Friend's brother Brother's friend 01
[NET's talk]
“กูสงสัยว่ะ ว่าพี่ชายกูเป็นเกย์หรือเปล่า?”คำพูดเรียบ ๆ ที่ออกมาจากปากของเพื่อนในกลุ่มทำให้คนอื่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาจ้วงเกี๊ยวกุ้งในหม้อเอ็มเคชะงักกึกแล้วมองหน้ากันปะหลับปะเหลือก
คนพูดชื่อบอม สูงราว ๆ ร้อยแปดสิบเซนติเมตร คิ้วหนา ตาคมและผิวที่ดูเป็นคนขาวกร้านแดดของมัน ไม่ผิดไปจากรูปลักษณ์ของพี่ชายคนโต ที่มันกำลังตั้งข้อสงสัยสักเท่าไหร่ ซึ่งนั่นทำให้เพื่อน ๆ ม.ปลายลงมติให้มันเป็นคนที่หล่อที่สุดในสายชั้น
จริงอยู่ที่ว่าหน้าตาของมันดึงดูดสาวน้อยหน้าแฉล้ม แต่อีกอย่างสำหรับคนจำนวนมากที่เข้าหามันก็เพราะนามสกุล พาณิชยโชติ นั่นด้วย
ครอบครัวของบอมไม่ใช่ไฮโซไฮซ้อมาจากไหนครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มาเกลือกกลั้วกับนักเรียนชายโรงเรียนหญิงล้วนอย่างพวกผมเป็นแน่แท้
แต่เพราะพี่ชายมันเป็นนายแบบโฆษณาอันดับแนวหน้าเมื่อราว ๆ สองสามปีก่อนต่างหาก ที่ทำให้พาณิชยโชติ เกิดโด่งดังเปรี้ยงปร้างจนคนที่ข้องแวะกับมันต้องซักไซ้เอาว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับนายแบบหนุ่มที่ผันตัวไปทำงานเบื้องหลังเงียบ ๆ อย่างไร
ใช่ครับ อดีตนายแบบโฆษณาที่ว่า คือคนที่มันกำลังสงสัยว่าเป็นเกย์อยู่ตอนนี้นั่นแหละ
บีม ปารมี พาณิชยโชติ“มึงมามุกไหนวะ เฮียกะแฟนก็คบกันมาตั้งนานแล้วนี่ ก่อนพวกเราจะเข้ามหา’ลัยกันอีกไม่ใช่เหรอ”
ปันเป็นคนเสนอความเห็นขึ้น ทำให้คนอื่นส่งเสียงงึมงำในลำคอเห็นตามด้วย
ผู้หญิงคนที่ปันพูดถึงพวกเราก็เคยเจอกันครั้งสองครั้งสมัยมัธยม ตอนนั้นเฮียยังเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนพวกผมก็ไปเสนอหน้าให้แกติววิชาภาษาอังกฤษในช่วงใกล้สอบ เป็นโอกาสให้ทั้งกลุ่มได้เจอนางแบบขวัญใจที่ชื่อว่าทรายแก้วนอกเหนือจากนิตยสารปลุกใจเสือป่า
เจ้ทรายเป็นนางแบบ For Him Magazine พูดถึงขนาดนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณแล้วครับว่าแซบขนาดไหน แต่จะว่าไปนี่ก็ราว ๆ สี่ปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเฮียบีมกับเจ้ทรายเลย
“เลิกกันแล้ว เมื่อวานทรายโทรมาร้องไห้กับกูด้วย”
ประโยคนี้ของบอมทำให้พวกผมช็อกหนักยิ่งกว่าที่มันสงสัยว่าเฮียเป็นเกย์อีกครับ ไอ้หมอโต๊ดถึงกับสำลักหมี่หยกจนเส้นเขียว ๆ แทบจะพุ่งออกทางจมูกกันเลยทีเดียว
“คบกันมาสี่ห้าปีเนี่ยนะ ทำไมวะ เฮียแกมีคนอื่นหรือเปล่า”
ปันยังคงเป็นคนเดียวที่เสนอความคิดเห็น ขณะที่คนอื่นได้แค่พยักหน้าหงึกหงัก งง ๆ กับเรื่องที่เพื่อนเก่านำมาเล่าให้ฟังโดยไม่รู้จะขุดเอาคำไหนมาประดิดประดอยขึ้นให้บอมขยายหน้าตัวเองจากสองนิ้วมาเท่าคนปกติได้
จากสถานการณ์แล้วคนที่เฮิร์ทที่สุดไม่ใช่เจ้ทรายแก้วหรอกครับ พวกผมรู้ตั้งแต่สมัยหัวยังเกรียนแล้วว่าบอมมันหลงว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเองขนาดไหน จนตอนนี้ที่จบ ม.ปลาย ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปตามหาฝันแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้งนัยน์ตาของเพื่อนสุดหล่อของพวกเราก็ยังเหมือนเดิม รักยังไงก็ยังคงรักอย่างนั้นไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ผมล่ะอยากตบบ่าลู่ ๆ ของมันแล้วบอกว่า 'พระรองเชี่ย ๆ เลยว่ะ' แต่ดูจากสีหน้าตอนนี้แล้วคงไม่เหมาะเท่าไหร่จึงได้แต่เงียบปากเอาไว้
“ถ้าเฮียมีคนอื่นให้กูสงสัยบ้างกูคงไม่เครียด แต่นี่แม่งอาทิตย์ก่อนเสือกพาดาราใหม่มาค้างที่บ้าน บอกพวกกูสักคำก็ไม่มีว่าไอ้เชี่ยนั่นมันใคร ทำไมต้องมานอนกับเฮีย”
พวกกูที่บอมพูดถึงหมายถึงป๊า ม้า มัน กับน้องชายอีกคนที่ตอนนี้กลายมาเป็นรุ่นน้องผม
แหงล่ะครับ ไอ้บ้านนี้มันครอบครัวที่สนิทชิดเชื้อกันขนาดที่แทบจะรู้เวลาเข้าส้วมของกันและกันเลยด้วยซ้ำ พอจู่ ๆ พี่ชายคนโตมีเรื่องแล้วปิดเงียบ คนอื่นก็พลอยเป็นกังวลไปหมด
“ดาราที่ว่านี่ผู้ชายเหรอวะ มึงถึงสงสัย”
โชติพงษ์ถามขึ้น ไอ้บอมเริ่มกำตะเกียบในมือแรงกว่าเดิมแทนคำตอบ
“เหยด! กูว่าชัวร์แล้วล่ะ!”
“เหี้ยโชติ! เค้าอาจเป็นเพื่อนกันก็ได้ ห่า! มึงไม่ลองไปถามเพื่อนเฮียมึงดูล่ะวะ”
ประโยคแรกผมหันไปตวาดไอ้โชติ มันเรียนคณะเดียวกับผม เป็นพวกที่มักมีความคิดเหี้ย ๆ ตลอดเวลา ส่วนประโยคหลังผมพูดกับไอ้ชายกลางที่นั่งหน้าเป็นตูดให้ใจเย็นลง
“มันคงบอกกูหรอก สัด!”
อ้าว— คนอุตส่าห์พูดให้หายเครียด ไหงหันมาตะคอกจนเศษเป็ดกระเด็นใส่หน้างี้อะ ผมสะบัดหน้าพรืดมาทางหม้อสีแดงที่มีน้ำเดือดปุด ๆ อีกครั้ง ช่างแม่ม คนหวังดีเสือกด่า งอนครับงอน หันไปซัดหมูนุ่มเงียบ ๆ คนเดียวก็ได้วะ จัดการไอ้เฮียตุ๊ดของมึงคนเดียวไปเลย
แต่ไม่ทันที่ผมจะช้อนหมูขึ้นมาจากน้ำร้อนได้ บอมก็หันมาใช้ตะเกียบคีบหมูในกระบวยสแตนเลสของผมใส่จานมันเสียก่อน
“อะไรของมึงอีก!”
ผมหันไปตวาด ย่นคิ้วเข้าหากันแล้วพยายามแย่งหมูในจานมันคืน แต่ก็ดูไม่เป็นผลเพราะบอมเอาตะเกียบจิ้มหมูเอาไว้เสียแน่น
“งอนอีกละ ไม่ได้เจอกันเป็นปียังเสือกจะงอนกูอีกนะไอ้เน็ต”
ก็ดูที่มึงทำสิครับ! ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองขณะที่คนอื่นเลิกสนทนาหัวข้อเฮียบีมแล้วหันมาหัวเราะผมกับไอ้บอมที่ฟาดฟันกันด้วยหางตาอย่างเอาเป็นเอาตายแทน
“ผัวเมียคู่นี้เจอกันทีไรแม่งต้องกัดกันทุกที”
“พ่องสิ!”
ผมบอกแล้วว่าไอ้โชติแม่งมีความคิดเหี้ย ๆ ตลอดเวลา แต่ประโยคนั้นก็ทำให้ผมกับคู่กรณีสามัคคีกันด่ามันได้เสมอ ๆ พวกผมถึงไม่ได้ถือสาอะไรมันมาก
บอมโยนหมูนุ่มที่ขโมยผมไปคืนใส่ถ้วย ทำหน้ากวนส้นตีนนิดหน่อยก่อนจะหันไปคีบหนังเป็ดย่างสีน้ำตาลแดงขึ้นมากินต่อ
ผมกับบอมเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ ม.ต้น โรงเรียนมัธยมที่เราจบมาเคยเป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่เพิ่งเปิดรับเป็นสหศึกษาในรุ่นผม ดังนั้นในรุ่นจึงมีนักเรียนชายไม่กี่คนและทำให้พวกเราสนิทกันมาก อย่างกลุ่มที่ผมอยู่ก็มีผม โชติ บอมที่เรียนวิศวะเหมือนกัน แต่ไอ้เชี่ยบอมมันเลวครับ เลือกเรียนมหา’ลัยอันดับหนึ่งที่ผมกับไอ้โชติตะกายไปไม่ถึง มันถึงต้องระเห็จไปเรียนมหา’ลัยไกลกันกับพวกปัน และหมอโต๊ด
ปันเรียนบริหาร ส่วนไอ้โต๊ดก็ตามชื่อที่พวกผมเรียกแหละครับ ตอนนี้มันเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีสาม ถึงแบบนั้นเกือบทุกปี เราก็นัดเจอกันที่เอ็มเคหน้าโรงเรียน ราวกับจะระลึกความทรงจำวันสุดท้ายทีเรียนจบ ว่ามานั่งกินสุกี้ด้วยเสื้อนักเรียนเปื้อนหมึกอย่างหน้าไม่อาย มีเพียงแค่ยูนิฟอร์มเท่านั้นที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
“เออ ไอ้เน็ต”
จู่ ๆ คนที่เคี้ยวเป็ดย่างอยู่ก็เรียกชื่อผมทั้ง ๆ ที่ของกินยังคาปาก ผมเลิกคิ้วเชิงถามแล้วจิบน้ำชาเย็น ๆ รอฟังไอ้บอมพูดอะไรสักอย่างออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ถ้าเป็นไอ้หน้าจืดนั่นมันคงไม่บอกกูหรอกว่ามันกับเฮียเป็นอะไรกัน มึงช่วยไรกูหน่อยดิ”
จะให้กูเป็นคนไปถาม? ในใจอยากพูดแบบนั้นแต่น้ำชาที่อมไว้ทำให้ไอ้บอมมีโอกาสพูดต่อโดยไม่ฟังความคิดเห็นที่ผมกำลังเสนออยู่ในสมอง
“มึงไปสืบให้กูหน่อยสิ จีบเฮียแล้วเอามาเล่าให้กูฟังทีว่าเฮียมีปฏิกิริยากับผู้ชายยังไงบ้าง”
พรวด!!!!!!!!!!!!!
กระจายเป็นฝอย
ถ้าแสงแดดส่องผ่านกระจกทำมุมได้พอดิบพอดี ผมว่าไอ้น้ำชาที่ผมพ่นใส่หน้าปันไปคงทอแสงสายรุ้งออกมางดงามแน่ ๆ ผิดที่ว่าพระอาทิตย์ที่อยู่นอกกระจกมันตกไปแล้วภาพตรงหน้าถึงกลายเป็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของนิสิตบริหารที่ทำเหมือนจะขย้ำผมทั้งเป็น
“ไอ้สันขวาน! คิดเชี่ยอะไรของมึงห้ะ!”
“เอาน่า ช่วยกูหน่อย ยังไงมึงก็ไม่ใช่เกย์ มึงไม่หวั่นไหวไปกับเฮียอยู่แล้วนี่”
รู้อะไรไหมบอม ถ้าเฮียมึงคือเจ้ทรายแก้วกูจะไม่ตกใจขนาดนี้เลย ผมตวัดหางตาไปมองไอ้ตัวดีที่ยังทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนกับความโมโหของผมก่อนเสียงหัวเราะของไอ้หมอจะขำพรืดออกมาเสียมารยาท
“หัวเราะ หัวเราะ มึงไปจีบเฮียแทนกูดิไอ้หมอ”
โต๊ดส่ายหัวระวิง “มึงแหละเหมาะแล้ว” มันว่า ตอนนี้ผมเพิ่งสังเกตครับว่าไอ้โชติก็พยักหน้าเออออไปด้วย
“มึงน่ะฟีโรโมนล่อผู้ชายแรงจะตายไอ้สั้น ช่วยเพื่อนหน่อยดิวะ ถือว่าสืบให้เจ้ทรายก็ได้ มึงอุตส่าห์เอาหน้าเขาไปจิ้นตอนสำเร็จความใคร่ตั้งหลายรอบ อย่าคิดว่ากูไม่รู้”
“เรื่องหลังนั่นกูยอมรับ แต่ไอ้เชี่ย จะให้กูไปจีบเกย์ พวกมึงไม่ห่วงสภาพตูดกูกันเลยเหรอ” ผมหันไปตวาดไอ้โชติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะเล่นงานมันด้วยชื่อที่ตั้งให้ผมว่า ไอ้สั้น ก่อน แต่ตอนนี้ไม่เถียงด้วยหรอกครับ ความสูง 170 เซน ของผมยังไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เท่าความคิดอุตริของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเลยสักนิด
“จะกลัวห่าอะไรวะไอ้เน็ต กูเห็นมึงก็ถูกเกย์จีบมาตั้งแต่ ม.ต้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้เปิดบริสุทธิ์มึงไม่ใช่หรือไง”
ไอ้เชี่ยบอม มึงก็พูดได้สิครับจะให้กูเป็นสายให้นี่ ผมนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียวราวกับถูกทั้งโลกหันหลังให้ ถ้าจะเหลือคนเดียวที่ไม่ผสมลงโรงไปกับไอ้บอมด้วยก็เห็นจะเป็นปันนี่แหละที่นั่งหน้ายู่เช็ดน้ำชาที่ผมพ่นใส่หน้าอยู่เงียบ ๆ
แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่กล้าไปวอนขอความเห็นใจจากมันให้มาเป็นพรรคพวกหรอกครับ คงโมโหไม่น้อยที่ผมพ่นน้ำใส่หน้าไปแบบนั้น แต่ช่วยไม่ได้นี่หว่า ถ้ามันเป็นผมมันก็คงมีปฏิกิริยาเหมือนกันนั่นแหละ หวังว่ามึงจะเข้าใจและให้อภัยกูในเรื่องนี้นะคุณชาย
“กู-ไม่-ช่วย” ผมย้ำสามคำสั้น ๆ ให้ไอ้บอมฟังชัด ๆ มือคว้ากระบวยที่วางอยู่ข้างขวามือขึ้นมาตักสุกี้ในหม้อแดงกินต่อ ตอนนี้ปารณไม่รบเร้าผมให้จีบเฮียบีมแล้ว ทว่าเสียงทุ้มลอยต่ำนั่นกลับดังให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาวาบเมื่อประโยคจบลง
“มึงไม่ต้องจีบเฮียก็ได้ แค่มาเล่าให้กูฟังก็พอว่าเฮียทำยังไงกับมึงบ้าง”
ทำยังไง ? ทำยังไงคืออะไร ?
มึงหมายถึงอะไรวะสัด! ผมตวัดหน้าหันไปมองไอ้เชี่ยบอมแต่มันก็ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาตื่น ๆ ของผม ยิ่งพอเสียงหัวเราหึหึดังออกมาจากลำคอไอ้โชติ ไอ้โต๊ดแล้ว ผมยิ่งเกร็งตัวขึ้นมาถนัด
พวกมึง ไอ้เพื่อนเลว คิดจะวางแผนทำอะไรกับชีวิตของกูอีก ไอ้พวกชั่ว!
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 01
02/05/12น้องใหม่ขอฝากตัวด้วยนะคะ แนะนำการเขียนได้ค่ะ ^^
