มนต์มาร
Part 24
น้ำแข็งใสราดน้ำแดง
.
.
.
.
.
“คำสอน..วานให้เด็กเอาปุ๋ยล๊อตใหม่ไปลงสวนส้มด้วยนะ แล้วอย่าลืมเช็ครายการสินค้าส่งตลาด
ให้ผมด้วยครับ” ธรรมตรัยผู้ชาเย็น บอกกับหัวหน้าคนงานด้วยน้ำเสียงเรียบรื่น แต่แอบหูแดงจนมองเห็นชัด ก็จะไม่ให้
คนวางหน้านิ่งหูแดงได้ยังไง ในเมื่อเก้าอี้ตัวข้างกันดันมีสายตาคมเข้มวิบวับจ้องไม่วางตากดดันอยู่แบบนี้ ต่อให้เป็น
พระอิฐพระปูนก็มีเขินเหมือนกันแหละ
ทางออกของเลขาผู้เคร่งระเบียบ คือยอมขยับปากสั่งงานซะเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าปกติ
แม้จะรับรู้ถึงสายตานับสิบคู่ของพนักงานออฟฟิศกลางไร่กว้างของคุ้มดงพญาที่อึ้งตามเป็นแถว เพราะวันนี้เลขาคนเย็นชา
ดันพูดยาวกว่าปกติก็เถอะ ก็ยังไม่น่าแปลกเท่ากับเจ้านายคนรองของคุ้ม..จะสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนโดยมานั่งดู
การทำงานของพนักงานด้วยตัวเอง ในเมื่อร้อยวันพันปีแทบจะนับครั้งได้ด้วยซ้ำ ที่กายันต์จะโผล่หน้ามาให้พนักงาน
ได้ยลโฉมความหล่อให้กระชุ่มกระชวยหัวใจสาวๆ ในไร่..
หรือว่าจะไม่ใช่มาดูพนักงานทำงานเสียแล้ว เท่าที่จับตามสายตาของกายันต์ เจ้าตัวเอาแต่
สนใจจ้องแต่หน้าสวยเย็นชวนมองของเลขาเจ้าคุ้มเสียมากกว่า ก็เล่นมองไม่ละสายตาแบบนั้น ก่อนปากหนาได้รูปสวย
ไม่ด้อยกว่าเจ้าคุ้มคนพี่ จะเอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มมาให้ได้ยินกันทั้งออฟฟิศว่า
“เมื่อไหร่งานตรัยจะเสร็จเล่าครับ?”
คำถามติดอ้อนนิดๆ ทำเอาพนักงานสาวๆ ต่างหน้าแดงอย่างไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันอดเขิน
ตามไม่ได้ในเมื่อเจ้านายหล่อหลากไส้เล่นพูดเสียงนุ่มหวานหูออกมาแบบนั้น ใครได้ยินไม่หวิวชวนเขินตามก็ให้มันรู้ไปดิ
“ทำไม คุณยันต์มีอะไรให้ผมรับใช้”
แหม..เลขาเย็นชาเล่นตอบซะเป็นการเป็นงานจนคนถามหน้านิ่วเข้าให้ เหมือนจะไม่ค่อยพอใจ
ในคำตอบสักเท่าไหร่
“เฮ้อ! นี่มันจวนห้าโมงเย็นแล้วน้า ผมหิวแล้ว..กลับไปรอทานข้าวที่คุ้มกันเถอะนะ..ตรัย”
ถอนหายใจซะงั้น แต่ยังไงน้ำเสียงที่พูดตามมาก็ยังนุ่มติดอ้อนเหมือนเดิมอยู่ดี คราวนี้พนักงานที่อุตส่าห์วางท่าสนใจงาน
ของตนในแต่ละโต๊ะอย่างดิบดี ถึงกับแอบอมยิ้มไปกับความน่ารักที่คนตัวโตบึกล้ำอย่างกายันต์ดันพูดอ้อนคุณเลขาขึ้นมาซะนี่
อะไรก็ไม่น่ามองเท่า เมื่อคนโดนอ้อนจากที่วางท่าเก็กหน้าชาเย็น กลับแดงเรื่อขับให้หน้าสวย
ดูมีเสน่ห์น่ามองเข้าไปอีก แม้ปากบางได้รูปจะปิดเรียบสนิทไม่ยอมพูดตอบก็เถอะ แต่ทั้งหัวหูหน้าใสเนียนกิ๊กที่กำลังลามแดง
จนเป็นเป้าสายตาของพนักงานซึ่งต่างพากันชำเลืองมองเป็นระยะ ก็ไม่สามารถปิดบังอาการของคนซึ่งกำลังวางหน้าไม่ถูกอยู่ดี
ให้ตายสิช่างเป็นภาพการสนทนาที่ทำเอาออฟฟิศกลางไร่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายสีชมพูจนพนักงานในห้อง ต้องแอบบิดนิ้ว
ตนเองแทบหัก พากันเขินแทนตามเป็นแถว
“อืม..ก็ไปสิ”
เสียงพูดที่พยายามเก๊กเรียบ แม้จะใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะหลุดออกมาได้ แต่อาการตอบแบบไม่ยอม
สบตาคนฟังนั่นสิ โอยยย..อะไรมันจะน่าดูชมได้ขนาดนี้อีก...
“หึหึ...ไปกันเถอะ ดีใจชะมัดที่ตรัยตามใจผม”
เอาเข้าไป..พนักงานที่ได้ฟังจะเป็นลมกันหมดออฟฟิศแล้ว น้ำตาลในกระแสเลือดพุ่งสูงแม้คำพูด
ในแต่ละประโยคมันไม่ได้มีใจความหวานเลี่ยนอะไรเลยก็เถอะ แต่ใครได้เข้ามาอยู่ในเหตุการณ์หากไม่เผลอบิดเสื้อ
จนแทบขาดให้มันรู้ไปสิ หนุ่มหล่อชวนเก็บเอาไปฝันมายืนพูดเสียงนุ่มเหมือนอ้อนสาวให้ได้ยิน แม้จะกลายเป็น
หนุ่มหน้าสวยต่างหากที่เป็นเป้าหมายของคนพูด ซึ่งใครๆต่างติดภาพบุคลิกหน้านิ่งเย็นชาออกจะหยิ่งเสียด้วยซ้ำ
ลองดูตอนนี้สิ ใบหน้าที่ว่ากำลังเห่อแดงขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวหากโดนเข็มจิ้มเลือดคงพุ่งหมดตัวแน่
ตาย...ตาย..น่าร๊ากก..อ่ะ!
-------------------------------------------------------------------------
ระหว่างทางขากลับ กายันต์ทำหน้าที่สารถี เพราะคนนั่งคู่กันคือคนที่มีอิทธิพลทำให้
คนขับจำเป็นเต็มใจอย่างยิ่งที่จะตามติดไม่ยอมห่างจนเป็นตังเมอย่างที่เห็น ยิ่งนั่งหน้านิ่งแต่แดงก่ำจนคนมองใจสั่น
อยากจับกดซะให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย มันช่างเป็นใบหน้าเรียบนิ่งให้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งใสราดน้ำแดงไม่มีผิด
ความจริงแล้วใช่ว่ากายันต์จะไม่เคยสนใจธรรมตรัยมาก่อน ความลับผู้ล้างอาถรรพ์มนต์มาร
กายันต์ทราบมานานแล้ว แต่ที่ไม่คิดแตะต้องเหย้าแหย่ด้วยนั้น เพราะคนๆนี้หัวใจกายันต์ยกไว้เป็นของสูงต่างหาก
ก็ใครจะอดปลื้มได้เมื่อรู้ว่ามีใครหนึ่งคนยอมรักษาพรหมจรรย์เพื่อตนเอง ถือศีลบริสุทธิ์ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดครบถ้วน
กระบวนความ เผื่อมอบสิ่งสำคัญที่รักษาไว้นั้นให้ตนเพียงคนเดียว
เพราะฉะนั้น กายันต์จึงใช้วิธีปิดบังความรู้สึกในการแสดงออก ถ้าหากไม่สามารถหาคนที่มี
ร่างแฝงของนารายณ์พบ แล้วตนดันไปสานสัมพันธ์สร้างความรู้สึกกับเลขาหน้าสวยที่ชวนลุ่มหลงเข้าให้ ความเศร้าโศก
ของตำนานรักมารกับมนุษย์คงเกิดขึ้นอีกตำนานเข้าจนได้ เมื่อหัวใจบริสุทธิ์ผ่องแผ่วของธรรมตรัยต้องเจ็บปวดกับอาถรรพ์ร้าย
แห่งมนต์มารในวันข้างหน้า ทำไมตนจะไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาใบนี้ แฝงแววไร้เดียงสาต่อเพศรสมากแค่ไหน
สายตายามเผลอจับจ้องตนนั้นเปิดเผยความรู้สึกมากเพียงใด แล้วอย่างนี้ตนยังจะกล้าเอาหัวใจที่สวยงามของคนๆนี้
มาเสี่ยงทำเล่นๆได้อีกหรือ
ด้วยเหตุผลข้อนี้ต่างหาก ที่ทำให้กายันต์เลือกที่จะทำตัวเป็นคลาสโนวาสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นแทน
หากธรรมตรัยเห็นการกระทำของตนแล้วนึกรังเกียจแปรเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้เป็นชิงชังขยะแขยงขึ้นมา กายันต์จะไม่นึกเสียใจ
หรือถือโทษโกรธเลยสักนิด เผื่ออนาคตข้างหน้าหากล้างอาถรรพ์มนต์มารไม่ได้ ก็จะไม่มีทางดึงธรรมตรัยมาตกนรกด้วย
เป็นอันขาด เพราะฉะนั้นที่ผ่านมากายันต์จึงเลือกที่จะใกล้ชิดกับธรรมตรัยไม่ให้เกินงาม แต่ไม่มีวันไหนเลยที่หัวใจของ
กายันต์จะลบความรู้สึกที่ซุกซ่อนภาพของเลขาหน้านิ่งผู้เคร่งครัดวางตนเป็นผู้คงแก่เรียนคนนี้ได้เลยสักเวลา ตอนนี้ถือว่า
เป็นโชคช่วยเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจทำให้ตนสมหวัง ทั้งสามารถล้างอาถรรพ์มนต์มารสำเร็จแล้วยังได้ครอบครองหัวใจ
พรหมจรรย์ของคนหน้าสวยแสนเย็นชาคนนี้อีก ขืนต้องรอให้คนพูดน้อยมาคอยฉอเลาะออเซาะแล้วละก็
ต่อให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกไม่แน่ว่าเจ้าตัวจะยอมทำหรือเปล่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เพราะงั้นจะแปลกอะไรที่ตนจะเป็นฝ่ายอ้อนให้คนหน้าสวยเก๊กนิ่ง ยอมตามใจแทนดีกว่า
แม้จะดูสลับหน้าที่ก็ตามมองจากรูปร่างส่วนสูงตำแหน่งสามีภรรยาแล้วนั้น ธรรมตรัยต่างหากที่เหมาะจะทำท่าอ้อนตน
แต่เมื่อคนน่าสวยแสนน่ารักคนนี้มอบหัวใจบริสุทธิ์ให้ตนแล้ว จำเป็นด้วยหรือว่าใครควรทำหน้าที่อ้อน เมื่อรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
สุดท้ายสิ่งที่ตนเรียกร้องอ้อนขอเลขาหน้าสวยย่อมได้รับการตอบสนองแน่นอน มีหรือคนสวยจะกล้าปฏิเสธหลงรักตนมานาน
เป็นสิบๆ ปี แต่กายันต์ไม่เคยคิดจะถือเอาความรักของธรรมตรัยมาเป็นไพ่ตาย เพราะแท้จริงแล้วหัวใจของกายันต์ก็รัก
ธรรมตรัยตลอดมาเช่นกัน แล้วใยต้องแคร์ว่าใครควรอ้อนใครจริงไหม
-------------------------------------------------------------------------
“ตรัยว่า...คืนพระจันทร์ดับที่จะถึงนี้ จิตมารจะมาติดกับดักพี่จาตามที่พวกเราวางแผนกันหรือเปล่า?”
เพื่อช่วยลดอาการเขินไม่หายของคนรัก และไม่ให้เกิดความเงียบภายในรถ หนุ่มหล่อจึงหาเรื่องชวนคนรักคุยขึ้นอย่างเนียนๆ
“หืม..ไม่รู้สิ..ตามที่คุณจาบอกจิตมารคือสิตา คาดเดายากเหมือนกันเพราะสิตาไม่ใช่คนโง่
สามารถตบตาพวกเราได้นานกว่าสามปีนอกจากฉลาดแล้วยังมีฝีมือไม่ธรรมดา” ประโยคยาวๆ ที่เลขาน้ำแข็งใสราดน้ำแดง
พูดออกมาด้วยโทนเสียงเรียบนิ่ง ฟังดูมีเหตุผลรองรับไม่น้อย
“คิดว่าพี่จาจะพลาดหรือเปล่า ลงทุนเอาตัวเป็นเป้าล่อแบบนั้น” กายันต์แสดงความรู้สึก
หน่วงใจลึกๆ ให้คนของหัวใจฟังช่วยระบายออกไปได้บ้าง
“นั่นเป็นเรื่องที่ผมตอบไม่ได้ ในเมื่อจิตมารตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ทั้งพลังมารและคาถาก็ยัง
มีพลังกล้าแข็งขึ้น ผมจนปัญญาวิเคราะห์จริงๆ” ธรรมตรัยบอกตามจริง ระหว่างสองคนนี้ยามอยู่ด้วยกันแล้วหากเป็นเรื่องของ
ความเป็นความตายไม่จำเป็นต้องปิดอะไรกันอีก
“ทำไมพี่จาถึงต้องเอาตัวเข้าล่อด้วยนะ ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ผมว่ามันน่าจะมีสิว่าไหม?”
กายันต์ยังคงเปรยเชิงปรึกษา
“วิธีนี้ได้ผลที่สุดแล้วล่ะ อย่าลืมว่าหากจิตมารได้ร่วมสังวาสกับคุณจาซึ่งมีร่างแฝงของปีศาจ
นั่นเท่ากับว่ามันสามารถควบคุมร่างกายของตนเองให้เป็นคนหรือปีศาจได้ตามใจนึก แถมพละกำลังและมนต์คาถาทั้งเทพทั้งมาร
ยังต้องขยาด ไม่สามารถมีอาวุธใดทำลายได้แล้ว นอกจากร่างแฝงแห่งนารายณ์จะยอมสังเวยชีวิตเข้าแลก คุณจาคงไม่ยอม
ให้เกิดขึ้นแน่ จึงยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเสียเอง คุณยันต์อย่าลืมสิว่าที่ผ่านมาคุณพระลักษมณ์ยอมเสียสละเพื่อพวกเรามามากแล้ว
แถมยังต้องมาบาดเจ็บอีกต่างหาก” ธรรมตรัยบอกเหตุผลให้กายันต์ฟัง ย้ำถึงทางเลือกที่ปาจาตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยง
“นั่นสินะ ผมจำสายตาของพี่จาที่มองดูพระลักษมณ์ตอนสลบได้ดี พี่จาไม่เคยแสดงสายตาเจ็บปวด
ปางตายแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแววตาของพี่เค้า คราวที่ผมขาดสติทำร้ายแม่ของจันทร์ผาโดยไม่ตั้งใจ
พี่จายังไม่แสดงสายตาเจ็บปวดเหมือนจะขาดใจตามอย่างครั้งนี้เลย” กายันต์รำพันออกมา น้ำเสียงที่แสดงบ่งบอกถึง
ความเสียใจต่อการกระทำในอดีตของตนจนคนฟังอดเห็นใจไม่ได้ ธรรมตรัยเลขาผู้วางหน้านิ่งก็เช่นกัน ตัดสินใจเอามือ
ไปบีบหัวไหล่ส่งกำลังใจปลอบคนรักอย่างไม่ต้องใช้คำพูด
กายันต์ไม่ได้เจตนาต่อการกระทำนั้น แต่เพราะยังเยาว์หนำซ้ำตบะในการควบคุมอารมณ์ที่มีต่ออาถรรพ์
ของมนต์มารซึ่งควบคุมจิตต้านไว้ไม่ไหว จึงเผลอทำเรื่องชั่วช้าขึ้นจนเกิดพยานแห่งการกระทำคือหนูผาออกมาตอกย้ำให้
กายันต์ลงโทษตัวเองภายในใจมาโดยตลอด
“เรื่องผ่านมานานแล้ว อย่าไปนึกถึงมันเลย ที่น่าห่วงคือคืนพระจันทร์ดับที่จะมีขึ้นวันมะรืนมากกว่า
ถึงแม้ตอนนี้จิตมารจะไม่สามารถเผยโฉมออกมาได้เพราะไม่สามารถคืนร่างเป็นคน แต่ในคืนวันพระจันทร์ดับเป็นคืนที่พลังมาร
มีอำนาจสูงสุด สิตาสามารถคืนร่างเป็นคนหรือเป็นมารได้ตามใจนึก เพราะข้อจำกัดนี่คุณจาถึงเชื่อว่า สิตาคงไม่ปล่อยโอกาส
ที่จะจัดการรวบหัวรวบห่างคุณจาเป็นแน่ เพราะหากปล่อยโอกาสผ่านไปก็ต้องรอไปอีกสิบห้าวัน สภาพครึ่งคนครึ่งเดรัจฉาน
คงทำให้สิตาทนไม่ได้แน่นอน” ธรรมตรัย ดึงความสนใจของกายันต์กลับมายังปัญหาที่ทั้งคู่คุยค้างไว้แทน เพราะทนเห็น
แววตาอมทุกข์ของคนรักไม่ไหว
“ผมเห็นด้วยที่คุณพูด ถือว่าพวกเราโชคดีมากจริงไหม ที่ใช้หัวใจมารต้นแบบล้างอาถรรพ์มนต์มาร
ได้ก่อน หากสิตาเอาไปกินก่อนกลายเป็นว่าได้พลังมารไปเต็มๆ ไม่ต้องกังวลจะเป็นคนหรือเดรัจฉาน แถมพลังจิตกล้าแข็ง
ขึ้นอีกด้วย ลูกกระสุนเงินก็ไม่อาจทำอันตรายได้ ยังดีที่มันได้พลังไปแค่ครึ่งเดียวไม่เต็มร้อย กระสุนเงินที่เหลือลูกสุดท้าย
จึงเป็นตัวแปรสำคัญในการทำลายจิตมารให้สิ้นซาก หวังว่าที่พี่จาคิดไว้คงไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นนะ ไม่งั้นกลายเป็น
โศกนาฏกรรมแน่ ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย” กายันต์เผยความในใจออกมา ทั้งคู่จบบทสนทนาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น
เพราะบัดนี้รถได้มาจอดยังมุกหน้าเรือนไทยเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรนำปัญหาหนักใจพกพาติดไปกับใบหน้า ในระหว่างร่วมโต๊ะ
อาหารเย็นที่อยู่กับพร้อมหน้าเลี้ยงส่งนมอ่อนกับหนูผา พรุ่งนี้เช้ามืดก็จะไม่ได้เจอสองคนนี้แล้ว เพราะปาจาส่งทั้งคู่ไปอยู่
ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนั่นเอง
ต่อด้านล่าง