B10
ผมงี้ตะลึงตาค้างอ่ะ นี่มันยังไงกันวะวันก่อนที่เจอมันนั่นยังไม่เห็นมันจะขาวใสยังงี้เลยนี่หว่า ทำไมตอนนี้มันหน้าเรียว ผิวก็เรียบเนียนขึ้นยังงี้อ่ะ ไอ้ป่านไอ้วินเห็นก็ตาค้างเหมือนกันครับ หันมาโวยวายทันที
" เฮ่ย... นั่นมันไอ้ฮิ้นท์แน่เหรอวะ เชี่ย....ย ทำไมมัน.... ขาวสวยเลยวะ ฮ่าๆๆ"
" ก็นั่นดิ กูงงเลยว่ะ มันไปทำอะไรมาวะเนี่ย" ไอ้วินยิ่งทำหน้างงหนัก
" เห็นมันบอกว่ามันจะพยายามลดหุ่นเพราะมันอยากดูดีว่ะ แต่นี่... กูก็งงโคตร ทำไมมันดูดีขึ้นเร็วจังวะเนี่ย" ผมเล่าให้พวกมันฟัง
" เชอะ... สวยด้วยแพทย์ล่ะสิยังเงี้ย ลงทุนไปทำหน้ามาซะขนาดนี้เลยนะ กลัวไม่มีใครเอารึไงไม่รุ" แหวนแดกดันไอ้ฮิ้นท์แล้วทำหน้างอ
" อ้าวๆ ไปว่าเค้านั่น ก็ใครจะสวยธรรมชาติอย่างคุณล่ะคร้าบ สวยเพอเฟคมาก........ก ไม่มีใครเทียบเทียม" ไอ้ป่านหันไปประชด แหวนก็หันขวับมาทันที
" พูดมาก... ไม่ต้องมาประชดชั้นย่ะ ชั้นสวยชั้นก็รู้ตัวดี ไม่ต้องมาย้ำ" เชิดใส่ซะหนึ่งที ไอ้ป่านไอ้วินก็ขำกันไป
แต่จะว่าไปนี่ผมยอมรับจริงๆอ่ะ ฮิ้นท์มันดูดีผิดไปจากเดิมมาก เมื่อก่อนหน้ามันจะมีแต่สิวดูหมองๆคล้ำๆแถมหน้ากลมเพราะอ้วนอีก แต่ตอนนี้ทำไมมัน..... เฮ้อ... มันดู.... เอ่อ... คงต้องใช้คำว่าสวยน่ารักมากกว่าว่ะ เพราะดูแล้วมันไม่ได้ดูหล่ออย่างผู้ชายแฮะ แต่ดูผิวเนียน ขาวใสเหมือนผู้หญิงมากกว่า ชักอยากรู้ มันไปทำอะไรมามั่งวะเนี่ยแค่ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์เอง
" เอ้าๆ จ้องตาไม่กระพริบเลยนะมึง ตะลึงความงามขนาดนี้เลยเหรอวะ ฮ่าๆๆ" ไอ้วินแซวผมขึ้นมา
" ไม่ใช่เว้ย กูแค่คิดอยู่ว่ามันไปทำอะไรมาวะดูดีขึ้นได้ซะขนาดนี้"
" เฮอะ... ก็งั้นๆแหละ ใครๆก็ทำได้ ไม่เห็นน่าตื่นเต้นซะหน่อย" แหวนยังบ่นแล้วก็เชิดใส่อีก
" แหม... ดูถูกดูแคลนเค้าจริ๊ง ระวังเหอะ เดี๋ยวถ้าเค้ากลายเป็นดาวเด่นขึ้นมาล่ะก็ เธอจะตกกระป๋องนะจ๊ะแหวน ฮ่าๆๆ" ไอ้ป่านครับ มันแขวะแหวนเลยโดนฝ่ามือไปทันทีดังป้าบ
" โอ๊ย... ลงไม้ลงมืออีกแล้ว" มันร้องลั่นจนคนอื่นหันมามอง
" เฮ้ย... พวกมึง เดี๋ยวก็โดนอาจารย์ไล่ออกไปข้างนอกกันอ่ะ พอๆๆ นั่น... เค้าจะเริ่มกันแล้วเว้ย" ผมต้องห้ามศึกก่อนไม่งั้นได้โดนอาจารย์เฉดหัวออกไปกันหมดแน่
ที่จริงตอนนี้ผมว่าคงไม่ได้มีแต่ผมนะที่ตกตะลึง เพราะมีเสียงฮือฮาจากคนอื่นที่ดูอยู่ด้วยดังอยู่รอบๆตัว เห็นฮิ้นท์มันมองซ้ายมองขวาเหมือนประหม่าอยู่ เท่านั้นไม่พอไอ้พี่ม.6ที่เป็นพิธีกรก็แซวมันด้วยอีกคนจนเกิดเสียงโห่ฮาดังขึ้นเลยครับ
" อะไรกันวะ แม่ง.... ยังงี้ไอ้ฮิ้นท์มันก็แย่ดิ เล่นมาโห่กันยังงี้" ผมไม่ค่อยพอใจว่ะมาทำยังงี้กะเพื่อนผม
" เออว่ะ... ปากหมาฉิบเลยไอ้รุ่นพี่นั่น" ไอ้วินหันมาบ่นกับผม แต่ตอนนี้ผมเห็นฮิ้นท์มันท่าทางโกรธนะ เพราะมันลุกขึ้นยืนและเหมือนจะเดินลงจากเวทีแล้วด้วย
" แม่ง.... แย่ว่ะ สงสารฮิ้นท์มัน" ผมหันไปบอกไอ้วินไอ้ป่าน แต่พอดีว่าก่อนที่ฮิ้นท์มันจะเดินลงอ.รำไพเค้าก็คุมสถานการณ์ไว้ได้ ด่าไอ้พิธีกรปากหมาซะหน้าหดเหลือสองนิ้วไปแล้ว ส่วนเด็กคนอื่นในห้องประชุมก็เงียบกันกริบ
" เออ... เจ๋งว่ะ เจออ.รำไพเข้าไป กริบเลยว่ะ ทั้งห้องประชุม ฮ่าๆๆ " ไอ้ป่านหัวเราะชอบใจ ผมก็สะใจเหมือนกัน
" อืม... ดีแล้ว แม่งต้องเจอยังงี้แหละ ปากดีกันนัก เป็นกูหน่อยไม่ได้จะตอกแม่งให้หน้าหงายเลย คนมันหน้าดีขึ้นก็ยังจะแซวกันอีก ไม่รู้อะไรของมันนักหนา" ผมพูดอย่างเคืองๆ
" เฮ้ย... ทำไมดูมึงโกรธเป็นเดือดเป็นแค้นแทนมันจังวะเนี่ย กูงงเลย เป็นไรวะ" ไอ้วินหันมาถาม
" นั่นสิ ทำไมฮัทต้องดูไม่พอใจขนาดนี้ด้วยฮึ..." แหวนถามผมอีกคน
" ป่าว... ก็มันน่าโมโหนี่หว่า โดนแซวขายขี้หน้าต่อหน้าคนทั้งห้องประชุมขนาดนี้ เป็นใครๆก็ต้องโกรธอ่ะ"
" เออ... มันก็ใช่ แต่ทุกทีกูเห็นมึงอ่ะนิ่งๆ ไม่ใช่คนโกรธอะไรง่ายๆนี่หว่า" ไอ้ป่านยังซักผมต่อ
" นั่นดิ... แปลกๆนะมึงเนี่ย" ไอ้วินก็เอามั่ง
" พอเลยๆ มึง... มันใช่ประเด็นมั๊ยเนี่ย จะมาซักกูกันเพื่อ.... โน่น... เค้าเริ่มแข่งกันแล้วเว้ย กูจะดูแข่ง" ผมตัดบทซะก่อนที่มันจะวุ่นวายกะผมมากกว่านี้แล้วนั่งกอดอกดูบนเวทีไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ก็มีแต่แหวนที่ยังมองผมแปลกๆ
พวกเรานั่งดูการแข่งไปเรื่อยๆ ฮิ้นท์มันโคตรเก่งว่ะตอบไม่ผิดเลยสักข้อ ชนะแน่ๆยังงี้ พอจบการแข่งขันก็เป็นไปตามที่คิด ฮิ้นท์มันชนะขาดลอยแล้วรับรางวัลไป แต่ผมก็ยังนึกๆห่วงมันอยู่ว่ามันคงเครียดที่โดนคนแซวยังงี้ คิดไปก็น่าโมโหจริงๆแหละ ไอ้พวกปากหมาทั้งหลายนั่นน่ะ
-
-
ช่วงนี้ผมก็ยังต้องซ้อมที่สนามศูนย์เยาวชนอยู่ครับ กว่าจะเลิกซ้อมก็ค่ำโน่นจนไม่มีเวลาทำอะไร อยากไปฝึกวาดรูปกับฮิ้นท์มันจะตายแต่ก็ต้องรอก่อน และวันนี้วันเสาร์ผมไปที่โน่นก็เจอไอ้โด่งตามที่มันบอกไว้ว่ามันจะมาวันเสาร์อาทิตย์
" เออ... เดี๋ยววันนี้ซ้อมเสร็จกูไปบ้านมึงอีกได้ป่ะ" มันเอ่ยขอผมยิ้มๆ วันนี้มันมาแปลกเว้ย เห็นทุกทีมันนิ่งๆแต่วันนี้ดูมันอารมณ์ดีๆยังไงไม่รู้
" ได้ดิ... อ๋อ... สงสัยมึงคงติดใจฝีมือกับข้าวอากูดิ ใช่มั๊ย"
" อืม... ก็... ใช่ว่ะ อามึงทำกับข้าวอร่อยทุกอย่างเลย แล้วก็ชวนแหวนมาด้วยนะเว้ย"
" เออ... อยู่แล้วล่ะ แหวนคงดีใจนะได้เจอมึง" พอผมรับคำมันก็ยิ้มออกมาเลย ไอ้นี่ชักยังไง...
เย็นนั้นมันก็มาบ้านผมแต่พอดีพ่อผมไม่อยู่เพราะเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ทีนี้มันเลยได้เจอแหวนสมใจมันล่ะ เห็นนั่งคุยกันสนุกสนานจนผมงี้เป็นส่วนเกินไปเลยว่ะ แต่พอเห็นไอ้โด่งมันดูยิ้มแย้มแจ่มใสยังงี้ผมรู้สึกดีนะ ไม่งั้นดูมันเหมือนคนแบกโลกไว้ตลอดยังไงไม่รู้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของมันตั้งแต่จากกันไปตอนเด็กๆนั่นมันไปพบเจออะไรมาบ้าง มันถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไป
" อร่อยมั๊ยลูก เอาข้าวอีกมั๊ย" อาวดีถามไอ้โด่งที่ตอนนี้ซัดข้าวไปแล้วซะเรียบ
" ไม่ละครับอา ท้องผมจะแตกละกินไปตั้งสามจาน ฮะๆๆ"
" แหม... ถือว่าเป็นของฟรีสินะ ถึงได้กินซะขนาดนี้อ่ะ" แหวนแกล้งแซวมัน
" อะไรๆ มาว่าเรา ก็ของมันอร่อยอ่ะ อาเค้าทำอร่อยจริงๆนี่นา"
" แหม... ปากหวานจริงนะจ๊ะ อย่าแกล้งชมหลอกคนแก่ให้หลงดีใจเลยนะ" อาวดีแกล้งแซวมันบ้างอย่างอารมณ์ดี
" ก็ผมพูดจริงนี่ครับอา วันหลังก็ต้องแวะมาอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นไปได้อยากย้ายกลับมาอยู่ข้างบ้านเหมือนเดิมด้วยครับจะได้มากินฝีมืออาทุกวันไปเลย"
" โห.. มึง จะเอางั้นเลยเหรอวะ ข้าวบ้านมึงไม่กินแล้วว่างั้น" ผมแกล้งว่ามันมั่ง
" เออว่ะ... กูอยากทำงั้นจริงๆ ถ้าทำได้นะ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ.... " มันบ่นแล้วถอนใจเบาๆ ผมเห็นแววเศร้ามากๆในตามันทันทีเลยนะแต่มันคงรู้ว่าผมสังเกตมันอยู่ มันเลยรีบหลบตา
" เออน่า... ไว้กูขอแวะมานี่บ่อยๆละกัน งั้นผมขอฝากตัวเป็นหลานอาด้วยคนนะครับ" ไอ้โด่งหันไปขอกับอาวดีอีก แกก็ยิ้มๆ
" เฮ้ย... อะไรวะมึง จะมาแย่งอากูไปซะงั้น กูไม่ให้เว้ย" ผมก็แกล้งโวยมันอีกแล้วยิ้ม อาวดีเค้าก็หันไปหัวเราะชอบใจกับแหวน
" อ่ะ... ไอ้นี่ ทำมาเป็นหวงนะมึง ไม่รู้เว้ย อาเค้ายอมรับกูแล้วอ่ะ ใช่มั๊ยครับอา ฮ่าๆๆ มึงอ่ะตกกระป๋องแล้ว"
ตอนนี้พวกเราคุยกันไปก็ขำไปอย่างสนุกสนานครับ รู้สึกดีเหมือนกันเพราะบ้านผมไม่ได้มีเสียงหัวเราะสนุกสนานยังงี้นานแล้ว ไอ้โด่งเองมันก็ดูสบายใจและผ่อนคลายไปเยอะ ไม่งั้นมันก็จะหน้าเครียดอยู่ตลอด
หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยก็ช่วยกันเก็บล้างครับ แล้วก็มานั่งคุยกันต่ออีกจนเพลิน
" อ้าวเฮ้ย... กู.... เพลินเลยว่ะเนี่ย สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ต้องรีบกลับแล้วว่ะ เฮ้อ... เดี๋ยวกูต้องขี่มอไซค์ข้ามจังหวัดอีกนะเนี่ย เซ็งเลย..... " ไอ้โด่งบ่นแล้วก็ลุกขึ้น
" เออว่ะ... ดึกมากแล้ว เฮ้ย... งั้นมึงค้างกะกูมั๊ย อย่าขี่กลับไปตอนนี้เลยว่ะ อันตราย แต่เออ... พรุ่งนี้มึงต้องไปไหนมั๊ยล่ะ"
" เฮ่ย... เกรงใจว่ะ ไม่ต้องหรอก"
" เกรงใจห่าไรล่ะ แค่นี้เอง" ผมว่ามัน ไอ้นี่... เสือกจะขี้เกรงใจขึ้นมา
" ใช่... ค้างกะฮัทเหอะโด่ง จะได้นั่งคุยกันต่ออีกหน่อย" แหวนยิ้มบอกมัน มันเองก็ยิ้มทันทีเหมือนกัน
" เออ... ก็ได้ๆ ดีเหมือนกันอ่ะจะได้ไม่ต้องขี่กลับตอนนี้" เหอะ... ดูมัน พอแหวนบอกเชื่อทันทีเลยว่ะ
" โห...มึง... รีบเปลี่ยนใจทันทีเลยนะ"
" เอ๊ะ... มึงนี่ ก็มึงชวนกูเองนะ" มันหันมามองตาขวางๆ ผมก็หัวเราะ จากนั้นเราก็นั่งคุยกันไปอีกพักนึงแหวนก็กลับบ้านไป
" ไปอาบน้ำก่อนเหอะ แล้วเดี๋ยวเอากางเกงบอลกูในตู้มาใส่นอนก่อนนะ" ผมบอกมันแล้วเอาผ้าเช็ดตัวให้ มันก็เดินไปอาบน้ำพอออกมาก็มาเปลี่ยนใส่กางเกงผม
" เฮ้ย... กูอยากถามอะไรมึงหน่อยว่ะโด่ง" ผมเริ่มเปิดประเด็นหลังจากที่เราเตรียมตัวจะนอนกันแล้ว
" อะไรวะ"
" วันนี้เราคุยกันไปตั้งหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องชีวิตกูกะแหวนที่ผ่านๆมาอ่ะ แล้วชีวิตที่ผ่านมาของมึงล่ะวะเป็นไงมั่ง ไม่เห็นมึงพูดถึงเลย เล่าให้กูฟังหน่อยดิ" พอผมลองถามมัน แต่จากที่นอนๆอยู่มันก็ลุกขึ้นมานั่งเลยครับแล้วก็ทำหน้าเครียดอีก
" ชีวิตกูมันไม่มีอะไรดีหรอกว่ะ กูเลยไม่อยากพูดถึงไง มึงคงเข้าใจนะเว้ย" นั่นไงครับ เจอคำนี้ของมันเข้าไปผมจบข่าวทันที
" เออๆ งั้นไม่เป็นไรว่ะ ถ้ามึงไม่อยากเล่าก็โอเค ขอโทษทีว่ะที่กูคงวุ่นวายกะมึงไปหน่อย แต่เพราะกูห่วงมึงไง อืม... งั้นนอนกันเหอะว่ะ" ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องไปก่อนที่มันจะเครียดไปกว่านี้ ก็แสดงว่าที่ผมคิดไว้คงจริงทุกอย่างแน่ ชีวิตมันคงผ่านอะไรเลวร้ายมามากมายเลยล่ะ
" อืม... เมื่อกี๊มึงบอกว่ามึงเป็นห่วงกูเหรอวะ" อยู่ๆมันก็ถามขึ้นมาอีกครับ หลังจากล้มตัวนอนกันไปแป๊บนึง
" ก็เออดิ... เห็นมึงดูอมทุกข์ยังไงไม่รู้ตอนที่เจอกันน่ะ แค่อยากรู้ว่ามึงมีอะไรในใจมั่งเผื่อถ้าช่วยมึงได้กูก็จะช่วย ยังไงก็เพื่อนกันนี่หว่า"
" มึงคิดงั้นจริงเหรอวะ"
" ก็จริงดิวะ ทำไมอ่ะ มึงไม่เชื่อกูเหรอวะ" ผมชักรำคาญที่ดูมันลังเลแล้วลังเลอีก
" ไม่ใช่ไม่เชื่อ... กูแค่แปลกใจน่ะ ว่าทำไมมึงอยากช่วยกู"
" ก็มึงเพื่อนกูมั๊ยล่ะ เหตุผลแค่นี้ไม่มากพอเหรอวะ"
" แต่ว่า... มึงไม่ได้เจอกะกูตั้งนานแล้วนะเว้ย แล้วนี่มึงยังคิดว่ากูเป็นเพื่อนสนิทมึงอยู่เหรอวะ"
" มึงนี่ก็คำถามเยอะว่ะ งั้นกูจะบอกมึงนะ ถึงเราไม่ได้เจอกันนานยังไงมึงก็ยังเป็นเพื่อนกูอ่ะ ความเป็นเพื่อนมันไม่เปลี่ยนตามเวลาหรอกว่ะ แล้วคำว่าเพื่อนสำหรับกูมันมีความหมายเดียวคือรักกันช่วยเหลือกันได้ทุกอย่างโดยไม่หวังอะไร โอเคป่ะวะ" ผมร่ายยาว มันก็อึ้งๆไปหน่อยนึง
" อืม... ก็จริงของมึง กูละอายใจว่ะ ที่ผ่านๆมากูไม่เคยนึงถึงมึงเลยนะ กูลืมความเป็นเพื่อนของเราไปซะสนิทเลย แต่ว่าอีกคนที่กูไม่เคยลืมได้เลยก็คือแหวนว่ะ"
" หา... " ผมหันไปมองมันทันที
" เออ... กูไม่เคยลืมแหวนจริงๆ ยอมรับเลยนะตอนนี้กูชอบแหวนว่ะ แต่กูก็พอรู้หรอกว่าแหวนคงชอบมึงอยู่จากที่เล่าให้ฟังวันนี้อ่ะ ใช่มั๊ย"
" ก็เออ... แต่... กูไม่ได้ชอบแหวนหรอกว่ะ ไม่เคยคิดว่าแหวนเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อนเลยนะเว้ย"
" หึๆ มึงไม่ต้องรีบปฏิเสธหรอก กูว่ากูพอดูรู้อยู่ แต่กูเองก็ไม่ได้หวังอะไรหรอกว่ะ ชีวิตกูมันก็ได้แค่นี้แหละ จะสมหวังอะไรสักอย่างมันก็ยากเต็มทีจนกูไม่หวังอะไรแล้วว่ะ" มันพูดแนวๆตัดพ้อมายังงี้ผมล่ะเห็นใจมันชะมัด
จากนั้นผมก็ขอให้มันระบายความในใจมาบ้าง ถ้ามันอยากจะเล่านะ มันเลยยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังตั้งแต่วันที่มันย้ายตามพ่อมันไป ความจริงที่ทำให้ผมได้แต่อึ้ง
ตั้งแต่ตอนที่จ่าหมายพ่อมันโดนย้ายไปสระบุรีนั่นก็เพราะไปพัวพันกับทั้งยาเสพติดและมาเฟียจนหัวหน้าต้องสั่งย้ายด่วน แม่มันก็รับไม่ได้ทะเลาะกับพ่อมันมาตลอดจนวันนึงแม่มันคงทนไม่ไหวอีกแล้วเลยผูกคอตายประชดไปยังงั้น และที่ร้ายคือคนที่มาเห็นศพคนแรกก็คือไอ้โด่งนี่เอง
ผลคือมันช๊อคไม่พูดไม่จากับใครไปเป็นอาทิตย์ๆจนปู่ย่ามันต้องให้มาทำพิธีเรียกขวัญเป็นการใหญ่ แล้วหลังจากนั้นมันก็ไม่พูดอะไรกับพ่อของมันอีกเลยเพราะมันคิดว่าที่แม่ตายก็เพราะพ่อมัน สุดท้ายมันก็เก็บข้าวของไปอยู่กับหลวงตาที่วัดโดยไม่สนใจเลยว่าพ่อมันจะห้ามมันยังไง มันบอกว่ามันไม่อยากเห็นหน้าพ่อมันอีกเพราะมันไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
จนทุกวันนี้พ่อมันกลับตัวแล้วเรียบร้อยมันเลยได้รู้ว่าจริงๆพ่อมันก็เสียใจมากและโทษตัวเองเรื่องแม่ของมันมาตลอดนั่นแหละ อีกอย่างการที่หลวงตาเค้าคอยสั่งสอนมันมาตลอดทำให้มันได้คิดและกลับมาคุยกับพ่อมันเหมือนเดิม แต่แผลในใจมันก็ยังคงอยู่เพราะมันทนใช้ชีวิตแบบนั้นมาตั้งหลายปี ฝันร้ายมันคงไม่จางไปง่ายๆหรอก จึงไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นคนอมทุกข์อย่างที่เห็น รันทดเหมือนละครน้ำเน่า แต่มันก็เป็นชีวิตจริงนั่นแหละ
" มาคิดดูมึงก็เหมือนกูนะ เราเสียแม่ไปแล้วเหมือนกันแต่อย่างน้อยเราก็ยังเหลือพ่อเราอีกคน ก็ต้องทำดีกับเค้าให้ดีที่สุดล่ะว่ะ ที่ผ่านๆมาพ่อมึงทำผิดก็จริงแต่เค้าก็ไม่ได้อยากให้อะไรๆมันเป็นแบบนี้นี่นะ ก็ดีแล้วที่มึงเข้าใจพ่อมึงซะทีอ่ะ" ผมบอกกับมันหวังจะให้มันรู้สึกดีขึ้น เพราะผมก็เป็นเด็กที่ขาดแม่เหมือนมันจริงๆ
" ก็เพราะหลวงตาคอยเตือนกูตลอดไง ว่าทุกๆอย่างมันต้องเป็นไปตามกรรมไม่มีใครมาฝืนได้ พ่อกูอาจจะผิดแต่ถ้าเค้าสำนึกได้แล้วก็สมควรได้รับการอภัย และที่สำคัญเค้าก็พ่อกูไงเพียงแต่ว่ากูก็ยังมีทำใจไม่ได้บ้างบางทีแค่นั้นล่ะว่ะ"
" เออ... ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว สักวันมึงก็ต้องทำใจได้ กูดีใจด้วยว่ะที่สุดท้ายพ่อมึงก็คิดได้แล้วกลับตัวเป็นคนดี ต่อไปก็คงไม่มีอะไรแล้วอย่าคิดมากอีกเลยนะเว้ย" ผมหันไปตบไหล่มันเบาๆมันก็ยิ้มให้
" กูขอบใจมึงว่ะฮัทที่รับฟังกู ทั้งๆที่กูลืมมึงไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น แต่มึงไม่เคยลืมกูแล้วก็ยังรักเพื่อนเชี่ยๆอย่างกูเหมือนเดิม ขอบใจจริงๆว่ะ" มันบอกผมแล้วก็หันมากอดผมไว้แล้วร้องไห้เบาๆ ผมก็กอดมันไว้ด้วยความรู้สึกดีที่มันไว้ใจผมและความเป็นเพื่อนของเรามันได้กลับมาอีกครั้งแล้ว ดีใจจริงๆครับ
-
-
พอเช้ามันกินข้าวเช้ากับผมเสร็จก็ขับรถกลับบ้านมันโดยไม่ลืมลาแหวน ผมล่ะอยากบอกแหวนเดี๋ยวนั้นเลยจริงๆว่ามีคนชอบอยู่นะ นิสัยมันก็ดีใช้ได้และเห็นกันมานาน นานที่สุดพอๆกับผมเลยแต่ก็ต้องเก็บไว้ก่อน ยังพูดไปไม่ได้ เรื่องยังงี้ผมต้องให้ไอ้โด่งมันจัดการเองหวังว่ามันคงพิชิตใจแหวนได้นะ ผมยินดีจะช่วยมันทุกอย่างอ่ะ เชียร์สุดตัวไปเลย เอ้า....
ผ่านไปอีกสองสามวันผมก็ยังคงยุ่งวุ่นวายหลายเรื่อง ชมรมศิลปะตอนนี้ก็เริ่มมีจัดกิจกรรมแล้วครับ อ.สุพจน์บอกว่าเร็วๆนี้จะจัดทริปไปถ่ายรูปกับวาดภาพกันที่เขื่อนป่าสักฯ เจ๋งสุดๆยังงี้ผมไม่พลาดแน่ สงสัยต้องไปรื้อกล้องตัวเก่งผมมาเตรียมไว้เลย
ที่จริงผมอ่ะชอบถ่ายรูปมาก ก็มากพอๆกับวาดรูปนั่นแหละ นี่ผมลงทุนเก็บเงินซื้ออุปกรณ์ไปตั้งเยอะเพราะศึกษาเรื่องกล้องอยู่ ถ่ายงานเก็บๆไว้ก็เยอะครับ โดยมากผมจะชอบถ่ายรูปขาวดำหรือโทนสีน้ำตาลแบบเก่าที่เรียกว่า ซีเปีย ผมชอบนะเวลาที่เราเก็บภาพนิ่งไว้แบบนี้ มันดูแล้วได้อารมณ์บางอย่างและเราสามารถกำหนดได้ว่าเราต้องการจะสื่ออะไรกับคนที่ได้ดูรูปของเรา ก็เหมือนวาดภาพทุกประการล่ะครับ
" ตกลงเธอจะไปด้วยมั๊ยล่ะ ครูจะได้สำรองที่ไว้ให้" อ.สุพจน์ถามผม
" ผมไปอยู่แล้วครับจารย์ อยากไปถ่ายรูปที่นั่นอีกคราวโน้นไปกันเองก็ได้ภาพสวยๆเยอะอยู่ครับ"
" ได้ๆ งั้นเดี๋ยวรอครูกำหนดวันแน่นอนก่อนนะ แล้วจะชวนใครไปด้วยอีกมั๊ยล่ะ"
" อืม.... " ผมหยุดคิดนิดนึง
" อ๋อ... ก็ต้องชวนฮิ้นท์มันไปด้วยอ่ะครับจารย์ ทริปนี้เราคงได้เห็นงานสวยๆของมันอีกหลายงานเลย แค่คิดผมก็ตื่นเต้นแล้วเนี่ย"
" โอเคๆ จะได้เตรียมที่นั่งไว้ให้ก่อน เพราะนอกนั้นก็คงมีแค่คนในชมรมไป ครูคงจองรถบัสแค่คันเดียวพอ" อ.สุพจน์สรุปให้ผมฟัง จนตอนนี้ผมชักตื่นเต้นขึ้นมาเลย ทริปนี้เราต้องไม่พลาด ฮ่าๆๆ
To be continued