปรู้ได้ว่านายชอบทานอะไร ไม่ชอบอะไร ก็เลยสั่งแบบมั่วๆไปหลายอย่าง มันคงจะดวงดีเจอของที่นายชอบทานบ้างแหล่ะ” คราวนี้นภัทรต้องหลุดขำออกมากับคำพูดของท่านประธานบริษัททัดเทวาอันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้า จริงอยู่ว่าอาหารที่วิศรุตสั่งมาจะมีทั้งของที่เขาชอบและไม่ชอบ บางอย่างเขาเองก็ไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำ คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตนิ่ง แล้วจึงแกล้งพูด

   “ที่นายสั่งมาเนี่ย ฉันไม่ชอบสักอย่างเลยน่ะสิ” คำพูดนั้นทำให้วิศรุตหน้าตึงขึ้นมาทันที ก่อนขยับมือจะเรียกบริกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้น แต่นภัทรยึดมือเอาไว้เสียก่อน “นายจะทำอะไรน่ะ”

   “ก็จะให้เปลี่ยนอาหารใหม่ให้นายน่ะสิ คราวนี้นายก็สั่งเองได้เลยนะ จะได้เลือกสั่งแต่ของที่ชอบ”

   “ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนกินได้ เรื่องแค่นี้สบายมาก” คุณหมอหนุ่มยังไม่วายตีหน้าตายหลอกต่อไป

   “ก็ฉันบอกแล้วนี่นาว่าฉันไม่ใช่คนรักของนายซะหน่อย จะไปตรัสรู้ได้ไงว่านายชอบทานอะไรบ้าง”

   “แล้วอยากจะรู้หรือเปล่าล่ะ?” คำพูดสองแง่สองง่ามของนภัทรทำให้วิศรุตเผลอวางช้อนจนเสียงดัง ชายหนุ่มหลบสายตาอีกครั้งก่อนจะบอกว่าใครอยากจะไปรู้กัน นายจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรก็เป็นเรื่องของนาย เขาไม่เกี่ยวเสียหน่อย

“ก็นึกว่านายอยากจะรู้เสียอีก จะได้บอก” ยิ้มทะเล้นของนภัทรทำให้วิศรุตต้องลอบยิ้มในหน้า ก่อนจะตัดบทบอกให้นภัทรทานได้แล้วเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน

   “เอ้อ เห็นไอ้พงษ์บอกว่าช่วงนี้นายกับคุณศราเครียดๆเรื่องงานที่บริษัทเหรอ?” นภัทรถามขึ้นมาระหว่างที่ทานอาหารเพราะไม่อยากให้บรรยากาศในการดินเนอร์คืนนี้ระหว่างเขากับวิศรุตเงียบเชียบไปนักจึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แต่ดูท่าเขาคงยกมาพูดผิดเรื่องเพราะสังเกตได้จากสีหน้าของวิศรุตที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้นมาทันที

   “ใช่ ช่วงนี้ที่บริษัทมีเรื่องยุ่งๆน่ะ” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจเล่าให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟัง “มีผู้บริหารระดับสูง
ของบริษัทเกี่ยวพันกับการยักยอกเงินจำนวนหลายร้อยล้าน ตอนนี้ฉันกับศรากำลังช่วยกันรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะเอาผิดอยู่”
คู่สนทนาพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้แล้วก่อนจะถามต่อว่า

   “แล้วผู้บริหารที่ยักยอกเงินคนนั้นก็เป็นญาติของนายสินะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นไอ้หมอนั่นที่เคยจะทำร้ายคุณศราใช่ไหม?” วิศรุตถอนหายใจ นภัทรคงจะรู้เรื่องนี้มาจากพงศธรเพราะเขาเป็นคนเล่าให้พงศธรฟังเองด้วยความที่ไว้ใจฝ่ายนั้น อีกอย่างคือเขาต้องการให้พงศธรเป็นหูเป็นตาในเรื่องของการดำเนินการสร้างตามโครงการใหม่ของทัดเทวาด้วย หากมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับงบก่อสร้างทั้งหมดก็ให้พงศธรมารายงานเขาได้ทันทีเพราะเขาไม่ไว้ใจคนอื่นเนื่องด้วยเพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถูกวันชัยกับภาคินซื้อตัวเอาไว้

   “ไอ้ภาคินกับพ่อของมันร่วมมือกันโกงบริษัทฉัน พอศรารู้เรื่องเข้า ไอ้ภาคินก็จะจับศราไปข่มขืนเพื่อแบ็คเมล์แต่โชคดีที่พวกเราตามไปช่วยไว้ได้ทัน”

   “ตอนนี้หมอนั่นกับพ่อคงจะแค้นนายกับศรามากที่ไปเปิดโปงเรื่องยักยอกเงินกลางที่ประชุมผู้บริหารแบบนั้น ฉันว่าพวกนั้นคงต้องวางแผนเอาคืนแน่ นายกับศราเองก็ระวังตัวเองไว้หน่อยแล้วกัน” ประโยคสุดท้ายทำให้วิศรุตอุ่นซ่านในใจอีกครั้ง นภัทรบอกลายๆว่าเป็นห่วงเขา แม้ว่าบางทีชายหนุ่มอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบที่พูดก็ตาม

   “ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัวให้มาก” นภัทรยิ้มให้วิศรุตอย่างจริงใจ ก่อนที่ความรู้สึกลึกๆบางอย่างจะเกาะกุมจิตใจของเขา มันเป็นความรู้สึกสังหรณ์ในใจพิกลเหมือนกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน คุณหมอหนุ่มลอบมองวิศรุตอีกครั้งด้วยความกังวลใจอย่างประหลาด





   วิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวอย่างอารมณ์ดี การได้ทานข้าวสองต่อสองกับนภัทรโดยไม่มีคนรบกวนมันทำให้เขาช่างมีความสุขเหลือเกิน เหมือนกับได้ไปอยู่ท่ามกลางความฝัน และมันก็เป็นฝันที่ตัวเขาไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงเลยสักนิด ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะล้วงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนเอาไว้บนเตียง จากนั้นจึงแกะเนคไทผ้าไหมราคาแพงออก แต่เสียงที่เคาะประตูห้องทำให้เขาต้องชะงักมือก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

   “มาหาฉันมีอะไรเหรอ?” วิศรุตถามเมื่อศรารัตน์เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว

   “ลุงมั่นบอกว่านายกลับมาแล้ว ฉันก็เลยแวะมาหา กะว่าจะมาคุยเรื่องเอกสารงบการเงินที่จะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดสองพ่อลูกนั่นน่ะ” หญิงสาววางแฟ้มที่ถือมาด้วยไว้บนเตียงของชายหนุ่ม

   “ขอฉันอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวไปหมดเลย เธอนั่งรอไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพอฉันอาบน้ำเสร็จเราจะได้มาคุยเรื่องนั้น  กันต่อเลย” ศรารัตน์พยักหน้าแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆกองเอกสารที่เธอวางเอาไว้ ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของห้องเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเองเป็นอันดับแรก

   เมื่อวิศรุตเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นานนัก เสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ศรารัตน์มองไปยังห้องน้ำ หญิงสาวได้  ยินเสียงของน้ำไหลจากฝักบัวทำให้รู้ว่าวิศรุตคงกำลังอาบน้ำอยู่แน่ๆและก็คงจะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์อย่างแน่นอน เธอจึงหยิบ   มือถือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือพงศธรนั่นเอง ในที่สุดศรารัตน์ก็ตัดสินใจกดรับแต่ยังไม่ทันได้บอกว่าวิศรุตอยู่ในห้องน้ำ ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

   “ฮัลโหลวิน ฉันจะมาชวนนายไปงานเลี้ยงรุ่นม.ปลายน่ะ งานนี้เพื่อนเก่าๆไปกันเต็มเลยนะเว้ย ฉันกับไอ้กานต์ก็จะไปด้วยเหมือนกัน นายไปด้วยกันไหมล่ะ? จะได้ถือโอกาสนี้คุยกับไอ้กานต์ให้มากๆหน่อย ฉันรู้หรอกนะว่าต่อหน้าคุณศราน่ะ นายกับไอ้กานต์ต้องแกล้งทำเป็นคนไม่รู้จักกันใช่ไหมล่ะ?” สิ่งที่ได้ยินจากปากพงศธรทำให้ศรารัตน์กำมือถือแน่น เป็นอย่างที่เธอเคยคิดเอาไว้จริงๆ พี่ชายของเธอกับคุณหมอกานต์เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายร่วมชั้นเรียนเดียวกันอีกด้วย แต่เพราะเหตุผลอะไรกันที่วิศรุตถึงเลือกที่จะปิดบังเธอไว้ ทำไมต่อหน้าเธอจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับหมอกานต์ด้วย

   “ฮัลโหลวิน นายฟังอยู่หรือเปล่า ฮัลโหลๆ” ปลายสายเรียกซ้ำเพราะแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่พูดตอบกลับมา ศรารัตน์จึง ได้สติหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นหญิงสาวจึงกดตัดสายไปท่ามกลางความแปลกใจของพงศธร

   เสียงโทรศัพท์มือถือของวิศรุตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง คนที่โทรมาก็คือพงศธรเช่นเดิม คราวนี้ศรารัตน์เลือกที่จะปิดเครื่องเลยเพราะกลัวว่าวิศรุตที่อาบน้ำอยู่จะได้ยินเสียงเรียกเข้าของมือถือตัวเองแล้วจะสงสัยเอาได้

   ศรารัตน์มองมือถือในมืออย่างหมายมาดก่อนจะวางมันเอาไว้ที่เดิม จากนั้นจึงค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของวิศรุตออกไปอย่างเงียบเชียบ วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าวิศรุตกำลังปิดบังอะไรเธออยู่กันแน่





   ศรารัตน์ถือโอกาสตอนที่วิศรุตกำลังอาบน้ำอยู่แอบเข้ามาในห้องทำงานของวิศรุต หญิงสาวตรงไปยังตู้กระจกไม้สัก ขนาดใหญ่หลังโต๊ะทำงานของชายหนุ่มเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตมักจะเก็บของสำคัญหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับสมัยที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมเอาไว้ที่ตู้นี้ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอะไรมายืนยันความเข้าใจของเธอในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

   ศรารัตน์ลองขยับเปิดตู้ดูแต่ก็พบว่ามันถูกล๊อคกุญแจเอาไว้ หญิงสาวส่งเสียงในคออย่างขัดใจ ก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหากุญแจที่วิศรุตอาจจะซ่อนเอาไว้ที่ไหนซักแห่ง แต่ในที่สุดกุญแจก็ไม่ได้อยู่ในนั้น ศรารัตน์มองไปรอบตัวอย่างเริ่มหัวเสีย ความอยากรู้ที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจทำให้หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เธอหากุญแจต่อไปเรื่อยๆในใจก็ลุ้นให้วิศรุตอาบน้ำนานๆเพื่อที่ว่าเธอจะได้มีเวลาในการหามากกว่านี้ ด้วยอารมณ์รีบร้อนกลัวว่าวิศรุตอาจจะมาเห็นว่าเธอแอบเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน หญิงสาวจึงร้อนรนจนมือบางเผลอไปปัดไดอารี่เล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะหล่นลงมาที่พื้น โชคดีที่พื้นห้องปูด้วยพรมเปอร์เซียผืนหนา ดังนั้นเมื่อของตกจึงไม่เกิดเสียงดังขึ้นมากนัก ศรารัตน์รีบก้มตัวลงไปเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นขึ้นมาทันที ก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ในไดอารี่เล่มหนานั้นด้วยและมันก็หลุดกระเด็นออกมาเมื่อตอนที่เธอทำไดอารี่ตกพื้น บางสิ่งที่ว่ามันก็คือกุญแจดอกหนึ่งนั่นเอง

   ศรารัตน์มองกุญแจในมือก่อนจะตัดสินใจลองเสียบเข้าไปยังรูกุญแจของตู้หลังโต๊ะทำงานนั้น ปรากฏว่ามันเปิดออกได้จริงๆ หญิงสาวยิ้มในหน้าก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบของในตู้นั้นออกมา ซึ่งภายในนั้นก็มีรูปถ่ายเก่าๆสมัยเรียนของวิศรุต สมุดไดอารี่และของสะสมตามกระแสนิยมมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงความสนใจของหญิงเอาไว้ก็คือหนังสือรุ่นสมัยมัธยมต้นของวิศรุต หนังสือนั้นมีหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วย ศรารัตน์จึงเปิดไปตามหน้านั้นเพราะคิดว่าหน้าที่วิศรุตคั่นเอาไว้มันคงจะเป็นหน้าที่พิเศษกว่าหน้าอื่นๆอย่างแน่นอน

   ในหน้านั้นก็เป็นการถ่ายรูปรวมหมู่ของกลุ่มเพื่อนนักเรียนทั่วไป  ในภาพนั้นมีวิศรุตกับเพื่อนๆและที่สำคัญก็คือยังมี
นภัทรรวมอยู่ด้วย แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วหลายปี แต่หญิงสาวมั่นใจว่าเด็กหนุ่มในรูปคือนภัทรแน่ๆ เพราะนภัทรในอดีตกับคุณหมอนภัทรในวันนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยซักนิด ส่วนวิศรุตในตอนวัยรุ่นนั้นเธอจำหน้าได้แม่นอยู่แล้ว เท่านี้ก็เป็นการยืนยันคำตอบของเธอได้แล้ว สองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนจริงๆด้วย เมื่อก่อนหญิงสาวเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมวิศรุตถึงต้องคอยพยายามกีดกันไม่ให้เธอชอบกับนภัทรด้วย แต่ในที่สุดวันนี้เธอก็รู้จนได้...

ศรารัตน์มองจ้องไปที่หนังสือรุ่นในมืออีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้มองที่รูป แต่กลับมองข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของวิศรุตข้างๆรูปแทน  พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ ทำไมต้องเป็นแบบนี้...

   “เป็นครั้งแรกที่ได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองแอบรักมานาน...นภัทร อิสรีย์”

   “นี่มันห้องทำงานส่วนตัวของฉันนะ เธอจะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตฉันก่อน?” เสียงวิศรุตที่เจือแววความไม่พอใจอย่างชัดเจนดังขึ้นหน้าประตูห้องทำงาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รู้สึกตกใจอย่างที่ควรจะเป็น ความจริงตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจมากกว่า “ฉันอาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่เห็นเธอแล้ว เห็นห้องนี้เปิดไฟอยู่ฉันก็เลยเข้ามาดู ว่าแต่เธอเข้ามาทำอะไร? ฉันไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องนี้ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต เธอเองก็รู้ดีนี่นา” วิศรุตตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงรัวเร็วโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกไปของศรารัตน์

   “ถ้าฉันไม่เข้ามา ฉันก็คงจะเป็นผู้หญิงหน้าโง่ที่ถูกนายปิดบังความลับเอาไว้ตลอดชีวิตสินะ” ตอนแรกวิศรุตมีสีหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผู้เป็นน้องสาวพูด แต่เมื่อศรารัตน์หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับตน ชายหนุ่มก็ได้เห็นสิ่งที่ศรารัตน์กำลังถืออยู่อย่างเต็มสองตา เธอกำลังถือหนังสือรุ่นสมัยม.ต้นของเขาอยู่ เท่านี้ก็ทำให้วิศรุตปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ไม่ยาก และตอนนี้
ศรารัตน์เองก็คงจะรู้เรื่องที่เขาปิดบังเธอไว้หมดแล้วเช่นกัน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรแล้วก็ความลับส่วนตัวของเขา



จบบทที่19

ปล. ตอนที่20ก็คือเหตุการณ์ทางฝั่งของภาณุที่เกิดคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ของตอนที่19นะคะ เผื่องง เอิ๊กๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่20
«ตอบ #47 เมื่อ02-08-2012 11:44:48 »

บทที่ 20


   วันนี้วิศรุตเลิกงานและกลับบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะเห็นว่ามีนัดทานข้าวเย็นกับเพื่อนเก่า เมื่อเจ้านายไม่อยู่ เมริษาจึงสบโอกาสแอบเข้าไปค้นหาหลักฐานภายในห้องทำงานของวิศรุต หญิงสาวมองไปรอบๆห้องอย่างประเมินในใจว่าวิศรุตน่าจะเก็บพวกเอกสารไว้ที่ไหน สายตาของเธอไปสะดุดอยู่ที่ตู้เอกสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เยื้องโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม แต่เมื่อลองค้นดูคร่าวๆแล้ว หญิงสาวก็ไม่พบว่ามันจะเป็นเอกสารสำคัญที่เธอต้องการแต่อย่างใด ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังตู้เอกสารหลังโต๊ะทำงานของวิศรุตแทน บังเอิญตู้นั้นไม่ได้ล็อคกุญแจเอาไว้และเมื่อเธอหยิบเอาแฟ้มเอกสารภายในตู้นั้นออกมาดูก็พบว่ามันเป็นแฟ้มที่รวบรวมเอกสารงบการเงินย้อนหลังของบริษัททัดเทวานั่นเอง เมริษามองแฟ้มเอกสารในมือก่อนจะยิ้มสมใจ

   เมริษาดึงเอกสารเหล่านั้นออกมาจากแฟ้มแล้วกองเอาไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน ก่อนจะทยอยรื้อกองแฟ้มที่อยู่ในตู้นั้นออกมาจนหมดแล้วคัดเฉพาะสิ่งที่เธอต้องการ จากนั้นก็จัดการเรียงแฟ้มเอกสารเข้าไปให้ตู้ดังเดิมก่อนจะหอบเอกสารที่คัดแยกเอาไว้แล้วทั้งหมดออกจากห้องทำงานของประธานกรรมการเพื่อไปยังห้องทำลายเอกสาร

   หลังจากที่ทำลายเอกสารสำคัญที่จะเป็นหลักฐานมัดตัววันชัยกับภาคินเรียบร้อยแล้ว เมริษาก็นึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเป็นคนฉลาด ชายหนุ่มจะต้องสำรองข้อมูลอื่นๆไว้ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน และเมื่อกี้เธอก็เห็นว่าโน้ตบุ๊คของวิศรุตถูกเจ้าของวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานนั่นแหล่ะ ดูท่าทางวิศรุตคงจะรีบร้อนออกไปตามนัดจนลืมทิ้งของสำคัญเอาไว้เสียแล้วซึ่งเมริษาก็อดที่จะขอบใจชายหนุ่มไม่ได้เพราะมันจะทำให้งานของเธอง่ายขึ้นมากทีเดียว

   เมื่อได้ลองเปิดดูข้อมูลไฟล์งานในโน้ตบุ๊คของวิศรุต เมริษาก็พบว่ามันเป็นไปอย่างที่เธอคาดจริงๆ แถมในนั้นยังมีข้อมูลลับอื่นๆนอกเหนือจากเอกสารต้นฉบับที่เธอทำลายทิ้งอีกมากมาย หญิงสาวไม่อยากจะนึกเลยว่าหากวิศรุตและศรารัตน์ใช้ข้อมูลหลักฐานพวกนี้เปิดโปงเอาผิดกับภาคินและวันชัยแล้วล่ะก็ สองพ่อลูกนั้นก็คงหมดโอกาสแก้ต่างอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นเมริษาก็ไม่รอช้า เธอจัดการรวมรวมไฟล์ทั้งหมดก่อนจะใช้แผ่นซีดีเปล่าที่เธอเตรียมมาไรท์ข้อมูลลงไปในซีดีนั้น เมริษามองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังไรท์ข้อมูลอยู่อย่างร้อนใจพลางภาวนาให้เสร็จเร็วๆเพราะหากว่ามีคนมาเจอเธออยู่ในห้องทำงานของวิศรุตในตอนที่ชายหนุ่มไม่อยู่ล่ะก็ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่และวิศรุตก็คงจะไม่ปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน

   เมื่อกระบวนการไรท์ข้อมูลดำเนินมาขั้นสุดท้าย เมริษาเหยียดยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเอาแผ่นซีดีที่ตอนนี้บรรจุข้อมูลจนเต็มออกมาจากโน้ตบุ๊คและตั้งใจจะลบข้อมูลทั้งหมดทิ้งซึ่งก็เป็นจังหวะที่บุคคลหนึ่งเปิดประตูห้องทำงานของวิศรุตเข้ามาพอดี

   “เฮ้ยไอ้วิน ฉันจะมาชวนแกไปกินข้าวน่ะ แล้วเลขาแกเค้าหายตัวไปไหนวะ? ตอนฉันเข้ามาไม่เห็นใครเลย” ภาณุเอ่ยทักขึ้นโดยไม่ทันได้มองว่าวิศรุตไม่ได้อยู่ในห้อง แต่คนที่อยู่กลับเป็นเมริษาแทน ในขณะที่หญิงสาวหันไปเห็นก็กลับตกใจจนหน้าซีดเหมือนคนที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ แถมเป็นการจับได้แบบคาหนังคาเขาเสียด้วย

   เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนไม่ได้อยู่ในห้องแต่กลับเป็นผู้หญิงอีกคนที่กำลังยืนวุ่นวายอยู่กับโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงานของประธานกรรมการบริษัท ภาณุจำได้อย่างแม่นยำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยเจอตอนไปเที่ยวผับแถมยังเป็นคนเดียวกับที่เคยควงกับภาคินจนเขาให้ฉายาเธอว่าเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน

   “คุณเป็นใคร แล้วเข้ามาทำอะไรในนี้ครับ?”

   “เอ่อ ฉันเป็นเลขาคนใหม่ของคุณวิศรุตค่ะ พอดีว่าวันนี้คุณวิศรุตกลับไปก่อนแล้ว ดิฉันก็กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน ก่อนกลับก็เลยแวะมาตรวจความเรียบร้อยน่ะค่ะ” เมริษายิ้มหวานกลบเกลื่อนก่อนจะแอบหย่อนแผ่นซีดีในมือลงกระเป๋าสะพายแล้วก็รีบขอตัวกลับก่อนอย่างมีพิรุธ ท่ามกลางสายตาของภาณุที่มองอย่างแคลงใจ

   หลังจากที่เมริษาออกจากห้องไปแล้ว ภาณุนึกสงสัยก็เลยลองเปิดโน้ตบุ๊คของวิศรุตดู ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ถูกปิดเครื่องตามที่ควรจะเป็นแต่ว่ามันเป็นการพักหน้าจอเอาไว้เท่านั้น เหมือนกับว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาของวิศรุตได้แอบมาใช้โน้ตบุ๊คของเพื่อนเขาอย่างนั้นแหล่ะ ด้วยความที่เป็นคนรอบคอบ ภาณุจึงเปิดโปรแกรมเรียกดูเอกสารย้อนหลังก่อนจะพบว่าเอกสารล่าสุดที่ถูกเรียกดูเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลลับของบริษัททั้งสิ้น รวมถึงมันยังเป็นหลักฐานสำคัญที่จะเอาผิดกับญาติจอมขี้โกงทั้งสองคนของวิศรุตด้วย

   ภาณุใช้เวลาไม่นานนักก่อนสมองของเขาจะประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดและนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเคยเล่าให้เขาฟังครั้งหนึ่งว่าได้รับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาแทนคุณอิงอรที่ประสบอุบัติเหตุจนต้องหยุดงานไป ซึ่งเมริษาก็เป็นคนที่วันชัยกับ
ภาคินส่งมาเพื่อให้มาทำงานกับวิศรุต

   “หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็น...แย่แล้ว...” เมื่อนึกรู้ว่าผู้หญิงที่ตนได้เจอเมื่อครู่ก็คือเมริษา ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์หลายๆอย่างที่มันตรงกันเหลือเกิน ทำให้ภาณุค่อนข้างจะเดาได้แล้วว่าเมริษาต้องฉวยโอกาสตอนที่วิศรุตไม่อยู่แอบเข้ามาขโมยข้อมูลลับไปให้วันชัยกับภาคินอย่างแน่นอน และเขาก็จะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นหมายถึงอนาคตการทำงานของวิศรุตและศรารัตน์ ที่สำคัญบริษัททัดเทวาไม่สมควรจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นที่ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริง





   ภาณุรีบวิ่งตามเมริษามาจนกระทั่งถึงลานจอดรถของบริษัท เมื่อเมริษาหันไปเห็นว่าภาณุกำลังวิ่งตามเธอมาก็นึกรู้ได้ทันทีว่าภาณุคงกำลังสงสัยว่าเธอแอบเข้ามาขโมยข้อมูลแน่ๆ หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะสตาร์ทและขับออกไปทันที เฉียดกับภาณุที่วิ่งตามจนเกือบจะทันแล้ว ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียก่อนจะไม่ยอมแพ้และรีบวิ่งไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆกันนั้นแล้วขับตามไปทันที เขาจำเป็นต้องหยุดผู้หญิงคนนั้นให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

   ระหว่างที่ขับรถตามเมริษา ภาณุก็ต่อโทรศัพท์ไปหาวิศรุตแต่ก็ติดต่อไม่ได้เพราะอีกฝ่ายปิดเครื่อง ชายหนุ่มเริ่มหัวเสียที่ติดต่อเพื่อนรักไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมวิศรุตถึงต้องปิดโทรศัพท์มือถือด้วยทั้งๆที่แต่ก่อนวิศรุตเปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อติดต่อวิศรุตไม่ได้ภาณุก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้เอง ชายหนุ่มจึงพยายามขับตามจี้ท้ายรถของเมริษาไปติดๆรวมถึงการพยายามขับปาดหน้าเพื่อกดดันให้หญิงสาวต้องหยุดรถ แต่เมริษาก็อาศัยชั้นเชิงการขับรถที่ยอดเยี่ยมจนสามารถสะบัดหลุดจากการตามติดของภาณุได้ หญิงสาวเหยียบคันเร่งเต็มที่เพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดส่วนตัวที่อยู่ใจกลางเมือง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นตั้งใจไว้ว่าจะเอาข้อมูลที่ได้มาไปให้กับภาคินที่บ้านของเขาก่อน

   แต่เมริษาก็คิดผิดที่ว่าจะสามารถหลุดรอดจากการติดตามของภาณุได้ หญิงสาวเห็นรถของภาณุที่ขับตามมาโดยทิ้งระยะห่างไม่มากนักผ่านทางกระจกข้างของตัวรถ เมริษากัดฟันแน่นอย่างหัวเสีย ทำไมถึงต้องตามมาแบบกัดไม่ปล่อยอย่างนี้ด้วยนะ  หลังจากนั้นเมริษาจึงเหยียบคันเร่งเพื่อหนีให้พ้นจากภาณุอีกครั้ง โดยไม่นานนักรถของเมริษาก็เลี้ยวเข้ามาจอดยังคอนโดของเธอ หญิงสาวรีบกดรีโมทล็อครถก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยังตึกคอนโดทันที โดยสั่งรปภ.ของอาคารไว้ว่าเธอกำลังถูกผู้ชายโรคจิตคนหนึ่งตามรังควานอยู่ เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีและแต่งตัวดี ผู้ชายคนนั้นตามรังควานเธอตลอดเวลาและถ้าหากเขาตามเธอมาอีกก็ให้รปภ.ช่วยไล่ไปด้วย อย่าให้เขาตามเธอมาได้เป็นอันขาด

   เมื่อภาณุเห็นหลังของเมริษาไวๆว่าวิ่งหายเข้าไปในคอนโดหรู ชายหนุ่มก็จอดรถแล้วตามเข้าไปบ้าง แต่ก็ถูกรปภ.ที่
เมริษาได้สั่งเอาไว้สกัดภาณุไม่ให้สามารถเข้ามาในตัวอาคารคอนโดได้ แม้ภาณุจะพยายามบอกว่าเขาไม่ใช่พวกโรคจิตแบบที่เมริษาบอกก็ตาม

   “โธ่เอ๊ย คุณมาจับผมทำไมเนี่ย? ผมไม่ใช่พวกโรคจิตนะคุณ ปล่อยผมสิ”

   “เราให้คุณเข้าไปในนั้นไม่ได้ครับ คุณผู้หญิงคนเมื่อครู่แจ้งเอาไว้ว่าคุณเป็นพวกโรคจิตที่ตามรังควานเธอ” รปภ.บอก

   “ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่ ผมเป็นผัวของผู้หญิงคนนั้นนะ แล้วเธอก็เป็นเมียของผม เราสองคนทะเลาะกันจนเธอหอบผ้าหอบผ่อนหนีผมมาอยู่คอนโดเนี่ย ขอร้องเหอะพี่ช่วยให้ผมได้ปรับความเข้าใจกับเมียเถอะ” ณ วินาทีนั้น ภาณุตัดสินใจโกหกคำโตออกไปก่อนจะควักแบงค์พันสองสามใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยัดใส่มือรปภ.คนนั้นเพื่อให้เปิดทางให้เขาได้ตามเมริษาไป ซึ่งชายหนุ่มก็อาศัยทีเผลอตอนรปภ.ทำหน้างงแล้วจึงสะบัดหลุดจากรปภ. จากนั้นก็ตามเมริษาเข้าไปด้านในจนได้

   ด้านเมริษาที่วิ่งเข้ามาด้านในอาคารแล้ว หญิงสาวหยุดหอบหายใจจนตัวโยนก่อนจะวิ่งไปทางลิฟต์เพื่อกดชั้นห้องพักของเธอ ด้วยความร้อนรนที่ลิฟต์ยังไม่มาเสียทีประกอบกับกลัวว่าภาณุจะตามมาทันเพราะตอนนี้เธอเห็นจากหางตาว่าเขาผ่านรปภ.มาได้แล้วและกำลังวิ่งตามเธอมาติดๆ ทำให้เมริษาตัดสินไม่รอลิฟต์อีกต่อไปแต่เปลี่ยนมาเป็นวิ่งขึ้นบันไดแทน   

   ด้วยความที่ใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เมริษาวิ่งขึ้นบันไดได้ลำบากกว่าปกติ แต่หญิงสาวก็กัดฟันข่มความเหนื่อยเอาไว้ เพราะหากถูกจับได้ตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็จะพังทลายลงในชั่วพริบตา เธอจะยอมให้ภาณุมาทำลายงานของเธอไม่ได้เด็ดขาด เมริษาวิ่งขึ้นบันไดไปเรื่อยๆด้วยความเหนื่อยหอบ ในขณะที่ภาณุก็วิ่งขึ้นบันไดตามเธอมาด้วยอย่างไม่ละความพยายามเช่นกัน เมริษามองป้ายบอกชั้นที่ติดอยู่ที่ผนังอาคารก่อนจะกัดฟันสู้ อีกแค่สองชั้นเท่านั้นก็จะถึงห้องพักของเธอแล้วและภาณุก็จะตามเธอเข้าไปไม่ได้อีก

   เมื่อมาถึงชั้นสิบเจ็ดซึ่งเป็นชั้นที่เมริษาพักอยู่ หญิงสาวก็รีบวิ่งไปยังโซนปีกขวาและเมื่อมาถึงห้องพัก เมริษาก็ควานหากุญแจห้องภายในกระเป๋าสะพายของเธอ แล้วพยายามจะใช้กุญแจนั้นไขประตูให้เปิดออก แต่เจ้ากรรมด้วยอารามรีบร้อนทำให้กุญแจห้องหลุดมือแล้วกระเด็นไปตามทางเดินก่อนจะไปหยุดตรงปลายเท้าของภาณุที่ตามขึ้นมาทันพอดี

   “คุณ” เมริษาอุทานออกมาอย่างตระหนก ดวงหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดเมื่อคนที่เธอพยายามจะหนี เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วแถมยังถือกุญแจห้องเธอไว้ในมืออีก

   “เรามีเรื่องต้องพูดกัน เมริษา” ภาณุยิ้มเครียด มือหนาปาดเหงื่อที่เปียกชุ่มอยู่ตามไรผมก่อนจะเดินมาหาเมริษาด้วยแววตากร้าวที่แม้แต่วิศรุตก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นภาณุในอารมณ์นี้บ่อยนัก

   “คุณมารู้จักชื่อฉันได้ยังไง? แล้วฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณด้วย เอากุญแจมาให้ฉันแล้วก็เชิญคุณกลับไปได้แล้วก่อนที่ฉันจะเรียกรปภ.ให้มาลากคุณออกไป” เมริษาตวาดด้วยเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น แต่ภาณุไม่สนใจกลับเดินเข้ามาหาเมริษาเรื่อยๆ จนทำให้หญิงสาวต้องค่อยๆก้าวถอยหลังไปเพื่อเว้นระยะห่างจนกระทั่งติดกำแพงและไม่มีที่จะถอยอีกต่อไปแล้ว

   “อย่าเข้ามานะ คุณจะทำอะไรน่ะ? ถ้าเข้ามาอีกฉันจะเรียกรปภ.จริงๆนะ”

   “เชิญคุณโทรเรียกเลย ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ารปภ.หน้าไหนมันจะกล้าเสนอหน้ามายุ่งกับเรื่องผัวเมีย”

   “แก...ไอ้บ้า ไอ้...” เมริษาสบถออกมาด้วยความโมโหกับเรื่องหลอกลวงที่ภาณุแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกรปภ.ซึ่งนั่นมันทำให้เธอเสียหาย

   “มานี่เลย ผมมีเรื่องจะต้องพูดกับคุณ แล้ววันนี้ก็จะต้องรู้เรื่องให้ได้ด้วย” ภาณุกระชากแขนเมริษาแล้วกึ่งลากหญิงสาวที่เหมือนม้ากำลังพยศเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงใช้กุญแจห้องที่อยู่ในมือไขประตูเปิดเข้าไป ตามด้วยการออกแรงกระชากหญิงสาวเจ้าของห้องให้ตามเข้าไปด้วยกัน

   เมื่อเข้ามาและเปิดไฟในห้องเรียบร้อยแล้ว ภาณุก็ปล่อยเมริษาให้เป็นอิสระ หญิงสาวสบัดแขนด้วยความเจ็บก่อนจะสบตากับภาณุด้วยแววตากร้าวเพราะความโกรธ

   “แกตามฉันมา ต้องการอะไร?”

   “ฉันต้องการให้เธอตอบคำถามฉันมาว่าเธอแอบเข้าไปขโมยข้อมูลหลักฐานจากห้องทำงานของไอ้วินใช่ไหม?”

   “ฉันเปล่า อย่ามาพูดมั่วๆแบบนี้นะ”

   “โกหก บอกฉันมาตามตรงดีกว่าว่าเธอรู้อะไรบ้าง แล้วข้อมูลที่เธอได้มาทั้งหมดตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงภาณุ เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวก่อนจะกระชากตัวเมริษามาเขย่าด้วยความโมโห ตอนแรกที่เจอกันในผับ เขาประทับใจในความสวยของผู้หญิงคนนี้มาก แต่พอได้รู้ว่าเธอเป็นพวกชอบใช้ความสวยในการหลอกล่อผู้ชาย ความประทับใจที่เคยมีให้ก็หมดลงภายในพริบตาเดียว

   “ปล่อยฉันนะ นี่แกจะทำอะไร? ปล่อยฉันสิ” เมริษาพยายามดิ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลเพราะมือหนาที่เกาะกุมไหล่เธออยู่มันบีบแน่นเสียจนเธอกลัวว่ากระดูกจะหักไปเสียก่อน

   “ฉันทำแน่ ถ้าเธอไม่ยอมตอบคำถามฉันมาดีๆ ไหนๆฉันก็หลอกคนอื่นไว้แล้วว่าเราเป็นผัวเมียกัน จะมาลองเล่นบทนี้กันสักครั้งดูไหม?” ปกติภาณุเป็นสุภาพบุรุษที่ให้เกียรติผู้หญิง แต่วันนี้ผู้หญิงตรงหน้ากลับทำให้เขาฟิวส์ขาดได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆเธอก็ไม่ใช่กุลสตรีดีเด่อะไร เขาก็คงไม่จำเป็นต้องสวมบทสุภาพบุรุษเช่นกัน

   “สารเลว ไอ้บ้า ไอ้คนชั่ว ไอ้...” ก่อนที่เมริษาจะได้บริภาษต่อ ภาณุก็ใช้อุ้งมือหนาของตัวเองบิดใบหน้าของเมริษาให้หันมารับจูบของตน จูบนี้ของภาณุรุนแรงและบดขยี้กลีบปากสีสดของเมริษาให้บวมช้ำ ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการให้เธอประทับใจ กับจูบของเขาแต่ต้องการจะแกล้งให้เธอเจ็บใจเล่นเสียมากกว่า

   “อื้อ...” ตอนที่ถูกภาณุจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวก็ทำเอาเมริษาสติพร่าเลือนไปชั่วขณะ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลิ้นอ่อนนุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของเธอ หญิงสาวพยายามจะสะบัดตัวหนีแต่ภาณุไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ทำ ตามใจ จนในที่สุดภาณุก็เป็นฝ่ายถอนจูบเอง

   “ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้สารเลว ไอ้...” เมริษาด่าพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากของตัวเองไปด้วย เธอไม่น่าพลาดท่าเสียทีให้กับคนพรรค์นี้เลย

   “ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเธอแอบเข้าไปขโมยอะไรมา แล้วข้อมูลที่เธอได้มามันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

   “ฉันไม่บอก ต่อให้นายฆ่าฉันตายฉันก็ไม่บอก” หญิงสาวเชิดหน้าอย่างถือดี เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเธอไม่ปริปากเสียอย่าง คนตรงหน้าจะทำอะไรเธอได้

   “เธอนี่มันถนัดในการยั่วโมโหจริงนั้น หรือว่านี่จะเป็นเทคนิคในการยั่วยวนผู้ชายของเธอ โดยการแกล้งทำให้โกรธและโมโหก่อนเพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติเวลาทำกิจกรรมบนเตียง” ภาณุเดินย่างสามขุมเข้ามาหาเมริษาด้วยท่าทางน่ากลัว “ฉันรู้หรอกนะว่าเธอน่ะเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ฉันยอมจ่ายเงินให้เพื่อแลกกับความลับและข้อมูลทั้งหมดที่เธอรู้มา อีกทั้งเธอจะได้ไม่ต้องมาวางแผนจับเพื่อนของฉันเพื่อหวังรวยทางลัดอีกต่อไป ว่ายังไงล่ะ?”

   “นี่จะดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะ” หน้าเมริษาที่เคยซีดเผือดตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธที่ภาณุมา กล่าวหาเธอแบบนี้ ทั้งๆที่เธอเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง เธอมันก็เป็นผู้หญิงเห็นแก่เงินที่จ้องจะจับผู้ชายรวยๆอย่างที่ภาณุว่านั่นแหล่ะ

   “ก็แล้วที่ฉันพูดมันจริงไหมล่ะ? เธอรวมหัวกับไอ้ภาคินแล้วก็วันชัยมาโกงเพื่อนของฉัน และฉันก็ว่าผู้หญิงฉลาดอย่างเธอคงไม่ทำไปเพราะเหตุผลเดียวที่ว่าเธอรักไอ้ภาคินหรอกนะ เธอก็คงหวังล่ะสิว่าถ้าไอ้ภาคินได้ดิบได้ดีอยู่บนกองสมบัติของทัดเทวา เธอเองก็จะพลอยสุขสบายไปทั้งชาติด้วย แต่ฉันจะบอกให้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดหรอก”

   เพี๊ยะ!!!

   เมริษาตบหน้าภาณุจนอีกฝ่ายหน้าหันไปตามแรงมือ หญิงสาวหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธจัดที่ถูกชายหนุ่มจี้ใจดำ  ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับเธอแบบนี้ ในขณะที่ภาณุเองก็หมดความอดทนอีกต่อไป

   “ถ้าเราตกลงกันดีๆไม่ได้ เห็นทีเราก็คงจะต้องไปตกลงกันต่อบนเตียงแล้วล่ะ ฉันก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอมีอะไรดีนักหนาถึงมัดใจเสือผู้หญิงอย่างไอ้ภาคินได้” พูดไม่ทันขาดคำ ภาณุก็เหวี่ยงร่างบางของเมริษาไปยังเตียงนอนหลังกว้างกลางห้องอย่างรุนแรง หญิงสาวพยายามดิ้นรน ทั้งสะบัดทั้งตีแต่ภาณุก็ไม่ปล่อย ไม่นานนักร่างหนากำยำสมส่วนตามแบบบุรุษเพศก็ทาบทับตามลงมาเพื่อปราบพยศคนตรงหน้าทันที


จบบทที่20

Aislin : สวัสดีค่ะมิตรรักนักอ่านทุกท่าน วันนี้มาต่อให้เหมือนเช่นเคยแล้วนะคะ ขอแย้มๆนิดนึงว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ความรักของวินกันหมอกานต์ก็จะคืบหน้าแล้วนะคะ สำหรับใครที่ตามเชียร์อยู่ก็เตรียมลุ้นได้เลย แต่กว่าจะได้ลงเอยกันก็แทบปาดเหงื่อ 555 สำหรับเรื่องราวความรักก็กำลังดำเนินไป เรื่องการแย่งอำนาจทางธุรกิจก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เหตุการณ์ตอนหน้าจะเป็นจุดพลิกผันของเรื่องแล้ว...วินจะรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร และนภัทรจะสามารถเปิดใจให้วินได้หรือไม่? ติดตามต่อเอาเองเน้อออ
ตอนนี้เรายุ่งๆอยู่กะเรื่องที่บ้าน ขอตัวก่อนนะจ้ะ หากสงสัยหรือต้องการพูดคุยติชมใดๆก็สามารถทิ้งคอมเม้นท์เอาไว้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะเลือกบางคอมเม้นท์มาตอบนะคะ (แต่เราก็อ่านทุกคอมเม้นท์เน้อ ไม่ต้องน้อยใจไป 555)

           ตอบเรื่องที่มีนักอ่านบางท่าน(คุณnunnan) ขอให้เราเอาตอนพิเศษ (ที่ไม่ได้ลงในเว็บเด็กดี) มาลงไว้ที่นี่ อันนี้ต้องขออนุญาตบอกว่าคงทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ เพราะว่าตอนพิเศษนี้เราตั้งใจว่าจะมอบให้เป็นของขวัญเพื่อขอบคุณแฟนๆนิยายที่เสียสละเวลามาเล่นเกมชิงไฟลล์ตอนพิเศษจากเรา ดังนั้นถ้าหากใครอยากอ่านก็ต้องออกแรงหน่อยเน้อ อีกอย่างก็คือหากว่าเอาตอนพิเศษมาลงในนี้ เดี๋ยวจะดูไม่เป็นการยุติธรรมกับคนที่ร่วมเล่นเกมอ่ะค่ะ ดังนั้นขออภัยอย่างสูงเลยเน้อ ซึ่งกติกาการเล่นเกมสามารถอ่านได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ แต่เดี๋ยวถ้าเราโพสนิยายจนจบแล้ว เราจะเอาเรื่องเกมการชิงไฟล์ตอนพิเศษมาประชาสัมพันธ์แน่นอน


http://writer.dek-d.com/Aislin/story/viewlongc.php?id=695939&chapter=44

ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับการติดตาม (ทั้งนักอ่านที่คอมเม้นท์ให้และนักอ่านเงาทั้งหลาย) เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2012 11:49:04 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #48 เมื่อ02-08-2012 12:53:52 »

โอ้วแอบเสียดายภาณุ

วินเอ้ย ศึกนอกศึกใน ใหญ่ทั้งนั้น

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #49 เมื่อ02-08-2012 13:30:48 »

อ่านแล้วเครียดเนอะ ฮ่าๆๆๆ  :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
« ตอบ #49 เมื่อ: 02-08-2012 13:30:48 »





ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #50 เมื่อ02-08-2012 16:12:23 »

เรื่องชักสนุกและเข้มข้นมากๆ


ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #51 เมื่อ02-08-2012 16:53:18 »

20 รวด

2 พี่น้อง ทิฐิกันไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่มีปัญหารอบด้าน แทนที่จะรักกันไว้กลับต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง :เฮ้อ:

ภานุสู้ๆๆ

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #52 เมื่อ02-08-2012 17:15:16 »

เรื่องของอำนาจและเงินตรามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
ว่าแต่วิศรุตจะเคลียร์กับศรารัตน์ยังไงล่ะ
น้องสาวจะยอมเปิดทางให้พี่ชายรึเปล่า

ออฟไลน์ Minerva

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #53 เมื่อ02-08-2012 17:15:52 »

อย่างกับหนังเลย มีตัวร้าย มีรักสามเศ้า ดราม่าชัดๆ :o12:
หลงรักหมอกานต์ เป็นคนที่อบอุ่น และน่ารักมาก♥
มีแต่คนมารุ่มชอบ     :กอด1:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #54 เมื่อ02-08-2012 21:31:00 »

ไอ้สองพ่อลูกนี่จะเลยไปถึงไหนวะ :fire: :fire: :z6: :z6: :z6:

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:สงสารวินจังเลยอะสู้ๆๆนะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:

รอติดตามจ้า :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #55 เมื่อ02-08-2012 22:42:58 »

อ่านแล้วเครียดแท้  o22 อำนาจเงินไม่เข้าใครออกใคร สงสารทั้งวินทั้งศรา อิสองพ่อลูกนั่นก็ทำเลวซ้ำๆซากๆไม่รู้จักสำนึก โชคดีที่ยังมีภาณุที่ดูเหมือนจะช่วยอะไรได้เยอะ
หวังว่าสองพี่น้องจะไม่ทะเลาะกันเสียก่อนนะ เรื่องหัวใจจะมาปนกับเรื่องงานแล้ว  :z3:

รอตอนหน้าค่ะ  o13

ออฟไลน์ Thengja

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-64
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #56 เมื่อ02-08-2012 23:48:16 »

เรื่องนี้มีเลิฟซีนชะนีด้วยยยยยยยยยยยยยยย เอ่อ

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #57 เมื่อ03-08-2012 01:32:33 »

กำลังสนุกเลยอ่ะ มาต่อเร็วๆ น๊า!!!  :z3:

ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่1-20
«ตอบ #58 เมื่อ03-08-2012 01:47:39 »

จะได้เมียทั้งทีมาได้คู่กับยัยเมเนี่ยนะ เพลียเบาๆ เสียดายภาณุจริงๆ นอกจากเป็นนางนกต่อแล้ว ยังเคยใจง่ายผ่านผู้ชายมาแล้วอีก หวังเล็กๆว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดแม้พล็อตจะเอื้อ -”-  ส่วนกานต์กับวินก็รักกันเปิดใจกันเร็วๆละกัน

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Re: ทัณฑ์กามเทพ บทที่21
«ตอบ #59 เมื่อ03-08-2012 08:37:03 »

บทที่ 21


   “ศรา” วิศรุตครางออกมาเบาๆ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้เห็นสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา ของศรารัตน์ก่อนจะไล่สายตาไปมองหนังสือรุ่นที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ศรารัตน์เปิดมาเจอหน้านั้นพอดี อย่างนี้แล้วเขาก็คงไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีก

   “นายกับหมอกานต์เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมอีกต่างหาก นี่น่ะเหรอที่นายบอกฉันว่านายเพิ่งเคยเจอหน้าเขาครั้งแรกตอนมาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาล” ศรารัตน์พูดพร้อมกับปาหนังสือรุ่นใส่วิศรุตที่พยายามจะเดินเข้ามาหาตน

   “ฟังฉันก่อนนะศรา คือว่า...”

   “พอกันที นายจะหลอกอะไรฉันอีกล่ะ? จะหลอกให้ฉันเป็นผู้หญิงหน้าโง่ไปจนถึงเมื่อไหร่? ถ้าฉันไม่ได้มาเห็นรูปในหนังสือนั่นล่ะก็ ต่อให้ตายฉันก็ไม่มีทางจะเชื่อว่านาย...แอบรักหมอกานต์” ศรารัตน์พูดพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาราวกับ สายน้ำ หญิงสาวสะบัดหัวไหล่ออกจากการเกาะกุมของวิศรุตพลางมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายอย่างเจ็บปวดและรับไม่ได้กับความจริงที่เธอได้รับรู้

   “เรื่องของฉันกับนภัทร เราสองคน...” วิศรุตหยุดประโยคไว้แค่นั้น ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้บอกว่าเรื่องระหว่างเขากับนภัทรมันไม่มีทางเป็นไปได้แต่ศรารัตน์ก็ตวาดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “นี่ใช่ไหมเหตุผลที่นายแกล้งทำเป็นไม่รู้จักหมอกานต์ต่อหน้าฉัน เพราะนายกลัวใช่ไหม? นายกลัวว่าฉันจะรู้ความลับเรื่องที่นายเคยแอบชอบเค้ามาตลอด นายก็เลยเลือกที่จะหลอกฉัน” หญิงสาวกลั้นเสียงสะอื้นพร้อมกับปาดน้ำตา “ตอนแรกฉันสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว เพราะนายดูท่าทางแปลกๆเวลาที่เจอหน้าหมอกานต์ พี่โอมกับคุณพงษ์ก็มีท่าทางแปลกๆด้วย ที่แท้พวกนายก็รวมหัวกันหลอกฉัน”

   “ฉันไม่ได่ตั้งใจนะศรา ตอนนั้นมันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าจริงๆ ฉันคิดอะไรไม่ออกก็เลยเลือกที่จะปิดบังเธอไว้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เสียงของวิศรุตแหบแห้ง ชายหนุ่มกัดฟันแน่นเพื่อข่มความรู้สึกปวดยอกเอาไว้ในใจ

   “เพราะอะไรล่ะ? นายปิดฉันเพราะอะไร ตอบฉันมาสิว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงของศรารัตน์เริ่มแรงตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ หญิงสาวใช้สองมือบางเขย่าตัววิศรุตจนชายหนุ่มเองก็ทนไม่ไหวเลยระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นกัน

   “พอซะที หยุดบ้าได้แล้วศรา” ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้วิศรุตเหวี่ยงจนศรารัตน์ไปกระแทกกับสันโต๊ะทำงาน หญิงสาวล้มลงพลางเอามือกุมบริเวณท้องที่ไปปะทะกับโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ก่อนจะหันมามองวิศรุตด้วยสายตาว่างเปล่า “ศรา เธอเจ็บมากไหม? ฉันขอโทษนะ” วิศรุตจะเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วงแต่ศรารัตน์ตวาดห้ามไว้ไม่ให้ยุ่งกับเธอ

   “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ที่นายทำฉันเจ็บแบบนี้ ไม่เป็นไรหรอกเพราะมันก็แค่เจ็บภายนอก แต่ที่นายทำร้ายจิตใจฉัน มันเจ็บยิ่งกว่า เจ็บจนใจของฉันเหมือนกับถูกนายดึงทึ้งให้แหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะอะไรรู้ไหมวิน?” หญิงสาวพูดเสียงสั่นแล้วน้ำใสๆก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตาสีน้ำตาลอีกรอบ “เรื่องที่นายกับหมอกานต์เคยรู้จักกัน สำหรับฉันมันไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เท่าไหร่ แต่เรื่องที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือ นายเองก็รู้ว่าฉันชอบหมอกานต์ แต่นายทำแบบนั้นทำไม นายกีดกันความรักของฉันทำไม?” แม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ศรารัตน์ก็อยากจะถามให้แน่ใจ หญิงสาวย้อนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่วิศรุตพยายามจะกีดกันไม่ให้เธอชอบนภัทร โดยอ้างถึงความไม่เหมาะสมหลายๆอย่าง แต่สุดท้ายเหตุผลที่แท้จริงก็คือวิศรุตชอบนภัทรเสียเอง คุณหมอคนที่เธอหลงรักกลับกลายเป็นคนเดียวกับที่พี่ชายของเธอแอบรักมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

   “เธออยากรู้นักใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องกีดกันไม่ให้เธอชอบกับนภัทร? ก็ได้ ฉันจะบอกให้...ที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะว่าฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอได้ใกล้ชิดกับคนที่ฉันหลงรักมาตลอดสิบกว่าปี เธอเอาแต่คิดว่าความรักของเธอที่มีให้นภัทรมันช่างลึกล้ำจนไม่มีใครเทียบได้ แล้วฉันล่ะ? ฉันรักนภัทรมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง รักทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะนภัทรไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนอย่างฉัน แม้กระทั่งตอนไปอยู่อังกฤษ ฉันก็ยังลืมนภัทรไม่ได้ เขาเป็นทั้งความรัก เป็นชีวิต เป็นลมหายใจของฉัน ฉันเคยคิดว่าถ้าหากเราสองคนไม่ได้มาเจอกันอีกครั้ง ฉันคงจะลืมเขาได้ แต่เปล่าเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอนภัทรอีกครั้ง ฉันก็รู้ว่าตัวเองทำแบบนั้นไม่ได้” วิศรุตหยุดหอบหายใจแรง ศรารัตน์ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากฟังต่อแล้ว แต่วิศรุตไม่สนใจกลับระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาต่อหน้าศรารัตน์จนหมดสิ้น “ยิ่งเมื่อฉันได้รู้ว่าเธอกำลังชอบนภัทร ฉันก็ยิ่งทำใจไม่ได้ เธอจะให้ฉันรู้สึกยังไงเมื่อน้องสาวตัวเองไปตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต”

   “นายก็เลยกีดกันฉันงั้นเหรอ?”

   “ใช่ ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามีใครอยู่ข้างกายนภัทร และยิ่งทำใจไม่ได้ใหญ่ถ้าหากคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของฉันเอง ฉันจะบอกอะไรให้นะศรา ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย และเธอเองก็อย่าหวังเลยว่าจะแย่งนภัทรไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นดีกันแน่ศรารัตน์” วิศรุตยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พูดออกไปแบบนั้น ลึกๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ศรารัตน์ต้องเสียใจ แต่เขาเองก็ปล่อยมือจากนภัทรไม่ได้แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่นภัทรเลือกจะคือศรารัตน์ก็ตาม

   ทันทีที่พูดจบ ศรารัตน์มองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนๆนี้คือวิศรุต ทัดเทวา ผู้ที่มีสายสัมพันธ์เป็นถึงพี่ชายแท้ๆของเธอ ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มจะกล้าพูดคำพวกนี้ออกมา ศรารัตน์แค่นยิ้มด้วยความสมเพชก่อนเอ่ยออกมาช้าๆแต่ทว่าช่างบาดลึกในความรู้สึกของคนฟังเหลือเกิน

   “นายมันน่าขยะแขยงเหลือเกิน นายมันน่ารังเกียจ ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าท่านคงจะเสียใจมากที่มีลูกชายเป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบนี้”

   เพี๊ยะ!!!

   วิศรุตตบหน้าศรารัตน์อย่างแรงทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเน้น อารมณ์โมโหชั่ววูบทำให้เขาขาดสติพลั้งมือตบหน้าศรารัตน์ไป เขามองมือตัวเองข้างนั้นอย่างเจ็บปวดใจและนึกเกลียดตัวเอง ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าเขากับศรารัตน์จะทะเลาะอะไรกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาหรือรุนแรงแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยถึงขั้นลงไม้ลงมือกับศรารัตน์เลยซักครั้ง ครั้งนี้เขาเองก็ต้องยอมรับว่าทำรุนแรงไปจริงๆ

   “เป็นครั้งแรกที่นายตบหน้าฉัน วิศรุต” ศรารัตน์เค้นเสียงสั่นเครือ ในขณะที่ไม่มีน้ำตาเหลือสักหยด ราวกับว่าน้ำตา ทั้งหมดของเธอมันเหือดหายไปกับการกระทำของวิศรุตเสียแล้ว หญิงสาวจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุดก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานนั้นทันที เธอไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกแล้ว เธอไม่อยากอยู่ร่วมชายคากับพี่ชายที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง ซึ่งการกระทำที่เธอรับไม่ได้อย่างที่สุดก็คือการพรากความรักไปจากเธออย่างเลือดเย็น

   วิศรุตไม่ได้ตามศรารัตน์ออกไป เขารู้ว่าตอนนี้หญิงสาวคงกำลังสับสนและก็คงจะผิดหวังอย่างรุนแรงกับความจริงที่ออกจากปากของเขา ตอนนี้ศรารัตน์รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์ เธอคงจะรับไม่ได้ที่มีพี่ชายเป็นพวกผิดเพศแบบนี้ วิศรุตทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงก่อนน้ำตาที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นไว้กลับเอ่อไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่กดดันสุดๆ






   ศรารัตน์ขับรถออกจากบ้านทัดเทวาไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใบหน้า งดงามของหญิงสาวในตอนนี้กลับเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ความผิดหวังและความเจ็บปวดมัน
ถาโถมเข้ามาพร้อมกันทีเดียวจนเธอตั้งรับไม่ทัน ศรารัตน์ใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด หญิงสาวไม่ได้รับรู้ เลยว่าตอนนี้เธอกำลังขับรถด้วยความเร็วสูง เธอรู้แต่เพียงว่าเธออยากจะไปให้พ้นจากวิศรุต อยากจะไปให้ไกลจากคนๆนั้นมากที่สุด แม้ว่าตอนนี้เธอจะขับรถไปอย่างไร้จุดหมายก็ตาม

   ศรารัตน์ขับรถไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยนัก สมองของเธอตอนนี้ไม่อยากรับรู้หรือว่าคิดอะไรอีกแล้ว มารู้ตัวอีกทีรถของเธอก็กำลังเข้าโค้งอันตราย ด้วยความที่ไม่ชำนาญเส้นทางประกอบกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักส่งผลให้ถนนลื่น หญิงสาวพยายามเหยียบเบรกแต่ก็พบว่าเบรกไม่ทำงาน ในขณะที่รถยุโรปราคาแพงของเธอกำลังพุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะเข้าโค้งหักศอก ศรารัตน์หวีดร้องออกมาอย่างตกใจก่อนที่เธอจะรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกและการพลิกคว่ำอย่างรุนแรง จากนั้นทุก อย่างก็ดับวูบไป





   หลังจากจัดการปราบพยศเมริษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อสติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับมาอีกครั้ง ภาณุก็ยิ่งรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ตนทำไปทั้งหมด แม้ว่าเมริษาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีเลิศหรือบริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรหนักหนา แต่เขาก็ไม่สมควรที่จะใช้ความเหนือกว่าทางเพศมารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้ ยิ่งคิดภาณุก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ

   “เมริษา ผมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ภาณุพูดหลังจากที่เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจจะขืนใจคุณ แต่คุณมายั่วโมโหผมก่อน”

   เมริษาหันมามองคนที่กำลังพูดขอโทษด้วยสายตาเย็นชา ก่อนมือบางจะตวัดตบหน้าภาณุซ้อนกันสองทีจนหน้าชายหนุ่มเกิดเป็นรอยนิ้วมือประทับอยู่อย่างเด่นชัดซึ่งภาณุเองก็ไม่ได้ตอบโต้ เขาสมควรจะโดนแล้วถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาทำไว้กับเธอ

   “สะใจคุณหรือยัง? สาแก่ใจหรือยังที่มาทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้แบบนี้?” เมริษาพูดด้วยเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น จริงอยู่ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรและครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ แต่นี่คือครั้งแรกที่เธอโดนอีกฝ่ายบังคับขืนใจและเป็นครั้งแรกที่เธอโดนผู้ชายย่ำยีแบบไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรเลย

   “ผมขอโทษ” ภาณุสบตาเมริษาอย่างรู้สึกผิดจริงๆกับการกระทำของตน

   “ออกไปจากห้องของฉันได้แล้ว” หญิงสาวออกปากไล่ เธอไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกแล้ว “ไปสิ ฉันบอกให้ออกไป ออกไป” เมริษาตวาดไล่เสียงดังซึ่งภาณุก็ยอมไปแต่โดยดีเพราะคิดว่าพูดกับเธอตอนนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์เพราะหญิงสาวกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ รอให้เธออารมณ์เย็นกว่านี้แล้วเขาจะกลับมาขอโทษเธออีกครั้งหนึ่ง

   ก่อนจะไป ภาณุก็เดินไปหยิบแผ่นซีดีออกมาจากกระเป๋าสะพายของเมริษา ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าหญิงสาวแอบเอาแผ่นซีดีนี้ใส่กระเป๋าตอนที่เขาเข้าไปเจอเธอในห้องทำงานของวิศรุต และมันก็น่าจะเป็นแผ่นซีดีที่บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่เธอแอบขโมยมานั่นเอง

   “จะทำอะไรน่ะ? เอามานี่นะ” เมริษาหันมาเห็นว่าภาณุกำลังถือแผ่นซีดีของเธออยู่ แผ่นซีดีนี้เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมา เธอจะไม่ยอมให้ภาณุเอาไปอย่างเด็ดขาด
ราวกับล่วงรู้ความคิดของเมริษา ภาณุเหยียดยิ้มในหน้าก่อนจะใช้สองมือหักแผ่นซีดีนั้นเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะกระเถิบตัวมากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง

   “ถ้าหากผมรู้ว่าคุณวางแผนชั่วๆจ้องจะทำร้ายวินกับศราอีกล่ะก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่ แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นผัวเมียกันจริงๆตามพฤตินัยแล้วก็ตาม” ภาณุจุดยิ้มที่มุมปากขณะมองเมริษาที่กัดฟันแน่นด้วยความแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
   เสียงโทรศัพท์มือถือของภาณุดังขึ้น ชายหนุ่มมองหน้าจอเห็นว่าเป็นชื่อของวิศรุตที่โทรมาจึงกดรับสาย

   “แกว่าไงนะไอ้วิน ศรารถคว่ำเหรอ เออ ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” ข่าวที่ว่าศรารัตน์รถคว่ำทำเอาเมริษาขนลุก อย่างห้ามไม่อยู่ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าศรารัตน์รถคว่ำเพราะอะไร ที่แน่ๆคือมันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการจงใจฆาตกรรม

   “เมริษา คุณเป็นอะไร? ดูแปลกๆไปนะ” ภาณุถามขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเมริษานิ่งไป

   “เปล่า ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว แล้วนายก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”

   “ผมจะมาหาคุณอีกครั้ง เรามีเรื่องจะต้องพูดกัน”

   “แต่ฉันไม่มีเรื่องที่จะต้องพูดกับคุณ เรื่องในคืนนี้ฉันจะถือว่าให้ทานก็แล้วกัน” เมริษาเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้ายก่อนจะมองหน้าภาณุอย่างถือดี ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตัดสินใจที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอในวันนี้อีกแล้วเพราะเขาต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด ศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุและวิศรุตก็กำลังรอเขาอยู่ที่นั่น



จบบทที่ 21

ปล. ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เห็นนักอ่านหลายท่านบ่นเสียดายภาณุเสียเหลือเกิน 5555 อยากบอกว่าเรื่องของภาณุและเมริษาก็แอบดราม่าเหมือนกันนะึคะ อ่านไปอ่านมาท้ายๆจะรู้สึกสงสารโอมมากถึงมากที่สุด...เหอๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด