“เมียมึงไปละ... ตอบกูได้ยัง” ไอ้เพลงนี่กูเข้าใจนะ เพราะมันสงสัยมันเลยถาม แต่ไอ้สามสี่ตัวที่ทำเป็นเนียนนั่งเงียบรอฟังคำตอบนี่มันอะไรกันวะ
ผมส่ายหัวเอือม ๆ ก่อนจะตอบสั้น ๆ “ยัง”
“เชี่ยยยยยยยยยยยยยย! ไร้น้ำยา!” ผู้หญิงคนเดียวของโต๊ะกรีดร้อง กูอยากจะให้พ่อแม่มึงมาเห็นจริง ๆ ไอ้เพลง
“เขาเรียกว่าสุภาพบุรุษโว้ยยยยยยยยยยยย”
“อย่าไปเชื่อมัน” ไอ้กันโผเข้ามาดันหน้าผมออก “มันพยายามแล้วตั้งหลายรอบ สุดท้ายแม่งก็ไม่รอด”
“ไม่ได้เสียบซะทีเพื่อนกู”
“ทำเป็นปากดีมึงก็ไม่เคยล่ะว้าไอ้โจ้!”
“เพราะกูเป็นเพื่อนมึงน่ะสิ” ไอ้โจ้แสแสร้งทำปาดน้ำตากระซิก ๆ “เดินไปไหนแม่งก็ไม่มีคนมอง... กูเป็นนักศึกษานะไม่ใช่วอลเปเปอร์”
“มึงมันไม่ได้เรื่อง!” ไอ้เพลงโวยวายประหนึ่งมันเป็นคนรอกูไปเปิดซิงซะเอง “อยู่ห้องเดียวกันแต่แม่งไม่ได้กัน! นี่มันยุคสมัยไหนแล้ววะ ไม่เสียตัวในวัยเรียนได้ไงวะ”
“กูฟังแล้วเครียดกับประเทศเลยว่ะ”
“อย่ามาทำเป็นคนดี ฟันหญิงมึงยังเคยเลย”
“ไอ้ห่า! มันไม่เหมือนกันนี่หว่า”
“มันก็ยัด ๆ เข้าไปเหมือนกันล่ะว้า...”
ผู้หญิงสมัยนี้แม่ง... มีเมียเป็นผู้ชายซะยังดีกว่า...
“ไม่ใช่แบบนั้นเว่ย...”
ที่ว่าไม่เหมือนน่ะมันไม่ใช่เรื่องนั้น... จริงอยู่ว่าแฟนกันก็ย่อมอยากกอด อยากจูบ... อยากมีอะไรกัน ผมเองก็เป็นคนธรรมดาที่มีความรู้สึกแบบนั้น มันไม่เกี่ยวอีกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง แต่อีกฝ่ายมันเป็นไปป์ต่างหาก...
มันเป็น ‘ไปป์’ เชียวนะ เป็นถึงขั้น ‘ไปป์’ เชียวนะ...
เป็นสิ่งมีชีวิตที่คนอย่างภคินขาดไม่ได้ในชีวิต... เกิดมันเจ็บ... มันโกรธแล้วหายไปจากชีวิตผม แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะ? จะยิ้มได้เหรอ... จะหัวเราะได้เหรอ...
ผมลุกขึ้นยืนตอนที่นักดนตรีสามคนบนเวทีชวนลูกค้ามาร้องเพลงด้วยกัน ผมโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณว่าจะขึ้นไปร้อง แหม... วันสิ้นปีทั้งที ขอกูทำอะไรโรแมนติกสักหน่อยเหอะ การเดินขึ้นไปยืนบนเวทีของผมเรียกความสนใจจากคนในร้านได้ไม่น้อย ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ... ไม่ต้องมาหมั่นไส้ผม เขาเรียกว่ารับรู้ความจริงและยอมรับมันต่างหากล่ะ
ผมรับกีต้าร์จากพี่ตัวสูง ๆ ก่อนจะลองสายนิด ๆ หน่อย รอเป้าหมายที่ไม่รู้แม่งเดินไปเยี่ยวที่ซิมบับเวหรือไงก็ไม่ทราบได้ เยี่ยวจนท่อเยี่ยวไหลลงคอห่านไปแล้วมั้ง เออ... นั่นไง พอด่าปุ๊บมันก็เดินดุ่ม ๆ ออกมาจากห้องน้ำเลย...
http://www.youtube.com/v/8dPZERw3KOM?version=3&hl=th_TH
อยากชวนให้เธอมาหอมปากหอมคอ
และนั่นมันคือความรักที่ฉันต้องการ
ก็ยังไม่ชัวร์ว่าฉันจะทนได้นาน
ก็ยังไม่ลองจะรู้ได้ไง ว่าอันที่จริงไอ้การหอมปากหอมคอ
จะหยุดทุกอย่างให้มีแค่ฉันกับเธอ กับเราสองคน
อย่ามองว่ารักอยู่ไกล อย่าไปวกวน อย่าไปรีบร้อนกระวนกระวาย
ผมเหลือบมองใบหน้าน่ารัก ๆ ที่เหวอขึ้น เพราะอยู่ ๆ ผมก็แม่งมานั่งร้องเพลงจีบมันบนเวทีหน้าตาเฉย ผมยักคิ้วกวน ๆ ให้มันทีนึงก่อนจะลงมือดีดสายแรง ๆ
แต่ฉันรักเธอ อยากทำความรักของเราให้มีความหมาย
อยากกอดเธอไว้นาน ๆ อยากสัมผัสร่างกาย
แต่ไม่อยากทำร้ายอารมณ์อ่อนไหว
ผมยกนิ้วชี้ไปทางมันแล้วตะโกนร้องเสียงดัง
ให้ความรักของฉันเป็นเรื่องสำคัญ บอกว่ารักแค่นั้นไม่ต้องใกล้กัน
เอาเพียงแค่หอมปากหอมคอเท่านั้น อย่าเร็วใจมันตามไม่ทัน
อย่าเพิ่งแตะฉัน ต้องฉันคงไม่ช้าไป
วันพรุ่งนี้ที่สองเราลองเข้าใจ ตัวของเราห่าง หัวใจไม่ห่างไกล
แม้จะนานแค่ไหนแค่เพียงเธอพร้อมวางใจไปด้วยกัน
ไปป์มันสะดุ้งเพราะสายตาคนทั้งร้านหันควับไปที่มันโดยมิได้นัดหมายไว้ มันขยับปากด่าผม ‘ไอ้เหี้ย’ ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าขึ้นสี
ก็เคยได้ยินว่าหอมปากหอมคอ
ก็คือแค่กำลังสวยกำลังงดงาม
ไม่หนัก ไม่เบา ไม่น้อย ไม่ต้องวู่วาม
ไม่เผ็ด ไม่เดือด ไม่ร้อน ค่อยเป็นค่อยไป
ตกลงว่าเราจะหอมปากหอมคอ
นั่นคือวิธีที่ดีของฉันกับเธอ กับเราสองคน
อาจทำให้ฉันอยู่ไกล และเธอทุกข์ทน อาจไม่ใช่รักที่ทันสมัย
“แต่ฉันรักเธอ!” ไอ้ลูกคู่ที่โต๊ะตะโกนแซวเสียงดัง บิลด์จนคนบางคนจะดำดินหนีไปแล้ว...
อยากทำความรักของเราให้มีความหมาย
อยากกอดเธอไว้นาน ๆ อยากสัมผัสร่างกาย
แต่ไม่อยากทำร้ายอารมณ์อ่อนไหว
“เอ้า! ช่วยร้องให้หน่อยสิครับ” คนในร้านแม่งก็บ้าจี้ร้องตามกันใหญ่
ให้ความรักของฉันเป็นเรื่องสำคัญ บอกว่ารักแค่นั้นไม่ต้องใกล้กัน
เอาเพียงแค่หอมปากหอมคอเท่านั้น อย่าเร็วใจมันตามไม่ทัน
อย่าเพิ่งแตะฉัน ต้องฉันคงไม่ช้าไป วันพรุ่งนี้ที่สองเราลองเข้าใจ
ตัวของเราห่าง หัวใจไม่ห่างไกล
แม้จะนานแค่ไหนจะรอวันนั้น ในวันที่ฉันและเธออาจพร้อมวางใจไปด้วยกัน
“เอ้า... One Two Three... ชะ!”
ให้ความรักของฉันเป็นเรื่องสำคัญ บอกว่ารักแค่นั้นไม่ต้องใกล้กัน
เอาเพียงแค่หอมปากหอมคอเท่านั้น อย่าเร็วใจมันตามไม่ทัน
อย่าเพิ่งแตะฉัน ต้องฉันคงไม่ช้าไป วันพรุ่งนี้ที่สองเราลองเข้าใจ
ตัวของเราห่าง หัวใจไม่ห่างไกล แม้จะนานแค่ไหนจะไม่หวั่นไหว
ผมจ้องเข้าไปในตามันแล้วเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“จะรอวันนั้นที่ใจเธอพร้อม จะลองกอดฉัน จะรอจูบนั้น...”
ผมคลี่ยิ้มบาง ๆ ตอนที่มันประสานสานตาด้วย “รักเธอมากกว่า... นั้น”
“ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววว” เอาเลย! จัดไปอย่าให้เสียไอ้ลูกน้อง คู่หูนรกแตกมันรีบปรบมือส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด (ทำไมไอ้เพลงที่เป็นผู้หญิงมันไม่กรี๊ดวะ... กูไม่เข้าใจ)
นอกเหนือจากเสียงกรีดร้องของไอ้โจ้ (เหี้ยนี่ให้ร้อยเล่นเป็นแสน) ก็ยังมีเสียงพึมพำที่ลอยเข้าหูผม... ไอ้พวกแบบ กูว่าแล้วกูเคยเห็น... แม่งเดือนมหาลัยเป็นเกย์จริง ๆ ด้วยว่ะ ผู้ชายไม่เหลือบนโลก เสียดายว่ะ (ถามกูบ้างกูเสียดายมึงมั้ย?) เออ... มึงลือกันไปถึงสามโลกเลยนะ ไม่ได้ทำให้กูรู้สึกแย่เลย
ส่วนไอ้จำเลยรักมันก้มหน้างุด ๆ เดินออกร้านไปแล้ว ผมเห็นใบหูเล็ก ๆ นั่นแดงแจ๋เลย มันคงเขินจนไม่กล้านั่งในร้านต่อ ผมเอากีต้าร์คืนให้พี่นักดนตรีที่ยังมึน ๆ งง ๆ ว่านี่มึงมายืมร้องเพลงจีบผู้ชายเหรอ แล้วสองขาก็วิ่งออกไปนอกร้าน โดยไม่ลืมบอกไอ้เดอะแก๊งค์ที่ยังกรี๊ดเหมือนโดนน้ำกรดสาดว่าผมจะกลับบ้านก่อนแล้ว และขอให้ไอ้เพลงโชคดีกับคนนั้นของมัน...
วิ่งออกมาหน้าร้านแต่กลับไม่มีวี่แววของคนที่มองหา แม่ง... ไวอย่างกับปรอท สอดส่องสายตาหาก็ยังไม่เจอ... เฮ้ย ๆ ไม่ใช่ว่าติดล้อรถบรรทุกไปแล้วนะมึง
ไม่ใช่ว่ามันโกรธผมหรอกนะ...
พอนึกมาถึงตรงนี้ผมก็หางลู่หูตกอย่างบอกไม่ถูก ไปป์มันไม่ชอบให้ทำตัวรุ่มร่ามในที่สาธารณะซะด้วย พอคิดได้แบบนี้ผมก็เริ่มวิ่งออกมาจากหน้าร้าน...
พลั่กกกกกกกกกกกกกกกก
“ไอ้ภคิน! ไอ้เชี่ยยยยยยยยย!”
โดนจู่โจมจากด้านหลังครับ ไอ้แห้งที่กำลังหาตัวอยู่วิ่งมาถีบตูดผมเข้าไปเต็มตีน ไม่พอแม่งยังจับมาตีเข่าอีก... ดูจากใบหูสีแดง ๆ นั่นก็รู้แล้วว่ามันเขินจะแย่ แทบจะระเบิดตัวเองตายแล้ว
“เฮ้ย ๆ ... พอแล้ว เจ็บนะเว่ย เอากระดูกมาแทงเนี้ย”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก... มึงมัน... แม่งเอ๊ยยยยยยยย!” มันเอาสองมือกุมหน้าไว้ แต่ปากยังตะโกนด่าผมไม่เลิก มันมีปากเป็นอาวุธไม้ตายจริง ๆ เว้ย
“โอ๊ย ๆ ๆ” ผมหลบเท้าที่หวดมาเตะหน้าแข้ง “อะไรวะ... จะโรแมนติกซะหน่อย... มึงไม่ชอบเหรอ”
แสร้งทำท่าน้อยใจนิด ๆ จนอีกคนมันยอมหยุดเท้าเอาไว้... แล้วค่อย ๆ เสสายตาหลบผม...
“อะไร... โกรธเหรอ...” คราวนี้ผมรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจเลย... จริงอยู่ว่าผมไม่แคร์คนทั้งโลกแต่กับคนตรงหน้านี่มันไม่ใช่...
ผู้ชายตัวผอม ๆ ตรงหน้าลงไปนั่งยอง ๆ ซบหน้าลงกับหัวเข่า ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปล๊บกว่าเดิม... ถ้าไม่ใช่ว่า...
“เปล่า... กูเขิน”
“ฮะ!?... อะไรนะ?”
“เชี่ย! ก็บอกว่ากูเขิน จะให้พูดอะไรหลายรอบวะ ไม่ได้แคะขี้หูรึไง!”
ผมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นกับประโยคนั้น แม่ง... ตะโกนขนาดนี้แม่ค้าส้มตำหน้าปากซอยแกยังรู้เลย ผมก้าวไปหยุดตรงหน้ามันก่อนจะก้มลงมานั่งยอง ๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกัน บรรยากาศตอนนี้แทบไม่มีรถเพราะร้านอยู่ในซอยเล็ก ๆ คนที่เข้ามาก็นั่งสลอนเป็นพยานรักให้ผมเมื่อกี้อยู่ในร้านกันหมดแล้ว
ผมตะปบหน้ามันเบา ๆ บังคับให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาด้วย ใบหน้าน่ารัก ๆ นั่นยังดูสดใสแม้ว่าจะมีแค่แสงจากเสาไฟฟ้าข้างทางเท่านั้น ผมอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อลูกตาดำของมันยอมเลื่อนมาสบด้วยเสียที...
ทำไมนะ... ทำไมมันถึงได้เป็นคนแบบนี้...
ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลก... คิดว่าคงจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตอีกแล้ว...
ผมหลับตาลงนึกภาพของแฟนเก่า... กับประโยคนั้นที่ยังรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา...
‘แอมขอบอกอะไรไว้สักอย่างนะ ที่แอมขอคินเป็นแฟนน่ะไม่ใช่ว่าเพราะคินเป็นคนดีอะไรหรอกนะ แต่เพราะคินดังมาก คินมันก็มีดีแต่หน้าตา! นิสัยห่วยแตก! คนอย่างคินน่ะไม่มีวันที่ใครจะมารักหรอก!”
ไม่มีงั้นเหรอ...
ปลายนิ้วผมเกลี่ยเบา ๆ ที่ข้างแก้มนิ่มที่บัดนี้ขึ้นสีเรื่ออย่างน่าจับมาจูบซ้ายทีขวาที... ความรู้สึกเหมือนมีดอกไม้เบ่งบานในใจนี่มันอะไรกันวะ ทำอย่างกับกูเป็นสาวน้อยแรกรักไปได้...
“กูมีอะไรจะบอก... ฟังให้ดีนะ เพราะกูจะพูดเบา ๆ”
“แล้วทำไมมึงไม่พูดให้ดังวะ” ผมเกือบหลุดหัวเราะให้เสียบรรยากาศโรแมนติก ไอ้แห้งนี่สามารถต่อปากต่อคำกับผมได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ ว่ะ... นับถือยิ่ง!
แต่ก็ไอ้ผู้ชายตัวผอม ๆ เก้งก้างคนนี้ไม่ใช่เหรอที่คอยอยู่กับผมมาตลอด... คอยกุมมือในวันที่ไม่มีใคร คอยนอนหายใจข้าง ๆ กันทุกคืน คอยทำนู่นนี่ให้คนไม่เอาไหนอย่างผม คอยปลอบในยามที่ร้องไห้
คอยสอนให้ผมได้รู้จัก...
“กูไม่เคยบอกประโยคนี้กับใครเลย... ตอนนี้กูจะขอใช้กับมึงเป็นคนแรก และคนสุดท้าย”
ผมเคลื่อนตัวเข้าไปช้า ๆ ในท่าที่เรานั่งยอง ๆ บนพื้นถนนทั้งคู่ ก่อนจะกระซิบ...
“กูรักมึง!”
ครับ... กระซิบเสียงดังมาก...
แมวจรจัดที่เดินผ่านมาถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้ววิ่งหนีไป ไม่ต่างจากไปป์ที่มันหลับตาพริ้มให้ผมตะโกนเข้ารูหูหรอก เพียงแต่ว่ามันทำได้แค่สะดุ้ง ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน แต่ผงะจนลงไปก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น...
“หะ... เหี้ยเอ๊ย! พูดเสียงดังทำไมวะ” มันโวยวายเสียงดังไม่แพ้กัน เออดี... ถ้ามีลูกได้ กูว่าลูกเราคงเป็นนักร้องได้ เสียงมีพลังชิบหาย...
“อ้าว... ก็มึงบอกว่าให้พูดดัง ๆ อะ กูก็อุตส่าห์จัดให้”
“ไอ้เวรเอ๊ย! มึงไม่ซื้อโทรโข่งมาประกาศเลยล่ะ”
“จะเอามั้ยล่ะ?” ผมยักคิ้วกวน ๆ ให้ อีกฝ่ายเลยได้แต่ด่าต่อเป็นคอมโบเซท... อืม... ด่าได้ด่าไป กูสนมั้ยล่ะ?
ผมรู้หรอกว่ามันด่าแก้เขิน เพราะพอมันด่าจนไม่รู้จะเอาอะไรมาด่าต่อมันก็ก้มหน้าลง แต่ข้างแก้มยกขึ้นสูง... ผมรู้น้า... ว่ามันแอบยิ้มอยู่น่ะ โอ๊ย! แม่งจะน่ารักเกินไปแล้วนะโว้ย!
ผมเขยิบเนียน ๆ เข้าไปใกล้ ๆ มัน...
“เอ้า! อ้าปากค้างทำไม สถานการณ์แบบนี้นางเอกต้องตอบกลับว่า ’ไปป์ก็รักคินเหมือนกันนะ’ ไม่ใช่เรอะ”
“ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย” มันจ้องหน้าผม
“ชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยายหรอกเว่ย...” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสี้ยววินาทีนั้น... ไปป์ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บเร็ว ๆ ที่ริมฝีปากผมแล้วผละออกไปแทบจะในทันที มันก้มหน้าหลับตาปี๋... แก้มขาว ๆ สองข้างขึ้นสีเรื่ออย่างชัดเจน...
พระเจ้า! นี่มันวันอะไรกันวะเนี้ย!?
ผมช็อกจนเลือดแทบไปเลี้ยงสมองไม่ทัน... เพราะไม่มีสักครั้งที่มันจะจูบผมก่อน พอตั้งสติได้ผมเลยรีบคว้ามันเข้ามากอดแน่น ๆ แล้วซุกหน้าลงไปกับบ่ามัน รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจเลยล่ะ เหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ... ผมมีความสุขจริง ๆ ยิ่งเวลาได้สูดดมกลิ่นหอม ๆ จากแชมพูที่ผมเลือกให้ยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น...
รู้สึกดีเกินไปแล้ว...
แอบยกมือลูบริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ? แต่ความรู้สึกร้อนผ่าวเสี้ยววินาทีนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวผม... พอมองไปป์ที่เอาแต่หลับตาปี๋ก้มหน้ามองพื้นแล้วก็อยากจะจับตัวมันมาฟัดให้ไส้ไหลออกมาซะจริง ๆ ... หมั่นเขี้ยวว่ะ!
“ภคิน...” ผมกอดมันแน่นขึ้นตอนที่ได้ยินชื่อเรียกนั้น “กูแม่งก็ไม่เคยบอกมึงเหมือนกันว่ะ”
“บอกอะไร”
“ไม่เอา... ไม่บอกละ อยู่ ๆ กูก็เขินว่ะ” มันซุกหน้าอู้อี้กับอกผม... พอตั้งตัวได้ก็เขินเป็นซะอย่างนั้น...
ผมผละออกแล้วคว้าบ่ามันไว้ให้จ้องหน้ากันจัง ๆ “บอกมาเร็ว!”
“ไม่บอกโว้ย!”
“จะบอกไม่บอก”
“อะไรวะ... ของแบบนี้มีบังคับกันด้วยเหรอ” กูบังคับตั้งแต่ตอนขอมึงเป็นแฟนแล้ว... ยังไม่ชินอีกรึไงวะ
“ไม่รู้ล่ะ มึงพูดเปิดไว้แล้วไม่มาต่อยอดได้ไง มันค้างเว่ย”
“ก็ค้างไปดิ...”
“ไปป์...”
“ภคิน...”
“ไปป์...” ผมกดเสียงต่ำกว่าเดิมเพื่อข่มขู่
“เรียกทำไม... จำชื่อตัวเองได้เว่ย”
“กูให้เวลา 3 วินาที... ไม่พูดกูจะสูบไปป์ตรงนี้แหละ” งานนี้กูมีแต่ได้กับได้ครับ...
“เสพสารเสพติดในที่สาธารณะระวังตำรวจจับนะเว่ย แหะ ๆ ๆ”
“หนึ่ง...” ผมเริ่มนับด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม...
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย! อย่าเพิ่งนับดิ” มันเริ่มหน้าเสียครับ... เพราะมันรู้ว่าผมเอาจริงแน่ ๆ
“สอง...”
“อีฟตุ๊บ ๆ ไว้ก่อน” มันว่าแล้วก็ไขว้นิ้วโชว์ให้รู้กติกา ว่าแต่คนไร้อารยะธรรมอย่างผมไม่รู้จักคำว่ากติกาซะด้วยว่ะ...
“สะ...”
“เออ! รักเหมือนกันเว่ย!”
คราวนี้ผมเองซะอีกที่เป็นฝ่ายตะลึง... ไม่คิดว่าคนปากแข็งอย่างมันจะยอมพูดจริง ๆ ... ถึงมันจะไม่พูดแต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่ามันรักผมแค่ไหน... ถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อผมขนาดนี้... แต่พอได้ยินคำนี้ชัด ๆ มันยิ่งทำให้รู้สึกดีจนแทบจะระเบิดตัวเองตายมันตรงนี้ หัวใจที่เต้นตุบ ๆ เหมือนจะหลุดออกมาข้างนอกเลย ซึ่งคาดว่าคนที่บอกก็มีอาการไม่ต่างกันหรอก...
มันก้มหน้ามองพื้นอยู่อย่างนั้น... จนผมต้องเป็นฝ่ายขยับเข้ามาจูบลงเบา ๆ ที่หน้าผาก... ที่จริงก็อยากทำมากกว่านี้แหละ แต่สถานที่มันไม่เอื้ออำนวย... ผมเลยฉุดแขนมันให้เดิมตามไปที่รถมหัศจรรย์อย่างไอ้เน่า...
“กลับไปเคาท์ดาวน์ที่ห้องเราดีกว่าเนอะ” ผมว่าพลางสวมหมวกกันน็อกลงบนหัวยุ่ง ๆ นั่น
“เออ... น่าจะไปตั้งนานแล้วแม่ง มายืนผิดผีข้างถนนทำไมวะเนี้ย” มันบ่นอุบอิบ “มีใครมันบ้ามาบอกรักกันข้างทางจนแมวสะดุ้งแบบนี้มั้ยวะ”
“ไม่มี...” ผมยักไหล่ “กูมันคนพิเศษไง”
“มึงมันหลงตัวเอง!”
“แต่มึงน่ะ... คนพิเศษของคนพิเศษ” ผมเขกหัวมันผ่านหมวกกันน็อกเบา ๆ “มึงแม่งโคตรโชคดีเลยว่ะ”
“พล่ามพอรึยัง จะได้กลับห้องกันซะที”
แนะ ๆ ... ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อนความเขิน คิดว่ากูไม่รู้รึไงเนี้ย ใจจริงก็อยากจะแกล้งแหย่ให้มันเขินเล่นต่อหรอกนะ แต่ตอนนี้ผมอยากกลับไปนอนฟัดไอ้แห้งนี่เล่นซะแล้วสิ เลยได้แต่ขึ้นควบไอ้เน่าแล้วบึ่งรถออกไป...
2012 โลกจะแตกก็ช่างหัวมันสิ...
แค่ได้ยืนข้าง ๆ กันตรงนี้.. .ชีวิตนี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...
TBC
กลับมาแล้วค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
HAPPY NEW YEAR 2012 นะคะทุกคน
หายไปนานเลย ตอนนี้เลยจัดเต็ม....ยาวสุดๆไปเลย ที่มาช้าเพราะตอนแรกเขียนเก็บไว้กะจะโพสช่วงสอบ แต่มีการปรับก็เลยลบเขียนใหม่หมด จึงเวิ่นเว้อดองเกือบข้ามปีอย่างที่เห็นค่ะ/ก้ม/
ขอให้ปีใหม่เป็นปีที่ดียิ่งขึ้นไปอีกนะคะ รักคินรักไปป์ให้มากๆนะคะ(อะไรของเมิงงงงงงง)
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รักเธอเสมอมิ่งขวัญ

PS.ของขวัญปีใหม่สำหรับทุกคนค่ะ(เผื่อบางคนยังไม่เห็นในแฟนเพจ) คินแอบขโมยมาให้....
