ตอนที่ 2บ้านพักสองชั้นหลังสีขาวตรงหน้าผมตอนนี้มีสองชายหนุ่มตัวเล็กผิวขาวในชุดเสื้อกราวด์สั้นยืนอยู่ ที่ข้างตัวมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางบนพื้น ‘กัส’ หนุ่มหน้าหวานหนึ่งหนุ่มในสองคนที่ยืนนั้นเป็นแฟนเพื่อนสนิทผมคือ ‘วิน’ มันเป็นคนที่มีความสูงใกล้เคียงกับผมร่างหนาพอกันแต่ผิวมันจะขาวกว่า ส่วนเรื่องหน้าตาเราสองคนคงกินกันไม่ลงมั้งวัดได้จากจำนวนคนที่เข้าหา แต่ไอ้วินเพื่อนผมมันไม่สนใจใครแล้วตั้งแต่มันมีกัสเป็นแฟนจนตอนนี้ทั้งสองคนหมั้นกันอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว และเจ้าเพื่อนตัวดีที่ผมนั่งรถมันมามันก็คงลืมเพื่อนอย่างผมไปแล้ว โน่นเดินไปถึงตัวแฟนหนุ่มน้อยฉีกยิ้มกว้างจนจะถึงหู มันคงดีใจที่เจอหน้าหมอกัสเพราะทั้งสองคนอยู่ไกลกันอาทิตย์หนึ่งจะเจอกันสักครั้งและกว่าทั้งสองจะกลับมาคบกันอีกครั้งทำเอาเพื่อนๆในกลุ่มลุ้นกันตัวโก่ง ผมต้องทำหน้าที่ขนกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองและของไอ้วินที่เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนออกจากหลังรถ ดูท่าไอ้วินจะลืมหมดทุกอย่างเมื่อเจอหน้ากัส
“อ่ะ นี่ของมึง เจอหน้าแฟนแล้วกินแรงเพื่อนเลยนะมึง” ยื่นกระเป๋ากระแทกใส่มือมันไป มันแค่ชำเลืองมองกลับแล้วคว้ากระเป๋าไปถือเอง ผมหันไปทางสองหนุ่มที่ยืนข้างกัน
“หวัดดีครับหมอกัส หมอมิค” กัสส่งยิ้มมาให้
ผมไม่แปลกใจที่วินจะทั้งรักทั้งหลงแฟนตัวเองขนาดนั้นเพราะแค่รอยยิ้มบางที่ผมได้รับยังทำเอาแอบใจสั่นไม่ได้ นี่ติดว่าเป็นแฟนเพื่อนนะไม่งั้นคงต้องขอลงสนานแย่งชิงก็เป็นได้ ผมยืนมองหน้าหวานเพลินจนลืมอีกคนที่อยู่ข้างกัน
“นี่ๆ มองแฟนเพื่อนตัวเองนานไปแล้วมั้ง” เสียงประชดเล็กๆดังมาจากหนุ่มน้อยใส่แว่นที่ยืนข้างกัส
ทำเอาไอ้วินหันมามองผมแบบเอาเรื่องข้อหาแอบมองแฟนมัน ผมได้แต่สายหน้ายักไหล่ให้แบบไม่มีอะไรมันจึงดึงมือแฟนมันออกห่างไปนิด ผมละหมั่นไส้มันจริงมองนิดมองหน่อยละทำหวง หันกลับมามองทางคนที่เกือบจะหาเรื่องให้เพื่อนทะเลาะกัน หนุ่มน้อยตรงหน้าเป็นเพื่อนสนิทของกัส ชื่อ ‘มิค หรือ ศรันย์’ หนุ่มตัวล็กผิวขาวความสูงพอๆกับกัสแฟนวิน ใส่แว่นกรอบดำเลนส์หนาเตอะผมยุ่งตลอดทุกครั้งที่เห็น ภาพโดยรวมก็เหมือนเด็ก ‘เนิร์ท’ ทั่วไปคือสนใจแต่เรื่องเรียนและไม่ได้ดูแลเรื่องของตัวเองเท่าไหร่
“ผมก็แค่มอง นั่นแฟนเพื่อนไม่มีอะไรซักหน่อย แล้วหมอมิคสบายดีมั้ยไม่เจอนานเลย” มิคยังทำหน้ามุ่ยก้มหน้าก้มตายุ่งกับสายกระเป๋าและแทบไม่สนใจคำถามของผมที่ถามออกไป
“อืม สบายดี เฮ้อทำไมสายมันพันกันแบบนี้นะ อ๊ะ ยิ่งพันไปใหญ่” บ่นกับตัวเองและหมดความสนใจกับร่างสูงที่ยืนตรงหน้า
เฮ้อ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยกับคนนี้ตั้งแต่รู้จักกันมามิคไม่เคยสนใจใครนอกจากเพื่อนสนิททั้งสองคนของตัวเอง เรื่องจะเล็กจะใหญ่แค่ไหนไม่สามารถเรียกความสนใจจากมิคได้ แต่เมื่อใดที่เป็นเรื่องของเพื่อนตัวเองแม้เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนมิคจะยื่นมือเข้าช่วยทันทีแม้เพื่อนจะยังไม่เอ่ยปาก และผมเห็นมากับตาตัวเองแล้วเมื่อคราวที่เกิดเรื่องของกัสและวิน คิดมาถึงตรงนี้ก็นานแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังยุ่งกับกระเป๋าตัวเองอยู่ ผมจึงยกกระเป๋าเจ้าปัญหาขึ้นมาถือซะเอง
“อ๊ะ นายฟิน นายจะเอากระเป๋าเราไปไหน” ร่างเล็กซอยเท้าตามหลังผมมา
ผมไม่สนใจคนที่โวยวายตามหลังแต่เดินไปหาคู่รักที่นั่งจับมือตาเยิ้มมองกันใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไป
“เราขึ้นรถกันที่ไหนครับหมอกัส” ถามแฟนมันแต่ไอ้วินดันหันมาทำตาเขียวใส่เพราะผมคงไปขัดจังหวะหวานของมันเข้า
“ไปขึ้นที่หน้าโรงพยาบาลครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่คงเตรียมของขึ้นรถกันหมดแล้วเราลงไปกันเลยดีกว่า อ้าว มิคทำไมหน้ามุ่ยแบบนี้ล่ะ” ความสนใจของทุกคนถูกส่งไปที่หนุ่มหน้ามุ่ยที่เพิ่งเดินมาถึง แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าให้แทน
“ไปกันเถอะกัสได้เวลาแล้ว” กัสพยักหน้ารับปล่อยมือจากวินที่หน้ามุ่ยแทนมิคเพราะโดนแฟนหมดความสนใจ
ผมละขำกับไอ้วิน ไอ้คนที่เก๊กและมีมาดหนุ่มหล่อเนี๊ยบต่อหน้าคนอื่นมันหายไปไหนวะ ทำมาเป็นงอนสาวแตกกับแฟนหนุ่มน้อยซะงั้น จนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้และไอ้วินมันคงได้ยินหันมาถลึงตาใส่และกลับมาเก๊กหน้านิ่งเหมือนเดิม
“ถือไปเลยนะ ดี เราจะได้สบายไม่ต้องถือเอง ชิ” เสียงหวานดังแทรกความคิดผมเข้ามาหันไปอีกทีเจ้าของเสียงเดินไปกับแฟนเพื่อนผมซะแล้ว
ผมหันไปมองเพื่อนตัวเองที่หน้านิ่งแต่ตาละห้อยตามแฟนมันไปแล้ว รวบกระเป๋าสองใบไว้มือเดียวตบบ่าหนาข้างกันให้ออกเดินตามสองหนุ่มน้อยไป
..............................................................
“เอาของขึ้นรถเลยค่ะหมอกัสหมอมิค อ้าวแล้วกระเป๋าละคะ” ผู้หญิงชุดขาวในเครื่องแบบพยาบาลที่สวมกางเกงทักขึ้น
“วิน ฟิน นี่พี่บุษเป็นพี่พยาบาลที่จะออกหน่วยกับเราครั้งนี้” ผมและวินวางกระเป๋าลงและยกมือไหว้พี่บุษเมื่อได้รับการแนะนำจากกัส พี่บุษยิ้มหวานให้ทันที
“ตายแล้วมีคนหล่อไปด้วยอีกสองคนพี่มีกำลังใจทำงานขึ้นเยอะเลย มาค่ะเอากระเป๋าขึ้นรถเลย” พี่บุษยิ้มกว้างให้หลังแซว และพาผมกับวินเอากระเป๋าของพวกเราไปเก็บ และพี่แกก็ขอตัวไปเช็คอุปกรณ์การแพทย์และยาที่ต้องเอาไปอีกครั้งว่าครบถ้วนมั้ย
“เฮ้ย ไอ้หมอตี๋มันไปออกหน่วยครั้งนี้ด้วยหรอวะ” อยู่ๆไอ้วินมันก็บ่นขึ้นมาและผละเดินออกไปทันที
ผมหันไปทางที่เพื่อนเดินไปพบว่ากัสยืนคุยอยู่กับหมอหนุ่มร่างหนาผิวขาวใส่แว่น นี่คงเป็น ‘หมอพจน์’ ที่วินมันเคยบ่นให้ฟังล่ะซิว่ามาแอบชอบกัสอยู่ และมันกังวลว่าไอ้หมอตี๋จะตีสนิทแฟนมัน มันบอกว่ามันไว้ใจกัสแต่ไม่ไว้ใจหมอพจน์นั่น แค่มองแฟนมันมันก็หวงเป็นเอามากเพื่อนผม คนมีแฟนเค้าเป็นแบบนี้กันหรอแต่เชื่อได้ว่าถ้าผมมีแฟนคงไม่เป็นแบบนี้แน่ แต่ที่แน่ๆผมคงไม่มีแฟนมากกว่า ผมหลุดออกมาจากความคิดของตัวเองเพราะแรงสะกิดที่แขน
“นายฟินตามมานี่ เร็ว ยืนอยู่ได้เดี๋ยวได้เวลาไปกันแล้วจะทำไม่ทัน”
คนที่มาสะกิดผมคือเจ้าของประโยคนี้เป็นหนุ่มแว่นคนเดิม ที่ตอนนี้หน้ายุ่งเมื่อผมยังไม่เดินตามเจ้าตัวไป เห็นแล้วก็ขำกับใบหน้ายุ่งที่มีแว่นอันโตบนหน้าของมิค แต่ต้องกลั้นขำไว้ก่อนไม่งั้นไม่ได้ตามออกหน่วยครั้งนี้แน่ถ้าทำเจ้าตัวโกรธมาก
กว่านี้ จึงพยักหน้าและเดินตามหลังไปและเมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินที่มิคเดินนำมาทำเอาผมงงว่ามิคพาเดินมาที่นี่ทำไม
“อ้าวทำหน้าเป็นหมางงอยู่ได้ มานั่งนี่มา” อ้าวไหงมาว่าผมเป็นหมางงได้ล่ะนี่หรือหน้าผมตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ยอมรับว่าผมงงจริงๆนั่นแหละแต่ก็ยอมนั่งลงที่เตียงในห้องฉุกเฉินแต่โดยดี
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับพี่น้อย พี่ทำงานอย่างอื่นเถอะครับ” มิคปฏิเสธสาวพยาบาลที่เข้ามาช่วยเพราะยังมีคนไข้รอทำแผลอยู่อีกหนึ่งคน
มิคเดินถือไม้สำลีที่ชุบยาสีน้ำตาลที่ปลายสำลีมาทางผม ไอ้ที่งงก็ยังไม่กระจ่างและหน้าคงบ่งบอกทำเอาได้เห็นรอยยิ้มบางที่มุมปากของหมอแว่นหนาตรงหน้าที่เห็นได้ไม่บ่อยนักถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อนสนิทของเจ้าตัว
“เอ้า ยังไม่หายงง ก็นายน่ะมีแผลที่มุมปากเนี่ยหรือไม่รู้ตัว แล้วไปโดนอะไรมากัน เฮ้อ ไม่ดูแลตัวเองเลย”
ผมเป็นแผลเหรอที่มุมปากเหรอ ผมลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำก็ไอ้รอยแผลจากการถูกผู้หญิงตบเมื่อคืนมันไม่น่าจดจำนี่หน่า แล้วคนตรงหน้าที่บ่นหงุงหงิงกับตัวเองเนี่ยมาสังเกตเห็นได้ยังไงกัน เพราะรอยแผลนั้นมันเล็กถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็นหรอกขนาดเพื่อนสนิทที่นั่งรถมากับมันตั้งหลายชั่วโมงมันยังไม่เห็นเลย แต่กับคนๆนี้เจอกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกับสังเกตเห็นมัน และผมคงต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับมิคซะแล้วที่ว่าเป็นคนไม่สนใจใครที่แท้อาจจะคอยสังเกตแต่อาจไม่พูดถึงก็ได้มั้ง นี่แสดงว่าในสายตามิคคงเห็นผมเป็นเพื่อนแล้วแม้จะไม่ได้สำคัญเท่าเพื่อนสนิทอีกสองคนก็ตาม
จึงทำให้ผมสนใจคนที่ตั้งใจทำแผลให้และยื่นหน้ามาใกล้กัน คนที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดไปด้วยผมยุ่งปกหน้าและแว่นอันโตทำให้บดบังผิวหน้าเนียนใส จมูกโด่งที่โดนแว่นวางทับไว้ ปากล่างหนากว่าปากบนยื่นหน่อยๆเมื่อเจ้าของจดจ่อกับการทำแผลไม่ได้สนใจว่าผมแอบสำรวจใบหน้าเจ้าตัวอยู่ ทั้งหมดที่เห็นบอกได้เลยว่าถ้าจับมิคมาแต่งตัวทำผมใหม่คนๆนี้คงมีคนสนใจไม่น้อย และทำไมใจผมมันกระตุกกับภาพตรงหน้ากันนะ แต่คงไม่มีอะไรก็คงแค่ประทับใจกับมุมมองที่ผมไม่เคยเห็นจากมิคก็แค่นั้น
“อ่ะ เรียบร้อย เจ็บมั้ย นายโชคดีมากนะ เป็นคนแรกที่เราทำแผลให้แบบนี้” เสียงกวนๆกับการยักคิ้วของมิคมันทำเอาผมที่นิ่งอึ้งอยู่กับความคิดของตัวเองกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง แต่ยังไม่อยากให้ใบหน้าที่มองเห็นผละหายไปไกลเลย นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
“อ้าว นายฟินเป็นอะไรไปกระพริบตาปริบๆอยู่นั้น” นี่ผมทำกิริยาแบบนั้นอยู่เหรอเนี่ยไม่รู้ตัวเลย
“ฮ่าๆๆๆ นายนี่ฮากว่าที่คิดนะ” อะไรคนแบบนายฟินที่มาดเนี๊ยบแบบผมเนี่ยนะที่ทำหน้าแบบที่มิคบอก แต่ไม่ว่าผมจะทำหน้าแบบไหนอยู่แต่ผมชอบรอยยิ้มตรงหน้านี้จัง
“อ้าว ไอ้ฟินมึงเป็นอะไรวะ ทำหน้าตลกว่ะมึง ฮึๆ แล้วมึงมีแผลที่ปากด้วยเหรอวะ ทำไมกูไม่เห็น” ผมหน้าตลกมากขนาดนั้นเลยเหรอขนาดเพื่อนสนิทมันยังหัวเราะ จึงกลับมาเก๊กมาดเข้มเหมือนเดิมเพราะแถวๆนี้พยาบาลสาวๆเยอะซะด้วยมาปล่อยไก่ได้ไงเนี่ย
“เอ่อ ช่างมันเหอะ เค้าจะไปกันรึยังล่ะ” ให้ไอ้วินมันเลิกสนใจหน้าผมก่อนดีกว่า แล้วมิคเดินไปไหนแล้วเนี่ย
“รอมึงกับมิคเนี่ยแหละ ไปๆกัสให้กูมาตาม ไม่รู้ไอ้หมอตี๋นั่นมันจะเข้ามาคุยกับกัสอีกรึเปล่า” วินมันก็บ่นของมันไปตามเรื่อง เดินนำหน้าผมไปขึ้นรถไม่สนใจว่าผมจะตามไปรึยังด้วยซ้ำ
บนรถตู้ของโรงพยาบาลที่นั่งเต็มทุกที่โดยด้านหน้าสุดเป็นหมอพจน์นั่งคู่กับคนขับและมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทั้งหมอและพยาบาลคนอื่นนั่งถัดลงมา แถวก่อนสุดท้ายเป็นวินกัสและหนุ่มน้อยพยาบาลนั่งเรียงกัน ส่วนแถวสุดท้ายเป็นผม มิคและฝ้ายเจ้าหน้าที่ห้องฟัน
ตั้งแต่เริ่มขึ้นรถออกเดินทางเสียงพูดคุยซักถามผมกับวินดังมาไม่ขาดและไอ้วินมันย่อมได้รับความสนใจมากกว่า เพราะคนอื่นเค้าคงรู้กันแล้วว่ามันมีความสัมพันธ์กับหมอหน้าหวานข้างตัวมันยังไง ไอ้นี่ก็ไม่มีอายหรอกที่คนอื่นเค้าแซวเรื่องกัสกับมัน มันกับยิ้มร่ารับและคงถูกใจที่หมอพจน์นั่งคันเดียวกันเพราะเหมือนประกาศให้ได้รู้ว่ากัสน่ะมีมันเป็นเจ้าของแล้ว ไอ้นี่เป็นเอามากเรื่องหึงหวงกัสนี่ต้องยกให้มันล่ะแค่มีคนมองหน้าแฟนมันก็แทบจะเข้าไปกัดหัวเค้าแล้ว ส่วนกัสน่ะเหรอเงียบกริบได้แต่ยิ้มหน้าแดงไม่กล้าตอบใครด้วยซ้ำ น่าสงสารเหมือนกันแฮะ แต่หน้าเอ็นดูมากกว่าคนน่ารักทำอะไรก็ดูดี
ผมหันกลับมาที่คนข้างตัวที่ไม่ค่อยพูดแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปากจะหยุดทำงาน เพราะในมือถือถุงขนมอีกมือส่งเข้าปากไม่ขาด ตอนที่ขึ้นรถมาผมไม่ทันสังเกตหรอกว่าไอ้ถุงพลาสติกใบใหญ่ที่บรรจุขนมเต็มถุงใบนี้มันมาจากไหน แต่เจ้าของมันส่งมาให้ผมถือไว้ส่วนตัวเองก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจใคร แม้มิคจะชวนคนอื่นทานแต่ทุกคนก็ปฏิเสธเพราะคงอิ่มกันมาแล้ว เลยแกล้งแซวว่าไม่กินหรอก ‘กลัวหมอมิคไม่พอทาน’ และเรียกเสียงฮาครืนทั้งรถเลยส่วนเจ้าตัวนะเหรอไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำแซว แค่ยิ้มกว้างและนั่งกินต่อไป
“หมอมิคแบ่งกันบ้างซิ” ลองแย็บไปซิ ดูว่าคนช่างกินจะว่ายังไง สิ่งที่ได้กลับมาคือปากยื่นคิ้วขมวดเบี่ยงถุงขนมในมือออกห่างจากตัวผม ทำเอาอยากหัวเราะดังๆก็นี่มันกิริยาห่วงของกินของเด็กชัดๆ
“นายแกะห่อใหม่ไปเลย มันฝรั่งรสนี้มีห่อเดียว” หันไปกินต่อไม่สนว่าผมจะคิดยังไงด้วยซ้ำ
เหมือนเด็กจริงๆใครจะรู้ว่าผู้ชายที่เรียนจบทันตแพทย์แล้วแต่ยังมีนิสัยเด็กแบบนี้อยู่ ไม่เหมือนใครที่ผมเคยเจอเลยเพราะคนที่ผมเจอนั้นปรุงแต่งตัวเองซะจนผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งหน้าตาที่แท้จริงหรือแม้แต่นิสัยจริงเป็นยังไง นั่นซินะที่ผมมาอยู่ตรงนี้มันเกิดจากความเบื่อหน่ายชีวิตที่เป็นแบบเดิมซ้ำๆ เจอคนที่ปรุงแต่งตัวเองเข้าหาและหาความจริงใจอะไรไม่ได้ แต่จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะผมก็เป็นหนึ่งในนั้นและไม่ได้จริงจังกับความสัมพันธ์ของผู้คนที่เข้าหาอยู่แล้ว
การมาของผมครั้งนี้หวังว่าจะทำให้ผมเห็นอะไรที่แตกต่างและธรรมชาติที่อยากเจอจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นและกลับไปใช้ชีวิตที่สดใสได้เหมือนเดิม หรือการมาครั้งนี้จะทำให้ผมเปลี่ยนไปจากเดิมและไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้เลยกันนะ สับสนกับความคิดตัวเองอยู่นานมารู้ตัวอีกทีภายในรถก็เงียบกริบเมื่อส่วนใหญ่คอพับคออ่อนไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่กัสที่ผมเห็นว่าหลับหัวพิงไหล่เพื่อนผมไปแล้ว และหัวไหล่ตัวเองรับน้ำหนักจากบางอย่างที่ถ่ายโอนมา หันไปเจอกลุ่มผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงละกับแก้มผม สัมผัสแผ่วเบามาพร้อมกลิ่นหอมของชมพูสระผมเด็กอ่อนโชยมา เจ้าของที่หลับไปแล้วและไม่รู้ตัวว่าเอาหัวมาพิงกันถ้าเจ้าตัวรู้นี่ไม่มีทางซะล่ะที่จะเอาตัวใกล้กับผมแบบนี้
ผมยกมือลูบผมยุ่งแผ่วเบาให้เข้าที่กลัวว่าคนที่ซบกันจะตื่นร้องโวยวาย หยิบถุงขนมออกจากมือบางที่แม้หลับยังจับถุงไว้มั่น น่าขำจริงๆกับคนที่ไม่ยอมโตตามอายุ เหลือบเห็นร่องรอยขนมที่มุมปากเอื้อมมือลูบออกให้ก่อนสมองจะสั่งการ สัมผัสริมฝีปากนุ่มโดยไม่ตั้งใจทำเอาใจกระตุกแรงเหมือนเกิดขึ้นที่ห้องฉุกเฉิน นี่ผมเป็นอะไรทำไมใจกระตุกแบบนี้สองครั้งแล้วนะ ผมไม่เคยเป็นมาก่อนหรือผมจะเป็นโรคหัวใจกันนะ แต่ทั้งสองครั้งก็จะมีใบหน้าขาวที่ถูกบดบังไปด้วยแว่นตาและผมยุ่งๆอยู่ต่อหน้าทั้งสองครั้งเลย ‘ แว่นอันนี้มันน่ารำคาญซะจริง’ ความอยากรู้อยากเห็นเกิดกับผมขึ้นแบบทันทีทันใดจากความต้องการเห็นใบหน้าที่ทำเอาใจกระตุกมาถึงสองครั้งแล้ว แต่ก่อนที่มือจะดึงแว่นออกนั้นร่างบางที่ซบกันอยู่เหมือนรู้ตัวพลิกหัวออกไปพิงพนักพิงหัวแทน ผมถึงกับสะดุ้งเกือบไปแล้วถ้าไปถอดแว่นที่เจ้าตัวใส่อยู่ไม่รู้จะโดนโวยวายยังไงบ้าง และมันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่เนี่ยที่อยู่ๆก็อยากจะเห็นหน้ามิคแบบชัดๆขึ้นมา
..................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไป ^3^
ใครที่ถามหานายเอกก็เปิดตัวที่ตอนนี้กันแล้วนะคะ
ฟินหนุ่มเพล์บอยเจ้าชู้ตัวพ่อเกิดมาใจกระตุกกับหนุ่มน้อยนอกสายตาแบบมิคซะแล้ว
คงต้องติดตามกันต่อไปว่าอาการใจกระตุกมันจะเกิดอีกมั้ย
ปล.+1ให้คนเม้นที่น่ารักทุกคนแล้วนะคะและเจอกันอีกทีวันจันทร์ค่ะ
