-1-
ขิง หรือ เขมติกร นั่งเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ บรรยากาศแบบนี้ยิ่งทวีความเศร้าให้กับเขามากไปกว่าเดิม ทั้งที่พื้นฐานตัวเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นร่าเริงมาโดยตลอด แต่คงเพราะมีจุดเปลี่ยนในตอนนั้นทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้
ขิงนั่งนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านั้น มันเริ่มจากที่เขาไปนั่งกินข้าวในร้านอาหารใกล้ๆ ออฟฟิศ หลังเสร็จงานกับเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เกาะกลุ่มเหนียวแน่นกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย จนมาถึงวัยทำงาน จวบจนร่วมสร้างบริษัทบัญชีด้วยกัน ในขณะที่นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องหนังที่กำลังจะไปดูด้วยกัน ขิงเป็นพวกชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ จึงพูดคุยกับเพื่อนถึงเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา เป็นคนแปลกหน้าที่ส่งรอยยิ้มมาแต่ไกล
“ชื่ออะไรเหรอครับ”
ขิงมองคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาทักทาย ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายแบบชายไทย ดวงตาแพรวพราวที่บ่งบอกถึงความเจ้าชู้นั้นส่งประกายให้แก่ขิง คนตรงหน้าอายุน่าจะมากกว่าพวกเขาไม่มากก็น้อย
“ถามใครครับ” ปั้น นิธิ ชายหน้าดุซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของขิงเอ่ยถามทันที ตรงนี้นั่งกันอยู่สามคนแล้วถามชื่อใครกัน
“ปั้น ดูก็รู้ปะ ว่าถามขิงมัน” ช่า หรือมีชา สาวลูกครึ่งไทยรัสเซียเพื่อนสนิทของขิงอีกคนหันไปตำหนิปั้นทันที
“ชื่อขิงเหรอ” แน่นอนว่าชายผู้นั้นไม่สนใจอีกสองคนที่กำลังถกเถียงกัน
“ครับ”
“พี่ชื่อกันต์ครับ จะเป็นไรไหมถ้าพี่อยากรู้จักขิง”
“รู้จัก...อยากเป็นเพื่อนเหรอครับ” ขิงนั้นรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กว่าตัวเองชอบผู้ชายและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกดึงดูดจากผู้ชายด้วยกัน
“ถ้าไม่ใช่แค่เพื่อนล่ะ” ตอบอย่างคนรุกหนักทำเอาขิงต้องมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา
ขิงรู้จุดประสงค์นั้นดี เดิมทีขิงไม่เคยมีแฟนหรือมีความสัมพันธ์ใดๆ กับใครมาก่อน เพราะเนื่องด้วยกลัวในหลายๆ อย่าง ผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาหาเขาเสมอ แต่เขาไม่เคยตกลงปลงใจกับใครสักครั้ง ต่อให้มาในรูปแบบไหนขิงก็ไม่เคยรับความรักจากใครทั้งนั้น
“ตอนนี้ถ้าแค่เพื่อนคงได้ครับ” ขิงเลือกที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอไลน์ขิงได้ไหม”
ขิงลังเลที่จะให้ พลางส่งสายตาให้ช่ากับปั้นอย่างขอความเห็น ทั้งสองคนยักไหล่เชิงบอกว่าแล้วแต่เขา ขิงจึงยอมให้ช่องทางติดต่อไป
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวพี่จะทักไปนะ” ยิ้มหวานตบท้ายก่อนจะเดินจากไป
“แหม ขิงของพวกเรานี่ฮ็อตน่าดู” ช่ารีบแซวทันที
“ฮ็อตอะไร ดูก็รู้ว่าเขามาบริหารเสน่ห์เฉยๆ” ขิงส่ายหน้าก่อนที่จะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“เสือร้ายเลยนะนั่น” ปั้นพูดด้วยสีหน้าวิเคราะห์
“ผีเห็นผีว่างั้น” ช่ากระทุ้งศอกใส่ปั้น
“เอาที่สบายใจเลยไอ้ช่า....แต่ก็นะขิง อย่าไปอะไรมากเลย” ปั้นบอก
“ขิงว่าเดี๋ยวเขาก็หายไปเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ”
ทุกคนที่เข้ามาจะพากันหายออกไปเสมอเพราะขิงไม่ยอมลดกำแพงจนพวกเขาต้องล่าถอยไปเอง ไม่เคยมีใครอดทนกับเขาได้นานเลยสักคน เพราะกำแพงของเขาสูงเสียจนคนเหล่านั้นหมดความพยายามกันไปเอง
หลังจากวันนั้นที่ร้านอาหาร ขิงก็มาทำงานตามปกติ โดยไม่ได้ใส่ใจคนแปลกหน้าที่มาขอเบอร์ในวันก่อน เพราะไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนหรือวิธีใดก็ตาม ขิงจะไม่หวั่นไหวหรือคล้อยตามไปอย่างแน่นอน เพราะขิงยึดมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทลายกำแพงของตัวเองลงได้
เสียงข้อความดังขึ้นและก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ส่งมา เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเอ่ยถึงไปนั่นเอง กันต์ส่งข้อความมาทักทายแต่เช้าแต่ขิงเลือกจะเมินเฉย ไม่อ่านหรือแม้จะตอบข้อความเหล่านั้น เขายังคงทำงานต่อไปโดยไม่สนใจจะมองข้อความพวกนั้น
“ขิง เที่ยงนี้กินอะไรดี” ช่าถามขึ้น
“ช่า เราต้องไปยื่นเอกสารที่กรมสรรพากร บ่ายนี้นะ” ปั้นเตือนความจำเรื่องนี้ขึ้นมา
“ตายจริง ลืมไปเลย” สีหน้าอย่างคนเพิ่งนึกได้นั้นทำเอาปั้นส่ายหน้า
“เราว่าทั้งสองคนออกไปกินข้าวข้างนอกแล้วก็ไปยื่นเอกสารพร้อมกันเลยดีกว่าไหม” ขิงแนะนำ
“นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นขิงกินข้าวคนเดียวละกันนะ” ช่าว่า
“สบายมาก รีบไปเถอะ” ขิงมองนาฬิกา ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว
ปั้นกับช่าออกจากออฟฟิศไปแล้ว ขิงเองไม่ได้หิวข้าวขนาดนั้น จึงเลือกจะเดินออกจากออฟฟิศไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ออฟฟิศเพื่อซื้อขนมปังไม่ก็อาหารว่างรองท้อง ขิงเดินออกมากว่าห้านาทีก็มาถึงร้านสะดวกซื้อ เดินเข้าไปก็มองหาชั้นวางขนมปัง ระหว่างที่กำลังเลือกซื้ออยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนมาทักทาย
“ขิง...” ขิงหันตามเสียง ก็พบว่าเป็นคนที่มาขอเบอร์เขาเมื่อวาน ขิงตกใจนิดๆ ที่มาเจอกันแถวออฟฟิศ
“สวัสดีครับ” ขิงทักทายตามมารยาท
“บังเอิญจัง มาเจอกันในที่แบบนี้” ความดีใจนั้นดูมากมายจนออกนอกหน้า ขิงอิหลักอิเหลื่อเมื่อได้เห็นคงตรงหน้าแสดงท่าทีดีใจเช่นนั้นต่อหน้าเขา
“ครับ...บังเอิญดีจัง” ขิงยิ้มเจื่อนๆ
“มาซื้อขนมเหรอ” กันต์เอ่ยถามพลางมองขนมปังที่ขิงกำลังถืออยู่ในมือ
“อ๋อ ครับ” ขิงพยักหน้าก่อนที่จะวางขนมในมือลงบนชั้นแล้วมองหาแบบอื่นที่น่ากินกว่า
“มื้อเที่ยงต้องกินข้าวสิ ทำไมกินขนมปังล่ะ” กันต์ถามพลางคิ้วขมวด
“ไม่หิวเท่าไหร่ครับ” ขิงไม่ชอบความบังเอิญแบบนี้เท่าไหร่นักและอยากจะออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ขิงจึงหยิบแบบส่งๆ และเดินไปคิดเงินด้วยความรวดเร็ว
“พี่ว่าขิงไปกินข้าวดีกว่านะ” น้ำเสียงพูดอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่อยากกินข้าวครับ” ขิงบอกพร้อมยิ้มนิดๆ ดูท่าจะไม่ยอมถอยไปง่ายๆ ทั้งที่เขาก็เลี่ยงอย่างเต็มกำลังแล้ว
“ไปกินข้าวเถอะนะ เดี๋ยวหน้ามืดไปจะทำยังไง” กันต์ยังคงบอกเช่นนั้น
“แต่...” ขิงหันไปมองกันต์ที่กำลังยืนจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง มันมากจนขิงรับรู้ได้
“คือว่า” ขิงมองสายตานั้นและพยายามจะบอกปัด แต่พูดไม่ค่อยออกเท่าไหร่เพราะกันต์ยังคงจ้องมองเขาอยู่แบบนั้น
“ก็ได้ครับ ผมจะไปกินข้าว” ขิงจ่ายเงินพร้อมหยิบขนมปังนั้นติดมือมา
“พี่รู้จักร้านแถวนี้นะ” กันต์ว่าในขณะที่ขิงเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ
“ผมก็รู้ครับ” ขิงบอก เขาอยู่แถวนี้มาก็นาน ทำไมจะไม่รู้จักกันเล่า
“ถ้าอย่างนั้น....ให้พี่ไปกินข้าวด้วยได้ไหม” ขิงคิดอยู่แล้วว่าต้องมาไม้นี้
“แต่ผมไม่สะดวก” ขิงบอกไปตามตรง
“ทำไมล่ะ ขิงก็มาคนเดียวไม่ใช่เหรอ” กันต์ถามพลางมองรอบๆ บ่งบอกว่าเขาไม่เห็นว่าขิงจะมากับใครอื่น
“คุณกันต์...ผมลำบากใจ อย่าทำแบบนี้เลย” ขิงบอก เขาต้องตัดคนๆ นี้ออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะโดนรุกล้ำไปมากกว่านี้
“พี่ทำให้ขิงรู้สึกลำบากใจขนาดนี้เลยเหรอ” กันต์ถามขึ้น สีหน้านั้นเริ่มสลดลง
“ครับ” ขิงตอบสั้นๆ
“พี่ขอโทษนะที่กลายมาเป็นแบบนี้ แต่พี่...อยากรู้จักขิงจริงๆ นะ” กันต์บอก
“แต่ผมไม่ได้อยากรู้จักคุณกันต์มากขนาดนั้นครับ” ขิงพูด
“พี่ไม่มีโอกาสนั้นเลยเหรอ” กันต์หน้าเศร้ามากกว่าเดิม
“ผมคงไม่ให้โอกาสมากไปกว่านี้แล้วครับ...ขอตัวก่อนนะครับ”
ขิงพูดทิ้งท้ายก่อนเดินหันหลังไป เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของคนที่เพิ่งรู้จักกัน เขาจะไม่เปิดช่องโหว่ให้แก่คนอื่นเพราะความสงสารเหล่านั้น
เดินกลับมายังออฟฟิศ และไม่ได้กินข้าวอย่างที่ตกลงกับกันต์ไว้ ขนมปังที่ซื้อติดมือมาจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะเอามันลงท้องได้ ขิงนั่งกินขนมปังนั้น โดยไม่รู้เลยว่ามีคนมายืนด้อมๆ มองๆ ตรงหน้าออฟฟิศ คือเป็นคนเดียวกันกับที่ขิงเพิ่งเดินหนีมา...
ตั้งแต่วันนั้นกันต์ก็หายเงียบไป ขิงเริ่มสึกขึ้นมา อาจจะเพราะการตัดบทแบบนั้น อีกทั้งเขารู้สึกว่าคำพูดของเขาเองค่อนข้างแรงอีกทั้งยังแข็งกระด้าง ถ้าหากตัวเขาเองโดนปฏิเสธแบบนั้นคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขิง ถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ” ช่าพูดขึ้น
“เหรอ” ขิงถาม เขาดูกังวลจนแสดงให้คนอื่นเห็นเลยหรือ
“ใช่ มีอะไรรึเปล่า” ช่าถาม
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ขิงบอก
“ไม่หน่อยแล้วละมั้ง” ช่าได้ทีแซว
“นิดเดียวเอง ไม่ต้องมาแซวเลย” ขิงว่า
“ก็นะ ไม่ค่อยได้เห็นขิงเป็นแบบนี้บ่อย ว่าแต่ใครนะทำให้ขิงเป็นกังวลได้ขนาดนี้” ช่าพูดพลางคิด ใบหน้าของกันต์ลอยเข้ามาในห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว ขิงรีบสะบัดหน้าให้ภาพของคนๆ นั้นออกไปจากหัว
“หืม เป็นอะไรขิง” ช่าถามด้วยสีหน้าคำถามเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนดูแปลกๆ
“เปล่า” ขิงบอก
และดูเหมือนว่าภาพในหัวของเขาจะกลายเป็นจริง เขาเห็นกันต์ยืนอยู่หน้าออฟฟิศ ทั้งที่หายเงียบไปไม่ส่องข้อความมาแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงมายืนชะเง้อมองเข้ามาข้างในราวกับกำลังมองหาใครสักคนในนี้
“มาได้ไง” ขิงหลุดพูดออกมา
“ใครเหรอ” ช่ารีบมองไปยังทิศทางที่ขิงกำลังยืนมอง
“เอ๊ะ...ใช่คนเดียวกับที่เขามาขอเบอร์ขิงเมื่อวันก่อนรึเปล่า” ช่าจำได้ เพราะหน้าตานั้นเป็นเอกลักษณ์ แม้จะเห็นแค่ครั้งเดียวก็จำได้
“น่าจะ” ขิงบอก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่แค่น่าจะใช่ แต่คือใช่มากๆ เพราะเป็นคนๆ เดียวกัน
“เอ๊ะ ทำไมเขารู้จักออฟฟิศเราล่ะ” ช่าถามอย่างสงสัย
“นั่นสิ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ขิงเองก็อยากรู้ว่าทำไมกันต์ถึงรู้จักที่นี่ได้
“อย่าบอกนะว่าเดินตามมาตั้งแต่วันนั้น” ขิงพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไป
“เดี๋ยวขิง จะออกไปหาเขาเหรอ”
“อืม มาด้อมๆ มองๆ แบบนี้ดูไม่น่าไว้ใจ” ขิงว่าก่อนที่จะเดินออกไปจากออฟฟิศ
ขิงเดินตรงไปหากันต์ที่ยืนอยู่ เมื่อกันต์ได้เห็นขิงก็ยิ้มกว้างอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ขิงหยุดอยู่ตรงหน้าของกันต์ ทิ้งระยะห่างประมาณสองสามก้าว ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น
“รู้จักที่นี่ได้ยังไงครับ” ขิงถามออกไป
“พี่...เดินตามขิงมาตั้งแต่วันนั้นแล้ว” กันต์สารภาพแต่โดยดี
“รู้ใช่ไหมครับ การทำแบบนี้มันคือการคุกคาม” ขิงถามต่อ
“พี่ขอโทษ แต่พี่ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรขิงเลย ก็แค่....”
“ก็แค่อะไร” ขิงถาม
“จะดูว่าขิงเป็นยังไงบ้าง งานยุ่งรึเปล่า” สีหน้านั้นดูจะรู้สึกผิด เพราะขิงจับได้ว่าเขามายืนแอบมองอยู่แบบนี้
“เราเพิ่งเจอกันนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมขนาดนั้นก็ได้”
“ขิงอาจจะคิดแบบนั้น แต่พี่กลับรู้สึกว่าขิงน่าเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก พี่เลยต้องมาทำแบบนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะไม่ทำแล้ว มันดูคุกคามอย่างที่ขิงบอกจริงๆ นั่นแหละ” กันต์ยอมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ขิงยืนมองผู้ชายตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด คำว่าเป็นห่วงพร้อมสีหน้าดูกังวลทั้งที่เป็นแค่คนที่เข้ามาขอเบอร์เพียงเพราะหวังจะจีบก็เท่านั้น แต่ทำไมกลับสลัดเรื่องของคนตรงหน้าออกไปไม่ได้เสียที
“เรื่องวันก่อน...ผมต้องขอโทษด้วย” ขิงเอ่ยขึ้นมา
“วันก่อน เรื่องอะไรเหรอ”
“ผม...พูดจาไม่ดีออกไปในตอนนั้น”