วันนี้ขอแบบนิ่มนวล...
บทที่ 3
ชิตตพัณนั่งนิ่งตัวตรงในชั่วโมงเรียน เขาไม่คุยเล่น ไม่หาว ไม่แม้แต่จะละสายตาไปจากผู้สอน เขาเพ่งพิศกระดานไวท์บอร์ดราวกับว่ามันจารึกข้อความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อน ๆ และอาจารย์ต่างก็ยกย่องเขาในข้อนี้ เขาคือแบบอย่างของเพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ ร่วมคณะ
อาจารย์ภานุเรียกชิตตพัณไปพบในช่วงพักเที่ยง เขาในฐานะอาจารย์ประจำวิชาหนึ่งของเด็กหนุ่มชื่นชมนักศึกษาผู้นี้ และในฐานะฝ่าย PR ของมหาวิทยาลัยเขาก็คิดได้ว่าชิตตพัณนั้นช่างเหมาะสมที่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์การแต่งกายถูกระเบียบของมหาวิทยาลัยเหลือเกิน สายตาอันคมของอาจารย์หนุ่มมองเข้าไปเห็นว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีทีเดียว เพียงแต่จะใส่ชุดให้พอดีตัวและเปลี่ยนแว่นกับทรงผมเสียหน่อย
“ว่าไงชิตตพัณ อยากเป็นดารามั้ย”
เมื่อได้ฟังคำถามถนัด เด็กหนุ่มย่นจมูกอย่างรังเกียจ เขาตอบอย่างรักษามารยาท
“เป็นสิ่งที่ผมอยากเป็นน้อยที่สุดในโลกครับ ผมไม่เห็นว่าการที่ไปแสดงตัวเด่นและกลายเป็นวัตถุทางเพศของคนในสังคมจะเป็นเรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อย”
อาจารย์ภานุหัวเราะพรืดทางจมูก เขาจะคาดหวังคำตอบอะไรจากเด็กเรียบร้อยเจ้าระเบียบอย่างชิตตพัณเล่า
“ไม่ใช่ดาราแบบนั้น แต่เคยเห็นป้ายโฆษณาให้แต่งกายถูกระเบียบของมหาวิทยาลัยไหมล่ะ”
“เคยครับ”
“นั่นแหละ ที่ผมอยากให้คุณลองทำดู ผมว่าคุณหน่วยก้านใช้ได้”
“แต่ผม..”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ คุณน่ะเป็นไอดอลอยู่แล้วนะ ในคณะของเราทั้งหมด คุณเป็นนักศึกษาที่รักษาระเบียบการแต่งกายไว้ได้ดีที่สุด มารยาทก็ถูกต้องตามกาละเทศะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีคุณสมบัติอื่น ๆ อย่างที่มหาวิทยาลัยต้องการ ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดีกันทั้งนั้นและเชื่อว่านายแบบโปสเตอร์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณ”
พอถูกชมแบบนี้ ชิตตพัณก็อมยิ้ม เขาชอบให้ใคร ๆ รู้สึกว่าเขาเจ้าระเบียบ และเป็นคนเรียบร้อย ไม่หยาบช้าดอกทองเหมือนคนอื่น ๆ
“แต่ผมว่าธีรเดชอาจจะเหมาะกว่าผมนะครับ” ชิตตพัณยังคงแบ่งรับแบ่งสู้
“ทำไมล่ะ”
“เขาเล่นกีฬาเก่ง แล้วก็มีความเป็นผู้นำสูง”
“นั่นก็จริง” อาจารย์ภานุยอมรับ แล้วพูดต่ออย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “บิงโก ผมได้ไอเดียล่ะ ผมอยากได้คุณทั้งสองคนมาร่วมงานทั้งคู่เลย ผมจะให้ธีรเดชใส่ชุดพละของมหาวิทยาลัย ส่วนคุณใส่ชุดนักศึกษา”
“แล้วผู้หญิงล่ะครับ” ชิตตพัณถามอย่างกังขา
อาจารย์ภานุยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก “ไม่เห็นเป็นไรเลย คราวนี้ลองทำอะไรให้มันแปลกไปบ้างสิ คนเขาจะได้ตื่นเต้น” ความจริงแล้วอาจารย์ภานุเองนั่นแหละที่ตื่นเต้น เขาชอบจินตนาการลามกให้หนุ่มหน้าตาดีสองคนมีสัมพันธ์ทางเพศกัน และเวลาที่เขาสอนเขาสังเกตเห็นว่าธีรเดชและชิตตพัณช่างเหมาะสมกันอย่างยิ่ง คนหนึ่งเป็นนักกีฬาเปิดเผยและมนุษยสัมพันธ์ดี ส่วนอีกคนเก็บตัวไม่ชอบออกกำลังและเงียบขรึม แต่น่าแปลกที่สองคนนี้มักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน ดังนั้นการที่อาจารย์หนุ่มจะคิดเลยเถิดไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ชิตตพัณรับปากอาจารย์ว่าจะเอากลับไปคิดดู เขากลับไปที่ห้องเรียนคาบบ่ายและพบว่าธีรเดชนั่งกลุ้มอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง เขาไม่ค่อยเห็นธีรเดชเป็นแบบนี้ เพราะเจ้าตัวดูจะร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายธีรเดชเองเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาก็คลายสีหน้าทันทีและส่งยิ้มให้
“เฮ้ย ชิตเป็นไงวะ อาจารย์ภานุแกเรียกไปคุยเรื่องอะไร”
“ไม่มีอะไร” ชิตตพัณตอบสั้น ๆ และนั่งลงตรงที่นั่งริมระเบียงข้าง ๆ ธีรเดช
หนุ่มนักกีฬาแมนเต็มร้อยยังคงเกาะระเบียงมองออกไปข้างนอก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ชิตตพัณถาม
“เออ รู้ได้ไงวะ”
ชิตตพัณไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะธีรเดชเป็นคนที่เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่อยู่แล้ว อย่างที่ว่า หนุ่มเข้มคนนี้เป็นคนที่เปิดเผยและไม่มีความลับกับเพื่อน คิดยังไงก็พูดออกมาตรง ๆ จึงมีคนชอบเขาเยอะน่าดู
“แข่งบอลเย็นนี้น่ะสิ ไอ้ต๊ะก็ไม่สบาย ไอ้ปูนก็กลับบ้านก่อน รอบแปดทีมสุดท้ายแล้วแม่งไม่รับผิดชอบกันเลย”
ถึงแม้ว่าชิตตพัณจะแอนตี้การพูดจาหยาบคาย แต่ฟังธีรเดชหลุดปากมาบ้างเขาก็รู้สึกว่ามันดูเท่ดีเหมือนกัน
“ขาดกี่คนล่ะ” หนุ่มขรึมถามไปอย่างนั้นเอง
“ถ้าเอาตัวสำรองลงด้วยก็ยังขาดอยู่คนหนึ่ง” ธีรเดชนึกขึ้นได้ มองหน้าชิตตพัณด้วยสายตาวาว “ชิตเล่นบอลเป็นมั้ยวะ”
“คือ..เอ่อ..ไม่เป็น”
“ไม่เป็นก็หัดได้ ลงให้ครบ ๆ ก่อน ผู้ชายภาคเรามีน้อย” ธีรเดชจับท้องของชิตตพัณเล่นตามประสาผู้ชายด้วยกัน “เฮ้ย ท้องแข็งเป็นไตเลย อย่างงี้วิ่งได้ทั้งเกมแน่ ๆ ไปแอบเล่นกีฬาอะไรมาวะชิต”
ชิตตพัณปัดป้องมือของธีรเดชที่เลื่อนจากจับหน้าท้องมาบีบต้นแขนตรงกล้ามสวย ๆ ของเขา “เปล่า”
ธีรเดชหลิ่วตาให้ “ความลับเยอะจังวะเพื่อน ไม่เป็นไร ไม่ถามก็ได้ สรุปเย็นนี้ลงให้ด้วยล่ะกัน”
ชิตตพัณส่ายหน้าเมื่อธีรเดชเดินจากไปอย่างเริงร่าราวกับว่าเพิ่งปลดทุกข์ออกไปได้หมาด ๆ เพื่อนของเขาก็เป็นเสียอย่างนี้ แมนเต็มร้อย เป็นผู้นำเต็มขั้น และเผด็จการเล็ก ๆ อย่างที่ทำให้รู้สึกว่าโคตรเท่เลย
ตกเย็นธีรเดชก็เอาชุดนักบอลมาให้
“นี่ของไอ้ปูนมัน มันใส่ไซส์เอ็ม นายน่าจะใส่ได้นะชิต”
ชิตตพัณรับชุดบอลมา และถาม
“บอกใครไปหรือยังว่าผมจะลง”
“ยัง เก็บไว้เซอร์ไพรซ์ว่ะ”
“งั้นไม่ต้องบอก” ชิตตพัณสรุป เขาถอดแว่นตาออก ขยี้ผมให้ยุ่งกว่าเดิม และถอดเสื้อนักศึกษาออกอย่างรวดเร็ว
ธีรเดชจ้องมองการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเพื่อนรักอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะการปรากฏครั้งแรกของกล้ามสวย ๆ และหน้าท้องซิกแพคงาม ๆ แบบที่เขายังอาย
“ขอที่รัดหัวนั่นได้มั้ย” ชิตตพัณชี้ไปที่คาดหัวสีดำผ้ายืดของธีรเดช มันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเขานอกจากจะใส่มันเป็นประจำแล้ว สิ่งนี้ยังหมายถึงสถานะหัวหน้าทีมของธีรเดชที่ไม่มีใครโค่นล้มได้ แต่ธีรเดชกลับถอดให้ชิตตพัณง่าย ๆ
ชิตตพัณรัดหัวและจัดทรงผมให้ดูเท่ขึ้น จากนั้นถอดกางเกงนักศึกษาออก แล้วใส่กางเกงบอลแทนโดยไม่อายสายตาของอีกฝ่ายเลย ตอนนี้เขาดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่ธีรเดชคิดว่าถ้าไม่ได้เห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกัน
หนุ่มขรึมยิ้มร้าย ยิ้มอย่างที่ไม่เคยมีในชิตตพัณแบบที่เพื่อน ๆ รู้จัก ยิ้มราวกับว่าถูกอะไรสักอย่างสิงสู่ และทำให้เขาเปลี่ยนไปลึกถึงรากวิญญาณ เขาดึงคอเสื้อบอลของกัปตันทีมมาใกล้ ๆ แล้วพูดด้วยเสียงกวน ๆ
“ถ้าบอกใครล่ะ มีเฮแน่”
เขาพูดจบก็ผลักอกธีรเดชให้ถอย แล้วเดินอาด ๆ ออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ชิตตพัณรู้สึกว่าเขาเป็นคนของโลก เป็นหนึ่งเดียวกับเสียงเชียร์ เขาจะเป็นจุดศูนย์รวมรองรับความร่านดอกทองของทุกคน เป็นพระผู้ไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ เสียงเชียร์กระหึ่มและเสียงกรี๊ดของผู้หญิงและไม่หญิงทำให้เขารู้ว่าเขามาถูกทาง เขาจะนำศรัทธาอันโสมมของพวกบาปหนาพวกนี้ไปพบเส้นทางแห่งความรู้แจ้ง ชิตตพัณกำมือขวาและยกขึ้น ธีรเดชและลูกทีมคนอื่น ๆ เดินตามมา และตอนนี้ ใครกันแน่ที่เป็นผู้นำที่แท้จริง?
หลังจากจบนัดนั้น เสียงลือแพร่สะพัดถึงนักบอลลึกลับที่ธีรเดชเอามาลงด้วย มีคนเอารูปที่ถ่ายตอนชิตตพัณเล่นบอลมาติดที่บอร์ดคณะ พร้อมกับแจ้งประกาศจับในข้อหาขโมยหัวใจสาว ๆ แต่วันรุ่งขึ้นที่ชิตตพัณตัวจริงเดินผ่าน เขามีสีหน้าเหยียดหยามและเดินตรงไปที่ห้องกิจการนิสิตทันที
ในห้องมีอาจารย์ภานุอยู่คนเดียว เขาตรงเข้าไปยกมือสวัสดีอาจารย์อย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติและพูดธุระทันที
“อาจารย์ครับ ผมเห็นการใช้บอร์ดของคณะผิดวัตถุประสงค์ครับ”
ชิตตพัณลากอาจารย์ภานุออกไปดูและชี้ให้เห็น “นี่ครับ ไม่รู้ว่าใครใช้บอร์ดของคณะเราไปในเรื่องชู้สาวและส่อความไม่ดีไม่งามทางเพศ ในฐานะที่ผมเป็นนักศึกษาคนหนึ่งในคณะ ผมทนไม่ได้ และอยากให้อาจารย์จัดการอะไรสักอย่าง”
“ให้ผมทำยังไงล่ะ” อาจารย์ภานุเกาหัวงง ๆ เขาไม่อยากปิดกั้นการแสดงออกทางเพศของเด็กหนุ่มสาว และมันไม่ได้ดูร้ายแรงเกินไปด้วย แต่อีกข้างหนึ่งเขาก็อยากเอาใจชิตตพัณ ซึ่งนอกจากจะเป็นว่าที่นายแบบในงานที่เขารับผิดชอบอยู่แล้ว ก็ยังเป็นเด็กที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษอีกด้วย
“อาจารย์ฉีกมันออกมาเลยสิครับ แล้วก็เอาไปเผา”
อาจารย์ภานุถูกกดดัน เขาเขม้นมองเข้าไปในรูปภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ และความคิดของเขาก็แล่น
“ก็ได้ ๆ” เขาดึงรูปออกไปจากหมุดที่ปักไว้ และดึงป้ายประกาศออกไปด้วย จากนั้นห่อเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างดี ชิตตพัณดูจะไม่พอใจ
“ทำไมอาจารย์ไม่ทำลายทิ้งล่ะครับ”
“ผมต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป เพราะมาทำอย่างนี้กับบอร์ดคณะผมก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน”
เมื่อฟังที่อาจารย์ภานุพูด ชิตตพัณก็ยิ้มกว้างอย่างอิ่มเอิบใจที่มีผู้เห็นตรงกัน เขาคิดว่าควรจะมีอาจารย์อย่างอาจารย์ภานุเยอะ ๆ ในมหาวิทยาลัย ความโสโครกโสมมในนี้จะได้ลดลงเสียบ้าง
ขณะที่อาจารย์ภานุก็รู้สึกขอบใจชิตตพัณ เพราะว่าหนุ่มนักบอลในรูปหล่อมาก ตรงสเป๊คเขาที่สุด เขาจะเอารูปนี้ไปแปะอย่างดีไว้ในห้องนอน และชักว่าวตรงหน้ารูปทุกวัน เขาจะฉีดน้ำใส่รูปให้มันแปดเปื้อน และหวังว่าสักวันหนึ่งจะจัดการให้เจ้าของรูปได้แปดเปื้อนความชั่วร้ายของเขาอย่างแท้จริง
ธีรเดชเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชิตตพัณถึงต้องปิดบังตัวเอง แต่เขาเข้าใจไปว่าชิตตพัณกำลังพยายามทำลายหลักฐานที่อาจจะทำให้คนสงสัยได้ว่าทั้งสองหน้าฉากเป็นคนเดียวกัน อย่างไรก็ตามธีรเดชมีเรื่องปวดหัวมากขึ้น เพราะไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนถามถึงหนุ่มหน้าตาดีที่เขาเอามาลงเตะด้วยในครั้งก่อน หลายครั้งที่เขาถูกถามและชิตตพัณยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยเกียรติและความเป็นชายชาตรีของเขาซึ่งรับปากไว้แล้ว ธีรเดชจึงพูดอะไรออกไปไม่ได้ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดใจแค่ไหน