ตอนที่สิบแปดเข็ญมาเป็นขอขวัญปีใหม่ไทย ฮาๆๆ

อุปกรณ์ที่เตรียมพร้อมก่อนอ่านในตอนนี้คือกะละมัง ขัน แป้ง น้ำ และทิชชู
คงสงสัยว่าทิชชูเกี่ยวอะไรกับสงกรานต์ แต่จะบอกว่าไม่เกี่ยว(อ้าวเห้ย!)
แต่เดี๋ยวจะรู้ว่ามันเกี่ยวอะไรหลังอ่านจบตอน
ตอนนี่อยากจะบอกให้นักอ่านไปเข้าห้องน้ำ กินข้าว ซื้อขนมทำกิจกรรมที่คิดว่ามันจะทำให้การอ่านขาดตอนให้เสร็จสรรพ
เพราะตอนนี้พิเศษ ยาวอย่างกับมหากาพย์ (เวอร์ไปแล้ววววว!

) เพราะมีรีเควสขอมาเลยจัดเต็ม ฮาๆๆๆ

ยังไงก็อ่านให้สนุกเหมือนเดิมนะฮับ หุหุๆ
ตอนที่ 18 ความคิดที่สับสน

ก๊อก ก๊อก!
“คุณเดย์คะ มีคนมาหาค่ะ”
“อ่า...ครับๆ รอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมจะตามลงไป”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจะบอกให้”
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เพราะเสียงเคาะประตูนี่แหละครับ สงสัยผมคงเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะโทรทัศน์ยังเปิดค้างไว้อยู่เลย พอตื่นขึ้นมาแล้วมันรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ครับ แถมมีเรื่องคาใจที่ต้องบอกให้พี่ทิวาทราบเรื่องนึงด้วย..... ถ้าผมไม่เป็นคนรับโทรศัพท์ก็คงจะดีมิใช่น้อยสินะครับ......
รู้สึกเจ็บตรงอกซ้ายครับ......
“พี่วัช พี่ดิน พี่กรณ์สวัสดีครับ”
ผมลงมาจากห้องก็เห็นพี่ๆ ทั้งสามคนนั่งรออยู่ในห้องรับแขกแล้วครับ แปลกใจอยู่เหมือนกันครับที่พี่ทั้งสามคนมาหาผมไม่ใช่พี่ทิวา
“ปล่อยให้พี่รอตั้งนานแน่ะใจร้ายนะเรา”พี่วัชพูดเป็นเชิงหยอกแล้วยิ้มให้ผม
“มานั่งสิน้องเดย์พี่เอาขนมมาฝากด้วย”
ผมนั่งลงตรงข้ามพี่ๆ ทั้งสาม และมองเห็นหอบขนมถุงโตที่วางอยู่บนโต๊ะถึงกับตกใจครับ กะจะเผื่อไปถึงชาติหน้าเลยใช่มั้ยครับเนี่ย
“เยอะจังเลยครับ ผมคงทานไม่หมดแน่ๆ เลย”
“ก็เอาไว้ทานวันอื่นด้วยไง ^^”พี่ดินพูดขึ้น
“ครับ...ขอบคุณมาก เอ่อ....แล้วพี่ๆ มาหาพี่ทิวาเหรอครับ”
“เปล่าหรอก มาเยี่ยมน้องเดย์ต่างหากกลัวเหงา”
“มึงกลัวน้องเหงา หรือกลัวไอ้ทิวากระทืบกันแน่วะไอ้กรณ์”
“มึงจะอะไรนักหนากับกรูเนี่ยไอ้ดิน”
“ประตูอยู่โน่น....เชิญพวกมึงๆออกไปทะเลาะกันข้างนอกเลยไป”พี่วัชพูดขึ้นผมอดขำไม่ได้ที่ทั้งพี่ดินและพี่กรณ์ถึงกับชะงัก
“กรูเห็นแก่น้องเดย์กรูจะสันติก็ได้”
“ถุย! ไอ้...ไอ้คนดีสัด!”
“มึงประชดกรูรึไงไอ้ดิน แม่งกวนตรีนอีกนะมึง!”
“กรูเปล่า.....เห็นๆ ว่ามึงกำลังจะหาเรื่องกรูนะนั่น”
“ไอ้ดิน!”
“กรูว่าพวกมึงกลับบ้านต่างคนต่างอยู่ไปเลยดีกว่า อะไรวะ! ทะเลาะกัดกันอย่างกับหมาทุกที รู้อย่างนี้กรูมาคนเดียวก็ได้ ไม่ต้องเสือกมารำคาญรูหูกรูถึงนี่”
“อะๆ กรูยอมแพ้ เห็นแก่ไอ้วัชกับเดย์นะเนี่ย วัชมึงเป็นพยานนะเว้ยว่ากรูหยุดแล้ว”พี่ดินยกมือเป็นเชิงยุติ ก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งข้างพี่วัชแทน กลายเป็นว่าพี่วัชได้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ดินกับพี่กรณ์แทน
ผมมองแล้วเหนื่อยใจแทนพี่วัชเลยครับ
“เอ่อ....แล้วมีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ”
“ก็อย่างที่วาแหละกลัวเดย์เหงาไงเลยมาเยี่ยม”พี่ดินพูดขึ้น
“แต่พี่ทิวาไม่อยู่หรอกนะครับ บ้านทังหลังก็มีแต่ผมนี่แหละครับ แหะๆ ”ผมหัวเราะฝืดๆ
“รู้แล้วล่ะ ก็ไอ้ทิวาบอกว่าเดย์อยู่บ้านคนเดียว มันเลยบอกพวกพี่ให้มาเยี่ยมบ้าง รู้สึกมันแปลกๆ ปกติมันแคร์ใครซะที่ไหน ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ชาติไอ้ทิวาเลยก็ว่าได้^^”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“มันคงเป็นห่วงเดย์มั้ง....ไอ้นั่นมันคิดอะไรพวกพี่อ่านใจมันไม่ค่อยออกหรอก เนอะไอ้วัช”พี่ดินพูดก่อนจะไปเออออกับพี่วัช
“อื้ม....”
“แล้วพี่ทิวาไปไหนเหรอครับ ทำไมไม่กลับมาด้วย.....หายไปสองวันแล้วนะครับ”ผมพูดเสียงอ่อนเมื่อนึกถึงพี่ทิวา
“ไม่รู้มัน....ถามก็ไม่บอก แต่ดูมันไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เลยไม่เซ้าซี้มันมากนัก”
หรือพี่ทิวาจะไม่สบายใจเรื่องของผม......แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้มั้งครับ หรือพี่ไนท์ไปทำอะพี่ทิวาเข้า คะคง...คงจะไม่ใช่แบบนั้นหรอกมั้งครับ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ไนท์คงจะบอกผมให้รู้บ้างล่ะ
“เหรอครับ....”
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก เดี๋ยวมันก็คงกลับมาแหละ ไอ้บ้านั่นมันเป็นงี้ประจำ.....”พี่ดินเอนหลังพิงพนักก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง“เอางี้! เราออกไปเที่ยวกันดีกว่า....ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเดย์จะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไง”
“มันจะดีเหรอครับ...พี่ทิวาก็ไม่ได้อยู่......”
“ช่างหัวมันสิ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวที่แจ่มๆ”
“กลัวว่ามึงจะพาน้องเค้าไปจ๋อยซะมากกว่าน่ะสิ”
“วัชมึงช่วยเห็นด้วยกับกรูหน่อยได้มั้ย.....”พี่ดินมีงอนครับที่ไม่มีใครเออออด้วย ผมเพิ่งเห็นพี่ดินงอนเป็นกับคนอื่นก็คราวนี้ล่ะครับ สีหน้าคนช่างสงสัยเวลางอนมันดูตลกนิดหน่อยครับ สำหรับพี่ดินถ้ามองดีๆ แล้วดูเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างเอาแต่ใจอยู่เหมือนกันครับ แต่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์ ดวงตาใสของพี่ดินหากยิ้มคงจะกลายเป็นผู้ชายตาหวานใช้ได้เลยล่ะครับ มันทำให้ผมนึกถึงไอศครีมรสช๊อคโกแลตชิบราดคาราเมลครับ
ส่วนพี่กรณ์ก็น่าจะเป็นไอศครีมรสมะนาวเคลือบช๊อตโกแลต แล้วพี่วัชก็เป็นไอศครีมรสช๊อคโกแตลโรยเกล็ดน้ำตาล
.....ส่วนพี่ทิวาก็คงเป็นไอศครีมรสบอระเพ็ดล่ะมั้งครับ....กินเข้าไปมีแต่ขม แต่ถ้าได้ชิมไปคำนึงแล้ว.....รสขมก็จะติดปากไปตลอดไม่จางหายสักที ผมรู้เพราะเคยโดนหลอกให้กินไปครั้งนึงครับ...อ่า...ผมหมายถึงบอระเพ็ดนะครับ ไม่ใช่อย่างอื่น
“ก็ต้องถามเจ้าตัวก่อนสิ....ว่าไงน้องเดย์จะออกไปข้างนอกรึเปล่า....”พี่กรณ์ถามผมครับ
“คือผม.....”
ใจจริงผมไม่อยากออกไปไหนเลยครับ ไม่รู้สึกอยากออกไปเลยด้วยซ้ำ กลัวว่าออกไปแล้วถ้าพี่ทิวากลับมาไม่เจอผมเดี๋ยวพี่เขาจะหงุดหงิดอีก
“หรือเอางี้ดีกว่า.....พี่มีเกมส์มันๆ เรามาเล่นเกมส์กันดีกว่า เพราะดูแล้วน้องเดย์คงไม่อยากออกไปข้างนอกใช่มั้ย”
“เอ่อ....ครับพี่กรณ์”
“งั้นโปรแกรมกรูก็เป็นหมันอ่ะดิ.....”พี่ดินจ๋อยไปเลยครับ สงสารอยู่เหมือนกัน
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน....”พี่วัชขยับกรอบแว่นแล้วตบบ่าปลอบประโลมพี่ดินที่ซึมไปเลย“กรูสัญญาว่าโปรแกรมมึงไม่เป็นหมัน โอเค!”
“แน่นะเว้ย! มึงสัญญากับกรูแล้วนะ”
“เออนา....”
“ออกไปอ้อนกันไกลๆ กรูเลยไป หมั่นไส้”
“ไอ้กรณ์เชี่ย!”
“กรูเชี่ยแล้วไง”
“แหะๆ พี่ๆ ครับผมว่าตอนนี้ก็เที่ยงแล้วไปทานข้าวกันก่อนดีมั้ยครับ นะครับๆ ผมชักจะหิวแล้ว”
ถ้าผมไม่ตัดบทสงสัยคงจะไม่จบกันง่ายๆ แน่ครับ จะมาเพื่อให้ผมหายเหงา หรือมาเพื่อให้ผมปวดหัวกันแน่ครับเนี่ย แยกไม่ออกเลยจริงๆ ครับระหว่างประสงค์ดีกับประสงค์ดีเกินไปจนน่ากลัว ^*^
เวลาแห่งคามวุ่นวายมันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ครับ พี่กรณ์ พี่ดินและพี่วัชตลอดทั้งวันอยู่เป็นเพื่อนผมตลอด หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จผมก็ไปเล่นเกมส์เพลทูที่พี่ๆ บอกว่าไม่ได้เล่นกันนานมากแล้ว ส่วนมากอยู่ที่บ้านผมก็ไม่ค่อยได้เล่นหรอกครับเกมส์พวกนี้ พี่ไนท์เสียมากกว่าที่ชอบเล่น ส่วนผมก็เป็นขาเชียร์อยู่ใกล้ๆ มันก็สนุกเหมือนกันครับ แต่คราวนี้ได้มาลองเล่นเองรู้สึกว่ามันสนุกกว่านั่งดูเฉยๆ เยอะเลยครับ
วันนี้พี่กรณ์พี่ดิน แล้วก็พี่วัชก็เพิ่งกลับไปเมื่อห้าโมงเย็นเองครับ บอกไม่ทานมื้อเย็นกะจะไปต่อโปรแกรมของพี่ดินกัน ผมก็ไม่ขัดครับเพราะไม่อยากบังคับแล้วก็ขัดคอพี่ๆ เขา แต่พอพี่ๆ ไปบ้านก็เงียบขึ้นมาทันทีเลยครับ มองไปทางไหนก็ไม่มีใครเหมือนเดิม
ผมก้มมองโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่หลายครั้งหวังว่าจะมีเสียงโทรศัพท์ดัง และภาวนาให้คนที่โทรมาคือพี่ทิวาหรือไม่ก็พี่ไนท์ แต่ทั้งวันแล้วก็ไม่มีเลยครับยังเงียบสนิทเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้านผมจะเลี่ยงที่จะรับครับ ไม่อยากรับขึ้นมาจริงๆครับ
แล้วตอนนี้ผมก็คงต้องอยู่บ้านคนเดียวเกือบจะย่างสามวันเข้าไปแล้วครับ รู้สึกเหงาๆ เหมือนกันครับ ข้างนอกก็มืดขนาดนั้น ป่านนี้พี่ทิวาจะอยู่ที่ไหนกันนะ....พี่ไนท์ก็ด้วย
“น้องต่ายไม่โกรธพี่ทิวาแล้วใช่มั้ย....เห็นรึเปล่าว่าผมเย็บแขนที่ขาดให้แล้วนะ สีของด้ายอาจจะไม่เหมือนสีผ้าสักเท่าไหร่เพราะผมหาได้แค่นี้....ไม่เป็นไรแล้วนะ.......”ผมอุ้มน้องต่ายขึ้นมา ทุกครั้งที่ผมพูดกับตุ๊กตารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกคนบ้าเลยครับ สิ่งของที่ไม่มีทางจะได้ยินหรือตอบสนองเวลาเราพูด......ข้อนี้ผมรู้ดีครับ แต่ก็ยังทำแบบนี้เสมอ อย่างน้อยน้องต่ายก็ยิ้มให้ผมไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
“นอนดีกว่าเนอะน้องต่าย....”ผมอาบน้ำใส่ชุดนอนเตรียมจะนอนแต่หัวค่ำแล้วล่ะครับ เพราะวันนี้เล่นเอาเหนื่อยทั้งวันเลย ต้องของคุณพี่ๆ จริงๆ ที่ทำให้ผมไม่ต้องอยู่คนเดียว เดินไปมาอยู่ในบ้านเหมือนวิญญาณ
ก๊อก ก๊อกๆ!
ทันทีที่ผมล้มตัวลงนอนก็มีเสียงเคาะประตูครับ วันนี้ประตูห้องผมคงดีใจที่มีคนใช้บริการทั้งวันเลย
“ใครครับ!”ผมถามแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับครับ“คุณป้ารึเปล่าครับ...”
ผมลุกจากเตียงวางน้องต่ายไว้แล้วเดินมาเปิดประตูห้อง
“ป้ามีอะไร......”แต่พอผมเปิดประตูออกไปคนที่ยืนอยู่หน้าห้อของผมกลับเป็นพี่ทิวาครับ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจขึ้นมาเฉยๆ จนแทบจะยิ้มเลยครับแต่ก็เก็บอาการท่าทีไว้ หายไปหลายวันผมคิดว่าพี่ทิวาจะไม่อยากกลับบ้านแล้วซะอีก
“มึงจะนอนแล้วรึยัง?”
“..........”
“.....กรูถามว่ามึงจะนอนแล้วรึยังทำไมไม่ตอบวะ......”ผมมองหน้าพี่ทิวาจนเพลินไปหน่อยครับจนลืมฟังพี่ทิวาพูดเลย
“คะครับผมจะนอนแล้ว”
“อย่าเพิ่งนอน”
“ทำไมเหรอครับ?”สีหน้าพี่ทิวาดูเหมือนมีบางอย่างจะบอกผม
“รอกรูตรงนี้ ห้ามปิดประตูห้อจนกว่ากรูจะมาเข้าใจมั้ย”
“คะครับ”พี่ทิวาดูท่าทีแปลกๆ ไปครับ แต่คงจะไม่มีอะไรมั้งครับ
สามนาทีให้หลังผมก็เห็นพี่ทิวาออกมาจากห้องของตัวเองแถมยังหอบกล่องกระดาษใบใหญ่สองมือโอบไม่รอบมาด้วยครับมันใหญ่จนปิดหน้าพี่ทิวาไปหมด ก่อนที่พี่ทิวาจะเดินหมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“หลีกทางหน่อยกรูจะเดิน”
“ห้องผมนะเหรอครับ”
“เออ! ไม่เห็นรึไงว่ากรูถือของอยู่!”
“คะครับ....”ผมหลีกทางให้พี่ทิวาที่เดินเข้าไปในห้องของผมก่อนจะวางกล่องกระดาษใบยักษนั่นลงบนเตียงผมอย่างนุ่มนวล ผมจ้องตาไม่กระพริบเลยครับ
“ของมึง....”
“ของผมงั้นเหรอครับ”ผมชี้หน้าตัวเองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ กล่องวัตถุน่าสงสัยนั่น พี่ทิวายักคิ้วเป็นเชิงตอบแล้วนั่งลงตรงขอบเตียงก่อนจะปลดกระดุมสามเม็ดบนเสื้อเชิตออก ผมผวาเล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรครับ เพราะดูท่าทางพี่ทิวาเหนื่อยๆ
“เออ....กรูให้มึง มึงก็อย่าลีลาให้กรูหงุดหงิดได้มั้ย.....แกะออกดูด้วย”พี่ทิวาพูดแล้วมองไปทางอื่น ผมเข้าไปแกะกล่องกระดาษนั่นอย่างตื่นเต้นเหมือนได้ของขวัญชิ้นใหญ่เลยครับ พอผมเปิดออกสิ่งที่ผมเห็นอยู่ข้างในก็คือ....
....โคมไฟสีขาวที่มีรูปร่างเป็นตัวกระต่ายขาวนวลตัวโต๊โตครับ ซึ่งเป็นตัวกระต่ายที่อยู่ในท่านั่งหูสองข้างชูตั้งอย่างน่ารักภายในตัวกระต่ายว่างเปล่าเพื่อเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่าง มันเป็นโคมไฟที่ตั้งพื้นได้เลยครับเพราะมันสูงจนเกือบจะห้าสิบเซนติเมตรแน่ะ
ผมมองของที่พี่ทิวาให้ก็รู้เลยครับว่าคนที่ให้ตั้งใจให้เพราะอะไร....
“ชอบรึเปล่า.....”
“ชอบครับ”ผมยิ้มกริ่มมองของที่พี่ทิวาให้
“.........กรู.....กรูขอโทษเรื่องตุ๊กตาของมึง ไอ้ไนท์บอกกรูแล้วว่ามันเป็นของสำคัญของมึงจริงๆ กรูเลยอยากขอโทษ”พี่ทิวามองผมด้วยสายตาเศร้าๆ แต่สายตาแบบนั้นผมไม่ชอบเลยครับ รู้สึกเหมือนพี่ทิวาคนเดิมของผมมันหายไป
“พี่ทิวาครับ.....ผมไม่ได้โกรธพี่แล้วจริงๆ ครับ แล้วเรื่องน้องต่ายของผม ผมก็.......”
“มึงไม่โกรธกรูแล้วจริงๆ นะ”
“ก็จริงสิครับ ผมไม่โกหกหรอกครับ”
“ก็ดีกรูจะได้สบายใจ....ลองโคมไฟใหม่ดีกว่าของเก่าซัดทิ้งแม่งเลย”
“ระวังนะครับพี่....”
“เออ! ของที่กรูให้มึงกรูไม่ทำมันแตกหรอก ถอยไปๆ”แล้วพี่ทิวาก็อุ้มเจ้าโคมไฟกระต่ายลงมาวางไว้บนพื้นข้างๆ เตียงของผมก่อนจะเสียงปลั๊กตรงเต้าเสียบตัวใกล้ๆ “ไปปิดไฟหน่อย กรูจะดูว่ามันใช้ได้รึเปล่า”
“ได้ครับ...”ผมวิ่งไปปิดไฟก่อนที่ห้องทั้งห้องจะมืดสนิท ผมคลำทางจนมาใกล้ๆ พี่ทิวาที่นั่งลงกับพื้นกำลังเช็คโคมไฟด้วยท่าทีกระตือรือล้น
พรึบ!
“เออดีวะ!”พอพี่ทิวาเปิดสวิตตรงตัวโคมไฟ แสงสว่างจากตัวกระต่ายก็ออกมาครับ มันทำให้กระต่ายที่เป็นตัวโคมไฟเหมือนเทวดากระต่ายน้อยที่มีแสงสว่างออกมาจากตัวเอง มันสวยมากครับจนผมต้องค่อยๆ นั่งลงข้างๆ พี่ทิวาเพื่อจ้องมองมันด้วยท่าทางตื่นตะลึง ห้องทั้งของของผมสว่างด้วยแสงสีนวลจากโคมไฟกระต่าย และผมก็สังเกตว่าบนเพดานห้องมีรูปกระต่ายสองตัวยืนแตะมือกันด้วยครับ ไม่รู้ว่ามาได้ไง
“พี่ทิวาครับนั่น!”ผมชี้ให้พี่ทิวาดูเจ้ากระต่ายบนเพดาน
“เป็นไงเจ๋งมั้ย....ไอ้กระกระต่ายสองตัวนั่นมันออมาจากปลายหูที่ชี้โด่อยู่นี่ไง”พี่ทิวาชี้ที่มาของรูปกระต่ายบนเพดานให้ผมดูก่อนที่ผมจะยิ้มด้วยความอัศจรรย์ใจ พี่ทิวาก็ยิ้มเช่นเดียวกันครับมันทำให้ผมรู้สึกใจเต้นขึ้นมา....มันดีมากเลยล่ะครับ....ผมหมายถึงโคมไฟต่างหากล่ะครับ
“....เอ่อ...พี่ทิวาครับ”
“อะไร?”ในขณะที่เรานั่งดูโคมไฟไปสักพักผมก็ตักสินใจพูดขึ้น
“เอ่อ.....พี่ทิวาหายไปไหนตั้งสองวันครับ”ไม่รู้ว่าผมตัดสินใจถูกรึเปล่าครับที่ถามมันออกไป
“ทำไม......คิดถึงกรูรึไง”พี่ทิวาเซตัวมากระแทกตัวผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมถึงกับรู้สึกใจเต้นไม่เป็นทำนองเลยครับ แล้วผมควรจะตอบว่ายังไงดีล่ะครับ....
“ก็.....ครับ....”
ผมพูดออกไปแล้วครับ แต่มันรู้สึกโล่งไปหมดเลยครับ
“คิดถึงกรูมากรึเปล่า”
“ก็นิดหน่อยครับ....แต่ผมก็คิดถึงทุกคนล่ะครับ พี่วัชพี่ดินพี่กรณ์ด้วย”ผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะเฉพูดเรื่องอื่นครับ ก็ผมรู้สึกอายตัวเองยังไงไม่รู้สิครับที่ต้องพูดอะไรแบบนั้น
“ไม่เอาพวกเชี่ยนั่น เฉพาะกรู....มึงคิดถึงกรูมากใช่มั้ย”
เอาแล้วครับ....พี่ทิวาเลิกสนใจโคมไฟแล้วหันมาจ้องหน้าผมแทนแล้วครับ ถึงกับทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปเปิดไฟให้ห้องสว่างจังเลยครับ >/////<
“เอ่อ....ผมว่าผมไปเปิดไฟใฟ้สว่างดีกว่านะครับ”
“ไม่เอา!”พอผมทำท่าจะลุกพี่ทิวาก็คว้าหมับตรงแขมผมเข้าให้ก่อนที่พี่ทิวาจะเริ่มรุกผม จนผมต้องเขยิบหนีเลยครับ “มองหน้ากรู.....แล้วพูดออกมากรูอยากฟังเสียงมึง.....มากๆ”เสียงทุ้มที่แหบพร่าของคนตรงหน้าทำเอาผมใจสั่นเลย
ครับ ผมพยายามไม่มองหน้าพี่ทิวาตรงๆ แต่พี่ทิวาก็ดันเอามือมาเชยคางผมไว้ซะแน่น
แต่จะให้ผมพูดแบบนั้น.......มะมันบังคับกันชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอครับ
“ผะผม....ผมหิวน้ำจะลงไปกินน้ำข้างล่าง......”
“พูดก่อนแล้วกรูจะให้ไป”
“พี่ทิวาครับ!”ใจหายครับ จู่ๆ พี่ทิวาก็กดผมลงกับพื้นห้องแถมยังเอามือดันไหล่ผมไว้อีก ผมทำตัวไม่ถูกเลยครับว่าจะทำยังไงดีแค่หัวใจตัวเองผมยังจัดการกับมันไม่ได้เลยครับ ทั้งๆ ที่ห้องเปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำหน้าผมก็ยังสามารถร้อนผ่าวได้เลยครับ คนตรงหน้าของผมดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ เช่นกันครับ สีหน้าจริงจังมองผมจนแทบทะลุซะให้ได้
“เร็วดิ....กรูรอฟังมึงอยู่ ไม่พูดกรูอาจจะทำอะไรมากกว่านี้ก็ได้....”
อ่ะ! มะไม่ต้องกระซิบถึงข้างหูก็ได้ครับ เราอยู่กันสองคนไม่ได้มีเสียงรบกวนจากที่ไหนสักหน่อย ทำแบบนี้บีบคอผมให้ตายเลยซะยังดีกว่าครับ >/////<
“ก็ได้ครับ ก็ได้....ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าพี่ทิวาจะอยากได้ยินอะไรขนาดนั้นผมจะพูดก็ได้ครับ....ผม...ผมน่ะคะคิด...คิดถึงพี่มากจริงๆ ครับ”ประโยคหลังของผมมันเหมือนสั่งออกมาจากสมองโดยไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใดเลยครับ ก็ผมน่ะ...จริงๆ ก็คิดถึงอยู่จริงๆ ด้วยล่ะครับ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปทั้งๆ แบบนั้น
แค่ผมพูดว่าคิดถึง คนตรงหน้าของผมถึงกับฉีกยิ้มเลยทีเดียวครับ ผมมองพี่ทิวายิ้ม ทั้งใบหน้าและดวงตายิ่งมองก็ยิ่งเหมือนดึงดูดผมให้ติดอยู่ในภวังค์ของความคิดครับ เป็นแบบนี้ต่อไปผมคงออกมาไม่ได้แน่ๆ ><;
“กรูดีใจที่ได้ยินมึงพูดแบบนั้น....น่าแปลก....ที่กรูก็รู้สึกคิดถึงมึงเหมือนกัน....”
แค่ประโยคสั้นๆ ที่พี่ทิวาพูดถึงกับทำให้ผมสะอึก ผมกำลังหลงดีใจกับประโยคที่ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้สักแค่ไหน แต่ทำไมครับ.......ผมถึงต้องดีใจเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ด้วย
“ขออะไรอย่างดิ ถือเป็นของตอบแทนที่กรูให้โคมไฟมึง”
“อะไรเหรอครับ?”ผมชักใจไม่ดีครับ
“ขอกรูจูบมึงหน่อยได้มั้ย”
แน่นอนครับว่าไม่ได้ อ่ะ! ละ...ละแล้วทำไมพี่ทิวาต้องทำสีหน้าเว้าวอนอะไรแบบนั้นด้วย มันไม่ใช่วิสัยของพี่ทิวาเลยนะครับนั่น แล้วของที่ขอมันไม่ใช่เรื่องที่จะให้เหมือนแจกขนมหรือลูกกวาดนะครับ!
“เอ่อๆ พะพี่ทิวาครับคือว่าผม............”
“ผมไม่ปฏิเสธใช่มั้ย.....”
“ไม่ใช่ครั........อุ๊บ! อือๆ....พี่....อึอือ......”
อึก! ใครก็ได้ช่วยหยุดผู้ชายตรงหน้าผมหน่อยเถอะครับ เขากำลังทำให้ผมแทบจะละลายอยู่แล้ว ไม่เพราะจูบที่ขัดขืนไม่ได้ แต่ยังมือที่สัมผัสสะเปะสะปะไปหมดมันทำให้ผมรู้สึกตื่นตระหนกไปหมดเลยครับ >//////<
“กรูคิดว่ากรูชอบมึงว่ะ”
“พะพี่ทิวา......”ผมแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลยครับ คนตรงหน้าบอกกับผมว่า ‘ชอบผม’ ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ชายด้วยกัน มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้วครับ แต่ทำไมผมถึงไม่ปฏิเสธออกไปล่ะครับว่าผม....ผมไม่ได้ชอบพี่ทิวาหรือว่าจริงๆ แล้วผมก็รู้สึกดีกับพี่ทิวาเหมือนกัน ไม่ได้รู้สึกเหมือนที่รู้สึกกับพี่ไนท์ พี่กรณ์ พี่ดิน พี่วัช แต่รู้สึกแบบคนที่ชอบเหรอครับ!
“พี่ล้อเล่นกับผมใช่มั้ยครับ.....”
“กรูจริงจัง......”
ว่าแล้วพี่ทิวาก็ก้มลงจูบริมฝีปากของผมอีกครั้งด้วยจูบที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเร่าร้อน ผมหลับตาปี๋ในสมองกำลังทบทวนเรื่องราวบางอย่าง แต่จูบของพี่ทิวาทำให้สติผมกระเจิงเข้าไปใหญ่ ลิ้มอุ่นๆ ที่เล็มเลียเพียงริมฝีปากผมกำลังสอดเข้าไปภายในปากตวัดลิ้นผมให้ตื่นตระหนกแล้วเข้าพัวพันจนวาบหวามแสดงให้รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการจะครอบครอง ผมพยายามดันพี่ทิวาให้รู้สึกตัวแต่ทว่าแรงรุกที่มากกว่าแรงรับอย่างผมมันแทบต้านไม่อยู่ครับ
“อือ....อึก....พี่ทิ.......”
พี่ทิวาเปลี่ยนจากจูบที่อ่อนโยนเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนตัวผมแทบจะละลายไปทั้งตัว มือพี่ทิวาที่กอดผมกำลังซุกไซ้ไล้ลูบผ่านเข้าใต้ชายเสื้อของผมทีละน้อย มือของพี่ทิวาที่เย็นเฉียบมันทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะรู้สึกว่ามือของพี่ทิวาค่อยๆ อุ่นขึ้นเมื่อมือใหญ่วางทาบอกราบของผมตรงอกซ้าย
แบบนั้นพี่ทิวาก็รู้สิครับว่าหัวใจของผมมันกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง >/////<
“....มึงน่ารักว่ะ.....รู้ตัวรึเปล่า”
“พี่ทิวาครับ....ผมเป็นผู้ชายนะครับจะทำแบบนี้มัน....”
“กรูไม่ได้โง่หรอกนา....ที่ว่าทำแบบนี้น่ะแบบไหนเหรอ...หึ”ว่าแล้วพี่ทิวาก็ก้มลงเลียแก้มผมแล้วระดมจูบไปถึงซอกคอจนผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว แค่นั้นยังไม่พอครับ.....มือที่ซุกชนของพี่ทีวาก็กำลังบีบเค้นอกราบของผมและสัมผัสแผ่วเบาตรงยอดอกของผมจนเสียวซ่านไปทั้งตัว เสื้อนอนของผมกำลังถูกปลดกระดุมจนเผยอกเปล่าเปลือยภายใต้แสงสีนวลจากโคมไฟกระต่าย
“อ้า.....อื้อ....ผะผม...ฮึก!”
“ชอบรึเปล่า....”
“มะไม่ครับ!”
“แล้วแบบนี้ล่ะ หึหึ”
“อ้า! ยะอย่าครับพี่ทิวา....ฮึก...อือ”ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือของพี่ทิวาขยับไปจนถึงขอบกางเกงก่อนที่มือนั่นจะสัมผัสส่วนอ่อนไหวของร่างกายผมผ่านกางเกงนอนซึ่งมันไม่ได้หนาเหมือนผ้ายีนน่ะสิครับ ผมถึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสัมผัสรวดเร็วขนาดนั้น ผมพยายามควบคุมมือของพี่ทิวาที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายของผมโดยเฉพาะส่วนล่างที่มือพี่ทิวาพยายามขยับเคล้าคลึงจนผมตัวงอและหายใจหอบถี่
มะไม่ไหวครับแบบนี้ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างพี่ทิวาคงจะไม่หยุดแค่นี้แน่ๆ!
พี่ทิวา กำลังทำผมเตลิด!
พอจบตอนแล้วคงนึกออกแล้วซินะฮับว่าทิชชูสำคัญไฉน

สงกรานต์เลยได้สาดเลือดกันพอเป็นพิธี
ปล.สวัสดีปีใหม่ไทยนะฮับ เย็นฉ่ำกันทั้งกายและใจถ้วนหน้านะฮับ
สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! (น้ำ) ฮาๆๆๆๆ
แล้วพบกันตอนต่อไป หึหึๆ ^..^
