ตอนที่ 7
เจทรุดกายลงนั่งที่โต๊ะไม้ในบ้านของผิงอย่างหมดแรง เขารับผ้าและน้ำเย็นที่ผิงส่งให้ ก่อนที่ร่างบางของเพื่อนจะนั่งตรงข้ามแล้วขำเบาๆ
“อยู่ดีไม่ว่าดี” ก็เพราะอยู่ดีเลยอยากทำดีไง ไอ้บ้า เจต่อว่าผิงในใจ เขาพ่นลมหายใจออกมาแล้วเช็ดหน้าเช็ดตา ดื่มน้ำเย็นนั้นรวดเดียวหมดแก้ว วันนี้มันวันมหาโหดจริงๆ มีแต่คนสั่งกับข้าวร้านป้าติ๋ว เขาและผิงตระเวนส่งกันแทบตาย ไอ้ที่จะตายน่ะเขาเพราะเป็นคนปั่น ไหนจะกับข้าว ไหนจะน้ำหนักตัวของผิง...
สุโค่ย!
“มึง...ผ่านมาได้ไงว่ะ”
“กูชินแล้วนี่” ผิงตอบ อมยิ้มขำคนตัวใหญ่ที่หมดแรงก๊อกสองเรียบร้อย... “อุตส่าห์เรียนตั้งโยธามีแรงแค่นี้? แบกกล้องยังไงให้ไหวละเนี่ย”
“ฟาย! มันเหมือนกันที่ไหนวะ” เจค้อนเข้าใส่เสียอย่างนั้น เอ่อ...ไม่ผิดหรอกค้อน...
ค้อน? เนี่ยนะ? ใส่ผู้ชายด้วนกันด้วย...
โอ้วววม่ายยยยย
“พักให้หายเหนื่อยก่อนนะ กูไปอาบน้ำก่อน แกจะค้างที่นี่ปะ?” เจเหลือบมองผิงทำหน้าคิด ซึ่งความจริงผิงคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นสักหน่อย เพราะว่าเขาคิดว่าเขาเดาคำตอบของเจได้ “จะค้างก็บอกเหอะน่า ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แค่ห้องกูแคบเท่านั้นเอง”
“อาฮะ” เจตอบ ก่อนจะอมยิ้ม “ขอบใจ”
“เหอะ หลบไม่ได้ตลอดหรอกว่ะ” ผิงทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนของทาวเฮ้าท์ของป้าติ๋ว ซึ่งมันมีสามชั้นสภาพเกือบสามสิบปีได้แล้ว
ชั้นล่างป้าติ๋มทำเป็นร้านขายอาหารตามสั่งนั่นแหละ ส่วนชั้นสองก็เอาไว้นั่งดูทีวี นั่งเล่นกันภายในครอบครัว ส่วนชั้นสาม แบ่งซอยเป็นสองห้อง คือห้องของป้าติ๋มกับลุงยอด แล้วก็ห้องของผิง มันเลยไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ซึ่งผิงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเขาอยู่ที่นี่มาจนชินแล้ว
เจมองไปทั่วบริเวณที่เขานั่งอยู่ เฟอร์นิเจอน์เป็นไม้สักเคลือบอย่างดีชุดใหญ่ มีเก้าอี้โยกหนึ่งตัว โทรทัศน์จอใหญ่ พร้อมเครื่องเล่น แล้วก็โต๊ะเขียนหนังสือ เดาไม่ยากหรอกว่าผิงต้องจับจองตรงโต๊ะนี่แน่นอนเพราะมีพวกหนังสือของเด็กวิศวะวางไว้เต็มโต๊ะ ห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับส่วนนี้ เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมทย์มากดเปิดทีวี ดูอะไรฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะตัดสินใจเปิดมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แม้ว่าจะปิดเครื่องอยู่ตลอดก็ตาม
โอเคเขาทำใจได้ว่าต้องเจอกับพายุข้อความจากแฟนสาว และตัดสินใจได้ไม่ยากเลยว่าเขาจะไม่อ่านมันแม้แต่ข้อความเดียว...
เจทำหน้าแขยงตอนที่มองและได้ยินเสียงข้อความร้องเตือนมันดังอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงเรียกเข้า พักใหญ่กว่าจะแน่นิ่งไป ...คือ...เฮ่อ...พูดไม่ออก
ยังไม่ทันได้ถอนหายใจทิ้งก็เป็นอันต้องสะดุ้งเสียก่อนเมื่ออยู่ๆ มือถือของตัวเองก็กรีดร้องขึ้นเชื่อมั้ยว่าเขาไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าใครโทรมา แล้วก็เชื่อเหอะถ้าเขาไม่รับมันก็จะดังอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เชื่อ ลองดูมั้ย?
เจไม่ยอมรับสายและพอมันตัดไปเขายังไม่ทันได้หายใจเข้าด้วยซ้ำมันก็ดังขึ้นอีก เขาควรซื้อหวยมั้ย เผื่อมันจะถูก ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะกดรับสายแต่ไม่ยอมเอาแนบหู
“เจ! ทำไมหลบหน้าหวาน!” นี่ขนาดไม่ได้เปิดโฟนนะ ชัดเจน...ถ้าจะขนาดนี้เขาก็ควรจะ...กดวางสายดีมั้ย? อย่าเลยดีกว่า
“เบาเสียงได้มั้ย หูไม่ได้หนวก”
“ทำไมเจปิดเครื่องหอไม่กลับ หลบหน้าหวาน มีคนใหม่ใช่มั้ย” อยากจะตอบว่าครับจังแหะแต่ก็ไม่สามารถโกหกได้เพราะมัน...ไม่มี หมายถึงตอนนี้น่ะนะ
“เปล่า”
“แล้วทำไมไม่โทรหาหวาน ไม่มาหาหวานด้วย หวานไปหาก็ไม่เจอ หนีไปอยู่ไหน!”
“ไม่ได้หนี” พูดเสียงเนือย ไหลตัวเองเอาต้นคอวางบนขอบพนักไม้สักที่นั่งอยู่ราวกับคนหมดแรงจะทรงตัว “หวานมีอะไร” ก็เท่านั้นแหละ ถามไปเท่านั้นแหละ เจอเลย...
“มีอะไร? ต้องมีอะไรถึงจะเจอหน้าเจได้ใช่มั้ย! ผู้ชายเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง เบื่อกันแล้วสิถึงได้พูดอย่างนี้ เพื่อนเจก็อีกนะ ปากหรือชักโครก หวานแค่โทรไปถามอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ด่าอย่างกับหวานไปตบไปตีอย่างนั้น...บลาๆ ๆ ๆ ๆ” เจเอามือถือออกจากหู เพราะไม่อยากจะฟังไอ้สารพัดที่หวานตาพูดออกมา มันแสลงหูไม่ได้แสลงใจ
ก็แปลกนะ เมื่อก่อนอะไรก็ดูน่ารักไปเสียหมด แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็น่าเบื่อ น่ารำคาญ เขาเห็นแก่ตัวใช่มั้ย? ที่อยากให้แฟนสาวทำตัวน่ารักเหมือนเดิม โดยที่ไม่ยอมปรับตัวเองให้เข้ากับเธอ? แต่ก็นั่นแหละ เขายอมรับว่าเขาเห็นแก่ตัว และหวานตาเริ่มทำให้เขาอยากเลว ทั้งที่ก็เลวอยู่แล้ว
“แล้วหวานโทรไปหานุชมันทำไมล่ะ”
“หวานโทรไปถามเรื่องของเจ” อีกฝ่ายสวนมาอย่างไม่คิดอะไรสักนิดสักแต่โวยวายข่มอีกฝ่ายให้กลัว แต่ไม่รู้เลยว่าที่ผ่านมา ที่เจตามใจเวลาเธอวีนนั่นเพียงเพราะตัดรำคาญ ไม่ใช่เพราะรัก...เพราะถ้าลองถามตัวเอง ตั้งแต่แรกมาเจก็ไม่แน่ใจว่ารักเธอหรือเปล่า เห็นน่ารักดี ก็เลยคบ ก็แค่นั้น...
“แล้วต้องชวนนุชมันไปดูหนังด้วยเหรอหวาน” เจถามกลับไปลอยๆ ไม่ได้สนใจหรอกว่าคำตอบจะเป็นยังไง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอึกอักน่าสงสัย เขาไม่มีอารมณ์นั้น อารมณ์ที่เรียกว่าหึง...
บอกแล้วไงว่าเขามันก็แค่ผู้ชายเลวๆ ที่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องด่าเขาหรอกนะ เพราะเขาคงไม่รู้สึกอะไร...
“เจไปได้ยินใครใส่ไฟหวาน”
“เปล่า”
“ต้องมีสิ หวานไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ถึงไอ้มู่มันจะขี้โวยวาย ปากเสียปากร้าย แต่มันไม่ใช่คนขี้โกหก ข้อนี้เขารู้ดี แต่เขาก็ไม่ได้โทษหวานตาหรอกนะ... ไม่โทษจริงๆ
“ไม่มีใครว่าอะไรทั้งนั้นหรอก”
“ไม่จริง! เจก็เป็นอย่างนี้ตลอด อะไรก็เพื่อนๆ ๆ ๆ เพื่อนตลอด แล้วหวานล่ะ”
“หวานก็อยู่ส่วนของหวานไง จะไปยุ่งอะไรกับเพื่อนของเจเล่า” เจเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด กรอกตาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก่อนถอนใจเฮือกใหญ่
“หวานเป็นแฟนเจนะ! เราเป็นแฟนกัน เรื่องของเจหวานก็ต้องรับรู้สิ ทีหวานล่ะ หวานยังไม่เคยปิดบังอะไรเจเลย ทำไมเจทำกับหวานอย่างนี้”
“ไม่เคยอยากรู้อะไรของหวานมากมายอย่างนั้นนะ หวานเล่าของหวานเอง เจไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนของหวานสักคน หวาน...เราคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ถ้าหวานยังพาลเพื่อนของเจกับเจแบบนี้ เจอยู่บ้านเพื่อน ไม่ได้มีใครด้วย” หนุ่มหล่อเถียงกลับไป หวังให้อีกฝ่ายฟังแล้วเข้าใจ แต่เขาคงคาดหวังกับอะไรบางอย่างมากเกินไป โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า...ผู้หญิง
“เจ! เจพูดอย่างนี้กับหวานได้ยังไง! เจอยู่ที่ไหน! กับใคร! บอกมาหวานจะไปหาเราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง! เจอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ใช่มั้ย!” ถึงขั้นนี้เจอยากจะแหกปากตะโกน พระเจ้า ขอบคุณมากที่สรรสร้างให้เขาต้องเจอเรื่องแบบนี้...
“บอกแล้วไงว่า ไม่...มี” ท้ายประโยคของเจแผ่วหาย หนึ่งเพราะว่าอีกฝ่ายตะโกนกลับมาด้วย แต่อีกอย่างที่สำคัญมากเลยก็คือ
สายตาคมของเจจ้องสบกับสายตาของผิงที่โผล่มายืนพิงพนังมองมายังตัวเอง ผิงอยู่ในสภาพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ หน้าตาสดชื่น กางเกงกีฬาสบายตัว เสื้อกล้ามสีขาวบาง...
คือก็ผู้ชายเหมือนกันน่ะแหละนะ แต่ทำไม...
ตอนนี้เสียงในโทรศัพท์จะดังยังไง เจฟังไม่รู้เรื่องสักอย่าง สายตามองตามร่างบางของผิงที่เดินมาหยุดที่โต๊ะหนังสือ อีกฝ่ายจัดหนังสือให้เข้าที่คงเพราะทนเห็นมันรกไปมากกว่านี้ไม่ได้ ลำแขนเพรียวสวย ไม่ได้ดูเก้งก้างอย่างที่คิด ผิงก็มีกล้ามเนื้อ แต่ก็มีแค่พอมี ไม่ได้มากมายอะไร สำหรับคนมองอย่างเจ คิดว่ามันกำลังพอดี แล้วก็น่ามองมากด้วย
ผิงผิวขาวอมเหลือง ไม่ได้ขาวผ่องอย่างนุชหรือมู่ ดูนวลเนียนไปทั้งตัว แผ่นหลังไม่ได้กว้างมากมาย ก็พอดีกับร่างเล็กบางนั่นแหละ ความสูงก็แค่หน้าผากเลยปลายจมูกเขามานิดเดียว
โอเค...ตอนนี้เจต้องเพ่งสมาธิแล้วบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า...
ที่มองจำต้องแอบกลืนน้ำลายเนี่ย...ผู้ชาย!
“เจ” ร่างสูงสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ ผิงก็หันมาเรียกชื่อของตัวเอง เขารีบกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผิงเรียกทำไม ใบหน้าอ่อนใส่มุ่ยปากใส่มือของเขาที่ถือมือถือค้างอยู่ “มันดังซ้ำแล้ว ถ้าไม่อยากรับเพราะคุยไม่รู้เรื่องก็ปิดเครื่องไปก่อนเถอะ” ผิงนำเสนอ ซึ่งเจรีบทำตามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแอบเหลือบมองร่างบางที่ยิ้มขัน
“อะไรล่ะ”
“เปล่านี่...อาบน้ำปะ? หรือจะลงไปทานข้าวเย็นก่อน?” ผิงเสนอตัวเลือกให้เลือกก่อนจะพยักหน้าเมื่อเจตอบกลับว่า
“ทานก่อนได้ปะ หมดแรงแล้ว”
“งั้นไปเลย” คนตัวเล็กกว่าเดินนำลงไปชั้นล่างทันที ไม่รั้งรอร่างสูงที่นั่งทอดถอนลมหายใจอย่างไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเอง...
เขาเป็นอะไรไปเนี่ย จะว่าหัวใจเต้นเร็วก็ไม่ใช่ แต่มันกระตุกเหมือนจะหยุดเต้นเสียมากกว่า ไม่ได้การ...ต้องหาทางคุยกับชะมดน้อยให้ได้...
ภาวนา...ขอให้เขามีชีวิตรอดคืนนี้ไปให้ได้...
..........................
แต่ดูเหมือนคำขอร้องของเจจะไม่เป็นผลเลย...
ชายหนุ่มนอนกลืนน้ำลายช้าๆ ลืมตาในความมืด แต่เขาไม่ได้มองเพดานเอามือก่ายหน้าผากอย่างคนคิดหนักหรอก เขากำลังนอนตะแคงสายตาจ้องหน้าอ่อนใสของผิงที่ปิดเปลือกตาสนิทหายใจสม่ำเสมอตรงหน้า เครื่องปรับอากาศทำงานมีเสียงดังเบาๆ พอให้ได้รำคาญหู แต่มันไม่ได้เท่ากับที่เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น
ก็มันไม่ได้เต้นเร็วไรนะ แต่กลับเน้นย้ำหนักๆ เหมือนเสียงเบสที่มีจังหวะสม่ำเสมอ...ซึ่งเขาคิดว่าสาเหตุมาจากการนอนจ้องหน้าใสๆ นี่แหละ พอจะเลี่ยงไม่มอง พลิกนอนหงาย ก็ได้คำตอบว่าเพดานห้องในความมืดสลัวนี้มันไม่ได้น่าพิสมัยสักนิด เขาจึงพลิกกลับมานอนท่าเดิม เพื่อมองอะไรที่น่าพิสมัยมากกว่า
แน่นอนว่าคนที่นอนหลับกรนฟี้ๆ นั่นไม่มีทางรู้ว่ามีมนุษย์โลกเพศชายหน้าตาหล่อมากชื่อว่าเจจ้องหน้ามาเป็นชั่วโมงแล้ว
เจไม่ได้คิดว่าตัวเองจะไปถึงขั้นอย่างที่นุชมันทำกับมู่หรอกนะ ฟังจากที่ผิงเล่าก่อนจะหลับไปก็แค่ไอ้มู่อยากรู้ว่าจูบกับผู้ชายเป็นยังไงเลยไปลองจูบกับไอ้ตาหวานนั่น แล้วก็กลายมาเป็นอย่างที่เห็น แต่ยังไม่ได้คบกันมั้ง ผิงว่านะ แล้วถามว่าเขาสนใจฟังมั้ย ก็ฟังนะ แต่...
สนใจฟังเสียงผิงเล่าเพลินๆ มากกว่า แถมนอนฟังไปจนอีกฝ่ายหลับไปเสียดื้อๆ ...
เขาไม่ได้เป็นเกย์...แน่นอน ของแบบนี้ไม่ใช่ไข้หวัดที่จะได้ติดกันได้ง่ายๆ อันนี้เจรู้ แล้วเกย์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ระบุสปีชี่ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแขยงอะไร
แล้วถ้าจะผิงอยู่อย่างนี้...ก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายนะ
ประเด็นก็คือ...เขาไม่รู้ว่าเขาจะหาข้ออ้างอะไรมากมายมาคิดให้ปวดหัวแทบแตก ในเมื่อเขาแค่อยากนอนมองหน้าผิงเท่านั้น
แล้วเจก็ได้สะดุ้งระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ เพราะผิงพลิกกายนอนหงายเหมือนจะร้อน ร่างบางถึงได้เปิดเสื้อกล้ามที่สวมอยู่จะเกือบถึงหน้าอก ไม่สิ ถึงแล้ว เจมองเห็นหน้าอกของผิงเต็มตาเลยล่ะ...
กูจะบ้าตาย
กูจะตาย...กูตายแน่ๆ
โอ้ยยยยยย...ไอ้ชะมด...มาเก็บศพกูด้วยยยยยย
................................
นุชถอนลมหายใจออกมาอย่างหน่ายใจสุดขีด ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนมีความอดทน หรือมนุษยสัมพันธ์ดีสุดบรรยายหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันคงไม่มีใครจะรับมือได้แล้วล่ะ...มั้ง
“วางไปแล้วไง?” เสียงถามอย่างหาเรื่องนั้นดังมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง นี่เขานึกว่ามู่หลับไปแล้วนะเนี่ย
“อือ...ร้องไห้ซะ”
“ไอ้เจมันหายหัวไปไหน”
“คงไม่ได้อยู่กับไอ้ซอหรอก ถ้าอยู่ไอ้ซอคงตะเพิดให้มันกลับมาแล้ว” นุชว่าขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียงข้างกับร่างบางของมู่ที่นอนตะแคงหันหน้ามาทางตัวเองอยู่แล้ว
“มึงว่าไอ้เจเอาไง”
“เลิกแน่...เมื่อไหร่เท่านั้น”
“ยัยปลิงนั่นจะยอมเหรอ” นุชหายใจออกแรงๆ แล้วส่ายหน้า เหลือบตามองร่างบางของเพื่อนซี้ ที่ดูจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยากจะซี้ด้วยแล้ว
ก็เล่นมาตัวน่ารักนะ...
“ไม่รู้ว่ะ คงอีกยาวไกล ทางนั้นแรงน้อยเมื่อไหร่ ขนาดโดนไอ้เจว่าขนาดนั้น รู้ทั้งรู้ว่าเราต้องเล่าอะไรให้เพื่อนฟัง ยังมาชวนกูไปเที่ยวอีก กูเชื่อผู้หญิงคนนี้เลยว่ะ” พ่อตาหวานว่า ก่อนจะเอามือรองศีรษะกดดูนั่นดูนี่ในมือถือเล่นแล้ววางมันลงที่หัวเตียงนอนของตัวเอง
วันนี้นุชไม่ได้ไปบ้านของมู่ ไม่ได้ค้างที่นั่น แต่หลอกให้มู่มันเล่นเกมส์จนดึกดื่น ที่ถึงต้องมอมด้วยเกมส์เพราะอีกฝ่ายจะกลับบ้านท่าเดียว มันจะอะไรนักหนากะอีแค่ค้างที่หอของเขาเนี่ย
“มึงไม่ไปล่ะ เหอะ...ทิ้งกูให้อยู่นี่คนเดียวเลย” นั่น...ไม่วายประชด
“มานี่ดิมู่ มึงมาใกล้ๆ กูสิ” นุชว่า ไม่รอให้อีกฝ่ายขยับตัวหรอก เขาหันไปรั้งร่างผอมบางมาเต็มแรงจนมู่ขืนตัวไม่ได้ขยับมาเกยอยู่บนตัวของนุช
“ควาย! อะไร!”
“พูดมาก” นุชว่า แล้วรั้งใบหน้าของมู่ลงมาจนปากแตะกัน แต่มู่ก็ขืนไว้สุดแรงก่อนตัวบางจะโดนพลิกจนนอนหงายลงกับเตียง ตามด้วยร่างของนุชที่ทาบทับลงมาอีก
“ไอ้บ้า! มึงนี่”
“อ้าปากด้วย...”
“ไม่”
“มู่”
“ไม่...”
“มูลี่”
“ไม่!”
“โธ่...”
“ก็ไม่ไง” ร่างบางปากแข็ง และใจแข็งอย่างถึงที่สุด ไม่ได้ตอนนี้จะใจอ่อนไม่ได้ มันจูบเขาแต่ละทีทำเอาวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
ถึงจะบอกว่าเพื่อนกันก็เถอะ แต่เขาก็ไม่ได้โง่นะว้อย จะไม่ได้ไม่รู้เรื่องอะไร ชอบคนแก้มยุ้ย ตัวบางๆ ขี้เหวี่ยง ไอ้บ้า! ไม่บอกว่าชอบกูมาเลยล่ะ
“มึงถอยไปเลยไอ้ชะมดไม่งั้นกูโกรธ!”
“เอ่อ...ไหนๆ ตอนนี้มึงก็โกรธกูอยู่แล้วนี่ โมโหมากขึ้นอีกนิด กูก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” นุชว่าหน้าตาเฉย ฉวยโอกาสที่มู่ตกใจกับคำพูดนั้น อ้าปากจะเถียง ฉกจูบไป พร้อมกับส่งปลายลิ้นเข้าไปในหากเล็กนั้นอย่างรวดเร็ว...
มันไม่ใจร้ายกัดลิ้นของเขาหรอก แต่แค่ยอมเสี่ยงโดนมันด่าตอนจบแล้วก็พอ...หนวกหูหน่อยไม่เป็นไร ชอบคนปากมากอย่างมันไปแล้วนี่ ยอมเหอะ
ปลายลิ้นเกาะเกี่ยว หยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ไม่นานนุชก็ถอนจูบออกมา มองสบตากับแววตาตกใจของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มอ่อนหวานให้...
“มึงเป็นเกย์ใช่มั้ยไอ้นุช” คนตาหวานยิ้มจนตาหยีก่อนจะมองร่างบางด้วยสายตาเชื่อมหวาน ยักคิ้วใส่ตามนิสัยที่ชอบทำ
“กับมึงน่ะ...ใช่” ....อยากใส่อิโมให้หน้าตัวเอง แต่มู่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวอะไรมาแทนดี เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง ไม่รู้เลยสักนิด ต่อให้ต้องไปส่องกระจกตอนนี้ก็บรรยายสีหน้าตัวเองไม่ออก...
“มะ...มึง...มึง”
“กูรู้ว่ามึงเป็นมู่ รู้มานานแล้ว แต่ที่มึงไม่รู้ก็คือ กูชอบมึง ไม่สิ...กูว่ามึงรู้ว่ากูชอบมึง แต่มึงรอให้กูพูด ไม่อย่างนั้นมึงไม่มายั่วกูด้วยการขอให้กูจูบมึงหรอก” ....
“ไอ้...ไอ้เชี่ย! มึงรู้แล้วทำไมไม่พูด! กูเกลียดสันดานอย่างนี้ของมึงที่สุดอะไอ้นุช มึงแกล้งกู! ไอ้โรคจิต”
“กูเป็นกับมึงคนเดียวอะมู่ จริงๆ กูสาบาน...” นุชว่าพร้อมรอยยิ้ม แม้จะโดนกำปั้นของอีกฝ่ายทุบไหล่มาปึกใหญ่ก็ตาม
“สาบานหอกอะไรตอนนี้ ไอ้....ไอ้... โอ้ย กูจะด่ามึงยังไงดีเนี่ย” มู่ดันร่างของนุชออกแล้วผุดขึ้นนั่งจ้องมองอีกฝ่ายตาเขียวปัด “มึงแกล้งกูมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ยันทุกวันนี้ เห้!”
เชื่อเถอะว่าสองคนนี้กำลังสารภาพรักกันอยู่ เชื่อเถอะนะว่ามันคือการบอกรัก แม้ว่ามันจะ...ต่างกับคนอื่นสักเล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็เป็นการบอกรักกัน...นั่นแหละ
“กูมึงเสือกน่ารักทำไมว่ะ เหวี่ยงทีกูเห็นแล้วก็ชอบ ชอบอะเวลามึงแว๊ดๆ ค้อนซ้ายค้อนขวา ยิ่งเวลามึงด่ากูนะกูโคตรชอบเลย”
“ไอ้โรคจิต!”
“มากอะ กับมึง กูเยอะตลอดว่ะ” นุชว่าพร้อมกับรอยยิ้ม เอื้อมมือไปรั้งเอวบางให้ขยับมาใกล้ตัวเอง “แกล้งมึงแค่นี้ไม่สาสมกับที่มึงแกล้งมาขอให้กูจูบมึงหรอก มึงไม่รู้นี่ว่ากูต้องอดทนแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้มึง ตั้งกี่ปีแล้ว...กูจะเป็นบ้าตาย”
มู่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่ใช้ว่าไม่อยากฟังสิ่งที่นุชพูด แต่บางเรื่องมันก็มากเกินกว่าจะเงยหน้ารับฟังได้อย่างหน้าตาเฉย ยิ่งมีอ้อมแขนแข็งแรงกอดไว้อย่างนี้ คำบอกเล่าข้างหูลมหายใจเป่ารดข้างแก้ม
“มึงอะ...มึงมัน...”
“กูชอบมึงมาก มึงรู้ใช่มั้ย? มึงดูออกใช่ปะ” นุชกระซิบถาม มู่ก็แค่พยักหน้า ไม่ได้ปัดป้องแก้มนุ่มของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายกดปลายจมูกฝังแน่น...
“มึงไม่บอกกูแต่แรก” นุชยิ้มหวาน ใบหน้าของอีกฝ่ายเอียงมาหาจนปลายจมูกชนกัน ระยะประชันชิดที่ทำให้จังหวะหัวใจสั่นระรัว “มึงแกล้งกู”
“...ขอโทษหายโกรธปะ”
“กูไม่ได้โกรธ” นุชยิ้มหวาน เอียงใบหน้ากดริมฝีปากกับเรียวปากบางของมู่หนึ่งครั้ง “มึงรู้มาตลอด มึงแกล้งกู มึงรู้ว่ากูหึงมึง แต่มึงก็เงียบ”
“แต่กูดีใจนะที่มึงเป็นอย่างนี้...เป็นกับกูแบบนี้” นุชจูบลงไปอีกครั้ง แล้วก็ถอนมามองหน้ามู่
“มึงนี่” นุชยิ้ม จูบอีกแล้ว ไม่หนัก ไม่เบาแต่เอาไปทั้งใจแล้ว “โรคจิต” หนึ่งประโยคไม่ว่าใครพูดก็จูบตามทันที อมยิ้มกันไปสิแต่รู้นะว่าแต่ละคนก็รอจังหวะดีๆ ที่กำลังจะมีในเวลาไม่กี่นาทีนี่แล้ว
“ทำไมล่ะ” ถามไปแต่อ้อมแขนกลับรั้งเสียงจนร่างผอมบางต้องขยับมานั่งเกยบนตัก ขาวเพรียวมันเก้งก้างจนต้องเอาเกี่ยวไว้รอบเอวสอบ กลายเป็นการนั่งบนตัวที่แสนแนบชิดไปโดยปริยาย ริมฝีปากก็จูบเย้าแผ่วเบากันอยู่อย่างนั้น...
เมื่อความรู้สึกมันเริ่มจะควบคุมไม่ได้ ดวงตาหวานก็เว้าวอนอีกฝ่ายเสียจนไม่กล้าสบสายตา อยากจะเลี่ยงหลบแต่ก็หลายเป็นว่าไม่อยากจะพลาดจูบหวานๆ
ใบหน้าทั้งคู่เอียงเข้าหากัน จูบหวานบางเบาหยอกล้อกันจนอดอมยิ้มไม่ได้ ผิวเนียนที่แผ่นหลังถูกลูบไล้ด้วยฝ่ามือหนา เสื้อยืดตัวโคร่งถูกรั้งขึ้นช้าๆ สองมือลูบไล้มาข้างลำตัวบาง ก่อนจะถอนใบหน้าออกมามองสบสายตากัน...
“อยากทำธุระอะไรก่อนมั้ย” มู่ลี่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาแต่ก็พยักหน้าเบาๆ ฝ่ามือตีอกแกร่ง ก่อนจะขยับกายลงจากตักของนุช แล้วรีบเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป...
มันก็...
แค่...
แอร้ยยยยยย...
........................................
ไม่กล้าเขียน NC ค่ะ ขอผ่านนะคะ ฝีมือไม่ถึง!