8.2 ไปหอสมุดกันเถอะ
เช้าวันเสาร์ที่สดใส ผมมารับกิ๊งตามที่ได้นัดกันไว้เมื่อวานนี้ ทั้งที่มาก่อนเวลาสิบนาทีแต่กิ๊งก็ออกมารอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าหอเรียบร้อยแล้ว แหม.. ว่าจะขึ้นไปตามที่ห้องเสียหน่อย อดเลย...
ผมจอดยานพาหนะของตัวเองที่ด้านหลังหอสมุด ตอนนี้ผมยังคงขับมีโออยู่ ตอนหลังไม่ได้สนใจบีเอ็มเท่าไรแล้วเพราะมีคนบอกว่าอยากซ้อนท้ายมากกว่าเป็นตุ๊กตาหน้ารถ... เอาเถอะ ขอให้มีมันอยู่ใกล้ๆ อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไปเหอะ
แต่ที่แน่ๆ มึง... เป็นคนที่กูรักก็แล้วกัน!
อ่ะ...แล้วเมื่อไรเราจะรักกัน
แล้วเมื่อไร...กิ๊งจะรักกันย์?
ไกด์นำเที่ยวก้าวเท้าฉับๆ นำไปก่อนโดยไม่รอ ผมก้าวเท้ายาวๆ จนทันมันแล้วเดินเคียง รอยยิ้มที่ฉายชัดในใบหน้าแต่แรกของผมคงถูกคำถามในใจกลืนหายไป ไม่ถึงกับเศร้าแต่ไม่อยากคาดหวัง และกำลังทำใจ แม้จะเดินเคียงคู่ แต่เหมือนกับมีอะไรบางๆ ขีดกั้นกลางระหว่างเราเอาไว้
สิ่งนั้น คือ เพศ... ที่เหมือนกัน!
ผมชะลอฝีเท้าให้ช้าลงโดยไม่รู้ตัว แต่สายตายังคงเพ่งที่จุดๆ เดิม มองทางมันไม่ละสายตา หรือจะพูดให้ถูกคือ ละสายตาไปไม่ได้มากกว่า มันคงรู้ตัวจึงหันมาถาม
“คิดอะไรอยู่เหรอ?” น้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยนั้นเองที่ทำให้ผมเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มกว้างทั้งปากและตา เดินเข้าไปเคียงมันที่หยุดยืนอยู่หน้าบันไดวน ก้มลงตอบคำถามด้วยเสียงเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบที่หูของมัน
“คิดถึง...” ถ้าพูดแบบนี้กับผู้หญิง เค้าคงจะบิดกายม้วนต้วนอายหน้าแดงแล้วก็เอามือมาทุบแขนผมแล้วบอกว่า ‘บ้า’ ไปแล้ว แต่กับกิ๊งเวลาเจอมุขแบบนี้มันมักจะชะงักก้มหน้าซ่อนพวงแก้มแดงเรื่อเหมือนเด็กผู้หญิง ก่อนจะกลบเกลื่อนว่าตัวเองอายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง บางทีก็หันหน้าหนีไปแป๊บนึง ถ้าไม่หันหนีก็กัดริมฝีปากล่างพยายามกลั้นยิ้ม หรือไม่ก็ต่อปากต่อคำ ซึ่งในสายตาผม ทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ส่วนตอนนี้มันชะงักเท้าแล้วหันมามองหน้าผม ปรับสีหน้าเขินๆ เป็นเรียบเฉย
“มึงคิดถึงใครวะ แพรหรือคนอื่น” แทนที่จะรับมุขแต่โดยดีกลับถามเชิงแซวกลับมาซะงั้น
“คิดถึงมึงไม่ได้เหรอ...” หยอดกลับไปด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“คิดถึงทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้”
“กับคนที่สำคัญน่ะจะอยู่ใกล้หรือไกลก็คิดถึงได้ทั้งนั้นล่ะ” ผมยังคงส่งเสียงหวานไป แต่อีกฝ่ายกลับยกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างหมิ่นแคลน
“ชิ!! อย่ามาพูดเลย อย่างมึงน่ะมัน...คึดฮอดแต่กอดบ่ได้...” มันทำน้ำเสียงเหมือนกำลังงอนเมื่อเอ่ยชื่อเพลงลูกทุงขึ้นมา
“ทำไมจะกอดไม่ได้...” ผมย้อนถามกลับไป พร้อมกับอ้าแขนออกเตรียมจะรวบร่างมันมาไว้ในวงแขนให้สมอยาก หากแต่มันกลับเบี่ยงกายหนี พร้อมชูนิ้วชี้เป็นเชิงขู่
“อย่านะโว้ย เดี๋ยวมีคนมาเห็น กูไม่อยากเป็นข่าวกับคนมีแฟนแล้ว ขาดทุนชิบหาย” มันว่าแล้วเดินหนีขึ้นบันได
เหอะ! ถ้ากูเป็นโสดแล้วมึงยอมเป็นข่าวกับกูแต่โดยดีไหม กูจะได้ไปทำให้ตัวเองโสดซะเดี๋ยวนี้!!
ผมเดินตามมันขึ้นบันไดไป ไม่ต้องรีบเลยเพราะมันก็ยังก้าวเท้าช้าอย่างเก่า
“จะถามหลายครั้งแล้วว่ะ มึงมีปัญหาอะไรกับบันไดเหรอ เห็นเวลาขึ้นลงบันไดทีไรทั้งเดินช้าทั้งเกาะราวแน่น”
“อือ ทะเลาะกันนิดหน่อย” อ่ะดูมัน คนบ้าที่ไหนทะเลาะกับบันได แต่ตอบอย่างนี้แสดงว่าไม่อยากเล่า อืม... สักวันผมจะถามมันอีก ไม่ใช่อยากเสือกนะ ผมก็แค่อยากรู้ทุกๆ เรื่องของมันก็เท่านั้นเอง
ถึงชั้นสองแล้ว หอสมุดมีทางเข้าออกแยกกันอย่างชัดเจน กิ๊งเตือนให้นำบัตรนิสิตออกมาให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยเพราะใส่ชุดนอกเครื่องแบบมา ผมเดินตามมันเข้าไปด้านใน แล้วยืนรอให้มันคืนหนังสือที่ยืมมาจนเสร็จ แล้วก็เดินตามไปที่หน้าคอมพิวเตอร์
ทั้งๆ ที่หาหนังสือหัวข้อเดียวกัน ทำไมผมหาไม่เจอเลยวะ แล้วทำไม กิ๊งมันจดรายชื่อลงกระดาษยิกๆ วะนั่น
“ทำไมมึงเจอเยอะจังวะ กูหาไม่เห็นเจอ” เมื่อข้องใจต้องขอถาม
“ก็ที่มึงหาน่ะมันเรื่องจ้อยมันไม่ค่อยมีเป็นหนังสือเล่มๆ เวลาหามึงเลือกว่า ทุกเขตคำค้นด้วย เพราะนอกจากชื่อหนังสือแล้วมันจะค้นหาหัวเรื่องให้ด้วยจะเจอเยอะกว่า แล้วก็เพื่อความรวดเร็ว เลือกแสดงหน้าละหกสิบไปเลยเผื่อบางเรื่องมันสืบค้นมาเป็นร้อย กดดูทีละสิบเสียเวลา แล้วก็พอเจอหนังสือกดเข้าไปเช็คสถานะด้วยว่า หนังสืออยู่ที่ชั้นหรือถูกยืมไปจะได้ไม่ไปหาเก้อ ......” มันสาธยายเรื่องการใช้เว็บค้นหาหนังสือในห้องสมุดอีกยาวเหยียด ปกติเรื่องนี้ก็มีรุ่นพี่แนะนำบ้างแล้ว แต่ผมไม่ค่อยใส่ใจ เวลาทำรายงานกันก็อย่างที่ไอ้สามตัวนั่นว่า เกาะเป็นอย่างเดียว แทบไม่ได้มาหอสมุดเป็นกิจจะลักษณะเลย แต่กับกิ๊ง ทำตัวอย่างนั้นไม่ได้ เดี๋ยวคราวหน้ามันเข็ดไม่ยอมมาชวนไปเข้ากลุ่ม
เอาวะ กับมึง...กูยอมเป็นเด็กดี เชื่อฟังทุกอย่างเลย
ท้ายที่สุดระหว่างที่แนะนำไปนั้นก็ไม่ต่างกับว่ามันกำลังหาหนังสือให้อยู่เพราะมันใส่คำค้นเพิ่มเติมแล้วก็จดเลขเรียกหนังสือใส่กระดาษมาให้เสร็จสรรพ ผมถือเศษกระดาษที่มันส่งให้แล้วเดินตามขึ้นบันไดไปชั้นสามซึ่งเป็นชั้นหนังสือภาษาไทย พื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีแต่ชั้นหนังสือเรียงรายทำให้สับสนว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน ส่วนกิ๊งก้มดูเศษกระดาษแวบหนึ่งแล้วเดินลิ่ว ผมก็ทำได้แค่เดินตามมันไป
“เดินตามกูมาทำไมกูมาหาหนังสือภาษาไทย”
“กูก็เห็นแม่งภาษาไทยทั้งชั้นนั่นแหละ ภาษาอังกฤษอยู่ชั้นสองไม่ใช่เรอะ”
“ฟาย....” มันด่าเสียงยาว “กูหมายถึงวิชาภาษาไทย วิชาชีวะที่มึงจะหา ไปทางโน้นโว้ย”
“เหรอ งั้นกูรอไปพร้อมมึงก็ได้” ผมเกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินมองใบหน้าจริงจังที่คิ้วขมวดมุ่นไล่สายตามองหาหนังสือจนมาติดตรงที่ผมยืน
“มึงไสหัวไปไกลๆ เลย จะรอก็ยืนห่างๆ เกะกะ” มันหันมาบอกไม่จริงจังมากนัก
“โทษนะคร้าบบบบ” ผมก้มหัวปลกๆ เป็นเชิงขอโทษแล้วรีบไสหัวออกห่างไปยืนพิงกำแพงโดยเร็ว รอจนมันได้หนังสือภาษาไทยมาสองเล่ม
“อีกเล่ม หาไม่เจอสงสัยต้องกลับไปเอาเล่มเดิม มึงยืมให้หน่อยนะ เล่มนั้นกูยืมครบแล้ว”
“หือ...” ส่งเสียงสูงไปอย่างไม่เข้าใจ
“หนังสือหนึ่งเล่มเขาให้ยืมมากสุดสองอาทิตย์แต่ถ้าหนังสือแบบนั้นมีหลายเล่มก็เอาเล่มอื่นที่ต่างบาร์โค้ดไปยืมได้ไม่เป็นไร หนังสือที่กูจะใช้มันมีสองเล่ม แต่กูหาอีกเล่มไม่เจอ ต้องกลับไปยืมเล่มเดิมที่เพิ่งคืนไปเมื่อกี้ กูยืมไม่ได้แล้ว แต่มึงยืมได้ ตามนี้แหละ” มันสรุปเองคนเดียวแล้วเดินนำไปที่หนังสือหมวดวิทยาศาสตร์เรียงราย
“หนังสือเรียงตามหมวด มันมีเขียนติดเสาอยู่ตรงโน้น ถ้ามาหาหนังสือตามหมวดก็ไปดูแล้วก็ไล่ตามเลขเรียกหนังสือ แต่ถ้าเราค้นหาจากเว็บมาแล้วเราก็เอาเลขเรียกมาหาหนังสือได้เลย” มันอธิบายต่อแล้วหยิบหนังสือของตัวเอง ขณะที่ผมยังกวาดสายตาตามตัวเลข มันดึงกระดาษในมือผมไปมองแล้วเลยหน้าขึ้น
“จะหาอีกนานไหม อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เหรอ” มันถามแล้วหยิบหนังสือที่ผมต้องการออกมา ที่จริงผมก็ไล่จนเจอแล้วแต่ยังไม่ทันหยิบออกมามันก็ดึงกระดาษไปพอดี ทำให้ผมเลิกสนใจหนังสือมาสนใจใบหน้าด้านข้างของมันแทน
หาหนังสือที่ต้องการได้หลายเล่มเราก็ไปนั่งกันที่โต๊ะ เล่มไหนไม่ใช้ก็แยกเอาไปเก็บ เล่มไหนใช้น้อยมันก็แยกไว้ถ่ายเอกสาร เล่มไหนใช้เยอะก็แยกไว้ยืม ตอนนี้ก็เหมือนเดิม ชาวเกาะที่รับเอางานไปพิมพ์อย่างเดียวในกลุ่มเพื่อนสนิทเวลามาดูเนื้อหารายงานก็ทำหน้าโง่ต่อไป จนกิ๊งมันรำคาญต้องมาช่วยทำจนเสร็จ กิ๊งเอาหนังสือไปถ่ายเอกสารที่หน้าลิฟท์แล้วหันมาบอก
“กูจะไปหาหนังสือชั้นเจ็ดนะ มึงรออยู่นี่ก็ได้” บอกและไม่รอคำตอบมันเดินไปกดลิฟท์ มีเหรอผมจะปล่อยมันไปคนเดียว ทุกวินาทีมีค่า...
“หนังสืออะไรอยู่ชั้นเจ็ดวะ” ผมถามโง่ๆ อีกแล้วใช่ไหม สายตาของกิ๊งบอกอย่างนั้น
“เฮ้อ เชื่อเค้าเลยนะมึงเนี่ย ไว้วันหลังกูพาทัวร์ดีไหม หนังสือเก่าโว้ย” มันบอกแล้วรอจนคนออกจากลิฟท์จนหมดก่อนจะแทรกตัวเข้าลิฟท์ไป ผมตามไปด้วยโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาเหมือนจะถามว่าตามมาทำไม ไม่ต้องมองหรอกมึง กูด้านแล้ว ฮ่าๆ
ระหว่างที่ลิฟท์เคลื่อนที่มันก็เลยอธิบายว่า
“ชั้นสอง เป็นหนังสือต่างประเทศ ชั้นสามภาษาไทยทั่วไป ชั้นสี่เป็นพวกงานวิจัย หนังสืออ้างอิง พจนานุกรม ชั้นห้านิตยสารหนังสือพิมพ์ ชั้นหกมีคอมพิวเตอร์ห้องดูหนังและยืมซีดีต่างๆ ได้ ชั้นเจ็ดหนังสือเก่า”
มันสาธยายให้ฟัง ผมพยักหน้ารับ มันถอนใจเอือมระอา
“มึงเนี่ยนะ... เคยสนใจอะไรบ้างเนี่ย...” มันบ่นขณะเดินออกจากลิฟท์เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
“มึงไง กูสนใจ..” รอยยิ้มพราวของผมทำให้มันย่นจมูกทำหน้าเอือม
“กูต้องดีใจใช่ไหมวะ” มันเอ่ยมาแบบประชดประชันแล้วเดินลิ่ว
“หึหึ”
ผมหัวเราะเบาๆ เดินตามมันต่อไปยังห้องเก็บหนังสือซึ่งแบ่งเป็นสองห้อง ภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศ และห้องพิเศษอีกห้อง เราเดินเข้าไปในห้องแรกสุด ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก ชั้นหนังสือสูงกว่าชั้นล่างมาก ตั้งเรียงวางชิดกันจนมีทางเดินนิดเดียว ไฟที่เปิดเพียงดวงเดียวและไม่มีคนอยู่เลยทำให้บรรยากาศอึมครึม จนชวนให้คิดว่าถ้ามาตอนหัวค่ำคงสยองน่าดู หรือไม่ก็เหมาะแก่การมาพลอดรักเสียนี่กระไร
“ไหนๆ ก็ตามขึ้นมาแล้ว ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย เอานี่ไปช่วยกันหาจะได้เสร็จเร็วๆ” กิ๊งส่งกระดาษที่เขียนเลขเรียกหนังสือมาให้ทำให้ความคิดเรื่องการพลอดรักอะไรนั่นเป็นหมันไปโดยปริยาย ผมเดินถือกระดาษเดินงมโข่งไปยังที่วางหนังสือจนสำเร็จ ถึงจะบอกให้ช่วยหา แต่มันก็ให้ผมหาหนังสือแค่เล่มเดียวทั้งๆ ที่ตัวมันเองต้องหาหนังสืออีกสามสี่เล่ม
เมื่อหาหนังสือได้สำเร็จก็เดินไปหากิ๊ง ซึ่งตอนนี้มันกำลังเขย่งปลายเท้าหยิบหนังสืออยู่ จะว่าไปแล้วมันน่าจะรอให้ผมที่สูงกว่ากลับไปหยิบหรือไม่ก็เอาเก้าอี้ไปรองน่าจะง่ายกว่าไม่ใช่เหรอไงวะ ทำแบบนั้นเดี๋ยวหนังสือมันก็...
คิดยังไม่ทันจบประโยค เมื่อมันหยิบหนังสือที่ต้องการได้หนังสือเล่มข้างเคียงก็หล่นลงมาสองสามเล่มมีเล่มนึงที่สันหนังสือกระทบหน้าผากมันดังปึก!
“โอ๊ย...” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดพร้อมกับขาของผมที่ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้ามันไวปานวอก หนังสือถูกวางไว้บนที่ว่างที่ชั้นหนังสือ มือขวาประคองหัวมันไว้เพื่อดูว่าหนังสือทำอะไรมันได้บ้าง
“ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยไอ้เตี้ย จะเอาอะไรก็รอบอกก็ได้จะได้หยิบให้ ดูดิ๊แดงหมดเลย” ผมโวยวายอย่างเป็นห่วงใช้นิ้วโป้งไล้หน้าผากมันที่เป็นรอยแดง
“โห มึง หลอกด่ากูนี่หว่า” มันทำเสียงง้องแง้ง เวลาแบบนี้ล่ะฉลาดขึ้นมาเลยนะว่าถูกหลอกด่า ฮ่าๆ
“โอ๋ๆ เพี้ยงๆ หายนะๆ” ผมเป่าลมใส่รอยปูดที่หน้าผากมันเหมือนทำกับเด็ก
“ไอ้บ้ากูไม่ใช่เด็กนะที่จะเชื่อว่าเป่าแล้วมันจะหายน่ะ อูย..” มันเถียงกลับมา พร้อมส่งเสียงครางเมื่อผมกดนิ้วลงไปตรงรอยโน พยายามเบี่ยงกายออกจากความใกล้ชิดที่มีแต่ผมก็ยังไม่เลิกประคองหน้ามันเอาไว้
“เพี้ยงๆ หายสิ ถ้ากูเชื่อ และมึงเชื่อว่าจะหายก็ต้องหาย” ผมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอีกครั้งจนมันเงยหน้าขึ้นมาส่งตาเขียว ย่นจมูกเบ้ปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ช่างน่ารักน่าแกล้งเสียนัก ดวงหน้าหวานที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าช่างยั่วยวน...ก่อนที่จะทันยั้งใจตัวเองได้ทัน ก็เผลอตัวโน้มศีรษะลงไปจุมพิตที่หน้าผากมนเบาๆ ...
“หายเจ็บนะคนดี”
อีกฝ่ายชะงักนิ่งพร้อมปล่อยหนังสือในมือร่วงหล่น... เรียกสติของผมกลับคืนมา...
สัมผัสที่บางเบาฉาบฉวยเพียงเท่านั้นแต่ทำให้หัวใจผมเกือบหยุดเต้น ....
มันกัดริมฝีปากตัวเองก้าวถอยหลังผละออก แล้วก้มลงเก็บหนังสือเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือสองสามเล่มของมันอยู่นานเหมือนมีเป็นสิบเล่ม
ผมก็ไม่มีคำพูด กว่าจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรเกินไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขอย่างไรดีแต่ก็ใจหล้าก้มลงไปช่วยมันเก็บหนังสือ แม้จะไม่ยอมเงยหน้าขึ้นแต่แก้มของมันแดงเรื่อไปถึงหูแล้ว มันถือหนังสือไว้ในมือเอาแต่นั่งยองๆ ไม่ยอมยืนขึ้น ผมก็พูดไม่ออก และไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือในมือมันมาเพื่อจะเก็บเข้าที่เดิม มันยอมปล่อยหนังสือกลับมาให้ผมซึ่งพยายามเรียงหนังสือตามความสูงแล้วจะเก็บเข้าที่เก่า มันเงยหน้าขึ้น พยายามจะโวยวายทั้งๆ ที่เสียงไม่ปกตินัก
“นะ..นั่น..มึง...จะทำอะไรน่ะ”
“เก็บหนังสือไง”
“ห้องสมุดประเทศมึงเค้าเรียงหนังสือตามความสูงหรือไง มันต้องเรียงตามเลขเรียก” เวลาแบบนี้ยังจะโวยวายได้อีก มันยื่นมือมารับหนังสือในมือผมไปเรียงตามเลขเรียกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองหน้าผมอีก ด้วยความสูงที่ห่างกันสิบกว่าเซนติเมตรทำให้ผมเก็บหนังสือได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องยืดจนสุดแขนด้วยซ้ำ เก็บจนเสร็จมันก็พลิกกายเดินออกจากซอก
“กิ๊ง...แล้วหนังสือที่มึงจะเอาเมื่อกี้ล่ะ” ผมถามไปเสียงอ่อย มันชะงักเท้ากึกหันขวับมาตามเดิม ทำท่าว่าจะเอื้อมมือหยิบแต่ก็ชะงักเปลี่ยนเป็นยื่นมือชี้
“ละ..เล่มนั้นน่ะ” มันติดอ่าง ผมหยิบหนังสือส่งให้มัน ซึ่งมันดึงออกไปเร็วๆ ไม่ยอมมองหน้าผมอีกกอดหนังสือที่ค้นได้เดินลิ่วนำไปจนถึงลิฟท์ ผมรีบก้าวตามกลัวว่าถ้าก้าวเท้าช้ากว่านี้ มันจะทิ้งผมเฝ้าผีที่ชั้นเจ็ดคนเดียวไม่ให้ลงลิฟท์ไปด้วย
ตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่จนลิฟท์จอดรับคนที่ชั้นต่างๆ ก่อนที่เราจะออกไปที่ชั้นสามเพื่อเอางานที่ถ่ายเอกสารไว้ กิ๊งจัดการกับหนังสือที่เหลือทั้งหมดที่ไม่ใช้แล้วก็เอาไปวางที่ชั้นพักหนังสือ ที่ใช้ก็ช่วยกันหอบลงไปที่ชั้นสอง เมื่อยืมเสร็จแล้ว มันก็เดินไปหยุดที่หน้าคอมพิวเตอร์และผมไปยืนข้างมัน มันไม่มองหน้า ไม่เรียกชื่อ น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยลอยๆ ราวกับกำลังพูดคนเดียว
“ยืมหนังสือกับเจ้าหน้าที่เสร็จแล้วทุกครั้งเราควรจะเข้ามาต่อเวลาการยืมจากหนึ่งสัปดาห์เป็นสองสัปดาห์เตรียมไว้เลยเผื่อจะใช้ต่อหรือลืมคืนจะได้ไม่โดนค่าปรับ โดยเข้าระบบด้วยรหัสนิสิตตัวเองสองครั้ง รหัสผ่านเปลี่ยนได้นะ แล้วก็...” มันพล่ามวิธีการต่ออายุการยืมหนังสือต่อไป และสาธิตให้ดูเรียบร้อย ก่อนจะกดออกจากระบบไป
“มึงก็ทำด้วยดิ” สั้นๆ แค่นั้น ก่อนจะขยับกายออกห่างราวกับรังเกียจที่ผมจะไปโดนมันอีก ผมก็ทำตามที่มันสอน มองครั้งเดียวก็จำได้แล้วไม่ยากอะไร
“ออกจากระบบด้วย” มันว่าเสียงเรียบๆ ผมทำตาม วางตัวไม่ถูกเลยเมื่อได้ยินเสียงที่ฟังเหมือนหงุดหงิดตลอดเวลาแบบนี้ เสร็จแล้วมันก็ไม่พูดไม่จาหยิบหนังสือของตัวเองเดินลิ่วออกจากหอสมุดไป
มันเดินลิ่วมาถึงรถที่จอดอยู่ หน้าบึ้งเหมือนกินรังแตนมา ผมไม่ได้ขยับรถแต่ไปยืนข้างกายมัน
“ขอโทษนะกิ๊ง ถ้ากูทำให้มึงโกรธ ถ้าสิ่งที่กูทำมันแย่มากนัก ถ้ามึงรังเกียจ..กูสัญญาว่าจะไม่ทำอีก” มันบอกมันไป เสียใจที่ทำให้มันโมโห
“กูไม่ได้รังเกียจหรืออะไรหรอกนะ แต่กูไม่ชอบให้มึงทำแบบนี้ ครั้งนี้กูยกโทษให้ คราวหน้าอย่ามีอีก”
“ถ้าไม่รังเกียจ แล้วทำไมต้องโกรธ แค่เพื่อนๆ เล่นกันเท่านั้นเอง เวลาครึ้มๆ กูหอมแก้มไอ้ศรออกบ่อย”ตอนเมาเท่านั้นนะ แค่ตอนที่เล่นสนุกให้เพื่อนๆได้ขำ คนละสถานการณ์และคนละความรู้สึกโดยสิ้นเชิงด้วย
“อย่าคิดแค่ว่าผู้ชายด้วยกันเลยเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ได้ กับคนอื่นกูไม่รู้ แต่กับกู...กูถือ กูไม่ชอบเป็นของเล่นของใคร ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไรก็อย่าทำให้กูคิด ระวัง...งานจะเข้าไม่รู้ตัว” เอ่อ...เริ่มงงนิดๆ แล้วว่ะ ถ้ามันจะบอกว่ารังเกียจเพราะเป็นผู้ชายด้วยกันเลยไม่ชอบ ขยะแขยงอะไรทำนองนั้นจะเข้าใจง่ายกว่า แต่พูดแบบนี้มันแปลกๆ ไม่ใช่เหรอ
ไม่รังเกียจ... แต่ไม่ชอบเป็นของเล่น
ถ้าไม่คิดอะไรก็อย่าทำให้มันคิด
แล้วถ้ากูคิด...กูจีบมึงได้ใช่ไหม?
แล้วงานเข้านี่ยังไงวะ...
“ทำไม...กูทำให้มึง...หวั่นไหวเหรอ” พยายามจะส่งน้ำเสียงและรอยยิ้มขี้เล่นไปแซวเผื่อมันจะหายโกรธ แต่มันกลับส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้ ปกติถ้าพูดแบบนี้คนอื่นๆ มันต้องโวยวายบ่ายเบี่ยงตอบปฏิเสธกลับมาไม่ใช่เรอะ มันไม่ได้ตอบแต่ถามกลับมาแทน
“แล้วตอนนี้มึงคิดว่ากูหวั่นไหวไหมล่ะ?”
“เอ่อ....” ไม่รู้ดิ กูไม่กล้าหลงตัวเอง
“แล้วตอนนี้มึงนึกอยากหวั่นไหวดูบ้างไหม?”
“ทำไม มึงคิดจะทำเหรอ?” ผมถามกลับไป พร้อมหัวเราะเบาๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มยกมุมปาก
“เสน่ห์ในตัวเองน่ะใครๆ ก็มีกันย์ ไม่ใช่แค่มึงหรอกที่หว่านเสน่ห์เป็น ถ้ามึงไม่เข้าใจ แล้วกูจะสอนให้ว่า แบบไหนที่เรียกว่าหวั่นไหว” จริงจังจนยิ้มไม่ออกเลยกู รู้สึกเหมือนกิ๊งมันกำลังโกรธจัดแล้วหาวิธีแก้แค้นได้อะไรประมาณนั้นเลย
“กินข้าวก่อนไหมแล้วค่อยไปสำนักคอม” มันเปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนผมงง แต่รอยยิ้มสวยๆ ที่ฉาบบนใบหน้าทำให้พยักหน้ารับอย่างหน้าชื่นตาบาน ยิ้มหวานๆ ให้แบบนี้หายโกรธแล้วมั้ง
“อือ กินสิ” ผมตอบรับแล้วเคลื่อนรถออกจากที่จอด...
To be continue
อ่า .... ยาวกว่าที่คิดแฮะ คงจะจุใจกันเนอะ
ไม่สปอยล์ดีกว่า เพราะคิดว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้จะมาต่ออีกตอน
ว่าจะเดินเรื่องเร็วๆ แต่ไม่อยากรวบรัดตัดความมาก
แต่ใกล้ความจริงเข้าไปทุกขณะ กันย์มันเริ่มๆ ฉลาดแล้ว เริ่มคิดประติดประต่อเรื่องออกแล้วแหละ เรื่องรสนิยมกิ๊ง ฮาๆๆ มันน่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้วเนอะ กร๊ากกกก โง่อยู่ได้ ....
ตอนนี้เลยโดนโกรธไปเลย มาดูวิธีแก้แค้นที่แสนน่ารักของกิ๊งในตอนหน้า อย่าคิดว่า หว่านเสน่ห์เป็นคนเดียวนะกันย์ กร๊ากกกก แค่กิ๊งอยู่เฉยๆ กันย์ก็จะบ้าแล้วแหละ เหอๆ อย่าไปทำอะไรมันเลยเนอะ อิอิ
Piaanie ขอเอาอะไรบางๆไปใช้ในนิยายค่ะ อิอิ
fuku จริง... ขนาดชายหญิงธรรมดาเวลาแอบชอบยังบอกยากเลยเนอะๆ
YELLOWSTAR กิ๊งรอจริงเหรอ...
ordkrub ไม่ก็พูดอยู่ทุกวันแหละ.. เสี่ยวๆ ไง
samsoon@doll ยาวให้แล้วจ้า คริคริ
Rhythmขอบคุณแทนกันย์ค่ะ
iforgive ไว้รอกิ๊งกดดีกว่าเนอะๆ
mascot ฮาๆๆ ป๊อดได้โล่ค่า
SoN
Margarin_Butter เคยบอกไปแล้วว่า คนเขียนโรคจิต ชอบบีบตับด้วยปมขัดแย้งในใจตัวละคร สปอยล์ให้ว่า กิ๊งบอกรักกันย์ก่อน เร็วๆนี้ ฮาๆๆๆๆ
n2 กิ๊งบอกก่อนไม่ได้เหรอ อิอิ
คนของเธอ เชื่อไม่ค่อยได้ค่ะ เพาะมันบอกให้มั่นใจที่จะไปจีบผู้หญิงแต่ไม่ได้บอกให้มั่นใจถ้ามาจีบตัวเอง ที่จริงเคยบอกว่านิก็งี่เง่าเหมือนกัน แต่น้อยกว่าแพรหน่อย จริงๆ กิ๊งก็งี่เง่าเหมือนกัน แต่ระดับความงี่เง่าของตอนเป็นเพื่อนกับแฟนมันต่างกันแน่ๆ ไง
filmybutter เอ...เดี๋ยวว่างๆไปหาฟัง
~^PrinceZa^~ รักกันย์ แต่กิ๊งยังไม่หล้าบอก อิอิ ไม่รักกันก็NCได้เหรอ?? ไว้ขอคิดดุก่อนนะ อิอิ ถ้ามี ขอเป็นกิ๊งกดกันย์ไปก่อนโอไหม?
peppier ซื่อบื้อ?? ไม่ค่ากิ๊งก็โง่พอกับกันย์ อิอิ
yeyong ไว้รอลุ้นเอาค่ะ ไม่นานเกินรอ พล็อตใกล้แล้วค่ะ
mamaUM คนเขียนก็ลุ้นอยากให้ถึงไวๆ
Dee^daY อ่า.... ขอให้ความกล้าสถิตอยู่กับท่าน(กิ๊ง...กันย์)
OoniceoO แพรไม่ออกมันก็สวีทได้ ค่ะ ถึงแพรออกไปแล้วมันก็เศร้าได้ค่า
*SparklinG*ใจเย็นค่ะ แง้ๆ กลัวๆ
patty_b009 ตอนนี้สองคนเริ่มจะมีพัฒนาการไปในทาง...(ประหลาดๆ) ฮา แล้วค่อยว่ากันว่าอะไรจะเกิดขึ้น พล็อตคนแต่งก็มั่วๆ รั่วๆ จนปวดหัวแล้ว กร๊ากกก
w1234 ค่า กันย์จะพยายามให้มากขึ้น
yowyow สู้อยู่ค่ะ อยากให้มันชนะใจตัวเองให้ได้ก่อนจังเลย อิอิ
m_pop91 เหมือนกันค่ะ แต่ รู้ใจเร็ว เดี่ยวจบเร็วนะ นิยังอยากอยู่กับเพื่อนๆไปนานๆ ฮา
mayuree กิ๊งมันสุดๆ ค่ะ ดีก็ดีสุดขั้ว ถ้าชั่วก็จะชั่วสุดขีด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยค่ะ อย่าให้กิ๊งร้าย ก็ไม่ไหวจะเคลียร์เหมือนกัน หึหึ