ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0******************************
***เขียนเรื่องนี้ลงบอร์ดอินุในเทศกาลวาเลนไทน์ที่ผ่านมา...เนื่องจากไปติดอกกับติดใจ น้องเชิดสิงโตที่งานศาลเจ้าปุงเถ่ากงม่าเชียงใหม่ค่ะ...แบบว่าช่วงนั้นไปเกาะเสาศาลเจ้าทุกคืนๆเลย...***
สิงโตวาเลนไทน์ผมมองคนที่กำลังถือพัดเต้นไปเต้นมาอยู่ด้านล่าง ใกล้โค่นเสาที่ผมกำลังจะกระโดดข้ามไป มันไม่ใช่ตำแหน่งแห่งที่ๆใครสมควรจะมายืนอยู่เลย เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยใบหน้าของหญิงแก่ราวกับไม่รู้สึกรู้สาถึงความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อยในใจของผม หรือหากจะให้พูดตรงๆล่ะก็...ความหงุดหงิดที่ว่านั้น มันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว หรืออาจจะก่อนหน้านั้นเป็นวัน หรือเป็นเดือนก็ได้...หรือจริงๆก็นับตั้งแต่วันที่เจ้าเด็กหน้าใหม่ที่กำลังสวมหน้ากากหญิงแก่คนนี้ก้าวเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในคณะเลยก็ว่าได้...
ผมบอกตัวเองให้เลิกคิด ให้ตั้งสมาธิอยู่กับสิ่งที่ตัวผมเองกำลังทำ เพราะการขาดสมาธิแค่เพียงนิด มันก็ทำให้เกิดการผิดพลาดได้ ...ผมบอกตัวเองให้ตั้งสมาธิ หากแต่ภาพพู่ไหมสีชมพูสดที่คนๆนั้นกำลังแกว่งไกวทำทีคล้ายหลอกล่ออยู่นั้น มันกลับทำให้ผมรำคาญตา ผมนึกเห็นภาพใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากของหญิงแก่ที่แหงนเงยจับจ้องมาที่ผมหรือจริงๆน่าจะบอกว่า...จับจ้องมายังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม...
ใบหน้าของหญิงแก่ยิ้มแย้มหยอกเย้าขี้เล่นกำลังซ้อนทับกับเจ้าของใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น...เขากำลังยิ้ม หัวเราะ ส่งสายตามาให้ใครอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม...
“อย่ายืนตรงนั้น!”เสียงตะโกนดังมาจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง หากแต่คงมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน เจ้าของหน้ากากหญิงแก่จึงยังคงถือพัดโบกไปมาพร้อมพู่ไหมสีชมพูในมือ เริงร่าอยู่ในตำแหน่งเดิม ตำแหน่งที่ไม่ควรจะยืน
และเพราะเสียงตะโกนนั้น...ในขณะที่สองเท้าของผมกำลังเต้นขยับรับจังหวะเสียงรัวกลองอยู่บนเสาที่มีหน้ากว้างก็แค่เพียงพอที่จะยืน สองมือขยับชูหัวสิงโตขึ้นไปจนสุดแขน โดยไม่ทันคิด ผมเหลียวหลังไปมองคนที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง... เจ้าของเสียงตะโกนนั้น มันทำให้ผมสูญเสียจังหวะการทรงตัวไปเล็กน้อยหากแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะควบคุมให้สมดุลกลับมาเป็นเหมือนเก่า
“เป็นไรวะ?”คำถามเสียงขุ่นๆ ดังมาจากด้านหลัง จากคนที่ผมหันไปมอง
“เป็นแฟนมึงไง!”ผมตอบกลับไปเสียงขุ่นไม่แพ้กัน ทั้งที่หัวสิงโตถูเชิดส่งขึ้นไปอีกครั้งในท่าทางการเหลียวหลังและตัวผมก็เอี้ยวกลับไปเช่นกัน หากแต่ครั้งนี้ ผมไม่ยอมมองมันที่ยืนอยู่ข้างหลังในฐานะคนเชิดหางสิงโตแม้แต่น้อย
ผมไม่ได้พูดอะไรกับมันอีก พยายามไม่มองคนที่ยืนหลอกล่ออยู่ด้านล่าง พยายามก็แต่ตั้งสมาธิและมองไปข้างหน้า
หัวสิงโตถูเชิดยกขึ้นและดึงกลับลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อรอจังหวะของความพร้อม ซึ่งก็นานกว่าที่เคยเป็น เพราะดูจะยากเย็นเหลือเกินกับการบังคับสายตาไม่ให้เพ่งมองไปที่ด้านล่าง และบังคับสมาธิให้จดจ่ออยู่ก็แต่กับสิ่งที่กำลังทำ
เมื่อผมย่อตัวลง เสียงกลองก็ตีกระหน่ำเสียงเร่งเร้าจังหวะขึ้นอีกหนพร้อมกับที่ หัวสิงโตถูกดึงลงมาอีกครั้งก่อนจะถูกชูขึ้นสุดแขนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อผมย่อตัวลงต่ำที่สุดก่อนจะกระโจนไปข้างหน้า
ก่อนที่เท้าจะทันแตะลงบนเสาต้นที่หมายตาไว้ แสงแฟลชก็สว่างจ้า ...เสาเหล็กที่เมื่อครู่ยังเห็นชัดอยู่ตรงหน้าก็หายวับไปโดยทันทีเหลือก็แต่แสงสีขาวที่ยังเต้นพร่าอยู่ในดวงตาทั้งสอง
เท้าผมแตะลงที่เสา หากแต่ก็แค่หมิ่นเหม่ เสียงคนหวีดร้องพร้อมๆกับที่ผมรู้แล้วว่าตัวเองกำลังหล่นร่วงลงมาจากเสาเหล็กสูงเกือบสามเมตร...
“เฮ้ย! เป็นไง?”หลายเสียงแข่งกันถาม กับอีกหลายมือที่ช่วยกันรับหัวสิงโตน้ำหนักกว่าสิบกิโลไปจากมือผม
“เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ?”น้ำเสียงขุ่นๆถามดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“ทำไมไปยืนตรงนั้น?”คนถามคนเดิม หากแต่น้ำเสียงอ่อนลงและครั้งนี้ ไม่ได้ถามผม
ไม่มีคำตอบดังลอดออกมาจากหน้ากากของหญิงแก่ที่ยังฉีกยิ้มยียวน กวนใจผม
“ไม่เป็นไรก็ลุกขึ้น ขึ้นไปเล่นต่อ!”เสียงครูสั่งเสียงดุ พร้อมปรบมือขัดจังหวะการพูดคุยกันของพวกผม
และผมรู้ คำสั่งนั้นดูจะส่งมาถึงผมโดยตรง เพราะตอนนี้เหลือก็แต่ผมที่ยังนั่งกองอยู่ที่พื้นคนเดียว...หญิงแก่ที่เมื่อกี้ยังล้มกลิ้งอยู่ที่พื้นและมันที่หล่นลงมากองอยู่กับพื้นพร้อมกับผม ขยับลุกเตรียมตัวแสดงต่อกันแล้ว เหลือก็แต่ผมที่ยังนั่งกองอยู่ที่เดิม และเมื่อผมขยับตัวจะลุกขึ้นยืนบ้าง ผมจึงเพิ่งรู้สึกอาการเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าตัวเอง
“เป็นไร?”เสียงครูถาม ถึงยังดุหากแต่ฉายรอยห่วงใย และมันที่เมื่อครู่ยังตะคอกถามผมโดยไม่สนใจคำตอบก็เพิ่งจะเหลียวหันมามองผมตามเสียงร้องถามของครู
“หล่นลงมายังไง!”มันไม่ใช่คำถามหากแต่เป็นการบ่นกลายๆของครู เพราะการเชิดสิงโตบนเสาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเคยพลาดตกลงมาทั้งนั้น ดังนั้นการรักษาร่างกายตัวเองให้ปลอดภัยที่สุดเมื่อการพลาดพลั้งเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียนรู้
ผมถูกพยุงให้ลุกขึ้นยืน เพื่อหลบออกไปจากพื้นที่ของการแสดง หากแต่ก่อนหลบออกไป ผมก็ต้องถอดกางเกงสิงโตที่สวมอยู่ส่งต่อให้อีกมือที่ต้องรับหน้าที่เชิดหัวสิงแทนผม
ด้วยขาที่เจ็บอยู่ การถอดกางเกงออกจึงไม่ง่ายนัก มันเดินเข้ามาพยามที่จะช่วย แต่ผมขยับตัวหลบ เลือกให้เพื่อนอีกคนช่วยผมแทน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาโดยไม่หันไปมองใครรวมทั้งมัน แต่ก็นึกรู้ว่ามันกำลังเดินตามผมออกมาด้วย
เสียงโฆษกประกาศให้คนดูรอสักครู่ เพราะตามธรรมเนียมไม่ว่าจะเชิดสิงโตในการแสดงใด ผู้เชิดต้องทำการไหว้ครูก่อนการแสดงแต่ละรายการ มันจึงยังเหลือเวลาพอที่จะเดินตามผมออกมา
“ถ่ายรูปได้แต่ขอความกรุณาอย่าใช้แฟลชนะครับ...ถ้าตกลงมาอีกตัว วันนี้ได้ชมเสาดอกเหมยกันเฉยๆแล้วนะครับไม่มีสิงโตแล้วนะครับ”เสียงโฆษกพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูให้กลับมาอีกครั้ง
“เป็นไงบ้าง?”มันถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น เมื่อผมถูกพยุงให้นั่งลงไม่ห่างจากพื้นที่แสดงนัก
“เป็นไงบ้าง?”มันถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อผมไม่ตอบทั้งยังไม่หันไปมองมันสักนิด และครั้งนี้มันเอื้อมมือมาจะแตะไหล่ผม
“เป็นเหี้ยไง!”ผมตอบพร้อมปัดมือมันออกไปไม่ให้มาแตะถูกตัวผม
ดูมันจะชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดและท่าทีของผม แต่ไม่ทันที่มันจะพูดอะไร ครูก็ส่งสัญญาณเรียกมันเสียก่อน
การแสดงดำเนินต่อไปอีกครั้ง และผมก็ทนนั่งดูอยู่ได้แค่เพียงไม่นานเท่านั้น
“ไปไหน?”เพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งร้องถาม เมื่อผมโขยกเขยกพาตัวเองลุกขึ้นจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
“หาอะไรกิน...กูไปเองได้!”ผมตอบพลางชี้มือไปทางด้านนอกรั้วสีแดง และสำทับเมื่อคนร้องถามทำท่าขยับตัวจะลุกตาม
หากแต่กะเผลกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว...เสียงคนที่รายล้อมดูการแสดงอยู่ก็ส่งเสียงร้องขึ้นมาอีก ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมอง พยายามทำทีเป็นไม่สนใจ รอฟังก็แต่เสียงโฆษกรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น
ดูเหมือนเกือบจะเกิดการผิดพลาดขึ้นอีกครั้ง แต่ก็แค่เกือบ การแสดงยังคงดำเนินต่อไป...
ผมเดินผ่านออกมานอกบริเวณศาลเจ้า ที่วันนี้ดูจะเงียบเหงากว่าวันก่อนๆ เพราะวันนี้ไม่มีร้านอาหารตั้งรายเรียงเต็มตลอดริมฝั่งน้ำปิงอย่างวันก่อนหน้า...โต๊ะอาหารที่เคยวางเรียงเต็มถนนก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว รถจึงวิ่งกันกวักไกว่...สองข้างของริมถนนเต็มไปด้วยร้านขายดอกไม้ และทุกร้านก็ดูจะพร้อมใจกันมอบบทเด่นให้ดอกกุหลาบสีแดงสด...
ผมใช้เวลานึกอยู่ไม่นาน ก็นึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้เป็นวันอะไร...วันวาเลนไทน์ วันของคนมีแฟน...ซึ่งไม่ใช่วันของผม เพราะถึงผมจะมีแฟน แต่อาจมีไม่ถึงวันพรุ่งนี้...
ก่อนหน้านี้ จนถึงวินาทีนี้ ผมรู้ก็แต่ว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานเฉลิมฉลองศาลเจ้าปุงเถ่ากงที่เชียงใหม่...เมืองที่ผมนับครั้งมาย่างเหยียบได้ในฐานะนักเชิดสิงโต...เมืองที่ต่อไปผมต้องมาใช้ชีวิตอยู่ ในฐานะอะไรก็ไม่รู้แต่คงไม่มีหัวสิงโตให้ผมเชิดอีกต่อไป...
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการแสดงแล้ว...พรุ่งนี้ทั้งคณะจะเดินทางกลับกันแต่เช้า แต่ผมจะยังคงอยู่ที่นี่...
ผมมองดูถนนที่เพิ่งคุ้นตามาแค่เจ็ดวัน...มองดูผู้คนที่เดินเข้าเดินออกจากร้านดอกไม้...สำเนียงเสียงที่ผ่านมาเข้าหูนั้น...ผมฟังพอเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง กับอีกบางคำผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ข้างในศาลเจ้ายังฟังดูคึกครื้น ทั้งเสียงกลอง เสียงฉาบ เสียงโฆษกและเสียงปรบมือของคนดู...บรรยากาศที่แค่ได้ยินเสียง ผมก็นึกเห็นภาพ...ผมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนทางเท้าด้านนอกรั้วสีแดงของศาลเจ้า ฟังเสียงที่คุ้นหู และนึกถึงภาพที่แสนจะคุ้นตา ...ภาพที่ผมเคยคุ้นมานานกว่าสิบปี แต่กำลังจะกลายเป็นอดีตไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้...
พ่อของผมก็เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะเชิดสิงโตคณะนี้แต่เสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน แม่ที่เดิมทีเป็นคนเชียงใหม่และแต่งงานก่อนย้ายตามพ่อไปอยู่ที่นครสวรรคก็เพิ่งตัดสินใจจะย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง...และ แน่นอนผมต้องย้ายมาพร้อมกับแม่ด้วย...
การแสดงครั้งนี้จึงเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับผม...พอตอนเช้ามาถึง ผมก็จะถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวเท่านั้น...
ทุกอย่างจะกลายเป็นอดีต...ทั้งคณะสิงโต...ทั้งมันที่เป็นแฟนผม...
คณะเชิดสิงโตจะมีนักเชิดหัวสิงโตคนใหม่ เหมือนมันที่ดูท่าเตรียมพร้อมจะมีแฟนคนใหม่แล้วเหมือนกัน...