The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The rainbow project เรื่องสั้น 7 เรื่อง 7 คนเขียน (อัพให้ใหม่ง่ายกว่าทำลิ้งค์)  (อ่าน 325074 ครั้ง)

hahn

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านที่เหลือ ว่าจะน่ารักกว่านี้อีกไหม

PrinceTae

  • บุคคลทั่วไป
 


เล่ห์ร้าย
ตอนที่ 4.

วิธวินท์อุ้มเด็กชายขึ้น โดยให้ศีรษะของคุณหนูพาดอยู่บนบ่า แขนอ่อนแรงที่ตกอยู่ข้างลำตัวชายหนุ่มก็จับให้คล้องคอเขาไว้ แล้วดึงถุงกระดาษในมือของเด็กชายมาถือไว้เอง เรียกเสียงครางอือเบาๆ แสดงอาการขัดใจจากเด็กชายเล็กน้อย แขนแกร่งกอดอยู่ที่หลังพาดมาประคองที่บ่าเพื่อไม่ให้คุณหนูตก แขนอีกข้างกอดอยู่ที่ใต้สะโพก แล้วจึงเดินเข้าเรือนคุณปู่ไป

ชายหนุ่มวางร่างเด็กชายลงบนเตียงนุ่ม จัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ตรงหัวนอนเพื่อจะเอาไปวางไว้ที่อื่น แต่ด้วยความสงสัยวิธวินท์จึงยกถุงนั้นขึ้นมาเขย่าเบาๆ ที่ข้างหู เสียงสิ่งของข้างในกระทบกัน แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ชายหนุ่มจึงเลิกสนใจแล้ววางมันไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง
เมื่อวิธวินท์ตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ชายหนุ่มจึงจะลุกขึ้นจากเตียง แต่มือเล็กๆ ก็ดึงข้อมือของเขาไว้เสียก่อน
“บรูโน่ อาบน้ำให้หน่อย” ลลิตพูดออกมาเบาๆ แต่ความเงียบภายในห้องทำให้วิธวินท์ได้ยินอย่างชัดเจนเลยทีเดียว แล้วจากมือที่ดึงอยู่เพียงข้างเดียว ร่างเล็กก็เปลี่ยนมาเป็นขยับลุกจากเตียงมาเกาะแขนชายหนุ่มไว้แน่น
“เหนียวตัว จะอาบน้ำ” ลลิตบอกย้ำ มือก็แปะป่ายไปตามเนื้อตัวของชายหนุ่ม
“ครับๆๆ อาบน้ำกันนะ” วิธวินท์จึงอุ้มเด็กชายลงจากเตียงอีกครั้ง แล้ววางลงให้ยืนแต่ก็ยังใช้แขนประคองไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ชายหนุ่มเปิดตู้เพื่อหาเสื้อผ้าและผ้าขนหนู ลลิตก็อยู่ไม่สุข ดิ้นจะดึงเสื้อตัวเองออก ปากก็บ่น ร้อนๆ จนชายหนุ่มไม่สามารถหยิบเสื้อผ้าได้จึงได้แต่ดึงแค่ผ้าขนหนูผืนใหญ่พาดบ่าแล้วกึ่งอุ้มกึ่งยกร่างเล็กไปที่ห้องน้ำ เมื่อลองปล่อยร่างเล็กให้ยืนด้วยตัวเอง ก็ทำท่ายืนเอียงๆ เซๆ วิธวินท์จึงเข้าไปยืนซ้อนหลังเพื่อให้เด็กชายพิง แล้วจับชายเสื้อขึ้นดึงออกทางศีรษะ แต่ก็ทุลักทุเลเพราะร่างเล็กไม่ยอมอยู่นิ่ง ปากก็งึมงำอะไรไปด้วย จนเสื้อยืดเนื้อนิ่มหลุดจากตัวได้ วิธวินท์ก็กอดเอวลลิตไว้เพื่อจะปลดกางเกง เด็กชายก็ดิ้นเอามือปาดปัดไปทั่วจนไปโดนวาล์วเปิดฝักบัว สายน้ำจากฝักบัวที่ฝังอยู่บนเพดานก็ไหลลงมาจนเปียกไปทั้งสองคน ชายหนุ่มจะเอื้อมมือไปปิด แต่ลลิตก็หมุนตัวกลับมาหา วิธวินท์กลัวว่าจะล้มจึงต้องปล่อยสายน้ำให้ไหลต่อไปแล้วหันกลับมากอดร่างกึ่งเปลือยของเด็กชายไว้แทน
“บรูโน่ก็ถอดด้วยสิ เปียกหมดแล้ว” ลลิตพยายามดึงเสื้อของชายหนุ่มขึ้น แต่ด้วยความที่ไม่มีแรงมากนักก็เลยหันมาทึ้งกางเกงแทน จนตะขอกางเกงหลุดออก ชายหนุ่มรีบดึงมือเด็กชายไว้ด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวผมอาบน้ำให้คุณหนูก่อนนะครับ แล้วผมค่อยมาอาบเอง”
“เสียเวลาน่า ง่วงแล้ว” เสียงเด็กชายเริ่มขึ้นจมูกแสดงถึงความไม่พอใจ
“ครับๆ อาบครับ” เสียเวลาที่จะเถียงกับคนเมา วิธวินท์จึงขยับให้เด็กชายเอาหลังพิงผนังห้องน้ำไว้ แล้วเอาตัวเองกันไว้ไม่ให้ล้มลง จัดการถอดเสื้อตัวเองโยนไปส่งๆ แล้วหันกลับมาจัดการกางเกงของเด็กชาย มือเล็กๆ ก็ยังคงอยู่ไม่สุขเช่นเคยฝ่ามือลูบไล้แปะป่ายไปมาเบาๆ ทั้งที่ตายังปิดอยู่ จนทั้งสองร่างเปลือยเปล่าอยู่กลางสายน้ำ

วิธวินท์ลูบไล้ฟองสบู่นุ่มๆ ไปตามผิวขาวเนียน ร่างเล็กที่เริ่มสงบลงเพราะสบายตัวขึ้นก็เอนตัวพิงชายหนุ่มไว้ทั้งตัวซบหน้าลงกลางอกแขนพาดขึ้นไปเกี่ยวที่ลำคอของวิธวินท์ สองร่างแนบชิดกันจนชายหนุ่มรู้สึกหายใจติดขัดหัวใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดไปที่กลางลำตัวจนปั่นป่วน วิธวินท์จึงรีบล้างตัวให้สะอาดแล้วปิดน้ำ พาเด็กชายไปห่อตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ แล้วใช้ผ้าผืนเล็กอีกผืนคลุมที่ศีรษะแล้วอุ้มมาวางไว้ที่เตียง จากนั้นก็รีบไปหาเสื้อผ้าให้ทั้งตัวเองและคุณหนู ชายหนุ่มมีเสื้อผ้ามาทิ้งไว้ที่นี่สองสามชุด จึงรีบเอาเสื้อผ้าใส่ให้ตัวเองลวกๆ แล้วหยิบชุดนอนเนื้อนิ่ม มาจัดการสวมให้เด็กชาย แล้วจัดท่าให้นอนหนุนที่ตักของเขาแล้วเช็ดผมชื้นๆ นั้นให้แห้งสนิท แขนเล็กยกขึ้นโอบกอดเอวของวิธวินท์ไว้ ใบหน้าขาวซุกลงกับตักอุ่นหลับตาพริ้มดูมีความสุข

ชายหนุ่มมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองกว่า แล้วชะเง้อมองออกไปที่หน้าต่างห้องก็ไม่เห็นมีรถที่คุณสมบูรณ์ขับมาจอดอยู่ที่เดิมเสียแล้ว วันนี้เขาคงต้องค้างที่เรือนคุณปู่ วิธวินท์ขยับตัวอุ้มให้เด็กชายลงไปนอนหนุนที่หมอน ตัวเขาเองจะออกไปอาศัยโซฟาหลังใหญ่ที่ห้องด้านนอกเพื่อหลับนอนในคืนนี้ ชายหนุ่มขยับตัวอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวร่างเล็กที่หลับสนิทอยู่บนเตียงจะรู้สึกตัว แต่เด็กชายก็ปัดแขนไปมาที่ข้างลำตัวเหมือนต้องการหาอะไรสักอย่าง จนมาแปะเข้ากับมือของวิธวินท์ที่กำลังยันตัวจะลุกจากที่นอน ร่างเล็กขยับเข้าไปหาสิ่งอบอุ่นที่ค้นหาเจอเหมือนมีแรงแม่เหล็กดึงดูด ลลิตดึงแขนชายหนุ่มมากอดไว้

“คุณปู่ ริชหนาวจัง” ปากอิ่มพึมพำบางอย่างออกมาเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ ชายหนุ่มที่กำลังพยายามแกะมือของเด็กชายออกจึงก้มลงไปใกล้ๆ ก็ได้ยินอีกประโยคที่ทำให้จิตใจอ่อนยวบ
“คุณปู่ อย่าทิ้งริช ฮืออ” เสียงแผ่วเบาปนสะอึกหลุดออกมาจากปากเด็กชาย มีน้ำตาซึมออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท  วิธวินท์เกลี่ยปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ แล้วตัดสินใจสอดตัวลงไปนอนเคียงข้างโอบกอดร่างเล็กในเอาไว้
“ไม่ทิ้งครับ นอนนะครับเด็กดี” วิธวินท์กระซิบแผ่วเบาปลอบประโลมเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอด ลูบที่ผมนุ่มแผ่วเบา
ลลิตสอดแขนเข้าไปกอดร่างใหญ่ไว้แน่น เรียวขาเล็กก่ายพาดเกี่ยวไว้อีกทาง เพราะกลัวว่าร่างอบอุ่นที่กกกอดอยู่จะหายไป
ชายหนุ่มซบหน้าแนบกับผมนิ่มใช้ปลายนิ้วขมวดเล่นไปเรื่อยๆ


สองร่างกอดกระหวัดกันแนบแน่นอยู่บนเตียงหนานุ่ม เสื้อผ้าที่มีอยู่ติดกายมลายหายไปจนสิ้น ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวละเอียดนวลเนียน พลิกพลิ้วไปมาจนผ้าห่มนวมผืนสวยลงไปกองอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มพลิกร่างเล็กให้ขึ้นมาอยู่บนร่างตนเอง ฝ่ามือสอดเข้าไปกระชับท้ายทอยให้แลกจูบกันอย่างดูดดื่ม มือร้อนรุ่มอีกข้างก็ลูบโลมไปตามแผ่นหลัง ก่อนเลื่อนลงไปบีบเคล้นที่สะโพกเล็กเบาๆ แล้วพลิกให้เด็กชายลงไปอยู่ใต้ร่างของเขาโดยที่ริมฝีปากมิได้ห่างกันแม้แต่วินาทีเดียว สองมือน้อยลูบไล้ขึ้นมาตามบ่าตามไหล่แล้วกอดคอชายหนุ่มไว้แน่น สองร่างบดเบียดเสียดสีจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
 ......
....
..
.
.
“บรูโน่! จะนอนไปถึงเมื่อไหร่ ฉันหิวแล้วนะ” ลลิตใช้เสียงดังกว่าปกติเรียกวิธวินท์ที่กำลังนอนหลับเอาหน้าซุกกับหมอนหนุนใบใหญ่ ที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูที่เขาสระให้เด็กชายเมื่อคืน ติดอยู่จนอบอวล ชายหนุ่มตกใจเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง แต่มือยังกอดหมอนติดมาด้วย
“โตแล้วยังติดหมอนอีก อยากกินหมูทอด ฉันรออยู่ข้างนอกนะ อย่าช้าล่ะ” ลลิตเดินส่ายศีรษะออกไปเบาๆ ชายหนุ่มปล่อยหมอนหลุดมือมองตามร่างเล็กที่เดินพ้นประตูออกไป ทบทวนความฝันที่เสมือนจริงเมื่อครู่แล้วรู้สึกไหววูบไปทั้งตัว ก้มลงมองที่กลางลำตัวก็พบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่นูนเด่นขึ้นมา จึงรีบกระโดดลงจากเตียงไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำทันที

เขาคิดบ้าๆ แบบนั้นกับคุณหนูได้อย่างไร คุณหนูยังเด็กอยู่เลย แถมเป็นเด็กผู้ชายอีก ชายหนุ่มคิดด่าทอตนเองซ้ำไปซ้ำมา แต่ร่องรอยการสัมผัสในฝันนั้นช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ทั้งฝ่ามือ ทั้งความนุ่มนวลหอมหวานของริมฝีปากก็ยังรู้สึกได้อยู่ วิธวินท์สะบัดศีรษะแรงๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง รีบจัดการกับตัวเองแล้วออกมาทำเมนูที่คุณหนูต้องการ

น้อยครั้งนักที่คุณหนูเล็กของคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้จะร้องขอเรื่องอาหารการกิน เมื่อแม่บ้านทำอะไรให้รับประทานก็ทาน จานไหนที่ไม่โปรดปรานก็จะไม่แตะต้องแต่ก็ไม่ได้มีคำบ่นออกมาจากปากคุณหนู
แต่วันนี้กลับสั่งให้วิธวินท์ทำเมนูง่ายๆ ทำให้สาวใช้ที่ตามมาบริการที่เรือนคุณปู่ถึงกลับแปลกใจ และต้องเก็บอาหารที่เตรียมมากลับไปเนื่องจากคุณหนูไม่ต้องการ
ชายหนุ่มนั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับลลิตที่ศาลาริมน้ำหน้าเรือนคุณปู่ แดดอ่อนๆ ที่ส่องลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ลงมาทำให้บรรยากาศช่างรื่นรม เด็กชายตักหมูทอดชิ้นพอดีคำที่วิธวินท์ทำเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย จนซอสสีแดงสดติดอยู่ที่มุมปากชายหนุ่มจึงชี้ให้คุณหนูเช็ดออก แต่เด็กชายก็เช็ดออกไม่หมด ชายหนุ่มก็ชี้อีกว่าติดอยู่ที่ตรงไหนบ้าง จนเด็กชายเริ่มรำคาญเลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ให้วิธวินท์เป็นผู้เช็ดออกให้
ใบหน้าขาว ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม จมูกเล็ก ริมฝีปากอิ่มสีชมพูสดเผยออกเล็กน้อยที่อยู่ในระยะประชิด ทำให้ชายหนุ่มคิดถึงความฝันเมื่อรุ่งเช้าขึ้นมาอีกครั้ง มือใหญ่หยิบกระดาษทิชชู่เช็ดคราบซอสให้อย่างแผ่วเบา แล้วต้องรีบถอยห่าง ชายหนุ่มรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่เข้ามาจู่โจมหัวใจตัวเอง จนใจเต้นคร่อมจังหวะ

พอตอนสายลลิตก็ให้สาวใช้ไปขนอุปกรณ์ศิลปะเอามากองที่ชั้นลอยของเรือนคุณปู่ หลังคาแบบเปิดโล่งทำให้ลมพัดผ่านเย็นสบาย บนชั้นนี้เป็นสวนหย่อมปลูกไม้ดอกแบบกระถาง มีเสียงน้ำไหลจากน้ำพุเล็กเป็นรูปคันโยกจำลอง ปูพื้นด้วยไม้ปาเก้ มุมหนึ่งมีชิงช้าไม้ขนาดสองคนนั่ง ผูกโยงด้วยเชือกเส้นใหญ่

สาวใช้นำเสื่อผืนใหญ่มาปู มีหมอน และอาหารว่างเตรียมไว้ให้พร้อมเพรียง แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มกับเด็กชายผสมสีเพื่อ ทำงานศิลปะส่งเป็นการบ้านในวันจันทร์ที่จะถึง
วิธวินท์จัดการนำน้ำใส่กระป๋องมาไว้สำหรับล้างพู่กันและผสมสีให้เด็กชาย ที่ตอนนี้กำลังสนุกกับการเอาสีลงใส่จานสี ชายหนุ่มวางกระป๋องน้ำไว้ใกล้มือเพื่อให้เด็กชายใช้ได้อย่างสะดวก แล้วหันมาเตรียมกระดาษที่จะใช้วาดรูปให้ ลลิตรับกระดานวาดรูปมาวางกับพื้น แล้วลากดินสอวาดรูปวงกลมลงไป เพื่อทำวงจรสี แล้วจัดการนำสีที่ผสมรอไว้แตะแต้มลงไปในวงกลมทีละสีๆ อย่างเบามือ

ชายหนุ่มนั่งมองเด็กชายที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างตั้งใจนัยน์ตาสดใสเปล่งประกาย ยิ้มนิดๆ จนเห็นรอยบุ๋มของลักยิ้มเมื่อลงสีได้ถูกใจ ไม่ได้สนใจว่าปลายนิ้วจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปขนาดไหน จนเมื่อเสร็จเด็กชายชูกระดานขึ้นอวดชายหนุ่ม เขาก็ยิ้มให้แล้วเอ่ยชม และจึงส่งผลงานให้วิธวินท์เอาไปวางตากไว้ แล้วหันมาทำงานอีกชิ้นที่เป็นการผสมเพื่อไล่สีรุ้งให้เต็มหน้ากระดาษ ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาแล้วก้มมองผลงานการลงสีของเด็กชายอยู่ใกล้ๆ ลลิตเงยหน้าขึ้นมา เห็นวิธวินท์กำลังก้มหน้าก้มตาดูที่ผลงานบนพื้น จึงยกพู่กันที่มีสีเหลืองติดอยู่ที่ปลายแปะเข้าที่ปลายจมูกของชายหนุ่ม เขาตกใจแล้วผงะถอยหลัง เด็กชายส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็ยันตัวยื่นแขนไปเพื่อจะเอาพู่กันปาดที่แก้มชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้วิธวินท์ถอยหนีได้ทัน ลลิตจึงคลานกับพื้นตามติดไป ดึงชายเสื้อของชายหนุ่มไว้แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมบนหน้าท้อง ริมฝีปากอิ่มหัวเราะร่วนไม่หยุด ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมากันมือของเด็กชายไว้ หลับตาปี๋ ปากก็ร้องบอกเด็กชายว่าอย่าแกล้งตนเอง
ลลิตรู้สึกว่าพู่กันอันเดียวมันไม่ทันใจจึงทิ้งมันลงแล้วใช้นิ้วมือทั้งห้าจิ้มลงไปที่จานสีแล้วมาแกล้งชายหนุ่มต่อ วิธวินท์จึงยกมือขึ้นมาจับข้อมือทั้งสองข้างของเด็กชายไว้ ลลิตดิ้น สะบัดมือไปมาหัวเราะคิกคักไม่หยุด จนเสียหลักจะเอียงข้างล้มลง ชายหนุ่มตกใจรีบปล่อยมือจากข้อมือเล็ก แล้วมารองที่ศีรษะของเด็กชายไว้
“โอ๊ะ!!” เสียงเด็กชายร้องออกมาอย่างตกใจ หลับตาแน่น แต่กลับไม่เจ็บอย่างที่คิด จึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก็พบเข้ากับดวงตาคมที่มองอยู่ก่อน ในระยะใกล้ปลายจมูกแทบจะชนกัน ดวงตาใสกลมโตอยากจะหลบแต่กลับไม่สามารถทำได้ เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้มองสบตากันนิ่งในท่านั้น
ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าหาช้าๆ จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ลลิตหลับตาปรือตาลง จนริมฝีปากเกือบจะสัมผัสกัน
“บะๆ บรูโน่ ฉันหนัก” เด็กชายหลับตาปี๋พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก ชายหนุ่มก็หยุดชะงักทันที แล้วรีบถอยตัวลุกขึ้น เพราะร่างของเขานอนทับขาของคุณหนูไว้ข้างหนึ่ง ทั้งสองผละห่างออกจากกัน ลลิตรีบไปล้างมือแล้วหยิบพู่กันอันใหม่มาก้มหน้าระบายสีต่อเงียบๆ ชายหนุ่มก็ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมแต่แอบชำเรืองมองเด็กชายเป็นระยะ

วิธวินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าคณะเพื่อรอเข้าเรียน เพื่อนๆ ของเขาต่างส่งเสียงหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ชายหนุ่มกลับนั่งเงียบใช้ความคิดอยู่เพียงลำพัง ไม่ได้สนใจใคร
หลายต่อหลายครั้งที่วิธวินท์แอบเอาเด็กชายมาจินตนาการ ดวงหน้าเล็ก ขาวเนียนตากลมใสที่ปกปิดแววตาดื้อดึงไว้ไม่มิด จมูกเล็กๆ น่าบีบเล่นเวลาที่สั่งคำสั่งเอาแต่ใจกับเขา ริมฝีปากอิ่มที่ขบเข้าหากันเวลาที่ถูกขัดใจ ภาพของคุณหนูอยู่ในห้วงของความคิดของชายหนุ่มแทบจะตลอดเวลา จนบางครั้งถึงขั้นเก็บมาฝัน แต่ไม่มีครั้งไหนที่ลึกซึ้งดังเช่นเมื่อคืนวันก่อน ที่ถึงขั้นคลอเคล้ากันโดยปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์
“เชี่ยวิน มึงจะเข้าฌานรึไงวะ” เสียงจ๊อดเพื่อนในกลุ่มที่สังเกตชายหนุ่มมาได้สักพักเอ่ยถามเสียงดัง
“มึงกะจะนั่งทางในไปดูข้อสอบอาจารย์เป็ดคนเดียวใช่มั้ย” เสียงของชาย เพื่อนอีกคนถามมาบ้าง แถมเอ่ยชื่อเล่นของอาจารย์ประจำวิชาอย่างสนิทสนม
“แต่แม่งหน้าแดง กูว่าไม่ใช่ว่ะ แม่งคิดเรื่องอย่างว่าแหงๆ”
“เฮ้ย กูเปล่า” วิธวินท์รีบปฏิเสธออกมาเสียงระรัว ทั้งที่ใจเต้นตึกตักเพราะเขากำลังคิดถึงความฝันที่สนิทแนบแน่นกับเด็กชายอยู่จริงๆ
“แต่กูว่าใช่แน่ๆ เลยว่ะ นั่งเหม่อตาเยิ้มแบบนี้ ถามจริงๆ น้องน้ำฝนเด็ดมั้ยวะ” เพื่อนๆ ทำเสียงเฮฮาเข้ามารุมล้อมชายหนุ่มแล้วถามกันเสียงขรม เดาส่งไปเรื่อยถึงสาวสวยคณะเภสัชนามว่าน้ำฝนที่มาส่งไมตรีให้กับวิธวินท์เป็นรายล่าสุด
“เฮ้ยไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับน้ำฝน”
“มึงมีคนใหม่แล้วไม่มาอัพเดทให้พวกกูฟังเหรอวะ”
“กูไม่มี เชี่ยนี่ เรียนโว้ยๆ” ชายหนุ่มรีบตัดบทหยิบตำราเรียนลุกจากโต๊ะ

“อ่ะๆ” ปอ เพื่อนที่นั่งใกล้ชายหนุ่มที่สุดส่งกระดาษแผ่นเล็กมาให้ ข้างในมีเนื้อความว่า
‘มึงเป็นอะไรวะ พวกกูเป็นห่วง เห็นเงียบผิดปกติ’
ชายหนุ่มจึงเขียนตอบกลับไป
‘ไม่มี’
‘พวกกูไม่เชื่อ เดี๋ยวนี้มึงหายๆ ติดต่อไม่ได้บ่อยๆ เรื่องแม่มึงหรอ’
‘ไม่ใช่ แม่กูดีขึ้นแล้ว’
‘มึงไม่ไว้ใจพวกกูเหรอ’ ชายหนุ่มได้รับกระดาษมา พออ่านเนื้อความแล้วมองไปที่เพื่อนๆ ที่คบสนิทสนมช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทุกคนมองมาด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเขียนตอบ และพับกระดาษแผ่นนั้นส่งกลับ เพื่อนทุกคนก็สุมหัวกันดูกระดาษแผ่นเล็กแล้วก็พร้อมใจกันส่งเสียง

“เชี่ยแล้วไง!!!!!!”



เพราะประโยคสั้นๆ ที่วิธวินท์ตอบกลับไปมีความว่า




‘กูว่า กูชอบเด็กผู้ชายเข้าแล้วว่ะ’


=========> โปรดติดตามตอนต่อไป
 :m14: อิอิ คงมีหลายคนค้าง อย่างน้อยก็บรูโน่คนนึง 555
คุณหนูอายุ 12-13 ปีครับ ออกจะแก่แดดเกินวัย ขรึมและดื้อเงียบครับ
ในถุงใบนั้นมีอะไรก็ยังไม่รู้ครับ พี่ญ่ากับคุณหนูเค้ารู้กันสองคน  :z1:
เรื่องพล็อตเนี่ยก็ต้องคุยกันครับ ทุกคนจะเอาแนวเรื่องหลักๆ มาแชร์กันก่อน
แล้วแนวทางของเรื่องใหนที่ไปกันได้ก็ตกลงกันไปครับ ว่าตัวละครตัวไหนจะออกตรงไหนยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2011 16:30:50 โดย PrinceTae »

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
อ่า
เริ่มจะหลงรักตาหนูนี่ซะแล้วสิ 55+

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
คุณหนูเริ่มทำตัวน่ารักขึ้นทุกวันแล้ววววว

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
วินกลายเป็นโชตะค่อนไปแล้วล่ะ อิอิ

แรงเทียน

  • บุคคลทั่วไป
 


ตอนที่ ๕

“ทำไมทำแบบนี้ทาน หา ทำแบบนี้ทำไม ทานเห็นความไว้เนื้อเชื่อใจของเทียนเป็นอะไร ทานเห็นเทียนเป็นควายเหรอ ตอบมา ทำแบบนี้ทำไม”
พอเดินออกจากบริเวณงานเทียนบุญก็ลากแขนของธรรมทานให้เดินตามไปที่รถ พอปลอดคนก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ธรรมทานหน้าซีด คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่อังกฤษ เทียนบุญเคยอาละวาดจนคู่กรณีอีกคนต้องย้ายที่อยู่ไปเลย
“เอ่อ เทียนฟังทานก่อน สิ นะครับที่รัก”
“เพียะ”
ยังเอ่ยไม่ทันจบคำเทียนบุญก็ฟาดมือลงไปบนหน้าของธรรมทานจนหน้าหันไปอีกด้านตามแรงตบ
“ยังไม่เข็ดใช่ไหมทาน เห็นเทียนเป็นควายหรือไง หา”
“มะ ไม่นะเทียน”
เสียงของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัว
“จำไว้ ถ้าเห็นเทียนเป็นควาย ควายตัวนี้ล่ะจะทำให้ทานย่อยยับ จะพูดอะไรพุดมาอย่ามาอ้ำอึ้ง”
ตวาดกลับคืนจ้องหน้าตาเขม็ง
“เอ่อ เมย์เขาหลอกทานน่ะเทียน เขาบอกว่าอยากให้ทาน”
“ตอแหล มันจะมาหลอกทานได้ยังไง ทานก็รู้ว่าเทียนเป็นคนบอกเรื่องนายแบบ คิดว่าเทียนโง่เหรอ หา”
“เทียน ไม่ใช่แบบนั้นนะ เมย์เขาหลอกทานจริงๆ เขาบอกว่าจำเป็นจริงๆ ทานก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“แล้วคิดว่ามันจะเป็นยังไง คิดว่าเทียนจะต้องหน้าชาร้องไห้เสียใจน่ะเหรอ รู้จักเทียนน้อยไปใช่ไหม หรือว่ารู้จักไม่พอ”
“เทียน”
“เอากุญแจรถมา”
“เทียนจะไปไหน”
“ทาน ทานรู้ใช่ไหม ถ้าเทียนจะไม่เอาก็คือจะไม่เอา ตอนนี้เทียนกำลังเบื่อทาน ทำแบบนี้กับเทียนแล้วจะให้เทียนคิดยังไง ความไว้ใจที่ให้กันมันหายไปไหน หา หรือว่าอยากให้เทียนเบื่อทานมากกว่านี้ จะเอายังไง”
“เทียน”
“อย่า อย่ามาอ้างว่าทำไปเพื่อธุรกิจ พอเถอะไปหลอกอีโง่นั่นเถอะ ไม่ใช่เทียน อย่าทำให้เทียนต้องระแวงแคลงใจในตัวทานอีก แล้วจะหาว่าเทียนไม่เตือน เอากุญแจมา”
“แล้วทานล่ะ”
“ฮึ มีปัญญามาเองก็หาทางกลับเองสิ”
ทั้งที่เป็นรถของธรรมทาน เทียนบุญคว้ากุญแจรถจากมือของธรรมทานแล้วก้าวขึ้นรถไป เขาบึ่งรถออกไปทันที
“เมย์โอเคไหม ไม่น่าเชิญมาเลยนะคนแบบนั้น เขาเป็นใครเหรอเมย์เพื่อนคุณทานเหรอ”
กนิฐนั่งปลอบมณีอารียาอยู่ไม่ยอมห่าง
“มันเป็นมากกว่านั้นโป้ง”
“หา หมายความว่ายังไงเมย์”
“อย่าเพิ่งอยากรู้เลยโป้ง เมย์เองก็ไม่คิดว่ามันจะร้ายได้ขนาดนี้ ฮึ อีกะเทย เดี๋ยวแกจะได้เห็นดีกัน”
“เมย์ อย่าไปแลกกับเขาเลยนะ ถ้าจะให้คนจัดการโป้งจัดการให้”
“อย่าโป้ง เราไม่อยากให้โป้งมายุ่งกับเรื่องสกปรกโสมมแบบนี้”
“เขาเป็นมากกว่าเพื่อน เป็นอะไรหา อย่าบอกนะว่าทาน”
“โป้ง พอเถอะ เมย์เหนื่อย ขอบคุณมากนะที่มาช่วยงาน”
มณีอารียาถอนหายใจออกมา มองออกไปด้านนอกที่ยังมีแขกกับนักข่าวแน่นขนัดอยู่
“เมย์ก็รู้ ว่าโป้งยินดีทำทุกอย่างเพื่อเมย์นะ”
มือของชายหนุ่มกุมไปที่มือของหญิงสาว มณีอารียายิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นใจ สายตาของเธอมองเขามากกว่าเพื่อน แต่เพราะอะไร
“กริช เดี๋ยวเทียนเข้าไปหานะ”
เทียนบุญต้องหาที่ระบายออก อย่างน้อยก็ได้ปรับทุกข์กับเพื่อนรักอย่างกริช สายตาที่ฟาดฟันรายทางระหว่างขับรถตรงไปยังร้านของกริชนั้นมันเหมือนจะทำให้ผู้คนหรือสิ่งของรายทางมลายลงในทันตา
“มีอะไรหรือเปล่าเทียน ตอนนี้เรามางานเปิดตัวร้านเพชร”
“หา ที่ไหนกริช”
“ก็ที่”
กริชบอกชื่องานออกมา
“โลกกลมเหลือเกินเราเพิ่งออกจากงานเมื่อกี๊”
“เราเห็นเทียนล่ะ แต่ไมได้เข้าไปทัก เดี๋ยวเราก็จะรีบออกจากงานเหมือนกัน มีเรื่องกันใช่ไหม เทียนไปรอที่ร้านนะพี่ญ่าอยู่”
“เร็วนะกริช”
เทียนบุญวางสายไปแล้วตรงไปยังที่นัดหมาย ไฟแสงสีที่ฉูดฉาดมันยั่วยวนใจ แสงไฟสีงามเหล่านั้นมันทาบลงบนเรือนร่างของชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่ยืนรายเรียงเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านบ้าง เดินขวักไขว่ไปมาบ้าง เหล่าผีเสื้อราตรีที่ยังคงบินวนเวียนหากลีบดอกไม้หอมหวาน
“พี่ญ่า ขอคนที่ดีที่สุดในสต็อกพี่นะครับ เอาแบบใหญ่อึดทน”
เทียนบุญเดินตรงเข้าไปในร้านไม่สนใจผู้ใด ทันทีที่นังลงหลังจากทักทายกับธัญญ่าเขาก็เอ่ยความประสงค์ออกไป
“ตายแล้วน้องเทียน มีอะไรหรือเปล่าคะวันนี้ท่าทางใจร้อนจัง”
“คันครับ”
“ว้ายตรงประเด็น งั้นพี่จะเรียกคนมาให้ดู”
เธอเดินไปกวักมือเรียกพนักงานที่โยกย้ายส่ายสะโพกอยู่บนเวที เลือกเฉพาะคนที่คิดว่าคู่ควรกับเทียนบุญ เด็กหนุ่มสี่คนมายืนเรียงรายกันหน้าโต๊ะของเทียนบุญ ความสูงของชายหนุ่มไล่เลี่ยกันเหมือนคัดมาแล้ว เนื้อตัวที่เปล่าเปลือยถูกทาด้วยน้ำมันให้ดูวาววับต้องแสงสี สายตาของชายหนุ่มทั้งสี่คนกำลังยั่วยวนให้เทียนบุญเลือกตนเอง
“คนนี้พงษ์ หรือม้าค่ะ ส่วนนี่ดอม อึดเรียกพ่อ ส่วนนี่”
“เอาคนนี้ ไหนของเท่าไหร่”
เทียนบุญชี้ไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ริมสุด รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ผิวเข้มมีไรหนวด มีไรขนลามเลียลงมาจากแผงหน้าอกเลยลงไปในกางเกงชั้นในตัวจิ๋วชวนให้คิดจินตนาการตาม
“ได้จ้าน้องเทียน คนนี้แปดนิ้ว พี่คอมเฟิร์ม อ้าว ไอ้ศักดิ์นั่งกับคุณเทียนสิ มายืนเอ๋ออยู่ได้ ดีๆนะแก เพื่อนคุณกริชนะ”
สายตาของเทียนไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่มีท่าทีของความเขินอายเลยแม้แต่น้อย จะอายทำไมในเมื่อไม่ได้ไปลักใครขโมยใครกิน ถึงจะซื้อกินก็เถอะ ในเมื่อของที่มีให้กินมันเริ่มด้อย เริ่มเสื่อมคุณภาพ ช่วยไม่ได้ต้องมาชี้เอาเลือกเอาแบบนี้ล่ะ
“ใครเหรอพี่เมย์ที่มาก่อกวนในงาน เพื่อนพี่เหรอ”
มกุฏโกเมนเอ่ยถามพี่สาวขณะที่เธอกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านนอก ทำใจยอมรับได้แล้ว งานจะล่มเพราะตัวเสนียดจัญไรเพียงตัวเดียวไม่ได้ ลงทุนลงแรงไปเยอะ ต้องออกไปพูดกับนักข่าว แก้ข่าวให้ชื่อเสียงของตนที่ป่านนี้คงว่อนอยู่ที่สำนักพิมพ์เรียบร้อยแล้ว
“อย่าไปใส่ใจเลย คนบ้า ขอบใจนะเจ เหนื่อยไหม”
“สบายมากพี่ พี่ล่ะไหวไหม”
“ไหวไม่ไหวก็ต้องไหว เรื่องแค่นี้เอง”
“ถ้าไม่ไหวบอกนะพี่ ผมจัดการได้ เรื่องต่อยตีน่ะผมถนัด”
“เยอะไปเรา คนบางจำพวกคนดีๆก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งนะเจ เพื่อนเหมือนกัน เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกคบได้ คนดีเราถึงจะคบ คนไม่ดีพลอยแต่จะพาเราไปในทางที่เสื่อม”
“คร้าบ พี่ โหมมาเป็นชุด”
มณีอารียายิ้มให้น้องชายแล้วเดินไปพูดคุยกับแขกโดยมีกนิฐเดินประกบเคียงคู่ตลอดเวลา
“หา จริงเหรอเทียน ทานทำเกินไปนะ”
กริชร้องขึ้นเสียงสูงเมื่อมาถึงร้าน เทียนบุญเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้เพื่อนรักฟัง
“ช่างมันเถอะกริช โดนตบไปทีคงจะเข็ดไปนาน เราจัดการได้ แต่ตอนนี้คัน”
“อ้อ ศักดิ์ดูแลเพื่อนพี่ดีๆนะ”
“เอ๊ะ น้องคนนั้นน่ะกริช ออฟไหม”
เทียนบุญหันไปเห็นเด็กเสิร์ฟที่กำลังโดนล้อมหน้าล้อมหลังจากบรรดาเสือสิงห์กระทิงเปลี่ยวอยู่ตรงกลางร้าน
“เอ่อ”
“ฮ่าๆ อ้อนะ โอเคๆ ตาถึงนะเพื่อนเรา นี่แล้วมาปล่อยให้เสิร์ฟอยู่ให้พวกหนังเหี่ยวนี่ลวนลามได้ไงกริช”
“บ้าเทียน เขาเป็นเด็กในร้านนั่นล่ะ เทียนจะเอาไหมล่ะเราจะไปบอกให้”
“โอ้ยไม่ดีกว่า กลัวว่าเพื่อนรักเราจะปวดใจ”
“บ้านะเทียน”
เทียนบุญหันไปสนใจกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ มือไม้ของเทียนบุญไม่ได้อยู่นิ่ง ไม่อายสายตาเพื่อนหรือใครๆ ทำกันได้นะคนที่รัก ถ้ารักแล้วทำร้ายกันแบบนี้ ที่ทำแค่นี้ก็คงไม่เป็นไรสินะ แบบนี้มันแค่เบาๆไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่เขาทำและเคยทำ ตอนนั้นที่อังกฤษก็แอบคบกับเกย์สิงคโปร์ แอบคบกันทั้งที่นอนเคียงข้างอยู่กับเทียนบุญทุกคืน บอกว่าจะไปมหาฯลัยแต่ไปนอนกกกัน แล้วเป็นยังไง เกย์คนนั้นโดนราวีจนต้องย้ายที่อยู่เพราะเทียนบุญไม่ยอม เขาดั้งหัก กระจุกผมตรงกลางหัวหลุดไปเป็นกำ เรื่องจบลงที่สถานีตำรวจ ตอนนั้นคุณเทียนทิพย์ก็รู้เรื่อง เงินประกันตัวของที่โน่นไม่น้อย แต่เทียนบุญก็ไม่ได้ใส่ใจ ทำขนาดนั้นแล้วธรรมทานยังกล้าทำซ้ำรอยเดิมอยู่อีก คงจะยังไม่เข็ดสินะ ได้ เราจะได้เห็นดีกัน
“เชิญครับพี่ๆ ด้านในเลยครับ ขอบพระคุณมากที่มาในงาน”
เสียงของเทียนบุญที่ออกมาต้อนรับบรรดานักข่าวที่เชิญมานับร้อย เกือบทุกสำนักพิมพ์ แขกในงานมีไม่เยอะเพราะจุดประสงค์คือการกระจายข่าว ด้านนอกห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมดังย่านราชประสงค์มีเจ้าของคอลั่มชื่อดังและเทียนบุญยืนเคียงข้างกันให้นักข่าวถ่ายภาพอยู่
“คุณเทียนนี่เก่งนะครับ เพียงไม่นานชื่อเสียงก็โด่งดังทั่วประเทศแล้ว ในวงการหนังสือตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคุณเทียน”
“แหมพี่ครับ พูดเกินไป เทียนยังใหม่ ยังไงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ๆสื่อมวลชนช่วยแนะนำอยู่ดีล่ะครับ”
จะไม่ให้ชื่อเสียงโด่งดังเพียงข้ามคืนได้เช่นไร พอรุ่งเช้าหลังจากที่ขับรถออกมาจากโรงแรมแล้วปล่อยเด็กหนุ่มลงข้างทาง เทียนบุญก็แวะเข้าซุปเปอร์ฯหาอะไรกิน หนังสือพิมพ์เกี่ยวกับดาราและคนในวงการโดยเฉพาะพาดหัวหรา เกือบทุกสำนักพิมพ์
“ไฮโซโดนหักหน้า อันไหนเพชรจริง อันไหนปลอม”
“ไฮโซหน้าแหก เพชรโฆษณาชิ้นเดียวในโลก โผล่ฝาแฝด”
“หนุ่มนักเรียนนอก ผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยาสารดัง อ้างซื้อตอนไปเที่ยวสวิสต์”
และอีกหลายอย่าง รายละเอียดด้านในทำให้เทียนบุญยิ้มออกมาอย่างพึงใจ แต่มันทำให้อีกฝ่ายกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ
ก่อนหน้านั้นสองวัน
“ป่าน นี่เมย์นะ จำเราได้ไหม”
มณีอารียาหลังจากเห็นข่าวที่พาดหัวเกือบทุกฉบับของนิตายาสารและหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับคนในวงการดาราและไฮโซ เธอก็เกือบลมจับชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้เพียงแค่ข้ามคืน เพราะมันคนเดียว ความแค้นเคืองใจมันมากเกินกว่าจะสาธยายออกมาหมด แค้นจัดจนหยิบจับอะไรไม่ถูก
“ต๊าย ว่าไงยะเมย์ ไม่คิดว่าจะติดต่อเราอีกแล้วนะชาตินี้”
“ติดต่อสิ เรามีเรื่องจะให้เธอช่วย”
มณีอารียาไม่อ้อมค้อมยิงตรงเข้าประเด็น
“แหม นานทีปีหนจะคุยกันทีไม่ถามสารทุกข์สุกดิบก่อนเหรอเธอ หรือว่าคนไฮโซเขาเข้าเรื่องธุรกิจกันแบบนี้เลยเหรอเวลาคุยกับเพื่อนเก่าน่ะ”
ปานระวีเหน็บแต่มณีอารียาไม่ได้สนใจ
“เรามีเรื่องจะให้ช่วยจริงๆ ไม่ได้ลำบาก เรารู้ว่าเธอทำได้”
“แล้วเราจะได้อะไรล่ะ จากการช่วยเหลือเธอครั้งนี้น่ะ”
“หึ นาฬิกาฝังเพชรสักเรือนไหมล่ะ”
อีกฝ่ายเงียบเสียงไป มณีอารียาฉายแววตาปนรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
“ราคาเท่าไหร่”
“เธอเข้ามาหาเราที่ร้านสิ มาเลือกเอา เราให้งบ ห้าล้านลงมาน่ะ มาเลือกเอาตามพอใจ”
ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ร่างของสาวประเภทสองมายืนเด่นปรากฏอยู่หน้าร้านในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
“งานจะเริ่มแล้วเชิญพี่ๆด้านในเลยครับ”
เทียนบุญยิ้มให้บรรดานักข่าวแล้วผายมือเชิญนักข่าวที่เหลืออยู่ด้านนอกห้องบอลรูมให้เดินเข้าไปในงาน ภายในห้องถูกยกเป็นเวทีเตี้ยๆมีโต๊ะกระจกเล็กๆอยู่อันหนึ่ง มีเก้าอี้บุนวมอย่างดีที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้สำหรับสามที่ ที่ของเทียนบุญ ที่ของเจ้าของคอลั่ม และที่ของปลายฟ้า ทั้งสองนั่งรออยู่บนเวทีพร้อมแล้ว เหลือเพียงเทียนบุญที่กำลังเดินไปอยู่ในจุดรอที่จะขึ้นเวที พิธีกรกล่าวเปิดงาน
“วันนี้ขอขอบคุณพี่ๆนักข่าวมากนะครับที่มาร่วมงานเปิดตัวคอลั่มใหม่ของนิตายาสารของเรา วันนี้เป็นเกียติของเรามากเช่นกันที่ได้คิวของดารานายแบบคิวทองอย่างปลายฟ้ามาเปิดตัวคอลั่มให้เรา”
พิธีกรเอ่ยไปตามสคริปต์แล้วก็เชิญเทียนบุญขึ้นไปแนะนำเนื่องในเขาเป็นแม่งานในครั้งนี้
“ว้าย กรี๊ดๆๆๆๆ ตายแล้วนังเทียน เริ่ดนะยะหล่อน”
เสียงหวีดหวิวดังมาจากประตูทางเข้า สายตาทุกคู่หันไปพร้อมกัน
“เปิดงานกิ๊บเก๋ยูเรก้าแบบนี้ เปิดตงเปิดตัวก็ไม่เชิญเพื่อนสาวเลยนะเธอ ว้าย เริ่ดจริงๆ อุ๊ยนั่นปลายฟ้า กรี๊ด”
สาวประเภทสองสามนางแต่งตัวเหมือนนางโชว์ด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดบาดตาตัดกันไปคนละทิศละทาง หน้าตาแต่งจัดจ้าน ท่าทางดัดจริตเกินหญิง ปานระวีเองมองดูอาจจะไม่คิดว่าเธอเคยเป็นชายมาก่อน เพราะศัลยกรรมช่วยเธอไว้ได้เยอะ แต่อีกสองนาง บ่าไหล่กว้างกว่าชายแท้ๆเสียอีก ลูกกระเดือกก็ปูดโปน หน้าแข้งเป็นมัดกล้ามชัดเจน แต่เธอเลือกที่จะใส่ส้นเข็มห้านิ้ว
“ว้าย เทียน ทำไมยะเธอไม่ชวนเราสักคำ ลืมเพื่อนสนิทคนนี้แล้วเหรอจ๊ะ”
ปานระวีเดินตรงฝ่าบรรดานักข่าวเข้าไปยืนหน้าเวที เทียนบุญอ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้า
“คุณเป็นใครครับ”
นักข่าวเอ่ยถามขึ้นให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“ชั้นคือเพื่อนรักมากก เพื่อนสนิ๊ทสนิทของเทียนค่ะ เนี่ยน้อยใจจังที่เทียนไม่เชิญมางาน อายเหรอจ๊ะเทียนที่มีเพื่อนเป็นกะเทย เทียนเองก็เป็นเกย์นี่ อายทำไมกัน น้อยใจค่ะพี่ขา”
เธอจิกหน้าประดิษฐ์ประดอยคำพูด สายตามองเทียนเหมือนราชสีห์มองลูกกระต่ายที่ไปไหนไม่รอด หนีเงื้อมมือไม่พ้น
“หา เพื่อนคุณเทียน”
นักข่าวหันมาทางเทียนบุญซึ่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ ฮึ นังเมย์แกเล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้
“อ้าว สมชายหรือเปล่า นี่สมชายจริงเหรอเนี่ย ตายจริง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้ ผ่าแล้วเหรอนาย แต่ก่อนเล่นเตะบอลอยู่ด้วยกัน โทษทีๆ เราจำไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยนะว่าสมชายจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ นี่งานเลิกแล้วไปกินเหล้ากันเราอยากจะรู้เรื่องของสมชายอยู่พอดี ไหนบอกว่าไล่จีบหญิงไง ตายแล้ว เราไม่อยากจะเชื่อ ปรึกษาใครหรือเปล่าเนี่ยนาย”
เทียนบุญเดินลงจากเวทีเดินตรงดิ่งไปหาสาวทั้งสามคน ประชิดตัว สายตาที่ประหวั่นเมื่อครู่มันหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงสายตาแห่งโลกมายาที่กะเทยสามนางนี้สู้ไม่ได้เลยสักกระผีก
“รู้จักกันเหรอครับคุณเทียน”
“รู้ค่ะ ชั้นไม่ใช่สมชายนะยะ อย่ามาโมเม”
ปานระวีเริ่มอึกอักเพราะไม่คิดว่าเทียนบุญจะตีหน้าได้เนียนสนิทขนาดนี้
“รู้สิครับพี่นักข่าว ตอนสมัยเรียนประถมโน่นแน่ะครับ อ้าว ตายจริง นี่สมชายเปลี่ยนชื่อเหรอ อ้อ ท่าจะเปลี่ยนเนอะ เพราะชื่อสมชายคงจะไม่เหมาะ กับชายในร่างหญิงแบบนี้”
“อ๊ะนี่แก”
“ตายๆ ไม่อยากจะเชื่อ สมัยนั้นนายยังจีบผู้หญิงอยู่เลยเนอะ พี่ๆครับดูไว้นะครับ ของในโลกนี้ไม่มีจีรัง ขนาดเพื่อนผมคนนี้เคยเตะบอลด้วยกัน แข่งกันจีบหญิงแต่ดูวันนี้สิครับ หึหึ”
“ถ้าไม่อยากจะตาย รีบออกไปจากงาน ถ้ามึงออกไปตอนนี้กูจะไม่เอาเรื่องมึง อีเชี่ย”
เทียนบุญก้มลงไปกระซิบข้างหูของปานระวี เธอหน้าตื่นไม่มั่นใจเหมือนตอนเดินเข้ามา ไม่คิดว่าเขาจะมาในรูปแบบนี้ หน้าหนาหน้าทนที่สุดไม่เคยเจอ เทียนบุญบีบแขนของเธอแน่น แต่สายตายิ้มให้ไม่จางลง
“เอ่อ”
“อ้าว ไปไหนแล้วครับ คุณๆ”
นักข่าววิ่งกรูตามหลังของปานระวีและเพื่อนสาวไป ส่วนเทียนบุญยืนอยู่ที่เดิม
“พี่ๆครับ อยากรู้เรื่องไหมครับ”
เทียนบุญเปล่งเสียงขึ้น ดังพอที่จะทำให้นักข่าวชะงักเท้าไว้ พอได้สติก็กรูกันกลับมาทุกคน วันนี้เป็นวันเปิดตัวคอลั่มใหม่ ดาราดังคับฟ้าอย่างปลายฟ้ายังเรียกเรตติ้งสู้เทียนบุญไม่ได้เลย นักข่าวห้อมล้อมตัวของเทียนบุญเอาไว้ เสียงคำถามดังขึ้นไม่ขาดระยะ จอแจอยู่
“ตอนเรียนมัธยม เขาไม่มีคนคบครับ เทียนเลยสงสาร ไม่อยากเห็นเพื่อนในห้องมีปมด้อย เพราะที่บ้านเขาจนครับ แต่เทียนไม่ได้คบเขาเพราะอยากจะได้หน้าหรืออะไรนะครับ มีอะไรแบ่งปันกัน ตอนนั้นเขาไม่มีวี่แววของ เอ่อ แบบนี้เลยนะครับ จนเทียนไปเรียนต่อเมืองนอก เพิ่งมารู้จากเพื่อนอีกทีว่าตลอดเวลาเขาอิจฉาเทียนมาตลอด ไม่ว่าเทียนจะพยายามทำดีกับเขาแค่ไหน เขาคงไม่ชอบที่เทียนรวยแล้วเหมือนเข้าไปสงสารเขา แต่เทียนไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับ พี่ๆก็เห็น”
แสร้งทำเป็นน้ำตาคลอ เรื่องจริตมารยาแค่นี้มันยังน้อยไป รู้จักกันแค่นี้อย่ามาทำเหมือนรู้จักดี มันยังไม่พอ ตอแหลมันยังให้คำจำกัดความไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ
“อ้อ ที่เขาเข้ามาในงานหวังจะให้คุณเทียนอับอายเหรอครับ”
“น่าจะอย่างนั้นครับพี่ ไม่คิดเลยว่าตลอดเวลาที่ทำดีกับเขา เขาไม่เคยเห็นค่าของมันเลย เทียนไม่เคยอายหรอกนะครับ เพื่อนจะเป็นยังไงก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่วันยังค่ำ”
เทียนบุญเอานิ้วขึ้นปาดน้ำตาออก เสียงนักข่าวปลอบใจ ชื่นชมยกย่องสารพัด งานยังคงดำเนินต่อไป แต่ทางนักข่าวส่งไฟล์ให้ทางสำนักพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ข่าวใหญ่ประจำวัน บ้างก็เห็นใจเทียน บ้างก็ว่าเทียนในทางลบ แต่เจ้าของเรื่องสนใจหรือ ไม่เลย ไม่ว่าจะยังไง งานต้องดำเนินต่อไป
“เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ นังเมย์ ได้ เราจะได้เห็นดีกัน”
เทียนบุญกัดฟันแน่น ยืนยิ้มส่งนักข่าวหลังงานจบลง
“จะเอายังไงดีคะคุณเทียน ท่าทางเป็นข่าวแน่ๆ”
“เป็นก็เป็น มันเป็นจุดประสงค์ของเราอยู่แล้วนี่คุณน้ำหวาน จะกลัวอะไร เทียนเอาชื่อเสียงของเทียนแลกมานะ กับอีการแค่เปิดตัวคอลั่มเล็กๆแค่นี้”
น้ำหวานหน้าชาไป ท่าทางของเทียนบุญไม่ได้ยี่หระให้ใครเลยแม้แต่น้อย สายตายังคงมุ่งมั่นไม่เคยอ่อนลงเลย
“คุณน้ำหวานจัดการที่เหลือด้วยนะครับ ฝากขอบคุณปลายฟ้าด้วย เดี๋ยวเทียนไปทำธุระก่อน เจอกันพรุ่งนี้ อ้อ ฝากบอกพี่ภาด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องห่วง อยากดัง ก็ดังสมใจแล้วนี่ หึหึ”
เทียนบุญเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเดินออกไปจากบริเวณงาน น้ำหวานยืนสั่นอยู่ไม่เคยเจอแบบนี้ คนอย่างเทียนบุญ
“คุณประวิทย์ครับ ว่างไหมมาพบผมหน่อย ที่”
เทียนบุญกดโทรศัพท์ไปหาทนายประจำตระกูล แล้วเขาก็บึ่งรถไปรอตามสถานที่ที่บอก
“อะไรกัน มันไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอป่าน”
มณีอารียาร้องเสียงหลงเมื่อเพื่อนสาวประเภทสองกลับมารายงานผลที่ร้าน
“ชั้นก็ไม่เคยเจอหล่อน หน้าหนาหน้าทนมาก มันพลิกลิ้น ตอแหลที่สุด”
“ฮึ ร้ายกาจมาก”
“ไหนล่ะของที่สัญญาไว้น่ะ”
“เธอทำงานไม่สำเร็จนะป่าน”
“อ้าวเมย์ หล่อนจะเบี้ยวชั้นเหรอยะ”
“ไม่ได้เบี้ยว อ่ะนี่”
มณีอารียายื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงให้ปานระวี พอได้กล่องก็รีบเปิดออกดู
“อะไรยะ นาฬิกากะโหลกกะลาแบบนี้เนี่ยนะ ไหนบอกห้าล้าน”
แหวเสียงขึ้นเมื่อเห็นของในกล่อง นาฬิกาจากชั้นบนที่เพิ่งให้เด็กในร้านไปซื้อมา ไม่ใช่ของในร้านแต่อย่างใด
“ห้าล้านลงมาไงป่าน เธอเข้าใจอะไรไปเองหรือเปล่า นี่ก็หลายพันอยู่นะเธอ”
“ยัยเมย์ นี่เธอ”
“ไม่เอาก็ไม่เป็นไรนะ เราจะได้ให้คนอื่น”
“ฮึ จำไว้ น้ำตาจะตกใน เธอเจอคู่ปรับที่เหนือชั้นกว่าเธอแล้วล่ะเมย์ อย่าคิดว่าหล่อนน่ะเริ่ดเฉิดฉายอยู่คนเดียว ระวังไว้ให้ดี”
“พูดจบหรือยังป่าน ขอบใจนะที่ช่วยเรา แม้จะไม่สำเร็จก็ตาม ของไม่เอาวางไว้นะ”
มณีอารียาเดินหนีไปทันที ปานระวีกัดฟันแน่น อายไหมที่ไปทำตัวแบบนั้นในวันนี้ ไม่อายแต่มันเจ็บใจ เจ็บใจที่ทำไม่สำเร็จหนึ่ง และเจ็บใจที่โดนเพื่อนเก่าแก่หักหลังแบบนี้
“คุณประวิทย์มีนักสืบใช่ไหมครับ”
พอเทียนบุญเจอหน้าของทนายก็เอ่ยถามทันทีโดยที่เขายังไม่ทันได้นั่ง
“ครับ มีครับ คุณเทียนจะใช้เหรอครับ”
“ครับ สืบให้ผมหน่อยว่าคนในรูปมีความเคลื่อนไหวยังไง ผมอยากได้คำตอบเย็นนี้”
เทียนบุญเอามือถือที่มีรูปให้เขาดู เทียนบุญเพิ่งขอให้นักข่าวคนหนึ่งส่งให้ทางมือถือ
“ใครควรจะระวังตัว ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกันล่ะ”
มณีอารียาเอ่ยขึ้นหน้าตาบูดบึ้ง ในห้องรับแขกของที่ร้านมีพิมระตีกับกนิฐนั่งอยู่
“เมย์ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ท่าทางมันจะไม่จบแค่นี้นะ”
พิมระตีปรามขึ้นกนิฐเองก็กำลังจะเอ่ยปาก
“อย่ามาห้ามเราพิม พิมก็รู้ว่าเราไม่ยอมหรอก มันเป็นใคร ทานเป็นคู่หมั้นเรามันยังมาแย่ง หน้าด้านที่สุด แล้วที่มันทำกับเรา จะให้เราให้อภัยมันง่ายๆน่ะเหรอ ไม่มีทาง คนอย่างมณีอารียาไม่ยอมใครง่ายๆ”
“เมย์”
สองเสียงครางขึ้นพร้อมกัน
“ให้มันรู้ไปว่าผู้หญิงอย่างเราจะสู้กะเทยอย่างมันไม่ได้”
“ให้มันรู้กันไปว่าของใครจะแรงกว่าใครนังเมย์ หึหึ อยากลองดีเองนะ คอยดู แกจะได้น้ำตาตกแบบไม่รู้ตัว”
เทียนบุญเองแสยะยิ้มออกมาเมื่อได้ทราบข่าวจากนักสืบที่คุณประวิทย์แนะนำ เขาแจ้งความคืบหน้าให้รู้ในตอนเย็น
“ไปหาผู้ชายที่นี่เองเหรอมึงอีกะเทย เตรียมตัวไว้เลย ทำกูแสบนัก”
เทียนบุญเดินขึ้นชั้นบนแต่เพียงแค่สองก้าวก็ชะงัก
“ทำไมแม็ค เรียนธรรมดาไม่ได้เหรอลูก ทำไมต้องไปเรียนอินเตอร์ รู้ไหมว่ามันแพง ทุกวันนี้เราอาศัยบุญบารมีของคุณเขาอยู่นะ ยิ่งคุณเทียนไม่ชอบเราอยู่ด้วย เจียมตัวไว้หน่อยสิลูก”
“แต่แม่ แม็คอยากเรียน เขามีเปิดรับสมัครล่วงหน้าแล้วอ่ะ”
เสียงนั้นดังมาจากในครัว เทียนบุญนิ่งเดินย้อนกลับลงไปยืนหน้าประตู
“อยากเรียนทำงานแล้วค่อยหาลู่ทางเรียนได้ไหมลูก นะแม่ขอร้อง อย่าสร้างความลำบากใจให้พ่อไปมากกว่านี้เลย”
“แม่”
เสียงของเด็กชายสะอื้นไห้ เทียนบุญสะบัดหน้าเดินขึ้นชั้นบนไป ไม่ใส่ใจ เขารีบอาบน้ำแต่งตัว เสื้อเชิ้ตลายทางสีสดตัดกันกับกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบกึ่งหนังยี่ห้อดัง ผมเผ้าเปลี่ยนทรงจากปกติ น้ำหอมกลิ่นโปรดที่มีส่วนผสมของฟีโรโมนเพศหญิง เขาขับรถตรงดิ่งไปยังทองหล่อ ซอย ๑๐
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2011 16:59:10 โดย แรงเทียน »

Chinnosuke

  • บุคคลทั่วไป
ชนะเลิศคับ
ชอบบทเทียนมาก แรงได้ใจ
เป็นกำลังใจให้แรงเทียนนะคับรวมเล่มเมื่อไหร่คงได้อุดหนุนแน่ :กอด1: :กอด1:

PrinceTae

  • บุคคลทั่วไป
 :fire: แรงดีไม่มีตกแถมยังแรงขึ้นเรื่อยๆ  :fire:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
แรงเทียน เทียนแรงดีจัง
ยัยเมย์นี่ก็เนาะ  ตัวเองไปแหย่รังแตนก่อนแท้ๆ
พอแตนต่อยกลับไปโกรธแค้นแตนซะนี่ เดี๋ยวเหอะได้เจอโดนต่อยน่วมแน่

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
 :really2: :really2: :really2: :really2: :really2: เด็กยุคIT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






runynam

  • บุคคลทั่วไป
 :a5: :a5: :a5:
 :a5: :a5: :a5:
สะ...สะ...สุดยอดดดดดดดดดด
อุ้ยยยย อ่านไป จี๊ดดดดดไป...
แรงเทียน...แรงดีไม่มีตก
ยกนิ้วได้เลยเรื่องนี้ สู้ดดดดดดดดดดดดยอดดดดดดดดดดดดด o13

Muzik

  • บุคคลทั่วไป
บรูโน่ระวังคุกเด้อ  :-[

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
น้องไนท์น่ารักอ้ะ ไม่เรื่องมากเลย ขนาดหมูทอดแอฟริกาก็ยังกินเฉยเลย
พี่เตแน่แล้ว ที่จะไปเติมเต็มในส่วนขาดให้น้องไนท์

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เรื่องนี้น่าจะเสียเลือดเยอะที่สุดนะ  ผีดิบมาทีนี่เลือดสาดกระจาย :laugh: :laugh:
เห็นด้วยครับ

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
นานๆ ที ที่คุณหนูจะใสสมวัย   :laugh:

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27
คุณหนูเด็กมาก o22
+1

runynam

  • บุคคลทั่วไป
วี้ดวิ้วววววววววววววววววววว
บรูโน่ เอ้ยยยยยยย เด็กเลี้ยง......
ความพยายามเห็นของจริงของน้องลิตของเราก็กำลังบังเกิดผล
5555....พรากผู้เยาว์เลยนะนั่น :laugh: :laugh:


onjazz26

  • บุคคลทั่วไป
ตาวิน แกระวังนะ เด๋วจะโดน "พรากผู้เฒ่า" ก๊ากกกกกกกกก :laugh:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ละลายน้ำแข็งนี้มันยากจริงหนอ

สายลมห่มฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
น้องหวานหวาน คืออะไรอะครับ แอบงงนะนี่  :really2:

ตอนต่อไปมาลงแล้วนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






สายลมห่มฟ้า

  • บุคคลทั่วไป


ตอนที่ 6 ของขวัญ


“นี่มันอะไรกันครับพี่สายลม งานเปิดตัวอะไรทำไมมันแย่ขนาดนี้ แบบนี้ชื่อผมก็เสียไปด้วยนะครับ” ปลายฟ้าโมโหใส่สายลมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเปิดตัวนาฬิกาหรูของไฮโซคนหนึ่ง
“พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนะครับ พี่ว่ามันคงไม่มีผลต่อเราหรอกนะฟ้า”
“แต่ผมว่ามี พรุ่งนี้พี่คอยดูข่าวซุบซิบไฮโซนะต้องมีชื่อผมด้วยแน่ ๆ ไหนบอกว่ามีเรือนเดียวในโลกไง ที่แท้ก็แค่ราคาคุย” ปลายฟ้ายังไม่เลิกหงุดหงิด
“ไม่หรอกน่าพี่ว่าพรุ่งนี้ข่าวที่กองถ่ายคงกลบข่าวนี้จนหมดเองนั่นแหละ” สายลมยกเรื่องกองถ่ายมาช่วย
“ขอให้เป็นอย่างที่พี่พูดแล้วกัน” ปลายฟ้าพิงตัวนอนหลับตาสงบสติอารมณ์
“แต่ไนท์ก็เก่งนะ ยังมางานเปิดตัวได้อีก”
“ถ้าพี่ว่ามันดีก็ย้ายไปดูแลมันก็ได้นะ” ปลายฟ้าพูดออกมาทั้งที่ยังนอนพิงหลังหลับตาอยู่
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะครับ” ถึงสายลมจะพูดยังไงตอนนี้ปลายฟ้าก็ไม่สนใจ เขาเลยปล่อยให้ปลายฟ้าอยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า


รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับลงข่าวอุบัติเหตุในกองถ่ายภาพยนตร์ของหม่อมเอียด
‘หวิดสิ้นชื่อสองนักแสดงชื่อดัง....’
ปลายฟ้าพลิกอ่านรายละเอียดข้างใน เนื้อข่าวก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นธรรมดาไม่น่าสนใจ เขาเลยพลิกหาอ่านเนื้อหาข่าวซุบซิบของพวกสังคมไฮโซ เพื่อดูว่ามีข่าวงานเกิดตัวเมื่อคืนหรือไม่
‘งานเปิดตัวนาฬิกาสุดหรูหน้าแตกยับเยิน จากการโปรโมทว่ามีเรือนเดียวในโลก แต่ที่ไหนได้เจอไฮโซหนุ่มหน้าใหม่กลับใส่นาฬิกาแบบเดียวกันมาเดินโชว์ในงาน ดีที่ได้สองนักแสดงชื่อดังมาเดินแบบทำให้งานมีสีสันขึ้นมาบ้าง แต่ต้องขอชื่นชมนักแสดงทั้งสองคนที่มีสปิริตแรงกล้า ทั้งที่เพิ่งผ่านอุบัติเหตุจากกองถ่ายมามาด ๆ”
ปลายฟ้าโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งไปด้านข้างเมื่ออ่านจบ
“ดีนะที่ว่ามีข่าวกองถ่ายมาช่วย คราวหน้าพี่สายลมช่วยตรวจสอบงานให้มันดีกว่านี้ด้วยนะครับ” ปลายฟ้ายังติดใจเรื่องงานเมื่อคืน
“มันเหตุสุดวิสัยจริงฟ้า พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เย็นนี้มีถ่ายต่อฟ้าไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวพี่โทรไปเลื่อนกองให้เอาไหม”
“ไม่ต้องครับ วันนี้เข้าฉากกับอเล็กซ์วันแรกด้วย เดี๋ยวมันจะหาว่าผมเรื่องมาก แล้วอีกอย่างผมอยากรู้ว่ามันแสดงได้ดีถึงได้รับเลือกหรือว่าเอาตัวเข้าแลกมา” ปลายฟ้าลุกขึ้นไปแต่งตัวหลังจากตัดสินใจแล้ว


ปลายฟ้ามาถึงกองถ่ายเร็วกว่าปกติ เขาเข้าไปพูดคุยกับทีมงานถามข่าวเรื่องเมื่อวานอย่างเป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับซื้อขนมหลากชนิดมาฝากที่กองถ่ายด้วย
“แหม! น้องปลายฟ้า ไม่ต้องซื้อของมาฝากพวกเราทุกวันก็ได้พี่เกรงใจ เมื่อวานยังทำให้น้องฟ้าเกือบแย่แล้ว วันนี้เลื่อนกองก็ได้นะคะ” สาวร่างเล็กฝ่ายจัดคิวบอกอย่างเกรงใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นอุบัติเหตุผมเข้าใจ ยังไงก็คงไม่วุ่นเท่าพวกพี่ ๆ หรอกครับ”
“น้องปลายฟ้าพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้พวกพี่เกรงใจจัง ไป ๆ พี่พาไปแต่งหน้าก่อนจะได้เริ่มถ่ายกันเร็ว ๆ น้องปลายฟ้าจะได้กลับไปพักผ่อน”
“แล้วอเล็กซ์มาแล้วเหรอครับพี่” ปลายฟ้าถามถึงดาราที่จะต้องเล่นด้วยวันนี้
“มาแล้วค่ะ เห็นบอกว่าตื่นเต้นที่จะได้เล่นกับน้องปลายฟ้า เลยขอตัวออกไปทำสมาธิสักหน่อย กลัวตอนถ่ายแล้วเทคบ่อยทำให้น้องปลายฟ้าเสียเวลาน่ะค่ะ”
“อ๋อ ครับ แต่นี่ผมดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใครว่าแบบนั้นล่ะคะ น้องปลายฟ้าก็คิดไปได้ เพียงแต่อเล็กซ์เขาเกรงใจต่างหาก กลัวทำให้น้องปลายฟ้าเสียเวลาต่างหากล่ะคะ”


ปลายฟ้าเดินเขามาที่เต็นท์ที่มีผ้าสีขาวล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ด้านในจัดไว้สำหรับเป็นที่แต่งหน้าแต่งตัวของนักแสดง เมื่อเข้ามานั่งที่ที่เขาจัดไว้ให้ ปลายฟ้าสังเกตเห็นกล่องของขวัญที่ผูกไว้ด้วยโบว์สีน้ำเงินเข้ม แนบกับการ์ดสีโทนเดียวกันวางอยู่
“พี่ครับนี่ของใครครับ”
“อ๋อ ก็ของน้องปลายฟ้านั่นแหละค่ะ เห็นทีมงานเขาบอกว่ามีคนฝากมาให้ตั้งแต่เช้าแล้ว” ช่างแต่งหน้าตอบไปแต่งหน้าให้ปลายฟ้าไป
“แล้วพี่พอจะรู้ไหมครับว่าใครให้มา”
“อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ เดี๋ยวพี่ถามให้อีกที”
“ขอบคุณครับ รบกวนพี่ด้วยนะครับ” ปลายฟ้ายิ้มพร้อมคำขอบคุณ


“ผมดีใจมาก ๆ เลยนะครับที่ได้แสดงร่วมกับคุณปลายฟ้า” อเล็กซ์นักแสดงรุ่นน้องพูดอย่างถ่อมตน
“ผมเองก็ดีใจนะที่ได้แสดงกับนักแสดงหน้าใหม่ที่มีฝีมือแบบคุณ เราคงร่วมงานกันได้ด้วยดีนะครับ”
“แหม! น้องปลายฟ้าคะ ยังไงก็ช่วยสอนอเล็กซ์เขาด้วยนะคะ เขายังใหม่อยู่อาจทำอะไรไม่ถูกก็ตักเตือนกันได้ค่ะ” ผู้จัดการส่วนตัวของอเล็กซ์เข้ามาช่วยพูด
“ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ พี่ที่เขาเก่ง ๆ กว่าผมยังมีอีกเยอะเลยครับ”
“แหม! น้องปลายฟ้านี่ถล่มตัวจริง ๆ นะคะ ถึงว่าตอนนี้ทั้งนักข่าวทั้งนักวิจารณ์ถึงชื่นชมน้องปลายฟ้า อเล็กซ์เราต้องดูเป็นแบบอย่างไว้นะ” เขาหันไปกำชับเด็กในการดูแลของตนเอง
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะเข้าฉาก ฉากแรกเป็นฃฉากง่าย ๆ เพื่อให้ทั้งสองคนรู้หลักในการทำงานร่วมกันก่อน ทำให้การถ่ายทำผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณครับทุกคน ผมกลับก่อนนะครับ” ปลายฟ้ายกมือไหว้ทุกคนพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ


“นึกว่าจะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว ผลสุดท้ายก็แค่ไอ้ตัวธรรมดา” ปลายฟ้าบ่นทันทีที่ขึ้นมาบนรถได้
“เอาน่าฟ้า เราก็ทำของเราให้ดีที่สุดก็พอ ที่เหลือมันเรื่องของเขาแล้ว”
“แล้วผมต้องทนทำงานกับไอ้ตัวนี่อีกนานเท่าไหร่กัน...”
ครืน!!
ประตูรถตู้เปิดออกอย่างกะทันหัน ปลายฟ้ารีบดีดตัวตั้งตรงที่เบาะนั่งของตัวเองอย่างตกใจ
“ขอโทษนะคะ คุณปลายฟ้าลืมของไว้ค่ะ” ทีมงานยื่นกล่องของขวัญให้ปลายฟ้า
“เออ ขอบคุณครับ แต่ว่าเมื่อกี้พี่ไม่ได้ยินอะไรใช่ไหมครับ” ปลายฟ้ารีบถามกลับ
“ได้ยินอะไรคะ หนูเปิดเข้ามาก็ไม่เห็นพวกคุณพูดอะไรกันนี่ค่ะ” เด็กสาวทำหน้างงกับคำถามที่ได้ยิน
“อ๋อ เปล่า ๆ ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณที่อีกครั้งนะครับ รบกวนปิดประตูให้ผมด้วยพวกเราจะกลับพอดี” ปลายฟ้ารีบรับของไว้ในมือ

ปลายฟ้าโยนของไปไว้เบาหลังเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจแกะดู
“ดีนะที่ไม่ได้ยินที่เราพูดกัน” ปลายฟ้าพูดออกมาอย่างโล่งใจ
“ต่อไปฟ้าก็เลิกว่าคนอื่นสิครับ จะได้ไม่ต้องกลัวอะไร”
“ผมไปว่าใครตอนไหน ถ้าพี่รับไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่กับผมก็ได้นะครับ ผมอยู่คนเดียวได้” เสียงแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจเล็ดรอดออกมาทั้ง ๆ ที่ยังนอนหลับตาอยู่
“พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะฟ้า ฟ้าอย่าตีความหวังดีของพี่ผิด ๆ สิครับ” สายลมรีบอธิบาย
“ช่างเถอะครับ สักวันพี่ก็คงทิ้งผมไปเหมือนคนอื่น ๆ อยู่ดี”
“พี่ไม่ทิ้งฟ้าไปไหนแน่นอนครับ ถ้าฟ้ารู้ว่าจริง ๆ แล้วพี่คิดยังไง” สายลมลอบพูดกับตัวเองเบา ๆ
“พี่ว่าอะไรนะครับ” ปลายฟ้าถามทวนเพราะเหมือนเขาได้ยินเสียงพูดแว่ว ๆ
“อ๋อ!! พี่ถามว่าฟ้าแกะของขวัญบ้างหรือยัง แล้วใครส่งมาให้ครับ” สายลมรีบหาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน
“ยังไม่มีอารมณ์หรอกครับ งานยุ่งตลอดไว้ว่าง ๆ ก่อนแล้วกัน พี่สายลมก็เอาไปเก็บไว้ในห้องผมเหมือนเดิมก่อนแล้วกันครับ ว่าง ๆ ผมค่อยแกะดูอีกที” ปลายฟ้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ
                “ฟ้าตื่นเต้นไหมวันนี้ซีนแรกก็เป็นซีนปะทะอารมณ์กับอเล็กซ์เสียด้วย” สายลมถามอย่างห่วงใยขณะนั่งอยู่บนรถไปกองถ่าย
                “ไม่หรอกครับ วันนี้ไอ้อเล็กซ์มันจะได้รู้ว่าใครเป็นของจริง พี่คอยดูนะครับ” เสียงตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
 
                ปลายฟ้ากำลังเข้าฉากสำคัญของวันนี้ เป็นฉากที่ต้องปะทะอารมณ์กับอเล็กซ์ที่เป็นพระรอง ทั้งสองคนกำลังอินกับบทที่ได้รับอย่างมาก จนสื่ออารมณ์ออกมาราวกับทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่จริง คนทั้งกองถ่ายต่างเงียบกริบบางคนลุ้นถึงขนาดต้องกลั้นหายใจ เพราะกลัวเกิดเสียงรบกวนทั้งสองคน
                ‘ผลัก’
                ปลายฟ้าลืมตัวไปกับบทเงื้อมหมัดต่อยเข้าที่โหนกแก้มของอเล็กซ์เต็มแรง จนคนที่โดนต่อยล้มลงไปกับพื้นเพราะไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่จะลุกขึ้นมาส่งหมัดคืนไปที่หน้าคนที่กระทำตน จากการแสดงกลายเป็นการซัดกันนัวเนียกลางกองถ่าย เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร
                “คัต”
                สิ้นเสียงคัตสายลมวิ่งเข้าไปห้ามทันที จับมือของทั้งสองคนที่กำลังพุ่งหมัดเข้าหากันไว้จนแน่น ก่อนหันไปส่งสายตาดุดันให้อเล็กซ์ที่มีทีท่าว่าจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ สายตาของเขาทำเอาคนโดนจ้องเสียวสันหลังวูบไปชั่วขณะก่อนที่จะลดหมัดลง แล้วปล่อยมือฝั่งตรงข้ามก่อนดึงมือปลายฟ้าแยกออกมา
                “ขอโทษนะครับ ขอผมพาปลายฟ้าไปดูแผลหน่อยนะครับแล้วเดี๋ยวผมกลับมา” เขาหันไปบอกผู้กำกับพร้อมกับทีมงาน ก่อนออกแรงลากคนที่จูงมืออยู่ให้ขึ้นรถ
 
                “มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกันฟ้า ฟ้าบอกพี่มาสิว่าฟ้าตั้งใจหรือเปล่า” นี่เป็นครั้งแรกที่สายลมใช้นำเสียงดังกับปลายฟ้า
                “เปล่านะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนนั้นผมอินกับบทมากเกินไป พี่สายลมต้องเชื่อผมนะครับ” ปลายฟ้ายังมีสีหน้าตื่นตกใจจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แถมยังโดนสายลมคนที่เขาคิดว่าจะไม่ต่อว่าเขาถ้าทำอะไรผิดเสียงดังใส่
                “ก็ได้พี่เชื่อฟ้าก็ได้ว่าฟ้าไม่ได้ตั้งใจ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรตามมาอีกบ้าง” สายลมสีหน้าเคร่งเครียด หัวคิ้วขมวดจนแทบชิดติดกัน เขาจำใจต้องเชื่อเมื่อเจ้าตัวยืนยันมาแบบนี้แม้จะยังคลางแคลงใจอยู่ก็ตาม
                “ไหนเอาหน้ามาดูซิ” มือนุ่ม ๆ จับไปที่คางของคนที่อยู่ข้างหน้าก่อนเชยคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหาร่องรอยการโดนทำร้าย
                “โดนเยอะเหมือนกันนะนี่ อีกอาทิตย์ล่ะมั้งคงจะหาย ช่วงนี้ต้องใส่ยานะครับจะได้ไม่มีรอย” สายลมพูดบอกอย่างชำนาญราวกับผ่านเรื่องแบบนี้มาจนชิน
                ปลายฟ้าเองทำหน้าสำนึกผิดเพราะเขาเองไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นคงเพราะไม่ชอบอเล็กซ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถึงบทแบบนี้ทำให้ห้ามใจไว้ไม่อยู่ แถมฝีมือทางการแสดงของอเล็กซ์ก็พัฒนาดีมากกว่าเดิมอีกด้วย ตอนนี้ทำได้แต่มองหน้าคนที่นั่งนิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันตรงหน้า เพราะว่าพูดอะไรออกไปก็คงจะไม่มีผลดีเป็นแน่
                สายลมพยายามคิดหาทางแก้ต่างให้กับปลายฟ้าก่อนเดินลงจากรถไปคุยกับทีมงาน สายลมพยายามอธิบายว่าปลายฟ้าอินกับบทบาทมากเกินไปหน่อย เลยทำให้ยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาเข้าไปขอโทษอเล็กซ์ที่ทำให้เจ็บตัว ฝ่ายอเล็กซ์เองก็ขอโทษกลับ เพราะถ้าเขาไม่ฉุดโต้ตอบเรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้
หลังจากพูดคุยทุกอย่างจนเข้าใจแล้วผู้กำกับเลยสั่งพักกองไว้ก่อน ให้มาถ่ายซ่อมกันอีกทีวันหลัง โดยให้นักแสดงทั้งสองกลับไปก่อน รอให้แผลหายดีแล้วจะโทรนัดถ่ายกันอีกครั้ง สายลมเข้าไปเก็บของให้ปลายฟ้า ก็เห็นกล่องของขวัญลักษณะเดิมอยู่ที่โต๊ะของปลายฟ้า

“นี่ฟ้า” สายลมส่งของขวัญให้ปลายฟ้าที่นั่งทำหน้าเศร้าอยู่บนรถ
“อะไรอีกพี่ จะว่าอะไรผมอีกหรือครับ” ปลายฟ้าถามทั้งที่ยังไม่ได้มองคนที่เรียกตน
“พี่ไม่ได้จะว่าอะไรฟ้านะ แค่ส่งของให้ของขวัญนี่ไง ตั้งแต่เปิดกล้องถ่ายหนังเรื่องนี้ได้ทุกวันเลยนะ” สายลมรู้สึกแปลกใจ
“อืม! นั่นสิผมก็ลืมไปแล้วว่าได้มันทุกวัน แต่พี่สายลมไม่โกรธผมจริง ๆ นะครับ” ปลายฟ้าหันมาส่งสายตาเศร้าน่าสงสารให้
“พี่ไม่ได้โกรธฟ้าสักหน่อย พี่ก็แค่ถามให้แน่ใจเท่านั้น แล้วยิ่งฟ้าไม่ได้ตั้งใจพี่จะว่าอะไรล่ะครับ” สายลมเอื้อมมือไปลูบหัวปลายฟ้าอย่างอ่อนโยน ทำให้คนโดนปลอบยิ้มออกมาได้แล้วตอนนี้
“พี่ว่าฟ้าน่าจะลองแกะดูสักหน่อยนะครับว่าข้างในมีอะไร แล้วใครเป็นคนส่งมาให้” สายลมกลับมาพูดเรื่องของขวัญอีกครั้ง
“ครับผมก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกัน” ปลายฟ้ารับมาแล้วแกะกล่องของขวัญทันที

“พี่สายลม!!” ปลายฟ้าเรียกชื่อสายลมอย่างตื่นตกใจ
“ฟ้าเป็นอะไร ในนั้นมีอะไร” สายลมรับหันกลับมาหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“พี่ดูนี่สิครับ” ปลายฟ้ายื่นกล่องของขวัญที่แกะแล้วให้
ด้านในกล่องมีรูปภาพของปลายฟ้าในอิริยาบถต่าง ๆ ของเมื่อวาน ทั้งตอนที่กำลังถ่ายภาพยนตร์ หรือว่าตอนพักผ่อนส่วนตัวอยู่ในกองถ่าย แต่พอสายลมตรวจดูเรื่อย ๆ หลัง ๆ เป็นรูปของปลายฟ้าตอนที่กำลังเดินเข้าคอนโด สายลมถึงกับขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด
“สโตรคเกอร์” สายลมเปรย
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะครับพี่สายลม ผมไม่อยากโดนตามแบบนี้นะครับ” ปลายฟ้าเริ่มกังวลกับสิ่งที่เห็น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพี่จะระวังให้มากขึ้น ช่วงนี้ฟ้าก็ห้ามออกไปไหนโดยไม่มีพี่เด็ดขาดนะครับ” สายลมกำชับอย่างจริงจัง


============>โปรดติดตามตอนต่อไป

เรื่องลงไว้ก่อน 50% นะครับ เพราะว่าเขียนยาวเกินไปหน่อย  :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2011 02:47:59 โดย สายลมห่มฟ้า »

runynam

  • บุคคลทั่วไป
อุ้ยยยย..
น่ารักหน้าหยิกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สุโค่ยค่ะน้องไนท์ พี่เตสู้ๆๆ o13 o13

runynam

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 4 PG. 3 [22/05/2011]
«ตอบ #652 เมื่อ22-05-2011 21:19:41 »

กรี๊ดกราดดดดดดดดดดดดดด
ยูเรก้ามักมากกกกกค่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
น้องกริชต้องละลายในไม่ช้าแน่เลยยยยย :o8: :o8:
แต่ พี่จบได้อยากอ่านต่อมักมากกกกกกกกกกกกกก :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27
แรงขึ้นเรื่อยๆ  +1

ออฟไลน์ taroni

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-27
โรคจิตที่ไหนมาแอบตามปลายฟ้า :z1:
+1

Annetemis

  • บุคคลทั่วไป
เทียนบุญ...แรงเกินรับจริง ๆ ค่ะ แรงกว่า...เรยา+เด่นจันทร์+น้ำหวาน...อีกค่ะ แคร์แต่ตัวเองคนเดียว จุดจบจะเหมือน เรยา มั๊ยเนี่ย รู้ตัวเมื่อสาย สุดท้ายก็ไม่เหลือใครสักคน o22
สงสารแม็คกับแม่ของแม็คมากเลยค่ะ ขนาดอยู่อย่างเจียมตัวแล้วเทียนบุญก็ยังไม่ยอมละเว้น :monkeysad:
อ่านเรื่องนี้แล้วชื่อ eiky ลอยเด่นเจิดจรัสมากเลยค่ะ :laugh:

PrinceTae

  • บุคคลทั่วไป
 :o8: ก็ไม่รู้ใครจะพรากใครนะครับ ระหว่างคุณหนูกับบรูโน่เนี่ย


พูดเรื่องอายุของคุณหนู ผมเองก็คิดว่าเด็กเกินที่จะทำแบบนี้นะครับ
แต่ถ้าเพิ่มอายุ ให้มากกว่านี้ มันจะดูเป็นเด็กก้าวร้าวมากกว่าที่ผมตั้งใจจะให้คุณหนูเป็นเด็กแก่แดดอ่ะครับ
 :z2: บรูโน่เลี้ยงต้อยอีกหลายปีเลย

PrinceTae

  • บุคคลทั่วไป
 o22 สโตรคเกอร์
มีอะไรหลอนๆอีกแล้ว

runynam

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ดกราดดดดดด
เรนเจอร์สีเขียวแหวกแนวขบวนการมักมากกกก
แถมเลือดสาดดดดดดดสุดยอดดดดด
อ่านแล้วผวาไปเลยยยยย
จะรอตอนต่อไปค้าๆๆๆๆ
ปล.อ่านได้อารมณ์มาก นึกว่าก็อปปี้หนังสือมาอ่านทั้งดุ้นเลยย ฮ่าๆๆๆ :laugh:

MonarcH

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Rainbow Project [Vermilion] "Butterfly" by MonarcH Part 4 PG. 3 [22/05/2011]
«ตอบ #659 เมื่อ22-05-2011 21:59:03 »

Butterfly 5
...ผมยอมให้ยุทธจับมือเดินท่ามกลางสายตาชื่นชมปนอิจฉาของเก้งกวางในห้างที่มีชาวสีม่วงมาเดินเยอะที่สุดในกรุงเทพฯ ตอนแรกก็รู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องโดนจับมือถือแขนในที่สาธารณะ แต่ผมก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกดีจังเลย และบ่อยครั้งที่ผมแอบมองยุทธตอนเค้าเผลอ ถ้าเค้าไปทำงานอาชีพอื่นผมคงไม่ต้องรู้สึกขัดแย้งและต้องหักห้ามใจตัวเองที่จะชอบเค้าอย่างนี้...
“ตัดผมกัน”  ผมเป็นฝ่ายดึงมือยุทธเข้าแฮร์สตูดิโอชื่อดัง
“เชิญค่ะ วันนี้ทำอะไรดีคะ” พนักงานออกมาตอนรับ
“พาเพื่อนมาซอยผมครับ”
“เอ่อ...ค่ะ...งั้นไปเลือกแบบผมกันด้านนี้เลยค่ะ”  พนักงานมองมือของเราทั้งคู่ที่ยังไม่ปล่อยจากกันแล้วยิ้มก่อนพาไปนั่งที่โซฟา
“ตัดทรงไหนดี” ผมละสายตาจากหนังสือแบบผมหันไปถามยุทธ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าหน้าเราสองคนใกล้กันเกินไปเพราะกำลังดูแบบผมเล่มเดียวกันอยู่
“ตามใจคุณสิครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่น”  ยุทธมองตาเยิ้ม
“งั้นให้ช่างเค้าแนะนำดีกว่า”  ผมพยักหน้าเรียกช่างมาจัดการ แล้วขยับตัวออกห่างเค้าก่อนจะหยิบนิตยสารอื่นมานั่งอ่านแก้เขิน
*
*
...ยุทธคงแค่บริหารเสน่ห์กับเกย์เพื่อให้คุ้นเคยกับอาชีพใหม่มั้งถึงได้ทำท่าทางแปลก ๆ กับเรา...เค้าเป็นผู้ชายแท้ที่ต้องมามีอะไรกับเกย์ คงทำใจยากถึงต้องมาลองคลุกคลีกับเรา แต่เค้ารู้มั้ยว่ากำลังทำไห้เราต้องหวั่นไหวไปกับสายตาเจ้าชู้ อบอุ่น ปลอดภัยเมื่อเค้ากุมมือเรา รู้สึกภูมิใจเวลามีคนมองด้วยสายตาชื่นชมในความเหมาะสมของเราทั้งคู่...แต่ความจริงแล้ว...มันเป็นแค่ภาพลวงตา จำไว้กริช สิ่งที่ยุทธทำมันเป็นแค่งานของเค้า อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับเปลือกหรือสีสวย ๆ ที่ฉาบอยู่ภายนอก...
“มองอะไร”  ผมขยับปากแบบไม่มีเสียง หลังจากที่ลดนิตยสารลงแล้วเห็นเค้ามองผมผ่านกระจกขณะตัดผมอยู่
“น่ารัก” ยุทธขยับปากตอบ
“บ้า” ผมพูดแล้วรีบยกหนังสือขึ้นบังหน้าเพื่อไม่ให้เค้าเห็นผมอมยิ้มด้วยความเขิน
*
*
...ถ้าผมอยู่ในร้านทำผมต่อ ผมต้องนั่งอย่างไม่เป็นสุขเพราะสายตาคมกริบหวานเยิ้มของยุทธมองมาที่ผมตลอดเวลา ดังนั้นผมจึงวางนิตยสารแล้วเดินออกไปซื้อของบางอย่างในห้าง...เมื่อเสร็จจากตัดผม ยุทธก็จะเสร็จสิ้นการแปลงโฉมจากหนุ่มต่างจังหวัดเป็นหนุ่มกรุงอย่างเต็มตัว เค้าพร้อมที่จะเป็นสินค้าตัวอย่างที่ผมต้องพาไปนำเสนอแก่บรรดาเกย์ไฮโซในงานเปิดตัวนาฬิกาเพชรของคุณมณีอารยาที่ผมเพิ่งจะเห็นข่าวในนิตยสารที่อ่านระหว่างรอยุทธตัดผม...
...ผมยังจำวันแรกที่เจอยุทธได้ ยังจำความรู้สึกที่ปั่นป่วนตอนเค้ากอดด้วยร่างเปลือยเปล่า ถึงแม้วันนั้นเค้ายังไม่ผ่านการเจียรนัยให้เป็นเพชรน้ำเอก แต่ความดิบนั้นก็ทำให้ผมหวั่นไหวได้มากถึงขนาดที่ต้องเสียน้ำตาให้กับความขัดแย้งอึดอัดในใจของตัวเอง ยุทธเป็นคนที่มีแรงดึงดูดทางเพศสูงมาก แต่ตอนนี้เค้ากำลังจะขึ้นเป็นดาวเบอร์หนึ่งของบาร์ที่ดังที่สุดในกรุงเทพฯแล้ว เค้าต้องครบเครื่องทั้งรูปรสกลิ่นเสียง...เค้ามีเกือบครบแล้ว รูปลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องประทับใจ รสรักที่เพียงแค่เล้าโลมก็ทำให้แขนขาอ่อนแรง เสียงทุ้มนุ่มหูที่ปลุกเร้าอารมณ์คนที่ได้ฟังใกล้ ๆ เหลือเพียงแต่กลิ่นที่คืนนั้นเค้ากอดผม มีเพียงกลิ่นโรลออนจาง ๆ ราคาถูกที่ซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อซึ่งผมเองก็เคยใช้สมัยเรียน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแบรนด์เนมยี่ห้อดังให้เค้ากับน้ำหอมที่ใช้ในตอนนี้...แต่จริง ๆ แล้วกลิ่นที่ปลุกเร้าอารมณ์ได้มากที่สุดคือกลิ่นสบู่อ่อน ๆ หลังอาบน้ำ ซึ่งคืนนั้นผมก็ได้กลิ่นสะอาดแบบนั้นจากร่างกายร้อนผ่าวของยุทธ...
“คุณไปไหนมาอ่ะ”  ยุทธถามทันทีที่ผมเดินกลับเข้าร้านตัดผม
“ตัดเสร็จนานหรือยัง” ผมไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“ไม่นาน แต่ถ้าคุณหายไปผมแย่เลยนะ ผมไม่มีเงินจ่ายค่าตัดผมแพงขนาดนี้หรอก” ยุทธกระซิบบอก
“หล่อขนาดนี้ใครจะทิ้งได้ลงคอ”  ผมพูดขำ ๆ
“.......................” ยุทธอมยิ้มและเป็นฝ่ายหน้าแดงบ้าง
“ไปกันเถอะ”  ผมรับบัตรเครดิตคืนแล้วเดินนำออกจากร้าน
“กลับเลยเหรอ”
“เดี๋ยวซื้อของอีกอย่างก็เสร็จแล้ว”  ผมตอบและพาเดินไปซื้อของที่ตั้งใจไว้
...ผมพายุทธไปที่แผนกเครื่องสำอาง ยุทธทำหน้างง ๆ เมื่อผมบอกให้เลือกกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อหนึ่งซึ่งผมเคยได้ยินมาว่าเหมาะสำหรับผู้ชาย...
“ผมมีกลิ่นตัวเหรอ”  ยุทธถามพลางเปิดคอเสื้อดมสำรวจตัวเอง
“ไม่หรอก แต่คุณต้องมีไว้ใส่บ้างในโอกาสสำคัญ”
“ผมไม่รู้ว่าจะใช้กลิ่นไหนอ่ะครับ”
“ลองดมดูหลาย ๆ กลิ่นสิ”  พูดจบผมก็ขอกระดาษเทสกลิ่นจากพนักงานให้ยุทธลองดม
“เวียนหัว”  ยุทธบ่นเบา ๆ เมื่อต้องดมน้ำหอมหลายกลิ่นวนกันอยู่เพื่อเลือกกลิ่นที่ถูกใจ
“เลือกมากลิ่นนึงละกัน”
“คุณเลือกให้ผมดีกว่า ผมยังไงก็ได้ ถ้าคุณชอบ ผมก็ชอบด้วย”  ขนาดบ่นเวียนหัว ยังแอบหยอดผมได้อีก
“ขอสองกลิ่นนี้ลองฉีดที่ข้อมือละกัน”  ผมจับมือของยุทธสองข้างให้พนักงานลองฉีดที่ผิวหนัง
“ไม่ได้ฉีดที่เสื้อผ้าเหรอ”
“ลองน้ำหอมต้องลองกับผิวด้วย เราไปเดินเล่นซักพัก ให้น้ำหอมมีปฏิกิริยากับเหงื่อเรา แล้วเราจะรู้ว่าน้ำหอมกลิ่นไหนเหมาะกับเราที่สุด เดี๋ยวมาใหม่นะครับ”  ผมอธิบายให้ยุทธฟังแล้วหันไปพูดกับพนักงานขาย
“คร้าบบบ ตามสบายเลยครับ ถ้ามีแฟนอย่างนี้ผมรักตายเลย”  พนักงานเกย์สาวพูดยิ้ม ๆ
*
*
...ตอนนี้ผมเลิกเกร็งเวลายุทธทั้งจับมือ ทั้งโอบเอว เค้าดูแลเทคแคร์เป็นอย่างดี คนภายนอกไม่มีทางรู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับยุทธจริง ๆ แล้วเป็นเพียงนายจ้างกับลูกจ้างที่ต้องมาเดินซื้อของด้วยกันเพื่อไปงานสำคัญเท่านั้น...ตัวผมเองบางช่วงเวลายังรู้สึกราวกับว่า ผมกับยุทธเป็นแฟนกันจริง ๆ เลย เฮ้อ ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น ผมจะรีบดึงตัวเองกลับสู่โลกแห่งความจริง สายตา รอยยิ้ม คำพูดหวานหูเป็นเพียงแค่หน้าที่ที่เค้าต้องทำ ไม่ใช่มาจากใจ ถ้าผมไม่ใช่เจ้าของบาร์ ไม่มีบัตรเครดิตแบบรูดได้ไม่จำกัดวงเงิน ไม่มีรถหรู ไม่มีคอนโดริมถนนสุขุมวิท...ยุทธคงไม่ทำดีกับผมอย่างนี้หรอก...
“หิวมั้ยกริช”  คำถามของยุทธทำให้ผมตื่นจากภวังค์
“ไม่มีคุณนำหน้าชื่อผมหน่อยเหรอ”  ผมถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เอ่อ ขอโทษครับคุณกริช ผมลืมตัวไป”  ยุทธสลดลง
“คุณจะทานอะไรล่ะ ห้ามบอกว่าแล้วแต่ผมนะ เพราะวันนี้ผมเลือกให้คุณทุกอย่างแล้ว เรื่องอาหารผมขอให้คุณเป็นคนเลือกบ้าง”  ผมดักคอไว้
“เอ่อ ถ้าคุณกริชไม่หิว ผมก็ไม่หิวนะครับ”
“ท้องเดียวกันเหรอ ไม่ต้องกลัว คุณเลือก แต่ผมจ่าย” 
“งั้นเอาร้านนี้ก็ได้ครับ”  ยุทธชี้ไปที่ร้านสุกี้ชื่อดัง
*
*
...แปลกมาก ถ้าเป็นเด็กบาร์คนอื่น พี่ธัญญ่าเคยบอกว่าคงถล่มเราเต็มที่เมื่อมีโอกาสกินฟรี แต่ยุทธกลับเลือกร้านสุกี้ที่ราคาปานกลาง ซึ่งตอนเรียนผมเองก็ไม่ได้กินบ่อยนักเนื่องจากว่าราคาสูงสำหรับนักศึกษาที่ยังหาเงินเองไม่ได้ ถ้าจะกินก็เนื่องในโอกาสพิเศษ หรือไปกันหลาย ๆ คนแล้วหารกัน...เมื่อก่อน สุกี้ ถือว่าเป็นอาหารที่แพงมากจนผมไม่กล้าเข้ามากินกันสองคนแบบนี้...
“ยุทธ จะกินอะไรก็สั่งสิ”  ผมเห็นยุทธพลิกเมนูดูนานแล้วแต่ยังไม่สั่งซักที
“คุณกริชสั่งก่อนดีกว่า”
“ไม่...ยุทธกินอะไร ผมก็กินอย่างนั้น”  ผมพับเมนูแล้วส่งคืนพนักงาน
“เอ่อ เอาอันนี้ อันนี้ อันนี้ อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ แค่นี้ครับ” ยุทธชี้ที่เมนู
“ทวนรายการอาหารนะคะ”  พนักงานทวนตามที่ยุทธสั่ง ผมต้องอมยิ้มเพราะมันธรรมดาเกินไป
“ขอสั่งเพิ่มครับ”  ผมหยิบเมนูแล้วสั่งตามที่ตัวเองอยากกิน และสั่งอย่างอื่นที่คิดว่ายุทธน่าจะชอบ
“ผมไม่เคยกินสุกี้แบบนี้อ่ะครับ”  ยุทธพูดหลังจากที่พนักงานเดินไปส่งออเดอร์
“อ้าว แล้วทำไมถึงเลือกร้านนี้ล่ะ”
“ก็ผมเห็นโฆษณาในทีวี น่ากินดี”  ยุทธพูดอาย ๆ พลางลูบต้นคอ
“อืม ไปล้างมือก่อนนะ”  ผมลุกขึ้นและเดินอมยิ้มไปล้างมือที่อ่างน้ำในร้าน ตกลงยุทธเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย บางครั้งก็ดูเจนจัด บางครั้งก็ซื่อจนอดขำไม่ได้
*
*
...ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เหลือเกิน เค้าสามารถที่จะอ้อนเป็นเด็กและต้อนผมจนมุมได้ในนาทีต่อมา บางครั้งก็พูดจากวนประสาทแต่ประโยคถัดไปกลับหยอดให้ผมเขินซะงั้น ไม่บ่อยนักที่ผมจะมีความสุขแบบนี้ มีความสุขจนลืมไปว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นคนที่ผมไม่สามารถจะรักได้ แค่คิดก็ผิดแล้ว...
“เป็นอะไรครับคุณกริช จุกเหรอ”  ยุทธถามเมื่อเห็นผมนิ่งไป
“เปล่า อิ่มแล้วใช่มั้ย จะได้กลับซักที”  ผมตอบเสียงเรียบ
“คุณเป็นอะไร บอกผมก่อน เมื่อกี้ยังคุยเล่นได้อยู่เลย ทำไมทำหน้าเครียดซะแล้วล่ะ ปวดท้องเหรอ ไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้นะ”
“ผมต้องรีบไปทำงานต่อ”  ผมตอบพลางพยักหน้าเรียกพนักงานให้มาเคลียร์บิล
“อืม ครับ เราต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำนี่”  ยุทธพูดเสียงเบา สายตามองออกไปนอกร้าน
“เดี๋ยวเราไปซื้อน้ำหอมแล้วก็แยกกันเลยนะ อย่าลืมไปเอาเสื้อผ้าชุดเก่าที่ร้านล่ะ”
“ครับ” ยุทธรับคำสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเหินห่าง
*
*
...เมื่อออกจากร้านสุกี้ ผมก็ขอแวะเข้าห้องน้ำสำรวจความเรียบร้อย เผื่อจะมีน้ำจิ้มสุกี้กระเด็นเลอะเสื้อ ยุทธก็ตามมาล้างมือข้าง ๆ สายตาของเราทั้งคู่มองกันผ่านกระจก แต่ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปาก มันอึดอัดจนผมทนไม่ได้...
“ตกลงเลือกกลิ่นไหน”  ผมทำลายความเงียบในห้องน้ำที่ไม่มีบุคคลที่สาม
“ไม่รู้ครับ”
“ลองดมที่ข้อมืออีกครั้งสิ” ผมบอก ยุทธยกมือขึ้นมาดมทั้งสองข้าง
“ผมไม่รู้จะเลือกกลิ่นไหนครับ”
“ไหน ขอดมหน่อย”  ผมจับมือยุทธขึ้นมาดมเพื่อจะตัดสินใจให้ แต่พอดมเสร็จเงยหน้าก็เจอกับสายคู่เดิมที่เคยทำให้ผมอ่อนยวบได้ทุกครั้ง
“จริง ๆ แล้วผมชอบกลิ่นอื่นมากกว่า”  ยุทธพูดเสียงทุ้มเล่นเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เหรอ กลิ่นไหนอ่ะ ยี่ห้ออะไรรู้มั้ย”  ผมถามพลางหลบตาแล้วจะปล่อยมือยุทธ แต่เค้าไวกว่า
“ชอบกลิ่นนี้อ่ะครับ” พูดจบยุทธก็รวบตัวผมไว้ในวงแขนแล้วจู่โจมเข้าที่ซอกคอของผม คางสาก ๆ ริมฝีปากชื้น ๆ ของเค้าทำให้ผมเข่าอ่อนยืนไม่อยู่
“ปล่อย ผมไม่ใช่แขกของคุณนะ”  ผมกลั้นใจพูดแล้วดันตัวยุทธออกเบา ๆ แต่สิ้นเสียงนั้น ยุทธผละออกมาแล้วถอยหลังไปยืนห่างจากผมถึงสามก้าว
“ขอโทษครับ” ยุทธมองหน้าผมนิ่งก่อนจะเอ่ยปากขอโทษแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่คนเดียว
*
*
...ในที่สุดยุทธก็ได้น้ำหอมพร้อมโลชั่นโรลออนเจลอาบน้ำกลิ่นเดียวกันไปหนึ่งชุด ซึ่งมันก็เป็นการเลือกกลิ่นที่ผมชอบเองอีกตามเคย ตอนอยู่หน้าเค้าเตอร์พนักงานขายคงรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุจึงไม่มีการแซวหรือพูดเล่นเหมือนตอนลองน้ำหอม...เมื่อถึงทางออกลานจอดรถที่เราต้องแยกกัน ผมก็ดึงแขนเสื้อยุทธไว้แล้วแบมือตรงหน้าเค้า...
“อะไรครับ”
“ขอเงินด้วย ห้าบาท สิบบาทก็ยังดี”
“....................................” ยุทธทำหน้างง
“ผมเคยได้ยินว่าห้ามซื้อน้ำหอมให้กัน เพราะมันจะทำให้ความสัมพันธ์จางหายไปเหมือนน้ำหอมที่กลิ่นจะจางได้ ต้องแก้เคล็ดด้วยการให้เงิน เหมือนยุทธซื้อน้ำหอมจากผมน่ะ”
“คุณจะสนใจทำไม ก็ในเมื่อความสัมพันธ์ของเรามันต้องจางหายไปอยู่แล้ว ไม่ว่าผมจะให้เงินคุณหรือไม่ก็ตาม”  ยุทธพูดเสียงเรียบก่อนจะวางแบงค์ร้อยลงบนมือผม แล้วหันหลังเดินจากไป

******************************************************************************************************
มาแถมแบบเบา ๆ ให้ในวันเดียวกัน

MonacH

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด