#ข้าง...ข้าง...ใจ# ครืด ครืด
เจ้าเครื่องมือสื่อสารที่เปิดระบบสั่นยัดใส่กระเป๋าเสื้อนอกเอาไว้กำลังสั่นอย่างแรง เรียกให้เจ้าของเครื่องกดรับก่อนที่จะถูกตัดสาย พอหยิบขึ้นมาดูเบอร์ก็พบว่าเป็นของเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน แยกห่างกันไปเพราะตอนเข้ามหาลัยต่างก็เลือกเรียนตามความถนัด แต่ก็ยังคงติดต่อกันตลอด...ณ ยามที่จำเป็น นายแพทย์เขมินท์ เลิศพิพัฒนวงษ์ คลี่ยิ้มให้กับโทรศัพท์ของตัวเองก่อนที่จะกดรับ
"ไงครับ ไอ้นายช่างใหญ่ ตอกตะปูโดนนิ้ว หรือว่าเลื่อยข้อมือตัวเองขาดล่ะ!!?" คำทักทายที่ราวกับเป็นโปรโมชั่นลด แลก แจกแถมของโรงพยาบาล 'ไอ้เพื่อนเวร' แต่ดันได้รับคำด่ากรอกหูมาเป็นคำขอบคุณซะอย่างงั้น
"อยู่โรงพยาบาลรึป่าว จะเอาคนไข้ไปฝาก" เสียงปลายสายพูดคล้ายกระซิบเหมือนกลัวว่าใครที่อยู่แถวนั้นจะได้ยิน
"เป็นหมอไม่อยู่โรงพยาบาล แล้วจะให้ไปสิงอยู่ที่ไหนล่ะครับท่าน" เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนเก่าสมัยเรียนม.ปลาย ว่าขอให้ได้กวนเถอะ ขนาดว่าเรียนจบจนมีคำว่านายแพทย์นำหน้า มันก็ยังเหมือนเดิม ..ไอ้คุณหมอขิม!!
"ถ้าหาที่ไปไม่ได้จริง ๆ ก็ห้องดับจิตเลยเพื่อน!!" เสียงไอ้คุณหมอขิมจอมกวนหัวเราะพรืดใส่โทรศัพท์ตอนที่ได้ยินคำประชด
"แล้วคนไข้ที่ว่าเป็นอะไรมา ไม่ใช่ว่าไปทำใครเค้าท้องมานะเว้ย!!!" เพราะหากไอ้คุณเพื่อนมันตอบว่าใช่..ประเด็นต่อมาจะได้ตอบไปว่า...เพื่อนทำคลอดไม่เป็นนะคร้าบบบบบ
"ปากเสียแล้วไง เป็นไข้ธรรมดาโว้ย!!!" ไอ้เพื่อนตุลโวยวายพร้อมกับด่ามาตามสาย แต่คนฟังก็หาได้สำนึกไม่ ยังคงหัวเราะชอบใจที่ได้แหย่ได้แกล้งเพื่อนอย่างสนุกปาก
"เออ ๆ พาเข้ามาเลย เดี๋ยวลงไปรับเอง"
ก่อนกดวางโทรศัพท์ไอ้คุณเพื่อนก็ยังไม่วายโทรมาสั่งให้เซ็นใบรับรองเแพทย์ไปให้ด้วย ..ยังเรียนอยู่แถมชื่อ'วายุ.....' มันชื่อเด็กผู้ชายนี่หว่าถ้าเดาไม่ผิด จำได้ว่าไอ้คุณตุลมันเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน มีน้องสาวและมีหลานสาวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่เห็นว่ามันจะมีญาติเป็นผู้ชายซักคน จะว่าเป็นแค่ลูกน้องคนสนิทก็ไม่น่าจะต้องทำเสียงร้อนรนขนาดนั้นนี่หว่า
ผ่านไปซักประมาณ 20 นาที โทรศัพท์ก็สั่นอีกรอบ และก็อย่างที่คาดเดาเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอเป็นเบอร์เดิมของคนที่คุยไปเมื่อ 20 นาทีก่อน นายแพทย์เขมินท์กดรับพร้อมกับลุกเดินออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี
"ว่าไง..." ยังไม่ทันจะพูดจบ อีกฝ่ายก็กรอกเสียงเข้ามาเสียก่อน
"เออ!! อยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว ส่ง....." ตรู๊ดดดดดด....แล้ว...จะรู้ไหมล่ะครับ ว่าให้ส่งอะไร พูดยังไม่ทันจะจบก็ดันตัดสายไปเสียอย่างนั้น หมอขิมส่ายหน้ากับตัวเอง อ่อนใจกับความใจร้อนของปลายสาย ก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงไปทางเคาท์เตอร์พยาบาล เพื่อขอใบรับรองแพทย์(แถมยังต้องเซ็นให้ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจอีกต่างหาก)
พอลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นพอดีไอ้แว่นเพื่อนคนเดิมยืนอยู่ตรงที่นั่งพักผู้ป่วย ข้าง ๆ เป็นเด็กหนุ่ม(ไม่น้อย)นั่งทำหน้าหงอยเหมือนโดนใครบังคับให้กินยาขม พอไอ้แว่นมันหันมาเห็นก็เดินเข้ามาหาทันทีโดยไม่ต้องออกปากหรือโบกมือเรียก
"เอ๊า!! จ่ายค่ารักษามาด้วยนะ เพื่อนฝูงไม่มีเว้นนะโว้ย..." หมอขิมยื่นใบรับรองแพทย์ที่เซ็นชื่อตัวเองลงไปเสร็จเรียบร้อยให้ พร้อมกับเรียกค่าคุ้มครอง เอ๊ยยยย...แกล้งเรียกค่ารักษาพยาบาลให้คุ้มกับค่าเหนื่อย
"งกวะ ฝากด้วยนะ ต้องแวะไปอีกหลายที่" ไอ้คุณเพื่อนขยับแว่นตามความเคยชิน พร้อมกับหันไปมองคนป่วยด้วยสายตาเป็นห่วงอีกหลายรอบ คล้ายว่าอยากอยู่เองแต่ก็ต้องไปทำธุระอย่างที่บอกเอาไว้
"ไปเหอะนา ทางนี้เดี๋ยวจัดการเองไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" หมอขิมยื่นมือไปตบไหล่ไอ้แว่นตุลเพื่อนเก่าอย่างสนิทสนมเหมือนเคย ตอนที่ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจออกมาแล้วมันก็พยักหน้า ก่อนที่จะเดินถือใบรับรองแพทย์เดินตัวปลิวออกไปจากโรงพยาบาล
“วายุใช่ไหม...ไปกันเถอะ” คนป่วยที่ยังคงนั่งหน้าหงอยเหมือนหมีน้อยมองเจ้าของทิ้งไว้กับคนแปลกหน้าแล้วก็เดินจากไป กว่าจะหันมาพยักหน้าตอบรับก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก ๆ พร้อมกับเสียงไออีกเป็นระยะ
“ผม..ไม่ต้องฉีดยาใช่ไหมครับ..?” ชายเสื้อคลุมที่ถูกรั้งเอาไว้พร้อมกับคำถามเสียงแหบแห้งที่ได้ยิน ทำเอาหมอขิมหลุดหัวเราะพรืดอย่างไม่คิดเกรงใจ
เด็กไอ้ตุลนี่...มันน่าแกล้งจริง ๆ วุ้ย!!"เมื่อกี้เจ้าของไข้เรา บอกให้ฉีดซัก 2-3 เข็มนะ!!" คนไข้ที่หน้าซีดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งซีดหนักเข้าไปใหญ่ ก่อนที่คุณหมอจะเรียกให้บุรุษพยาบาลแถวนั้นพานั่งรถเข็นไปส่งที่ห้องตรวจ
ผลการตรวจออกมาว่าเจ้าหนูวายุเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ ไม่ได้เป็นไข้ที่เค้ากำลังระบาดกันในช่วงนี้ พอให้ยาไปเจ้าตัวก็นั่งโงนเงนอยู่บนเก้าอี้รอเจ้าของมารับ เห็นสภาพแล้วทนมองไม่ได้จนต้องเปิดห้องข้าง ๆ ให้ไปนอนพักโดยเซ็นชื่อเป็นเจ้าของไข้ไปก่อน จนกว่าไอ้คุณเพื่อนมันจะแวะมา
ซักพักใหญ่เจ้าของไข้ตัวจริงก็กระหืดกระหอบกลับมา แต่ไม่ได้มาแค่คนเดียวมีผู้ติดตามมาอีกสาม เจ้าคนป่วยที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าของไข้เข้ามาเคลียร์ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แอบมานั่งรออย่างกระวนกระวายที่ห้องพักแพทย์ เพราะอุทิศพื้นที่ในห้องให้พวกเพื่อน ๆ ที่ตามมาด้วยได้อยู่กัน
“ไปเก็บมาจากไหนวะ ไอ้เด็กโย่งนั่นนะ” หมอขิมถามไอ้เพื่อนแว่นที่นั่งหลับตาถอดแว่นแล้วเอามือนวดหัวคิ้วตัวเอง
“เปล่าเก็บ!! นายแม่ฝากไว้” ตอบกลับมาโดยไม่หันมาสบตา ยังไม่ทันจะได้ถามหาเค้นเอาความจริงจากปาก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก
"เอ่อ...ขอโทษครับ คือผมอยากจะขอยืมมีดอ่ะครับ.." ไอ้หนุ่มผมยาวที่โผล่หน้าเข้ามา ทั้งที่ยังไม่ทันได้รับอนุญาตเปิดปากบอกสิ่งที่ต้องการทันที ทำเอาเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่ข้างในหันมามองอย่างแปลกใจ
หมอขิมเหลือบมองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่รวบผมยาวประบ่าของตัวเองไว้ข้างหลัง กำลังเบียดตัวเข้ามาในห้องอย่างเกรงใจทั้งที่จริงก็เปิดให้มันกว้างพอดีตัวแล้วค่อยเดินเข้ามาก็ได้ กลิ่นฉุนที่ลอยมาแตะจมูกไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมราคาแพง แต่เป็นกลิ่นของสารเคมีที่ผสมอยู่ในสี
"จะเอามีด...ไปทำไมล่ะ..?" คนถูกถามยังคงคลี่ยิ้มอย่างอาย ๆ พร้อมกับยกมือเกาหัวตัวเอง
"คือ...แบบว่า..พวกเราเรียนเสร็จก็เลยบึ่งรถมาที่นี่เลย แล้วก็..แบบว่ายังไม่ได้กินข้าว...ก็เลย..."
"สรุปว่าหิว..!!!?" หมอขิมแทบจะหลุดหัวเราะออกมาตอนที่ต่อท้ายประโยคให้ เพราะไม่งั้นไอ้เด็กตรงหน้ามันก็ยังคงอ้ำอึ้งพูดให้จบไม่ได้ซักที
"ครับ...ก็ประมาณนั้น.." คำตอบกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแหย ๆ
"ชวนเพื่อนลงไปกินที่ศูนย์อาหารไหมเอิง เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง" ไอ้คุณเพื่อนตุลเอ่ยปากบอกปนขำกับท่าทีอาย ๆ ของไอ้เด็กตรงหน้าแล้วก็เพียงแค่คิดว่า..'ชื่อเอิง' มันแปลกดี!!
"อย่าเลยครับพี่ เดี๋ยวไอ้วามันตื่นมาไม่เจอ จะหาว่าเพื่อนใจดำไม่ยอมมาเยี่ยม" อืม...กลัวโดนว่าใจดำที่ไม่มาเยี่ยม แต่ดันมานั่งกินรอเพื่อจะเยี่ยม....น้ำใจประเสริฐจริง ๆ หมอขิมนึกต่อในใจพร้อมกับลุกไปค้นหามีดปอกผลไม้กับจานมาได้หนึ่งชุด
"หมอสั่งมาให้เอาไหม สั่งมาส่งที่ห้องแล้วเราก็เดินมาเอา หรือจะให้เอาไปให้ก็ได้.." ไอ้หนุ่มผมยาวหันมายิ้มให้ตาเป็นประกายเหมือนมีความหวัง พร้อมกับยื่นมือมารับชุดจานกับมีดไปถือไว้
"ขอบคุณครับคุณหมอ" หลงกลเข้าไปเต็มเปาเลยไอ้หมอขิม!! ไอ้น้องเอิงมันรอให้พูดแบบนี้อยู่แล้วนี่หว่า....ดันเดินไปติดกับซะได้..เพราะรอยยิ้มซื่อ ๆ นั้นทีเดียวเชียว
"เออ.!!..เอิง!! พี่ฝากเอาวายุกลับบ้านให้หน่อยได้ไหม ต้องวนไปที่บริษัทอีกรอบ" ไอ้คุณตุลตะโกนบอกหลังจากแยกตัวไปโทรศัพท์มาชาติกว่า และกลับมาด้วยใบหน้ายุ่ง ๆ
"ได้ครับพี่ตุล เดี๋ยวผมห่อกลับไปส่งให้ถึงบ้านเลยครับ!!" ไอ้เด็กเอิงหันมาตอบพร้อมกับแกล้งแสยะยิ้ม...ประหนึ่งจะทำหน้าโหด...แต่มันดันตลก!!
"อืม..ขอบใจนะ นี่เบอร์พี่ถ้าไปไม่ถูกก็โทรมา ไปล่ะ!!!" คนงานยุ่งยื่นนามบัตรไปให้เจ้าเด็กเอิง ก่อนจะหันมาตบไหล่เพื่อนหมอแล้วมันก็วิ่งพรวดออกไป ไม่หันหลังกลับมามองสองคนที่ถูกทิ้งให้ยืนเคว้งคว้างกลางห้อง (นี่ก็เวอร์ซะ!!)
"เอ่อ...ผมก็ไปมั้งดีกว่าครับ..!!" ไอ้เด็กผมยาวทำท่าจะวิ่งตามหลังพี่ชายเพื่อนออกไป
"เดี๋ยว..!" ไม่รู้ว่า ณ นาทีนั้นคิดอะไรอยู่ หมอขิมถึงได้อยากรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่ออีกซักนิด แต่ก็คิดหาเหตุไม่ได้ จนปากมันเรียกออกไปก่อนแล้ว.. ที่สำคัญคือเจ้าตัวก็หันกลับมามองทันทีทันใดเหมือนกัน
"ครับ!!!?"
"เออ..!! ไม่เอาแล้วเหรอข้าวนะ!!?" ด้วยสมองอันชาญฉลาดของคุณหมอพลันคิดขึ้นมาได้ในนาทีฉุกเฉินได้อย่างแนบเนียน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีสีหน้าแปลกใจวูบหนึ่ง....ก่อนจะพยักหน้า
"เอาครับ!!"
วันนี้คงเป็นวันดีอีกวันล่ะมั้ง...วันที่ทำให้หมอขิมอารมณ์ดีได้ทั้งวัน...
=====================
ตอนขัดดอกสั้น ๆ 
แบบว่าปั่นตอนหลักไม่ทันจริงจัง ต้องขออภัย
แวบมาลงตอนที่คุณนายป่วย
กอดคุณนาย พักผ่อนเยอะ ๆ จะได้หายเร็ว ๆ ไวไว
ไม่แน่ใจว่าจะเอามาลง เป็นเพียงความคิดชั่ววูบที่ดึงออกมา่ได้ 
(ฝากเนื้อฝากตัวชายเอิงและคุณหมอขิมขี้เล่นเอาไว้ในอ้อมกอดของทุกท่านด้วย)
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม ขอให้มีความสุขกับวันหยุดยา่ว
แต่...ใครบางคนแถวนี้ไม่ได้หยุดล่ะ 