“ครั้งหนึ่ง ผมเคยมาที่แห่งนี้แล้วก็ได้เห็นคนที่ผมไว้ใจ เป็นเพื่อนที่แสนดีของผม มีมิตรภาพที่ดีให้กันมาตลอด แต่วันนี้มีคนเคยบอกไว้ว่าความอดทนของคนเรานั้นมันมีขีดจำกัดอยู่ ความรัก ก็คล้ายกับเส้นบางๆ บ้างที่ผมก็อย่างให้หลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน ถ้าเราไม่ต้องเจอด้านไม่ดีของคนคนนั้น มันก็มีคำถามตามมาอีกว่า แล้วเรื่องแค่นี้จะให้อภัยกันไม่ได้เลยหรือ ผมก็จะถามกลับไปว่า มันครั้งที่เท่าไรแล้ว Apologize ครับ”
I'm holding on your rope
ฉันเกาะเชือกที่คุณยื่นให้
Got me ten feet off the ground
อยู่ห่างเป็นสิบฟุตจากพื้นดิน
I'm hearing' what you say
ฉันได้ยินสิ่งที่คุณพูด
But I just can't make a sound
แต่ฉันไม่สามารถส่งเสียงได้
You tell me that you need me
คุณบอกว่าคุณต้องการฉัน
Then you go and cut me down, but wait
แล้วคุณก็เริ่มต้นปล่อยให้ฉันร่วง แต่เดี๋ยวนะ
You tell me that you're sorry
คุณบอกฉันว่า คุณเสียใจ
Didn't think I'd turn around and say
ไม่คิดละสิว่า ฉันจะหันหลังกลับมาแล้วพูดว่า
It's too late to apologize, it's too late
มันสายไปแล้วที่จะขอโทษ มันสายไปแล้ว
I said it's too late to apologize, it's too late
ฉันบอกว่า มันสายไปแล้วที่จะขอโทษ มันสายไปแล้ว
I'd take another chance, take a fall
ฉันให้โอกาสอีกครั้ง เสี่ยงล้มเหลว
Take a shot for you
พยายามอีกครั้งเพื่อคุณ
And I need you like a heart needs a beat
และฉันต้องการคุณ เหมือนกับที่หัวใจต้องเต้นนั่นแหละ
But it's nothing new yeah yeah
แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใช่ ใช่
I loved you with a fire red now it's turning blue
ฉันรักคุณด้วยไฟรักที่เร่าร้อน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำเงินที่โศกเศร้า
And you say sorry like the angel
และคุณบอกว่า เสียใจ ด้วยท่าทีราวกับนางฟ้า
Heaven let me think was you
สวรรค์ปล่อยให้ฉันคิดว่า นั่นคือตัวตนของคุณ
But I'm afraid
แต่ ตอนนี้ ฉันเกรงว่า
It's too late to apologize, it's too late
มันสายไปแล้วที่จะขอโทษ มันสายไปแล้ว
I said it's too late to apologize, it's too late
ฉันบอกว่า มันสายไปแล้วที่จะขอโทษ มันสายไปแล้ว
ผมสามารถร้องเพลงนี้จบไปได้แบบงง ในหูแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร โน๊ตยิ้มเหมือนจะให้กำลังใจ เพลงที่ร้องไปไม่รู้ว่าออกมามันเพราะรึเปล่า แต่ผมชอบโดยส่วนตัว แล้วก็ยิ่งชอบมากขึ้นตอนที่เจอกับตัวเอง ดูมิ๊กเองจะเข้าใจกับเนื้อหาดี ส่วนคนในร้านนั้นจะเข้าใจรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมเดินออกมาจากที่ตรงนั้น แล้วมานั่งรอดูโน๊ตร้องเพลงต่อ ในเมื่อสิ่งที่มิ๊กกำลังทำมันต้องารให้ผมขายหน้า แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป ต้องมีคำถามจากพ่อและแม่ตามมาอีกมากมายแน่ๆ
“เมิงร้องได้ไงว่ะโอมห์ เพลงฝรั่งด้วย”
“มันยากตรงไหนกรูฟังเพลงนี้มันเป็นร้อยๆเที่ยวแล้ว แต่ไอ้โน๊ตก็เก่งว่ะเล่นได้ด้วย ”
“อืม ไอ้หมอนั้น ก็น่ารักนะเนี่ย ดูมีประโยชน์กว่า อิปลวก นั้นอีก” วินหันหน้าไปทางเอิท แม่ยิ้มให้ผมอีกครั้ง
“โหลๆ ..... 1... 2 ... 3 ...4 วันนี้ผมดีใจเหลือเกินครับที่ได้มีโอกาสมาร้องเพลงที่ให้ทุกๆท่านฟัง ต้องขอบคุณไอ้ตี๋ ที่นั่งอยู่ข้างๆผมนี้ที่ให้โอกาส ทุกท่านทราบไหมครับ ว่าก่อนที่ผมกับไอ้ตี๋เนี่ยจะรู้จักกัน เราเคยมีเรื่องทะเลาะกันถึงขั้นจะยกพวกตีกันมาก่อน ที่ทุกท่านเห็นในทีวีละครับ เรื่องจริงเลย ผมกับไอ้ตี๋ ทะเลาะกันเพราะ โต๊ะกินข้าว เวลาที่คนเรามันจะได้รู้จักกัน มันไม่จำเป็นหรอกนะครับว่าต้องเป็นเรื่องดีๆเสมอ ผมมองเพลงนี้ให้กับทุกๆคนครับผม Tennessee Line” เสียงกีตาร์ที่โน๊ตเป็นคนขับกล่อมให้ทุกคนในร้านฟัง เป็นเพลงที่ผมไม่เคยคิดว่าได้ยินมาจากที่ไหน แต่มันเพราะ จนผมคิดว่าจะต้องกลับไปหาฟังในเวอร์ชั่นที่เจ้าของร้องไว้จริงๆให้ได้ ก่อนที่โน๊ตจะลงจากเวทีก็ส่งไมค์ให้กับมิ๊กกับมือ คงจะยังไม่เลิกขเม๊น กันแน่ๆ โน๊ตเดินตรงมาที่นั่งทันที มีรอยยิ้ม แล้วก็คำชมตลอดทางที่เดินมาถึงโต๊ะ
“เก่งๆกันทั้งนั้น ดูร้องกันแต่ละเพลง ไม่มีเพลงไทยเลยรึไงค่ะลูก” แม่มิ๊กแซว
“ป่าวครับ ผมว่าความหมายมันดีครับผม เพราะรึเปล่าครับ”
“เพราะจ๊ะ”
“เพลงอะไรอะโน๊ต ไม่เห็นคยได้ยินเลยว่ะ”
“แล้วเพราะรึเปล่าละ” มันถามกลับ
“เพราะดิ เอ๋อแล้วเล่นได้ไงอะ เพลงนั้นอ่ะ ”
“เพลงไร เพลงที่โอมห์ร้องนั้นรึ ก็โน๊ตก็ชอบไง มันเก่าแล้ว ไม่คิดว่าโอมห์จะชอบเหมือนกัน โน๊ตร้องเพราะกว่าอีกนะ ว่างๆเดี๋ยวจะร้องให้ฟัง” มันรีบเกทับผมทันที ที่ได้โอกาส
“ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับทุกคนที่อยู่ในร้านแห่งนี้ สำหรับคนที่มีความรักแต่ไม่อาจที่จะเอื้อมถึงมัน So Close ” ทั้งที่เสียงดนตรีดังขึ้นผมรู้ทั้งทีเลยว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร ผมรู้ว่าเนื้อเพลงทุกบรรทัดมีความหมายว่าอะไร แล้วสิ่งที่มิ๊กทำมันกำลังหมายถึงอะไรอยู่ ตลอดเวลาผมพยายามขอร้องให้มันร้องเพลงนี้ให้ฟัง แต่ก็ได้รับแต่คำว่าไม่ แต่ในวันนี้ ทุกอย่างมันโดนจัดวางอย่างสวยงาม มิ๊กร้องเพลงนี้ได้ไพเราะ ไม่ต่างกับต้นฉบับที่ผมชอบฟังเลย หลายคนที่อยู่ในที่นี้คงไม่เข้าใจว่าผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินมายืนข้างหน้าเวทีทำไม แม้แต่โน๊ตที่ปล่อยให้ผมเดินออกมาโดยที่ไม่เดินตามออกมาด้วย เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงของผม ภาพต่างๆเข้ามาในหัวผม น้ำตาที่อยู่ดีๆก็ไหลออกมา ผมหยุดมองหน้ามันไม่กี่วินาที ก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านเพราะว่าผมไม่ไหวแล้วกับสิ่งที่มันกำลังทำอยู่ ผมมานั่งอยู่คนเดียวที่ริมแม่น้ำนั่งมองไปมองแม่น้ำ คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น ก่อนที่จะมีมือมาวางบนไหล่
“โอมห์ยังรักมันอยู่ใช่ป่ะ”
“ไม่รู้ดิ”
“โน๊ตรอได้นะโอมห์ ไม่ต้องรีบหรอก”
“รอทำไม โอมห์แค่ไม่ไหวกับที่มันกำลังทำอยู่แค่นั้นเอง”
“มันทำอะไรรึ เพลงนั้นรึไง” ผมผยักหน้า
“มันมีความหมายกับโอมห์ขนาดนั้นเลยรึ”ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้ม ตอนนี้ไม่ได้ร้องไห้แล้ว มีโน๊ตมานั่งคุยด้วยแทน ไอ้ทุกเรื่องที่คิดว่าเศร้าใจไม่สบายใจ ทุกครั้งที่อยู่กับโน๊ตมันเหมือนจะโดนดูดหายไปหมดในทันที ผมกลับมามีรอยยิ้มกับเรื่องเล่าที่มันเจอบนรถระหว่างมาหาผม อีกครั้ง ก่อนจะพากันเดินกลับเข้ามาในร้าน
“น้องๆนี้ร้องเพลงเพราะจังเลยนะครับ แล้วน้องเป็นอะไรรึเปล่าครับ” คงจะหมายถึงผม
“ป่าวพี่ ผมกินวาซาบิเข้าไปครับ เลยน้ำตาแตก ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมขอตัวจากลุงที่เจอก่อนร้องเพลง แล้วไปเดินจากไปที่ห้องน้ำ
ห้องน้ำ
“ร้องเพลงก็เพราะดีนะ” เสียงที่กรูคุ้นเคยทักจากข้างๆ สงสัยผมจะซ่วยเองที่เดินไม่เข้ามาไม่ดูเลยว่ามีใครอยู่ในห้องน้ำ
“อืม”
“ผมบอกแล้วใช่ไหมพี่ว่าอย่ามายุ่งกับพี่มิ๊กอีก”
“กรูไปยุ่งตอนไหน มันมาหากรูเอง”
“ถ้าเมิงไม่ไป ให้ท่าพี่มิ๊กก็ไม่ไปหามิ๊กหรอก”
“เอาเถอะ ไอ้เอิท กรูไม่ยุ่งหรอก กรูบอกแล้วว่ากรูยกให้เมิง ” ผมเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า โดยที่ไม่ทันระหว่าง ไอ้เอิท ชกเข้าไปที่หน้าผมเต็มๆ
“นี้กรูแค่เตือน ถ้ามีอีกเมิงโดนแน่” ผมไม่คิดจะสู้อยู่แล้ว เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องทะเลาะกันย้อนเรื่องผู้ชาย ให้มันบ้าคนเดียวก็พอ
“ไอ้เอิท ให้เมิงมีความสุขกับของที่เมิงแย่งกรูไปแล้วกัน แต่กรูจะบอกอะไรให้นะ ไอ้มิ๊กไม่มีทางที่จะเลิกรักกรูหรอก เมิงมันก็แค่ตัวคั่นเวลา ” ผมเอามือปาดเลือดที่ปาก แล้วดินออกจากห้องน้ำ กลับมานั่งที่โต๊ะ
“โอมห์ เป็นอะไร” เสียงมิ๊กถามสงสัยจะหวงจริง
“ป่าวหรอก เดินชนประตู”
“พี่มิ๊กจะไปสนใจทำไมครับ กลับกันได้รึยังอะพี่ เดี๋ยวจะไปต่อไม่ใช่อ๋อครับ”
..............
................
..............................
.............................................
“ไปก่อนนะโอมห์ กลับก่อนนะจ๊ะวินนี่” มิ๊กลาทุกคนที่อยู่ในโต๊ะ แล้วก็เดินออกจากร้านไป ผมเองก็ไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำกับใคร เว้นแต่ทุกคนที่ได้อ่านนี้ละครับ
ความจริงปารกฏ
So Close - OST. Enchanted
You're in my arms
And all the world is calm
The music playing on for only two
So close together
And when I'm with you
So close to feeling alive
เธออยู่ในอ้อมกอดฉัน
โลกนี้ช่างเงียบสงบ
บทเพลงแผ่วหวานบรรเลงเพื่อเราสองคน
สองเราแนบกายใกล้ชิด
เมื่อเราสองได้อยู่เคียงกัน
คือช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกสดชื่นมีความสุขขึ้นมาทันที
A life goes by
Romantic dreams will stop
So I bid mine goodbye and never knew
So close was waiting, waiting here with you
And now forever I know
All that I wanted to hold you
So close
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
วันหนึ่งความฝันแสนงามก็ต้องยุติลง
จำต้องตัดใจเอ่ยคำลาโดยไม่อาจได้รับรู้เลยว่า
การได้รอคอยอยู่เคียงข้างเธอนั้น(หัวใจ)จะรู้สึกแนบใกล้กับเธอได้ถึงเพียงนี้
และตอนนี้ที่ฉันรู้เพียงเรื่องเดียวที่ใจปรารถนา
คือการได้มีเธออยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้
ใกล้ชิดเคียงกัน... ชั่วกาล... ตลอดไป
So close to reaching that famous happy end
Almost believing this was not pretend
And now you're beside me and look how far we've come
So far we are so close
ใกล้แล้ว... อีกเพียงนิด... ก็จะคว้าตอนจบแสนหวานมาครองได้
เชื่อเกือบหมดใจว่าไม่ใช่สิ่งลวง
ตอนนี้เธอมาอยู่เคียงกัน... ดูสิว่าเราผ่านเรื่องต่างๆ มามากมายเหลือเกิน
เราได้มายืนเคียงกัน... ไม่ห่างกาย แนบดวงใจ
How could I face the faceless days
If I should lose you now?
We're so close
To reaching that famous happy end
And almost believing this was not pretend
Let's go on dreaming for we know we are
So close
So close
And still so far
หากฉันต้องเสียเธอไปในวันนี้
แล้วฉันจะผ่านคืนวันอันเดียวดายไปได้อย่างไร
เราอยู่เคียงกัน... ใกล้เหลือเกิน
ใกล้แล้ว... อีกเพียงนิด... ก็จะคว้าตอนจบแสนหวานมาครองได้
เชื่อเกือบหมดใจว่าไม่ใช่สิ่งลวง
เรามาร่วมกันฝันต่อไปว่าเราสองยังอยู่เคียงกัน
ใกล้ชิด... สนิทแนบ...
ไม่ห่างหาย... ไม่จากลา...
เพราะโลกแห่งความจริงก็คือ เธอห่างไกลเหลือดเกิน... เกินกว่าจะเอื้อมมือคว้าเธอมาครอง
เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องตื่นไปที่บ้านมิ๊กแต่เช้า ก็เพราะท่านแม่มาปลุกละครับ
“ไปทำไมบ้านเขาแต่เช้าละแม่ เมื่อคืนยังคุยกันไม่พออีกรึ”
“ไปก็ไปเถอะ เร็วๆ” ผมกระโดดขึ้นรถ เพราะคำสั่งของแม่ พอไปถึงที่บ้านสิ่งที่ได้เห็น
ก็คือบ้านสิครับ ไม่เห็นบ้านจะให้เห็นอะไร แต่ไม่มีคนอยู่ มีแต่พี่อ้อตัวอ้วนนั่งกลมอยู่ใน office
“พี่ เขาไปไหนกันหมดอะ”
“ไม่รุ้เรื่องรึไงค่ะน้องโอมห์ ” ผมก็ทำหน้างงสิครับ จะไปรู้เรื่องอะไร เมื่อคืนกับมายังดีๆอยู่เลย
“โอมห์ มานี้เร็วๆขึ้นรถ ” ผมรีบวิ่งกลับมาหาแม่ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องที่ที่อ้อกำลังจะเล่า
“แม่รีบไปไหนเนี่ย ” แม่ผมดูสีหน้าเป็นกังวลมากๆ ตลอดทางต่อสายคุยกับใครสั่งคนเสียงผู้หญิง เดาเอาว่าคงจะเป็นแม่มิ๊กแน่ๆ
“โอมห์ ทำใจดีๆนะลูก” แม่ให้มาทำหน้าแปลๆเหมือนคนจะร้องไห้
“เป็นไรแม่แล้วจะไปไหนอ่ะ” รถวนเข้ามาที่โรงพัก มีรถมิไซค์คนคุ้นตาจอดสภาพเหมือนผ่านสงครามมาก็ไม่ผิด จอดเละอยู่หน้าเสาร์ธง
“นั้นรถมิ๊กรึเปล่าลูก” ผมสังเกตุดีๆ มันใช่เลยนิว้าเพราะมีสติ๊กเกอร์ที่ผมตัดเองกับมือแปะอยู่ ตอนนี้มือไม้ผมสั่นยิ่งกว่าแม่ผมสะอีก
“แม่มันเรื่องอะไรอะ ทำไมรถมิ๊กเป็นงั้นอะ จอดรถก่อนให้โอมห์ลงก่อน” ผมกระโดดลงจากรถ แล้วเดินเขาไปในโรงพักทั้งที
เรื่องที่ไม่คาดฝัน