***** ตอนที่ 46 *****
เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นขึ้นมา คุณลุงก็ไม่อยู่แล้ว เห็นคุณป้าบอกว่า ลุงออกไปตีกอล์ฟกับเพื่อน
“คุณลุงฝากขอโทษโต้งมาด้วยนะ เค้านัดกับเพื่อนไว้นานแล้ว และสนามที่จะไปก็จองยากเหลือเกิน วันนี้เลยไม่ได้พาโต้งไปไหนเลย”
คุณป้ากล่าวกับผม ตอนนี้เบสเข้าห้องน้ำอยู่ จึงเหลือแค่ผมกับป้าสองคน
“ไม่เป็นไรครับผม เดี๋ยวผมกับเบสไปกันเองได้ครับคุณป้า” ผมยิ้มตอบกลับไปให้
เช้านี้คุณป้าทำอาหารง่ายๆ เป็นซุปข้าวโพด ขนมปังปิ้งกับเนย สลัดจานใหญ่ แล้วก็มีไข่หวานทอดด้วย
“นี่โต้ง กินเยอะๆ นะ ..........แล้วก็นี่ เมนูนี้เบสเค้าขอป้าเมื่อวาน เค้าชอบกินไข่หวานทอดละ ถ้าโต้งชอบ ป้าจะไปทำมาให้อีก เอาไหมจ๊ะ”
“เอ๊ะ ยังงั้นหรือครับ ..........งั้น คุณป้าสอนผมได้ไหมครับ ผมอยากทำเป็นบ้าง” ผมอยากเรียนรู้ไว้บ้าง เพราะเห็นว่าเบสชอบ
“โต้งอยากลองทำหรือลูก ได้ตามป้ามาซิ เดี๋ยวสอนให้ ไม่ยากหรอก แต่โต้งต้องมีกระทะแบบสี่เหลี่ยมก่อนนะ เดี๋ยวป้ายกกระทะสำรองอีกใบให้โต้งแล้วกัน
ป้าไม่ได้ใช้ ซื้อมานานแล้ว เอาไปเลยนะลูก” คุณป้ากล่าวอย่างใจดี
“ขอบพระคุณครับคุณป้า” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ
คุณป้ายิ้มอย่างใจดี แล้วก็เริ่มสอนผมทำไข่หวานทอด
เป็นเมนูที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องมีเทคนิค
ครั้งแรกที่ผมลองทำ มันออกมาไม่สวยเท่าไรหรอก แต่ก็เป็นรูปร่างนะ
เบสเดินเข้ามาร่วมวงตอนที่ผมทำเสร็จแล้ว
“โห...........โต้งเก่งจังเลย ทำไข่หวานทอดเป็นด้วย”
“ไว้จะทำให้กินวันหลังนะ อยากกินปะๆ” ผมแกล้งถามเบส
“เอ๊ะ จะกินได้ไหมน๊ะ ฝีมือโต้งทำนะ”
“อ้าววววว ดูถูกกันนิ เด๋ียวคอยดูเลย วันหลังจะทำให้กิน หึหึหึ” ผมกับเบสแซวกันอย่างสนุกสนาน
“นี่ไงลูก ไว้เบสกับโต้งกลับไทยไป เบสก็ให้โต้งเค้าทำให้กินซิ ชอบไม่ใช่หรือเรา
ป้ายกกระทะให้โต้งเค้าไปด้วยนะ”
คุณป้าพูดอย่างอารมณ์ดี
แต่มันกระทบกระเทือนจิตใจเราสองเป็นอย่างมาก
เพราะรู้ดีว่า พอกลับไปไทย เราอาจจะไม่ได้มาสนิทกันแบบนี้แล้ว
ผมพยายามยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าในใจ ชวนเบสคุยเรื่องอื่น เพราะไม่อยากให้เค้าเศร้าเลย ผมชอบเบสเวลายิ้มมากกว่า
คุณป้าเหมือนจะสังเกตได้ถึงความในใจของเบส
เพราะเบสแม้จะพยายามฝืนยิ้มแล้วแต่ก็ยังสามารถเห็นนัยตาเศร้าๆ ได้ถ้าสังเกตดีๆ
แต่คุณป้าก็ไม่ได้พูดอะไร เข้ามาร่วมวงคุยกับผมเรื่องอื่น จนเบสก็เริ่มอารมณ์กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
“วันนี้จะไปไหนกันละเบส” คุณป้าหันไปถาม
“อึม.........ผมว่า จะไปเมจิจินกูนะครับ แล้วก็พาโต้งไปเดินทาเคชิตะโดริ ที่ฮาราจูกุนะครับหลังจากนั้นค่อยคิดอีกทีละกัน อาจจะเป็นแถวๆ นั้นละครับ”
“แล้วจองโรงแรมหรือยัง ที่จะไปกันพรุ่งนี้ละ โทรไปเลยนะ เดี๋ยวไม่มีที่พักหรอก”
“อ่อ เกือบลืมเลย งั้นเด๋ียวกินมื้อเช้าเสร็จ ผมโทรเลยละกันครับ เอาที่ๆ ป้าแนะนำแล้วกันครับ ราคาไม่แพงดีด้วย”
หลังมื้อเช้า ขณะที่ผมกำลังล้างจาน เบสก็โทรไปจองที่พักวันพรุ่งนี้ให้
เบสเล่าให้ฟังว่า ที่พักที่จะไป เป็นที่พักเล็กๆ แต่บรรยากาศดีในเมืองนิกโก้ เบสไม่เคยไปพักหรอก
แต่ลูกสาวคนเล็กของคุณป้าอามิจังเคยไปพักกับเพื่อนๆมาก่อน
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ผมกับเบสก็ออกจากบ้านไปข้างนอกกัน
เรานั่งรถไฟไปลงสถานีชินากาวะ เพื่อเปลี่ยนเป็นรถไฟยามาโนะเทะไปยังฮาราจูกุกัน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ถ้าโชคดี เบสบอกว่าจะได้เจอพวกแต่งคอสเพลย์ด้วยละ
ผมกับเบสมาถึงฮาราจูกุกันราวๆ11โมงกว่าๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่หัวคน
สถานีฮาราจูกุออกจะดัง แต่ตัวสถานีค่อนข้างเล็กเลยละ ถ้าเทียบกับที่ว่ามันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
เบสพาผมเดินฝ่าฝูงคนไปทางด้านขวาของสถานี ตรงบริเวณที่เป็นสะพานข้ามทางรถไฟ
มีเด็กวัยรุ่น3-4คน ที่แต่งตัวแปลกๆ หรือที่เค้าเรียกกันว่า คอสเพลย์ยืนอยู่
มีชาวต่างชาติยืนล้อมถ่ายรูปประปราย
มีผู้ชายหน้าตาดีคนนึงยืนถือป้าย “FREE HUG” ผมเห็นมีฝรั่งคนนึงเดินเข้าไปกอดด้วยละ

“ไง อยากไปกอดหรือไง มองใหญ่เลยนะ หน้าตาดีใช้ได้นิ ” เบสถามแบบน้ำเสียงกัดๆ
“ไม่ใช่ยังงั้นครับเบส เราแค่ไม่เคยเห็นแบบนี้ตะหากละ” ผมรีบแก้ตัวใหญ่
ก็แหม่ เด็กญี่ปุ่นขาวๆ ใสๆ ผมก็อยากลองไปกอดนะ แต่ถ้าขืนทำ เบสโกรธผมตายเลย
“นายพูดเองนะว่าไม่กอด งั้นเราไปกอดเองก็ได้” เบสยิ้มแบบมีเลศนัย
เบสทำท่าจะเดินไปทางนั้น ผมต้องรีบดึงแขนเบสไว้
“เห้ย ไม่ได้ เราไม่ยอมนะ” ผมรีบโวย อะไรกัน เบสทำท่าไม่ยอมให้ผมไปกอด แล้วทำไมเบสกอดได้ละ
“ล้อเล่นนะ ไม่กอดหรอก” เบสพูดแล้วก็หันมาแลบลิ้นให้ผม
“ร้ายนักนะ ฮึม...คอยดูเถอะ คืนนี้จะเอาคืน”
“เอาคืนอะไร ไม่ให้หรอก แบร่ๆ “ ว่าแล้วเบสก็หัวเราะคิกคัก วิ่งข้ามสะพานไป
ผมเดินตามหลังเบสไป
ไม่ไกลจากสถานี เป็นบริเวณของศาลเจ้าเมจิจินกู
ดูจากแผนที่แล้ว เมจิจินกูค่อนข้างใหญ่มากๆ และเป็นพื้นที่สีเขียวด้วย ภายในมีต้นไม้โบราณหลายร้อยปี อยู่เป็นร้อยๆ พันๆ ต้น ร่มรื่นมากเลย

แค่เดินเข้าไป ผมก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นๆ และกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์
ทำให้พวกเราสำรวมตัวโดยอัตโนมัติ ผมกับเบสเดินเคียงคู่เข้าไปข้างในกันอย่างเงียบๆ
เราเดินผ่านโทริอิ หรือเสาประตูไม้ต้นใหญ่เข้าไปในบริเวณ

แต่กว่าจะถึงตัวศาลเจ้า ก็นานเหมือนกัน เพราะจากประตูไปถึงตัววัด ค่อนข้างลึก
ก่อนเข้าวัด หรือศาลเจ้าที่ญี่ปุ่น ตามธรรมเนียม เราจะไปล้างมือกับบ้วนปากก่อน
ส่วนมากทุกวัดหรือศาลเจ้าในญี่ปุ่น จะมีบ่อน้ำไว้หน้าทางเข้า

เบสสอนผมถึงวิธีที่ถูกต้องในการล้างมือ เราตักน้ำมา 1กระบวย
ล้างมือซ้าย ล้างมือขวา จากนั้นเอามือซ้ายมารองน้ำใช้บ้วนปาก สุดท้ายตั้งกระบวยตรงตั้งฉากกับพื้น เพื่อให้น้ำที่เหลือไหลลงมาล้างกระบวย
“ทำไมขนาดแค่ล้างมือยังต้องเลือกมากเลยละ คนญี่ปุ่นนี่ชอบพิธีการจังเลยนะ”
“จริงๆแล้ว เด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นสมัยนี้ที่ไม่รู้ก็เยอะนะ เราว่าคนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ชอบวางกฏเกณฑ์
แต่คงเพราะยังงี้ละมั้ง เค้าเลยก้าวหน้าไวมาก เพราะคนมีระเบียบ
แต่ในทางกลับกัน ข้อเสียก็คือ คนเครียดกันง่าย ปัญหาสังคมเลยเยอะตามมา
ดีแต่ว่า ปัญหาอาชญากรรมน้อยมากติดอันดับโลกเลยละ” เบสเอ่ยบ้าง
“แล้วเบสชอบแบบไหนละ แบบคนไทยที่ง่ายๆ อะไรก็ได้ หรือคนญี่ปุ่นที่ระเบียบเยอะ”
“เราหรอ เราชอบทั้งแบบไทยและญี่ปุ่นนะ ถ้ามีทางสายกลางของทั้งสองแบบก็คงดีละมั้ง” เบสตอบแล้วหันมายิ้ม
เบสพาผมเข้าไปไหว้พระข้างใน จากนั้นเราสองคนก็ไปเขียนป้ายคำอธิษฐานที่เรียกว่า “เอะมะ”
เป็นป้ายห้าเหลี่ยม ไว้ใช้เขียนคำขอพรเทพเจ้า พอเขียนเสร็จก็จะแขวนไว้ในที่ศาลเจ้าจัดเตรียมไว้ให้

ผมกับเบสเขียนกันคนละแผ่น ผมลังเลอยู่นานว่าจะเขียนอะไรดี
ขอให้รวย? ตอนนี้ผมก็ไม่ลำบากอะไร
ขอให้หล่อ? ผมมั่นใจพอดูนะว่าตัวเองก็ดูดีพอควร มีคนมาชอบผมเยอะเหมือนกันนะ
งั้นขอให้เรียนจบได้เกรดดีๆ? ผลการเรียนผมก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอมั้งและอีกอย่าง
เรื่องนี้มันเป็นปัญหาเรื่องความพยายามมากกว่าเทพเจ้าจะมาช่วยนะ
หรือจะขอให้มีแฟนน่ารักดี? แต่เอ๊ะ ตอนนี้แฟนผม เบสก็น่ารักจะแย่อยู่แล้ว ผมพอใจแล้วละ
งั้น...เอาเรื่องครอบครัวดีกว่า เขียนให้พ่อกับแม่ดีกว่าเนอะ
ผมคิดอยู่นานก่อนจะจรดปากกาเมจิกในมือ
ผมเขียนขอให้ครอบครัวผม อันมีพ่อ แม่ น้องชาย ขอให้ทุกคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ผมเขียนจบแล้ว แต่แผ่นไม้ก็ยังมีพื้นที่เหลือ ผมยืนนิ่งอยู่ครู่นึง ก่อนจะเขียนเพิ่มลงไปว่า
“ขอให้เบสแฟนผม มีความสุขมากๆ สมหวังในทุกสิ่งที่เค้าปรารถนา”
ผมไม่ได้ขออะไรให้ตัวเองเลย เพราะผมพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแล้ว
สำหรับผม ความสุขของเบสคือความสุขของผมนั่นเอง
“โต้งเขียนเสร็จยัง เขียนนานจังเลยนะ จะขอให้ได้ครองโลกหรือไง” เบสที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากผมมากนักถาม
พอพูดจบ เบสก็ชะโงกหน้ามาจะอ่านคำขอพรของผม แต่ผมรีบปิดเอาไว้ด้วยความอาย
“ไม่เอา อย่าดูซิ นิสัยเสียนะเบส ความลับของเราน่ะ” ผมรีบพูดดักคอเบส
“โหยยยย ไรอะ มีความลับกับเราด้วยงั้นหรือ ดูเราซะก่อน ไม่เห็นจะมีความลับกับนายเลย”
เบสว่าแล้วก็ยื่นแผ่นไม้ของตัวเองมาให้ผมดู
เบสเขียนไว้ว่า “ขอให้คุณพ่อมีความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง และขอให้โต้งแฟนที่น่ารักของผม มีความสุขมากๆ อยากให้เค้ายิ้มได้ทุกวันครับ”
ผมแอบอึ้งที่เบสเขียนถึงผม เหมือนที่ผมเขียนให้เค้า
“เห็นไหม เรายังไม่มีความลับกับนายเลย...” เบสพูดแบบอายๆ ผมมองหน้าเขินๆ ของเบสแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
“อ๊ะ งั้นเอาไปดู” ผมยื่นแผ่นไม้ของผมให้เบสบ้าง เบสรีบรับไปอ่านอย่างไว
และพอเบสอ่านถึงข้อความที่เขียนถึงเค้า เค้าก็ยิ้มแก้มแทบปริเลย จากนั้นเค้าก็ส่งแผ่นไม้คืนมาที่ผม
“ใจตรงกันเลยนะเบส” ผมพูดกับเบสที่ยังยืนอมยิ้มอยู่
“.....อึม” เบสยังคงยิ้มไม่เลิก
จากนั้นเราสองคนก็ไปผูกแผ่นไม้ติดกัน ในจุดที่ทางศาลเจ้าเตรียมไว้ให้
เบสพาผมเดินออกมาจากวัด เราเดินกันไปเรื่อยๆ ตามทางธรรมชาติที่ร่มรื่น
ต้นไม้สูงเสียดฟ้า ทำให้บรรยากาศโดยรอบครึ้ม และเย็นสบาย
ระหว่างทาง เราคุยกันเรื่อยเปื่อย เรื่องราวทั่วๆ ไปตามประสาคนเป็นแฟนกัน
จนเดินออกจากศาลเจ้า เราก็ตรงไปยังถนนมีชื่อของฮาราจูกุ นั่นก็คือ ทาเคชิตะโดริ
ถนนทาเคชิตะโดริ เป็นย่านขายเสื้อผ้า ของใช้วัยรุ่นที่มีชื่อเสียงของฮาราจูกุ

ของในที่นี่ส่วนมากราคาไม่แพงนัก เพราะวัยรุ่นที่มาเดิน ส่วนมากเป็นเด็กๆ จริงๆ
เบสพาผมไปต่อคิวซื้อเครปกินด้วย เครปญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเครปไทยตรงที่ นุ่ม ไม่กรอบ
ผมสั่งเครปสตอเบอร์รี่ช๊อกโกแลต ราดซอสคัสตราด
สำหรับเบส เบสสั่งเครปกล้วยหอมช๊อกโกแล๊ตและครีมสด
เรานั่งกินกันตรงบันไดขึ้นสวนสาธารณะเล็กๆ ในซอยข้างๆ ร้านขายเครป
“อร่อยไหมโต้ง มาฮาราจูกุ ก็ต้องมากินเครปนะละ ได้บรรยากาศดี”
“อึม....หวาน อร่อยมาก ไหนๆ ของเบสเราขอชิมบ้างดิ แลกกันๆ” ผมยื่นเครปตัวเองให้เบส
แต่เบสไม่รับไว้ เค้าก้มหน้ามากินอีกแล้ว พอทีผม เบสก็ยื่นมาให้ ผมก็ก้มลงไปกัดบ้าง
“เครปเลอะมุมปากนะโต้ง เดียวเราเช็ดให้” เบสว่าแล้วก็เอากระดาษทิชชู่ในมือเช็ดปากให้ผม
“ขอบใจนะ” ผมขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆไปให้เบสทีนึง เบสก็ยิ้มตอบกลับมา
ในตอนนี้เองที่ผมสังเกต มีเด็กผู้หญิงสองคนมองมาที่พวกผมด้วย
ดูจากหน้าตาการแต่งตัวแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติเหมือนพวกผม
ไม่น่าใช่เด็กญี่ปุ่นหรอก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลังทานเครป ผมกับเบสก็เดินเล่นกันต่อ เนื่องจากคนเยอะมาก เวลาเดินแทบจะต้องเบียดไหลตามๆ กันไป ผมกลัวจะพลัดหลงกับเบส เลยกุมมือเบสไว้แน่น
ตอนแรกเบสก็มองหน้าผมเหมือนกัน เหมือนจะถามว่าจับมือทำไม
ผมเลยพูดไปว่า “กลัวพลัดหลงกันนะ จับมือได้ไหม คนเยอะแบบนี้ไม่มีใครสนใจหรอก” เบสไม่ตอบอะไร แต่ยิ้มๆ แล้วก็กุมมือผมแน่นเลย
ในที่สุดเราสองคนเดินกุมมือกันออกมาจากโซนที่คนเยอะๆ ได้สำเร็จ แต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“พอได้แล้วมั้งโต้ง คนก็ไม่เยอะแล้ว” เบสเตือนผม
“ก็ได้” ผมยิ้มให้เบส
พอผมปล่อยมือ ก็ได้ยินเสียงภาษาไทยลอยเข้าหูมาว่า
“ว๊ายๆ เดินจับมือกันด้วย เกย์แน่ๆ เลย เสียดายจังหน้าตาดีทั้งคู่เลย ไม่น่าเป็นเกย์เลย”
ผมเหลือบไปมองด้านหลังแว่บนึง ก็เห็นว่า คนที่พูดก็คือสองสาวที่เมื่อซักครู่แอบดูพวกผมป้อนเครปกันนั่นเอง
เบสเองก็ดูท่าจะได้ยิน เพราะเบสก็หันหน้าไปมองเหมือนกัน
สองสาวที่เหมือนจะรู้ตัวว่าผมกับเบสฟังภาษาไทยรู้เรื่อง
รีบหันหน้าหนีหลบสายตาผมสองคนกันทันที จากนั้นก็รีบเดินหนีไปอีกทาง
“แหม่ๆ คนไทยนิเอง เฮ้อ...คนไทยนี่ชอบนินทาจริงเลยนะ ไม่ได้คิดเลยว่าพวกเราจะเป็นคนไทยเหมือนกัน”
“ช่างเหอะโต้ง อย่าไปสนเลย เด๋ียวเราก็ไม่เจอคนพวกนั้นละ ปล่อยให้เค้าคิดกันไปเหอะ” เบสตอบกลับมาอย่างอย่างอารมณ์ดี
“อึม” ผมหันไปยิ้ม
พอออกจากซอยทาเคชิตะโดริ เบสก็เดินนำไปทางโอโมเทะซันโดฮีล ซึ่งเป็นห้างที่สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่นออกแบบ

การออกแบบของที่นี่โดดเด่นเรื่องการเชื่อมทุกชั้นไว้ด้วยทางเดินวน
เราสามารถเดินขึ้นลงไปทุกชั้นด้วยทางเดินที่เหมือนเนินลาดชัน
สำหรับร้านค้าในนี้ และรอบๆ ตัวห้าง จะเป็นร้านแบรนเนมซะเป็นส่วนใหญ่ ผมเองไม่มีปัญญาซื้อหรอก เลยได้แต่ชมวิวเฉยๆ
พอออกมาจากห้าง ผมก็หิวมากแล้วละ เราสองคนเดินกันเพลินจนลืมกินข้าวกลางวัน ตอนนี้ก็บ่าย 2กว่าๆ แล้ว
เมื่อกี้ผมอาจจะกินเครปไป แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ผมหิวจังเลย
“หิวแล้วละเบส ไปหาอะไรกินกันหน่อยไหม”
“โต้งอยากกินอะไรละ?”
“อะไรก็ได้ง่ายๆ”
“งั้นเดินกลับไปแถวสถานีหน่อยนะ มีร้านอาหารราคาไม่แพงอยู่เยอะ”
เราสองคนเดินกลับไปแถวหน้าสถานีรถไฟฮาราจูกุกันอีกรอบ เบสพาผมเข้าไปร้านเสต็กแถวๆนั้น
ข้างในร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย เมนูส่วนมากเป็นเสต็ก ของทอด ของย่าง
เบสแนะนำให้ผมกินหมูที่เรียกว่า ทงโทโร่ ผมว่ามันเหมือนคอหมูย่างของไทยเรานะ เป็นเนื้อหมูติดมัน ก็อร่อยดีนะ
ส่วนเบสสั่งแฮมเบอร์เกอร์ราดซอส สไตล์ญี่ปุ่น
เรารอไม่นานเท่าไรพนักงานเสิร์ฟ ก็เอาเครื่องเคียงในเซ็ตมาเสิร์ฟก่อน
ระหว่างนั่งรอ ผมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก็พบสองสาวคนไทยเมื่อซักครู่อีกแล้ว
แต่สองคนนั้นคงยังไม่ทันสังเกตพวกผม ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับสองคนนั้น เลยทำเป็นไม่สนใจไป
พออาหารมาเสิร์ฟ ผมกับเบสก็คุยกันไปกินกันไป ไม่ได้สนใจใคร มีการแลกกันกินบ้าง
เป็นเรื่องธรรมดาของพวกเราไปแล้ว ที่จะแบ่งของกินของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ชิม
“การมีแฟนมันดียังงี้นิเอง” จู่ๆ เบสก็พูดขึ้นมา
“ยังไงหรือ?” ผมถามกลับ
“ก็จะได้กินของอร่อยๆ ได้หลายอย่างไง มาสองคนก็สั่งสองอย่างไม่เหมือนกัน แต่มาแลกกันกิน คุ้มค่าจะตาย ถ้ามาคนเดียวนะ ก็ได้แค่สั่งอย่างเดียวเท่านั้นเอง”
เบสพูด ทำท่าลอยหน้าลอยตาน่ารักซะเหลือเกิน
“ฮ่าๆๆๆ นายนี่ช่างเข้าใจคิดนะ คิดได้ไงเนี่ย”
“เออนี่ โต้ง เห็นสองสาวตรงโต๊ะข้างขวาปะ”
“อึม เห็นแล้วละ แต่ขี้เกียจสนใจ ทำไมหรอ”
“เปล่าๆ เราเห็นพวกเค้ามองมาทางพวกเราอีกแล้ว เราเลยเกิดไอเดียสนุกๆ ขึ้นมาละ”
“หึม ไอเดียอะไร?”
“เอาน่าๆ โต้งทำตามที่เราบอกละกัน” เบสยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ผมปกติก็ยอมตามใจเบสอยู่แล้ว เลยไม่ได้ว่าอะไร เบสอยากเล่นอะไรผมก็จะทำตามใจเค้า
ว่าแล้วเบสก็เริ่มป้อนอาหารให้ผมใหญ่ และบอกให้ผมป้อนเค้าบ้าง
ไม่พอแค่นั้น เบสยังพยายามทำท่าออดอ้อนผมเสียเต็มประดา ถึงจะน่ารักก็เหอะ แต่ผมว่ามันน่าขำมากกว่า
เบสคงกะจะแกล้งให้สองสาวนั้นกรี้ดกันเฉยๆ ละมั้ง
มีการป้อนน้ำให้ผมด้วย พอผมปากผมเลอะ ก็มาเช็ดปากให้
ผมเลยเอาบ้าง พอเบสเค้ากินเลอะ ผมก็บรรจงเอาทิชชู่เช็ดที่ปากเบสเบาๆ เบสเขินอายเล็กน้อย แต่ยอมให้ผมทำโดยดี
เราสองคนสนุกกับการสวีทแบบแกล้งๆ กันจนเพลินเลยละ
ผมสังเกตว่า ยิ่งพวกเราทำแบบนี้ สองสาวนั้นยิ่งทำท่า
ตื่นเต้น มองมาทางพวกผมอย่างเปิดเผยเลยละ
------------------------------------------------------------------------------------------
จิ ตอนแรกว่าจะลงจนหมดวัน แต่สะบัดงวงสะบัดงา ตกลงอยู่หน้าสอง ;_;
สองสาวที่ว่านี้ ไม่ใช่สาวๆ ในบอร์ดนี้ไปร่วมแจมเป็นนักแสดงประกอบไกลถึงญี่ปุ่นหรอกใช่ไหม