(ต่อ)
“..ทำหน้าเครียดอย่างกับประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา” ไอ้คนที่เพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมาเอ่ยแซวผมซึ่งกำลังนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ก็..ไม่รู้สิ เมื่อกี๊ผมเพิ่งกลับจากไปส่งมิรันด้าที่โรงแรมที่เธอพักมา ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับคำสารภาพความในใจของเด็กคนนั้น รู้แต่ว่ามันใจหายยังไงชอบกลที่เป็นสาเหตุทำให้เธอต้องร้องไห้.. เห็นเธอหน้าเศร้าๆ แล้วผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ผมไม่ได้อยากจะเห็นน้ำตาของมิรันด้าเลยจริงๆ เฮ้อ..
“ขอโทษนะ” สุดท้ายก็พูดได้แค่นั้น
เมื่อก่อนนี้ก็เอาแต่ว่าซินว่าเป็นตัวบาปหนา เป็นผู้ชายบาปหนาที่ชอบทำให้ผู้หญิงร้องไห้บ่อยๆ เพิ่งจะมารู้ตัวเอาวันนี้เองว่าผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากฝาแฝดของตัวเองสักเท่าไหร่..
ก็เหมาะสมแล้วที่เรามีทุกอย่างเหมือนกัน แม้กระทั่งรหัสพันธุกรรม..
“กี่เดือนแล้วล่ะ? ..หลานคนแรกพี่อยากให้เป็นผู้หญิงนะ”
เตียงที่ยวบลงทำให้ผมต้องเหลือบไปมองข้างตัว ซอลลี่ในชุดคลุมอาบน้ำกำลังนั่งเช็ดผมเปียกๆ ของตัวเองด้วยสีหน้าท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่ได้มีความห่วงใยหรือเห็นอกเห็นใจอะไรน้องชายแม้แต่นิดเดียว
ซอลลี่กลับมาตอนที่ผมกำลังจะออกไปส่งมิรันด้าพอดี โชคดีที่มีคนพามา เลยยังไม่ได้หลงไปไหน(..แอบเสียใจนิดนึง) ก็หวานใจพี่แกน่ะแหล่ะ ไว้มีโอกาสจะแนะนำให้รู้จักแล้วกัน วันนี้ไม่อยากพูดถึงใครมาก ..เพลีย
“ไม่ตลก” ผมตอบกลับคำแซวเมื่อครู่ อีกฝ่ายเพียงยักไหล่ไม่ใส่ใจ ผมเลยบ่นต่อเซ็งๆ “เจอนางยักษ์ด้วย”
จริงๆ นะ ..ตอนที่บอกลาตรีสวัสดิ์กับคนที่ไปส่งเรียบร้อยแล้ว ผมก็กำลังจะเดินกลับ ประตูห้องข้างๆ ดันเปิดผัวะออกมาแบบไม่มีสัญญาณเตือนภัย พร้อมกับมีมือปริศนายื่นมาคว้าคอผม แล้วลากเข้าไปในห้องด้วยความเร็วแสง
ทีแรกก็ตกใจแทบแย่ แต่ที่แท้ก็...อ้าว แม่กูเอง
แต่จะผิดไปนิดหน่อยก็ตรงที่ ‘มาดามริต้า’ ที่แสนคุ้นตา ได้แปลงร่างกลับเป็น ‘นางยักษ์ริต้า’ ที่เมื่อก่อนชอบมาปรากฏตัวให้ผมกับซินสมัยยังเป็นแฝดน้อย(โคตรซน)ได้เห็นอยู่บ่อยๆ ..นางกำลังยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าถมึงทึงไม่สบอารมณ์ใครสักคนอยู่(ก็คงไม่แคล้วเผ็นผมหรอก) ทั้งที่ก็ไม่ได้เจอแม่เวอร์ชั่นนี้มานานแล้ว ทั้งที่ผมตอนนี้ก็โตจนบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจถึงยังได้เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง?
แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่า ‘ฝังใจ’ ?
อยากจะบอกว่านาทีนั้นคิดถึงซินสุดๆ เมื่อก่อนเวลาเล่นซนจนเกินขอบเขตทีไร เราก็มักจะต้องมาเผชิญชะตากรรมกับนางยักษ์ริต้าผู้นี้ทุกที ตอนนั้นเรายังมีกันสองคน..ผมกับซิน ยืนกอดกัน ร้องไห้จ้าน้ำตาอาบแก้ม แขนขาสั่นพรึ่บ พรั่บเพราะความกลัว(แบบเด็กๆ) ..ไม่ใช่อะไร กลัวโดนจับหักคอจิ้มน้ำพริกอย่างที่โดนขู่บ่อยๆ
ย้อนไปคิดถึงตอนนั้นก็ทั้งขำทั้งสยอง ผมกับซินนี่กลัวแม่เวลาโกรธจริงๆ นะ ตอนนั้นรู้สึกว่าแม่ดุมาก ดุเกินมนุษย์ จนเห็นเป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นปีศาจ แต่ถ้าลองมองในมุมกลับ บางทีแม่เองก็คงจะรู้สึกว่าพวกผมมันซนเกินเด็กมนุษย์ เป็นเด็กเปรต เด็กผี เด็กปีศาจเหมือนกันล่ะมั้ง คงจะเหนื่อยกับพวกผมน่าดู ขนาดเผาห้องนอนเพราะมีแมลงสาบเล็ดลอดเข้าไปเพียงตัวเดียวแฝดก็ทำมาแล้วนะเออ
..ก็ฝาแฝดเกลียดมันอ่ะ หน้าตาแม่งไม่โดนใจอย่างแรง กลิ่นก็แย่โคตรๆ แถมไม่อร่อยอีกต่างหาก(หือ?) จะจับก็ไม่กล้า จะไล่ก็กลัวมันวิ่งเข้าใส่ ลงทุนไปขอร้องอ้อนวอนซอลลี่ผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งมีชีวิตอื่นใดในโลกหล้าให้มาช่วย หมอนั่นก็ไม่แม้แต่จะชายตาแลพวกเรา ยังคงนอนอ่านนิตสารแฟชั่นอย่างสบายใจ เมื่อไม่อาจทำอะไรไอ้แมลงสาบนรกนั่นได้ แฝดก็เลยตัดสินใจปิดประตูขัง(กันมันหนี) แล้วจุดไฟเผารังแมร่งซะเลย วะฮ่าๆๆ (กูคิดได้ไงวะ? ..แต่ฝาแฝดไม่เคยยอมแพ้ใคร ยิ่งเป็นแค่กระจั๊วะตัวเดียวก็ยิ่งยอมไม่ด๊ายยย)
สรุปว่าวันนั้นแมลงสาบไม่ตายหรอกพี่น้อง เพราะมันหนีออกไปได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าแฝดนี่แหล่ะที่เกือบตาย เพราะสำลักควัน ถ้าป๊ะป๋าไม่เข้าไปช่วยทัน ป่านนี้คงได้ไปเป็นเทวดาบนสวรรค์กันทั้งพี่ทั้งน้องแล้ว เหอๆ ..รู้สึกตอนนั้นจะ 4 หรือ 5 ขวบเองมั้ง? ไม่ค่อยแน่ใจ
อย่าให้ต้องเล่าถึงวีรกรรมวีรเวรที่ฝาแฝดเคยร่วมสร้างสรรค์กันมามากกว่านี้เลย เดี๋ยวพวกคุณทุกคนจะพากันไปเห็นใจนางยักษ์มากกว่าพวกเรา ฮ่ะๆๆ
แต่คราวนี้ผมต้องมาเผชิญชะตากรรมแต่เพียงลำพัง ไร้เงาหัวคู่ทุก์คู่ยากอย่างซินเซียร์.. ก็ไม่รู้ว่าจะโดนจับหักคอจิ้มน้ำพริกกินหรือเปล่า? หึยยย..
“คุณตะวันฉาย..” คำแรกถูกเอื้อนเอื่อยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง สวนทางกับเปลวไฟบรรลัยกันที่กำลังลุกโชนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินอมเทาของคุณมารดา
เวลาแม่โมโหก็มักจะเรียกพวกเราด้วยชื่อจริงแบบนี้ล่ะ และแน่นอนว่าไม่เคยมีใครเรียกชื่อจริงของผมได้ฟังดูสยดสยองเท่าแม่อีกแล้วด้วย
“อันที่จริงแม่เองก็ไม่อยากจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกนักหรอกนะ ลูกจะรักจะชอบใครแม่ไม่เคยคิดจะไปก้าวก่ายเลยซักครั้ง ตลอดมาก็แม่ให้อิสระเต็มที่กับการเลือก และเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ ถ้าลูกรักใครแม่ก็ตั้งใจว่าจะรักด้วย แต่คราวนี้มันเกินไปรึเปล่า? ห๊ะ! ทำเกินไปมั้ย ซันนี่?! ...ไม่! แม่ไม่ได้หมายถึงน้องฟ้า เราไม่ได้กำลังพูดเรื่องนั้น ถ้าลูกจะคบกับน้องฟ้าแม่ก็ยอมรับได้ แม่ก็ไม่เคยกะเกณฑ์นี่ว่าลูกจะต้องคบกับผู้หญิงเท่านั้น ไม่ได้ขีดเส้นซักหน่อยว่าลูกจะต้องแต่งงานนะ ต้องมีหลานให้แม่อุ้มนะ ..เพราะส่วนตัวแม่เองก็เบื่อเด็กเต็มทน แม่เป็นนางแบบ ไม่ใช่นางงาม ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์อยู่แล้ว แต่ที่แม่โมโหและไม่พอใจมากๆ ก็คือ..ทำไมลูกต้องไปยุ่งกับมิรันด้า? ไปยุ่งทั้งที่ไม่ได้คิดจะรักจะชอบ? ลูกทำไปทำไม? แม่ไม่เข้าใจ ไม่คิดสงสารน้องมั่งเหรอ? เห็นกันมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่? ยิ่งแม่ยิ่งเห็นมาตั้งแต่เด็กนั่นยังเป็นแค่ภาพอัลตร้าซาวด์ จนคิดว่าเป็นลูกสาวของแม่อีกคน แล้วดูลูกทำกับน้องสิ? แบบนี้จะไม่ให้แม่โมโหได้ยังไง? ฮึ่ย! ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์เสีย! ...นี่แม่จะบอกกับกวินเน็ธยังไงว่าลูกชายคนเล็กสุดที่รักของแม่เองที่เป็นคนทำให้ลูกสาวคนเดียวของเธอต้องร้องไห้?” ปิดท้ายประโยคด้วยการตบหัวผมอีกสองทีซ้อนแบบไม่คิดจะออมแรง
“พระเจ้าเหอะ! เจ้าบ้าเซ็นเลี้ยงลูกยังไงถึงได้เป็นคนมักง่ายขนาดนี้นะ?” “..ซันขอโทษ” และผมก็พูดได้แค่นั้น รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ป๊ะป๋าพลอยโดนหางเลขไปด้วย
แม่ยืนหายใจหอบพลางจ้องหน้าผมอย่างไม่หายเคือง ก่อนจะพยายามปรับอารมณ์ให้กลับสู่โหมดปกติ(หลังจากระเบิดพลังขั้นสุดยอดไปแล้ว) แล้วโบกไม้โบกมือ
“ช่างเถอะๆ แค่แม่ได้พูดก็สบายใจขึ้นเยอะ ลืมมันไปซะเถอะ ที่รัก” “ขับรถกลับคอนโดดีๆ ล่ะ ยังไงแม่ก็รักลูกนะ ซันนี่ ..ฝากจุ๊บราตรีสวัสดิ์ซอลลี่กับซินเซียร์ด้วย” ว่าแล้วก็จุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวารวมทั้งหน้าผากและริมฝีปากของผมเป็นการสั่งลา..
“โดนตบหัวด้วย ..เจ็บชะมัด” ผมนอนบ่นไปเรื่อยเปื่อย ..ไม่ใช่ว่าโกรธแม่หรอกนะ แล้วก็คิดว่าตัวเองสมควรโดนด้วย ..แค่อารมณ์มันอยากจะบ่นให้ใครสักคนฟังเฉยๆ น่ะ
“หือ?” หยดน้ำที่หล่นใส่หน้าทำให้ผมต้องเหลือบตาขึ้นไปมองอีกคนที่นั่งชะโงกหน้าอยู่เหนือผม
“ทำไมไม่เช็ดให้แห้ง?” ผมถามเอื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจคำตอบ ก่อนจะดึงผ้าขนหนูบนคอซอลลี่มาเช็ดผมให้เอง ทางนั้นเลยถือโอกาสปีนขึ้นมาบนตัวผมซะเลย พอดีกับนึกถึงคำสั่งลาของมาดามริต้าได้ เลยใช้โอกาสนั้นจับหัวซอลลี่ลงมาจุ๊บหน้าผากเสียทีหนึ่ง เห็นทางนั้นเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมเลยบอกไปว่า “ของฝากจากแม่”
“ซอลลี่~ ซันแย่ใช่มั้ยที่ทำแบบนั้นกับมิรันด้าอ่ะ?” นึกไงไม่รู้ จู่ๆ ก็ถามคนที่กำลังยุ่มย่ามอยู่บนตัวผมไปแบบนั้น ..คงจะอยากอ้อนใครสักคนล่ะมั้ง
ซอลลี่เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้ “ใช่”
“จะไม่ปลอบกันเลยใช่มั้ย?” ผมเบะปาก พูดตรงไปแล้วเว้ย ไอ้พี่บ้า!
“พูดว่า ‘มันช่วยไม่ได้’..หรืออะไรทำนองนั้นก็ยังดี”
ก็นะ.. เวลาที่รู้สึกแย่ๆ มันก็ต้องนึกอยากให้มีคนมาพูดปลอบใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ปกติแล้วคนที่ควรจะอยู่ข้างผมในเวลาแบบนี้ต้องเป็นซิน แต่ตอนนี้ไม่รู้เจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหน ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่กลับบ้านกลับช่องอีก สงสัยว่ามันจะตัดใจจากไอ้กาย(เพราะไม่กล้าจีบ) แล้วกลับไปลั้ลลากับบรรดากิ๊กสาวๆ ซะแล้วล่ะมั้ง
แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ซอลลี่คงพอแก้ขัดได้..
“คำพูดไม่จริงใจ นายจะอยากได้ไปทำไมกัน?” อีกฝ่ายถามกลับ แล้วก้มหน้าลงไปหมกมุ่นกับร่างกายของผมต่อ
“พี่ก็ช่วยจริงใจหน่อยสิ.. ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์น่ะ ไม่มีเลยรึไง?”
“นายก็รู้ว่าพี่ไม่รู้จักของแบบนั้น”
นี่แหล่ะ! คุณแสงเหนือ เฮย์เดน ตัวจริงเสียงจริง.. ผู้ไม่มีทั้งเลือด ไม่มีทั้งน้ำตา ภายในตัวของหมอนี่คงจะกลวงเป็นโพรงไม่ต่างจากตุ๊กตาเซรามิกหรอก ผมว่านะ ..หมอนี่มันดูดีก็แค่ข้างนอกเท่านั้นล่ะ!
“เฮ้! จะซุกจะไซร้ก็ไม่ว่าหรอก แต่อย่าเอาหนอนของพี่มาเบียดจะได้มั้ย?” ผมทุบหลังของร่างข้างบนอย่างไม่พอใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างหยุ่นๆ นิ่มๆ แถวต้นขาด้านใน ..คือผมใส่กางเกงนอนที่เป็นผ้านิ่มๆ บางๆ น่ะ ก็เลยรู้สึกได้ค่อนข้างชัดเจน ส่วนซอลลี่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียว แถมยังมัดผ้าผูกเอวเอาไว้แค่หลวมๆ ด้วย ...ไม่สิ ผมว่าตอนนี้สายรัดเอวมันคงหลุดไปแล้วล่ะ ไม่งั้นขาผมคงจะไม่รู้สึกถึงซอลลี่น้อยชัดขนาดนี้
จะบอกว่าปกติหมอนี่ชอบแก้ผ้านอนอยู่แล้ว พออาบน้ำเสร็จก็เลยไม่ต้องแต่งตัว เขาบอกว่ามันดีต่อการทำงานของเซลล์ผิวในเวลากลางคืน ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าที่พูดมามันเป็นเรื่องจริง..หรือแค่ข้ออ้างให้ตัวเองได้แก้ผ้าอย่างสมเหตุสมผลกันแน่? แต่ที่แน่ๆ คือมันได้กลายเป็นสันดานปกติของเขาไปแล้วล่ะ
แล้วไอ้เรื่องที่ชอบมานัวเนียน้องชายอย่างผมนี่ก็เรื่องปกติอีกเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กละ เมื่อก่อนซินเองก็โดน จนมันแทบจะกลายเป็นเหมือนการละเล่นอย่างหนึ่งในหมู่พี่น้อง(เฮย์เดน)ไปแล้ว
จะว่าไปแล้วที่เห็นผมกับซินชอบเล่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัวนี่ก็เพราะติดนิสัยมาจากซอลลี่แหล่ะ ชวนเล่นของเล่นหรือเกมส์อะไรซอลลี่ไม่เคยสนใจจะชายตาแลฝาแฝดเลยนะ ต่างคนต่างอยู่สุดๆ แต่ถ้าชวนเล่นแบบนี้ล่ะก็..พี่แกไม่มีพลาดล่ะ(แต่เราก็ไม่เคยชวนหรอก ส่วนใหญ่มันมาของมันเอง)
แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นซินมันก็ไม่ยอมเล่นด้วยอีก(ยกเว้นกับผม) ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังถูกถีบกระเด็น ซอลลี่เองก็คงพอรู้ตัวแหล่ะ เลยเบนเป้าหมายทั้งหมดมาที่ผมคนเดียว ..ซวยไปไอ้ซัน
“ถ้านายไม่ชอบที่มันเป็นหนอน ก็รีบทำให้มันเป็นมังกรซะสิ” ไอ้พี่บ้านั่นเลื่อนตัวขึ้นมากระซิบข้างหู ก่อนจะแลบลิ้นเลียเข้าไปข้างในให้ผมได้ขนลุกเล่น
“ไม่ใช่คู่ขาพี่นะ ลงไปเลย ลงไป! ซันจะนอนแล้ว” ผมดันหน้าอีกฝ่ายออก เออ! ดันตัวมันออกไปด้วย แล้วจึงพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้อย่างตัดรำคาญ
“ไม่อยากให้พี่ชายปลอบใจแล้วเหรอ?” แต่คนถูกไล่กลับหัวเราะชอบใจ แถมยังมีหน้ามาล้อกันอีก
“ไปห่างๆ เลย ไอ้โรคจิต! อย่าให้ต้องลงไม้ลงมือ”
ใช่! ซอลลี่มันเป็นโรคจิต และไม่ใช่แค่โรคจิตชนิดหนึ่งด้วยนะ หมอนี่มันเป็นหลายชนิดเลยล่ะ เป็นโรคจิตแบบรวมมิตรน่ะ รวมอยู่ในตัวมันคนเดียวแหล่ะ อย่าได้คิดไว้ใจเชียว เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน
“ช่างเป็นเด็กที่หยาบคายจริงๆ” ได้ยินเสียงอีกคนหัวเราะเบาๆ ขณะลุกเดินไปปิดไฟ ..แปะ!
แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด..
“ฝันดี น้องชาย”
“ฝันดี ซอลลี่”
เฮ้อ~ หวังว่าวันพรุ่งนี้จะเป็น ‘ซันชายน์ เดย์’ บ้างนะ..
TBC. 