อาย.....................
........................................
ตอนที่๑๘: เครื่องราง
จี้สีเหลืองน้ำตาลใสแจ๋วที่มีเส้นสายของเงินสุกปลั่งกระหวัดบางส่วนเพื่อเกาะเกี่ยวกับห่วงสำหรับร้อยกับสายสร้อยถูกเจ้าของคนปัจจุบันหยิบขึ้นมาพินิจพิจารณาอีกครั้งในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยสีหน้าที่พยายามให้นิ่งเรียบ หากถ้าจะสังเกตให้ดีก็จะพบว่าดวงตาสีน้ำตาลที่เข้มกว่าอำพันรูปร่างคล้ายก้อนอะไรสักอย่างความสูงเกือบหนึ่งนิ้วและมีส่วนหนาที่สุดไม่ต่ำกว่าครึ่งนิ้วในมือนั้นกำลังยิ้มได้ ปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ยกจี้ในมือส่องกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ม้าหินในสนามด้านหลังตึกคณะ
อรุณรุ่งก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก ว่าทำไมสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้านหลังจากกอดแม่แล้วก้าวเข้าห้องส่วนตัวจึงเป็นการเปิดกล่องเก็บสมบัติส่วนตัวออก ค้นเอาสร้อยเงินเส้นยาวมาร้อยเข้ากับจี้หินสีที่สีเข้มจนเมื่ออยู่ในร่มก็แทบดูไม่ออกว่าเป็นอำพัน และจากวันนั้นก็ใส่ติดตัวจนคุณเอมอรสังเกตเห็น แล้วขอดูใกล้ๆ
ตอนแรกหนุ่มน้อยก็ใจสั่น กลัวว่าถ้าแม่ถามถึงที่มาแล้วจะตอบอย่างไร จะอธิบายได้แค่ไหน แต่ก็ยอมถอดออกยื่นให้ดูโดยดี
เลยทำให้ได้ความรู้ว่าไอ้ก้อนที่ถูกมือดีหย่อนใส่กระเป๋าให้เมื่อสิบวันที่แล้วที่ตัวเองเข้าใจว่าเป็นหินสีธรรมดาๆก้อนนี้ ที่จริงมันไม่ใช่หินหรอก แต่มันเป็นยางไม้ที่จับเป็นก้อนแข็งต่างหาก แถมคุณเอมอรท่านยังบอกอีกว่าต้องเป็นแบบที่สีอ่อนกว่านี้หน่อย แล้วใสๆ ยิ่งถ้าด้านในมีซากแมลงหรือเมล็ดพืชโบราณด้วยนะ จะยิ่งราคาแพง
คุณเอมอรให้ความสนใจอยู่พักเดียวแล้วก็คืนให้ลูกชาย บอกให้สวมติดตัวไว้ก็ดี เพราะโบราณเขาเชื่อว่าอำพันเป็นเครื่องรางช่วยปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งอัปมงคลได้
หลังจากอยู่กับจี้นี้มาสองสามวัน อรุณรุ่งถึงนึกออกว่าไอ้ที่รู้สึกว่ารูปร่างของจี้ก้อนนี้มันคุ้นตาตั้งแต่แวบแรกที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก็เป็นเพราะสัณฐานของมันคล้ายกับไอ้เจ้าก้อนเนื้อในช่องอกที่ทำงานตลอดเวลา แม้แต่ขณะที่ร่างกายกำลังนอนหลับนั่นเอง
......จะได้ไม่ลืมว่า...มีคนคอย........
เพชร....ร้ายกาจจริงๆ ให้จี้รูปหัวใจ ส่งข้อความมาแบบไม่ต้องให้แปลแบบนี้......ใครลืมได้ก็เกินไปล่ะ
วันนี้เป็นวันแรกที่นักศึกษาปีสี่กลับเข้าคณะหลังจากฝึกงานตัวสุดท้าย ต่างคนต่างเข้ามารายงานตัว แล้วพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาเตรียมการนำเสนองานเรื่องโปรเจ็กต์สุดท้ายที่ทำส่งไปเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนไปฝึกงาน แล้วจากนั้นก็ว่าง
กลุ่มพี่ดอนก็คุยกับอาจารย์เสร็จตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบโมงเช้า กลับออกมานั่งประชุมแบ่งเนื้อหาที่แต่ละคนต้องพูดหน้าห้องอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แล้วทั้งสี่คนก็พากันฉลองที่ได้กลับมาพบควันพิษและแสงสีอีกครั้งด้วยการกินมื้อใหญ่ในร้านสุกี้บุฟเฟต์ แล้วต่อด้วยดูหนังรอบบ่ายสอง
ออกมาจากโรงหนังเกือบห้าโมงอรุณรุ่งก็โบกมือลาเพื่อนทั้งสามคน แล้วปลีกตัวเดินกลับมานั่งอยู่ที่ม้าหินข้างตึกนี่คนเดียว
ลาเต้เย็นน้ำแข็งละลายจนมีหยดน้ำเกาะพราวที่ข้างถ้วยกระดาษถูกตั้งทิ้งไว้ เพราะเจ้าของซื้อเพราะความเคยชินมากกว่าจะอยากกินจริงจัง หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่โดดเดี่ยวซึ่งมองจากระยะไกลเหมือนกับกำลังจมอยู่กับกองเอกสารตั้งสูงเกือบสองนิ้วเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่มีสีเข้มขึ้นจนเหมือนกับส้มสีทองลูกโต มีท่าทางราวจะดูเวลาจากท้องฟ้าแทนที่จะพึ่งอุปกรณ์อย่างนาฬิกาข้อมือหรือโทรศัพท์มือถือ
หากเมื่อชายหนุ่มร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ จึงเห็นว่าในฝ่ามือเรียวขาวที่วางแบทับตั้งเอกสารอยู่อีกที มีจี้หน้าตาคุ้นเคยวางอยู่
และเมื่อวัชระสูดลมหายใจเข้าช้าๆเพื่อระงับความรู้สึกพองฟูในหัวใจ อาการที่ใช้ปลายนิ้วคีบก้อนหัวใจสีน้ำตาลเหลืองใสขึ้นส่องดูกับแสงอาทิตย์แล้วเสี้ยวหน้าค่อยๆมีสีเข้มขึ้นของหนุ่มน้อยตรงหน้า ก็ทำให้คนที่ควบคุมตัวเองได้อย่างดีอยู่เสมออย่างคุณหมอเพชรแทบจะอดใจไม่ไหว....อยากจะตรงเข้าไปคว้าตัวหนุ่มน้อยตรงหน้าเข้ามากอดแน่นๆเสียเดี๋ยวนั้น
เงาที่ทอดยาวมาทางด้านหลังทำให้อรุณรุ่งไม่รู้ว่าทุกการกระทำของตัวเองตกอยู่ในสายตาของคนที่ไม่อยากให้มาเห็นมากที่สุดไปเสียแล้ว จี้ที่อยู่ในมือถูกสอดเข้าไปใต้เสื้อตามเดิม ก่อนที่แว่นตาจะถูกถอดออกวางไว้ข้างๆเอกสาร แล้วเจ้าตัวจึงซบหน้าลงกับผิวสัมผัสเย็นชืดของกระดาษแนบแก้มซ้ายลงแล้วหลับตา ตั้งใจจะพักสายตาเพียงชั่วครู่
วัชระจรดปลายเท้าตั้งใจให้เบาที่สุดจนเข้ามายืนซ้อนทางด้านหลัง แล้วจึงอดใจไม่ไหวยื่นมือไปกรีดขนตายาวหนาที่สังเกตเห็นตั้งแต่เจอกันที่น้ำตกเล่น แค่สัมผัสแรกเท่านั้นคนที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็คสีดำก็ลืมตาขึ้นมองพร้อมกับลุกพรวดพราดขึ้นยืน
แววตาหาเรื่องราวกับจะพุ่งเข้าทำร้ายร่างกายคนรบกวนในคราวแรกเปลี่ยนเป็นส่งประกายยินดีทันควัน แต่เมื่อตั้งสติได้และเห็นว่าอีกคนอยู่ใกล้จนมองเห็นแม้แต่ขี้แมลงวันเม็ดเล็กๆสองจุดที่ตีนผมหนุ่มน้อยก็เสเบือนหน้าไปหยิบแว่นมาใส่
แล้วระหว่างที่หันหน้ากลับมาก็ได้ยินเสียงของคนที่พออยู่ในชุดทำงานทีไรก็ทำให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่กว่าทักทายมาเป็นประโยคแรก
“พี่เห็นอะไรขาวๆ นึกว่าดอว์นมีขี้ตา......”
“มั่วแล้ว ผมเพิ่งหลับตาเดี๋ยวนี้ จะไปมีได้ไงเล่า”
เสียงโวยขึ้นจมูกน้อยๆของหนุ่มนัยน์ตาโศกที่เริ่มจะกลายเป็นนัยน์ตาเขียวปั้ด แทนที่จะทำให้คนแกล้งยั่วโมโหสลด กลับให้ผลตรงกันข้าม ชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าและยังหนากว่าปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เล่นเอาคนที่เพิ่งถูกยั่วให้แสดงอารมณ์ออกมามากกว่าปกติเหลียวหน้าเหลียวหลังจนแทบคอเคล็ด
จู่ๆก็หัวเราะซะดัง ดีนะที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนมานั่ง ไม่งั้นล่ะอายเขาตาย........
“พี่ว่าแล้ว.....ว่าดูไม่ผิด....หึๆๆๆ”
“..........?.........”
คิ้วเข้มๆของหนุ่มลูกครึ่งเลิกขึ้นน้อยๆราวจะถามว่าไอ้ที่ว่าดูไม่ผิดนั่นหมายความว่าอย่างไร ในขณะที่มือเรียวขาวนั่นก็รวบเอาเอกสารทั้งหมดขึ้นมาถือไว้ไปด้วย
“ก็ที่จริง....ตัวจริงของดอว์นน่ะ ไม่ใช่คนเงียบๆเรียบร้อย ไม่รู้สึกอะไรกับใครสักหน่อย......ที่จริง ดอว์นน่ารัก แล้วก็เป็นเด็กซนๆ บางทีก็หงุดหงิด บางทีก็โมโหเวลามีอะไรไม่ถูกใจ.......ดอว์นครับ ต่อไปนี้...กับพี่ ถ้าดอว์นคิดอะไร หรือรู้สึกยังไง บอกกับพี่นะ.....ได้มั้ย?”
เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นทอดอ่อนโยน ไม่มีร่องรอยของการล้อเลียนหรืออาการหัวเราะเช่นประโยคเมื่อสักครู่เลยสักนิด บ่งบอกความหมายที่มากมายเกินกว่าคำที่พูดออกมาจนรู้สึกได้
......คนคนนี้มองเห็นเข้าไปถึงข้างใน เกราะป้องกันที่อุตส่าห์สร้างเอาไว้ปิดกั้นทั้งตัวเองและสายตาของคนอื่นใช้ไม่ได้เลยกับผู้ชายคนนี้.....
......และยังคำสัญญานั่นอีกล่ะ ‘ต่อไปนี้...กับพี่ ถ้ารู้สึกยังไง หรือคิดอะไร ให้บอกตรงๆ’ ....นั่นไม่ใช่คำสัญญาว่าพร้อมจะรับฟังทุกอย่าง พร้อมจะรองรับทุกอารมณ์ทั้งดีและร้ายของกันหรอกหรือ? “......ผม...พูดไม่เก่ง”
เสียงงึมงำเบาๆดังลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูที่กลับไปเม้มสนิทอย่างรวดเร็วนั่นจนได้ ในขณะที่วัชระตัดสินใจจะไม่คาดคั้นแล้วเริ่มออกเดินนำไปทางหน้าตึก
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า แล้วเหลือบตามองหน้าคนตัวบางกว่าที่สาวเท้าขึ้นมาเดินอยู่ข้างๆ พอสบตากันเลยได้เห็นว่าถึงจะพูดไม่เก่ง แต่ดอว์นของพี่ยิ้มเก่งขึ้นทันตา แถมยังส่งยิ้มหวานราวกับตั้งใจจะประจบ ทดแทนค่าที่พูดไม่เก่งเสียอย่างนั้น
“อืม......งั้นก็ต้องฝึกแล้วล่ะ....”
สุ้มเสียงเป็นจริงเป็นจังของคนตัวสูงกว่าที่ยิ้มรับแล้วเลยเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้งดังขึ้น ทำเอาคนยอมรับว่าพูดไม่เก่งถึงกับขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง
“ฝึก? ยังไง?”
วัชระหมุนตัวกลับมาประสานสายตากับคนตั้งคำถามแล้วคลี่ยิ้มกว้างขวางจนเห็นรอยจีบพับสองสามเส้นที่หางตา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งจริงจังว่า
“ก็เริ่มด้วยประโยคง่ายๆอย่าง...’ดอว์นคิดถึงพี่เพชร’ ก็น่าจะพอไหวนะ.....ไหนลองซิครับ”
แล้ววัชระก็ได้เห็น......ใบหน้าที่แสดงออกว่างุนงงสงสัยอยู่เมื่อครู่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีชมพู จากนั้นก็เข้มขึ้น......เข้มขึ้น จากโหนกแก้มทั้งสองข้าง จนสุดท้ายทั้งที่ยังประสานสายตากันอยู่แบบนั้น ทั้งใบหน้าตลอดจนลำคอที่โผล่พ้นคอเสื้อซึ่งปลดกระดุมไว้สองเม็ดก็กลายเป็นสีแดงจนทั่ว
“อะ......ผม.....เอ่อ...ผม......อึ๋ยยยย ผมไม่พูด!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ โอเคครับ ไม่พูดก็ไม่พูด เอ้า......ค่อยๆหายใจสิ ฮ่าๆๆๆ ไม่เอาๆ ไม่ทำหน้ามุ่ยสิครับ....ไปกันเถอะ พี่คิดออกแล้วว่าเราจะไปกินมื้อเย็นกันที่ไหนดี”
“เอ่อ.....เพชร ผมขอโทษ.....”
“หืม? ขอโทษเรื่องอะไร”
“วันนี้คงไปไหนไกลไม่ได้นะครับ.....พรุ่งนี้เริ่มพรีเซนต์แปดโมงตรง.....คือ..”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย งั้นที่พี่คิดก็เก็บเอาไว้คราวหน้า หลังดอว์นพรีเซนต์งานเรียบร้อยก็ได้นี่ ร้านอาหารไม่ได้หนีไปไหนซะหน่อย ว่าแต่....วันนี้ดอว์นอยากกินอะไรครับ พี่หิวแล้วเนี่ย กลางวันก็รีบๆเลยได้กินไปนิดเดียวเอง”
“อืม....อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สุกี้”
“ไม่ชอบ?”
วัชระออกจะแปลกใจที่น้องดอว์นมีปากมีเสียงในเรื่องแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีที่ดูเหมือนหนุ่มน้อยที่เดินเคียงข้างจะเปิดใจรับเขาเข้าไปเป็นหนึ่งในคนที่พูดด้วยได้อย่างที่ต้องการอีกนิดแล้ว
“หึ........มื้อกลางวันเพิ่งกินไปน่ะ”
นายแพทย์หนุ่มลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตอบคำถามด้วยการส่ายศีรษะไปมา แล้วพอนึกได้ คนตัวเล็กกว่าก็ยกมือข้างที่ว่างแตะปากตัวเองแบบไม่ได้ตั้งใจก่อนจะตอบออกมาเป็นคำพูด
อรุณรุ่งออกจะแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนเดินนำพามาใช้บริการบีทีเอส แทนที่จะเป็นรถสีขาวคันเดิม แต่พอหันไปส่งสายตามีคำถาม คนตัวโตก็ยิ้มมุมปากแล้วตอบมาด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
“ก็ถึงพี่จะรวย แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนแถวนี้บอกให้ประหยัดน้ำมันช่วยชาติ......พี่ตั้งใจว่าถ้าเป็นคนคนนี้พูด ต่อให้เป็นเรื่องยากแค่ไหนก็จะทำตามให้ได้ แล้วนี่ก็เรื่องง่ายนิดเดียวเองนี่ครับ.....”
“หึๆๆ บ้า.....”
ร้านอาหารสัญชาติไทยแท้ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์เป็นจุดหมายของการฝากท้องในมื้อเย็นวันนั้น ชุดน้ำพริกลงเรือรสไม่จัดมากเพราะมีลูกค้าต่างชาติเข้าร้านเรื่อยๆ ต้มโคล้งปลากรอบรสกลมกล่อม และทอดมันกุ้งชิ้นอ้วนไม่อมน้ำมัน ทำให้ทั้งสองคนเจริญอาหาร
แถมพออิ่มของคาว วัชระยิ่งมีความสุขเพราะดอว์นกล้าที่จะปล่อยตัวตามสบาย ละเลียดของหวานอย่างบัวลอยไข่หวานในถ้วยของตัวเอง แล้วยังมีการตักสาคูเปียกมะพร้าวน้ำหอมในถ้วยของเจ้ามือไปชิมเป็นการแลกกันอีกต่างหาก
“ให้พี่ไปส่งนะครับ”
“อึ๊อือ....ไม่ดีกว่า”
“มืดแล้ว......อีกอย่าง พี่อยากรู้จักบ้านดอว์นเอาไว้”
ความมืดสลัวของบรรยากาศที่มีเพียงแสงจากโคมไฟบนเสาสูงหน้าร้านอาหารทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าคนพูดได้ชัดนัก แต่น้ำเสียงออดอ่อยจากคนตัวโตที่ได้ยินก็ทำให้อรุณรุ่งต้องลอบยิ้มคนเดียว
“มืดอะไรเล่าเพชร.....ผมไม่ใช่เด็กๆ กลับสามสี่ทุ่มก็บ่อยไป แล้วนี่ก็ยังไม่สองทุ่มเลย”
“งั้นถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ได้มั้ย.....แค่มิสคอลล์ก็ได้....”
“อื้ม......รับรองว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง ถึงก่อนคุณแหงๆ”
เสียงรับรองแข็งขันทำให้วัชระยิ้มออก ชายหนุ่มเดินขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้าพร้อมกับหนุ่มน้อยที่ตอนนี้เผลอตัวจนยอมให้กุมมือเอาไว้ได้โดยไม่ต่อต้านสักนิด
แต่ก่อนที่จะแยกกันไปคนละชานชาลาคนที่ตัวโตกว่าก็ก้มลงถามคนเดินข้างว่า
“ดอว์น....รู้รึเปล่าว่าอำพันเป็นเครื่องราง?” “อื้อ.....แม่ก็บอกเหมือนกันว่าให้ติดตัวไว้ มันป้องกันสิ่งไม่ดีได้ เอ่อ.....ผมยังไม่ได้ขอบคุณเลย ขอบคุณนะเพชร”
อรุณรุ่งบอกขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มน้อยๆให้คนที่เข้ามายืนใกล้จนต้องเงยหน้าถึงจะสบตาได้
“แล้วรู้รึเปล่า ว่านอกจากจะป้องกันสิ่งไม่ดีแล้วคนโบราณยังมีความเชื่ออย่างอื่นอีกนะ......”
“.......?......”
คิ้วเข้มจัดแต่เรียวได้รูปสวยทั้งสองข้างเลิกขึ้นสูงจนคนมองอยากจะลองลูบเล่น แววตาสีน้ำตาลทองใสแจ๋วที่เห็นได้ชัดแม้จะมีเลนส์แว่นปิดบังอีกชั้นยิ่งกระตุ้นให้วัชระอยากครอบครองเป็นเจ้าของ.....อยากให้ดวงตาคู่นี้มองมาที่เขาคนเดียว และเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น
“เชื่อกันว่า.....อำพันเป็นเครื่องรางที่จะนำพาความรักมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ.......ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ที่เป็นเจ้าของเก่าได้พรข้อนี้มาแล้ว เลยมอบมันให้กับดอว์น....ทั้งอำพัน ทั้งความรู้สึกของพี่....ดอว์นจะรับไว้รึเปล่า?”
“.....เพชร...”
“หึๆ ขอบคุณครับ พี่รู้แล้วล่ะ......ว่าคำตอบคืออะไร กลับดีๆนะดอว์น แล้วอย่าเขินจนไม่ยอมโทรมาบอกตอนถึงบ้านแล้วเชียว ไม่งั้น.....”
“ไม่งั้น?”
“ไม่งั้นพี่จะพูดออกมาให้หมดเลยน่ะสิว่าเมื่อกี้คำตอบของดอว์นคืออะไร หึๆๆ” ...........................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.อายจริงจัง
....................................................
พื้นที่โฆษณาเจ้าค่ะ
ท่านไหนชื่อชอบนิยายวายแนวแฟนตาเซีย เชิญอุดหนุนผลงานดาด้า pandaๅ123
ขณะนี้ ชีกำลังเปิดจองเรื่อง A Little Vampire
นิยายใสกิ๊ง เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย(โดยเฉพาะคนใจวายเปี่ยมจินตนาการ
สอบถามได้ที่ดาด้า ณ ข้างใจ เจ้าค่ะอุย..เจ็บตรูด
v
v
v