ตอนที่ 33หน้าบ้านไม้สองชั้นที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำเอาบรรยากาศโดยรอบแสนร่มรื่นเย็นสบาย ผิดกับใจของผมตอนนี้ที่ร้อนรนกระวนกระวายยิ่งกว่าการเข้ามาที่บ้านนี้ครั้งแรกซะอีก
“ฟินเป็นอะไรรุกรี้รุกรนตั้งแต่ที่บ้านแล้ว” เสียงแหบของผู้สูงอายุที่ยืนข้างผมทักขึ้นสายตาแสดงความสงสัยชัดเจน
“เปล่าครับ คือผมตื่นเต้นครับตา”
ผมหยุดอาการกระสับกระส่ายหันมาตอบคุณตาถึงอาการที่ผมเป็น วันนี้ผมมีอาการแบบนี้แต่เช้าแล้วครับเพราะหลังจากวันนั้นที่คุณตาให้สร้อยแห่งความรักแก่คนรักของผมแล้ว ท่านก็พูดกับมิคว่าต้องการขอพบคุณพ่อคุณแม่ของมิคท่านอยากทำความรู้จักกันไว้เพราะไหนๆก็ถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว ซึ่งตอนนั้นมิคก็เขินหน้าแดงก่ำเพราะเข้าใจในความหมายที่ท่านพูด และก็เป็นเพราะเหตุนั้นที่ทำให้ผมกับคุณตาต้องมายืนอยู่ที่หน้าบ้านมิคในขณะนี้ล่ะครับ การมาครั้งนี้ของผมและคุณตาจะว่าไปก็กึ่งๆการสู่ขอนั่นแหละครับ เมื่อผมคิดแบบนี้ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้จึงเป็นผลให้คุณตาผมท่านทักขึ้นมา
“ฮึๆๆ หนุ่มๆก็แบบนี้ล่ะนะ ไปๆเราเข้าไปกันได้แล้ว” เสียงแหบห้าวหัวเราะอย่างชอบใจกับอาการที่ผมเป็นดวงตาของท่านเปล่งประกายอย่างคนที่มีความสุข
ผมเห็นแล้วก็อดยิ้มตามท่านไม่ได้และดูเหมือนว่าจะทำให้ผมอาการสงบลงได้เยอะ เพราะอย่างน้อยครั้งนี้ผมมั่นใจว่าถึงยังไงผมคงไม่โดนปืนจากพ่อตาส่องแน่ๆก็ผมนั้นมีคุณตาเป็นพวกนี่ครับ เราสองคนจึงพากันเข้าไปในรั้วไม้บ้านมิคเมื่อถึงตัวบ้านก็พบว่าคนตัวเล็กเค้ากำลังเดินออกจากประตูมาดูพอดีเลยครับ พอผมได้เห็นคนรักที่วันนี้ก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยนด้วยชุดที่ดูเรียบร้อยกว่าปกติด้วยเสื้อโปโลสีชมพูพอดีตัวกับกางเกงสีขาวขาเดฟที่ไม่รัดมาก แถมที่ลำคอขาวก็มีสร้อยทองคำขาวร้อยจี้มีอัญมณีโรสควอตว์สีชมพูสะท้อนแสงเป็นประกายใส่ตาผม มันยิ่งทำให้หัวใจพองฟูคับอกเหมือนว่า ‘คนๆนี้มีผมจับจองไว้แล้วทั้งตัวและหัวใจ’ ผมจึงเปิดยิ้มกว้างให้กับคนที่ก้าวมาหาผมหลังทำความเคารพคุณตาแล้ว
“ฟิน ไม่ตื่นเต้นแล้วเหรอเมื่อคืนเห็นบ่นใหญ่นี่ว่านอนไม่หลับอ่ะ คิกๆๆ” รอยยิ้มหวานแบบกระเซ้าให้อายพร้อมที่มีมือขาวมาเกาะแขนผม
“ฮึๆ ตื่นเต้นซิครับเนี่ยยังตื่นเต้นอยู่เลย มิคจับซิ รู้สึกมั้ยว่าใจฟินเต้นแรงมาก” ผมคว้ามือนุ่มที่จับแขนผมมาวางแนบกับอกซ้ายของตัวเองและมอบรอยยิ้มให้คนหน้าหวานที่เงยหน้าส่งยิ้มน้อยๆมาให้
“ใครไม่ตื่นเต้นก็บ้าแล้วมาขอหนุ่มน้อยน่ารักทั้งทีนี่หน่า ฮึๆ” ก้มพูดชิดใบหน้าหวานที่ขึ้นสีทันทีที่ผมพูดจบและตามมาด้วยแรงฟาดจากมือนุ่มที่อกผมไม่แรงนักแต่ทำเอาตึงๆไปเหมือนกันครับ
“อะไรๆ วันนี้คุณตาแค่มาทานข้าวบ้านมิคไม่ใช่มาสู่ขออะไรแบบนั้นนะ ฟิน! หยุดยิ้มเลย ไม่งั้นนะ...”
คนน่ารักที่โดนผมคว้ามือไว้เพราะผมกลัวแรงจากมือบางมาทุบอกให้ได้เจ็บจริง มิคพูดแก้ตัวเฉไฉแล้วดุเสียงเข้มให้ผมกลัว แต่ยังพูดไม่จบก็มีเสียงหวานของคุณแม่ยายผมดังแทรกเข้ามาซะก่อน
“มิคลูก แม่ให้มาเชิญคุณตากับฟินเข้าบ้านไม่ใช่มาทะเลาะกับฟินนะจ๊ะ” คุณแม่ยายพูดเสียงหวานแต่กลับปรามคนน่ารักของผมให้หยุดได้ชะงัด ก่อนผมจะได้ค้อนวงโตจากคนที่โดนคุณแม่ดุ และท่านก็หันไปยกมือไหว้คุณตาของผมและเชิญคุณตาเข้าบ้าน
ภายในห้องรับแขกบ้านมิคที่มีลมเย็นพัดผ่านทางหน้าต่างเข้ามาจนผ้าม่านปลิวสะบัดส่งผลให้ภายในห้องไม่ร้อนและอากาศเย็นกำลังดี ทำให้บรรยากาศของการสนทนาหลังการแนะนำตัวเป็นไปอย่างรื่นรมย์และมีรอยยิ้มประดับใบหน้าของเราทั้งห้าคนแม้แต่คุณพ่อตาที่เป็นเสือยิ้มยากยังมีรอยยิ้มมุมปากตลอดเวลาที่คุยกับคุณตาของผมด้วยเรื่องของกล้วยไม้ที่เป็นเรื่องที่ท่านทั้งสองชื่นชอบ ส่วนผมกับมิคก็มีรอยยิ้มไม่ต่างกันแม้เราจะนั่งกันคนละฝากฝั่ง แต่สายตาผมไม่ได้คลาดไปจากหน้าหวานของมิคเลย ผมเฝ้ามองมิคที่ตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันที่บางครั้งก็คิ้วขมวดมุ่นอย่างสงสัย บางครั้งก็ยิ้มกว้างตาปิดเมื่อได้ฟังเรื่องที่ชอบ บางครั้งก็หัวเราะกว้างอวดฟันขาวเมื่อได้ฟังเรื่องที่ถูกใจมาก และภาพใบหน้าของมิคทุกภาพมันได้ฝังลงในหัวใจผมเพราะเป็นตัวตนของคนที่ผมรัก และตอนนี้รู้สึกว่าใบหน้าของมิคได้หันมาจับจ้องที่หน้าผมเจ้าตัวเค้าเลิกคิ้วและขยับปากแบบไม่มีเสียงส่งคำถามมาประมาณว่ามีอะไร แต่ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มหวานกลับไป มิคก็ได้แต่ขมวดคิ้วปากจู๋นิดๆแบบคนขี้งอน เจ้าของใบหน้าน่ารักคงสงสัยว่ามองทำไมในเมื่อไม่มีอะไร ผมล่ะอยากจะตอบเจ้าตัวเหลือเกินครับว่า
‘ไม่ได้ตั้งใจมองหรอกครับที่รักแต่แค่ละสายตาออกจากหน้าที่รักไม่ได้ต่างหาก’
ผู้ใหญ่เค้าก็คุยกันไปครับส่วนผมกลับมิคก็ส่งสายตาท่าทางตอบโต้กันไป และดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะโดนมิคงอนนะครับนั่น ปากแดงนั่นขยับต่อว่าผมแบบไม่มีเสียงแถมชี้ไม้ชี้มือให้วุ่นคงกลัวรบกวนการคุยของผู้ใหญ่ แต่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยครับว่าผู้ใหญ่เค้าเงียบไปแล้วและกำลังมองมาที่มิคเป็นตาเดียวแถมอมยิ้มกันถ้วนหน้า
“ฮิๆๆ อะไรกันจ๊ะมิคทำท่าทางแปลกๆ” เสียงหวานของแม่ยายผมที่นั่งใกล้มิคทักขึ้นทำเอาคนถูกทักชะงักท่าทางที่กำลังต่อว่าผมทันที และมองเลิกลั่กแบบเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของทุกคนแล้ว
“แหะๆ ไม่มีอะไรครับ” รอยยิ้มแหยปรากฏบนใบหน้าของมิคซึ่งมันดูไม่เข้ากับหน้าหวานๆจึงเรียกเสียงหัวเราะจากเราทุกคนขึ้นมา
“ฮิๆๆๆ / ฮ่าๆๆๆ / ฮึๆๆๆ” ทุกคนหัวเราะมิคด้วยความเอ็นดู
มิคก็ได้แต่ยิ้มเอียงอายกับทุกคนแต่พอถึงผมก็ส่งตาดุหน้าบึ้งมาให้แม้หน้าขาวจะขึ้นสีนิดๆเพราะความเขินอาย ผมก็ได้แต่ก้มหน้าแอบหัวเราะไม่ให้เจ้าตัวเค้าเห็นครับไม่อย่างนั้นผมจะโดนงอนไปมากกว่านี้ได้
“คุณกตคุณดาเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆเลยนะ ผมนึกเอ็นดูแกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลยล่ะ” เสียงแหบของคนสูงอายุที่นั่งข้างผมดังขึ้นเพื่อเอ่ยชมบุพการีทั้งสองของคนรักของผม
ทำเอาท่านทั้งคู่ยิ้มแก้มปริไม่เว้นแม้แต่พ่อตาผมเลยครับ ส่วนคนที่โดนชมก็ยิ้มกว้างตาปิดไปให้คนที่เอ่ยชมและยกมือไหว้ขอบคุณยิ่งเพิ่มความเอ็นดูจากคุณตาในตัวมิคเพิ่มขึ้น
“ฮึๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า มิคออกจะดื้อแผงฤทธิ์เสียออกบ่อยไป ใช่มั้ยมิค” เสียงเข้มเจือแววอ่อนโยนถามลูกชายที่นั่งอยู่ ข้างภรรยา
ทำเอาคนโดนถามเรียกพ่อตัวเองเสียงเบาแบบตัดพ้อพอให้น่าเอ็นดูจึงเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ได้อีกครั้ง
“ผมขอเข้าเรื่องที่ตั้งใจมาวันนี้เลยล่ะกัน อย่างที่เรารู้กันดีว่าทั้งสองคนฟินหลานผมกับหนูมิคลูกคุณกตคุณดาคบหากัน ผมเลยอยากมาทำความรู้จักกันไว้ ให้คุณทั้งสองรู้ว่าทางผมไม่นึกรังเกียจความสัมพันธ์ที่ดูจะผิดแปลกจากคู่อื่นแต่ผมกลับเอ็นดูมิคมากกว่าหลานผมเองซะอีก ฮ่าๆๆ และก็ยอมรับหนูมิคเข้ามาเป็นคนในครอบครัวผมแล้วด้วย ทางคุณสองคนคิดยังไงกันล่ะ”
เสียงแหบแห้งแฝงแววอ่อนโยนเมื่อพูดถึงมิคหลานรักคนใหม่ และจริงจังเมื่อเอ่ยยอมรับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก่อนหันไปขอความเห็นจากผู้ใหญ่ที่เหลือทั้งสองคน ผมที่ได้ฟังคุณตาก็รู้สึกซาบซึ้งกับความรักที่ท่านมอบให้เราทั้งคู่ทั้งๆที่เป็นคนรุ่นก่อนที่ไม่น่าจะเข้าใจความรักแบบที่ผมมี แต่ท่านกลับเข้าใจและช่วยเหลือผมให้ได้มีวันนี้ ผมสบตาของคนรักที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตามิคคงมีความรู้สึกไม่น่าจะต่างไปจากผมนัก เราส่งยิ้มให้กันและเผื่อแผ่ไปถึงคุณตาที่มีรอยยิ้มน้อยๆมุมปากแต่ท่านไม่ได้มองตอบเราเพราะท่านมองไปที่คนที่ท่านรอคำตอบอยู่ หลังคำถามของคุณตาแล้วนั้นคุณพ่อคุณแม่ของมิคเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่พ่อตาผมจะพูดขึ้นมา
“ผมรักมิคมากครับคุณน้า แม้ว่าตอนแรกที่รู้ผมจะผิดหวังไปบ้างที่ลูกเลือกที่จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ได้คุณดานี่แหละครับเตือนสติผมว่าเราเลี้ยงลูกได้แต่ตัว ไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเค้าว่าเป็นสมบัติของเราต้องให้ลูกเลือกที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะเราไม่สามารถดูแลเค้าไปได้ตลอด ในเมื่อเค้าเจอคนที่เค้าคิดว่าสามารถจะอยู่ด้วยได้และดูแลซึ่งกันและกันได้แล้วก็ต้องปล่อยให้เค้าได้อยู่ด้วยกัน เรามีหน้าที่ยืนดูอยู่ห่างๆและคอยเป็นกำลังใจให้ลูกเมื่อเค้าต้องการ ผมจึงคิดได้และก็คงต้องปล่อยให้เจ้าตัวเค้าได้เลือกอย่างที่ใจต้องการเท่านั้น ไม่คิดจะขวางทางหรอกครับ”
“ฮึก ฮื่อออ พ่อครับ มะ แม่ ฮื่อออ”
หลังพ่อตาผมพูดจบก็ทำเอามิคที่ได้ฟังร้องไห้โฮเข้าไปคุกเข่าระหว่างท่านทั้งสองและกอดเอวซบหน้ากับตักท่านปล่อยน้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมา ผมที่มองภาพนี้ก็มีน้ำตาซึมที่หัวตาและตื้นตันในหัวอกเพราะรับรู้ถึงความรักและความเข้าใจที่ผู้ใหญ่มีให้เราทั้งคู่ ผมซับน้ำตาออกจากตาและรับรู้ถึงแรงตบที่บ่าตัวเองจากมือเหี่ยวย่น
“ขอบคุณครับตาที่รักและเข้าใจผม”
ผมนั่งคุกเข่าที่พื้นและก้มกราบที่ตักคุณตาเงยหน้าส่งยิ้มให้ท่าน ก่อนขยับคลานเข่าไปใกล้คนรักที่เปลี่ยนจากเสียงร้องไห้เป็นเสียงสะอึกสะอื้นแทนแล้ว ผมจับบ่ามิคและรั้งร่างบางให้เงยหน้าขึ้นจัดการถอดแว่นหนาออกให้พ้นหน้าหวานและใช้ผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อเช็ดคราบน้ำตาให้มิค
“ไม่ร้องแล้วนะครับดูซิตาช้ำหมดแล้ว”
ผมปลอบคนน่ารักให้หยุดร้อง มิคก็พยักหน้าตอบแต่ยังมีเสียงสะอื้นไห้อยู่ เมื่อผมเช็ดหน้ามิคจนไร้คราบน้ำตาแล้วก็จับมือนุ่มให้หันไปทางผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เป็นบุพการีของมิค
“ต่อไปนี้ผมจะดูแลมิคให้ดีที่สุดครับ แม้ว่าผมจะเคยทำให้มิคเสียใจแต่นั่นเพราะผมคิดน้อยไปแต่หลังจากนี้ถ้าผมจะทำอะไรจะคิดถึงมิคก่อนใครจะคิดให้ดีไม่ให้คนที่ผมรักต้องเสียใจแบบนั้นอีกครับ ผมขอโทษอีกครั้งครับที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น และขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ยอมรับเราครับ”
ผมก้มลงกราบที่ตักท่านทั้งสองพร้อมกันกับมิคพอเงยหน้าขึ้นมาก็พบรอยยิ้มนิดๆที่มุมปากจากพ่อตาและยิ้มหวานพิมพ์เดียวกับมิคจากแม่ยายที่ดูเหมือนตาจะแดงๆจากการร้องไห้ ผมและมิคคลานเข่ามากราบคุณตาอีกครั้งและท่านก็ลูบผมมิคด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวก็ซบหน้ากับตักท่านปล่อยให้ท่านได้ลูบผมนิ่มด้วยความเอ็นดู
“ฮึๆ มิคก็เป็นหลานตาอีกคนหนึ่งแล้วนะ” มิคเงยหน้าส่งยิ้มหวานแต่ตาแดงช้ำจากการร้องไห้ไปให้คุณตาของผม
หลังจากนั้นท่านก็ให้เรากลับมานั่งที่กันดีๆและเริ่มพูดอีกเรื่องที่ทำเอาผมดีใจมากจนอดยิ้มกว้างแบบหุบไม่ได้เลยครับ
“ผมรู้ว่ามิคกำลังเรียนต่ออยู่และมหาวิทยาลัยก็ไกลจากที่นี่แต่มันอยู่ใกล้บ้านผม ผมเลยอยากขอความเห็นคุณกตกับคุณดาว่าคิดยังไงถ้าจะให้มิคไปพักที่บ้านผมช่วงวันที่ต้องเรียนส่วนวันหยุดหรือวันที่หนูมิคอยากกลับมานอนบ้านก็ค่อยให้ไอ้หลาน
ชายผมมาส่ง และมันจะเป็นผลดีกับการเรียนของหนูมิคมากกว่าที่ต้องเทียวไปเทียวมาแบบนี้ และอย่าคิดไปว่าจะเป็นการรบกวนผมเพราะผมรับมิคมาเป็นหลานผมอีกคนหนึ่งแล้ว”
จบประโยคที่ได้ใจผมของคุณตายอดนักธุรกิจที่ใช้วาจามาเสนอทางเลือกที่ดูเหมือนมีทางเลือกเดียวและไม่อาจปฏิเสธได้แก่คุณพ่อตาแม่ยายผมที่เป็นข้าราชการครูที่เกษียณแบบนี้ เห็นๆว่าสู้วาทศิลป์ของท่านไม่ได้แน่ๆครับเพราะคุณตาผมใช้การต่อรองแบบนักธุรกิจมาใช้ได้เยี่ยมมากครับ ผมได้แต่จับจ้องไปทางท่านทั้งคู่ที่มองหน้ากันอึ้งๆก่อนที่คุณแม่ยายจะขำกิ๊กปิดปากออกมาให้กับทางเลือกเดียวที่ไม่อาจปฏิเสธ ส่วนคุณพ่อตาผมก็คิ้วขมวดนิ่งคิดนี่ถ้าไม่ใช่คุณตาผมที่อายุอานามเท่าคุณปู่ของมิคคงโดนพ่อตาผมตะเพลิดออกจากบ้านทั้งคู่แน่ๆ ก็จะอะไรล่ะครับเพิ่งซาบซึ้งกับความยินยอมให้ลูกคบหากันอย่างเป็นทางการไม่เท่าไหร่แต่กลับดูเหมือนว่าจะต้องส่งลูกชายเข้าหอซะงั้นล่ะครับ พ่อตาผมถอนใจออกมาก่อนตอบ
“ความจริงผมก็เกรงใจคุณน้านะครับแต่ในเมื่อคุณน้าเอ่ยปากมาแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้อง มิคล่ะว่าไงลูก” คุณพ่อตาที่ได้แต่ปลงและยินยอมตามที่คุณตาผมเอ่ยปากก่อนจะหันไปถามความสมัครใจของลูกชายตัวเอง
มิคที่นั่งเงียบกริบฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่นั้นสะดุ้งนิดๆที่อยู่ๆพ่อตัวเองก็หันมาถามความสมัครใจ มิคหันมามองที่คุณตาและเลยมาทางผมที่นั่งข้างๆ ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มกว้างแบบดีใจส่งไปให้คนรักและส่งสายตาออดอ้อนแบบลุ้นๆให้มิคตอบตกลง มิคคิ้วขมวดมุ่นกัดริมฝีปากล่างอย่างครุ่นคิด ผมน่ะลุ้นจนเกร็งไปหมดแถมเกือบขาดใจเพราะกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัว
“ถ้าคุณตาเห็นว่าดีและเหมาะสมกับการเรียนสำหรับการที่มิคจะไปอยู่บ้านคุณตา มิคก็ไม่ขัดข้องครับ” มิคยิ้มนิดๆส่งให้คุณตาแก้มแดงระเรื่อและไม่ยอมหันมาสบตาผมเลยครับ
ผมที่ได้ฟังคำตอบของมิคอยากลุกตะโกนก้องร้องอย่างดีใจที่จะมีคนรักไปอยู่บ้านเดียวกันแล้ว แต่ความดีใจที่มีก็ลดฮวบลงเพราะเสียงของคุณตาที่เอ่ยขึ้นมา
“คุณสองคนไม่ต้องห่วงนะ ผมจะจัดห้องให้ใหม่เอาให้พร้อมเพื่อต้อนรับหลานชายคนใหม่เลยล่ะ ฮึๆๆ” คุณตาพูดยิ้มๆส่งไปให้พ่อแม่ของมิค ผมแอบเห็นว่าพ่อตาผมเค้าแอบถอนใจออกมาด้วยล่ะครับ
ส่วนผมแม้ความดีใจจะหายไปเกือบครึ่งแต่ก็ยังไม่หมดไปเพราะได้แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ ถึงยังไงผมกับมิคก็อยู่บ้านเดียวกัน หลังจากนั้นบรรยากาศก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น ผู้ใหญ่คุยกันสักพักคุณแม่ก็ขอตัวไปเตรียมอาหารกลางวันโดยมีมิคเป็นผู้ช่วยพ่วงผมไปด้วยอีกหนึ่ง ส่วนคุณตาและพ่อตาผมก็พากันไปเรือนกล้วยไม้หลังบ้านซึ่งวันรุ่งขึ้นผมก็ต้องหอบกล้วยไม้หลายต้นมาบ้านมิคเพราะคุณตาท่านสั่งว่าให้ผมนำมามอบให้ว่าที่พ่อตาจะได้รักและเอ็นดูผมมากขึ้น นั่นทำเอาผมรักคุณตามากกว่าเดิมหลายเท่า
ระหว่างที่ช่วยแม่ยายทำอาหารผมก็ตามติดที่รักตลอดไม่ห่างไปไหน และดูท่ามิคจะมีแววด้านอาหารเหมือนกันนะครับผมก็คงไม่อดตายแล้วล่ะ
“มิคครับดีใจมั้ยที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน” ผมแอบก้มกระซิบถามข้างหูหอมของมิคกลัวแม่ยายได้ยินครับ
“อยู่บ้านเดียวกันต่างหากมิคไปเพื่อการเรียนไม่ได้ไปอยู่กับฟินนะ” คนน่ารักแก้ตัวกลับมาแก้มแดงระเรื่อก้มหน้าก้มตาหั่นผักไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่ถามแบบผมเลยครับ
“ฮึๆ นั่นแหละๆเหมือนกันล่ะครับ ฟินดีใจน้าที่มิคจะได้อยู่บ้านเดียวกับฟินเหมือนเราแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยนะครับ” ผมยังหยอดให้มิคได้อายเพิ่มขึ้นและได้ผลเพราะแก้มใสแดงก่ำกว่าเดิม
“ฟิน หยุดพูดเลยนะ นี่หั่นผักไปเลยและอย่าเดินตามมานะหั่นให้เสร็จอยู่ตรงนี้ด้วย”
คนน่ารักมองค้อนผมและหลบตาเดินไปทางคุณแม่ที่อยู่หน้าเตาปล่อยให้ผมทำตามคำสั่งแบบไม่อิดออดเพราะรู้ว่าทำเอาที่รักอายมามากแล้ว คงต้องปล่อยมิคไปก่อนเพราะเรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะต่อจากนี้ แค่คิดผมก็มีความสุขจนแทบบ้าแล้วล่ะครับ
................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
สุดยอดคุณตาแห่งปีขอมอบโล่ให้คุณตาฟินเลยค่ะ ฮุๆๆๆ
ตอนนี้ให้บรรยากาศการสู่ขอรับหลานสะใภ้เข้าบ้านเลยเนอะ
ใครชอบกดLIKEให้คุณตาด้วยนะคะ 555
ตอนหน้ามาดูกันว่าเมื่อทั้งคู่อยู่บ้านเดียวกันจะเป็นยังไง
และคนที่รอบริจาคเลือดก็เตรียมตัวไว้(มีคนกดดันไว้)อีกไม่กี่ตอน
มาแน่ค่ะ
ปล.+1ให้เหมือนเดิมกับทุกเม้นท์ค่ะ เจอกันอีกทีวันพฤหัสฯจ้า

ขอ

รวบเลยค่ะ