สวัสดีปีใหม่ค่าาาา
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
ลืมพี่จิณณ์กับน้องคุณกันหรือยังเอ่ย
ตอนที่ ๒๔ ผู้แต่ง :: FANISMZอาการสติหลุดของผมกินเวลาไปทั้งคาบเช้าวันนั้น บุรินทร์กับวาเลยต้องโดดเรียนนั่งเฝ้าผมไปด้วย โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการเรียนการสอนปกติจึงไม่ค่อยมีนิสิตเดินผ่านไปมามากนัก บางคนที่เห็นเหตุการณ์เขาก็คงเห็นแค่ภาพที่ผมนั่งให้บุรินทร์กอด มีวานั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นภาพปกติที่พวกปีสองขึ้นไปทุกคนชินตาเสียแล้ว ผมเงยหน้าจากเสื้อเชิ้ตของบุรินทร์พลางใช้หลังมือป้ายน้ำตา บุรินทร์ดึงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับให้อย่างใจดี แบบนี้แหละถึงจะปากร้ายแต่มันก็รักผม
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“อือ”
“เป็นยังไงบ้างตอนนี้ ปวดหัวไหม” ร้องไห้หนักอย่างที่ไม่เคยเป็น เล่นเอาเพื่อนตกใจกันถ้วนหน้า ผมหรี่ตามองพื้นโต๊ะก่อนจะส่ายหน้า
“หิว” ไอ้ตี๋มันพ่นลมออกจมูกพรืด ผลักหน้าผากผมแล้วก็ลุกตรงไปทางโรงอาหาร
“เจอพี่จิณณ์ใช่ไหม” วาถามแบบไม่เสียเวลาอ้อมค้อม ตาคู่สวยมองตรงมาคล้ายจะอ่อนใจก็ไม่ใช่เศร้าใจก็ไม่เชิง แต่ผมว่าวาคงแน่ใจในคำตอบอยู่แล้วล่ะ เพื่อนผมคนนี้เดาอะไรไม่เคยพลาด “ลืมไปว่าวันนี้พวกพี่บัณฑิตมีซ้อมที่หอประชุมใหญ่ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้โทรบอกนายเพราะไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดวาซักหน่อย”
“แล้วคุยอะไรกันบ้าง”
“ไม่ ไม่ได้คุยเลย พี่จิณณ์ของวาแทบไม่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วที่มันเป็นอย่างนี้ ดีแล้วล่ะ” บอกทั้งวาและใจของตัวเองด้วย บอกเพื่อที่จะให้รู้สึกดีขึ้นแม้ว่ามันจะแทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยก็ตาม วาใช้ปากกาขีดเป็นเส้นวงกลมซ้อน ๆ กันเป็นวงยุ่งเหยิงบนปกสมุดเล็คเชอร์ซึ่งผิดนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าตัวลิบลับ ผมมองอาการแปลก ๆ นั่นแล้วก็เผลอลืมเรื่องเศร้าในใจ ออกปากถามอย่างอดใจไม่อยู่
“วา เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“คิดอะไรอยู่?”
“คิดเรื่องพี่จิณณ์กับคุณ”
“โหหหหห เชย สมัยนี้เค้าไม่คิดเรื่องนั้นกันแล้ว” เศร้าจนใจจะขาดตายอยู่แล้วยังมีมุกได้อีก แต่โทษทีวาไม่แม้แต่จะทำหน้าอ่อนใจอย่างทุกที คราวนี้ดูจริงจังผิดปกติจนผมต้องเงียบ
“คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมพี่จิณณ์ถึงลาออกจากบริษัทเดิมทั้ง ๆ ที่กว่าจะได้เข้าไปทำงานต้องผ่านการทดสอบหลายต่อหลายรอบ” มันมีเหตุผลอื่นนอกจากความต้องการของเจ้าตัวแล้วก็กิจการที่รวยล้นฟ้าของตระกูลปภาเดชวิรุฬห์อีกหรือ “อุตส่าห์สอบได้ทำงานที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันอยากจะทำ ทำไมพี่จิณณ์ถึงได้ลาออกแล้วกลับไปช่วยงานทางบ้าน อยากรู้ไหม”
ถ้าบอกว่าไม่อยากรู้ก็คงโกหก
“อือ อยากรู้”
“วา แบบนี้ไม่ดีนะ” บุรินทร์กลับมาพร้อมเสียงปรามแต่การที่มันติงวาต่อหน้าผมก็เป็นการบอกใบ้อย่างหนึ่งว่ามันจงใจให้ผมรู้ วารับถุงขนมขบเคี้ยวมาจากบุรินทร์ แกะแล้วก็เลื่อนมาให้ผม “ก็ถ้าปล่อยไปตามยถากรรม ทั้งสองคนคงไม่เข้าใจกันง่าย ๆ นายก็เห็นนี่บุรินทร์ มาถึงขั้นนี้แล้วพี่จิณณ์ยังไม่ยอมบอก คุณคงไม่รู้ไปจนตายนั่นแหละ”
“ถ้าคิดว่ามันจะดีขึ้นก็ตามใจ”
“พูดอะไรกัน ขอเข้าใจด้วยคนได้ไหม” สุดจะห้ามความอยากรู้ที่วิ่งพล่านในอกนี้ได้ ผมวางมือลงบนแขนวาเผลอจับแน่นด้วยความลืมตัว วาเป่าปาก สองเพื่อนคู่ซี้เขามองหน้ากันก่อนบุรินทร์จะเป็นคนเปิดประเด็นด้วยหมัดเหวี่ยงขวาตายซ้ายสลบใส่ปลายคางผมเต็ม ๆ
“พี่จิณณ์เขาต้องกลับไปช่วยงานของที่บ้านก็เพราะนายนั่นแหละไอ้ลูกหมา”
“เพราะฉัน? ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“เขาต้องทำงานให้คุณพ่อเพื่อแลกกับการได้คบกับผู้ชายหัวดื้อแบบนายไปตลอดชีวิตที่เหลือยังไงล่ะ เจ้าโง่ แล้วดูนายสิ นอกจากจะไม่สนับสนุนความตั้งใจของพี่เขาแล้ว ยังมาบอกปัดกันหน้าตาเฉย รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้ความฝันของผู้ชายคนหนึ่งดับวูบไปเพราะคำตัดรอนของตัวเอง”
มีเหตุผลอะไรบ้างในโลกใบนี้ที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งทำทุกอย่างเพื่อใครอีกคน ทำแม้ว่ามันจะฝืนใจตัวเอง ทำด้วยความสุขและรอรับผลของการกระทำนั้นอย่างมีความสุข เพียงเพราะได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะอยู่ตรงหน้า เพราะผมเป็นแค่เด็กนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง เห็นแก่ตัวในหลายครั้ง เอาแต่ใจตัวเองในหลายเรื่องแถมยังไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ดังนั้น สำหรับผมแล้วคนที่ทำเพื่อคนอื่นได้ถึงขนาดนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรของปีนี้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ปีที่ผ่านมา ผู้คนมากมายหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่สมกับเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับประเทศ เป็นปกติของทุกปีที่ทางมหาวิทยาลัยจะประกาศงดการเรียนการสอนสองวันเต็มเพื่อให้รุ่นน้องได้มีโอกาสมาแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ ผมมีพี่ที่จบปีนี้หลายคน วันนี้ทั้งวันพวกเราสามทหารเสือเลยตระเวนถือช่อดอกไม้และของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามคณะต่าง ๆ และสุดท้ายก็มาจบที่สถาปัตยกรรมศาสตร์
วาที่วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ตรงเข้าไปหาพี่ชายคนสนิทท่ามกลางสายตาชื่นชมปนอิจฉาของคนแถวนั้น เจ้าหน้าหวานเพื่อนผมดูจะเข้ากันได้ดีกับครอบครัวพี่พีร์แต่เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วก็ทั้งสองคนโตมาด้วยกันนี่ ผมเอ่ยแสดงความยินดีกับพี่ไวทิน พี่ภูวดลและพี่นรวิชญ์จนครบทีมแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ผมชะเง้อหาตั้งแต่ข้ามเขตแดนคณะเข้ามา
เรียนจบเหมือนคนอื่นไม่ใช่หรือ ออกจากหอประชุมมาพร้อมกัน ทำไมไม่อยู่ตรงนี้เหมือนชาวบ้านเขา หรือพวกบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเขาไม่อยากเปิดเผยตัวในที่สาธารณะเพราะกลัวว่าจะโดนคนนิสัยเสียอย่างผมตามมาหาเรื่องในงานรับปริญญาของตัวเอง มองไปรอบตัวก็มีแต่คน คนและคน ไม่ยักกะมีหน้าหล่อ ๆ ที่คุ้นตามาให้เห็นเลย ผมเริ่มถอดใจเพราะไม่รู้จะตามหาจิณณ์ได้ที่ไหนอีก วันปกติยังพอว่าแต่วันพิเศษแบบนี้ สารพัดมนุษย์เดินกันให้วุ่นแบบนี้ จะมีโอกาสได้ให้ไหม ไอ้ของที่อยู่ในมือนี่น่ะ ผมแกว่งของขวัญเพียงชิ้นเดียวไปมา อุตส่าห์ลงทุนทำทั้งคืน น่าเสียดายถ้าไม่ได้ให้อย่างที่ตั้งใจไว้
“มองหาใครหรือคุณภัทร”
“มองหาพี่จิณณ์ครับ” พี่พีร์สำลักขำเมื่อได้ยินคำตอบจากใจแบบไม่มีกั๊ก เขาหัวเราะในคอแล้วก็บอกให้ผมใจเสียไปอีกว่า “ไม่อยู่ตรงนี้หรอก เจ้านั่นไปถ่ายรูปกับครอบครัวตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ เห็นบอกว่าพอถ่ายรูปเสร็จจะกลับบ้านเลยเพราะทุกคนมีงานรออยู่”
มีงานรออยู่! ในวันรับปริญญาเนี่ยนะ!
ใครใช้ให้พี่มันทำตัวแบบนี้เนี่ย วันนี้วันรับปริญญานะโว้ย คนอื่นไม่ว่างก็กลับไปก่อนใครจะว่า แต่คนเป็นเจ้าของงาน เป็นบัณฑิตที่มีหน้าที่รอให้คนมาแสดงความยินดีในวันนี้ มันต้องอยู่รอสิ เรื่องอะไรมาชิ่งหนีกลับไปทำงานทั้งที่ผมตั้งใจจะมาเจอ แม่ง ไอ้คนไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเจอจะปาดอกไม้ใส่หน้าให้
“แต่ไม่แน่ใจว่าจิณณ์จะกลับไปหรือยังนะ” อ่าว คุณรณพีร์ เมื่อกี้ผมด่าเพื่อนคุณไปยาวมากนะ
“ตกลงกลับหรือไม่กลับครับคุณพี่พีร์” หัวเราะ ได้ทีล่ะหัวเราะกันทั้งกลุ่ม
“ไม่แน่ใจเหมือนกันเห็นมันบอกว่าจะแวะไปดูสถานที่ในความทรงจำก่อนกลับน่ะ” สถานที่ในความทรงจำ นะ คำใบ้ไม่กระจ่างแถมยังคลุมเครือได้อีก ไอ้คุณชายนั่นมันเกิดก่อนผมตั้งสามปีแถมยังเรียนเร็วกว่าตั้งสี่ปี ความทรงจำมันก็ต้องมีแทบทุกมุมในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ แล้วผมจะรู้ไหมว่ามันจะไปไหน
“ขอคำใบ้เพิ่มได้ไหมครับ” พี่พีร์หัวเราะร่วน
“นายนี่มันมึนจริง ๆ โอเค ๆ คำใบ้ที่สอง สุดท้ายและท้ายสุด จิณณ์มันบอกว่าจะไปรำลึกความทรงจำหรือตำนานรักแถว ๆ บันดงบันไดอะไรสักอย่างนี่แหละ รำลึกถึงใครก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ฉันไม่ได้ถามต่อ”
บันไดแดงทอดตัวอย่างสง่างามเช่นวันเก่า
เวลาไม่อาจพรากมนตร์ขลังอันเป็นเสน่ห์ตราตรึงใจไปจากเจ้าพรมสีแดงเลือดนี้ได้ ทุกก้าวที่เหยียบขึ้นไป ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ได้ปีนบันไดแดง จึงตอบไม่ได้ว่าที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยนั้นเป็นเพราะความเคยชินหรือเป็นเพราะใจมันเร่งเร้าที่จะไปเจอใครบางคนที่อาจจะยังอยู่บนโน้น
ผมก้าวมาหยุดครึ่งทาง
จำได้ว่าตรงนี้ เคยมานั่งหอบกับบุรินทร์ในวันที่จะมายืมหนังสือทำรายงาน
จำได้ว่าตรงนี้ เคยได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ก้าวขึ้นมาราวกับไม่รู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ผมเป็น เคยติดใจสงสัยจนต้องหันกลับไปดูเจ้าของจังหวะฝีเท้านั้นอย่างข้องใจแล้วก็ได้เห็น ผู้ชายตัวสูง ผิวหน้าขาวจัดที่ตัดกับริมฝีปากแดงสด เสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและกางเกงยีนส์สีซีด คนที่ดูดีได้แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนคนทั่วไป
จำได้ว่าตรงนี้ ที่ผมสะดุดขั้นบันไดจนหล่นลงไปหาใครบางคนโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ดันไปคล้องกับตำนานรักสะท้านโลกของไอ้ตี๋เข้าให้ ใครจะคิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงในเวลาต่อมา
ผมเดินเลยชั้นที่เป็นห้องสมุดมาหมดแล้ว บันไดที่ทอดสูงอยู่ตรงหน้าจะพาผมไปถึงส่วนหวงห้ามที่มีเพียงคณะกรรมการสภาพิเศษของสถาปัตย์เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปได้ มาถึงขั้นนี้จะถอยคงไม่ใช่นิสัยผม แต่จะให้เดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายแบบไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็ยังลังเลนิดหนึ่ง ผมตื่นเต้น หวั่นไหว รู้สึกไม่มั่นใจ แต่เจ้าดอกไม้สีเหลืองดอกโตและมีเพียงดอกเดียวพร้อมใบสีเขียวสดที่ผมบรรจงประดิษฐ์เองกับมือ มันทั้งขู่ทั้งปลอบให้ก้าวไปข้างหน้า ผมสูดลมหายใจลึก เอาวะ เห็นแก่ริบบิ้นผ้าสีเงินเส้นใหญ่ที่ผูกติดไว้กับก้านสีเขียวเข้มนี่ ผมจะไม่ทำให้มันต้องเก้อก็แล้วกัน
ตึก
ตึก
ตึก
ใครบางคนเดินมาจากชั้นลอย ผมเงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงฝีเท้าคุ้นหูแล้วก็รีบซ่อนดอกไม้ไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าใกล้เข้าแล้วก็มาหยุดตรงบันไดขั้นบนสุด มองไล่ตั้งแต่รองเท้าสีดำขลับ กางเกงขาวแบบพอดีกับช่วงขายาว เสื้อนอกที่ปิดคอด้วยแถบสีน้ำตาลอันเป็นสีประจำคณะของบัณฑิตและเข็มวิทยฐานะบนอกเสื้อซ้าย จิณณ์สวมชุดเหมือนพี่บัณฑิตชายข้างนอกอีกนับพันแต่ความเป็นจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ก็ทำให้ชุดขาวนั้นยิ่งเลอค่าแลศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นหลายเท่า
ผมหลบสายตาไปวูบหนึ่งเมื่อเจอดวงตาคมกริบมองกลับมา รู้สึกว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่มันดูเสียเปรียบอย่างไรชอบกล ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปหาเพื่อที่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่าย ต้องเดินขึ้นไปเพื่อที่จะไปถึงจุดที่ใครคนนั้นยืนอยู่ ต้องเป็นฝ่ายเหนื่อยขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม มือข้างหนึ่งถือหลักฐานของความสำเร็จ ปริญญาบัตร สมบัติที่สำคัญยิ่งในชีวิตนิสิต บนท่อนแขนมีเสื้อครุยผ้าโปร่งพับพาดไว้อย่างดี
นอกจากเสียงเซ็งแซ่ที่เล็ดรอดเข้ามาจากด้านนอกพอได้ยินแล้วก็ไม่มีเสียงใดระหว่างเรา ไม่มีความเคลื่อนไหวจากคนที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาผมก่อนเสมอ คราวนี้ผมคงต้องก้าวเข้าไปหาเขาเอง
ตึก
ตึก
ตึก
แม้จะมายืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกันแต่ก็ยังต้องเงยหน้ามองอีกคนอยู่ดี เอาเป็นว่า วันนี้ผมของดพูดถึงระดับความสูงที่แตกต่างก็แล้วกัน แม้จะแอบเจ็บใจที่เตี้ยกว่าเยอะแต่ถ้าอธิบายมากไปมันจะไม่โรแมนติคเอาซะเปล่า พองลมใส่แก้มสลับข้างไปมาอยู่อึดใจก่อนจะยื่นทานตะวันดอกโตให้พ่อคนดีเขาดื้อ ๆ
“ยินดีด้วย” จิณณ์ก็ยังคงเป็นจิณณ์ที่แสนดีเหมือนเดิม แค่ผมยืนเม้มปากหน้าแดงก่ำเพราะต้องข่มความอายในการง้อคน พี่มันก็คลายยิ้มใส่ตาผมอย่างง่ายดาย แทนที่จะรับของขวัญมือขาวจัดกลับเอื้อมมารั้งข้อมือผมเข้าไปใกล้ แล้วเป็นไงล่ะ ได้กอดกันตรงหัวบันไดเลยไง
“ขอบใจคุณภัทร”
“อืม”
“ดีใจนะที่นายมา”
“ผมมาเพราะมีเรื่องจะถาม” จิณณ์หัวเราะ ไม่วายเย้าให้ผมอายหนัก
“ไม่ได้มาเพราะอยากแสดงความยินดีหรอกหรือ?”
“พี่!”
“ถามมาสิ”
“พี่ต้องจำใจทำงานกับทางบ้านเพราะผมหรือจิณณ์” จิณณ์ทำเสียงคล้ายประท้วง อ้อมกอดที่โอบรัดผมอยู่ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเป็นสองเท่า “ฉันแค่กลับมาช่วยงานพวกท่านเร็วกว่ากำหนดเท่านั้นเอง เนื้อหางานก็คล้ายกันเป็นงานที่ฉันชอบ แต่ที่ไปสมัครที่อื่นเพราะอยากลองหาประสบการณ์ก่อนกลับเข้าบริษัทแม่ คุณกังวลเรื่องนี้หรือ?”
“ผมกลัวพี่จะไม่มีความสุขถ้าโดนบังคับ”
“ไม่มีใครบังคับฉันได้คุณ ฉันเต็มใจ”
“จริง ๆ นะ” เสียงทุ้มย้ำตอบว่าจริง
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก หายโกรธเถอะนะ”
“ใครโกรธ ไอ้คนที่มันเชิดใส่กันน่ะไม่ใช่ผมแน่” เจ้าของอกที่ผมซุกหน้าอยู่หัวเราะจนกล้ามอกสั่น ว่าจะพูดนานละ แม้แต่เสียงหัวเราะมันยังมีชาติตระกูลเลยขอบอก มือหนาลูบศีรษะผมอย่างเบามือ ไม่ลืมคลึงปลายนิ้วกับท้ายทอยพอให้ผมรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่เครียดกับการเผชิญหน้ากันจนตัวเกร็งไปหมด เสียงทุ้มเปรยอยู่เหนือหน้าผาก ฟังแล้วรู้สึกดีไม่ต่างจากวันวาน
“ก็คนมันน้อยใจนี่นา เอะอะอะไรก็ไล่กันลูกเดียว ถึงจะรูปหล่อพ่อรวยแล้วก็นิสัยดีแค่ไหนฉันก็เสียใจเป็นนะ” ช่างกล้า เอาคุณสมบัติตัวเองมาขายกับคนอย่างคุณภัทร ไม่รู้เสียแล้วว่าคุณภัทรรู้ดีมากกว่าที่เจ้าตัวมันขายออกมาอีก
“นอกจากรูปหล่อพ่อรวยนิสัยพอใช้ได้แล้ว พี่ยังหน้าด้านสุด ๆ ด้วย”
“ไม่หน้าด้านแล้วจะได้คุณภัทรเป็นแฟนหรือ รู้ไหมว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันต้องตีหน้านิ่งเข้าหานายตั้งกี่ครั้ง” ผมทำเสียงหึในลำคอ รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันผิดไหมล่ะ บางทีผมก็รู้ว่าพี่มันเนียนแต่ก็เห็นแก่ความหล่อของมันเลยทำเป็นไม่รู้ เหมือนตอนนี้นั่นแหละ ไอ้คนดีมันเนียนรวบรัดเอาผมเป็นแฟนไปหยก ๆ รู้อยู่เต็มอกแต่ไม่อยากค้าน ขี้เกียจ
“เป็นแฟนกันแล้วนะ”
“เนียน” ได้ทีล่ะประกาศความสัมพันธ์เลยนะ ยกระดับตัวเองสุดฤทธิ์ ผมชำเลืองมองใบหน้าขาวจัดที่เริ่มซับสีเรื่อเพียงแวบเดียว ไม่ทันได้คิดก็ดันคล้องแขนโอบรอบลำคอคนตัวสูงกว่าเป็นคำตอบรับไปเสียแล้ว เฮ้อ ปากแดง ๆ ตาคม ๆ นี่มันไม่เข้าใจออกใครจริง ๆ ประมาทไม่ได้เลยเชียว
“ผมเอาแต่ใจนะ”
“ฉันรู้”
“พูดไม่เพราะด้วย”
“ข้อนี้ก็รู้ดีเลยล่ะ”
“นิสัยไม่ค่อยดี ชอบให้เอาใจแล้วก็ไม่ชอบเอาใจใคร”
“ฉันอยากเอาใจนาย คุณ”
“ผมไม่ชอบง้อใครแต่ก็ไม่โกรธใครง่าย ๆ เหมือนกัน ยกเว้นเหลืออดจริง ๆ”
“ฉันจะพยายามไม่ทำให้นายโกรธดีไหม”
ยอมให้ทุกทางขนาดนี้ไม่มีทางรอดครับ
“รักนะคุณ”
“อือ”
“รักมาก ๆ ด้วย”
“เออออออออ...รักเหมือนกัน...” แล้วก็อุบอิบเติมท้ายว่า...มั้ง...(ห่านนนน เขินฉิบหาย!) จิณณ์ยิ้ม กดจมูกโด่งลงกับหน้าผากแล้วก็แก้มซ้ายขวาของผมแบบไม่ให้น้อยหน้า เรากอดกัน มองตากัน หัวเราะและยิ้มให้กันก่อนจะสารภาพความในใจด้วยการปล่อยให้ริมฝีปากจูบซับคลอเคลียอยู่เช่นนั้น
จบ(เรื่อง)กัน เถอะเนาะ
.
.
.
.
.
THE EHD
จบภาคแล้วจ้าาาาา ขอพี่คนแต่งมาได้แค่นี้ค่ะ แหะ ๆ ๆ