ตอนที่ 69 ลับลมคมใน
เศร้า.... น้องฐาอยากจะเศร้า รู้สึกว่ายิ่งทำงาน เวลาที่มีน้อยนิดมันก็ยิ่งน้อยลงๆ ทุกที
นอกจากงานนอกที่รุมเร้าไม่เว้นแต่ละวัน งานที่ต้องส่งอาจารย์ก็ดองเป็นไหๆ เพราะใกล้สอบสุดท้ายพี่โต้งก็เลยต้องพาไปซื้อโน้ตบุ๊กให้ก่อนล่วงหน้า ทั้งที่ยังไม่ถึงวันเกิดของหนูเลย
คิดดูเอาเถิด ขนาดคุณปู่วัยแปดสิบอย่างพี่โต้ง (แก่ไปไหน?) ยังฟิตเปรี๊ยะเตะปี๊บดังตู้มต้ามเลย แต่น้องฐาเพิ่งจะสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ ไปเรียน ไปทำงาน พอกลับมาโทรมอย่างกะผีดิบตายซาก สภาพดูไม่ได้ โอ๊ยเครียด....
กว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ไหนจะรายงานที่ต้องทยอยทำอีก กลับมาถึงบ้านก็แทบคลาน มันไม่ได้กระปรี้กระเปร่า คึกครื้น แรดลงตับตลอดเวลาอย่างเมื่อก่อนเอาเสียเลย พอลากสังขารอันอ่อนล้าอาบน้ำจนเสร็จแล้วกลับมานอน ความมืดมันก็เกาะกินจนเคลิ้ม... แอร์เย็นๆ บวกผ้านวมหนาๆ พาให้ล่องลอย อยากละสังขารไปดินแดนอันไกลโพ้น
อ้อมกอดจากแขนยาวๆ ที่รัดรึงทำเอาร้อนและอึดอัดจนหนูพยายามดิ้นหนี จมูกและปากที่คลอเคลียทำให้จั๊กจี้จนต้องสะบัดออกห่าง
“อื้อ... อื้อ...” ทุกสัมผัสที่มันเคยสร้างความรุ่มร้อน เร้าใจ กลับกลายเป็นรำคาญขึ้นมากะทันหัน
“พี่... ไม่เอา...หนูจะนอน...” หนูเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ด้วยเสียงอู้อี้... แล้วดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราทันที ลืมนึกถึงสามีสุดที่รักไปเสียสนิท...
แง่มๆ ..... อื๊อ...... ไม่อยากตื่นเลย แต่มันร้อนๆๆๆ จนเหงื่อแตกพลั่ก หนูจำใจตื่นจนได้
อะไรอ่ะ? ไฟดับเหรอ? แอร์ถึงดับแบบนี้...พี่โต้งไม่อยู่บนเตียงแล้วอาจจะออกไปเรียน
หนูเดินเมาขี้ตาออกจากห้องนอนที่ปราศจากผู้คน ไปปะทะความเย็นด้านนอก...
ไฟไม่ได้ดับซะหน่อย นอกห้องนอนแอร์ยังถูกเปิดไว้ พี่โต้งนั่งดูทีวีเงียบๆ
หนูเดินเลียบๆ ไปหาคนรักที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
“อ้าว นึกว่าไปเรียนแล้วซะอีก”
“มีเรียนสิบโมงพร้อมกันไม่ใช่เหรอวันนี้” พี่โต้งตอบทำให้หนูยกข้อมือขึ้นดูเวลา เก้าโมงครึ่งไปแล้ว
“อุ๊ย สายป่านนี้แล้ว ทำไมพี่ไม่ปลุกหนูล่ะเนี่ย สายแน่ๆ เลยวันนี้” หนูโวยวายก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไปโดยไม่รอคำตอบ
วันนี้มาเรียนสายเพราะพี่โต้งไม่ยอมปลุก หรือแกอาจจะปลุกก็ได้ด้วยวิธีแปลกๆ ประเภทปิดแอร์รอให้ตื่นเอง ทำไมต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนั้นด้วย แค่เรียกสักหน่อยก็คงไม่สายแล้วแท้ๆ เราเงียบกันไปตลอดทางจนพี่โต้งจอดรถหน้าคณะของหนู
“น้องฐาคะ วันนี้พี่ว่าจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนหน่อยนะ ถ้าเลิกงานเมื่อไรค่อยโทรมาแล้วกันเดี๋ยวจะไปรับ”
ฮื้อ.... ไปเที่ยวเนี่ยนะ? ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แถมยังไปโดยไม่ชวนอีกต่างหาก
นึกครึ้มอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย....
พี่โต้งหล่อ.... หล่อเกินไป....
ทรงผมก็แลดูประดิดประดอยเนิ่นนานกว่าปกติ เสื้อผ้าก็แลดูช่างเลือก มีสีสันมากกว่าเดิม ที่สำคัญ น้ำหอมนี่กรุ้มเลย เหมือนพวกตาแก่กำลังจะหาบ้านน้อยอะไรอย่างนั้นเลยแฮะ
หนูคิดอย่างเครียดๆ กังวลใจจนไม่นึกอยากจะไปทำงานเลย แต่ก็ไม่อยากจะถามอะไรให้มากความ เกรงจะทำให้ขุ่นเคืองราชหฤทัย พอเลิกงานแล้วหนูรีบโทรหาพี่โต้งอย่างด่วน ปกตินี่ต้องมารอ วันนี้กลับมาช้าไปตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง มันเกิดอะไรขึ้น?? พอกลับบ้านแล้ว ปกติหนูจะเพลียจนนอนหลับง่ายมาก แต่ความกังวลทำให้ความอ่อนเพลียกล่อมหนูไม่ได้เลย หนูนอนไม่หลับตะแคงกายมองหน้าพี่โต้ง จะว่าไปเมื่อวานนี้ แกยังมาคลอเคลียอยู่เลยวันนี้พอขึ้นเตียงได้ แกดึงหนูไปกอดแล้วหลับไปง่ายๆ
อยากรู้จัง พี่โต้งไปเที่ยวที่ไหน กับใครนะแกถึงดูสบายอารมณ์จัง
และแล้วก็เข้าสู่การสอบกลางภาค คงเพราะเรียนด้วยทำงานด้วยเลยไม่มีเวลาอ่านหนังสือเท่าที่ควร หนูล่ะกลั๊วกลัวเกรดตก ถ้าเกรดต่ำจนติดโปร โดนไทน์ พี่โต้งแกจะรับเลี้ยงตลอดชีวิตป่ะเนี่ย?
หนูเดินออกจากห้องสอบอย่างอ่อนเพลีย เนื่องจากใช้พลังงานในการนึดคำตอบจนกะโหลดจะบุบก็ยังเค้นออกมาไม่ใคร่จะได้... เลยเดินคอตกออกมา
“ฐา....” เสียงเรียกของใครคนหนึ่งทำให้ชะงักและกันไปตามเสียง และก็ต้องย่นคิ้วนิดหนึ่ง
ก็ดีใจหรอกนะที่เข้ามาทักแบบนี้แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่นัก เพราะคุยกันทีไรมันทำให้เพลียได้ทุกทีสิน่า....
“ว่าไงเดย์?”
ซื้ด.... อา......
หนูสูดปากน้ำตาร่วง กระดกน้ำเย็นในแก้วลงคออั้กๆ จนคนตรงหน้ารีบเอาน้ำเปล่าเทใส่แก้วให้แทบไม่ทัน
“บ้าจริง.... ขนใส่ลงไปเป็นกิโลเลยไหมพริกอ่ะ ถึงเผ็ดได้เผ็ดดี เผ็ดไม่เกรงใจแบบนี้” หนูบ่นอย่างหัวเสีย กับผัดกะเพราที่สั่งมากิน เงยหน้ามองเดย์ที่นั่งตรงกันข้ามได้แต่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร
“แล้วนี่ ฝนจะตกหรือไงชวนเรามากินข้าวได้”
“ทำไมล่ะ? แค่อยากจะคุยด้วยเฉยๆ ในฐานะเพื่อน ไม่ได้หรือไง” เดย์ถามกลับ เสียงมีแววกระเง้ากระงอดเล็กน้อย
“ได้...ถ้ามันจะไม่ทำให้เดย์ลำบาก ไม่อยากให้มีปัญหาภายหลัง เข้าใจกันดีแล้วหรือยังล่ะกับแฟนน่ะ”
“อือ เคลียร์หมดแล้ว” เฮ้อ...ค่อยโล่งใจ
“ถ้างั้นก็ดีใจด้วย เราว่า เค้าก็น่ารักดี เหมาะสมกับเดย์”
“เหรอ? แต่พอดีเดย์เลิกกับรินแล้วแหละ”
“อ้าว ทำไมล่ะ? ไหนว่าเคลียร์แล้วไง ที่เราพูดไปมันก็น่าจะเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อือ ใช่ แต่เราไม่อยากโกหกอ่ะ ถ้าเราเออออตามน้ำ ไป มันจะอาจจะดี แต่เราไม่สบายใจที่ต้องปิดบัง หลอกลวงกันไปตลอด เราก็เลยบอกเค้าไปตามตรงว่า เราต่างหากที่เป็นฝ่ายไปชอบฐา แต่ฐาไม่ได้คิดกับเราแบบนั้น รินเค้าก็เหมือนจะเข้าใจแต่เค้าก็รับไม่ได้....ก็เลย....”
“โธ่....เดย์ แล้วอย่างนี้ที่เราอุตส่าห์พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสิ”
“มีสิ อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า เรามองฐาผิดมาโดยตลอด... เคยรู้สึกแย่ ที่ไปชอบคนแบบฐา รู้สึกว่าตัวเองโง่อ่ะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วนะ เราดีใจที่ชอบฐา และเราก็ต้องดีใจที่เห็นคนที่เราชอบมีความสุข”
เฮ้อ.... หนูถอนใจหน้าสลดรู้สึกแย่ทั้งๆ ที่ยังเห็นรอยยิ้มของเดย์กลับไปสดใสได้อย่างเดิมแล้วก็ตาม
เอาจริงๆ แม้ว่าหนูจะเป็นอย่างนี้.. แต่หนูไม่เคยคิดจะเป็นตัวแปร หรืออยากชักนำใครเข้ามาสู่วงการโดยที่เขาไม่ได้อยากจะเป็นจริงๆ โดยเฉพาะเดย์ หนูว่าเขาก็แค่อาจจะสับสน...
“แล้วต่อไปมันจะเป็นยังไง เดย์เคยคิดบ้างหรือเปล่า? สำหรับเร เคยบอกแล้วว่าเราไม่แคร์ ไม่มีอะไรเสื่อมเสียหรือแย่ไปมากกว่าที่เป็น แต่กับเดย์มันไม่ใช่นะ เราเชื่อว่าเดย์ไม่ได้เป็น แต่จะมีผู้หญิงคนไหนเขาจะเข้าใจและยอมรับได้ถ้ารู้ว่าครั้งนึงแฟนเราเคยเบี่ยงเบน”
“เบี่ยงเบนอะไรกันล่ะ เดย์ไม่บอกสักคำว่าตัวเองเบี่ยงเบน เพราะเดย์เองก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ ยังชอบผู้หญิงเหมือนเดิม ดูฐาสิ ไม่มีตรงไหนที่ต่างกับผู้หญิงเลยอ่ะ และเราไมได้หันไปชอบกะเทยหรือผู้ชายคนอื่นนะ แต่ที่ยอมรับออกมาว่าชอบฐาก็เพราะเดย์ไม่อยากโกหก ไม่รู้ว่าแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร แต่เดย์ว่าผู้ชายที่มีแฟนเป็นกะเทยอ่ะ ไม่น่าเรียกว่าว่าเกย์ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยรูปลักษณ์ภายนอก ก็คือผู้หญิงดีๆ นี่เอง และถ้าเลิกกันไปก็มีสิทธิ์ที่จะกลับไปคบผู้หญิงได้อีกจริงไหม?”
จริง....
หนูเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น....
เค้าว่าผู้ชายที่กลายเป็นเกย์จะไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...
แต่ผู้ชายที่หันมาชอบกะเทย หรือสาวประเภทสองนั้นต่างกัน
เพราะเมื่อสบโอกาส มันก็พร้อมจะกลับไปซบอกตู้มๆ ของชะนีได้ทุกเมื่อ
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก... น้อยคนนักที่จะเลือก “พวกเรา”
แต่ผู้ชายประเภทนั้น....ยกเว้นพี่โต้งไว้คนนึงน่าจะได้...
เพราะพี่โต้งไม่ชอบชะนี และคงไม่วันทิ้งหนูไปหาชะนีเด็ดขาด....
ใช่ไหม? หนูตัดความกังวลใจทั้งหมดทิ้งเสีย เพราะใครจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา หนูคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งว่าเดย์คงเข้าใจหนูและยอมกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อย่างเดิมแล้ว
หนูกลับมาบ้านตั้งแต่บ่าย เพราะพี่โต้งมีสอบถึงเย็นโน่น ความเพลียทำให้เอนกายนอนหลับอยู่บนโซฟาเพื่อพักผ่อน
หลับไปนานมากประมาณหนึ่งศตวรรษ (นานไปไหม?) หนูได้ยินเสียงเพลงดังต่อเนื่องก่อนจะจบลงรู้สึกถึงแสงไฟที่สว่างวาบแยงตาจนทำให้พอได้สติตื่นขึ้น แต่ยังงัวเงียอยู่ดี เสียงลากร้องเท้าเดินห่างออกไป มีเสียงพูดเบาๆ
“ว่าไง โทรมามีอะไร?”
หนูยันกายลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังหลับตา พยายามเรียบเรียงข้อมูลในซีลีบรัมด้วยการอ้าปากหาวหวอด
“ไม่ต้องโยกโย้ มีอะไรก็รีบว่ามา แฟนเค้าหลับอยู่ ไม่อยากมีปัญหา”
หนูพยายามกระพริบตาอย่างยากลำบาก หันไปมองพี่โต้งที่ลากรองเท้าออกไปไกล ทบทวนซ้ำไปมา..
เค้า..... แฟนเค้าหลับอยู่ ไม่อยากมีปัญหา?
คุยกับใคร แล้วทำไมต้องมีปัญหา มีความลับอะไรเนี่ย?
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ตาสว่างในพริบตา หนูค่อยๆ เดินย่องตามพี่โต้งไปตรงประตูกระจกตรงระเบียง เพียงหวังว่าจะได้รู้ว่าพี่โต้งคุยกับใครและมีความลับอะไรกันแน่....
“อือ เข้าใจละ เดี๋ยวเค้าโอนเงินให้ละกัน แค่นี้นะ” พี่โต้งจบบทสนทนาแล้วกดวางสาย แต่ยังยืนที่เดิมเอามือผลักลูกโป่งที่ซื้อมาจากงานปีใหม่ที่หนูผูกไว้ตรงระเบียงไปมา ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเดินออกจากระเบียง
“อ๊ะ...” พี่โต้งอุทาน แล้วทำท่าตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหนูยืนอยู่หน้าประตูระเบียง
“อ้าว... น้องฐาตื่นแล้วเหรอคะ”
“ค่ะ เพิ่งตื่น พี่โต้งไปทำอะไรตรงระเบียงเหรอคะ...”
“อ้อ ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์”
จะโกหก.... เพื่อ??
หนูพยักหน้าเหมือนไม่มีอะไร ค่อยๆ เดินตามพี่โต้งที่วาดแขนมาโอบไหล่รั้งร่างหนูให้เดินกลับมาที่กลางห้องอีกครั้ง
“วันนี้น้องฐาหยุดใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ.... ว่าจะอ่านหนังสือหน่อย พรุ่งนี้สอบวิชายากๆ ทั้งนั้น”
“อือดีแล้ว... เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกหน่อย เอาอะไรไหม?”
“ไปไหนเหรอคะ ก็ซื้อของกินมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไปซื้อของที่เซเว่นน่ะค่ะ พอดีตอนขามาลืม เดี๋ยวน้องฐาเอากับข้าวใส่ชามรอไว้เลยนะ พี่ไปแป๊บเดียว”
หนูนิ่ง....ยืนมองพี่โต้งหยิบกุญแจและกระเป๋าเงินเดินออกจากห้องไป
พี่โต้งที่ยังน่ารักเหมือนเดิม ใจดีเหมือนเดิม แต่มีความลับมากกว่าเดิมและเลือกที่จะโกหกมากกว่าพูดความจริง
หนูควรจะไว้ใจแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อให้เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป..
หรือว่าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะตามหาความจริง
แม้จะรู้ว่า...นั่นอาจจะทำให้ต้องแตกหักก็ตาม...
ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน? .............................
ช่วงนี้อาจจะหน่วงๆหน่อย แต่พยายามที่จะทำให้ผ่านไปเร็วๆ
ส่วนโรจน์ จะเริ่มเข้ามาแล้ว แต่ตัวเป็นๆ ยังไม่มา แรกๆ จะเข้ามาแบบความทรงจำของน้องฐา เพราะนิเคยบอกไว้ว่าจะเล่าเรื่องของโรจน์ ในภาคนี้ ก็เลยใส่อดีต ลงไปคร่าวๆ พอให้คนที่ไม่รู้จัก(เพราะไม่ได้อ่านภาคมัธยม)ได้รู้จัก... หรือรู้จักและอยากรู้ว่าหลังจากคบกันแล้ว สองคนนี้เป็นไงต่อก็จะคลี่คลายซะที
ส่วนตอนที่แล้วที่น้องฐาคิดถึง โรจน์ ไม่ใช่ว่าอาลัยอาวรณ์นะ แต่เป็นเรือ่งปกติที่เวลาได้มาในสถานที่หรือเหตุการณ์ที่คล้ายๆเดิมก็ อดนึกขึ้นมาไม่ได้เท่านั้นเอง รวมทั้งที่ทำอะไรเหมือนเดิม ก็เพราะว่า อยากทำมาตลอด แต่กับแฟนคนอื่น มันไม่ได้ทำก็ เลยต้องทำกับแฟนคนใหม่ไง ถึงพี่โต้งแกจะไม่ได้มีความพยายามทำอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างไอ้โรจน์ แต่พี่เค้าก็ ใส่ใจ ดูแล ตามใจน้องทุกอย่าง ดังนั้นต่อให้คิดถึงยังไงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว น้องฐาก็ คิดเสมอว่าพี่โต้งดีกว่าอยู่แล้ว....
.....................
คนอ่าน