Chapter :: 17 :: I broke someone's heart.แกรก แกรก แกรก..
อย่าเพิ่งตกใจว่านั่นเสียงอะไร คือตอนนี้ผมกำลังกวาดใบไม้ในสวนอยู่น่ะ กวาดไปก็หยุดพักไป ใช้ไม้กวาดต่างไม้ค้ำยันบ้าง ทุบสะโพกตัวเองเป็นระยะๆ บ้าง ..โอยยย ปวดหลังปวดเอว
คิดแล้วก็อดหันไปค้อนคนที่กำลังนั่งทำสวยอยู่บนราวระเบียงชั้นสองไม่ได้ ยิ่งเห็นเขาจิบชาร้อนๆ อย่างสบายอกสบายใจก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ เพราะเขานั่นแหล่ะ! เพราะเขาคนเดียวเลย เมื่อคืนกว่าจะยอมปล่อยให้ผมนอนก็เล่นเอาค่อนแจ้ง ผมได้หลับไปแค่นิดเดียว ตื่นขึ้นมาเห็นท้องฟ้าเป็นสีเหลืองรำไร แต่ก็ต้องกัดฟันฝืนใจลุกออกจากเตียงเพื่อเลี่ยงจากเขาอีก
แล้วทำไมผมต้องเลี่ยง?
แหม ไม่อยากจะเล่าเท่าไหร่เลย จำเรื่องเมื่อวานได้ไหมล่ะ? ที่ผมหึงเขาจนจิตหลุดน่ะ ..นะ เกิดมาไม่เคยรู้สึกหึงหน้ามืดแบบนี้มาก่อนเลย เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองก็มีอารมณ์รุนแรงแบบนี้อยู่ด้วย ต้องขอบคุณเขาหรือเปล่าที่ทำให้ผมได้เห็นตัวเองในอีกมุมหนึ่ง? ..เอาเหอะ แรกเริ่มผมก็จับเขามัดโดยใช้เข็มขัดของผมเอง จากนั้นก็..อืม..ผมก็ทำเหมือนอย่างที่เขาเคยทำกับผมนั่นแหล่ะ ทุกขั้นตอนไม่มีขาด แต่อาจมีแถมบ้างนิดหน่อย ทางเขาเองก็เหมือนจะทำใจยอมรับว่าสถานการณ์ตกเป็นรอง แทนที่จะดิ้นรนขัดขืนให้เปลืองแรง ก็รู้จักปรับตัวเปลี่ยนเป็นให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมมันซะเลย คอยชี้แนะคอยกำกับมือใหม่อย่างผมว่าควรจะทำยังไงตรงไหนให้อีกฝ่ายเจ็บน้อยที่สุดแล้วก็รู้สึกดีที่สุดด้วย
แล้วจากนั้น.. ก็เกิดเรื่องน่าอายที่ผมไม่ค่อยอยากจะเล่านั่นล่ะ เหอะๆ
ก็อย่างที่บอกว่าผมมันมือใหม่ ไม่เคยเข้าข้างหลังใครมาก่อน ทันทีที่เข้าไปได้มันก็.. มันก็.. งืออออ แพ้ราบคาบครับพ่อแม่พี่น้อง ไม่คิดว่ามันจะทำให้รู้สึกได้ขนาดนั้น ไม่ทันเตรียมใจ หรือไม่ก็เพราะผมร้างราจากการใช้งานข้างหน้ามานาน จะอะไรก็ไม่รู้แหล่ะ เอาเป็นว่ามันทำให้ผมอับอายได้โคตรๆ แล้วกัน ..โธ่ ไอ้น้องยูลูกพ่อ ทำไมหักหน้าพ่อแบบนี้ล่ะลูก?
ผมยังจำหน้าเขาตอนนั้นได้ติดตาอยู่เลย ตอนที่ผมเริ่มบุกเข้าไปเขาก็ทำหน้าเหยเกอยู่หรอก แต่พอรับรู้ถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันของผมเขาก็เบิกตาโตตกใจ แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงอึดใจเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่ไว้หน้ากันเลย เหอะๆ แล้วหลังจากนั้นเกมมันก็พลิกอย่างที่คุณคงเดาได้จากสภาพยับเยินของผมตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มัดคนอื่นเก่งอย่างเดียว เขาแก้มัดให้ตัวเองก็เก่งเหมือนกัน ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาแก้มัดได้ตั้งแต่ก่อนผมบุกแล้ว แต่ที่เขายังยอมให้ผมบุกก็เพราะเขาเห็นว่าผมดูมุ่งมั่น เลยไม่อยากขัดศรัธทา แถมยังแอบหยอดอีกหน่อยว่าเพราะเป็นผม เขาถึงได้ยอม แต่กลายเป็นว่าผมดันเป็นเสือปืนไว ทำเขาผิดหวังน่าดู..
นั่นล่ะ เหตุผลที่ผมต้องรีบลุกออกจากเตียงทั้งที่ยังเดี้ยงอยู่ ก็เขาน่ะเอาแต่พูดว่า เสือปืนไวๆ แถมยังฮัมเป็นเพลงบ้าบอล้อเลียนกันอีกต่างหาก ไม่อายก็ไม่ไหวแล้วล่ะครับ อายจริงๆ อายโคตรๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย อ๊าคคคคคค
แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก..
“เฮ้ย! กวาดประสาอะไรของมึงวะ?” ผมหันไปตามเสียงที่โวยวาย ก็เห็นซินเซียร์ที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้ากำลังแยกเขี้ยวใส่ บนไหล่บนหัวมีเศษใบไม้แห้งติดเต็มไปหมด
“ไปทำอะไรมาล่ะนั่น?” ผมถามอีกฝ่ายงงๆ
“หนอย ถามมาได้ว่าทำอะไร เดี๋ยวกูเตะเรียกความจำสักทีดีไหมไอ้โล้น?” ไอ้ซินกำเศษใบไม้ขว้างใส่ผมแบบฉุนๆ แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเตะผมอย่างที่พูดแต่อย่างใด ..ก็หมายความว่า ผมเป็นคนกวาดใบไม้พวกนั้นไปใส่หัวมันเองใช่ไหม เหอ.. สงสัยเพราะมัวอับอายกับภาพความทรงจำเลวร้ายเมื่อคืนเลยหลับหูหลับตากวาดมั่ว
“โทษที..” ผมบอกแล้วเริ่มกวาดรวบรวมใบไม้ที่กระจัดกระจายไปให้กลับมารวมกองกันใหม่ ก็พอดีตาเหลือบไปหันไข่ของแสงดาวที่นอนหงายท้องแผ่หลาให้ซินเกาพุงเล่น ..เฮะ ไข่??
ทำไมแสงดาว...มีไข่???
ผมลากไม้กวาดเข้าไปชะโงกดูใกล้ๆ เพื่อความแน่ใจ ..มีไข่จริงๆ อ่ะ
“อะไรของมึง?” ไอ้ซินเงยหน้าขึ้นมาถามผม คิ้วสวยๆ ของมันชนกันจนกลายเป็นเส้นเดียว
“แสงดาวมีไข่..” ผมชี้ไปที่ไข่แสงดาว แต่ไม่เข้าใกล้ไปมากกว่านั้นหรอกนะ เดี๋ยวมันข่วนเอา
“เอ๊า มันตัวผู้มันก็ต้องมีไข่ดิ ไม่ใช่ขันธีนี่หว่า อย่าบอกนะว่ามึงเพิ่งเห็น?”
“อือ” ผมพยักหน้ายอมรับ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสังเกตมันมาก่อนเลยจริงๆ ก็มันยอมให้ผมเข้าใกล้เสียเมื่อไหร่ ผมเองก็อยู่ห่างๆ มันเอาไว้ปลอดภัยกว่า แล้วอีกอย่างคือผมเห็นว่ามันชื่อแสงดาวไง ผมก็เลยเข้าใจว่ามันเป็นตัวเมียมาตลอดน่ะสิ ไม่คิดว่าจะเป็นตัวมีไข่ซะได้ ไม่รู้เจ้าของมันคิดอะไรอยู่นะ ถึงได้ตั้งชื่อให้สาวแตกแบบนี้?
“เซ่อจริงๆ ..ก็เพราะเซ่อแบบนี้ไง ถึงคว้าได้ซอลลี่มาเป็นแฟน แทนที่จะหาคนที่มันเข้าท่ากว่านี้สักหน่อย อ๊ะ..” จู่ๆ ไอ้คนที่บ่นพึมพำก็ดีดตัวลุกขึ้นยืน กระโดดหยองแหยงโบกไม้โบกมือให้ใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาสบทบกับคุณซอลที่ระเบียงบนชั้นสอง
คนถูกทักปรายตามองลงมาเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปจิบชาพลางคุยกับคุณซอลต่ออย่างไม่ให้ความสนใจ
“ซันนี่~” เสียงคนถูกเมินสนิทครางแผ่วๆ แต่แล้วกลับชูนิ้วกลางให้คนบนระเบียงซะอย่างนั้น
ตอนแรกผมนึกว่ามันจะชวนคู่กรณีทะเลาะเพราะถูกเมิน แต่เปล่า.. มันชูนิ้วกลางให้พี่ชายของมันที่ตอนนี้กำลังโอบเอวน้องชายของมันซึ่งยืนหันหลังอยู่ต่างหาก แถมยังมีก้มลงไปจุ๊บผมไอ้ซันแล้วยักคิ้วเยาะเย้ยไอ้ซินอีกด้วย
“แม่ง!” คนถูกยั่วโมโหได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ข้างล่าง
เรื่องกวนประสาทน้องชายนี่คงไม่มีใครเกินคุณซอลเขาล่ะ แต่น้องแฝดของเขาก็มีดีกรีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนักหรอก พี่น้องบ้านนี้เขารักกันแปลกๆ แบบว่าถ้าอยู่พร้อมหน้ากันสามคนเมื่อไหร่ จะต้องมีใครสักคนที่ตกเป็นเป้าของการกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เช่นถ้าในกรณีที่พวกแฝดรักใคร่กันดี คุณพี่ซอลลี่ของพวกนั้นก็จะกลายเป็นเป้านิ่งไปโดยปริยาย แต่ถ้าแฝดแตกคอกันเมื่อไหร่ คุณซอลก็คือ ‘ไอ้บ่าง’ ดีๆ นี่เอง
หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด.. ก็สามคนนั้นพุ่งเป้ามาที่ผมคนเดียวไงล่ะ เหอะๆ
ผมเหลือบกลับไปมองบนระเบียงอีกที สบตาเข้ากับคุณซอลพอดี เขายกยิ้มมุมปาก พูดอะไรบางอย่างโดยไม่มีเสียง แต่ระเบียงมันก็ไม่ได้ไกลเกินกว่าผมจะอ่านปากเขาออก.. ‘เสือ ปืน ไว’ ..ทำเอาผมอยากจะขว้างไม้กวาดขึ้นไปบนระเบียงจริงๆ เชียว ถ้าไม่กลัวว่าลูกหลงมันอาจจะไปโดนไอ้ซัน แล้วไอ้โหดนั่นมันจะลงมากระทืบผมเหมือนครั้งแรกที่เจอกันล่ะก็นะ ฮึ่ยย..
“ทะเลาะกันเหรอ?” ผมเลิกสนใจคนกวนประสาท หันกลับมาชวนคนข้างตัวที่นั่งหงอยให้แมวมีไข่ปลอบแทน
“ซันนี่โกรธ” หมอนั่นพยักหน้ารับซึมๆ แต่ก็ไม่ได้ปริปากเล่าถึงสาเหตุแต่อย่างใด
จะว่าไปไอ้หมอนี่มันก็เกาะติดผมแจมาตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนผมออกจากห้องก็เห็นมันเปิดประตูห้องมันออกมาพอดี พยักหน้าทักทายกันนิดหน่อยแล้วผมก็เดินลงบันได มันก็เดินลงบันได ผมเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณซอล มันก็เข้าครัวตามผมไปนั่งเคาะโต๊ะเตรียมอาหารไปเรื่อยเปื่อย ..เออ ผมสังเกตมาหลายทีแล้ว เหมือนว่าซินมันจะเป็นเด็กไฮเปอร์น่ะ มันไม่เคยอยู่นิ่งๆ เลย จะต้องมียุกยิกๆ แอคทีฟอยู่ตลอด แต่ไอ้ซันไม่ยักเป็นแฮะ ..อืม นั่นล่ะ แล้วพอผมเอาขยะไปทิ้งนอกรั้ว ไอ้ซินมันก็เดินตามผมออกไปจนถึงถังขยะ และเพราะวันนี้ผมตั้งใจจะเลี่ยงทานมื้อเช้าพร้อมคุณซอล หลังกลับจากทิ้งขยะก็เลยไปช่วยจีนกับเอลลี่ใส่ปุ๋ยดอกไม้ในโรงเรือนกระจกหลังบ้าน ซินมันก็ยังตามผมเข้าไปถึงในโรงเรือนอีก พอผมกลับออกมาจับไม้กวาดกวาดใบไม้แห้งในสวน แน่นอนว่ามันก็ยังตามมา ก็พอดีมันมาเจอกับแสงดาวในสวน เลยนั่งเล่นกับแสงดาวอย่างที่เห็น
คือตลอดเวลามันแค่ตามผมเฉยๆ นะ ไม่ได้ชวนคุย ไม่ได้ช่วยงาน มันไม่ได้แสดงท่าทางว่าสนใจผมด้วยซ้ำ ก็แค่ตามติดตูดผมเหมือนลูกเป็ดหลงแม่เท่านั้นเอง ถ้าจะให้สันนิษฐานล่ะก็ คงเพราะมันโดนน้องชายสุดที่รักเมินนี่แหล่ะ มันเลยไม่รู้จะไปไหน ผมว่านะ
“ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ?” ทั้งที่รู้ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหน แต่ผมก็ยังอดปากอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
“เสือกไร?”
นั่นไงล่ะ ผิดจากที่คิดที่ไหน.. ผมส่ายหัวแล้วกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อ กว่าจะเสร็จตะวันก็ขึ้นสูงพอสมควร ผมกลับเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างมือ แล้วหามื้อเช้ากินพร้อมกันกับซิน
“คุณหัวลูกชิ้น” ตกสายๆ คุณซอลในสภาพสวยงามตามปกติก็เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับกระเป๋าใบเก่ง
“ผมชื่อยู.. คุณจะไปทำงานแล้วเหรอ?” ผมวางมือจากงานถักโครเชต์ แล้วลุกเดินไปส่งเขาถึงโรงรถ
“อือ อีเวนต์น่ะ ตอนบ่ายๆ แต่ต้องไปแต่งหน้าทำผมก่อน วันนี้ต้องจัดเต็ม” เขากดรีโมทปลดล็อค เปิดประตู แล้วโยนกระเป๋าเข้าไป
“แล้วแฟร้งก์ไม่มารับคุณเหรอ?”
“นัดเจอกันที่ร้านเสริมสวยเลย”
“แล้วข้อมือคุณ..” ผมเหลือบมองข้อมือเขาที่ตอนนี้ใช้เสื้อแขนยาวปกปิดรอยแดงช้ำที่เกิดจากเข็มขัดของผมเมื่อคืน ก็.. รู้สึกผิดน่ะ ผมไม่น่าทำให้เขาเป็นรอยเลย ทั้งที่รู้ว่าร่างกายคือเครื่องมือทำมาหากินของเขาแท้ๆ
“นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอก” เขาคว้าเอวผมไปกอด แล้วถอยหลังไปพิงรถ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“ผมขอโทษ.. คุณจะไม่ถูกแฟร้งก์ดุใช่ไหม?” ผมถามอย่างกังวล ฟรานเชสก้ามักใส่ใจและให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดบนร่างกายคุณซอลเสมอ เพราะมันเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเธอ
“ยัยนั่นก็โวยวายได้ทุกเรื่องนั่นแหล่ะ นายไม่ต้องไปใส่ใจหรอก” พูดไปก็ลูบๆ คลำๆ สะโพกผมเล่นไป เพราะผมเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก เลยปล่อยให้เขาทำตามใจ ..แต่พูดแบบนั้นก็แปลว่าจะต้องถูกดุแน่ๆ เลยสิ?
“ผมขอโท..อื้อ..” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีเขาก็เอาปากของเขามาปิดปากผมไว้ก่อน แถมยังสอดลิ้นเข้ามาหยอกเล่นผมเล่นด้วย “อา..”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง..” เขาจับหัวผมโคลงไปมา ก่อนจะยอมผละออกแล้วเข้าไปนั่งในรถ “ไปก่อนนะ ตอนเย็นเจอกัน คุณเสือปืนไว”
“คุณ!”
“ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะทิ้งท้ายก่อนขับรถออกไปอย่างอารมณ์ดี หนอย..
“เสือปืนไว..” เสียงทื่อๆ กับหน้ามึนๆ ของซินเชียร์ที่โผล่เข้ามาข้างหลังในระยะประชิดทำผมถึงกับผวา
“ว้ากกก!” แหกปากร้องอย่างลืมตัวพร้อมกับถอยกรูดไปจนชิดผนังโรงเก็บรถ
“แว้กกกก!!” ทางนั้นเองก็ตกใจจนต้องร้องลั่นเหมือนกัน ..ไหงงั้นวะ?
“ซิน?”
“จะร้องทำไมเนี่ย? ตกใจหมด” มันยกมือลูบอกตัวเองอย่างคนขวัญเสีย ..อ่อ มันตกใจเสียงร้องของผมนี่เอง
“ทางนี้สิต้องตกใจ นะ..นาย..มานานแล้วเหรอ?” ผมพยายามรวบรวมขวัญที่กระจายกลับคืนมา
“เพิ่งมา..” กำลังจะโล่งอกเลย ถ้าไม่ได้ยินวลีถัดมากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นล่ะก็นะ “..ทันเสือปืนไว”
“อ่ะ..” ผมอ้าปากพะงาบๆ ไปแล้ว
“หมายถึงมึงเหรอ?”
“มะ..ไม่ใช่สักหน่อย” กลบเกลื่อนเต็มที่ ผมเดินกลับเข้าบ้าน แน่นอนว่ามันก็ตามมา
“ชัดเลย มึงแน่นอน” ได้ยินเสียงคนข้างหลังหัวเราะชอบใจคิกคัก
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
“เฮ้อ.. น่าเห็นใจซอลลี่จริงๆ”
“อย่าคิดเองเออเองสิ.. หือ?” เห็นว่าคนที่ตามมาเงียบหายไป พอหันไปมองก็เห็นมันเดินลิ่วเข้าไปในห้องรับแขก
ผมถอยหลังกลับสองสามเก้าเพื่อจะมองให้ชัดว่ามันเข้าไปทำอะไร แล้วผมก็ได้เห็นใครคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ไอ้ซินขยับเข้าไปใกล้ๆ ค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงบนโซตาตัวเดียวกันนั้นอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนคนที่กำลังหลับสบาย มันนั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือเขี่ยปรอยผมที่มาปรกหน้าอีกฝ่ายออกอย่างถนุถนอม แม้ผมจะอยู่ในระยะไกลเกินกว่าจะเห็นสายตาของผม แต่ก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะมันก็คงจะอ่อนโยนเหมือนทุกๆ ครั้งที่มันมองน้องชายฝาแฝดของมันนั่นแหล่ะ
“หือ?” ผมเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นซินค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้หน้าซัน ใกล้จนจมูกแทบแตะกัน จู่ๆ ไอ้ซันก็ลืมตาขึ้นมา มันไม่ได้มีท่าทีตกใจ ส่วนไอ้ซินก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว จนในที่สุดริมฝีปากของพวกมันก็จรดกัน..
“คืนดีกันแล้วสินะคะ” เสียงที่ดังขึ้นในระยะประชิด(อีกแล้ว) ทำผมแอบสะดุ้งเบาๆ หันไปมองก็เห็นจีนยืนถือตะกร้าผ้าอยู่ ข้างหลังมีเอลลี่ถือไม้แขวนเสื้อกำลังเดินลงบันไดมา
“เป็นแบบนี้บ่อยเหรอ?” ผมถาม
“เรื่องไหนล่ะคะ ถ้าเรื่องโกรธกันนี่ก็ไม่เคยข้ามวันหรอก”
“น่าอิจฉานะ สายสัมพันธ์ของฝาแฝดเนี่ย” เอลลี่ที่เพิ่งตามมาสมบทพูดบ้าง
ผมหันกลับไปมองในห้องรับแขกก็เห็นซินมันโน้มตัวซบอยู่กับไหล่ของซัน ส่วนซันก็ยกมือขึ้นโอบหลังซิน สองคนพึมพำคุยอะไรกันเบาๆ คือไม่ได้ยินหรอก แต่เห็นว่าปากของไอ้ซันกำลังขยับน่ะ ..สายสัมพันธ์ของฝาแฝดเหรอ? ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะแม้แต่พี่น้องธรรมดาผมยังไม่เคยมี
แล้ว..มันต้องมีเงื่อนไขอะไรหรือเปล่านะ?
“แล้วเรื่อง..เอ่อ..จูบล่ะ?” นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมเห็นพวกมันจูบกัน ครั้งแรกก็ตอนที่คุณซอลท้าก่อนไปสวนสนุกนั่นล่ะ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร คิดว่าพวกมันคงแค่อยากเอาชนะพี่ชายเท่านั้นเอง แต่ครั้งนี้...มันยังไงกันล่ะ? ความสัมพันธ์ของคู่นี้มันคืออะไร? หรือว่านี่ก็เป็นเพราะสายสัมพันธ์ของฝาแฝดเหมือนกัน?
“ครอบครัวนี้เขาเป็นพวกติดสัมผัสน่ะค่ะ กอดกันจูบกันเป็นเรื่องปกติ มาดามก็เป็น คุณซอลฟาก็เหมือนกัน”
“มิสเตอร์มัชชิม่าก็ด้วย”
“มิสเตอร์มัชชิม่า?” ผมทวนคำ ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“พ่อแท้ๆ ของพวกเขาน่ะค่ะ เป็นช่างภาพมีชื่อเลยล่ะ ถ้ามาลอนดอนเมื่อไหร่เขาก็มักจะมาพักที่นี่ แต่เป็นคนที่ออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย”
“พักที่นี่?” ผมว่านั่นล่ะที่แปลก สามีเก่ามาพักที่บ้านสามีใหม่เนี่ยนะ?
“ค่ะ มิสเตอร์มาร์ตินเป็นคนเชิญมาเอง พวกเขาคุยกันค่อนข้างถูกคอน่ะค่ะ มาทีไรก็เห็นนั่งคุยกันจนดึกดื่นทุกที”
“แล้วปกติเขาอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“เอ.. เท่าที่เคยได้ยินมา รู้สึกว่าเขาจะมีสตูดิโออยู่ที่ปารีสนะคะ แต่ก็มักจะเดินทางไปนู่นมานี่บ่อยๆ อยู่ไม่ค่อยติดที่หรอกค่ะ”“อ่อ..” ผมครางรับงึมงำ ก่อนจะเดินตามสาวเจ้าทั้งสองไปที่ห้องซักล้าง..
ประมาณบ่ายสอง ระหว่างนั่งจิบชายามบ่ายกับสองสาวเมดในสวนสวย โทรศัพท์บ้านก็แผดเสียงร้องลั่นมาจากข้างใน เอลลี่เป็นคนวิ่งไปรับ สักพักก็กลับออกมาพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้ผม ผมรับมางงๆ จะว่ายายก็ไม่น่าใช่ เพราะเมื่อเช้าผมเพิ่งจะโทรไปคุยด้วย
“ฮัลโหล..” ผมกรอกเสียงลงไป สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบ ผมลองพูดคำเดิมอีกครั้ง แต่ก็ยังเงียบอยู่ เหลือบมองเอลลี่ที่เอาโทรศัพท์มาให้ ทางนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมา คงไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร
“ใครครับ? ไม่พูดผมวางนะ”“เดี๋ยว..” คราวนี้ได้ผลแฮะ ทางนั้นตอบกลับมา เสียงนี้จะฟังว่าคุ้นก็คุ้นอยู่นะ แต่จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้นเหมือนกัน
“...........” ผมรอให้อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น สองสาวมองมาอย่างลุ้นระทึกอยู่เหมือนกัน
“ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้าน.. ออกมาหาหน่อยสิ”
“เอ๊ะ? ใคร? เดี๋ยวๆ..” ไม่ทันแล้ว ทางนั้นวางไปแล้ว ตกลงว่าใครก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าให้ออกไปหาที่หน้าบ้าน..
“มีอะไรคะ?” จีนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถาม
“เขาบอกให้ออกไปหาที่หน้าบ้าน” ผมตอบตามที่ได้ยินมา
“ใคร?”
“ไม่รู้สิ” ผมส่ายหัวพลางลุกขึ้นยืน
“คุณจะไปเหรอ?” เอลลี่ถาม
“ก็เขาให้ไป” ผมพยักหน้า
“ใครก็ไม่รู้” จีนทำหน้าไม่เห็นด้วย
“ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าออกไปแล้วกลายเป็นคนไม่ดีทำไงล่ะ ในบ้านตอนนี้นอกจากเราสามคนก็ไม่มีใครเลย”
“ก็จริง..” ผมชักลังเล ลุงพ่อบ้านก็ออกไปบริษัทแล้ว แฝดก็ออกไปข้างนอกแล้วเหมือนกัน
“งั้นพวกเราออกไปด้วยกันหมดนี่แหล่ะ ออกไปดูก่อน ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องเปิดประตู” เอลลี่เสนอตัว ผมกับจีนพยักหน้าเห็นด้วย แม้ในใจจะตงิดๆ ว่ามีไม่กี่คนในลอนดอนหรอกที่รู้จักผม แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย
“เอ๊ะ หรือว่าเราควรจะลองไปดูวงจรปิดในห้องคุณพ่อบ้านก่อนดี?” เดินกันมาเกือบครึ่งทางแล้วจีนก็โพล่งขึ้น เอลลี่เลยเริ่มพะว้าพะวง ดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้สองสาวจิตตกพอสมควร
“ไม่เป็นไรหรอก เดินไปอีกนิดก็รู้แล้ว” ผมว่าแล้วออกเดินต่อ
“แล้วถ้าเกิดทางนั้นมีปืนล่ะ?” เอลลี่เริ่มมองโลกในแง่ร้าย
“จะเอาปืนมาทำอะไร?” ผมสงสัย แต่ไม่ได้หยุดเดิน สองสาวเองก็ยังมาตามเรื่อยๆ
“ก็ปล้นไง” จีนช่วยตอบให้
“กลางวันแสกๆ เนี่ยนะ?”
“ต้องเลือกเวลาด้วยเหรอ?”
“ถ้าผมเป็นโจรผมจะไม่ถือปืนมาปล้นคนอื่นกลางวันแสกๆ แน่”
“อ๊ะ เขาอยู่นั่นไง” เอลลี่ชี้ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนพิงรั้ว ก้มหน้าก้มตามองพื้นอยู่
“มิคุนิ!” เราสามคนเพิ่งออกไปพร้อมกัน เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองพวกเรางงๆ
“คุณทำให้เมดของเราจิตตก” ผมพูดพลางเปิดประตูเล็ก
“ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกคุณวิตก” มิคุนิเอ่ยขอโทษสองสาวด้วยท่าทางสุภาพ
“คุณไม่ใช่โจรก็ดีแล้วล่ะค่ะ แต่ทีหลังมาแบบปกติดีกว่านะคะ” จีนว่าอย่างไม่ถือสา
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ?” ผมถามเมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีท่าทีว่าจะก้าผ่านประตูมาทั้งที่ผมเปิดให้แล้ว
“ออกมาคุยกับผมข้างนอกได้ไหม?” ทั้งสีหน้าแววตาของคนพูดดูแปลกๆ จนผมรู้สึกตงิดๆ ใจ
เอ.. จะว่าไปแล้วหมอนี่มันเพิ่งจะจูบผมไปเมื่อวันก่อนสินะ
เอ๊ะ จูบ? จริงด้วย! คุณซอลบอกว่าหมอนี่ชอบผม แล้ว...แล้วมันจริงหรือเปล่าอ่ะ?
“อือ” ผมพยักหน้าตกลง ก่อนหันไปพยักพเยิดให้สองสาวกลับเข้าบ้านไปก่อน
“ถัดจากนี่ไปถนนนึงมีร้านกาแฟ” มิคุนิพูดแล้วก็ออกเดินนำไปก่อน ผมเดินตามงงๆ บอกตามตรงว่ายังจบต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลย
“............” เราเดินตามกันเงียบๆ จนมาถึงร้านกาแฟที่ว่าในที่สุด มิคุนิสั่งลาเต้ ขณะที่ผมชาเขียว เรานั่งละเลียดเครื่องดื่มอยู่สักพัก ในที่สุดก็เป็นผมที่ทนต่อความสงสัยไม่ไหว เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นก่อน
“คุณชอบผมเหรอ?”พรวดดดดดด!!
หมดกันมาดคุณชาย มิคุนิพ่นลาเต้ออกมาเลอะเทอะโต๊ะ แถมยังสำลักหน้าทำหน้าแดงจนผมต้องเข้าไปลูบหลังให้ ส่วนพนักงานในร้านก็ต้องรีบเข้ามาเช็ดโต๊ะให้
“นาย..แค่กๆ” หมอนั่นพยายามจะพูดทั้งที่ยังไม่หยุดสำลัก
“คุณซอลบอกผมแบบนั้น แต่ผมคิดว่าเขาคงเข้าใจอะไรผิด” ผมเกาแก้มตัวเองเก้อๆ พูดไปแล้วเพิ่งจะนึกกระดากปาก นายแบบมาดคุณชายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างมิคุนิเนี่ยนะจะมาชอบคนธรรมดาหัวโล้นๆ อย่างผม? เหอ.. คุณซอลเขาคิดไปได้ยังไงน่ะ
“ไม่ผิดหรอก..” เสียงเรียบๆ ที่ตอบกลับมาทำให้ผมต้องละสายตาจากสถาปัตยกรรมภายในร้าน
“ฮะ?”
“ผมชอบนาย”
“อ่า..” เจอเจ้าตัวพูดเองตรงๆ แบบนี้เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย ว่าตอนที่คุณซอลบอกผมช็อคแล้วนะ แต่มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับตอนนี้
หมอนี่พูดว่าชอบผม! ..ชอมผมเหรอ?
ที่แสดงออกมาตลอดเกือบหนึ่งเดือนนั่นคืออาการของคนที่แอบชอบงั้นเหรอ..?
เหอ...
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มคิดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งจะมาแน่ใจก็เมื่อวันก่อนเอง” มิคุนิยังพูดด้วยท่าทางที่พยายามให้นิ่ง
ที่ผมใช้คำว่าพยายามยามก็เพราะความหายมันตรงตัว อืม.. ตามนั้นแหล่ะ
“ตอนที่คุณ..จูบผม?” แม้จะกระดากไปบ้าง แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า
และที่ผมใช้คำว่ากระดากก็เพราะมันตรงตัวตามนั้น ผมไม่ได้เขิน แค่รู้สึกประดักประเดิดที่ผู้ชายสองคนมานั่งคุยเรื่องอะไรแบบนี้กัน แต่น่าแปลกที่เวลาผมคุยกับคุณซอลผมไม่ยักรู้สึกงี้แฮะ ถึงเขาคนนั้นจะชอบแหย่ผมด้วยเรื่องบนเตียงบ่อยๆ แต่มันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ตะขิดตะขวงใจแบบนี้
“เอ้อ..นั่นมัน..ผมไม่ได้ตั้งใจ..คือ..” มิคุนิอึกอัก หูคอแดงเถือก ..หมอนี่มันหนุ่มขี้อายนี่หว่า
“ผมขอโทษ.. ไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสกับนาย”“อ่ะ..ไม่เป็นไรๆ ก็แค่ปากชนกัน ฉวยโอกาสอะไรล่ะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย” ผมโบกไม้โบกมือว่าไม่ถือสา แต่อีกฝ่ายกลับมองแปลกๆ
“แต่คุณซอลฟาคงไม่คิดแบบนั้น”
“เขาเป็นพวก ‘เยอะ’ น่ะ คุณก็รู้”
“ผมเองก็ไม่คิดแบบนั้น”
“อ่ะ..” หมอนั่นทำผมอึ้งอีกรอบ
“นายควรจะหัดคิดให้เยอะขึ้น แล้วก็รู้จักระวังตัวมากกว่านี้หน่อยก็ดีนะ” จู่ๆ เขาก็กลับเข้ามาดคุณชายเย็นชาจอมเหน็บแนมอย่างที่เคยเป็น
“ผมว่าผมโชคดีแล้วล่ะที่รอดพ้นจากนาย มันคงเป็นความโชคร้ายของคุณซอลฟาคนเดียว”“ตอนเจอกันครั้งแรกคุณดูไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่” ถึงเขาจะจิกกัดผม แต่แววตาของเขากลับแฝงแววเศร้าเอาไว้อย่างปิดไม่มิด ..นี่เขาเสียใจเพราะผมหรือเปล่า?
“ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมรู้สึกอิจฉานายนิดหน่อย เพราะนายดูสนิทสนมกับคุณซอลฟามากกว่าผม.. เขาน่ะเป็นรุ่นพี่ที่ผมทั้งชื่นชมทั้งเคารพมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พอได้รู้จัก ได้พูดคุยกับนาย ก็ไม่รู้ว่าความสนใจของผมถูกเบนจากคุณซอลฟาไปหานายตั้งแต่ตอนนั้น รู้สึกตัวผมก็มักจะจ้องมองเวลาที่นายพูด นายยิ้ม นายกินเค้กสตรอว์เบอร์รี่อย่างมีความสุข นายทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีไปด้วย รู้สึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับนาย..”“...........” เอ่อ.. นี่เขากำลังสารภาพรักอยู่หรือเปล่า? แต่เขาก็บอกว่าชอบผมไปแล้วนี่ แต่มาพูดแบบนี้อีกนี่มัน.. ผมว่าผมชักเขินขึ้นมาแล้วล่ะ
“ตอนแรกผมคิดว่าเพราะผมคงอยากเป็นเพื่อนกับนาย ผมมีคนรู้จักเยอะก็จริง แต่ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมากมายอะไร แต่ถ้าผมอยากให้นายเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ผมคงไม่เผลอใจจูบนาย.. แล้วคุณซอลฟาก็คงไม่พูดเตือนสติผม”
“เขา..พูดกับคุณ?” ข้อมูลที่เพิ่งได้รับทำผมแปลกใจไม่น้อย
“อืม.. เขาอยากให้ผมทบทวนสิ่งที่กำลังทำอยู่ นายเป็นของเขา และเขาก็รักนาย ถ้าผมยังตัดใจจากนายไม่ได้เขาก็ขอให้ผมอย่าไปที่บ้านหลังนั้นอีก เขาบอกว่ามันทำให้เขาเจ็บ และตัวผมเองคือคนที่จะเจ็บที่สุด.. เพราะนายมันซื่อบื้อ”แหมนะ กำลังจะซาบซึ้งในความรักและความมีน้ำใจของคุณซอลอยู่แล้วเชียว ..ถ้าไม่มีไอ้ประโยคสุดท้ายนั่นล่ะก็
“วันนี้คุณก็เลยไม่เข้าไปในบ้าน?” นี่คือเหตุผลที่วันนี้เขาทำตัวแปลกกว่าทุกทีสินะ
“อืม.. ผมไม่ได้ต้องการให้ใครเสียใจ แล้วก็ไม่ได้อยากทำให้นายลำบากใจ ผมแค่อยากจะมาบอกนาย ..ก่อนที่ผมจะตัดใจ”“..........” ผมก็ไม่รู้จะตอบไปยังไง แต่คนพูดเองก็คงจะไม่ได้อยากได้คำตอบจากผมหรอก
“เอาล่ะ!” จู่ๆ หมอนั่นก็ยืดตัวนั่งตรง
“ที่คิดว่าควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ต่อไปก็จะได้ทำในสิ่งที่ควรทำสักที ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มานั่งฟัง หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก..”“คุณจะไปไหนเหรอ?” ผมโพล่ออกไปอย่างไม่ทันคิด เพิ่งนึกได้ทีหลังว่าบางทีเขาอาจไม่อยากเจอผมล่ะมั้ง ก็เขาเพิ่งอกหักจากผมที่นา
อกหักงั้นเหรอ..?
ตลอดชีวิตสิบเก้าปีของลูกผู้ชายชื่อยูริ ไม่เคยมีวินาทีไหนที่คิดว่าตัวเองจะไปหักอกผู้ชายคนไหนในโลกนี้เลย
กระทั่งวินาทีนี้นี่แหล่ะ..
“อีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับนิวยอร์กแล้ว แล้ว..” เขาเว้นไปนิด ก่อนพูดต่อ
“จนกว่าผมจะสามารถคิดกับนายได้แค่เพื่อนจริงๆ ..ถึงตอนนั้นผมจะมาหานาย”“อืม ผมจะรอนะ”
“ขอบคุณ” เรายิ้มให้กัน แม้ยิ้มของเขาจะดูเศร้าไปหน่อย และยิ้มของผมจะดูฝืดไปนิด แต่เราก็สัญญากัน..
จนกว่าวันที่เขาพร้อมจะเป็นเพื่อนกับผม...TBC.
หายนานเลย ฮ่ะๆๆ
ไหนๆ ก็ไหนๆ งั้นฝากปู่ดินกับหลานเก้าเลยแล้วกัน แค่เรื่องสั้นๆ น่ะ (แต่มีหลายตอน(??))
My Boyfriend is Grandpapa. ♥เป็นเรื่องราวเบาสมองระหว่างหลานติ๊งต๊องกับปู่เถื่อนๆ :”D