(ต่อ)
กริ๊งงงงงงงงงงง~!เสียงโทรศัพท์นรกที่ดังขึ้นมาทำเอาผมที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนดูรายการเพลงเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งตกใจด้วยความไม่เคยชิน หันไปมองยังที่มาของเสียงก็ให้ต้องขมวดคิ้ว มันดังด้วยเสียงแบบนี้ครั้งแรกคือเมื่อวาน วันนี้เป็นครั้งที่สอง..และคนที่โทรมามีแนวโน้มสูงมากว่าจะเป็นคนเดียวกัน..
เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก็เห็นว่าเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว..
นี่ผมเพิ่งจะกลับมาจากดินเนอร์รวมญาติที่บ้านของ อาเซซ หรือ อาเซซีล(ก็บ้านของแบรี่นั่นแหล่ะ) แถวๆ ฝั่งธนฯ ..เพลีย แต่ยังไม่ง่วง พออาบน้ำเสร็จก็เลยเดินออกมาเปิดทีวีดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ส่วนซอลลี่เพิ่งเดินสวนผมเข้าห้องน้ำไปเมื่อกี๊ คาดว่าคงจะใช้เวลาอยู่ในนั้นอีกประมาณชาติเศษๆ
ทางด้านซินเซียร์คนซ่าส์..นอนหลับประหนึ่งตายห่าไปเรียบร้อยแล้ว จริงๆ มันก็สลบเหมือดตั้งแต่มุดหัวเข้ามาในรถได้แล้วล่ะ แต่ก็น่าอยู่หรอก ไม่รู้วันนี้มันโดนทั้งแม่ทั้งอาจับกรอกไปกี่แก้ว เพราะพลั้งปากพูดเรื่อง ‘สะใภ้ของแม่’ ให้ได้ยินนั่นแหล่ะ คนอื่นๆ เลยพากันหูผึ่งตาใสสนใจขึ้นมา(โดยเฉพาะมาดามริต้าและ มาดามเซซ) ก็นะ.. ใครๆ ก็อยากรู้ว่าสาวแบบไหนจะมัดใจพ่อปลาไหลบ้าโฟโมสต์ อย่างซินได้ แต่พอซักกันจริงๆ ซินมันดันปิดปากเงียบขึ้นมาซะเฉยๆ ก็เลยถูกคู่หู มาดามโหดจับกรอกเหล้าหวังให้คายความลับซะอย่างนั้น
สรุปแล้วมันก็ไม่ได้คายหรอก แต่อ้วกออกมาเลยเหอะ!
จะบอกให้ว่าไม่ใช่แค่หน้าหรอกที่อาเซซเหมือนป๊ะป๋า ยิ่งนิสัยใจคอ คำพูดคำจา รวมถึงความซาดิสต์นี่ราวกับคัดลอกสำเนาถูกต้องกันมาเลยทีเดียว ก็ไม่รู้ว่า อาฌอน(พ่อของแบรี่) โชคดีหรือโชคร้ายที่ได้อาเซซไปเป็นแม่ของลูก ฮะฮะ
แต่พอเมาเข้าจริงซินมันลืมเรื่องลูกสะใภ้ของแม่ไปเสียสนิท ไม่คิดจะพูดออกมาสักแอะ เอาแต่พูดว่าไอ้กายอย่างนั้น ไอ้กายอย่างนี้ จนสองมาดามเริ่มเซ็ง เล็งเห็นแล้วว่าเปลืองเหล้าไปเปล่าๆ ปรี้ๆ สุดท้ายก็เลยหมดความสนใจในตัวมัน แล้วหันไปหาของเล่นชิ้นใหม่แทน(..ขอบอกว่าเวลาสองคนนี้แท็กทีมกันแล้วอันตรายชะมัดเลย)
..ดูเหมือนจะไม่มีใครเอะใจในคำพูดของคนเมา แต่ผมพอจะรู้เลาๆ แล้วล่ะว่าลูกสะใภ้เบอร์สองของแม่มันน่าจะเป็นใคร? เหอๆ
พูดถึง(ว่าที่)ลูกสะใภ้หมายเลขสองไปแล้ว จะไม่ให้พูดถึงลูกสะใภ้หมายเลขหนึ่งก็กระไรอยู่ ขอเล่าถึงมันนิดนึงแล้วกัน เผื่อใครอยากรู้(จะมีไหม?)
วันนี้ซอลลี่พายูริไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับครอบครัวของคุณอา จริงๆ ทุกคนก็พอจะรู้อยู่แล้วแหล่ะว่าหลานสะใภ้คนนี้เป็นใคร? เพศไหน? ก็เลยพอจะทำใจกันเอาไว้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เคยเจอหนังหน้าแบบตัวเป็นๆ พอได้เจอก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ..โดยเฉพาะอาเซซ รู้สึกว่าแม่จะไปคุยโม้เอาไว้เยอะถึงความเป็นพ่อศรีเรือนและเสน่ห์ปลายจวักของลูกสะใภ้คนโปรด ไอ้ยูก็เลยถูกยัดเยียดให้เป็นพ่อครัวใหญ่โชว์ฝีมือการทำอาหารไทยเลี้ยงทุกคนโดยไม่ถามความสมัครใจ ก็อร่อยอิ่มหนำสำราญกันไป ยี่ห้อ ‘ยูริ’ ล่ะไว้ใจได้อยู่แล้ว(..รู้สึกว่ามันจะเก่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่ลอนดอนอีกนะ)
ทางผมเองก็โดนซักฟอกไปหลายดอกเหมือนกัน อย่างที่คุณคงจะจำที่ มิรันด้าพูดได้..ทั้งแม่ทั้งอาเซซเห็นตอนที่ผมอยู่ในร้านสุกี้กับเอี้ยฟ้าเมื่อวานนี้ ก็...ได้แต่ตอบอ้อมแอ้มๆ ไป ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเดินหน้าเต็มกำลัง ก็แค่ ‘ดูๆ กันไปก่อน’ ..ซึ่งมันก็จริง ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าความรักครั้งนี้มันจะเดินไปในทิศทางไหน? รู้แค่ว่าตอนนี้แฮปปี้ดี แต่ไม่รู้หรอกว่าตอนต่อไปหรือไกลจนถึงตอนสุดท้ายมันจะกลายเป็นแซดเอนดิ้งหรือเปล่า?
อันนี้คงบอกไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องอาศัยเวลา.. ที่สำคัญคือเรามีอะไรที่ต้องศึกษากันอีกเยอะเลยล่ะ โดยเฉพาะไอ้เอี้ยฟ้าน่ะ ต่อให้จับมันมาผ่าพิสูจน์ลงลึกไปถึงระดับเซลล์ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เข้าใจมันมากขึ้นหรือเปล่าเหอะ
ส่วนมิรันด้า.. เธอมางานนี้เหมือนกัน ดูหงอยลงไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้ดูเศร้าเสียใจเหมือนเมื่อวานแล้ว ผมรู้ว่าเธอพยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติ เธอคงไม่อยากจะทำตัวให้เป็นปัญหาให้ผมและแม่ต้องลำบากใจ แต่ก็ยังเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับผมโดยตรงอยู่ ซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ..เรื่องนี้ก็อีกแหล่ะ คงต้องให้เวลาเป็นตัวช่วย
“เมื่อไหร่จะรับโทรศัพท์ซักที พี่หนวกหูจะแย่แล้ว ..หนวกหูจะแย่แล้ว!” เสียงหงุดหงิดของซอลลี่ช่วยดึงให้สติของผมกลับสู่ปัจจุบัน
หันไปมองก็เห็นคนพูดยืนตัวเปียกแก้ผ้าหน้าหงิกงอ แถมบนหัวยังล้างแชมพูออกไม่หมดด้วยซ้ำ ..เอิ่ม ก็เข้าใจนะว่าเสียงแปดหลอดของโทรศัพท์บ้านี่มันหนวกหูน่ารำคาญ เพราะผมเองก็คิดงั้น แต่ลงทุนถึงขนาดออกจากห้องน้ำทั้งที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จนี่มัน...คงจะรำคาญโคตรๆ เลยสินะ คุณพี่?
แล้วเวลาที่ซอลลี่หงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี หมอนี่มักจะชอบพูดจาซ้ำซ้อนเหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำแบบนี้แหล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม?
“เออ ก็จะรับอยู่นี่ไง รีบๆ กลับเข้าห้องน้ำไปซะไป มายืนโชว์เปรตอยู่ได้ หน้าไม่อาย” ผมเดินไปคว้าโทรศัพท์พลางไล่อีกคนกลับไปจัดการตัวเอง ..ถึงจะรู้ว่าคำสุดท้ายนั่นไม่เคยได้รับการบัญญัติไว้ในพจนานุกรมฉบับซอลฟาก็เหอะ
“จะให้ดีก็เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าใหม่ซะด้วยนะ ได้ยินแล้วปวดประสาท” พี่ชายผู้เรื่องมากที่สุดในสามโลกบ่นทิ้งท้ายก่อนจะหายกลับเข้าห้องไป
เออ.. จะว่าไปแล้วใครมันมือบอนตั้งค่าเอาไว้แบบนี้วะ? งงมากนะเรื่องนี้ เพราะเมื่อวานถามเอาจากซินแล้วก็ได้ความว่าเจ้าตัวแทบไม่เคยแตะต้องโทรศัพท์เครื่องนี้เลยตั้งแต่ซื้อคอนโดมาก็ว่าได้ แล้วมันใครกันวะ? จะว่าผีบ้านผีคอนโดก็ดูจะงมงายเกินไป อืม..
“ครับ..” ขณะที่คิ้วยังขมวดยุ่งอยู่ผมก็กรอกเสียงลงไปตามสาย
“ซันนี่” ทางนั้นโต้ตอบกลับมาทันที ..นี่ถ้าอีเมย์บีเดาหวยที่จะออกถูกเหมือนที่ผมเดาว่าใครโทรมามันก็คงจะรวยเละไปแล้วนะเนี่ย เหอะๆ
“ว่าไง?”
“รับโทรศัพท์ช้ามาก” ..แน่ะ มีบ่นๆ
“จะโทรมาเพราะพูดเรื่องนี้รึไง?” ผมตอบกลับไปรวนๆ
“เปล่า.. คิดถึงน่ะ”
“..........” ก็นะ.. มึงนี่ตรงเกินไม้บรรทัดไปหรือเปล่าวะ ฟ้าประทาน?
แต่จะว่าไปแล้วมันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะที่ได้ยินอะไรแบบนี้บ้าง ฮ่ะๆๆ
“อยากได้กลิ่นมึงจัง..”
เห๊...?
“วันนี้ยังไม่ได้กลิ่นมึงเลย”
เอิ่ม.. นี่มึงติดใจแค่กลิ่นของกูอย่างเดียวเลยใช่มะ? คนปรกติเขาต้องพูดว่าคิดถึง อยากเห็นหน้า หรือไม่ก็อยากได้ยินเสียงอะไรเทือกๆ นี้ไม่ใช่หรือไง? มันมีที่ไหนมาบอกว่าอยากได้กลิ่นกันเนี่ย? ให้ดิ้นตาย!
แล้วทำไมดันใจเต้นแรงกับคำพูดแปลกๆ ของคนประหลาดๆ ไปได้วะ ซันชายน์ หนักนะเนี่ยมึง หนักนะ..
“อยากจะมาดมมั้ยล่ะ?” ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น ไม่ผีห่าก็ซาตานล่ะมั้ง ..แง่ม เขินเหมือนกันนะเนี่ย คบคนบ้าก็ชักจะบ้าตามแล้วแฮะกู
“อยาก”
อ้ะ ไอ้นี่ก็ตอบแบบไม่คิดเลย ฮ่ะๆๆ พอกันๆ
“..แต่ไปไม่ได้”
“หือ ทำไมล่ะ?” คำบอกเล่านั้นทำเอาผมใจกระตุก หรือมันจะเป็นอะไร? ไม่สบายหรือเปล่า? ผม...ห่วง?
“คุณพิณไม่ให้ออกไป บอกว่ามันดึกแล้ว ..รอให้เช้าก่อน”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินว่ามันไม่ได้เป็นอะไร
‘คุณพิณ’ ที่ว่านี่คือ..น้า..ของมันสินะ อืมๆ
“พรุ่งนี้จะไปดมแต่เช้าเลย” เสียงเนิบๆ ที่ดังมาตามสายให้ความรู้สึกเหมือนมันอยู่ใกล้จนจั๊กจี้รูหูยังไงชอบกล
“ไอ้บ้า..” ผมหัวเราะกับความตั้งใจเพี้ยนๆ ของคู่สนทนา
“จริงๆ นะ ..ให้ไปรึเปล่า?” มันยังอุตส่าห์
“ถ้ากูบอกว่า ‘ไม่’ มึงก็จะไม่มารึไง?” ลองแหย่มันดูหน่อย
“..........” มันเงียบไปเหมือนลังเล จนคนที่รอฟังอยู่อย่างผมหลุดหัวเราะออกมาอีก
“เอาเหอะ ..อยากมาก็มา” พอพูดไปก็แอบได้ยินเสียงระบายลมหายใจเบาๆ แล้วจู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยโพล่งถามออกไป “ว่าแต่มึงรู้เบอร์บ้านกูได้ไงเนี่ย?”
“ก็..” มันอึกอักในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “กูลองเอาเครื่องนั้นโทรเข้ามือถือกูน่ะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมเริ่มกระบวนการซักเต็มรูปแบบ
“นานละ” มันตอบเลี่ยงๆ
“แล้วมึงยุ่งกับค่าเดิมที่เคยเซ็ทเอาไว้ด้วยใช่มั้ย?” ผมว่าผมรู้ชื่อคนมือบอนแล้วนะ
“ก็กูเห็นว่าเสียงเดิมมันเบาไป เกิดใครโทรมากลัวพวกมึงจะไม่ได้ยิน”
“เสือกจริง” ผมชื่นชมจากใจ
“ไม่เป็นไร” มันดันตอบกลับเหมือนคนโดนชมซะนี่ บ๊ะ! แล้วผมจะไปต่อยังไงดีล่ะ?
!!.. จู่ๆ ก็นึกเรื่องเมื่อวานขึ้นมา แล้วภาพเดิมๆ ย้อนกลับมา ความรู้สึกผิดก็ย้อนกลับมา แต่ความสงสัยมีมากกว่า ก็เลยโพล่งถามออกไป “..เออ แล้วทำไมเมื่อวานจู่ๆ ถึงโทรมาล่ะ?”
“...........” ทางนั้นเงียบไป
“...เอี้ยฟ้า?”
“...........” ไม่มีเสียงตอบรับ
“ฟ้า ยังอยู่มั้ย?”
“..กูเผลอหลับ แล้วฝันไปน่ะ” ในที่สุดมันก็ยอมตอบ
“ฝัน?” ผมทวนคำ ฝันเนี่ยนะ? ฝันตื่นแล้วมึงก็เลยโทรมาหากูเนี่ยนะ? มึงอายุเท่าไหร่ห๊ะเอี้ยฟ้า? “ว่า..”
“มึงกำลังจะนอกใจ..”
มึงฝันตรงไปไหมอ่ะ? เป็นคนมีของหรือเปล่าวะ?
“มึงพูดจริงอ่ะ?”
“จริง”
“แล้ว..” ผมกำลังจะถามว่ามันฝันเห็นผมอยู่กับใคร แต่มันดันชิงพูดก่อน
“..อ่า คุณพิณบอกว่าถึงเวลานอนแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปหา ฝันดี..” แล้วมันก็ตัดสายไปเฉยเลย
“ฟ้า?”
ตู๊ดๆๆๆๆๆ
เฮ้ย! เดี๋ยวดิวะแมร่ง!
เลยไม่ได้รู้เลยว่ามันฝันเห็นผมนอกใจอยู่กับใคร? ถ้าใช่มิรันด้าล่ะก็..ผมว่าจะขอหวยไปฝากอีเมย์สักสามตัวตรงๆ แม่นจริงอะไรจริง หึยยยย..
TBC. 
ช่วงนี้โลกร้อนมาก สมองไม่ค่อยยอมสั่งการ ได้แต่นั่งทำตาขวาง หางตก น้ำลายฟูมปากไปวันๆ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ก็ไปอ่านกันซะนะจ๊ะ จะได้รักแฝดหลงแฝดเป็นเพื่อนกัน อิอิ
พี่สะใภ้

(ยูริ - นายแบบ)สามีของพี่สะใภ้

(อังเดร - นายแบบ)