รักวุ่นวายของนายตัวขาวสุดซ่า ตอนอวสาน (THE END) Up 11/5/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักวุ่นวายของนายตัวขาวสุดซ่า ตอนอวสาน (THE END) Up 11/5/62  (อ่าน 514719 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
ขออนุโมทนาสาธุ
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอิ่มบุญ
สาธุ สาธุ สาธุ
 :L2:







ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
เป็นตอนที่ดีมากๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป ปลื้มปิติมากๆค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
 อ่านแล้วปริ่มจนน้ำตาไหลเลย
คือ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

ออฟไลน์ Aopkk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขออนุโมทนาบุญ สาธุ

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อนุโมทนาด้วยค่ะ คิดถึงน้อง ทั้งสองนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ nepjun366

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ อิ่มเอมมาก ขออนุโมทนาบุญกับพี่ๆทั้งสองด้วยนะค่ะ สาธุๆๆค่ะ

ออฟไลน์ nutto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ซาบซึ้งมากครับพี่ อนุโทนาบุญอันเกิดจากความตั้งใจอันดีของพี่ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
สวัสดีสะวีดัด ทุกท่านค้าบบบ วันนี้เอาตอนใหม่มาลงแหละ อย่างที่บอกอะเนอะ จะเขียนย่อๆ อะคับ เพราะมันคือเรื่องราวนานนับเดือนเลยน่า ย่อๆ ให้พอเข้าใจเนอะ

เรื่องเล่าก็เป็นประสบการณ์ที่เคยเจอมาอะคับ แต่รับรองว่าตอนหน้าจะเป็นเรื่องเล่าที่อยู่ในประเทศพม่า อ่านแล้วมีน้ำตาไหลแน่นอน คิคิ

ติดตามอ่านกันเลยค้าบบบบ คิดถึงทุกคนน้า  :mew1: :mew1:

❣☾月亮☽❣ : อนุโมทนาสาธุนะคับบบบ  :mew1: :mew1:

j123 : ได้คับบบบ เดี๋ยวจะเขียนเล่าเรื่อยๆน้า เล่าเรื่องฉัตรอาจจะมีคับคงเป็นตอนพิเศษ คิคิ  :mew1: :mew1:

Yarkrak : อนุโมทนาบุญคับพี่ จุ๊บๆๆ  :mew1: :mew1:

tarper : สาธุคับบบบบ  :mew1: :mew1:

areenart1984 : อนุโมทนาบุญคับบบบ  :mew1: :mew1:

 Kfc_Pizza : เจริญพร สาธุ 5555+  :mew1: :mew1:

noy : เขียนเล่าเอง ยังน้ำตาไหลเลยคับ  :mew6: :mew6: :mew1: :mew1:

snowboxs : อนุโมทนาบุญคับบบ ตอนเขียนเล่าก็น้ำตาไหลอะคับ  :mew6: :mew6: :mew1: :mew1:

Aopkk : อนุโมทนาบุญคับบบบ  :mew1: :mew1:

sugarcane_aoi : อนุโมทนาบุญคับพี่ คิดถึงด้วยค้าบบบบ  :mew1: :mew1:

nepjun366 : อนุโมทนาบุญคับบบบ  :mew1: :mew1:

nutto : อนุโมทนาบุญนะเจ้านัท จุ๊บๆ  :mew1: :mew1:


ตอน 60 ความอัศจรรย์ของเพศบรรพชิต

   เมื่อทุกคนเดินทางกลับไปกันหมดแล้ว เป็นช่วงเวลาว่างมากเพียงพอที่ผมจะกลับเข้ามานั่งในกุฎิเพื่อทบทวนกิจวัตรประจำวันในฐานะพระภิกษุสงฆ์ พระอาจารย์เห็นว่า เมื่อทุกคนกลับไปกันหมดและเหลือเพียงแต่ผมกับพระอาจารย์ ท่านเลยแนะนำชี้แจงเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติที่ป้องกันการอาบัติหรือปาราชิก
“ท่าน ข้อปฏิบัตินั้นมีมากมายหลายประการ โดยเฉพาะศีลที่พระพุทธองค์ให้ภิกษุรักษาไว้ก็มีถึง 227 ข้อ ยังไงก็อยากให้ท่านรักษาศีลแปดเป็นพื้นฐานก่อน แล้วก็ห่างไกลจากกามราคะทั้งปวง จำกัดตนให้อยู่ภายใต้ความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ในระยะแรกเริ่มเพียงเท่านี้ก็จะช่วยได้มาก”
“พระอาจารย์ ห่างไกลจากกามราคะคือยังไงหรือครับ”
“ก็คือไม่เอาจิตใจไปผูกตัดกับความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีอารมณ์ทางเพศ ห้ามทำให้อสุจิเคลื่อน เว้นแต่ว่า หากเคลื่อนเองหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า การฝันเปียก นั่นไม่ผิดพระธรรมวินัย”
“อ๋อ...ถ้าจะเรียกภาษาทั่วไป คือ ห้ามสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง”
“ใช่โยม ข้อนี้สำคัญกับพระที่บวชใหม่และยังหนุ่มแน่นมาก ไม่ว่าจะทำต่อหน้าหรือลับหลัง ใจผู้ทำย่อมรู้ชัดแจ้งว่า อาบัติปาราชิกอย่างแน่นอน”
“ได้ครับพระอาจารย์ ผมจะยึดมั่นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอนครับ”
“แล้วแต่ท่านจะปฏิบัตินะ อะไรที่ดีก็ควรฝักใฝ่ อะไรที่ไม่ดีก็ควรหลักหนี ท่านเลือกได้”
“ครับ”
“15 วันแรกหากท่านมีความพร้อม เราจะไปธุดงด์ทางภาคเหนือ สถานที่ที่เดียวกับโยมเป๊บ ขอให้ท่านเตรียมความพร้อมให้ดี”
“ความพร้อมที่ว่า คืออะไรหรือครับ”
“ท่านจะรู้ได้ด้วยตัวเอง อย่าได้กังวลเลย”
“ครับ”
“ถ้าหากท่านหิว สามารถดื่มน้ำปาณะได้นะ ในช่วงค่ำคืนแรกอาจจะหิวมากเป็นพิเศษ ผ่านไปสักสองสามวันร่างกายจะปรับได้ไม่ต้องกังวล”
“ครับ”
“สำหรับในส่วนของการจำวัตร ท่านก็พักในห้องด้านล่าง ห้องเดียวกับโยมเป๊บ แล้วก็หลังสามทุ่มห้ามออกนอกกุฏิเป็นอันขาด”
   การห้ามของพระอาจารย์ทำให้ผมพาลนึกถึงเรื่องราวสยองขวัญที่เป๊บเล่าว่าเจอผีเปรตมาขอส่วนบุญ ต่างกันตรงที่ การนึกถึงเรื่องเล่านั้นในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นกลัวหรือตกใจอะไร ช่างแตกต่างจากวันนั้นที่ฟังเป๊บเล่าเสียจริง
“ได้ครับ”
“เจออะไรตั้งสติเข้าไว้ ไม่มีอะไรมาทำอันตรายท่านได้ถ้าสติมากเพียงพอ”
“ครับพระอาจารย์”
   หลังจากที่พระอาจารย์ได้ให้คำแนะนำเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ขึ้นไปจำวัตรบนกุฎิชั้นสอง ปล่อยให้ผมได้พักผ่อนและทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย ยอมรับครับว่า การเป็นพระในวันแรกทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน คือ จะนั่งๆนอนๆ ก็น่าจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ จึงได้ถือโอกาสเดินออกไปสำรวจบรรยากาศรอบบริเวณวัด
“มาหาพระอาจารย์หลายครั้งก็ไม่ได้เดินดูรอบๆ วัด ครั้งนี้ลองสำรวจดูดีกว่า” ผมเปรยบ่นกับตัวเองคนเดียว และก็เดินออกจากกุฎิ
   บรรยากาศภายในบริเวณวัดดูร่มรื่นดีครับ มีกุฏิแยกออกเป็นสัดส่วน กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณวัด เท่าที่ผมพิจารณา กุฏิของพระอาจารย์จะทำจากอิฐ ปูน แต่กุฎิที่เหลือก็จะทำจากไม้แทบทั้งนั้น ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมารู้ในภายหลังว่า การที่กุฎิของพระอาจารย์ดีกว่าหลังอื่นๆ เป็นเพราะมีผู้ใจบุญที่นับถือหลวงตาเงื่อม (ย้อนไปอ่านช่วงต้นๆ ที่ผมเจออุบัติเหตุ แล้วหลวงตามาช่วยไว้นะครับ) ได้สร้างกุฎิให้ และพระอาจารย์ท่านก็เป็นศิษย์ใกล้ชิด เลยได้รับทอดอาศัยกุฎิมาต่อเนื่องครับ
“ศิษย์น้อง จะไปไหนหรือ มานั่งด้วยกันก่อนซิ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกทัก ก็เจอพระน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันทักทาย ด้วยความมีมารยาท ผมก็ไปนั่งตามที่เขาเชิญชวน
“เป็นยังไงบ้าง บวชวันแรกๆ”
“ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันครับ”
“เดี๋ยวก็ชิน...”
   หลังจากนั้น พระที่เรียกแทนตัวเองว่าศิษย์พี่ ก็ถามนู่นนั่นนี่ ซักไซ้ไล่เรียง จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดและเหมือนถูกล่วงล้ำข้อมูลส่วนตัว ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจและรำคาญ คำถามที่ทำให้ความอดทนถึงที่สุดคือ
“เป็นลูกคนรวยหรือ น่าอิจฉา”
   ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมคนเราถึงจะต้องอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวชีวิตของคนอื่น แล้วการที่มาบวชเป็นพระก็เพื่อละทิ้งกิเลสไม่ใช่หรือ
“พอดีออกมานานแล้ว เดี๋ยวพระอาจารย์จะถามหา ขอตัวก่อนนะครับ”
   ผมก็ลุกขึ้นละทิ้งจากตรงนั้นทันที โดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย กลับเข้ามาที่กุฎิก็พบกับพระอาจารย์นั่งดูโทรทัศน์ที่กุฎิด้านล่าง
“ไปไหนมาละท่าน”
“เอ่อ..ก็เดินไปสำรวจรอบวัดมาครับ”
“ดีแล้วจะได้คุ้นเคย เป็นยังไงบ้างละ เจอใครเขาชวนคุยบ้าง”
   พระอาจารย์ถามเหมือนรู้ ผมก็เลยตัดสินใจเล่า
“ท่านพลาดแล้ว”
“หา..พลาดยังไงหรือครับ”
“พลาดที่ท่านอารมณ์ขุ่นมัว จนเกิดโทสะ ไม่พอใจเขา ไม่ใช่หรือ”
   ผมพิจารณาตามที่พระอาจารย์บอก ก็คิดตามว่าเป็นจริง เลยตั้งใจฟังเงียบๆ
“ท่าน เราควบคุมเขาไม่ได้ แต่เราควบคุมใจตัวเองได้ การที่เขาถามเขาไม่ผิด มันผิดที่ตัวเราต่างหากที่เอาจิตไปผูกกับเขา จนทำให้อารมณ์เราขุ่นมัว...ท่านมาบวชก็เพื่ออยากละทิ้งสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ”
   ผมยังคงเงียบ
“ขอให้ท่านได้พิจารณาให้ดี และรู้เท่าทันจิตตัวเอง เชื่อเถอะว่าท่านจะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน”
   พระอาจารย์เทศน์สอนเสร็จ ท่านก็ลุกขึ้น พร้อมกับสอนการใส่จีวรที่ถูกต้องให้กับผม
“ท่านจะต้องเรียนรู้การใส่ให้ถูกวิธีและคล่องแคล่วนะ ออกนอกวัดใส่แบบมิดชิด ในวัดเปิดบ่าได้ ตอนนี้ก็ลองฝึกหัดใส่ เพราะห้าโมงเย็นจะต้องไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น”
   การใส่จีวรไม่ยากครับ แต่การใส่ให้สวยนี่ซิยากยิ่งกว่า ประเด็นคือ ถ้าจัดระบบการใส่จีวรไม่ดี เดินไปเดินมามันก็จะหลุดลุ่ย
   การสวดมนต์ทำวัตรเย็นในวันแรก รู้สึกดีมากครับ ติดขัดก็ตรงที่ ผมยังสวดไม่คล่อง จะต้องคอยเปิดหนังสือสวดมนต์ควบคู่ไปด้วย
   ล่วงเข้าสู่เวลาในช่วงค่ำ อาการหิวของผมเกิดขึ้นเป็นระยะ เลยจำเป็นจะต้องฉันท์น้ำปาณะที่ฉัตรถวายมาให้ ณ อารมณ์ตอนนั้น ถึงได้เข้าใจว่า ปัจจัยหรือสังฆทานคุณภาพดีที่เราถวายพระสงฆ์ไปนั้น เมื่อถึงเวลาจำเป็นท่านได้ใช้จริงๆ นะครับ และบุญย่อมส่งกลับไปให้ผู้ถวายอย่างมากมายเลยทีเดียว
   การสรงน้ำหรืออาบน้ำ อุปกรณ์ทุกอย่าง ทั้งแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยกเว้นเครื่องหอม (พระธรรมวินัยห้ามภิกษุใช้เครื่องหอม) ก็ได้มาจากผู้ใจบุญ ทั้งพ่อแม่เพื่อนพี่น้อง และเป๊บ ถวายมามากมาย
   อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เป็นเวลาช่วงประมาณสองทุ่ม ตั้งใจว่าจะเข้านอนให้เร็วเพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นไปบิณฑบาตรพร้อมกับพระอาจารย์ในตอนเช้า
“นั่งสมาธิซะหน่อยดีกว่า” ผมเปรยบอกกับตัวเอง และเดินไปหยิบอาสนะมาปูลงบนพื้น แล้วเริ่มต้นนั่งสมาธิ
   ด้วยความที่ขาดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเว้นระยะจากการนั่งสมาธิมาเป็นเวลานาน จิตใจฟุ้งซ่านพอสมควรครับ แต่เมื่อพยายามค่อยๆ ควบคุมความคิด ปล่อยวางทำจิตใจให้สบาย จิตก็เกิดความนิ่งและเข้าสู่สมาธิได้มากยากนัก
   จำความรู้สึก ณ ขณะนั้นได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่จิตรู้สึกสบาย และมีความสงบเป็นอย่างมาก ผมประคองสมาธิให้คงที่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่ง
“วิ๊ดดดดดด....วิ๊ดดดดดดดดด”
   ผมได้ยินเสียงหวีดเบาๆ มาจากทางด้านหลังกุฎิ พลันทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เป๊บเล่า เสียงหวีดแหลมได้ทำให้สมาธิผมแตกกระจาย และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจและความกลัว ผมจึงตัดสินใจออกจากสมาธิ ลืมตา และตั้งใจฟังเสียงหวีดแหลมนั้นว่ายังคงมีอยู่หรือไม่
“วิ๊ดดดดดด....วิ๊ดดดดดดดด”
   ใช่ครับ เสียงหวีดแหลมยังคงมีอยู่ และที่ระทึกไปมากกว่านั้น คือ ระดับเสียงค่อยๆ ดังขึ้น ราวกับว่า เจ้าของต้นเสียงค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กุฎิตรงห้องนอนที่ผมจำวัตรอยู่
   ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ เริ่มทำให้ผมเหงื่อไหล และเกิดความกลัวมากพอสมควร นั่นคืออาการของคนที่ขาดสติ เสียงหวีดแหลมก็ยังคงดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ทำยังไงดีเรา...” ใจเต้นตึกตักมาก
   ด้วยความตกใจลนลาน ผมจึงเรียกสติกลับมา พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นตระหนกไปมากกว่านี้
“ใช่ซิ เราบวชเป็นพระแล้ว เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องไม่กลัวๆ”
   เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ ผมจึงเริ่มต้นนั่งสมาธิอีกครั้ง ความตกใจกลัวได้แปรเปลี่ยนเป็นการรวมจิตที่สงบ เสียงหวีดแหลมยังคงดังมาหยุดตรงหน้าต่างตรงห้องนอนที่ติดกับหลังกุฎิ
“วิ๊ดด..วิ๊ดดด..วิ๊ดดดดด”
   ด้วยจิตที่นิ่งเงียบสงัด ทำให้ผมพิจารณาต้นตอและสาเหตุของเสียงหวีดแหลมนั้น ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่าเสียงหวีดแหลมนั้นต้องการอะไร แต่จากการสัมผัสและรู้สึก เหมือนเจ้าของเสียงหวีดแหลมจะทุกข์ทรมานมาก และนั่นก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึก สงสารและเวทนา เป็นอย่างมาก จนทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“บุญอันใดที่อาตมาได้ทำมาดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การได้สร้างผลบุญกับพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอดีตกาล การได้สร้างผลบุญกับพระปัจเจกะพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอดีตกาล การได้สร้างผลบุญกับพระอรหันต์ในอดีตกาล บตลอดจนผลบุญอื่นใดที่ได้สร้างสมมานั้น อาตมาขออุทิศให้โยมผู้เป็นเจ้าของเสียงหวีดแหลมนี้ ขอให้โยมไปสู่สุขติภพหลุดพ้นจากวิบากรรมและบ่วงบาปทั้งปวง เทอญ”
   เมื่อผมกล่าวคำอุทิศบุญจบ ก็หลับตารวมสมาธิส่งพลังบุญให้กับผู้รับปลายทาง
“วิ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....”
   ผมได้ยินเสียงหวีดแหลมครางลากเสียงดังอย่างมาก ถ้าเปรียบได้กับการอยู่ในงานดนตรี ความดังของเสียงถึงขั้นแสบแก้วหูกันเลยทีเดียว
   เสียงหวีดแหลมได้เงียบสนิทไปแล้ว เสียงจั๊กกะจั่น เข้ามาแทนที่ และนั่นย่อมหมายความว่า เหตุการณ์ทุกอย่างได้สงบลงแล้ว

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ถ้ามีคำถามว่า ผมได้อะไรจากเหตุการณ์นี้นะหรือครับ คำตอบเดียวที่สามารถบอกได้ ณ ตอนนั้น คือ ความปิติและอิ่มเอิบใจ เป็นจิตที่รู้สึกสบาย เบา ว่าง สงบ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จิตมีความสดชื่นจนแทบไม่มีความง่วงย่างกรายเข้ามา เอาเข้าจริงๆ กว่าจะได้นอนเวลาก็ล่วงไปตีสามแล้ว
   ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อพระอาจารย์ลงมาจากกุฎิชั้นสอง ผมเด้งตัวขึ้น เข้าห้องน้ำล้างหน้า และห่มจีวรด้วยอาการเด๋อด๋า คือ ยังไม่ชำนาญมากนัก จนกระทั่งพระอาจารย์เข้ามาช่วยจัดจีวรให้ลงตัว
“คืนแรกเป็นอย่างไรบ้างท่าน” พระอาจารย์เอ่ยถามระหว่างที่กำลังจัดจีวรให้กับผม
“ก็...ดีครับพระอาจารย์ อาจจะแปลกที่เลยนอนไม่หลับบ้างครับ” ผมไม่กล้าเล่าเรื่องที่เจอ
“เมื่อคืนทำได้ดีนะท่าน พ้นทุกข์กันเป็นฝูง เชื่อแล้วว่าแข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้จริงๆ”
   พระอาจารย์พูดจบ ท่านก็ยิ้ม และเดินละออกไป เป็นดังที่เป๊บบอก พระอาจารย์ท่านรู้ความเคลื่อนไหวตลอดจริงๆ
   ผมกับพระอาจารย์เตรียมความพร้อหน้ากุฎิ ท่านสอนให้รู้จักวิธีการอุ้มบาตรอย่างถูกต้อง อุ้มอย่างไรให้กระชับ และไม่ทำให้สายคล้องคอเคลื่อนจนบาตรหล่น มีเด็กวัดเดินตามอีกสองคน
   เวลาประมาณตีห้าครึ่ง ผมกับพระอาจารย์ก็เริ่มเดินออกจากกุฏิมุ่งตรงไปทางหน้าวัด เลี้ยวซ้าย เดินไปตามฟุตบาทริมทาง เจอผู้สูงอายุ วัยผู้ใหญ่ วัยรุ่น วัยเด็ก ต่างนิมนต์ให้รับบาตรเป็นระยะ บ้างก็ถามว่านี่พระใหม่หรือ บ้างก็ชมว่าหล่อราวกับดารา สาวๆ บางคนก็เล่นหูเล่นตาใส่ผมก็มี จนเกิดความรู้สึกปลงสังเวชในเรื่องบาปกรรม นี่ขนาดเป็นพระยังไม่ละเว้นเรื่องแบบนั้น
   ปริมาณของใส่บาตรมีจำนวนมากจนเด็กวัดแทบถือไม่ไหว พระอาจารย์ได้นำพาผมเดินตามเส้นทางจนเลี้ยวกลับมาเข้าทางประตูหน้าวัด ผมเห็นรถยนต์หลายคันจอดเรียงรายข้างทางและเปิดไปฉุกเฉินไว้ ใช่ครับ พ่อแม่แด๊ดมัม พี่ๆ และเป๊บ มายืนรอเพื่อใส่บาตร
   เมื่อเดินมาถึง ลูกน้องแด๊ดหลายคนต่างกุลีกุจอมาช่วยขนของที่ได้จากการบิณฑบาต จนทำให้ผมกับพระอาจารย์และเด็กวัดเบาตัวลงไปได้มาก
   จริงๆ ทุกคนชวนผมคุยหลายประโยคมาก แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนตอนนั้นจิตมันว่างๆ นิ่งๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ
   รับบาตรเสร็จเรียบร้อย ผมกับพระอาจารย์ก็เดินไปยังโรงฉันท์ เพื่อเตรียมตัวฉันท์เช้าในเวลา 7 โมงของทุกวัน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระทุกรูปรวมถึงท่านเจ้าอาวาสจะต้องลงโรงฉันท์เพื่อโปรดญาตโยมที่นำภัตตาหารมาถวายเพิ่มเติม ครอบครัวของผมก็อยู่ร่วมเช่นกันครับ
   ผมฉันท์อาหารด้วยความสงบ โดยมีเป๊บมาเดินวนเวียนอยู่ข้างๆ คอยสอบถามอย่างสม่ำเสมอว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมไปอีกบ้าง
   สิ่งหนึ่งที่เกิดความประหลาดใจไปบ้างก็คือ ผมมองเป๊บด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ยังคงมีความรักให้เป็บแต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือโหยหา ไม่ทรมานและไม่คิดถึง กลับมองเป๊บเป็นแค่อากาศธาตุที่ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ผมไม่เข้าใจสภาวะตอนนั้นเหมือนกันครับว่า เป็นแบบนั้นได้อย่างไร
“ท่าน...อยู่กับปัจจุบัน อย่าโลดโผนเกินไป ทำตัวเป็นปัจจุบันนะท่าน”
   พระอาจารย์เชิงบอกผมด้วยเสียงเบาๆ ที่ไม่ดังมาก แต่ก็ก็เพียงพอที่ทำให้เป๊บที่ยืนอยู่ใกล้ได้ยิน และเป๊บเองก็มีสีหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด ผมมองหน้าแบบที่ถอดสีนั้น และก็ไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่า ความนิ่งเฉย
   จุดนี้ขอเล่าแทรกนะครับ จริงๆ มารู้เอาตอนสึกมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว เป็นบทสนทนาระหว่างพระอาจารย์กับเป๊บ
“พระอาจารย์ครับ เกิดอะไรขึ้นครับ หรือว่าจะเป็นเหมือนกับที่พระอาจารย์เคยบอก”
“ใช่โยมเป๊บ เมื่อคืนโยมโจ้เขาแผ่เมตตาช่วยเปรตกลุ่มหนึ่งไว้ ด้วยบุญบารมีที่โยมโจ้สั่งสมมาประกอบกับการปฏิบัติธรรมหลายภพชาติ จนตอนนี้จิตของโยมโจ้เข้าไปอยู่ในฌานสมาบัติ จึงเกิดความนิ่งและวางเฉย”
“ทำไมเร็วขนาดนั้นครับ”
“ของแบบนี้มันเป็นวาสนาเก่าและบุญเก่า ไม่มีใครรู้ได้หรอก”
“แล้วแบบนี้พระท่านจะสึกไหมครับ”
“สึกซิ แต่ว่าจะนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ได้ โยมเป๊บไม่ต้องกังวลนะ”
“ผมไม่เคยเห็นโจ้...เอ้ย พระท่านนิ่งแบบนั้นมาก่อน ผมกลัวนะครับพระอาจารย์”
“ใจเย็นๆนะ มันเป็นแค่ครั้งคราว”
“แต่ถ้าพระท่านจะไม่สึก ผมก็พร้อมอนุโมทนานะครับ”
“โยมเป๊บใจเย็นๆนะ อย่าได้คิดไปก่อน เชื่อเถอะสึกแน่นอน ตอนนี้ท่านแค่ปิติในฌานเท่านั้น”
   นี่คือบทสนทนาระหว่างเป๊บกับพระอาจารย์ที่ผมพอจะจำได้ ตอนสึกครั้งนั้นได้พูดคุยกัน จำได้ว่า ขณะที่เล่าเป๊บน้ำตาไหล กอดผมไว้แน่นมาก เป๊บถ่ายทอดอารมณ์จากความรู้สึกว่ากลัวผมจะไม่สึกและมุ่งปฏิบัติธรรมจนเข้านิพพานไป
   แม้กระทั่งพ่อแม่แด๊ดมัม น้องๆ พี่ๆ ต่างก็เข้ามาถามพระอาจารย์ว่า ผมเป็นอะไร ทำไมดูนิ่งๆ วางเฉย จะป่วยก็ไม่ใช่ เพราะหน้าตาผ่องใสมาก เหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเรา พระอาจารย์ก็เลยเล่าเหมือนที่เล่าเป๊บ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจและตกใจไปตามๆ กัน
“โยมทุกคนมาใส่บาตรอีกแค่สองวันพอนะ ปล่อยให้ท่านปิติในฌานไปก่อน เอ่อโยม (พระอาจารย์หันไปคุยกับแด๊ด) นับจากนี้อีก 15 วัน อาตมาจะพาพระท่านไปธุดงด์ที่รัฐฉาน ประเทศพม่า จะพาไปพบพระเกจิให้สอนแนวทางปฏิบัติให้ถูกทาง โยมพอจะเป็นธุระให้ได้ไหม”
“พระอาจารย์ยินดีมากๆ ครับ เดี๋ยวเรื่องการเดินทางผมเช่า Charter Flight บินตรงไปลงสนามบินที่ใกล้ที่สุด พระอาจารย์ต้องการคนติดตามจนไปถึงสถานที่ธุงดงด์ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรโยม เอาเพียงแค่ถึงสนามบินปลายทางก็พอ”
“แล้ววันที่เดินทางพวกเราไปส่งได้ไหมครับ”
“ได้โยม แต่โยมอย่าวิตกนะ ถ้าพระท่านนิ่งเฉยใส่ ท่านไม่มีอะไรไปมากกว่าความสงบในจิตที่ทุกคนควรอนุโมทนานะ โยมพ่อโยมแม่ ได้บุญมากเลยทีเดียว มากเลยจริงๆ”
   คำบอกเล่าของพระอาจารย์ทำให้พ่อกับแม่ถึงกับอนุโมทนาพร้อมน้ำตารื่นๆ
“ตอนนี้พระท่านมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าแล้วนะ อาตมาเข้าใจว่าโยมทุกคนต่างก็รู้สึกวิตกและกลัวไปตามๆ กัน เอาเข้าจริงอาตมาก็เพิ่งเจอคนบวชใหม่ในคืนแรกที่เข้าสู่ฌานสมาบัติ หาไม่ได้ในยุคนี้หรอก แต่ยังไงให้โยมทุกคนคิดเสียว่า พระท่านทำบุญมาดีมาก มีของเก่าไว้มาก จึงเป็นเหตุให้เป็นแบบนี้ในภพนี้”
   คำปลอบประโลมของพระอาจารย์คลายความกังวลของทุกคนลงไปได้มาก เมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อย ทุกคนก็เดินมาที่กุฎิเพื่อกราบลา
“ท่านครับ แด๊ดกับทุกคนกราบนมัสการลา ขาดเหลือสิ่งใดแจ้งไปนะครับ”
“เจริญพรโยมแด๊ด ถ้าต้องการอะไรจะแจ้งไปอีกครั้งครับ” ผมตอบแด๊ดไปด้วยรอยยิ้มปกติ
   ทุกคนต่างก็เดินละออกจากกุฎิเพื่อไปขึ้นรถ มีเพียงแต่เป๊บเท่านั้นที่คลานเข่าเข้ามากราบที่หน้าตักผม
“ผมกราบลานะครับท่าน อาจจะไม่ได้มาดูแลอีก ท่านดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“เจริญพรโยมเป๊บ ไม่ต้องห่วงอาตมาดูแลตัวเองได้ ขอให้โยมมีความสุขมากๆ นะ” ผมเอามือไปแตะที่ศรีษะเป๊บ
   อารมณ์ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไปมากกว่าความปรารถนาดีอยากให้ทุกคนรวมทั้งเป๊บมีความสุข ซึ่งต่างสีหน้าของเป๊บเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ที่ดูตาแดงๆ เหมือนคนร้องไห้ ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ไม่รู้ซิครับ บรรยายไม่ถูก มันไม่ยินดียินร้ายกับอะไรเลย

   ล่วงเข้าสู่การบวชในวันที่ 7 สามวันที่ผ่านมานี้ ทุกคนในครอบครัวไม่ได้มาใส่บาตรแล้วครับ และผมเองก็มีความคล่องในการใส่จีวรได้เองแล้ว รวมถึงการออกบิณฑบาต ก็สามารถเดินได้คนเดียวโดยไม่ต้องเดินตามพระอาจารย์อีก เพียงแต่คงมีเด็กวัดที่ชื่อ จ้อย เดินตามไปด้วยทุกเช้าเท่านั้น จ้อยอายุประมาณสิบขวบ เป็นเด็กกำพร้าที่ทางเจ้าอาวาสนำมาอยู่ในวัด และจ้อยติดผมมากพอสมควรด้วยเหตุที่จ้อยไปบอกกับคนอื่นๆว่า หลวงพี่โจ้ ใจดี แบ่งปันทุกอย่างให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกิน เสื้อผ้า เงินทอง จริงๆ แล้วสาเหตุที่ผมเมตตาจ้อยเพราะกำลังอยู่ในวัยเรียน และดูลำบากมากกว่าใคร ผมจึงเลยโทรหาเป๊บ หาฉัตร หรือเพื่อนๆ ให้ซื้อชุดนักเรียน รองเท้า อุปกรณ์การเรียน มาให้กับจ้อย
   ความตลกอยู่ตรงที่ เมื่อผมร้องขอฉัตรไป นางดูตื่นเต้นมาก ซื้อของมาถวายราวกับว่าไปเหมามาทั้งตลาดโบ๊เบ๊ จนทำให้ผมประหลาดใจมากพอสมควร
“อ้าว ก็นึกว่าท่านต้องการมาก อิชั้นก็เลยไปเหมามา” ฉัตรบอกผมด้วยสีหน้าแบบยิ้มๆ
“ก็แจ้งโยมเป๊บไปแล้วว่าไม่ต้องมากมาย”
“ผมบอกฉัตรแล้วนะครับท่าน แต่ฉัตรบอกว่า ซื้อไปเยอะๆไว้ก่อนเหลือดีกว่าขาด” เป๊บตอบแบบติดตลก
   กลายเป็นว่า ข้าวของที่ฉัตรซื้อมาถวาย ก็เผื่อแผ่ไปยังนักเรียนวัดคนอื่นๆ ต่างก็ดีใจกันมาก และนั่นก็ทำให้ชื่อเสียงด้านความใจดีของผมแผ่ขยายไปไกล รวมถึงฉัตรที่พระหลายรูปอยากได้มาเป็นโยมอุปฐากส่วนตัว และเหตุการณ์นี้สร้างความอิจฉาให้เกิดขึ้นกับพระรูปอื่นๆ ต่างเอาเรื่องราวผิดเพศของผมไปนินทาอย่างเมามันส์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่มีใครในโลกที่ไม่ถูกนินทา การไปโต้ตอบก็เปรียบเสมือนถ่มน้ำลายขึ้นไปบนฟ้า และน้ำลายนั้นก็จะตกมายังหน้าตัวเองในที่สุด
   กิจวัตรประจำวันที่ผมปฏิบัติคือ การออกบิณฑบาต สวดมนต์ทำวัตรเช้า เย็น และการปฏิบัติสมาธิเป็นประจำทุกคืน เป็นช่วงชีวิตที่ผมรู้สึกดีมากๆ ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสบายใจ ไม่ต้องพกเงิน ทอง หรืออะไรเลย ทุกอย่างอยู่กับความพอดี ทางสายกลาง ในชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าความสงบที่เกิดขึ้น
“วันมะรืนนี้เราจะไปธุดงด์ที่พม่าแล้วนะท่าน เตรียมพร้อมหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับพระอาจารย์”
“โยมไม่กลัวลำบากหรือ” พระอาจารย์ถามผม
“ไม่ครับ ไม่รู้ซิครับ ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่า อยู่กับปัจจุบันนี้ครับ”
   พระอาจารย์ไม่ได้ตอบอะไรไปมากว่ายิ้ม แล้วพูดเบาๆ ว่า ของเก่าดีมากจริงๆ
   เช้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะบิณฑบาต เพราะว่าหลังจากฉันท์เพลเสร็จ จะมีรถมารับผมกับพระอาจารย์เดินทางไปสนามบินดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องบิน Charter Flight ไปยังประเทศพม่าในช่วงบ่าย
   ผมเดินออกจากกุฏิในเวลาตีห้ายี่สิบนาที เป็นช่วงที่กำลังมืด ท้องฟ้ายังไม่สางเท่าไหร่นัก จ้อยก็เดินตามผมด้วยอาการง่วงหาวนอนตามประสาเด็ก ผมเดินมุ่งออกไปทางหน้าประตูวัด และสังเกตเห็นเงาบางอย่างยืนอยู่ในต้นไม้ทางด้านซ้าย
   ผมทราบทันทีว่า ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครที่จะมายืนตรงนั้นในเวลานี้ คำถามคือ ผมกลัวหรือไม่ ตอบทันทีเลยครับว่า ไม่กลัว และมั่นใจว่าไม่ใช่โจรแน่นอน
   ผมเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เงาดำนั้น เหมือนหันมองมาที่ตัวผมตลอด พอถึงจุดที่เข้าใกล้ เงาดำค่อยๆ ย่อตัวนั่งยองๆ ยกมือไหว้ ทุกท่านลองนึกภาพตามนะครับ เงาดำไม่เห็นหน้าไม่มีเสื้อผ้า แต่ความดำของเงา ดำเข้มยิ่งกว่าความมืด มันเป็นรูปร่างของคนท้วมๆ เอาจริงๆ ถ้าคนทั่วไปมาเห็นก็คือ ผี นั่นแหละครับ
   ผมหยุดตรงที่เงาดำเข้มนั่งยองๆ และหันไปหาเงาดำนั้น พร้อมเอ่ยว่า
“โยม ความผูกพัน สัญญา จะเป็นบ่วงให้โยมไม่ได้ไปไหน จะต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ โยมจงละความผูกพันและสัญญา และรับบุญจากอาตมาไปสู่สุขคติภพ...บุญอันใดที่อาตมาทำมาดีแล้ว ด้วยบุญนั้นอาตมาขออุทิศให้โยมทั้งหมด ขอให้โยมไปสู่สุขคติและมีความสุขตลอดไปเทอญ”
   เมื่อผมลืมตา เงาดำนั้นก็หายไปแล้ว เห็นเพียงแต่ จ้อย ที่ยืนเกาะจีวรผมแน่นมาก พร้อมถามด้วยความตกใจว่า หลวงพี่คุยอะไรกับใคร ตอนนั้นไม่ตลกครับ แต่พอสึก มานั่งทบทวน ขำมากๆ
   ชาวบ้านที่ใส่บาตร เป็นประจำ หรือที่ผมมาเรียกในภายหลังว่า แฟนคลับ พอทราบว่าผมจะออกไปธุงดงด์ไม่มีกำหนดกลับ ต่างก็ตกใจ และบ่นด้วยความคิดถึง ผมเองก็ได้แต่ปลอบไปว่า ไปแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่นานก็กลับมา
   ในช่วงประมาณใกล้เที่ยง รถอัลพาร์ดสีดำ โดยมี เวช เป็นคนขับ ได้มาจอดเทียบหน้ากุฎิ เพื่อมารับผมกับพระอาจารย์ เดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง
“มาคนเดียวหรือโยมเวช” ผมเอ่ยถาม
“คนเดียวครับท่าน พวกคุณๆท่านที่เหลือไปคอยที่สนามบินแล้วครับ”
“คอยอีกสักแป๊บ พระอาจารย์ออกมาเมื่อไหร่ค่อยเดินทางกัน”
“มีกระเป๋าให้ช่วยขนไหมครับ”
“สองใบนี้ขนขึ้นรถได้เลย”
   ผมเห็นจ้อยมาเดินด้อมๆมองๆ ตรงแถวๆกุฎิ
“จ้อย มีอะไรหรือ” ผมเอ่ยทักไป
“หลวงพี่ จะกลับมามั้ยครับ” จ้อยเอ่ยถามพร้อมร้องไห้
“ไม่ต้องไห้ หลวงพี่ไปเป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
“จ้อยกลัวหลวงพี่ไม่กลับ จ้อยคิดถึงครับ”
“กลับซิ ไปไม่นานเดี๋ยวก็มา หลวงพี่ไม่อยู่ ตั้งใจเรียนนะ โตขึ้นจะได้มีชีวิตที่ดี”
“ครับ”
“เงินค่าขนมไปเบิกยายชีนะ หลวงพี่เอาเงินไว้ให้ยายชีแล้ว ซื้อของที่จำเป็นนะ อย่าไปซื้อของไม่ดี”
“ครับ”
   เมื่อพระอาจารย์ลงจากกุฎิ ก็นำพาผมไปกราบลาท่านเจ้าอาวาส ท่านเข้าอาวาสก็ให้พรขอให้การไปธุดงด์สำเร็จดังใจหวัง หลังจากนั้นรถสีดำคันงามก็ได้นำพาผมกับพระอาจารย์ออกจากวัด โดยมีจ้อยและพระอีกสองสามรูปยืนคอยส่งหน้ากุฎิ เอาเข้าจริงก็รู้สึกเป็นห่วงจ้อยเหมือนกัน
   เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง อาคารก็ดูเงียบเหงา เพราะในช่วงนั้นเป็นรอยต่อระหว่างการย้ายไปใช้งานสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองจึงถูกให้เป็นแหล่งของเที่ยวบินเช่าเหมาลำ จึงทำให้คนน้อยมากๆ เจ้าหน้าได้เดินนำผมกับพระอาจารย์ไปยังจุดที่เครื่องบินจอด และเมื่อไปถึงก็พบว่า ทุกคนมารออยู่ก่อนแล้ว
“พระอาจารย์ เดี๋ยวผมกับทุกคนจะเดินทางไปด้วย เมื่อถึงสนามบินปลายทางจะบินกลับทันทีนะครับ”
“แล้วแต่โยมสะดวกเลยนะ”
   พวกเราทุกคนก็ขึ้นเครื่องบิน โดยมีผมกับพระอาจารย์นั่งแถวหน้าสุด แล้วตามด้วยคนอื่นๆ เที่ยวบินนี้ไม่มีเป๊บเดินทางไปด้วย ผมทราบเหตุผลดีครับว่าเพราะอะไร คงเป็นเหตุผลเดียวกับครั้งที่เป๊บกับพระอาจารย์ไปธุดงด์ที่พม่าเช่นกัน
   เที่ยวบินนี้เดินทางไปสนามบินของเมืองที่มีชื่อว่า เมืองพยาก (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) เพราะเป็นสนามบินที่ใกล้ที่สุดที่จะเดินทางไปยังรัฐฉานได้
   การเดินทางใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เครื่องบินก็แตะรันเวย์สนามบินเมืองพยาก ณ เวลานั้นไม่มีความเจริญใดๆ สนามบินยังดูมีหญ้าคารกรุงรังเลยครับ ตอนที่ลงจากเครื่องบิน เมื่อมองไปไกลๆ เห็นคนกลุ่มหนึ่งมาคอยรอรับพระอาจารย์กับผมอยู่ก่อนแล้ว
“พระอาจารย์ ผมมาส่งได้เท่านี้นะครับ” แด๊ดเอ่ยกับพระอาจารย์
“ขอบใจโยมมากนะ ที่เป็นธุระให้”
“ท่านครับ ในถุงนี้มีปัจจัย โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในต่างประเทศได้ พร้อมกับสังฆภัณฑ์ต่างๆ เป๊บ ฉัตร และเพื่อนๆ ฝากมาถวายให้ท่านเผื่อจำเป็นครับ”
“โยมพ่อเอากลับไปเถอะ อยู่ที่นี่อาตมาไม่ได้ใช้อะไร”
“แต่เป็นความตั้งใจของเพื่อนๆ ท่านนะครับ รับไว้คงไม่เสียหาย”
“ท่านรับไว้เถอะ ผู้ถวายเขามีจิตศรัทธา ท่านรับไว้เขาก็ได้บุญนะ”
   ผมทำตามที่พระอาจารย์แนะนำ รับถุงปัจจัยไว้ และเดินเข้ามายังตัวอาคารของสนามบินเพื่อเดินทางไปยังปลายทางที่ได้กำหนดไว้
   ระหว่างที่นั่งรถออกมาจากสนามบิน แล่นผ่านบนถนนที่มีความขรุขระ ผมได้ยินเสียงเครื่องบินคำราม และเร่งเครื่องขึ้นทะยานจากสนามบิน ผมมองตามเครื่องบินลำนั้นที่บินจนลับเข้ากลีบเมฆไป
   <โยมพ่อโยมแม่และทุกคน ไม่ต้องห่วงนะครับ อาตมาจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ขอให้โยมพ่อโยมแม่และทุกคนมีความสุขมากๆ นะครับ>


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปิติ
อดีตชาติทำมาดี ชาตินี้ก็หมั่นทำต่อไปนะคะ
อนุโมทนาบุญค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ได้ปลดปล่อยให้เขาไปเกิดให้เขาหมดทุกข์เป็นบุญใหญ่มากๆค่ะ อนุโมทนาสาธุ ค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปิติ
อดีตชาติทำมาดี ชาตินี้ก็หมั่นทำต่อไปนะคะ
อนุโมทนาบุญค่ะ

เป็นเหมือนกัน
ชื่นชมกับการวางตัวและวัตรปฏิบัติของพระมาก
อนุโมทนาบุญค่ะ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
ตอนนี้อ่านแล้วมีแต่ความตื้นตันใจบรรยายไม่ถูกเลย :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ YouandMe

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
อ่านแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ
ปลื้มแทนทุกๆ คนเลยค่ะ  :impress:

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ซาบซึ้งเป็นปลื้มมาก ๆ อนุโมทนาบุญ สาธุ

ออฟไลน์ sodamint.11

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆมากเลย
อยากรู้ตอนนี้จ้อยเป็นไงบ้าง
ยังได้เรียนหนังสือไหมคะ

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีมากๆ
ทำให้อยากฝึกนั่งสมาธิ
เพื่อได้ทำจะได้สะสมบุญกับเขาบ้าง
อนุโมทนา
สาธุ สาธุ คะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
อ่านแล้วรู้สึกเข้าไกล้พุทธศาสนาอีกนิด

ออฟไลน์ nepjun366

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อนุโมทนาบุญด้วยอีกครั้งค่ะพี่โจ้ อ่านแล้วซาบซึ้งมากได้เขาใกล้พุทธศาสนามากขึ้น ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่พี่ๆนำมาแบ่งปันให้FCได้ติดตามนะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
สวัสดีวันอาสาฬหบูชา
ขอให้น้องโจและเป๊บมีความสุขในวันหยุดยาวครับ
 :mew1:

ออฟไลน์ nutto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อ่านแล้วก็รู้สึกปิติ ในบุญที่พี่ได้กระทำมากๆเลยนะครับพี่โจ้

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ยินดีในบุญกุศลที่น้องโจ้เคยสร้างไว้ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
ชอบชื่อตอนนี้ ไพเราะดี รออ่านตอนต่อค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
สวัสดีค้าบบบบ แฮร่ๆ นำตอนใหม่มาลงแล้วน้า ชื่อตอนก็ใช้ขื่อเดิมแหละ แต่ใส่คำว่า ภาคจบเนอะ ตอนหน้าก็เป็นตอนอวสานแล้วนะค้าบ จะพยายามเร่งเขียนเน้อ  :mew1: :mew1:

สำหรับในตอนนี้ เขียนจากประสบการณ์ทั้งหมดที่จำได้และพยายามถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว อาจจะมีการกระโดดไปมาบ้าง ไม่ลื่นไหลบ้าง ก็ขออภัยนะครับ

ตัวละครสมมติชื่อขึ้นมาใหม่นะคับ แล้วก็ขออนุญาตไม่ตอบคำถาม ชื่อวัด สถานที่จริง หรืออะไรทั้งนั้น เพราะว่าไม่อยากเปิดเผยให้ได้รับรู้กัน อาจจะสร้างความเดือดร้อนไปยังปลายทางได้คับ  :mew1: :mew1:

อ่านให้สนุกน้า แล้วเจอกันในตอนอวสานคับ

ปล.เขียนไปร้องไห้ไปแหละ เรื่องราวจริงมันซึ้งมากมายเลยน้า  :mew6: :mew6: :mew1: :mew1:


ตอนที่ 61
   ภายหลังจากเครื่องบินได้บินลับเข้าไปในกลีบเมฆ ผมกับพระอาจารย์ พร้อมด้วย ชาวพม่าที่มารอรับพร้อมพูดไทยได้คล่องแคล่ว ก็เดินทางไปยังสถานที่ปฏิบัติธรรม อันเป็นสถานที่ที่จะจำวัตรตลอดการมาธุดงด์ในรัฐฉาน เมืองพยาก ประเทศพม่าแห่งนี้ การเดินทางด้วยรถยนต์ผ่านเส้นทางถนนลูกรังที่เรียบบ้าง ขรุขระบ้าง และบางช่วงก็เป็นถนนลาดยาง แม้กระนั้นก็เป็นส่วนน้อยที่ถนนจะราบเรียบ ทุกคนในรถต่างตัวโยกกันไปมาตามความขรุขระตลอดเส้นทาง
   ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง รถตู้สภาพไม่ใหม่นักได้นำผมกับพระอาจารย์เดินทางมาถึงวัด แต่เอาเข้าจริงแล้ว น่าจะเป็นสำนักสงฆ์มากกว่าความเป็นวัด เพราะไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างอะไรที่มากมายนัก แม้แต่โบสถ์ ก็ยังเป็นโบสถ์ไม้ เก่า แต่มีความสวยงามอย่างน่าประหลาด
   รถตู้คันเก่าได้มาหยุดจอดอยู่ที่หน้ากุฏิไม้หลังหนึ่ง ผมกับพระอาจารย์ลงจากรถด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน พระอาจารย์ดูนิ่งเฉยคงเป็นเพราะมาสถานที่นี้หลายครั้งแล้ว มีความแตกต่างจากผมมาที่ได้มาเยือนสถานนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะดูไม่มีความเจริญอะไรเลย แต่ก็ร่มรื่นเย็นสบายเหมาะสมกับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก
“ท่าน ขึ้นกุฏิไปกราบหลวงปู่ก่อน”
   พระอาจารย์ก็เดินนำพาผมขึ้นไปกุฏิ ก็พบเจอพระภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้า เมื่อท่านเห็นพระอาจารย์ ท่านก็ยกมือไหว้ ส่วนตัวผมก็ยกมือไหว้ท่าน
   คงพอทราบใช่ไหมครับ พระภิกษุจะไหว้เคารพกันตามความแก่ของจำนวนการบวชในแต่ละพรรษา แม้อายุมากกว่าหากพรรษาบวชน้อยกว่า เราก็จะต้องให้ความเคารพคนที่พรรษาบวชนานกว่า เป็นกฎและธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลครับ
“นมัสการครับพระอาจารย์อุดม”
“นมัสการครับท่าน หลวงปู่สิมท่านอยู่ไหมครับ”
“เดี๋ยวผมเข้าไปเรียนท่านให้นะครับ หลวงปู่ท่านเข้ากรรมฐานตั้งแต่เช้าแล้ว”
   ยังไม่ทันที่เจ้าของเสียงจะลุกขึ้นไปแจ้ง หลวงปู่ท่านเปิดประตู เดินออกมาจากห้องด้านใน เมื่อหลวงพี่เห็นดังนั้น ก็รีบเดินเข้าไปพยุงหลวงปู่
“อุดมหรือ” หลวงปู่ทักทายด้วยใบหน้ามีเมตตาและยิ้มแย้มอย่างมาก
“กราบนมัสการครับอาจารย์” พระอาจารย์อุดมก้มลงกราบสามครั้ง ตัวผมเองก็ก้มลงกราบด้วย
“เออๆ เจริญๆ เข้านิพพานเร็วๆเน้อ” หลวงปู่อวยพรพระอาจารย์อุดม
“สาธุครับ คงอีกยาวนาน นิมนต์หลวงปู่เข้านิพพานก่อนเลยครับ”
“หึหึหึ ขอบใจเอ็ง ใกล้แล้ว....แล้วนี่พระใหม่รึ”
“ใช่ครับ เพิ่งบวชได้ไม่ถึงเดือนนี่เอง เลยพามากราบหลวงปู่เพื่อขอคำชี้แนะในการปฏิบัติธรรมครับ”
“ข้าเองจะแนะนำอะไรได้ เขาก็มีของเก่า จิตโลดโผนไปได้รวดเร็ว อยู่กับเอ็งก็ดีแล้ว เอ็งสอนได้”
   ตอนนั้นรู้สึกตกใจเหมือนกันนะครับ หลวงปู่คงทราบจากวาระจิตในความเป็นไปของการปฏิบัติธรรมของผม
“เอ็งชื่ออะไรละ”
“โจ้ครับ”
“นามละ”
“อ๋อ...กตปุญโญ (กะตะปุญโญ) ครับ”
“แปลว่าอะไร”
“ผู้มีปัญญาดุจดั่งแสงสว่างครับ”
“สมแล้ว ดีแล้ว ปัญญาของเอ็งดุจดั่งแสงสว่างจริงๆ อยู่กับข้า เอ็งจะต้องปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดนะ ข้าโหดนะ เอ็งจะไหวรึ” หลวงปู่ท่านกล่าวแซวแบบยิ้มๆ
“ไหวครับหลวงปู่ ไหนๆ ก็เข้ามาบวชแล้ว อยากลองศึกษาให้เต็มที่ครับ”
“เออดีๆ ถ้าแบบนั้นพวกเอ็งเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวค่ำคืนนี้มาสวดมน์ทำวัตรเย็น”
“ได้ครับ”
   หลวงพี่ที่ดูแลหลวงปู่ ได้เดินนำพาผมกับพระอาจารย์มายังกุฏิหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่ท้ายวัด แต่ก็ไม่ห่างไกลจากกุฎิหลวงปู่มากเท่าไหร่นัก พระอาจารย์ได้บอกกับผมว่า ให้แยกอยู่คนละกุฎิ เพื่อการปลีกวิเวก ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย จึงได้เลือกกุฏิหลังเล็กที่ไม่ไกลจากพระอาจารย์มากนัก เผื่อว่าหากมีเหตุอะไรก็จะได้แจ้งทันเวลา
   บนกุฎิไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไปมากกว่า พื้นไม้กระดานสำหรับการนอนจำวัตร ตะเกียง กาน้ำและราวผ้าที่ดูเหมือนว่าน่าจะไว้พาดพวกจีวร สังฆาฎิ ด้วยความที่มีสิ่งของเพียงเท่านี้ ผมจึงรู้สึกคิดถึงกระเป๋าเป้ ที่เป๊บ ฉัตร เพื่อนๆ ฝากมากับพ่อเพื่อถวายให้กับผม จึงลองเปิดกระเป๋าเป้ดู ก็พบของสำคัญหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นชุดยา โทรศัพท์มือถือ แก้วน้ำดื่ม และอีกหลากหลายรายการสิ่งของที่จำเป็นทั้งนั้น ผมคิดในใจว่า เป๊บคงเคยเจอประสบการณ์นี้มาก่อน จึงรู้ว่าอะไรจำเป็นต้องใช้หรือไม่ใช้
   ผมเปิดโน้ตจดหมายเล็ก ระบุชื่อ ฉัตร เขียนแนบมาด้วย
   (กราบนมัสการนะคะท่าน สิ่งของในเป้ใบนี้ เป๊บ ได้จัดเตรียมเองทั้งหมด ถามเป๊บไปก็ตอบมาว่าเป็นสิ่งของที่จำเป็น เว้นแต่โทรศัพท์มือถือ ดิฉันเป็นคนเตรียมให้ เผื่อว่ามีเหตุฉุกเฉินท่านจะสามารถติดต่อกลับมาได้ โทรศัพท์เครื่องนี้เชื่อมสัญญานดาวเทียม อีเรเดียม ไม่ว่าจะเป็นป่าลึกแค่ไหน หากพอมีพื้นที่โล่ง สัญญานโทรศัพท์จะมีอย่างแน่นอน ท่านเก็บไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็นนะคะ อนุโมทนาทุกบุญกุศลค่ะ / ฉัตร)
   ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในความปรารถนาดีของฉัตรมาก โทรศัพท์เครื่องนั้น ผมยังคงเก็บรักษาไว้ในตู้โชว์ถึงปัจจุบันนี้เลยครับ เพราะมันช่วยได้มากจริงๆ)
   ผมลองกดเปิดโทรศัพท์ แบตเตอรี่ยังคงเต็ม หน้าจอขึ้น Searching ในเวลาไม่นานนัก สัญญานโทรศัพท์ก็ปรากฏขึ้นเต็มทั้งสี่ขีด
“ใช้ได้ดีตามที่โยมฉัตรบอกจริงๆ”
   หลังจากนั้นผมก็กดปิดโทรศัพท์ ด้วยเหตุผลที่ ไม่อยากให้โลกภายนอกมารบกวนการปฏิบัติธรรม และ เท่าที่ดู ยังไม่เห็นไฟฟ้าเข้ามาในวัดแห่งนี้ ถ้าไม่ประหยัดแบตเตอรี่มือถือไว้ เวลาจำเป็นจะใช้งานไม่ได้
   จัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย นอนพักผ่อนเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญานเตือนว่า ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้ว
   ผมลุกขึ้นมาห่มจีวรให้เรียบร้อย แล้วเดินมารวมตัวกันหน้าพระอุโบสถ เพื่อเตรียมตัวสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเป็นเรื่องราวพิเศษตรงที่ หลวงปู่สิม ท่านก็ลงมาที่พระอุโบสถเพื่อร่วมสวดมนต์ด้วย ภายหลังจากการสวดมนต์เสร็จเรียบร้อย ก็เข้าสู่ช่วงการนั่งภาวนาสมาธิ หลวงปู่สิม ท่านได้ให้โอวาทกับผมเป็นการส่วนตัวว่า
“จิตที่โลดโผน มีการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป มันไม่ถึงไหนนะเออ การทำจิตให้นิ่ง อยู่ในความนิ่ง ไม่ยึดติด ไม่ถือมั่น จิตที่เป็นกลาง ไม่ยินดียินร้ายอะไร นั่นคือทางที่พระพุทธเจ้าบอกไว้”
   ผมตั้งใจฟังพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แล้วเริ่มนั่งภาวนาสมาธิตามที่หลวงปู่บอก ไม่เร่งรีบ ไม่โลดโผน จิตของผมเริ่มดิ่งเข้าสู่สมาธิ เป็นความนิ่งสงบ และรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่รู้ว่าจะบรรยายได้อย่างไรนะครับ แต่มันคือ ความนิ่งที่สบายใจ ไม่ปวดเมื่อย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รู้สึกอะไรเลย
“ท่าน...ท่าน...พอแล้ว ไปจำวัตรเถอะ”
   ผมได้ยินเสียงพระอาจารย์เรียก จึงถอนจิตออกจากสมาธิ ลืมตามาก็พบว่ามีพระหลายรูปยืนมองดูด้วยสายตาแปลกใจ หลวงปู่สิมท่านก็นั่งยิ้ม
“ครับ..พระอาจารย์...เอ่อ...มีอะไรกันหรือครับ”
“ท่านนั่งสมาธิมา 4 ชั่วโมงแล้ว พอได้แล้ว กลับไปจำวัตรเถอะ”
“อะไรนะครับ 4 ชั่วโมง ผมเพิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไป  10 นาทีนี้เอง”
“10 นาทีในสมาธิของเอ็ง มันสั้น แต่เวลาบนโลกผ่านไปยาวนาน คืนนี้ไปนอนจำวัตรได้แล้ว พรุ่งนี้กิจของสงฆ์มีอีกเยอะ”
“ครับ หลวงปู่ งั้นผมกราบลาครับ”
   ผมกับพระอาจารย์ก็เดินกลับกุฎิ ระหว่างทางที่เดินกลับไม่ได้พูดคุยอะไรกับพระอาจารย์ เพราะจิตเกิดความสบาย ไม่ยินดียินร้ายอะไรครับ
   กลับมาถึงกุฎิ ก็นอนไม่หลับ เลยลุกขึ้นนั่งสมาธิ พร้อมสวดมนต์เมตตา ผมไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะไม่มีนาฬิกาบอกเวลา เมื่อล้มตัวลงนอนได้สักครู่ ก็ได้ยินเสียงไก่ขันไกลๆ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้รุ่งสาง ผมจึงลุกขึ้น ลงมาล่างกุฎิ ตักน้ำในโอ่งที่เย็นเฉียบขึ้นมาล้างหน้า ครองผ้าจีวรแบบคลุมไหล่เตรียมพร้อมออกบิณฑบาต
   วันที่สองของการอยู่ที่วัดแห่งนี้ ผมได้เดินบิณฑบาตพร้อมกับพระอาจารย์และพระภิกษุประมาณสามรูป พร้อมเด็กวัดสามคน ชาวบ้านที่มาใส่บาตรส่วนใหญ่เขาเรียกตัวเองว่า ชาวไทใหญ่ มายืนรอสองข้างทางตามหน้าบ้านของแต่ละคนเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนสูงอายุ ผู้ใหญ่ วัยหนุ่มสาว และทุกคนส่วนใหญ่ก็พูดภาษาไทยได้ แต่สำเนียงอาจจะมีความแตกต่างจากคนไทยไปบ้าง โดยภาพรวมก็พอฟังรู้เรื่องครับ
“ตุ๊เจ้าพระใหม่หรือคะ” หญิงสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยถามพระอาจารย์อุดม แล้วมองมาทางผม
“ใช่โยม พระใหม่ อาตมาพามาธุดงด์จากประเทศไทย”
“ผ่องมากตุ๊เจ้า งดงามราวกับเทวดา”
   ผมก็แปลกใจในผู้คนที่มาชื่นชมความงามของพระ ลึกๆ ในใจเกิดความรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้มีแต่กิเลส แต่พอพระอาจารย์ได้อธิบายจึงได้เข้าใจว่า ถ้าชาวบ้านเขาชมแปลว่า ตัวของเรามีรัศมีผ่องใส มีบารมีมาก แล้วเขาจะกราบไหว้ เคารพนับถือที่สุด    
   มิน่าละครับ หญิงสูงวัยคนนั้น ก้มกราบไหว้ผมแบบงดงามมาก รวมถึงบ้านหลังอื่นๆ ลูกเล็กเด็กแดง เมื่อเจอผมก็ก้มกราบไหว้แบบงดามเหมือนกัน
   บิณบาตรพอสมควรก็เดินทางกลับมายังวัดเพื่อฉันท์ภัตตาหารและทำกิจของสงฆ์ตามปกติ ในช่วงเวลาเพล ก็มาชาวบ้านกลุ่มใหญ่ เดินทางมายังวัดเพื่อมาทำอะไรสักอย่าง จึงได้ทราบความจากพระอาจารย์ว่า ชาวไทใหญ่เมื่อประกอบอาชีพเสร็จแล้ว เวลาว่างเขาจะมาอยู่ที่วัด เพื่อคอยสอดส่องดูแลว่า พระภิกษุแต่ละรูปมีขาดเหลือสิ่งใดบ้าง หรือมีอะไรที่พอจะช่วยงานวัดได้บ้าง ณ จุดนี้ ผมมองว่ามีความแตกต่างจากคนไทย ที่เมื่อเจอพระ มักจะถามเรื่องดวง เรื่องหวย แต่ชาวไทใหญ่จะถามว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง เป็นความน่ารักของคนในพื้นที่ในอีกรูปแบบหนึ่งครับ
   
   วันเวลาล่วงเข้าไปวันที่สิบ ของการธุงดงด์ที่วัดแห่งนี้ ผมมีความสุขกับการทำกิจของสงฆ์และการปฏิบัติธรรมมาก การเจริญสมาธิภาวนา มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ จิตที่โลดโผนของผม ความปิติในฌานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทุเลาเบาบางลง เหลือเพียงแต่ความนิ่งและความสบายใจเท่านั้น
“ไม่คิดถึงโยมเป๊บบ้างหรือ” พระอาจารย์อุดมถามขึ้นมา
“คิดถึงครับ แต่เป็นความคิดถึงแบบมิตร ไม่มีกามราคะ ปรารถนาให้โยมเป๊บเขามีความสุข แผ่เมตตาให้ตลอดเวลาครับพระอาจารย์”
“ไม่ต้องสึกดีมั้ย ถ้าท่านบวชและปฏิบัติจริงจัง คงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ในภพชาตินี้”
   ผมไม่ได้ตอบคำถามของพระอาจารย์ ในใจตอนนั้นเกิดความรู้สึกลังเลแบบแปลกๆ ครับ ว่าทำไมถึงไม่ตอบรับคำถึงการบวชตลอดชีวิต จะว่าไปก็ไม่ได้คิดถึงเป๊บในแง่กามมารมณ์เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเราไม่ตัดสินใจตอบรับคำเรื่องการไม่สึก
   ในทุกๆ วันผมปฏิบัติกิจของสงฆ์ไปตามปกติ จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงพี่ที่ดูแลหลวงปู่สิม ท่านมีเหตุจำเป็นต้องกลับบ้านเกิดท่านในอีกเมืองหนึ่ง ท่านจึงได้นำความมาปรึกษาพระอาจารย์อุดม ว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแลหลวงปู่สิมแทนตัวท่าน พระอาจารย์จึงมอบหมายให้ผมเป็นผู้ดูแลหลวงปู่แทนชั่วคราว
   ตัวผมเองก็ตื่นเต้นนะครับ เพราะไม่เคยทำมาก่อน หลวงพี่ท่านก็ได้แนะนำว่า ควรจะทำอะไร ตรงไหน ยังไง ซึ่งผมก็จดจำและเข้าใจทุกวิธีการขั้นตอน และในวันนี้ก็ดูแลหลวงปู่มาครบเจ็ดวันแล้วครับ
   ในค่ำคืนนี้ผมก็อยู่ในระหว่างการบีบนวดแขนและขาของหลวงปู่ เพราะท่านอายุมากแล้ว อาการปวดเมื่อยย่อมเกิดขึ้นตลอดเวลา
“เอ็งดูซิ สังขารนี้มันไม่มีอะไรดีเลยเน้อ พอมันเสื่อมมันพัง อาการเจ็บปวดมันก็ตามมา”
“ครับหลวงปู่”
“คนเราเมื่อเกิดมาย่อมยึดมั่นถือมั่น ตัวกูเป็นของกู เวทนาในตัวกู บำรุงรักษาตัวกู ทานั่นทานี่เพื่อให้ตัวกูดูงาม ทั้งที่ตัวกูมีน้ำเยี่ยว น้ำขี้ น้ำหนอง น้ำเลือด และสิงโสโครกต่างๆ มากมาย เอ็งคิดเช่นนั้นหรือไม่”
   ผมพิจารณาตามที่หลวงปู่ท่านสอน ก็บังเกิดภาพเป๊บที่หล่อมาก และภาพก็ได้แปรเปลี่ยนไปว่าเป๊บแก่ เหี่ยว มีน้ำเลือดน้ำหนอง มีสิ่งโสโครกไหลออกมาจากร่างกาย จิตในตอนนั้นรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก จนผมสะดุ้งสติหลุดจากภวังค์
“เอ็ง พอแล้ว ไปจำวัตรเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
   ผมเดินกลับมาที่กุฎิ พร้อมพลางบ่นว่า
“เมื่อกี้เราเห็นอะไร ทำไม ทำไมเรารู้สึก สะอิดสะเอียนได้ขนาดนั้น นั่นเป๊บนะ ทำไม”
   จิตและอารมณ์ของผมรู้สึกปั่นป่วนมาก เป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก และเป็นคืนแรกที่นั่งสมาธิแล้วปราศจากความนิ่งสงบ ความรู้สึกและความปั่นป่วนยังคงรังควานจนถึงรุ่งเช้า

“ท่าน วันนี้เราจะไปจำวัตรปักกลดอีกสถานที่นึงนะ ไม่ไกลจากวัดมาก ท่านพร้อมไหม” พระอาจารย์ถามผมขึ้นมา
“พร้อมครับ ว่าแต่ใครจะดูแลหลวงปู่แทนผมครับ”
“ไม่ต้องกังวลนะ เราจะไปจำวัตรที่กลด หลังจากท่านดูแลหลวงปู่เสร็จ เดี๋ยวจะให้ชาวบ้านไปกางกลดรอไว้”
“ได้ครับพระอาจารย์”
   ผมก็ปฏิบัติกิจในการดูแลหลวงปู่แบบเดินเช่นทุกวัน ในวันนี้หลวงปู่ท่านทราบว่าพระอาจารย์อุดมท่านจะพาไปจำวัตรในกลด
“อุดมจะพาเอ็งไปจำวัตรในกลดรึ”
“ครับหลวงปู่”
“เอ็งไม่กลัวรึ”
“ไม่หรอกครับ มีอะไรที่น่ากลัวหรือครับหลวงปู่”
“มีซิ...จิตเราเองไงละที่ปรุงแต่ง ได้ยินเสียง ได้เห็นเงา อะไรแปลกๆ ในป่าเขา ก็ติ๊ต่างไปว่า ผีสางนางไม้ อสูรกายไปเรื่อย พระพวกนี้จิตปรุงแต่ง ดับกิเลสไม่ขาด พอไปเจอเป็นบ้าก็มี เสียสติก็มี เอ็งไม่กลัวรึ”
“ไม่ครับ การได้เข้ามาบวชก็ถือว่าถวายชีวิตแล้วครับ ถ้าตายคงไม่เสียดาย”
“หึหึ...เอ็งนี่มันเป็นคนหนุ่มที่ใจเด็ดนะ...เสียดาย ยังไม่ถึงเวลา”
“ยังไงหรือครับ อะไรคือไม่ถึงเวลา”
“ไม่มีอะไร ข้าก็พูดไปตามประสาคนแก่ วันนี้พอเถอะ เอ็งรีบไปเจออุดม เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้เดินทางลำบาก”
“ครับหลวงปู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะรีบมาดูแลตั้งแต่เช้านะครับ”
   หลวงปู่ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้า และท่านก็เข้าสมาธิไป
   รถกระบะเก่าๆ ได้นำพาผมกับพระอาจารย์มายังสถานที่ปักกลด ใช้เวลาเดินทางประมาณห้านาที เท่าที่ผมคำนวณระยะทางก็ไม่ไกลจากวัดมากเท่าไหร่
“ท่านจะจำวัตรหรือนั่งสมาธิ ก็แล้วแต่ท่านเลยนะ มีอะไรก็เรียกได้ กลดอยู่ไม่ไกลกันมาก”
“ครับพระอาจารย์”
   ผมเข้าไปในกลดก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเหมือนกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ทำแบบนี้ พลันนึกไปถึงเป๊บว่า จะได้รับโอกาสทำแบบนี้หรือไม่
   ผมเริ่มต้นการระงับสติที่ฟุ้งซ่านด้วยการนั่งสมาธิ ในเวลาไม่นานนัก จิตเริ่มนิ่ง เบาสบาย ไม่ยินดียินร้าย วางนิ่งเฉย ผมประคองจิตไปเรื่อยๆ จนเริ่มได้ยินเสียงประหลาดๆ เช่น คนเดินรอบๆ กลด เสียงคำรามเบาๆ กลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ บางครั้งก็เป็นกลิ่นหอมอบอวลด้วยดอกไม้สารพัด สิ่งเหล่านี้ดูน่ากลัวมากนะครับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตของผมสั่นไหวแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบตัว
“กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ/ ค่ะ”




ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ผมได้ยินเสียงจากด้านหน้าของกลด เป็นเสียงใสๆ ทุ้มๆ ของเพศชายและเพศหญิง ตอนนั้นมั่นใจมากว่า คงไม่ใช่คนแน่นอน ในเวลาแบบนี้จะมีใครมากราบนมัสการ ผมค่อยๆ ลืมตา ก็พบกับ ผู้หญิงและผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณห้าหกคน ใส่ชุดเครื่องทรงแบบไทยโบราณ มีสายสังวาลสีทอง แก้วเพชรนิลจินดา ประดับตัวงดงาม แวววาว และมีหน้าตาที่หล่อเหลาและสวยงามมากที่สุด ผมรู้สึกประหลาดใจมาก
“มีสิ่งใดหรือโยม”
“พวกเราอยากฟังธรรมะจากพระคุณเจ้า โปรดมอบธรรมมะให้พวกเราด้วยเถิด”
   เอาเข้าจริงการบวชและปฏิบัติธรรมของผมนั้น แทบจะไม่ได้เน้นการศึกษาพระธรรมเป็นตัวอักษรเลยครับ เน้ารการปฏิบัติมากกว่า พลันเลยนึกไปว่า จะเอาอะไรไปสอนคนกลุ่มนี้ แต่ก็แปลกอยู่ดีๆ ก็เอ่ยคำสอนออกมาว่า
“ทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน การมีเวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา ล้วนเป็นเครื่องผูกมัดให้จิตของเราวนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ ขอให้โยมทั้งหลาย อย่าได้ผูกติดกับสิ่งเหล่านี้ ตั้งใจสร้างคุณงามความดี มุ่งสู่พระนิพพาน เทอญ”
“สาธุ สาธุ สาธุ พระคุณเจ้าเป็นผู้สั่งสมมาดีแล้ว เป็นผู้เจริญแล้ว พวกเราขอน้อมรับคำสอนไปปฏิบัติ”
“บุญใด กุศลใด ที่อาตมาบำเพ็ญมาดีแล้ว อาตมาขอยกให้ท่านทั้งหลาย ขอให้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ตลอดกาลเทอญ”
“สาธุ สาธุ สาธุ”
   สิ่งที่ผมเห็นคนกลุ่มนี้มีแสงเรืองรองเปล่งปลั่งออกมาจากร่างกาย พวกเขาก้มลงกราบ และมีใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นมิตรอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้

“ท่าน ท่าน ออกจากสมาธิได้แล้ว”
   ภาพของคนกลุ่มนี้ได้ค่อยๆ จางหายไป และปรากฏภาพพระอาจารย์เข้ามาแทนที่ พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ฉายแสงขึ้นจากขอบฟ้า เมื่อผมได้สติ
“พระอาจารย์เช้าแล้วหรือครับ”
“ใช่ เช้าแล้ว”
“เอ่อ...แล้วเมื่อกี้...” ผมหันไปมองรอบๆ
“พอแล้วท่าน ท่านสอบผ่านแล้ว มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“อะไรหรือครับ” ผมงงกับสิ่งที่พระอาจารย์บอก
“ไม่มีอะไรหรอก รีบกลับไปดูแลหลวงปู่เถอะ”
   ผมตัดความสงสัย จึงรีบลุกขึ้น เดินทางกลับไปที่วัดเพื่อดูแลหลวงปู่ตามปกติที่แทนหลวงพี่ทุกวัน เมื่อมาถึงวัดหลวงปู่กำลังค่อยๆ เดินออกจากห้องในกุฏิ ผมรีบเข้าไปพยุงเพื่อพาท่านไปสรงน้ำที่ห้องน้ำ
“เมื่อคืนเอ็งเป็นยังไงบ้าง”
   หลวงปู่ถามขึ้นมา จนผมเองรู้สึกลังเลที่จะเล่า เพราะกลัวว่าจะเป็นการอุตตริหรือไร้สาระมากเกินไป
“สิ่งที่เอ็งเจอ เป็นเรื่องจริง เขาเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์กับดุสิต มีสายบุญสัมพันธ์กับเอ็งมา จะเป็นพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย เมื่อเอ็งบวชเขาก็อยากมารับบุญ”
   ผมรู้สึกอึ้งกับสิ่งที่หลวงปู่เล่า ท่านคงมีญานทัศนะที่ไกลมาก จนเห็นทุกเรื่องราวในอดีต
“หลวงปู่ครับ แล้วทำไมผมถึงจำพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้”
“เกิดแก่เจ็บตายวนเวียนกันเป็นล้านๆ ชาติ ใครจะไปจำได้ละ นี่แหละคือภัยร้ายของการเกิดและดับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ แล้วเอ็งละเบื่อการเกิดการตายหรือยัง”
“เบื่อมากครับ ผมไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว”
“จะเข้านิพพานไหมละ ข้าจะบอกทางให้”
   ผมเงียบทันทีที่หลวงปู่ถาม ทำไมเงียบนะหรือครับ เป็นเพราะว่าอยู่ดีๆ หน้าของเป๊บก็ลอยเข้ามาในสมอง ผมเกิดความรู้สึกว่า ทิ้งเป๊บไปไม่ได้ คือ ไม่สามารถละกิเลสด้วยการบวชไม่สึกแล้วทิ้งเป๊บออกไปจากชีวิต
“เอ็งไม่ตอบ...เอ็งคิดถูกแล้วลูก เอ็งถูกทางแล้ว”
   ผมยิ่ง งงและสับสนมากขึ้น วันนี้เป็นวันอะไรกัน ทำไมพระอาจารย์กับหลวงปู่ พูดอะไรแปลกๆ
“หมายความว่าอย่างไรครับหลวงปู่”
“อีกไม่นานเอ็งจะรู้ จะได้เห็นเอง”
“อะ..เอ่อ..ครับ”
“เออแล้วนี่เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้กี่วันแล้ว”
“วันพรุ่งนี้จะครบ หนึ่งเดือนเต็มครับ”
“แล้วเอ็งบวชมากี่เดือนแล้วรึ”
“ถ้ารวมวันพรุ่งนี้ก็สองเดือนเต็มครับ”
“เออดีๆ แล้วตั้งใจไว้กี่เดือนรึ”
“ยังไม่ทราบเลยครับหลวงปู่ ตอนนี้ยังไม่อยากสึกเลยครับ”
“เออๆ ไม่เป็นไร เวลามาถึงก็จะรู้เอง”
   บทสนทนาระหว่างการสรงน้ำให้หลวงปู่สิ้นสุดลง ในช่วงเวลาเที่ยงผมดูแลหลวงปู่พร้อมกัมตัวเองเสร็จสรรพ ก็เดินกลับมาที่กุฎิ พลันคิดว่า ตัวเรามาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยลองเดินไปด้านหลังวัด ซึ่งมีเสียงน้ำตกดังมาไกลๆ
   ผมจึงตัดสินใจลองเดินไป ก็พบกับน้ำตกขนาดเล็ก หรือ อาจจะเป็นขนาดกลาง น้ำใสไหลเย็น ภายใต้บรรยากาศแมกไม้ร่มรื่น เหมาะแก่การนั่งสมาธิเป็นอย่างมาก
   ผมเริ่มต้นเข้าสู่สมาธิท่ามกลางเสียงน้ำตกและเสียงลมพัดไหวๆ จิตเข้าสู่สมาธิอย่างรวดเร็วมาก เป็นความรู้สึกนิ่ง สบาย เป็นแบบปกติเป็นประจำทุกวัน ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหน จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่ามีใครสักคนมานั่งอยู่ด้านหน้า จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง ก็พบกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา นั่งพนมมือ พอเห็นผมลืมตา ทุกคนก็ก้มลงกราบสามครั้ง
“อยู่แถวนี้หรือโยม” ผมเอ่ยถามชาวบ้านกลุ่มนี้
“ใช่ขอรับ ผมอยู่บริเวณนี้ขอรับ”
   การพูดจาและการใช้ภาษาดูแปลกไปกว่าคนปกติ และที่สำคัญ ทำไมเขาเปล่งเสียงโดยไม่ขยับปาก ถ้าถามว่าตกใจหรือไม่ ไม่เชิงตกใจครับ เรียกว่าประหลาดใจมากกว่า
“พวกท่านไม่ใช่มนุษย์หรือ” ผมถามไปอีกประโยค
   คนกลุ่มนั้นต่างหันหน้าสบตากันไป จนมีผู้ชายคนหนึ่งคล้ายกับว่าเป็นผู้นำกลุ่ม ตอบมาว่า
“พวกเราเป็นพญานาคอาศัยอยู่ในเมืองบาดาล ลำธารแห่งนี้ มีประตูเชื่อมไปยังเมืองบาดาลของพวกเรา พวกเราเห็นว่า มีพระธุดงด์มาริมธารนี้ เลยแปลงกายมาเป็นคน มากราบนมัสการขอรับ”
“เจริญพรนะโยมเหล่าพญานาค”
“พระคุณเจ้าสอนธรรมะกับพวกเราด้วยขอรับ”
“ได้สิ...พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า การเกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนทุกๆ หนึ่งร้อยปี จะมีเต่าตัวหนึ่งแหวกว่ายในทะเล พลันขึ้นมาผิวน้ำเพื่อหายใจ ลอดห่วงดอกไม้ที่ลอยคว้างอยู่ในมหาสมุทร นั่นนับเป็นการเกิดของมนุษย์เพียงคนหนึ่ง การถึงพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ 10 คือ ความดี 10 ประการ ประกอบไปด้วย อย่าฆ่า อย่าขโมย อย่าผิดกาม อย่าโกหก อย่าส่อเสียด อย่าหยาบคาย อย่าเหลวไหล อย่าโลภะ อย่าโทสะ อย่าโมหะ หากท่านทั้งหลายรักษากุศลกรรมบถ 10 ได้อย่างถึงพร้อม ท่านจะได้รับพรอันประเสริฐ คือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้บวชในพระพุทธศาสนา เจริญพร”
“ชัดเจน แจ่มแจ้ง ขอบพระคุณขอรับ หากชาติหน้าฉันท์ใด ขอให้พวกเราเหล่าพญานาค ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มาสร้างบุญกับพระคุณเจ้านะขอรับ”
“เจริญพร บุญใดที่อาตมาทำดีแล้ว จงบังเกิดกับพวกโยมเหล่าพญานาค ขอให้โยมมีความสุขมากๆ เทอญ”
   ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้ เหล่าพญานาคที่แปลงกายมาทั้งชายหญิง ต่างก้มกราบสามครั้ง แล้วค่อยๆ สลายตัวไป เหมือนหายไปในม่านหมอก จนสายตาของผมปรับโฟกัสได้ตามปกติ มองไปรอบๆ อีกครั้งก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
   ผมพิจารณาในทุกสิ่งตลอดการมาธุดงด์และจำวัตรที่ประเทศพม่า เรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอ เปรียบเสมือนเป็นกำไรชีวิต เป็นอีกโลกหนึ่งที่คนส่วนน้อยจะได้เห็นหรือสัมผัส นับได้ว่ามีความคุ้มค่ามาก ในใจลึกๆ อยากจะเป็นแบบนี้ อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆ แต่เอาเข้าจริง ทำไมกันนะ ถึงไม่สามารถตัดใจได้ ทุกครั้งที่คิดแบบนี้ มักจะมีภาพของเป๊บปรากฏขึ้นมาในสมองตลอด
   ได้ยินเสียงระฆังดังไกลๆ คงถึงเวลาที่สวดมนต์ทำวัตรเย็น ผมจึงรีบเดินกลับวัด สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อยก็ดูแลหลวงปู่ตามปกติ สิ่งที่ผิดปกติไปจากทุกๆ วันคือ พระอาจารย์อุดมก็ได้มาสนทนาธรรมกับหลวงปู่เป็นการส่วนตัว ตัวผมเองจึงออกมานั่งรอด้านนอก
   เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พระอาจารย์ก็เดินออกมาสีหน้าดูมีความกังวลเล็กน้อย
“พระอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ผมถามเพราะดูสถานการณ์แปลกๆ
“ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องปกติ เออนี่ท่าน อยากกลับประเทศไทยหรือยัง”
“ไม่อยากกลับครับ อยากอยู่ที่นี่” ผมส่ายหน้าเบาๆ
“เมื่อถึงเวลายังไงก็ต้องกลับ ท่านเข้าไปดูแลหลวงปู่เถอะ”
“ครับ”
   ผมเข้ามาดูแลหลวงปู่ ก็ตกใจมากพอสมควร เหมือนท่านจะอาพาธ แลดูไม่สบาย ทั้งๆที่ เช้าวันนี้และตลอดทั้งวัน ท่านยังดูแข็งแรงเป็นปกติ ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไรเลย
“หลวงปู่ไม่สบายหรือครับ”
“เป็นปกติของสังขารที่ไร้ประโยชน์”
“มียาไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ไม่ต้องหรอก...เอ็งมานั่งตรงนี้” ผมเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย
“วันนี้ ข้าจะสอน สมาธิขั้นสูง เอ็งอยากเรียนไหม”
“อยากครับ เป็นเมตตามากถ้าหลวงปู่สอนให้ครับ”
“เออดี...สัญญากับข้า ว่าหลังเรียนเสร็จ เอ็งจะต้องทำตามที่ข้าบอกทุกอย่าง”
“ได้ครับ ผมสัญญาจะทำตามที่หลวงปู่บอกทุกอย่าง”
“เอ็งนั่งสมาธิเหมือนเดิม กำหนดจิตให้วางเฉย ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น”
   ผมเริ่มทำตามที่หลวงปู่บอก ท่านก็แนะนำแต่ละขั้นตอนไปเรื่อยๆ จนจิตผมดิ่งเข้าสู่สมาธิ มีความเบาสบายมากกว่าทุกๆ วัน จิตผมนิ่งอยู่สักระยะหนึ่งก็บังเกิดภาพแปลกตาอย่างมากมาย คือ อยากให้ทุกท่านคิดภาพเหมือนเราดูจอโทรทัศน์ แล้วมีรายการที่แสดง วิ่งผ่านจอไปเรื่อยๆ เท่าที่ผมจำได้ ผมเห็น ช้าง ม้า วัว ควาย ลิง กวาง มนุษย์ผู้ชาย หล่อ อัปลักษณ์ รวย จน ขอทาน ยากไร้ มนุษย์ผู้หญิง สวย น่ารัก อัปลักษณ์ ยากจน ข้นแค้น สลับกันไปมาเหมือนการฉายภาพเร็วๆ
   ฉากที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันมีรายละเอียดที่เยอะมาก และตอนที่ผมได้ประสบมา จำได้ไม่ครบถ้วน นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ เวลาผ่านมาสิบปี ความทรงจำในบางเรื่องราวย่อมเลือนหายไปตามกาลเวลา จึงขออนุญาตเล่าแบบสรุปให้พอเห็นภาพนะครับ
   การฉายภาพที่สลับกันไปมา ได้มาหยุดอยู่ที่ภาพภายในปราสาทใหญ่โตแห่งหนึ่ง ผมมองตัวเองที่นุ่งห่มจีวร และมองไปรอบๆ มีผู้คนเดินไปมา ราวกับว่าพวกเขามองไม่เห็นตัวผมแม้แต่นิด
“เจ้าชายเสด็จแล้ว” ผมมองไปยังต้นเสียงที่กู่ร้องบอกกล่าว
   ประตูห้องที่สวยงามถูกเปิดออกขึ้น ภาพปราที่ปรากฏ คือ บุรุษหรือผู้ชาย สูงใหญ่ สง่างามและหล่อมาก กำลังเดินเข้ามาภายในห้องที่ตัวผมยืนอยู่ เขาเดินผ่านผมไปโดยที่ไม่ได้ชายตามองมาแม้แต่นิดเดียว
“องค์หญิงเสด็จแล้ว” ผมหันกลับไปมองอีกครั้ง
   ประตูห้องเปิดอีกครั้งก็พบหญิงสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาภายในห้อง หญิงสาวคนนั้นมีความสวยงดงามมาก เป็นความสวยราวกับเทพธิดา ซึ่งตลอดชีวิตที่เกิดมา ผมไม่เคยเจอใครสวยเท่าผู้หญิงคนนี้
   ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เมื่อเจอกัน ก็เข้าสวมกอด พร้อมกับพูดคุยอะไรบางอย่าง หน้าตายิ้มแย้ม หยอกล้อ เท่าที่ผมคิดได้ น่าจะเป็นคู่สามีภรรยา
   ด้วยจิตที่อยากรู้ ผมจึงลองเพ่งสมาธิกำหนดจิตถามในสิ่งที่เห็น ความตกใจเกิดขึ้นอย่างขีดสุด เมื่อผมเห็นใบหน้าชายหนุ่มคนนั้น คือ หน้าเป๊บ และใบหน้าสาวสวยผู้นั้น คือ ตัวผมเอง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเราถึงเห็น...หรือว่า นี่คืออดีตชาติของเรา”
   ผมบ่นกับตัวเองด้วยความงุนงงและตกใจอย่างมาก
“เพชรนิลจินดาและของมีค่าที่พี่ให้ ทำไมน้องไม่สวม”
“ท่านพี่ ระหว่างน้องเดินทางไปอีกแคว้น น้องได้พบการหล่อพระพุทธรูป และการสร้างพระโบสถ์ น้องมีจิตศรัทธา และนำของมีค่าเพชรนิลจินดา แก้วหวานเงินทอง ทองคำ ที่ท่านพี่ให้ ร่วมหล่อพระพุทธรูป และประดับพระโบสถ์ให้สวยงาม...ท่านพี่คงไม่กริ้วกับน้องใช่ไหม”
“พี่จะโกรธน้องได้อย่างไร น้องเป็นมเหสีของพี่ พี่ย่อมอนุโมทนากับสิ่งที่น้องทำ”
“บุญใดที่น้องทำขอให้เสมือนท่านพี่ได้ทำเอง ชาติหน้าฉันท์ใดขอให้เราสองคนได้เจอกัน ขอให้น้องได้บวชเป็นพระกับเขาบ้าง”
“น้องอย่ากล่าวเช่นกัน หากชาติหน้าน้องได้บวช น้องย่อมเป็นบุรุษ จะเจอพี่ได้อย่างไร”
“เจอกันแบบเพื่อนก็ได้ท่านพี่”
“พี่ไม่ยอม เราสองคนจะต้องเป็นคู่กันทุกชาติไป”
“ไม่รู้ละท่านพี่ น้องจะต้องบวช หากชาติหน้าเราเจอกัน วาสนาต่อกันยังมี เราก็จักรักกันได้ดังเดิม”
   เป็นบทสนทนาที่ดูแล้วไม่มีอะไรไปมากกว่า สามีภรรยาคุยกัน แต่นั่นก็ทำให้ผมน้ำตาไหล ร้องไห้อย่างไม่ทราบสาเหตุ จิตใจแปรปรวนอย่างมาก สูญเสียสติและสมาธิอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่แปลกประหลาดมากกว่านั้น ทำไมผมยังไม่หลุดจากสมาธิ
   อยู่ดีๆ ภาพก็ตัดไปที่วัดแห่งหนึ่ง มีสามีภรรยาคู่นี้ อยู่ในบริเวณวัด และมีคนงานที่ดูเหมือนทาสมากมาย กำลังก่อสร้างอะไรสักอย่าง ผมมองไปรอบๆ เหมือนกับเขากำลังสร้างเจดีย์ พระอุโบสถ หล่อพระพุทธรูป และอีกมากมาย
   ผมเดินเข้าไปหาสามีภรรยาคู่นี้ ก็เห็นพระภิกษุสองรูป โดยพระที่ดูอาวุโสกำลังยืนคุยกับสามีภรรยาคู่นี้ และพระอีกรูปยืนเยื้องๆ ไปด้านหลัง ความตกใจบังเกิดขึ้นในรอบที่สอง เมื่อพระภิกษุรูปแรก คือ ปรากฏหน้าตาหลวงปู่สิม และรูปที่สอง คือ พระอาจารย์อุดม
“พระคุณเจ้า บุญอันใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาดีแล้ว ผลบุญทั้งหมดนั้นขอให้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนข้าพเจ้าได้พบพระพุทธศาสนา และได้บวชเป็นพระภิกษุจนบรรลุพระนิพพานในภพชาติหน้า เทอญ”
   นี่คือประโยคแรกที่ผมได้ยินหญิงผู้นั้นเอ่ยกับพระทั้งสองรูป
“มหารานี อาตมาอวยพรให้คำอฐิษฐานของท่านเป็นจริง ตามความเหมาะสมนั้นเทอญ”
   
   ภาพตัดกลับไปยังสถานที่ที่เหมือนสนามรบ มีการใช้ดาบรบราฆ่าฟันเชือดเฉือนกันไปมา สร้างความตกใจให้ผมอย่างมาก ผมเห็นชายผู้นั้นบนหลังม้าสีขาว วิ่งทะยานฝ่ากองรบ ใช้ดาบฟันศัตรูฝั่งตรงข้าม ปลายดาบของเขาตวัดเพียงหนึ่งครั้ง ทำให้ผู้คนล้มตายไม่ก็บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แม้แต่คนที่ดูเหมือนแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม ยังตะโกนด้วยความอาฆาตว่า
“ไม่ว่ากี่ภพชาติ ข้าจะจองล้างจองผลาญไม่มีวันจบสิ้น”
   ภาพที่ผมเห็นราวกับภาพยนตร์ได้สร้างความเข้าใจทันทีว่า คนเหล่านี้คือ เจ้ากรรมนายเวรของเป๊บนี่เอง เขาได้มาทำร้ายเป๊บในภพชาตินี้ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทุกอย่างเป็นผลมาจากกรรมสัมพันธ์กันทั้งนั้น

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ภาพก็ตัดกลับไปยังปราสาทที่เดิม แต่คนละห้องโถง ก็ปรากฏสามีภรรยาคู่นี้ แต่ร่างกายแปรเปลี่ยนเข้าสู่วัยชรา ฝ่ายผู้ชายนอนอยู่บนเตียงนอน และมีบริวารนั่งรอบๆ ผู้หญิงนั่งอยู่บนเตียง คอยกุมมือข้างๆ ภาพที่ผมเห็นกำลังเข้าใจว่า ความชราคงกำลังพรากชีวิตของเขาไปในอีกไม่นาน
“ท่านพี่ อย่าได้กังวล น้องอยู่ได้ ท่านพี่ไม่ต้องห่วง”
“ความเจ็บปวดในร่างกายของพี่ เทียบไม่ได้กับความห่วงใยที่มีให้กับน้อง หากชาติหน้าฉันท์ใดไม่ว่าดวงจิตของเราสองคนไปเกิดในภพไหน ขอให้เราได้เจอกัน รักกัน ตลอดทุกภพชาติไป
“หากชาติหน้าฉันท์ใด ไม่ว่าท่านพี่จะไปเกิดในภพภูมิไหน น้องจักขอตามไปเกิดเป็นคนรักกับท่านพี่ทุกชาติไป บุญอันใดที่เราสองคนทำไว้ดีแล้ว บุญนั้นจักเป็นพยานให้เราสองคนได้เจอกัน รักกัน ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศก ไม่มีโรค ไม่มีภัย มีทรัพย์อันมากมายมหาศาล และเราสองคนจักใช้สมบัตินั้นทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป”
“พี่ขอลา น้องหญิงของพี่”
   ผมเห็นชายผู้นั้นค่อยๆ หลับตา และสิ้นลมหายใจไป ผู้หญิงคนนั้น น้ำตาไหลอาลัยด้วยความรัก และก้มลงกราบที่อกผู้ชายสามครั้ง
“องค์ราชินี เจ้าราชาทรงสวรรคตแล้วเพคะ”
“ประกาศให้ทุกแคว้นได้รู้กันเถิด”
   ผมเอามือปิดหน้าตาพร้อมก้มหน้าร้องไห้กับสิ่งที่เห็น ณ ตอนนั้นผมเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ทำไมผมถึงไม่สามารถตัดกิเลสเพื่อบวชไม่สึกได้ และทุกครั้งทำไมเวลาคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเป๊บจึงลอยเข้ามาในสมองตลอด
   ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น แบบละทิ้งความเป็นเพศบรรพชิต เข้าสู่จิตที่เป็นเพศฆราวาสอย่างเต็มตัว จิตที่เคยฝึกปฏิบัติมาไม่สามารถทนทานกับเรื่องราวที่พบเห็นนี้ได้ ผมค่อยๆ ลดฝ่ามือทั้งสองออกจากหน้า เมื่อมองไปรอบก็เห็นพระอาจารย์อุดม พยุงตัวผมไว้ และหลวงปู่สิม ลืมตามองผมด้วยสายตาที่มีความเมตตาอย่างมากที่สุด
“หลวงปู่...ฮรึก.....ฮืออออ”
“เอ็งเข้าใจแล้ใช่ไหม...ว่าทำไมเอ็งถึงไม่ตอบคำถามที่ข้าชวน”
“ฮรึก..ขะ..เข้าใจแล้ว..คะ..ครับ” ผมยังคงสะอื้น
“ลูกเอ๋ย...ภาพที่เห็น คือ ส่วนน้อยนิดกับการเวียนว่ายตายเกิดของเอ็ง เอ็งก็เห็นกับตาแล้วว่า เอ็งเกิดมาตั้งแต่เป็นสัตว์ มาเป็นคนยากจน คนรวย พิการ ลำบาก สารพัด ด้วยผลบุญที่เอ็งสะสมมาอย่างยาวนาน จนในชาติสุดท้ายก่อนภพนี้ เอ็งเกิดเป็นถึงกษัตริย์ มีบุญญาบารมีมาก...ลูกเอ๋ย จำภาพที่เห็นสร้างวัดได้ใช่ไหมลูก”
“ฮรึก..จะ...จำได้..คะครับ...”
“วัดแห่งนั้น....คือวัดเก่าๆ นี้ที่เอ็งกับคู่ของเอ็งได้สร้างไว้ วันเวลาผ่านมานับพันๆ ปี จึงเหลือเพียงแค่นี้ แต่สถานที่แห่งนี้ เอ็งสองคนได้สร้างไว้ ด้วยบุญอันมากเหลือเกินที่เอ็งกับคู่ของเอ็งได้ทำไว้ ทำให้เอ็งทั้งสองได้กลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้”
   ผมอึ้งกับสิ่งที่หลวงปู่ท่านได้บอกกล่าว วัดแห่งนั้นที่ผมเห็น คือ วัดนี้ สถานที่ที่ผมได้มาปฏิบัติธรรม
“แล้ว...เขา ได้เห็นเหมือนที่ผมเห็นไหมครับ”
   คำถามของผมหมายถึง เป๊บ ได้เห็นในสิ่งที่ผมเห็นเหมือนกันหรือไม่
   หลวงปู่ไม่ได้ตอบได้แต่ยิ้ม แต่พระอาจารย์ตอบมาว่า
“เห็นซิ...แต่อาจจะน้อยกว่า พอออกจากสมาธิมาก็ร้องไห้แบบนี้เหมือนกัน”
“ถึงเวลาของเอ็งแล้วลูก ที่ต้องกลับไปทางโลก กลับไปเป็นคู่ชีวิตเขา ไปสร้างบุญร่วมกัน แล้วไปนิพพานด้วยกันกับเขานะลูก.....อิจเจวะ กะตะสะปะนะมามิหัง.....ฟึ๊บบบบบ”
   หลังจากที่หลวงปู่พูดจบ ก็ท่องคาถาอะไรสักอย่างที่ผมจำได้เพียงแค่ท่อนแรก หลังจากนั้นท่านก็เอาพัดสีม่วง ซึ่งเป็นพัดประจำตัวท่าน ตีมาที่ศรีษะผมแบบเบาๆ และในขณะนั้น ผมก็รู้สึกวูบร่างกายโอนเอนไปมา คล้ายกับมีอาการง่วงฉับพลัน จนหมดสติไป
   
   ได้สติลืมตาอีกครั้ง ก็พบเห็นพระอาจารย์อุดมอยู่ข้างๆ ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นพระภิกษุหลายรูปเต็มกุฏิหลวงปู่ไปหมด และก็เห็นหลวงพี่ที่ดูแลหลวงปู่กลับมายังวัดแล้ว ก็เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องจำวัตร ตลอดเวลา
“พระอาจารย์..เอ่อ...ผมเป็นอะไรไปครับ”
“หลวงปู่ท่านปิดฌานให้ท่าน การโดนปิดฌานก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ”
“หา...ปิดฌาน...ปิดทำไมครับพระอาจารย์”
“จิตของท่านโลดโผนมากจนเกินไป หากไม่ปิด อีกไม่กี่ปี ท่านจะบรรลุพระนิพพาน”
“แล้วมันไม่ดีหรือครับพระอาจารย์”
“ดีสำหรับท่าน แต่สำหรับโยมเป๊บละ ท่านว่ามันดีไหม”
   ผมนิ่งเงียบกับสิ่งที่พระอาจารย์พูด
“ภาพนิมิตที่ท่านเห็นคงเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี จำที่พระอาจารย์เคยบอกท่านมาตลอดได้ไหมว่า ท่านกับโยมเป๊บ สร้างบุญกุศลด้วยกันมามาก มากจนไม่อาจะประเมินได้ และนั่นคือเหตุผลเดียวกับ เวทนา สังขา วิญญาณ สัญญา ที่ทำให้ท่านกับโยมเป๊บจะต้องไปพระนิพพานด้วยกัน ถ้าหากหลวงปู่ไม่ทำแบบนี้กับท่าน ท่านจะเข้านิพพานได้อย่างไร”
“ครับ..ผมเข้าใจแล้วครับ...แล้วหลวงปู่ท่านไปไหนแล้วครับ”
“ท่านอยู่ในห้อง ไปลาท่านกันเถอะ”
“ลา....”
   ผมงงกับสิ่งที่พระอาจารย์พูด แต่ก็เดินตามพระอาจารย์เข้าไปในห้องของหลวงปู่ สภาพที่ผมเห็นก็ตกใจมาก เพราะหลวงปู่ท่านนอนตะแคงบนเตียงนอน คล้ายกับมีอาการอาพาธอย่างหนัก
“หลวงพี่ เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมหันไปถามหลวงพี่ที่ดูแลหลวงปู่ หลวงพี่ตาแดงๆ คล้ายกับคนที่ผ่านการร้องไห้
“เอ่อ...หลวงปู่ ท่านจะละสังขาร”
   เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ ประโยคที่ผมได้ยิน หลวงปู่ท่านจะละสังขาร ทำไม ทำไม ท่านยังแข็งแรง ทำไมถึงเกิดอะไรขึ้นเร็วขนาดนี้
“หลวงพี่...อะไรนะครับ”
“ท่านจะละสังขาร”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อกี้หลวงปู่ท่านยังแข็งแรงดีอยู่”
“ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ท่านเข้าไปลาหลวงปู่เถอะ”
   ผมกับพระอาจารย์ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเหมือนทราบ ท่านลืมตาขึ้นมา ฉายแววตาแห่งความเมตตาดังเดิมทุกครั้ง ต่างจากผมที่น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้าแล้ว
“ละ..หลวงปู่..คะ..ครับ”
“ข้าเรียนจบแล้วลูกเอ๋ย...คนเรียนจบ ต้องออกจากโลกใบนี้แล้วลูกเอ๋ย”
“ฮรึกกก...หลวงปู่...ผมขอนิมนต์..ให้อยู่ต่อ”
“ไม่ได้แล้วลูกเอ๋ย ไม่มีผู้ใดฝืนกฎธรรมชาตินี้ได้ ข้าเรียนจบแล้ว ถึงเวลาข้าก็ต้องไป”
“ตะ..แต่..ว่า”
“ภารกิจของข้าเสร็จหมดแล้วลูกเอ๋ย ข้าได้ช่วยเอ็ง ได้ช่วยคู่เอ็ง เป็นไปตามสัญญาทุกภพชาติ บัดนี้ข้าทำสำเร็จหมดแล้ว จบสิ้นทุกอย่างแล้ว ไม่มีภพชาติแล้วลูกเอ๋ย”
“ฮรึก....ฮืออออออ” ผมเอามือปิดหน้าร้องไห้ตัวโยนเหมือนเด็กน้อย
“เอ็งอย่าร้องไห้ อย่าเศร้าเสียใจกับเรื่องธรรมดานี้ ลูก...เอ็งลาสิกขาไปแล้ว ขอให้จดจำทุกเรื่องราว ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส สร้างบุญบารมีเยอะๆ นะลูก ในอนาคต วันหนึ่งเมื่อมาถึง เอ็งก็เรียนจบเหมือนกับข้า”
“คะ..ครับ..ละ..หลวงปู่..ฮรึกกกก”
“เหน่งเอ๋ย” หลวงปู่เปล่งเสียงเรียกหลวงพี่ที่ดูแลหลวงปู่มาตลอดหลายปี
“ครับ” ตาหลวงพี่แดงก่ำ คงเสียใจมากกว่าผมหลายเท่าตัวนัก
“อุดมเอ้ย ไปเรียกพระทุกรูปเข้ามาด้านใน”
   พระอาจารย์ลุกขึ้นไปเรียกพระทุกรูปเข้ามาด้านในห้องหลวงปู่
“เหน่งเอ้ย ขอบใจเอ็งมากที่ดูแลข้ามาตลอดหลายปี เอ็งเปรียบสมือนเป็นลูกข้า ที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ดูแลข้าไม่ขาดตกบกพร่อง ข้าขอขอบใจในน้ำใจของเอ็ง...เหน่งเอ้ย ในอนาคตภายภาคหน้า เอ็งจะได้บรรลุพระอรหันต์ สำเร็จตามความตั้งใจของเอ็งอย่างแน่นอน ขอบใจเอ็งนะ ขอให้เอ็งมีความสุขมากๆ นะเหน่ง..ลูก”
   หลวงพี่เข้าไปกราบที่อกหลวงปู่พร้อมกอด หลวงพี่ร้องไห้จนตัวสั่นไปมาเช่นกัน เป็นภาพแห่งความทรงจำที่ผมไม่อยากจำเสียเลยจริงๆ
“นับจากนี้เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว ขอให้พระทั้งหมดเชื่อฟังพระเหน่ง และขอคำปรึกษาจากพระอุดม ในอีกไม่นาน วัดแห่งนี้จะเจริญมาอีกครั้ง จะมีเศรษฐีผู้มีอันจะกินจากแดนไกล เขาจะมาทำนุบำรุงวัดแห่งนี้ให้เจริญดังเดิม....ขอให้ท่านทั้งหลาย ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามพระธรรมวินัย แล้วท่านทั้งหลายจะไม่มีวันพบเจอความเสื่อม ตลอดกาลนาน....ข้า..ขอ...ลา”
   หลวงปู่หลับตาลงแล้วไม่พูดอะไรอีกเลย ท่านนอนตะแคงอย่างสงบเฉกเช่นเดียวกับคนที่หลับสนิท ใบหน้าของท่านยังคงมีรอยยิ้ม หลวงพี่ท่านลุกขึ้นไปดูหลวงปู่
“หลวงปู่ท่านละสังขารแล้ว”
   ผมกับพระอาจารย์และทุกคน โน้มตัวลงกราบหลวงปู่สามครั้ง ส่งหลวงปู่สิม พระอาจารย์ผู้มีพระคุณอันประเสริฐ ไปยังดินแดนนิพพาน
   (หลวงปู่ครับ ขอบพระคุณมากที่สุด ผมจะจดจำทุกคำสอนไปปฏิบัติ วันหนึ่งคงได้เจอกันได้พระนิพพานนะครับ)

   งานศพของหลวงปู่จัดอย่างเรียบง่าย ตามความประสงค์ของท่านที่ได้เคยสั่งหลวงพี่ไว้ล่วงหน้า ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวไทใหญ่รวมถึงชาวพม่า เมื่อได้ทราบข่าวต่างก็เศร้าโศกเสียใจอย่างมาก ต่างก็มาร่วมงานศพเป็นจำนวนมาก บ้างก็มาช่วยทำอาหาร ออกแรงกาย ทำความสะอาดวัด อำนวยความสะดวกในหลายๆ อย่าง มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่จากละแวกใกล้เคียงต่างเข้ามาร่วมงานอย่างไม่ขาดสาย ในความคิดผมนะครับ ในยุคสมัยนั้นการสื่อสารของพม่าล้าหลังกว่าประเทศไทยมาก หากเป็นปัจจุบันนี้คงได้ออกข่าวใหญ่โตแน่นอน
   ผมกับพระอาจารย์ต่างก็ร่วมสวดมนต์ ให้กับหลวงปู่ทุกคืน จนกระทั่งในวันสุดท้าย เป็นวันที่จะต้องเผาสังขารหลวงปู่ ทางวัดก็ไม่มีเมรุ จึงใช้วิธีแบบโบราณสมัยพุทธกาล คือ การนำไม้จันทร์หอม มาก่อสร้างเป็นเชิงตะกอน แล้วนำสังขารหลวงปู่วางไปบนแท่น หลังจากนั้น ก็นำไม้จันทร์หอมปิดทับอีกครั้ง ทุกคนที่มาร่วมงานต่างมีความเชื่อในการนำไม้ที่มีกลิ่นหอมและเป็นมงคลเข้ามาร่วมในพิธี
   เมื่อเปลวเพลิงลุกโชติช่วง ผมน้ำตาไหลอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นหลวงปู่ ทุกคนรวมถึงตัวผม ต่างพร้อมใจก้มลงกราบหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้ายท่ามกลางเปลวเพลิงที่สว่างไสว
   ผมรู้สึกว่าค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน ท่ามกลางเปลวไฟที่ค่อยๆ มอดดับ ตรงกับช่วงเวลารุ่งสาง ผมกับพระอาจารย์ พระภิกษุทุกรูป ตลอดจนชาวบ้านมากมาย ได้มาร่วมเก็บอัฐิของหลวงปู่
   อัฐิของหลวงปู่ขาวโพลนสวยงาม บางส่วนมีการแปรเปลี่ยนพระธาตุโดยทันที เหมาะสมแล้วกับพระอริยะที่มีจริยวัตรงดงามเช่นนี้ พระอาจารย์ส่งกระดูกชิ้นเล็กให้กับผมชิ้นหนึ่งโดยมีเป้าหมายให้ผมนำไปบูชา
“ผมไม่รับไว้นะครับพระอาจารย์”
“ทำไมละท่าน ไม่อยากได้ไปบูชาหรือ”
“ไม่ครับ การบูชาหลวงปู่ที่ดีที่สุดคือ การปฏิบัติตามคำสอน เถ้ากระดูกให้ทางพระรูปอื่นๆ เขาจัดการเถอะครับ ไม่ก็สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ จะดีมากกว่าครับ”
“ท่านตอบได้ดี สมแล้วที่หลวงปู่ท่านสั่งสอน”
   พระอาจารย์เดินจากไปช่วยงานเก็บอัฐิต่อ ในส่วนของผมก็ได้แต่ยืนมองระคนไปด้วยความเศร้าเสียใจ อีกประการหนึ่ง การนั่งสมาธิของผมไม่เหมือนดังเดิม จิตไม่สามารถรวบรวมอะไรได้มากอีกแล้ว คงเป็นเพราะหลวงปู่ท่านได้จำกัดการรับรู้ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผมผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเป๊บ

“ท่านพร้อมสึกวันไหน” พระอาจารย์ถามผมหลังจากงานของหลวงปู่ผ่านพ้นมาแล้วประมาณสามวัน
“ใจจริงผมก็ไม่อยากสึกหรอกครับพระอาจารย์ แต่ว่าได้รับคำสัญญากับหลวงปู่ไว้แล้ว คงต้องสึก รบกวนพระอาจารย์หาวันและเวลาให้ผมด้วยนะครับ”
“ได้ซิ อีกสองวันเป็นวันแรมสิบห้าค่ำ ได้ฤกษ์สึกพอดี ว่าแต่ท่านจะสึกที่นี่ หรือที่ประเทศไทยละ”
“ผมได้รับประสบการณ์และความรู้จากที่นี่ เป็นสถานที่ที่ผมเคยสร้างมานานมากแล้ว ผมขอสึกที่นี่นะครับ”
“ได้ท่าน ท่านตัดสินใจถูกแล้ว”
“ทำไมหรือครับ”
“โยมเป๊บ ก็สึกที่นี่”
   คำตอบของพระอาจารย์ทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ในใจตอนนี้ผมเกิดความคิดถึงเป๊บเป็นอย่างมาก ช่างแตกต่างกับตอนบวชช่วงแรกเหลือเกิน ใจของผมพร้อมที่จะสึกและเป็นคนใหม่ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามที่หลวงปู่ได้สอนไว้แล้วครับ
“รบกวนท่านแจ้งโยมที่ประเทศไทย เรื่องการเดินทางกลับด้วยนะ”
“วันไหนดีครับพระอาจารย์”
“วันที่สึกนั่นแหละ บอกไปว่าทางเราพร้อมเดินทางกลับประมาณบ่ายสาม”
“ได้ครับ”
   ผมเดินกลับมาที่กุฎิ ล้วงไปในกระเป๋าเป้ หยิบโทรศัพท์ที่ฉัตรได้ถวายมา เปิดเครื่องจนสัญญานขึ้นเต็ม กดเบอร์โทรศัพท์ของเป๊บ และแจ้งกำหนดการที่กลับประเทศไทย

   ย่ำรุ่งในอีกสองวันต่อมา เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ในเพศบรรพชิต รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ ราวกับว่าจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป พวกชาวบ้านทั้งชาวพม่าและชาวไทใหญ่ เมื่อทราบว่าผมจะสึก ต่างก็จัดเลี้ยงพระในช่วงเช้าให้ผมได้ฉันท์เป็นครั้งสุดท้าย สร้างความประทับใจให้กับผมมากเหลือเกินครับ
   จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญ พระอาจารย์ส่งกระดาษแผ่นหนึ่ง ในกระดาษนั้นมีคำสวดบทขอสึก
“การสึกไม่จำเป็นต้องซ้อมท่อง อ่านว่าตามสึกได้ทันที”
“ครับพระอาจารย์ ผมขอไปกุฎิหลวงปู่เพื่อกราบลาได้ไหมครับ”
“ได้ซิ จะรอที่ลานโบสถ์นะ”
“ครับ”
   ผมเดินมาที่กุฎิหลวงปู่ ตรงหน้าห้อง มีโกฎิสีทองที่บรรจุอัฐิหลวงปู่ไว้ ผมยกมือไหว้ และก้มกราบสามครั้ง
“หลวงปู่ครับ ผมมาลาสิกขา อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมจะสึกออกจากเพศบรรพชิต กลับไปใช้ชีวิตฆราวาสอย่างเต็มตัว ผม...ขอบพระคุณหลวงปู่มากนะครับ ที่มีเมตตาเกื้อหนุนมาหลายภพชาติ ผมให้สัญญาว่าจะตั้งใจสร้างบุญกุศล เป็นคนดี จะได้บรรลุพระนิพพานในอนาคตดังที่หลวงปู่ได้ทำนายไว้...หลวงปู่ครับ....ลูกคนนี้...ขอลา”
   ผมก้มกราบสามครั้งพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม เมื่อกราบลาเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่ลานโบสถ์ พระอาจารย์เตรียมพร้อม และมีคุณป้าชาวไทใหญ่ รับอาสาถวายชุดขาวให้ผมได้ใส่หลังเปลื้องจีวร
“พร้อมแล้วนะท่าน เริ่มเถอะ”
“ครับ”

   พุทธัง ปัจจักขามะ ธัมมัง ปัจจักขามะ สังฆัง ปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระพุทธเจ้า
ขอลาพระธรรม ขอลาพระสงฆ์
วินะยัง ปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระวินัย
สิกขังปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาสิกขาบท
คิหิโต โน ธาเรนตุ
ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงจำข้าพเจ้าไว้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคฤหัสถ์ สามัญชนแล้ว

<เปรี้ยง....ครืนนนน หวิววววว>
   เสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับลมพัดที่ค่อนข้างแรง คงเป็นคำอำลาจากเพศบรรพชิตจากเหล่าบรรดาเทวดา
   พระอาจารย์ได้ดึงผ้าสังฆาฎิที่พาดบ่าผมออก ณ ตอนนั้นใจหายวาบ มันเป็นความรู้สึกที่ยากแก่การอธิบาย น้ำตาผมก็ไหลอีกครั้ง
“อย่าได้เศร้าเสียใจเลยโยม ทุกสรรพสิ่งมีเวลาเป็นของตัวเอง เมื่อเวลามาถึง ย่อมเป็นแบบนั้น โยมไปเปลี่ยนชุดขาวได้แล้ว”
   ผมเปลี่ยนชุดขาวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมาด้านนอก คุณป้าผู้ใจบุญเข้ามาอนุโมทนา ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณคุณป้าที่เป็นธุระจัดหาให้
   ผมกราบลาหลวงพี่เหน่ง และพระรูปอื่น รวมถึงล่ำลาบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่อุปถัมภ์ผมตลอดระยะเวลาที่มาจำวัตร ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำและความรู้สึกดีๆ ที่ยากแก่การลืมเลือน
   รถตู้คันเก่า ได้เคลื่อนตัวออกจากวัด ผมหันไปมองกุฎิหลวงปู่ พร้อมยกมือไหว้ พลางคิดในใจ (หลวงปู่ครับ ลูกกราบลา คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ) ผมโบกมือลากับทุกคนที่มาส่ง (ขอบคุณทุกคนมากนะครับ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เจอกันอีก แต่ผมจะจำทุกคนไว้จนกว่าจะหมดลมหายใจ)
   เจ้าหน้าที่สนามบินได้นำผมกับพระอาจารย์ไปนั่งพักที่ห้อง VIP เพื่อรอเครื่องบินจากประเทศไทยมารับ ผมนั่งมองนอกหน้าต่างซึ่งเห็นรันเวย์สนามบิน ไปอย่างเงียบๆ คนเดียว
“เป็นอย่างไรบ้างโยมโจ้”
“บอกไม่ถูกครับพระอาจารย์ หลากหลายความรู้สึกมาเหลือเกิน”
“แล้วดีหรือไม่ดีละ”
“ดีครับ เป็นอะไรที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต”
“ดีแล้ว ชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้วนะ โยมคงทราบแล้วว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างงดงามนะ”
“ขอบพระคุณมากครับพระอาจารย์ ขอบพระคุณจริงๆครับ”
   ผมเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ กลางอากาศจากท้ายรันเวย์ แสงไฟนั้นค่อยๆ ใหญ่ขึ้น และนั่นหมายความว่า เครื่องบินจากประเทศไทยกำลังจะใกล้แตะรันเวย์สนามบินเมืองพยากแห่งนี้แล้ว
   เสียงเครื่องบินชะลอความเร็วดังลั่นไปทั่วทั้งสนามบิน เครื่องบินค่อยๆ วิ่งมาจอดตรงแท๊กซี่เวย์
   เจ้าหน้าได้เรียกและเดินนำเราสองคนออกจากตัวอาคารไปยังเครื่องบินที่จอดสนิท สายตาของผมจับจ้องไปยังประตูเครื่องบินด้วยความตื่นเต้น เมื่อประตูเปิดออก คนแรกที่เดินออกมาจากเครื่องบิน คือ เป๊บ
   การก้าวขาของผมไว้ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่ากึ่งเดินกึ่งวิ่ง ความรู้สึกแรกของผมคิดว่าระยะทางระหว่างจุดที่ผมเดินไปยังเครื่องบินมันไกลมาก ไกลมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ไกลสักเท่าไหร่
   เป๊บลงบันไดเครื่องบิน และหยุดตรงนั้น แม้ว่าเป๊บจะใส่แว่นกันแดดสีดำ แต่ผมรู้ได้เลยว่า สายตาของเป๊บจับจ้องมาที่ตัวผม ผมเดินกึ่งวิ่งจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเป๊บ
“น้อง..กลับมาแล้ว...ท่านพี่”
   ไม่ทราบว่า ณ ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ถึงได้เอ่ยประโยคนี้ออกไป
“พี่..มารับน้อง...ตามสัญญาแล้ว...เช่นกัน”
   ผมโผเข้ากอดเป๊บแบบแน่นมากพร้อมร้องไห้แบบไม่อายใครทั้งสิ้น เป็นอารมณ์ที่คิดถึงมากเหลือเกิน มากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้หมด เมื่อตั้งสติได้
“เป๊บ แล้วมาคนเดียวหรือ” ผมถามพลางปาดน้ำตา
“พวกผู้ใหญ่รอรับที่สนามบินดอนเมือง แต่โจ้ลองขึ้นไปบนเครื่องซิ แล้วจะเซอไพร้ซ์”
   ผมเดินขึ้นตามหลังเป๊บมาบนเครื่อง ก็เห็นพระอาจารย์นั่งเก้าอี้แถวหน้าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายตามองไปด้านหลัง ผมเห็นฉัตร เบิด โอ๊ต ทราย ยืนยิ้มต้อนรับผมอยู่
“ไงคะทิด ไม่ได้เจอกันนาน ผ่องใสขึ้นเป็นกอง” ฉัตรทักผมด้วยรอยยิ้ม
   ผมเดินเข้าไปหาฉัตร กอดฉัตรแน่น
“ขอบคุณมาก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ผมร้องไห้ไปพลางขอบคุณฉัตรไป
“ไม่เป็นไร อย่าร้องๆ ทุกอย่างที่ทำให้เพราะอยากทำให้”
   ผมกอดเพื่อนๆทุกคน ด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีมาก รักเพื่อนกลุ่มนี้มากที่สุด
“ว่าแต่พระอาจารย์ขึ้นเครื่องมาตอนไหนครับ” ผมเอ่ยถามพระอาจารย์
“ก็ตอนที่คุณๆ ทั้งสองกอดกันกลมดิ๊ก อิชั้นก็เลยให้เบิดไปนิมนต์พระอาจารย์เดินขึ้นประตูหลังเครื่องบินนี่ละคะ” ทรายตอบแทนพระอาจารย์
“ฮ่าๆๆ” เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี แต่ผมเนี่ยซิ ดันเขินซะงั้น
“ขอโทษนะครับพระอาจารย์ ที่ลืมไม่ได้นิมนต์”
“ไม่เป็นไร อาตมาเข้าใจดี ทุกอย่างก็ลงตัวแล้วนะ พร้อมแล้วก็เดินทางกลับกันเถอะ”
   เสียงเครื่องบินคำรามดังลั่น พร้อมกับความเร็วที่เร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ฟ้า ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นถนนที่ทอดยาวไปยังวัด วัดที่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ที่ดีที่สุดในชีวิต
   (ขอบพระคุณหลวงปู่ ขอบพระคุณทุกคน ขอบพระคุณเทพและเทวดา ขอบพระคุณพญานาค ชั่วชีวิตนี้ผมจะไม่มีวันลืมเลย...ขอบคุณมากจริงๆ ครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2018 08:16:41 โดย jonathan2624 »

ออฟไลน์ nutto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อ่านจบแล้วก็น้ำตาไหลจริงๆ รู้สึกปิติแบบบอกไม่ถูก อนุโมทนากับบุญที่พี่ได้กระทำมาด้วยนะครับ
รู้สึกเป้นโชคดีทีไ่ด้มาอ่านเรื่องราวของพี่จริงๆ ถึงแม้ว่าเรื่องราวนั้นกำลังจะจบลงแล้วจะแอบใจหายไปบ้างก็ตามที

ออฟไลน์ sodamint.11

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านจบแล้วได้คำตอบที่ติด
อยู่ในใจหลายอย่างเลยคะ
คำถามที่เคยมีว่าทำไหมได้รับ
คำตอบแล้ว..ขอบคุณคะ

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
 :pig4: :pig4: :pig4: ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่เขียนตอนนี้ให้ได้อ่าน รู้สึกซาบซึ้งมาก
เคยได้ยินว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้เลย

ติดตามอ่านเรื่องของโจ้กับเป๊ปมานาน ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ T.T
ถ้ามีเวลาว่าง เขียนตอนพิเศษให้ได้อ่านกันอีกนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :L2:
อ่านแล้วน้ำตาชีมเลย
ขออนุโมทนาสาธุ กับการกระของน้องโจ้และน้องเป๊บ
สาธุคะ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด