Chapter 19 : Sag mal !
ผมนั่งกินข้าวกินนม ผสมคุยโม้กับเพื่อนๆชมรมที่ร้านหลังมอครับ
เหมือนวันนี้เป็นวันเอาคนบ้ามายัดรวมกัน ร้านเค้าแทบแตก เมื่อพวกเราหัวเราะ
ดูเจ้าของร้านจะโล่งใจมากมายเมื่อเรากินเสร็จและพากันออกมาได้
ผมอิ่มแปล้ แม้เมนู ขนมปังทาเนยบาวาเรียนส่งตรงจากเทือกเขาเอลป์ของผมจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ
“เราเดินเข้าทางประตูวิจิตรฯก็แล้วกัน เปลี่ยนเส้นทางบ้าง”
ผมเสนอทางเข้าอีกทางของมอ เพราะขามาเราเดินออกทางประตูวิศวะซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง
ทุกคนโอเคกับไอเดียนี้
ประตูที่เราเดินออกมาตอนแรกนั้นเป็นประตูหลังมออย่างเป็นทางการที่เปิดตลอดคืน
ส่วนประตูวิจิตรศิลป์นี้จะปิดตอนหนึ่งทุ่ม
แต่เรามีทางเข้าได้
เราลอดผ่านช่องเล็กๆระหว่างประตูกับรั้ว แล้วก็มาโผล่ในถนนเปลี่ยวๆ เนื่องจากไม่มีรถหรือคนผ่านแล้วเมื่อประตูปิด
“เอาละ เดินกระจายให้ทั่วๆ กูซื้อถนนแล้ว ไม่มีรถมาสอยตูดแน่นอน”
ผมบอกพรรคพวกและหันไปยิ้ม
..
…
??
ไอ้ทัศน์ มึงเป็นอะไรเหรอ มองกูนัก
ผีออกจากตัวมึงแล้วใช่ไหมวันนี้ หรือว่ายังไง??
ผมคิดอย่างหงุดหงิดเมื่อหันไปเจอสายตามัน(เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้)
แปลกๆตั้งแต่ตอนเย็นที่มันโทรมาแล้ว
ผมล่ะงง ไม่รู้มันต้องการอะไรกันแน่
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมตามอารมณ์มันไม่ทันหรอกนะครับ ถึงแม้ผมจะช.. เอ่อ ช่างเถอะ ไม่มี’ไร -*-
ในที่สุดของที่สุด เราก็ลากสังขารกันมาถึงหอสามอย่างเหน็ดเหนื่อย
เพื่อนๆพี่ๆผมเดินแยกกันไปที่รถของตัวเอง
“เกรย์ เห็นมึงบ่นว่ายังไม่ได้ทำการบ้านตามหาปรัชญาอะไรของมึงไม่ใช่เหรอ”
เออ อืม แต่มึงมาพูดอะไรตอนนี้วะแอร์
ไม่’ไร ‘จารย์กูเกรียน ไม่รีบหรอก
“เออ เอารถกูไปใช้ได้นะพรุ่งนี้”
แน่ะ มันใจดีครับ
“เออ ใจมากๆ”
ผมขอบคุณมัน ไอ้แอร์เดินเอากุญแจมายื่นให้..
ยื่นให้ไอ้ทัศน์
อ้าว?? อะไรมึงเนี่ย
“เอ้าพี่ แต่ตอนเช้าต้องรีบเอามาคืนที่เกรย์นะพี่นะ”
มาสด้าสองมึงเจ๊งอีกแล้วรึไงวะแม่ม !
“ไม่เป็นไร กูไปเองได้ ไม่ยืมมึงแล้ว”
ผมสยองจากเสาร์ที่แล้วไม่หายครับ เริ่มด้วยดี แต่จบอุบาทว์มาก ผมกับไอ้ทัศน์เนี่ย
“อย่าเกรงใจ เพื่อน!”
ไอ้แอร์ตบไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินขึ้นหอไปกับไอ้นน
“เออ.. เอ่อ พวกกูไปละ”
พี่หนุ่มบอกและซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่โจทะยานไปบนถนน
พี่โกที่ดูงงๆ หันมองผมที มองไอ้ทัศน์ที
“เอ้า กุญแจรถมึง ขับกลับไปเลยโก”
ไอ้ทัศน์ยื่นกุญแจรถให้พี่โก
เพื่อนหมอนั่น คนที่ผมจำได้ว่ากรีนเรียกโก๋แก๋เอ๋อแดก แต่ก็รับกุญแจไป
ผมมองตาม..
กูกินหญ้ามั๊ย?? พี่โกเดินไปที่รถมึงไม่ใช่เหรอ
แม่ง..
เหลือผมยืนส่งสายตาอาฆาตให้ไอ้ทัศน์อยู่
“เออ..”
ไอ้ทัศน์เริ่ม
“หุบปาก”
ผมไม่อยากฟังครับ
ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น
มันน่ารำคาญ แล้วผมก็เบื่อเต็มทีแล้วด้วย
มันเห็นผมเป็นอะไร มาๆไปๆ ผีเข้าผีออก
วันก่อนดูดปากจ๊วบจ๊าบกับแม่สาวนั่นตำตากู วันนี้เสือกมาเดินตามกูต้อยๆ หมายความว่าไง
ไอ้ทัศน์ทำเหมือนไม่ได้ยินผมสั่ง ‘หุบปาก’
“พี่กรีนเป็นพี่ชายมึง”
“กูบอกไม่ต้องพูดไง”
ผมตวาดทั้งที่งงๆว่ากรีนมาเกี่ยวอะไรด้วย
กูจำพี่ตัวเองได้ มาบอกกูทำไม
“กูเพิ่งรู้..”
แน่ะ ยังพูดต่ออีก
แม่ง จะพูดทั้งทีก็หาสาระไม่ได้เลยนะมึง
ผมพ่นลมหายใจ หันหลังก้าวฉับๆกลับขึ้นหอโดยไม่เหลียวกลับมามองมันเลย
ไม่เข้าใจ งง เซ็ง !!
. . . . . . . . . . . . . . . . . .
“อีกแล้วนะครับ แอร์”
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาผมก็ได้ยินเสียงเพราะๆที่แฝงความไม่พอใจของไอ้นน
ผมมองไอ้นนที ไอ้แอร์ที
ในมือชายนนถือเสื้อกล้ามเปียกด้วยเหงื่อ ส่วนไอ้แอร์ยักไหล่
ไอ้นนพ่นลมหายใจ และเดินไปยกตะกร้ามุมห้อง เปิดประตู เอาออกไปวางไว้ข้างนอก
“เฮ้ๆ ไอ้คุณนน มึงจำตะกร้าผิดใบรึเปล่า”
ไอ้แอร์ท้วง
“ไม่ผิดครับ”
ไอ้นนกลับเข้ามาในห้อง
“นั่นมันตะกร้าของกู ไม่ใช่ของมึง”
“ก็ของแอร์ไงครับที่ผมหยิบออกไป”
“เวร มึงเอาออกไปทำไม”
ไอ้นนทำหน้าตาแบบที่ผมคิดว่าคงโกรธที่สุดของมันแล้ว แม้จะดูผิดปกติกว่าหน้าตาธรรมดาแค่นิดเดียว
“อ้าว ก็แล้วแอร์จะมีตะกร้าผ้าไปทำไมล่ะครับ ในเมื่อเตียงผมก็ทำหน้าที่นั้นให้แอร์อยู่แล้วนี่”
.
.
อ้อ..
ผมได้ยินไบโอเนิร์ดบ่นทำนองนี้มาซักสองสามครั้งแล้วล่ะครับ
เรื่องของเรื่องคือเตียงไอ้นนมันเป็นเตียงเดี่ยวที่อยู่ข้างล่าง ใกล้ประตู สะดวกมือไอ้แอร์ เพราะไอ้แอร์นั้นนอนเตียงคู่ชั้นบน
มันจึงมักจะวางอะไรต่อมิอะไรบนเตียงไอ้นนนั่นแหละครับ
หลายครั้งที่ผมเห็นว่าไอ้นนต้องเป็นคนหยิบข้าวของไอ้แอร์กลับไปไว้เป็นที่เป็นทาง
“ไอ้คุณนน เอาตะกร้ากูกลับเข้ามา”
“ไม่! แอร์ต้องสัญญาก่อน ว่าจะไม่โยนเสื้อผ้าไว้เตียงผมโดยไม่ยอมเก็บ”
“กูไม่สัญญา มึงไปเอาเข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ครับ!”
เอิ๊กก ชายนน มึงดื้อเป็นเหมือนกันนี่หว่า
“เกรย์ มึงดูมันสิ พูดให้กูที”
ไอ้แอร์หันมาขอความช่วยเหลือ
เฮอะ! แล้วผมก็ถลึงตาใส่มัน
มึงเพิ่งจะแกล้งเอากุญแจรถให้ไอ้ทัศน์ไป มึงหวังจะได้รับความช่วยเหลืออะไรจากกู ห๊า!
“เคลียร์กันเองเว้ย กูไม่เกี่ยว”
ผมไปอาบน้ำนอนดีกว่า
สัปดาห์นี้แม่งเหนื่อยชิบหาย ทั้งเรื่องเรียน เรื่องหัวใจ ผมง่วงจนจะหลับกลางอากาศได้แล้ว!
.
.
Yet, they’ll never have..
Someone like you to guide them and help along the way..
Oh, tell me when it’s time to say..
“อือ อืมมม”
ใช้เวลาหลายวิกว่าเสียงเรียกเข้าจะดังผ่านหูเข้ามาสู่สมอง
ผมควานมือเปะปะไปทั่วเตียง
แง่มๆ โทรศัพท์มันอยู่ที่ไหนซักแห่งนี่แหละ
“รายยมึงวะ”
ผมงัวเงียรับ และหาวใส่ใครที่โทรมากวนเวลานอนดังๆ
“ขี้เซา..”
หือ
หึ
แง่งงงง
“กูตื่นแล้วเว้ย”
ผมผุดลุกขึ้น
“ลงมาเอารถมา”
ไอ้ทัศน์มาละ..
แง่มๆ
ผมยันตัวนั่ง บิดขี้เกียจซ้ายขวา แล้วลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่ลวกๆ
และล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกยิ่งกว่า แง่ว แค่ไปเอากุญแจไม่ใช่เหรอ อาบน้ำทำไม
ผมเดินเกาหัวลงบันไดมาในสภาพต่างกับตอนนอนแค่ตรงที่มีเสื้อคลุมใส่ไว้เท่านั้น
แล้วก็เห็นไอ้ทัศน์ยืนโย่งเป็นอนุสาวรีย์หน้าหอสามชาย
ผมยืนเกาหัวไปตรงหน้ามัน ยื่นมือแบออกขอกุญแจ
“ตื่นรึยังเนี่ย”
ยุ่งไรกู แม่ง กุญแจอะ เอามาเลย
ผมกระดิกนิ้ว
“อาบน้ำยังเนี่ย..”
..เสือกเว้ย
ผมยื่นมือ ยื่นนนนนนนนนนนน
“อะ เอาไป”
มันวางกุญแจลงบนมือผมโดยดี
เออดี ลีลาน้อยลงแล้วนี่มึง
ผมหันหลังกลับ
“เอ่อ..”
อะไรมึง เอ่ออะไร อะไรของมึงอีก แม่ง รีบไปเลย ไปหาน้องกระโปรงแดงก็ได้ ชิชิ
“คือ.. แล้วกูกลับยังไงล่ะ”
แน่ะ กูจะรู้มึงเหรอ
“ไปส่งกูที่หอก่อนได้ไหม”
.
.
ผมแค่นหัวเราะ หันมาเผชิญหน้ากับมัน
มึงกะเล่นสเต็ปเดิมจริงน่ะ!
“ไม่! ถ้ามึงไม่มีปัญญากลับ มึงก็เอารถไอ้แอร์ไปเลย”
ผมยื่นกุญแจให้ ย้ำชัดๆ “แต่กูจะไม่ไปส่งมึงที่หอ”
ไม่เอาแล้วครับ
ไม่เอา..
ผมกลัว..
ผมไม่ได้กลัวว่ามันจะทำอะไรผม
ผมแค่กลัว ..ผมไม่ชอบให้มันทิ้งขว้างผมอีกเหมือนคืนนั้น
มันเจ็บปวดเกินไป..
“ไปส่งหน่อยเถอะน่า กูไม่ทำอะไรซักหน่อย เชื่อกูสิ”
..กูเชื่อคนยาก แต่กูเชื่อมึงง่าย
แล้วผลเป็นยังไงล่ะ? กูต้องเสียใจอยู่กี่วัน ห๊ะ!?
แล้วมึงหวังจะได้ความเชื่อมั่นอะไรจากกูอีก..
..ผมกลับมาหอในคืนนั้นด้วยสภาพที่หอบเหนื่อยเพราะร้องไห้มาตลอดทาง ร้องจนหมดใจ..
และทุกๆเช้า ผมก็ได้แต่เหม่อมองอ่างน้ำดำมืด เพื่อหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้
หวังว่ามันจะช่วย..ให้ผมผ่านความรู้สึกนั้นไป
แล้วสิ่งที่ไอ้ทัศน์ทำคืออะไร
จู่ๆ มันก็ผลักไสผม เหมือนเราไม่รู้จักกันมาก่อน
แล้วก็ก้าวฉับๆกลับเข้ามา และทำเหมือนกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น..
“กูไม่เชื่อ!”
ผมตะโกนลั่น
ทั้งบอกมันและบอกตัวเองไปพร้อมๆกัน
“เกรย์..”
“อย่ามาเรียกชื่อกูนะ!” ผมโมโหขึ้นมาอีกแล้ว “มึง ไปให้พ้นเลย เอาไปเลยด้วย” ผมโยนกุญแจใส่แม่ง
“เดี๋ยว! เฮ้ มึง”
มันคว้าไหล่ผมที่พยายามเดินหนีเอาไว้
ผมสะบัดสุดแรง แต่มันคว้าเอวเอาไว้อีก
ไอ้เหี้ยเอ้ย กูจะไม่ยอมให้มึง..
“แค่ไปส่งกู มึงคิดอะไรมากมาย กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงซักหน่อย!”
.
.
..ไม่มีคำบรรยายครับ
ผมนิ่งสนิททันที..
พยายามกลั้นน้ำตาไว้.. ไม่คิด ไม่พูด ไม่ถามเลยซักคำ
ไม่ได้คิดอะไร แล้วมึงมาทำอย่างนี้ทำไม..
ผมหันไปหามันโดยไม่เงยมองหน้า แย่งกุญแจรถมา
และเดินตรงไปที่รถไอ้แอร์ สตาร์ทอย่างรวดเร็วรอมันขึ้น
ไอ้ทัศน์อาจจะงงกับปฏิกิริยาอัตโนมัติของผม
แต่ผมไม่งง ผมเต็มที่แล้ว ไม่ไหวแล้วกับไอ้คนนี้
กูจะไปส่งมึง แล้วมึงก็อยู่ในที่ของมึงไปเลยนะ !
ไอ้ทัศน์เหวี่ยงขาขึ้นรถมา
ผมออกรถทันที ซิ่งสุดฤทธิ์
“เฮ้ยๆ ระวัง เดี๋ยวได้ตายคู่หรอก”
ไอ้ทัศน์บอกดังๆ
มึงหุบปากไปเลย..
ผมพยายามมีสมาธิกับการขี่รถ แต่น้ำตาบ้าบอเสือกพาลจะไหลอยู่ตลอดเวลา
“แค่ไปส่งกู มึงคิดอะไรมากมาย กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงซักหน่อย!”
กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงซักหน่อย..
กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงซักหน่อย
ประโยคนั้นเล่นวนในหัวราวกับระบบทวนซ้ำ
ผมร้องไห้..
อีกแล้วเหรอ
โธ่เอ้ย ไม่เอานะ
ผมยิ่งรีบซิ่งให้ถึงหอมันเร็วๆ มันลงได้ ผมก็รีบซิ่งกลับเลย
มันไม่มีทางได้เห็นน้ำตาผมอีกหรอก..
ให้ตายสิ ผมจะไม่อ่อนแอให้มันเห็น.. ไม่มีทางเว้ย
เอี๊ยดด..
ผมเบรกเร็วจนเราสองคนเกือบไถลลงจากรถเมื่อถึงหอพัก
มันก้าวขาลง ผมเตรียมซิ่ง แต่มันเร็วกว่าผม
มือใหญ่เอื้อมมาบิดกุญแจดับเครื่อง และดึงออกไป
“อารมณ์แบบนี้อย่าขี่รถเลย”
ผมกัดฟันกรอด กลั้นสะอื้น
อย่าทำแบบนี้กับกูได้มั๊ย!
“มานี่มา.. กูขอเคลียร์หน่อย”
มันดึงมือผมไป
ยื้อสิครับ ผมยื้อตัวไว้สุดแรง
กูเป็นอะไรห๊ะ? มึงถึงจะลากไปนู่นไปนี่ได้ตลอดเวลาอะ?
ดวงตาแห้งสนิทแล้วตอนนี้.. ผมมีเพียงอารมณ์เดือดดาลที่พร้อมจะเหวี่ยงกำปั้นใส่มันถ้าผมหลุดออกไปได้
แต่ผมหลุดไม่ได้เนี่ยสิ ผมยิ่งดิ้น มันยิ่งบีบแรง
กูเจ็บนะเว้ย !
ผมจ้องตาแม่ง มันจ้องกลับ แต่สายตาไอ้ทัศน์อ่อนลงกว่าเหมือนพยายามข่มอารมณ์เต็มที่เช่นกัน
แต่ผมไม่ข่มอะไรแล้ว..
“มึงปล่อยกูเลยไอ้เหี้ย”
ผมตะโกนลั่น
“ขึ้นไปบนห้องก่อน เดี๋ยวปล่อย”
มันบอกอย่างใจเย็น พลางเหลียวมองคนแถวนั้นที่เริ่มมองมายังเราสองคนด้วยความสงสัย
แต่ผมไม่สนใจ ผมต้องการให้ปล่อยเดี๋ยวนี้
“สัด.. ปล่อย”
ผมกัดฟัน พยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม
เรามาถึงลิฟต์อย่างทุลักทุเล
มันพยายามกำกับผมไว้ด้วยแขนข้างเดียว เพราะอีกข้างยื่นออกไป กดลิฟต์ ดีละ!
แล้วผมก็สะบัดตัวออก วิ่งทันที
ผมเบื่อหน้ามัน ไม่เข้าใจมัน
ผมเดินไปหาปรัชญาก็ได้ ไม่ขี่แล้วมอร์’ไซค์
“ให้ตายสิเกรย์ เดี๋ยว!”
สเต็ปเดิมครับ มือนั่นคว้าเอวผมไว้ มืออีกข้างจับไหล่
..แล้วเรื่องเดิมๆนั่นก็ทำให้ทุกความอดทนของผมที่มีต่อมันหมดสิ้นลง
“เว้ย!”
ผมโวยวาย
“ทัศน์ มึงทำเกินไปแล้วนะ ทำขนาดนี้ก็จีบกูซะเลยสิ!”
ผมหันมาเผชิญหน้ากับมันทั้งๆที่มือมันยังกอดเอวผมอยู่ และโพล่งออกไปอย่างห้ามปากตัวเองไม่ไหวด้วยอารมณ์เสียเต็มที่
“มึงชอบกูเหรอห๊ะ !?”
……
………
…………
เอ่อ..
คำถามนั้นเหมือนเป็นน้ำเย็นจัดสาดเข้าใส่อารมณ์เดือดดาลของเราทั้งคู่
มันเป็นนาทีทรมานครับ ทั้งผมทั้งมันมองตากันอย่างอึ้งแดรก
มันคงไม่คิดว่าผมจะถามแบบนี้
ส่วนตัวผมเอง ผมก็ไม่คิดว่าผมจะกล้าถามเหมือนกัน
“เอ่อ จะขึ้นมั๊ยคะ?”
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างเกรงๆ
เราทั้งคู่ละสายตาจากกันไปมองลิฟต์
ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนสี่ห้าคนในนั้นกำลังรออยู่ว่าพวกมึงจะเอายังไง จะขึ้นไม่ขึ้น จะกอดกันต่ออีกนานไหม อะไรทำนองนี้
“ไม่ขึ้นครับ!”
ผมบอกห้วนๆ หันมาจ้องมันต่อ
เอาดิ มาเล่นเกมจ้องตากับกูเลย
ผมมองมันตาไม่กะพริบ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ระเบิดใส่แม่งอย่างเดียว
“ถ้าไม่ชอบกู มึงอย่ามาทำตัวเกรียนใส่แบบนี้ กูไม่ชอบ กูใช่ของเล่นมึงมั๊ย?”
ผมหอบหายใจ แต่ปากไม่หยุดพูด ถ้อยคำพรั่งพรูออกมาอย่างคับแค้นใจและหยุดไม่ได้
“ไอ้เหี้ย ทำอะไรมึงทำให้เคลียร์บ้างสิ ถ้าชอบกู อย่ารุนแรงกับกูนักเว้ย กูช้ำหมด”
พูดออกไปได้ไงวะ!?
แต่ก็พูดไปแล้ว..
ไอ้ทัศน์นิ่งเป็นรูปปั้น มือที่โอบกอดเอวผมแข็งค้างไว้อย่างนั้น
“อย่าเงียบ!”
ผมตวาดแม่ง เมื่อมันไม่พูดอะไรซักที
วันนี้ถ้ามึงไม่ตอบกูนะทัศน์นะ ก็ยืนกอดกันอยู่ตรงเนี้ยแหละ!
. . . . . . . . . . . . . . . . . . .