- โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12  (อ่าน 47983 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ชอบเวลาจีบกันแบบเนียนๆ อ่ะ. น่าร้ากกกกกก.  :hao3:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ค่อย ๆ จีบกันงุงงิง

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
         น้องพิชญ์ได้ที่อยู่ใหม่แล้ว สนใจแฟนใหม่เร็วๆนี้ไหมคะ..คุณคนแรกนะคะ❤️

ออฟไลน์ pranliew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องน่ารักกกกกกก ค่อยเป็นค่อยไปน๊า ป่านนี้ก็ยังไท่ม่รุ้ชื่อพี่เขาเน้อะะะะ รอดูกันต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารักอ่ะ แบบค่อยเป็นค่อยไป

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หรือคุณคนแรกจะอยู่ที่เดียวกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'

ตอนที่ 12 : จับมือ




   ตีห้าสิบนาที ผมยืนรอหน้าตึก ติดนิสัยต้องไปก่อนเวลาสิบนาที

   ระยะทางจากตรงนี้ไปร้านชานม ใช้เวลาราวๆ สิบห้านาที ซึ่งเท่ากับว่าจะมีเวลาให้ผมเปิดร้าน ต้มไข่มุก รอรับรถขนน้ำแข็งที่จะมาส่งทุกวันตอนตีห้าห้าสิบได้พอดี

   ผมยืนกินขนมปังเป็นอาหารเช้ารองท้องระหว่างรอคุณคนแรก ถึงเซเว่นจะอยู่ไกลไปหน่อย แต่ปั่นจักรยานแป๊บเดียวก็ถึง แถวนั้นคนพลุกพล่านกว่ามาก เทียบกันแล้วที่นี่ดีกว่าเยอะ แม้บรรยากาศจะแอบวังเวง ตึกเก่าโทรม พ่วงลมหนาวพัดผ่านคลอง ชวนให้นึกถึงหนังสยองขวัญ

   ดีนะ...ผมไม่กลัวผี ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะไม่เคยเจอ ก็ไม่รู้ว่าเกิดเจอดีขึ้นมาจะปากกล้าแบบนี้อยู่มั้ย

   ตีห้าสิบห้านาที รถมอเตอร์ไซค์ของคุณคนแรกก็จอดเทียบ เขาส่งหมวกกันน็อกให้ ผมรับมาใส่ เขาช่วยจับที่รัดใต้คาง ก่อนจะขึ้นคร่อมที่นั่งด้านหลังแบบคุ้นเคยสุดๆ ผมส่งถุงพลาสติกจากเซเว่นให้ แม้ไม่พูดอะไรแต่คุณคนแรกก็เอาถุงไปแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ รอผมที่ยังปากเคี้ยวขนมปังหยับๆ เกาะเอวเขาหลวมๆ แล้วถึงค่อยขับด้วยความเร็วระดับเร็วกว่าปั่นจักรยานนิดหน่อย

   มาถึงร้านชานมตอนตีห้าสี่สามสิบ ผมลงจากมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกส่งคืนให้ ซึ่งคุณคนแรกก็ส่งถุงเซเว่นคืนเหมือนกัน

   “ค่าน้ำมัน” ผมบอกเขายิ้มๆ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาชอบอะไร แต่จากที่ไปตระเวนกินกันหลายคืน น่าจะเป็นพวกกินง่าย เลยซื้อของชอบตัวเองให้แทน ขนมปังทูน่า นมเปรี้ยวรสผลไม้รวม กับบราวนี่ มื้อเดียวครบทุกสารอาหารทั้งคาวหวาน

   คุณคนแรกไม่พูดอะไร แต่เขาไม่ยอมไปไหน ผมก็เลยเปิดร้านไม่ได้สักที

   ถึงจะไม่รังเกียจความเงียบนี้ แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด ผมเลยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

   “นี่...”

   พลันคุณคนแรกลูบแก้มผมเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอยหายลับ

   จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาเปิดร้านอะไร อยู่ตรงไหน

   และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมต้องจับแก้มกันด้วย ผมยืนอึ้ง อึกอักนิดหน่อยเพราะคุณยายร้านปักผ้าเดินมาเปิดร้านแล้วเห็นฉากเมื่อกี้เข้าพอดี

   “ยายไม่เห็นเลยจ้ะ ไม่เห็นจริงๆ นะ”

   คงเพราะผมหน้าแดงก่ำทั้งเขินทั้งอาย ยืนบ้าใบ้ไปไม่ถูก คุณยายเลยช่วยปลอบประโลมจิตใจน้อยๆ ของผมด้วยการพูดโกหก ท่านอายุปูนนี้แล้ว เห็นอะไรมาเยอะ รวมถึง...เห็นผมกับคุณคนแรกจีบกันทุกวันจนชินตา

   ถึงไม่พูดอะไรแต่สายตาและรอยยิ้มนั้นชวนเขินยิ่งกว่าพูดตรงๆ ซะอีก

   ถ้าอยู่กันสองต่อสองแบบเมื่อคืนวานยังพอรับไหว แต่มีคนอื่นเป็นประจักษ์พยานด้วยเนี่ยทำใจยังไงก็ไม่ชินสักที

   ผมรีบเดินไปเปิดร้าน ดึงประตูเหล็กม้วนขึ้นแล้วต้มไข่มุก ระหว่างนั้นก็ชงชานมดื่ม ผมมีแก้วเก็บความเย็นประจำตัวครับ จะได้ไม่ต้องเปลืองส่วนของลูกค้า พอได้ลิ้มรสนุ่มหอมกลมกล่อม อารมณ์ก็ดีดขึ้นทันตา พร้อมแล้วสำหรับวันนี้!

   หลังรับน้ำแข็งจากรถส่งของซึ่งมาตรงเวลาทุกวันก็ได้เวลาทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า ซึ่งวันนี้ก็มีคนมาเยือนตั้งแต่เปิดร้านเลย เป็นคู่แม่ลูกเจ้าประจำที่สะสมแต้มใกล้จะถึงเลเวลสามแล้ว

   ช่วงที่คนเยอะที่สุดคือตอนเจ็ดโมงยี่สิบถึงเจ็ดโมงห้าสิบ เป็นครึ่งชั่วโมงแห่งความหัวหมุน ทำไม่ทัน แถวต่อยาว จนเริ่มคิดว่าควรจะรับพนักงานเพิ่มดีมั้ยนะ เห็นลูกค้ารอนานแล้วรู้สึกไม่ดีชอบกล แต่คิดไปคิดมาก็ไม่คุ้มทุน ถ้าคิวยาวเหยียดเท่าร้านชานมชื่อดังหน้าปากซอยก็ว่าไปอย่าง

   ถึงจะมีมึนๆ ลืมปั๊มบัตรสะสมแต้มบ้างก็เถอะ

   แปดโมงตรง เพลงเคารพธงชาติขึ้น น้อยครั้งจะมีคนหยุดยืนโดยเฉพาะเหล่าผู้ปกครองที่ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ ผมนั่งพักเหนื่อย ฟังประกาศของโรงเรียนประถมที่ดังไกลมาถึงในซอยแล้วนึกถึงสมัยตัวเองยังเป็นเด็ก ตอนนั้น...อืม...เหมือนจะซนมากๆ

   หลังจากนั้นไม่นานคุณคนแรกก็มาเยือน เห็นหน้าตายๆ นั่นแล้วก็อดนึกภาพเขาตอนเด็กไม่ได้

   “นายต้องดื้อเงียบแน่ๆ”

   จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา คุณคนแรกมองผมงุนงงสุดขีด

   “ฉันหมายถึงตอนนายเด็กๆ ต้องดื้อเงียบแน่” ผมอธิบาย ดีใจที่ทำเขามึนบ้าง ส่วนใหญ่เป็นตัวผมเองนั่นแหละที่โดนปั่นประสาท ทั้งงงทั้งเขินทั้งมึนทั้งอาย

   “คนแถวนี้ก็คงจะดื้อเปิดเผย” ไม่ทันไร เขาก็กวนกลับแล้ว

   ผมชงชานมไปด้วยระหว่างชวนคุย น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมพูดเรื่องตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องถาม

   “ใช่ เป็นตัวแสบของชั้นเลยละ” ผมขยายความ “เคยวิ่งเล่นจนหกล้มหัวแตกด้วย”

   “น่าสงสารนะ”

   “สงสารฉัน?”

   “สงสารพื้น”

   ใครเลยจะตบมุกหน้าตายได้เท่าคุณคนแรก ผมหัวเราะ เขาเองก็ยิ้มขัน รับชานมไข่มุกให้พร้อมกำกองเหรียญให้โดยไม่ลืมบัตรสะสมแต้มที่ใกล้จะขึ้นเลเวลสี่แล้ว

   ผมหยอดเหรียญสองบาทใส่กระปุกใส เสียงกระทบนั้นทึบเพราะมีเหรียญรองรับอยู่เกือบครึ่ง

   “ขนมปังเมื่อเช้าอร่อยดี”

   คุณคนแรกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ช่วงหลังมานี้เขาชอบยืนกินชานมไข่มุกอยู่หน้าเคาน์เตอร์จนหมดแล้วค่อยไป ซึ่งใช้เวลาราวๆ สิบห้านาทีเป็นอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างมาก

   “จริงเหรอ” ผมหรี่ตา เอนตัวพิงขณะเท้าแขนกับเคาน์เตอร์เพื่อจะได้คุยกันสะดวกๆ แกมจับผิด เกริ่นแบบนี้ต้องมีประโยคต่อท้ายแน่ๆ

   “แต่ไม่อิ่ม”

   นั่นไง เดาไม่ผิดเลย

   “ตะกละ” ผมว่าเขา แม้น้ำเสียงจะไม่เหมือนกำลังต่อว่าก็เถอะ “ตอนเช้าฉันกินขนมปังชิ้นเดียวก็อิ่มแล้ว”

   “มิน่าล่ะขุนไม่ขึ้นสักที” คุณคนแรกโคลงศีรษะ

   “จะบอกว่าที่ขยันชวนไปกินข้าวเย็นเพราะจะขุนกันเหรอ”

   “ใช่” คุณคนแรกตอบหน้าตาย “นายผอมมาก”

   “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” ผมก้มดูตัวเอง ถึงจะผอมกว่าสมัยก่อนหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง “กะจะขุนให้อ้วนแล้วเอาไปเชือดล่ะสิ” ผมยิ้มกริ่ม เดาความกวนของเขา

   “ไม่ใช่”

   “...”

   “ขุนให้ตัวนิ่มๆ จะได้จับมือแล้วนุ่มๆ ต่างหาก”

   ก็ยังกวนอยู่ดี ไอ้ตัวนิ่มๆ จะได้นุ่มๆ คืออะไร แล้วทำไมผมต้องเถียงไม่ออกด้วย อ้อ กำลังเอ๊ะอยู่ เอ๊ะอย่างสับสนว่าเขากำลังเนียนขอจับมืออยู่รึเปล่า

   “นี่ก็นุ่มแล้วนะ” ผมแบมือไปตรงหน้าคุณคนแรก เพิ่งนึกได้ว่าตลอดเกือบสองเดือนมานี้เราไม่เคยแม้แต่จะจับมือถือแขนกันเลยสักครั้ง แตะตัวกันมากสุดก็ตอนผมซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วจับเอวเขาเนี่ยแหละ “อยากพิสูจน์มั้ย”

   ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามอ่อยซะงั้น ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ค่อนข้างหวงที่อยู่ และเว้นระยะห่างจากคนอื่นพอสมควร แต่การเข้าหาของคุณคนแรกนั้นค่อยเป็นค่อยไปจนวางใจ รู้ตัวอีกทีก็ไม่รังเกียจนักหากจะเปิดใจมากกว่าเดิม

   แต่คุณคนแรกดันวางแก้วเปล่าใส่มือของผมแทนซะงั้น

   แถมยังเผยรอยยิ้มมุมปากที่ดูเจ้าเล่ห์ชอบกล ผมไม่กล้าถามต่อ รับแก้วไปทิ้งถังขยะ คุยกับเขาต่ออีกสักพักคุณคนแรกก็ไป

   ตอนสิบเอ็ดโมง ผมโทรหาร้านตามสั่งสำหรับข้าวเที่ยง ซึ่งเจ้าของร้านก็ให้ลูกน้องวิ่งมาส่งเหมือนทุกวัน เพราะเข้าใจว่าผมต้องอยู่เฝ้าร้านชานมตลอดเวลา อุดหนุนคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ดีแบบนี้

   ผมกินข้าวหมูกระเทียมเตรียมรอรับลูกค้าระลอกใหม่ช่วงเที่ยง แม้จะเยอะไม่เท่าตอนเช้า แต่ก็ต้องใช้พลังงานในการต้อนรับพอสมควร ระหว่างนั้นก็นึกโล่งใจที่ไอ้ภูมิ กฤต กับพี่พจน์ไม่ตามมาระรานกันอีกเลย

   เป็นช่วงเวลาที่โคตรสุขสงบจนอยากให้คงอยู่นานๆ

   






   ตอนเย็น หลังเช็กสต็อกของและปิดร้าน คุณคนแรกก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มารอรับผมโดยไม่ต้องนัดหมายเหมือนปกติ

   ก็ตอนเช้าผมซ้อนรถเขามา ขากลับก็ต้องรับกลับแน่อยู่แล้ว

   ยังดีที่คุณคนแรกไม่พาผมไปลองแมลงทอดอย่างที่เคยกวนไว้ แต่พามาลองข้าวมันไก่แทน พวกเราสั่งไก่สับจานใหญ่ไว้ตรงกลาง จากนั้นก็ถือข้าวคนละถ้วยแล้วเริ่มจ้วงอย่างหิวโหย

   อิ่มท้อง ก็ได้เวลาเดินย่อย แทบจะเป็นกิจวัตรปกติไปแล้วเวลาเขามารับ เพราะจะให้กินเสร็จแล้วรีบกลับก็เสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ที่แตกต่างจากเดิม ก็คือไอ้มือเนียนๆ ที่กุมกับผมทันทีที่ลุกจากร้านข้าวมันไก่เนี่ยละ

   ผมชูมือตัวเองที่โดนกุมแน่นขึ้นมาระดับสายตาเป็นเชิงถามแบบไร้เสียง

   คุณคนแรกตอบว่าอะไรรู้มั้ยครับ

   เขาตอบว่า...

   “ก็ให้พิสูจน์ไม่ใช่เหรอ”

   น้ำเสียงราบเรียบ กับสีหน้าตายๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด คล้ายโทษผมต่างหากที่ร้อนตัวเกินไป เล่นเอาต้องบีบมือเขากลับแก้เผ็ด ซึ่งคุณคนแรกไม่ยักจะสะทกสะท้านสักนิดเดียว

   ให้พิสูจน์น่ะใช่ แต่มันผ่านมาเกินครึ่งวันแล้วยังนับด้วยเหรอ!!

   ผมลืมแล้ว แต่คุณคนแรกไม่ลืม แถมยังฉวยโอกาสจับมือเดินได้นานตราบเท่าต้องการอีกต่างหาก เทียบกับจับผ่านเคาน์เตอร์ตอนเช้าแล้วดีกว่าเป็นไหนๆ

   อืม...ก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ

   ไม่รู้ว่ามือผมนุ่มถูกใจเขามั้ย แต่มืออุ่นๆ ของเขาถูกใจผมมากเลย

   ไม่บอกให้ใครบางคนได้ใจหรอกนะ อย่างน้อย...ผมก็ไม่สะบัดทิ้งแล้วกัน



------------------

มาขุนนิ่มๆ จะได้จับมือนุ่มๆ อะไรกัน คุณคนแรกชักจะเนียนขึ้นทุกวันแล้ว!

จะเนียนทั้งที ต้องเนียนให้ได้เท่านี้นะคะ ฮึ่มมม ตาร้อนผ่าวๆ อยากจิเป็นคุณยายที่เห็นเหตุการณ์ รับรองจะเฝ้ามองอย่างดีเลย


 #ผมกับชานมไข่มุก


เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
คุณคนแรกยิ้มเจ้าเล่ห์! เนียนไปไหมพ่อคุณณณ
 :hao3:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
        คุณคนเเรกของเรานี่ไม่เบาจริงๆนะคะ มีขุนน้องพีชญ์ด้วยมือนิ่มๆรึตะสู้มืออบอุ่่นใช่ไหมคะน้องพีชญ์

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง

   ว่ากันว่าลมสงบก่อนพายุกระหน่ำ

   เห็นจะจริงดังสำนวนโบราณ

   เพราะวันนี้ผมต้องเผชิญกับแม่ที่มาเยือนกะทันหันแล้วทำหน้ารับไม่ได้

   จะรับได้ยังไงล่ะในเมื่อเห็นผมลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ท่านเคยหาว่าอันตรายแล้วยังเดินจูงมือกับคุณคนแรก

   ผมควรจะสังหรณ์ใจตั้งแต่หางตาข้างขวากระตุกยิกๆ แล้วเชียว

   “พิชญ์!”

   แม่ผมปราดเข้าหาทันที ผมลังเลว่าจะสลัดมือคุณคนแรกทิ้งดีรึเปล่า แต่ไม่ทันคิด เขาก็กำมือผมแน่นขึ้น เลยปล่อยไว้แบบนั้น ไงก็ปิดไม่มิดอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้กะจะปิดด้วย

   “คนนี้ใครคะ” แม่ผมตวัดตามองคุณคนแรกทันที

   “คนที่ผมกำลังคุยอยู่ครับ” ผมตอบ เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ปกครองที่เคารพรัก ผมสุภาพมากมารยาทเสมอ

   “อ้อ” แม่มองคุณคนแรกอย่างสำรวจ แม้จะไม่เอ่ยอะไร แต่เราสองคนย่อมจับความไม่พอใจได้ “แม่ขอคุยกับพิชญ์สองคนได้มั้ยคะ”

   พูดกับผม แต่ตาจ้องคุณคนแรกไม่กะพริบ

   แม่ผมก็งี้แหละครับ พูดจาดี น่ารัก อ่อนหวาน แต่เรื่องบีบคั้นทางอ้อมกดดันทางตรงเนี่ยขอให้บอก

   “กลับไปก่อนเถอะ” ผมหันไปกระซิบกับคุณคนแรก กระตุกมือเขาเบาๆ เป็นสัญญาณว่าท่าไม่ดีแล้ว

   เขามองผมสลับกับแม่บังเกิดเกล้าอย่างลังเล

   “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ไปไหนหรอก” ผมย้ำ รู้ว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไร บีบมืออีกหลายครั้งคล้ายให้คำมั่นสัญญา คุณคนแรกจึงยอมกลับ แน่นอนว่าไม่ลืมยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างสุภาพ

   “ไหว้พระเถอะลูก” แม่ผมรับไหว้ขอไปทีด้วยน้ำเสียงไพเราะดุจระฆัง

   แม่นะแม่

   อยากจะขำก็ขำไม่ออก ลับหลังคุณคนแรก ผมก็รีบยิ้มประจบแม่ทันที ท่านแพ้ทางลูกชายคนสุดท้องเสมอนั่นแหละ ว่าแต่แม่ตามมาหาผมถูกได้ยังไงนะ มองซ้ายมองขวา...ก็หาตัวการเจอ นั่นไง พี่ชายที่แสนดีของผมยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล กันตัวเองเป็นคนนอก ไม่คิดเข้ามายุ่ง

   แต่ปกติเวลาผมอ้อนแม่ หรือแม่ปรามผม พี่พจน์ก็ไม่เคยจะเข้ามาเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว

   และดูจากสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านนั่น คาดว่าพี่ชายก็คงไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็นะ ใครละจะกล้าขัดคำสั่งมารดาผู้เคารพ โดยเฉพาะพี่พจน์ผู้เป็นลูกดีเด่น แม้จะนึกอยากเข้าข้างน้องชายก็เถอะ

   “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ” โดนผมกอดหนึ่งที ยิ้มใส่หนึ่งครั้ง อารมณ์กรุ่นๆ ของแม่ก็ผ่อนลง หันมาลูบหัวอย่างเอ็นดู ไม่สนใจคุณคนแรกที่ป่านนี้คงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปแล้ว

   “ดีมากเลยครับ” ผมตอบ “แม่จะมาตามผมเหรอ ผมยังไม่กลับนะ ยังสนุกกับร้านชานมอยู่เลย”

   “เพราะผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”

   “ไม่ใช่สักหน่อย” ผมส่ายหัวแทบไม่ทัน แม่หรี่ตาอย่างจับผิด ผมเลยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด อ้อนอีกหน่อย “แม่เห็นผมชอบทำเพื่อคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไหนแต่ไร ผมก็ทำตามแต่ใจตัวเอง”

   “ลูกใครคะเนี่ยนิสัยไม่ดีเลย” แม่บีบจมูกผมอย่างมันเขี้ยว

   “ก็ลูกแม่ไงครับ” ผมทำหน้าซื่อตาใส ไม่อยากจะบอกว่าที่ดื้อคบกับกฤตมาได้สองปี ท่ามกลางการคัดค้านของพ่อแม่ ผมนั้นรอดพ้นปลอดภัยด้วยมารยาสาไถยส่วนตัวล้วนๆ ไม่เคยทะเลาะกันบ้านแตกสักครั้งเลยนะขอบอก

   เพราะแบบนี้ละมั้งพี่พจน์ถึงไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ เขาอ้อนใครไม่เป็น และถึงเป็น ก็คงไม่ทำ

   “แม่ครับ~~” ผมลากเสียงยาว ส่งสายตาปิ๊งๆ ไปอีกหลายครั้ง สุดท้ายแม่ก็ยอมแพ้ เลิกต่อความยาวสาวความยืด ไม่ขุดคุ้ยเรื่องคุณคนแรกอีก

   “ไม่เจอกันสามเดือน ผอมลงมากเลยนะคะ”

   “ผมลดความอ้วนไงครับ” ผมผละออกมานิดหน่อย แล้วหมุนตัวให้แม่เห็นชัดๆ

   “แล้วทำไมถึงมาพักอยู่ที่นี่ เก่าก็เก่า เปลี่ยวก็เปลี่ยว อันตรายมากนะคะ”

   “ไม่อันตรายหรอกครับ มีป้อมตำรวจอยู่ใกล้ๆ นั่นไง” ผมชี้ให้แม่ดู ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่งั้นโดนซักอีกยาวแน่ “แม่อยากเห็นบัตรสะสมแต้มรึเปล่า ผมออกแบบเองเลยนะ”

   “ไหนคะ บัตรสะสมแต้มอะไร”

   “นี่ครับ ฮีโร่พิชพิชของผม มีแบ่งเป็นเลเวลด้วยนะ นี่คือเลเวลหนึ่ง นี่เลเวลสอง ส่วนนี่ก็เลเวลสาม...”

    ผมหยิบบัตรสะสมแต้มทั้งห้าลายให้แม่ได้ชื่นชม เล่าถึงไอเดียและสตอรี่ของฮีโร่ที่สู้กับสัตว์ประหลาดแล้วอัพเกรดตัวเองกลายเป็นพวงกุญแจ ตอนแรกแม่คงจะมาตามผมกลับนั่นแหละ แต่พอเห็นความตั้งใจ เจอบัตรสะสมแต้มและแผนการตลาดที่นานครั้งผมจะทุ่มสุดตัวก็พูดไม่ออก

   หลังโม้จนสองเราเริ่มหนาว เล่าโอเวอร์ถึงจำนวนลูกค้าที่ต้องเข้าแถวรอซื้อชานมทั้งเช้าและเย็น แม่ผมก็ตัดใจ

   “อย่าเล่นซนมากนะคะ”

   “ครับ” ผมยิ้มรับ โล่งใจว่าวันนี้ก็รอดไปอีกวัน

   “หัดโทรหากันบ้าง เด็กดื้อ”

   “ครับๆ จะโทรไปรายงานตัวทุกวันเลย เอาให้เบื่อเลย”

   “เจ้าลูกคนนี้นี่” แม่ยิ้มขันอย่างอ่อนใจ บีบจมูกผมทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกลับขึ้นรถ

   ผมถึงกับหันไปปาดเหงื่อ ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะแทบสะดุ้งโหยง เพราะพี่พจน์เป็นฝ่ายเดินเข้าหาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจเหมือนจำใจมา

   “ฉันก็ไม่อยากจะดุแกหรอกนะ แม้แกจะสบายดี แต่พ่อแม่ไม่สบายใจ”

   “...”

   “แกเข้าใจใช่มั้ย”

   “ครับ...”

   ผมคอตก เพราะพี่พจน์พูดถูก

   “ตลอดมาพ่อกับแม่ไม่เคยห้าม อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ก็รู้ใช่มั้ย ใช่ว่าพวกท่านจะสนับสนุนไปตลอด”

   “...”

   “พร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมา พี่จะเตรียมตำแหน่งงานดีๆ ไว้ให้”

   พี่พจน์ครู่หนึ่ง เผยสีหน้ากล้ำกลืนนิดหน่อย ก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ

   “ครั้งนี้ไม่ไล่ไปไหนแล้ว”

   ความอบอุ่นนั้นทำผมซาบซึ้งน้ำตาจะไหล นับว่าการหนีออกจากบ้านครั้งนี้ค่อนข้างคุ้มค่า อย่างแม่ที่ยอมเชื่อและ(จำใจ)รอ รวมถึงพี่พจน์เองที่แสดงความรักระหว่างพี่น้อง(?)มากขึ้น

   ผมยืนโบกมือไล่หลังรถที่ขับออกไป ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงมา แล้วเดินขึ้นห้องพร้อมความปวดหัวหน่วงหนึบจนต้องกุมขมับ

   โอย...หนักใจโคตรๆ ผมอยากอยู่ต่อ แต่ก็ไม่อยากทะเลาะกับครอบครัว

   อีกอย่าง ผมยังไม่พร้อมที่จะกลับบ้านตอนนี้

   ไม่พร้อมเอามากๆ!!

   พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณคนแรกส่งข้อความสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมยิ้มแห้ง ตอบกลับว่าทุกอย่างยังเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อถึงห้อง ผมก็เดินไปทิ้งตัวนอนแหมะบนเตียง รู้สึกเหนื่อยชะมัด แต่เป็นเหนื่อยใจนะ ไม่ใช่เหนื่อยกาย

   ...ภูมิ กฤต พี่พจน์ ทุกคนถามผมว่าเพราะพวกเขาใช่มั้ยที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้าน

   แต่พ่อกับแม่ไม่เคยถาม แถมยังตั้งวงพนันด้วย

   ทั้งที่ความจริงแล้ว...

   เอาละ มาย้อนความกันสักนิด ว่าวินาทีที่ผมรู้ตัวว่าโดนเด้งจากแผนกการเงินเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   อย่างแรก ผมรีบปรี่ไปถามหัวหน้าแผนกว่าบกพร่องตรงไหนจะได้ยอมรับและปรับปรุงตัว

   ‘ไม่เลยจ้ะ พิชญ์ทำได้ดีมาก ขยันกว่าเด็กจบใหม่หลายคนซะอีก งานก็เป็นระเบียบ ละเอียดมากๆ พี่รายงานเบื้องบนไปตามนั้นนะ แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้...’

   อย่างที่สอง ผมลองสังเกตเพื่อนร่วมงาน ถ้าไม่เพราะงานผิดพลาด ก็อาจจะเป็นคนในแผนกที่นึกให้ร้ายใส่ไฟ ถ้าพนักงานทะเลาะกัน เข้ากันไม่ไหว พี่พจน์อาจจะจัดการโดยการเด้งผม นับว่าสมเหตุสมผลดี

   ผลคือสีหน้างุนงงของแต่ละคน เพราะหลายๆ คนตั้งใจจะประจบผมหวังความก้าวหน้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการใส่ไฟให้ร้ายน้องชายประธานบริษัท

   ผมมืดแปดด้าน

   แต่ตอนโทรหาเลขาพี่พจน์เพื่อขอเจอพี่ชายตัวเอง แม่ก็โทรมาซะก่อน

   ผมฟ้องซะเลย

   (( ก็ดีแล้วนี่คะพิชญ์ ))

   แต่แม่กลับเข้าข้างพี่พจน์

   (( พิชญ์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยไงคะ ))

   ผมคิดว่าแม่พยายามจะกล่อมเพื่อไม่ให้สองพี่น้องทะเลาะกัน น่าเสียดายที่ผลออกมาตรงกันข้าม เพราะผมโมโหจัด วิ่งโร่ไปหาพี่ชายตัวเองโดยไม่คิดจะนัดคิวกับเลขาแล้ว

   แน่นอนว่าพอไปถึงหน้าห้องประธานก็โดนกันอยู่หน้าประตู

   พี่พจน์ติดคุยงานกับลูกค้า

   ผมนั่งรออย่างใจเย็น อารมณ์ร้อนๆ เริ่มจะเพลาลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าหลายชั่วโมง

   ตอนพี่พจน์เรียกให้เข้าไปคุย ผมเลยสงบมาก ถามตรงๆ ว่าทำไมถึงทำแบบนี้

   ‘เพราะฉันสั่งไงล่ะ’

   คำตอบของพี่ชายทำให้อารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาบอกเหตุผลกันสักนิด ผมยังเถียงออก แต่เล่นพูดว่าเป็นคำสั่ง ต่อให้ผมยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ไร้ประโยชน์

   ผมจ้องหน้าพี่ชาย กัดฟันจนเจ็บกรามไปหมด แต่เพราะพี่พจน์ทำหน้า...กล้ำกลืนฝืนทน ผมเลยเอ๊ะขึ้นมา

   เอ๊ะว่าพี่ชายคนนี้ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เขาไม่เคยทำอะไรโดยใช้อารมณ์มาก่อน และการที่เขาทำตัวใจร้าย แสดงว่า...ต้องมีอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่คิดอยากจะทำก็ทำ

   ผมเลยย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง

   หลายวันหลังจากนั้น ผมพยายามเรียนรู้งานที่แผนกบุคคล จะหาว่าพี่พจน์บกพร่องตรงไหนนั้นยากเกินไป สู้หาความผิดพลาดของตัวเองยังมีลุ้นกว่า บางที...ผมอาจจะเผลอทำอะไรไม่ดีจริงๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูดก็ได้

   แต่...ที่นี่กลับไม่ให้ผมเรียนรู้งานอะไรเลย

   หน้าที่มีเพียงการหยิบเอกสารมาคีย์ข้อมูลง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้ความพยายาม ในหนึ่งวัน ผมนั่งว่างกว่าห้าชั่วโมง

   มองไปรอบๆ...แผนกบุคคลก็ไม่ได้ว่างงานขนาดนั้น

   มีแค่ผมคนเดียว

   แต่พอถามว่ามีอะใรให้ช่วยมั้ย ทุกคนก็ยิ้มแหย บอกว่าเป็นคำสั่งของท่านประธาน

   แล้วจะไม่ได้หัวร้อนได้ยังไง

   ผมวิ่งโร่ขึ้นไปหาพี่พจน์ ปรากฏว่าเขากำลังคุยกับแม่ที่แวะมาหาพอดี ผมแง้มประตูดูเอาน่ะ คุณเลขาเองก็ไม่กล้าห้ามเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องครอบครัว

   ตอนนั้นผมดีใจมาก กะจะอ้อนแม่ให้ช่วยพูดกับพี่ชายหน่อย แต่...

   ‘พิชญ์เป็นไงบ้าง’ แม่ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่น้ำเสียงเข้มดุจริงจัง ใช้เฉพาะเวลาคุยกับพี่ชาย

   ‘ก็ดีครับ’ พี่พจน์เอ่ย เสียงทุ้มหนัก เขายืนหันหลัง ยกเก้าอี้ประธานให้แม่นั่ง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของพี่ชาย ‘แต่คงดีได้ไม่นาน เดี๋ยวก็วิ่งมาหาเรื่องผมอีก’

   หน็อยแน่ะพี่พจน์ ถ้าไม่มีเรื่องผมก็ไม่วิ่งมาหาพี่หรอก!

   ‘ปล่อยน้องเถอะค่ะ เขาก็เป็นแบบนี้ตลอด อารมณ์ร้อน แต่ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย’ แม่พูดแบบรู้จักลูกชายตัวเองดี

   ‘จริงๆ แล้วผมอยากให้น้องกลับไปแผนกเดิม’

   วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองหูฝาด

   พี่พจน์น่ะนะที่เป็นฝ่ายช่วยพูดให้!

   ‘หัวหน้าแผนกบอกว่าเขาทำงานดีมาก ละเอียดรอบคอบกว่าเด็กจบใหม่หลายเท่า’

   ’เวลาพิชญ์ตั้งใจก็มักจะทำได้ดีกว่าคนอื่น” แม่พยักหน้า ท่านเคยชินกับการเห็นผมเปลี่ยนกิจกรรมไม่ซ้ำอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ผมล้วนทำได้ดี ยกเว้น...การวาดรูป ‘แต่ก็ทำได้ไม่นาน รีบย้ายก่อนน้องจะโอดครวญก็ดีแล้ว’

   ‘แต่...’

   ‘พิชญ์ขี้เบื่อ พจน์ก็รู้’

   ‘แต่การทำงานกับงานอดิเรกไม่เหมือนกันนะครับ ผมเชื่อว่าน้องแยกแยะได้’

   ‘แม่ฝากบริษัทไว้กับพจน์นะคะ เพราะแม่เชื่อในตัวพจน์ แต่...แม่ไม่เชื่อในตัวพิชญ์’

   ผมเหมือนถูกค้อนทุบอย่างจัง

   ‘น้องเราน่ะถนัดเที่ยวเล่น พจน์ก็อย่าให้พิชญ์รับผิดชอบงานมากเลย ให้น้องอยู่แบบสบายๆ เถอะค่ะ ทำพวกงานเล็กๆ น้อยๆ ฆ่าเวลาก็พอ อย่าให้น้องลำบาก จะได้อยู่นานๆ’ แม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงออกว่ารักและเอ็นดูผมมากแค่ไหน ค่อนไปทาง...ลำเอียง ‘น้องชายคนเดียว พจน์ดูแลได้ใช่มั้ยคะ’

   พี่พจน์นิ่งไปชั่วอึดใจ

   ก่อนจะตอบรับเสียงเบา แม้จะไม่เห็น แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องทำสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนแน่นอน

   ‘ครับ’

   ตอนนั้นพี่พจน์รู้สึกยังไงนะ เขาคงน้อยใจที่แม่อยากให้ผมสบาย อยู่กินเงินเดือนไปวันๆ ให้ท้ายในทุกเรื่องทุกอย่าง ขณะที่เขาต้องกดดันแทบแย่กับภาระหน้าที่ที่ถาโถม แต่ขณะเดียวกันก็ดีใจ ที่ได้รับความเชื่อมั่นขนาดนั้น แต่เชื่อสิ ในใจลึกๆ ของเขา ต้องอยากได้รับความรักอย่างไร้เงื่อนไข อยากให้แม่กลัวเหนื่อยกลัวลำบากบ้างเหมือนกัน ไม่งั้นเวลาเห็นผมพี่พจน์จะอารมณ์เสียเหรอ

   ถึงอย่างนั้น...

   เขาก็ลอบเสียใจที่พูดแทนน้องไม่ได้

   ครอบครัวเรารักใคร่กลมเกลียว แต่ความต้องการกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง

   และถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไง

   ...ไม่เชิงว่าฝันสลาย แต่เหมือนได้รับการเบิกเนตรมากกว่า

   ผมรีบเดินกลับแผนก เพราะรู้ว่าแม่แวะมาทั้งที นอกจากจะมากำชับพี่พจน์แล้ว คงจะแวะมาดูผมด้วย แล้วก็ผิดจากที่คิดซะที่ไหน แม่ลงมาหาผม กล่อมให้ทำตัวดีๆ อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้ว อย่าทะเลาะกับพี่ชาย แล้วกลับบ้าน

   ลับหลังแม่ ผมขึ้นไปลาออกทันทีแบบไม่เสียเวลาหยุดคิดด้วยซ้ำ

   พี่พจน์ตกใจมาก เขาคงรู้ตัวว่าน่าจะโดนผมหาเรื่อง แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะยื่นใบลาออก

   เขาถามเหตุผล

   ผมเลยถามกลับว่าแล้วทำไมพี่ชายแสนดีคนนี้ถึงส่งน้องน้อยไปนอนตีพุงที่แผนกบุคคล ไม่ยอมให้แตะงานใหญ่ ปล่อยให้กินเงินเดือนไปวันๆ

   พี่พจน์ตอบไม่ได้

   ฉะนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขาเหมือนกัน

   อะไรนะ ผมขี้ขลาด หนีปัญหางั้นเหรอ

   โธ่ คุณๆ ครับ แล้วจะทนอยู่ไปทำไม จะพยายามไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้อยากเห็นสักนิด

   แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้านหรอก

   เพราะตอนนั้นผมยังมีไอ้ภูมิ

   และยังมี...กฤต


   ---------------------

   ในทุกเรื่องมีสาเหตุของมัน และสำหรับพิชญ์นั้นเหมือนทุกอย่างมาลงตูมเดียวค่ะ

   นี่คือจุดเริ่มต้น

   แล้วมารอติดตามกันนะคะว่าทำไมน้องถึงตัดสินใจมาเปิดร้านชานม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พิชญ์เลือกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองและพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น เป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะ!!

   

    #ผมกับชานมไข่มุก



เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ night-nnc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พิชเก่ง ไม่เห็นค่ากันบ้างเลย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คุณแม่ไม่เชื่อใจน้องอ่ะ

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ถ้าเราเป็นพิชญ์ก็เสียใจมากนะ แม่แบบนี้ก็มีด้วยเอ้อ
 :hao4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แม่ก็ห่วงตามความรู้สึกคนเป็นแม่ล่ะนะ แต่ลูกได้ยินจากปากแม่เองยิ่งทำให้เสียใจหนักเข้าไปอีก แต่มันก็ต้องมีเหตุมีผลแหละ น้องพิชญ์ก็สู้ สู้นะ มีคุณคนแรกเป็นกำลังใจอยู่ทั้งคนนี่เนอะ.  :hao3:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
        น้องพิชญ์สู้ๆนะคะลูก

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'
ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง


   ด้วยความอุตสาหะให้การโทรรายงานตัวทุกวัน แม่เลยไม่กล้าพูดให้ผมกลับบ้านอีก

   ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยอมรอได้นานแค่ไหนกันเชียว

   ระหว่างที่ยืนเคี้ยวขนมปังหน้าที่พักคิดว่าจะทำยังไงกับร้านชานมต่อนั้น...ข่าวของกฤตก็ทำให้ผมตื่นตัว

   ไม่ ผมไม่ได้ตามข่าวบันเทิงหรอก แต่ผมเป็นเพื่อนกับกฤตในเฟซบุ้ค แม้เราจะเลิกรากันแล้ว แต่ใช่ว่าจะลบช่องทางการติดต่อนี่นา อย่างวันก่อน กฤตยังขอเบอร์โทรศัพท์ใหม่ของผมเลย ซึ่งผมก็ให้เขานะ เผื่อมีอะไรยังค้างคาใจ จะได้พูดคุยกันทันทีไม่ต้องถ่อมาหาถึงหน้าร้าน

   เกริ่นซะยาว มาต่อที่ข่าวของกฤตดีกว่า

   เขาแชร์ภาพฟีตติ้งละครซึ่งจะได้รับบทพระเอกครั้งแรก ในภาพ เจ้าตัวฉีกยิ้มสดใส หล่อเหลาน่ามองมากทีเดียว แวบแรกผมตกใจ เพราะตอนคบกัน กฤตยื่นคำขาดว่าให้ตายยังไงก็ไม่รับงานละครเด็ดขาด เขากลัวเหนื่อย กลัวลำบาก ไม่อยากท่องจำบท และสนุกสนานกับการเที่ยวเล่นอยู่เลย

   ผมยินดีกับเขานะ เพราะเราสองคนมีส่วนคล้ายกันตรงที่...ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นไปวันๆ แบบที่ตัวเองต้องการโดยไร้จุดหมาย ขอแค่สนุกและมีความสุขก็พอ แต่เมื่อเรียนจบ ก็เริ่มมุ่งมั่นไปเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ชอบเต็มร้อยแต่ก็อยากจะทำให้ดี สำหรับผม คือการตั้งใจทำงานในบริษัทของครอบครัว เพราะรู้แก่ใจว่าแม้จะเคยบ้าบอแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมาช่วยกิจการของพ่อแม่อยู่ดี ผมถึงใช้ชีวิตแบบทำมันทุกอย่างเพื่อไม่ต้องเสียใจภายหลังไง ส่วนกฤต คือการมุ่งสู่เส้นทางนักแสดงเต็มตัว

   แม้ตอนนี้เป้าหมายผมจะลดลงมาเหลือเปิดร้านชานมแบบไม่ขาดทุนก็เถอะ

   จะว่าไป...ช่วงคบกันกฤตก็เคยไปเป็นนักแสดงรับเชิญของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง

   นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้กลายเป็นพระเอกในวันนี้

   เทียบกันแล้วกฤตไปรุ่งในเส้นทางของตัวเองมากกว่าหลายเท่า ด้วยหน้าตาหล่อเหลาแบบใครเห็นเป็นต้องเหลียว กับรอยยิ้มกว้างสุดแสนจะแพรวพราว ทำให้เป็นที่ชื่นชมไม่ยาก

   ผมกดไลค์และแชร์รูปของเขาก่อนจะเก็บโทรศัพท์เมื่อคุณคนแรกมารับ

   พวกเรายิ้มให้กัน แม้ไม่พูดอะไร แต่การที่คุณคนแรกช่วยสวมหมวกกันน็อก รับข้าวเช้าไปแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ขยับตัวให้ผมนั่งซ้อนท้าย แล้วรับลมยามเช้าด้วยความเร็วระดับเต่าคลาน ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดี

   เพราะถ้าผมยังคบกับกฤต...กระแสของคงไม่ออกมาดีเท่านี้ เผลอๆ อาจต้องหลบซ่อน ปิดเป็นความลับอีกต่างหาก

   มองแผ่นหลังของคุณคนแรก ผมก็โอบเอวเขาแน่นขึ้นอีกนิด ชีวิตในตอนนี้...ไม่ต้องห่วงสายตาใคร ไม่ต้องกังวลอะไร ยอมรับในผลการกระทำของตัวเอง นับเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบกว่าการพยายามทำดีแทบตายในบริษัทของครอบครัวเป็นไหนๆ

   ถ้าถามว่าโกรธแม่มั้ย

   ...จะไปโกรธได้ยังไง โกรธที่แม่ไม่เชื่อมั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสนับสนุนให้ผมเอ้อระเหยลอยชายยันเปิดร้านชานมน่ะเหรอ

   ความรักมีหลายประเภท แม่รักพี่พจน์อีกแบบ รักผมอีกแบบ พี่พจน์โหยหาความรักในแบบที่แม่ยอมลงให้ผม ผมเองก็แอบอยากให้แม่เข้มงวดใส่มากกว่านี้เหมือนที่ทำกับพี่พจน์ ตลกดีเหมือนกันเนอะ ให้เปลี่ยนความรักของแม่คงทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือ...ผมต้องเปลี่ยนตัวเอง

   ความคิดง่ายๆ อย่างเริ่มทำร้านชานมจากศูนย์ ค่อยๆ ทำกำไรทีละนิด ด้วยระยะเวลาที่ไม่ถอดใจเบื่อหน่ายเอาซะก่อน แม่คงจะเชื่อมั่นในตัวผมเพิ่มขึ้นบ้าง

   ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจบ้างรึเปล่า

   สรุปคือ ผมพยายามจะทอดเวลาให้นานที่สุดจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของครอบครัวได้นั่นเอง ผมโตแล้วนะ แต่สำหรับแม่ คงจะเห็นเป็นลูกชายคนเล็กที่เคยไม่อยู่นิ่ง เป็นเด็กดื้อแสนซนที่อยากปกป้องดูแลไม่ให้ลำบาก

   “ทำไมวันนี้คนเยอะจัง”

   ตอนตีห้าสี่สิบ คุณคนแรกขับรถมาส่งผมในซอย แต่ระหว่างเข้าซอย หน้าร้านชานมชื่อดังกลับมีคนต่อแถวเข้าคิวทั้งที่ยังไม่เปิดร้านด้วยซ้ำ

   “มีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะ”

   “อะไรนะ!” ผมอ้าปากค้าง ลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งกลับออกไปหน้าปากซอยอีกครั้ง เห็นป้ายโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเฉพาะวันนี้เท่านั้น เนื่องในโอกาสครบรอบเปิดร้านสามปี

   ผมนับจำนวนคนที่เข้าคิว หนึ่ง...สอง...สาม...ปาไปสิบกว่าคนแล้ว แทบจะเทียบกับช่วงพีคของร้านผมเลย

   คุณคนแรกเดินตามมาเอื่อยๆ ไม่ค่อยจะสนใจโปรโมชั่นเท่าไหร่ เห็นผมทำหน้าเครียดก็ตบบ่า เอ่ยปลอบใจว่า...

   “ถ้าอยากเห็นคนยืนรอหน้าร้านบ้าง เดี๋ยวไปยืนให้”

   ผมถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เรียกเสียงหัวเราะพรืดจากคุณคนแรกที่ดูจะสนุกเหลือเกินกับการกวนประสาทใส่กัน

   พวกเราเดินกลับเข้ามาในซอยอีกครั้ง คุณคนแรกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ถึงจะอยากทำตามคำพูดแค่ไหน แต่เขาก็ต้องไปเปิดร้าน หยอกผมนานๆ ไม่ได้หรอก

   “ถ้าอร่อยก็บอกด้วยนะ” ผมบอกไล่หลัง เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกเย็นคุณคนแรกจะพาไปเลี้ยง ส่วนทุกเช้าผมก็จะซื้อของกินเป็นการตอบแทน ขนมปังชิ้นเดียวไม่พอยาไส้ใช่มั้ย หลังจากวันนั้นผมเลยจัดเต็ม ปั่นจักรยานออกไปไกลกว่าเดิมเพื่อซื้อโจ๊ก ข้าวราดแกง ก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้น หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ และอีกหลากหลายเท่าที่จะหาได้ บางครั้งก็ซื้อมาเผื่อตัวเองด้วย

   ฉะนั้นจะหาว่าผมผอมไม่ได้แล้วนะ!

   หกโมงเช้า แถวยาวขึ้นอีกเท่าตัว ผมชะโงกมองเป็นระยะ เห็นกลุ่มคนเข้าแถวเลยมาในซอยทีเดียว

   สงสัยวันนี้ต้องเตรียมนั่งตบยุงแล้ว เพราะร้อยวันพันปี ร้านชานมชื่อดังแม้จะมีโปรโมชั่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยเด็ดขนาดซื้อหนึ่งแถมหนึ่งมาก่อน ก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะตื่นเต้น ขนาดผมยังอยากไปต่อแถวด้วยเลย

   แต่ดูไปดูมา ลูกค้าแปลกหน้าเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเป็นขาจรที่จงใจมาต่อแถวเข้าคิวซื้อเฉพาะวันนี้ แล้วพวกเขา...รู้โปรโมชั่นจากไหนกันนะ ขนาดผมที่ผ่านหน้าร้านทุกวัน ยังไม่ทันสังเกตป้ายโปรโมชั่นเลย

   พลันกฤตทักมาพอดี เขาขอบคุณที่ผมกดไลค์และช่วยแชร์ละคร

   ผมตอบกลับว่าไม่เป็นไร แล้วบทสนทนาก็หยุดแค่นั้น

   จะให้คุยอะไรกันล่ะกับแฟนเก่าที่จบแบบไม่ค่อยสวยคนนี้

   กลับมาที่ร้านชานมกันต่อดีกว่า ผมหาคำตอบว่าลูกค้าแปลกหน้ารู้ข่าวจากไหน ก่อนจะพบว่าอยู่ที่ปลายนิ้วนี่เอง

   เพจร้าน ‘JOY’ กับจำนวนคนกดไลค์อันน่าสะพรึงนั้นทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลาย จอย...ที่แปลว่าความสนุกสนานรื่นเริง เพจเน้นโทนสีส้มสดใส นอกจากชานมแล้วยังโปรโมตร้านขนมปังในชื่อ ‘EnJOY’ ที่มีที่ให้ผู้ปกครองนั่งรอลูก หรือให้นักเรียนนั่งติวหนังสือด้วย

   ส่วนโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั้น...ทางร้านทั้งซื้อโฆษณาทั้งประกาศบอกล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนจำนวนคนไลค์และแชร์...อื้อหือ เยอะกว่ารูปของกฤตอีก!

   ผมอ้าปากค้างกับพลังโซเชียล นับเป็นจุดที่ไม่ทันคิด เพราะไม่ใช่คนชอบเล่นหรือดูเพจชาวบ้านเท่าไหร่ ก็คนมันเพื่อนน้อย และไม่ชอบถ่ายรูป หรืออัพสเตตัสนี่สิ เรื่องใกล้ตัวสำหรับคนอื่นแต่ช่างไกลตัวสำหรับผมเหลือเกิน แต่ดูจากจำนวนคนต่อแถวที่มากขึ้นเรื่อยๆ...และแทบจะยาวเหยียดในช่วงพีคตอนเจ็ดโมง ผมก็ตัดสินใจเปิดแฟนเพจสำหรับร้านพิชพิชชานม

   โลโก้ก็มีเป็นตัวฮีโร่พิชพิชอยู่แล้ว แบนเนอร์ก็เปิดโน๊ตบุ้คทำมันตรงนี้เลย ผมสะพายเป้ใบเล็กตลอดเวลา ข้างในคือโน๊ตบุ้ค เพราะไว้ในห้องแล้วกลัวหาย และไว้นั่งเล่นช่วงปลอดลูกค้าด้วย

   ไม่นาน ผมก็เนรมิตแบนเนอร์และตกแต่งเพจสำเร็จ ขั้นต่อไป...ก็คือการโปรโมตให้คนรู้จัก

   โชคดีที่ตัวฮีโร่มีสตอรี่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ผมเลยเริ่มร่างแนะนำตัวเจ้านี่ก่อน ฮีโร่พิชพิช ฮีโร่ผู้มีชานมไข่มุกเป็นอาวุธ!!

   ทำไปทำมาชักสนุก ผมไม่ชอบคุยกับคนเท่าไหร่ แต่ให้เขียนนั้นไม่เลวนัก พี่พจน์เคยบอกให้ผมเรียนด้านการตลาดเหมือนกัน เพราะไอเดียผมเยอะ ในแต่ละวันผมคิดจะทำได้หลายอย่างมาก แต่สุดท้ายก็เลือกเรียนด้านการเงิน เพราะไม่ต้องนำเสนอ ไม่ต้องพรีเซนต์ต่อหน้าคนเยอะๆ ก้มหน้าก้มตาทำได้ด้วยตัวคนเดียว

   เอาละ โพสแรกลงไปแล้ว ผมเริ่มทำใบเมนูต่อโดยให้ฮีโร่พิชพิชเป็นผู้แนะนำ ขั้นตอนนี้ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะผมต้องจัดที่ถ่ายรูปเครื่องดื่มแต่ละแก้วให้สวยน่ากิน ต้องขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พี่พจน์ซื้อให้ เพราะแม้ผมจะถ่ายออกมาธรรมดาโคตรๆ แต่ด้วยแอพตกแต่งทำให้สีสันดูน่าอร่อยขึ้นจม

   ช่วงใกล้แปดโมง เริ่มมีลูกค้าหลุดมาหาผมเพราะใกล้เวลาส่งลูกเข้าเรียนแล้วแต่แถวร้านชานมชื่อดังยังไม่ลด แม้จะเสียดายโปรโมชั่น แต่ด้วยระยะเวลามีจำกัดเลยกลับมาตายรัง ผมไม่รอช้า ชงชานมแล้วโฆษณาเพจเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ ให้ลูกค้าทันที

   อาจเพราะรอยยิ้มอ้อนๆ ของผม อาจเพราะเพจเปิดใหม่ที่มีคนถูกใจไม่ถึงสิบคนนั้นน่าสงสารเกินไป บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายจึงช่วยกดไลค์ บางคนช่วยแชร์ด้วยซ้ำ ผมดีใจมาก แถมแสตมป์สะสมแต้มให้อีกหนึ่งดวงเลยเอ้า

   แปดโมงตรง บรรดาลูกค้าหน้าคุ้นเริ่มแยกย้าย แต่ลูกค้าหน้าใหม่ตามจากโซเชียลนั้นยังคงต่อแถวร้านชานมชื่อดังอย่างไม่ลดละ ผมมองแล้วคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงว่างน่าดู เอาวะ ลุยงานต่อเลยแล้วกัน

   ผมนั่งทำเมนูต่อ จัดแสงถ่ายรูปไปพลางๆ เพราะมีเจ้าฮีโร่เป็นผู้แนะนำ จะเขียนข้อความให้โอเวอร์แค่ไหนก็น่ารักน่าขบขัน อย่างชาเขียวไข่มุก ผมก็เขียนว่าเด็ดจากยอดอ่อนใบชาของแดนอาทิตย์อุทัย ส่งตรงผ่านยานอวกาศบินปรู๊ดปร๊าดสู่ร้านนี้

   ส่วนปีศาจก็ทำเป็นปีศาจหดหู่ ปีศาจเหนื่อยล้า เพราะว่ากันว่ากินชานมแล้วอารมณ์ดีด ฉะนั้นเมื่อส่งฮีโร่พิชพิชถือแก้วชานมไปสู้ด้วย ปีศาจก็ถูกทำร้ายมลายสิ้นไปด้วยฤทธิ์ชานม

   ยิ่งทำรายละเอียดก็ยิ่งเยอะ ให้โพสลงทีเดียวคงไม่ได้ ผมเริ่มวางแผนโปรโมตและศึกษาเรื่องการซื้อโฆษณา เพราะไม่สันทัดด้านการตลาดโซเชียลอย่างรุนแรง รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้อง ผมเงยหน้า เพิ่งสังเกตว่าเที่ยงเข้าไปแล้ว เลยโทรหาร้านอาหารตามสั่ง

   แปลกแฮะ วันนี้คุณคนแรกไม่มาเหรอ

   ผมมองนาฬิกาด้วยความรู้สึกแกว่งๆ อย่างประหลาด ที่ทำงานเพลินจนท้องหิวโซ ก็เพราะคิดว่าคุณคนแรกคงมาหาก่อนเที่ยงแน่นอน

   หรือว่า...เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ยังต่อแถวร้านชานมหน้าปากซอย!

   ชะโงกจนตัวแทบจะนอนเกยบนเคาน์เตอร์ ไม่เห็นวี่แววของคุณคนแรก ผมโล่งใจแกมร้อนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา...ค้างหน้าเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยโทรออกสักครั้ง ครับ ตั้งแต่ได้เบอร์เขามาผมไม่เคยโทรหาเลย ส่วนใหญ่เราจะนัดเวลาปากเปล่ากันมากกว่า จะว่าเล่นตัวก็ได้ หวงความเป็นส่วนตัวก็ดี ผมค่อนข้างอึดอัดเวลาคุยกับคนไม่สนิท โดยเฉพาะที่ไม่ใช่เรื่องงาน ซึ่งตอนนี้คุณคนแรกนับว่าเกินเลยกว่านั้นมากแล้ว

   ถ้าจะกดโทรตอนนี้ก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แต่...

   มันเขินๆ ยังไงไม่รู้ โทรไปก่อนเนี่ย

   ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคนแรกเป็นฝ่ายเริ่มรุกก่อน หยอกก่อน ชวนก่อน แล้วผมก็จะตามน้ำไปเรื่อยๆ พอต้องเป็นฝ่ายขยับความสัมพันธ์ แถมทำให้เขาได้เบอร์ไปฟรีๆ อีก เลยรู้สึก...แปลกๆ

   กับอีแค่กดโทรออกยังคิดมากขนาดนี้ บ้าบอชะมัด

   ผมตบแก้มตัวเองเรียกสติ ก่อนจะกดโทรออก ฟังเสียงรอสายเพลงแอบรัก

   ...เขินหนักกว่าเดิม อาการชักจะแย่แล้วเรา กับแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ยังเพ้อได้อีก

   (( ครับ? ))

   ฟังจนเกือบจบเพลง คุณคนแรกก็รับสายจนได้ น้ำเสียงค่อนข้างรีบเร่ง ผมสลด โทษตัวเองว่าโทรไปหาช่วงเที่ยงกว่า เขาน่าจะยุ่งอยู่มั้ย เพราะแถวนี้คนที่ว่างนั่งตบยุงน่าจะมีแค่ผมคนเดียว

   (( ใครครับ? ))

   ผมอ้าปากพะงาบ พูดต่อไม่ออก สมองตีกันมั่วไปหมด

   ถ้าบอกว่า ‘ฉันเอง’ เขาจะจำเสียงได้มั้ย แล้วควรจะถามยังไงต่อล่ะ ‘เฮ้ ทำไมนายไม่มา ฉันรอจนท้องร้องเลยนะ’ อืม...เสียมารยาทชะมัด แม้เขาจะนัดมารับผมทุกเช้า ดักรอเจอกันทุกเย็น แต่เวลามาซื้อชานมนั้นไม่เคยบอกเวลาแน่นอน แล้วทำไมผมต้องโทรตามด้วย คิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าของร้านชานมที่งอแงอยากให้ลูกค้ามาซื้อเดี๋ยวนี้เหรอ

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเหงื่อตก กดวางสายไม่รู้ตัว

   ก่อนจะผวาเมื่อเขาโทรกลับ

   คือ...คิดซะว่าไม่ได้โทรไปได้มั้ย ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน การโทรให้เขามาซื้อชานมก็โคตรไร้สาระเลย

   เสียงโทรเข้าดับลงแล้ว ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะสะดุ้งอีกรอบ เมื่อคุณคนแรกโทรมาอีกครั้ง

   ผมเลิ่กลั่ก ยังคิดหาวิธีรอดไม่ออก ก่อนจะสรุปแบบเอาไงเอากัน บอกว่าโทรผิดเป็นอันจบ!

   “คือฉัน...”

   (( พิชญ์เหรอ ))

   คำว่าโทรผิดไม่ทันออกจากปาก เสียงถามสวนกับการเรียกชื่อแบบชัดถ้อยชัดคำก็ทำเอาผมสมองปลิว ชักจะติงต๊องเกินไปแล้ว แค่นี้ต้องเขินจนตัวบิดม้วนด้วยเหรอ ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักสักหน่อย ทำตัวเป็นเด็กน้อยแรกรักวัยประถมไปได้

   “อืม...ใช่” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด

   (( คิดถึงเหรอ ))

   ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง แม้รู้แก่ใจว่าเขากำลังแกล้งกวน แต่ทำไงได้...เพราะมันแทงใจ

   เจ้าของร้านโทรตามลูกค้ามาซื้อชานมไข่มุก? นั่นไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมกดโทรหา เพราะจริงๆ แล้วนั้น...ผมก็แค่อยาก...เจอ

   มันเป็นความเคยชิน ที่ต้องเห็นภาพคุณคนแรกยืนสั่งหน้าตายแล้วยื่นกองเหรียญให้ ผมจะเอาเหรียญสองบาทหยอดกระปุกใส มองเขาดูดชานมไข่มุก ระหว่างนั้นเราก็จะคุยสัพเพเหระกัน จนหมดแก้วก็รับมาทิ้งขยะ

   คลับคล้ายพิธีกรรมประหลาด แต่ก็เป็นพิธีกรรมที่...ไม่อยากจะพลาดแม้แต่วันเดียว

   (( ไม่ตอบ แสดงว่าใช่ ))

   อยากประชดว่าใช่ซะที่ไหน แต่ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าเขาไม่ยอมมาเท่ากับว่าที่กดโทรไปก็ไร้ค่าน่ะสิ

   ผมต่อสู้กับตัวเองหนักมาก ด้วยทิฐิปัญญาอ่อนของตัวเอง ด้วยความเล่นตัวท่ามากของตัวเอง และปลายสายคงจะรำคาญ พูดด้วยไม่มีคนพูดตอบเลย...ตัดสาย

   คล้ายกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้วโดนถีบตกเหว ผมยืนนิ่ง ถือโทรศัพท์ค้าง คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายใจดำกันขนาดนี้

   คุณคนแรกอ่านอารมณ์ผมเก่งเสมอ เวลาผมอึดอัด เขาจะไม่พูดมาก เวลาผมต้องการ เขาจะอยู่ใกล้ เวลาผมสบายใจ เขาจะเข้าหา เวลาผมต้องการความเป็นส่วนตัว เขาก็จะเคารพกันเสมอ

   แล้วไหงครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

   หรือว่าเพราะคุยผ่านโทรศัพท์ หรือเพราะเขาเริ่มเบื่อ แต่เมื่อเช้ายังพามาส่งกันอยู่เลย ผมหันไปมองแสตนดี้ฮีโร่พิชพิช ราวกับว่ามันจะบอกคำตอบได้

   พลันเงาร่างหนึ่งแทรกคิวยาวเหยียดหน้าปากซอยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ดูชิลจนผมที่เกือบคิดมากจนเกือบเป็นบ้าคุยกับแสตนดี้ทั้งดีใจทั้งเคือง

   “มาแล้ว”

   “มาทำไม”

   ปากหนอปาก คนเราจะชอบประชดแบบนี้ไม่ได้

   “มีคนคิดถึง”

   ...หมดเรี่ยวแรงจะต่อกร ผมคล้ายจะทรุดฮวบลงตรงนั้น แต่ด้วยหน้าที่ เลยต้องสวมหน้ากากยิ้มรับลูกค้า

   “รับอะไรดีครับ” เถียงไม่ได้ ตีเนียนซะเลย

   คุณคนแรกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฮึ่ย อย่ายิ้มให้มากนัก เห็นแล้วอยากหยิกแก้ม

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   ผมสบโอกาสหันไปชงชานมทันที จะได้ไม่ต้องเผชิญกับหน้ายิ้มตาวาวของใครบางคน แต่ก็แค่ไม่นานหรอกครับ ผมเจาะแก้ว ยื่นส่งให้คุณคนแรก ไม่วายแบมือรอรับเหรียญอย่างเคยชิน

   แต่ที่วางลงมาคือมือข้างที่ว่างของคุณคนแรก

   จากหลบตา กลายเป็นต้องเงยมองคนที่ถือชานมข้างหนึ่ง อีกข้างจับมือผมไม่ยอมจ่ายเงินด้วยความรู้สึก...โอ๊ย ผมไม่อยากจะอธิบายแล้ว

   “เงินล่ะครับ”

   “ไม่มี” คุณคนแรกพูดหน้าตาย แต่บีบๆ กดๆ ฝ่ามือผมไม่หยุด “แปะโป้งก่อน รีบวิ่งมา ลืมหยิบเงินมาด้วย”

   คนที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงวิ่งเหยาะๆ แบบชิลๆ เข้ามาในซอย พูดเต็มปากเต็มคำว่าวิ่งมา ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อดีรึเปล่า และผมควรจะชักมือกลับได้รึยัง

   “วันนี้อยู่นานไม่ได้ ไปก่อนนะ” ประทุษร้ายฝ่ามือกันจนพอใจ โดยที่ผมยังไม่ทันประมวลผลดี คุณคนแรกก็หันหลังเดินล้วงกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ กลับ

   ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินฝ่าแถวคนยาวเหยียดหน้าร้านชานมไข่มุกชื่อดังแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกัดปากอยู่นาน น่าจะตั้งแต่เห็นเขาวิ่งเหยาะๆ มาหาเลย

   ไม่ใช่อยากทำร้ายตัวเองกะทันหัน

   ...แต่กัดปากกลั้นไม่ให้ยิ้ม



   ----------------

   โอ๊ยยยย สองคนนี้ช่างจีบกันแบบมุ้งมิ้งทีละนิดละหน่อยแต่ก็น่ารักใช่มั้ยคะ

   เราแต่งเองก็เขินเอง ตลกทิฐิของพิชญ์ที่เป็นมุมโก๊ะๆ บ๊องๆ ของน้องด้วย ในที่สุดด้วยความคิดถึงก็ยอมโทรไปสักที เชื่อสิว่าคุณคนแรกคงตื่นเต้นดีใจมากเลยรีบวิ่งหน้าเริดมาหาแม้ว่าภายนอกจะทำเหมือนชิลๆ ก็ตาม 555

   รีบร้อนขนาดไม่หยิบเงินติดตัว มาแตะๆ มือพิชญ์แล้วก็ไป

   แต่แค่นี้ก็สุขใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วจริงมั้ยคะ ความรักมันหวานกว่าชานมเนอะ >///<

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด