{เรื่องสั้น} พันธนาการมฤเคนทร์ (ตอนเดียวจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} พันธนาการมฤเคนทร์ (ตอนเดียวจบ)  (อ่าน 1806 ครั้ง)

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
หมายเหตุ ::
1.เรื่องนี้เป็น ภาคแยก มาจากเรื่อง ลำนำมฤคินทร์ โดยไม่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกัน มีเพียงการดึงตัวละครมาใช้เท่านั้น

2.นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น

3.หิมพานต์ ในนิยาย แม้จะมีการบันทึกถึงในวรรณคดี หรือไตรภูมิ ทว่าผู้เขียนได้มีการแต่งเสริมเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เขียนลงไป จึงขอให้ หิมพานต์ ในที่นี้หมายถึง เป็นเพียงโลกจินตานาการของผู้เขียนเท่านั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



พันธนาการมฤเคนทร์


 
                    นิลปารัชญ์กลับเข้าสู่คูหาของตน หลังจำต้องออกเดินทางไปช่วยคลี่คลายปัญหาพิพาทในหมู่จตุราชสีห์ด้วยกันเสียหลายเดือน คูหาแห่งกาฬสีหะแห่งนี้มีเพียงเรือนขนาดกลางสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น จึงถูกต้นพิกุลใหญ่หน้าเรือนแผ่กิ่งก้านสาขาบดบังเสียแทบมิด

“ท่านนิลปารัชญ์ ท่านนิลปารัชญ์! ” เสียงเล็กๆ ร้องดังขึ้น ทันทีที่ผู้เป็นเจ้าของคูหาก้าวผ่านม่านเวทเข้ามา ร่างของเด็กชายอายุเพียงสิบสองปีวิ่งเข้ามากอดเอวของนิลปารัชญ์ไว้แน่นด้วยรอยยิ้มกว้าง จนดวงตากลมคล้ายลูกกวางยิบหยีแทบปิด

“เอะอะอันใดกันเจ้าแก้ว” กาฬสีหะหนุ่มก้มหน้าลงเอ่ยถามแกมขำในท่าทางเกินล้นเด็กชายที่กอดตนไว้

“ข้าดีใจที่ท่านนิลปารัชญ์กลับมานี่จ๊ะ ครานี้ท่านไปนานนัก” เด็กชายผละตัวออกจากราชสีห์หนุ่มแล้วทำหน้ามุ่ย
 
นิลปารัชญ์นิ่งไปช่วงครู่เพื่อพิจารณา ด้วยตนนั้นใช้ชีวิตมานานจนเลิกนับเดือนปี ทั้งร่างกายของเหล่าจตุราชสีห์นั้นเป็นกึ่งร่างทิพย์ความร้อน เย็น แดด ฝน มิอาจกรายกล้ำ กาลเวลาที่เวียนพ้นเพียงแค่วันเดือนจึงไม่อาจทำให้ราชสีห์หนุ่มรู้สึกได้
กระทั่งถูกเจ้าตัวน้อยออกปากทัก ราชสีห์หนุ่มถึงได้หยุดพินิจดู เมื่อยามเขาเดินทางออกจากถ้ำไปเจ้าเด็กน้อยของเขานั้นยังเปลือยอกนุ่งโจงวิ่งเล่นไปมา หากในยามนี้กลับผลัดเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนกระบอกเนื้อคัดสรรโจงกระเบนยาวเสียแล้ว...เพลานี้คงเข้าสู่เหมันตฤดูกระมัง

“มิดีฤๅเล่า เจ้าจักได้เล่นซนเสียให้เต็มที่ เรือนข้ายังอยู่ดีฤๅไม่เจ้าลูกลิง”
 
“ฮื่อ ข้าเพียงซนนะจ๊ะ หาได้ชอบทำลายข้าวของเสียเมื่อไร ข้ารึเตรียมผลหมากรากไม้ไว้รอรับ ข้าน้อยใจนะจ๊ะ” เถียงคำไม้ตกฟากจนปากยื่นปากยาว น่าดีดเข้าให้สักที

“เช่นนั้นตามใจเจ้า ไว้หายแง่งอนค่อยมารับของฝากจากข้าแล้วกัน”

“ข้าแค่น้อยใจมิได้แง่งอนนะจ๊ะ ท่านนิลปารัชญ์ขึ้นเรือนเถิดจ้ะ ข้าจักไปยกผลไม้มาให้” เด็กชายตัวน้อยตาวาวรีบยิ้มประจบทันที
นิลปารัชญ์ถึงกับส่ายหน้าไปมา ราชสีห์หนุ่มทั้งระอาทั้งเอ็นดูเจ้าตัวน้อยเสียจนอ่อนอกอ่อนใจไปหมด เห็นเด็กชายวิ่งนำหน้าเพื่อเตรียมสำรับอย่างปากว่า นิลปารัชญ์จึงอดที่จะนึกไปถึงคราแรกที่พบเจอเจ้าตัวเล็กไม่ได้

ยามนั้นอากาศได้นอกหนาวเย็นมากจนมีเกิดน้ำค้างแข็งปกคลุมไปทั่วผืนป่า ในค่ำคืนดึกสงัดคูหาที่มีเขาอยู่อาศัยเพียงตนเดียวกลับมีผู้มาเยือน เป็นเขมอารัณย์คนธรรพ์สหายเก่าที่มาพร้อมห่อผ้าขนาดใหญ่ในอ้อมแขน ภายในมีเด็กชายร่างกายผ่ายผอมอายุราวเจ็ดแปดขวบปีหลับพริ้มอยู่

‘ข้าเห็นนอนสลบไสลหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นพิกุล บริเวณเส้นแบ่งอาณาเขตหิมวันต์แลแดนมนุษย์จึงเก็บมา เกรงว่าคงถูกเอามาทิ้ง ฤๅไม่คงนำมาบูชายัญนั้นแล้ว ครั้นจักเลี้ยงไว้เอง...เจ้ารู้ดีภารกิจที่ข้าต้องกระทำมิอาจเลี้ยงดูมันได้ จักไว้ใจฝากผู้ใดข้านั้น
เห็นมีเพียงท่าน เวทนามันเถิดหนา ปล่อยไปมิพ้นตาย แค่เลี้ยงพอโตค่อยปล่อยมันไป มิสิ้นเพลาเจ้ามากนักหนากระมัง’
 
‘ชื่อเสียงเรียงนามเล่า’
 
‘มันเป็นไข้หนัก ก่อนพามาหาท่านข้าพามันไปรักษาไข้เสียที่คูหาสรรพยา ฟื้นขึ้นมาความจำกลับเลอะเลือนชื่อเสียงเรียงนามยังมิอาจจดจำ ข้าเจอมันใต้ต้นพิกุล แลจักตั้งชื่อมันว่าพิกุล เกรงว่าเติบโตไปจักอับอายเสีย’ คนธรรพ์หนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อจินตนาการไปถึงเรื่องในอนาคต

‘ชื่อว่า แก้ว เป็นเช่นไร พิกุลนั้นมนุษย์บางเหล่าเรียก ต้นแก้ว ดอกแก้ว ชายชื่อแก้ว มิแปลกแปร่งเท่าพิกุล’
 
‘ตั้งชื่อให้เสียแล้ว เช่นนั้นเป็นอันว่าท่านรับปากเลี้ยงดูมันแล้วหนา เช่นนั้นข้าลาล่ะ’
 
จากวันนั้นกาลเวลาผันผ่านมาถึงห้าปี ช่างผ่านไปรวดเร็วและแสนสั้นดังที่เขมอารัณย์กล่าวไว้จริงๆ ...

 
 
ยามค่ำคืนหลังจากหนึ่งราชสีห์หนึ่งเด็กมนุษย์อิ่มหนำกับมื้ออาหาร เจ้าแก้วที่ควรแยกตัวออกไปทำกิจวัตรส่วนตัว กลับมานั่งเท้าคางส่งยิ้มแต้ใส่เจ้าของเรือนอย่างผิดวิสัย

“ของฝากเจ้าข้าให้ไปหมดสิ้นแล้ว จักเอาสิ่งใดอีกเจ้าตัวร้าย”

“ของฝากส่วนของฝาก สัญญาส่วนสัญญาสิจ๊ะ ท่านนิลปารัชญ์สัญญากับข้าว่าหากข้าทำตัวว่าง่าย มิสร้างเรื่องรอท่านกลับมา ท่านจักเล่าเรื่องของต้นพิกุลต้นนั้นให้ข้าฟัง ท่านจักผิดคำฤๅจ๊ะ” หน้าเป็นอยู่เพียงครู่ กลับมาขมวดมุ่นเสียงอีกแล้ว

“ข้ามิลืม แลข้าจักรู้ได้เช่นไรว่าเจ้าว่าง่ายดังว่า”

“เช่นนั้นวันพรุ่ง ข้าจักไปตามท่านอาจารย์ให้มาเป็นพยานจ้ะ”
 
“เจ้าแก้ว ท่านฤษีชรามากแล้ว เจ้าจักรบกวนท่านถึงเพียงนั้นมิได้”

“จ้ะ” เมื่อถูกตักเตือนใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับแปลงเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา ราชสีห์หนุ่มนึกอยากรู้ถึงมาเสียเต็มประดา ภายในครึ่งอึดใจ เจ้าตัวร้ายสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้มากเท่าใด

“เอาเถิด ข้าจักเล่าให้ฟัง” สุดท้ายนิลปารัชญ์ก็ยอมแต่โดยดี ราชสีห์หนุ่มทอดมองออกไปนอกเรือน ทิ้งสายตาคมไว้ที่ปลายยอดต้นไม้ใหญ่ยามแสงจันทร์สีนวลตกกระทบเรื่อเรืองราวต้นไม้บนแดนสวรรค์

 
                    ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นิลปารัชญ์ยังเป็นสิงห์รุ่น ญาณหยั่งรู้ยังไม่แก่กล้าเท่ายามนี้ สิงห์หนุ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในการแบ่งแยกชั้นวรรณะ และต้องการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกล นิลปารัชญ์ในยามนั้นจึงตัดสินใจออกเดินตามกระแสน้ำมุ่งสู้ดินแดนมนุษย์เบื้องล่าง เพื่อร่วมคัดเลือกเป็นนักรบประจำองค์สมมุติเทพของเหล่ามนุษย์

เนื่องจากแดนสวรรค์และแดนอสูร ทั้งสองถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล เพราะแต่เดิมเหล่าอสูรนั้นคือทวยเทพรุ่นเก่า ที่โดนเทวากลุ่มใหม่มอมเหล้าจนไม่ได้สติ จนถูกจับโยนลงมาอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ เมื่อฟื้นคืนสติจึงเกิดความแค้นเป็นล้นพ้น ดังนั้นทุกคราเมื่อถึงฤดูดอกแคฝอยเบ่งบาน เหล่าอสูรให้หวนนึกไปถึงดอกปาริชาตบนดาวดึงส์และบ้านเกิด จนความแค้นปะทุขึ้นมาอีก พากันยกทัพเหาะขึ้นไปทำสงครามกับเทพสวรรค์ ต่างผลัดกันแพ้ชนะเรื่อยมาไม่อาจตัดสินกันได้อย่างเด็ดขาด สงครามนี้ถูกเรียกว่า ‘เทวาสุรสงคราม’ วนเวียนมิมีจบสิ้น

กระนั้นผลของความแค้นยังตกมาอยู่ที่แดนมนุษย์ ที่เหล่าเทพล้วนให้ความคุ้มครอง อสูรผู้มากด้วยความแค้นได้หันกลับมาเล่นงานมนุษย์หมายสร้างความวุ่นวายให้แก่เหล่าเทวาฆ่าเวลาก่อนถึงฤดูดอกแคฝอยเบ่งบาน

ครานั้นได้มีอสูรมากด้วยฤทธิ์ตนหนึ่งขึ้นมาอาละวาดบนแดนมนุษย์คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนองค์อินทร์ต้องมีคำสั่งให้แม่ทัพสวรรค์ลงมาปราบปราม ทว่าอสูรตนนั้นแต่เดิมเป็นเทพชั้นสูง แม่ทัพสวรรค์จึงไม่อาจสังหารได้ ทำได้เพียงผนึกร่างอสูรตนนั้นไว้ แลใช้พลังเทพทั้งหมดของตนฉีกทึ้งดึงแยกพลังออกจากร่างอสูร จนมันกลายเป็นหินศิลา เป็นการสิ้นสุดศึกย่อยในครานั้นได้สำเร็จ
 
อนิจจาเรื่องราวกลับไม่จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อพลังอสูรไม่อาจทำให้สลายไปได้ แม่ทัพจากสวรรค์จึงต้องย้ายมันลงไปสู่ร่างของทารกน้อย ร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเพื่อเป็นภาชนะ ด้วยเด็กผู้นั้นมีร่างกายอ่อนแอทำให้ไม่อาจมีแรงกำลังดึงพลังอสูรออกมาใช้ได้ และเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้น เทพตนนั้นยังจุติตนเองลงมาในร่างของชายหนุ่มถือศีลภาวนา เพื่อคอยกำราบหากภาชนะเกิดสามารถใช้พลังอสูรขึ้นมาได้ในวันหนึ่ง สองชีวิตเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชั่วอายุคน ทว่าภาชนะและสมมติเทพยังคงปรากฏตัวในแดนมนุษย์ไม่เปลี่ยนไป

โดยนักรบสวรรค์นั้นจะเกิดขึ้นมาจากต้นพิกุลทองที่ยืนต้นสูงตระหง่านหน้าร่างศิลาอสูร ยามถึงกำหนดเวลาดอกพิกุลสีทองจะร่วงหล่นจากต้นผลิบานออกมาเป็นเด็กน้อยหน้าตางดงามพิสุทธิ์ไปทั้งเรือนกาย ส่วนภาชนะอสูรนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยผู้มีปานแดงรูปดอกแคฝอยที่อกซ้าย
 
เพราะสมมติเทพนั้นสำคัญสำหรับชาวมนุษย์เมื่อเด็กน้อยเกิดมาพวกเข้าจะพาทารกเลี้ยงดูไว้ในอารามศักดิ์ สั่งสอนศิลปวิทยาและดูแลอย่างทะนุถนอมยกย่องทัดเทียมเทพเทวา และในเวลานี้สมมติเทพองค์นั้นมีนามว่า...วรา

ด้วยเหล่ามนุษย์ยกย่องสมมติเทพไว้สูง ทำให้ไม่มีผู้ใดคิดอาจเอื้อมแต่งงานมีสัมพันธ์ บางคนที่มีความศรัทธาอย่างเหลือล้นถึงขนาดไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าใกล้เฉียดเสมอเงาที่ทอดตัวบนพื้นดิน ทำให้สมมติเทพจำเป็นต้องมีองครักษ์เคียงกาย เกิดเป็นการคัดสรรขึ้นที่บริเวณหน้าอารามเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็ม จากมนุษย์และอมนุษย์ทั่วทุกสารทิศ รวมถึงนิลปารัชญ์ด้วย
ในการคัดเลือกนั้นผู้เข้าคัดเลือกจำต้องผ่านการทดสอบทั้งสภาพจิตใจและสภาพร่างกายอย่างเข้มข้น กระทั่งกว่าจะถึงการประลองตัวต่อตัวขั้นสุดท้าย ผู้ที่หยัดยืนอยู่ได้เหลือเพียงไม่กี่สิบคน

นิลปารัชญ์ในเพลานั้นสามารถผ่านทุกการทดสอบมาได้อย่าง่ายดาย ทว่าเมื่อต้องประลองฝีมือด้วยอาวุธเช่นมนุษย์ มฤเคนทร์เผ่าพันธุ์ที่มุ่งเน้นไปที่การภาวนาจิตเช่น กาฬสีหะ นั้นไม่ใคร่ถนัดนัก ทำให้ราชสีห์หนุ่มเพี้ยงพล้ำให้แก่มนุษย์หนุ่มในรอบตัดเชือก กลายเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้าย ลองจาก ‘อัศรี’ ผู้ชนะที่ได้ขึ้นเป็นองครักษ์ฝ่ายขวา

ทันทีที่การประลองจบลง ยามผู้ประลองจับมือยอมรับซึ่งกันและกัน เสียงระฆังพลันดังกังวานขึ้นทั่วสารทิศ ส่งสัญญาณถึงการมาเยือนขององค์สมมติเทพ พร้อมด้วยกลิ่นหอมเย็นจากมวลดอกไม้และน้ำปรุงกำจายตามสายลมเอื่อย ด้านบนเชิงอารามสูงปรากฏชายหนุ่มร่างสำอางแบบบาง ในชุดสีขาว ผมดำขลับราวปีกกาถูกรวบมวยไว้ที่ท้ายทอยเผยดวงหน้าหมดจดเย็นตา มองตรงลงมาเบื้องล่างลานประลอง รูปตาคล้ายกวางหนุ่มทอดมองลงมาแน่วนิ่งที่ผู้ชนะพร้อมด้วยรอยยิ้มบางเบาติดริมฝีปากจนแทบมองไม่ออก...ท่านวรา งดงามราวเทวาบนชั้นฟ้า สมคำเล่าลือ

“ยินดีด้วยหนา ท่านอัศรี แล ท่านนิลปารัชญ์ พวกข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จักจัดงานงานสมโภช รับตำแหน่งองครักษ์ประจำกายท่านวรา ในอีกสามสิบทิวา ระหว่างนี้ท่านทั้งสองโปรดพักผ่อนให้สำราญกายใจเถิด” นักบวชชราค้อมกายประกาศก้อง คล้ายเป็นปากเสียงให้แก่ ท่านวรา ตัวจริง ก่อนที่ทั้งหมดจะหันกายกลับเข้าสู่ตัวอาราม

เพราะต้องเข้ารับตำแหน่งองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทำให้นิลปารัชญ์จำต้องรั้งอยู่ในแดนมนุษย์ พร้อมกับเข้าฝึกการต่อสู้ด้วยอาวุธนานา ชนิดของชาวมนุษย์จนเกิดความสนิทสนมกับทหารในมหาอาราม กระทั่งสามารถรู้ความเป็นมา และความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมถึงความสัมพันธ์ของ อัศรี และ ท่านวรา...

อัศรี นั้นเป็นบุตรชายของนักบวชตำแหน่งใหญ่ในอาราม ทำให้เขาถูกเคี่ยวกรำฝึกฝน เพื่อเป็นองครักษ์ข้างกาย ท่านวราตั้งแต่จำความได้ ทำให้ทั้ง วรา และอัศรีสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคนกล่าวว่า อัศรี คือบุคคลผู้เดียวที่ท่านวรารู้จักและรู้ใจ สมกับเป็นองครักษ์ฝ่ายขวา จนมีคำกล่าวกันภายในว่างานสมโภชแต่งตั้งองครักษ์ประจำกาย องค์สมมติเทพนั้น ไม่ต่างจากงานแต่งงานของคนทั้งคู่ เนื่องจากต่อแต่นี้ไปจวบจนสิ้นภารกิจในแดนมนุษย์ องค์สมมติเทพไม่อาจเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงใดได้ เช่นนี้องครักษ์ข้างกายจึงต้องเป็นบุรุษผู้ไม่เข้าสู่การครองเรือนตามไปด้วย ในครานั้นนิลปารัชญ์รู้สึกยินดีในความพ่ายแพ้ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง

...ดีแล้วที่ท่านวราได้องครักษ์ข้างกายที่คุ้นเคยกันเช่นอัศรี เห็นได้ชัดว่ายามที่วรามองลงมายังผู้ชนะ หนุ่มน้อยผู้นั้นมีความสุขและยินดีมากเพียงใด

ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น เมื่อในคืนก่อนงานสมโภช อัศรีกลับกระทำการอุกอาจพานักโทษนายหนึ่งหนีออกจากมหาอาราม ภายในคืนนั้นทั้งนักบวช และ ทหารภายในต่างระดมกำลังออกตามหาจนถ้วนทั่วทว่ากลับไร้เงา จึงเป็นหน้าที่ของนิลปารัชญ์ผู้มีตำแหน่งเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้ายจำต้องขึ้นมาอยู่เฝ้าท่านวราแทนผู้ที่หนีหายไป

แผ่นหลังบอบบางยืนนิ่งผินหน้าออกไปยังบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ภายในมือกำชุดพิธีของวันรุ่งขึ้นไว้แน่น นิลปารัชญ์จึงเลือกที่จะยั้งเท้าไว้เพียงบานประตู สิงห์จำแลงยืนคอยอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งร่างบอบบางนั้นหยุดสั่นสะท้าน ค่อยส่งเสียงนำออกไปเพื่อส่งสัญญาณ

“ท่านวรา...” เจ้าของชื่อสะดุ้งเพียงนิด แล้วยกมือขึ้นมาปัดป่ายใบหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาคนเรียกด้วยท่าทางนิ่งสงบ...แม้ดวงตาและปลายจมูกจะยังคงแดงก่ำ

“จงไปบอกท่านหัวหน้านักบวชให้เลิกตามหาอัศรีเสียเถิด เขาเข้ามาลาข้าแล้วด้วยตนเอง ต่อให้เจอเขาคงมิยอมกลับมา อย่าเสียเวลาเสียกำลังเลย เมื่อใจมิคิดอยู่ต่อให้ใช้บ่วงนาคบาศแล้วไซร้ยังมิอาจรั้ง”

“งานสมโภชในวันพรุ่งเล่า”

“ดำเนินการต่อไปเถิด...ท่านนิลปารัชญ์ ต่อจากนี้ข้าคงต้องขอพึ่งพาท่านแล้ว” วรายกยิ้มบางพลางก้มศีรษะลง เพื่อบอกกล่าวฝากตัว ทว่าเจ้าของรอยยิ้มอาจไม่รู้ตัว ว่ามันช่างฝืดเฝื่อนไม่หวานล้ำดั่งวันที่เผยออกมาในลานประลองมากเพียงใด

งานสมโภชมหาอารามและพิธีแต่งตั้งองครักษ์คู่กายเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตามแผนกำหนดการที่วางไว้ ประชาชนที่มาร่วมงานต่างสนุกสนานตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศและพิธีการอันยิ่งใหญ่ รอบมหาอารามถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟและดอกไม้จนมลังเมลือง มีแต่เพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่างานในวันนี้หวานอมขมกลืนเพียงใด...

ท่านวราในยามนี้อยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ดูงดงามมากกว่ายามปกติด้วยลวดลายสีทองอ่อนช้อยตามชายผ้า ยามแสงอรุณสาดกระทบยิ่งทำให้ร่างบอบบางดูงามพิสุทธิ์ราวชาวฟ้า ทว่าดวงตาคู่สวยกลับคล้ายหลงวนอยู่ในห้วงคำนึง...และนิลปารัชญ์รู้ดีว่าจิตใจของสมมติเทพองค์น้อยได้ล่องลอยไปหาผู้ใด
 

“อันใดกัน ไหนกล่าวว่าผูกสมัครรักใคร่สนิทสนมกันตั้งแต่ยังเล็ก เหตุใดอัศรีผู้นั้น จึงใจจืดเห็นผู้อื่นดีกว่า ถึงกับยอมทิ้งท่านวราไปเล่าจ๊ะ” เสียงเล็กๆ เอ่ยแทรกด้วยใบหน้างอง้ำ เห็นทีคนฟังคงรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ‘วราในเรื่อง’ ไม่น้อย

“การที่เรากระทำการสิ่งใดไปนั้นย่อมมีสาเหตุ อัศรี ย่อมมีเหตุผลของเขานั่นแล้ว”
 
“เหตุผลกลใดไยใจร้ายกับท่านวราเพียงนี้เล่า” เจ้าตัวดียังคงฮึดฮัดไม่พอใจ

“กระทำการสิ่งใด ย่อมเป็นไปมิได้ที่จักให้ตรงใจไปทุกผู้ทุกตนดอกเจ้าแก้ว แลอัศรีเลือกแล้วว่าจักเห็นแก่ใจผู้ใดแลทิ้งผู้ใดไว้”
 
“แต่ว่า...”

“หากเจ้ามิใคร่พอใจการกระทำของอัศรีถึงเพียงนี้ จักให้ข้ายุติเรื่องเล่าไว้เพียงเท่านี้ดีฤๅไม่”

“ไม่จ้ะ ข้าจักมิขัดแล้ว เล่าต่อนะจ๊ะ”
 
 
หลังจากงานสมโภช ความตึงเครียดกลับปกคลุมไปทั่วทั้งมหาอารามอีกครั้ง เมื่อ วรา ล่วงรู้ว่ากองกำลังยังคงออกติดตามเพื่อล่า อัศรี นั้นยังไม่ถูกยกเลิกไปตามที่ตนต้องการ

“ข้ารอฟังคำตอบจากท่านอยู่ ท่านหัวหน้านักบวช”
 
“ข้าขอชี้แจงตามตรง ผู้ที่อัศรีพาหลบหนีไปนั้น คือภาชนะอสูรที่พวกเราพบเจอแลพากลับมากักขังไว้ ข้าจึงมิอาจทำตามความต้องการของท่านได้” ผู้เป็นหัวหน้านักบวชก้มหน้าตอบความจริงอย่างจำใจ

“อัศรีล่วงรู้ถึงสถานะคนผู้นั้นฤๅไม่”
 
“ข้าตอบมิได้ เพื่อความปลอดภัย พวกข้าหมายจักกำจัดมันอย่างเงียบๆ เท่นนั้น”

“กระนั้นล่ะ แม้แต่ข้ายังมิล่วงรู้สักกระพี้ อํสรีจักล่วงรู้ได้เยี่ยงไร มิได้การ อัศรีอาจถูกล่อลวง เช่นนั้นข้าจักออกตามหาอัศรีด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าสัญชาตญาณของข้าจักนำทางข้าไปพบภาชนะอสูรผู้นั้นได้”
 
การเดินทางของวราเป็นไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ภายในคณะประกอบด้วยวรา นิลปารัชญ์ ผู้ได้ขึ้นเป็นองครักษ์คู่กาย และทหารอีกเพียงห้านาย เพื่อความคล่องตัว ก่อนออกเดินทาง วรา นั่งหลังเหยียดตรงบนอาชาสีขาว หยิบตรวนของนักโทษผู้นั้นขึ้นมา นัยน์กลมโตหลับนิ่งตั้งจิตเพียงครู่ เกิดเป็นละอองบางเบาลอยตัวขึ้นเป็นสายไปยังทิศตะวันออก เส้นสายที่นอกจากวรา คงมีเพียง นิลปารัชญ์ ผู้มีญาณพิเศษของเผ่าพันธุ์กาฬสีหะที่สามารถเห็นได้

“อัศรีคงหมายจักเข้าไปหลบซ่อนในเขตหิมพานต์กระมัง” สมมติเทพหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น

“เช่นนั้นต้องเร่งมือ หากเข้าเขตหิมพานต์ไปได้ พวกเราคงมิอาจเจอทั้งคู่ได้อีก” ทหารผู้หนึ่งก้มหัวลงยามเอ่ยออกความเห็น

“เช่นนั้นจงเดินทางเถิด” วรากดหน้ารับคำ ชายหนุ่มกระตุกสายบังเหียนออกเดินทางทันที โดยมีนิลปารัชญ์ขนาบข้าง และเหล่าทหารทั้งห้าล้อมรอบระวังภัยให้ทั้งหน้าและหลัง ไล่ตามสายละอองบางเบานั้นไป


จวบจนตัวตะวันเคลื่อนตัวลงต่ำใกล้พื้นพิภพ คณะเดินทางจำต้องหยุดพักค้างแรมในอารามเล็กๆ ชายป่าโดยการต้อนรับจากนักบวชที่ประจำอยู่ ขณะที่ทุกคนกำลังจัดเตรียมที่ทางและหุงอาหาร ผู้เปรียบเสมือนดวงตาดวงใจของคณะกลับคว้าดาบประจำกายวิ่งตะบึงออกจากอารามไปด้วยความรวดเร็ว !










ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0



วราวิ่งตรงเข้าป่าตามสัญชาตญาณที่กู่ร้องดังก้อง เส้นสายที่ตนติดตามมาเป็นเพียงละอองบางเบา เพลานี้กลับทึบหนาจนไม่อาจ
นิ่งเฉย ทันทีที่หมอกละอองสลายไป เขาจึงพบเข้ากับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนเบิกตาโพล่งอยู่เบื้องหน้า คนผู้นี้มีร่างกายผ่ายผอมแบบบางราวใบไม้ ทั้งผิวยังขาวซีดเซียวดังคนอมโรค ยิ่งอยู่ในชุดขะมุกขะมอมยิ่งทำให้ร่างเล็กๆ คล้ายพร้อมจะปลิวหายไปได้ตลอดเวลา...เพียงออกแรงน้อยนิดก็สามารถทำให้สลายหายไปในพริบตา

“เจ้ารู้สถานะของตนอยู่แล้ว เช่นนั้นจงกลับไปกับข้า” วราเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ในตากวางสบมองปานดอกแคฝอยบนอกซ้ายนั้นไม่วางตา

“ทะ ท่านวรา...” เด็กหนุ่มผู้นั้นผวาสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย ตาโศกคู่นั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา...ช่างน่าทะนุถนอมปกป้อง

“นพ! วรา! วรา ได้โปรดปล่อยนพไปเถิด” อัศรีที่เพิ่งตามมาพบ ร้องปากขอร้องต่อสหายเก่าด้วยใจร้อนรน

“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่า...นพ ผู้นี้คือผู้ใดอัศรี”
 
“...ข้า...รู้” อัศรีตอบเสียงต่ำ มือขยับกำดาบของตัวเองไว้มั่น

“เจ้ารู้ แต่เจ้ายังกระทำเยี่ยงนี้รึ! ทั้งที่เจ้าตระหนักดีว่ามิอาจปล่อยเขาไปได้” วรา ชักกระบี่ข้างกายออกมาตวัดวาดพาดลงบนลำคอของภาชนะอสูรโดยพลัน

“วราโปรดปล่อยพวกเราไป” อัศรีเน้นคำพร้อมเสือกปลายดาบของตนเข้าจอลำคอของวราเช่นกัน

“อัศรี...คนผู้นี้สำคัญกับเจ้านักฤๅ สำคัญขนาดที่แม้แดนนมนุษย์จักวอดวายก็มิสน สำคัญขนาดที่ยอมหันคมดาบเข้าใส่ข้าทั้งที่เราสาบานว่าจักมิมีวันหันคมดาบเข้าใส่กันเลยรึ! ” วราเบี่ยงหน้าจ้องสบสายตากับสหายรักด้วยความร้าวราน คมดาบค่อยๆ เข้าประชิดลำคอของภาชนะเข้าไปจนแนบสนิท

“วรา ปล่อยเขาไปเถิด เขาเป็นภาชนะอสูรนั้นจริงอยู่ ทว่าร่างกายเขานั้นอ่อนแอยิ่งนัก ยามใดที่อำนาจอสูรสำแดงออกมา ร่างกายของเขาย่อมมิอาจรับได้และสูญสลายไปเอง ข้าขอยืนยัน ตามตำราแห่งอารามอชะ นั้นมีจารึกไว้เป็นแม่นมั่น นพหาได้อันตราย ทั้งยังน่าสงสารยิ่งนัก เจ้าดูทีแม้แต่ชื่อยังถูกตั้งด้วยลำดับเช่นนี[1] ได้โปรดเมตตาเขาเถิดวรา”
 
“ในเมื่อเขามิได้มีอันตรายดังเจ้าว่า เช่นนั้นเจ้าจงปล่อยเขาไปแล้วกลับไปกับข้า”

“วรา...ข้าขอสมาที่ผิดคำสัตย์ต่อเจ้า ข้าจักอยู่ดูแลนพต่อไป เขาหาได้มีผู้ใดให้พึ่งพามากนัก วรา...เจ้าคือผู้พรั่งพร้อมในทุกสิ่ง รอบกายเจ้าถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ผิดกับนพ ข้าย่อมวางใจในเจ้าแล้ว แต่นพหามีใครไม่”

“หึ” วราส่งเสียงในลำคอแผ่วเบา พลางขยับดาบในมือแผ่วเบา ทว่าผู้อยู่ในศีลหรือจักสู้ผู้ฝึกตนมาเพื่อเป็นนักรบ ดาบในมืออัศรีตรงประชิดเข้ากับลำคอของวราได้ก่อน จนปลายดาบสะกิดเนื้อขาวผ่องจนเกิดหยาดโลหิตไหลซึมผ่านบาดแผลออกมา จนวราชะงักมือค้าง รู้สึกเหยียบเย็นไปทั้งร่าง

“มิเพียงแค่หันดาบเข้าใส่ แต่ถึงขนาดลงมือเช่นนี้ สายใยทั้งชีวิตที่เจ้ามีต่อข้าคงมิอาจเทียบเทียมคนผู้นี้ได้”

“วรา...”

“ที่ผ่านมาเจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี ถือว่าข้าทดแทนให้ พานพของเจ้าไปเสีย แต่จำไว้ว่าข้าจักมิปล่อยพวกเจ้าเป็นครั้งที่สอง อย่ามาให้ข้าพบเจออีกแม้แต่เงา” ได้ยินดังนั้นอัศรีไม่อาจรอช้า ก้มช้อนร่างของนพขึ้นมาอุ้มแนบอกจากไปทันที

เช่นเดียวกับวรา มือที่ถือดาบอยู่หมดเรี่ยวแรงร่วงหล่นลงข้างลำตัว นัยน์ตากวางกลมโตหลับลงเปิดโอกาสให้คนทั้งคู่วิ่งหนีไป รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเลือนหายไปร่างโปร่งบางจึงหมดแรงทรุดลงนั่งกับพื้นดิน มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาโอบกอดตัวเองร้องไห้สะอื้นหมดแรงที่จะเก็บกลั้นได้ไหว ปล่อยให้โลหิตไหลเปรอะชุดขาวสะอาดอย่างไม่คิดเหลียวแล เมื่อบาดแผลภัยในใจเหวอะหวะสาหัสกว่าภายนอกกายอย่างไม่อาจเทียบเคียง

นิลปารัชญ์ก้าวออกมาจากที่หลบซ่อน ราชสีห์หนุ่มทันเห็นร่างของวราวิ่งเข้าป่าได้ทัน จึงวิ่งห้อตามมาทว่าไม่อยากให้มากความจึงทำเพียงแฝงซ่อนตัวเข้ากับไพรพนาเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบเชียบ

เมื่อเห็นว่าหมดเรื่องแล้วจึงพอตัวเองออกมายืนหันหลังสงบนิ่งข้างกายของวราที่กำลังร่ำไห้อย่างอ้างว้างเดียวดาย สิงห์หนุ่มเงยหน้าขึ้นพินิจดวงจันทร์ที่กำลังดันตัวขึ้นสู่ท้องนภากว้าง เคียงข้างผู้อยู่ในการอารักษ์ของตนเงียบๆ
 
วรานั้นเปรียบเหมือนดวงเดือนบนฟากฟ้า โดดเด่น สูงส่ง ทว่า เดียวดาย แม้จักมีดวงดารารายล้อมเต็มฟ้า ทว่าดาวดวงใดจักสามารถเผยอตัวโอบกอดดวงจันทร์...

...แน่ใจหรืออัศรี ว่าวรานั้นสามารถวางใจได้ดังที่เจ้าว่า ผู้คนรายล้อมมากมายฤๅจักมีข้าเท่าอ้อมกอดเพียงหนึ่ง...

 
“นิลปารัชญ์...แสร้งว่ามิเห็นเสียด้วยเล่า” วรากล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูกด้วยเพิ่งผ่านจากการร่ำไห้มาอย่างหนัก...สองครั้งสองคราที่เขาพบว่าผู้ถูกจับยกไว้อย่างสูงส่งเบื้องหน้าต้องเสียน้ำตามากมาย และในสองครั้งนั้นมันหลั่งให้กับคนผู้เดียว...อัศรี

“หากเป็นเรื่องของอัศรี นั้นย่อมได้ ทว่าเรื่องน้ำตาของท่านนั้น จักให้หลับตาแสร้งว่าตามนั้นหาได้ไม่”

“...”

“ท่านวรา ข้าคือองครักษ์คู่กายของท่าน แม้จักมิใช่คนที่ต้องตรงใจ ทว่าข้าจักอยู่เคียงข้างท่านตรงนี้”
 
“ขอบน้ำใจหนา ขอบน้ำใจ” เรียวปากบางเม้มแน่น นัยน์ตากวางคลอไปด้วยน้ำตาขึ้นมาอีกด้วยความตื้นตัน แม้ไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนนัก หากก็ไม่ได้รู้สึกอ้างว้างเช่นเมื่อครู่แล้ว

“ข้าเต็มใจ” แม้ในคราแรกนิลปารัชญ์จะเข้ามาเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์จากแดนมนุษย์ แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้จับใจ หากจะอยู่คอยช่วยเหลือมนุษย์ผู้นี้ไปจนสิ้นอายุขัย ราชสีห์เช่นเขาย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรง หรือหมดสิ้นเวลาไปมากมายเท่าใดนัก

วราส่งยิ้มบางเบาให้องครักษ์คนใหม่เป็นครั้งแรก แม้มันไม่อาจสว่างไสวไปจนถึงดวงตา หากการแย้มยิ้มนั้นดีกว่าร่ำไห้เป็นไหนๆ
“ท่านจักกลับอารามหลวงเลยฤๅไม่”

“กลับเถิดอยู่ไปก็หามีสิ่งใด กลับไปให้พวกทหารได้อยู่กับครอบครัวของเขาย่อมดีกว่า”
 
“เช่นนั้นข้าจักไปแจ้งพวกทหารให้ทราบ รุ่งเช้าเราจักกลับอารามหลวงกันทันที”
 
“เอ่อ...เจ้า...เรียกเพียงชื่อข้าเถิด ถือเป็นสิทธิขององครักษ์คู่กายข้า”

“ข้ามิเห็นรู้ว่าองครักษ์คู่กายท่านได้สิทธินี้”

“...ความจริงแล้ว ข้ามิชอบมัน...ข้าอยากเป็นเพียง วรา แค่ วรา” รอยยิ้มถูกส่งมาอีกครั้ง รอยยิ้มในครั้งนี้ขอวรา เป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดที่นิลปารัชญ์เคยพบเจอ จนไม่อาจใจร้ายกล่าวปฏิเสธออกไปได้

“กลับอารามกันเถิด...วรา ป่านฉะนี้คนในอารามคงกระวนกระวายกันมิน้อยแล้ว”
 
“อืม”

เมื่อทั้งสองกลับเข้าสู่เขตอาราม เหล่าทหารผู้ติดตามก็รีบวิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่หน้าตาตื่น

“ท่านวรา ท่านนิลปารัชญ์ พวกท่านเข้าป่าไปเกิดเรื่องอันใดขึ้นฤๅ พวกข้าร้อนใจนัก ออกตามหาพวกท่านเสียจนทั่ว”
 
“ขอสมาพวกท่านด้วย เป็นข้าที่รีบร้อนมิคิดการให้รอบคอบจนพาให้พวกท่านเดือดร้อนใจ” วราออกปากขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง

“หามิได้ พวกข้าเพียงเป็นห่วงท่านวราเท่านั้น”
 
“ขอบน้ำใจ แลขอสมาจากใจ”
 
“ท่านวรา ข้าได้รับสารจากท่านหัวหน้านักบวช ขอให้ขบวนเดินทางกลับอารามกลางในวันพรุ่ง เหตุเพราะมีสายรายงานว่าพบอัศรี ณ อารามร้าง อชะอารามทางทิศใต้ ที่แห่งนั้นแปดเปื้อนมลทินเกินกว่าที่ท่านจักเหยียบย่างเข้าไป” เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้น นักบวชประจำอารามจึงเปิดบทสนทนาขึ้นมาใหม่

“ข้าเข้าใจ” วราพยักหน้ารับคำแต่โดยดี หากแต่เมื่อลับตาคน สมมติเทพหนุ่มกลับหันมาสารภาพกับองครักษ์คู่กายด้วยแววตาจริงจัง

“นิลปารัชญ์ข้าจักไปอชะอาราม” ราชสีห์หนุ่มชะงักงันดวงตาสีน้ำตาลพลันทอประกายเจิดจ้า เมื่อเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงเค้าลางบางอย่าง เสียดายที่เพลานั้นนิลปารัชญ์ไม่ได้มีญาณที่แกร่งกล้ามากพอที่จะแหวกม่านหมอกสวรรค์พินิจดูได้

“วรา ข้าสัมผัสได้ถึงลางร้าย ได้โปรดกลับมหาอารามเถิด เชื่อข้าหนา”
 
“ข้าเชื่อเจ้า... กาฬสีหะ ทว่าลางสังหรณ์ของข้าร่ำร้องที่จักไปที่แห่งนั้นเช่นกัน ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งรอคอยข้าอยู่ อชะอารามแห่งนั้นคือสถานที่ที่ตัวข้าและภาชนะกำเนิดขึ้น เจ้าเข้าใจข้าฤๅไม่”
 
“เพราะเขาฤๅ”

“เพราะความจริงนิลปารัชญ์ ข้าในเพลานี้รู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในคูหาอันมืดมิดถูกปิดหูปิดตา แลปิดกั้นจากทุกสิ่ง ข้าได้ว่าที่นั่นมีทางออกรอข้าอยู่” วรา กล่าวผสมวอนขออย่างไม่ปิดบัง

“เช่นนั้นข้าจักไปกับท่าน”
 
“ขอบน้ำใจ”
 
 
ทั้งคู่รอท่าจนดวงเดือนเคลื่อนคล้อยลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ฟืนไฟถูกจุดบนคบสาดส่องกระทบผนังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใด ทั้งสองจึงย่องลอบออกจากที่พำนักเพื่อมุ่งหน้าสู่อชะอาราม...

แม้ระยะทางระหว่างอารามที่ใช้พักชั่วคราวและอชะอารามไม่ไกลกันมากนัก ทว่าการเดินทางในป่าบนภูเขานั้นไม่ง่ายได้นักโดยเฉพาะมนุษย์ร่างบอบบางเช่นวรา ทำให้กว่าทั้งสองจะเหยียบย่างสู่อารามร้างแห่งนี้ ดวงจันทราก็ได้ออกมาทำหน้าที่เสียแล้ว
อชะอารามนั้นมีขนาดเล็กกว่ามหาอารามของวราอย่างไม่อาจเทียบเคียง สถานที่แห่งนี้มีเพียงอารามหลังเดียวท่ามกลางแมกไม้บนเนินเขาสูงจากเหตุการณ์ปราบอสูรในวันวานรวมทั้งกาลเวลาทำให้ความสวยงามของอารามแห่งนี้ถูกพรากไป
วราเดินนำขึ้นบันไดหินตรงไปยังตัวอารามอันมีพิกุลต้นใหญ่ขึ้นขวางเบื้องหน้า

“ข้าเกิด ณ ที่แห่งนี้เองฤๅ” มือเรียวยกขึ้นลูบลำต้นที่มีรอยบากจากแรงสะท้อนของพลังเทพแผ่วเบาก่อนผละออก เมื่อจุดยังมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญกว่ารออยู่
 
นิลปารัชญ์เปลี่ยนมาเดินนำเพื่อคอยระวังภัย มือแกร่งค่อยๆ ผลักประตูอารามเก่าร้างเบาๆ ด้วยกลัวแรงกำลังของตนจะทำให้อารามแสนเปราะบางแห่งนี้ทลายไปเสียก่อน

ภายในมืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์ลอดส่องเข้ามาผ่านบานประตูพอให้เห็นเงาเลือนราง ราชสีห์หนุ่มเพ่งจิตตั้งเตโชกสิณแล้วเสกไฟขึ้นมาใส่ในคบเพลิงรอบอาราม เพื่อให้แสงสว่างมีมากพอที่คนข้างกายจะทำการค้นหาบางสิ่งที่ตนต้องการ
เมื่อแสงไฟสว่างไสวจึงทำให้รู้ว่าอารามแห่งนี้บรรจุตำราไว้มากมาย แต่ที่สะดุดตาสะดุดใจมากที่สุดกลับเป็นรูปสลักอสูรร่างสะโอดสะองเบื้องหน้า

“รูปสลักนี้คงเป็นร่างของอสูรตนนั้นที่ถูกท่านเทพกระชากวิญญาณออกมากระมัง”
 
“นั่นคือตำราที่อัศรีพบเจอใช่ฤๅไม่เล่า”
 
“เป็นได้” วรารีบตรงเข้าไปอ่านมันทันที มือเรียวเปิดผ่านเพียงแผ่นแรกฉับพลันร่างบอบบางนั้นก็ซวนเซล้มลงกับพื้น

“วรา! ” ราชสีห์หนุ่มปราดเข้าไปประคองร่างของสมมุติเทพไว้ทันที เมื่อตรวจดูกลับไม่เห็นสิ่งอันตรายอื่นใด นอกแววตาอันเลื่อนลอยคล้ายเจ้าตัวตกอยู่ในห้วงมิติ กระทั่งสัมปชัญญะกลับมาอีกครา ร่างบอบบางก็ร้องไห้สะอื้น ครานี้วราฟูมฟายอย่างหนัก จนทั้งเนื้อตัวแบบบางสั่นไหวรุนแรงราวกับกำลังจะแตกสลาย จนนิลปารัชญ์ต้องโอบกอดร่างน้อยไว้จนแน่นด้วยความสงสาร

“ทำไมต้องเป็นข้า ทำไมจึ่งไม่เห็นแก่ใจข้าบ้าง ฮื่อ! ”

“วรา ท่านวราเกิดอันใดขึ้น บอกข้า บอกข้า”
 
“ฮื่อ ได้ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จักสานต่อเอง! ” ร่างบอบบางที่คุดคู้เงยหน้าขึ้นคล้ายประกาศก้องต่อทวยเทพเบื้องบน นัยน์ตากวางคู่สวยที่บัดนี้ชอกช้ำสื่อให้รู้ว่าภายในหัวใจได้แหลกสลายไปเสียแล้วนั้น ฉับพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวราวกับคนละคน
 
“วรา...อึก! ” ราชสีห์หนุ่มพยายามเรียกรั้งสติของสมมุติเทพหนุ่ม ทว่าร่างทั้งร่างกลับถูกพลังสายหนึ่งดีดออกไปยังนอกอาราม ก่อนประตูที่ตนเป็นผู้เปิดออกจะกระแทกปิดลงจนแม้จะรีดเค้นพลังแห่งราชสีห์ออกมาเท่าใดก็ยังไม่สามารถกลับเข้าไปยังตัวอารามได้อีก ขณะที่นิลปารัชญ์กำลังทุ่มแรงกายเพื่อพังประตูอยู่ใน ท้องฟ้าเบื้องบนกลับความวิปริต เมฆามืดครึ้มก่อตัวขึ้นบดบังดวงจันทร์จนทั่วทั้งบริเวณดำมืด ลมหอบใหญ่พัดโบกจนร่างสูงใหญ่ของสิงห์จำแลงยังไหวเอนแทบหยัดยืนไม่อยู่ เพียงครู่ปรากฏสายพลังสีดำสายหนึ่งพุ่งตรงจากป่าเข้าไปสู่ด้านในอารามร้างแห่งนั้นผสานเข้ากับเสียงกรีดร้องของวรา ทำให้นิลปารัชญ์จำต้องกลายร่างกลับเป็นกาฬสีหะ รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีพุ่งตัวพังประตูจนสำเร็จ

ทว่ากลับไม่ทันการณ์ เมื่อเบื้องหน้าของเขาปรากฏร่างของวรายืนสงบนิ่งอยู่ เส้นผมสีดำขลับที่ถูกมวยอย่างเป็นระเบียบเสมอแผ่สยาย ดวงตาคู่สวยแก้วนัยน์ตากลมโตเป็นประกายคล้ายเนื้อทรายเปลี่ยนเป็นสีชาดคล้ายทับทิม และเขี้ยวแก้วงอกออกมาจากมุมปากทั้งสองข้างนั้นเป็นเครื่องหมายของอสูร

“ท่านวรา...”
 
เสียงทุ้มเผลอครางชื่อของอสูรเบื้องหน้าเสียงเครือด้วยไม่คิดฝัน

“ข้าเองนิลปารัชญ์” รอยยิ้มเย็นบางเบาถูกส่งมานั้นพาให้ราชสีห์หนุ่มรู้สึกเสียวสันหลัง

“เหตุใดเล่า...”
 
“ฮึ ข้ามิเคยรู้สึกถึงอิสระเท่านี้มาก่อนเลย” กล่าวพลางแขนทั้งสองข้างกางออกรับสายลมโชยอ่อนจากด้านนอกให้เข้ามาโอบล้อมร่างกาย

“วรา ท่านควบคุมตัวเองได้ฤๅไม่”

“หืม” เมื่อถูกถามด้วยคำถามแสนประหลาด อสูรหนุ่มถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนเท่ห์

“หากท่านควบคุมตัวเองได้ ข้าจักพาท่านไปยังหิมวันต์ ที่แห่งนั้นพอมีอสูรอาศัยอยู่บ้าง ท่านจักปลอดภัย”

“ฮะๆ นิลปารัชญ์หนอนิลปารัชญ์...” อสูรหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาจนสุดเสียง หากยังไม่ทันได้ต่อความ เสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอกทำให้อสูรหนุ่มชะงัก ก่อนเผยยิ้มเย็น

“ถึงเวลาแล้วสิหนา ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้า...”

“วรา ไปกับข้าเถิด” นิลปารัชญ์ยังไม่คิดยอมแพ้

“เจ้าไปเถิด” วราจึงซัดพลังใส่ราชสีห์หนุ่มอีกครา ทว่าคราวนี้อสูรหนุ่มเลือกที่จะตรึงร่างสูงใหญ่ของนิลปารัชญ์ไว้ ในคราเดียวกับที่เสียงของอัศรีดังก้องขึ้น

“วรา! ”
 
“อัศรี กลับมาหาข้าแล้วฤๅ อ่า...เจ้าด้วยรึ มิใช่ข้าบอกเจ้าไปแล้วฤๅ หากข้าพบมันอีกข้าจักมิละเว้น” อสูรร้ายละสายตาออกจากนิลปารัชญ์กลับมาหาผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังส่งคำทักทายไปยังหนุ่มน้อยเบื้องหลังอดีตองครักษ์ของตนด้วย

“วรา กลับใจเถิด” อัศรีกล่าวเสียงอ่อน

“กลับใจ เจ้าพูดสิ่งใดกันอัศรี ข้าเพียงกลับมาเป็นตัวเองเท่านั้น มากับข้าเถิดแล้วปล่อยมันไปเสีย”

“เจ้าเป็นอสูรวรา”

“แล้วเช่นไรเล่า เมื่อครั้งมันเป็นภาชนะพลังของข้า ภาชนะพลังอสูร เจ้ายังเลือกที่จักปกป้องมัน เพลานี้เป็นข้าบ้าง ไยเจ้าถึงมิยอมอยู่กับข้า! ” นัยน์ตาแดงยิ่งส่องประกายเมื่อพายุแห่งโทสะกำลังก่อตัวขึ้น

“นพหามีทางเลือกอื่นใด”
 
“แล้วข้ามีฤๅ! ข้าเลือกสิ่งใดได้ฤๅ! เจ้าผู้เติบโตมาพร้อมข้ามิรู้จริงฤๅอัศรี!! ” วราตวาดก้องจนคานอารามสั่นสะเทือน อสูรหนุ่มเพียงวาดมือวูบเดียวร่างของอดีตภาชนะก็มาอยู่ในอุ้งมืออย่างง่ายดาย

“อึก”

“วรา ปล่อยนพ”

“ฮึ เจ้าขอความเมตตาจากอสูรฤๅอัศรี” มือเรียวลงแรงกดมากขึ้นจนนพออกอาการทุรนทุราย อัศรีจำใจชักดาบประจำกายออกมาพุ่งตัวเข้าหาสหายเก่า อสูรหนุ่มเห็นดังนั้นจึงเหวี่ยงร่างบอบบางของนพละลิ่วลอยไปตกข้างนิลปารัชญ์แรงกระแทกทำให้ร่างบอบบางกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ หลังจากเรียกดาบประจำกายของตนออกมารับแรงสังหารจากอัศรีได้ทันท่วงที ทั้งสองประดาบกันอย่างไม่มีใครยอมใครจนแสงอรุโณทัยเริ่มจับเส้นขอบฟ้า ขณะที่อัศรีถูกแรงปะทะอันมหาศาลสะท้อนจนต้องถอยร่นออกมาหลายก้าว

“ว่าอย่างไรเล่าอัศรี ล้าแล้วรึมนุษย์น้อย หมดกำลังแล้วจงพักเถิด ระหว่างรอเจ้าฟื้นกำลัง ข้าจักฆ่าเวลาด้วยการไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านของเจ้าสักประเดี๋ยวดีฤๅไม่เล่านพ”
 
“อะ อย่า อย่า ฆ่าข้าเถิด ฆ่าข้า” เด็กหนุ่มร่ำไห้ หมอบกราบขอความเมตตาจากอสูรร้ายอย่างยอมจำนน

“วรา เจ้ามิใช่วราที่ข้ารู้จักอีกแล้ว” พาให้อัศรีเริ่มมีโทสะขึ้นมาบ้าง

“อ่า ตวาดข้าเสียงดังเช่นนี้หายล้าแล้วรึอัศรี” อดีตองครักษ์หนุ่มกำดาบในมือแน่น รวบรวมแรงกำลังเฮือกสุดท้ายลงสู่ตัวดาบแล้วพุ่งเข้าใส่อสูรร้ายอีกครั้ง...หากหยุดวรามิได้ ก็ให้เป็นเขาเองที่ดับดิ้นลง

ทว่าเมื่อเข้าใกล้ร่างอสูรร้ายกลับตวัดดาบของตนทิ้ง หากแต่วิถีดาบที่พุ่งใส่เข้าเต็มกำลังของอัศรีไม่สามารถหยุดยั้งได้อีก ทำให้ดาบคมเสียบทะลุกลางอกของอสูรหนุ่ม และแรงที่ใส่เข้ามายังหอบพาร่างของทั้งสองเข้าปะทะกับร่างศิลาอสูรที่อยู่ด้านหลัง ทำให้ปลายด้านที่เสียบทะลุอกของวราเสียบเข้ากับกลางอกของรูปศิลานั้นอย่างพอดิบพอดี

ทันใดเสียงแตกร้าวของบางสิ่งพลันดังขึ้นจนแผ่นดินผืนฟ้าสั่นสะเทือนจนอารามทั้งหลังไหวเอน ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของวราและศิลาร่างอสูร หมุนลนคล้ายพายุก่อนจะกระจายหายไป ท้องฟ้ายามรุ่งสางจึงกลับมากระจ่างใส อารามที่เคยดำมืดถูกอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์จนเป็นสีทอง
 
“วรา ทะ ทำไม...” อัศรีที่ได้สติรีบถอนดาบออกจากร่างของสหาย แล้วเข้าไปรับร่างบอบบางนั้นไว้ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นขณะที่วรากระอักเลือดออกมาคำใหญ่

“ขะ ข้าเคยสาบาน ตะ ต่อเจ้า จัก...มิหันคมดาบ...ใส่เจ้า...ข้า...ข้ามิลืม”
 
“วรา...ขอขออภัย ข้าขออภัย” ไม่ทันที่อัศรีจะได้พูดสิ่งใด นิลปารัชญ์ที่ฝืนกำลังทำลายเขตอาคมของวราออกมาได้แล้ว ชิงร่างของสมมุติเทพหนุ่มกลับมาไว้ในอ้อมอกของตนแทน

“เจ้าจงไปดูคนของเจ้าเถิดอัศรี” นิลปารัชญ์กล่าวกับอดีตองครักษ์เสียงเรียบ ก่อนจะหันมาตรวจดูร่างของวราในอ้อมอก

“แข็งใจไว้วรา ข้าจักพาท่านไปรักษา”
 
“มิทันกาลดอกนิลปารัชญ์ ข้า ข้ารู้ตัวดี...นี่...” ตาคล้ายพร้อมจะปิดได้ทุกขณะ ฝืนตัวเองเพื่อเอ่ยถามเจ้าของอ้อมกอดนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

“หากข้าได้เจอกับเจ้า อึก ตั้งแต่ต้น เจ้าจักทิ้งข้าฤๅไม่นะ”

“ไม่ เมื่อข้าได้ให้คำสัตย์ ข้าจักมิมีวันตระบัดสัตย์”

“หาก...หากข้าได้เจอเจ้าก่อน...คง...คงดีมิน้อย...ถะ ถือว่าข้ามิได้...อึก โชคร้าย...เกินไป...ขะ ขอบน้ำใจ หนา” ตาคู่สวยปิดลงด้วยรอยยิ้มบาง แขนทั้งสองตกลงเช่นเดียวกับลมหายใจสุดท้าย ร่างบอบบางของวราค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองระยิบระยับกระจายฟุ้งในอากาศเหลือเพียงเมล็ดพันธุ์พืชเมล็ดหนึ่ง...เมล็ดพิกุล

“วรา! วรา!! ” อัศรีที่เห็นดังนั้นถึงกับร้องคำรามออกมาด้วยความรู้สึกผิด และเสียใจ

“มิเป็นอันใดดอกหนาวรา ข้าให้คำสัตย์ต่อเจ้า หากเจ้าจำต้องเกิดมาในภพภูมินี้อีกครา ขอเพียงเจ้าให้ข้าได้พบเจอเจ้า ข้าจักมิปล่อยให้เจ้าเดียวดายเช่นนี้อีก ข้าจักรอคอยเพื่อปกป้องแลเป็นที่พักพิงให้แก่เจ้าข้าให้คำสัตย์” ท่ามกลางเสียงร้องไห้อย่างหมดอายของอศรี นิลปารัชญ์กลับกล่าวสัตย์สัญญาออกมาอย่างหนักแน่น มือใหญ่กำเมล็ดพิกุลในมือแน่น ก่อนตัดสินใจลาจากแดนมนุษย์เพื่อกลับหิมพานต์ที่จากมา...

 
“ข้าหาเข้าใจไม่ เหตุใดท่านวราผู้เป็นถึงสมมุติเทพถึงกลายเป็นอสูรได้เล่าจ๊ะ”

“เพลานั้นมิมีผู้ใดล่วงรู้สาเหตุ ทว่าเมื่อญาณหยั่งรู้ของข้าเข้มแข็งขึ้นข้าจึงได้รับรู้ผ่านตำราเล่มนั้น ความจริงตำรานั้นคือจารึกของนักบวชในอาราม เจ้ารู้เช่นฤๅไม่เหล่าอสูรคืออดีตเทวดาบนดาวดึงส์”

“จ้ะ”

“เทพที่ลงมาปราบอสูรตนนั้นเดิมทีเป็นสหายรักกัน จึงมิอาจหักใจฆ่าสหายของตนได้จึงทำการแยกพลังออกจากกายและผนึกจิตไว้ในร่างศิลา ทว่าเมื่อพลังถูกกระชากออกจิตบางส่วนกลับถูกแยกติดมาด้วย จิตอสูรเสี้ยวนั้นฝังเข้ากับต้นพิกุลโบราณ อนิจจาภายต้นพิกุลนั้นมีอายุมาเนิ่นนานแลอยู่ใกล้อารามศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ก่อเกิดเป็นจิตขึ้นมา เมื่อรวมเข้ากับเศษเสี้ยวจิตของอสูร จึงทำให้เกิดกายหยาบขึ้นมาได้ กายหยาบนั้นเพียงรอผนวกรวมเข้ากับพลังเท่านั้น วรามิใช่แม่ทัพเทพดังที่เหล่าผู้คนเข้าใจดอก”

“ต้นพิกุลต้นนี้เกิดจากเมล็ดพิกุลเมล็ดนั้นฤๅจ๊ะ” เด็กชายบุ้ยปากไปยังพิกุลต้นใหญ่นอกเรือนที่ส่งกลิ่นหอมเย็นจรุงไปถั่วโถงถ้ำทั้งปีเมื่อถามต่อ

“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”

“ท่านนิลปารัชญ์มีใจรักต่อท่านวราโขเทียวจ้ะ”
 
“แก่แดดแก่ลมนักนะเจ้า...มิเทียบเทียมคำรักได้ดอก ข้าแลวราเจอกันเพียงชั่วลมพัดผ่านความรักดังเจ้าว่ามิทันได้ก่อเกิดดอก หากจักนิยาย...อาจเป็นความเห็นอกเห็นใจเห็นจักเข้าทีกว่า” แม้ปากจะว่ากล่าว แต่ราชสีห์หนุ่มก็ยังคงอธิบายต่ออย่างใจเย็น

“เพียงความเห็นอกเห็นใจ ไยท่านถึงกับสร้างพันธนาการผูกมัดตนเองเพียงนี้เล่าจ๊ะ”
 
“เจ้าแก้วเอ๋ย ชีวิตข้านั้นยาวนานนักหนา พันธนาการนี้ช่วยข้าให้มีชีวิตได้โดยมิเลื่อนลอยเกินไปนัก มิใช่เพียงเพื่อวราผู้เดียวดอก”
 
“...”

“เอาล่ะ จันทร์ขึ้นสูงถึงเพียงนี้แล้วหนา เข้าเรือนนอนเสียเจ้าแก้ว”
 
นิลปารัชญ์กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป ปล่อยเด็กชายตัวจ้อยไว้เพียงผู้เดียว เด็กน้อยเมื่ออยู่ตามลำพังความเงียบยามค่ำคืนทำให้ดอกตากลมมองไปยังพิกุลต้นสูงใหญ่นอกเรือน ค่อยๆ ยกมือน้อยของตนขึ้นลูบไล้บนแผ่นอกแผ่วเบา แสงนวลจากดวงจันทราตกกระทบผิวขาวนวลจนเผยให้เห็นรอยปานรูปกลีบดอกไม้ที่ขาวจนแทบกลืนไปกับผิวแผ่วเบา ก่อนสติรับรู้จะกลับมาเมื่อเสียงลั่นของไม้กระดานดังขึ้น

ร่างเล็กๆ รีบวิ่งตามติดหลังของราชสีห์หนุ่มผิวเข้ม พร้อมด้วยเสียงเจื้อยแจ้วจนเจ้าของเรือนทั้งเอ็นดูทั้งระอาปะปนกันไปหมด
“ท่านนิลปารัชญ์ ท่านนิลปารัชญ์รอแก้วด้วยจ้ะ คืนนี้อากาศเย็นนักมิแน่ว่าน้ำค้างแข็งอาจจักตกลงมา ขอข้านอนด้วยนะจ๊ะ! ”
 
“ยังจักนอนกับข้าอีกฤๅ เจ้าเริ่มโตแล้วหนาเจ้าแก้ว”

“เริ่มโตแต่ยังมิโตจ้า ข้านอนด้วยนะจ๊ะ”

“ตามใจเจ้าเถิด”


 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เชิงอรรถ
 
1.  นพ แปลว่า เก้า (นพ คือภาชนะที่เกิดมาเป็นคนที่ เก้า)


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน

สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับภาคแยกของนิลปารัชญ์

ความจริงแล้วเรื่องนี้เราคิดได้ก่อนเรื่อง ลำนำมฤคินทร์อีกนะคะ และแน่นอนแต่งจบในหัว จากการได้ฟังเพลง


สายลมที่หลับใหล (바람이 잠든 곳으로) OST. Blade & Soul - อิมเมจ สุธิตา ft. หนึ่ง จักรวาล

ครั้งนั้นไม่ได้มีตัวละครที่ชัดเจนนะคะ เป็นเพียงเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในหัวเพราะนิสัยเพ้อเจ้อของเราเอง

พอต้องมาแต่งจริง เหมือนลำนำมฤคินทร์เลยค่ะ ต้องหาข้อมูลประกอบประมาณหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะมาลงภายในเดือน พฤศจิกายน นี้ เลยเข็นมาจนจบ (แบบลิ้นห้อย)

เพราะฉะนั้นหากมีจุดไหนแปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล หรือมีข้อผิดพลาดประการใด รบกวนนักอ่านสะกิดเตือนด้วยนะคะ

รออ่านความคิดเห็นของทุกท่านนะคะ แล้วพบกันใหม่ในตอนพิเศษของลำนำมฤคินทร์ค่ะ


[ช่องท่างการติดต่อเพิ่มเติม   twitter.com >> @SING__HA]













ออฟไลน์ phai

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านสนุกมากเลยค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
เป็นวราสินะ.. ดีใจ​ :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด