หมู่นี้สมองตันคิดอะไรไม่ค่อยออก
+++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 45
หลังจากนั้นผมก็ลืมเรื่องคุณคมไปแล้วพี่ต่ายเองก็ไม่ได้พูดถึงด้วย ผมก็เลยไม่ถามดีกว่าไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว เกิดถามไปแล้วทะเลาะกันขึ้นมาไม่คุ้มหรอกครับ จนวันศุกร์ผมกำลังจะออกจากบริษัทลูกค้ากำลังจะไปเรียนปส.กับติง พี่ต่ายโทรหาผม
“โอมวันนี้พี่คงกลับดึกนะ...พอดีลูกค้าชวนอยู่งานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทน่ะ”
“ทำไมเค้าจัดเร็วจังพี่ต่าย อีกตั้งนานกว่าจะปีใหม่”จัดก่อนตั้ง2 อาทิตย์นี่นะ
“มันเป็นประเพณีของเค้าไปแล้ว...พี่ก็ปฏิเสธเค้ามา 2 ปีแล้ว ปีนี้เลยไม่อยากขัดน่ะ”
“แต่พี่ต่ายอย่าดื่มเยอะนะ....เดี๋ยวขับรถไม่ได้” ห่วงแฟนครับห่วง.......
“งั้นโอมเรียนเสร็จมาหาพี่ไม๊...แล้วกลับด้วยกัน”
พี่ต่ายบอกสถานที่จัดงานกับผม มันก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ครับ ผมว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไปขับรถแทนพี่ต่าย
“ได้พี่......แล้วพอผมไปถึงจะโทรหานะครับ”
พอผมวางสาย ติงยื่นหน้ามามองผมครับ ผมเลยเพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าติงก็อยู่ตรงนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดปรกตินี่นา
“อะไรติง.....มีอะไรจ๊ะ”
“สงสัยนะซิ” ติงขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัยเต็มที่
“สงสัยอะราย” ผมเอานิ้วจิ้มหน้าผากติง หุหุ ติงน่าแกล้ง
“อื้อ...ไม่บอก...ขอเก็บข้อมูลก่อน” แล้วติงก็เดินออกไปเลยครับ
ผมว่าซักวันติงต้องรู้เรื่องผมกับพี่ต่ายแน่เลย แต่ก็ช่างเหอะผมไม่สนใจแล้ว ถ้าผมจะมาทางนี้ก็ต้องยอมรับถึงผลของมันให้ได้ แต่ขอเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน อยากรู้เหมือนกันถ้าติงรู้ว่าผมเป็นแฟนกับพี่ต่าย ติงจะรู้สึกยังไง แล้วกับผมติงจะเหมือนเดิมไม๊
ผมไม่หวังให้ใครมาเข้าใจผมเรื่องผมกับพี่ต่าย เพราะบางทีตัวเราก็ยังไม่พยายามเข้าใจคนอื่นเลย ผมขอเพียงแค่อย่าเกลียดที่ผมเป็นแบบนี้ อย่าเอาเรื่องนี้มาตัดสินทุกอย่างในตัวผมแค่นี้ก็พอ
ผมยังต้องเรียนปส.อีกไม่กี่อาทิตย์ก็สอบแล้วครับ พอเรียนจบก็ไม่ต้องตาเหลือกจากที่ทำงานมาเรียนตอนค่ำแล้ว จะได้มีเวลาอยู่กับพี่ต่ายมากหน่อย
ผมเลิกเรียนประมาณ 3 ทุ่ม แล้วเลยนั่งแท็กซี่ต่อไปหาพี่ต่ายที่โรงแรม ก็ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเพราะดึกแล้วรถเลยไม่ติดเท่าไหร่ พอถึงปุ๊ปผมก็พยายามโทรหาพี่ต่าย แต่ไม่มีคนรับสายเสียงอาจจะดังเกินไปก็ได้พี่ต่ายเลยไม่ได้ยิน ผมเลยไปถามที่ฟร้อนท์ว่าบริษัท.....จัดงานที่ห้องไหน
พอผมเปิดห้องที่จัดงานเลี้ยง บนเวทีมีการแสดงอยู่ คนเยอะมากเลยครับแต่ทุกคนแต่งแฟนซีแล้วใส่หน้ากาก ผมเลยมองไม่ออกว่าแต่ละคนหน้าตายังไง เนื่องจากบริษัทนี้พนักงานมีมากและคงมาจากหลายแผนกผมถามหาพี่ต่ายเค้าก็ไม่รู้จัก พอถามแผนกบัญชีนั่งตรงไหนก็ไม่มีใครรู้
ผมเดินวนเวียนอยู่เกือบสิบนาที จนชักเขิน เพราะผมแต่งตัวปรกติไม่เข้ากับงานเลย โทรหาพี่ต่ายก็ไม่รับ ก็เลยกะว่าหาที่นั่งก่อนก็ได้ว่ะ แต่ก็ลองยืนมองไปทั่วๆเผื่อจะเจอพี่ต่าย
สักพักนึงมีคนใจดีเห็นผมไม่มีหน้ากากเลยเอามาให้
“พี่ใส่เถอะ น่ารักดีนะ” ผู้หญิงคนที่เอามาให้บอกผมครับ เป็นหน้ากากที่มีแค่ครึ่งบนมีตากับจมูกแล้วก็หูเป็นรูปกระต่าย ผมเห็นแล้วก็ขำดีกะว่าจะเก็บไปให้พี่ต่าย
ผมจนปัญญาที่จะหาพี่ต่ายเลยเอาเหล้าที่เค้าเดินเสริฟมานั่งดื่ม หาโต๊ะที่พอมีที่ว่างนั่งไปเลย เริ่มสนุกไปกับงานด้วย ผมกลายเป็นแขกผสมดอยไปซะแล้ว
พอการแสดงบนเวทีจบพิธีกรก็ชวนให้คนเต้นรำกัน เปลี่ยนพื้นที่ว่างตรงด้านหน้าเวทีเป็นฟลอร์เต้นรำ พวกพนักงานก็ออกไปเต้นกันเต็มที่ คนที่นั่งที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ก็ลุกกันไปเกือบหมด
“คุณไปเต้นด้วยกันไม๊ครับสนุกๆ” เค้ามีน้ำใจชวนผมด้วยแต่ผมปฏิเสธไป
“ผมจะมองหาเพื่อนที่ให้มารับน่ะครับ” ตาผมก็สอดส่ายไปทั่ว แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าพี่ต่ายยังอยู่ในงาน เพราะถ้ากลับก่อนก็ต้องโทรบอกผมแล้ว
แล้วก็มีมือใครไม่รู้มาดึงผมออกไปที่ฟลอร์เต้นรำ ผมพยายามที่จะปฎิเสธ
“ไม่ดีกว่าครับ...ผมไม่ใช่พนักงานที่นี่ครับ”
แต่เค้าก็ไม่พูดอะไร แล้วโค้งให้ผมอีกหลายที ผมเลยเกรงใจแล้วก็อายคนอื่นด้วยเลยต้องตามเค้าไป ผู้ชายคนนี้ตัวสูงพอๆกับพี่ต่ายเลยครับ เค้าแต่งแฟนซีเป็นหนุ่มคาวบอยใส่หมวกคาวบอยด้วย แต่เพราะเค้าใส่หน้ากากผมเลยเห็นหน้าไม่ชัด รู้แต่ว่าจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวยาวเส้นคิ้วเรียงกันสวย ริมฝีปากบาง พี่เค้ายิ้มตลอดเวลา ทำให้ผมต้องส่งยิ้มตอบไปให้
แต่ที่สำคัญพี่เค้าเต้นสวยมากครับมันพลิ้วน่ะ
แค่ดูก็เพลินแล้ว บางช่วงเค้าเอาไหล่มาสีกับไหล่ผมด้วย เต้นไปพักนึงจนผมชักเขิน เพราะผมยังไม่รู้จักเค้าเลยแต่มาเต้นด้วยกัน อย่างกับรู้จักกันมาก่อน ผมเลยชวนเค้าคุย
“ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เลยครับ พี่ชื่ออะไรครับ ผมชื่อโอม”
แต่เสียงเพลงดังมากพี่เค้าทำท่าไม่ได้ยิน ผมเลยต้องป้องปากแล้วพูดใส่หูพี่คนนั้น
คราวนี้เค้าพยักหน้าครับแล้วก็จับไหล่ผมดึงตัวให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วป้องปากกระซิบที่หูผม ใกล้กันจนลมหายใจรดต้นคอเลยครับ ได้ยินเต็มๆเลยครับ
“พี่ชื่อคม อยู่แผนกบัญชีน้องมาจากไหน”
ให้มันได้อย่างนี้ซิ
ผมได้แต่คิดอุทานในใจ อยากจะเจอมานาน แล้วก็ได้มาเจอโดยไม่ทันตั้งตัว ผมจะทำยังไงดี ถามถึงพี่ต่ายแล้วตามตัวกลับกันเลยดีกว่า ทำไมศัตรูหัวใจผมมันเร้าใจแล้วก็เพอเฟ็กซ์ซะขนาดนี้ล่ะ ทำเอาใจเสีย
“ผมมาหาคุณวริศน่ะครับ พี่รู้ไม๊ครับอยู่ที่ไหน” หนีกลับดีกว่าวุ้ย ไม่รู้จะอยู่ทำไมแค่นี้ก็กินเหล้าเค้าฟรีไป 2 แก้วล่ะ
ผมต้องไปพูดที่หูพี่เค้าอีก เพราะเค้าได้ยินไม่ชัด แต่คุณคมยังไม่ทันตอบก็มีคนมาจับไหล่ผม ผมเลยหันไปดู คนนี้.....ถึงแม้จะแต่งตัวยังไงผมก็จำได้ครับ ยิ่งไม่แต่งตัวนี่ติดตาเลยจำได้หมด พี่ต่ายนั่นเอง
วันนี้พี่ต่ายก็แต่งแฟนซีมากับเค้าด้วย ทำตัวเนียนเสมือนเป็นพนักงานเค้าเลย ผมล่ะขวางตาจริงๆ คงจะสนิทกันมากเลยซิท่า พี่ต่ายแต่งเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอิตาลีครับ เสื้อยืดสีฟ้าสดใสรัดรูปกับกางเกงขาสั้นสีขาว ใส่รองเท้ากีฬา ถุงเท้ายาวถึงเข่า แบบนั้นเลยล่ะ หน้าเป็นสีชมพูนิดหน่อยครับคงกินเหล้ามาบ้าง แต่ใส่หน้ากากด้วย พอเห็นพี่ต่ายใส่เสื้อแบบนี้ผมยิ่งหวงไม่อยากให้ใครเห็น พี่เค้าน่ารักมากเลยครับเสื้อมันพอดีตัวจนเห็นร่างกายที่สมบูรณ์ไปด้วยมัดกล้ามของพี่ต่าย
พี่ต่ายจูงมือผมออกมาที่โต๊ะด้านข้าง คงเป็นที่นั่งพี่ต่าย คุณคมเดินตามออกมาด้วย แล้วเราสามคนก็นั่งลงคุยกัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอย่างนี้เรียกคุยหรือเปล่า
“ไม่ใส่ชุดว่ายน้ำไปเลยล่ะพี่”ผมแซวแบบจริงๆนะครับแอบแดกดันนิดหน่อย แต่พี่ต่ายคงนึกว่าผมล้อเล่น เลยไม่รู้ตัว
“ไว้งานบริษัทเราก่อน พี่จะแต่งให้ดูนะโอม 555” น่านนนน.....ยังไม่รู้ตัว
“คุณคม รู้จักน้องผมดีพอรึยัง เป็นไงบ้าง”
“โอมนี่พี่คม...ลูกค้าพี่ไง”พี่ต่ายแนะนำให้ผมรู้จัก แต่ผมน่ะอยากรู้จักมากอยู่แล้ว
“สวัสดีอีกครับพี่คม....ผมได้ยินชื่อพี่มานานแล้ว ดีใจที่ได้เจอครับ”
สุภาพไปไม๊น่ะ หรือควรบอกไปเลยว่าอย่ามาจีบพี่ต่ายอีก เอาให้ดีฉี่รดรอบพี่ต่ายแสดงอาณาเขตกันเลยดีกว่า
“ดีใจเช่นกันครับ....น้องชายต่ายน่ารักจัง ผมอยากมีน้องชายมานานแล้วอยากได้แบบนี้มั่ง” คุณคมมานเน้นคำว่าน้องชายมากเลยครับ ผมล่ะจี๊ด....ไม่ต้องมากันให้ผมไปเป็นแค่น้องชายนะ
“ผมมีพี่หลายคนแล้วครับพี่คม พอดีกว่า....จะเยอะเกินไป”
แต่ผมพูดไปยิ้มไปนะครับ หึหึหึ
พี่ต่ายหันมองหน้าผม แต่เราก็มองกันไม่ถนัดหรอกครับ เพราะต่างก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน ผมก็เพิ่งซึ้งใจกับคำนี้ก็ตอนนี้เอง
“เหรอไม่อยากได้พี่เป็นพี่ชาย......งั้นเป็นแฟนของพี่โอมได้ไม๊ล่ะหึหึ”
ผมก็ปากไวไปหน่อยครับ ตอบกลับไปทันที
“ผมมีแต่พี่ชายครับ...เสียใจด้วยพี่คม” ผมว่าตอบได้ใจแล้วนะ ยิ้มเยาะเค้าไปด้วย
“อ้าวก็ยิ่งดีซิ....พี่เป็นเกย์”
“...............................”
ใบ้สนองครับ
เจอคำตอบของคุณคมเข้าไป ชีช่างกล้า...ขนาดนี้ผมจะไหวเหรอ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก กลับไปตั้งหลักก่อนดีกว่ามั๊ง พี่คมเป็นคนแรกที่ผมรู้จักแล้วประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ให้ผมฟังชัดๆ ผมเริ่มเลิ่กลั่ก
“คุณคม......เดี๋ยวน้องเค้าตกใจพอดีกัน”
ดีที่พี่ต่ายมาช่วยผมไว้ทัน ผมได้แต่เก็บเอาใว้ในใจ แค้นนี้ยังไม่สาย
“พี่ต่าย....กลับเถอะผมเหนื่อยแล้ว” เริ่มงอแงแล้วครับผม อาการปัญญาอ่อนกำเริบ
“เดี๋ยวซิน้องโอม เดี๋ยวเค้ามีนักร้องมาร้องเพลงนะ”
“ใครล่ะพี่คม....” ง่วงแล้ว....แต่ก็ชอบดูคอนเสริทฟรี หุหุ
“มีหมอโอ๊ยแล้วก็ สามหนุ่มสามมุมน่ะ” โอ๊ยไหนไม่รู้จัก เป็นหมอแล้วมาเป็นนักร้องได้ไง รู้จักแต่พี่อ๊บ พี่ท่อน พี่เฟิร์น ผมหันไปมองหน้าพี่ต่ายว่าเอาไงดี
“ตามใจโอม...จะอยู่ต่อหรือกลับ”
พี่ต่ายให้ผมตัดสินใจ ผมดูนาฬิกาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว ไหนๆก็วันศุกร์เอาว่ะอยู่ต่อก็ได้ อยากรู้อีตาคมมันจะทำยังไงบ้าง
“อยู่ก็ได้กลับซัก 5 ทุ่มนะพี่”ผมหันไปบอกพี่ต่าย
“น้องโอมไปเต้นกับพี่ต่อนะ”
คุณคมมาชวนผมครับ แต่ว่าพี่แกเล่นประกาศตัวโจ่งแจ้งอย่างนี้ ผมกลัวแล้ว
“ขอพักดีกว่าครับ..พี่ไปเหอะ” คือใจอยากจะบอกไปไหนให้ไกลๆยิ่งดี
“งั้น......ต่ายคุณไปกับผม” รั้งไม่ทันเลยครับ
ไม่พูดอย่างเดียวครับจับมือพี่ต่ายแล้วฉุดไปเลย ต่อหน้าต่อตาผม ผมกำลังจะโวยว่าให้ผมนั่งกับใครล่ะ
แต่ไม่ทันแล้วครับ มานเอาแฟนผมไปแล้ววว ได้ยินแต่เสียงพี่ต่ายหัวเราะ มีความสุขมากเลยนะฮึ่ม ขนาดผมนั่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิอยู่นี่นะ
ผมนั่งเซ็งค่อยๆดื่มไปอีกแก้วครับ
พี่ต่ายท่าทางจะรู้จักกับพนักงานหลายคน มีคนมาเต้นกับพี่ต่ายเยอะทั้งหญิงและชาย แต่อีตาพี่คมนี่ไม่ปล่อยให้พี่ต่ายว่างเลยครับ คอยมากระแซะเรื่อย เดี๋ยวก็เอาไหล่ไปสี เอาสะโพกไปชน ผมแทบจะอยากลุกขึ้นมาทึ้งผมตัวเองแล้วลงไปนอนดิ้นกับพื้นที่ทำอะไรไม่ได้ แล้วไปลากตัวพี่ต่ายกลับบ้าน
นี่ถ้าไม่ติดว่าอยากเจอพี่สามหนุ่มสามมุมนะ กลับไปแล้ว ไม่นั่งบื้ออยู่อย่างนี้ดูแฟนตัวเองถูกจีบ ถูกลวนลามหรอก จนแก้วที่ 4 แล้วครับ ตอนนี้หมอโอ๊ย ออกมาแล้วร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ เป็นเพลงช้าๆครับ พวกนักเต้นทั้งหลายเลยกลับมานั่งที่โต๊ะ
แต่อีตาพี่คมนี่มานแสบครับ ผมนั่งดูอยู่เห็นมานดึงมือพี่ต่ายไว้ไม่ยอมให้กลับจะเต้นสโลว์กับพี่ต่าย พี่ต่ายก็ไม่ยอม เออนะถ้าพี่ต่ายไปยอมมานละก้อน่าดู พี่คมเลยไปเต้นกับน้องผู้หญิงอีกคนแทนครับ
“โอยเหนื่อยจัง....พี่ไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้วนะ สนุกดีเหมือนกัน”หน้าระรื่นมาเลยครับพ่อนักบอลรูปหล่อ เหงื่อเปียกเสื้อซะจนเห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว ดูกางเกงก็บาง ขัดใจมากๆครับ นี่ถ้าอยู่บ้านถ่ายรูปเก็บเอาไปลงเวปแล้ว
“พี่ต่ายไปเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาจากไหนน่ะ” ผมก็อดอยากรู้ไปไม่ได้ เอาเวลาที่ไหนไปเตรียมตัวแต่งแฟนซีเนี่ย ไหนว่าทำแต่งาน
“คุณคมเค้าหาให้...บังคับให้พี่ใส่” ผมยิ่งหน้างอเข้าไปใหญ่ครับ แต่ยังไม่กล้าวีนแตกตอนนี้เพราะพนักงานคนอื่นก็นั่งกันอยู่เยอะ
“แล้วพี่จะกลับชุดนี้เหรอ” ผมแทบอยากจะพาพี่ต่ายไปถอดชุดนี้ออกให้หมดแล้วคืนเค้าไป
“เดี๋ยวก็ขึ้นรถแล้วโอม ซักเสร็จแล้วค่อยเอาไปคืนเค้า”
พี่ต่ายก็ยังจับอารมณ์โกรธผมไม่ได้อยู่ดี ผมชักเมานิดหน่อยแล้วนะนี่ตอนนี้เมาทั้งเหล้า เมาทั้งรัก
กำลังจะบอกพี่ต่ายว่าผมเปลี่ยนใจอยากกลับบ้านแล้ว ก็พอดีไอ้พี่คมเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วครับ ถอดหมวกแล้ววางไว้ที่โต๊ะ ผมนึกว่าเค้าจะมานั่งแต่เปล่าครับ
“ต่ายผมยืมน้องแป๊ปนึงนะ” ครับกลับมาดึงผมไปเต้นด้วย ผมมองหน้าพี่ต่ายให้ช่วยผมหน่อย
“ห้ามทำอะไรมากกว่าเต้นนะคุณคม หึหึ”
ดูพี่ต่ายครับปล่อยผมไปเฉยเลย ผมก็เลยตกอยู่ในกำมือของพี่คม
ตอนนี้บนฟลอร์มีคนอยู่ไม่มากครับ มีคู่เต้นทั้งหญิงชาย หญิงหญิง แล้วก็ชายชายก็มีผมกับพี่คมนี่แหล่ะครับ แต่ผู้หญิงน่ะมีเยอะกว่า เค้าจะคิดว่าผมเป็นอะไรกับพี่คมไม๊นะซิ แต่ช่างมันเหอะผมไม่ได้คิดอะไรจะร้อนตัวไปทำไม
หมอโอ๊ยร้องเพลงที่ผมชอบมากเลยครับเพลงยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บของอินคา
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2A4EBBBPA0&Autoplay=0 เป็นเพลงเก่ามากๆแล้ว แต่ก็ฟังทีไรยังเพราะอยู่ เราก็เต้นไปคุยกันไปนะครับ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจมองว่าเราคุยกันธรรมดา แต่มันเรื่องสำคัญเชียวครับ
“พี่ชอบเพลงนี้มากเลยนะโอม....แต่ตอนนี้ฟังแล้วพี่ยิ่งเจ็บ”
“ชีวิตพี่ตอนนี้มันเหมือนเพลงนี้มากเลย” เสียงพี่คมดูเศร้ามากครับ เอาไปเลยรางวัลออสการ์
“...................”
“นี่พี่คมจะพูดอะไรกับผมแน่ครับ” ผมเมาแล้วครับก็เลยลืมกลัวไปแล้ว ดูไปดูมาพี่เค้าก็ไม่ได้ร้ายอะไร เอ๊ะ...หรือมันจะเป็นกลลวง
“พี่เห็นต่ายเค้ารักโอมเหมือนน้องนะพี่เลยกล้าพูดเรื่องนี้ให้ฟัง”
“พี่ชอบต่าย...ชอบมาตั้งหลายปีแล้ว”
ผมอยากจะบอกพี่คมว่าผมไม่ใช่ศิราณีนะ ไม่ต้องมาปรึกษาปัญหาหัวใจ ผมเป็นแค่เกย์มือใหม่เท่านั้นเอง ยังไม่รู้จะรอดรึเปล่าด้วย
“แต่ก่อนต่ายเค้าก็ปฏิเสธพี่นะ แต่เค้าก็ยังไม่มีแฟน พี่ก็ยังมีหวัง”
ช่ายแต่ตอนนี้เค้ามีแล้ว คนที่พี่โอบอยู่นี่แหล่ะ รู้ไว้ซะ ผมได้แต่โต้ตอบในใจ แต่ภายนอกก็ทำได้เพียงพยักหน้าทำเป็นปัญญาอ่อนใสซื่อ
“แต่มาคราวนี้เค้าบอกพี่ว่ามีแฟนแล้ว.....พี่อกหักแล้วโอม”
“เอ่อแล้วพี่ยังไม่มีแฟนเหรอพี่”
ดันเจือกเรื่องเค้าอีกล่ะกรู ขอศึกษาไว้เป็นcase studyหน่อยละกัน นานๆจะเจอเกย์ตัวจริงเสียงจริง เสียดายแทนผู้หญิงจริงๆ แต่ดีใจกับวงการชายรักชายด้วย ตอนแรกก็ไม่อยากรู้ แต่ตอนนี้อยากรู้มาก เราต้องรู้เขารู้เราใช่ไม๊ครับ
“พี่ก็มีมาตลอดแหล่ะ” พี่คมพูดหน้าตาเฉยครับ
“เอ้า...แล้วพี่มาจีบพี่ต่ายทำไม” แฟนมีมาตลอดแต่ยังตามจีบพี่ต่ายมาเป็นปีเว้ย
“ก็หน้าตาแบบพี่ มานก็มีเข้ามาเรื่อยแหล่ะ...ก็นะคนมันหน้าตาดี”เอออันนี้เห็นด้วย แต่แอบหมั่นไส้นิดหน่อย
“แต่พี่ก็ชอบต่ายคนเดียว” พี่คมทำเป็นเสียงสลด
“ต่ายเค้าบอกว่าแฟนเค้าทำงานที่เดียวกัน เป็นน้องที่ทำงาน”
ผมขนลุกวาบเลยครับ พี่คมหลอกผมมาให้ยืนเชือดหลอกด่ารึเปล่า หยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าไม่คุ้มเลยหายใจต่อ
+
+
+
“แต่พี่ว่าไม่ใช่เนยดูแล้วมันไม่ใช่น่ะ...โอมรู้ไม๊ว่าใคร” ผมถอนหายใจเฮือกเลยครับ สรุปไม่รู้ว่าพี่ต่ายชอบผม ยังนึกว่าแฟนพี่ต่ายเป็นหญิง
“ผมไม่รู้หรอกพี่...ผมอยู่กันคนละสาย”เพลงจบพอดีครับ หมอโอ๊ยลาไปแล้ว คราวนี้สามหนุ่มสามมุมกำลังจะมา เป็นโอกาสอันดีที่จะรอดตัว ผมเลยกลับไปนั่งที่โต๊ะกับพี่ต่าย พี่คมก็เดินตามมาด้วยครับ
แล้วก็เป็นรายการของพี่อ๊บครับ มาร้องเพลงฟังอย่างเพลงเก่าๆพวกปาฏิหาริย์ ขีดเส้นใต้ ตอนที่เราฟังเพลงกัน ผมกับพี่ต่ายจับมือกันตลอดครับ แอบมองตากันเล็กน้อย พอให้ใจวาบหวิว แต่คนอื่นเค้าก็ไม่สนใจหรอกครับ ก็พี่อ๊บแกอ้อนแฟนเพลงขนาดนั้น สายตาของทุกคนก็ไปอยู่บนเวที
สักพักตามมาด้วยพี่ท่อน ก็สไตล์เฮฮากับมุขของแกน่ะครับน่ารักดี ผมว่าแกไม่หล่อมากแต่เสน่ห์ก็ไม่น้อยไปกว่าใคร แล้วก็ตามด้วยพี่เฟิร์น
พอมาร้องเพลงครบกันสามคนตอนนี้ไม่มีใครนั่งที่โต๊ะแล้วครับ วิ่งออกไปข้างหน้าเวทีกันหมด แล้วก็กรี๊ดๆๆๆกัน ผมไม่ได้ออกไปแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะ เลยสะกิดพี่ต่าย
“กลับกันเถอะพี่....พอล่ะ” พี่ต่ายก็พยักหน้าให้ผม แล้วบอกผมว่า
“โอมไปรอข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวพี่บอกคุณคมก่อน”
“แล้วผมไม่ต้องไปลาพี่คมเหรอพี่”ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะไปสวัสดีหน่อยนะ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่บอกให้”
แล้วพี่ต่ายก็ผละไปครับ ผมเลยเดินออกไปข้างนอก ผมดูเวลา 5 ทุ่มกว่าแล้วครับ กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาผม ไอ้บุ้งเจ้าเก่าอีกแล้วครับ ตอนนี้มันยังรักษาสถิติโทรมาหาผมทุกวันอยู่ บางวันก็แค่พูดว่าหวัดดีนะ คิดถึงนะ หิวข้าวรึยัง ง่วงไม๊ กินข้าวรึยัง แล้วมันก็วาง แต่ถ้าโทรมาตอนที่ผมว่างก็คุยกันมากกว่านั้นครับ
“ว่าไงมรึง...กลับบ้านรึยังบุ้ง” วันนี้วันศุกร์บางทีมนุษย์ทำงานแบบมันก็เที่ยวตามประสาโสดน่ะครับ ผมได้ยินเสียงเพลงแว่วๆมา
“ยังเลยว่ะมากับไอ้เอมันน่ะ”เสียงมันเมาๆนิดหน่อยครับ
“มึงไม่รักเค้าก็บอกเค้าไปซิว่ะ...แล้วไปกับเค้าอีกทำไม” ผมไม่เข้าใจมันเลย
“กรูบอกเค้าไปแล้ว....แต่เค้าบอกว่าเค้าจะรอกรู” เสียงมันเองก็สับสนครับ
“เออแล้วมึงก็มากลุ้มใจเนี่ยนะ...มึงรำคาญเค้าไม๊ล่ะ”ผมก็ถามไปอย่างงั้น
“กรูก็เหงานะ...กรูไม่มีใคร...แต่กรูไม่ค่อยรำคาญมันหรอก” สรุปว่าอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน ดีกว่าไม่มีใคร น่าสงสารมันว่ะ หรือควรสงสารคุณเอดี
“แล้วมรึงรำคาญกรูไม๊ล่ะโอม....ที่กรูโทรหามรึงทุกวันน่ะ”
“ถ้ามรึงถามกรูมากกว่านี้กรูจะเริ่มรำคาญล่ะ...เมิงรู้ไม๊มรึงถามกรูประเภทนี้มาหลายทีแล้วนะ” ผมชักรู้สึกว่ามันชอบพูดซ้ำซาก จนกำลังจะรำคาญแล้ว
“มรึงอย่าเพิ่งโมโหกูดิ...กรูกำลังจะบอกว่าเอมันก็เหมือนกรู”
“รักเค้าข้างเดียว...รู้ว่าเค้ารักคนอื่น...แต่ก็ยังพร้อมที่จะรอ”
เสียงมันสั่นเครือมากเลยครับ ผมไม่น่าไปหงุดหงิดใส่มันเลย กรูผิดไปแล้ว
“ตอนที่มานมายุ่งกับกรู....กรูก็คิดตลอดว่ากรูก็อยากทำกับมรึงแบบที่มันทำ”
“แต่กรูกลัวมึงจะรำคาญ...กรูก็เลยรำคาญเอไม่ลง สงสารมันหัวอกเดียวกัน”
“เฮ้อ.....”ผมเผลอถอนหายใจไปแล้ว สงสารเพื่อนเหมือนกัน ตอนนี้ต่างคนเลยต่างเงียบ จมอยู่กับความคิดตัวเอง แล้วบุ้งก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“โอมยังไม่กลับบ้านเหรอ......เสียงเหมือนอยู่ข้างนอกเลย”
“อือ...กูกำลังจะกลับล่ะมางานเลี้ยงของลูกค้าน่ะ” พูดความจริงครับแต่ไม่หมด ไม่อยากให้มันเสียใจไปกว่านี้
“กลับดีๆละระวังตัวด้วยดึกแล้ว...กรูเป็นห่วง”
เสียงมันอ่อนโยนมากเลยครับ ทำเอาผมน้ำตาซึม
“อือ....มรึงก็เหมือนกัน” ผมซึ้งกับความเป็นห่วงของมัน แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เลยได้แต่ยืนซึม น้ำตาเอ่อ
“โอม...เป็นอะไร”พี่ต่ายมาตบไหล่ผมพอดีครับ
“แสบตาน่ะพี่...สงสัยสูบบุหรี่กันเยอะ”ผมยิ้มให้พี่ต่ายนักบอลรูปหล่ออิตาลี
“ทำไมไม่ถอดหน้ากากออก ไม่อายคนอื่นเหรอ”
อ้าวตายห่า....ลืมไปเลย มิน่ามีแต่คนมอง พี่ต่ายเอื้อมมือมาปลดหน้ากากออกจากหน้าผม เราสบตากันพอดี
“โอมร้องไห้ทำไม...แสบตามากเหรอ” ผมพยักหน้า
“รู้งี้กลับก่อนก็ดีนะไม่น่ารอเลย” แล้วพี่ต่ายก็เอานิ้วปาดน้ำตาให้ผม ลูบหัวผม แล้วก็โอบไหล่ผม
“ไปกลับบ้านเรากันนะ..เด็กขี้แย”
เสียงพี่ต่ายที่อ่อนโยน รวมทั้งรอยยิ้มของพี่ต่าย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดกับบุ้งมากขึ้น เพราะผมบอกกับตัวเองว่าตอนนี้คนที่ผมรักมีเพียงพี่ต่ายคนเดียวจริงๆ
บุ้งก็คงยืนได้อยู่แค่เส้นกั้นฝั่งของคำว่าเพื่อน.....ไม่สามารถที่จะก้าวผ่านมายังคำว่า......รักได้เท่านั้นเอง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพิ่งสังเกตว่าช่วงนี้มีคอมเมนท์ใหม่ๆเข้ามา ดีใจจังเลยที่มีคนมาอ่านเพิ่มขึ้น แต่คนที่หายๆไปอยากบอกว่าก็ขอบคุณเหมือนกัน แล้วก็รอคำวิจารณ์อยู่เสมอนะครับ