## เรื่อง “เรื่องของเค้ากะแก” ๓๒ ##
ต่อกันเลยเนอะ.....
**************************************************************************************
จากการที่เราแยกออกไปนั่งกินข้าวคนเดียวเฉยๆเมื่อตอนพักกลางวันทำให้เพื่อนๆในกลุ่มรู้สึกแปลกใจมาก จนกระทั่งช่วงบ่ายเราก็ยังไม่ปริปากอะไรพูดกับใครเลยแม้ว่าพวกเพื่อนๆในกลุ่มจะมาถามอะไรเรา ตอนนั้นเราไม่อยากคุยกะใครไม่อยากพูดอะไรกับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นภีมหรือเพื่อนคนอื่นๆ เพราะถ้าเราได้พูดอะไรหรือตอบคำถามมากมายที่มันถามเรามา... เรากลัวว่าคงจะได้มีการเสียเพื่อนกันแน่ๆ.. เพราะหลังจากที่เราได้รู้เรื่องที่ไปลอยกระทง.. เรายอมรับว่ารู้สึกน้อยใจภีมและเพื่อนๆในกลุ่มมาก... ทำให้ตอนนั้นเราเลยยังไม่อยากคุยอะไรกับพวกมันทั้งนั้น.. ทุกอย่างมันดูสับสนไปหมด... เพราะมันมีแต่คำถามในใจที่เราไม่รู้คำตอบเลยสักคำถามเดียว....
แล้วในที่สุดเราก็ทนไม่ไหวแล้วที่จะยังนั่งเรียนอยู่ในห้อง... ตอนนั้นรู้แค่ว่าอยากไปไหนก็ได้ที่จะไม่ต้องเจอภีมกับและก็เพื่อนๆในกลุ่มและถ้าขืนนั่งเรียนอยู่เราก็ไม่มีทางเรียนรู้เรื่องเพราะตอนนั้นเราปวดหัวมาก คิดได้ดังนั้นเราก็เลยตัดสินใจเก็บของบนโต๊ะเรียนใส่เป้แล้วเดินไปหาอาจารย์ที่ยืนสอนอยู่หน้าห้อง เราบอกอาจารย์ว่าไม่สบายขอไปนอนที่ห้องพยาบาล ซึ่งอาจารย์ก็อนุญาตเพราะน่าตาเราตอนนั้นมันก็คงบ่งบอกว่าเราไม่ค่อยสบายจริงๆ
เราเดินออกมาจากห้องโดยที่ไม่หันกลับไปมองใครเลย... เราเดินตรงไปที่ห้องพยาบาลแล้วบอกอาจารย์ที่ห้องพยาบาลว่าปวดหัวมากท่านก็เลยเอายาแก้ปวดหัวให้เรากินแล้วก็อนุญาตให้เรานอนที่ห้องพยาบาลได้ เราเลือกนอนเตียงที่อยู่ในสุดเพราะต้องการที่จะอยู่เงียบๆคนเดียวเพียงลำพัง แม้ว่าเราจะกินยาแก้ปวดหัวไปแต่ยาที่กินไปก็ไม่ได้ทำให้เราหายปวดหัวได้เลยและที่สำคัญมันก็ไม่ได้ทำให้เราหลับได้ตามที่เราต้องการ เรานอนนิ่งๆอยู่บนเตียงห้องพยาบาลเพราะนอนไม่หลับจนกระทั่งหมดคาบแรกของช่วงบ่าย ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนๆในกลุ่มต้องแห่มาหาเราที่ห้องพยาบาลแน่นอน
“ ขอโทษนะคะอาจารย์... มีนร.ชื่อ ....... ....... มานอนที่ห้องพยาบาลรึป่าวค๊ะ ” เสียงบัวถามอาจารย์ห้องพยาบาล
“ อ๋อ.... มีจ๊ะ รู้สึกว่าจะนอนอยู่เตียงด้านในสุดนะ” เสียงอาจารย์ห้องพยาบาลตอบ
เราก็นอนนิ่งๆฟังเสียงพวกมัน สักพักเสียงการสนทนาก็จบลงแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาที่เตียงเรา ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นเพื่อนในกลุ่มเราแน่ๆ เราก็เลยหลับตาลงแกล้งทำเป็นหลับ
“ เฮ้ยแก... ปอมันหลับอยู่ว้ะ ” เสียงบัวพูดขึ้น
“ เลยไม่ได้ถามให้รู้เรื่องเลยว่ามันเป็นอะไร ” เสียงต๊ะพูดขึ้นบ้าง
หลังจากต๊ะพูดก็มือใครคนนึงมาแตะที่หน้าผากเรา.... แล้วก็พูดว่า
“ ตัวปอก็ไม่ร้อนหนิ...” เจมส์พูด แสดงว่าคนที่เอามือมาแตะหน้าผากเราเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเจมส์
“ แกว่าปอมันเป็นไรว้ะ.... วันนี้มันก็ไปนั่งกินข้าวคนเดียว เราถามอะไรมันก็ไม่ตอบเลย... หรือว่าเรื่องที่เราไปลอยกระทงด้วยกันว้ะ ” เสียงชาติพูด
“ คงไม่ใช่เรื่องลอยกระทงหรอกมั้ง... ก็ไหนบอกว่าปอมันไม่ไปไง” ต๊ะพูด แต่ประโยคนี้สิที่ทำให้เรางงไปใหญ่ “ก็ไหนบอกว่าปอมันไม่ไปไง” เราไปพูดกะใครตอนไหนว่าเราไม่ไป.....
“ ถ้างั้นมันจะเป็นอะไรล่ะ .... มันต้องมีสักเรื่องแหละน่า” หน่าพูดขึ้นบ้าง
“ หรือว่าไมเกรนขึ้นว้ะ..” ต๊ะถามความเห็นเพื่อนๆ
“ ถ้ามันไมเกรนขึ้นจริงๆ... มันก็ต้องมีสาเหตุอยู่ดี ” เจมส์พูด
“ เฮ้ยพวกแก... เราว่าขึ้นห้องเรียนกันก่อนเหอะ... ป่านนี้อาจารย์คงมาแล้วแหละ ” นิดพูดโพล่งขึ้นมา
“ เออว้ะ.... เดี๋ยวมันตื่นมาค่อยถามมันก็ได้” บัวพูด
แล้วเราก็ได้ยินเสียงพวกมันเดินออกไปจากห้องพยาบาล.... เราลืมตาขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่มันไหลออกมาอีกแล้ว... ทำไมช่วงนี้เราร้องไห้บ่อยจัง... รู้สึกโมโหตัวเองมากๆที่เป็นคนอ่อนแอแบบนี้ แต่ตอนนั้นเราก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ สิ่งที่ทำได้มีเพียงพยายามอดกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้มันเล็ดรอดออกมาเท่านั้นเอง เราร้องไห้ออกมาอย่างหยุดไม่ได้ น้ำตาที่มันไหลออกมาก็ดูท่าจะไม่มีวันหมดจนหมอนที่เรานอนเปียกปอนไปด้วยน้ำตาที่มันไหลออกมา
“ ปอเป็นอะไร... ทำไมถึงต้องนอนร้องไห้” เสียงเจมส์ที่ถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงทำให้เราถึงกับสะดุ้ง เราไม่ได้ตอบอะไรออกไปเจมส์จึงเดินมาหยุดตรงหน้าเราเพราะเรานอนตะแคงแล้วเจมส์ก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียง เจมส์สบตาเราอย่างต้องการคำตอบ เราจึงพูดออกมาด้วยเสียงประชดว่า
“ เจมส์ก็น่าจะรู้” เรามองหน้าเจมส์ทั้งน้ำตา เราน้อยใจเจมส์มากๆเพราะเจมส์ก็เป็นอีกคนที่ไปลอยกระทงกับพวกนั้นโดยไม่บอกเราหรืออีกนัยนึงก็คือ เจมส์รู้เรื่องฝนกับภีมโดยไม่คิดจะบอกเราสักคำ
“ปอหมายถึงเรื่องอะไร... เราไม่เข้าใจ ” เจมส์พูดพร้อมกับทำหน้างงๆ
“ก็เรื่องที่ไปลอยกระทงกันโดยที่ไม่ชวนเราไง.... ทำไมเหรอ... กลัวว่าเราจะไปขัดความสุขของฝนกะภีมรึไง ” เราพูดประชดออกไปพร้อมกับอารมณ์โกรธและอารมณ์น้อยใจ
“ ปอหมายถึงอะไรที่บอกว่า... กลัวว่าปอจะไปขัดความสุขของฝนกะภีม เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย... แล้วเมื่อคืนเราก็ไม่ได้ไปกะพวกมันด้วย ” เจมส์ยังคงตอบกลับมางงๆ เราก็เลยเล่าเรื่องที่คุยกับจ๋าและดาวเมื่อเช้าตอนเข้าแถวให้เจมส์ฟัง
“ อย่างนี้นี่เอง..... ไอ้ภีมนะไอ้ภีม” เจมส์สบถกับตัวเองเบาๆ แต่มันก็ดังในระดับที่ทำให้เราได้ยิน เพราะในห้องพยาบาลนั้นเงียบมาก แล้วเจมส์ก็พูดออกมาด้วยท่าทางโมโหว่า
“ เราจะไปคุยกะไอ้ภีมให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย ” เราก็เลยต้องรีบห้ามไว้
“ อย่าเลยเจมส์..... แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร... อย่าไปถามอะไรให้มันมากความเลย” สิ่งที่เราพูดก็เหมือนเป็นการเตือนตัวเองด้วย
“ ไม่ได้นะปอ... มันจะมาทำแบบนี้กะปอไม่ได้ ” เจมส์ยังคงอยู่ในอารมณ์โมโหเหมือนเดิม
“ ช่างเค้าเถอะเจมส์..... ที่ภีมทำหนะถูกแล้ว... เรารู้ตัวเองดีว่าเราเป็นอะไร แค่ที่ผ่านมามันก็ทำให้เรามีความสุขมากแล้ว... เรารู้อยู่แล้วแหละว่าสักวันมันก็ต้องมีวันนี้... เพียงแต่เราไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้แค่นั้นเอง.....และที่สำคัญเราแค่ไม่คิดว่าคนที่ภีมเลือกจะเป็นคนใกล้ตัวเรานี่เอง ” เราพูดเสียยืดยาว... แต่มันก็ทำให้เจมส์นิ่งลงจากเมื่อกี๊มากทีเดียว เจมส์ก็เลยพูดว่า..
“ ปอจะเอาแบบนั้นเหรอ.... เราไม่อยากให้มันจบแบบนี้นะ” เจมส์ถามเราเพื่อต้องการให้เราคิดทบทวนอีกที
“ มันดีที่สุดแล้วล่ะ.... เราไม่อยากอะไรอีกแล้ว เราเหนื่อยกับเรื่องนี้มามากเกินพอแล้ว.. จากนี้ไปเราก็จะเดินตามทางของเราเสียที...” พูดออกไปเราก็อดใจหายไม่ได้ เพราะจากนี้ไปเราคงจะไม่มีภีมอยู่กับเราอีกแล้ว... แต่ถึงยังไงใจเราก็ไม่สามารถลืมภีมได้หรอกเพราะเรารักภีมไปแล้ว น้ำตาที่มันเพิ่งจะหยุดไปก็พาลไหลออกมาอีกครั้ง เจมส์มองเราด้วยสายตาที่มีแต่ความเป็นห่วง เจมส์ยื่นมือมาจับมือเราไว้แน่นเพื่อให้กำลัง ....
*************************************************************************************
คุณรู้มั้ยว่า.........
“ การที่เราไม่มีค่าไม่มีความหมายในสายตาใครโดยเฉพาะคนที่เรารักหนะ... มันเจ็บปวดมากขนาดไหน ”
หลังจากวันนั้นมาเราจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่.... เพราะเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้..... เราต้องกล้าที่จะทำอะไรคนเดียว... ไปไหนคนเดียว... ซึ่งมันก็ดีนะมันทำให้เรามั่นใจในตัวเองและมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น เราเข้มแข็งขึ้น.... เหมือนที่พ่อเคยบอกว่า... “ เวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆ... หลังจากที่เราผ่านมันมาได้ เราจะเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้น” เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้แหละนะ ที่มันทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่อดทนและเข้มแข็งกับอะไรๆได้มากกว่าแต่ก่อน เรายอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันส่งผลให้เราเป็นคนใหม่แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ช่วงแรกๆเพื่อนๆในกลุ่มเรามันก็พยายามที่จะหาโอกาสเข้ามาคุยกับเรา แต่เราก็หาทางเลี่ยงมาได้ตลอด พวกมันก็เลยเปลี่ยนวิธี โดยใช้การโทรมาหาเราเพื่อที่หวังจะคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราคิดที่จะตัดพวกมันทิ้งออกไปจากชีวิต เพราะหลายๆอย่างมันมากมายซะจนเราเกินจะรับไหว มันเหมือนเชือกที่ผูกเป็นเงื่อนตายหลายๆปมแก้ยังไงก็แก้ไม่ออก ถึงจะแก้ออกแต่ร่องรอยที่เคยถูกมัดเป็นเงื่อนตายมันก็ยังคงอยู่ เราถึงเลือกที่จะตัดมันทิ้งซะ เราไม่พูดไม่คุยไม่สนใจว่าพวกมันจะทำอะไร... เราอาจจะดูงี่เง้านะ... แต่เราก็มีทางออกและมีเหตุผลของเรา
เราอยากจะบอกว่าการที่เราต้องตัดใครสักคนออกจากความเป็นเพื่อนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา เพราะเราเป็นคนที่รักเพื่อนมา...ก แล้วยิ่งเป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมา เราเรียนด้วยกัน... เที่ยวเล่นด้วยกัน.... เราผ่านทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายๆมาด้วยกัน เคยยิ้ม... หัวเราะ... ร้องไห้ มาด้วยกัน แต่มาวันนี้วันที่เราต้องตัดพวกมันออกไปมันเป็นเรื่องที่ยากมากแต่เราก็ต้องทำ เราร้องไห้ทุกวัน... ที่เราต้องเสียเพื่อนที่สนิทไปทั้งกลุ่ม.... แต่ในเมื่อแก้วมันร้าวแล้วยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้
ส่วนภีมก็พยายามที่จะเข้ามาคุยกับเราเหมือนกัน แต่เราก็ไม่สนใจ ภีมโทรมาหาเราเราก็ไม่รับ ถึงแม้ว่าเราอยากจะรับใจจะขาดแต่เราก็ต้องยอมบังคับใจตัวเอง...
ภีมจะรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่ภีมโทรมาหาเรา... มันทำให้เราเสียน้ำตามากขนาดไหน...
*******************************************************************************************************************
ในตอนเช้าของทุกวันหลังจากที่เรามาถึงรร. เราก็จะเอาเป้ไปเก็บที่ห้องแล้วเราก็จะลงไปที่โรงอาหารหรือเดินเล่นในรร. ซึ่งป๊อบก็จะอยู่กับเราตลอดในช่วงเช้าก่อนที่จะเข้าเรียน เรากะป๊อบจะไปกินข้าวด้วยกันทั้งตอนเช้าและตอนพักกลางวัน ส่วนตอนเย็นป๊อบก็จะอยู่กับเราตลอดเหมือนกัน ทำให้เรามีเวลาอยู่กับป๊อบมากขึ้นได้เรียนรู้และได้รู้จักป๊อบมากขึ้น ถือว่ายังโชคดีนะที่ในตอนนั้นเรายังมีป๊อบอยู่เพราะป๊อบจะคอยดูแลและคอยให้กำลังใจเราตลอด
เย็นวันหนึ่งหลังจากเลิกเรียน เนื่องจากวันนั้นป๊อบเลิกเรียนก่อนป๊อบก็เลยมานั่งรอเราที่หน้าห้อง
“ อ้าวป๊อบ...... ทำไมวันนี้เลิกเรียนเร็วจัง ” เราถามป๊อบซึ่งนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องเรา
“ ก็พออาจารย์แกให้เลิกเร็วอ่ะ..” ป๊อบตอบ
“ อืม.....”
“ ปอ.... วันนี้ไปดูหนังกันนะ...” ป๊อบชวนเรา
“ เออ.... ก็ดีเหมือนกัน...”
เรากะป๊อบก็เดินออกจากหน้าห้องซึ่งเราสังเกตได้ว่าเพื่อนๆกลุ่มที่เราเคยคบมองมาทางเราตลอดเลยโดยเฉพาะภีมที่มองมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักแต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วเรากะป๊อบก็เดินสวนกะเจมส์ที่ตรงบันได
“ จะไปไหนกันเนี่ย.....” เจมส์ถามเรากะป๊อบ
“ จะไปดูหนังกันหนะ ” เราตอบแล้วก็ยิ้มให้เจมส์
“อืม..... ป๊อบ ยังไงก็ดูแลปอดีๆนะ...” เจมส์พูดกับป๊อบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ อืม... มันแน่นอนอยู่แล้ว ” ป๊อบก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
แล้วเจมส์ก็หันมายิ้มกับเราแล้วเจมส์ก็เดินไป หลังจากที่เราออกมาจากกลุ่มเจมส์ก็โทรมาหาเราตลอดคอยเป็นห่วงคอยถามว่าเราเป็นไงบ้าง รวมถึงถามเรื่องป๊อบด้วยซึ่งเราก็เล่าให้เจมส์ฟังในทุกๆเรื่อง เจมส์กูดูท่าทางจะเชื่อใจป๊อบมากแถมยังยุให้เราคบกะป๊อบด้วย แต่ก็นะ.... ไม่รู้สิ...
เรากะป๊อบเลือกดูหนังผีเรื่องนึง.... จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว ตลอดที่ดูหนังป๊อบก็จะเนียนทำเป็นกลัวผีหรือกลัวจริงๆก็ไม่รู้ เพราะป๊อบจะเขยิบมานั่งใกล้ๆเราตลอด บางทีก็จับมือเราบ้าง แต่เราก็ไม่ถือหรอกนะ แฮ่ๆ.....
พอดูหนังเสร็จเราก็ไปกินซเว่นเซ่นกัน.... แล้วป๊อบก็ขับรถมาส่งเราที่หน้ารร. เพราะเราต้องมาเอารถแล้วก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านเหมือนทุกๆที แต่วันนี้สิตอนที่อยู่บนรถป๊อบก็จะเลือกเปิดแต่เพลงหวานๆเพลงรักๆ พอมาถึงที่หน้ารร. เราก็หันมาพูดกับป๊อบว่า...
“ขอบคุณนะ... เราไปแล้ว” เราก็กำลังจะเปิดประตูรถออกแต่ป๊อบก็เอามือมาจับแขนเราไว้แล้วพูดว่า
“ อย่าเพิ่งดิ... ป๊อบมีเรื่องจะคุยด้วย ” เราก็เลยปิดประตูรถแล้วหันมาถามป๊อบว่า
“ มีไรเหรอ...”
“ ปอ.... ปอคบกับป๊อบได้มั้ย???” ป๊อบพูดไม่ดังมากแต่เราก็ได้ยินเต็มสองหูเลย..... ตอนนั้นเราทำไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี เพราะเราก็ยอมรับว่าในเราก็ยังมีภีมอยู่ แต่ตลอดช่วงที่เราออกมาจากกลุ่มป๊อบก็คอยดูแลคอยอยู่กับเราตลอด ซึ่งเราก็ยอมรับว่าเราก็รู้สึกดีกับป๊อบมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี ป๊อบคงเห็นว่าเราเงียบไปนานก็เลยพูดว่า
“ ถ้าปอจะปฏิเสธ... ป๊อบก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เพราะปออาจจะไม่ได้ชอบป๊อบ” ป๊อบพูดเสียงเนือยๆ
“ ไม่ใช่.... ไม่ใช่แบบนั้น ” เราโพล่งออกมาทันที เพราะใจจริงเราก็รู้สึกชอบป๊อบขึ้นมาบ้างแล้ว เราเห็นป๊อบยิ้มขึ้นมาทันทีเลยหลังจากเราโพล่งไปแบบนั้น
“ งั้นตกลงว่าไงอ่ะ ” ป๊อบถามเรายิ้มๆ
“ ก็ไม่รู้ดิ... ขอคิดดูก่อนได้มั้ยอ่ะ ” เราตอบไปเขินๆ เพราะถ้าจะให้บอกว่าตกลงต่อหน้าป๊อบเลย เราก็เขินอ่ะ
“ จะนานมั้ยอ่ะ... แต่ป๊อบว่าไม่ต้องคิดหรอก จะคบก็คบกันเลยเนี่ย... คิดไปก็เสียเวลาป่าวๆ นะ..นะ...นะ..” ป๊อบพูดคาดคั้นเราไปยิ้มไปแถมอ้อเราอีก ซึ่งดูท่าทางป๊อบจะดูสนุกมากที่แกล้งเรา
“ อย่าเร่งดิ...” เราตอบไปแบบอายๆ
“ นะ... คบกันเลยเนี่ย... ไม่ต้องคิดแล้ว... เสียเวลาสวีทกันป่าวๆ ” ป๊อบพูดมาได้ไม่อาย แต่คนฟังหนะ... อาย
เราก็เลย..... ก็เลย..... ก็เลย...... ตอบว่า
“ เออ... คบกันก็ได้..” เท่านั้นแหละ... ป๊อบโน้มตัวมากอดเราแล้วก็ห้อมแก้มเราสลับกันไปซ้ายขวาๆ ไม่ยอมหยุด จนเราต้องบอก ถึงจะยอมหยุด
จากนั้นเราก็แยกกันกลับบ้าน.....
นี่เราตกลงคบกะป๊อบแล้วเหรอเนี่ย....... นึกไปก็ยิ้มไป..
เอาว้ะ..... ลองเปิดใจตัวเองอีกสักครั้งก็แล้วกัน.....
######################################################################################################
จบอีกตอน.... เฮ้ออเหนื่อย
ง่วงเหมือนกันแฮะ... แต่ช่างมันเหอะ นอนแค่สองชั่วโมงก็ปวดหัวอยู่ดี ไว้นอนทีเดียวตอนบ่ายดีกว่า
ตอนนี้ยาวหน่อยนะ... ช่วงท้ายๆเราเอาเรื่องแฮปปี้ๆมาต่อให้ด้วย เศร้ากันมาหลายตอนแล้ว
ไปแล้วๆ รีบๆ งานเปิดตัวละครเวทีรออยู่
แล้วเจอกันใหม่ตอนน้า....