S29
มีคนเคยบอกว่าถ้าหากเราหลับตาเราจะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ถ้าหากเราอยู่ในภาวะที่คับขันการหลับตาเป็นทางหนีที่ดีที่สุด ผมว่าไม่นะ สำหรับผมแม้ว่าผมเองกำลังหลับตาอยู่แต่ผมก็ยังคงมองเห็นสิ่งที่หัวใจผมมันเต้นเรียกร้องอยู่ เสียงของหัวใจ เสียงเต้นของหัวใจของมัน ยิ่งนานวันผมยิ่งรู้สึกว่าผมผูกพันกับมันมากขึ้นทุกที ยิ่งผ่านวันคืนไปด้วยกันอย่างเชื่องช้า แต่ผมกลับมองว่าเวลาที่มันเชื่องช้านี้เองที่มันมัดมันผูกผมไว้กับมันอย่างแน่นหนามี่ทางดิ้นหนีได้ ผมรักมัน รักจริงๆ รักหมดหัวใจ ไม่ว่าคำตอบมันจะออกมาในรูปแบบใด แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว ความสุขที่ได้รักใครสักคนหมดทั้งหัวใจรักโดยที่ไม่ต้องรีรอสิ่งใด หัวใจที่เก็บรอที่จะรักมานานมันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ผมรักมันครับ
“สวยดีนะที่นี่”
ผมพูดขึ้นครับมันยังคงพาผมมาที่ร้านเดิม ร้านที่มันเคยบอกว่ามันเคยมากับพี่นาย ตอนนั้นผมแอบคิดน้อยใจว่าทำไมมันถึงพามาร้านที่มันมากับคนอื่น คนอื่นที่มันรักมากมายเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมกลับเข้าใจมันดีว่าทำไม การที่เราจะลืมคนที่เรารักมากนั้นมันย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่การที่เราจะรับสิ่งใหม่เปิดใจให้กับคนอื่นคนใหม่ คนใหม่ที่จะก้าวเข้ามาก็ต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอยู่แต่เติม ไม่รู้สิครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันอยากพาผมมาที่นี่จริงๆ ร้านเขาเปิดแค่ตอนหัวค่ำขายเบียร์กับของกินนิดหน่อย เพราะคิดว่าตรงบริเวณนี้ช่วงนี้เป็นเวลาที่ทำเงินมากทีเดียวเพราะนอกจากเราแล้วคนอื่นๆก็แน่นอออยู่เต็มร้าน
“สวยดิไม่งั้นจะพามาเหรอวะ นั่งตรงนี้ดีไหมมองเห็นสะพานพอดี”
ไอ้ต้อมมันรีบเดินเข้าร้านแล้วเดินไปนั่งตรงริมสุดครับ มองเห็นอ่าวซานฟรานฯกับสะพานสีแดงเก่าๆอยู่ไกลลิบลับเห็นบ้างไม่เห็นบ้างเพราะหมอกลงหนาจัด หนาจนคิดว่าหิมะน่าจะตกแน่ๆ
“ดื่มอะไรร้อนๆดีไหมมึง”
ผมเปิดดูรายการเครื่องดื่มที่เราถือเอามาด้วยตอนเดินเข้าร้านเพราะพนักงานเขาคงไม่พอที่จะมารอรับออร์เดอร์
“กินทำไมร้อนๆวะ วันนี้ขอหน่อยเถอะ เบียร์หน่อยไหมมึง”
“หือ มึงจะกินเหรอ”
“เออดิ อากาศดีๆแบบนี้ดวดเบียร์กันหน่อยดิวะ”
“เอาดิ”
ผมตามใจมันครับเพราะอากาศเย็นมากๆ กินเบียร์หน่อยก็คงดี
“อย่าให้เมานะมึงเผื่อกูเมา”
“อ้าว ทำไมล่ะ กูก็เมาเร็วนะมึงก็รู้”
“อ้าวอย่าให้มันเมาดิวะ แล้วใครจะขับรถกลับล่ำไอ้นี่”
ไอ้ต้อมมันพูดแล้วเดินไปหาพนักงานที่ง่วนอยู่กับการเสิร์ฟเครื่องดื่ม
“อยู่นี่สักพักเนอะค่อยกลับ”
“อืม ดีเหมือนกัน”
ผมพูดแล้วทอดสายตาออกไปนอกร้าน มองแผ่นน้ำสีครามแก่ๆที่มีไอหมอกลอยขึ้นมาอยู่จนขาวโพลนไปทั่วบริเวณ
“ในนั้นมันหนาวไหมนะ”
“เฮ้ย ไอ้บ้าหนาวดิวะ พูดอะไรแปลกๆ อยากจะลองลงไปแช่ไหมล่ะมึง”
ผมพูดขึ้นลอยๆครับ สายตาไม่ตกอยู่ที่ใด พอได้ยินมันตอบแบบนั้นผมก็หันไปยิ้มให้มัน
“ก็เห็นมันมีไอขึ้นนี่ ใครจะรู้ล่ะในที่ที่หนาวที่สุดอาจจะอุ่นที่สุดสำหรับใครบางคนก็ได้นะ”
“โหนะ มาแบบคารมคมคายนะวันนี้มึง แล้วตกลงพยายามจะสื่ออะไรเหรอวะ ฮ่าๆ”
“ไอ้บ้า ก็พูดลอยไปงั้นล่ะ อ่ะเบียร์มาแล้วชนกันหน่อย เนื่องใน”
ผมหยุดแล้วทำท่าคิดว่าเนื่องในโอกาสอะไรที่เราสองคนจะชนขวดเบียร์กัน
“เนื่องในโอกาสที่เรามีกันและกันไง”
ผมสะอึกมองมันเหมือนจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“หือ มึง”
“เออน่า คิดมากนะมึง ก็ที่เราประคองกันและกันมา เนื่องในโอกาสที่มึงรอ เนื่องในโอกาสที่กูเปิดใจ เนื่องในโอกาสที่มีวันนี้ไงมึง”
มันยิ้มเห็นไรฟันสีขาว ผมเพิ่งจะมองว่ามันหล่อมากๆก็วันนี้เอง ม่านหมอกเบื้องหลังตัดกับเสื้อแจ็กเก็ตตัวสีฟ้าเข้มของมัน ใบหน้าที่มีไรหนวดเขียวขึ้นเหนือริมฝีปาก รอยยิ้มนั้นมันประทับทาบลงกลางใจของผม
“ขอบใจนะ”
“ขอบใจเช่นกัน ที่มึงรอ”
“นานแค่ไหนก็จะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะยังคงรอ”
“อืม เอ้า ดื่ม”
มันยกก้นขวดขึ้นกระดกเข้าไปหลายอึก ผมได้แต่มอง ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาที่มันเอ่อออกมา ดีใจ ไม่สิมันตื้นตันเหลือเกิน ไม่อยากจะคิดว่าสิ่งที่ผมทนรอคอยมานานแสนนานมันจะทำให้ผมเป็นสุขได้มากมายขนาดนี้
“มานั่งตรงนี้ดิมึง”
พอเบียร์หมดสองขวดอากาศก็เริ่มหนาวลงมากกว่าเดิม มันเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆมัน ผมมองหน้ามันก่อนว่ามันเมาหรือเปล่า แต่หน้ามันก็แดงระเรื่ออยู่แบบนี้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ไม่อยากจะคิดอะไรมากแล้วผมลุกจากที่ตรงข้ามแล้วเดินไปนั่งข้างๆมัน
“ทำไมเหรอ”
“อ้าวก็เผื่อมึงหนาวไงจะได้กอด”
ผมรู้สึกว่าร้อนไม่รู้ว่าจากเบียร์ที่ดื่มเข้าไปหรือเพราะสิ่งที่มันกำลังจะทำหรือสิ่งที่มันเพิ่งจะพูดออกมา แต่ผมใจเต้นแรงหน้าแดงไปหมดแล้ว
“ไรวะ แค่นี้เมาแล้วเหรอวะ หน้าแดงเชียว”
ยิ่งลมหายใจที่มีกลิ่นของเบียร์อ่อนๆมันอุ่นๆเป่ามาใส่หน้าผมนั่นมันยิ่งทำให้อารมณืผมกระเจิดกระเจิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อืม ก็ไม่ค่อยได้กิน”
“ตัวร้อนๆวะ ไม่สบายป่ะเนี่ย หนาวเหรอ”
ผมสะดุ้งเพราะมันเอามือมาโอบบ่าของผม ตอนนี้หน้าของมันอยู่ห่างใบหูของผมไม่ถึงเซ็นต์ ขนตั้งไปทั้งตัวอยากจะเอนตัวหลบแต่ตัวมันแข็งเสียจนผมต้องนั่งนิ่งๆ
“ไอ้ต้อม”
“หือ”
“ใกล้ไปไหม”
“ไม่นี่ ถ้าใกล้มันยิ่งกว่านี้นะมึง”
มันไม่แค่พูดนะครับมันยื่นปากของมันมางับใบหูของผม ให้ตายเถอะเรี่ยวแรงที่มีเหลือน้อยอยู่เต็มทีมันหมดไปในพริบตา ผมตัวอ่อนยวบลงทันที ใจเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้แล้ว
“อ๊ะ มึงจะทำไร คนเยอะนะมึง”
“อ้าว คนเยอะแล้วไง สนเหรอวะ”
“อายคนบ้างดิวะ มึงไม่อายเหรอ”
“ไม่อาย อายทำไมกูไม่ได้ไปเหยียบหัวใครนี่หว่า”
ผมหมดทางจะสู้ครับ อายไหมมีบ้างนะ แต่ความรู้สึกในตอนนี้มันมากมายกว่าคำว่าอาย มันคือความรู้สึกของทุกๆอย่างในหัวใจ มันตื้นตันมันล้นออกมา ร่างกายที่เกินกว่าที่ผมจะประคับประคองให้มันเป็นปกติได้ ต้านไม่ไหวเลยจริงๆกับความรู้สึกแบบนี้
“แต่กูอายนะ คนเขาจะว่าเอา”
“ว่าเชี่ยไร นี่มันประเทศเสรี ถึงไม่เสรีแล้วยังไงวะ นี่มันเรื่องส่วนตัว ส่วนตัวน่ะเข้าใจ๋”
มันยิ่งเหมือนแกล้งผมครับเพราะมันกระแซะเข้ามาเบียดตัวผม ผมเองก็พยายามจะกระเถิบออกไปจนจะตกเก้าอี้อยู่แล้ว ที่จริงไม่มีใครสนใจมองหรอกครับ แค่ปรายตามามองเขาก็หันไป ต่างคนต่างไม่สนใจกัน
“หือ ว่าไงซันเน่ หือ”
มันเอาปลายจมูกยื่นผ่านซอกคอผมเข้ามา กระแซะเบียดเข้ามาจนมันถึงคอผมอยู่แล้ว
“นี่มึง กูอายเขา ไปข้างนอกนะ”
ไม่รู้สิครับ ชอบนะที่มันทำแบบนี้ แต่ไม่ใช่ที่นี่ ผมรู้ว่ามันแกล้งผมเพราะพอจะรู้ว่าสภาพของผมตอนนี้หน้าคงจะแดง มือคงจะสั่น และตัวมันเองก็ยิ้มตาหวานฉ่ำอยู่แบบนี้ ผมรักมัน ในทุกๆตอนของมัน ผมรักมัน รักเพียงเพื่อจะตื่นมาเมื่อไหร่ก็เจอมัน
“กูไม่อายนิ ทำไมไม่อยากให้กูอยู่ใกล้ๆเหรอ”
มันผงะออกครับทำแววตาฉุนเฉียว
“มะ ไม่ใช่ แต่กูอายอ่ะ มึงไม่อายกูไม่รู้ แต่กูเขินนี่หว่า”
“นะ แต่กูชอบ กูชอบให้มึงเขิน อิอิ หน้าแดงๆ”
“ไอ้บ้า กลับรถเถอะ”
ผมไม่มองหน้ามันไม่รู้ว่าทำไม แต่ยังคงอายมันอยู่
“ทำไมมึงจะกลับแล้วเหรอวะเพิ่งมาเองนะมึง”
“เปล่า”
“อ้าวแล้วจะกลับไปที่รถทำไมวะ”
ผมสูดลมหายใจให้เข้าปอดก่อนที่จอตอบออกมา
“ก็มึงอยากทำอะไรจะได้ไม่อายคนไง”
“เชี่ย ฮ่าๆๆ มึงนี่นะ ทำไมทำตรงนี้แล้วมึงอายเหรอวะ”
“อายดิ กูยังมียางอายอยู่นะเว้ย”
“งั้นกูจะหอมแก้มมึงโชว์ฝรั่งเอาไหม”
“ไอ้บ้า ไม่เอา กูไปรอที่รถล่ะกัน”
ผมลุกจากที่แล้วเดินไปทันทีครับอายจนไม่รู้ว่าจะก้าวขาไหนออกก่อนกัน แต่มันมีความสุขจริงๆนะครับ ไม่คิดไม่ฝันว่าไอ้ต้อมมันจะทำแบบนี้กับผม ไม่เคยคิดว่าเราจะมาลงเอยกันได้แบบนี้ ชีวิตที่ดูเลื่อนลอยของผมมันเหมือนจะมองเห็นหลักที่ยึดเหนื่ยว หลักแห่งใจที่ผมเฝ้ามองมันมานานแสนนาน
“มึงหิวป่ะ”
พอเข้าไปอยู่ในรถผมเสียเองที่ตื่นเต้นจนหัวใจมันจะหลุดออกมาจากทรวงอก แต่ไอ้ต้อมมันยังคงยิ้มกริ่มเช่นเดิมไม่มีทีท่าว่ามันจะตื่นเต้นหรือประหม่าอะไรเลย
“ยังอ่ะ”
“แวะไปนั่งร้านอื่นไหมวะ”
“ไม่อยากไปแล้วอ่ะ อยากไปที่เงียบๆ”
“นั่นแน่ คิดแบบนั้นตลอดเลยสิมึงน่ะ”
“บ้าเหรอ ก็มีโอกาสอยู่กับมึงแบบนี้กูก็อยากอยู่เงียบๆบ้างสิวะ กูไม่ได้คิดอะไรลามกเหมือนมึงหรอก”
ผมตอบออกไปแต่ไม่มองหน้ามัน
“จริงหราซันเน่ อิอิ ไม่คิดจริงน้า”
“เออสิ กูไม่ได้คิดอกุศลแบบนั้นนะมึง”
“อ้าวเหรอ อิอิ ว้าแย่จัง”
“อะไรของมึง”
มันทำท่ากวนโมโหอีกแล้วครับ ผมจะเสียท่ามันเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้ เพราะผมรู้ว่ามันชอบแกล้งให้ผมอายแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น
“เออๆ เดี๋ยวกูพาไปเชิงสะพาน ท่าจะเงียบ วันนี้คงไม่มีใครออกมา แวะซื้อดอกไม้ไฟหน่อยดีไหมมึง”
“บ้าเหรอเดี๋ยวก็ดดนสอยหรอก”
“อ้าวจะสร้างบรรยากาศซะหน่อย”
มันทำตาชวนฝันครับ ผมเองก็แอบเหลือบตาไปมองมัน
“อยู่ไหนถ้ามีใจ บรรยากาศมันก็ดีเสมอล่ะ”
มันหันขวับแล้วยิ้มออกมาครับ
“โหนะ คมๆ เออๆ งั้นไปดูอ่าวตอนกลางคืนก็ดีเหมือนกัน”
มันขับรถออกมาสายตาที่มองไปยังถนนที่มีหมอกลงจัดจนมองแทบไม่เห็นทางนั้นมันมีประกายตาฉายแววออกมาประกายนั้นที่ทำให้ผมอุ่นใจ
“ต้อม”
ผมเรียกมันสายตาก็ยังจับจ้องมองหน้ามันอยู่
“หือ”
“กู....เอ่อ กู รักมึงนะ”
คงต้องพูดออกไปแล้วครับ ไม่มีเวลามากนักสำหรับเรื่องของหัวใจ ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ผมจะพูดคำๆนี้กับมัน แต่ไม่ว่ามันจะพูดอะไรออกมาผมก็ยินดีรับฟัง แค่ได้พูดในสิ่งที่มันเต็มอยู่ในใจตอนนี้ออกไปก็ดีใจแล้ว
“กูรู้แล้ว”
มันยิ้มให้ผมครับ แล้วมันก็ยื่นมือมาจับมือของผม นี่ผมไมได้คิดไปเองใช่ไหม ผมถือว่านี่มันแทนคำตอบของมัน พอแล้ว ไม่ขออะไรมากกว่านี้อีกแล้ว
“อืม แค่บอกอีกทีเพื่อให้แน่ใจเผื่อว่ามึงจะลืม”
ผมหลุบสายตาลง แอบถอนหายใจออกมาโล่งใจอย่างประหลาด ไอ้ต้อมมันบีบมือผมเบาๆแล้วเอานิ้วเกลี่ยๆที่หลังมือของผม
“ใครจะลืมคนที่รักเราลงวะ ไม่มีทางหรอก”
ผมชื่นฉ่ำหัวใจที่สุด ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีที่สุด ขอบใจนะต้อม ขอบใจที่ยอมรับหัวใจของกู
Written by eiky
Ps. ขอโทษจริงๆนะครับที่ให้รอ เพิ่งกลับจากงานศพยาย ตอนนี้สั้นไปหน่อยนะครับ พยายามแล้ว ขอบคุณทุกกำลังใจครับ