ฉากพิเศษ สำหรับคนพิเศษ แทนคำขอบคุณครับ
ผ่านวันเวลาที่โหดร้ายยาวนาน ลากร่างลากใจผ่านวันคืนที่ขมขื่น มันไม่ง่ายกับชีวิตแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านมันไปไม่ได้ ทุกข์ เจ็บ ร้องไห้ หัวเราะ ยังไงเสียมันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต จะหลบจะหลีกยังไงมันจะพ้นไปได้ ครั้นตอนเรามีสุขเรามองเห็นความทุกข์ไหม เห็นนะ แต่รสชาติมันเป็นยังไงเราไม่พึงปรารถนาจะสัมผัส เช่นกันครั้นเรามีทุกข์ เราก็จมอยู่แต่กับความรู้สึกนั้น ตรม ยอกอกอยู่ทั้งที่ชีวิตมันมีอยู่สองด้าน ไม่สุขก็ทุกข์เท่านั้นแล เวลาเรามีรักเรามักมองไม่เห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของอีกฝ่ายเพราะรักนั้นมันพรางตา หรือแม้หากจะผิดความผิดนั้นมันก็น้อยนิดนัก แต่เมื่อใดหมดรักแม้จะแค่ถอนหายใจมันก็กลับกลายเป็นความผิดมหันต์ นี่ล่ะหนาชีวิตคน เราหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสิ่งใดฤๅ ใจ เราเอาใจของตนเป็นที่ตั้งกระนั้นหรือถ้าหากว่าเรามีใจเอนเอียงไปทางไหน ใคร่สิ่งใดมากกว่า สิ่งนั้นก็ย่อมมี่ค่ามีราคาสำหรับเรา ถ้าหากใจเราปิดกั้นให้กับสิ่งใด สิ่งนั้นก็ดูช่างน่ารังเกียจ แต่กระนั้นเพราะคนเรามีใจแบบนี้ โลกนี้มันจึงมีมิติให้เรามีเรื่องราวเล่าสู่กันฟังอย่างไม่รู้จักจบสิ้นจริงไหม
ภูมิบุญเองก็เป็นอีกคนที่ผ่านความโหดร้ายของชีวิตมาไม่น้อย ลากร่างดึงใจผ่านวัยที่ล่วงเลยชีวิตวัยรุ่นตอนต้นที่ไม่เหมือนวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ผ่านมันมาอย่างลำบาก แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ ชีวิตที่ไม่ได้สวยงามแต่ก็ประคับประคองมันมาจนล่วงพ้นมาได้ เพราะอะไร เพราะเขาเองก็เอาใจเป็นที่ตั้ง มีรัก มีเกลียด แม้จะมีเกลียดมาก รักมาก แต่ตราบใดที่ยังหล่อเลี้ยงชีวิตให้ผ่านพ้นมันไปได้ พอวันหนึ่งเรามองย้อนกลับมาเราจะเห็นว่ามันไม่ได้ใหญ่โตไปอย่างตอนที่เราเผชิญกับมันเลย อาจจะขันให้กับสิ่งที่เราเคยทำเสียด้วยซ้ำ ความผิดที่คิดว่าใหญ่ในตอนนั้นพอเหลียวมองย้อนกลับไป นั่นน่ะหรือที่เราเรียกว่าใหญ่ ตีอกชกตัวร่ำไห้ให้กับมัน
"พี่โต้ครับอย่านอนตรงนี้นานเลยนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย"
เสียงของภูมิบุญดังสะท้อนขึ้นในความเงียบ
"หือ อีกสักหน่อยได้ไหมครับคนดี ขอดูดาวอีกแป๊บเดียว หนาวไหมครับ"
คืนที่ท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยหมู่ดารารายเรียงประดับประดาไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า แหงนมองขึ้นไปเหมือนกำลังมองหมู่เพชรพลอยที่ต่างก็อวดอ้างแสงระยับของตัวเอง เล็กบ้างใหญ่บ้าง โซฟาหวายสานที่บุด้วยผ้าฝ้ายอย่างดีมีร่างสองร่างกำลังนอนก่ายกอดกันอยู่บนนั้น ผ้าห่มนวมผืนหนาคลุมร่างเพื่อป้องกันความเหน็บหนาว มือหนาขยับหมวกไหมพรมสีน้ำตาลอ่อนบันหัวของคนที่กำลังซุกหน้าลงกับอก ผ้าพันคอนุ่มละมุนคล้องคอของสองคนเข้าด้วยกัน ร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าหนามีผ้าห่มคลุมทับอีกชั้น มันไม่ได้หนาวเหมือนอากาศภายนอกเลย อุ่นไอรักแผ่ไปถึงกันและกัน บนระเบียงบนที่พักมองออกไปเห็นเงาดำมืดของภูเขาเบื้องหน้า ส่วนเบื้องบนคือหมู่ดาวระยับแสงดารดาษแวววาวอยู่ คนตัวใหญ่มีอำนาจพอที่จะสั่งให้พนักงานเอาเตาอั้งโล่มีถ่านคุไฟอยู่สีแดงฉานมาวางอยู่ใกล้ๆ มีสังกะสีรองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากความร้อนของไฟนั้น
"พี่มีความสุขจังครับ อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ อยู่ตรงนี้อีกสักพักนะครับคนดีของพี่"
เสียงที่ทุ้มเบาสบายฟังกี่ทีก็ไม่มีเบื่อยังก้องกังวานอยู่ข้างหู ภูมิบุญเองก็เอื้อมมือขึ้นไปกระชับหมวกไหมพรมสีเดียวกันบนหัวของเขา
"ครับ ภูมิเองก็มีความสุข"
"คิดถึงนะครับคนดี"
"หือ ทำไมล่ะครับ ภูมิก็อยู่ตรงนี้นี่ ยังคิดถึงอยู่อีกเหรอ"
"ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งคิดถึง ใครกันนะเป็นคนบัญญัติคำว่าคิดถึงขึ้นมา"
"น่าจะใช้คำว่าไม่พอสินะครับ"
ภูมิบุญเย้า โตโต้จับปลายคางแล้วขบที่ปลายจมูกเบาๆ
"ใช่ ไม่มีคำว่าพอสำหรับภูมิ พี่ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งคิดถึงเรา อยากจะกอดอยู่อย่างนี้ แม้แต่กอดก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ไม่เคยพอ"
"พี่โต้ รักภูมิมากขนาดนี้เลยเหรอครับ"
คนถูกถามตอบด้วยสายตาที่หวานละมุน หวาบวาบเข้าไปในใจ แทนคำตอบด้วยริมฝีปากหนาอุ่นที่ทาบลงมาอย่างแผ่วเบา ภูมิบุญเองก็เผยอปากรับริมฝีปากนั้น ความหวานดูดดื่มเติมเต็มให้แก่กันนานแสนนานกว่าจะถอดถอนหน้าออกจากกัน
"รักมากสิครับคนดี รักมากจนพี่หาคำมาพูดไม่ได้ แต่พี่จะไม่ถามภูมิหรอกนะว่ารักพี่บ้างไหม เพราะพี่คิดว่าพี่รู้ว่าภูมิเอง"
"ก็รักพี่มาก รักมากเหลือเกิน"
ภูมิบุญแย่งตอบน้ำตาเอ่อออกมาดวงตาที่เคลือบด้วยม่านน้ำตามันส่องแสงประกายแวววาวระยับสื่อออกไปแทนคำตอบจากใจ
"ภูมิ พี่รักภูมินะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นับจากนี้พี่จะไม่ไปไหน"
"อย่าครับพี่โต้ อย่าสัญญา ภูมิรู้ว่าเรารักกัน ภูมิไม่ได้ขออะไรมาก แค่อยากให้พี่โต้รักภูมิแบบนี้ไปทุกๆวัน วันข้างหน้าภูมิไม่สนใจ ภูมิขอแค่ได้อยู่ข้างๆ"
"คนดีของพี่"
ยากไหมกับการที่จะรักใครสักคนจนหมดหัวใจ ยากนะ คนที่เราจะสานสัมพันธ์มอบดวงใจความรู้สึกรักบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเคลือบแฝงให้ไปหมดทั้งใจ มันไม่ง่าย การที่จะเจอคนที่เรารักมันไม่ได้หาง่ายๆ หรือเดินเจอตามท้องถนน แต่ถ้าท่านได้รักมาแล้ว ขอให้กอดรักนั้นไว้กับอก ทะนุถนอมมันให้ดี อย่าปล่อยให้มันหนีหายไปไหนเลย
สองร่างกลับเข้ามานอนบนเตียงหลังใหญ่สีขาวผ้าห่มผืนนาที่สองกายซุกอยู่ ใต้นั้นมันอุ่นแต่กระนั้นสองร่างก็เบียดกายเข้าหากันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย หน่าย คราวที่รักน้ำต้มผักยังว่าหวาน นี่สิหนอที่โบราณท่านว่าไว้ สาวยตาสอดประสานมองกันอย่างไม่รู้จักเบื่อ แววตาแห่งรักที่ทอแสงระยิบออกมายิ่งทำให้อีกฝ่ายหลงไหล
สองร่างเบียดก่ายกอดพ่อยอดขวัญ แลกลิ้นพันแทรกในร่างไม่ห่างหาย
แน่งน้องคร่อมพี่เจ้าเอยก็ลูบกาย แลกน้ำลายหวานฉ่ำถึงกลางทรวง
ขยับเอวเร่งน้องร่อนรับแสนวาบหวาม ตาคู่งามฉายแววรักอยู่บนสรวง
ร่างเบียดร่างกายเบียดกายซบอกทรวง สุขทั้งปวงสรรหามามอบให้กัน
มือลูบล้วงเอวร่อนต่ำยกก้นกอย เนื้อแน่งน้อยชิวหาลากสู่สวรรค์
เนื้อเป็นเนื้อน้ำเป็นน้ำเบียดหากัน แสนสุขสันต์ชื่นชีวาลีลาหวาน
เสียงครวญครางกระเส่าร้องให้เจ้ารู้ พ่อยอดชู้เติมเชื้อไฟร้องเรียกขาน
เนื้อหนั่นน้อยสอดเข้าร่างแสนสำราญ อยากจะจารเนื้อหนั่นนั้นให้ติดตัว
"ยายครับ ผมขอสัญญาว่าผมจะดูแลและรักน้องภูมิไปตลอดจนกว่าผมจะสิ้น"
"พี่โต้ ไม่เอาครับ บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าสัญญาสาบานอะไร ไม่เอาๆ"
ภูมิบุญร้องขึ้นก่อนที่โตโต้จะพูดให้จบประโยค เขานั่งคุกเขาอยู่ต่อหน้าแท่นปูนที่สีดำๆด่างๆมีเศษกิ่งไม้ใบไม้แห้งปกคลุมไปทั่ว ธูปสองดอกที่จุดขึ้นส่งกลิ่นควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ พวงมาลัยดอกมะลิวางอยู่ข้างๆ วันนี้เป็นวันแต่งงานของพลอยกับกาย พอช่วยงานเสร็จรอพิธีในตอนค่ำโตโต้ก็ร้องอยากจะมากราบยายของภูมิบุญ เวลาพลบค่ำแสงตะวันทอแสงนวลเย็นตา ลมหนาวที่เขาค้อที่หนาวเย็นทั้งวันอยู่แล้วยิ่งใกล้ค่ำความหนาวก็เพิ่มระดับขึ้น โตโต้กับภูมิบุญนั่งคุกเข่าอยู่พนมมือขึ้นเคียงข้างกัน
"ยายจ๋า ตอนนี้ภูมิไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ใจอะไรแล้ว ภูมิพาคนที่ภูมิรักมากราบยาย แต่ก่อนภูมิเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าไม่มีคำสอนของยายป่านนี้ภูมิจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ถ้าวิญญาณของยายรับรู้ โปรดรู้ไว้ด้วยนะครับ ว่าหลานของยายคนนี้รักยายมาก ยายไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว"
จ้องมองแท่งปูนนั้นอยู่นานแสนนาน โตโต้เองก็พร่ำเพ้อต่อหน้าแท่นปูนนั้นเหมือนกัน คนเราถ้าหากแม้นมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เชื่อเสมอว่าเรื่องราวเลวร้ายสักเพียงไหนถ้าหากเรามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว เราเองจะไม่หลงทาง ทุกข์เอยจะพัดจะโหมเข้ามาก็มาเถิด สักวันฟ้างามหลังฝนร้ายนั้นก็จะทอแสงประกายทองให้เราได้เชยชมอยู่นั่นแล
บรรยากาศภายในงานแต่งงานของพลอยและกายสวยงามมาก งานของกานดาและไพลินว่าสวยแล้ว งานนี้บาสเองระดมสมองร่วมกับพลอยเต็มที่ กายเองก็ทุ่มทุนไม่อั้นของที่ใช้ในงานล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นดีที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษ เหมือนวิมานบนดิน พลอยเองเลือกดอกบัวหลากสีมาประดับในงานเพราะโดยส่วนตัวชอบอยู่แล้ว สถานที่จัดงานย้ายไปอยู่หลังรีสอร์ทติดริมบึงกว้าง ภายในบึงที่น้ำนิ่งสงบมีเพียงไอของน้ำลอยขึ้นมามีคนเอาหลักไม้ไปปักเอาโคมไปแขวนระย้าส่องแสงระยิบระยับอยู่ ผูกเทียนลอยน้ำเป็นแพยาวส่องแสงวามวับไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ มีดอกบัวหลวงพับกลีบ บัวสาย บัวผัน บัวเผื่อนลอยอยู่เป็นหย่อมๆ ถัดขึ้นมาเป็นเวทีที่ทำขึ้นชั่วคราวหันหลังให้บึง เวทีทำขึ้นด้วยไม้ยกชั้นให้สูงขึ้นแค่เข่าประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ข้างเวทีก็ทำเป็นเสาขึ้นห้อยโคมระย้า โยงเข้าหากันด้วยพวงชมพูแซมด้วยม่านดอกรักกับกุหลาบขาวแดง บนโต๊ะแต่ละโต๊ะปูด้วยผ้าฝ้ายฉลุลายบางๆมีอ่างแก้วลอยบัวกับเทียนหอมอยู่ตรงกลาง เก้าอี้ทุกตัวถูกห้อยด้วยไฟที่ใส่ในลูกบอลกลมขนาดเขื่องทำด้วยใยไหมหลากสีสัน แต่ละโต๊ะมีไม้ไผ่หุ้มด้วยกระดาษสาพันเกี่ยวขึ้นไปด้วยพวงชมพูกับกุหลาบหนูสีสันหวานจับใจ มีโคมลูกเล็กๆห้อยอยู่ ทางเข้างานก็มีอ่างแก้วลอยบัวหลวงพับกลีบล้อมรอบด้วยเทียนหอมแท่งใหญ่ มีเสาห้อยโคมมีผ้าแพรผูกโบว์เขียนตัวอักษรชื่อของคู่บ่าวสาวเอาไว้
"ขอบใจมากนะบาส อ่ะนี่รางวัลของคนเก่ง"
กายยื่นซองกระดาษสีขาวให้บาสที่ยืนใส่แจ็กเก็ตตามสมัยนิยมกางเกงยีนส์สีขาวอยู่ข้างๆภูมิบุญกับโตโต้
"อ่า"
บาสหันไปมองหน้าภูมิบุญเหมือนจะขอคำตอบ ภูมิบุญพยักหน้า บาสยกมือไหว้รับซองมา
"พี่ชอบมากบาส ขอบใจมาก"
"ครับ ขอบคุณครับพี่ แต่ถ้าเยอะไปผมไม่เอานะครับ"
"อ้าว ทำไมล่ะ พี่เต็มใจให้"
"ก็พี่สาวผมแต่งงานนี่ครับพี่ ผมเป็นน้องแค่นี้ผมเต็มที่อยู่แล้ว"
พลอยเองพอได้ยินยิ้มออกมาเดินเข้ามากอดบาส
"บาส ขอบใจมาก แต่รับๆไปเถอะ เจ้าบ่าวพี่เขารวย"
หันไปแขวะคนเป้นเจ้าบ่าวรายนั้นยิ้มร่าหัวเราะอยู่
"ระวังนะพี่กาย พลอยเขากินจุ ระวังพี่กายจะเลี้ยงไม่ไหว"
ภูมิบุญแหย่เพื่อนรักบ้าง
"ลองเลี้ยงไม่ไหวสิภูมิ ไหวไหมคะเจ้าบ่าว"
"ฮ่าๆ ไหวสิคร้าบเจ้าสาว กินยังไงก็ไหว พี่ทุ่มไม่อั้น"
ทุกคนหวัเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะเสื้อผ้าหนาถูกสวมใส่แล้วนั่งรายล้อมกันอยู่ข้างเวที เพราะมีการก่อกองไฟไว้ข้างๆเพื่อให้ความอบอุ่น เจ้าบ่าวเป็นคนเล่นกีตาร์ แขกที่มาในงานส่วนมากเป็นเครือญาติ เพื่อนที่สนิท แล้วก็พนักงานที่บริษัท งานจึงจัดขึ้นแบบสบายๆไม่มีพิธีรีตองอะไร
"สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันคอย
อาจดูเหมือนเลื่อนลอย เกือบจะฝันไป
มองหาคนๆหนึ่ง ที่ไม่รู้เป็นใคร
และไม่รู้เมื่อไหร่ จะพบคนผู้นั้น"
เสียงดีดกีต้าร์โปร่งดังใสก้องกังวานขึ้น พลอยเป็นคนร้องเพลงคู่กับกาย ทั้งคู่นั่งอยู่บนเวทีห่มผ้าห่มนวม เหมือนไม่ใช่งานแต่งแต่ดูเหมือนเป็นการมาเข้าค่ายเสียมากกว่า พอเสียงใสๆของพลอยลอยมาปะทะหูภูมิบุญก็เม้มปากหันไปมองคนตัวใหญ่ที่นั่งกุมมืออยู่ติดกัน เขาส่งสายตาหวานผ่านซึมเข้าไปในใจ
"อาจบางทีในเมืองกว้างใหญ่
หมอกและควันช่วยกันพรางตา
มีขอบรั้วขอบกำแพงสร้างมา
ตึกระฟ้าคอยบังเราอยู่
แต่เราก็หากันจนเจอ
มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา
รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า
เมื่อมีใครสักคนข้างกาย
เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง
เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ
เราต่างรู้โลกมันแสนกว้างใหญ่
แต่มันคงไม่ยากเกินไป
ที่ฉันจะพบเธอ"
พลอยร้องต่อไปไม่ได้ เอาไมโครโฟนออกจากหน้า ร้องไห้ออกมา กายเองก็หยุดเล่นกีต้าร์กอดร่างของพลอยเอาไว้ ทุกคนเงียบแต่มองอยู่ด้วยความวาบหวามใจ กายเองกอดจูบพลอยอยู่ปลอบให้สงบลง
"ขอโทษนะคะ พอดีความปลื้มใจมันมาแรงน่ะค่ะ ไหนๆก็ซึ้งแล้วนะคะ พลอยขอพูดอะไรหน่อย เพราะเพลงรู้ว่าเพื่อนๆทนฟังเสียงเป็ดอยู่งานจะล่มเอา"
เสียงหัวเราะดังครืนขึ้น บรรยากาศเริ่มแจ่มใสขึ้นมา
"ขอบคุณพี่กายนะคะ ขอบคุณที่มองเห็นพลอยเป็นผู้หญิง"
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก พลอยหยุดพูดแล้วหันไปยิ้มให้เจ้าบ่าว
"เอ่อ ที่ยังเห็นพลอยเป็นผู้หญิงที่ควรค่ากับพี่กาย"
เสียงขรึมนิ่งลงทำให้เสียงหัวเราะหยุดลงได้ทันที
"พลอยเป็นคนไม่น่ารัก อันนี้พลอยรู้ตัวดีค่ะ แต่พี่กายก็ยังรัก ชีวิตผู้หญิงกะโปโลคนหนึ่ง มีผู้ชายที่เพียบพร้อมเข้ามาในชีวิต ขอบคุณค่ะพี่กาย พลอยรักพี่กายค่ะ"
เสียงปรบมือเป่าปากดังขึ้น พลอยหยุดจังหวะให้เสียงเงียบลง
"อีกคนที่พลอยต้องขอบคุณ ภูมิ"
หันมาทางภูมิบุญ พลอยน้ำตาคลอออกมาเม้มปากแน่น
"ภูมิคือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของพลอย ขอบคุณมากนะภูมิ ในทุกอย่างที่ภูมิทำให้เราเห็นแต่สิ่งที่ดีๆมาตลอด แม้ชีวิตของภูมิเองจะผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะ แต่เพื่อนคนนี้ไม่เคยยอมแพ้ ชีวิตของภูมิทำให้พลอยได้เรียนรู้ และเข้มแข็ง พลอยรักภูมิมากนะ ขอบคุณจริงๆ"
พลอยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ภูมิบุญเองก็น้ำตาซึมออกมา โตโต้กระชับมือกุมบีบคลึงเบาๆ
"ไม่เน่าเชื่อเลยเนอะ ว่าเราจะมีวันนี้ได้"
พลอยพูดขึ้นหลังจากที่งานจบ แขกเหรื่อแยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้ว บ้างก็จับกลุ่มกันอยู่รอบกองไฟสังสรรค์กันไม่ยอมเลิก แต่พลอยกาย โตโต้และภูมิบุญนั่งอยู่ที่โต๊ะห่างออกมาจากกลุ่มที่สังสรรค์กันอยู่เล็กน้อย ก้องเองต้องพาไพลินเข้านอนเร็วเพราะไพลินท้องได้ห้าเดือนแล้ว ส่วนฝ้ายเองก็ต้องพาลูกเข้านอนเช่นกัน แวนเองกำลังตั้งท้องน้องอีกคน รายนี้ดูวุ่นวายกับครอบครัวมากเพราะคนโตกำลังซนพอลเองก็คอยตามแต่ลูกไม่มีเวลามานั่งคุยด้วย ส่วนพระแทนฝากแค่คำอวยพรมาทางแวน ทันเองก็มางานด้วยอยู่ในกลุ่มที่สังสรรค์กันอยู่ ไม่ได้พาใครมาหรือมีความสัมพันธ์กับใครเป็นพิเศษยังเป็นชายรักสนุกอยู่
"นั่นสินะ ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเราจะมานั่งอยู่ตรงนี้พร้อมหน้ากัน"
ภูมิบุญเอ่ยขึ้นมายิ้มให้พลอย
"เมื่อก่อนกระโปรงเรายังไม่อยากจะใส่เลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะแต่งงาน"
พลอยหัวเราะออกมา กายเองก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
"เดี๋ยวนี้นะภูมิ ก็ยังไม่ยอมใส่กระโปรงอยู่ดี ขาออกจะสวย"
เจ้าบ่าวตาหวานฉ่ำ
"แหมพี่กาย สวยก็เก็บไว้ให้พี่กายดูคนเดียวไงครับ จริงไหมพลอย"
พลอยเองอายขึ้นมา กายได้ทีฉวยเอวเข้าไปกอดแล้วพรมจูบทั่วหน้าผาก ทั้งสี่คนคุยกันอยู่สักพักจึงแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน ภูมิบุญเองก็แยกไปเข้าห้องพักของตัวเอง กำลังสระผมให้โตโต้อยู่ในอ่างน้ำอุ่นตีฟองแล้วโรยรอบอ่างด้วยกลีบกุหลาบ ที่โรยกลีบกุหลาบนั้นเพราะบาสเป็นคนจัดการให้ อยากเห็นภูมิบุญมีความสุขกับโตโต้
"เมาเหรอครับพี่โต้"
เอาริมฝีปากทาบกับใบหูที่แดงก่ำ
"ไม่หรอกภูมิ พี่แค่มึนๆ"
"เอนตัวลงครับ เดี๋ยวภูมินวดหัวให้"
ภูมิบุญขึ้นนั่งบนขอบอ่างแล้วดึงร่างของโตโต้มาแนบกับหว่างขา คลึงนวดศรีษะอยู่อย่างนั้น จนคนตัวใหญ่เคลิบเคลิ้มไป พอนวดเสร็จก็ฟอกสบู่ให้ลูบไล้ไปทั่วทั้งร่างกาย โตโต้เองก็หันหน้าเข้าหาทำอย่างที่ภูมิบุญทำให้บ้าง
"พี่ว่าให้แม่ผูกข้อมือให้ดีไหมภูมิ เห็นพลอยแต่งงานพี่ก็อยากแต่งเหมือนกัน"
ภูมิบุญกลั้นหัวเราะฉายรอยยิ้มออกมา
"ไม่ต้องหรอกครับพี่โต้ การแต่งงานไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความรักนี่ครับ แค่รักแบบนี้ให้เท่ากันทุกวัน แค่นี้ก็พอ"
"แต่พี่อยากทำแบบนี้บ้างนะภูมิ"
"เพื่ออะไรล่ะครับ คนเรารักกัน คนสองคนเท่านั้นที่รู้ คนอื่นที่เขาดูรู้เขาก็รู้ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศหรอก รีบขึ้นเถอะครับเดี๋ยวเป็นหวัด"
ภูมิบุญตัดบทแล้วลุกขึ้นจากอ่าง โตโต้รีบลุกขึ้นตามแล้วดึงร่างเปล่าเปลือยของภูมิบุญมากอดไว้
"ก็พี่หวงของพี่นี่ครับ อยากให้คนอื่นรู้ว่าภูมิเป็นของพี่"
"พี่โต้ครับ พี่ยังคิดว่าภูมิจะไปเป็นของใครได้อีกเหรอ ไม่มีแล้วล่ะครับ แต่ถ้าพี่โต้แอบไปมีใคร หึ รู้ใช่ไหมว่าต้องเป็นยังไง"
ทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงขึ้นจมูกแสยะยิ้มออกมา
"คร้าบ พี่ไม่กล้าหรอกน่า มีเมียน่ารักแบบนี้ทั้งคน อีกอย่างดุด้วย พี่คงไม่กล้าหรอกคร้าบ ที่รัก"
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไรสิครับ ภูมิไม่ไปไหน พี่โต้ไม่ไปไหน ทำตัวเป็นผัวที่ดีก็พอแล้ว"
ภูมิบุญหันหน้าเข้าโตโต้เหมือนกัน ยิ้มพราวเต็มดวงหน้าประทับริมฝีปากลงไปบนปากหนาที่เผยอรออยู่แล้ว เคยคิดว่าตัวรับบทเมียต้องทำตัวเหงียมเจียมตัว ไม่แสดงความต้องการอะไรเกี่ยวเรื่องบนเตียงออกมามากนักเพราะอาจจะดูไม่ดี ใครกันนะช่างคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ทำไมในเมื่อใจมันอยาก ข้างในมันเรียกร้อง อยากจะเป็นคนทำเอง อยากเป็นคนเริ่มเอง ต้องการก็บอก ภูมิบุญเองเป็นคนเริ่มเองหลายครั้งหลายครา ไม่มีเอียงอาย ทำเพราะใจ ทำเพราะรักเต็มที่กับทุกสัมผัส ใส่ใจในทุกอารมณ์ ไม่มีมาดของนางเอกในนิยายที่จะเผยอปากรอรับจูบหวานนั้นฝ่ายเดียวทั้งที่ใจเต้นเรียกร้อง ทำไมล่ะในเมื่อใจมันอยาก อยากจูบเขาก็จูบ อยากขึ้นคร่อมเขาก็ขึ้นจะอายทำไมในเมื่อผู้ชายข้างหน้าคนนี้เขาเรียกเราว่า "เมีย" ก็ไม่แปลกที่เมียจะทำให้ผู้ที่เรียกตัวเองว่า "ผัว"
อิอิ ยังรักกันๆ อยู่ไหมอ่า
เฮ้อ ยากนะอะไรหวานๆเนี่ย เค้นออกมาเต็มที่เปิดเพลง ดูเอ็มวี เหอๆๆ แต่ไม่เอาอ่าวเลยสักอย่าง นั่งหลับตาเขียนเองเลย
แทนคำขอบคุณนะครับเพื่อนๆที่รักผมเสมอมา มันไม่หวานมากนักหรอก ผมพยายามแล้ว เหอๆๆ มีแอบทิ้งท้ายด้วยนะ อิอิ
เอ็นซีเอาไปแบบกลอนเนอะ อิอิ จิ้นกันเอง ฮ่าๆๆๆ ปกติว่าจะไม่เขียนตอนพิเศษนะ แต่เห็นเพื่อนๆเข้ามาเมนต์ทิ้งไว้ คนเขียนเองก็ใจหาย ไม่น่ารีบจบเนอะ น่าจะเอาอีกสักสิบฉาก ฮ่าๆๆๆ เอาเถอะๆ ไหนๆเรื่องใหม่ก็ออนไปแล้ว เพื่อนๆรุมด่ายับ อิอิ เพราะแนวนั้น ถนัดนักแล แบบลากนายเอก พระเอกให้จมพื้น หึหึ แต่เรื่องของผมไม่จบแบบเศร้านะครับ เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบอะไรแบบนั้น ชอบอะไรที่มันกระตุกใจไปเรื่อยๆ ยิ้มบ้างเศร้าบ้าง
ปล ชอบไม่ชอบจัดมาครับ เดี๋ยวเอาไว้หาคนรู้ใจได้ก่อน จะจัดมาเซ็ทใหญ่ รับรองฉ่ำหวานกว่านี้ เหอๆๆ (คงอีกนาน)
รักทุกคนครับ
เขียนโดย eiky