
ยิ่งเขียนยิ่งเครียด
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 56
พี่อิงกับพี่บุ้งมองหน้ากันคงสงสัยว่าผมจะเปิดปากพูดเองเหรอ เพราะผมไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับใครมานานแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองอยากจะพูดมากกว่า บางทีการที่ผมอึดอัดกับเรื่องพี่ต่ายมาเป็นเวลานานมันก็ต้องการ การปลดปล่อยเหมือนกัน เรื่องมันก็ไม่นานจนผมจะจำไม่ได้นี่ ก็แค่เท่าอายุน้องมะขามเอง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เช้านี้ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องพี่ต่าย พี่ต่ายหันหน้ามาพอดีกำลังติดกระดุมเสื้อจะผูกไทด์ไปทำงาน ผมก็เลยเสนอตัวเป็นผู้ช่วย พี่ต่ายเอามือมาโอบรอบเอวผม แล้วเราก็เลยดูเหมือนยืนกอดกันโดยปริยาย พี่ต่ายก็ยืนมองหน้าผมอยู่ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าผมเขินนะเว้ย

5555 เขินซะจนเกือบลืมเรื่องที่จะมาบอกพี่ต่ายไปแล้ว
“พี่ต่ายครับวันนี้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลนะ จะไปดูหน้าทายาทคนแรกของตระกูลหน่อย”
ลูกของพี่อิงกับพี่กู้งพี่สะใภ้ผมเองครับ คลอดไปเมื่อวานนี้เอง ยังไงผมก็ลอยตัวแล้วครับมีทายาทแล้ว วันนี้ก็เลยกะจะไปเยี่ยมซะหน่อย
“วันนี้ผมมีเรียนตอนบ่าย เสร็จแล้วว่าจะชวนบุ้งกับติงไปด้วยกันน่ะพี่”พี่ต่ายก็ฟังผมเฉยๆไม่ได้พูดอะไรครับยิ้มๆอย่างเดียว
“พี่ต่ายซื้ออะไรรับขวัญหลานดีล่ะ”ผมเองพูดไปก็ผูกไทด์ให้พี่ต่ายไปด้วย พอผูกเสร็จพี่ต่ายก็เอาตัวผมเข้าไปกอดซะแน่น
“พี่ต่ายเดี๋ยวเสื้อยับนะ พี่จะไปทำงานแล้วด้วย”พี่ต่ายส่ายหน้าแล้วก็ไม่ปล่อย แถมมาหอมแก้มผมอีก
“ยับได้ก็รีดได้ แต่ตอนนี้ขอกอดแฟนหน่อยเดี๋ยวต้องไปทำงานก็ไม่ได้เห็นหน้าคิดถึงแย่”
“ไม่เบื่อบ้างรึไงพี่ หึหึหึ” ผมนะชอบครับทำเป็นฟอร์มบ่นๆไปอย่างนั้นเอง แต่ที่จริงขออีกชอบบบบ
“ไม่เบื่อหรอก อยากจะขอกอดไปตลอดชีวิตเลยนะ”

พี่ต่ายหอมแก้มผมอีกที ผมก็ยังเขินอยู่ดี ไม่รู้จะเขินไปทำไม เพราะคบกันมาเกือบ 2 ปีล่ะ ถ้ามีลูกได้อาจจะโตจนจะวิ่งเล่นได้แล้วมั๊ง เสียดายไข่ผมไม่ยอมตกซักที ฮ่าๆๆๆ พี่ต่ายก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากผม ผมเลยต้องสรุปเรื่องของขวัญก่อน
“พี่ยังไม่แนะนำผมเลยเอาไรดีน่ะพี่ให้หลาน”
ผมก็ยังลังเลว่าเราให้รวมกันจะดูแปลกๆไม๊ หรือว่าต้องแยกกันให้ จนถึงตอนนี้ที่บ้านก็ยังไม่รู้เรื่องผมกับพี่ต่าย
“เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง....ให้ทีหลังก็ได้นี่อิงจะกลับวันไหน”
“ไม่แน่ใจเลยพี่ อย่างน้อยก็น่าจะต้องมาพักอยู่ที่บ้านอาทิตย์นึงมั๊งกว่าพี่กุ้งจะกลับไปที่นู่นได้”
พี่อิงก็ยังไม่ได้พูดอะไรแน่นอนว่าจะอยู่กี่วันกัน แต่ที่แน่ๆช่วงนี้คงต้องแยกห้องนอนกันอยู่ซักพักล่ะครับ เดี๋ยวก่อนไปมหาลัยผมก็คงต้องจัดการเรื่องข้าวของที่มันปะปนอยู่ให้เรียบร้อย พี่ต่ายคว้ากุญแจรถเตรียมจะลงไปข้างล่างละ อีกมือก็เอามือผมไปกุมไว้ เราเดินลงไปข้างล่างพร้อมๆกัน
“พี่ต่าย...อีกไม่กี่เดือนโอมจะเรียนจบแล้วนะจะทำยังไงดีล่ะ”
“ทำอะไรยังไง...พี่ไม่เข้าใจ”พี่ต่ายจับมือผมแน่น มองหน้าผมแล้วทำขมวดคิ้วสงสัย

“ผมไม่แน่ใจว่าแม่จะให้กลับบ้านไปช่วยไม๊นะซิ เพราะผู้สอบผมก็สอบได้แล้ว เรียนโทก็จะจบแล้ว”
ผมเผลอดึงแขนพี่ต่ายมากอดแน่น ลืมไปหมดที่ตัวเองพูดว่าเสื้อพี่ต่ายจะยับ ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะต้องมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปหลังจากผมเรียนจบ
“ให้พี่คิดดูก่อนนะ....”พี่ต่ายหันหน้ามาแล้วถามผม
“แต่โอมเองก็โตขึ้นแล้วนะลองคิดดูก่อนว่าจะเอายังไง.....พี่รับได้หมดกับทุกการตัดสินใจของโอม”
ผมไม่ชอบคำพูดแบบนี้เลย มันดูดีหรือไม่ดีน่ะพูดไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะผมเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน
ผมไปเปิดประตูให้พี่ต่ายโบกมือให้ ตอนที่พี่ต่ายขับรถออกไป เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยซักคำ หลังจากนั้นผมก็ไปเรียนตามปรกติ พอเรียนเสร็จก็ชวนบุ้งกับติงไปโรงพยาบาลไปเยี่ยมหลาน
“น้องน่ารักจังเลยตัวแดงเชียว เห็นแล้วอยากมีลูกเนอะโอม”
ติงหันมาถามความเห็นผม ผมเกือบเผลอพยักหน้าไปแล้ว แต่พอนึกขึ้นมาได้กลับรู้สึกอายติงขึ้นมาจนได้ แต่คนที่หน้าแดงกลับเป็นติง แล้วพูดต่อเหมือนรำพึงกับตัวเอง
“ถ้าเป็นลูกโอมจะหน้าตาเป็นแบบไหนน่ะ”
“ติงอย่าพูดแบบนั้นก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้”
แล้วติงก็พูดต่อ“อยากมีลูกกับโอมน่ะ” :sad5:ผมว่าผมตกใจกับหน้าตาเฉยๆของติงตอนที่พูดมากกว่า เลยแกล้งทำเป็นเล่นต่อไปด้วยเลย
“งั้นเรามาแต่งงานกันซิติง”
“โอมขอรึเปล่าล่ะ...ถ้าโอมขอติงก็แต่งนะ” ติงหันกลับมามองหน้าผมอย่างจริงจัง :m17:เราสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ แต่ผมกลับเป็นคนเบือนหน้าหนีไปก่อน
“เฮ้ยจะบร้าเหรอ...คุยอะไรกันสองคนนี้”บุ้งก็คงฟังมาตั้งแต่ต้นน่ะครับแต่คงฟังจนทนฟังไม่ได้เลยต้องขัดขึ้นมา
“บุ้งก็จริงจังไปได้ติงแค่พูดเล่นๆเอง....ยังไม่ชินอีกเหรอฮึ”ติงเอามือไปตีผลัวะที่ไหล่บุ้ง
“ไม่รู้ห้ามๆๆๆ พูดเล่นอะไรแบบนี้เราไม่ชอบ” บุ้งขมวดคิ้วยืนกอดอกทำหน้างอ

บุ้งก็ยังคงเป็นบุ้งครับ ตอนนี้คงอนุญาตให้ผู้ชายคนเดียวใกล้กับผมได้คือพี่ต่าย ตอนที่เรียนโทด้วยกันบุ้งก็กันผู้ชายที่เข้ามาหาเราทั้งกันให้ผมกันให้ติงด้วย
ส่วนตัวเองเหรอครับยังเอาตัวเองไม่รอดจากคุณเอที่มีมานะพยายามในการจีบบุ้งมาตลอด จนผมร่ำๆจะยกบุ้งไปให้กับคุณเอเป็นรางวัลแห่งความพยายาม แต่ติดที่ว่าของรางวัลมันไม่ยอมน่ะซิครับ คุณเอทำยังไงบุ้งมานก็ไม่รัก แต่ก็คบเป็นเพื่อนเที่ยวกันได้อย่างเดียวเท่านั้น
พวกเราสามคนดูหลานเสร็จก็เข้าไปหาพี่อิงที่ห้อง พี่อิงกำลังจะออกไปพอดี
“อ้าวพี่อิงไปไหน...”
“เค้าลืมเอาที่ชาจแบ็ตมาน่ะโอม กำลังจะออกไปโทรสาธารณะพอดี ตัวเองเอาโทรศัพท์มาให้ยืมหน่อยดิจะคุยเรื่องงาน แล้วจะโทรบอกแม่ด้วยเรื่องว่าต้องอยู่ทางนี้กี่วัน กุ้งเดี๋ยวเค้าไปดูลูกหน่อยนึงดีกว่าจะไปถามพยาบาลด้วยว่าออกได้วันไหน เดี๋ยวมานะ”
“อ่ะเอาไปดิ....แต่ของเค้าแบ็ตก็เกือบหมดเหมือนกันนะ”
ผมก็ส่งโทรศัพท์ให้ไปไม่ได้คิดอะไร แล้วก็หันมาฟังติงคุยกะพี่กุ้งเรื่องคลอดลูก ซักพักพี่อิงก็เดินออกไปโทรข้างนอกเพราะพวกเราเสียงดังมาก
ผมว่านานเป็นชั่วโมงนะครับกว่าพี่อิงจะกลับมาจนติงกับบุ้งจะลากลับล่ะ ส่วนผมกะว่าจะรอกลับพร้อมพี่ต่าย เพราะยังไงวันนี้พี่อิงก็ต้องนอนเฝ้าพี่กุ้งอยู่ดี พี่อิงคืนโทรศัพท์ให้ผม ผมเอามาดูโหยใช้จนแบ็ตเกือบหมดน่ะเหลือขีดเดียวเอง โทรศัพท์ยังร้อนอยู่เลย ถ้าเงินค่าโทรศัพท์ผมหมดเร็วต้องเก็บตังค์กับพี่อิงแล้ว
“อ่ะโอม...โทรศัพท์ เมื่อกี้ต่ายโทรมาน่ะว่ามาโรงพยาบาลไม่ได้ติดงานด่วนให้ตัวเองกลับบ้านเอง” พอฟังแบบนี้กำลังจะทวงค่าโทรจากพี่อิงก็ลืมไปเลยครับมาโวยอีกเรื่องแทน

“อ้าวพี่ต่ายทำไมทำงี้ล่ะ เดี๋ยวโทรไปโวยหน่อยยังงี้เค้าก็ต้องนั่งรถเมล์กลับเองดิเซ็งอ่ะ”
“เห็นเค้าว่าจะเข้าประชุมน่ะ...โอมกลับบ้านไปก่อนไปไม่ต้องอยู่หรอก”
ผมว่าพี่อิงดูเครียดๆไปนะครับ เวลาแกยิ้มให้เมียก็ดูหน้าตาเหนื่อยๆสงสัยจะกังวลเรื่องงานเพราะต้องทิ้งมาหลายวัน บุ้งมานก็เลยชวนกลับพร้อมกันเลยครับ
“โอมงั้นเดี๋ยวกรูไปกับมรึงเองยังไงก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว งั้นติงกลับพร้อมกันเลยเนอะ”
แล้วเราก็แยกย้ายกันไปครับ พอถึงบ้านเพิ่งจะ 5 โมงกว่า ผมก็เลยนั่งดูทีวีรอพี่ต่าย กะว่าให้พี่ต่ายซื้อของกินเข้ามาเลยดีกว่า ผมก็โทรไปหาพี่ต่ายนานเลยครับกว่าจะรับสาย
“ว่าไงครับโอม”
เสียงพี่ต่ายดูเหนื่อยมากเลยครับ แต่เสียงเงียบมากๆ หรือว่าประชุมอยู่ก็ไม่รู้
“พี่ต่ายซื้อส้มตำมาให้ด้วยนะอยากกินน่ะพี่เอาแซ่บๆนะ ไก่ย่างด้วย”
ผมก็สั่งขอกินไปหลายอย่างนะครับพี่ต่ายก็พูดแต่ครับๆๆๆๆ แล้วผมก็วางหูไป
ผมขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมานอนเล่นที่โซฟารอพี่ต่ายแล้วก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีเงียบมากๆไฟมืดไปหมด ผมก็ลุกขึ้นมานั่งงัวเงียพักนึงจนสายตาชินกับความมืด ทีแรกผมตกใจตัวเย็นวาบก็เงาตะคุ่มๆอยู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

พี่ต่ายมานั่งที่โซฟาเงียบๆไม่พูดอะไรไอ้ผมก็นึกว่าผีนะซิ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย พอเห็นชัดๆว่าเป็นใคร ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ต่ายชอบเล่นแบบนี้อีกล่ะ กลับมาแล้วทำไมไม่ปลุกมานั่งมืดๆ กลัวน่ะเนี่ยพี่กระต่าย เกิดผมหัวใจวายไปจะรีบไปหาแฟนใหม่ล่ะซิ บอกก่อนนะผมไม่ตายไม่ยกให้ใครด้วย”
ผมลุกขึ้นเดินผ่านหน้าพี่ต่ายจะไปเปิดไฟ แต่พี่ต่ายดึงมือผมให้นั่งลงที่ตัก พี่ต่ายกอดผมแน่น ยังเงียบอยู่ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนพี่ต่ายเครียดๆนะผมว่า
“พี่ต่ายเป็นอะไร เหนื่อยเหรอพี่”

ผมเอามือขึ้นคล้องคอพี่ต่ายไว้แล้วเอามือไปบีบที่หัวไหล่พี่ต่ายมันตึงมากๆเลยครับ พี่ต่ายก็ยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมยังไม่พูดอะไรอีก
“ติดใจล่ะซิ เจอนวดแล้วเงียบเชียวนะพี่ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ชอบ วันหลังโอมไปเรียนนวดที่วัดโพธิ์ดีกว่า เอาไว้บริการแฟนตอนทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ดีไม๊พี่”
ผมก็พูดไปเรื่อยล่ะครับ ถ้าแฟนเราพูดน้อยเราก็ต้องพูดมากขึ้น ไม่งั้นต่างคนต่างไม่พูดก็ไปบวชกันดีกว่าอึดอัดตายเลย แต่วันนี้ผมว่าพี่ต่ายต้องเครียดเอามากๆเลย พูดน้อยมากกก
ผมอ้าปากจะชวนคุยต่อ แต่พี่ต่ายก็เอาปากมาปิดปากผมไว้ สัมผัสอ้อยอิ่งเนิ่นนานแต่อบอุ่นอ่อนหวานมากที่สุดในความรู้สึกของผม มันอ้อยสร้อย โหยหา เรียกร้อง แล้วบางทีก็เร่าร้อน สัมผัสครั้งนี้นานจนผมจะขาดใจ พี่ต่ายประคองหน้าผมไว้ขณะที่จูบผม เมื่อพี่ต่ายผละออกมาผมยังใจหวิวๆอยู่เลย แล้วพี่ต่ายก็ซบหน้าลงบนบ่าผม เสียงแผ่วเบาของพี่ต่ายดังแว่วเข้ามาในหูผม
“โอม.....พี่ขอบคุณนะ อุตส่าห์จะไปเรียนนวดให้พี่ แต่ไม่ต้องหรอกพี่ไม่อยากให้โอมต้องไปโดนเนื้อต้องตัวใครพี่หวง” ยังจะมาหวงอีกครับ
“พี่ต่ายล่ะก็ ผมก็พูดไปงั้นแหล่ะพี่ ยังไม่มีเวลาเลย หึหึหึ ไม่ไปเรียนก็นวดได้น่า”
แล้วผมก็นวดไหล่ให้พี่ต่ายไปเงียบๆ ไม่รู้ว่าผมอุปทานไปรึเปล่าว่าพี่ต่ายผ่อนคลายมากขึ้นแต่ก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี นวดจนเมื่อยมือน่ะครับ
“พี่ต่ายผมหิวแล้วไปกินข้าวกันนะ”
ผมกำลังจะลุกขึ้น แต่มือของพี่ต่ายที่เอว รั้งตัวผมเอาไว้ พี่ต่ายยังไม่เงยหน้าจากไหล่ผม เสียงของพี่ต่ายดูเหนื่อยจริงๆ
“เดี๋ยวได้ไม๊วันนี้พี่เหนื่อยมากๆ ขอกอดโอมอีกซักนาทีนะ”
เรานั่งกอดกันเงียบๆอยู่นานทีเดียวครับผมว่ากว่านาทีแน่ๆ แต่ผมก็มีความสุขดี ตลอดเวลาที่คบกันเราอยู่ด้วยกันก็จริงแต่ช่วงหลังงานพี่ต่ายค่อนข้างยุ่ง บางทีผมก็ต้องทำรายงานดึกๆไม่ค่อยมีเวลามาทำซึ้งกันบ่อยเหมือนแต่ก่อน
“ไปโอมไปทานข้าวกัน”
ไม่นานพี่ต่ายก็ปล่อยตัวผมแล้วจูงมือไปที่โต๊ะอาหาร ผมเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมีจุดเทียนด้วยแต่อาหารเป็นไก่ย่างส้มตำ พี่ต่ายตลกดีครับ ซึ้งแบบอีสานรึไงไม่รู้ ผมเลยหันไปหาพี่ต่ายแล้วบอกว่า
“พี่ต่ายรู้ปะว่ามันแปลกๆ ให้เข้ากันนะพี่ผมว่ามีบั้งไฟดีกว่า มันถึงจะเข้ากับส้มตำ5555”

พี่ต่ายแค่ยิ้มๆแล้วส่ายหัวครับ วันนี้ไม่ค่อยทานเอาแต่มองหน้าผมเป็นส่วนใหญ่
แต่ตอนนี้ผมหิวมากก็เลยทานอย่างเดียวเลยครับไม่สนใจอะไร แปลกมากๆกินส้มตำกี่ครั้งก็ยังชอบ บางทีเผ็ดจนน้ำตาไหล เวลาเข้าห้องน้ำทรมานช่วงล่างมากที่สุด แต่พอถึงเวลาก็อดที่จะชอบกินไม่ได้ ผมมานึกๆส้มตำก็เหมือนกับความรักน่ะครับบางทีก็ทำให้เราถูกใจกินไปยิ้มไป แต่บางครั้งก็ทำเราน้ำตาไหลกินไปร้องไห้ไป แต่สุดท้ายเราก็ขาดมันไม่ได้ต้องกลับมากินซ้ำไปซ้ำมาไม่มีเบื่อ
“พี่ต่ายขอค่าสึกหรอด้วยนะ”ผมเงยหน้ามองพี่ต่ายยิ้มๆ

“ค่าสึกหรออะไรโอม”พี่ต่ายก็ยังมองผมอยู่ดี เลิกคิ้วสงสัย
“ก็เนี่ยเห็นมองผมตั้งนาน จนถ้ามันวัดค่าออกมาได้ผมว่าผมได้ตังค์หลายแสนแล้วนะค่าตัวผมคิดเป็นวินาทีนะพี่ 555”

“เท่าไหร่พี่ก็จ่ายของมองหน่อยนะ”
เสียงพี่ต่ายเศร้ามากๆเลยครับ แววตาก็ไม่สดใสเหมือนเคย เป็นอะไรไปหว่า หรือโดนพี่คมลวนลามมาเลยจิตตก พี่คมแกก็อดทนครับยังทำตัวเป็นหมาป่าคอยจะงาบลูกแกะอย่างพี่ต่ายเรื่อย นานๆทีผมก็ต้องออกไปแสดงตัวซักที แกก็ถอยไปพักนึงแล้วเอาใหม่อีกล่ะ
“พี่ต่ายงานเยอะลาออกดีกว่าพี่ แฟนคนเดียวโอมเลี้ยงได้เรารับจ๊อบ audit กันนะ”พี่ต่ายหัวเราะกิ๊กเลยครับ
“ไม่ต้องมาเลี้ยงพี่ พี่จะเก็บเงินไว้เลี้ยงโอมเองเจ้าเด็กขี้งอน”
พี่ต่ายพูดแค่นี้ครับแล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดเรื่องอะไรกันจริงๆจังๆอีก ทานข้าวเสร็จแปรงฟันผมก็เข้านอนไปก่อนตามปรกติ พี่ต่ายอาบน้ำเสร็จก็ตามเข้ามานอนในห้องผม
พี่ต่ายเข้ามากอดผมค่อยๆถอดเสื้อผมออก ผมก็พอรู้น่ะครับว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่วันนี้อารมณ์ดีเพิ่งจะได้หลานเลยแซวพี่ต่ายไปว่า
“พี่ต่ายจะหาน้องให้ไปเป็นเพื่อนเล่นลูกพี่อิงหรือพี่ ได้เลยพี่7วันก่อนมีเมนส์พอดีช่วงไข่ตกมาเลยพี่” ผมยักคิ้วให้พี่ต่ายด้วย หุหุ แรดซะไม่มี

มือพี่ต่ายที่กำลังจะดึงกางเกงผมลงหยุดเลยครับ

แล้วแกก็เปล่งเสียงหัวเราะเอาเป็นเอาตายเอามือกุมท้อง จนผมอดขำท่าทางพี่ต่ายไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้เราเลยนอนหัวเราะกันสองคน

แล้วพี่ต่ายก็หันมามองหน้าผม เอามือมาเขี่ยผมที่หน้าผากเบาๆ ค่อยๆเอามือลูบแก้มผม เอามือเท้าคางนอนตะแคงมองหน้าผม แล้วพูดค่อยๆว่า
“ถ้าพี่ไม่มีโอมแล้วพี่จะหัวเราะได้แบบนี้อีกไม๊น่ะ” ผมก็เลยพูดตามไปยิ้มๆ
“ถ้าผมไม่มีพี่ต่ายแล้วผมจะหัวเราะได้แบบนี้อีกไม๊น่ะ” :impress:พี่ต่ายไม่พูดอะไรครับแต่ดึงตัวผมเข้ามากอด นิ่งไปพักนึงแล้วถึงพูดว่า
“ต้องได้ซิโอมน่ะอารมณ์ดีจะตาย พี่ก็เห็นเรายิ้มได้ทุกที”
แล้วพี่ต่ายก็ลูบไล้หลังผมเลื่อนมือขึ้นมาจากลำตัวไล่ขึ้นไปที่คอ พี่ต่ายฝังจมูกลงที่ซอกคอผมแล้วเลื่อนมาที่แก้มสูดความหอมจากแก้มผมแล้วมาอ้อยอิ่งอีกครั้งที่ริมฝีปาก พี่ต่ายกัดริมฝีปากผมเบาๆผมเองก็สนองตอบไปด้วย เราจูบกันเนิ่นนานไม่แพ้เมื่อตอนเย็น ผมว่าเป็นจูบมาราธอนอย่างกับว่าเตรียมตัวจะไปเข้าแข่งขันลงกินเนสบุ๊ค
พอพี่ต่ายจะหยุดผมก็เริ่มต่อ พอผมจะหยุดพี่ต่ายก็ต่ออีกจนเราเหนื่อยไปด้วยกันทั้งคู่ แล้วพี่ต่ายก็หยิบเสื้อมาใส่ให้ผม ผมแอบงงนิดหน่อย

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรจนพี่ต่ายใส่เสื้อห่มผ้าให้ผมเสร็จ แล้วพี่ต่ายก็จูบผมเบาๆที่หน้าผากแล้วพูดว่า
“คืนนี้พี่ขอนอนกอดโอมอย่างเดียวดีกว่า ระหว่างเรามันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นซักหน่อย”
ผมเองพี่ไม่ทำผมก็ไม่ว่าครับจะให้ผมทำเองก็ออกจะไม่งาม 5555 อย่างที่พี่ต่ายบอกว่าระหว่างเรามันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น ผมก็เลยนอนหลับไปในอ้อมกอดพี่ต่ายอย่างสบายใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ต่ายลุกไปตอนไหน ขนาดว่าวันนี้ผมตื่นเช้าเพราะมีเรียนแต่เช้าก็ยังไม่ทันพี่ต่ายเลย สงสัยออกไปแต่เช้ามาก ผมก็รีบออกไปเรียนไม่ได้สนใจอะไร วันนี้ทั้งวันผมก็วุ่นวายเรื่องเตรียมสอบคอมพรีฯ ติวสอบกับเพื่อนจนบ่ายๆพี่อิงโทรมาหาผม
“โอมวันนี้พี่กลับที่ร้านนะ ไม่ต้องมาหาพี่ที่โรงพยาบาล”เสียงพี่อิงเหมือนคุยอยู่ในรถน่ะครับ คงกำลังขับรถกลับต่างจังหวัดอยู่
“อ้าวแล้วใครเฝ้าพี่กุ้งล่ะพี่ โอมไปเฝ้าให้ไม๊”ผมก็เอ๊ะพี่อิงทิ้งเมียไปได้ไงกัน ห่วงงานมากกว่าเมียอีกเหรอ
“ไม่ต้องเฝ้าหรอกกุ้งเค้าโอเค พรุ่งนี้จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ก็ได้งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่กุ้งออกจากโรงบาลเมื่อไหร่ พี่อิงโทรบอกเค้าแล้วกันเค้าจะได้ไปช่วยย้ายของ”
แล้วพี่อิงก็ถามแปลกๆครับ“โอมอยู่คนเดียวได้ใช่ไม๊”
ผมก็งง ก็พี่อิงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าพี่ต่ายอยู่ที่บ้าน
“อยู่ได้.....ก็พี่ต่ายก็อยู่ลืมแล้วเหรอตัวเอง”
“เอ่อลืมไป...แค่นี้นะโอมพรุ่งนี้เจอกัน”
แล้วพี่อิงก็วางสายไป ผมก็ติวต่อครับจนเย็นก็โทรหาพี่ต่ายจะถามว่าเย็นนี้จะให้ผมซื้ออะไรเข้าไปทานไม๊แต่ก็โทรไม่ติดครับ ไม่รู้ว่าแบ็ตหมดรึเปล่า ผมก็เลยโทรเบอร์ที่ทำงานก็ไม่มีคนรับ ผมเลยจนปัญญากลับบ้านไปก่อนแล้วไปหาซื้อเอาดาบหน้า
พอกลับไปถึงบ้านเงียบสนิท ดูบรรยากาศวิเวกวังเวงวิเหว๋โหว๋วยังไงไม่รู้ครับ ผมก็นั่งพักแป๊ปนึงพอหายเหนื่อยแล้วก็ต่อโทรศัพท์หาพี่ต่ายก็ยังไม่ติดอีก ผมก็เลยไปอาบน้ำก่อน กะว่าเดี๋ยวมารอกินข้าวพร้อมพี่ต่าย
รอไปจนสามทุ่ม รอไม่ไหวเลยโทรหาบุ้งโทรไปบ่นกับมัน
“บุ้งพี่ต่ายหายไปไหนไม่รู้ติดต่อไม่ได้อีกแล้วล่ะ ทำไงดีว่ะ”อย่างน้อยก็ดีกว่าบ่นอยู่คนเดียวไม่มีคนได้ยิน ยังไงบุ้งก็เป็นคนยังโต้ตอบได้
“กรูจะไปรู้ได้ไง พี่ต่ายไม่ใช่แฟนกรูนี่หว่า”อ๊ะไอ้นี่กวนผมแล้ว คนกำลังอารมณ์ไม่ดีนะ
“งั้นกรูวางสายล่ะ....ไม่ช่วยคิดยังมากวนตรีนอีกนะเมิง”

“โอ๋ๆๆๆๆ.....อ่ะคุยยยย มีแฟนแล้วยังมางอนกรูอีกนะไอ้โอม”ดูมันพูดครับ อิอิ แต่ก็จริงของมัน
“ก็มันหงุดหงิดนี่หว่า ทำไมพี่ต่ายไม่ติดต่อมาเลยล่ะ”

“แล้วกรูจะรู้ไม๊เนี่ย วันหลังมรึงเอาพี่ต่ายไปติดGprsเลยไป หายตัวไปไหนก็หาเจอ”
ผมล่ะอยากตื๊บมัน แต่ก็ขำที่มันพูด อยากจะบอกว่ากรูทำได้กรูทำไปแล้ว ชอบหายตัวประจำพี่ต่ายเนี่ย แต่ก็ยังดีที่กลับมาเองทุกครั้งผมไม่ต้องไปตาม หรือจะเลี้ยงหมาซักตัวเอาไว้ตามกลิ่นดี ก็กลัวจะเว่อร์เกินไป
“มรึงโทรไปหาพี่คมให้กรูหน่อยดิ แล้วเมิงคุยอ้อมๆสืบให้รู้ให้ได้ว่าพี่ต่ายไปไหนนะ ทำได้ไม๊”
ผมต้องหาผู้ช่วยแล้วครับเกือบ 4 ทุ่มแล้วพี่ต่ายยังเงียบหายอยู่เลย ช่วยไม่ได้นะเมิงอยากเกิดมาเป็นเพื่อนกรูเอง ฟ้าส่งผมมาเกิดแล้วส่งบุ้งมาเป็นผู้พิทักษ์ครับ หุหุหุ แต่ไอ้บุ้งมันโวยขึ้นมา มันก็ยังไม่อยากไปสืบให้ผมอยู่ดี
“กรูพูดไม่เป็นมรึงก็รู้พี่คมฉลาดชิบหาย กรูกลัวโดนจับได้” กรูรู้เค้าฉลาดมาก มรึงก็ซื่อมากกก
“เอางี้ดิ มรึงก็ทำเป็นโทรไปหางานทำกะพี่เค้า บอกว่ากำลังจะจบโทแล้วก็เฉไฉเลี้ยวไปหาพี่ต่ายไง แค่เนี้ยได้ไม๊ล่ะ”
ถ้าผมโทรไปเองก็เสียฟอร์มซิครับเป็นแฟนกันแต่ไม่รู้เรื่อง เพราะพี่คมก็ยังเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของผมอยู่ก็ต้องให้คนอื่นล่ะครับ แต่ก็หวั่นๆว่าบุ้งจะทำแผนแตก ก็มานซื่อขนาดนั้นผมเลยต้องเตรียมเรื่องไว้นิดนึง
“เออก็ได้...แล้วมีอะไรเป็นรางวัล” เราร้อนใจมันยังมีอารมณ์มามีลูกเล่นกะผมอีก ผมเลยบอกมันไปแบบนี้ล่ะครับ 555
“รางวัลน่ะเหรอกรูจะให้เมิงหอมพี่ต่ายทีนึง....หวงนะเว้ยไม่รักกันจริงไม่มีให้”

“ไอ้โอมกรูไม่เอา....เดี๋ยวจะได้ตรีนพี่ต่ายแถมมาเป็นโบนัสน่ะซิ” มันมาทำเสียงขยะแขยงครับ แฟนผมออกจะหล่อแก้มก็หอม ไม่เอาก็อย่าเอา
“มรึงรอกรูแล้วกันนะ จะพยายามเต็มความสามารถที่กรูมี”
ก็ไอ้ความสามารถที่มันมีนี่แหล่ะครับที่น่าเป็นห่วงที่สุด ผมไม่อยากจะบั่นทอนความเชื่อมั่นมัน พอวางสายเสร็จผมก็รอด้วยความกระวนกระวายใจ 10 นาทีก็แล้ว15 นาทีผ่านไป จน30นาทีครับ มันถึงโทรกลับมา
“ว่าไงบุ้ง...ว่าไงได้เรื่องเปล่า”
ผมละล่ำละลักถามมันไป เพราะสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันคุยกะพี่คมนานจัง ทีแรกบุ้งมันก็เงียบๆนะครับจนผมต้องถามมันซ้ำ
“อ้าวว่าไง...เงียบทำไมล่ะบุ้งได้เรื่องไม๊” พักนึงมันถึงเปิดปากออกมา
“กรูว่ามันไม่ได้เรื่องนะซิโอมมันจะเสียเรื่องแล้ว....มรึงไม่รู้เลยเหรอว่าพี่ต่ายลางานสองอาทิตย์ตั้งแต่วันนี้แล้ว”
พอบุ้งมันพูดเท่านั้นล่ะครับผมขาอ่อนต้องเอามือไปจับพนักเก้าอี้เอาไว้นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นพี่ต่ายเล่าอะไรเลย ได้ยินเสียงบุ้งมันเรียกแว่วๆ
“โอมๆฟังอยู่ไม๊......มรึงมีอะไรกันรึเปล่า...ให้กรูไปหาไม๊โอม”
เสียงบุ้งมันก็เป็นกังวลห่วงผม แต่ใจผมมันไม่รับรู้อะไร ตอนนี้มีแต่ความสงสัยเท่านั้นว่าเกิดอะไรกับพี่ต่าย ผมไม่รู้ว่าผมตอบบุ้งไปว่าอะไร เหมือนจะพูดไปว่า
“ไม่ต้องมาหา กรูไม่เป็นอะไรกรูจะรอพี่ต่ายเอง แค่นี้นะขอบใจนะเมิง เด๋วพี่ต่ายกลับมากรูให้หอมทีนึง”แล้วผมก็วางสายครับ
นั่งงอยู่พักใหญ่แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบนที่ห้องพี่ต่าย ปรกติพี่ต่ายก็ไม่ล็อคประตูอยู่แล้ว ผมก็เลยเปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย พอเปิดประตูไปเท่านั้น ผมก็ขาอ่อนไปอีกหนจนคราวนี้นั่งกองลงไปกับพื้น ในห้องไม่มีของพี่ต่ายเหลืออยู่เลยครับ เก็บทำความสะอาดเรียบร้อยเหมือนก่อนที่พี่ต่ายจะย้ายมาอยู่ไม่มีผิด
ผมขยี้ตาอีกครั้ง หยิกแก้มตัวเองหลายหน ว่าผมเมาไปรึเปล่า แล้วก็สงสัยว่าเมื่อกี้คุยโทรศัพท์มากไปรับคลื่นจากโทรศัพท์มากไปจนสมองเสื่อมรึเปล่า แต่ภาพที่ผมเห็นก็ยังคงเหมือนเดิม ผมบอกกับตัวเองอย่างงงๆด้วยเสียงที่สะท้อนอยู่ในใจของผมคนเดียวว่า
“พี่ต่ายไปแล้ว......”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วิ่ง

อีกรอบนึง ก่อนจะม้วนตัวหนีก้อนอิฐของคนอ่านที่เขวี้ยงมา