Room 60
ผมมองช้อนสแตนเลสเย็นเยือกในมือเงาสะท้อนบนนั้นคือใบหน้าที่ซูบผอมจนเห็นกรามชัดเจน....ดวงตาโหลๆที่บวมช้ำกับขอบตาดำช่วยเสริมให้ผมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอนาถที่สุดในตอนนี้ ผมถอนหายใจยาวๆแล้วหันไปสนใจหมุนตะเกียบในมืออีกข้างจนมันกระทบกันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดชวนเสียวฟัน
ภัตตาคารในโรงแรมแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยสีแดงแซมสีทอง.... บรรยากาศดูหรูหราสมกับเป็นหนึ่งในร้านอาหารชื่อดังของเชียงใหม่ ครอบครัวผมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รวมถึงพ่อที่ไม่ได้กินข้าวร่วมกันมาเป็นอาทิตย์ พ่อทำตามที่สัญญากับผมไว้จริงๆ ภัตตาคารนี่อาหารรสชาติไม่ได้น้อยหน้าใครอย่างที่พ่อบอก....อาหารจีนรสชาติไม่เลี่ยนถูกปากคนไทยถูกลำเลียงมาจัดวางไว้เสียเต็มไปทั้งโต๊ะ
“เป็ดย่างเค้าอร่อยกว่าเป็ดเอ็มเคเป็นล้านเท่าเลยเนอะพี่ไปป์”
“อืม...อร่อยดี” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปคีบเป็ดมายัดใส่ปาก เหมือนปฏิกิริยาตอบสนองจะน้อยไปไอ้เชอร์เลยยังเซ้าซี้ต่อ
“รสมันเข้มข้นมากเลยเนอะ อ๊อ!!พี่ไปป์ยังไม่ได้ลองขาหมูน้ำแดงเลย....นี่เลย!!” เชอร์ตักขาหมูชิ้นเบ้อเร่อวางลงในจานผมพลางฉีกยิ้มให้ “กินเยอะๆนะพี่ไปป์”
เพราะเป็ดที่ยังคาอยู่ในปากผมเลยไม่ได้ตอบอะไรไป เชอร์ยังคงคะยั้นคะยอให้ผมกินนู่นกินนี่ไม่หยุด...สักพักแม่ก็มาร่วมวงช่วยตักนู่นนี่ใส่จานผมจนเต็มไปหมด แม่กับเชอร์คุยกันสนุกสนานเหมือนเคย...หรืออาจจะพยายามให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมนั่งฝั่งตรงข้ามกับพ่อ...แต่ตั้งแต่เรานั่งที่โต๊ะผมก็ไม่ได้สบตากับพ่อเลยแม้แต่น้อย เฮ้อออออออ...ผมว่าผู้ชายบ้านเรามีปัญหาเยอะจริงๆ
พ่อก้มหน้าก้มตากินไม่ต่างจากผม เราคุยกันน้อยมาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเดือนก่อน ผมไม่เคยทะเลาะกับพ่อรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน อย่างมากก็เรื่องที่ผมเกเรที่โรงเรียน ซึ่งพ่อก็แค่ดุ นี่เป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกันจนมองหน้าแทบไม่ติด ตอนแรกเราเถียงกันรุนแรงมาก....แต่พอพ่อก้มหัวให้ผม....ผมก็พูดอะไรไม่ออกอีกตั้งแต่วินาทีนั้น และผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
ในเมื่อไม่เห็นว่าเวลาจะทำให้อะไรดีขึ้นอย่างที่พ่อบอกเลย พ่อยังเสียใจเรื่องผมไม่หาย....และผมก็ยังคิดถึงภคินไม่หายเช่นกัน....มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันนะ “แล้วเรื่องโรงงานไปถึงไหนแล้วล่ะคุณ?” พอเห็นพ่อเงียบๆไปแม่เลยหันมาสนใจตักอาหารให้พ่อบ้าง
“ก็เรื่อยๆน่ะ งานเดินช้ากว่าแผนที่วางไว้นิดหน่อย มีปัญหาเรื่องราคาเครื่องจักร แต่ตอนนี้ตกลงกันได้แล้ว”
“คุณก็ทานเยอะๆด้วย” แม่ถอนหายใจ
“เหนื่อยสินะ” พ่อพยักหน้าเบาๆกับคำถามนั้น....ผมหน้าชาวาบไปหมด พ่อกับแม่อาจไม่ได้คิดอะไร...แต่ไอ้ประโยคสั้นๆที่บอกว่า ‘พ่อเหนื่อย’ นี่มันมีอิทธิพลต่อใจผมจริงๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่...ผมก็รู้ตัวอยู่ดีว่าพ่อกำลังเหนื่อยกับผมมากขนาดไหน ผมไม่เคยดื้อเงียบกับพ่อแบบนี้มาก่อน
อาหารหรูราคาแพงดูจืดชืดไปถนัดตาเมื่อใจไม่เป็นสุข.... แม้แต่เชอร์ที่เป็นเจ้าภาพเพราะสอบมหาลัยติดยังดูไม่สดใสเท่าที่ควร ผมรู้ว่ามันเป็นห่วง แต่จะทำไงได้ล่ะ....ก็คนมันไม่อยากอาหารจริงๆนี่ หลังจากเช็คบิลเรียบร้อยรถเก๋งคันเดิมก็ค่อยๆเคลื่อนตัวกลับบ้าน ในรถมีเสียงเพลงจากวิทยุ แต่ปราศจากการพูดคุยไม่ต่างจากขามา ผมเอ็นหลังนอนพิงราบไปกับเบาะ พอกินข้าวอิ่มก็ง่วงนอนอีกแล้ว ชีวิตผ่านไปวันๆแค่กินกับนอนจริงๆ...
ไม่รู้ว่างีบหลับไปตอนไหน... ผมสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมองเพราะเสียงพ่อสบถเสียงดังลั่น แถมเครื่องยนต์ที่เร่งขึ้นอย่างกระทันหันทำเอาคนในรถตกใจ ตัวรถหลุดเข้ามาในรั้วบ้านทั้งคัน พ่อรีบลนลานคว้ารีโมตอัตโนมัตขึ้นมากดปิดประตูทันที... ผมขมวดคิ้วสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้พ่อต้องหนีถึงขนาดนั้น บานประตูแผ่นเหล็กหน้ากำลังเลื่อนปิดลงช้าๆตามระบบไฟฟ้า....และก่อนที่มันจะปิดสนิทนั้นผมเห็นเสี้ยวหน้าที่คุ้นเคย....ไม่รู้ว่าคิดถึงจนเป็นบ้าตาฝาดไปหรือเปล่า.....แต่นั่นมัน....
“ภคิน....” ผมพึมพำชื่อในความคิดออกมา ไม่มีใครกล้าตอบอะไรทั้งนั้น “พ่อ!! ภคินมันอยู่หน้าบ้านเราเหรอ”
พ่อไม่ตอบคำถามนั้นแต่ดับเครื่องยนต์ลงเสียอย่างนั้น “ทุกคนเข้าไปในบ้าน”
“พ่อ....”
“พ่อบอกว่าให้เข้าบ้านไง!!”
ผมสะดุ้งที่ถูกพ่อขึ้นเสียงใส่ พ่อดูเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม่สบตาพ่อก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้ผมกับเชอร์ลงรถไป.... ให้ตายเหอะ!!นี่มันต้องมีอะไรแน่ๆ พอผมทำท่าดื้อจะอยู่ต่อพ่อก็หันมาส่งสายตาปวดร้าวใส่
“สัญญากับพ่อแล้วไม่ใช่เหรอว่า.....”
“ไปป์!!!!” เสียงที่ไม่ได้รับเชิญดังก้องมาจากเบื้องหลังประตูบานนั้น
“กูมารับกลับแล้ว!!” เพียงแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น...ความรู้สึกมันก็ท่วมท้นขึ้นมาในอก... ผมปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่หลุดออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงจากสายโทรศัพท์ยังไงก็สู้เสียงจากคนจริงๆไม่ได้หรอก....
“ไปป์....เข้าบ้าน” พ่อกัดฟันพูด
“ขอโทษที่มาช้า!!” มันยังตะโกนแทรกเข้ามา
“กูเก็บเงินค่าตั๋วรถนานไปหน่อย!!” ไอ้เวรเอ๊ย!! ผมแทบจะสำลักน้ำตาตัวเอง นี่มาเหยียบแผ่นดินเดียวกันไม่กี่นาทีมันก็ทำผมยิ้มออกซะแล้ว อยากจะตะโกนตอบกลับไปเหมือนกัน ถ้าพ่อไม่ตะคอกเสียงดัง
“เข้าบ้าน!!” แม่ดึงแขนผมเบาๆเป็นเชิงให้เดินตามเข้าบ้านไป พอหันไปทำปากพะงาบๆเหมือนจะพูดอะไรแม่ก็พยักหน้าไปทางพ่อที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผมเลยต้องเดินตามแรงดึงเข้าบ้านไป แม่กดไหล่ผมให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้.....ผมเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองร้องไห้ บ้าเอ๊ย!!เกิดมาไม่เคยร้องไห้บ่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
“มะ....แม่....ไปป์อยากเจอมัน”
“ใจเย็นๆไปป์ ตอนนี้พ่อโกรธมาก รอพ่อเย็นลงกว่านี้ก่อนนะ...แม่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต” แม่ลูบหัวให้ผมเย็นลง
“มันจะโดนพ่อฆ่ามั้ยเนี้ย”
“ไม่หรอก......มั้ง...”
“โธ่....แม่...”
“อย่าขมวดคิ้วสิตัวแสบ” แม่ลูบไหล่ผมเบาๆ ไอ้เชอร์เห็นผมดูกังวลเลยตามมาสมทบ
“พี่ไปป์รู้จักพี่คินเขาดีไม่ใช่เหรอ คิดว่าถ้าเขาโดนพ่อไล่แล้วจะกลับไปมั้ยล่ะ”
“ไม่มีทาง”
“นั่นไงล่ะ งั้นก็ไม่ต้องเครียดหรอก ต่อให้พ่อไล่พี่เขาก็ไม่ไปหรอกจริงมั้ย?”
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้แม่กับเชอร์สบายใจ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้ ไม่ได้กลัวเรื่องที่มันจะหนีกลับกรุงเทพหรอก แต่ผมกลัวมันจะไปเกรียนแตกใส่พ่อเข้าน่ะสิ พ่อยิ่งไม่ชอบที่มันเป็นแฟนผมอยู่ด้วย นี่ถ้าเจอนิสัยมันเข้าไปอีก....แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
....................................................................
....................................................
......................................
.....................
ผมได้เห็นหน้าไปป์เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น.....โชคดีที่มันเอนหัวพิงกับกระจกฝั่งผมพอดีเลยทำให้เห็นเสี้ยวหน้านั่นชัดเจน แม้จะเพียงชั่วครู่ก็ทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวของผมได้น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว มันยังคงน่ารักเหมือนเดิม...ถึงจะดูผอมลงไปบ้าง.....แม่ง ปกติก็ผอมจะแย่อยู่แล้ว นี่กะจะให้เหลือแต่กระดูกเลยรึไง
พี่ภูมิเร่งเครื่องเสียจนควันดำอัดเข้าที่หน้าผมจนต้องสำลักไอค่อกแค่กออกมา หน้าตาตอนเขาเห็นผมอย่างกับเจอผีแหน่ะ...คงไม่คิดว่าผมจะบ้าดีเดือดตามมาขนาดนี้ เขาตอบแทนผมที่อุตส่าห์ลากเฝือกเก่าๆมาจากบริษัทรถทัวร์มานั่งรอเขาตั้งหลายชั่วโมงด้วยการตะคอกให้ไปป์กลับเข้าบ้านไป ผมยังไม่ได้เห็นหน้ามันชัดๆเลยนะ ทั้งๆที่มีแค่แผ่นเหล็กบางๆกั้นเท่านั้น แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย.... ผมเกลียดเวลาตัวเองทำอะไรไม่ได้มากที่สุด สุดท้ายก็ได้แต่นั่งรออยู่หน้าบ้านจนมีเสียงกระชากรั้วเหล็กดังขึ้นเหนือหัว
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้
“มาทำอะไรที่นี่!!” เขาขึ้นเสียง “กลับบ้านไปเถอะ”
“ผมไม่กลับครับ” ผมจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง “นอกจากว่าไปป์จะกลับไปพร้อมกับผม”
“อย่ามาพูดอะไรบ้าๆนะคิน... ลูกลุงต้องอยู่ที่นี่!! จนกว่าจะเปิดเทอม แล้วลุงก็จะลงไปอยู่กับเขาที่นู่นด้วย!!”
“อะไรนะครับ!!”
“ลุงจะเปิดโรงงานที่นู่น และไปป์จะต้องอยู่กับลุง”
“ไม่ได้นะครับ!!” คราวนี้ผมกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหวจนต้องขึ้นเสียงเอง “จะมาบังคับจิตใจไปป์แบบนี้ไม่ได้นะครับ”
“คินไม่เข้าใจลุงหรอก คินไม่เคยเป็นพ่อคน....พ่อที่กำลังเห็นลูกเดินไปในทางที่ผิดน่ะ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าทางนั้นมันผิดล่ะครับ?”
เขาจ้องตาผมอย่างดุดัน เยี่ยมเลย....เราเถียงกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ผมอยากจะสบถออกมาเสียแต่ว่ามันไม่สุภาพกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเขาคนนั้นเป็นพ่อของคนสำคัญของผม ผมเลือกที่จะเงียบแล้วมองอย่างไม่ยอมแพ้ ผมจะไม่มีวันกลับกรุงเทพไปมือเปล่าแน่ๆ! ก่อนมาผมอาจจะล้ม....แต่ถ้ามาเหยียบที่นี่แล้ว ผมไม่มีวันยอมล้มลงไปอีกแน่ๆ ความกดดันลอยอวลในอากาศ...มันเป็นความเงียบที่กดดันให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมาก่อน สุดท้ายคุณลุงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ...
“คืนลูกชายให้ลุงเถอะ”
“เขาเป็นของลุงมาตั้งนานแล้วครับ” ผมไม่ได้โกหก...ลูกทุกคนย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าของพ่อแม่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจไอ้ความอบอุ่นจากครอบครัวอะไรนั่นสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยรู้สึกเหมือนถูกทิ้งขว้าง...แต่สุดท้ายผมก็ยังต้องการแม่อยู่ดี ไปป์ยิ่งแล้วใหญ่....มันรักครอบครัวมันมากทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ แล้วลุงจะมาขออะไรคืนจากผมอีกล่ะ? ในเมื่อไปป์มันเป็นของเขาตั้งแต่เกิดมาแล้วนี่
“ลุงไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากับไปป์บ้าง แต่ลืมมันซะเถอะ ลุงจะออกค่าตั๋วขากลับให้”
“เก็บไว้เถอะครับ ผมจะรอจนกว่าคุณลุงจะเห็นว่าผมไม่เคยล้อเล่นกับลูกชายลุง ผมจริงจังครับ”
“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ” เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความดื้อด้านของผม “แล้วจะได้รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
เขาปิดกระแทกประตูเหล็กข้างๆรั้วบานใหญ่....เขาเข้าบ้านไปแล้ว และคิดว่าผมคงล่าถอยไปเอง....ผมเนี้ยแหละจะทำให้รู้ว่าเขาคิดผิด!! ผมใช้เวลาร่วมเดือนกว่าทำงานเก็บเงิน แม้จะไม่มานักแต่ก็พอให้ผมใช้ชีวิตตื้ออยู่ที่นี่ได้นานขึ้น แทบจะโดนเพื่อนฆ่าทิ้งเพราะไปทำงานทั้งๆที่ขายังเดี้ยงไม่หาย ใครยื่นเงินให้หยิบยืมหรือขอตามมาด้วยผมก็ไม่เอาทั้งนั้น...นี่มันเป็นเรื่องของผม ผมต้องรับผิดชอบมันด้วยตัวของผมเอง จะเอาไปป์กลับมา จะแสดงให้ครอบครับเขายอมรับด้วยว่าผมไม่ได้ล้อเล่นแบบที่เขาปรามาสไว้!!
ผมปัดฝุ่นออกจากกางเกง...ตอนนี้เริ่มคุ้นชินกับการสวมเฝือกเสียจนบางทีไม่ต้องใช้ไม้ค้ำด้วยซ้ำไป กระเป๋าเป้ใบใหญ่บนหลังถูกรื้อออก ผมเอาอาวุธสุดท้ายที่ไปขอยืมจากไอ้อาร์ทออกมา มันแยกส่วนเป็นชิ้นๆ...ต้องใช้เวลาประกอบสักหน่อย โชคดีที่เตรียมอุปกรณ์มาพร้อมแล้ว... ไม่นานนักเต้นท์ขนาดย่อมก็ตั้งหราอยู่ข้างประตูบ้านเรียบร้อย
ผมจะกางเต้นท์นอนให้เป็นหมาเฝ้าบ้านเขาไปเลย!! ไอ้อาร์ทเสนอแผนนี้ให้เพราะเงินทุนสำรองมีไม่เยอะนัก ส่วนเรื่องอาบน้ำอะไรนั่นโชคดีที่ปากซอยมีบริการห้องน้ำ-ห้องอาบน้ำครั้งละสิบบาทอะไรก็ว่าไป อย่างผมอาบน้ำวันละครั้งก็น่าจะพอเพราะคงได้นั่งอยู่หน้าบ้านทั้งวันไม่ได้สกปรกอะไรอยู่แล้ว ผมกางถุงนอนแผ่หลาลงกับพื้นเต้นท์ เพียงแค่นั้นก็แทบจะเต็มพื้นที่แล้ว หน้าที่ของผมที่นี่คือรอ.....รอ.....และรอเท่านั้น
นอกจากนั้น....ผมยังไม่เห็นอนาคตอะไรอีกเลย...
บางคนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายกับการนั่งเฉยๆอยู่ในเต้นท์ไปเรื่อยๆ คงคิดว่ามันเหมือนกับการนั่งๆนอนๆอยู่บ้านใช่มั้ย....ผิดเลยล่ะ การรอคอยอย่างไร้จุดหมายเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัส น่าตลก....คนที่ไม่เคยรออะไรอย่างผมกลับนั่งๆนอนๆอยู่หน้าบ้านเขาได้เป็นอาทิตย์
คุณลุงขับรถออกบ้านไปทุกเช้า และเหลือบตามองผมอย่างสมเพชทุกเช้า....เขาไม่ได้ออกปากไล่ผมอีกตั้งแต่วันนั้น คงจะรู้ว่าทำไปก็ไรประโยชน์ ในเมื่อผมยังปักหลักเฝ้าบ้านเขาได้เป็นอาทิตย์แล้ว นาฬิกาที่นี่เดินช้าเหลือเกิน....ไม่รู้ว่าเขาตั้งเวลาให้ต่างกับที่กรุงเทพหรือเปล่า..
หรือบางที...นาฬิกาอาจไม่ได้เดินช้าหรอก แต่เป็นใจของผมที่เดินไปก่อนนาฬิกา..
กำแพงเหล็กบางๆที่กั้นเราไว้ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อุปสรรคใหญ่อะไรเลย...แต่กระโดดข้ามไปไม่ใช่เรื่องยากสักนิด....แต่กำแพงในใจคนที่ก่อตัวขึ้นมานี่สิ มันยากจะข้ามไปนัก ทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียง...ผมไม่กลัวว่าไปป์จะเลือกครอบครัวมากกว่าตัวเองหรอก ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันคือคำตอบของทุกอย่างแล้ว
ผมยิ้มให้ตัวเองกับความเติบโตเล็กๆในชีวิต ‘ความไว้ใจ’ เป็นสิ่งที่ไปป์ได้สอนให้ผมรู้จัก ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงนึกน้อยใจมันที่ปล่อยให้ผมนั่งรออยู่คนเดียว ทำไมไม่ยอมออกมาหาบ้าง? คงคิดว่ามันไม่ได้รักผมมากอย่างที่ผมรักมัน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านบอกเราได้มากมายนัก จริงอยู่ที่ไปป์บอกว่าชีวิตของทุกคนเป็นเหมือนโลกหนึ่งใบ ผมอาจะเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งบนโลกของมันเท่านั้น...
“เห็นมั้ย....เราไม่ต้องอยู่บนโลกใบเดียวกันหรอก....ไม่ต้องชอบทุกอย่างเหมือนกัน....ไม่ต้องทำเหมือนกัน....ไม่ต้องคิดเหมือนกัน....ไม่ต้องเป็นทุกอย่างของกันและกัน แค่ตรงนี้มันสำคัญก็พอ....เราไม่ต้องเป็นทุกอย่างของกันและกัน.....แต่เราเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกันและกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
คนห่าอะไรวะ....แค่คิดถึงก็ทำให้นั่งยิ้มอยู่คนเดียวได้
สุขทุกข์มันห่างกันเพียงเส้นบางๆกั้น บางทีก็ยิ้ม...บางทีก็อยากร้องไห้... อยากเห็นหน้า...อยากได้ยินเสียง...อยากกอด....อยากจูบ.....อยากบอกว่า ‘คิดถึง’ มากแค่ไหน แต่มันก็ทำได้แค่ในฝันเท่านั้น....
“นี่....คิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่น่ะลูก”
“ก็จนกว่าพี่แก้วจะยอมให้ผมเจอหน้าไปป์น่ะครับ”
“โธ่....พ่อคุณเอ๊ย!! ดื้อด้านซะจริงนะ”
ประโยคตำหนิ....แต่แววตาของพี่แก้วกลับอ่อนโยน เธอลงกลอนประตูเหล็กแล้วเดินมาทักทายผมที่นั่งนิ่งๆอยู่ ผมรีบยกมือไหว้เธอซึ่งเธอก็พยักหน้ารับไหว้ ผมเจอหน้าเธอแทบทุกวัน....ไม่สิ ผมเจอหน้าทุกคนในบ้านยกเว้นคนที่อยากเจอที่สุด พี่แก้วอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็ค เธอแต่งตัวแบบนี้ออกไปดูงานที่โรงพิมพ์ทุกวัน พอลองพิจารณาดีๆแล้ว..ไปป์นี่หน้าเหมือนแม่ชะมัดเลย โดยเฉพาะดวงตาโตๆกับจมูกนั่นถอดแบบออกมาเป๊ะๆเลย
“เปลี่ยนใจมาจีบแม่แทนลูกแล้วเหรอคิน”
ผมหัวเราะกับคำเอ่ยแซว “ไม่กล้าหรอกครับ”
“นั่งหน้าบ้านเค้าเป็นอาทิตย์ยังมีอะไรที่ไม่กล้าอีกเหรอลูก” เธอเดินมานั่งยองๆลงข้างๆผม “แม่ก็อยากให้เราเจอกันอยู่หรอกนะ แต่ไปป์เขาสัญญากับพ่อไว้ว่าจะไม่ติดต่อกับใครจนกว่าพ่อจะอนุญาต”
“..........”
“ลูกชายแม่โทรมมากเลย....แม่ไม่เคยเห็นไปป์ซึมขนาดนี้มาก่อนเลย กินข้าวเท่าแมวดม ถามคำตอบคำ เครียดลงกระเพาะจนต้องกินยาต่างน้ำ แถมยังฝืนยิ้มอยู่บ่อยๆ เฮ้อออออออออ...”
“สภาพมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เขาพยายามไม่ต่างจากคินหรอก ต่างฝ่ายต่างรอ เพียงแต่ว่าแม่เองก็ไม่รู้มันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน” พี่แก้วยิ้มอย่างเหนื่อยล้า “แม่จะพยายามคุยกับพ่อเขาให้นะลูก”
“จริงเหรอครับ!! ขอบคุณมากครับพี่แก้ว” ผมรีบยกมือไหว้ปลกๆ อย่างน้อยก็หวังว่ามันจะช่วยให้อะไรๆเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกลูก...แม่ทำเพื่อไปป์ต่างหาก” เธอว่าแล้วลุกขึ้นยืน “แต่ก็ไม่รู้จะดีขึ้นมั้ย อย่างที่เห็นพ่อเขาเสียใจกับเรื่องนี้มาก ไปป์เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านเรา แล้วเรื่องแบบนี้มันก็ค่อนข้างละเอียดอ่อน”
“ครับ.....ผมเข้าใจ”
“พ่อเขาไม่ได้เกลียดคินนะลูก” พี่แก้วลูบหัวผม “เขาแค่รักไปป์มากเท่านั้นเอง”
ผมหลับตาลง... ใช่...ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี ถึงไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาอะไรทั้งนั้น เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดจากความรัก ต่างฝ่ายต่างรัก....หวังให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขทั้งนั้น แล้วความรักนั้นก็ย้อนกลับมาทำลายทุกคนเช่นกัน นั่นแหละความรักที่ผม ‘เคย’ เกลียดนักเกลียดหนา เพราะมันทำให้สุขและทุกข์ไปพร้อมๆกัน ที่โง่กว่าคือเรากลับขาดมันไม่ได้เสียอย่างนั้น...
“ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว...ช่วยทำให้ลูกแม่กลับมายิ้มเหมือนเดิมทีนะ”
“แน่นอนครับ”
ผมจะทำให้รอยยิ้มนั้นกลับมาจุดไฟในโลกอันมืดมิดของผมอีกครั้ง เหมือนที่มันเคยฉุดผมขึ้นมาจากความเจ็บปวดที่เคยได้รับ ไปป์ทำให้ผมเป็นคนใหม่ได้...แล้วทำไมผมจะทำให้ไปป์เป็นคนเดิมไม่ได้ล่ะ?
ความหวังเล็กๆที่พี่แก้วหยิบยื่นให้ช่วยรดน้ำในหัวใจผมไปได้หลายวัน... แต่น้ำที่ไหลลงบนดินย่อมมีวันเหือดแห้ง หลังจากเสียงแสงสว่างที่ปลายทางได้อาทิตย์กว่าๆตอนนี้ผมเริ่มจะมองไม่เห็นแสงของทางออกนี้เสียแล้ว พี่แก้วกับน้องเชอร์ทำได้เพียงส่องรอยยิ้มจางๆให้ทุกครั้งที่เดินออกจากบ้าน ผมอยู่ที่นี่ตลอดเวลา และไปป์ก็อยู่ข้างในนั้นตลอดเวลา...แต่เรากลับพบกันไม่ได้
วันนั้นเป็นวันที่อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวของกลางเดือนเมษา ผมสังหรณ์ใจไม่ผิด เพราะในดึกคืนนั้นพายุฤดูร้องลูกใหญ่ก็บุกเข้าเชียงใหม่มาจริงๆ ลมพัดแรงจนผมต้องรีบถอดชิ้นส่วนของเต้นท์ออกเพราะอย่างไรมันก็ไม่มีทางต้านลมไหว ทางเดียวที่ทำได้คือเก็บของแล้วหาเพิงเล็กๆที่ยื่นออกมาจากรั้วบ้านเป็นที่พักพิงเท่านั้น
ผมเบียดตัวเข้ากับผนังจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน ชีวิตแม่งน้ำเน่าอย่างกับละคร....หลบอย่างไรฝนห่าใหญ่ก็รุมสาดเข้ามากระทบผิวกายได้อยู่ดี เอาสิวะ....แค่นี้มันจะเจ็บอะไรมากมายไปกว่าที่ใจอีกล่ะ? กระเป๋าและถุงนอนในอ้อมกอดเปียกโชกไปหมด ยังดีที่เอาถุงพลาสติกครอบเฝือกไว้ได้ทัน ถ้าเฝือกโดนน้ำอีกคงโดนคุณหมดสวดยับแน่ๆ ผมสบถกับความโชคร้ายที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุด
เอาเถอะ....ลำบากกว่านี้ผมก็เคยมาหมดแล้ว อีกะแค่ฝนมันจะอะไรนักหนาเชียว ท้องฟ้าสีดำสว่างวาบเพราะฟ้าแล่บแทบจะตลอดเวลา พายุฤดูร้อนโหดร้ายพอสมควรสำหรับคนไร้ที่อยู่แบบที่ผม ผมเอนหัวซบลงกับผนัง ฟังเสียงฝนเคล้าเสียงคำรามของฟ้า พลางนึกย้อนไปถึงชีวิตที่ผ่านมา....
มันเป็นเวลาที่เหนื่อยล้าเหลือเกิน....ทุกอย่างตรงหน้ามืดสนิท ไม่มีทางออกกับเรื่องราวของเราเลยเหรอ? ผมไม่เคยเป็นหมาจนตรอกขนาดนี้มาก่อน....ไม่เคยโดนผลักแล้วลุกไม่ขึ้น.... บางทีก็คิดว่าตัวเองคงทนต่อไปไม่ไหว แต่พอคิดว่าต้องกลับไปอยู่กับความเดียวดายที่รอคอยอีกทั้งชีวิต ผมยอมนอนตายอยู่ที่นี่ดีกว่า....
ในยามที่รู้สึกอ่อนแอที่สุดผมกลับร้องไห้ไม่ได้อย่างใจคิด.... ทั้งๆที่ไม่ต้องอายใครเพราะมีสายฝนช่วยพลางเอาไว้แท้ๆ อันที่จริงถ้าลองนึกย้อนไปผมก็แทบไม่เคยร้องไห้อยู่แล้ว แล้วทำไมตั้งแต่มีมันเข้ามาในชีวิตผมถึงได้ร้องไห้บ่อยขนาดนั้น จริงอยู่ว่ามันเป็นความอัดอั้นในใจมานาน....แต่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะมีบ่าเล็กๆที่พร้อมจะรองรับน้ำตา มีมือคู่หนึ่งที่พร้อมจะลูบหลังเบาๆ มีริมฝีปากเล็กที่ไม่เคยบอกให้ ‘หยุดร้อง’ แต่กลับบอกว่า ‘ร้องออกมาให้หมด’
ใช่แล้ว....มันเป็นผู้ชายที่มีความหมายกับผมมากเหลือเกิน....
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงฟ้าผ่าดังก้องจนหูอื้อไปหมด ผมที่กำลังจะเคลิ้มหลับสะดุ้งสุดตัวขึ้นมา แต่ที่ตกใจกว่าคือภาพที่เห็นตรงหน้า...
เขายืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับร่มคันใหญ่ในมือ ผมไม่อาจเดาได้ว่าดวงตาคู่นั้นสะท้อนอะไรออกมา
ตอนนี้เขารู้สึกเช่นไร? และมาทำอะไรที่นี่?
TBC
ในที่สุดก็ได้มาโพสซะทีค่ะ//คลานเข้ามา//
จะโพสตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดันมีเรื่องเข้ามาตลอดทั้งวัน แต่ยังไงก็ได้มาโพสแล้วนะคะ เย้ เย เย่!!
เจอกันตอนหน้าจ้าาา
ปล.เปิดเทอมแล้วเหมือนสิ้นใจ....