END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]  (อ่าน 68228 ครั้ง)

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Last Act

เป็นเรากับเขา....ทุกช่วงเวลา



                “ข้าวปั้น บอกนายรึยังลูกเรื่องวันรับปริญญา”



                แม่ถามขึ้น ขณะที่เรากำลังมองแดดสีส้มตอนหกโมงเย็น ซึ่งสาดแสงผ่านระแนงไม้เข้ามาในห้องครัว



                เราเหลือบตามองแม่ เท่านั้นแหละในหัวก็เหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่าง



                แค่กๆ



                “เอ้าๆ ถามแค่นี้ถึงกับสำลัก”



                “ก็...แค่กๆ...ปั้น...อึก...”



                “ไม่ได้บอกล่ะสิ” แม่ส่ายหน้าพลางส่งทิชชู่ให้เราเช็ดปาก



                “อื้อๆ ทำไงดีล่ะแม่ ปั้นลืมมมม”



                “เรื่องของลูกสองคนแม่ไม่ยุ่งด้วยล่ะ”



                “ไหงงั้นอะแม่ นี่ปั้นเองนะครับ”



                “เฮ้อ นายรู้ต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย”



                แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับตักเกี๊ยวน้ำหน้าปากซอยทานอย่างเอร็ดอร่อย ต่างจากเรา ที่เกี๊ยวน้ำชามนี้ไม่อร่อยแล้ว ออกจะเค็ม



                เพราะน้ำตาไหลจนเค็มไปหมดแล้วเนี่ย



                ฮือ!



                เราปาดน้ำตาที่ไหลข้างในใจก่อนจะนึกย้อนไปยังที่มาของปัญหานี้



                หลังจากเรียนจบและเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว กลุ่มอักษรศาสตร์ของเราก็มีข่าวลือว่ามหาวิทยาลัยกำหนดรับปริญญาตอนปลายปีแต่ยังไม่ระบุวันที่แน่นอน เราพูดเรื่องกลางโต๊ะอาหาร พ่อแม่และนายแสดงความดีใจด้วยการตักของกินใส่จานเราใหญ่ แต่ดูเหมือนนายจะดีใจมากเป็นพิเศษ ก่อนนอนเขาเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับการรับปริญญา แถมยังย้ำนักย้ำหน้าให้เรารีบบอกถ้าหากได้กำหนดวันที่แน่นอน นายยิ้มมองเราตั้งนานสองนาน เป็นอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน



                และสองอาทิตย์ก่อน นายปรึกษาเราเรื่องฝึกงาน เขาบอกว่าสถานทูตที่สิงคโปร์ตอบรับเขาเรียบร้อยแล้ว เราดีใจกับเขาด้วยจริงๆ แถมยังตื่นเต้นเหมือนตัวเองจะไปฝึกงานอย่างนั้นแหละ แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเขามีสีหน้าท่าทางลังเลอยู่ในใจ 



                “นายมีโอกาสไปเรียนรู้งานที่สถานทูตเลยนะ อย่าลังเลเลยนะ”



                จำได้ว่าวันนั้นเรานั่งดูหนังด้วยกันในห้องนอน เป็นหนังแฟนตาซีที่เราพยายามจำรายละเอียด จนเผลอละเลยนายไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้



                “แต่พี่ปั้น..ไม่อยาก.ผม..มา..หรอครับ”



                ด้วยความที่เราจดจ่อ เสียงของนายจึงขาดๆ หายๆ และเราก็ตอบกลับไปโดยที่ไม่ละสายตาจากจอ



                “อืม”



                หรือเราพลาดอะไรไป



                พอแม่พูดขึ้นเมื่อกี้นี้ เราก็เข้าใจทุกอย่างทันทีราวกับลูกโป่งที่โดนเข็มทิ่ม ก็ช่วงที่เขาฝึกงานตรงกับงานรับปริญญาของเราพอดีน่ะสิ คนที่ดีใจกว่าคนรับอย่างนาย ไม่ได้อยู่ในวันสำคัญแบบนี้ เขาคงน้อยใจ ใช่ นายน้อยใจ แถมเรายังผลักไสให้เขาไปฝึกงานไกลอีกด้วย



                ไม่ๆ เราไม่ได้ผลักไส เราเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีนี่นา



                “แม่สวัสดีครั...”



                เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ทึ้งผมน้อยๆ พร้อมกับง้างกำปั้นจะเขกหัวตัวเอง



                หมับ!



                ไม่ทันได้ประทุษร้ายตัวเอง มือเราก็ถูกคว้าก่อน



                “ทำอะไรครับ” คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามเสียงเข้ม เราลอบกลืนน้ำลาย นายในโหมดดุๆ เนี่ยไม่คุ้นเอาซะเลย



                “เอ่อ...” เราเหลือบมองแม่เพื่อขอความช่วย แต่แม่กลับเอาแต่อมยิ้มก่อนจะยกชามเกี๊ยวของตัวเองออกไปอย่างแนบเนียน



                “ผมถามว่าพี่ปั้นจะทำอะไรครับ”



                “ขอโทษ”



                “ห้ามทำให้ตัวเองเจ็บครับ”



                “อื้อ เราลืมตัว”



                  ตั้งแต่เราเข้าโรงพยาบาลครั้งนั้นนายแทบจะระวังทุกฝีเก้า เราหดคอเหมือนกับเจ้าเต่าที่กลัวกระต่าย อ่า...เป็นกระต่ายให้โหมดโหดซะด้วย เราเอื้อมมือไปกุมมือเจ้ากระต่ายในชุดนักศึกษา ก่อนจะกระตุกแขนให้เขานั่งลงข้างเรา



                “นั่งก่อนเร็ว เรียนมาเหนื่อย เราตักเกี๊ยวให้นะ...”



                คนตัวสูงส่ายหน้าคาดโทษ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงข้างเรา สายตาคมกริบของนายจ้องเราขณะเดินไปตักเกี๊ยวมาเสิร์ฟให้ถึงที่



                “เดี๋ยวนี้นายอารมณ์แปรปรวน ต้องกินเกี๊ยวน้ำเยอะๆ”



                นายขบเคี้ยวฟัน ออกแรงดึงเราให้เสียหลักไปนั่งตักเด็กมหาลัยปีสุดท้ายคนนี้จนได้   



                “เหวอ ทำอะไรน่ะนาย”



                นายรัดเอวเราไว้แน่น แล้วกดคางกับลาดไหล่ของเราราวกับจะลงโทษ



                “เจ็บๆ จั๊กกะจี้ด้วย อื้อ”



                ริมฝีปากเฉียดผิวเราไปมา อุณหภูมิแก้มขึ้นสูงอย่างกับคนเป็นไข้ “นาย ฮือ ยอมแล้ว”



                “ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรให้ผมโกรธ”



                “โกรธกันแล้วเราไม่มีความสุขนะ”



                “รู้ครับ” นายถอนหายใจ ลมร้อนรดหลังคอจนเราหนาวขึ้นมา



                “โกรธคนที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้โกรธเนี่ย ไม่ดีเลยนะ”



                “...” เรารู้สึกว่าหูลู่ลงมา ทำไมล่ะ เหนื่อยกับเราแล้วหรอ



                “มองผมแบบนั้น... ไม่โกรธแล้วครับ ไม่มีใครโกรธพี่ปั้นได้นานหรอก โดยเฉพาะผม”



                ทำไมล่ะ เราทำอะไรให้นายรู้สึกไม่ดีหรอ ถึงประโยคนี้จะไม่ได้พูดแต่เราก็หันกลับไปเป็นฝ่ายกอดคอนายแน่น



                “โอ๋ๆ ไม่โกรธแล้วจริงๆ ครับ”



                “รู้ไหมว่านายดุเรามากี่วันแล้ว”



                มือหนาๆ ลูบหัวลูบหลังเราอย่างกับปลอบเด็ก อ่าเหตุการณ์มันพลิกผันแล้วใช่ไหม



                “ดุให้คนแถวนี้เข็ดซะบ้าง จะได้กลับบ้านตรงเวลา ไม่ไปเถลไถลกับ ‘เพื่อน’ ที่ทำงาน”



                เรากำลังคิดหาทางเข้าเรื่องที่คิดว่าทำให้นายโกรธ แต่ใครจะรู้ว่าเชลยอย่างเรา มีโทษหลายกระทง



                ...เดี๋ยวนะ...



                “เดี๋ยวๆ นายไม่ได้งอนเราเรื่องงานรับปริญญาหรอ”



                เราผละจากซอกคอนาย ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ตุ๊ดตู่แล้ว นี่เราเผลอเปิดประเด็นหรอเนี่ย ขยับตัวจะลงจากตักแต่กระต่ายตัวนี้แปลงร่างเป็นปลาหมึกซะแล้ว



                “นั่นก็เรื่องนึงครับ แต่ช่วงนี้ผมว่าพี่ปั้นชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว นี่ถ้าผมไม่ดุมาหลายวัน พี่ปั้นคงจะไปเที่ยวอยู่ข้างนอก ปล่อยให้ผมรอเกือบทุกวัน”



                “เราไม่ได้เที่ยวนะ ลูกค้าเขานัดนอกสถานที่เราก็เลยต้องอยู่ต่อกับเพื่อนที่ทำงานน่ะ”



                “หึ”



                “จริงๆ นะ”



                “เห็นที ผมต้องไปรับไปส่งพี่ปั้นซะแล้ว”



                “ไม่เอา” ไม่จ้องตาแล้ว บีบคั้นหัวใจเกิน เราซบแก้มเข้าที่ไหล่นาย พูดอู้อี้อยู่คนเดียว “ที่ทำงานเราไกล นายเหนื่อย” พูดจบนายก็ลูบท้ายทอยเราเบาๆ



                “แล้วเรื่องงานรับปริญญาน่ะ เรา...คือวันกำหนดออกมาแล้วล่ะ อย่างที่นายคิดว่ามันตรงกับ...เอ่อนั่นแหละ แต่ แต่...” เราผละออกมาอีกครั้ง เอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับยึดไหล่นายไว้แน่น



                “มันไม่เป็นไรหรอก เราไม่คิดมาก งานรับปริญญาไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเรา...” นี่เราพูดอะไรออกไปเนี่ย สีหน้านายดูเหมือนจะแย่ลง



                “เดี๋ยว เดี๋ยวเราค่อยมาถ่ายรูปกันตอนนายกลับมาตอนปีใหม่ก็ได้ เนอะๆ”



                นายไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา เราจึงรีบลุกกลับมานั่งที่เดิม



                “พ่อกลับบ้านช้านะ ปั้นกินเกี๊ยวหมดแล้วมั้งน่ะ...”



                “เอ้า แล้วนายไม่กินหรอลูก”



                นายยิ้มตอบรับ แล้วหยิบช้อนขึ้นมาทันที เป็นอันว่านายกับเราจบบทสนทนาค้างๆ คาๆ ไปแบบนั้น



                ...ฮือ เกี๊ยวเค็มจริงๆ ด้วย...







               

 

read Khaopun

                ชมพู่ช่วยเราด้วย นายงอนเราอีกแล้ว

                Poochom

                เดี๋ยวๆ นี่แกใช้คำว่างอนกับนายหรอ

read Khaopun

                ก็นายงอนจริงๆ นี่

                Poochom

                แล้วนี่แกอยู่ไหน อยากเจอไหมล่ะ

read Khaopun

                เรากำลังรอรถเมล์กลับบ้าน

ลูกค้านัดคุยงานแถวอนุสาวรีย์ฯ

เราต้องรีบกลับไปรอนาย

                Poochom

                ถ้างั้นก็รีบกลับซะ แล้วอย่าไปงอแงข้างทางล่ะ

                มีอะไรโทรมาได้

                โอ๊ย ฉันไปก่อนล่ะ เจ้านายใช้งานอะไรตอนใกล้จะเลิกงานเนี่ย

read Khaopun

โอเค




                เราเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า



                ...ฝนจะตกอีกแล้ว เลิกงานทีไรเป็นแบบนี้ทุกที…



                ยืนมองคนขวักไขว่ไปเรื่อยเปื่อยเกือบสิบห้านาที รถเมล์สายที่คุ้นเคยก็จอดเทียบท่าใกล้ๆ เราพอดี คนที่ยืนรอรถสาย 18 รีบเดินตามรถเมล์มาเป็นโขยง แม้ว่าเราจะอยู่ใกล้แต่ก็โดนพลังประชาชนผลักกระเด็นออกมาจนได้ ยืนเบียดไปไม่นานก็ได้นั่งซักที



                “ติวานนท์ แคราย ท่าอิฐคร้าบ”



                ...เฮ้อ ฟ้าขมุกขมัวเหมือนใจเราตอนนี้เลย...



                “ขึ้นมาเลยครับพี่”



                …กลับไปจะง้อนายยังไงดีนะ...



                “แบ่งกันไปครับ รถขาดระยะนะครับ”



                ...พูดอะไรก็ได้น่า ขอให้ยิ้มให้เราก็พอ...



                “ขึ้นเลยพี่ มาเลย”



                ...อยากนอน หิวด้วย...



                 “เดี๋ยวอย่าพึ่งออกมีคนขึ้น เอ้า ไป...”



                พอนั่งข้างหน้าต่างบนรถเมล์แบบนี้ ก็ทำให้เราอดนึกถึงวันแรกที่เจอนายไม่ได้ วันนั้นคล้ายๆ กับวันนี้เลย



                กึก กึก



                พรึ่บ



                ...คิดถึงนายจังง...



                “โอ๊ะ ขอโทษครับ”



                “…”



                “โทษนะครับ” มีแรงสะกิดที่ไหล่ซ้ายสองสามที เราที่พูดคนเดียวในใจเกือบสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนมานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ



                “ครับ? นาย!?”



                “ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..” เขาพูดต่อไม่สนใจสีหน้าแปลกใจของเรา พร้อมกับชี้ไปด้านล่าง เราก้มมองตามอย่างงงๆ จึงเห็นว่าส้มผลนั้นกลิ้งมาใกล้กับเท้าเรา ถึงจะจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขามาได้ยังไงแต่ก็ก้มตัวลงไปเก็บส้มผลนั้นให้



                “ขอบคุณครับ” คนหน้าคุ้นเคยที่แสร้งเป็นคนแปลกหน้าตีหน้าขรึม หลังจากรับผลส้มไปใส่ถุงพลาสติก เขามองตรงไปด้านหน้า ไม่เหมือนครั้งนั้นที่เอาแต่ชวนคุย



                เราหลุดยิ้มเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคน



                สถานการณ์เหมือนเดิม แต่เวลาเปลี่ยน เด็กมหาลัยสองคนที่ฝ่ายนึงถามไม่หยุด กับอีกฝ่ายพูดน้อย



                มาตอนนี้กลับกัน เด็กพูดน้อยคนนั้นอยู่ในชุดทำงาน และกำลังหาวิธีง้ออีกคน



                “ซื้อส้มเยอะจังครับ” เราอมยิ้มเอ่ยถาม ราวกับเป็นบทสนทนาของคนไม่รู้จักกัน



                “...ซื้อไปฝากที่บ้านน่ะ...ครับ ช่วงนี้ฝนตกกลัวแฟนป่วย” เขาตอบเสียงเข้มกลับมา หลังจากใช้ความคิดซักครู่หนึ่ง คงจะคิดว่าเราเล่นอะไรล่ะสิ



                “มีแฟนแล้วหรอครับเนี่ย” เราไม่สนใจยังคงสวมบทบาทเป็นคนช่างจ้ออย่างผิดวิสัย ถ้าไม่ใช่นายมาชวนคุยในวันนั้นเราก็คงเป็นข้าวปั้นที่เก็บตัวเหมือนเดิม



                “มีแฟนแล้วหรอครับ” เราถามอีกครั้ง



                “ใช่ครับ” คิ้วของอีกฝ่ายกระตุก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เกือบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่



                “แล้วนี่เรียนอยู่หรอ”



                เขาอยู่ในชุดนักศึกษา รูปร่างดีสมกับเป็นนักกีฬา ไม่เหมือนเราขนาดใส่เสื้อเชิ้ตทำงานยังดูไม่สมาร์ทเท่าเขาเลย



                “ใกล้จบแล้วครับ”



                “เด็กๆ นี่ดีจังเลยนะครับ เราน่ะไม่อยากทำงานเลย”



                “หึ” ดูเหมือนเขาจะไม่ถูกใจกับคำว่าเด็ก  ถึงกับเหลือบตามามอง



                “เอ่อ แล้วเรียนอยู่มธ.หรอครับ” เราถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วเต็มอก “อ้อ เห็นเอกสารที่โผล่มาน่ะ” เราแกล้งเนียน



                “ใช่ครับ”



                “แฟนเราก็อยู่มธ.ครับ ใกล้จะจบเหมือนนาย เอ่อ เหมือนคุณเลย”



                “....”



                “เด็กมธ.ขี้งอนทุกคนรึเปล่า คุณรู้ไหมครับ”



                คราวนี้นายหันมาทั้งตัว



                ดูเหมือนครั้งนี้ เราจะชนะล่ะ



                ...มองเราซักทีนะ...



                “หยุดเล่นได้แล้วครับ”



                “อ้าว เรารู้จักกันแล้วใช่ไหม น่า...อย่าหน้าบึ้งเลย ยิ้มให้เราหน่อยน้า ขอโทษๆๆ” เราแทบจะไหว้อยู่แล้ว กลายเป็นคนง้อนายก่อน ก็นะ...มีนายอยู่เดียวนี่



                “ถ้าไม่ติดว่าอยู่บนรถเมล์นะ” นายหลุดหัวเราะมาหนึ่งคำอย่างอ่อนใจ ก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวแรงๆ “ไม่เคยโกรธพี่ปั้นได้จริงๆ นั่นแหละ” เขาพูดกับตัวเอง



                เราสองคนเงียบไปไม่นาน นายก็เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง



                “พี่ปั้น ทุกเรื่องของพี่ปั้นสำคัญกับผมนะครับ”



                เราหันหน้าไปมองเขา...รู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอกทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอนาย สบตากับคนที่เอ่ยเสียงจริงจัง  พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน

 

                “พี่ปั้น สมัครงานไปรึยังครับ มาครับผมช่วยดู”

                “อื้อๆ บริษัทนี้ดีไหม”

           

                “เราใส่เสื้อตัวไหนไปสัมภาษณ์ดี”

                “ตัวนี้ดีกว่าครับ พี่ปั้นผิวขาว ใส่ตัวนี้แล้วดูดี”

           

                “ตื่นเต้นจัง นายมาซ้อมเป็นคนสัมภาษณ์ให้หน่อย”

                “อะแฮ่ม สวัสดีครับ เชิญนั่งครับ แนะนำตัวด้วยครับ”

                “เดี๋ยวๆ เรายังไม่ทันนั่งเลย”

                “อ้าว ผมก็ตื่นเต้นด้วยนี่นา ฮ่าๆ”

 

                “สัมภาษณ์เสร็จผมไปรับนะ”


                “มาครับ ฉลองที่ได้ทำงานแล้ว ของที่พี่ปั้นชอบทั้งนั้น”


                “วันนี้ทำงานวันแรกขอให้พี่ปั้นทำงานราบรื่น เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี ห้ามใครชอบพี่ปั้นของผมด้วยเถิด สาธุ”


                “เหนื่อยหรอครับ วันนี้โดนหัวหน้าดุหรอครับ”



                “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ”



                “ดีใจด้วยครับพี่ปั้น อยากเห็นพี่ปั้นใส่ชุดรับปริญญาเร็วๆ จัง”



                “วันจริงต้องตื่นเช้ามาก พี่ปั้นต้องตื่นไม่ทันตั้งแถวแน่ ถ้าผมไม่ปลุก”

           



                อันที่จริง...ทุกเรื่องของเราสำคัญสำหรับนายจริงๆ นั่นแหละ คนที่ใส่ใจ และอยู่ทุกช่วงเวลาเลยอย่างที่เขาเคยพูดไว้



                “ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณนะ” ขอโทษที่บางทีก็ทำให้น้อยใจ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย



                เราจับมือนาย พร้อมกับส่งยิ้มไปให้ แทนความรู้สึกทั้งหมด



                “เราไม่อยากให้นายเสียโอกาสนี่นา เรามีนายอยู่ทุกวัน เรื่องอื่นไม่สำคัญเลย”



                “ผมรู้ครับ ก็...ตอนที่เราดูคลิปงานรับปริญญาเก่าๆ กัน พี่ปั้นมอง...ไม่กะพริบเลย”



                “หือ เรามองอะไรนะ”



                “ในคลิปนั้น พี่ปั้นมองคนที่เช็ดเหงื่อให้บัณฑิตแล้วก็ยิ้มออกมา ผมอยากเป็นคนที่ทำแบบนั้นให้พี่ปั้นบ้าง”



                “...”



                “ผมอยากเป็นคนที่ดูแล อยากเอาใจใส่ อยากทำหน้าที่แฟนบัณฑิตนี่ครับ”



                ในที่สุด เจ้าของถุงส้มก็สารภาพจนหมดเปลือก ที่ทำขรึมมาหลายวันเพราะเหตุผลนี้งั้นหรอ



                อ่า



                ...แฟนบัณฑิต...



                คำไม่คุ้นชินแต่ใจกลับเต้นแรงซะอย่างนั้น



                นายพลิกฝ่ามือ เป็นฝ่ายประสานนิ้วทั้งห้าของเราเอาไว้ ทั้งคนพูดคนฟังหน้าแดงไม่แพ้กัน



                เงียบเพราะเขินกันไปไม่นาน เราทั้งคู่ก็ขยับตัวผละมือออกจากกันเพื่อกระแอมแก้เขิน จากนั้นเราก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง



                เสียงกระเป๋ารถเมล์ก็ตะโกนบอกชื่อป้ายเรียกความสนใจให้นายให้หันไปมอง ไม่นานเขาก็ขยับตัว กระชับสัมภาระ พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เราเตรียมพร้อม



                เขาลุกขึ้นก่อน ปล่อยให้เราเดินนำไปที่ประตูรถเมล์ ซึ่งตอนนี้มีเด็กนักเรียนสองสามคนที่ยืนรออยู่เหมือนกัน ในเวลาที่ประตูเปิด เราหันกลับมายัดกระดาษยับยู่ยี่ใส่ในมือเขาแล้วก้าวขาตามหลังน้องนักเรียนไป



                นายที่ลงตามทีหลัง ถือถุงส้มข้างนึง ส่วนอีกข้างนึงกำกระดาษเล็กๆ ไว้ในมือ สีหน้างุนงง



                เรากางร่มให้เขา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้



                “...ไม่เห็นต้องเป็นแฟนบัณฑิตเลย”



                นายก้มมองข้อความข้างใน ก่อนเราสองคนจะยิ้มกว้างให้กัน

 

                เป็นแฟนเราก็พอแล้ว ☺

 

                 ---------------------------------------------------------               

               





               ตอนจบหลังจากตอนจบ

                 ---------------------

                “พี่ปั้น...รักนะครับ จุ๊บ”

                “อื้อ รัก ฮึก เหมือนกัน”

                 ---------------------

                “ไอ้นายดึงหน้ามาหลายวัน วันนี้เป็นไรวะผีเข้าอ่อ”

                “เอ็มเจ เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวพี่ท่านเอาบาสทุ่มหัว”

                “โอ๊ย เชี่ยแดม ตาเยิ้มขนาดนี้มันไม่รู้เรื่องหรอก สงสัยเมาพี่ปั้น”

                ผลัวะ!

                “ตบกูทำไมเนี่ย ไอ้นาย”

                “มึงพูดถูก กูเมา...พี่ปั้น”

                “สงสัยมันถูกใจจนมือลั่นเลยว่ะ”

                 ---------------------

                “แม่คะ พ่อคะสวัสดีค่ะ”

                “อ้าวสวัสดีลูก มาหานายกับปั้นหรอ”

                “ค่ะ ได้ข่าวว่านายงอนข้าวปั้นเลยอยากมาเห็นเป็นบุญตา”

                “ฮ่าๆ เอาสิ เข้าไปดูลูกนั่งดูทีวีกันอยู่ ไปดูว่าเขางอนกันเป็นยังไง”

                “ค่ะแม่ ขอตัวก่อนนะคะพ่อ”

                “ตามสบายลูก”

                ตึก ตึก ตึก

                “อ้าว ออกมาเร็วจัง เจอไหมลูกชมพู่”

                “แม่คะ พ่อคะ เขางอนกันอีท่าไหนถึงหอมแก้มมันเขี้ยวกันขนาดนั้นคะ”

                “แม่ว่า ชมพู่...ได้ข่าวมาผิดแล้วล่ะลูก”

                “หนูโดนหลอกค่ะแม่ ฮือ”

                 ---------------------

                “พี่ปั้นนนนนนนน”

                “เฮ้ยๆๆ เกิดอะไรขึ้น”

                “เกิดไรขึ้นวะ พี่ปั้นเป็นอะไร”

                “พวกมึง กูเจอพี่ปั้นในรอบปีเว้ย”

                “เฮ้ยๆๆๆ จริงปะๆๆ ตั้งแต่เขาจบไปกูก็เหี่ยวเฉาไม่มีคนน่ารักให้ส่อง จนอยากกลายเป็นปลาให้ตุ๊ดตู่คาบเล่นแถวสะพานสระแก้วว่ะ”

                “เดี๋ยวๆ มึง สงสารตุ๊ดตู่ จระเข้ศิลปากรที่ต้องแดกมึงมากกว่า”

                “เชี่ยพวกนี้อย่านอกเรื่อง เจอพี่ปั้นแล้วไงต่อๆ”

                “เอ้อๆๆ”

                “กูเจอเขา แล้วกูก็ตะโกนเรียกเว้ย ตอนหันมาน่ารักสัสๆ ใส่ชุดทำงานด้วยแม่งเง้ยกูอยากแง๊นนนน”

                “น่ากลัวสัสๆ แล้วไงไอ้เหี้ย นอกเรื่องตลอด”

                “เขาหันมายิ้มเว้ย แล้วก็โบกมือ”

                “กูแข็งไปแล้ว”

                “เชี่ย! หื่น”

                “ไม่ใช่! ตัวแข็งต่างหาก พี่ปั้นเดินมาใกล้ๆ กูนี่ยิ้มรอเลย”

                “เชรดดดดด บรรลุชีวิตติ่ง กูมอบมงให้มึงเป็นติ่งชั้นสูง”

                “ชั้นสูงไรล่ะ กูเนี่ยชั้นต่ำของแท้ เขาเดินผ่านกูไปเลย”

                “เอ้า หักมุม”

                “ตอนเดินผ่านโอ๊ยโคตรหอม กูงี้หันกลับไปดูเลยเว้ย”

                “คนจริงต้องดมตอนเดินผ่าน แล้วๆๆๆ”

                “ไอ้เชี่ยนายมารหัวใจ แม่งยืนรออยู่ด้านหลังกู”

                “ยิ้มค้างของจริง”

                “ส่วนไอ้นายยิ้มเย้ยกูจังงงง”

                “ถ้ากูเป็นแฟนพี่ปั้นนะ กูจะอวดเช้าอวดเย็น ไม่ซ่อนไว้ในห้องเหมือนไอ้นายหรอกโว้ยยยย”

                “ทำเป็นโวยวาย ที่แท้อิจฉา”

                “เออ หรือมึงไม่อิจฉา”

                “อิจฉาโว้ยยยย!!”

                 ---------------------

               

-คำขอบคุณหลังจากตอบจบ-
ไม่นานมานี้เรามีโอกาสได้เขียนงานชิ้นนึง ในงานชิ้นนั้นพูดถึงการกลับบ้านของนักเขียนชื่อดัง
ที่บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้ว่าบ้านของเราคืออะไร ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน คุณก็จะกลับไปได้เสมอ
บ้านของนักเขียนก็คือการเขียน ส่วนบ้านของคนชอบเขียนอย่างเราก็คือการเขียนเหมือนกัน
ที่พูดมาทั้งหมดเรากลับบ้านเเล้วนะทุกคนน ขอบคุณมากค่ะที่อ่านมาถึงตรงนี้
อาจจะรอนานหน่อยก็ยังมีคนรอ เราดีใจมากเลยค่ะ และต้องขอโทษที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว
ขอบคุณที่รอกันมาเสมอ คำติชมต่างๆ เราพร้อมนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
พูดถึงเรื่อง เรากับเขา บ้าง จริงๆ แล้วอยากนำเสนออะไรที่เรื่อยๆ ดูบ้าง
เเถมยังเป็นความเรื่อยๆ ของคนมีปมสองคน ที่มาเจอกัน
คนที่คิดว่าเป็นแบบนี้ เขาอาจจะรู้สึกแบบนั้น เราจะคาดเดาไม่ได้เลย
ถ้าหากว่าไม่ได้มาเรียนรู้กัน
สุดท้ายแล้วความรักคืออะไร การเติบโต การเรียนรู้
พี่ปั้นกับนายคงจะรู้อยู่แก่ใจ
ขอบคุณทุกความเห็น ทุกคลิกที่แวะเวียนเข้ามา
รักคนที่ไม่เคยหน้ากันเลยในโลกของตัวหนังสือ

                   


ออฟไลน์ TuEyyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
น่ารักที่สุดดด  :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Rabbitrd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตื่นเต้น เหมือนเจอเพื่อน ยังอ่านไม่จบ แต่เห็น อักษร ศิลปากรนี่รีบทำความรู้จักก่อนเลย  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ btoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารักเกินไปแล้วววววว เป็นเรื่องที่ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกันนะคะ ขอบคุณคนเขียนและขอบคุณนายกับพี่ปั้นมากน้าาาา

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นนิยายย ที่ละมุนละไมมากเลยค๊าาาา อ่ายได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อ สมูทมากก  หลงรักตัวละครทั้งนายเอก พระเอก คู่นี้เขามาแบบน้ำตาลเรียกพี่ไปแล้วค๊าา  ฟินในความน่ารักของทั้งคู่ อยากมีโมเมนต์นี้บ้างงง อั้ยๆๆๆ

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
ละมุนนุ่มนวล
เหมือนกินไอติมรสวนิลา
ชอบบบบบบบบ
ขอบคุณนะคะ
 :pig4:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
อ่านจบแล้วจ้า แต่เราว่าเรื่องมันเอื่อย ๆ ไปนิดนึง ยังไงก็ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะจ๊ะ

 :katai2-1: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด