พิมพ์หน้านี้ - อริทางคับแคบ (Pretending) - No.16 A new beginning (16/05/25)
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2023 09:58:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง) - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์ - ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ) ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้ 18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com....................................... วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17 เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม *****************************************************************************************
กลับมาเขียนอะไร เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว หวังว่าคราวนี้จะทำได้ดีกว่าเก่ามั้ง?!? เอาเป็นว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในหัวมาสักพักแล้ว นำมาขยายค่อจนยาวเหยียด เพราะความชอบส่วนตัว เรื่องแนวๆ เกลียดๆ รักๆ ก็คงมีอยู่เกลื่อนก็เลยพยายามนำเสนอไม่ให้ซ้ำ (คิดว่านะ) ที่ผ่านมาชอบเขียนดราม่าหนักๆ เพราะอิงชีวิตจริงไปหน่อย (ดัดแปลงมาเนอะ) คราวนี้เลยกะจะเขียนหวานๆ หน่อย (ไม่ถนัดเลยอ่ะ) หวังว่าคนอ่านจะชอบนะครับ นีกเขียนมือใหม่คนนี้จะพยายามต่อไป ขอบคุณสำหรับคำติชมที่ผ่าน
Prelude ความทรงจำของใครหลายๆ คนในสมัยมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย อาจจะแตกต่างกันไปตามการใช้ชีวิตของแต่ละคน แต่สำหรับผมนั้นมันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่ ด้วยความที่รูปร่างบอบบางและตัวเล็กกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน เป็นเด็กเนิร์ดที่ไม่ค่อยมีความโดดเด่นทางด้านกีฬา ทำให้ถูกเพ่งเล็งโดย เด็กป๊อปปูล่าขี้แกล้งของโรงเรียน ทุกวันในการไปโรงเรียนเหมือนกับเป็นของเล่นชิ้นโปรดในสนามเด็กเล่น ที่ทั้งโดนแซว และกลั่นแกล้งให้อายสารพัด ถึงผมจะโดนน้อยกว่าคนอื่นมากเพราะเป็นเด็กเรียนตัวท้อปของโรงเรียน จึงอยู่ในสายตาของอาจารย์เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีวันที่ผมน้ำตาตกในอยู่หลายครั้ง และคนที่ผมไม่มีวันลืมเลยคือ เด็กชายตัวสูง ผิวดี ดวงตายาวรีสวย แต่กลับมีสีหน้าเรียบบึ้งและตาขวางตลอดเวลา เหมือนคนทั้งโลกคือศัตรูของมัน เด็กบ้านรวยที่ทุกคนต่างกริ่งเกรง หัวโจกประจำชั้นปี ที่มีพฤติกรรมที่ต้องเข้าห้องปกครองไม่เว้นแต่ละวัน ผมถูกมันหมายหัวมาตลอดสองปีตั้งแต่ ม.2 ในชีวิตมัธยมต้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงได้มาเพ่งเล็งมากลั่นแกล้งผมมาตั้งแต่ ม.2 ทั้งๆ ผมไม่เคยเจอมันเลยด้วยซ้ำ (หรือว่าเคย?) จนกระทั้งก้าวสู่มัธยมปลาย ผมกับเพื่อนที่โดนมันรังแกอยู่เป็นประจำ ต่างตั้งใจปฎิวัติตนอง เพื่อชีวิตมัธยมปลายที่สดใส โดยการหันมาเล่นกีฬา ใส่ใจอาหารการกินมากขึ้นเพราะอยากตัวสูงใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายโดนตามมากลั่นแกล้งไม่หยุด จนกระทั่งเกิดเรื่องที่มันจับผมขังไว้ในห้องน้ำของอาคารกีฬาเกือบทั้งคืน จนเป็นเรื่องใหญ่โต ในที่สุดแม่ของผมก็ให้ผมย้ายโรงเรียนอย่างเร่งด่วนในช่วง ม.5 เทอมต้น ถึงแม้ชีวิตผมจะดีขึ้น แต่ผมก็ยังจำได้ถึงฝันร้ายเหล่านั้นได้ไม่มีวันลืม สงสารแต่เพื่อนผมนี่สิที่มันยังอยู่ที่เดิม แม้จะติดต่อกันบ้างแต่มันก็ได้แต่บอกว่า ที่โรงเรียนไม่เหมือนเดิมแล้วนับตั้งแต่ผมย้ายออกมา แต่อย่างที่ซีรี่ย์กำลังภายในมักบอกไว้ ศัตรูมักเจอในทางคับแคบ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้า ผมอาจจะได้เจอมันอีกก็ได้ ผมยังคิดไม่ออกเลยนะว่า หากเจอกันอีก ผมจะปฏิบัติกับไอ้คนที่แกล้งผมยังไง? ………….
บทที่หนึ่ง Onboard ผมยังคงฝันถึงเรื่องหนึ่ง เดิมๆ ซ้ำๆ และตื่นขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาทุกครั้งที่ฝันเห็นเหตุการณ์ที่ยังจำฝังใจ เกือบ 10 ปีแล้วที่ผมผ่านเหตุการณ์นั้นมา เหตุการณ์ที่ผมโดนรังแกเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ จากคนกลุ่มเดิมๆ ทั้งเอารองเท้าไปซ่อน แอบเอากุญแจล็อกเกอร์ไปโยนสระน้ำ โดนแกล้งให้มาโรงเรียนสายเกือบทุกวันเพราะโดนโยนกระเป๋าเป้ไปแขวนตามต้นไม้ใหญ่หน้าโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมยังคงกำหมัดที่ชุ่มเหงื่อแน่นทุกครั้งที่นึกถึง ภาพเหล่านั้นคือภาพของผมช่วงสมัยมัธยมอันแสนขมขื่น ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมผ่านมาได้แล้ว ผมเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัยโดยทิ้งตัวตนเดิมของตนแล้ว ผมเป็นคนใหม่แล้ว ผมเป็นถึงเดือนคณะการจัดการ และขึ้นแท่นนักกีฬาแบดมินตันของมหาวิทยาลัย และรอรับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหลังเรียนจบ ผมกำลังจะมีอนาคตที่สดใสแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นมันก็ยังเป็นเหมือนแผลเป็นในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งช่วงไหนผมเครียด ผมจะฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นกลับเข้ามาในหัวเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วันนี้ก็เช่นกัน วันแรกของการฝึกงาน ยอมรับว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่หลับแล้วมาเจอฝันแบบนี้คือ มันยิ่งเหมือนไม่ได้พักผ่อนเลย นี่มันลางร้ายชัดๆ ผมเดินทางถึงออฟฟิศขององค์กรระดับประเทศแห่งหนึ่งก่อนเวลาตั้งเกือบชั่วโมง อาจเพราะซักซ้อมเดินทางมาหลายรอบแล้วจึงกะเวลาได้ถูกต้องตามที่วางแผนไว้ การมาสายในครั้งแรกนี่มันสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อผู้ดูแลแน่นอน ผมเงยหน้ามองตึกระฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจแห่งใหม่ในกรุงเทพมหานคร (อีกนิดจะเรียกว่าชายขอบเมืองได้แล้ว) องค์กรที่ผมเล็งแล้วว่าจะเข้ามาฝึกงานตั้งแต่ทราบจากรุ่นพี่ว่า คนที่มาฝึกงานที่นี่มีโอกาสได้ทำงานที่นี่ต่อเลย องค์กรที่ใครๆ ต่างเฝ้าฝันอยากมาทำงานด้วย การเข้ามาฝึกงานที่นี่ได้ก็ถือว่ายาก เพราะแต่ละแผนกนั้นรับนักศึกษาฝึกงานจำนวนจำกัดมากๆ เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างฮึกเหิม จนลืมไปว่าฝุ่นแถวนี้มันไม่น้อยเลย ทำให้สำลักไอออกมาจนน้ำตาเล็ด ผมหยิบกำหนดการที่ทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลส่งอีเมล์มาให้และอ่านทบทวนไปมา พร้อมหยิบเอกสารยืนยันตัวตนเพื่อผ่านหน่วยรักษาความปลอดภัยด้านหน้ามาเตรียมไว้อย่างดี ทุกอย่างพร้อม! ผมคิดในใจแบบนั้น ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปในอาคารสูงตรงหน้า สุดท้ายก็คงต้องโทษตัวเองที่ตื่นเต้นเกินไป ผมถูกแม่บ้านที่ทำความสะอาดแถวหน้าออฟฟิศฝ่ายทรัพยากรบุคคล พามานั่งรอบริเวณด้านหน้าของออฟฟิศมี่ยังร้างผู้คน ผมมองนาฬิกาหลายรอบแทบจะทุกนาทีเพื่อฆ่าเวลาระหว่างนั่งรอ จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านไปถึงจะเจอพนักงานคนแรกที่มาถึงออฟฟิศแห่งนี้ “น้องมานั่งรออะไรคะ?” หญิงสาววัยทำงานในชุดสูทเข้ารูปสีสวยสดเอ่ยทักก่อนจะเปิดประตูเข้าออฟฟิศ รองเท้าส้นเข็มที่กระแทกหยุดเสียงดังลั่นทำให้ผมเผลอสะดุ้งตกใจ “เอ่อออ เอ่อ ผม มาฝึกงานครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ฝึกงาน?” หญิงสาวพูดทวนด้วยริมฝีปากสีแดงเหมือนเพิ่งดื่มเลือดมาแล้วแห้งติดปากเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย สีหน้าแสดงออกว่า ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน “เอ่อ… นี่ครับ เอกสารตอบรับจากทางบริษัท” ผมเงอะงะยื่นเอกสารให้พี่สาวคนสวยตรงหน้า “อ้อ! เออ จริงสิ เหมือนคนในทีมบอกไว้ พี่ลืมไปเลย งั้นตามพี่มาเลย ไปนั่งรอด้านในดีกว่า พี่จำได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วก็เพิ่งรับไปคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะรับอีกคนนะเนี่ย หายากนะที่จะรับทีละสองคน เราเป็นเด็กเส้นหรือเปล่า?” พี่สาวปากแดงในชุดสูททางการเอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเอง และก็ทำท่าเชื้อเชิญผมเข้าไปในออฟฟิศที่ร้างผู้คนและแสงไฟ ผมเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย และยิ้มตอบไปเป็นมารยาท ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะตอบไปว่าอย่างไรดี บวกกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นจึงได้แต่ทำตัวไม่ถูก “แหม….. เรียบร้อยจัง ระวังเจอพวกพี่ๆ แกล้งนะ” พี่สาวปากแดงยิ้มหวานกลับมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าอะไรออกไปแต่พี่สาวคนนั้นรีบแก้ตัวว่าพูดเล่นทันที “พี่ชื่อ ‘เชอรี่’ นะ อารีรัตน์ ประชาสัมพันธ์ควบตำแหน่งเลขานุการแผนก ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” พี่สาวรีบแนะนำตัวให้บรรยากาศเป็นกันเองขึ้น “ผมชื่อ อชิรวินทร์ เรียกผม วิน ก็ได้ครับ” ผมยิ้มรับและตอบกลับ “โอเคจ๊ะ น้องวิน เดี๋ยวพี่ขอตัวเตรียมงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวสายๆ พี่พาไปแนะนำตัวกับคนที่ดูแลเรานะ” พี่เชอรี่พูดจบ เธอก็ชี้ไปที่โซฟาสไตล์โมเดิร์นสีเทาอีกด้านหนึ่งของห้องโถงด้านหน้า ผมพยักหน้าและเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย ผมนั่งตัวลีบด้วยอาการตื่นเต้นอยู่หลายนาที มองผู้คนเดินเข้าออกออฟฟิศด้วยความคาดเดาต่างๆ นานาว่า จะได้พี่ๆ คนไหนเป็นพี่เลี้ยงของตัวเอง จนกระทั้งผมหมดความสนใจภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า และหันไปหาโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของตนเอง เพื่อดูโน๊ตการแนะนำตัวที่เขียนเตรียมเอาไว้ “น้องวินๆ น้องวินคะ” เสียงหวานของพี่เชอรี่เรียกในระยะประชิด ผมตอบรับเสียงดังด้วยความตกใจ “แหม.. ตกใจหมด ตามพี่มาคะ เดี๋ยวพี่ไปแนะนำให้พี่ๆ ในฝ่ายรู้จัก และก็จะพาไปหาพี่ที่เป็นคนดูแลด้วยคะ” ผมตอบรับและขอโทษขอโพยด้วยการก้มศรีษะขึ้นลงหลายครั้งจนเหมือนนกกำลังจิกกินน้ำ ทำให้สร้างเสียงหัวเราะให้พี่เชอรี่ในลำคอไม่น้อย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเครียด พี่ๆ ที่นี่เป็นกันเอง ทำตัวตามสบายนะ เห็นหน้าตาน่ารักนึกว่าจะขี้แก๊ก แต่เป็นคนตลกนะเราน่ะ” พี่เชอรี่พูดทิ้งท้ายก็จะพาผมเดินเข้าไปด้านในแผนก ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เมื่อเจอคนที่เป็นมิตรขนาดนี้ และเมื่อเดินเข้ามาด้านในก็ต้องตระหนกอีกครั้ง เพราออฟฟิศที่นี่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ภูมิฐานมันยังดูน้อยไป แต่ก็ไม่ได้จริงจังจนเกิดความเครียด ภาพรวมทั้งหมดที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมเกิดความประหม่าอีกครั้ง “น้องวินคะ ทางนี้คะ พี่เขานั่งรออยู่พอดีเลย” พี่เชอรี่กวักมือเรียกจากจุดที่ผมยืนอยู่ถัดไปประมาณ 3 บล็อกที่นั่ง “โห….ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะ เชื่อแล้วว่าเป็นเดือนมหาวิทยาลัย” คำพูดแรกที่หลุดออกจากพี่เลี้ยงของผม ทันทีที่เจอหน้า พี่เขาเป็นผู้ชายรูปร่างอวบนิดหน่อย ผิวขาวใสสุขภาพดี และมีใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา “สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดี พี่ชื่อท้อปนะ พี่อยู่ส่วนงานสวัสดิการแล้วก็แฟ้มประวัติพนักงานนะครับ เราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดสี่เดือนนี้นะ แต่วันนี้พี่ยุ่งนิดหน่อย ไปรอในห้องสำหรับน้องฝึกงานทางนั้นแล้วเดี๋ยวพี่ไปปฐมนิเทศให้ฟังนะ แล้วก็นี่ รหัสสำหรับ log-in เข้าระบบคอมพิวเตอร์” พี่ท้อปพูดจบก็ยื่นซองมาให้ผม ผมรับไว้และขอบคุณอย่างสุภาพ “พี่เชอร์ครับผมฝากสอนน้องเข้าระบบหน่อยครับ แล้วก็ให้นั่งดู VTR ปฐมนิเทศรอผมได้ไหมครับ วันนี้ผมเจอเจ้านายตามงานด่วนเลย” พี่ทอปยกมือไหว้ขอร้องพี่สาวปากแดงที่กำลังจะกรอกตาใส่คนขอร้อง “ได้ๆ ยังไง เช้านี้ก็ไม่ทีประชุมอะไร ไหนก็ต้องพาน้องวินเดินทัวร์ออฟฟิศอยู่แล้ว นี่ถ้าน้องไม่น่ารักอย่างนี้ ฉันไม่ทำให้เธอหรอกนะ ไปน้องวินไปกับพี่จ๊ะ” พี่เชอรี่เบะปากใส่คนขอร้องแต่หันกลับมายิ้มหวานให้ผม “โหหหห สองมาตราฐานมากเจ้” พี่ทอปโอด หลังจากนั้นก็เป็นการเดินทัวร์ทั่วออฟฟิศของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทำให้รู้ว่าที่นี่ใส่ใจในการดูแลบุคลากรขนาดไหน ทำให้ผมประทับขึ้นไปอีก ที่นี่มีโต๊ะทำงานเป็นสัดส่วนที่ดีไม่อึดอัด มีอุปกรณ์สำนักงานครบครัน ห้องประชุมย่อยๆ เยอะมาก รวมถึงห้องเบรกที่เรียกได้ว่าอาจทำให้น้ำหนักตัวขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลพี่เชอรี่พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนพาผมไปนั่งที่โต๊ะว่า “เพราะการสร้างบรรยากาศที่ดี มันก็ส่งผลกับความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานเช่นกัน ดังนั้นผู้บริหารของที่นี่จึงให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ” ผมยิ้มแก้มปริ รู้สึกชื่นชมแบบแบบไม่ปิดปัง คิดภูมิใจในตัวเองที่ฟันฝ่าคนนับร้อยเพื่อเข้ามาฝึกงานที่นี่ได้ “โอเค ถึงแล้ว ห้องของน้องฝึกงาน” พี่เชอรี่ผายมือไปที่ห้องกระจกขนาดประมาณ 4คูณ4เมตร “ห้อง??” ผมแปลกใจว่ากับเด็กฝึกงานถึงกับทำห้องให้ทำงานเลยหรือ “ใช่คะ พี่มีโต๊ะทำงานให้น้องฝึกงานด้วยคะ เนื่องจากด้านนอกมีข้อมูลส่วนบุคคลหลายอย่าง ที่อาจจะมีการพูดคุยกันข้ามโต๊ะทำงาน เลยทำห้องให้น้องอยู่ดีกว่า แต่มันก็เป็นห้องเก็บเอกสารด้วยล่ะจ๊ะ อาจจะไม่ได้ดีเท่าโต๊ะพนักงานนะ” พี่เชอรี่พูดไปก็เปิดประตูเข้าไปแนะนำสิ่งต่างๆ ภายในให้ฟัง ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่นี่มันก็ดีกว่าที่ผมคิดไว้มากโขเลย นึกว่าต้องไปนั่งในห้องเบรกเสียด้วยซ้ำไป ผมสังเกตว่าในห้องจะมีอยู่หลายโต๊ะแต่จะมีอยู่โต๊ะหนึ่ง ที่เหมือนมีของว่างอยู่แบบไร้ระเบียบ “อ้อ! นั่นเด็กฝึกงานอีกคนน่ะ สายประจำ ดูสิป่านนี้ยังไม่มา เฮ้อ….แบบลูกคนใหญ่คนโตน่ะ….. อ่ะ พี่ไม่ควรพูดสินะ งั้นหากเจอกันก็ไม่ต้องแปลกใจนะ เป็นเพื่อนกันไว้ก็แล้วกันนะคะ” พูดจบพี่เชอรี่ก็ยิ้มเฝือนและสอนการ log-in เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทต่อ ต่อจากนั้นก็เปิด VTR ปฐมนิเทศให้ดู ซึ่งกินเวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่ขอลากลับไปทำงานที่โต๊ะของตนเอง ระหว่างที่ผมกำลังว้าวตาวาวไปกับ VTR แนะนำบริษัทอย่างอลังการงานสร้างอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดกว้างออกอย่างรวดเร็ว ด้วยความตกใจผมจึงหันไปหาคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ ภาพที่เห็นคือ ชายหนุ่มผิวขาวตัวสูงเกือบเท่าความสูงของบานประตู ในชุดนิสิตประยุกต์ด้วยแบรนด์เนมทั้งตัว ผมรองทรงสูงแต่ยุ่งเหยิงเป็นทรงที่ดูตั้งใจมากกว่าจะเป็นเพราะลมจากการนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ผิวหน้าที่ดูดีเป็นธรรมชาติอย่างน่าอิจฉา วงหน้าที่เห็นตรงหน้านี้ แม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันก็ยังคงแวะเวียนเข้ามาในใันผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้มันจะเปลี่ยนไปมาก (ในทางที่ดีขึ้นจนหน้าหมั่นไส้) ผมแต่ไม่เคยลืมไอ้ความเลวร้ายที่มันทำกับผมสมัยมัธยมต้นยาวไปถึงมัธยมปลาย ‘ไอ้คอปเตอร์’ ในใจผมร่ำร้องขื่อนี้ซ้ำไป ใจเต้น มือสั่นไปหมด ทั้งโกรธและกลัวไปในเวลาเดียวกัน ไอ้คอปเตอร์มันจ้องหน้าผม ด้วยสายตาที่ดูว่างเปล่าเหมือนที่มันทำกับทุกคนสมัยมัธยม มันเป็นคนที่แทบไม่แสดงความรู้สึกอะไรนอกจากการยิ้มเยาะคนที่ถูกมันรังแก เหมือนมันมีชีวิตอยู่ด้วยการทำสิ่งนี้ มันจ้องผมอยู่พักใหญ่แล้วมันก็เดินไปที่โต๊ะของมันที่อยู่ข้างๆ ผมเลย ผมรู้ว่าสวรรค์ช่างกลั้นแกล้ง ทำไมผมถึงได้มาเจอมันอีก ทั้งๆ ที่ชีวิตทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้ว ผมพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด ทำเป็นไม่สนใจตั้งใจกับการดู VTR ปฐมนิเทศของตนเอง ทั้งๆ ที่มือนั้นกำแน่นและเปียกแฉะ เอาจริงๆ ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ เพราะภาพความทรงจำเก่าๆ มันเฟรชแบ็คกลับมาจนผมแทนจะไม่มีสมาธิดูสิ่งที่น่าสนใจด้านหน้า
สักพักพอ.หลงหัวปักหัวปล่ำแน่นอน :hao7: :hao7:
แกล้งดีนัก รักซะเลย
“นายมาใหม่เหรอ?” ไอ้คนหน้านิ่งถามผมตามสไตล์ของมัน “อืม” ผมพยักหน้า แสร้งทำเป็นไม่สนใจ พยายามให้ดวงตาจ้องไปที่มอนิเตอร์ด้านหน้า “เราเคยเจอกันมาก่อนไหม?” คนนั่งข้างขยับเข้ามาใกล้ เหมือนพยายามพินิจวงหน้าผม “ไม่นะ ไม่เคย เรามาจาก มหาวิทยาลัย xxxx นะ นายมาจากมหาวิทยาลัยอะไรล่ะ” ผมทำตัวเนียนต่อไป “มหาวิทยาลัย RRR น่ะ ก็คงจะไม่เคยจริง ถึงจะคุ้นหน้าก็เถอะ เราชื่อ คอปเตอร์ นะ” อีกฝ่ายสะกิดไหล่ผมให้หันไปหา “เราชื่อ…..วิน นะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ กานต์นวี” “เราไม่เคยบอกนะว่าชื่อจริงชื่ออะไรทำไมนายรู้” “เอ่อ…. พี่เชอรี่เอ่ยถึงน่ะ” “คุณป้าขาเม้าส์นี่อีกแล้ว เขาเล่าเรื่องเราว่าอะไรบ้างล่ะ!!” เสียงเข้มขึ้นมาทันที “ไม่.. ไม่นะ พี่เขาแค่แนะนำให้รู้จัก แต่นายไม่อยู่ไง” ในที่สุดมันก็ดึงความสนใจของผมให้หันไปหามันจนได้ “แค่แนะนำจริง?” มันกลับไปหน้านิ่งอีกครั้ง ลูกตาสองข้างของมันนี่มันเป็นตาตำรวจสายตรวจฯ ชัดๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะหลบตาเพราะจะยิ่งมีพิรุธ “เออ ก็แล้วไป เกลียดไอ้พวกปากมากนี่ฉิบหาย นี่หากไม่ติดว่าแม่บังคับนะ ก็คงไม่มานั่งทรมานอยู่นี่ในช่วงปิดเทอมหรอก!!” พูดจบก็เหวี่ยงตัวหมุนเก้าอี้เข้าที่พร้อมกับมือตบโต๊ะดังปึง ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย แม้จะทำใจดีสู้เสือ แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวไอ้คุณคอปเตอร์ก็ยังคงเย็นเยียบเหมือนเคย “งั้นเราขอตัวดู VTR ให้จบนะ” ผมพยายามหนีจากความจริงตรงหน้าโดยการหันไปหาจุดสนใจอื่น “ไอ้ของกากๆ แบบนั้นดูไปทำไมวะ มีเรื่องจริงสักครึ่งไหมก็ไม่รู้!!” ไอ้คนขวางโลกมันพูดขึ้นโจ่งแจ้งเสียงดัง เหมือนตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน แต่โชคดีที่พวกเราอยู่ในห้องปิด ผมทำเป็นไม่สนใจ และมีสมาธิกับการดูหน้าจอต่อไป แต่ไอ้คนข้างๆ ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจความต้องการของผม มันขยับเข้ามาใกล้ และเท้าแขนลงบนโต๊ะของผม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราเป็นใคร?” ไอ้คนขวางโลกจ้องมาที่ตาผม ซึ่งผมพยายามไม่สนใจ และส่ายหน้าอย่างเดียวเท่านั้น “ก็ดี!!” ไอ้คอปเตอร์ตบโต๊ะตรงหน้าผม “จะได้มีเพื่อนคุยบ้าง ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ บ้างก็ไม่เลว โอเค ต่อจากนี้เป็นต้นไป เราเป็นเพื่อนกัน!!” ไอ้คอปเตอร์ ยื่นมือมาทำท่าทักทายสไตล์ตะวันตก ช่วงผมก็มองมันกลับไปด้วยความงุนงง เพราะไม่คิดว่าจะเจอท่าทางแบบนี้ของมัน ช่างต่างกับสมัยมัธยมที่ไม่เคยสนโลกหรือผู้คนใดๆ ผมยื่นมือไปจับกับมือของมันอย่างลังเล แต่สุดท้ายมันก็ยื่นมือมาจับมือผมกระชับมั่นก่อนที่จะปล่อยออกทันที “เฮ้ย!! มึง!! เออ จริงสิกูพูด กูมึง กับมึงได้ไหม?” สไตล์การทำก่อนขอของมัน ยังเหมือนเดิม ผมนิ่งไปพักใหญ่จนมันเริ่มคิ้วขมวด ผมจึงต้องลากมือที่ชุ่มเหงื่อไปจับมือของมันที่รอค้างอยู่กลางอากาศมาสักพัก “เออ ได้สิ” ผมตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงยังผมก็ยังไม่กล้าปฏิเสธมัน สงสัยว่าในใจยังคงมีแผลเป็นที่ยังเจ็บจี๊ดอยู่ “มึงร้อน? ทำไมเหงื่อชุ่มขนาดนี้?” “เออ ใช่ ก็ร้อนนิดหน่อย” “ใช่ไหม? กูเคยบอกหลายทีแล้วว่าช่วยเร่งเครื่องปรับอากาศหน่อย อากาศร้อนขนาดนี้อยู่กันได้ยังไงวะ!!” คอปเตอร์ผู้ฉุนเฉียวกลับมาแล้ว แต่ความเป็นจริงคือผมเป็นคนขี้หนาวมาก แล้วคือผมพกเสื้อกันหนาวมาด้วย พอตอบไปแบบนั้นเลยไม่กล้าหยิบขึ้นมาสวมเลย และที่ผมเหงื่อออกจนท่วมเนี่ยก็เพราะมันมาอยู่ใกล้ๆ กับผมเนี่ยแหละ!! “เฮ้ย! โทษที กูเป็นคนอารมณ์ร้อนนิดหน่อย อย่าถือสาเลยนะ มึงก็ดูอะไรของมึงต่อไปก็แล้วกัน” พูดจบมันก็เอนหลังเบี่ยงไปทางโต๊ะตนเองก่อนที่จะก้มตัวและก็ฟุบนอนไปกับโต๊ะ ผมแปลกใจกับการกระทำของมันเล็กน้อยแต่ก็หันหน้ามามีสมาธิกับการปฐมนิเทศตรงหน้าให้จบ ในที่สุดการดู VTR ปฐมนิเทศของบริษัทก็จบลงด้วยเวลา 2 ขั่วโมงเศษ ผมยอมรับว่าดูเพลินดี แต่เนื้อหามันออกจะอัดแน่นไปหน่อย บางเรื่องผมก็คิดว่า นักศึกษาฝึกงานเนี่ยควรจะต้องรู้ละเอียดขนาดนั้นเลย สมาธิผมจดจ่อกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าจนลืมไปเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย ผมนึกได้ดังนั้นผมจึงหันไปหาไอ้คนที่คิดว่าน่าจะหลับยาวอยู่ข้างๆ แต่หลังจากที่ผมเบนหน้าไปทางซ้าย ผมก็ต้องตกใจดวงตาเบิกกว้าง เพราะไอ้คนที่ควรจะหลับมันหลับนั่งจ้องผมไม่วางตาและอมยิ้มอย่างมีเลศนัย “มึงนี่ก็น่ารักนะ” ประโยคแรกที่มันพูดหลังจากสบตากับผม “ห่ะ…หา!?!” ผมไม่รู้จะตอบสนองกับประโยคนั้นยังไง “ก็…… เป็นกูคงหลับไปตั้งแต่ สิบนาทีแรก แต่นี่มึงตั้งใจดูจนจบกูล่ะเชื่อเลย นี่ไม่เรียกว่าน่ารัก หรือจะเรียกว่าเชื่องดี” “เชื่องพ่อง!! มาฝึกงานมันควรจะตั้งใจไหมสาดดดด” ด้วยบรรยากาศที่ส่งมาไปผมเลยเผลอตอบสไตล์เพื่อนสนิทออกไป หลังจบประโยคผมถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตั้งเอง “เฮ้ยยยย!!” ไอ้คอปเตอร์ ร้องลั่น “อะ..อะไร!!” ผมเริ่มเหงื่อออกอีกครั้ง “มึงนี่ก็มีมุมนี้นี่หว่า! เพิ่งเคยเห็น กูนึกว่าจะเรียบร้อยน่าเบื่อเสียแล้ว!! เออๆ ชอบๆ” พูดพลางโผเข้ามาโอบไหล่แล้วใช้มือตบอ้อมไหล่เบาๆ ‘ชอบเชี้ยอะไร กูไม่ได้อยากให้มึงชอบกู!’ ผมคิดในใจนะครับเพราะความเป็นจริงผมเกร็งไหล่แข็ง ฝืนยิ้มเฝือนใส่มันไปเรียบร้อยแล้ว เผลอคิดว่าตัวเองจะโดนน๊อควูบลงไปนอนชิมพื้นพรมไปเรียบร้อยเสียแล้ว ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งตัวโยน เลยทำให้มือที่โอบไหล่อยู่กระเด้งกลับไปอยู่ข้างลำตัวของไอ้คอปเตอร์แทบจะทันที “น้องวิน… พี่เสร็จงานแล้วนะ เดี๋ยวพี่มาอธิบายเรื่องงานที่พี่จะให้น้องช่วยทำหน่อยครับ” พี่ท้อปยื่นหน้าแป้นๆ เข้ามาทางช่องประตูที่เปิดแง้มอยู่ไม่ถึงครึ่งทาง “ครับ ได้ครับ ผมดู VTR จบพอดี ข้อมูลเยอะเลยครับ แต่ผมก็ตั้งใจดูจนจบ” “เฮ้ย!! ดูจบด้วย พี่เชอรี่ไม่ได้บอกเหรอดูแค่ สองบทแรกก็พอ!” สีหน้าพี่ท้อปดูตกใจไม่น้อย “กูบอกมึงแล้ว” ตามด้วยไอ้คอปเตอร์ที่ดูเหมือนรอซ้ำเติม “บอกตอนไหน?” ผมหันไปพูดกับมันด้วยระดับเสียงครึ่งหนึ่งของปกติ “ตอนมึงตั้งใจดูจนเหมือนสติหลุดเข้าไปในจอน่ะสิ” มันตอบกลับมาด้วยระดับเสียงเต็มสูบ ผมแอบยอมรับว่าผมทำเป็นไม่สนใจมันแบบ 100% แทบจะตัดเสียงมันออกจากโสตประสาท “นี่….รู้จักกันมาก่อนเหรอ?” พี่ทอปทำหน้าประหลาดใจ “เปล่าครับ เพิ่งเคยเจอกัน!” ผมหันไปตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “อ๋อ….เหรอ… โอเค น้องวินตามพี่มาครับ” ผมเดินตามพี่ท้อปอย่างว่าง่าย …….………..
:katai4: :katai5:
มาต่อไวๆน๊าาาาาา
ผมยอมรับกับตัวเองเลยว่า ประสบการณ์การทำงานจริงกับการเรียนนี่ต่างกันไม่น้อยเลย เข้าใจคำพูดของรุ่นพี่รุ่นก่อนที่จบไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟังก็วันนี้ ทฤษฎีที่เรียนรู้แทบไม่ได้ใช้เลย ต้องมาเรียนรู้ใหม่เกือบหมด ขนาดงานง่ายๆ อย่างการจัดเรียงเอกสารตามระบบมาตรฐานของบริษัท และการ key-in data เข้าระบบ HRIS มันยังสร้างความงวยงงให้ผมไม่น้อยเลย โชคดีที่เกิดมาพร้อมความจำดี เลยจดทันทุกคำพูด ขนาดว่าผมใช้เทคนิคการจดโน้ตย่อสมัยเรียนกับอาจารย์ที่สปีชเร็วที่สุด ยังทำได้แค่คาบเส้นคาบดอก เฮ้อ….ผมจะจบกับที่นี่สวยไหมเนี่ย? “ไม่เข้าใจตรงไหน หรือตามไม่ทันตรงไหน บอกพี่นะ” พี่ท้อปพูดทิ้งท้ายด้วยการยิ้มแก้มอมชมพูมาที่ผม “ครับ” ผมตอบสั้นๆ พลางยิ้มแห้งตอบกลับไป “ไม่ต้องเกรงใจนะ พี่รู้ว่าพี่อธิบายเร็ว แต่มาถามพี่บ่อยๆ พี่โอเค นะ มันยากพี่รู้ ตอนพี่มาใหม่ๆ กว่าจะคุ้นกับไอ้ระบบนี้ ก็ตอนจะผ่านช่วงทดลองเลยล่ะ” พี่ท้อปยื่นมือมาตบไหลผมเบาๆ ในลักษณะให้กำลังใจ “ไม่ได้จะทดสอบอะไรผมใช่ไหมเนี่ย?” ผมมองไปที่ตาเล็กๆ สองข้างของพี่ท้อป “ไม่นะ” สายตาที่ส่งมาพร้อมกับคำตอบที่บอกได้เลยว่า ไม่โกหกแน่นอน ผมถอนหายใจพร้อมตอบรับความคาดหวัง “แต่หากเป็นเรื่องที่จริงจังน่าจะเป็นเรื่องโปรเจ็คช่วงฝึกงานของน้องนะ พวก Business process improvement อันนั้นน่ะสำคัญจริง เรื่องนี้ก็ปรึกษาพี่ได้นะ พี่ทำให้น้องๆ ผ่านไปได้หลายคนแล้ว!” พี่ท้อปพูดจบก็ยืดอกภูมิใจ จนพุงที่ยื่นมายุบไปหน่อย ผมเผลอปรายตาไปมองภาพงานแต่งงานของพี่ท้อปบนโต๊ะ เห็นสภาพร่างที่เคยทรงดีมาก่อนมาก จนอยากจะแนะนำให้พี่เขาไปลดความอ้วนเลย ความเครียดถาโถมจนเสียงพยาธิในท้องร่ำร้องคร่ำครวญ ดังจนผมหน้าแดงเพราะความอาย “เฮ้ย! พี่ขอโทษ นี่มันเลยเวลาพักของน้องมาแล้วนี่ ไปพักเหนื่อยเถอะ สักชั่วโมงค่อยมาหาพี่นะ” พี่ท้อปรู้สึกผิดออกทางสีหน้า “เฮ้ย!! มึง เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกัน” เสียงทุ้มต่ำข้ามคอกกั้นโต๊ะทำงาน ทำให้ทั้งผมและพี่ท้อปหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน พี่ท้อปถึงกับยืนขึ้นเพื่อเขย่งมองไปทางเดียวกับผม เพื่อหาเจ้าของเสียงที่ตอนนี้ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล ผมหันไปขอความช่วยเหลือทางสายตาจากพี่ท้อปทันที พลางถามชวนพี่ท้อปไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน พี่ท้อปปฏิเสธพลางชี้ให้ดูกล่องข้าวที่กองรวมกันอยู่ที่มุมโต๊ะทำงานพลางบอกว่า “เมียพี่เตรียมมาให้แล้ว” จบกัน !! “เดี๋ยวเราไปเองก็ได้” ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ อยู่กับมันในห้องทั้งวันก็น่าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว มื้อเที่ยงช่วยผมเป็นอิสระบ้างนะ “มึงนี่นะ มาครั้งแรกแล้วรู้เหรอว่ากินข้าวที่ไหน ป่านนี้ร้านอาหารคนคงเต็มไปหมด เดี๋ยวพาไปที่ดีๆ แล้วดูนะอุตส่าห์รอมึงเกือบครึ่งชั่วโมงนี่ ไม่คิดจะมากับกูสักหน่อยเหรอวะ” ไอ้คนเอาแต่ใจร่ายยาวจนผมรู้สึกท้อ พลางหันไปหาตัวช่วยอย่างพี่พนักงานประจำ “น้องไปกับเพื่อนเถอะ โทษทีนะ พี่ไม่ได้แนะนำ อะไร ว่าแต่แน่ใจว่าเพิ่งเคยเจอกัน?” พี่ท้อปตอบกลับเสียงเบา นอกจากไม่ได้ช่วยแล้วยังขับไล่ไสส่ง ผมปฏิเสธคำถามโดยการสั่นหน้าแหย๋ๆ และหันไปตอบตกลงกับไอ้เพื่อนใหม่ที่ไม่ใหม่ในความทรงจำผม ………
ผู้คนในตึกต่างวุ่นวายกับการเดินออกหามื้อเที่ยงกันอย่างเร่งรีบ แม้จะเลยเที่ยงครึ่งมาแล้วแต่ในชั้นโรงอาหารพนักงานของตึกก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อย ชั้นโรงอาหารของที่นี่ลงทุนใช้ทั้งชั้นทำเป็นศูนย์อาหารที่รวมร้านอาหารนานาชนิดมากกว่า 30 ร้าน การจัดการพื้นที่ที่ชั้นนี้ทำได้ดี มีโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมากที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มีบรรยากาศเย็นสบายและสวยงาม และที่สำคัญที่สุด มีน้ำดื่มที่ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทตั้งวางไว้ในตู้แช่เย็นให้หยิบดื่มอย่างไม่อั้น แต่ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า เพราะแทบไม่มีใครเดินไปหยิบเลย คงเพราะส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานและเครื่องดื่มชูกำลัง ในขณะที่ที่ผมกำลังชื่นชมกับภาพตรงหน้า ที่เป็นหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นใน VTR orientation ไอ้คนที่ชวนผมมาด้วยกลับเดินไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ตามมันไปด้วย ผมทำหน้าตาสงสัยแต่ก็เดินตามมันไปอย่างว่าง่าย “จะไปไหนน่ะ ศูนย์อาหารมันอยู่ทางนั้น” ผมพูดพลางใช้นิ้วชี้ไปที่ประตูกระจกบานใหญ่ของศูนย์อาหาร “กูไม่เคยกินที่นั่น!!” มันพูดห้วนๆ สั้นๆ แบบไม่หันหน้ามามองผมด้วยซ้ำ “แต่…..” ผมยังอาลัยกับกลิ่นอาหารที่โชยออกมาจากศูนย์อาหารที่เพิ่งเดินจากมา “มึงจะบอกว่ามึงรู้ดีกว่ากู มึงที่เพิ่งมาวันแรกเนี่ยนะ” ไอ้คอปเตอร์หยุดที่ประตูใหญ่บานหนึ่งและหันมามองด้วยสายตาหาเรื่อง “เอ่อ……” เชี้ยเอ้ย! ผมบอกตามตรงว่าตอนนี้ผมขาสั่นไปหมด ถึงผมกับมันจะสูงพอกันก็เถอะ (มันสูงกว่าผมสัก5เซ็นได้มั้ง) แต่ไอ้ความรู้เหมือนไอ้เตี้ยตัวเล็กโดนรังแกมันกลับมายังไงไม่รู้ “ตามมาเถอะ อย่าพูดมาก กูหิวจะแย่แล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์เปิดประตูและกวักมือเรียกผมให้ตามมันไป “กูก็ไม่ได้ให้มึงมารอเสียหน่อย” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง “อะไรนะ?” มันหันหน้ากลับมาถามผม “เปล่าๆ ครับ เราบอกว่าหิวเหมือนกันน่ะ” ผมตอบเสียงสั่น พยายามทำหน้านิ่งไว้ แต่เสียงผมมันบังคับไม่ได้เอาเสียเลย “หิวแล้วก็รีบตามมา! แล้วไอ้คำพูดสุภาพเนี่ย กูไม่ชินเลยว่ะ เหมือนมันห่างเหินยังไงไม่รู้” ไอ้คอปเตอร์คิ้วขมวดใส่ผม “ก็มันเคยชินน่ะ” “มึงนี่สุภาพแบบสุดยอดไปเลยนะ เออ น่ารักดี” “อะไรนะ?” คำสุดท้ายมันเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน แต่หากเดาไม่ผิด น่าจะ ‘น่ารัก’ สงสัยหูจะฝาด ไอ้คอปเตอร์พาผมเข้าประตูไปก็เจอกับบันไดหนีไฟที่กว้างขวาง และมี wallpaper ลายสวยงามพร้อมโลโก้และมัสคอต ประจำบริษัท พาดไว้ตลอดทาง มันก็ดูสวยไปอีกแบบ แต่หากสังเกตดีๆ เหมือนมันจะมีแค่ชั้นที่พวกผมกำลังลงไป “จะพาเราไปไหนเนี่ย?” เนื่องจากความเงียบเชียบทำให้ผมรู้สึกสงสัย “พามึงไปซ่อมกับกูสักรอบก่อนงานรอบบ่ายมั้ง” เสียงไอ้คอปเตอร์เรียบและรู้สึกน่ากลัว ผมหยุดเท้าแทบจะทันที จนได้ยินเสียงยางรองเท้าเบียดกับพื้นบันไดดังเอี๊ยด “กูล้อเล่นไหม ทำสีหน้าจริงจังไปได้” ไอ้คอปเตอร์หันมาแกมหัวเราะชอบใจ แต่สีหน้าผมยังคงยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะจากปฎิกิริยาของไอ้คอปเตอร์ มันหุบยิ้มและเดินเข้ามาใกล้ แผลเป็นในใจของผมมันคงเริ่มปริแตกเสียแล้ว “เฮ้ยๆ กูล้อเล่น นี่กูจะพามึงไปกินมื้อเที่ยงจริงๆ มึงก็เห็นว่าทางนี้ มันเป็นเส้นทางสำหรับให้พนักงานเดินลงไปศูนย์อาหารอีกชั้นหนึ่ง” “ที่นี่มีศูนย์อาหาร สองชั้นเลย” หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นประหลาดปนประทับใจ “ตามมา เดี๋ยวมึงก็จะรู้เอง” พูดจบมันก็เดินนำไปอีกครั้ง หลังจากที่ผมเดินตามมันไปจนถึงชั้นถัดไป ผมก็พบว่าประตูทางเข้าของชั้นนี้มันไม่เหมือนชั้นที่พวกเราลงมามันดูหรูหราและมีที่สแกนใบหน้าติดอยู่ที่ข้างประตู ผมมองไปที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าที่หน้าจอกำลังเปิดทำงานเมื่อมีคนเดินเข้ามาใกล้ กล้องของอุปกรณ์ก็ทำงานทันที ภาพที่อยู่ตรงหน้าจอมันแสดงใบหน้าผมชัดเจน ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดกว่าเมื่อเข้ามาก สงสัยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจหลายครั้ง เพียงครู่เดียวเครื่องก็ร้องส่งสัญญาณว่า ใบหน้าที่แสดงอยู่ไม่ผ่าน พร้อมทั้งแสดงรูปกากบาทสีแดงขนาดใหญ่ “เขาน่าจะให้เข้าได้เฉพาะพนักงานประจำหรือ…” ปี๊บ เสียงสัญญาณดังสดใสและขึ้นรูปเครื่องหมายถูกที่หน้าจอพร้อมเสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น ผมที่กำลังจะแสดงความคิดเห็นจึงได้แต่สะดุดลงตรงนี้ “ทำไม?” ผมมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของอีกฝ่ายซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าไปหยิบที่จับประตูเพื่อเปิดออกกว้าง “จะเข้าไปไหม?” คำพูดสั้นๆ และใช้สายตาชี้นำทางเข้าไปด้านในทำให้รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและเดินผ่านประตูกระจกสีเข้มเข้าไป ข้างในเป็นเหมือนกับร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ ที่มีการจัดวางและประดับตกแต่งตามโต๊ะยาวที่วางอาหารเรียงรายจนแทบจะนับไม่ถูกว่าถูกวางอาหารไว้กี่อย่าง ผมยืนอึ้งตาค้างอยู่ที่ทางเข้า จนกระทั้งพนักงานต้อนรับทางด้านหน้าเอ่ยทักทาย “สวัสดีคะ ขอบัตรพนักงานหรือบัตรรับประทานอาหารด้วยคะ” “เอ่อ…เอ่อ……” ผมอ้ำอึ้งเพราะผมไม่มีสิ่งที่ว่ามาทั้งคู่ “นี่ครับ” คนที่ตัวสูงกว่าผมเล็กน้อยเดินล้ำหน้ามายื่นการ์ดสีทองและมีลวดลายไม่คุ้นตา ยื่นไปให้พนักงานสองใบ “อ้าวคุณคอปเตอร์ วันนี้มากับเพื่อนเหรอคะ” พนักงานยิ้มสวยกล่าวต้อนรับ “มั้ง” คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ ออกจากปากที่แทบจะไม่ขยับนั้น พนักงานสาวยิ้มรับและรีบรับการ์ดสองใบไปสแกนที่อุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เคาน์เตอร์ไม่ไกล สักพักเธอก็เดินออกมาพร้อมการ์ดใบเดิมทั้งสองใบ ไอ้คอปเตอร์รับไว้และขยับหน้าให้ผมเป็นคำชวนก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ตกแต่งเสียหรูหรา ไอ้คอปเตอร์เดินตรงรี่ไปที่มุมห้องใกล้กับกระจกหน้าต่างของอาคาร เขากระแทกนั่งอย่างเคยชินโดยไม่สนใจทุกสายตาในร้านอาหารซึ่งต่างมองมาเป็นตาเดียว ผมว่าไม่แปลก เพราะการแต่งตัวของเราสองคนที่ใส่เครื่องแบบของมหาวิทยาลัย มองแว่บเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่พนักงาน มันอาจจะไม่ถูกต้องหรือเปล่าที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ “นี่ๆ แน่ใจเหรอว่าจะกินที่นี่?” ผมถามอย่างเกรงใจและยังคงไม่กล้าลงไปนั่ง “เราไม่ได้ลักลอบเข้ามาเสียหน่อย จะไปกลัวอะไร มึงไปตักอาหารมากินไปเดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะให้” อีกฝ่ายคิ้วขมวดใส่ผมแล้วโบกมือไล่ผมไป ตัวผมเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย อาหารของชั้นนี้ต่างจากชั้นอื่นมาก ทั้งการจัดวาง รูปร่างหน้าตาของอาหาร จำนวนประเภทของอาหารที่มีตั้งแต่สลัดบาร์จนไปถึงอาหารไทยรสจัดจ้าน บรรยากาศที่เป็นส่วนตัวและเงียบสงบ ไม่วุ่นวายจอแจเหมือนกับชั้นบนที่เพิ่งเดินลงมา โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่นั่งอยู่ล้วนแต่งตัวภูมิฐานจนผมตื่นตระหนกไปหมด โชคดีที่บริกรที่นี่น่ารักเป็นกันเอง ดูแลและแนะนำอย่างดีเหมือนโรงแรมห้าดาว จนกระทั้งผมมองไปที่ป้ายชื่อที่มีโลโก้โรงแรมดังย่านนี้อยู่บนป้ายชื่อ ผมจึงเข้าใจในทันที บริษัทนี้ลงทุนจ้างโรงแรมชื่อดังมาบริการให้กับพนักงายเลยหรือนี่ กว่าผมจะเดินเลือกมื้อเที่ยงจนล้นสองจาน ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ผมเดินไปถึงโต๊ะก็พบว่าคนที่นั่งรออยู่ มองผมตาไม่กระพริบ “เอ่อ…โทษทีนะ มันเพลินไปหน่อย” ผมผงกหัวขอโทษเพื่อนไม่ใหม่ที่พาเข้ามา “กินเยอะนะเนี่ย ดีนะที่มันออกทางแนวตั้ง ไม่ได้ออกทางแนวนอน สูงใหญ่ขึ้นเยอะเลย” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “อะไรนะ?” ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดเพราะมัวแต่กลัวสายตาที่จ้องผมเสียเบิกกว้าง ยังไงผมก็ยังขจัดความกลัวไปไม่หมดอยู่ดี “ไม่มีอะไร มึงนั่งกินไปเถอะ เดี๋ยวกูไปหาอะไรกินแล้ว” ไอ้คอปเตอร์พูดจบมันลุกไปทันที อาหารที่ไอ้คอปเตอร์ตักมามันมีแต่เนื้อสัตว์นานาชนิด และซุปข้นๆ หนึ่งถ้วย ผมมองด้วยสายตาที่อดใจจะถามไม่ได้ แต่ก็ห้ามปากตัวเองไว้ทัน “อ้ำอึ้งอะไรของมึง?” เหมือนมีคนสังเกตเห็น “กินแต่เนื้อสัตว์แบบนี้มันไม่ดีนะ มันไม่ครบห้าหมู่” จากประสบการณ์ฟิตหุ่นตัวเองจนสูงใหญ่ขนาดนี้ เวลาเห็นอะไรแบบนี้มันขัดใจ “แล้วจะให้กูกินเยอะแบบมึงก็ไม่ไหวนะ ครบห้าหมู่แต่สองจานพูนแบบนี้ กูก็สงสัยนะว่ามึงกินหมดได้ยังไง ร่างมึงก็ผอมบางแบบนี้ ไปเก็บไว้ตรงไหนหมดวะ?” คอปเตอร์มองผมสลับกับอาหารในจานผมทั้งสองจานที่ต่างพร่องไปเกือบหมด ผมรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไปเริ่มต้นบทสนทนากับมัน เพราะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างผมกับมันดีขึ้นเลย พอเจอเสียงที่ฟังแล้วเหมือนดุดันใส่ ทำเอาผมสะกดน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ “เฮ้ยๆๆ กูไม่ได้ดุด่ามึงเสียหน่อย อย่าทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นสิวะ” เสียงของมันดูจะอ่อนลงนิดหน่อยแต่แบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปอีก ขณะที่ผมกำลังจะสูดลมหายใจลึกเพื่อกั้นใจตอบมันกลับไปว่าไม่เป็นไร เสียงฮือฮาในห้องอาหารก็ดังขึ้นจากประตูทางเข้า ผมหันไปหาต้นเสียงก็พบชายหนุ่มวัยทำงาน บุคลิกภาพดีและการแต่งกายหรูหราเดินเข้ามาพร้อมกับคนบริเวณนั้นก็เริ่มลุกขึ้นมาทักทาย หากจำไม่ผิด คนนี้มันผู้บริหารของที่นี่! เลือดใหม่ไฟแรงที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการตั้งอายุ 30 ปี โปรไฟล์ดี จบจากต่างประเทศและเป็นทายาทขององค์กรดังที่เป็นบริษัทแม่ของที่นี่ สุภาพบุรุษที่ได้ชื่อว่า สาวๆ ต่างหมายปองอันดับหนึ่ง แต่ยังโสดไร้คู่ครอง มาเห็นตัวจริงคือ เหมือนกับเทพเจ้าย่างกรายมายังโลก โคตรประทับใจ ผมมองตาค้างไปประมาณ 1 นาที ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะของผมกลับทำสิ่งตรงกันข้าม มันถอนหายใจและวางช้อนส้อมลงบนโต๊ะแล้วก็มองออกไปนอกกระจกบานใหญ่อย่างไม่สนใจเหตุการณ์ภายในพื้นที่แห่งนั้น “โหย…โคตรเท่…. โตขึ้นไปจะมีโอกาสเก่งและเท่แบบนี้ไหมเนี่ย” สายตาชื่นชมของผมที่ส่องประกายคงไปขวางหูขวางตาเพื่อนร่วมโต๊ะ ถึงกับดึงความสนใจจากวิวตึกสูงสวยๆ ภายนอกแล้วหันมาค้อนมาผม แม้แต่ผมยังรู้สึกถึงบรรยากาศร้อนระอุจากด้านข้างได้ “มันก็แค่ไอ้เตี้ยที่โชคดีกว่าคนอื่น!” ไอ้คอปเตอร์ไม่พูดปล่าว มันลุกขึ้นยืนและยื่นสองมือหยาบใหญ่ของมันประคองศรีษะของผมให้กลับด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง ผมร้องเสียงหลงเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะถึงฆาตเสียแล้ว “เฮ้ยๆ กูขอโทษ” คอปเตอร์หน้าซีดลงเห็นได้ชัด มีความรู้สึกวูบหนึ่งว่า มันมีสีหน้าเป็นห่วงผมจริงๆ ก่อนที่มันจะพูดว่า “รีบแดก ต้องกลับไปทำงานต่อไม่ใช่รึไง!!” ผมสับสนอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะพยักหน้าให้มันและหยิบช้อนซ้อมมากินต่อ “คิดว่าคอจะหักเสียแล้ว” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง “อย่ามาโอเวอร์สิ ออกแรงนิดเดียวเอง” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับด้วยการทำหน้ามึนใส่ ผมไม่คิดว่ามันจะได้ยินเลย ไอ้นี่มันหูดีขนาดไหนกัน “แรงควายชัดๆ” ผมบ่นงึมงำต่อ พลางลูบต้นคอที่รู้สึกเคล็ดเล็กน้อย “ขอโทษนะ” เสียงเบาจากคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากมัน “อะไรนะ” ผมตาโตมองไปทางเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างไม่เขื่อหูตัวเอง “นึกว่าใคร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “เสือก!!” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับเจ้าของเสียงนั่นแทบจะทันที ผมหันไปมองต้นเสียงที่ว่าทันที เพราะไม่คิดว่าไอ้หยาบคายอย่างไอ้คอปเตอร์จะมีคนรู้จักในที่ๆ มีอารยะแบบนี้ (คนหยาบคายแบบมัน) “ช่วยพูดกับพี่ชายดีๆ หน่อยสิ อย่างน้อยกูก็พี่ชายมึงนะ” ชายใส่สูทภูมิฐาน ยิ่งด้วยท่าทางสุภาพที่สวนกับคำพูดสมัยพ่อขุนฯ แบบนี้อย่างมาก “คุณรอคเก็ต” ผมยืนขึ้นเรียกชื่อผู้บริหารหนุ่มของที่นี่ด้วยอาการตกใจ ทำให้พอเข้าใจว่าทำไมไอ้คอปเตอร์ถึงเรียกว่า ‘ไอ้เตี้ย’ เพราะจากการเหยียดยืดสุดความสูงของผม รู้สึกส่วนสูงของเขาคนนี้จะแค่ปลายจมูกผมเท่านั่นเอง (หรือว่าผมมันสูงไป) “กูเป็นลูกคนเดียว” ไอ้คนหยาบคายมันกล้าพูดกับผู้บริหารระดับด้วยการพูดจา ‘กูมึง’ “เดี๋ยวนะ พี่ชาย ???….” เหมือนผมเพิ่งนึกอะไรออกจากบทสนทนาของทั้งคู่ “ใช่ครับ ผมเป็นพี่ชายของคอปเตอร์เอง” “แต่นามสกุล….” ผมถามกลับโดยอัตโนมัติ “เขาไม่ยอมใช้นามสกุลพ่อน่ะ” อีกฝ่ายก็ตอบด้วยสีหน้าอมยิ้มอ่อนๆ ผมคิ้วขมวด ทำสีหน้างุนงงกลับไป “เรื่องนั้นไปถามเพื่อนน้องดูนะ แปลกนะ ที่นายยอมคบหาคนอื่นด้วยนอกจากไอ้วศินน่ะ” ตัวละครเพิ่มอีกตัว เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วนะ ผมคิดอย่างสับสนในใจ แต่มาคิดดูดีๆ ก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่หว่า “ก็อย่างที่กูบอกไง!! เสือก!!” “เฮ้อ….ไปดีกว่า น่าจะไม่จบง่ายๆ เอาเป็นว่า ก็คบกันดีๆ นะ อย่าทะเลาะกันก็แล้วกัน…นะ” คำพูดที่ชวนให้สงสัยก่อนที่จะเดินจากไปอย่างกับลอยเหนือพื้นนั้น ผมเองก็ไม่ได้คิดมากหรอกครับ เพราะไม่ได้คิดจะคบมันเป็นเพื่อนแบบลึกซึ้ง แค่จะให้ผ่านฝึกงานนี้ไปให้ได้ ผมพบว่าไอ้คอปเตอร์มันทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ฝั่งตรงข้ามผม เสียงลมหายใจที่ดังทุกครั้งที่สูดเข้าและออกอย่างจงใจ ผมไม่ทราบว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน แต่ก็อดที่จะสงสารปนสงสัยไม่ได้ “โทษทีนะ กูรู้ว่าไม่เกี่ยวกับมึง แต่ก็อดอารมณ์เสียไม่ได้” เป็นอีกครั้งที่ผมได้ยินเสียงมันขอโทษผม แต่คราวนี้ดูมีความตั้งใจแฝงอยู่ ผมรับคำขอโทษโดยการพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามไถ่ใดๆ ต่อเพราะคิดว่า ไม่ได้สำคัญพอที่อยากจะรู้ เลยตั้งใจกินอาหารที่ตักมาให้หมด แต่พอมาทบทวนแล้วก็พอจะทราบแล้วว่าทำไมพนักงานคนอื่นถึงได้มีท่าทางเกรงใจมัน และมีความพิเศษขนาดที่เข้าออกพื้นที่ วีไอพีของบริษัทได้ “แล้วนี่ไม่กินแล้วหรือ?” ผมชี้ไปที่อาหารที่วางกองไว้บนโต๊ะซึ่งมีพนักงานเดินมาบริการวางถึงที่ “หมดความอยากอาหารตั้งแต่เห็นหน้าไอ้เตี้ยนั้นแล้ว!” มันเหวี่ยงขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว้กับขาอีกข้างอย่างฉุนเฉียว “กินน้อยแบบนี้เดี๋ยวก็หิวตอนบ่าย” ผมเผลอพูดออกไปเหมือนพูดกับเพื่อนตามปกติ หลังจากจบประโยคในใจกลับคิดว่า ทำไปเพื่ออะไร “เป็นห่วง?” มุมปากของไอ้คอปเตอร์ยกขึ้นมาวูบหนึ่งเหมือนภาพลวงตา แล้วก็หายไป “กูก็ทักตามปกติ ใครๆ เขาก็ต้องพูดกัน” “อ๋อเหรอ” พูดจบไอ้คอปเตอร์มันก็นั่งพิงพนักเก้าอี้นวมลงไปจนเหมือนจะเอนนอน ผมเหลือบมองนาฬิกาก็ต้องตกใจเพราะมันเกินบ่ายหนึ่งมาเกือบ 5 นาทีแล้ว “ฉิบหายแล้ว!!” ผมรีบยัดทุกอย่างเข้าปากและดื่มน้ำตามทันที “เฮ้ยๆ ไม่ต้องรีบเดี๋ยวติดคอตาย มึงมากับกูไม่มีใครกล้าว่ามึงหรอก” “ไม่เอา มาวันแรกก็เหลวไหลเสียแล้ว ไม่เอาหรอก” พูดจบผมก็ลุกขึ้นทันที ไอ้คอปเตอร์ส่ายหน้าถอนหายใจแต่ก็เดินตามมาอยู่โดยดี ………
ค็อปเตอร์จำวินได้ตั้งแต่แรกหรอ?
:a5: :serius2:
รักแรกมันลืมยาก
……… วิ่งมาถึงออฟฟิศก็เป็นอย่างที่ไอ้คอปเตอร์มันว่าจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะผมมากับมันหรอกนะ แต่พี่ๆ เขาใจดีต่างหาก นอกจากจะไม่ต่อว่าแล้วยังให้ไปนั่งพักที่ห้องอีก 15 นาที ช่วงบ่ายก็เป็นไปตามที่พี่ท้อปได้บอกไว้ งานเอกสารเป็นตั้งๆ มากองไว้ให้ผมที่มีหน้าที่นำเข้าระบบและจัดเรียงลงแฟ้ม ตรวจสอบความสมบูรณ์และสรุปความคืบหน้าเพื่อนำเสนอพี่ท้อปตอนเย็น ช่วงแรกผมก็รู้สึกยังติดๆ ขัดๆ อยู่นิดหน่อย เพราะความไม่คุ้นชินกับหน้าตาเอกสารและระบบงานของที่นี่ จริงอย่างพี่ท้อปกล่าวไว้ สิ่งที่เรียนมาแทบไม่ได้ใช้เลย แค่เอามาประยุกต์ได้ ผมนั่งผ่อนลมหายกับความยากลำบากและตั้งใจมาทั้งเกือบ 4 ปี ในขณะที่ผมกำลังนั่งง่วนอยู่กับกองเอกสารและระบบสารสนเทศที่ไม่คุ้นเคย ไอ้เพื่อนร่วมห้องผมกลับได้รับมอบหมายให้นำข้อมูลที่พี่เขาส่งให้มาทำสถิติแบบง่ายๆ ที่ผมเห็นมันทำอยู่ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ ตอนนี้ไอ้คอปเตอร์นั่งเล่นเกมส์ตีป้อมอยู่ข้างๆ ผมตลอดช่วงบ่ายที่เหลือ โดยที่ไม่มีใครเอางานมาให้มันทำเลยนอกจากผู้จัดการฝ่ายของที่นี่ “ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหม?” เสียงของไอ้คนเล่นตีป้อมอย่างเมามันทำให้ผมเสียสมาธิมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะมันทำหูทวนลม ไม่มีแม้แต่จะเหลือบมองผมด้วยซ้ำ จนในที่สุดฝึกงานวันแรกก็จบลง แต่สิ่งที่ผมไม่จบด้วยก็คือไอ้กองเอกสารตอนบ่ายนี่แหละ “กลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ แค่นี้ก็ทำได้เยอะแล้ว เก่งมาก ๆ เลย” พี่ท้อปปลอบใจ พร้อมเดินหิ้วกระเป๋าเตรียมพร้อมเลิกงานมาดูการทำงานของผม ณ เวลาเลิกงาน “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวก็เสร็จ ผมขออยู่ทำต่ออีกนิด” ผมปฏิเสธและหันไปมองกองเอกสารที่ยังค้างอยู่หนึ่งในสี่ของทั้งหมด “อย่าเลย น้องมาฝึกงานนะ ไม่ได้ให้มาทำงานจริงจังแบบนี้ เอาเป็นว่า พี่ขอให้กลับเลยนะ เก็บๆ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ” พี่ที่มองนาฬิกาเป็นระยะ ระหว่างพูด ได้พูดแกมบังคับให้ผมกลับให้ได้ “จริงมึง!! กูว่ามึงทำเร็วกว่าพนักงานประจำอีกนะ กลับเถอะ เงินที่ได้ก็ไม่เยอะ จะอะไรเยอะแยะว่ะ” เสียงของคนที่ผมลืมไปแล้วว่ามันยังอยู่ในห้องดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ตามนั้นแหละ” พี่ท้อปหันมาพยักหน้ากับผมด้วยสีหน้ากร่อยๆ “งั้น….ผมทำเอกสารที่ติดมือผมอยู่ให้เสร็จ ผมก็กลับแล้วครับ” ผมยกปึกเอกสารที่ติดมืออยู่แสดงให้พี่ท้อปเห็น พี่ท้อปผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายๆ แต่ก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน ผมเองก็รู้สึกล้าสายตาแล้วด้วยผมจึงรีบเคลียร์งานในมือให้เสร็จและทำการเก็บของทันที ในระหว่างนั้น สายตาผมก็ไปกระทบกับร่างหนึ่งที่เอนหลังเล่นเกมส์มือถืออย่างสบายใจ ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล ผมผ่อนลมหายและรู้สึกอิจฉาไอ้คนไม่รู้ร้อนตรงหน้า ทำไมงานเขากับงานผมมันต่างกันแบบนี้นะ ถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ “งานก็ไม่ได้ทำ แล้วทำไมยังไม่กลับ” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ในขณะที่กำลังเก็บของส่วนตัวลงกระเป๋าเป้ประจำตัว ไอ้คอปเตอร์เหลือบตามองผมอยู่วูบหนึ่งก่อนที่เลื่อนสายตาลงไปจ้องแสงสีวูบวาบที่หน้าจอโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของมัน พลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ “ช่วงเลิกงาน ลิฟท์มันจอแจ เบียดเสียดกูไม่ชอบ” “งั้นกูกลับละนะ” ผมโยนเป้ตัวเองคล้องไหล่ข้างหนึ่งและหมุนตัวไปทางประตู ภาพที่ผมเห็นในตอนที่เปิดประตูออกมาคือ สภาพใกล้เคียงกับช่วงเช้าคือ ผู้คนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และแสงไฟจากหลอดนีออนบนเพดานที่เปิดอยู่ตามจุดต่างๆ ที่คนยังนั่งอยู่ “Work life balance สินะ” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ “Work life balance กับผีน่ะสิ วันนี้เจ้านายใหญ่ไม่อยู่ต่างหาก ไม่มีใครค่อยสั่งงานเสริมช่วงบ่าย ทุกคนก็เลยถือโอกาสกลับกันตรงเวลาหน่อย ไม่อย่างนั้นอยู่กันยาวเลย” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง “อ้อ ที่เห็นรีบร้อนกลับกันเพราะแบบนี้สินะ เฮ้ย!! เดี๋ยว มึงจะกลับแล้วเหรอ?” ผมตกใจเมื่อหันไปเห็นอีกคนหิ้วกระเป๋าเบรนด์ชื่อดัง ใบจิ๋วคาดลำตัวพร้อมที่จะกลับบ้าน “เงินก็ไม่ได้กูจะอยู่ทำไม?” กวนประสาทกันไม่หยุด นี่มันจะพูดดีๆ กับเราไม่ได้เลยเรอะ ผมพยักหน้าแล้วเดินออกไปทางประตูหลัก พบว่าพี่เชอรี่เองก็ไม่อยู่เสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยเดินก้าวเท้าไปอีกหน่อยก็พบคนรออยู่หน้าลิฟต์หลายคน แต่ละคนต่างเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หรือเวลาในโทรศัพท์เป็นระยะๆ “ดูจากจำนวนคนแล้ว ท่าทางนานแน่เลย” ผมบ่นกับตัวเอง “ปกตินะ ที่นี่รอลิฟต์ไม่ต่ำกว่า 15 นาทีอยู่แล้ว” ไอ้เพื่อนไม่พึงประสงค์เอ่ยขึ้นมาเหมือนผมคุยกับมัน แต่ผมก็ไม่ต่อความอะไรยืนนิ่งรออย่างตั้งใจ 20 นาทีผ่านไป ขาผมเริ่มล้าและเริ่มท้อแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ขึ้นลิฟต์เสียที หากไม่คิดที่ผมอยู่ชั้นที่ 22 ผมคงเดินลงไปแล้ว ผมเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิด และเริ่มยืนแกว่งแขนไปมาแก้เบื่อ “วิน! ตามกูมา!!” คอปเตอร์สะกิดไหล่ผม แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจิ้มมากกว่า ผมหันไปทางต้นเสียงและเห็นไอ้คอปเตอร์ที่เดินไปอีกทางหันมากวักมือเรียกผมอย่างเอาแต่ใจ ผมหันไปทำหน้านิ่วใส่มันและทำปากถามกลับไปประมาณว่า ‘อะไร?’ มันขยับปากกลับมาทำนองว่า ‘ไม่ต้องถาม ตามกูมา’ ผมที่อยู่ท้ายแถวและรอจนเริ่มเหนื่อยหน่ายแล้ว ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจและเดินตามมันไปในที่สุด ไอ้คอปเตอร์พยักหน้าให้ผมตามเข้าไปในประตูอีกบานซึ่งเชื่อมต่อกลับเข้าไปในออฟฟิศ เช่นเดิมประตูนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนนิ้วมือถึงจะสามารถเข้าไปได้ ผมประหลาดอีกครั้งที่นิ้วของไอ้เพื่อนไม่สนิทคนนี้สามารถเข้าออกประตูได้ทุกที่เลยหรืออย่างไร? “ไปไหนเนี่ย?” ผมถามทันทีเมื่อถูกพาไปทางอีกด้านของทางเข้าออฟฟิศปกติ และเข้าไปลึกกว่าผมที่มองเห็น “ก็จะพาลงไปด้านล่างไง” เวลาที่ไอ้คอปเตอร์มันพูดโดยไม่มองหน้าคนสนทนาอย่างผมเนี่ย รู้สึกใจไม่ค่อยดีขึ้นมาเลย คือแทนที่มันจะพาลงบันได หรืออะไร แต่นี่มันพาไปคนละทางชนิดที่เดาไม่ออกเลยว่าข้างในจะเจอกับอะไร มันคงไม่พาผมไปขังไว้ทั้งคืนเพื่อแกล้งหรอกใช่ไหมเนี่ย? เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าผมก็สั่นและช้าลงไปในทันที “ทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้ กูไม่พามึงไปข่มขืนหรอก!!” ไอ้คอปเตอร์มันหันกลับมา คล้ายว่ามันรู้สึกได้ถึงการทิ้งห่างของผมกับมัน “แล้วทางนี้มันจะลงไปได้ยังไงวะ เห็นแต่ห้องทำงานเต็มไปหมด” ผมเถียงแบบสู้ชีวิต จะให้มันรู้ว่าเรากลัวไม่ได้ “มึงเพิ่งมาวันแรกอย่ามาทำรู้ดี” ไอ้คอปเตอร์เดินสวนกลับมาจับมือผมลากไปในทิศทางที่มันต้องการ มือที่จับแน่นจนผมดิ้นไม่หลุด ผมได้แต่ทำใจเดินตามมันไป แม้จะพยายามขืนตัวบ้าง แต่แรงช้างสารอย่างมัน ผมสู้ไม่ได้จริง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความร้อนจากมือของมัน และเหงื่อในกำมือของมัน ผมยิ่งรู้สึกอยากอาบน้ำ จากการถูกลากมาได้พักใหญ่ ผมก็ถูกลากจนเดินมาถึงประตูอีกฝากหนึ่งที่จงใจสร้างอย่างไม่เปิดเผยเท่าไหร่ และอีกเช่นกัน อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยด้วยระบบลายนิ้วมือ ปี๊บ เสียงอุปกรณ์นั้นดังมาพร้อมกับเสียงปลดล็อก ถึงตรงนี้ผมก็ยังประหลาดใจอยู่นะ มันเป็นแฮกเกอร์หรือ เจ้าของบริษัทวะ ประตูเปิดอ้าออกเผยให้เห็นลิฟท์อีกสองตัวขนาดย่อม มันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? เป็นคำถามที่เกิดขี้นในใจ “รีบไม่ใช่เหรอ? เข้าไปสิ” ไอ้คนที่มีหน้ากวนบาทาตั้งแต่เกิด พยักหน้าไปทางประตูลิฟต์ที่กำลังจะเปิด ผมได้ได้อึ้งจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ถูกมือหยาบใหญ่ของไอ้คอปเตอร์คว้าจับที่แขนและจูงลากเข้าไปโดยกำลัง เท้าของผมเซตามแรงดึงเข้ามาอยู่ในลิฟต์ที่มีขนาดจุได้เต็มที่ก็ 5 คน ด้วยความตกใจรู้ตัวอีกทีประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดพร้อมกับเสียงฮัมเบาๆของเครื่องยนต์ ลิฟท์ที่เหมือนนิ่งสนิทได้แสดงภาพที่จอมอนิเตอร์ขนาดเล็กที่มุมของบานประตูลิฟต์ ทำให้เห็นว่าลิฟท์ตัวนี้เคลื่อนที่ลงสู่ชั้นล่างได้เร็วผิดกับเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิท “โห!!” ผมร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นพลางก้าวไปขนาบข้างไอ้คนขี้เก็กที่ยืนล้วงกระเป๋ามองมอนิเตอร์นิ่งเงียบ พั่บ!! เท้าที่ก้าวออกมาทรงตัวได้ลำบากกว่าที่คิด เข่าของผมอ่อนแรงจนเซพับไปทางคนที่ยืนเป็นรูปปั้นอยู่ข้างๆ “ยืนนิ่งๆ ดีกว่านะ เห็นมันนิ่งๆ เงียบๆ น่ะ แต่มันเคลื่อนด้วยความเร็วสูงอยู่นะ ร่างกายน่าจะปรับตัวได้ลำบาก แนะนำให้ยืนหายใจอยู่นิ่ง ๆ จนกว่าเครื่องจะชะลอความเร็วดีกว่านะ” ไอ้คอปเตอร์คว้าแขนผมไว้อย่างพอเหมาะ ทำให้ผมทรงตัวได้ทันท่วงที หน้านิ่งแบบนั้นมันคิดจะแกล้งผมจริงๆ สินะ ผมคิด “เออ! รู้แล้ว ปล่อยกูได้แล้ว” ผมรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย ไม่สิ มึนๆ หัวมากกว่า ไอ้คอปเตอร์มันกลับนิ่งไม่ตอบและยังคงยึดแขนผมไว้แน่นเหมือนเดิม “ปล่อยกูไง!!” ผมพยายามขัดขืน “มึงแน่ใจนะ!” มันพูดเสียงแข็งแต่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองผมด้วยซ้ำ แต่คำพูดของมันทำให้ผมได้กลับมาสำรวจตัวเอง ผมรู้สึกได้เลยว่า แข้งขาผมมันอ่อนแรงจริงๆ ผมมองไปที่เงาสะท้อนตามผนังลิฟท์ พบว่าตัวเองหน้าซีดลงไปมาก ผมจึงเลิกขัดขืนยืนนิ่ง ๆ ให้มันช่วยประคองผมจนกระทั้งลิฟท์แจ้งเตือนเป็นเสียงหญิงสาวอันไพเราะว่าได้ลดความเร็วลงแล้ว และกำลังจะถึงจุดหมายในไม่ช้า จริงดังนั้น 5 วินาทีเท่านั้นบานประตูลิฟต์ก็เปิดกว้างออก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ มือของคอปเตอร์ที่ยังคงเกาะกุมแขนของผมแน่น “เอ่อ…ปล่อยได้แล้วมั้ง” ผมเอ่ยทักขึ้น “มึงโอเคแล้ว?” “เออ กูโอเค” จบประโยคมันก็ปล่อยผมทันทีและก้าวเดินออกจากลิฟต์แบบไม่รอกัน ส่วนผมที่หายหน้ามืดแล้วก็ตามออกมาทันที ลิฟท์ตัวนี้มาส่งถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วที่ทำให้ผมรู้สึกมึนงงไปหมด เพราะไม่เคยมาแถวนี้เลย มองซ้ายและขวาก็ไม่คุ้นเคย ส่วนไอ้คนที่พามาคือ หายสาบสูญไปแล้ว นี่คือผมโดนผีหลอกหรือเปล่าเนี่ย? บรรยากาศในลานจอดเวลานี้มันช่าง….. วังเวงจนผมรู้สึกเย็นวูบไปทั่วสันหลัง ผมทำได้แค่เดินออกจากช่องรอลิฟต์พลางมองหาทางออกนอกอาคาร ด้วยความที่แสงสลัวผมจึงทำได้แค่เพ่งมองอย่างหมดหวัง ผมตัดสินใจหันหน้าไปทางขวาเพื่อสุ่มเส้นทางที่จะออกจากที่นี่ ทันใดนั้นเอง แสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งก็ส่องวาบเข้ามาทางด้านหลัง และเสียงรถเบรกจอดอย่างกระทันหันที่ด้านข้างของผม ผมตกใจหันไปเจอรถตู้โดยสารขนาดกลาง รูปร่างสวยหรูหรากว่าทั่วไป แล้วบานประตูรถขนาดใหญ่ก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออกมา เผยให้เห็นผู้บริหารหนุ่มสุดหล่อ ในชุดสูทแบบเต็มยศก้าวลงมาพร้อมสีหน้าประหลาดใจที่เจอผมในสถานที่นี้ “เห็นใส่ชุดนักศึกษาก็นึกว่าเป็นคอปเตอร์” คำพูดที่ชวนขนลุกแบบนั้นเอ่ยออกมาจากปากรูปกระจับสวยสีชมพูเรื่อ ผมไม่ได้อยากเหมือนไอ้บ้านั่นเสียหน่อย ผมคิด แต่หน้ากลับทำได้แค่ยิ้มตอบ “ขอโทษนะครับ ทางออกไปทางไหนครับ?” ผมเอ่ยถามอย่างสุภาพ “เดี๋ยวนะ! มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ?” อีกฝ่ายตอบโดยใช้คำถาม “คือ…คอปเตอร์…” เจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องพูดตามตรง “โอเค เข้าใจแล้ว แปลกนะ แปลกนะเนี่ย” คุณร็อคเก็ต เอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม “ทำไมเหรอครับ?” ผมถามกลับแบบไม่คิดตามประสา “ก็ที่นี่น่ะ…” ปี๊ปๆๆๆ เสียงบีบแตรจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มาจอดเทียบรถตู้ทำให้คุณร็อคเก็ตเบี่ยงความสนใจไปทางต้นเสียงนั้น “ขึ้นรถ!!” ไอ้คอปเตอร์มันเปิดกระจกรถลงแล้วตะโกนเรียกผมเสียงดังลั่น “หา!!” “มึงจะกลับบ้านไหม?” “กลับสิ!” “กลับก็ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาออกจากนี่!!” “โอเคๆ ไปด้วย” จบประโยคผมยกมือไหว้ลาผู้บริหารตรงหน้าแล้ววิ่งผ่านหน้าเขาไปขึ้นรถสปอร์ตคันหรูที่จอดเทียบอยู่ เพียงแค่ก้นสัมผัสเบาะและประตูรถปิดลง รถก็ทะยานออกจากจุดเดิมด้วยความรวดเร็ว ผมที่ตั้งตัวไม่ทันถึงกับทรงตัวไม่อยู่ “คาดเข็มขัดด้วย!!” เจ้าของรถออกคำสั่ง “มีเวลาให้กูไหมล่ะ!!” ผมสวนมันไปด้วยความโมโห ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมเห็นมันหัวเราะชอบใจในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่นานรถก็ถูกขับเคลื่อนออกมาสู่ถนนใหญ่หน้าอาคารสูงที่เป็นสำนักงานใหญ่ โดนผ่านประตูกั้นที่มีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ต่างจากภายในอาคารเมื่อครู่ เอาเข้าจริงผมก็สงสัยนะ แต่คิดว่าไม่รู้จะถามมันทำไมเพราะไม่ต้องการจะสนิทสนมกับมันเท่าไหร่ มีพี่ชายเป็นผู้บริหารระดับนั้นก็คงไม่แปลกมั้ง “บ้านมึงอยู่ไหน?” ไอ้คอปเตอร์มันจอดรถที่หน้าอาคารตามที่มันเคยบอกไว้ว่าจะมาส่งตรงนี้ “พักอยู่หอแถวมหาวิทยาลัยน่ะ ใกล้ที่นี่มากกว่าที่บ้าน” พูดจบผมก็คิดอยากตบปากตัวเอง เผลอพูดเรื่องตัวเองมากไปแล้ว “อืม…. แถวถนนxxx ใช่ไหม?” มันทำท่าคิดตรึกตรองแล้วเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ผมพยักหน้าแล้วถามขี้นอย่างสงสัย “ทำไมหรือ?” “ทางผ่านบ้านกู” คอปเตอร์พูดจบก็เข้าเกียร์ D แล้วส่งรถพุ่งทะยานออกจากจุดจอดรถทันที “เฮ้ยๆ ขับไปไหน? ตรงนี้มันใกล้ป้ายรถเมล์มากกว่า” ผมพูดลนลานอย่างตกใจ ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน จะหาเรื่องแกล้งผมอีกไหม? “ก็บอกว่าทางผ่าน กูจะไปส่ง!!” ……………..
:z6:
มาต่อไวๆน๊าาาาา :hao7: :hao7:
บทที่ 2 ใครเพื่อนแก!! เข้าวันนี้ผมเตรียมตัวมาดี ทำให้มาถึงที่ฝึกงานก่อนเวลาทำงานไม่นาน ต่างจากเมื่อวาน รู้สึกตัวเองมีเวลานอนมากขึ้น คุ้นเคยกับเส้นทางมาทำงานมากขึ้น แต่เรื่องที่ไม่คุ้นเลยคือ เรื่องที่ไอ้คอปเตอร์มันไปส่งผมถึงหน้าหอพัก ด้วยความเร็วที่ผมไม่มีทางเหยียบคันเร่งถึงแน่นอน ผมถึงกับออกปากกับมันไปว่า “ถนนทางหลวงนะ ไม่ใช่สนามแข่งรถ” นอกจากมันจะไม่ตอบแล้ว มันยังขับเร็วเหมือนสิ่งที่เตือนไปไม่ได้เข้าหูมันเลยสักนิด ผมทำได้แค่นั่งกอดเข็มขัดนิรภัยแน่น และลุ้นว่ามันจะขับรถเสยก้นรถคันด้านหน้าหรือเปล่า แค่คิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ทำให้ผะอึดผะอมจนอยากจะอาเจียนเสียแล้ว “อ้าว!! น้องวิน สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายเหรอ?” พี่ท้อป ที่เดินเข้ามาทักผมในห้องพร้อมกับลากกล่องเอกสารหนึ่งกล่องใหญ่มาด้วย “เปล่าครับ สบายดีครับ” ผมตอบพร้อมยิ้มอ่อนๆ กลับไป “พี่ฝากทำงานต่อนะ ทำเหมือนเมื่อวานนี่แหละ ขอบใจนะ” พี่ท้อป ลากกล่องเอกสารมาวางด้านหน้าผม พร้อมยิ้มหวานให้ ผมทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ เพื่อแลกกับประสบการณ์การทำงานที่นี่ มันก็จะมาพร้อมงานหนักแบบนี้ ผมไม่ได้เกี่ยงงานนะ แต่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันน่าเบื่อไปหน่อย ผิดกับที่คาดการณ์ไว้โขเลย “เมื่อวานกลับดึกหรือเปล่า มาฝึกงานน่ะ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกนะ งานไม่เสร็จก็มาทำวันนี้ต่อ พี่ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” พี่ท้อปมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแฝงอยู่ “ผมเสร็จปึกนั้นตามที่บอกพี่ ผมก็กลับเลยครับ แต่ที่กลับช้ากว่าที่คิดเพราะรอลิฟต์นานนี่แหละครับ” “เฮ้ย! ปกติแหละ ช่วงเลิกงานนี่อย่างพีค บางวันมันก็เสียด้วยนะ พวกพี่ก็เลยรีบกลับไง” “โห…จริงง่ะพี่ แต่โชคดีนะที่ไอ้….เอ่อ… คอปเตอร์เขาช่วยพาลงลิฟต์ด้านหลังที่ไปลานจอดรถได้เลย” “ลิฟท์ด้านหลัง?” “ก็ที่อยู่ตรงห้องด้านในน่ะครับ” ผมพูดพร้อมชี้ไปยังจุดที่ลิฟต์ตั้งอยู่ “ตรงนั้นมัน…. เออ! ช่างเถอะ แล้วกลับบ้านยังไงล่ะ ดึกๆ แถวนี้หารถยากนะ” “คอปเตอร์บอกว่าทางผ่านกลับบ้านเขาน่ะครับ ก็เลยอาสาไปส่ง” ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอาสาหรือบังคับดี “ทางผ่าน!?!” “ทำไมเหรอครับ?” ผมถามกลับทันทีเพราะสีหน้าพี่ท้อปดูประหลาดใจอย่างแสดงออกจนผมรู้สึกตกใจ อะแฮ่ม!! เสียงกระแอมของใครสักคนดังขึ้นมาจากทางหลังพี่ท้อป “อ้าว!! น้องคอปเตอร์” พี่ท้อปหันไปทักคนด้านหลังด้วยท่าทางขัดเขิน อีกฝ่ายนอกจากจะไม่ตอบแล้วยังผายมือขอทางผ่านจากอีกฝ่าย พี่ท้อปเองก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อเปิดทางให้อีกคนเดินเข้ามาในห้อง “เมื่อกี้ พี่เรียกชื่อผม มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” ไอ้คอปเตอร์ที่วางท่าใหญ่โตเหวี่ยงกระเป๋าเป้หนังแคนวาสสีดำ ยี่ห้อหรูลงบนเก้าอี้ตนเองอย่างไม่ทะนุถนอม (สงสารน้อง) “ไม่นะ พี่ไม่ได้เอ่ยถึงนะ พี่คุยกับน้องวินเรื่องเมื่อวานเท่านั้นเอง” พี่ท้อปมีท่าทีลนลานแปลกๆ “กูเองที่เอ่ยชื่อมึงน่ะ” ผมยกมือยอมรับ ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มตาขวางหันมามองทางผมเล็กน้อย แล้วก็เลิกสนใจพี่ท้อปที่ยืนยิ้มเฝื่อนอยู่ตรงประตู จะว่าไป ผมเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่จะให้พี่ท้อปที่ไม่ได้พูดเป็นแพะก็เกินไป (แล้วทำไมพี่ท้อปต้องกลัวมันขนาดนี้) “พี่ท้อปให้ผมช่วยยกเอกสารเข้ามาไหมครับ?” ไอ้คอปเตอร์เสนอตัวเองช่วยเหลืออีกฝ่าย พี่ท้อปที่ได้ยินมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “ไม่มีครับ พี่ยกมาให้น้องวินทำงานต่อจากเมื่อวานน่ะ แค่นี้เอง” พูดจบก็ใช้กำลังลากอีกกล่องมาวางข้างโต๊ะทำงานผม “เมื่อวานไอ้วินมันยังทำไม่เสร็จเลย ให้ผมช่วยด้วยไหมครับ?” ครั้งที่สองที่มันเอ่ยให้ความช่วยเหลือ รู้สึกไม่คุ้นเลย ไม่เจอมันหลายปี นี่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้เลย? “เฮ้ย ได้ยังไง พี่เอก ผู้จัดการพี่เขาต้องเป็นคนมอบหมายเอง พี่ไม่ขอยุ่งกับเราดีกว่านะ แต่ก็ขอบคุณนะ” พี่ท้อปมีท่าทางเกรงใจ “ก็ไม่เคยเห็นได้งานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง!” ไอ้คอปเตอร์ที่บ่นอุบอิบก่อนจะทิ้งตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้เต็มแรง “พี่เขียนโน้ตไว้หมดแล้วนะ หากไม่เข้าใจอะไรมาถามพี่นะ” พูดจบพี่ท้อปก็เดินจากไปทันที ผมยังไม่ทันได้อ่านโน้ตน้อยๆ ที่ติดอยู่เลย “ว่าไง ให้กูช่วยไหม?” ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนกินอะไรผิดสำแดง ถามผมด้วยตนเอง “ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองทำเองก่อน หากไม่ไหว แล้วจะบอก” ผมยิ้มตอบกลับไป อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้านิ่งตอบกลับมา และหันไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตนเองทันที แน่นอนว่าผมอยากให้ช่วยนะ แต่ผมคงอึดอัดที่ต้องทำงานกับมัน บอกตามตรงหน้ามันผมยังไม่อยากจะมองเลย แล้วต้องมานั่งทำงานกับมันนี่ผมไม่เอาหรอก ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ผมตั้งใจเคลียร์งานของเมื่อวานให้หมดจะได้เริ่มของใหม่เสียที แต่จนแล้วจนรอด เกือบเที่ยงแล้วผมถึงได้จัดการกองเอกสารเมื่อวานเสร็จ ทำไมที่นี่ฝึกงานโหดขนาดนี้นะ พี่ท้อปเดินเข้ามาทักทายและชวนผมไปกินข้าวด้วยกันเพราะวันนี้ภรรยาไม่ได้เตรียมมื้อเที่ยงมาให้ แน่นอนว่าผมดีใจจนออกนอกหน้า “เดี๋ยวผมพาไปเองครับ” ไอ้คอปเตอร์ มันพูดแทรกขึ้น ทำให้พี่ท้อปยอมให้กับมันแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ “งั้นพี่ฝากน้องวินด้วยนะ” พี่ท้อปเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินหายไป “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปกินกับพี่ดีกว่า เกรงใจน่ะ” ผมแทรกขึ้นมาตามหลัง “แต่กูจองที่ไว้แล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์สวนกลับมาเสียงแข็ง ผมที่มองหาตัวช่วยอย่างพี่ท้อป ก็คือ หายสาปสูญจาดจุดเดิมไปแล้ว ผมรู้นะว่าไอ้คอปเตอร์มันมีพี่ชายเป็นผู้บริหาร แต่ทำไมต้องกลัวมันขนาดนี้ด้วยนะ สุดท้ายวันนี้ผมก็โดนมันลากมากินชั้น VIP เหมือนเดิม คราวนี้ที่แปลกไปคือ คนที่มากินมื้อเที่ยงที่นี่ก็มีแต่คนแปลกหน้าและคนต่างชาติทั้งนั้น ผมรู้สึกประหลาดใจมากจึงได้เอ่ยปากถามคนที่ผมเกลียดขี้หน้าออกไป (อยากตีปากตัวเองที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด) “ทำไมวันนี้คนต่างชาติเยอะจัง” “บางที่ไอ้ร็อคมันก็พาลูกค้ามา Lunch meeting ที่นี่น่ะ” “มึงเรียกพี่ชายว่า ‘ไอ้’ กลางบริษัทเลยเนี่ยนะ” ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบนิสัยแบบนี้ของมันขึ้นทุกที “กูบอกแล้วไงว่ากูเป็นลูกคนเดียว” “เออ! กูไม่เถียงกับมึงแล้ว” พอกันที ยิ่นเสวนาด้วยยิ่งหงุดหงิด ทำใจทำตัวเป็นเพื่อนกับมันไม่ลงจริงๆ บรรยากาศที่นั่งอีกฝั่งทำให้ผมได้แต่รู้สึกทึ่งกับความเทพของผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ขนาดมื้อเที่ยงก็ยังทำงานได้ด้วย การพูดภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษา ความมีเสน่ห์ในการสื่อสาร และสุดท้ายก็ปิดงานได้อย่างสมบูรณ์ ทุกคนมีรอยยิ้มมีความสุขผ่อนคลายในการกินมื้อเที่ยง สายตาที่ผมมองพี่ร็อคเก็ต คงไปโดนใจไอ้เพื่อนร่วมโต๊ะเข้า มันเลยได้แต่ทำเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจแบบเนืองๆ จนผมอดที่จะรำคาญและแอบมองค้อนใส่มันไม่ได้ ถึงแม้สีหน้ามันจะน่ากลัวก็เถอะ แต่ในสถานที่เปิดแบบนี้ มันคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงแน่นอน “อ้าว! เจอกันอีกแล้ว” พี่ร็อคเก็ตเดิมเข้ามาทักหลังจากที่ปรายตามาเจอผมที่กำลังมองอย่างชื่นชมและสบตากันพอดี “ครับ พี่…..เอ่อ….คุณร็อคเก็ต…” ผมที่เผลอเรียกอย่างสนิทสนมด้วยความติดเป็นนิสัย เพื่อนเคยเตือนอยู่ว่า อย่าเอานิสัยแบบนี้มาทำในที่ทำงาน “เรียกพี่เถอะ ก็เป็นเพื่อนคอปเตอร์นี่นะ” ผมที่ทำหน้ายิ้มเฝื่อนตอบไป ยินดีที่พี่ร็อคเก็ตไม่ถือสา และไม่ยินดีที่กลายเป็นเพื่อนกับไอ้ตนหน้าบอกบุญไม่รับที่ร่วมโต๊ะด้วย “อาหารที่นี่อร่อยนะ ชอบไหม?” พี่ร็อคเก็ตถามด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ “อร่อยครับ อร่อยมาก แต่เกรงใจจัง ทราบว่าเป็นพื้นที่ VIP” “ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ให้ HR ใส่ชื่อเราลงไปในรายชื่อคนที่มีสิทธิ์แล้ว ก็คอปเตอร์น่าจะพามาเป็นประจำ รู้ไหม น้องเป็นคนแรกเลยนะที่เจ้าคอปเตอร์พามาหากไม่รวมเพื่อนซี้อย่างเจ้าวศิน…..” “เสือกไม่เข้าเรื่อง มากับกู กูก็พามันเข้ามาได้!” ไอ้นักเลงที่ผมมาด้วยเค้นเสียงออกมาเชิงบ่นให้พี่ชายตนเองได้ยินแทรกประโยคที่เหมือนจะพูดไม่จบ “ก็ตามนั้นแต่แบบนี้สะดวกกว่านะ งั้นพี่ไปก่อนนะมีประชุมตอนบ่ายโมงน่ะ” พี่ร็อคเก็ตยิ้มหวานแล้วเดินจากไปในชุดสูทสีเทาของอาร์มานี่ ผมหันมามองหน้าไอ้คนตาขวางที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยความเวทนา ทำไมไม่เอาสิ่งดีๆ เข้ามาในดีเอ็นเอตัวเองบ้างเลยวะ ในที่สุดช่วงบ่ายผมก็สามารถทำงานที่ค้างอยู่ได้เสร็จสมบูรณ์ เอกสารที่ต้องบันทึกข้อมูลลงระบบถูกจัดเก็บเข้าแฟ้มเอกสารและชั้นวางเรียบร้อย ผมมองดูชั้นเอกสารที่เป็นระเบียบอย่างภูมิใจจนเผลอยิ้มออกมา “มันควรจะมีระบบการทำงานที่ดีกว่านี่หรือเปล่าวะ เอกสารที่เป็นกระดาษมันเยอะเกินไปไหม?” เสียงจากเพื่อนร่วมห้องที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานสถิติกิ๊กๆ ก๊อกๆ ไปวันได้กล่าวขึ้นมาทำลายบรรยากาศแห่งความภูมิใจของผม “กูรู้!! แต่ระบบงานที่มีอยู่มันก็ไม่ได้แย่ เท่าที่กูทราบ ที่รับกูเข้ามาเพราะจะเข้ามา Transformation นี่แหละ” ผมตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ของมันอีกครั้ง ด้วยความทำตัวไม่ถูก ผมจึงรีบหันไปจัดการกับกองเอกสารอีกกล่องมี่เพิ่งมาใหม่ ผมสังเกตเห็นว่ามีกระดาษขนาดเอสี่ ที่เขียนกระบวนการทำงานหยุกหยักเต็มหน้า และทิ้งท้ายเอกสารไว้ว่า ‘หากไม่เข้าใจให้เดินมาถามพี่ที่โต๊ะ’ แน่นอนว่าหลังจากอ่านลายมือไก่เขี่ยบนกระดาษแผ่นนั้นจบ ผมไม่รอช้าที่จะเดินไปหาพี่ท้อปพร้อมกระดาษแผ่นนั่น “พี่ครับ ผมไม่เข้าใจที่พี่เขียนเลย” ผมชูกระดาษขึ้นสูงให้ท้อปเห็นชัดเจน “พี่ก็รออยู่!! ไม่รู้ก็ไม่แปลกก็พี่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น” พี่ท้อปกวักมือเรียกให้ผมขยับไปใกล้ “หา!!” ผมได้แต่อุทานกับท่าทีของผู้ใหญ่คนหนึ่ง “พี่ถามหน่อยนะ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อวานให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?” พี่ท้อปที่ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นจนเกินเบอร์ ทำให้ผมรู้สึกว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแล้ว “เรื่องไหนครับ?” ผมทำหน้าเบลอใส่ “เรื่องตอนกลับบ้านเมื่อวานไง” พูดไปก็ชี้เข้าไปด้านในออฟฟิศไปด้วย หลังจากที่ผมมองตามไปทางนิ้วที่ชี้ไปก็เข้าใจ ระหว่างที่พี่ท้อปรอผมเริ่มพูด พี่แกก็ก็เคาะผนังกั้นโต๊ะข้างๆ เพื่อเรียกเพื่อนให้มาฟังด้วย ทำเอาผมถึงกับเบิกตาประหลาดใจกับอากัปกิริยาแบบนี้ของพี่ๆ นี่ผมกำลังโดนสอบสวนเหรอเนี่ย แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรก็เลยพยายามเล่าเรื่องเท่าที่คิดออก และยกเว้นเรื่องความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้คอปเตอร์ จะให้บอกว่าเกลียดมันเพราะเรื่องในอดีตก็ดูจะไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ “แปลกเหรอครับ?” ผมถามทิ้งท้ายประโยค “แปลก!! แปลกมาก!!” พี่ท้อปและผองเพื่อนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพูดพร้อมกัน “น้องรู้ไหม พี่ทำงานมาเป็นปียังไม่รู้เลยว่าอีกฝากหนึ่งของประตูนั่นคืออะไร?” พี่สาวตัวเล็กตาโตผมยาวได้พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “เหรอ..ครับ” ผมแสดงออกด้วยท่าทางค่อนข้างไม่เข้าใจ ถึงจะรู้ว่าไอ้คอปเตอร์มันพิเศษแต่ไม่คิดว่าจะพิเศษระดับนี้ “ก็มีแต่ผู้บริหารระดับสูงกับเจ้าของบริษัทเท่านั้นแหละถึงจะเข้าไปได้” พี่ท้อปเสริม “มันก็แต่ลิฟท์เองนะครับ ถึงจะแน่นหนามากก็เถอะ” ผมทบทวนเรื่องเมื่อวานไปด้วยระหว่างพูด “พี่ไปสืบมาแล้วว่า ลิฟท์นั้นเป็นลิฟท์เฉพาะที่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะบางคน และ จะกดไปแต่ละชั้นได้ต้องใช้คีย์การ์ดเท่านั้น! และรู้ไหมว่าทำไม ลิฟท์นั้นถึงพิเศษ!!” พี่ท้อปพูดด้วยอาการตื่นเต้น ผมได้แต่ตั้งใจและเพลินไปกับอากัปกิริยาของพี่ท้อปและผองเพื่อนที่เล่นใหญ่ไม่น้อยเลย แต่เชื่อไหมครับว่า เสียงเงียบมากเหมือนเล่นละครใบ้กันเลย “มันไปถึงชั้นจอดรถวีไอพี่ได้มั้งครับ” ผมตอบหน้านิ่ง พยายามข่มใจไม่ให้ขำกับภาพตรงหน้า “เอ่อ….มันก็ใช่ แต่นั่นมันธรรมดาไป!! ลิฟท์นั้นสามารถไปถึงชั้น เพนต์เฮ้าส์ได้น่ะสิ” พี่ท้อปพูดเสร็จก็หันไปหาเพื่อนๆ ที่มีอาการหวีดว้ายในใจ “ข่าวลือนั่นก็จริงสิ!!” พี่ผู้ชายอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมยกมือทาบอก ในขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มต่างพยักเห็นด้วยพร้อมกับเสียงฮึมฮัมเบาๆ “อธิบายหน่อยได้ไหมครับ?” ผมยกมือขึ้นเสมอหน้าอกเพื่อเรียกความสนใจ “อันนี้ก็จะเข้าสู่คำถามถัดไป… คุณคอปเตอร์อาสาไปส่งน้องวินที่หอพักใช่ไหม?” พี่ท้อปใช้คำถามเป็นคำตอบ “ใช่… ก็มันบอกว่าทางผ่าน” ผมกลืนความสงสัยเรื่องสรรพนามนำหน้าที่ไอ้คอปเตอร์ว่า ‘คุณ’ ไว้ในใจก่อน “โอเค” พี่ท้อปไม่ตอบ แต่หันไปหาเพื่อนที่ล้อมวงกันอยู่ ผมได้แต่หันไปมองรอบๆ อย่างตื่นๆ และสงสัย เผือกร้อนในอกมันร้อนรนจนแทบจะยืนนิ่งๆ ไม่ได้ “เพนต์เฮ้าส์ที่พี่พูดถึงน่ะ ก็คือบ้านที่อยู่อาศัยของตระกูล ‘เตชาพิทักษ์’ ไงล่ะ” พี่ท้อปขยับร่างท้วมๆ เข้ามาใกล้ขึ้นและกระซิบ ผมพยายามนึกว่าหมายถึงอะไร พี่ท้อปส่ายพร้อมเฉลย “ก็บ้านของคุณร็อคเก็ตกับคุณคอปเตอร์นี่แหละ พวกเขาอาศัยกันที่ สองชั้นบนสุดของตึกนี้!!” ผมได้แต่ร้องตกใจกับความจริง ……….
:a5: o22
น้องวินช็อคเลย :a5: o22 :laugh:
เพราะไอ้พี่ท้อปนี่แหละทำให้ผมคิดมาก แทบจะไม่มีสมาธิทำงานช่วงบ่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อมีไอ้คุณคอปเตอร์นั่งอยู่ข้างๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พี่เอก ผู้จัดการสุดหล่อ เดินมามอบหมายงานเบาๆ ให้กับไอ้คุณคอปเตอร์มัน ที่ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ง่ายเพราะเห็นมันทำกุกๆ กักๆ เพียงไม่กี่นาทีมันก็มานั่งถอนหายใจอย่างหน่ายๆอยู่ข้างผมนี่ “แน่ใจนะว่าไม่อยากให้กูช่วย?” คำถามที่ออกจากฝีปากยียวนของไอ้คอปเตอร์ ผมยังคงปฏิเสธต่อไป เพราะคิดไม่ตกว่ามันจะมาไม่ไหน ไอ้คนนิสัยไม่ดีอย่างมัน คงไม่ได้หวังดีอย่างกับคนทั่วไปแน่นอน เพราะไอ้ความคิดเหล่านี้แหละ ทำให้งานช่วงบ่ายไม่คืบหน้าเท่าไหร่ เพราะในหัวก็พลางคิดถึงวิธีรับมือกับมันร้อยแปดอย่าง ประสบการณ์ของผมมันสอนไว้ว่าอย่าไว้ใจมัน!! และแล้วเรื่องหนึ่งสมัยมัธยมต้นก็ผุดขึ้นมา ช่วงกีฬาสีของโรงเรียน คนตัวเล็กๆ อย่างผมในสมัยนั้น ไม่เป็นกองเชียร์ขึ้นสแตนด์ก็ต้องอยู่ฝ่ายสวัสดิการเบ็ดเตล็ดนั่นแหละ ในขณะที่ผมกำลังวิ่งวุ่นกับการเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำนักกีฬาอยู่นั้น อยู่นักกีฬาคนหนึ่งในทีมฟุตบอลหายไป ผมและทีมงานจึงถูกมอบหมายมีหน้าที่ต้องไปตามหาก่อนที่การแข่งครึ่งหลังจะเริ่ม ผมซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปหาในห้องน้ำ ก็ไปพบนักกีฬาคนหนึ่งในห้องน้ำด้วยอาการเป็นตะคริวที่ขา สีหน้าบิดเบี้ยวนั้นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบดบังความหล่อของคนๆ นั้นไม่ได้ ไอ้คอปเตอร์!! ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่ใจนั่นสั่นไหว ถึงแม้ในสมัยนั้นมันจะเรียกได้ว่าฮอตของฮอตที่สุดในโรงเรียน ที่ผมใจสั่นเพราะ มันคือคนจ้องพยายามแกล้งผมทุกครั้งที่มีโอกาส บอกตรงๆ ว่าโคตรเกลียดมันเลย!! แต่ผมกลับต้องมาเป็นคนช่วยมัน!! แต่เป็นโชคของมันที่ผมมียาฉีดพ่นบรรเทาอาการปวดมาด้วย ผมที่ห่วงเรื่องชัยชนะของสีตนเองจึงไปพุ่งไปจัดการเอายาฉีดพ่นบรรดทาอาการปวดให้ และก้มลงไปพยายามยืดเส้นให้กับมันอย่างกระตือรือร้น แม้จะแปลกใจว่าทำไมมันถึงได้ยอมให้ผมทำง่ายๆ และไม่ได้มีทีท่าว่าจะรังแกอะไรผม แปลว่ามันน่าจะเจ็บจริงๆ ผมนวดคลึงอยู่นาน แม้ว่ามันจะร้องโอดโอยอยู่บ้าง แต่ผมก็พยายามเบามือที่สุดแล้ว ในขณะที่ผมก้มหน้าก้มหน้าตั้งใจช่วยเหลืออยู่นั้น ผมก็รู้สึกว่ามีสายตาของมันคอยจ้องอยู่อย่างกับงูจ้องจะกินเหยื่อ “ยืนไหวไหม?” ผมถาม “อืม” มันพยักหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อตอบกลับมา ผมพยายามช่วยพยุงให้มันลุกขึ้นด้วยอาการขาสั่นเทา ไม่คิดว่าเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกันคนหนึ่งมีนำ้หนักมากขนาดนี่ หรือผมเอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวหรือเปล่านะ ระหว่างที่ความคิดเรื่องสมรรถนะร่างกายตนเองไปด้วยออกแรงไปด้วย ขาของไอ้คนที่ผมพยายามช่วยกลับอ่อนแรงจนเซมาทับผม ผมซึ่งตั้งหลักยืนพิงอ่างล้างมืออย่างทุลักทุเลก็รีบคว้ามือไปกอดให้คนที่ขาเป็นตะคริวไม่ให้ล้มไปเสียก่อน “เฮ้ย!!” ผมร้องเสียงหลง มือก็เกาะกุมอีกฝ่ายไว้แน่น แต่ก็แปลกที่คนที่ทรงตัวลำบากกลับไม่พยายามเกาะกุมผมไว้เลย “กูรู้นะว่ามึงรังเกียจคนแบบกู แต่ตอนนี้มันใช่เวลาไหม?” ผมที่ขาสั่นเพราะแบกรับน้ำหนักเหล่านั้นขึ้นเสียงเพราะหากอีกฝ่ายไม่ช่วยเหลือตนเองบ้าง พวกเราจะล้มกันทั้งคู่ “ใครบอก?” ไอ้คนเจ็บพูดเหมือนเสียงกระซิบ พร้อมกับเกาะกุมผมไว้แน่น จะเรียกว่ากอดแน่นๆ ก็ได้เพราะผมเริ่มอึดอัดแล้ว “เอ่อ…พอได้ยัง?” ผมพูดเพราะสภาพผมตอนนี้เหมือนห่มเสื้อบอลตัวใหญ่คลุมร่าง เสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของนักกีฬา แปลกนะ ผมไม่ได้รังเกียจอะไร กลับรู้ว่า ไอ้คนๆ มันตัวหอมจังวะ คงใช้นำ้หอมแพงตามประสาคนรวย เพียงพริบตาเดียว ผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องน้ำอย่างแรง ผมเสียหลักลงไปนั่งตรงฝาชักโครกที่ปิดไว้ ผมร้องเสียงหลงเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนที่เราช่วยเหลือทำร้ายตนเองขนาดนี้ ตามด้วยประตูที่เหวี่ยงปิดตามแรงควายของไอ้บัดซบนั่นเสียงดังลั่น ผมสบถหยาบคายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุบประตูเพื่อให้ไอ้คนเนรคุณเปิดประตูและปลดกลอนที่ลงไว้ด้านหน้า “อ้าว!! ไอ้คอปเตอร์ ทั้งสนามเขาตามหามึงให้ควัก มึงมาเล่นเชี้ยอะไรตรงนี้!! จะเสี่ยนบุหรี่ก็ให้มันถูกเวลาหน่อย มึงเป็นนักบอลนะ เดี๋ยววิ่งเป็นหมาหอบแดด!!” เสียงมี่ผมจำได้ขึ้นใจ อันธพาลอีกคนประจำโรงเรียน รุ่นพี่ขาใหญ่เจ้าถิ่นที่ไอ้บัดซบนี่สนิทด้วย “ผมแวะมาเอาน้ำเย็นลูบขาหน่อยน่ะครับ รู้สึกหน่วงๆ เวลาวิ่ง พอดีมาเจอไอ้นุ่มนิ่มคนหนึ่ง มันมาเข้าห้องน้ำก็เลยแกล้งมันนิดหน่อยก่อนไปแข่งต่อ!” มันพูดจาห้าวหาญผิดกับเมื่อครู่ “ไอ้เชี้ย มึงนี่เลวได้โล่เลย จะว่าไปก็ไม่ต่างจากพวกกูเลย กูเพิ่งไปโยนงูปลอมใส่ไอ้พวกลีดฯ แม่งวิ่งกันป่าราบเลย นิ่งๆ มันก็แมนอยู่นะ แต่พอตกใจนี่ สาวแตกกันหมดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ไอ้คนเลวมันก็หัวเราะกับเขาด้วย ในขณะที่ผมพยายามเงียบที่สุด “มึงรีบไปได้แล้ว เดี๋ยวที่นี่กูจัดการต่อ” “ไม่เป็นไรพี่ ผมจะขังมันไว้แบบนี้!! พวกเราไปดูผมแข่งดีกว่า!” โชคดีที่ไอ้พวกอันธพาลพวกนี้มันเห็นด้วย เสียงจอแจด้านนอกจึงเงียบหายไป ทิ้งผมซึ่งถูกขังอยู่ในห้องน้ำคนเดียว กว่าจะมีคนมาเจอผมก็พลบค่ำเสียแล้ว ต้องขอบคุณคุณภารโรงใจดีที่มาข่วยผมออกไป ผมดึงสติกลับมาจากภาพจำในอดีตที่ผลาญเวลาทำงานของผมไปหลายนาที “ก็เพราะมึงเหม่อไปทำไปแบบนี้ไง แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ!!” เสียงไอ้เพื่อนไม่สนิทดังขึ้นข้างหู ผมที่เผลอไปนึกถึงเรื่องในอดีตทำให้เผลอแสดงอาการตกใจกลัวออกมาวูบหนึ่ง “มึงนี่ขวัญอ่อนนะ” มันขมวดคิ้วสงสัยกับอากัปกิริยาที่ผมแสดงออกมา หากเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันจริงก็คงสงสัยไม่ต่างจากที่มันทำอยู่ ก็ผมเล่นสะดุ้งและขยับถอยห่างจากมันไปเป็นวา บวกกับอาการสีหน้าที่ถึงผมไม่มองตัวเองในกระจกก็รู้ว่าหน้าซีดลงมาก “ก็กูกำลังคิดอะไรเพลินๆ” ผมแก้ตัว “งานง่ายๆ แบบนี้ถึงไม่คืบหน้านี่ไง!!” ก็เพราะมึงนั่นแหละ!! ผมสบถใส่ไอ้คอปเตอร์ในใจ “ให้กูช่วยไหม?” ผมเจอคำถามนี่รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ แต่แน่นอนว่าก็จะปฏิเสธอีก “ไม่เป็นไร กูกำลังเข้ามือเลย” “ช้าไป!!” มันสวนกลับมา “มึงไม่เคยทำ มึงไม่รู้หรอก!!” “แต่กูเห็นมึงทำมาวันที่สองแล้ว กูว่ามันไม่ยาก” “งั้น…มึงลองทำดูเลย!!” ผมยื่นเอกสารในมือให้มันไปปึกใหญ่ ไอ้คอปเตอร์มองหน้าผมด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้เห็นเสี้ยววินาที ก่อนที่จะรับเอกสารในมือของผมไป “พี่เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าที่นี่มีพนักงานทั้งหมด สี่พันห้าร้อยสิบสี่คน” “เออ…แล้ว….” “สวัสดิการของคนที่นี่น่ะมีแผนแบบ flex Ben……….” และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมไม่สามารถไล่ตามความอันเป็นระบบระเบียบและความรอบรู้บางอย่าง แม้แต่เกร็ดเล็กน้อยภายในบริษัท มันก็สามารถอธิบายได้อย่างละเอียด แน่นอนว่าผมทำเป็นพยักหน้าและเข้าใจ กับการอธิบายไปใช้นิ้วกรีดขอบปึกเอกสารไปด้วย อีกทั้งยังชี้แจงเรื่องต่างๆ ที่เจอในเอกสารได้ด้วยสีหน้าจริงจังชวนอึ้ง บางข้อมูล พี่ท้อปเองยังไม่เคยบอกผมเลย บางข้อมูลน่ะอธิบายได้ละเอียดเสียจนผมรู้สึกสิ่งที่ผมรู้มามันน้อยเหมือนเม็ดทรายกับน้ำในมหาสมุทร นี่ผมยังเตรียมตัวไม่พอหรือนี่? ในตอนท้ายสุดไอ้คนตรงหน้าผมเนี่ยยังสามารถขมวดสรุปประเด็นต่างๆ และแนะนำวิธีใช้งานซอฟท์แวร์ที่ผมใช้อยู่ได้อย่างเข้าใจและทำงานได้เร็วขึ้นมาก หลังจากพูดจบผมแทบจะมองไอ้คนที่เคยเหลวแหลกตรงหน้าอย่างกับคนละคน “เข้าใจมากขึ้นไหม งั้นมาลองทำพร้อมกัน!!” ผมเออ ออ ด้วยอาการอ้ำอึ้ง แต่ก็ขยับเก้าอี้เข้าที่และเริ่มทำตามคำแนะนำของไอ้เพื่อนไม่สนิทคนนี้ ไอ้คอปเตอร์ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อที่จะได้ช่วยแนะนำกระบวนการทำงานและอธิบายเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น แปลกตรงที่ว่า ไอ้ความรู้สึกอึดอัดเมื่อครั้งแรกที่เจอมันหายไปหมด อาจเพราะไอ้คอปเตอร์มันพูดเยอะขึ้น แต่กลับใช้น้ำเสียงที่ต่างออกไป มันก็เลยลดระยะห่างระหว่างผมกับมัน รู้ตัวอีกทีกองเอกสารที่ต้องจัดการบันทึกลงระบบก็เหลือเพียง สองชุดเท่านั้น และที่สำคัญยังไม่ถึงเวลาเลิกงานด้วย ผมเผลอยิ้มกับผลงานของเราสองคนกับมัน แต่ไอ้คนยิ้มยากอย่างมันกลับทำตาโตและเม้มปากอย่างกับพยายามจะต่อว่สอะไรผมอีก เออนะ!! ก็กูไม่ใช่สาวสวยนี่ นี่มึงคงช่วยกูเพราะเห็นแล้งสังเวชใช่ไหม? ผมคิดในใจ ผมหันกลับทำหน้านิ่งและกัมหน้าก้มตาทำเอกสารที่เหลือให้เสร็จ “ว่าไง!! พี่รู่ว่ามันเยอะ แต่พี่มีมาเพิ่มอีกได้ไหม? ช่วย….พี่….เอ๊ะ!” พี่ท้อปผลักบานประตูเข้ามาพร้อมกล่องเอกสารขนาดเอสี่อีกสองกล่อง และทำสีหน้าแปลกใจที่ท้ายประโยค “โหหหห นี่จะเสร็จแล้วนี่!! สุดยอดเลย เก่งอะไรขนาดนี้!” พี่ท้อปอุทานตาเบิกกว้างกับกองเอกสารที่ถูกลำเรียงจัดเข้าแฟ้มอย่างเป็นระเบียบ “อ๋อ ก็ คุณคอปเตอร์เขาช่วยน่ะ” ผมผายมือไปทางคนที่ทำตาขวางใส่ผู้มาใหม่ พี่ท้อปที่ยืนทำหน้าตาประหลาดใจตัวแข็งทื่อ ไร้คำพูดใดๆ นอกจากมองสลับไปมาระหว่างผมกับนักเลงตาขวางข้างๆ ผม “งั้นขอบคุณนะครับ เอ่อ พี่… ว่าจะเอางานใหม่มาให้นะครับ” พี่ท้อปพูดจบก็เดินเข้ามายื่นกล่องเอกสารที่ถืออยู่ให้ผมด้วยความเร่งรีบ ผมรีบไปคว้ารวบไว้ด้วยความตกใจ “เหมือนเดิมนะครับ?” ผมถาม “ใช่ๆ เหมือนเดิม งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” ท่าทางรีบร้อนของพี่ท้อปทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ให้ไอ้เด็กเส้นอย่างมันมาช่วย “เดี๋ยวครับพี่!” ไอ้คุณคอปเตอร์เสียงแข็งขึ้นมา “ครับ” พี่ท้อปเผลอหลุดพูดออกมาเสียสุภาพ “ผมว่าเรื่องงานพวกนี้ผมเคยแนะนำไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วนี่ ทำไมยังทำงานกันเหมือนเดิมอยู่?” คำพูดคำจาของไอ้เด็กที่มีสถานะฝึกงานเหมือนผม กลับเหมือนเป็นเจ้านายของพี่ท้อปอีกคน “ก็…. มันอยู่ในระหว่างพัฒนาระบบเพื่อซัพพอร์กระบบงานที่คุณคอปเตอร์แนะนำน่ะครับ การบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วนก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อนำไปต่อยอดทำงานต่อ….” พี่ท้อปร่ายยาวเหมือนกำลังพรีเซนต์หน้าห้องประชุม “เรื่องนั้นผมเข้าใจ แต่การทำงานแบบนี้มันหยาบไป ช่างเถอะ! เดี๋ยวผมจะคุยเรื่องนี้กับพี่เอกเอง” “เอ่อ….” พี่ท้อปหน้าซีดลงเห็นได้ชัด ผมมองหน้าไอ้คนไม่มีมารยาทแบบรังเกียจจนเห็นได้ชัดแน่ๆ เพราะไอ้คนที่กำลังดุใส่พนักงานประจำที่อายุและประสบการณ์ทำงานมากกว่าเราหลายรอบปี ไอ้คอปเตอร์เหมือนอึกอักพูดต่อไม่ถูก “โอเคๆ พี่ไปเถอะ ผมจะถือว่าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน แต่ผมก็คาดหวังว่างานแบบนี้มันจะน้อยลงนะ” ไอ้คอปเตอร์ผ่อนลมหายออกแบบยกตัวและบ่ายหน้าหนีไปมองจอ พี่ท้อปเมื่อได้โอกาสก็รีบเผ่นออกจากจุดนั้นทันที แต่ก่อนออกไปพี่ท้อปก็พูดกับผมทิ้งท้ายว่าก่อนเลิกงานให้ไปหาพี่เขาที่โต๊ะหน่อย ไอ้คอปเตอร์ที่ควรจะเลิกสนใจพี่ท้อปและผมแล้วดันหันกลับมาบอกว่าวันนี้ผมทำงานเยอะแล้วก็ควรจะให้พักได้แล้ว พี่ท้อปจึงเปลี่ยนเวลาเป็นพรุ่งนี้เช้าแทน
คอปเตอร์น่าจะเป็นลูกเจ้าของบนิษัทไหม ที่คอยแกล้งวินตอนเด็กเพราะสนใจวินใช่ไหม
:katai4: :katai5:
“ถามจริงนะ นี่มึงเป็นเจ้าของบริษัทรึไง!!” ผมที่เก็บกดมานานจึงระเบิดถามอย่างไม่เกรงกลัว ถึงแม้ว่าหลังพูดจบจะเสียใจมากๆ ก็ตาม “ก็…ไม่เชิง แต่แม่กูบริหารทั้งบริษัท” มันตอบแบบยียวนตามประสามัน ซึ่งผมก็รู้สึกปลอดโปร่งที่มันรู้สึกอารมณ์ดีแบบแปลก ๆ ผมคิดว่ามันได้แกล้งคนแล้วคงอารมณ์ดี แต่คำตอบของมันก็พอเข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงเกรงใจ “ไป!!” อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นยืนและมองมาทางผม “หา!?!” ผมหันไปมองมันอย่างสงสัยหลังจากที่กำลังเปิดกล่องเอกสารกล่องใหม่ที่เพิ่งได้มา “ลุกสิ!” มันย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปไหน?” ผมมองหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง มันเซ้าซี้ผมอยู่พักใหญ่ สุดท้ายผมก็ถูกมันกระชากให้ลูกขึ้นและถูกลากไปจนถึงห้องอาหารวีไอพี หลังที่เท้าเหยียบเข้าไปในห้องนั้นก้าวแรกผมก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เพราะห้องอาหารนี้ได้ถูกเปลี่ยนจากห้องอาหารมื้อเที่ยงไปเป็นสแน็กบาร์ที่หรูหรา ยังไม่ทันที่ผมจะถามไอ้คนเอาแต่ใจว่าพาผมมาที่นี่ทำไม ในเมื่อมันเลยมื้อเที่ยงมาแล้ว คำตอบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเลย ไอ้คอปเตอร์เดินนำหน้าผมไปนั่งตรงบาร์ที่ใกล้ที่สุด ผมเดินตามคำชวนที่แสดงออกทางสีหน้าของมันอย่างช้าๆ “ทำไมถึงมีอะไรแบบนี้? มึงจะถามกูแบบนี้ใช่ไหม?” ไอ้คอปเตอร์มันเอ่ยขึ้นดักคำถามก่อนที่มันจะหลุดออกจากปากของผม “ง่ายๆ ก็บริการของคนที่ต้องติดต่อลูกค้าต่างประเทศ ที่อยู่คนล่ะไทม์โซนไง บางคนเขาก็เพิ่งเริ่มงาน มันก็เลยมีของขบเขี้ยวไว้ให้ แต่ก็เข้ามาห้องนี้ได้หลังจาก สี่โมงเย็นนะ” ไอ้คนพามามันอธิบายอย่างภูมิใจ “ใครคิดเนี่ย โคตรดี ดูแลพนักงานดีเวอร์!!” ผมประทับใจจนออกนอกหน้า แต่แทนที่มันจะตอบ ไอ้คอปเตอร์กลับแสดงสีหน้าหงุดหงิดตอบกลับมา “พี่ชายนายสินะ” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ เพราะกลัวไปกระตุกต่อมเด็กมีปัญหาของมันอีก “แล้วพวกเราเข้ามาได้ไงล่ะ ในเมื่อให้บริการเฉพาะทีมที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศ?” “กูเข้าได้ทั้งวัน ส่วนของมึงก็น่าจะเหมือนกัน” มันตอบแบบขอไปที ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ มันมัวแต่มองไปที่พื้นผิวของโต๊ะบาร์ยกสูงและใช้นิ้วชี้เขี่ยๆ จิ้มๆ ไปมา ก่อนจะหันมาหาผมด้วยหน้าตาที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นหน้าตาอารมณ์ดีของมัน พักเดียวบริกรก็เดินมาเสิร์ฟ บิงซูเมลอน พร้อมเนื้อเมลอนสีเขียวสดใสพูนภาชนะคล้ายผลเมลอนมาวางตรงหน้า ผมไม่รู้เลยว่าหน้าตาตัวเองมันแสดงออกแบบไหน แต่คิดว่าแววตาผมเป็นประกายวูบวาบ ที่แม้แต่ไอ้หน้านิ่งขี้แก็กอย่างคอปเตอร์ยังอดที่จะกลั้นขำไม่อยู่ ‘นี่มันจะแกล้งอะไรผมอีกวะ?’ ผมคิดในใจ ขนมหวานสัญชาติเกาหลีถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าประกับด้วยผลไม้หลากสีและนมข้นรสหวานปกคลุมบางเบาทั่วพื้นหน้า ผมแอบกลืนน้ำลายอยู่หลายหน ที่ผมยังไม่ลงมือก็เพราะไอ้บ้าคนหนึ่งนั่งกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ “สั่งมาให้ทำไมไม่กิน?” มันถามผมด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ ไม่น่าจะดี ผมคิด “เดี๋ยวละลายหมด!!” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางใช้นิ้วชี้ปาดนมหวานข้นที่กำลังไหลเยิ้มจากปากถ้วยย้อยลงพื้นเข้าปากตัวเองอย่างรวดเร็ว ผมมองกิริยาแบบนั้นด้วยความทึ่ง ไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อน และที่มันกินให้ดูแปลว่าน่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ ใส่ลงไป ผมมองหน้ามันอีกครั้งเพื่อยืนยันความคิดตนเอง มันมองหน้าผมกลับและส่งสายตาไปทางขนมหวานถ้วยใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าผม ผมจึงค่อยๆ หยิบช้อนที่วางบนกระดาษเช็ดปากผืนหนาข้างถ้วยอย่างเป็นระเบียบขึ้นมาและจ้วงเกร็ดหิมะอันอ่อนนุ่มตรงหน้าอย่างลังเล ผมนำเข้าปากแบบกลั้นใจ รสหวานมันและหอมกลิ่นผลไม้ทะลุเข้ากลางใจผม นี่มันเป็นบิงซูที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ผมทำตาโตใส่ไอ้คนข้างๆ อย่างไม่ตั้งใจ ไอ้คอปเตอร์มันฉีกยิ้มกว้าง ภาพตรงหน้าทำให้ผมตกใจ และชวนอึ้ง ผมไม่เคยเห็นความสดใสแบบนี้ของมันเลย พูดง่ายตั้งแต่รู้จักมันมา ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มแบบนี้มาก่อน แต่ที่แปลกกว่าก็คือ ภายในอกของผมมันกลับร้อนวูบวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง ผมถึงกับเผลอจับหน้าอกตัวเองเพราะกลัวว่ามันจะใส่อะไรแปลกๆ ลงไปหรือเปล่า แต่ความสงสัยข้อนี้ของผมก็ตกไปเมื่อไอ้คอปเตอร์มันยื่นมือมาแย่งช้อนด้ามยาวในมือผม และใช้มันตักบิงซูตรงหน้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “เฮ้ย!! ทำไมมึงไม่ขอช้อนมาเพิ่มวะ!!” ผมโวยเมื่อเห็นมันยังตักจ้วงเป็นครั้งที่สอง “พี่เขาไม่ว่างแล้ว ทำไมแค่นี้รังเกียจกันหรือไง?” มันยื่นช้อนในมือมันมาให้ผม จะบอกว่ารังเกียจจะดูใจร้ายไปไหมนะ? ผมคิดและมองช้อนอันนั้น “ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ขนาดที่จะกินช้อนเดียวกัน!” ผมตอบทั้งที่ยังมองช้อนที่มันยื่นให้ “คิดมากวะ เพื่อนกัน แค่นี้เอง” มันพูดพลางใช้ช้อนอันนั้นไปตักของหวานที่ยังคงตั้งอยู่และกำลังจะเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวอย่างช้าๆ ใครเพื่อนมึง!! ผมตะโกนโวยวายอยู่ในใจ “งั้น…กู… ไม่….” ช้อนที่พูนไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งที่ทำจากนมและน้ำตาลกลิ่นผลไม้ถูกยัดเข้ามาผมอย่างรวดเร็ว “เอ้ยอึงอำอะไอ!!” (เฮ้ย!! มึงทำดชี้ยอะไร!!) ผมโวยวายทั้งที่ของยังเต็มปาก จะกลืนก็ไม่อยากจะคายก็ไม่ได้ “กลืนเข้าไป!! เสียดายของ!!” มันชี้นิ้วมาที่ผม ผมกล้ำกลืนฝืนกลืนลงไป มันอร่อยนะแต่ ช่อนด้ามนี้มันเคยอยู่ในปากไอ้คอปเตอร์ อยากเข้าห้องน้ำไปล้วงออก “รสชาติเป็นไงบ้างครับ?” บริกรเดินเข้ามาสอบถามแบบไม่ถูกจังหวะ ไอ้คอปเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “อร่อยมาเลยครับ” ผมฝืนยิ้ม และฝืนรั้งน้ำตาน้อยๆ ไว้ในดวงตา “จริงๆ แล้ว ถ้วยนี้สั่งทำพิเศษเลยนะครับ คือปกติแล้ว…” ระหว่างที่บริการชายยิ้มสวยคนนี้พยายามอธิบายถึงความพิเศษของของหวานตรงหน้า ไอ้คอปเตอร์ก็จ้องพร้อมกระแอมเสียงดัง บริการจึงหยุดกลางประโยคด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “มีช้อนเพิ่มไหมครับ” ผมไม่สนอะไรนอกจากนี้ ผมรู้สึกเกรงใจกับคำว่าพิเศษมากๆ ก็เลยต้องกินให้หมด แต่อย่างน้อยของช้อนคันใหม่ก็ยังดี “ขออภัยด้วยครับ คือ ตอนนี้กำลังรอช้อนจากห้องจัดเตรียมมน่ะครับ เลยเหลืออันเดียว ทำตกหรือครับ งั้นผมไปล้างให้ไหมครับ?” การพูดของบริกรดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ ทำให้ผมเข้าใจได้ เลยตอบกลับไปว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทำใจคิดว่าคิดว่าให้หมาเลียปากก็แล้วกัน!! กว่าที่ผมจะจัดการบิงซูชามใหญ่นั่นหมดก็ใช้เวลานานกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าชามที่ใส่อยู่นั่นทำจากอะไรทำไมถึงทำให้เกร็ดน้ำแข็งที่อยู่ในนั่นละลายช้ามาก แล้วไอ้คนที่ชวนมาก็แทบไม่แตะอีกเลย ซึ่งก็ดีจะได้ใช้ช้อนร่วมกับมันน้อยลง! ผมมาถึงโต๊ะของตัวเองก็เกือบจะเวลาเลิกงานเสียแล้ว หลังจากถึงโต๊ะแล้ว ข้อความแชทของไลน์ในเครื่องสมาร์ตโฟนของผมก็ดังระรัว แต่ข้อความที่ได้รับก็จะประมาณให้ไปหาหน่อย จากพี่ท้อปที่น่าสงสาร ผมเดินออกจากห้องโดยที่ไม่ได้มองคนร่วมห้องที่มองผมอย่างสงสัย “ไปไหนกันมาน่ะ หายไปตั้งนาน!!” พี่ทัอปลากผมเข้าไปใกล้และถามด้วยเสียงกระซิบ “เอ่อ….มันพาผมไปกินขนมที่ชั้น วีไอพีแค่นั้น” ผมก็นึกว่าผมทำงานอะไรผิดพลาดเสียที ที่แท้ก็เรื่องเผือกร้อน “แปลกๆ นะ นี่เขาจีบเราหรือเปล่าเนี่ย แปลกๆ หลายเรื่องแล้วนะ” พี่ท้อปขมวดคิ้ว “จะบ้าเหรอพี่ ผู้ชายด้วยกัน….ไม่มั้ง อึยยยย ขนลุก ไม่เอาล่ะ!!” “น้องพูดไม่สมกับคนรุ่นใหม่เลยนะ ที่นี่น่ะเราไม่สนเรื่องเพศกันมานานแล้วนะ!” “เรื่องนั้นผมเข้าใจ ผมไม่ได้มีอคติอะไร เพื่อนผมก็เป็นแบบนี้กันเยอะ แต่กับไอ้คอปเตอร์น่ะ …ไม่เอาอ่ะ” ผมตัวสั่นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่มีไอ้คอปเตอร์มาทำหวานใส่แบบฟีลแฟน ผมเป็นประเภทรักไม่สน มุ่งแต่เรียนและกิจกรรมเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่อะไรกับใครเลย ตนเพื่อนมักจะด่าผมว่า ‘หล่อนะแต่มันตายด้าน’ ไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ถึงขั้นเรียบร้อยขนาดนั้นเสียหน่อย ไอ้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันก็พอมีเข้ามาบ้าง แค่ไม่สำคัญเท่าการเรียน “เป็นไปได้นะพี่ว่า สนิทกันไว้ดีกว่ายังไงก็อนาคตประธานบริษัท!” “โอ้ย!! ต่อให้เป็นประธานาธิบดีก็ไม่เอา อีกอย่าง ท่าทางอย่างมันจะชอบผู้ชายอย่างผมเนี่ยนะ ไม่น่าจะใช่นะ!” “น้องก็น่ารักดีออกพี่ว่าน่าจะได้” พี่ท้อปตอบพร้อมพินิจผมตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า “อย่ามาแกล้งผมสิ” ขนลุกอีกรอบ “เอางี้นะ คุณร็อคเก็ตนะ เคยมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยนะ แต่รู้ว่าจะเลิกกันแล้วล่ะ เรื่องนี้คนในบริษัทรู้หมด ดังนั้นน้องชายอย่างคุณคอปเตอร์ก็….มีโอกาสป่าววะ” ช้อคอีกครั้ง วันนี้มีแต่เรื่องประหลาดใจ “จริงง่ะ ไม่เห็นเคยเป็นข่าว!!” “ก็อย่างว่า รู้ๆ กันดี เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไร มันก็เลยเล่นข่าวไม่สนุกมั้ง หรือทางนี้ปิดข่าวก็ไม่รู้ แต่ใครๆ เขาก็รู้กันนะ” “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ เดี๋ยวนี้ดูยากจัง” ผมบ่นลอยๆ “งั้นเอาไงดีล่ะเรา?” พี่ท้อปถามตัดบท “ไม่เอาไงล่ะ ไม่สนใจ ผมแค่จะตั้งใจฝึกงานครับ เดี๋ยวสี่เดือนผมก็ไปแล้ว ไม่คิดมาก!” ผมส่ายหน้ารัวๆ “โอเคๆ พี่จะได้บอกพวกสาวๆ ในแผนกให้จิ้นแต่พองาม เพราะไม่ใช่คู่จริง!!” ผมถอนหายใจกับความมีสาระของพนักงานประจำที่นี่และขอตัวกลับไปทำงานต่อ หลังจากกลับมาถึงโต๊ะทำงานของตนเองก็พบว่าโต๊ะถูกจัดการจัดเก็บเสียเรียบร้อย กระเป๋าเป้ของผมถูกยื่นให้จากคนหน้าตึงที่อยู่ในห้อง “หายไปนานเลยนะ เรียกกันไปทำงานหรือไปชิทแชทเล่นหัวกันล่ะ ทำไมถึงนานจัง สงสัยงานที่นี่มันจะน้อยไปนะ ถึงได้มีเวลาทำอะไรแบบนี้ อีกไม่กี่นาทีก็เลิกงานแล้ว กลับกันเถอะ!!” “พี่ท้อปเรียกไปสอนงาน ก็พวกเราเล่นหายกันไปนานนี่นา อีกอย่างกูจะทำงานต่อยังไม่กลับ!!” “ขยันไปก็เท่านั้น พี่ๆ ของมึงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านกันหมดแล้ว” สิ้นประโยคไอ้คอปเตอร์ ผมก็หันออกไปนอกห้องกระจกของตน ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ไอ้คอปเตอร์พูดจริง แต่ผมมันดื้อ ผมไม่สนใจ ผมกระชากกระเป๋าตัวเองวางไว้ในที่ของมันและนั่งลงทำงานต่อ “อยากกลับก็กลับกูจะทำงานต่อ” ผมไล่ แต่แทนที่มันจะเดินกลับ มันกลับกระแทกนั่งลงข้างๆ ผม เปิดคอมพิวเตอร์และนั่งทำงานเป็นเพื่อนผมจนเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง หลังจากคิดว่าท่าทางจะสลัดมันไม่หลุกแน่ๆวันนี้ ผมจึงตัดสินใจกลับบ้าน เพราะมันไม่มีทีท่าจะกลับเลย มันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ไม่มีใครคบหรือว่าต้องการจะแกล้งอะไรผมอีกหรือเปล่าวะ!
:katai1: :katai3:
ช่วงเวลานี้คนรอลงลิฟท์เริ่มที่เบาบางลงแล้ว ผมจึงตัดสินใจไม่ไปลิฟท์ทางด่วนของมัน เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องทำตัวพิเศษเมื่อทราบว่า ไอ้ลิฟต์ตัว มันทำขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แต่แทนที่ไอ้คอปเตอร์จะไปขึ้นลิฟต์พิเศษของมัน มันกลับเดินตามผมมาก้าวต่อก้าว เหมือนลูกเป็ดตามแม่เป็ด หากไม่เกรงใจท่าทางน่ากลัวของมันนะ ผมคงจะไล่มันไปแล้ว ยังไงก็อยู่ในถิ่นของมัน ทำตัวเฉยตามน้ำไปน่าจะดี ในที่สุดลิฟท์ก็มา และส่งผมมาถึงชั้นล่างสุด ช่วงเวลาอันแสนอิสระก็มาถึง ทันทีที่ประตูเปิดผมรีบก้าวเท้าออกจากลิฟต์ทันที แต่อนิจจา เท้าที่ก้าวออกมายังไม่ทันแตะถึงพื้น แขนข้างหนึ่งก็โดนรั้งไว้เสียแน่น “เดี๋ยวกลับกับกู ทางผ่านไงจำได้ไหม?” ผ่านพ่อง!! ผมคิดในใจ แต่อมยิ้มตอบไป “รอหน้าอาคารนะเดี๋ยวไปเอารถมารับ!” พูดจบมันจ้ำอ้าวหายไปในลิฟต์อีกตัวหนึ่งไม่ไกล ผมไม่รอช้ารีบตัดสินใจเดินออกไปที่ป้ายรถเมล์ที่ถนนใหญ่และภาวนาให้รถประจำทางที่รอมาถึงโดยไว แต่เวรกรรมของผมมันยังไม่จบ เจ้ากรรมนายเวรก็ขับรถยนต์ยุโรปมาจอดตรงหน้าพร้อมลดกระจกลง “ตรงนี้คือหน้าอาคารบ้านมึงเหรอ?” มันตะโกนออกจากรถ แต่ป้ายรถเมล์มันไม่ได้มีผมคนเดียวไง ทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกันและสงสัยว่าไอ้คนดุดันในรถพูดกับใคร “ไอ้วิน!” มันเรียกชื่อเลยทีนี้ ผมรีบรวบกระเป๋าด้วยความอายและวิ่งขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็ว “กูบอกให้รอที่หน้าตึก นี่มันหน้าตึกบ้านมึงเหรอ!!” ไอ้เจ้าของรถขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด ขณะที่กระจกเลื่อนปิดลงอย่างอัตโนมัติ เสียงดุดันดังลั่นห้องเครื่อง รถถูกแรงเท้าที่เหยียบคันเร่งพุ่งทยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว คอปเตอร์ที่ควงพวงมาลัยอย่างดุดันพาตัวรถฉวัดเฉวียนอย่างกับงูเลื่อยแทรกตัวผ่านช่องว่างบนพื้นถนน ผ่านรถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็วปกติบนท้องถนน เสียงแข็งดุดันที่ก้องกังวาลเหล่านั้น กลับยังดังสะท้อนไปมาในหัว อาการเก่าที่เคยประสบและผ่านพ้นไปนานกลับเริ่มแสดงอาการ ความกลัวเมื่อครั้งอดีตกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง มือแข็งทื่อและสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง น้ำตาที่พยายามรั้งไว้ก็ไหล่เอ่อออกอย่างฝืนไม่ได้ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้ผมไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย เสียงฉวัดเฉวียนและเสียงยางเสียดสีพื้นถนนไปมาจนมาหยุดลงในพื้นที่สว่างไสว กว่าท้องถนนทั่วไป ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพราะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกำหมัดแน่นเตรียมป้องกันตัวเองจากอะไรก็ตามที่ข้ามอาณาเขตปลอดภัยของผม มือหนึ่งล้ำเข้ามาหาผม ผมเหวี่ยงหมัดที่อ่อนเปลี๊ยะออกตีมือนั่นดังลั่น ผมตกใจเมื่อรู้สึกตัวว่ามือนั่นมันคือมือของไอ้สารเลวอย่างไอ้คอปเตอร์ หลังจากนึกได้ ผมก็ยิ่งสั่นเทิ้มขึ้นไปอีก สติตอนนี้ผมเตลิดไปไกลจนแทบจะควบคุมไม่ได้เสียแล้ว ‘หนี’ ความคิดเดียวที่เล่นเข้ามาในหัว แต่อนิจจา ประตูรถมันล็อก ทั้งที่พยายามจนแทบบ้า “กูขอโทษ” ถ้อยคำสุภาพและอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงพูดออกจากไอ้คนที่ผมกลัวสุดขีดตอนนี้ อาการสั่นและลนลานดีขึ้น ผมค่อยๆ หันศรีษะไปทางคนขับ ก็พบกับใบหน้าแสดงอาการเป็นห่วงปนสำนึกผิด “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ เวลาหงุดหงิด มันก็เลยเสียงดังไม่รู้ตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้นิดหน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยื่นมือมันมาคว้ามือผมไปจับพลางบีบนวดเล็กน้อย ผมไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของมันมาก่อนจึงประหลาดใจจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ชั่วคราว มือของมันส่งผ่านความอบอุ่นมาสู่มือของผมทำให้พอที่จะคลายความกังวลลงไปบ้าง สัมผัสต่างๆ เริ่มกลับมาคงเส้นคงวา “นิดหน่อย?” ผมพูดทบทวนท้ายประโยคของไอ้คอปเตอร์ในลำคอ “กูขอโทษ ก็กูเป็นห่วงไหม? บอกให้รอหน้าตึกแล้วมึงก็หายไปไหนไม่รู้ ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวลักพาตัวบ่อยๆ ด้วย!!” บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจเรื่องที่มันพูดเลย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ประมาณหนึ่งนะ ไม่เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้ ผมนิ่งเฉยใส่ประโยคเหล่านั้นและพยายามมองออกไปด้านนอกตัวรถ ผมพบว่าตัวเองอยู่ในลานจอดรถหน้าร้านคาเฟ่ชื่อดังในปั้มน้ำมันขนาดใหญ่ “ไปสูดอากาศด้านนอกก่อนไหม? มึงดูเหมือนคนขาดอากาศหายใจเลย” เพราะใครล่ะ?! ในใจคิดเคืองแบบนั้น แต่แสดงออกโดยการยกมุมปากเล็กน้อยและพยักหน้า ช่วงหัวค่ำต้นไม้ภายในปั้มน้ำมันถูกตกแต่งด้วยไฟกระพริบสีเหลืองอ่อนดวงน้อยๆ เต็มไปหมด สายลมอ่อนช่วงปลายฤดูฝนพัดเอาความชื้นมาสัมผัสผิวให้สดชื่น ผมนั่งชื่นชมการตกแต่งไม้ประดับไปเรื่อยเปื่อยขณะที่ไอ้ตัวต้นเหตุหายตัวไปเพราะอาสาไปซื้อน้ำเย็นๆ ให้ดื่ม “ชาเขียวน้ำผึ้งได้ไหม?” เสียงพูดดังขึ้นพร้อมแก้วพลาสติกใสใส่ของเหลวสีเขียวขุ่นผสมน้ำแข็งยื่นมาตรงหน้า ผมพยักหน้าและรับไว้ หลังจากที่ของเหลวรสฝาดปนหวานอ่อนไหลลงคนไปหลายอึก ทำให้ใจมันผ่อนคลายลงไปพอสมควร นั่งมองคนข้างๆ ตัวต้นเหตุของอาการ ที่กำลังมองบรรยากาศโดยรอบเหมือนชื่นชมทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็น พลางบ่นออกมาเบาๆ ว่า ‘บรรยากาศดีเหมือนกันนะ’ ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจเด็ดขาดกับเรื่องนี้ทันที “คอปเตอร์ กูขอได้ไหม? อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?” “กูไม่เข้าใจ?” มันหันหน้ามาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ที่ไม่เหมาะกับมันเอาเสียเลย “ก็เรื่องที่… เอ่อ….. อะไรพวกเนี่ย!!” ผมใช้นิ้วชี้วนไปมาด้วยความความประหม่า “เรื่องที่กู…ไปส่งมึงเนี่ยนะ!! ไม่ดีเหรอวะ ดีกว่านั่งเบียดกับคนเยอะในรถประจำทาง!” คิ้วของไอ้คอปเตอร์เริ่มขมวดเข้าหากัน แต่ก็พยายามรักษาน้ำเสียงอย่างเต็มที่ แต่แค่นี้ผมก็รู้กลัวขึ้นมาแล้ว “กู……. เอ่อ…..” คำบางคำมันก็จุกอยู่ที่คอ เหมือนจะเปล่งเสียงคำว่า ‘อึดอัด’ ไม่ออก “ไม่ต้องเกรงใจ ก็บอกแล้วใจว่า ทางผ่าน!” ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้ม ท่าทางมันจะเป็นไบโพล่า “ขอความจริงได้ไหม กูรู้เรื่องบ้านมึงหมดแล้ว” ผมก้มหน้าลงต่ำ เหมือนว่าการมองพื้นมันสบายใจกว่ามองหน้าคู่สนทนาอย่างมัน “ที่บ้านกู?” เสียงประหลาดใจปนสงสัย “ก็ที่บ้านมึงอยู่บนเพนเฮ้าส์ ของตึกสำนักงานไง” “ใครบอกมึง!” “ไม่ต้องถามได้ไหมว่าใครบอก แค่กูรู้แล้วก็พอ!!” ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเลย ให้ทุกอย่างมาลงที่ผมนั่นแหละ (เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา) อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งไม่ตอบอะไร ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงตอนนี้ เจ็บใจหรืออะไร เพราะผมไม่กล้ามองหน้ามันเลย “ถามจริง มึงทำแบบนี้ไปทำไมวะ หากคิดอะไรแปลกๆ ก็ขอให้หยุดเลยนะ ไม่สนุกด้วย” ผมใช้คำว่าแปลกแทนคำว่าแกล้งเพราะคิดว่ามันน่าจะดีกว่า ผมกลัวว่ามันจะจำผมได้เพราะคำพูดคำนี้ “เออ ก็ได้ๆ กูยอมรับก็ได้ว่า กู….กูจีบมึง!!” ผมหันไปมองหน้ายิ้มอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง!! “หา!!!??” เหวอไปเลยผม ………………….
:z3: :z2:
บทที่ 3 Chance นับตั้งแต่ค่ำวันนั้น ทุกวันที่ผมมาทำงานก็ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ สัปดาห์หนึ่งผ่านไปแล้ว ผมกับไอ้คอปเตอร์ก็ยังทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ทุกประการ ผมรับงานจากพี่ท้อปพร้อมกับคิดโปรเจ็คเรียนจบไปพลางๆ งานไหนเยอะมากก็มีไอ้คอปเตอร์คอยช่วยเหลือและอธิบายสิ่งต่างๆให้เช่นเคย ถึงมื้อเที่ยงก็ถูกพาไปกินมื้อเที่ยงที่เดิม ไอ้คอปเตอร์ยังคงอาสาไปส่งผมเช่นเดิม (ซึ่งผมก็เริ่มจะชินเสียแล้ว สบายดี) เราต่างคนต่างไม่พูดถึงวันที่มันโพล่งพูดเปิดเผยความนัยในวันนั้น ‘กูจีบมึง’ เสียงนี้ยังคงหลอกหลอนผมอยู่ในหัวก้องไปมาอยู่บ่อยครั้ง ผมได้แต่คิดว่า เคยเจอคนมาจีบก็บ่อย แต่คนที่หลุดพูดว่าจะจีบเราตั้งแต่สองวันแรกนี่ก็เพิ่งจะเคยเจอ ถึงมันจะไม่ใช่สองวันแรกที่รู้จักกันจริงๆ แต่ก็มันจำผมไม่ได้นี่ ถือว่าก่อนหน้านี้ไม่นับก็แล้วกัน ในความทรงจำของผม ไม่เคยเห็นความดีงามหลงเหลืออยู่ในตัวของมันเลย พูดได้เต็มปากว่า ‘เกลียด’ จะให้มีความรู้สึกดีหลังจากที่มันทำดีด้วยไม่กี่วันแบบนี้มันก็ยาก ยิ่งคิดยิ่งขนลุก ทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึง ไม่กล้าที่จะมองหน้ามันเลยด้วยซ้ำ ไอ้คอปเตอร์เองมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปรับเปลี่ยนอะไรมาก สองวันแรกเคยทำอย่างไรก็ทำแบบนั้นสม่ำเสมอ ไม่ลดลงและก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น คำพูดที่จะพูดคุยกันยังไม่อ่อนโยนลงเลยสักนิด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวว่า สรุปมันจะจีบผมจริงหรือแค่คิดจะแกล้งกัน วันศุกร์รอบที่ 3 ของการมาฝึกงาน ผมรับรู้จากสองรอบที่ผ่านมาแล้วว่าจะเป็นวันที่ทุกคนมีความกระชับกระเฉงเป็นพิเศษ อาจเพราะมันใล้กับวันหยุดสุดสัปดาห์ทุกคนในสำนักงานมีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าปกติ ทำงานโดยที่แทบจะไม่มีใครบ่นเหนื่อยหน่าย ที่สำคัญเหมือนผมจะได้รับมอบหมายงานน้อยกว่าปกตินิดหน่อยด้วย วันนี้ผมจึงได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างทำให้อารมณ์อยู่ในเกณฑ์ดี ถึงขั้นฮัมเพลงระหว่างทำงาน “ชอบเพลงสไตล์ไหน?” อยู่ๆ คนที่นั่งทำงานข้างอย่างเงียบๆ ก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีความกระตือรือร้นมากกว่าปกติเล็กน้อย ผมหันไปมองหน้าที่ราบเรียบนั้นด้วยแววตาฉงน “เห็นฮัมเพลงเสียเพราะ ชอบฟังเพลงแบบไหน?” คำถามที่ถูกถามอย่างไม่มีที่มาที่ไป ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดที่จะตอบพอควร ถึงแม้จะคุยกันบ้างตลอดการทำงานมาสามสัปดาห์ แต่ไม่เคยคุยกันเรื่องส่วนตัวเลย ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่มันเริ่มบทสนทนาแบบนี้ “ก็ฟังได้ทุกแนวนะ แต่ที่ฟังบ่อยๆก็เพลงแนวฟังง่ายๆ สบายๆ น่ะ” “อืม… เหมือนกันเลย…” ไอ้คนยิ้มยาก กลับยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาก็ดูสดใสขึ้นมาวาบหนึ่ง ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมสาวๆ สมัยมัธยมถึงต้องการให้มันยิ้มให้ มันเป็นคนยิ้มมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง แต่สำหรับผมมันก็แค่ ‘เป็นคนเชี้ยๆ’ เท่านั้นเอง ผมส่ายศีรษะและกลับไปมีสมาธิกับงานตรงหน้าไปพลางทำโปรเจ็คเพื่อนำเสนอเรียนจบไปพลาง “เย็นนี้ว่างไหม?” ไอ้คนที่นั่งทำตัวว่างถามขึ้นมาอย่างไม่มีการเกริ่นนำ หลังจากหันไปสนใจกับโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของตัวเองอยู่พักใหญ่ “เออ…อืม.. ก็ไม่ได้มีธุระอะไรนะ” ผมตอบกลับไปแบบไม่คิด “ดีเลยไปฟังเพลงกันไหม?” เสียงชวนที่ดูไม่เชิญชวนให้ไปด้วยเท่าไหร่ดังขึ้น ผมหันไปมองหน้าคนชวนอย่างฉงน อย่างนี้เรียกว่าชวนไปเดทหรือบังคับให้ไปด้วย “ก็ว่างนี่ ไปด้วยกันสิ!” พูดไปด้วยเกร็งหน้าไปด้วย ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันกำลังยิ้มหรือกำลังแยกเขี้ยวใส่ผม สมองของผมกำลังประมวลอยู่ว่าจะตอบปฏิเสธอย่างไรดี เพราะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อยากไป “ไปทั้งชุดนักศึกษาแบบนี้ ไม่ดีมั้ง!!” ผมพูดออกไปเมื่อคิดแผนหนีได้แล้ว “อ้าวเหรอ!! ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้เลย” ก็แน่ล่ะครับ ถึงไอ้คอปเตอร์มันจะใส่เชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคสีดำ แค่มองไกลๆ ยังรู้เลยว่า แบรนด์เนมทั้งนั้น ใส่แบบนี้ไปมันก็ต้องไม่แปลกเปล่าวะ ต่างกับผมที่ใส่เสื้อผ้าธรรมดามาก “งั้นกูกับมึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนไปก็ได้ หลังจากกูไปส่งมึงแล้วค่อยไปรับมึงอีกรอบนะ ตกลงตามนี้” ในเมื่อตอบปฏิเสธลำบาก งั้นก็หาทางหนีมันเลยดีกว่า ยังไงมันก็ไม่รู้เบอร์ห้องเรา หลังจากขึ้นห้องเราก็เนียนไม่ออกมาเลยดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็ทำตามแผนการหลังจากเลิกงานทันที ……….
:serius2:
เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนถึงสายเข้าอย่างต่อเนื่อง ผมที่มาถึงห้องได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนโต้รุ่งยาวๆ หลังจากที่ตรากตรำทำงานมาตลอดห้าวัน การเป็นหนุ่มออฟฟิศนี่มันไม่ง่ายเลย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเข้าสู่โหมดพักผ่อนก็ถูกรบกวนโดยเสียงโทรศัพท์สั่นเพราะสายเข้านี่ล่ะ ผมพยายามไม่สนใจเพราะรู้ว่าใครโทรศัพท์เข้ามา แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมไอ้คนที่มีเพนต์เฮ้าส์อยู่บนอาคารสำนักงานแบบนั้นถึงได้กลับมาหาเขาเร็วแบบนี้ในสภาพการจราจรวันศุกร์แบบนี้ แผนของผมก็คือหลอกให้ดีใจแล้วหนีหายพอสักค่ำๆ ค่อยโทรศัพท์ไปบอกมันว่ามีธุระด่วนก็แล้วกัน ผมแอบหัวเราะในใจอย่างร่าเริง การได้แกล้งกลับคืนนี่มันก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกันนะ หลายนาทีผ่านไปในที่สุดโทรศัพท์ก็เงียบลง มันคงยอมแพ้แล้วสินะ ผมสบายใจขนาดที่ว่าเดินไปที่นอกชานเพื่อส่องหารถคันหรูของมันที่มักจะจอดมาส่งผมตรงหน้าอพาร์ตเมนต์ ปึงๆๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น ด้วยจังหวะดนตรีร็อคแอนโรล ผมสะดุ้งตัวโยนจนเกือบจะหงายตกจากระเบียงที่สูงกว่า 10 ชั้น ผมสงสัยว่าจะเป็นคนข้างห้องที่มักจะเคาะเพื่อขอยืมอาหารแห้งของผมเพราะความขี้เกียจลงไปซื้อเป็นประจำ ผมเดินไปเปิดประตูห้องพลางคิดหาคำด่าเจ็บๆ ให้เพื่อนข้างห้องที่ทำผมเกือบร่วงตกจากชั้น 10 แบบนี้ ทันทีที่เปิดกว้างออกดวงตาผมก็ไปประสานกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนแสนสวยคู่หนึ่ง วงหน้าที่ไม่คิดฝันจะได้เจอในอพาร์ตเมนต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีระดับหนึ่งของย่านนี้ ไอ้คอปเตอร์มันไม่น่าจะมีคีย์การ์ดเข้ามานี่ ผมคิดอย่างแตกตื่น “ทำไมไม่รับสาย!!” คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคิ้วขมวดถาม มึงไม่ควรรู้จักห้องกูด้วย!! ผมคิดในใจสวนกับคำถามของไอ้คนตรงหน้า “ตอบมาทำไมไม่รับสาย!!” เสียงของไอ้คอปเตอร์ดังลั่นทางเดิน ผมไม่รอช้าดึงมันเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูทันที ผมคงดึงมันแรงไปหน่อย เพราะหันมาอีกที ไอ้คนไร้มารยาทนั่นก็มานั่งบนเตียงของผมเรียบร้อย “กลิ่นหอมจัง” ไอ้คอปเตอร์ ไอ้คนโรคจิต หยิบหมอนข้างของผมขึ้นมาใกล้ใบหน้าและสูดอากาศบริเวณนั่นเต็มปอด “เฮ้ย!! ทำอะไร!!” ผมรู้สึกขนลุกกับภาพที่เห็น มันจะมาแกล้งอะไรเราอีก ผมรีบเดินไปแย่งหมอนข้างชิ้นนั้นมากอดไว้ทันที แต่แทนที่มันจะโกรธกลับจ้องมองผมด้วยสายตาอิจฉาสิ่งที่ผมกอดอยู่ “มึงขึ้นมาได้ยังไง?!?” “ความลับ” “มึงรู้จักห้องกูได้ยังไง?!?” “ความลับ” มันยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ทุกครั้งที่มันตอบคำถาม มันก็จะมองไปรอบห้องผมอย่างสำรวจ เหมือนจะพยายามนับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นและหนังสือทุกเล่มที่วางอยู่ “ตอบมา!!” ผมตวาดอย่างไม่ตั้งใจ “ทีมึงยังไม่ตอบกูเลยว่าทำไมไม่รับสาย!! กูมารอรับอยู่นานแล้วนะ!!” มันหันมาตาขวางใส่ ทำเอาตัวผมเย็นวาบไปทั้งสันหลัง “กู… ท้องเสีย เข้าส้วมอยู่ รับโทรศัพท์ไม่ได้!!” รู้สึกได้เลยว่าตัวเองโกหกได้ห่วยแตก “อ้าวเหรอ! แล้วมึงไปกินอะไรมา มียากินหรือยัง ไปหาหมอไหม? ถ่ายไปกี่ครั้งแล้ว แล้วนี่ยังปวดท้องหรือเปล่า?” ผมยอมรับว่าอึ้งกับปฏิกิริยา ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าว่าโกหกไม่เนียนเสียอีก แต่กลับโดนถามกลับเป็นชุดด้วยสีหน้าเป็นห่วง ยอมรับเลยว่าทำให้ผมนิ่งไปพักใหญ่ “นี่มึงถามละเอียดกว่าหมออีกนะ” ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่มันเชื่อและพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆ แม้จะรู้สึกเสียใจนิดหน่อยตอนท้ายประโยคแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว “กูถาม มึงก็ตอบสิ!!” อยู่ ๆ มันก็คาดคั้น “ไม่เป็นไรแล้ว กูเป็นแบบนี้บ่อยๆ ถ่ายออกหมดก็จบ” สิ่งที่ผมตอบมันเป็นเรื่องจริง แต่แค่ไม่ใช่อาการวันนี้ วันนี้ผมแข็งแรงดี “ไหวไหม จะนอนพักหน่อยไหม?” อยู่ๆ ก็แสดงความเป็นห่วงแบบนี้ผมไม่ชินเลย “ก็ดีนะ งั้น…” “โอเค งั้นนอนเลยเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน เผื่อเป็นอะไรหนักขึ้นจะได้หามส่งโรงพยาบาลทัน” “เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ กูไม่เป็นไรมาก มึงกลับไปเถอะ!!” “ไม่ต้องเกรงใจ กูว่าง อยู่ห้องมึงน่าจะเพลินดี” “โอเค ไม่ต้องแล้วกูไม่พักผ่อนแล้ว จะพากูไปไหนก็พาไปเลย” “แน่ใจนะ?” “แน่ใจ กูหายแล้ว” กรรมเวรอะไรของผมวะเนี่ย!?! ผมคิดในใจอย่างหน่าย ๆ …………. พรุ่งนี้มาต่อนะ
:jul3: :laugh:
ในที่สุดผมก็ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมากับมันจนได้ ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไอ้สายตาที่มันมองผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงผมจะเคยชินเวลาเพื่อนๆ มองเวลาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในสนามกีฬาก็เถอะ (ยอมรับว่าตัวเองหุ่นดี เพราะพยายามออกกำลังกายมาตลอดหลายปี) แต่การโดนสายตาเยือกเย็นแบบนั้นจ้องมองตอนถอดเสื้อนี่มันก็เป็นความรู้สึกว่าแย่เกินไป “จะพาไปไหนเนี่ย ขับรถมาเสียใกล้เลย ที่มาเพราะบอกว่าจะพาไปฟังดนตรีสดสบายๆ นะ ไม่ใช่ที่หรูหราหมาเห่า นี่ไม่เอานะ!” ผมบ่นกระปอดกระแปดตอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกตัวรถผ่านกระจกประตูผู้โดยสาร “ไม่หรอก” พูดจบมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดซุบซิบกับใครก็ไม่รู้ แต่ผมแทบจะไม่สนใจ เพราะความจริงก็ไม่ได้อยากมากับมัน ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวไปถึงร้านริมบึงน้ำขนาดย่อม ประดับด้วยไฟแสงเทียนระยิบระยับ โต็ะเก้าอี้ต่างถูกวางอยู่ล้อมบึงน้ำนั่น มีเวทีตรงกลางน้ำซึ่งนักดนตรีขันกล่อมเพลงสากลที่ฟังสบายไหลผ่านมาตามสายลมที่โชยเอื่อยเย็นสบาย คนยังบางตาอาจเพราะยังหัวค่ำ พวกผมถูกเขิญให้ไปนั่งตรงมุมบึงที่สงบและห่างไกลจากคนอื่นพอควร รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้ ภาพเก่าๆ มันตัดเข้ามาผ่านสมองเข้ามาเป็นฉากๆ เป็นพวกฉากในหมวดหมู่การบูลลี่โดยอาหาร “กินเผ็ดได้ไหม? แต่ท้องเสียอยู่งั้นอย่าเลย” “เฮ้ยๆ กินได้ๆ ขาดไม่ได้เลย” เมื่อก่อนก็กินไม่เป็นหรอก แต่พอโดนแกล้งให้กินเผ็ดจัดบ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นเสพติดเสียอย่างนั้น กลายเป็นอร่อยเฉยเลย แต่สุดท้ายก็ไอ้คอปเตอร์ก็สั่งแค่อาหารจืดชืดมาวางเต็มโต๊ะ นอกจากอาหารแล้วก็ตามมาด้วยไวน์แดงใส่ถังน้ำแข็งมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องดื่มเล็กๆ ข้างโต๊ะ ผมมองอาหารน่าเบื่อบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกท้อแท้ไม่อยากอาหารขึ้นมา นี่มันการทรมานชัดๆ มันอยู่กับผมมาสองสามสัปดาห์แล้ว มันคงรู้ว่าผมเป็นโรคขี้เสียดายของ ดังนั้นมันเหมือนสั่งให้ผมกินมันให้หมดนี้ ให้ผมกินของไม่น่าอร่อยเหล่านี้ให้หมด โคตรเลวเลยไอ้ฟาย!! รู้ตัวอีกทีผมก็เบือนหน้าหนีอาหารบนโต๊ะแล้วมองบรรยากาศรอบๆ เสียแล้ว ผมเองก็เพิ่งมาสังเกตว่าบริเวณที่ผมนั่งถูกปลูกเป็นศาลาขนาดกลาง ที่ยื่นส่วนหนึ่งลงไปในน้ำที่บรรจงขุดและฉาบก้นบ่ออย่างสวยงาม ดวงไฟใต้น้ำทำให้เห็นปลาคราฟท์ตัวใหญ่แหวกว่ายไปมา สีสันเหล่านั้นมันสวยสดจนน่าอัศจรรย์ น้ำใสสะอาดมากจนผมคิดว่าน่าจะกินได้เลยทีเดียว ลมโชยอ่อนปะทะกับอากาศเย็นๆ หลังฝนตกใหม่ๆ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย ดนตรีสดที่ฟังสบายๆ ไหลผ่านมาตามสายลมและแหวกอากาศมาถึงผมนั่น เข้ากับบรรยากาศโดยรอบมาก ผมครึ้มใจจนเผลอยิ้มออกกว้าง จนกระทั้งสายตาส่ายไปกระทบกับไอ้คอปเตอร์ที่นั่งจ้องผมและอมยิ้มให้ ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกอย่างประหลาด เพราะทุกครั้งที่ผมเจอรอยยิ้มแบบนั้น มักจะจบไม่สวยเลยสักครั้ง ผมหุบยิ้มทันที “อ้าว! ไม่ชอบเหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ถามแทบจะทันที “เออ!” กูหมายถึงมึงน่ะที่กูไม่ชอบผมตะโกนในใจดังมาก “มึงยิ้มน่ารัก กูชอบเวลามึงยิ้ม” ผมสังเกตเห็นมันมองริมฝีปากผมไม่วางตา ผมไม่สนใจคำพูดของมัน พร้อมแสดงสีหน้าตรงกันข้ามทันที ผมหงุดหงิดอย่างประหลาดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงขบขันในลำคอและยกมุมปากอย่างได้ใจ “กินอาหารสิ มัวแต่เหม่อจนจะเย็นหมดแล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์ใช้การกวาดตามองอาหารบนโต๊ะแทนการใช้นิ้วชี้ ผมมองมันกับอาหารสลับไปมา เพราะมันไม่แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักชิ้น ทั้งที่ทุกจานจัดวางอย่างสวยงามน่ากินมากก็เถอะ “ทำไมกลัวกูวางยาเหรอไง??” ผมไม่ตอบแค่มองหน้ามันกลับไปเป็นคำตอบ ไอ้คอปเตอร์ส่ายศีรษะและขยับตัวมาใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น “อ่ะ! มึงชี้เลย ว่าจะให้กูกินอะไรชิ้นไหน มึงจะได้เลิกสงสัยกูเสียที” ผมเบะปากและชี้อาหารแบบสุ่มๆ ให้มันจิ้มกินทุกจาน ชิมซุปทุกชาม จนครบ แต่แปลกมันกล้ากินจนชิ้นสุดท้าย ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ใช้ช้อนกับส้อมบรรเลงอาหารบนโต๊ะเข้าปากตัวเองเรื่อยๆ แน่ละก็ผมหิวนี่นา ที่สำคัญ ไอ้อาหารที่เห็นจืดชืดตรงหน้ามันก็รสชาติไม่เลวนะ “สั่งมาเยอะขนาดนี้ใครจะหมด!!” คงคิดจะให้เราจุกตายแน่เลยผมคิดในใจ “ไม่หมดก็เหลือไว้นั่นแหละ!!” “เฮ้ย!! เสียดาย!!” “งั้นก็ห่อกลับ ตู้เย็นห้องมึงโล่งจะตาย เก็บไว้กินมื้ออื่นก็ได้!!” “มึงรู้ได้ไง?” “กูก็เปิดดูตอนมึงเข้าห้องน้ำก่อนออกมานี่ไง” “ไร้มารยาท!!” “มึงสิไร้มารยาท แขกมาถึงห้องไม่เตรียมน้ำให้แขกเลย!!” “กูไม่ได้เชิญมึงเข้าห้องเสียหน่อย” “แขกก็คือแขกป่ะวะ” โอ้ย!!! เสียเวลาคุยกับมันโว้ยยยยย บรรยากาศดี ร้านดี อาหารอร่อย ดนตรีสดเลิศ แต่คนไปด้วยนี้ไม่ไหว ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด ผมขอจบการรีวิวอาหารมื้อนี้แต่เพียงเท่านี้ ไอ้คอปเตอร์ขับรถมาส่งผมที่อพาร์ตเมนต์เหมือนเคยแต่คราวนี้มันเข้ามาจอดถึงลานจอดใต้อาคาร แม้ผมจะรู้สึกแปลกใจเพราะต้องเสียเงินเช่าที่จอดรถเท่านั้นถึงจะเข้ามาจอดในนี้ได้ แต่สำหรับไอ้คอปเตอร์ คงไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้ว “ส่งแค่นี่ก็ได้มั้ง! ไม่ต้องตามไปถึงที่ห้องก็ได้!!” ผมพูดกับมันทันทีที่เห็นมันล็อกรถด้วยรีโมทและเดินตามผมที่เร่งฝีเท้าหนีมัน “ไม่เป็นไรทางผ่าน” “เดี๋ยวนะ มุกนี่มันใช้ตรงนี้ไม่ได้ป่ะวะ” ผมยกนิ้วชี้จี้ที่ไปที่หน้ามันอย่างลืมตัว “ได้ดิ!!” พูดจบมันก็จับมือผมและลากจูงเดินเข้าอาคารไปทันที ผมรีบสะบัดมือทันทีที่เดินถึงห้องผู้ดูแลอาคาร ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่ รปภ. หนึ่งคนยืนมองอยู่ “พี่ รปภ. ครับ คือ…” ผมเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด “สวัสดีครับ เชิญครับ!!” รปภ. คนหนุ่มยืนขึ้นทำความเคารพสไตล์ทหาร รวมนิ้วทั้งสี่จรดที่ปลายคิ้ว และทักทายเสียงดังฟังชัด ผมทำได้แค่เลิกคิ้วสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น ไอ้คนที่ไม่ใช่คนพักอาศัยดันยกมือขึ้นทักกลับและใช้บัตรในมือสแกนเข้าประตูอัตโนมัติได้เฉยเลย “เดี๋ยวนะ” ผมทักทันที “ใช่!! กูย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ยินดีที่มึงรู้แล้วนะเพื่อนบ้าน!!” มันหันหน้ามาทำหน้านิ่งใส่ “หมายความว่าไง?” ผมคิดว่าหน้าตาผมตอนนี้คงตลกมากเพราะทั้งพี่ รปภ. และไอ้คนที่อ้างตัวเป็นเพื่อนเผลอยิ้มออกมาชัดเจน “ห้องกูอยู่ฝั่งตรงข้ามมึงไง” มันยกยิ้มมุมปาก ดูน่ากลัวไปอีกแบบ “ไม่ใช่ กูหมายถึง เออ… มันก็ใช่ แต่กูกำลังจะถามว่า เพื่ออะไร?” ผมสับสนไปหมด จันต้นชนปลายไม่ถูก มือไม้เหวี่ยงไปมาในอากาศเหมือนกำลังจัดของในจินตนาการ “กูก็บอกแล้วว่า กูจะจีบมึง! กูอยากรู้จักมึงนอกจากช่วงเวลาทำงานบ้าง อยู่ใกล้กันแบบนี้มันสะดวกกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดอธิบายเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น ช่วยทำให้กูรู้สึกว่ามึงจีบกูจริงๆ หน่อยได้ไหม? ผมรู้สึกเวียนหัว จนต้องยกมือกุมขมับ “ไป!! ขึ้นห้อง!!” “อย่าพูดจาชวนขนลุกแบบนี้สิ!!” ผมพูดจบรีบเดินแซงนำหน้าโดยที่ไม่มองหน้าไอ้คอปเตอร์เลย ไม่ใช่เพราะอายนะ แต่กูรำคาญ!!! ……………
:hao6: :hao7:
บทที่ 4 สิบปีแก้แค้นไม่สาย ผมนอนก่ายหน้าผากคิดมากมาสองสามคืนแล้ว จะไม่ได้คิดมากได้อย่างไร ก็ไอ้คนที่ผมเกลียดที่สุด ดันมาย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามนี่สิ แถมไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือความบังเอิญ ไม่ว่าจะเดินออกจากห้องไปทำอะไรก็จะเจอมันแทบจะทุกครั้ง นี่มันเข้าขั้น stalker แล้วนะ!! คืนนี้ก็เช่นกันผมมานอนคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดี หนีก็ไม่พ้น จะทำรุนแรงหักดิบเหมือนกับที่ผ่านๆ มาก็ไม่กล้า แล้วจะต้องมายอมรับโชคชะตาที่มีคนที่ไม่รู้จุดประสงค์ใจจริงแบบนี้มาตามจีบแบบนี้หรือ? พูดตามตรงว่า ไอ้คอปเตอร์มันคงจำผมไม่ได้จริง ๆ เพราะผมเองก็ไม่เคยปิดบังความเป็นตัวเองเลย แต่มันก็ทำเหมือนเพิ่งเคยรู้จักผมจริงๆ ‘รักแรกพบ’ มันเคยพูดขึ้นมาลอย ๆ ครั้งหนึ่ง โอเคผมไม่เชื่อหรอกครับ แต่การที่มันตามจีบผมแบบไม่ลดละเลยเนี่ยก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว ภาพในความทรงจำเก่าๆ ของผมมันย้อนวนเวียนไปมา ภาพจำฝังใจจากการกระทำของมันที่ทำให้ผมขยาดกับไอ้พวกลูกคนรวยลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ภาพเหล่านั้นปลุกร่างชั่วร้ายในจิตใจของผมให้ตื่นขึ้น ให้ล้างแค้นมันทุกวิถีทาง ด้วยความคิดอันอ่อนล้าจากการโดนจู่โจมด้วยความคับแค้นใจนานวันเข้า ในที่สุดวันนี้ผมก็ยอมแพ้ด้านมืดของตัวเอง ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมคว้าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่หัวเตียงและโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที “มึงๆ ปรึกษาหน่อยสิ!!” “ไอ้สัด!! ห้าทุ่ม!! กูจะนอนแล้ว!! หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรกูแช่งนะ!!” “ไตเติ้ลเพื่อนรัก ฟังกูก่อนนะ!! กูอึดอั้นจนจะอกแตกตายแล้ว” “โอเค น่าสนใจ เหลามา!!” ผมบอกหมดเปลือก ไตเติ้ลเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จนถึงมัธยมปลาย เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาด้วยกัน โดนแกล้งก็โดนมาด้วยกัน ดังนั้น คนที่เข้าใจหัวอกผมดีที่สุดก็ไม่ใช่ใคร ก็มันนั่นแหละ หวังว่าเดือนมหาวิทยาลัยอย่างมันคงมีความคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้านมืดของผม “จัดมันเลยครับ เอาให้หนัก หลอกให้รักแล้วแม่งหักอกแม่ง!!” “นั่นไง!! กูว่าแล้วมึงต้องมีความคิดที่ดีกว่ากู เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ!!” “มึงฟังไม่ผิดหรอก ก็ไม่เมื่อหนีไม่พ้น มันจำมึงไม่ได้ นี่มันโอกาสแก้แค้นสัดๆ มึงเคยดูไหมเหมือนในซีรี่ย์น่ะ” เสียงจริงจังของไตเติ้ลทำให้ผมนึกหน้าคนที่เคยเรียบร้อยและเดินทางสายกลางแบบนั้นไม่ออก อะไรในมหาวิทยาลัยที่ทำให้มันเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้ ผมเงียบไปพักใหญ่ ไตเติ้ลได้ทีมันก็เลยพยายามโน้มน้าวจนผมใจอ่อน และยอมทำตามแผนมัน ผมนั่งมองกระดาษโน้ตบนที่นอน มีข้อความที่ไตเติ้ลเพื่อนรักกรอกใส่หูผมผ่านโทรศัพท์ ทำตัวให้น่ารัก ให้มันรักจนโงหัวไม่ขึ้น พอมันหลงแล้วก็เอาแต่ใจให้สุด ย้ำว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ถึงขึ้นจบกันที่เตียง (อ่านกี่ครั้งก็ขนลุก) ห้ามสงสารหรือใจอ่อนกับมันเด็ดขาด พอถึงจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ให้เลิกทันที แต่ละข้อล้วนไม่ใช่ตัวผมเลยสักนิด แทนที่จะทำให้ผ่อนคลายหาวิธีจบสวยๆ กลายเป็นว่า นี่มันยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิมเสียอีก ผมกลิ้งตัวไปมาบนที่นอนใช้ศรีษะทุบหมอนซ้ำๆ จนภาพตัดไป เช้าตรู่วันถัดมา ผมตื่นมาด้วยอาการปวดศรีษะอย่างหนัก สงสัยเพราะนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันติดต่อกัน วันนี้น่าจะต้องน็อคแน่นอน จำได้ลางๆ ว่าวันนี้พี่ท้อปจะพาผมไปร่วมกิจกรรมของบริษัท งานรื่นเริงประจำเดือนที่ผมอยากจะไปมาก คืองานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีทำงานของพนักงานในบริษัท ผมเฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอดเพราะเดือนที่แล้ว ผมเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เลยไม่ได้ให้ไปช่วยทำงาน แต่วันนี้น่าจะฟาลว์ แล้วล่ะ ผมจำไม่ได้ว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แต่ว่านาฬิกาปลุกของโทรศัพท์ของผมนั่น ดังและเงียบไปสองรอบแล้ว ปึงๆๆๆๆ เสียงคล้ายเสียงเคาะประตูดังขึ้นในความง่วงสลึมสลือของผม แต่ผมบอกกับตัวเองไปในทันทีว่า ‘ช่างมัน’ และหลับต่อทันที ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่นับจากเสียงโครมครามของการเคาะประตู ผมก็พบว่ามีมือหนึ่งมาพยุงผมให้ลุกขึ้นและโหวกแหวกโวยวายด้วยอาการวิตกกังวล แต่ผมนั่นไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะสนใจและมองตามเสียงเหล่านั้น รู้แต่ความร้อนในดวงตามันระอุมาก ร่างกายเองก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน รูสึกเหมือนตัวเองอยู่ในตู้อบซาวน่าขนาดเล็กที่มีผมคนเดียว รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว เตียงแข็งๆ สีขาว ขนาดพอดีตัว ดวงไฟบนเพดานสว่างจ้าบนฝ้าเพดานสีขาวขุ่น ผมตกใจแต่ก็ขยับตัวไม่สะดวกเท่าไหร่ ได้แต่หันหน้ามองซ้ายขวาไปมา แต่คนที่ผมหันมาเจอคนแรก คือ ไอ้คอปเตอร์!! เหมือนมันนั่งจ้องผมตลอดเวลา ทันทีสายตาของผมกับมันสบกัน ไอ้คอปเตอร์ก็พุ่งตัวตรงรี่เข้ามาหาผมทันที “มึงไม่สบาย” ประโยคแรงจากปากที่เรียบราบไร้อารมณ์ของมัน กูรู้แล้วไหม? อยากจะพูดสวนกลับไปแต่ขี้เกียจเก็บแรงไว้ก่อน ผมจับข้อมือที่มีนาฬิกาสมาร์ตวอชท์ของมัน พยายามเพ่งว่าตัวเลขที่แสดงอยู่มีค่าเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันได้ดูรู้เรื่อง เจ้าของนาฬิกาก็สะบัดข้อมือให้หลุดออกและนำมือผมไปกอดไว้ที่อก อะไรของมันวะ ผมคิดในใจอย่างหงุดหงิด “กูจัดการโทรศัพท์ไปลาพวกพี่ๆ ให้มึงแล้ว” มันพูดออกมาอย่างภูมิใจ ดีกับผีอะไรล่ะ!! มันควรเป็นมึงไหมที่ต้องโทรไปลาป่วยให้กู!! แล้วมึงทำไมไม่ทำงาน ผมกร่นด่ามันในใจซ้ำๆ แต่สิ่งที่มันแสดงออกกลับมาหลังพูดจบเหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจก็ได้’ “มึงจะแกล้งกูไปถึงไหน!?!” ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายโวยวาย “แกล้ง??” ไอ้คอปเตอร์หน้าถอดสีทวนคำพูดของผมอย่างแผ่วเบา ยังไม่ทันที่ไอ้คอปเตอร์จะได้โต้ตอบอะไรต่อไป คณะหมอและพยาบาลก็เดินเข้ามาพอดี ทำให้ไอ้คนที่เหมือนอยากจะโยนคำพูดนับร้อยคำใส่ผม ถอยออกไปด้านหลังสามสี่ก้าว ผมเองก็ไม่ทันมองว่ามันมีสีหน้าอะไร มันคงจะโกรธผมมากแน่นอน จากประสบการณ์ ใครไปทำแบบนี้กับมันมักจะจบไม่สวย เพียงแค่ผมคิดก็อยากจะกลับไปหมดสติต่อเลย อารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ หลังจากให้คุณหมอตรวจโน่นนี่ด้วยอุปกรณ์อยู่พักใหญ่ คุณหมอก็ถามหาญาติของคนไข้อย่างผมทันที และแน่นอน ไอ้คนที่เดินถอยร่นกลับไปเมื่อครู่ ได้หวนกลับมายืนที่เดิมแล้ว คุณหมอนิ่งไปพักใหญ่จึงเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาในวงอย่างคอปเตอร์ว่า เป็นอะไรกับคนไข้ คำตอบที่ทำให้ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นก็คือ…. “แฟนครับ” เชี้ยแล้วไง กะแล้วว่ามันไม่ได้ประสงค์ดี!! “เอ่อ….เหรอครับ” หมอหนุ่มประจำห้องฉุกเฉินถึงกับพูดติดขัด “คนไข้น่าจะพักผ่อนน้อยนะ คงจะกินน้อยด้วยนะ เนื้อตัวซีดไปหมด ไม่เป็นอะไรมากครับ พักผ่อนเยอะๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หมอให้คำแนะนำกับไอ้ศัตรูของผมอย่างไอ้คอปเตอร์ ผมขบฟันเบาๆ กับรูปประโยคของหมอ “เราเพิ่งคบกันน่ะครับ สงสัย….หนักมาหลายคืน…” “เอ่อ.. ไม่ต้องบอกหมอก็ได้นะ… แต่ป้องกันใช่ไหม? ถึงไม่เป็นโรคภัยอะไรก็ต้องป้องกันอยู่เสมอนะครับ” “แน่นอนครับ ผมมีติดห้องอีกเป็นโหล” เฮ้ยๆๆๆๆ ไม่ใช่แล้ว!! ผมโคตรอายอยากหาทางหล่นจากเตียงแล้วคอหักตายตรงนี้เลย!! แต่ด้วยอาการไข้ของผม ผมคงต้องเก็บการชำระแค้นนี้ไปก่อน!! ในเมื่อมันวอนอยากให้ผมแก้แค้นนัก ก็ได้ กูจัดให้!! ผมคิดในใจก่อนที่ จะขอหลับตาและปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนไปก่อน
:pighaun: :haun4:
.. ในที่สุดกำลังวังชาของผมก็ค่อยๆ ฟื้นคืน ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ในขณะที่ที่ยังหลับตาอยู่ ผมก็พบว่าอุณหภูมิในร่างกายเย็นขึ้นมาบ้าง ร่างกายเบาขึ้น แม้ว่าอยากจะหลับต่อแต่ในใจกลับคิดกังวลเรื่องหนึ่งขึ้นมา คือ ตอนนี้ตัวผมอยู่ที่ไหนกันวะ? ผมยกหนังตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงจากภายนอกพยายามแทรกตัวผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาปะทะจนสายตาพร่าและปรับตัวแทบไม่ทัน ผมต้องหลับตาและพยายามค่อยๆ ยกกลีบตาขึ้นอย่างช้าๆ ไม่นานสายตาผมก็สามารถปรับเข้ากับความสว่างของโลกภายนอกได้ ผมพบตัวเองกลับมานอนที่เตียงที่คุ้นเคย ห้องที่คุ้นตา แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ไอ้คนแปลกถิ่นที่มานอนงีบหลับอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ แม้จะหงุดหงิดทันทีที่เห็นแต่สายตาดันไปสบกับถังน้ำแข็งและผ้าหมาดที่พาดอยู่ที่ปากถังขนาดเท่ากับที่เจอในผับ (จำได้ว่าในห้องตัวเองไม่มีอะไรแบบนี้?) เลยทำให้ความขุ่นข้องในใจทุเลาลง ผมยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองให้สัมผัสถึงอุณหภูมิ มันไม่ได้ร้อนผ่าวเหมือนครั้งล่าสุดที่ผมรู้สึกได้ “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม? เดี๋ยวไปหาอะไรให้กิน กินรังนกไหม หรือกินพวก……อะไรที่บำรุงกำลังไหม?” คนที่นอนข้างตัวสะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นนั่งและหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ได้เจออะไรแปลกตาแบบนี้ก็ทำเอาโกรธไม่ลงเลย ผมผ่อนลมหายใจและตอบอย่างกวนๆ ว่า “เพิ่งหายไข้ กินพวกโจ๊กหรือข้าวต้มก็พอ จะบ้าเหรอไปกินของพวกนั้น” ผมแอบยิ้มกับความไม่ประสาของไอ้ลูกคุณหนูคนนี้ “โอเค เดี๋ยวไปซื้อให้!!” จบประโยค ไอ้คอปเตอร์ก็ผันตัวเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีอาการเซไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะทรงตัวอยู่ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวสั่งจากแอปฯ ก็ได้” “ไม่เอาดีกว่า ร้านอะไรก็ไม่รู้ จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!!” ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธเสียงขุ่น “มันไม่เหมือนกับที่มึงไปซื้อตรงไหนวะ ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน!!” ผมกับมันต่างกันจะเหมือนน้ำกับน้ำมัน คงจะเข้ากันได้ยาก เรื่องแค่นั้นก็ทำผมหงุดหงิดจนได้ “แต่….” ไอ้คนเอาแต่ใจพยายามจะเถียง แต่พอเห็นผมหอบหายใจ มันก็แต่ได้ทำหน้าที่ยากจะบอกว่า มันโกรธหรือสลด ผมผ่อนลมหายใจออกยาว ก่อนที่จะไล่ให้มันไปไหนก็รีบไปผมหิวจะแย่แล้ว เพียงจบประโยคมันก็หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ไอ้ตอปเตอร์มันหายไปนานพอควรจนผมรู้สึกจะหน้ามึดอีกรอบเพราะความต้องการพลังงานเข้าสู่กระแสเลือด ขณะที่คิดที่จะกร่นด่ามันออกมา ประตูห้องผมก็เปิดออกกว้าง ประตูไม้แผ่นหนากระแทกกับตัวรองกันกระแทกดังปึง ประตูไม้สุดแกร่งสั่นสะท้านอยู่นาน ความคิดแว่บแรกที่คิดขึ้นได้คือ ‘ประตูห้องเรามันเปิดได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? มันเป็นตัวล็อกอัตโนมัติไม่ใช่หรือ? หากไม่มีกุญแจมันไม่ควรจะเปิดได้?’ แต่ความคิดเหล่าก็หายไปเพราะกลิ่นหอมแตะจมูกที่โชยมาจากชามขนาดใหญ่ที่ไอ้คนบ้าพลังถือมา “หอมจัง ซื้อมาจากร้านไหนอ่ะ?” คำถามแรกที่ผมคิดได้หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์วางชามนั้นลงบนโต๊ะข้างเตียง ถึงกลิ่นจะหอมเตะจมูกแต่หน้าตากลับเป็นคนละเรื่องผมถึงกับหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นสภาพข้าวต้มในชามยักษ์ “กูทำเอง ขนาดถามสูตรแม่กูมาเลยนะ!” อีกฝ่ายดูภูมิใจไม่น้อย “กินได้แน่นะ!!” ผมเบือนหน้าออกห่างมาเล็กน้อย “มึงดูถูกสูตรอาหารแม่กูเหรอ กูไม่สบายทีไรได้กินทุกที กูถึงขนาดยอมป่วยเลยนะเพื่อที่จะได้กิน” ไอ้คอปเตอร์มันยังไม่หยุดภูมิใจแบบแปลกๆ “เอ่อ….. จริงง่ะ?” “เออ!! กูรู้ว่าหน้าตามันอาจจะไม่ได้น่ากินเท่าไหร่ ก็กูไม่เหมาะกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบการปรุงอาหารนี่หว่า” “แต่มึงซื้อได้นะ มึงรู้ไหม?” “กูอยากให้มึงหายไวๆ กูกินทีไรก็หาย” ผมกุมขมับ รู้สึกปวดหัวเฉียบพลัน ผมคงต้องลดการต่อเถียงกับมันเสียแล้ว ไม้รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ผมกล้าที่จะโต้ตอบมันมากขึ้น ช่วยไม่ได้ ก็มันชอบแสดงท่าทางแปลกๆ กับผมก่อน หลังๆมานี่เวลาผมไม่พอใจอะไร มันก็กลับเงียบใส่เสียนี่สิ ทำให้ผมได้ใจไปหมด ไม่รู้ว่านี่คือหลุมพลางอะไรเปล่า? งั้นพิสูจน์จากข้ามต้มหน้าตาพิศดารนี่ก่อนละกัน ผมเงื้อมือไปหยิบช้อน พยายามช้อนตักให้น้อยที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะมีดีแค่กลิ่นหรือเปล่า? ผมจ้องช้อนอยู่ครู่ใหญ่ท่ามกลางสายตาเอาใจช่วยอย่างไอ้คอปเตอร์ กรึบ!! ผมงับช้อนโต๊ะสแตนเลสอย่างเร็วและพยายามกลืนลงไปให้เร็วที่สุด แต่ที่แปลกคือ ลิ้นผมมันบอกว่า ก็ไม่ได้แย่ ไอ้กลิ่นหอมๆ นั่นมาจาก สมุนไพรอะไรสักอย่างที่คุ้นเคยมากๆ และน่าจะมีมากกว่าหนึ่ง มันแฝงอยู่ในหมูบดที่ปั้นเป็นก้อนรูปทรงประหลาด น้ำซุปก็มีความหวานจากซุปกระดูกและผัก ที่หั่นอย่างไร้ความบรรจง ของบางอย่างมันดูแต่รูปร่างภายนอกจริงๆ ไปๆ มาๆ ผมก็ซัดข้าวต้มพิศดารชามนั้นจนหมด ไอ้คอปเตอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ ถึงจะรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องขอบใจมันล่ะนะ หลังจากอิ่มจนท้องแทบจะปริ ผมก็เพิ่งมาสังเกตเสื้อผ้าตัวเองอย่างละเอียด ลูบเนื้อผ้าไปมาพลางนึกถึงเรื่องราวล่าสุด ผมจำได้ว่าชุดนอนที่สวมใส่อยู่มัน… ไม่ใช่ชุดเดิม!! “นี่มึงเพิ่งจะรู้ตัวเหรอไงว่ากูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ก็ไม่แปลกนะ เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อขนาดนั้น มันต้องเปลี่ยนป่าววะ” ไอ้คอปเตอร์อมยิ้มพลางเก็บถ้วยชามภาชนะที่นำมาจากห้องตัวเองลงบนถาดที่มาพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ แม้จะดูแปลกตากับภาพตรงหน้า แต่ไม่ใช่เวลามานึกแปลกใจกับเรื่องนี้ “ไอ้สัด!!” ผมกระโดดออกห่างเท่าที่ทำได้ ปากก็กร่นด่าไปเรื่อยเท่าที่ตัวเองจะนึกออก “กูไม่แอบทำอะไรหรอก อย่างกูน่ะต้องให้เต็มใจเท่านั้น!!” “เว้นกูไว้คนหนึ่งล่ะ กูไม่มีทางเต็มใจกับคนอย่างมึงแน่นอน” ผมรู้สึกผิดแผนที่จะหลอกให้มันคบกับผม แต่แบบนี้มันล้ำเส้นเกินไป “เอาน่า… ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ต้องมีสักวัน” ไอ้คนที่มั่นหน้ามั่นใจอย่างมันพูดอย่างเปิดเผยใส่หน้าผม หากผมสบายดีก็อยากจะวิ่งไปตอกหน้ามันด้วยหมัดสักที เห็นผมตัวบางๆ แบบนี้ แต่ผมก็เป็นมวยนะครับ ผมได้แต่ยกนิ้วกลางให้มันเป็นคำตอบ เพราะขืนทำอย่างที่คิดจริงๆ หากมันโต้ตอบขึ้น ผมคงกลายเป็นศพคาห้อง บวกกับโดนอำพรางคดีเหมือนคดีกลั่นแกล้งต่างๆ ของมันสมัยเรียนแน่นอน ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรกับสิ่งที่ผมทำกับมันต่อหน้า มันกลับยิ้มเยาะและเดินเข้ามาใกล้ ใกล้ขึ้น ใกล้ขี้นเรื่อยๆ “เฮ้ยๆๆ ทำอะไรน่ะ!!?” ผมหยิบผ้าห่มมาคลุมร่าง ล่าถอยไปจนสุดหัวเตียงของผนังห้องอีกฝั่ง “ไข้ลดแล้วนะ วันนี้จะให้นอนเป็นเพื่อนอีกไหม?” มันยกหลังมือขึ้นทาบกับหน้าผากของผม ใบหน้าใกล้กันจนผมสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายได้ รอยยิ้มมุมปากที่พูดประโยคนั้น ทำให้ผมรู้สึกขนลุกวาบไปตั้งแต่ขายันศรีษะ แต่หัวใจกลับเต้นระรัวเหมือนกับอาการตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ทำให้เผลอไปนึกถึงตอนที่ผมฟื้นสติใหม่ๆ แล้ว…. มีไอ้คอปเตอร์นอนอยู่ข้างๆ “ไม่จำเป็น!!” ผมคลุมผ้าห่มปิดทั้งตัวให้พ้นจากสายตาที่ส่งมาอย่างเจ้าเล่ห์ คู่นั้น ร้อนนะ แต่ก็ไม่กล้าเปิดผ้าที่คลุมโปงอยู่ เพียงครู่ใหญ่ เสียงฝีเท้าสัมผัสพื้นค่อยๆ ห่างออกไป ผมโล่งอกและเปิดผ้าห่มรับอากาศภายนอก นอนหงายผายร่างกางแขนขาออกอย่างโล่งอก เจอกันแค่นี้ยังหัวใจจะวาย หากให้มันมาใกล้ชิดกว่านี้ ผมจะไหวไหมเนี่ย?
:-[ :o8:
บทที่ 5 เขินให้หน่อยสุขภาพดีขึ้นหลังจากลาไปสองวันติด ผมคิดวางแผนอยู่ข้ามคืน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มแผนการตามที่เพื่อนรักแนะนำไว้ในวันรุ่งขึ้นโดยใช้จังหวะที่หายไม่สบายนี่แหละในการเข้าหามัน และพยายามหาจุดอ่อนของมันเพื่อที่จะล้างแค้นอย่างสาสม เริ่มจากไปทำงานด้วยกัน ผมส่งข้อความไปหามันว่าไหนๆ ก็อยู่ที่เดียวกันแล้ว ขอติดรถไปด้วยได้หรือไม่? แน่นอน มันตอบตกลง เหตุที่มันมาอยู่ใกล้ๆ ผมก็เพราะว่าแค่เวลาที่ออฟฟิศมันไม่พอนี่แหละ เลยหาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆ จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน “มึงก็ซื่อกว่าที่คิดนะ เรื่องแบบนี้มึงจะบอกกูเพื่อ?” ผมเขียนสวนมันไปทันที สักพักช่องแชททางซ้ายมือก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้ปิดคนรักมันไม่ดี” “ยังไหม? กูยังไม่ได้เป็นรักคนของมึง” ผมเขียนไปพร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธกลับไป อีกฝ่ายก็แค่เขียนเลขห้าหลายตัวติดกันกลับมา ไอ้ไตเติ้ลเพื่อนรักบอกว่าให้อ่อย แต่ผมอ่อยใครก็ไม่เป็นนี่นา ที่ผ่านมามีแต่คนเข้าหาก่อน แล้วกับไอ้คนที่เกลียดเข้าไส้แบบนี้ผมจะต้องยังไงนี่ยังคิดไม่ออก หากเมื่อครู่เปลี่ยนจากการแชทเป็นการเจอหน้ากัน ผมคงเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าทำท่าทางฉุนเฉียวใส่มัน ผมจะเป็นอะไรไหม หวังว่ามันจะมาจีบผมจริงๆ ไม่ใช่มาแกล้งอะไรผมอีก!! ตลอดการเดินทางมาที่บริษัท สิ่งที่ผมคิดไว้ว่าจะอ่อยมันอย่างนั้นอย่างนี้สารพัดที่จะคิดได้ก่อนจะขึ้นรถสรุปคือผม ไม่ได้ใช้สักอย่าง ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาจนกระทั้งถึงที่หมาย “ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวกูไปจอดด้านใน เดี๋ยวมึงเดินไกล ไปเจอกันข้างบนนะ” ไอ้คอปเตอร์จอดตรงทางขึ้นลิฟต์เฉพาะวีไอพี ผมเดินลงมาด้วยอาการลังเล “ไม่ต้องห่วง กูให้เขาเพิ่มสิทธิ์มึงแล้ว สแกนใบหน้าแล้วเข้าลิฟต์ขึ้นไปได้เลย” มันตะโกนออกมาจากรถแล้วก็ขับตรงไป ผมเดินที่ประตูทางเข้าพื้นที่รอลิฟต์วีไอพีอย่างว่าง่าย เพียงเดินไปทางเครื่องสแกนเนอร์ ประตูก็ปลดล็อกทันทีพร้อมกับเสียวผู้หญิงพูดว่า “welcome” โอโห! เพิ่งเคยมาสังเกตนี่แหละว่ามีเสียงแบบนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตระหนกจนหูดับ หลังจากเดินเข้าในลิฟต์และกดเลือกชั้น ถึงได้นึกได้ว่า ผมไม่ควรออกจากส่วนนี้ไปที่แผนกได้โดยตรงนี่หว่า!! แต่กว่าที่จะคิดอะไรออก ห้องโดยสารก็เดินทางมาถึงชั้นที่หมาย เสียงกริ่งดังพร้อมการเลื่อนเปิดของประตูอย่างช้าๆ ผมเดินออกมาพลางคิดแผนต่างๆ นานารวมถึงดูนาฬิกาข้อมือว่ากี่โมงแล้ว คนมากันเยอะหรือยัง? เวลาคิดน้อยไป บวกกับคิดว่าอีกหลายนาทีหว่าจะถึงเวลาเข้างาน ผมจึงรีบเดินออกจากประตูวีไอพีทันที สิ่งแรกที่เห็นคือ แม่บ้านของชั้นนี้ ที่ออกอาการประหลาดใจทางสีหน้าชัดเจน แต่โชคดีที่คนทำงานยังบางตาผมอาศัยจังหวะนี้ก้มตัววิ่งหลบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงใครทักเหมือนทุกครั้ง ดังนั้นน่าจะรอด!! ไม่ถึงสิบนาทีไอ้คุณชายของบริษัทก็เดินทางมาถึงโต๊ะ พร้อมกับใช้มือขยี้ศรีษะผมพร้อมคำทักทายแบบเป็นกันเอง “นี่! มึงสนิทกับกูขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมชักสีหน้าแบบอัตโนมัติ (นี่แปลว่า จิตใจผมมีภูมิกับไอ้คอปเตอร์พอควรเหมือนกันนะ) “พาไปโรงพยาบาล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ นอนค้างอยู่บนเตียงเดียวกันทั้งคืน ทำอาหารให้กิน นี่มันสนิทจนเป็นแฟนได้แล้วป่ะ?” ไอ้คอปเตอร์ยกยิ้มมุมปากและมองผมด้วยสายตาชวนอยากจะอ้วกตรงนี้ “ขนลุกว่ะ แล้วอย่าพูดเสียงดังได้ไหม? กูเสียหาย!” ผมลุกขึ้นไปใกล้ ยกมือไปปิดปากมันแน่น กว่าจะรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายโอบเอว ยิ้มยกมุมปากสูงอย่างที่ไม่เคยเห็น ผมจึงรีบผละตัวเองออกทันที และแล้วผมก็ต้องสะดุ้งตัวโยนอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังจากระยะไม่ไกล ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ผมพบพี่ท้อปยืนแสยะยิ้มแบบเกร็งๆ ส่งมาทางผม “พี่ขอตัวเราไปช่วยงานหน่อยได้ไหม?” พี่ท้อปกวักมือไหวๆ “เพื่อนผมมันเพิ่งหายไข้ จะให้มันพักสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” ไอ้คุณเจ้าของบริษัทในอนาคตกร่างเสียงดัง ผมโคตรจะไม่ชอบเลย อะไรแบบนี้ ผมจึงรีบผุดลุกขึ้นและเสนอตัวที่จะไปทำงานกับพี่ท้อปแทรกขึ้นมาทันที ……… “เป็นอะไรมากไหม? พี่ใช้งานเราหนักไปเหรอ?” พี่ท้อปเอ่ยถามไถ่ทันทีเมื่อมาถึงที่โต๊ะตนเอง “ไม่ๆ ครับ อาจจะเพราะผมเป็นภูมิแพ้นะครับ แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับนิดหน่อย” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม “โอเคๆ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วก็….” สีหน้าของพี่ท้อปรู้ได้เลยว่าถือเผือกร้อนไว้ในมือ “ทำไมคุณคอปเตอร์ถึงได้โทรศัพท์มาแจ้งเรื่องที่เราป่วยได้ล่ะ ไปสนิทกันตอนไหน?” พี่ท้อปป้องปากพลางถามด้วยเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิม “ไม่สนิทนะ ก็มัน……” ผมลังเลกับคำตอบ พี่ท้อปเลิกคิ้วสงสัยกับคำตอบที่หยุดชะงักไป “ก็….ก็ วันนั้นมันโทรศัพท์มาถามเรื่องอะไรสักอย่างแต่ผมป่วยมันก็เลยบอกว่าจะแจ้งพี่ให้!” โกหกไม่เก่งเลยผม พี่ท้อปอือ ออ พยักหน้าด้วยอาการเคลือบแคลงสงสัย “แล้ววันนี้มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” “อืมมม เคลียร์งานเดิมที่โต๊ะก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้ว ค่อยมาหาพี่นะ แต่สักบ่ายสองก็ได้ พี่ไม่รีบ” ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผมควรจะได้ประสบการณ์เยอะๆ จากการทำงานสิ ไม่ใช่ได้ทำงานสบายๆ แบบนี้ แต่ก็จนใจหันตัวหลับห้อง ก่อนออกจากพื้นที่โต๊ะพี่ท้อป ผมกลับโดนพี่ท้อปรั้งไว้ แล้วก็แอบกระซิบใส่ผมว่า ผมโดนที่นี่เม้าส์มอยอย่างสนุกปากว่าเป็นกิ๊กกับลูกชายเจ้าของบริษัท ผมไม่เข้าใจกับการอธิบายสั้นๆ แบบนี้ ผมไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเลยนะ คัดเลือกเข้าฝึกงานผมก็ได้ด้วยความสามารถและประวัติการเรียนและกิจกรรมของผมเอง พี่ท้อปพูดสั้นๆ ก่อนที่จะปล่อยผมกลับห้องไปว่า “พี่ไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์ปฏิบัติกับใครแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะโดนตึงใส่จนแทบจะร้องไห้หนีกลับบ้าน” ฟังแล้วผมก็เข้าใจนะ ไอ้เรื่องความตึงของไอ้คนเถื่อนคนนี้ แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าเข้าทางแผนการของผมแล้วล่ะ ผมเดินกลับไปที่ห้องเอกสารที่ๆ ถูกจัดให้นักศึกษาฝึกงานอยู่ ก็ต้องแปลกใจที่ประตูเปิดค้างอยู่ หลังมองผ่านเข้าใจก็เข้าใจ เพราะเห็นไอ้คนหน้าตึงนั่งกางขาจ้องช่องประตูเหมือนจะให้มันปรากฏภาพที่ตัวเองต้องการเหมือนกระจกวิเศษ หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์เห็นหน้า ก็เหมือนกับสุนัขที่นั่งเฝ้าบ้านทั้งวันแล้วเห็นเจ้าของกลับมา หน้าตึงๆ ของมันผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พลางลุกขึ้นมาโวยวายว่าทำไมผมถึงหายไปนานจัง สำหรับผมก็คิดว่ามันไม่นานนะ ผมเลยตอบสวนไปอย่างไม่ทันคิด ด้วยไหวพริบของผม จึงลองใส่อารมณ์ในคำพูดต่อไปเหมือนกับว่า “ไปทำงานนะไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แล้วมึงไม่มีอะไรทำหรือไง?” เป็นการลองใจครั้งสำคัญ ว่ามันจะหลอกผมเล่นแล้วซัดผมสลบ หรือว่า ชอบผมจริงและยอมให้กับผม ผิดคาด คอปเตอร์มีอาการอึดอัดทางใบหน้าชัดเจน พยายามเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็กลั้นไว้ แล้วก็กระแทกลงนั่งที่เก้าอี้ตนเอง “กูก็นึกห่วงว่าจะโดนดุ หรือ ให้ทำงานอะไรที่มันหนักเกินไป มึงเพิ่งหายป่วยนะ” ท่าทางดูฝืนๆ แต่ก็มีท่าทีห่วงใยแบบขัดๆ ไปหมด คงเป็นประเภท ไม่เคยทำดีกับใครล่ะมั้ง?? ผมคิด ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบมันจะมีมุมแบบนี้ให้เห็น ผมเค้นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ไอ้คอปเตอร์หันมามองด้วยอาการงวยงงและรับหันกลับไปจดจ่อกับภาพพักหน้าจอที่ดำมืด ตลอดวันนี้ทั้งวันเป็นวันที่อึดอัดไปหมดสำหรับไอ้คอปเตอร์ ผมรู้สึกว่ายิ่งมันมีความพยายามที่จะใกล้ขิดกับผมมากขึ้น มันก็ยิ่งแสดงออกด้วยท่าทางที่ขัดตาจนผมอดที่จะขำไม่ได้ จนกระทั่งเลิกงาน ผมจึงสบโอกาสพูดกับมันบนรถซีดานคันหรู “ลำบากนักก็ไม่ค้องพยายามเลย มึงอึดอัดกูก็อึดอัด เป็นตัวของตัวเองเถอะ!!” “แต่..กูอยาก….จีบมึง….” “นี่น่ะเหรอวิธีจีบของมึง ตอนแรกก็บังคับกูทำตามใจมึงทุกอย่าง พอครั้นจะเอาใจกู มึงก็เก้กังๆ ถามจริงมึงไม่เคยจีบใครเหรอไง?” “ก็เออไง กูไม่เคยจีบใคร เคยแต่มีคนเข้าหากู กูไม่ต้องทำอะไรนี่หว่า” “อันนี้คือประโยคบอกเล่า หรือ อวด?” “ไม่ใช่นะมึง ก็กูไม่เคยไง!” น้ำเสียงและหน้าตาอันแสนจริงจังของมันทำให้ผมเขื่อคำพูดของมันได้ระดับหนึ่ง ผมพยักหน้ากับคำตอบของมันแบบลอยๆ “กู…เอ่อ…. กูยอมเป็นคนคุยของมึงก็ได้” “คนคุยนี่คือแฟนใช่ไหม?” “ไม่ใช่โว้ย ก็คือยอมรับว่า..ประมาณดูๆ กัน ยังก้ำกึ่งน่ะ เอาเป็นว่ายังไม่ใช่แฟนโว้ย!!” “อย่างน้อยมึงก็เปิดใจ” มันยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ตาผมเบิกกว้างเพราะไม่คิดจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ นี่มันชอบผมจริงๆ เหรอ? “เออๆ แล้วก็เลิกทำตัวแปลกๆ ได้แล้ว กูอึกอัดทำตัวเหมือนเพื่อนปกติได้ไหมวะ?” “แล้วมันจะเหมือนแฟนกันได้ไง กูอยากได้ฟิวแฟน” “ก็ทำตอนอยู่กันสองคนก็….ด้ายยย” ผมรู้สึกผิดที่เผลอพูดคำนี้ออกไป เพราะประกายตาของไอ้คอปเตอร์และคำพูดตอบรับของมันทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ “งั้นขอมือหน่อย?” “อะไรของมึง!” “อยากจับมือน่ะ” “ยังๆ เรายังไม่ถึงขั้นนั้น!” “ก็อยากจะเริ่มต้นอยู่ด้วยกันด้วยอะไรดีๆ แบบนี้” ผมมองไปในนัยน์ตาของมันแล้วก็คิดว่าไอ้คนนี้มันคิดอะไรของมันกันน่ะ รู้สึกอันตรายขึ้นมาเลย ในที่สุดผมก็ปฏิเสธซ้ำๆ จนมันเลิกงองแงไปเอง หลังจากมาถึงอพาร์ตเมนต์ผมก็ดิ่งตัวลงจากรถทันที ไอ้คอปเตอร์เปิดกระจกและตะโกนออกจากรถทันทีที่ผมหันหลังให้กับตัวรถ “เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นห้องมึงนะ!” ก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธ มันก็วนรถไปจอดในพื้นที่จอดรถยนต์ด้านในสุดเสียแล้ว ผมไม่เสียงเวลาอึ้ง ผมรีบจ้ำฝีเท้าขี้นห้องพักทันที ……………
:o8: :-[
เสียงท้องร้องดังลั่นห้อง ผมนั่งลูบท้องไปมาพร้อมกับดื่มน้ำเย็นๆ ลงไปดับความกระหายที่เหมือนไฟไหม้ป่าแถวออสเตรเลีย บอกเลยว่ามันไม่พอ ถ้าจะถามผมว่าทำไมต้องมานั่งทนหิวแบบนี้ไม่ๆปหาอะไรกิน ไม่ใช่เพราะผมรอไอ้ห้องฝั่งตรงข้ามมากินมื้อเย็นด้วยนะ แต่เป็นการกลัวว่าเปิดประตูห้องไปแล้วจะเจอมันแล้วขอเข้าห้องมาอยู่ด้วยกันนี่แหละ รู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี่ชีวิตเหมือนถูกติดจีพีเอส ไม่ว่าจะไปที่ไหนทำอะไรก็จะเจอมันไปทุกที่ การปิดห้องอยู่เงียบๆ มืดๆ น่าจะเป็นการดีที่สุด ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็เข้าแล้ว กลางวันก็ต้องทนอยู่กับมัน หากต้องมาเจอกันกลางคืนแบบยาวๆ ไปแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหวจริงๆ คิดว่าไหวก็ต้องไหวต้องทนหิวให้ได้ ไม่ทันที่ความหิวโหยจะเล่นงานผมจนหมดแรง เสียงสะเดาะประตูดังกริ๊ก แล้วประตูก็เปิดกว้างออก เผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดลำลองและหอบหิ้งถุงกระดาษและถุงผ้ามากมายภายใต้ฉากหลังที่ส่องสว่างจากหลอดไฟแอลอีดีของโถงทางเดิน “มึงอยู่ทำไมมืดๆ วะ!” เสียงที่คุ้นเคยเพราะฟังมาทั้งวันดังขึ้น เชี้ย!! ผมลืมไปว่ามันเปิดเข้าประตูผมได้นี่หว่า สงสัยต้องเคลียร์กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์เสียหน่อยแล้ว!! “เดี๋ยวนะ!! มึง!! เข้า!! ห้อง!! กู!! ได้!! ยังไง!!?” ผมรีบถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดตอนนี้ “ก็ตอนมึงไม่สบาย กูเลยขอคีย์การ์ดสำรองกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ หรือมึงจะให้กูพามึงไปนอนห้องกู?” จริงของมัน เออกูยอม!! “งั้นก็รีบไปคืนสิ กูสบายดีแล้วกูอยู่ตัวคนเดียวได้!!” ผมแบมือขอคีย์การ์ดที่พูดถึงทันที “ไม่ได้หรอกกูซื้อแล้ว กูบอกว่ากูห่วงแฟนเดี๋ยวเป็นอะไรอีก!” “ใครแฟนมึง?!” “ก็ไม่ใช่วันนี้ แต่อีกหน่อยก็ใช่” “มึงนี่โคตรมั่น!!” คราวนี่มันไม่ตอบทำได้แค่ส่งยิ้มตอบกลับมาแล้วก็ชวนกิมมื้อเย็นที่มันหอบหิ้วมา ทุกอย่างล้วนมาจากร้านอาหารที่ไม่คุ้นชื่อ ด้วยความสงสัยผมจึงชี้ถามทีละจานเพราะแต่ละอย่างล้วนน่ากินและมีกลิ่นหอมที่ชวนให้กระเพราะทำงานอย่างหนัก ไอ้คอปเตอร์ยืดอกอย่างภูมิใจว่าเป็นร้านอาหารที่มันไปลงทุนกับคนรู้จักไว้ เพราะเป็นคนชอบอาหารเหมือนกัน ผมเผลอแบะปากกับความขี้อวดของมัน แต่ถึงไม่ชอบหน้าเจ้าของอาหาร แต่ผมก็ยอมรับเอาอาหารเข้าปากอย่างไม่รีรอ ในขณะที่ที่อีกฝ่ายทำแค่นั่งยิ้มดูผมกินอย่างสวาปามพลางเล็มอาหารไปพลาง “กูไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์นะ มานั่งดูกูกินอยู่ได้ มึงเองก็กินด้วย ผมเผลอจิ้มทอดมันกุ้งโดนัทชุบแป้งทอดขิ้นเล็ก ไปจ่อที่ปากที่ยกยิ้มย่นของมัน มันแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าไม่ควรทำแบบนี้ชักมือออกก็ถูกมือหยาบคว้าข้อมือไว้แน่น และบังคับให้ผมป้อนทอดมันกุ้งชิ้นนั้นเข้าปากอย่างอารมณ์ดี …….. “วันนี้ขออาบน้ำห้องมึงนะ ห้องกูน้ำไม่ไหล” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นหลังจากที่ผมกำลังเก็บทำความสะอาดหลังมื้ออาหาร “มึงก็แจ้งพี่ที่ดูแลหอพักข้างล่างสิ เขาพาช่างมาดูเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” ผมพูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา “กูบอกแล้ว แต่วันนี้ช่างประจำตึกหยุด” “ง่ายดีเนอะ อีกหน่อยก็มาขอนอนกับกูด้วยมั้ง!” “เออ….เรื่องนี้กูก็อยากจะขอเลย คือ ห้องกูแอร์ไม่เย็นเลย ขอนอนห้องมึงได้ไหม?” “ง่ายๆ นะ มึง!! กลับ!! บ้าน!! มึงสิ!!” ผมเน้นคำใส่มันอีกครั้ง รู้สึกที่งตัวเองเหมือนกันที่เหมือนจะบรรเทาอาการหวาดกลัวมันไปเยอะ หลังจากรู้ว่ามันมาจีบจริงๆ (มั้ง) “กูเหนื่อย พรุ่งนี้เช้ากูต้องขับมารับมึงอีก!!” “งั้นก็ไม่ต้อง กูไปเองได้!” “ไหนว่าเราเป็นแฟนกัน!!” “กูไม่เคยพูดสักคำ!! ว่ามึงเป็นแฟนกู!! คนคุยน่ะ รู้จักคนคุยไหม?” “ต่างกันตรงไหน คนคุยก็เหมือนแฟนป่าววะ?” “เฮ้อ…… แล้วแต่มึงเลย แต่มึงกลับบ้านไปเลย” รู้สึกปวดหัวไมเกรนจะขึ้น ทำไมมันถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้วะ แค่อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เกร็งจะแย่ หากต้องมานอนร่วมเตียงแบบนี้ มันเกินไปนะ “งั้น..กูไปนอน ร้อนๆ ในห้องก็ได้” พูดจบก็ทำหน้าตึงซึมลง ไอ้อาการแบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกแปลบปลาบที่กลางอกแปลกๆ ผมผู้ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกแย่ ก็เลยรับบทคนรู้สึกผิดไปเต็มๆ บ้านก็มีทำไมไม่กลับ กลับบ้านไปนอนห้องหรูๆ มันง่ายกว่าเห็นๆ มันเลือกเองช่างมัน ผมพูดซ้ำๆ ในใจกับตนเอง สุดท้าย มันยังไม่ทันก้าวออกพ้นห้อง ผมก็ต้องยอมตกลงให้ให้มัน ร่วมห้องด้วยในคืนนี้ “คืนเดียวเท่านั้นนะ” ผมกำชับ ใส่ไอ้คนหน้าบานเป็นพานถวายสังฆทานชุดใหญ่ ผมส่ายหน้ากับความเจ้าเลห์ของมัน ……………….
:serius2: :angry2:
………………. หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันเดียว แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันเหมือนวางแผนดับเครื่องชนแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างแก้แค้นกับยอมเลิกราเพียงเท่านี้ ผมพูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่า ที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำเพื่อสงสารมัน แต่เป็นการทำให้มันตายใจจะได้แก้แค้นมัน ทำให้มันเสียใจเจียนตายตอนผมทิ้งมัน ตอนนี้ไอ้คนดื้อด้านมันมาขออาบน้ำอยู่ที่ห้องผม หลังจากที่มันเดินออกจากห้องผมยังไม่ทันได้นับหนึ่งถึงสิบ มันก็เดินกลับมาพร้อมสัมภาระค้างคืนพร้อมสรรพ ประหนึ่งเตรียมการมาแล้วอย่างดี ผมกำลังคิดผิดอยู่หรือเปล่านะ ผมจึงขออาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ไอ้คอปเตอร์มันไม่ปฏิเสธแต่ขอนั่งรอในห้องผมได้ไหม? แน่นอนว่าผมปฏิเสธ แต่ถ้าจะให้เสียเวลาคุยกับมันไปเรื่อยๆ ผมคงไม่ได้นอน เลยปล่อยมันเข้ามารอในห้อง ตอนที่ผมแต่งตัวชุดนอนออกจากห้องน้ำ ไอ้คอปเตอร์ก็ส่งสายตาสำรวจมาที่ผม พร้อมกับแสดงสีหน้าผิดหวัง อย่างมึงอย่าคิดว่าจะได้เห็นผิวใต้ร่มผ้ากูเลย ผมแสยะยิ้มในใจ แล้วก็ไล่มันไปอาบน้ำให้เรียบร้อย แค่คิดถึงเหตุการณ์นี้ ผมก็แอบขนลุกแล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมจึงทำได้เพียงจัดที่นอนแบบแยกโซนชัดเจน เอาหมอนข้างมาแบ่งกั้นอาณาเขตระหว่างสองฝั่ง ขณะที่ไอ้คอปเตอร์มันเข้าไปอาบน้ำ ไม่นานไอ้ตัวปัญหาก็ออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกลิ่นที่คุ้นเคย “นี่มันกลิ่นครีมอาบน้ำ แชมพูของกู มึงก็เอาของตัวเองมาทำไมไม่ใช่ของมึงวะ!!” ผมหันไปหาเรื่องทันที แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ เรือนร่างกึ่งเปลือยของไอ้คอปเตอร์ มันเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ พาดตรงไหล่ข้างหนึ่งและปล่อยกลุ่มชายผ้าลงมาปิดแค่ส่วนสำคัญของมันเท่านั้น ผิวขาวละเอียดและมัดกล้ามเนื้อกำลังดีที่ถูกหยดน้ำเกาะอย่างบางเบาไปทั่วร่าง เหมือนหลุดมาจากนิตยสารนายแบบเล่มดัง “เชี้ย!! มึงจะเปลือยเพื่อ!!?” ผมหันหลังกลับพลางโวยวายให้มันรู้ตัว “อะ..อ้าว… ลืมตัว นึกว่าอยู่ห้อง” “ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเลย กูไม่อยากเห็นของแสลง” “เฮ้ย!! ของกูมีแต่คนชมว่าสวยดี กูให้มึงดูให้เต็มตาเลย ไม่ต้องขอ!” “อุบาท ถามจริง ใครวะที่จะทำแบบนั้น” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดอีกแบบ หุ่นมันดีจริงๆ แต่ส่วนตรงนั้น ไม่เอาๆ ไม่คิด ความคิดในหัวมันทรยศ “อุตส่าห์ฟิตหุ่นทุกวันเลยนะ กูหมายถึงหุ่นนะ หรือว่ามึง….หมายถึง…” “ช่างแม่ม!! รีบแต่งตัวเสียที!!” ผมหันหลังใส่ไม่มอ “ปกติกูจะปล่อยให้ตัวแห้งก่อน งั้นกูขอเช็ดตัวก่อน” แล้วมันก็ขยุกขยิกอยู่ด้านหลังผม แน่นอนว่าผมกอดอกรอให้มันแต่งตัวให้เรียบร้อยจะได้หันหลังไปด่ามันต่อ “กลิ่นครีมอาบน้ำหอมมากเลย แชมพูด้วย แต่แปลกนะ ไม่หอมเท่าที่อยู่บนตัวมึงเลย มัน….หอมแบบเย้ายวนกว่านี้” ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัว หวังว่าคืนนี้คงไม่โดนขืนใจนะ ผมนึกถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวเองใต้เตียงที่แม่เตรียมไว้ให้ “มาแอบใช้ของคนอื่นแล้วยังมาพูดจาให้ขนลุกอีกนะ มึงนี่โรคจิตนะ” “กูก็จิตกับมึงคนเดียวนี่แหละ!” ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่หันหน้าไปมองค้อนมัน มันที่เพิ่งใส่เสื้อเสร็จกลับหันมายิ้มได้น่ากลัวมากกลับมา ผมนึกถึงของใต้เตียงอย่างเดียวเลยตอนนี้ ผมไม่คิดจะสนทนาอะไรต่อให้มากความเพราะมีแต่จะทำให้ขนลุกมากขึ้น แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้มีอาการหวาดกลัวมันเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน อาจเพราะฝืนอยู่ใกล้มันบ่อย แล้วตัวคอปเตอร์เองก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน กลับกันมันกลับพยายามทำดีกับผมมาตลอด แม้ว่ามันจะแปลกๆ ก็ตาม ผมจึงได้ลดระยะห่างระหว่างผมกับมันได้บ้าง ผมบอกให้มันจีดการตัวเองให้เรียบร้อยเพราะจะปิดไฟนอนแล้ว “ทำไมนอนเร็วยัง พรุ่งนี้ก็วันหยุด กูยังไม่ง่วงเลย เรามานั่งคุยกันก่อนได้ไหม?” ท่วงทำนองการพูดของมันเปลี่ยนไป มันจะมาไม้ไหนเนี่ย แต่ผมไม่สนใจ ผมยืนยันที่จะนอน แม้ท้องจะแน่นมากอยู่ก็ตาม ถึงไอ้คอปเตอร์ มันจะอิดออด บ่ายเบี่ยง แต่สุดท้ายมันก็ยอม เป็นอีกครั้งที่ผมชนะมัน รู้สึกถึงแผนการจะไปได้สวยอย่างชัดเจน หลังจากที่มันล้มตัวลงนอนในพื้นที่ ๆ ผมจัดให้ ก็บ่นชุดใหญว่าแคบ ทำไมต้องเอาหมอนข้างมาวางกั้นไว้สองชิ้นแบบนี้ ผมเลยสวนไปให้มันเลือกเอาระหว่างพื้นกับบนเตียงจะนอนที่ไหน แล้วก็เป็นชัยชนะของผมอีกครั้ง “วิน….หลับหรือยัง?” ยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีที่ผมปิดไฟและล้มตัวลงนอนตรงฝั่งแคบๆ อีกฝั่งที่ตัวเองจัดไว้ “อืม…” ผมถอนหายใจก่อนที่จะตอบออกไปสั้นๆ ผมพยายามแฝงความรำคาญเข้าไปในน้ำเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “นอนไม่หลับ” ท่าทางผมคงไม่ถนัดใส่น้ำเสียงแบบนั้นดูมันไม่สะทกสะท้านเลย ยังกล้าถามต่ออีก “หลับตา หายใจเข้าออกสบายๆ เดี๋ยวก็หลับ กูง่วงแล้วเนี่ย” ผมตอบไปแบบนั้นแต่ความเป็นจริง นี่มันยังหัวค่ำจริงๆ ผมมักจะอ่านหนังสือหรือหากิจกรรมทำช่วงก่อนนอนเสมอ ตอนนี้คือ หนังตาไม่รู้สึกล้าเลยสักนิด “คุยกันก่อนได้ไหม? เผื่อจะทำให้ง่วง” ไอ้คอปเตอร์ก็คือไอ้คอปเตอร์ เรื่องดื้อด้านไม่ฟังใครนี่ ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง “ตามใจ หากกูหลับแล้วก็ไม่ต้องมาปลุกกูนะ” ผมผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายๆ กับไอ้คนร่วมเตียง “ข้อแรกเลยนะ…..มึงจะเปิดแอร์แค่ 25 องศาจริงๆ เหรอ กูเป็นคนขี้ร้อนน่ะ” “นี่มึงมาอาศัยห้องคนอื่นนอนนะ มึงมีสิทธิ์เรื่องมากด้วย?!?” รู้สึกภูมิใจในตัวเองนิดหน่อยที่ทำเสียงแข็งใส่มันได้เรื่อยๆ แบบนี้ “แต่….กูนอนไม่หลับ กูขอไปเปลี่ยนได้ไหม?” “ไม่!! กูหนาว!!” “แต่มึงมีผ้าห่ม” “มึงก็ไม่ต้องห่มสิ!!” “กูไม่ห่ม กูก็นอนไม่หลับ” “มึงนี่ย้อนแย้งนะ สรุปมึงจะร้อนหรือมึงจะหนาว?” “มึงไม่เคยเป็นเหรอ แบบพวก ผ้าเน่า หมอนเน่าอะไรแบบเนี่ย แบบต้องมีอะไรบางอย่างกอด หรือสัมผัสถึงจะหลับได้ กูก็ต้องห่มผ้าห่มนอนน่ะ ยิ่งผ้าห่มนี้มีกลิ่นมึงด้วย กูยิ่งชอบ” “ขนลุก!! เอาเลยมึงจะไปปรับอุณหภูมิเท่าไหร่ก็ไปปรับเลย นู่น ที่ผนังตรงห้องน้ำนั่นไง” ประโยคแรกนี่ผมเข้าใจนะ ผมก็เป็นประเภทติดหมอนข้าง แต่ไอ้ท้ายประโยคนี้ผมรู้สึกโดนคุกคามยังไงไม่รู้ หลังจากที่มันผุดลุกไปปรับอุณหภูมิตามต้องการอย่างรวดเร็วแล้ว ไอ้คอปเตอร์มันก็แทบจะกระโดดข้ามตัวผมไปนอนฝั่งของมันอย่างกับบินได้ เพียงครู่เดียวเสียงลมที่กำเนิดจากเครื่องปรับอาการก็เปลี่ยนจากลมพัดเอื่อยริมชายหาดเป็นพายุโหมช่วงมรสุม ผมรู้สึกถึงอากาศโดยรอบเหมือนจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ผมไม่ใส่ใจถามว่ามันปรับไปที่อุณหภูมิเท่าไหร่ เดาได้เลยว่ามันคงปรับแบบจัดเต็มเท่าที่เครื่องจะสามารถไปถึง ผมขยับผ้าห่มมาคลุมตัวมากขึ้น และเริ่มรู้สึกเสียใจที่ไปใจดีกับมัน มันควรจะเกรงใจผมบ้างนะ “นี่” มันทักขึ้น ผมสังเกตว่าร่างกายไอ้คอปเตอร์แทบจะทุกส่วนอยู่นอกผ้าห่ม นี่มึงหนังหนาขนาดไหนวะเนี่ย? “ว่า!” “กูถามดีๆ นะ ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยวะ?” “กูหนาวกูไม่ทีอารมณ์มาตอบคำถามอะไรของมึง!” “ตัวกูอุ่นนะ” “บอกเพื่อ?!?” “ให้กูกอดไหม?” “อย่าแม้แต่คิด เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน” “ก็ไหนว่า ยอมรับว่าจะเริ่มคุยกัน?” “คุย ไม่ได้ยอมรับเรื่องแฟน!!” “อะไรวะ!” “นอน กูง่วง” “อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน” “มึงไม่ง่วงก็ออกไปวิ่งรอบตึกสักสามรอบสิ จะได้ง่วง!!” “ใจร้าย ทำไมไม่บอกว่า ‘ให้กอดทีแล้วไปนอนเสียนะ’ ล่ะ?” “ไอ้คอปเตอร์….” ผมลากเสียงยาวใส่มัน แสดงให้เห็นเลยว่าผมรำคาญ แล้วนี่มันอะไรกัน พอมาอยู่ในห้องนอนแล้วมันทำไมนิสัยมันเปลี่ยนแบบนี้วะ! “วิน….” “อะไร” ผมทำเสียงยานคางจะได้รู้ว่าผมง่วงแล้ว ไม่อยากคุยแล้ว “อืม….คือ…… ชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นไงบ้างบ้างวะ?” ไอ้คอปเตอร์มีความลังเลอยู่ในเสียง จนกระทั้งผมเริ่มกังวล หากมันถามถึงสมัยมัธยม ผมจะตอบว่าอะไรวะ? “ก็ดีนะ กูเป็นถึงเดือนคณะฯ นะเว้ย” คุยทับไว้ก่อน ผมไม่อยากให้มันรู้สึกคุ้นเคยกับอดีตของผมมากนัก “อืม ……แล้ว…..” “กูง่วงแล้ว” ผมรีบตัดบทเสียก่อน ถามถึงเรื่องอดีต มันไม่โอเคกับผมเท่าไหร่ “งั้นคำถามสุดท้าย พรุ่งนี้เข้ากินอะไร?” ทำไมเสียงมันถึงได้อ่อนโยนลงวะ หลังจากที่ผมกวนตีนใส่มันขนาดนั้น “อะไรก็ได้” “เอาจริง อย่ามาตอบแบบนี้ มันไม่มีหรอกอะไรก็ได้น่ะ” มันเซ้าซี้ผมอยู่นานจนผมตอบแบบอาหารง่ายๆ อย่าง ข้าวเหนียวไก่ทอด มันถึงได้สงบปากลง หลังจากนั้นผมก็แกล้งหลับใส่มันเสียเลย ……………..
:ling3: :katai5:
จริงๆแล้วคอปเตอร์น่าจะจำวินได้ตั้งแต่แรกไหม
บทที่ 6 สลักจิต อากาศอบอุ่นภายใต้ความมืดมิดของผ้าม่านกันแสงยูวี ทำให้รู้สึกพักผ่อนอย่างสบาย ปกติผมไม่ใช่คนตื่นสายแม้ในวันหยุดก็ตาม แต่วันนี้ความรู้สึกภายในผ้าห่มผืนหนามันช่างสุขสบาย แม้จะขยับตัวได้ไม่สะดวก แต่ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในปุยเมฆที่แสนสบาย อบอุ่น อ่อนนุ่ม จนไม่อยากจะลืมตาตื่น ศรีษะที่เหมือนโดนโอบรัดอย่างทะนุถนอมและนวดเสยอย่างแผ่วเบา มันเพลิดเพลินผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เดี๋ยวนะ!! ความคิดในใจที่อยู่ ๆ ก็โพล่งพูดขึ้น ท่ามกลางความอุ่นสบาย ผมพยายามยกหนังตาขึ้นมองสภาพแวดล้อมอย่างสุดความสามารถ แม้ผมจะโดนเทพแห่งนิทรา พยายามล่อลวงให้เคลิ้มหลับต่อไป ในที่สุดผมก็ขัดขืนมันได้สำเร็จ ผมพบตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของใครสักคน ที่โอบรัดร่างผมจนแทบจะกลืนกินผมไปทั้งร่างภายใต้ผ้าห่มผืนพอดีกับที่นอน กลิ่นกายที่แสนหอมหวล ชวนให้รู้สึกปลอดภัยนี่มันอะไรกันผมก็อธิบายไม่ได้ สมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนก็เริ่มประมวลและร่างกายเองก็รีบตอบสนองทันที ผมผละตัวเองออกอย่างสุดแรงเกิด แต่แรงของผมไม่มีผลอะไรกับไอ้คนที่ทำตัวเหมือนพญางูใหญ่ที่พยายามจะเขมือบเหยื่อจนหมดร่าง “เฮ้ย! มึง ปล่อยกู ใครให้มึงมาฉวยโอกาสแบบนี้!!” “เมื่อคืนมึงขยับมาอยู่ในอ้อมอกกูเองนะ โวยวายเชี้ยอะไร” “ไอ้สัด! ไม่จริงหรอก” แต่ในใจผมคิดอีกอย่าง เพราะตอนที่เปิดผ้าห่มออกมา อากาศภายนอกผ้าห่มนี้ไม่ต่างจากขั้วโลกมากนักการที่ผมจะนอนขยับไปหาความอบอุ่นก็ดูไม่แปลกเลย “กลับห้องของมึงไปได้แล้ว วันนี้กูมีธุระ จะรีบออกไป” ผมลุกขึ้นไปเปลี่ยนอุณหภูมิที่รีโมทคอนโทรลเครื่องปรับอากาศ เสียงที่กดปุ่มปรับอุณหภูมิรัวเร็วตามอารมณ์ที่พุ่งพล่าน “ไปไหน?” ไอ้คอปเตอร์ลุกขึ้นมาสะบัดผ้าห่มออกจากตัว เผยให้เห็นเนื้อแผงอกแน่นที่พ้นเสื้อชุดนอนที่ปลดกระดุมลงสามเม็ด “ถามทำไม?” ผมมองนาฬิกาพลางคิดว่าตัวเองตื่นสายมากแล้ว “อยากรู้เผื่อจะไปส่ง” ไอ้คอปเตอร์ใช้มือหยิบสาบเสื้อขึ้นมาโบก เหมือนอยู่กลางทะเลทราย อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียสเนี่ยมันร้อนตรงไหนวะ! ผมทำเป็นไม่สนใจพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำ “ขออาบน้ำด้วยสิ” “อะไรนะ!!” “ขออาบน้ำด้วย!” มันย้ำเสียงและเดินเข้ามาใกล้ “เฮ้ยๆๆๆ ทำอะไรของมึง ขยับออกไปเลยนะ!!!” ผมขยับถอยหลังจนเดินไปติดประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ “ก็ห้องน้ำกูเสีย มึงจำไม่ได้เหรอวะ กูก็แต่ขออาบน้ำห้องมึงก่อน ไม่ได้เหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มมุมปากกับท่าทีลนลานของผม “อย่าพูดขวนให้เข้าใจผิดดิวะ!! จะไปอาบน้ำก็อาบก่อนเลย อาบเสร็จมึงก็ออกไปเลยนะ กูขอเวลาส่วนตัวหน่อย” ผมเดินหลีกทางให้ไอ้คนหน้าด้านหน้าทน ยิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้วมึงจะไปไหน?” พูดจบก็ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นผิวเนียนและลอนกล้ามเนื้อบาง ๆ สมส่วน “กูไม่จำเป็นต้องตอบมึง!!” “ไปกับใคร?” มันเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ฝากตากไว้แถวห้องน้ำตั้งแต่เมื่อคืนมาพาดบ่าข้างหนึ่งไว้ “ยังไม่หยุดอีก!!” “ไปกับกิ๊ก!!??” ไอ้คอปเตอร์หน้าเปลี่ยนไปทันที “อย่าเสือก!!” “ไหนว่าเราอยู่ในช่วงคุยกัน มันก็ควรจะรู้เรื่องกันเสียบ้าง” ไอ้คนดื้อตาใส พยายามขยับเข้ามาใกล้ กางเกงบางเบาเน้นสัดส่วนเล็กน้อยแบบนั้นมันเป็นภัยกับความรู้สึกพอควร ผมพยายามจะไม่มอง อย่างที่ทุกคนรู้ผู้ชายยามเช้า อะไรๆ ของพวกเรามันก็จะตื่นก่อนเราอยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบขี้หน้ามัน แต่ก็แอบยอมรับว่า หวั่นไหวกับหุ่นมันเล็กน้อย “กูไปกับแม่ พอใจไหม? แม่ตามไปกินข้าวด้วย!” หวังว่ามันจะจบนะ แต่แทนที่มันจะจบและตอบกลับทันที ไอ้คอปเตอร์กลับมีท่าทีคิดอะไรบางอย่างในใจ ผมสั่งให้มันหยุดคิดและเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว แต่มันก็เซ้าซี้จะให้ไปส่งให้ได้ ผมดื้อยืนกรานปฏิเสธ จนกระทั่งมันยอมถอยไป และมันก็แก้เผ็ดผมโดยการขยับตัวมาใกล้ ชิดจนแทบที่ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นจากลมหายใจของมัน ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่ามันทนรำคาญไม่ไหวแล้วจะมาทำร้ายผมแทน กลับกัน มันกลับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่ด้วยความที่กางเกงขายาวผ้าย้วยหลวมของไอ้คอปเตอร์ดันไปเกี่ยวกับนิ้วเท้าตัวมันเองจนเสียหลักเซล้มลงมาที่ผม ไอ้คอปเตอร์รวบคว้าผมไว้ทั้งตัว ร่างของผมถูกกลืนเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ผมขัดขืนสุดกำลัง แต่กำลังของแมว มันไปสู้กับราชสีห์ได้ ผ่านไปพักใหญ่น้ำในตาของผมร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตกใจหรือตื่นกลัว เพราะมันโอบรัดผมเสียแน่นเหมือนจงใจ อีกฝ่ายรีบผละออกทันที ขอโทษขอโพยกับการก็กระทำตัวเองที่ขาดความยั้งคิด มันเป็นอุบัติเหตุที่ล้มไปกอด แต่เห็นความน่ารักตรงหน้าก็เลยเผลออยากให้ร่างกายสัมผัสความน่ารักเสียทุกส่วน เขายืนห่างออกไปแค่คืบ ด้วยร่างกายที่ตัวเปล่าเปลือย เพราะตอนนี้กางเกงได้หลุดร่นลงมากองที่หัวเข่าเรียบร้อย ผมตกใจกับภาพที่เห็น จนลืมความรู้สึกเมื่อครู่ “ขอโทษนะ แค่หยอกเล่นเอง” มันก้มหัวผงกๆ “เออๆ กูไม่เป็นไรแล้ว ไปอาบน้ำก็ไปเลยไปจะมาแก้ผ้าอยู่ทำไม?” ผมไล่มันไปแล้วหันหลังให้มันทันที หยอกแบบนี้ผมไม่ขำด้วยนะ เพราะไอ้ทุกส่วนของมันผมยังสัมผัสได้อยู่เลย ขนลุก!! ผมให้มันอาบน้ำก่อนด้วยอาการโวยวายจนไอ้คอปเตอร์ยอมแต่โดยดี และเหมือนเคยมันออกจากห้องน้ำด้วยผ้าคลุมร่างกายเพียงน้อยส่วน ผมผ่อนลมหายใจ ทำเป็นไม่มองและไม่สนใจ “กูหวังว่าออกมาแล้วจะไม่เจอมึงนะ แยกย้ายกันนะวันนี้เข้าใจ” ผมจงใจออกสำสั่งเป็นการดูเชิงอีกครั้ง ครั้งนี้มันกลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย และเดินออกจากห้องผมได้ด้วยนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว หน้าด้านก็ให้มันมีของเขตหน่อย!! ผมออกจากห้องน้ำและแต่งตัวด้วยความประหลาดใจ เพราะไร้วี่แววคนขี้ตื้ออย่างไอ้คอปเตอร์ ผมออกจากอพาร์ตเมนต์ด้วยความระมัดระวัง พยายามมองไปที่จอดรถแล้วก็ปรากฏว่ารถของมันไม่อยู่แล้ว รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเรียก Grab มารับให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพราะนัดกับแม่ของผมไว้ที่นั้น ระหว่างทางก็กังวลไปหมดว่าจะไปถึงทันเวลาหรือเปล่า เพราะแม่ผมเป็นคนตรงต่อเวลามาก
:z2: :z3:
และแล้วผมก็มาถึงทันเวลาแบบตรงเวลาแป๊ะๆ แม่ของผมได้ไปนั่งรอที่ร้านอาหารที่เรานัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว แม้ตอนนี้แม่ผมจะใส่แว่นกันแดดสีเข้ม ผมก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาได้อย่างดี “ผมมาตรงเวลานะ!” ผมรีบพูดขณะนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ที่ดีควรจะมาก่อนเวลา…” “สักสิบถึงสิบห้านาที” ผมเติมประโยคที่ฟังเป็นรอบที่ร้อยล้าน “ก็รู้นี่ ทำไมสาย” แม่ผมยื่นมือมาตบมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะดังแปะ “ก็มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อยเมื่อเช้า” “โทรศัพท์ก็มีทำไมไม่โทรบอก!” “จ้า ผิดไปแล้วจ้า” ผมรู้สึกว่ายิ่งเถียงยิ่งมากความ และผมไม่เคยเถียงแม่ชนะ ผมเลยไม่สนใจหยิบเมนูมาเปิดดูอาหารที่จะสั่ง “มีแฟนแล้วเหรอ?” แม่พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมตกใจวางเมนูลงทันที เสียงเล่มเมนูกระทบกับจานตรงหน้าดั่งลั่น แต่แม่ผมกลับไม่ได้สนใจใครรอบข้างที่ทำท่าตกใจกับเสียงดังนั่น “อะไรแม่ จะไปมีได้ยังไง!! ไปเอามาจากไหน!?!” ผมหลบสายตาที่จ้องมองมาจากโต๊ะอื่น และพยายามมีจดจ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า “มีแม่ก็ไม่ได้ว่านะ เด็กสมัยนี้ ก็มีกันทั้งนั้น ดูอย่างเพื่อนแม่สิ ลูกเขามีแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย รักกันยาวจนเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยกันเลยนะ ที่ชื่อ กวีกับเอกน่ะ” แม่ผมผู้เป็นสาววายตัวท้อป แม่ผู้มีสายตาว่องไวในการดูคู่รักเพศเดียวกันและชื่นชอบอย่างออกนอกหน้า ไม่วายลามมาถึงผมด้วย พยายามจับคู่ให้ผมกับเพื่อนๆ ตั้งแต่ผมได้เป็นเดือนคณะฯ แล้ว “นั่นเขาโชคดีแม่ พี่กวีน่ะทั้งหล่อทั้งเก่งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว เขาจะเลือกได้ก็ไม่แปลกหรือเปล่าแม่!” ผมกระแทกเสียงกลับไป “แล้วลูกแม่ไม่ดีตรงไหนล่ะ ลูกแม่ก็น่ารักเป็นถึงเดือนคณะฯ เลยนะ” หญิงวัยกลางคนคุณแม่ยังสาว จ้องมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจ เสมือนผมเป็นผลงานชิ้นเอก ก็ไม่แปลกใจ เพราะคนที่แปลงร่างผมจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นเดือนคณะ ก็แม่นี่แหละ แม่ผู้เป็นอินฟลูเอนเซอร์เรื่องการปรับบุคลิกภาพ จนถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนจนโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่แปลกที่ทั้งร้านตอนนี้โต๊ะของผมจะเป็นจุดสนใจเพราะความดังของแม่ แต่สำหรับผม ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย จึงไม่เคยไปออกงานใดๆ กับแม่สักครั้ง ผมเลยไม่ค่อยสนิทกับแม่จนกระทั่งวันที่ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากแม่ เราสองคนเลยสนิทกันมากขึ้น “เอาเป็นว่า ยังไม่มีแล้วก็ไม่คิดจะมีด้วย!” ผมตอบกลับไปพลางใช้นิ้วเคาะไปที่เมนูอาหารให้แม่สั่งอาหารได้แล้ว “ไม่มีจริงน่ะ?” ผมสงสัยจังทำไม่แม่ถึงเซ้าซี้เรื่องนี้จนผิดปกติ “ไม่มี” ผมกวักมือเรียนบริกร เพราะตอนนี้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงานแล้ว “แน่ใจนะว่าไม่ทีอะไรปิดบังแม่?” แม่พยายามจ้องมาที่นัยน์ตาผมอย่างจริงจัง “ไม่มีครับ!!” ผมตอบกลับไปแบบเน้นทุกพยางค์ “แล้วคนที่เดินตามลูกมาต้อยๆ เดินมารอยืนอยู่หน้าร้านแล้วหันมามองเราสองคนอย่างกับรู้จักนี่ใคร?” แม่ชี้ไปทางด้านหลังผม “แฟนคลับแม่มั้ง ใครจะมาเดินตามผมมา?!” ผมหันหลังควับ แล้วก็เจอสายตาที่คุ้นเคยคู่หนึ่งจับจ้องมาทางผม ไอ้คอปเตอร์ มันมาเจอผมได้ยังไงเนี่ย!?! “เชี้ยยยยย ถามจริง!!” ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ แม่ผมกระแอมออกมาทันทีที่ผมสบถออกมา ผมหันมาขอโทษทันที พลางบอกว่าไม่รู้จักกับมัน “แต่เขายิ้มมาทางเรานะ นั่นไง เดินมาแล้ว” เดี๋ยวนะ!! หมายความว่าไง ทันทีที่ผมหันกลับไปทางเดิม ผมก็เจอกับไอ้คอปเตอร์ที่แต่งตัวไปรเวทที่ดูสุภาพและมีรสนิยม มันทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน “สวัสดีครับคุณน้า ผมคอปเตอร์นะครับ ผมมีนัดกับวินต่อจากนี้น่ะครับ บังเอิญว่าผมเป็นแฟนคลับคุณน้าอยู่แล้วก็เลยอยากจะแวะเข้ามาทักทายแค่นั้นครับ” ไอ้คุณคอปเตอร์ เดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมด้วยอากัปกิริยามารยาททางสังคมที่ดีเลิศ ยกมือไหว้สวยงามและยิ้มทักทายอย่างเจิดจ้า ผมรู้สึกแสบตากับการส่องประกายแบบนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “อ้าว!! เหรอ ไม่เห็นลูกชายน้าบอกอะไรเลย” แม่ผมพูดจบก็ปรายตามาที่ผมวูบหนึ่ง ก่อนกลับไปยิ้มตามมารยาทกับผู้มาทักทาย “ลูกชายน้า เขาคงอายที่มีนัดเดทกับคนอย่างผมมั้ง” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มกลับและเมียงมองมาทางผมอย่างสมใจ “เดท??” ผมที่กำลังจะร้องทักก็โดนแม่ตัวเองยกมือขึ้นปรามและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ครับ เดท….คือ แม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับที่วินจะคบกับผู้ชาย” “จะหญิงจะชายแม่ไม่คิดมากนะ แม่กลัวเจ้าวินจะแก่ตายทั่งที่ยังบริสุทธิ์มากกว่า” แม่ผมยิ้มและมองมาทางผมเหมือนชนะที่จับผิดผมได้ แต่ขอโทษนะ แม่เข้าใจผิดหมดแล้ว เลิกมโนก่อน “แม่!!” ผมพยายามเรียกเพื่อปรามแม่ตนเองแต่เหมือนจะไร้ผล ผมเลยหันไปหาไอ้ตัวต้นเหตุ “มึงกับกู!! ไม่ได้คบกับ!!” “วิน!! ภาษาลูก ภาษา!!” แม่ทักขึ้นมาเสียงแข็ง มันใช่เวลามาเตือนอะไรแบบนี้ไหมครับ? “ใช่สิ เราแค่คน ‘คุยๆ’ กัน” ไอ้ตัวต้นเหตุ ทำเสียงสลดเศร้าน่าสงสาร “ตายจริง ลูกฉันก็มีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ เซอร์ไพรส์จริง!!” พูดจบก็หยิบปากกากับสมุดโน้ตเล็กๆ ขึ้นมา จดอะไรขยุกขยิกลง “หยุดเลย ห้ามเอาไปเขียนฟิคนะ!!” ผมส่ายหน้ากับแม่ ดูจะชื่นชอบเรื่องอะไรแบบนี้ “มันจะดูเป็นการเสียมารยาทนะ หากแม่ไม่ชวนทานข้าวด้วยกัน” “เสียไปเลยแม่ เว้นไอ้คนนี้ไว้สักคน” ผมบ่นหงุบหงิบ “ผมขอโทษนะครับที่รบกวน ผมเกรงใจครับ ยินดีที่ได้พบกันนะครับ” ไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ๆ ก็มีผีคนดีเข้าสิงสู่ก็กล่าวคำอำลา “ไม่เอาๆ อยู่กินมื้อเที่ยงกันก่อน แม่มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย” “อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ เดี๋ยววินเขาอึดอัด” “แม่เป็นเจ้ามือนะ แม่มีสิทธิ์จะชวนใครมานั่งร่วมโต๊ะได้ ใช่ไหมวิน?” พูดมาขนาดนี้แล้ว ผมจะพูดอะไรต่อได้ล่ะครับ ผมได้แต่พยักหน้ารับ เออๆ ออๆ ไปก่อน ไอ้คอปเตอร์แม้จะแสร้งทำเป็นปฏิเสธ แต่คนอย่างแม่ผมเนี่ย หากต้องการอะไรแล้ว ก็คงจะห้ามกันยาก สุดท้าย ไอ้คอปเตอร์ก็มานั่งร่วมโต๊ะกินมื้อเที่ยงด้วยกันจนได้ อาหารถูกสั่งมาวางเต็มโต๊ะเหมือนเช่นปกติที่ร่วมโต๊ะกับแม่ แม่ผมเป็นประเภทอยากกินทุกอย่าง แค่จะกินเพียงอย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น ปากก็บอกว่ากลัวอ้วน แต่พฤติกรรมการกินกลับตรงกันข้าม “โอโห น่าอร่อยทั้งนั้นเลยนะครับ คุณน้านี่เลือกเก่งมากเลยนะครับ” ตอแหล ผมคิด มึงไม่ได้เข้ากับคนอื่นได้ดีขนาดนี้!! “แอบแซวน้าหรือเปล่า? จะบอกว่าสั่งเยอะสินะ” “ไม่เลยครับ ทุกอย่างน่าอร่อยจริงๆ ผมไม่เคยมากินร้านนี้เลยครับ สงสัยต้องแอบมาตามรอยคุณน้าแล้ว” “เรียกแม่ก็ได้ลูก เป็น….เอ่อ….เพื่อนกับตาวินไม่ใช่เหรอ จะได้เป็นกันเองนะ” “ครับ” ไอ้คนที่มาใหม่ยิ้มรับแก้มปริตาปิดหยี คิดจะหว่านเสน่ห์แม่ผมรึไงเนี่ย “แม่นะ กินได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ แก่แล้วก็แบบเนี่ย แต่อยากกินหลายๆ อย่างไง คอปเตอร์มาก็ดีแล้วลูกจะได้ข่วย ‘เพื่อน’ กินไง” ผมรู้สึกว่าแม่ผมจะเน้นย้ำคำว่าเพื่อนเยอะไปแล้ว “ความจริงคือกลัวอ้วนก็บอกเขาไปสิ แต่ความจริงก็ไม่ต้องกลัวนะ ก็เพราะอ้วนอยู่แล้ว!!” ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ เมื่อสถานการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้ “ตาวิน” แม่ยื่นมือมาตบแขนข้างที่ผมวางบนโต๊ะดัง เพี๊ยะ ซึ่งก็เป็นการพูดเล่นหัวกันตามปกติภาษาแม่ลูกอยู่แล้ว “ผมว่าแม่ดูหุ่นยังดีอยู่เลยนะครับ ผอมกว่านี้มันจะดูสุขภาพไม่ดีนะครับ” “แก! วิน ดูเพื่อนแกเป็นตัวอย่าง พูดความจริงได้น่ารักเชียว หน้าดียังพูดจาดีอีกด้วย!” นั่น!! แม่ผม โดนมันตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ว่ามันน่าจะต้องรู้จักแม่ผมทางโซเชียลมาบ้าง ไม่งั้น ทำแบบนี้ไม่ได้ ระหว่างกินมื้อเที่ยงกับแม่ผมก็แทบจะสอบประวัติความเป็นมาของไอ้คอปเตอร์เสียละเอียด จนได้รู้ว่าเป็นทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ การศึกษาดี เรียนเก่ง แถมมีธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่อายุยังน้อย แม่ผมมีความปลาบปลื้มและมองมาที่ผมเป็นระยะอย่างมีนัยยะ มือก็พยายามจะคว้าปากกามาจดตลอดเวลา แต่ผมใช้สายตาห้ามไว้ตลอด จนรู้สึกว่าเป็นการกินมื้อเที่ยงที่เหนื่อยเหลือเกิน แม่ผมมีงานบรรยายช่วงบ่ายที่ห้องอีเว้นท์ของห้างสรรพสินค้า จึงรีบขอตัวกลับก่อนอย่างสดใส มีชีวิตชีวา ผมเองก็ไม่รู้ว่าที่อารมณ์ดีขนาดนั้นเพราะได้มากินข้าวกับลูกชายหรืออะไรอย่างอื่น ผมโบกมือลาแม่ที่หน้าร้านอาหารให้เรียบร้อยแล้วจึงหันไปหาไอ้คนที่เสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางอาหารมื้อนี้ “แม่มึงนี่เป็นคนน่าสนใจนะ” ตัวต้นเหตุหันมายิ้มกับผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจสายตาอันขุ่นข้องของผมแม้สักนิด “ไม่ใช่ มึงรู้จักอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” พูดจบผมก็เดินออกห่างเลย “ก็เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างนะ แต่พอเป็นแม่ของคนที่เราจีบอยู่ก็เลยสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ” ผมทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกห่างเรื่อยๆ แต่ไอ้คนขายาวกว่ามันกลับเกินตามมาทันเพียงไม่กี่ก้าว “หมดธุระแล้วสิ เรามาเดทกันต่อไหม?” ผมมองดูนาฬิกาพลางถอนหายใจ หากผมกลับหอเลย มันคงหาเรื่องมาอยู่กับผมที่ห้องให้อึดอัดใจอีกแน่นอน “งั้น…กูอยากดูหนัง!!” ผมคิดว่าน่าจะเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานานสุดแล้ว “อืม…ได้สิ ที่นี่มีโรงหนังอย่างดีเลย กูแนะนำ มีแบบฮันนีมูนเบดด้วยนะ” ถ้อยคำที่มันพูดไปยิ้มไปนี่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยนะ ถึงวันนี้มันจะหล่อมากก็เถอะ แต่สันดานมึงนี่เหมือนเดิมเป๊ะ!! ผมกับไอ้คอปเตอร์ เดินมาถึงโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ชั้นบนสุดที่ตกแต่งหรูหรายังกับโรงแรมห้าดาว ผมซึ่งมากินข้าวกับแม่ที่นี่บ่อยๆ ก็ยังไม่เคยขึ้นมาตรงนี้เลย ผมมองจอที่แสดงผลรอบหนังให้ขึ้นมาอยู่เนื่องๆ รอบที่ใกล้ที่สุด ก็คือหนังภาคต่อของหนังสยองขวัญที่ผมเคยดูใน Netflix แล้วประทับใจมากเรื่องหนึ่ง ผมไม่รอช้าใช้นิ้วสัมผัสไปที่ช่องนั้นทันที “เรื่องนี้สนุกกว่านะ” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วจิ้มไปที่ช่อง ‘ก่อนหน้า’ เพื่อกลับไปหารายการหนังอีกเรื่อง ซึ่งเป็นหนังรักเบาสมองที่ผมไม่อยากเสียเงินดู ผมรีบปฏิเสธทันทีพร้อมเหตุผล “เดททั้งทีกูเลี้ยง เอาเรื่องนี้ก็ได้!” พูดไปก็ชี้ไปที่หนังอนิเมชั่นที่ฉายมาพักใหญ่แล้ว “กูดูแล้ว ไม่เอา เอาเรื่องนี้สิ ดูสิมีที่นั่งแบบเตียงที่มึงอยากพากูไปสัมผัสไง!” ผมยอมเปลืองตัวเพื่อสิ่งนี้เลยนะ ไอ้คอปเตอร์มีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่า มันไม่ชอบดูหนังผี!! เสร็จกูล่ะ!!
:mc4: :a5:
ในที่สุดผมกับไอ้คอปเตอร์คนคูลก็เดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์สุดไฮโซ พื้นที่ภายในไม่ได้กว้างขวางกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป ออกจะเล็กกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ถูกประดับด้วยเก้าอี้กึ่งเตียงนอนสวยหรูอยู่ประมาณ 12-15 คู่ได้ บรรยากาศการตกแต่งก็เหมือนห้องนอนในโรงแรมหรู ทุกพื้นที่แบ่งแยกออกห่างกันได้พอดีลงตัวทำให้มีความเป็นส่วนตัวประมาณหนึ่ง ผมเลือกที่นั่งตรงกลางหน้าจอพอดี และอยู่กึ่งกลางระหว่างหน้าจอกับแถวหลังสุดอย่างพอเหมาะพอเจาะ หลังจากสำรวจบรรยากาศโดยรอบเรียบร้อย ผมก็รีบจับจองฝั่งที่นั่งทันที ผมเลือกทางซ้ายมือ เพราะอยู่ใกล้กับตู้แช่เครื่องดื่มด้านข้าง ไม่นานไฟในโรงภาพยนตร์ก็หรี่ลงจนเกือบดับ ไฟซ่อนตามทางเดินเรืองสว่างขึ้นให้พอมองเห็นทางเดินและทางต่างระดับ ทำให้มองเห็นทางหนีไฟ และทางไปห้องน้ำชัดเจน โรงภาพยนตร์แพงๆ มันก็ดีแบบนี้ ผมคิดในใจ ในขณะที่ผมกำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งลืมคนที่พามาอย่างไอ้คอปเตอร์ ซึ่งตอนนี้เคลื่อนที่ลงมานั่งข้างผมอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า บุคลิกของไอ้คอปเตอร์มันแปลกไป มันเงียบและเรียบร้อยเกินไป จะว่าไปมันควรจะพูดอะไรออกมาแซวท่าทางของผมตอนนี้สิ “ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบนี้หรือไง ทำตัวตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ไปได้” นั่นไงมาแล้ว มาช้าแต่มานะ “ไม่เคย กูว่ามันแพงไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะมาดูหนังอะไรแพงขนาดนี้ กูมีเงินจ่าย! แต่ต้องสมเหตุสมผล!” “มาออกเดทมันก็ต้องแบบนี้ป่าววะ หรือว่า….มึงไม่เคย!!” เออ!! ครับผมไม่เคย แล้ว มันหนักหัวใครวะ ถึงผมจะมุ่งมั่นเปลี่ยนตัวเองเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย แต่การได้มาซึ่งเกียรตินิยม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ดังนั้นการมีแฟนจึงไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยแม้แต่น้อย สรุปว่าการดูหนังสยองขวัญของผมครานี้ถือเป็นความบันเทิงที่ผมคาดไม่ถึงเลยทีเดียว การที่ผมได้เฝ้าสังเกตอาการคนคูลที่แสร้งว่าไร้ความหวาดกลัว มันช่างขบขันอย่างเหลือเชื่อ ผมแทบไม่ได้สนใจกับเนื้อเรื่องความน่ากลัวของภาพยนตร์เลยทั้งๆ ที่ถึงคราว jump scare ที่เหล่าบรรดาคนดูต่างตกใจกอดกันกลม แต่ผมกลับพยายามกลั้นขำอย่างสุดกำลัง การได้มองหน้าบิดเบี้ยวและคืนตัวอย่างรวดเร็วทำให้ผมรู้สึกบันเทิงใจอย่างบอกไม่ถูก แบบนี้มันคือความรู้สึกของการได้แกล้งใครหรือเปล่านะ แต่ผมก็อดเอ็นดูความสู้ชีวิตของไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ เวลาเกือบสองชั่วโมงของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สิ้นสุดลง แสงสว่างในโรงภาพยนตร์เรืองขึ้นช้า ๆ เหมือนยามฟ้าสาง แสงสีนวลออกฟ้า ทำให้หน้าตาของคนที่นี่งกึ่งนอนข้างผมดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ผมรู้สึกผิดกับผลลัพธ์ที่ได้ สนุกสนานตอนแกล้งเขา แต่ตอนนี้ก็ต้องทนรับความรู้สึกผิดแบบนี้ ไอ้การได้กลั่นแกล้งคนอื่นนี่มันดีตรงไหนเนี่ย ผมคิดทบทวนในหัว “สนุกไหม?” ความจริงจะถามว่าไหวไหม แต่คงจะไม่เหมาะกับคนคูลๆ อย่างมัน “ก็ดี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน นี่มันหนังเกรดบีชัดๆ” เสียงของคนที่พยายามสะกดความสั่นไว้ มันทำให้ภาพตรงหน้าดูน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก “กลับเลยไหม?” ผมถามเพราะตอนนี้คนในโรงฯ เริ่มทยอยก้าวเท้าออกจากพื้นที่เกือบหมดแล้ว แต่สิ่งที่ผมได้จากคำถามนี้คือ ความเงียบ ไอ้คอปเตอร์มันนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดกับตัวเอง แต่ผมกลับคิดว่า มันคงแข้งขาสั่นจนลุกเดินไม่ไหว “ไปหาอะไรกินกันก่อนไหม?” เป็นไปตามคาดหลังจากพูดจบ คนคูลของผมก็ลุกขึ้นยืนด้วยอาการเซเล็กน้อย จนต้องใช้มือค้ำพนักเตียงกึ่งนอนไว้อย่างมั่นเหมาะ ผมร้องทักด้วยความตกใจพลางบอกว่า “ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ” มันทรงตัวพักใหญ่ก่อนที่จะยิ้มกลับมาว่า “กูหิว ไปหาอะไรกินก่อนกลับเถอะ!” ผมยอมตกลงเพราะเห็นแก่หน้าซีดๆ ของมัน เดินวนเวียนอยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่ ก็ยังหาร้านที่จะลงหลักเพื่อกินมื้อเย็นไม่ได้ เพราะมันมัวแต่ถามความต้องการของผมอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งผ่านมาครึ่งชั่วโมง ผมเองก็ตอบไม่ได้เพราะความที่ยังไม่หิว สุกท้ายผมต้องตัดสินใจเข้าสักร้านที่คิดได้และใกล้ที่สุดตอนนี้เพราะผมสังเกตอาการขาอ่อนแรงของไอ้คอปเตอร์ หน้าและปากที่ซีดลงกว่าปกติมาก นี่มันจะเป็นลมไหมเนี่ย? ผมเดินนำเข้าร้านอาหารฟาสฟู้ดสไตล์แม็กซิกัน และอาสาไปสั่งอาหารเอง แม้ว่ามันจะมีอาการลังเลตั้งแต่เดินเข้าร้าน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น เพราะผมกลัวจะต้องหิ้วปีกมันกลับบ้าน ได้พักสักหน่อย กับอาหารรสจัดสักนิดน่าจะดี หลังจากสั่งอาหารจนได้รับอาหารเรียบร้อย ผมเดินมาหาไอ้คนที่หน้าตาเริ่มมีสีสันต์ขึ้นมาเล็กน้อยที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้านที่ผมพามันมานั่งพัก แม้ว่าสีหน้าจะดีขึ้น และมันกลับไม่ได้มีความรู้สึกอยากอาหารที่ผมอุตส่าห์ลงทุนเดินไปซื้อให้เลย “อย่าบอกนะว่า ไม่ชอบน่ะ ทำไม่รีบบอก” “ปล่าวนะ! คือ กู ไม่เคยกินน่ะ” “อะไรวะ อร่อยนะโว้ย กินแล้วรู้สึก สดชื่นสดใสเลยนะ เครื่องเทศก็หอม รสชาติก็จัดจ้าน สรุปคือดี กูขอบ” ผมโฆษณาทำตัวเหมือนแบนด์แอมบาสซาเดอร์ของร้าน “มึงชอบเหรอ…?” มันถามเสียงอ่อยๆ “ถึงหน้าตามันจะดูธรรมดา แต่รสชาติดีมากๆ เลยนะ ลองดู” ไอ้คนหน้านิ่ง คนคูลกลับมาแล้ว มันมองชุดอาหารที่ผมสั่งเผื่อมันมาด้วยตรงหน้า ผมได้ยินเสียงมันผ่อนลมหายใจเบาๆ อ่อนๆ พลางคิดในใจว่าว่ามันคงไม่ชอบอาหารแนวนี้ ผมหยิบเบอริโต้ขึ้นมาแกะกระดาษห่อออกอย่างคล่องแคล้ว และใช้ปากงับเต็มคำ แผ่นแป้ง ผัก และเครื่องเทศผสมรวมกันในช่องปากกันอย่างมีอรรถรส ลิ้นสัมผัสรสชาติที่จัดจ้านร้อนลิ้น กลิ่นเครื่องเทศเฉพาะสูตรหอมตลบขึ้นมาคละกับรสชาติเผ็ดร้อน มันช่างสุดยอดเลย ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเคี้ยวเบอริโต้ตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาผมก็ต้องเผชิญกับสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงข้าม สีหน้าเหมือนกับคนกรุงดูชาวไร่ผสมปุ๋ยคอก อารมณ์ประมาณนั้นเลย ผมรู้ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน หรือมันไม่ชอบอะไรแบบนี่ ความคิดชั่วๆ ที่เป็นดั่งเรือโจรสลัดของผมผมเริ่มแล่นออกจากท่าอีกรอบ “ไม่สบายหรือเปล่า?” “เปล่า แต่ไม่หิวแล้ว” “ไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ นะ ซื้อให้แล้วไม่กิน กูเสียใจนะ” “……..” “งั้นเดี๋ยวกูห่อกลับ” ผมยื่นมือไปทำท่าจะเก็บ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกู กินเอง” มันยื้อมือผมไว้โดยการจับที่ข้อมืออย่างเร็ว “ไม่ไหวอย่าฝืนนะ!” “ไหวๆ” ว่าจบมันก็หยิบโยกส่วนของมันไปไว้ใกล้ตัว “รีบกินให้หมดสิ จะได้พากลับไปพัก เอ่อ….ไปอยู่ห้องกูก่อนก็ได้นะ กูว่ามึงน่าจะป่วยนะ หน้าซีดเชียว” นอกจากที่มันจะไม่พูดอะไรแล้ว มันยังพยายามกินอาหารตรงหน้าให้หมดด้วย แม้จะดูฝืนๆ แต่มันกินจนหมดจริง …………
:z1: :a5: o22
การเดินทางขากลับจากห้างสรรพสินค้า ไอ้คอปเตอร์เหยียบคันเร่งจนเกือบสุดความเร็วรถสปอร์ต ผมนั่งไปพร้อมกับเกาะยึดคอนโซลรถไปด้วยท่าทีหวาดกลัว แค่ผมชวนไปนอนด้วยนี่มันทำให้ไอ้คนคูลคนนี้ถึงกับสติแตกขนาดนี้เหรอ หรือว่าความกลัวตอนดูหนังผีจะทำให้มันเป็นบ้า รถถูกขับมาจอดที่ลานจอดใต้อพาร์ตเมนต์ของผมเพียงชั่วอึดใจ ผมจำได้นะครับว่าตอนผมเดินทางไปที่ห้างฯ ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ขากลับ ใช้เวลาเพียง 15 นาที ผมลงจากรถด้วยอาการเซเล็กน้อยด้วยอาการเมาความเร็วของรถ ส่วนไอ้คอปเตอร์ นั่น หลังจากลงจากรถได้ก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับผมสักคำ ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ในลานจอดรถด้วยความคิดแปลก ๆ เต็มหัวไปหมด ผมเดินกลับมาถึงห้องอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับการนอนเรียบร้อย แต่ก็ยังไร้วี่แววของไอ้เพื่อนไม่สนิทและคิดไม่ซื่อที่พักฝั่งตรงข้าม ในใจตอนนี้มีแต่ความคิดแปลกๆ เต็มไปหมด คิดพลางเสียวสันหลังวูบวาบ หรือมันจะเตรียมการเผด็จศึกเราวะ? ความคิดไม่ดีที่กำลังแล่นออกทะเลไปเรื่อย ขนาดที่ผมกลัวแต่ก็ยังคิดไปถึงร้อยแปดสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และหาวิธีรับมือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ ผมกล้าๆ กลัวๆ เดินไปเปิดประตูเพื่อใจดีสู้เสื้อต้อนรับไอ้คอปเตอร์ สิ่งที่ผมเจอคือคนที่ยืนหน้าซีดไร้เรี่ยวแรงอยู่หน้าห้อง “เฮ้ย!! เป็นอะไร!!??” “ไม่เป็นอะไร ขอเข้าไปนะ” พูดจบมันก็เดินไปล้มตัวนอนคว่ำลงบนเตียงดังตึง เหมือนตุ๊กตาเป่าลมตามปั้มน้ำมันที่ไฟฟ้าดับ ผมเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงครางโอยเบาๆ “ถามจริงๆ ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ผมเดินไปนั่งข้างๆ “ก็ปกติล่ะ” พูดจบก็พลิกตัวมาคว้ารวบเอวผมไปกอดในท่านอนแบบนั่น ผมร้องโวยวายแต่ก็ดิ้นไม่หลุดจากมือปลาหมึกนั่น “ขออยู่แบบนี้สักพักนะ” คำพูดอู้อี้หลุดออกจากขอบกางเกงผม ผมทำได้แค่นั่งเกร็งและถอนหายใจออกมาเป็นระยะ แล้วไอ้ที่สักพักนี่นานเท่าไหร่ ใจอยากจะปฏิเสธแต่เห็นหน้าซีดๆ ของมันแล้วก็อดที่จะฝืนยิ้มและทนต่อไป เวลาผ่านไปห้านาทีแต่สำหรับผมเหมือนมันเกือบจะเท่าช่วงชีวิตวัยรุ่นของผม การนั่งเกร็งประหม่ากับสถานการณ์แบบนี้มันโคตรทรมาน เสียงโครกครากดังมาจากท้องของผู้ที่นอนกอดเอวผมอย่างสงบ ไม่เกินสามวินาที ไอ้คอปเตอร์ก็ขอตัวแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำในห้องของผมไปอย่างรวดเร็ว แรงลมที่เกิดจากการวิ่งข้ามเตียงไปทำให้เส้นผมของผมสั่นไหวไปมาเลยทีเดียว เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไอ้คอปเตอร์ก็เดินออกมาทั้งร่างกายที่อ่อนแรง “เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่า มึงกินอาหารแม็กซิโก ไม่ได้น่ะ?” เรื่องนี้ผมเข้าใจเพราะเพื่อนสนิทผมก็อาการเดียวกัน “เปล่าหรอก คือ…..” ตอบถึงตรงนี้ มันก็หันหลังเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ใจหนึ่งก็สะใจ ใจก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจถึงไอ้คนที่ชอบแกล้งคนอื่นเนี่ย มันมีความสุขตรงไหน? กว่าที่ไอ้คอปเตอร์จะออกมาจากห้องน้ำครั้งนี้ก็อีกหลายนาทีให้หลัง คราวนี้มันทำเหมือนเดิมเลย คือ เดินออกมาล้มลงบนพื้นที่นอนนุ่มๆ ของผมอย่างกับตุ๊กตาเป่าลมไร้พลังไฟฟ้า รู้สึกสงสารจับใจ ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษนะ ไม่อยากให้มึงมาตายในห้องกูหรอก ผมจัดเตรียมเกลือแร่และยาแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วงไว้พร้อมสรรพ และรีบไปจัดการดูแลไอ้คนป่วยทันที ผมจัดให้มันนอน ในท่าสบาย สั่งให้ดื่มเกลือแร่ กำชับให้ดื่มเป็นระยะ จิบๆ อย่าซดหมด กินยาที่เตรียมไว้ให้ และให้นอนพักเสียให้เรียบร้อย ทุกการกระทำของผม สร้างรอยยิ้มให้คนป่วยจนผมรู้สึกหมั่นไส้ อยากเอาหมอนยัดใส่หน้า ให้รอยยิ้มนั่นหายไป แต่ก็ต้องอดใจไว้ กลัวมันมาตายในห้องจริงๆ วุ่นวายกับการที่ต้องดูแลคนป่วยที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขจนน่าขนลุกทั้งคืน รู้ตัวอีกทีผมก็หลับฟุบอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องจนถึงเช้า แสงยามสายมันเสียดแทงเข้าตาจนกระทั่งผมทนต่อไปไม่ไหว อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเล็กน้อยจากแสงแดดที่สาดเข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ ผมลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนด้วยอาการมึนงงสับสนในเวลาและความทรงจำ ผมไม่เคยเปิดม่านทิ้งไว้ก่อนนอนนี่นา ผมทบทวนกับตัวเองด้วยท่าทางไม่เข้าใจ และแล้วผมก็นึกออกแทบจะในทันทีที่ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนว่า เมื่อคืนผมไม่ได้นอนคนเดียวนี่นา!! แต่อีกคนที่ว่าหายไปไหนแล้ว ผมวิ่งไปดูที่ห้องน้ำเพราะกลัวว่าระหว่างที่หลับ ไอ้คอปเตอร์มันจะไปสลบในห้องส้วม แต่หลังจากผลักประตูให้เปิดออกก็ไม่พบกับใครเลย ผมวิ่งออกจากห้องไปเคาะห้องฝั่งตรงข้ามก็ไม่มีใครออกมาตอบรับเสียงเรียกของผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลใจแปลกๆ ผมเดินกลับมาที่ห้องด้วยความรู้สึกหน่วงที่หน้าอก ไม่ชอบความรู้สึกที่ตัวเองไม่เข้าใจแบบนี้เลย ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์และค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของไอ้คนป่วยที่หายสาปสูญไปเพื่อติดต่อหามัน แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ไอ้บ้านั่นมันดันทิ้งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของมันไว้ที่ห้องผม เสียงเรียกเข้าเรียกเข้าแบบโมโนโทนดังไปทั้งห้อง ผมวางสายและเดินไปหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมา ไม่มีใครโทรศัพท์หามันเลยนอกจากผม ที่ประหลาดใจไม่ต่างกันคือ มันบันทึกชื่อผมว่า “Winnie the ❤️” นี่มันคลั่งรักผมจริงๆ เหรอวะเนี่ย!?!? “อยู่นี่เอง นึกว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไหน?” เสียงยียวนดังขึ้นทางด้านหลังในระยะประชิด ผมตกใจหันหลังไปหาต้นเสียงอย่างไม่ระวัง หันไปเจอหน้าไอ้คนป่วยที่หายตัวไปอย่างจัง ผมเผลอถอยหลังไปไม่ทันตั้งตัว ขาตัวเองดันไปเบียดกับขอบเตียงจนล้มลงไปนอนแผ่ที่ที่นอน โทรศัพท์ที่ถืออยู่หลุดมือหล่นใส่หน้าตัวเองอย่างจัง ผมเอามือปิดหน้าร้องโอย ไอ้คอปเตอร์ตรงรี่เข้ามาหาผมเพื่อตรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่ที่คุ้นเคย (นี่มันสบู่ผมนี่หว่า!!) “เจ็บตรงไหนไหม?” มันถาม “ไม่เท่าไหร่” ผมตอบพร้อมสำรวจความเจ็บของตนเอง “ไหนดูหน่อย” ไอ้คอปเตอร์พยายามยึดยื้อมือของผมออกจากใบหน้าและสำรวจอย่างละเอียด “ใกล้ไปแล้ว” ผมงึมงำในลำคอพลางสำรวจท่าทางของผมและมัน นี่มันนั่งคล่อมตัวผมอยู่นี่นา ร่างกายท่อนล่างของมันในชุดลำลองแนบชิดกับร่างท่อนบนของผมในชุดนอนจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน ผมดีดตัวแล้วไล่มันให้ลุกออกไปให้ห่าง หลังจากนั้นก็โวยวายใส่มันตั้งแต่ หายไปไหน? แล้วเข้าห้องมาเงียบๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร? แล้วคำถามอีกเป็นกระบุง ไอ้คอปเตอร์ตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่า อาการท้องเสียมันเป็นเรื่องปกติเวลากินของอะไรพวกนี้ ถ่ายหมดก็สบายตัว ได้นอนเสียหน่อยก็มีแรง เห็นว่าผมยังไม่ตื่นก็เลยอาสาไปหาซื้ออาหารเช้าให้ พลางชี้กล่องอาหารที่ตอนนี้วางอยู่ที่พื้น ผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะโกรธมันเรื่องอะไร นอกจากที่ผมโง่เองที่เป็นห่วงมัน!! ผมคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ……….
:o8: :-[ :impress2:
บทที่ 7 Reveals หลายวันแล้วนับจากวันที่ผมตกลงเป็น “คนคุย” อย่างลับ ๆ กับไอ้คอปเตอร์ แต่อย่างที่ใครๆ เขาก็พูดกัน ‘ความลับไม่มีในโลกของที่ทำงาน’ ก็เพราะไอ้พฤติกรรม ‘แสดงออก’ อย่างไม่ปกปิดของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมถูกทุกคนในที่ทำงานพูดถึงโดยทั่วทุกแห่งที่ข่าวซุบซิบจะสามารถไปได้ นับวันก็ยิ่งจะชัดเจนขึ้น จนผมรู้สึกคิดผิด สรุปใครกันแน่นะที่กำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่ จะเดินไปที่แห่งไหนก็มีแต่คนทำหน้าตาประมาณว่า ‘อ้อ…. คนนี้นี่เอง’ สายตามันพูดเสียงดังได้ขนาดนั้น “วันนี้ขอกลับบ้านเองนะ” ผมเอ่ยกับไอ้คนที่นั่งเอนหลังกึ่งนอนฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ที่ห้องเก็บเอกสาร “ทำไมล่ะ ก็กลับทางเดียวกันนี่นา” ไอ้คอปเตอร์ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ของมันทันทีที่ผมเอ่ยจบ “เออ!! ไม่ต้องถามเหตุผล!” ผมสวนกลับทันที “อ๋อ…. เรื่องที่พวกพี่ๆ พนักงานคุยกันล่ะสิ ไม่เห็นเป็นไร อย่างมากก็เปิดตัวไปเลยสิ จะได้เลิกนินทาเสียที” ผมได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบกลับไป เป้าหมายแรกเริ่มผมไม่ได้อยากเป็นข่าวแบบนี้ ตั้งใจแค่จะให้มันจีบแบบลับๆ และหักอกมันอย่างเงียบๆ ไม่ใช่แบบนี้ พฤติกรรมของมันหลายๆ อย่าง ทำให้คิดได้อย่างเดียวเลยว่ามันไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้กันเลย “ก็บอกว่าฝึกงานอยู่ จะให้มีข่าวว่ากุ๊กกิ๊กกับอนาคตเจ้าของบริษัทแบบนี้มันจะเหรอ?” “ผลงานของมึงก็ดี ทำงานก็เก่ง มึงจะกลัวอะไรวะ?” “คนอื่นเขาคิดแบบมึงไหม?” “สนใจคนอื่นทำไม มึงไม่ได้ทำอะไรเสียหายเสียหน่อย ทำงานก็ดี พี่ๆ ในทีมเขาก็ชม มึงอ่ะคิดมาก” “มึงน่ะคิดน้อยไป หัดคิดถึงใจคนอื่นบ้างนะว่ารู้สึกยังกับสถานการณ์แบบนี้!! ใจคอมึงจะไม่แคร์โลกก็ควรแคร์คนอื่นบ้างนะ!!” ผมเหมือนไปจี้ใจดำมันละมัง คนบ้าที่หุบปากเงียบจนผมรู้สึกประหลาดใจ บรรยากาศมันแปลกไปทำให้ผมเริ่มกังวลถึงความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ “นั่นสิ” อยู่มันก็ทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เบาๆ “รู้สำนึกก็ดี… งั้น…เย็นนี้….” สีหน้าเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งปรากฏขึ้นตรงหน้าผม “เออๆ…. ช่างมัน เดี๋ยวกลับด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้!!” ช่างหัวมันแล้ว อยู่ๆ ผมรู้สึกทนไอ้หน้าตาแบบนั้นของมันไม่ได้เสียอย่างนั้น “งั้น…วันนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกัน!!” อยู่ๆ สีหน้ามันก็เบิกบานเป็นดอกทานตะวันขึ้นมาทันตา หรือว่าผมโดนหลอกหรือนี่!! “น้องวิน!!” พี่ท้อปที่เปิดประตูเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยร้องเรียกชื่อผมลั่นห้อง ไอ้หน้าดอกทานตะวันเมื่อครู่กลายเป็นดอกหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แยกเขี้ยวใส่ผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาอย่างกระทันหันแทบจะทันที ผมแอบย้ายมือตัวเองไปบีบขามันแน่น ไอ้คอปเตอร์วางมือลงบนมือผมแทบจะทันที ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแต่หลังจากเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่เป็นมิตรกับผู้มาใหม่มากขึ้น ผมจึงปล่อยผ่านไปก่อน “พี่ขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” พี่ท้อปเอ่ยถามด้วยสายตาซ่อกแซ่ก “เสื…..” ผมบีบขามันแน่นขึ้น จนมันหยุดพูดแทบจะทันที “ไม่มีครับ” ผมพูดแทรก “งั้นเหรอ” พี่ท้อปทำหน้าลังเลก่อนจะพูดต่อในวินาทีถัดไป “คือพี่จะพาน้องวินไปเลี้ยงข้าวเสียหน่อย โปรเจ็คที่น้องช่วยทำ มันสำเร็จไปได้ด้วยดีแถมเสร็จก่อนเวลาด้วย สุดยอดไปเลย เดี๋ยวว่าจะไปทั้งแผนกเลยนะ ไปด้วยกันนะ!!” ประกายตาและความเบิกบานถูกปูไปทั่วใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป ผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกอย่างที่ทำมามันเป็นไปด้วยดี ผมยืนขึ้นและเดินไปแสดงความยินดีกับพี่ท้อปแบบกระโดดโลดเต้น พี่ท้อปก็เล่นด้วยเหมือนกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง ผมตอบตกลงทันทีด้วยความดีใจ แต่ไม่ทันถึง 3 วินาทีที่ผมดีใจ ไอร้อนจากเบื้องหลังของผมก็ปะทุขึ้นแทบจะทันทีที่ผมตอบตกลง “มึงมีนัดกับกูแล้วนี่!!” มันพูดเสียงเข้มและจ้องผู้ใหญ่ในแผนกเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ “จะไปไม่ไปบอกพี่อีกทีนะ” พี่ท้อปหนีเอาตัวรอดครับ ไอความน่ากลัวแผ่ออกมาจากตัวมันจนผมสั่นไปหมด ภาพเก่าๆ ในหัวมันย้อนกลับมาทำร้ายผมจนมือสั่นไม่รู้ตัว ผมกำหมัดแน่นและพยายามฝืนตอบกลับ แต่มือของผมมันชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ “เอ่ออออ….. ช่างมันเถอะ ไปวันหลังก็ได้ แต่วันนี้ขอนอนด้วยเหมือนเดิมนะ” แล้วมันจะเช่าห้องไว้ทำไมวะ เสียเงินแล้วไม่ไปนอนเนี่ย ผมคิดในใจ แล้วก็รู้สึกตัวว่ามือของผมหายสั่นแล้ว บรรยายกาศรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ก็ผ่อนคลายขึ้น ถึงมันจะไม่ยิ้มและคิ้วยังผูกติดกันอยู่ก็ตาม “ก็ไปด้วยกันสิ!” ผมชวน ไอ้คอปเตอร์พยักหน้ารับคำแบบไม่เต็มใจนัก แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะคิดว่าผมควรจะทรมานมันด้วยการตามใจตัวเองมากกว่านี้สิ!! ไม่ใช่ไปตามใจมัน!! เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เสียงฮือฮาจากภายนอกห้องก็เริ่มดังขึ้นจนผิดปกติ ผมจึงมองผ่านกระจกใสบางส่วนที่เว้นไว้จากการติดสติ๊กเกอร์ขุ่นโปร่งแสงออกไป ก็พบกับบรรยากาศที่ต่างจากเดิม ทุกคนต่างลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างเก็บข้าวของลงกระเป๋า พนักงานชายก็เริ่มเดินมารวมตัวกัน ส่วนพนักงานหญิงก็กำลังแต่งหน้าและพูดคุยกันอย่างออกรส ผมที่เห็นบรรยากาศแบบนี้ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่นี่แม้งานจะหนักแต่ทุกคนก็ดูมีความสุขกันไม่น้อย ผมหันกลับมาโฟกัสที่หน้าจอตัวเอง เพื่อเร่งทำงานโปรเจ็คถัดไปที่พี่เขามอบหมายมาให้หลังจากจบโปรเจ็คแรกแบบแทบจะทันที “เลิกทำงานได้แล้ว เตรียมตัวให้พร้อม พี่รอที่ด้านหน้าแผนกนะน้อง” พี่ท้อปที่เปิดประตูกว้างเข้ามาตาม กลิ่นน้ำหอมแรงลอยมาตามอากาศเย็นที่หมุนวนเข้ามาจากภายนอก “โหยย หอมเชียว” ผมแซวพี่ท้อป ที่วันนี้ตัวหอมผิดกับทุกวันที่ช่วงเย็นๆ จะมีแต่กลิ่นเหงื่อ จากความเครียดทั้งวัน “จะไปทั้งแบบปกติได้ไง เกรงใจเพื่อนๆ พี่ๆ” “ฮ่าๆๆ ครับ เดี๋ยวผมตามออกไปครับ ขอเก็บของสักครู่” “เดี๋ยวพวกผมไปกันเอง” ไอ้คอปเตอร์พูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมและพี่ท้อปหันไปมองหน้ามันพร้อมกัน “รู้ที่จะไปใช่ไหม?” พี่ท้อปถามทันทีด้วยใบหน้าที่จืดลงเล็กน้อย ผมจ้องตาไอ้คนที่ชอบช๊อตฟีลอย่างเหนื่อยใจ “ถามพี่เอกแล้ว” (พี่เอกคือผู้จัดการแผนก) “โอเคๆ อย่างช้านะวิน” พี่ท้อปคงคิดว่าหันมาคุยกับผมน่าจะสบายใจกว่า “ครับพี่” ผมยิ้มตอบอย่างขัดๆ เขินๆ กับสถานการณ์แบบนี้ พี่ท้อปรับคำก็เดินฮัมเพลงออกไปจากช่องประตู แต่ก็ทิ้งบานประตูให้เปิดไว้ “มึงนี่ก็แปลกคนนะ” ผมหันไปต่อว่ามัน แต่มันกลับไม่ได้สนใจอะไรนอกจากยืนขึ้นเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะของผมลงกระเป๋าด้วยการกวาดทุกสิ่งลงในกระเป๋าเป้ที่เปิดกว้างอยู่ ผมโวยวายกับความไร้ระเบียบของมัน สุดท้ายผมต้องเอาทุกอย่างออกมาจัดให้เรียบร้อยลงกระเป๋าอีกรอบ ขณะที่ผมและไอ้คนหน้านิ่งกำลังจะเดินไปทางลิฟท์วีไอพี หญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาทางพวกผมอย่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งแต่ท่าเดินก็ยังสวยสง่าอย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ท “คุณคอปเตอร์คะ คุณแม่ของคุณให้ไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกันวันนี้นะคะ จะได้คุยเรื่องที่คุยค้างกันไว้” “วันนี้ไม่ว่าง” ไอ้คอปเตอร์ตอบคนหน้าดุด้วยถ้อยคำห้วนๆ เสียจนผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมกับการตอบคนที่อาวุโสกว่า “ไม่ได้คะ ใกล้ถึงวันนั้นแล้วนี่คะ หลังจากนี้จะไม่ว่างอีกแล้วนะคะ!” หญิงวัยกลางคนทำเสียงเข้มย้ำ “……….” ไอ้คอปเตอร์คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบว่า “ไม่เป็นไร ปีนี้อยากทำงานตรงนี้ ที่นี่ มีเหตุผลที่ต้องอยู่แล้ว บอกแม่ไปแบบนั้นก็แล้วกัน” “ถ้าอย่างนั้นจะรายงานไปแบบนั้นนะคะ แต่….” หญิงวัยกลางคนหยุดไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยโทนเสียงที่สงบขึ้น “ไม่เจอกับคุณแม่นานแล้วนะ ไม่อยากมารับประทานอาหารด้วยกันก่อนหรือ สักครึ่งชั่วโมงก็ได้” “ก็โทรศัพท์หากันทุกวันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก” พูดจบไอ้คอปเตอร์ก็คว้ามือผมลากเข้าไปในประตูเข้าลิฟต์วีไอพีทันที ………
:ling1: :z6:
ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวลงอย่างรวดเร็วปานปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วง ไอ้คนหน้าตึงอย่างไอ้คอปเตอร์กลับยืนจ้องตัวเลขบอกชั้นที่กำลังลดลงจำนวนลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับมัน ผมเองก็เลยพาลตึงเครียดไปด้วย บอกได้เลยว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันกับมันบ่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่าเวลาไหนผมสามารถแผงฤทธิ์ได้ เวลาไหนไม่ควร แม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงจีบผมอยู่ก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากไปแหย่รังแตนแห่งความไม่แน่นอนของมัน บอกตามตรงผมยังไม่ได้รู้จักมันดีขนาดนั้น แต่พอเป็นเรื่องความสัมพันธ์แม่ลูกแบบนี้ บอกได้เลยว่าผมไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ผมผู้ไม่เคยทะเลาะกับแม่แบบจริงจังสักครั้งก็เลยรู้สึกที่จะเป็นตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์แม่ลูกของไอ้คอปเตอร์ไม่ดีไปด้วย “มึงจะไปกินข้าวกับแม่ก็ได้นะ” ผมตัดสินใจพูดเมื่อมาถึงชั้นจอดรถใต้ดินเรียบร้อย อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร หันมามองผมวูบหนึ่งด้วยสีหน้าลังเลและก็หันหลังกลับไปเดินต่อ “นานๆ เจอกันทีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปหาแม่เสียหน่อย” “แต่….” สีหน้าของมันลังเลจนผมอดใจอ่อนกลับความอ่อนแอตรงหน้าไม่ได้ “หากเป็นเรื่องแม่ มึงไม่ต้องเลือก มึงไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู แค่ไปกินเลี้ยงกับพี่ๆ ที่ทำงานเอง” “พูดแบบนี้ แสดงว่ามึงยังไม่รู้อะไรอีกเยอะเลย” “ปาร์ตี้หนักเลยเหรอ? แต่เห็นแบบนี้ สมัยเรียนกูก็เอาตัวรอดได้ตลอดนะ ที่สำคัญ คือ กูคอแข็งมาก!!” ผมเอามือตีไปที่คอดังเพี๊ยะ “……” ไอ้คอปเตอร์มันมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง “แม่….กู… ชอบบังคับให้กูไปกินข้าวด้วยแบบไม่ได้สนใจกูเลยว่าจะทำอะไรอยู่แบบนี้ตลอด ไอ้เวลาที่นัดกันก็ไม่เคยมาตามนัด!!” ไอ้คอปเตอร์เหมือนระบายออกมาแบบไม่ตั้งใจ “เออ! กูรู้ แม่กูก็เป็น เชื่อกูนะไปเถอะ ไม่อยากให้มึงเสียใจนะ ไปตอนที่แม่ยังอยู่กับเราเหอะ!” ผมพูดไปตามความในใจของผม แต่ไอ้คอปเตอร์กลับน้ำตาซึม นี่มันอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ขนาดนี้เลยหรือวะ??!! ไอ้คนที่ผมคิดว่าเป็นพญามารไร้หัวใจมาตลอดกลับดูอ่อนไหวและกำลังจะหลั่งน้ำตาต่อหน้าผม มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนมองคนตรงหน้าด้วยความเงียบ สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าต้องทำหน้าแบบไหนแสดงออกไป อยากมีกระจกอยู่ตรงนี้เลย “ขอโทษที กลายเป็นคนน่าเบื่อไปเสียได้” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วมือปาดน้ำตาไม่ให้หลั่งรดแก้มตนเอง ถึงมันจะน้อยแต่ก็คือน้ำตาของไอ้คนแข็งกระด้างคนนี้ “ไม่… ไม่เป็นไร เอ่อ….มึงไปกินข้าวกับแม่มึงเถอะ เดี๋ยวกู…. ไปกับพี่ท้อปก็ได้ น่าจะยังไม่ถึงลานจอดรถกัน” ผมแตะไหล่มันเบาๆ “ให้ไปส่งไหม?” สีหน้าขึงขังของมันกลับมาแล้ว “ไม่ๆๆๆๆ เดี๋ยวกูโทรหาพี่เขา แล้วไปเจอหน้าตึกก็ได้” “……” สีหน้าของไอ้คอปเตอร์ลังเลอีกแล้ว “ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู กูโตแล้ว” ผมยึดอกตึงให้ผายใหญ่ขึ้น ไอ้คอปเตอร์ส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปากเหมือนเยาะกับท่าทางที่ผมทำ ไอ้ท่าทางที่ผมทำเพื่อน่าเกรงขามแบบนี้มันน่าหัวเราะตรงไหนวะ?! ผมผลักมันไปทางประตูทางเข้าลิฟท์วีไอพีทันที ถึงมันจะฝืนๆ ที่จะเดินกลับขึ้นไป แต่ในที่สุดมันก็ยอมแต่โดยดี หลังจากบานประตูลิฟต์ปิดสนิทลง ผมผ่อนลมหายใจออกยาว พลางคิดว่า แผนนี้มันจะใช้ได้เหรอวะเนี่ย? ………… ในที่สุด ผมก็มาถึงสถานที่จัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองจบโปรเจ็คงานของแผนก พร้อมกับพี่ๆ คนอื่นๆ เป็นร้านที่ถูกจัดเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดย่อม จุได้สัก 20 คนได้ มีโต๊ะเรียงกับเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน มีเวทีตรงกลางห้อง และมีจอทีวีขนาด 32 นิ้ววางเรียงกันรอบเวที ไมร์โครโฟนถูกวางไว้ที่ขาไมค์ฯ ซึ่งจัดวางอยู่กลางเวทีทรงกลม อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดวางไว้แต่ละโต๊ะเรียบร้อย สังเกตจากขวดแอลกอฮอล์แต่ละโต๊ะแล้ว ผมก็เดาออกว่า ที่นี่จัดเลี้ยงได้สุดเหวี่ยงเพียงใด คิดในใจว่านี่กินหรือว่าจะเอามาอาบกัน? ผ่านสมรภูมิสุราเมรัยไปร่วม 2 ชั่วโมง งานเลี้ยงของแผนกก็เริ่มเละเทะเสียแล้ว จากนักดื่มที่ครื้นเครงกลายเป็น นักดื่มที่ง่วงซึม จากนักร้องเสียงเพราะก็กลายเป็นนักร้องเสียงเพี้ยน จากคนที่เรียบร้อยก็กลายมาเป็นนักเลงขี้โวยวาย น้ำเปลี่ยนนิสัยมันก็เป็นแบบนี้แหละ ผมเข้าใจคำพูดของไอ้คอปเตอร์แล้วว่า การเลี้ยงฉลองของแผนกนี้มันเป็นแบบนี้นี่เอง หากจะถามว่าผมนั้นเป็นเช่นไร ผมยังสบายดีครับ ผมใช้ความเป็นเยาวชนของตนเองป้องกันการโดนชวนหมดแก้วมาได้หลายครั้ง จนกระทั่งสถานะปัจจุบันของผมคือ คนที่คอยดูแลพี่ท้อป ที่นั่งร้องไห้ น้อยอกน้อยใจภรรยาตนเองอยู่ข้างๆ “น้องวิน พี่เชอร์ฝากดูมันด้วยนะ ไอ้พี่ท้อปเนี่ย เมาแล้วมันชอบร้องไห้ บ้าบอ ล่าสุดนะ มันปีนไปบนระเบียงร้านชั้นสอง น้อยใจเมียจนกระโดดลงมา พวกนี้นะลำบากแทบแย่กว่าจะเอาอีอ้วนนี่ลงมาได้!!” คำฝากฝังจากพี่เชอรี่ สาวสวยที่ดื่มเยอะสุดในงานแต่เซน้อยสุดในงาน ผมอยากหาโล่รางวัลคอทองแดงให้กับพี่สาวสุดสวยคนนี้ “ดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” พี่ท้อปที่ตอนนี้เหมือนเส้นเอ็นและกระดูกสันหลังได้หายไปจากร่างเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นั่งพิงร่างที่บางกว่ามากของผมอย่างเต็มตัว พลางพยายามยกแก้วมาชนกับผมให้ได้ “ครับๆ” ผมชนแก้วกับพี่ท้อปและจิบเป็นพิธี “เฮ้ย!! เอ็งไม่ให้เกียรติพี่เลย! หมดแก้วดิวะ!!” ผมโดนแบบนี้มาสี่แก้วแล้วนะ แล้วพี่เชอรี่ที่ชงเหล้าก็มือหนักเสียเหลือเกิน พยายามเลี่ยงแทบตาย ต้องมาเมาเพราะไอ้คนดูแลตัวเองไม่ได้นี่นะ ในที่สุดผมก็ยอมยกดื่มอีกแก้วจนหมดเพราะความงอแงของพี่ท้อป “น่ารักมากๆ ไอ้น้องรัก” ไม่พูดอย่างเดียวยกมือขึ้นมาหยิกแก้มผมเสียแรง จินตนาการเลยว่าศรีษะผมตอนนี้น่าจะกลายเป็นผลมะเขือเทศไปแล้ว “จะว่าไปเอ็งเนี่ยมันหน้าสวยมากเลยนะ ไว้ผมยาวเสียหน่อยเนี่ย สวยกว่าเมียพี่อีกนะ” ไอ้คนเมาอย่างพี่ท้อปน่าจะตาพล่าเบลอไปแล้วล่ะ แล้วพี่ท้อปมันก็ใช้มือลูบเส้นผมของผมเหมือนทำท่าคล้ายจะสางเส้นผมให้ผมอย่างช้าๆ “พี่ท้อป มึงจะทำอะไรแฟนผม หา!!” เสียงโกรธเกรี้ยวลอยมาจากทางด้านหลังของผม แม้จะมีเสียงเพลงของนักร้องเสียงเพี้ยนโวยวายอยู่เป็นพื้นหลัง แต่เสียงแบบนี้ผมจำได้เลยว่าใคร คนตัวหนาอย่างพี่ท้อปกลับถูกมือหนึ่งหยิบยกจากคอเสื้อเอนย้ายไปอยู่อีกฝั่งของโซฟาตัวยาวได้อย่างกับการหยิบจับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เสียงทุกเสียงในงานเลี้ยงก็ดับเงียบลงเหมือนไฟฟ้าไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ ทุกสายตาจดจ้องมาที่ผมและไอ้นักเลงตัวโตที่กำลังล้มตัวลงนั่งข้างผมกั้นกลางระหว่างพี่ท้อปที่ตอนนี้เมากลิ้งนอนกอดเบาะโซฟาไม่รู้เรื่อง “ไม่ใช่ๆ นะครับ ไม่ใช่นะ” ผมลุกขึ้นหันไปหาทุกคน และวาดมือในอากาศไปมาด้วยความประหม่า รู้สึกว่าสุดท้ายตัวเองนี่แหละที่น่าจะโดนแกล้งเสียเอง “ใครแฟนมึง กูยังไม่เคยบอกเลย!!” ผมหันไปโวยวายใส่ไอ้คนมาใหม่ “แต่เราก็นอนด้วยกันมาแล้วนะ” ไอ้คอปเตอร์พูดจบ ก็ต่อด้วยเสียงฮือฮาของคนทั้งห้อง “มึง! มา! นอน! ค้าง!! ที่ห้อง!! กูแค่นั้น!! เพราะแอร์ห้องมึงเสีย!!” ผมเน้นทุกคำพูดที่ชัดเจน แต่เหมือนจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะสาวๆ บางคนถึงขั้นซุบซิบ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จิ้นฟินกันจนผมเริ่มเขิน “สรุปว่า เราไม่มีอะไรครับ!!” ผมตะโกนแก้เขิน “ไหนว่าเราจะเริ่มคุยกัน!!” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มเยาะชอบใจ เกาะแกะไหล่ผมจนน่ารำคาญ ผมอยากเอาแก้วฟาดมุมปากที่ยกขึ้นสูงสองมุมนั่นมาก “มึงน่ะ!! หุบปากไปเลย!!” ผมชี้หน้ามันให้หยุด มือสั่นไปหมดด้วยความโกรธ จนในที่สุดพี่เอกผู้จัดการก็เข้ามาห้ามปรามก่อนที่จะเกินเลยและบอกให้ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องนี้ และห้ามล้อเลียนผมเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ถึงแม้ว่าทุกคนจะกลับไปเลี้ยงฉลองเช่นเดิม แต่ทำไมผมไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลยนะ อาจจะประโยคสุดท้ายของพี่เอก ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ตนเองที่ตอนนี้ถูกไอ้นักเลงไฮโซนั่งเบียดกินพื้นที่ไปกว่า 1/4 “ไอ้เชี้ยเอ้ย!” ผมพูดใส่หน้ายิ้มของมันตรงๆ ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากยกเครื่องดื่มตรงหน้ากระดกซดเข้าช่องปากแบบหมดแก้วทีเดียวรวด ผมเพิ่งมาสังเกตว่าไอ้คอปเตอร์มันก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยวนอยู่ในอากาศรอบตัว แปลว่ามันดื่มก่อนเข้ามาแล้วหรือวะ!! “เมาก็ควรกลับบ้านไปนอนนะ ไม่ควรฝืนขับรถมา!!” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะรำคาญนะไม่ใช่เป็นห่วง คำถามที่วนไปมาในหัวตอนนี้คือ ‘มึงมาทำไม?’ “เป็นห่วงเหรอ?” มันเอียงคอมาถามผม นั่นไง! ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องคิดแบบนี่ “กูกลับล่ะ ไม่สนุกแล้ว” ผมลุกขึ้นพรวด แต่ด้วยมีแอลกอฮอล์ในเลือดพอควร ทำให้ผมเซเล็กน้อย แต่ไอ้คนที่ผมว่ามันเมากว่าผมกลับลุกขึ้นมาพยุงผมไว้ ด้วยแรงขาที่ผสมสุราลงไปในกล้ามเนื้อพอควรของทั้งคู่ทำให้เราสองคนล้มลงบนโซฟานุ่มที่นั่งกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมล้มลงไปทับบนร่างของไอ้คอปเตอร์อย่างทิ้งตัว ผมรู้สึกตัวทันทีว่าแรงที่ส่งผมลงมาที่ตัวมันน่าจะหนักไม่น้อย อีกทั้งตอนตกกระทบผมเหมือนได้ยินเสียงดังเหมือน ของแข็งปะทะกัน แต่ครั่นจะหันไปหามันเพื่อดูสภาพคนที่โดนผมทับอยู่ แต่ก็พบว่ามันกลับกอดร่างผมไว้แน่น จะหื่นก็ให้มันพอดีโว้ย!! ผมคิดขณะดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของปลาหมึกยักษ์ เสียงโอดโอยจากคนเบื้องล่างทำให้ผมหยุดดิ้นและหันไปถามต้นเสียงทันที “เป็นอะไร?” “เจ็บหัว” ปากบ่นเจ็บแต่มันก็ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบรัดผมไว้ “ปล่อยก่อนไหม? เดี๋ยวกูดูให้” ผมเริ่มหงุดหงิดกับมันแล้ว สักพักมันก็ทำเสียง อือ ออ แล้วก็คลายมือออก ผมบิดร่างกายตัวเองเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนที่จะหันไปไปสนใจมัน ผมก็ไม่ลืมที่จะสำรวจคนโดยรอบว่ามีใครเห็นเหตุการณ์นี้หรือเปล่า โชคดีที่ทุกคนยังสนุกอยู่กับปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยง ผมโน้มตัวลงไปดูที่ศรีษะของไอ้คนเมาแอ๋นอนแผ่ที่โซฟา ด้วยความมืดเลยใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปโดยทั่ว “ฉิบหายแล้ว!” ผมสบถออกมาอย่างระวัง เพราะกลัวเป็นจุดสนใจ “ทำไม?” ไอ้คอปเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “มึงหัวโน เลือดออกด้วย” สิ่งที่มันตอบกลับมาคือ “ไม่เป็นไร” “มึงนี่ท่าจะบ้า มาพยุงกูทำไม ตัวเองก็ยังทรงตัวแทบไม่ได้เหมือนกัน เลยมาเจ็บตัวเลย!!” ผมไม่รู้ว่าจะต่อว่ามันอย่างไรดี ผมไม่ได้อยากขึ้นชื่อว่าทำลูกชายเจ้าของธุรกิจเจ็บตัวนะ “แต่นี้เอง กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีกแล้ว” มันจับมือผมอย่างนุ่มนวลแล้วก็พูดกับผมด้วยแววตาที่ผมว่าคิดว่ามันต้องเมามากแน่ๆ แต่มันหมายความว่ายังไงนะ? ……………
:z3: :z6:
สุดท้ายนะครับ ไอ้คนที่ผมคิดว่ามันดั้นดนนั่งรถรับจ้างจากแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ เพื่อมาดูแลผม แต่กลับกลายเป็นว่าผมต้องมาดูแลมันนี่สิ ขณะที่ผมกำลังนั่งอย่างเบื่อหน่ายบนรถแท็กซี่ที่พี่เอก ผู้จัดการแผนกเรียกให้ (เพราะเป็นคนที่ดื่มน้อยที่สุด เป็นหัวหน้าที่สุดยอดมาก ดูแลลูกน้องทั้งในและนอกเวลางาน) ทีแรกพี่เอกก็อาสาจะพาไอ้ขี้เมาที่อยู่กับผมกลับบ้านให้ แต่ด้วยที่ว่าคนในแผนกนั้นมีสภาพไม่ต่างจากผ่านสงครามเวียดนามมา ผมจึงอาสาพาไอ้คอปเตอร์ไปส่งเอง เพราะที่พักอยู่ใกล้กัน แม้พี่เอกจะมีทีท่าแปลกใจแต่ก็ต้องจำใจปล่อยผมกับมันกลับด้วยกัน ไอ้คนขี้เมาที่นั่งอยู่ข้างผมอย่างกับคนที่เรียกได้ว่าเกือบหมดสติ เส้นเอ็นและกระดูกภายในร่างกายของมันน่าจะละลายไปกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่มันดื่มไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันแทบจะทรงตัวตรงๆ ไม่ได้ เอียงตัวมาซบผมจนรู้สึกหนักและรำคาญไปหมด ครั้นจะให้มันเอนตัวไปอีกทางก็กลัวว่าจะได้บาดเจ็บที่หัวเพิ่มจากการเอาศรีษะไปฟาดกับประตูรถยนต์เล่นๆ สุดท้ายผมก็ยอมให้มันซบไหล่ผมดีๆ โดยใช้มือพยายามประคองศรีษะมันเอาไว้ นี่มันตัวภาระชัดๆ หลังจากถึงหอพัก ผมยังต้องแบกไอ้ตัวภาระขึ้นไปถึงห้องอีก ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอามันไปเหวี่ยงใส่เตียงในห้องของมัน ก็ดันหากุญแจห้องไม่เจอ มันก็หมดสติไปแล้วอีก สุดท้ายผมต้องพามันเข้ามาห้องผมอีกหนึ่งคืน มันจะมานอนห้องผมบ่อยไปแล้วนะ!! กลิ่นสุราจากตัวของไอ้คอปเตอร์ระเหยออกจากตัวจนคลุ้งไปทั้งห้อง นี่มันดื่มหรือมันลงไปแช่ในบ่อเหล้ามาวะเนี่ย? ผมเหวี่ยงมันลงบนที่นอน พลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องซักผ้าปูที่นอนเสียแล้ว ก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำ ผมตัดสินใจกำจัดกลิ่นแอลกอฮอล์เจ้าปัญหาที่คละคลุ้งไปทั้งห้องเสียก่อน ผมใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดร่างกายของมันรวมถึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก ไอ้คอปเตอร์ก็ตัวหนากว่าที่ผมคิดมาก ทำให้เสื้อผ้าของผมสวมใส่ได้ลำบากพอควร กว่าผลัดเปลี่ยนทั้งเสื้อและกางเกงหมด ก็แทบทำผมหมดแรง (ยกเว้นกางเกงในขอบหนาเควินไคน์ของมันนะครับที่ผมไม่กล้ายุ่ง) ผมลากมันไปพาดบนเตียงอย่างลวกๆ แล้วก็พาร่างกายชุ่มเหงื่อของผมไปอาบน้ำให้สบายตัวแล้วจะออกมานอนอย่างสบายใจ ไม่รู้เพราะความเหนื่อยล้าหรือความง่วงในช่วงตีสองแบบนี้ที่ทำให้ผมอาบน้ำได้รวดเร็วกว่าปกติมาก แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วไม่เจอไอ้ขี้เมาก่อนหน้านี้ ด้วยความตกใจผมหันศรีษะไปซ้ายขวาโดยรอบ และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อไอ้คอปเตอร์พุ่งตัวจากมุมห้องทางขวามาโอบกอดผมและอุ้มลอยจากพื้น ผมร้องเสียงหลง รู้สึกว่าเพดานอยู่ใกล้ศรีษะตัวเองมาก “ไม่ให้หนีไปไหนแล้วนะ!!” เสียงยานคางของคนที่เรียกได้ว่าสติจมไปกับสุราที่ดื่มไป “หนีเชี้ยอะไร กูไปอาบน้ำแค่นี้เอง!!” “กูไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!!” อยู่ๆ ก็งี่เง่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมพยายามร้องบอกให้มันวางผมลง บวกกับการแกะอ้อมกอดที่รัดแน่นของมันให้ออก แต่ก็ไร้ผล คนเมามันแรงเยอะขนาดนี้เลยหรือ? สุดท้ายผมจึงลองใช้ไม้อ่อนดูบ้าง “คอปเตอร์ เราขอร้องปล่อยเราลงเถอะนะ เราหนาว เรายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย ง่วงแล้วด้วย” “อือ….ก็ได้” อยู่ๆ ด็ใจง่ายขึ้นมาเฉยๆ “แต่เรียกเราว่า ที่รัก ก่อนสิ!!” ไม่มีอะไรง่ายกับมันจริงๆ ด้วย! ผมกัดฟันกรอด ด้วยความโกรธ หรือผมควรจะรอให้มันหมดแรงดี แต่สุดท้ายอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องก็ทำให้ผมยอมแพ้ เพราะขนที่ลุกชูชันด้วยความหนาวเย็นมันเริ่มแทรกเข้ากระดูกเสียแล้ว “ที่….ที่รัก” เสียงห้วนๆ ห้าวๆ ของผมเปล่งออกจากปากด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้น “น่ารัก” คำสั้นๆ ที่มันตอบกลับมา ขณะที่ไอ้คอปเตอร์กำลังลดแรงกอดรัดลง เท้าของมันกลับก้าวเดินไปด้านหน้าและเอนตัวเองลงบนเตียงทำให้ผมเหมือนถูกเหวี่ยงลงไปนอนแผ่บนเตียง ด้วยเพียงนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว แน่นอนว่าการที่ถูกเหวี่ยงลงมาผ้าที่รัดไว้รอบเอวคงถูกจัดวางด้วยความไม่เรียบร้อย ผมรีบจับผ้าให้ปิดส่วนสำคัญตามสัญชาติญาณทันที ในขณะที่ผมจะตั้งตัวตั้งรับอะไรได้ ไอ้คนเมาขี้หื่นก็ตามมากดตัวผมลงนอนราบติดพื้นเตียง ผมทำได้แค่จับผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ให้แน่นขึ้น “ถ้านี่เป็นความฝันก็ฝันดีเหลือเกิน” ไอ้คอปเตอร์กดหน้าตัวเองลงมาใกล้กับหน้าผมจนแทบจะไม่เหลือช่องไฟ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องลงมาที่วงหน้าของผมอย่างพินิจ รอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันหน้าเล็กน้อย และลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอตกกระทบลงบนหน้าผม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งเข้าจมูกจนผมแทบจะเมาไปด้วย “ลุกออกไป” ผมเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง มันยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มหวานส่องสว่างจนผมแทบจะหรี่ตากับไอ้ความมีเสน่ห์อันมหาศาลของมัน ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มแบบนี้กับใครมาก่อน มันช่างดูอ่อนโยนมากว่าปกติ ผมเริ่มเข้าใจสาวๆ สมัยมัธยมแล้วว่าทำไมถึงได้คลั่งไคล้ไอ้คนตรงหน้าผมขนาดนี้ มันไม่ได้มีดีแค่บ้านรวยจริงๆ ยอมรับว่ามันหน้าตาดีนะครับ ถึงจะไม่ได้ที่สุดในรุ่นก็เถอะ แต่อะไรสักอย่างในตัวของมันที่ทำให้ทุกคนอยากเข้าหา แม้มันจะแสดงใบหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาก็เถอะ ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ กลิ่นวิสกี้ผสมไวน์ที่ระเหยออกจากตัวมันนี่ทำให้ผมฉุนจมูกจนแทบจะหายใจไม่ออก มันจะเอาลมหายใจมารดหน้าผมอีกนานเท่าไหร่เนี่ย ผมพยายามดิ้นรนอยู่นาน ทั้งสบถทั้งดิ้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำแค่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ผมใช้วิธีใช้สายตาพิฆาตส่องไปที่ดวงตากลมโตของคนด้านบนอย่างเคร่งเครียด พลางคิดในใจว่า หากมันละเมออยู่ก็ช่วยตื่นด้วย ในขณะที่ผมกำลังจะตะโกนเรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์เพื่อเรียกสติ ไอ้คนด้านบนมันก็กดหัวตัวเองลงมา ใช้ปากทาบลงบนริมฝีปากผมอย่างเร่งรีบ เสียงของผมหายวับเข้าไปในช่องปากของมัน ลิ้นของมันพยายามชอนไชไปทั่วริมฝีปากของผมเหมือนกำลังใช้มันคนลำหาทางเข้าในที่มืดมิด ผมดึงดันที่จะปิดปากสนิท แต่ไอ้คนด้านบนกลับขยับร่างกายตนเองบดกับร่างกายของผมไปมาจนผ้าเช็ดตัวผมเริ่มคลายจากการผูกรัดที่เอว รู้สึกได้เลยว่าลมเย็นกำลังคืบคลานคลุมร่างกายท่อนล่างของผมเรื่อยๆ จนในที่สุด ไอ้คอปเตอร์มันก็ทำสำเร็จ ตอนนี้ร่างกายเปลื่อยเปล่าของผมกำลังสัมผัสกับร่างของไอ้คนที่คล่อมผมอยู่อย่างสนิมแนบแน่น ทั้งอายทั้งโกรธ แฃฃต่ก็ไร้แรงต่อต้าน ยิ่งตอนตกใจที่ชายผ้าทั้งสองฝั่งเคลื่อนหลุดไปกองอยู่ข้างตัว ผมก็เผลอให้ปราการของผมพังทลายให้อีกฝ่ายชอนลิ้นเข้ามาสัมผัสกับฟันหน้าทุกซี่ของผม ถึงมันจะไม่ใช่จูบแรก แต่มันก็รู้สึกดีจนผมประหลาดใจ แต่ผมไม่เต็มใจนี่หว่า คิดถึงตรงนี้น้ำในตาก็รินล้นออกมาเปียกที่ปลายตาทั้งสองข้าง ไอ้คอปเตอร์หยุดและถอนตัวออกจากผมทันที ผมไม่รอช้า คว้าผ้ามารวมคลุมตัวไว้ละขยับห่างจากมันทันที ไอ้คอปเตอร์ที่ถอยกรูไปจนตกเตียงทำได้เพียงพึมพำขอโทษไปมา สายตาสำนึกผิดส่งมาที่ผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจกับการกระทำของมัน ไอ้คอปเตอร์ที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนผม ลุกขึ้นมาจากพื้นก้าวเท้าตรงรี่มาที่ผมพลางพูดขอโทษวนไปมาด้วยสีหน้ากังวลใจ ผมรู้นะว่ามันทำไปด้วยสติที่มึนเมา แต่ใจผมที่เกลียดมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ช่องว่างสำหรับการให้อภัยมันได้ ในหัวของผมมันเต็มไปด้วยความโกรธ กลัว และเกลียดผสมปนกันไปหมด ผมคงผิดเองที่เอาตัวไปใกล้มันขนาดนั้นเอง นี่คือบทเรียนของผม สายตาของผมที่เห็นมันเดินเข้ามาขอโทษไม่ต่างกับโจรร้ายที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตและพากความบริสุทธิ์ของผมไป ผมร้องโวยวายไล่มันไม่หยุด ผมกลัวจนพูดออกมาไม่เป็นภาษาอยู่หลายประโยค ความพยายามที่จะเข้ามาปลอบผมหลายต่อหลายครั้งของมันไร้ผล ปากของผมพร่ำบอกให้มันไปให้พ้นหน้า ผมรู้สึกว่าผมจะพยายามขว้างหมอนและอะไรหลายๆ อย่างใส่มันด้วย เท่าที่ผมรับรู้ได้ตอนนี้ ท่าทางของมันใจเย็นกว่าผมมาก ผมไม่รู้มันคิดอะไรกับความนิ่งของมันในตอนท้าย “งั้นกู…ให้มึงสงบสติอารมณ์ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วกูค่อยมาหาใหม่” มันพูดประโยคนี้ก่อนจะหันหลังจากไป หลังจากที่มันเดินออกจากห้องแล้ว ผมใช้กำลังทั้งหมดรีบวิ่งไปที่ประตูและลงกลอนทุกกลอนที่มี จบลงด้วยการฟุบนั่งลงหลังพิงประตู พลางคิดไปว่า นี่เราทำเกินไปหรือเปล่า? เพราะเอาเข้าจริง หากมันคิดจะ ‘ทำ’ ผมคงสู้งแรงควายของมันไม่ไหว แต่นี่มันยอมเดินออกไปจากห้องเอง ผมใช้มือขยี้ศรีษะตนเองจนยุ่ง ผมที่หมาดอยู่ตอนนี้พันกันยุ่งไปหมด ใบหน้าที่ผมเหม่อมองไปกระทบกับตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจกไม่ไกลทำให้รู้ว่า หน้าตัวเองสภาพแย่แค่ไหน ผมหลับตานั่งทำสมาธิและพยายามลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และสติผมก็ค่อยเลือนลางลงเรื่อย ๆ ……..…………
:m15: :monkeysad:
…….. “มึงจะให้กูไปทำดีกับมันเหมือนเดิม เหมือนกับไปตกหลุมรักมันที่มันทำแบบนั้นกับกูเนี่ยนะ!!” ผมพ่นคำพูดใส่เพื่อนสนิทอย่างฉุนเฉียว ข้าวในปากเกือบควบคุมไปอยู่ มีพุ่งออกมาเล็กน้อย “เหมือนจำเลยรัก สวรรค์เบี่ยง อะไรพวกเนี่ย” ไตเติ้ลเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมมันตอบกลับมาแบบหน้าทะเล้น “กูซีเรียส!!” ผมโกรธ แต่ก็โกรธไม่สุดเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดถึงละครน้ำเน่าที่เคยดูสมัยเด็กๆ ที่โดนแม่ยัดเยียดให้ดูการรีรันละครเก่าอย่างไม่เต็มใจ “กูพูดจริง มึงอย่าเยอะ!! มึงจะแก้แค้นมันไม่ใช่เหรอ จากที่มึงเล่าให้กูฟัง กูว่ามึงทำได้!!” ไอ้ไตเติ้ลนักศึกษาแพทย์รูปหล่ออดีตดาวคณะฯ ยิ้มหวานใส่ผมเหมือนผมเป็นกรรมการการประกวดดาวเดือน “ไม่ต้องมายิ้ม กูไม่ใช่สาวๆ หนุ่มๆ ที่ มหาวิทยาลัยมึง กูไม่หลงกลหรอก มึงคิดว่ากูทำได้ไหมล่ะ พอกูได้สติก็หนีมานอนห้องมึงเนี่ย” ผมชี้ไปที่พื้นคอนโดฯ หรูของมันอย่างจงใจ “มึงแม่งใจหมา!! อุตส่าห์ลงทุนเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้ มึงยังกลัวมันอีก!!” “มึงไม่เคยเจอจนต้องพบจิตแพทย์อย่างกูมึงไม่เข้าใจ!” “เข้าใจสิ!! กูมีแฟนเป็นจิตแพทย์!!” “สัด! มึงบอกกูแบบนี้หลายรอบแล้ว มึงยังบอกกูสักทีว่าใครวะ เมียมึงเนี่ย!” “กูบอกมึงแล้ว!!” “มึงแค่บอกว่ากูเคยเห็น กูรู้จัก!! กูนึกไม่ออกสักคน!!” “เดี๋ยวกูพามาเจอไม่ต้องห่วง!!” “แล้วทำไมมึงไม่อยู่กับแฟนมึงวะ?” ผมกรอกตารอบหนึ่งก่อนถาม “อืมมมมม มันมีเงื่อนไขนิดหน่อยน่ะ” “ความลับอีกแล้ว มึงไม่คิดจะบอกอะไรกูบ้างเลย นี่เมียมึงเป็นดารา เซเล็บหรือไงวะ ลับจัง” “ก็ประมาณนั้น” ผมกรอกตาใส่มันและเลิกพูดกับมันดีกว่า ตั้งใจกินมื้อเช้าที่มันอุตส่าห์ซื้อมาฝากให้หมด ………… วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่ผมเก็บตัวอยู่ที่ห้องไตเติ้ลเพื่อนรัก ด้วยความที่อพาร์ตเมนต์ผมกับคอนโดฯ ของมันนั่นอยู่ไม่ไกลกันมากผมเลยไม่กล้าออกไปไหนเท่าไหร่ ห้องของมันมีอุปกรณ์ยังชีพครบครันตั้งแต่ทีวี ตู้เย็นที่มีของกินเต็มตู้ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมเพลย์สเตชั่น 5 ช่วยให้ผมอยู่อย่างลืมเรื่องกังวลใจไปได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายวันอาทิตย์ก็มาถึง พรุ่งนี้ต้องกลับไปฝึกงานต่อ ผมกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี หากไปก็ต้องเจอไอ้คอปเตอร์ บอกเลยว่า ผมคงวางตัวไม่ถูก รู้สึกแย่จนไม่อยากจะเจอหน้า ส่วนที่คิดว่าจะลาป่วยก็ไม่รู้ว่าดีไหม ฝึกงานเนี่ย รู้สึกไม่ดีกับการลาป่วยอีกรอบหนึ่งเลย คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตก วันนี้ก็ดันต้องมาอยู่คนเดียว มีเพื่อนเรียนแพทย์เนี่ยโอกาสได้เจอกันแต่ละทีแทบจะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ เมื่อวานก็เจอกับมันได้คุยปรึกษากันก็แค่ช่วงเช้า หลังจากนั้นมันก็สวมชุดเครื่องแบบสีขาวหายเข้ากลีบเมฆไปเลย เวลาจำเป็บแบบนี้ไม่เคยจะได้ปรึกษาอะไรกับมันได้เลย!! ข้อความล่าสุดที่มันส่งมาเมื่อเข้าคือ “ไปจัดการมันให้เรียบร้อย!!” เชี้ย! มันคืออะไรวะ!! ผมสบถในใจซ้ำไปมา ผมไม่เข้าใจมันเลย ทำไมมันถึงอยากให้ผมจัดการไอ้คอปเตอร์ขนาดนี้ ผมได้แต่นึกถึงคำพูดของมัน “มึงจะได้คลายปมในใจมึงไง” มันคลายกันง่ายๆ แบบนี้ ผมคงไม่ต้องไปพบจิตแพทย์มั้ง!! ผมนั่งๆ นอนๆ ตีลังกาคิดทบทวนหลายตลบ สรุปว่าผมควรกลับไปวันนี้หรือไม่? สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า อย่างไรก็หนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องฝึกงานอยู่ที่นี่ตั้งอีกเดือนเศษ แต่กว่าจะตกผลึกแบบนี้ได้ เวลาก็ผ่านไปจนพลบค่ำ ผมเดินเข้าอพาร์ตเมนต์อย่างกล้าๆ กลัวๆ หวาดระแวงไปกับทุกฝีก้าวที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ห้องพักของตนเอง แต่จากสายตาที่มองไปทั่วโถงทางเดินแคบๆ ตรงหน้า ก็พบว่าไร้วี่แววของคน ผมเดินอย่างเร่งรีบจนไปถึงหน้าห้อง พลางส่องเข้าไปในห้องผ่านตาแมวแอบมมอง ไม่พบแสงไฟจากในห้อง เลยเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ อีกทั้งยังเหลียวหันไปส่องที่ห้องฝั่งตรงข้ามที่ไร้แสงไฟใดๆ เช่นกัน ผมเห็นว่าทางสะดวกเลยเปิดเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพลางคิดว่าโชคดีเหลือเกินว่าครั้งนี้ไอ้คอปเตอร์มันไม่ได้เหลี่ยมจัดใส่ผม เพราะผมแอบไปส่องที่จอดรถมาแล้วก็พบว่า รถไม่ได้จอดในสถานที่ที่เช่าไว้ ผมเหวี่ยงกระเป้าเป้ข้าวของส่วนตัวที่หนีออกจากห้องไปบนเตียง เปิดไฟสว่างและปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว “โอ้ย!!” เสียงร้องดังมาจากที่เตียง เดี๋ยวนะ!! ผมตาเบิกโพลงเมื่อเห็นใต้ผ้าห่มขยับไปมา ผมถอยหลังไปชนประตูพร้อมร้องเสียงหลง นึกว่าจะได้เจอเรื่องลี้ลับอะไรเสียแล้ว ผ้าห่มที่คลุมอยู่ลุกโป่งพองขี้นระดับหนึ่ง และเลื่อนไหลลงมากองบนพื้นเตียง เผยให้เห็นเป็นบุคคลภายใต้ผ้าพันแผลรอบศรีษะ วงหน้าอันบวมช้ำซีดเผือกหันมามองผมด้วยสายตาล่องลอย แต่ก็ต้องคลายอาการหวาดกลัวลงเมื่อพบว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือ ไอ้คอปเตอร์!! “ไปทำอะไรมา?” ผมตะโกนใส่หน้ามันด้วยอาการตกใจ ไอ้คอปเตอร์อิดออดลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะขยับปากพูดออกมา มันก็เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ผมหายไปจากห้องมันก็พยายามขับรถตามหาไปทั่ว ด้วยความอ่อนเพลียงจึงหลับในระหว่างขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ที่ไม่เห็นรถจอดอยู่เพราะถูกลากไปซ่อมที่ศูนย์ ส่วนตัวมันที่ดื้อไม่ยอมนอนพักอยู่โรงพยาบาลและที่บ้าน เลยขอมานอนรอผมที่ห้องนี้ เพื่อรอขอโทษและปรับความเข้าใจกับผม มันเล่าด้วยร่างกายบอบช้ำและใบหน้าที่เหมือนภาพวาดลืมลงสีที่ใบหน้า ด้วยสภาพแบบนั้นผมโกรธมันไม่ลงเลย สุดท้ายก็เลยใช้มือผลักมันลงไปนอน “ไม่ต้องอธิบายแล้ว พักผ่อน แล้วเราค่อยมาสะสางกันหลังจากที่มึงหายแล้ว” ผมทำหน้าขึงขังเพื่อกลบเกลื่อนแววตาสงสารที่แฝงอยู่ในดวงตา ทำไมผมเป็นคนดีแบบนี้วะ ผมพึมพำกับตัวเองในใจ ผมควรจะไล่มันไปนอนโรงพยาบาลไม่ใช่ให้นอนในห้องแบบนี้!! ……………
:ling1: :ling2:
…………… เช้าวันรุ่งขึ้นผมลุกจากที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้นอนเลย ความวิตกกังวลวนเวียนอยู่กับไอ้คนที่นอนข้างๆ ผมว่ามันยังหายใจอยู่หรือไม่? ผมมองไปด้านข้างด้วยสายตาที่ยังปรับกับความสว่างยามเช้ามืดได้ไม่ดีนัก เห็นไอ้คอปเตอร์ที่นอนนิ่งเป็นท่อนไม่ซึ่งถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลนานาชนิดอย่างมืออาชีพ และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องพิสูจน์โดยการใช้ฝ่ามือสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจที่หน้าอก เสียงตึกตักที่ดังอย่างสม่ำเสมอและรูปหน้าอกที่ขยายขี้นและหดลงตามกระแสลมหายใจของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมใจชื่นขึ้น ก็ผมไม่อยากนอนกับศพนี่นา!! ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก มือหนี่งของไอ้คนบาดเจ็บเจียนตาย พันผ้าพันแผลไปทั่วมือก็มาคว้าจับมือผมหมับด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ผมร้องเหวอในใจ เพราะกลัวคนป่วยตื่น และพยายามแกะมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย “อุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว อุตส่าห์กล้าบอกความในใจ เลิกหนีกันเสียทีสิวะ!!” เสียงบ่นพึมพำภายใต้วงหน้าที่หลับตาพริ้ม และการบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอีกหลายประโยคที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว “ไอ้บ้านี่” ผมรำพันต่อว่ามันต่อหน้าอย่าแผ่วเบา ภายในอกมันวูบวาบตึกตักไปหมด รู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างกับคนมีไข้สูง ระหว่างที่ผมคิดว่าผมอยู่ตรงนี้นานไปแล้ว ผมใช้แรงเท่าที่มีแกะมือมันออกจากข้อมือของผม แล้วเข้าไปอาบน้ำคลายอาการร้อนวูบวาบไปหมด หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยผมเดินออกจากห้องน้ำก็เจอคนบาดเจ็บนั่งห้อยขาที่มีการเข้าเฝือกอ่อนบนเตียงและหันมาทางผมอย่างจดจ่อ “ทำไมไม่ปลุก” คำพูดเสียงแข็งกร้าวดังขึ้น “ป่วยอยู่ก็นอนพักผ่อนไปสิ” ผมตอบพลางเตรียมทาครีมบำรุงที่ใบหน้าไปด้วย “ก็ตื่นมาแล้วไม่เห็น ก็เลยนึกว่าเมื่อคืนฝันไป ฝันว่าได้กอดกันนอนทั้งคืน” ประโยคนี่กลับทำหน้าเศร้า บางทีก็งงกับมันนะว่านาทีหนึ่งมันจะแสดงสักกี่อารมณ์ “มึงเป็นหมาที่โดนเจ้าของมาปล่อยวัดเหรอไงวะ!! แล้วกูก็ไม่ใช้เจ้าของหมาด้วย อย่ามาทำให้กูรู้สึกผิด” เหมือนไอ้คอปเตอร์โดนผมดักทาง ถึงกับเงียบนั่งมองผมแต่งตัวตาละห้อย “เช็ดตัวให้หน่อย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงสองออดอ้อน “ต้องการคนดูแลทำไมไม่นอนโรงพยาบาลดีๆ วะ เงินก็มี!!” ผมสวนกลับไปพลางมองนาฬิกาที่เข็มวินาทีเดินทางว่องไวผลักดันให้เข็มอื่นๆ ขยับเข้าหาเวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที “กูอยากให้……..” คราวนี้พูดเสียเบาจนผมหงุดหงิด “มึงนี่เปลี่ยนไปเยอะนะ พูดให้มันชัดๆหน่อยได้ไหมวะว่าจะเอาอะไร??” ผมว่าผมจะสายแล้วล่ะ “กูอยากให้มึงดูแลไง!!” “แล้วถ้ากูไม่กลับมามึงไม่เน่าตายคาห้องกูเรอะไง?” ผมคิดในใจว่าตัวเองกำลังจะสายแล้ว ต้องเดินทางไปรถประจำทางด้วย สายแน่ๆ “กูก็จะรอ” มันตอบตาใสใส่ผม ทำเอาผมผ่อนลมหายใจเสียงดัง กรอกตาไปจนจะเห็นสมองตัวเอง “แล้วต้องการอะไร เร็วๆ กูจะสายแล้ว!! รถประจำทางมันไม่ได้จอดรอกูที่ป้ายนะ!!” “เช็ดตัวให้หน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยกมือขึ้นสองข้างที่มีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมด ผมใช้มือตบหน้าผากตัวเองที่ใจอ่อน ความจริงจะไม่สนใจก็ได้ แต่สงสัยผมมันคนดีเกินไป “ถ้ากูไปฝึกงานสายกูจะโทษมึงที่ทำให้กูไม่ผ่านฝึกงาน!!” ผมพูดใส่มันขณะเดินไปห้องน้ำเพื่อเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัว “ไม่ต้องห่วง กูสั่งให้รถที่บ้านมารับแล้ว ไม่สายหรอก ถึงสายก็ไม่เป็นไร มีกูไปด้วย เดี๋ยวกูจัดการเอง” “สภาพอย่างมึงเนี่ยนะจะไปทำงาน!! เพื่อ!!??” ผมตะโกนออกจากห้องน้ำขณะรองน้ำใส่อ่างขนาดเล็ก “กูอยากไปกับมึง” มันยังจะรั้นอีก สภาพที่ยืนตรงนานๆ ยังไม่ได้แบบนั้นมันจะไปทำงานได้ยังไงวะ “ขอบใจเรื่องรถนะ แต่กูว่ามึงอยู่…..เชี้ย!!” ผมเดินออกจากห้องกะว่าจะกล่อมให้มันอยู่ที่ห้องพักผ่อน แต่ต้องมาเจอไอ้คอปเตอร์ในสภาพเปลือเปล่าบนเตียง “ทำเชี้ยอะไร ใส่เสื้อผ้าเลยมึง” ผมโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปทางมันเพื่อไปปิดตรงส่วนกลางลำตัวพอดีพอดิบ ถึงมันจะสวยมากก็เถอะ โอ้ย!! นี่ผมคิดอะไรอยู่!! “เช็ดตัวให้สะอาดไง ผู้ชายด้วยกันมีอะไรต้องอาย!” “กูไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้น!!” และไม่ได้อยากเห็นด้วย!! ผมคิดต่อในใจ “ไหนก็ถอดแล้วเช็ดๆ ไปเถอะกูเหนียวตัวจะแย่แล้ว” “นี่คือคำขอร้อง?” “คุณวินครับ ขอร้องนะครับ เช็ดตัวให้ผมหน่อย” “จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่นา” “ว่ากูน่ารัก หลงรักกูแล้วสิ” “หลงตัวเอง!!” ผมนั่งลงข้างกายมัน เอาผ้าเช็ดตัวที่โยนก่อนหน้านี้มาชุบหน้าพอหมาดแล้วเริ่มลงมือเช็ดโดยพยายามไม่มองความโป๊เปลือยตรงหน้า ส่วนไอ้หน้าด้านนั่นนอนยิ้มสบายใจ จนน่าหมั่นไส้ ผมจึงรีบเร่งมือเช็ดถูให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว โอ้ย!! ไอ้คอปเตอร์ร้องลั่นห้อง ไม่รู้ว่าผมไปเช็ดโดนแผลหรือผมเช็ดแรงเกินไป “สมน้ำหน้า ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะบาปกรรมของมึงนั่นแหละ” ผมพูดประชดมัน “คงงั้นมั้ง กูคงทำบาปมาเยอะ กูทำร้ายคนมามาก จนอยากจะกลับไปขอโทษทุกคนแต่คงทำไม่ได้ แต่ที่กูทำไปก็เพราะมีเหตุผลของกู!!” “มันก็ข้อแก้ตัวของคนพาลนั่นแหละ มีข้ออ้างเสมอ” ไหนๆก็พูดแล้ว อารมณ์ผมมันขึ้นเสียจนเริ่มหงุดหงิด “อืม…ก็คงงั้น…..คงต้องโทษที่กูอ่อนแอเอง” อ้าว! อยู่ๆ ก็ดึงเข้าดราม่าเฉย ผมแปลกใจปนสับสนกับอากัปกิริยาตอบสนองของมัน “เคยคิดอยากไปแก้ไขอดีตไหม? กูเนี่ยอยากกลับแก้ไขใจจะขาด คิดว่าหากทำอะไรที่ต่างไป ทุกอย่างตอนนี้น่าจะดีกว่านี้” ไอ้คอปเตอร์เหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าที่คุยกับผม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่ได้อยากไปเกี่ยวข้องกับดราม่าของมัน แค่นี้ผมก็สายมากแล้ว ในที่สุดผมก็จัดการทำความสะอาดร่างเปลือยเปล่าของมันเรียบร้อย สิางนี้ทำให้ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้องเลย พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มอง แต่ไอ้นั่นตรงนั้นมันก็เด่นเกินกว่าจะมองข้าม ยิ่งคนหน้าไม่อายอย่างไอ้คอปเตอร์มันไม่คิดจะปกปิดด้วยแล้ว ผมยิ่งว้าวุ่นยิ่งขึ้นไปอีก หรือนี่ก็คือการกลั่นแกล้งของมันอีกแบบ ผมเลิกคิดและบอกลาไอ้คนเปลือยบนที่นอน พร้อมโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ใส่มันก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง กลัวคนเดินผ่านห้องช่วงเวลานั้นเป็นตากุ้งยิง “เปลี่ยนเสื้อให้กูด้วยสิ!!” มันตะโกนด้วยถ้อยคำขอร้องกึ่งบังคับ “กูวางไว้ให้ตรงหัวเตียงนั่นไง ใส่เองสิ!!” ผมชี้ไปทางชุดนอนที่ผมบรรจงวางไว้ให้ ชุดนอนของผมเอง (นอนบนเตียงคนอื่นยังจะมาใส่ชุดนอนเจ้าของห้องด้วยเนี่ย มันจะเกินไปนะ) “กูจะใส่ชุดนักศึกษา” “สภาพแบบนี้ยังคิดจะไปทำงาน!?! นอนไปเลย ไม่อย่างนั้นกูจะให้คนขับรถของมึงพาไปนอนโรงพยาบาล!!” มันเป็นคนที่ทดสอบความอดทนของผมได้ดีมาก จากที่เคยกลัวมันฉิบหาย ตอนนี้เหมือนผมสามารถใส่อารมณ์กับมันได้เต็มที่ ด้วยความที่มันสุดท้ายก็ยอมผมตลอด ยอมรับครับว่าเริ่มเคยชินไปเสียแล้ว มันคว่ำปากแต่ก็ยอมรับโดยดี ผมยอมเดินไปใส่เสื้อผ้าให้มันอย่างลวกๆ ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มคล้ายคนโรคจิตไปทุกที ทุกครั้งที่ผมสัมผัสตัวมัน มันก็จะอมยิ้มมีความสุข บอกตามตรงว่าตรงนี้ผมไม่เคยชิน ยิ่งช่วงที่จะต้องใส่กางเกงให้มัน ผมรู้สึกเหมือนมันจงใจยั่วยวนผมด้วยสิ่งนิ่มๆ ที่ยาวกว่าฝ่ามือของมัน ขนาดที่มันยังไม่ตื่นดียังรู้สึกน่ากลัวขนาดนี้ ผมตัดสินใจรีบเร่งมือดึงกางเกงปิดมันให้มิดชิด พลางสาปแช่งมันให้เป็นไส้เลื่อนเพราะมันปฏิเสธที่จะสวมกางเกงชั้นใน ผมลงมาถึงชั้นล่างสุดหน้าอพาร์ตเมนต์ด้วยใจที่ยังสั่นระรัว ไม่รู้ว่ารีบเร่งลงเพราะใกล้จะสายหรือเพราะอะไร ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ เห็นผมเรียบร้อยแต่ผมก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะครับ “คุณวินใช่ไหมครับ?” ชายร่างสูงใหญ่วัยกลางใส่ชุดสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาทักผม ผมตอบรับและทำหน้าสงสัยกับบุคคลตรงหน้า “ผมมารับไปทำงานครับ แล้วคุณคอปเตอร์ล่ะครับ?” พูดจบก็มองซ้ายขวาเพื่อหาคนที่พูดถึง “สภาพนั้น น่าจะไม่ไหว ไปกันเลยครับ ไม่ต้องรอ” ผมแจ้งชายวัยกลางคนที่ทำสีหน้าสงสัยกลับมา “คุณคอปเตอร์ไม่สบายหรือครับ?” “โอโห เจ็บหนักเลย” ขณะที่ผมตอบ ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะตั้งคำถามต่อ เสียงเรียกสายของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ครับ?” ชายวัยกลางคนรีบยกโทรศัพท์ขึ้นพูด แล้วก็ตามคำว่า ‘ครับ’ อีกหลายครับ จนกระทั้งวางสาย “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวรถจะเยอะกว่านี้” ชายวัยกลางคนพูดกับผมทันทีที่วางสายและผายมือไปทางรถตู้หรูหราคันใหญ่ที่จอดอยู่ไม่ไกล “อ่า…..ครับ” ผมตอบพลางปฏิบัติตาม ผมมาถึงออฟฟิศได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากด้วยความเร็วเสมือนขับรถแข่งฟอร์มูล่าวันผมรู้สึกพลังชีวิตหดหายไปบางส่วนจากอาการหวดเสียวบนท้องถนน แต่ก็ขอบคุณพี่คนขับก่อนที่จะเดินจากมาด้วยอาการขาสั่น วันนี้ผมทำงานอยู่ในห้องนั้นด้วยความเงียบเหงา แปลกดีที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าการมีไอ้คนหน้าตึงนั่งอยู่ด้วยมันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่พอมันไม่อยู่ ห้องก็ดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ ที่เผลอไปคิดถึงไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ผมพยายามคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมเกลียดมันที่สุด ช่วงที่โดนมันแกล้งเล็กแกล้งน้อยตลอดทั้งวันในวัยมัธยม แต่นึกไปได้สักพักก็ต้องเผลอไปคิดถึงช่วงเวลาที่มันกอดผมแน่นและจรดริมฝีปากลงผมริมฝีปากของผมทุกที มันคงเป็นข่วงเวลาที่เกลียดมันเหมือนกัน!! เวลาเหมือนใส่ร้องเท้าวิ่งเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว ระหว่างที่ผมนั่งคิดโปรเจ็คเรียนจบพลางทบทวนงานที่ทำที่นี่ เข็มนาฬิกาก็เกือบจะชี้ชนกันที่เลขสิบสองเสียแล้ว “ไปกินข้าวกับพี่ไหม?” พี่ท้อปเดินเข้ามาชวน คงเห็นว่าวันนี้ผมมาคนเดียว “พี่ไม่ได้ห่อมื้อเที่ยงมากินเหรอครับ?” ผมถามกลับเพราะปกติพี่ท้อปไม่เคยชวนผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเลย “เมียพี่ป่วยน่ะ” คำตอบสั้นจากใบหน้าอวบอิ่มที่โผล่พ้นประตูมา ผมตอบรับคำชวนและปิดหน้าจอเตรียมตัวเดินทาง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปกินข้าวมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานทั่วไป ผมแอบตื่นเต้นไม่น้อย แค่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นแผนก ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไอ้คนหน้าตึงเดินกระโผกกระเผก มาทางผม “เฮ้ย!! มาได้ไง??” ผมเผลอทักเสียดัง แต่คนที่มีสีหน้าตกใจกว่าผมคือพี่ท้อปที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างผม คงไม่คิดว่าจะมีใครถามคำถามนี้กับไอ้คนเส้นใหญ่ตรงหน้า “เบื่อ อยากมากินข้าวด้วย” ไอ้คอปเตอร์ตอบพลางกวาดสายตาไปทางพี่ท้อป ผมรู้สึกว่าพี่ท้อปยิ้มแห้งถึงแห้งมาก หันมามองผมทำนองว่า ‘พี่ไปก่อนนะ’ ผมพยักหน้าพลางคิดว่า ทำไมต้องไปกลัวมันด้วย มันก็เด็กฝึกงาน ผมว่าพี่ชายมันก็เป็นผู้บริหารที่น่ารัก แม่ของพวกเขาก็น่าจะเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปกลัวมันเลย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมลืมไปว่า สมัยเรียนมัธยม ก็มีแต่คนทำท่าทางแบบนี้กับมัน ผมผ่อนลมหายใจแล้วก็คิดทบทวนว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่เล่นกับไฟแบบนี้ ไม่น่าไปเชื่อไอ้ไตเติ้ลเลย “ไปกินข้าวกัน” ไอ้คอปเตอร์ขยับเข้าใกล้มากขึ้น ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าชุดที่มันใส่ไม่ใช่ชุดที่ผมใส่ให้ “มึงเปลี่ยนชุดเองได้ไง?” ผมถามอย่างข้องใจ “……ก็ พี่คนขับรถไง ช่วยเปลี่ยน” “แอบสงสารนะที่ต้องเห็นมึงเปลือยขนาดนั้น ตาคงเป็นกุ้งยิงไปแล้ว!!” “จะบ้าเหรอ กูก็อายเป็นนะ กูใส่กางเกงในกับเอาผ้าเช็ดตัวปิดไว้โว้ย” “อ้าว!! แล้วทีกับกู!!” “ก็มึงไม่ใช่คนอื่นไง!!” “หา!?!?” ทำไมผมต้องร้อนรนกับคำพูดมันด้วยวะ “ยังไงสักวันก็ต้องเห็น ไม่เห็นเป็นไร ใช่ไหม? เหลือแต่มึงแล้ว เมื่อไหร่จะให้กูเห็นบ้าง?” สายตาไม่เป็นมิตรส่งมาที่เรือนร่างของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ผมขนลุกไปทั้งตัว “ไอ้สัด ไอ้ทะลึ่ง!!” ผมไม่น่าไปเขินกับไอ้หื่นนี่เลย!! มันจะคิดเรื่องอื่นบ้างได้ไหม? …………
:z1: :pighaun:
“เฮ้ย!! ไปทำอะไรมา?!?” พี่ร๊อคเก็ตร้องเสียงหลง เดินตรงรี่เข้ามาดูอาการคนเจ็บที่เดินได้คล่องกว่าที่ผมคิดมาก เพราะทันทีที่พี่ชายของไอ้คอปเตอร์ทัก มันก็พร้อมที่จะเดินหลบฉากไปที่นั่งประจำของมันทันที “พี่ไม่ทราบเหรอครับว่า น้องชายพี่มันขับรถประสบอุบัติเหตุ?” ผมผ่อนลมหายใจเอ่ยทักพี่ชายที่น่าสงสาร สีหน้าคนคูลๆ อย่างพี่ร็อคเก็ตซีดลงเล็กน้อย พร้อมสั่นหน้าเป็นคำตอบ “แม่รู้ไหมเนี่ย??” คนเป็นพี่อุทานพลางยกมือลูบคางด้วยความเครียด “ไม่รู้ และไม่ต้องเสือกไปบอกล่ะ?” ไอ้คนหน้านิ่วพูดสวนขึ้นมาดังลั่น “แน่ล่ะ ไอ้คอป!! เตรียมโดนยึดรถเลย!!” “อย่าแม้แต่คิด!!” ไอ้นักเลงจ้องมองไปทางพี่ชายตาเขียว “เออๆ พี่ไม่พูดก็ได้ แต่แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรมาก?” “มึงก็เห็นว่ากูมาทำงานได้ ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสองสามวันก็หาย!!” “ไอเค ๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่ฝากน้องพี่ด้วยนะ! น้องวิน” พี่ร๊อคเก็ตยกมือขึ้นจับไหล่ผม และส่งสายตาฝากฝัง “อย่ามายุ่งกับคนของกู!!” ไอ้คอปเตอร์ตอนนี้เหมือนพองขนเป็นเสือหวงถิ่นเลย ขู่ฟอดๆ จนผมอดที่จะขำกับสภาพเสือป่วยแบบมันไม่ได้ สภาพร่างพันผ้าไปทั้งตัวยังจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้ “มึง หยุดสิ!! พี่เขาก็แค่ห่วงไหม? พี่น้องห่วงกันธรรมดาจะตาย!!” ผมล่ะรู้สึกอิจฉาคนมีพี่น้องดี ๆ แบบนี้เสียจริง แต่ดูเหมือนเสือป่วยจะไม่หมดฤทธิ์ ยังคงพองขน ขู่ฟอดๆ เสียงอยู่ ผมจึงส่งสายตาพิฆาตไปปรามมันด้วยเพราะ ผมไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ ช่วยให้ผมฝึกงานอย่างสงบเสียที!! คนเป็นพี่ยกยิ้มมุมปากกับการกำราบเสือป่วยของผม พร้อมทั้งขอตัวไปร่วมรับประทานอาหารกับทีมงานของตนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง “กินอะไร บอกมา!! จะได้ไปเอาให้!?!” ผมพูดขึ้นมาเพื่อตัดเสียงบ่นกร่นด่าพี่ชายลับหลังของไอ้คอปเตอร์ ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะมันหยุดปากแทบจะทันทีและยิ้มฉีกกว้างอย่างมีความสุข “ป้อนด้วยสิ” มันทำเสียงอ่อน “ไม่ล่ะ เดินมาเองได้ก็ใช้มือแดกเอง!! ไม่เป็นอะไรมากนี่ได้ข่าว!!” ผมสกัดความเอาแต่ใจของมันอีกครั้ง และสุดท้ายมันก็ยอมกินด้วยตนเองแต่โดยดี ……………… ช่วงบ่ายงานของผมไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเท่าไหร่ เหมือนย่ำอยู่กับที่เพราะมีเสือป่วยนอนกวนใจอยู่ข้างๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับไปพักที่บ้าน ปากบอกจะกลับพร้อมกันท่าเดียว โอ้ยยยยย ผมร้องโวยวายในใจ จนกระทั่งเสียงแชทในระบบสื่อสารภายในองค์กรดังขึ้น ผมอ่านข้อความแล้วก็รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ก็ปฏิบัติตามทันที ‘มาหาพี่โต๊ะหน่อย พี่อยากให้ช่วยงานสำคัญงานหนึ่ง’ ข้อความจากพี่ท้อป ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะทันทีที่อ่านจบ รู้สึกโล่งใจอย่างไรไม่รู้ที่ออกห่างจากเพื่อนร่วมห้องเสียบ้าง เพราะแม้แต่ผมเดินไปห้องน้ำมันยังจะเดินตามผมได้ด้วย มันอ้างว่า ‘จะได้มีคนช่วยมันทำธุระ’ ผมสวนกลับไปว่า ‘มึงจ้างคนดูแลเหอะ’ มันยกมุมปากขึ้นย้อนกลับทันที ‘จ้างมึงได้ไหม อยากได้มึงอ่ะ’ ผมว่าประโยคนี้มันสองแง่สามง่ามแปลกๆ นะ ผมจึงคิดเลิกที่จะพูดแบบนี้กับมันอย่างเด็ดขาด ครั้งนี้ก็เช่นกันมันทำท่าทางจะตามมาด้วย ผมยกมือขึ้นปรามห้ามพร้อมพูดเสียงแข็งใส่ “กูไปทำงาน อย่าตามมาเป็นภาระ!!” มันทำได้แค่หายใจฟึดฟัด และล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนก่ายหน้าผากอย่างไม่สบอารมณ์ ผมดีใจกับอิสรภาพเล็กๆ ที่ได้มาเดินออกจากห้องรุดไปที่หมายอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจคือ บุคคลที่นั่งโต๊ะทำงานของพี่ท้อป กลับเป็นพี่ชายของคนที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนักศึกษาฝึกงาน “คุณร๊อคเก็ต!!” ผมอุทาน แต่ก็โดนปรามให้เบาเสียงลงด้วยการยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากตนเองของผู้บริหารหนุ่มตรงหน้า “แล้ว….” ผมทำท่ามองหาเจ้าของโต๊ะ พี่ท้อปที่แอบไปนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ยืนขึ้นพ้นผนังกั้นให้เห็นรอยยิ้มเฝื่อนๆ ของใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป “ผมขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะครับ” คุณร๊อคเก็ตยิ้มขณะขอร้องอย่างสุภาพ พี่ท้อปก้มศรีษะตอบผงกๆ หลายครั้ง ก่อนจะเดินหายไปจากคลองสายตาของผม “นั่งก่อนสิ” ผู้บริหารหนุ่ม เชิญให้นั่งโดยผายมือไปที่เก้าอี้สำรองที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน เหมือนถูกเนรมิตให้ปรากฏขึ้นจากพื้นพรมตรงนั้นทันทีทันใด “ครับ คุณร๊อคเก็ต” ผมก้มศรีษะขอบคุณและเดินไปนั่งอย่างเกร็ง ๆ “เรียก ‘คุณ’ แล้วมันดูห่างเหินกันจังเลยนะ เรียกพี่ก็ได้” ผมพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจแต่สุดท้ายก็โดนคนที่มีจิตวิทยาดีอย่างผู้บริหารหนุ่มในชุดสูทหรูหราโน้มน้าวสำเร็จ “ครับ….เอ่อ….. พี่…ร๊อคเก็ต” อีกฝ่ายยิ้มแก้มปริเมื่อหว่านล้อมผมสำเร็จ “เข้าใจแล้วว่าทำไม เจ้าคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดนี้ ก็น้องน่ารักขนาดนี้ไง” อีกฝ่ายกล่าวชมจนเหมือนเรื่องปกติ จนผมหน้าร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ ใกล้ขนาดที่ว่ากลิ่นนำ้หอมของพี่ร๊อคเก็ตรายล้อมรอบตัวผมไปหมด ผมอยากได้กลิ่นแบบนี้บ้างมันมีเสน่ห์มากจริงๆ “ว่าแต่พี่เป็นคนเรียกผมมาเหรอครับ? มีอะไรเหรอเปล่าครับ?” ผมรีบยิงคำถามตัดบทก่อนจะตายเพราะความหอมอันเย้ายวนนี้ คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งหอม ทั้งสุภาพ “เรื่องเจ้าคอปเตอร์…… คือพี่อยากรู้ว่า….” “เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?” ผมรีบเติมช่องว่างทันทีที่รู้ว่าพี่ร๊อคเก็ตมีความเกรงใจที่จะถาม “อืมนั่นแหละ! สภาพแบบนั้นเกิดอะไรขึ้น พี่ไปถามแม่พี่มาก็ดูเหมือนจะไม่เจอกับเจ้าคอปเตอร์มาสักพักแล้วนะ แปลว่าน่าจะไม่ทราบเรื่องนี้!!” “นี่มันก็เก่งนะ เจ็บหนักขนาดนี้ มันยังปิดทุกคนได้ขนาดนี้ มันเป็นคนประเภทไหนวะ!!” ผมบ่นพึมพำ “น้องวินทราบใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” “ครับ!! ผมทราบ” แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์เท่าที่ผมรู้ให้ฟังโดยสังเขป “อืม…..” พี่ร๊อคเก็ตมีทีท่าประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเล่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ?” “คือ…นะ… ก็….ไม่มีรถคันไหนเสียหายหรือเข้าศูนย์ฯ เลยน่ะสิช่วงนี้ เป็นได้ว่าอาจะยืมรถเจ้าวศินแต่ ก็ควรจะมีเรื่องบิลค่ารักษาพยาบาลหรือการเคลมประกันอะไรบ้าง พี่แค่สงสัยว่าเจ้าคอปเตอร์ปิดบังอะไรอยู่ จะบอกว่าไม่อยากให้แม่เป็นห่วง แต่ที่ผ่านมาก็ทำตัวมีปัญหาออกจะบ่อย” พี่ร๊อคเก็ตเหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองสไตล์นักสืบมากกว่าจะสนทนากับผม “โอเคๆ พี่คงคิดมากไปเพราะ วศินก็มีแฟนเป็นนักศึกษาแพทย์นี่นา ก็น่าจะไปขอให้ทางนั้นช่วย” “ก็เป็นไปได้นะครับเพราะไม่เห็นมียาหรืออะไรให้เห็นเลยว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลมา” ผมกล่าวสนับสนุน แม้ในใจจะมีความรู้สึกติดขัดอะไร อย่างบอกไม่ถูก แต่ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งเรื่องของครอบครัวของไอ้คอปเตอร์จึงได้แต่เงียบไว้ หลังจากนั้นพี่ร๊อคเก็ตก็ถามไถ่เรื่องงาน เรื่องสุขภาพทั่วไป ก่อนที่จะขอตัวไปทำงานต่อ พี่ท้อปที่เห็นว่าผู้บริหารหนุ่มจากไปพ้นจากคลองสายตาแล้วก็รี่เข้ามาสอบถามผมร้อยแปด ผมที่ไม่ใช่คนช่างเม้าส์ เลยได้แต่ตอบว่าไม่มีอะไร พี่ร๊อคเก็ตน่าจะแค่เป็นห่วงอาการคุณคอปเตอร์แต่ไม่กล้าถามคุณมันตรงๆ ก่อนที่จะโดนเซ้าซี้จากพี่ท้อปจนไม่ได้กลับไปทำงาน ผมจึงรีบตัดบทถามเรื่องงาน ก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อที่จะได้เนียนๆ หน่อย ขืนกลับไปตัวเปล่าโดยซักไซ้จนไม่ได้ทำงานให้เสร็จแน่นอน แต่มีหรือที่คนอย่างพี่ท้อปจะพลาด เขาหยิบเอกสารขึ้นมาปึกใหญ่และมอบหมายงานทันที หลังจากที่ฟังและทบทวนจนเข้าใจผมจึงรีบขอตัวกลับทันที โดยอ้างว่า เดี๋ยวคนในห้องจะออกมาตามเพราะนี่ก็ออกมานานแล้ว ……….
:katai4: :katai5:
………. ทันทีที่ผมเดินไปถึงห้อง สิ่งแรกที่ผมเห็นในห้องคือ พี่เอกผู้จัดการฝ่าย ยืนลูบศรีษะคอปเตอร์ที่หลับเอนหลังไปพาดพิงพนักเก้าอี้ สายตาที่สอดส่องไปทั่วร่างผู้ที่หลับอยู่อย่างผ่อนคลาย สายตาแสดงความเป็นห่วงบาดแผลภายใต้ผ้าพัน เขาจ้องมองเหมือนอยากจะมองทะลุผืนผ้าและเยียวยารักษาด้วยการจ้องมอง ทันทีที่พี่เอกรู้ถึงการมาถึงของผม เขาก็รีบเปลี่ยนอริยาบททันที “เจ็บหนักขนาดนี้เลยเหรอ?” พี่เอกเอ่ยขึ้นเหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามถึงผม “จากสภาพที่เห็นนะครับ ผมว่าหนักหนาสาหัสอยู่นะครับ” ผมตอบตามมารยาท “ทำไมถึงยังมาทำงานล่ะเนี่ย?” พี่เอกเหมือนจะเผลอตัว ยกมือขึ้นลูบศรีษะคนที่นอนหลับไม่ได้สติอย่างไม่ตั้งใจ ทันทีที่พี่เขาเหมือนจะรู้ตัว พี่เขาก็ขอตัวแล้วรีบออกไปจากห้องทันที “ฝากดูแลน้องคอปเตอร์ด้วยนะ” พี่เอกเอ่ยขึ้นก่อนออกจากห้อง ผมสังเกตว่าน่าจะมีเพียงพี่เอกคนเดียวในแผนกที่ไม่เรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์นำหน้าว่า ‘คุณ’ ผมกระแทกนั่งลงตรงที่นั่งตนเองพลางขบคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในสถานที่ทำงานแห่งนี้ ‘ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ที่นี้ด้วย ที่อื่นๆ มันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?’ ผมคิดทบทวนไปมาระหว่างนั่งทำงานของตนต่อไป “ไปเสียนานเลยนะ กลับบ้านกันเถอะ!” คนที่หลับหมดสติไปเสียนาน กลับตื่นขึ้นในช่วงเวลาเลิกงานแบบตรงเวลาเป๊ะ ผมหน้านิ่วสงสัยว่านาฬิกาชีวิตมันเป็นยังไงกันแน่ “งานยังไม่เสร็จ” ผมตอบสั้นๆ ออกไป เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เห็นภาพพี่เอกกับท่าทีแปลกต่อไอ้คอปเตอร์ มันทำให้ผมคิดย้อนไปมาในใจ สงสัยถึงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองฝ่าย “มึงจะขยันอะไรหนักหนา แค่ฝึกงานเอง!” อีกฝ่ายบิดขี้เกียจขณะพูดไปด้วย “กูไม่ได้คายช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแบบมึงนะ แล้วกูก็ต้องทำโปรเจ็คเรียนจบด้วย รีบทำงานที่มอบหมายให้เสร็จจะได้มีเวลาเผื่อไว้คิดโปรเจ็คจบด้วย!!” ผมหงุดหงิดใส่ท่าทีสบายๆ ของมัน “แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิดด้วย” ไอ้คอปเตอร์บ่นอุบอิบ เป็นอีกครั้งผมรู้สึกผิดคาด ผมคิดว่ามันจะสวนผมกลับมาสักสองสามประโยคด้วยนิสัยกักขฬะอย่างมัน แต่กลับทำทีสลด จนทำให้ผมรู้สึกผิดไม่ได้ “อ้าว!! ตื่นแล้วเหรอ รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เป็นหนักขนาดนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะ” พี่เอกที่เข้ามาพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างลายตารางสีดำ เตรียมพร้อมเดินทางกลับ เปิดประตูเข้ามาทักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ผมก็ไม่ได้มาทำงานนี่ครับ” ไอ้คนขวานผ่าซากตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ พี่เอกที่ได้ยินกลับขำในลำคอชอบใจ ส่วนผมนั้นตอบเห็นด้วยในใจ “นั่นแหละ พี่รู้ เพราะพี่ไม่ได้มอบหมายอะไรให้เสียหน่อย แล้วจะมาทำไมเนี่ย?” “มาอยู่กับแฟน” คำตอบของมันทำให้พี่เอกมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ออกไปทางประหลาดใจ “ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบปฏิเสธ แต่เหมือนพี่เอกได้เชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ดูจากสีหน้าตกใจขนาดนั้น “เพิ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ คบกันแล้วเหรอ?” พี่เอกยิงคำถามไปที่คนที่ยื่นมือมาจับไหล่ผมแน่น และบีบคลึงเบาๆ เสมือนว่าคำพูดของผมนั่นพูดออกไปเพราะเขิน “กูบอกว่า….เป็นแฟนมึงตอนไหน?” อันนี้ผมโมโหจริงแล้ว “เราว่าจะปิดเป็นความลับน่ะครับ แต่ไหนๆ พี่รู้แล้วก็เลยตามเลยเนอะ วินเนอะ” ผมสบถกร่นด่ามันในใจนับร้อยรอบ ผมพยายามปฏิเสธแต่ดูพี่เอกจะหลงเชื่อไอ้คอปเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว แทบจะไม่ฟังที่ผมพยายามปฏิเสธเลย สุดท้ายพี่เอกก็ขอตัวลากลับบ้านไปด้วยอาการช้อคปนประหลาดใจ แผนของผมที่จะแกล้งมันตอนช่วงจีบผมเนี่ย สุดท้ายเป็นผมหรือเนี่ยที่ลำบากใจขนาดนี้ ………….จบตอน…………
:angry2: :serius2:
บทที่ 8 (Not) Forgive or forget สิ่งที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน คือ การที่ต้องมานั่งคิดมาก ทวนซ้ำไปมาถึงความสัมพันธ์เชิงซับซ้อนระหว่างคนรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ ผมนั่งคิดมากจนแปลกใจตนเองที่เป็นแบบนั่น “ทำไมเงียบจัง ระหว่างนั่งรถกลับบ้านทำไมไม่พูดอะไรเลย หัวคิ้วขมวดชนกันจนกูกลัวไม่กล้าทักเลย” ไอ้ลูกคุณหนูในสภาพมัมมี่ทักผมทันทีที่ถึงห้องพักของผม ผมควรจะดีใจไหมที่มันกลัวผม แต่มันจะตามผมมาทำไมในห้องนอนวะ!!?? ผมไม่ตอบอะไรนอกจากใช้นิ้วชี้ไปยังห้องของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหน่ายๆ “เฮ้ย!! กูป่วยอยู่นะ” มันทำท่าโอดโอยพลางมีทีท่าอ่อนแรงเป็นตุ๊กตาล้มลุก “เมื่อกี้มึงเดินเร็วกว่ากูอีก!!” ใช่ครับมันมายืนรอผมที่หน้าห้องก่อนที่ผมจะมาถึงประตูห้องเสียอีก “แต่กูไม่มีคนดูแล…” “ห้องกูไม่ใช่โรงพยาบาล” “ทำไมยังใจร้ายกับกูขนาดนี้ กูยอมมึงขนาดนี้เลยนะ” “กูไม่เคยรู้สึกว่ามึงยอมกูขนาดนั้น” “ยอมให้มึงเป็นเจ้าของกูขนาดนี้ไง” “กูไม่ได้ขอ!!” แล้วมันก็งอแงอยู่หน้าห้องผมอยู่พักใหญ่ ต้องโทษความหน้าบางของผม มันจึงได้เข้ามาอยู่ในห้องผมอีกครั้ง “เช็ดตัวให้หน่อย” เสียงเล็กเสียงน้อยพูดขึ้นทันทีที่พวกเราอยู่ในห้องกันสองคน ผมปฏิเสธแทบจะทันที ผมก็ทำหน้าเป็นลูกหมาป่วยอยู่อย่างนั้นจนผมใจอ่อนอีก ผมรู้ว่าหลังๆ มานี้ผมใจอ่อนกับมันบ่อยมากไปแล้ว “กูว่านะ หากมึงไปให้พี่เอกช่วยเนี่ย เขาน่าจะเต็มใจนะ กูว่ามึงแค่มองเขาก็ขอเช็ดตัวให้มคงแล้ว!” ผมพูดไปใช้ผ้าหมาดเย็นๆ เช็ดตัวให้มันไป “หึงเหรอ?” มันพูดพลางทำท่าสะดุ้งขนลุกเพราะความเย็นของผ้า ผมยิ้มมุมปากพลางใช้ผ้าไปชุบน้ำเย็นในกะลามังเล็กๆ ที่ข้างตัวเพิ่มเพื่อความสะใจ “หึงพ่อง!!” ผมสวนกลับทันที ไอ้คอปเตอร์ยิ้มและหัวเราะชอบใจในลำคอ “มึงจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก ก็ท่าทีพี่เขาแสดงออกจนคนทั้งแผนกก็รู้ แค่ไม่พูดออกมา แต่กูกับพี่เขาคงเป็นไปไม่ได้หรอก” “ทำไม? พี่เขามีเมียแล้วเรอะ?” ผมยียวนใส่มันพร้อมทั้ง ชุบน้ำเย็นเพิ่มอีกซักรอบ “ไม่ใช่ พี่เอกน่ะ โสด แต่…พี่เอกเป็นลูกพี่ลูกน้องกู คือญาติห่างๆ น่ะ กูนับถือพี่เอกแบบพี่ชายมากกว่านะ แต่พี่เขาคงไม่คิดแบบนั้น“ “เป็นญาติกันเนี่ยนะ?“ ผมเหวอไปเลย “ก็ญาติแบบห่างๆๆๆๆ น่ะ ห่างจนนับญาติไม่ถูกเลย“ “สำหรับกู กูว่าญาติก็คือญาติ คิดกันแบบนี้มันน่าขนลุกนะ” ผมทำท่าตัวสั่นให้เห็น สายตาที่ไอ้คอปเตอร์ส่งมาตอนนี้ มันให้ความรู้สึกยิ้มเยาะถูกใจกับอากัปกิริยาของผมแปลกๆ “กูไม่ได้หึง!!” ผมเน้นคำใส่หน้าไอ้คนมั่นหน้าอย่างมัน “กูไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย” “มึงทำเองได้แล้ว กูไม่ทำแล้ว!!” ผมโยนผ้าหมาดใส่ไหล่ของมัน และพร้อมที่จะหันหลังเดินก้าวเท้าออกจากมัน เพียงพริบตามือของผมก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยแรงอันมหาศาลจากชายที่บอกว่าตนเองบาดเจ็บ ผมเสียหลักทันที ผมถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมอกอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนรอโอกาสแบบนี้อยู่ มันเอนตัวลงเล็กน้อยให้ร่างของผมปะทะกับร่างของมัน เสียงโอดโอยดังขึ้น พร้อมกับที่มันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้ผมนอนทับร่างที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของมันอยู่ ด้วยนิสัยมือไวของไอ้คอปเตอร์ทันทีผมประทับอยู่บนร่างของมัน มือทั้งสองของมันก็พันโอบรอบร่างของผมจนแทบขยับไม่ได้ ผมคงรู้สึกไปเองที่ร่างทางด้านล่างนอกจากจะไม่ร้องเจ็บแผลสักนิด แถมยังพยายามโอบรัดให้แน่นขี้นเหมือนปลาหมึกที่จับเหยื่อได้แล้ว และจะไม่ปล่อยจนกว่าจะกินอิ่ม! ความที่ผมสงสัยอยู่หลายเรื่อง ก็เลยปล่อยเลยตามเลย พร้อมกับคิดบททดสอบขึ้นมาทันที “เจ็บหรือเปล่า?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “ไม่…ไม่เป็นไร….ทนได้” ไอ้นี่มันฉลาดน่าจะไหวตัวทัน “ขอโทษนะ“ ปากผมก็พูดว่าขอโทษ แต่ผมที่หันหน้าประกบกับมันในท่านอนแบบนี้ มันง่ายต่อการล่อลวงเสียเหลือเกิน ผมจึงนึกถึงภาพยนต์ที่เคยดูและลองทำตามทันที มือของผมค่อยๆ ลูบไปตามรอยขอบผ้าพันแผลช้าๆ บริเวณหน้าอกไล่เรื่อยจนไปถึงต้นคอ และพยายามอย่างช้าๆ ไล่ลงมาอีกครั้งแต่ต่างจุดกับตอนไล่ขึ้น ผ่านจุดติ่งเนื้อสีชมพูกลางหน้าอก แล้วไฟลงสู่ลอนท้องที่มีผ้าพันแผลพันอยู่เพียงส่วนน้อย และแล้วสิ่งที่ผมทำก็สำฤทธิ์ผล ส่วนกลางร่างกายของผู้ชายของมันลุกขยายตัวขึ้นชัดเจนนูนขึ้นจากเป้ากางเกง สำตัวส่วนท้องของผมรู้สึกได้ทันที เมื่อรู้ว่าได้ผล ผมรีบดำเนินการขั้นถัดไปคือการใช้ลมหายใจอุ่นๆ ของผม ราดรดไปที่ช่วงอกและไล่ลงตำ่จนถึงช่วงกล้ามท้องที่เป็นลอนได้รูป มือที่กอดผมแน่นคลายออกชั่วครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการพยุงตัวผมให้ขึ้นมาเผชิญใบหน้าที่แดงก่ำ หายใจหอบถี่ ผมรู้สึกเสียใจทันทีที่คิดทดสอบกับคนหื่นแบบมัน แต่เพื่อที่จะจับพิรุธมันให้ได้ ผมเลยยอมนิ่ง ผมยอมไปต่อกับมันไปก่อน “นายบาดเจ็บอยู่นะ ผ้าพันเต็มตัวแบบนี้….” ผมมองลงไปที่ผ้าพันแผล และแล้วก็ได้ผล ไอ้คอปเตอร์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบปลดผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นผิวเนียนใสไร้รอยแผลภายใต้ผ้าพันแผลที่สะอาดสะอ้าน!! “ไอ้คนตอแหล!!“ ผมดีดตัวจากร่างของมันและสลัดลุกจากอ้อมกอดและหนีจากเตียงทันที ทิ้งให้ไอ้คอปเตอร์ ทำหน้าตาเหมือนเสียรู้ผมเสียแล้ว! ผมจัดการยื่นคำขาดส่งมันออกไปนอกห้องตัวเองทั้งที่ไอ้คอปเตอร์เปลือยอกอารมณ์ค้างตึงอยู่แบบนั้น ไอ้คอปเตอร์พยายามอ้อนวอนขอโทษผมอยู่ด้านนอก หาเหตุผลร้อยแปดที่จะให้ผมยกโทษให้ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ อดทนต่อความหน้าบางของตัวเอง อาบน้ำใส่หูฟังเข้านอนทันที ……..
:m31: :fire:
เสียงลมเสียดสีกิ่งไม้และใบนับร้อยต่างพริ้วไหวตามแรงลม บ้างลู่ บ้างเอน บ้างบิดปลิวร่วมหล่นตามแรงโน้มถ่วงของโลกผมชอบนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วหน้าโรงเรียนตรงนี้เสมอๆ เพราะไม่อยากรีบไปที่ห้องเรียนตนเองเร็วนัก สาเหตุก็มาจากไอ้พวกขี้แกล้งหลังห้องนี่แหละ มันมักจะหาโอกาสช่วงที่อาจารย์ยุ่งๆ มาแกล้งเด็กเรียนหน้าห้องอย่างพวกผมอยู่เสมอ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ที่อีกฝากหนึ่งของโคนต้นไม้ มีคนวัยเดียวกันมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะผมเองก็จะให้เพื่อนสนิทของผมมารับและเดินไปที่แถวเคารพธงชาติตอนเช้าด้วยกัน ซึ่งมันจะมาแบบเฉียดเส้นตายทุกวัน ขณะที่ผมนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเคยด้วยความสงบยามเช้า เสียงสะอึกสะอื้นก็ดังมาจากอีกฝากของต้นไม้เป็นระยะ ๆ มันรบกวนสมาธิผมพอสมควร และเสียงนั่นก็ดึงดูดความสนใจผมไปเสียหมดสิ้น ผมตัดสินใจล้วงผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นมืออ้อมไปให้คนอีกฝั่งอย่างเต็มใจผมไม่รู้ว่าเขากำลังเสียใจเรื่องอะไร แต่ผมเองก็เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน ก็คงจะเหมือนกับผม ผมเดา มันไม่พ้นเรื่องครอบครัว สงสัยพ่อแม่คงเลิกกันมั้ง ผมคิด เพราะผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว “ขอบใจ“ เสียงสั่นๆ ดังมาแล้วหยิบผ้าเช้ดหน้าผมไป ซึ่งผมยื่นไปพักใหญ่เลย กว่าจะรับผ้าเช็ดหน้าจากมือผม “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ผมพูดออกไป มันเป็นคำปลอบใจที่ครูอาจารย์หลายๆ คนใช้ปลอบผมในช่วงบอบบางตอนนั้น “นายไม่เข้าใจหรอก!!” เสียงสั่น ๆ นั่น ดังขึ้นอีกครา “เข้าใจสิ พ่อแยกทางกับแม่ ครอบครัวหย่าร้าง ศึกแย่งกันดูแลลูก ทำไมเราจะไม่เข้าใจ” อยู่ๆ ผมก็แบ่งปันประสบการณ์ตนเองไปโดยไม่รู้ตัว คงเพราะอยากจะช่วย เหมือนที่เคยโดนช่วยมาก่อนมั้ง “แต่พ่อแม่เรา….ตายแล้ว” แล้วเสียงสั่นๆ นั้นก็ปล่อยออกมาอีกโฮใหญ่ ผมที่สะเทือนใจกับคำพูดที่ทรงพลังนั้น ทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อย่างเรายังแค่แยกเป็น ยังไงก็ต้องได้เจอกันสักวัน แต่การแยกจ้างเพราะการสูญเสียแบบนี้ มันหนักเกินที่จะรับไหวจริง ๆ ผมที่กำลังคิดที่จะเดินไปปลอบ ก็พบว่าไอ้เพื่อนสนิทที่ว่ามันวิ่งตาตื่นมาลากผมไปที่แถวเคารพธงชาติเสียแล้ว ………… ผมลืมตาตื่นมาทั้งที่หูฟังสองข้างยังคงประโคมดนตรีหลับลึกดังคลอไปเรื่อยๆ เศษน้ำตาที่ค้างอยู่มุมหางตายังอยู่ ทำไมผมยังฝันถึงคน ๆ นั้นอยู่นะ แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะเจอเขาอีกหลายครั้ง แม้เราจะไม่เคยหันหน้ามาเจอกันสักครั้ง ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นที่ต้นไม้กั้นกลางอยู่ แม้จะได้คุยกันเพียงบางเบา แต่ผมกลับฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้งทำไมก็ไม่รู้ ผมดึงร่างตนเองที่ยังฝังอยู่ในความนุ่มนิ่มของเตียงนอนอย่างอ่อนล้า หยิบหูฟังออกจากหูเพื่อสะดับเสียงภายนอกห้องว่าสงบเรียบร้อยหรือยัง เสียงหวีดหวีแห่งความเงียบเท่านั้นที่ผมได้ยิน ผมดีใจที่ในที่สุดผมก็จะสามารถสลัดมันออกไปจากชีวิตเสียที หวังว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะยอมเลิกวุ่นวายกับผมเสียที ผมจัดการตนเองช่วงเช้าอย่างเป็นกิจวัตรปกติ แม้จะเงียบเหงาไปบ้างที่ไม่มีใครมาวอแวยามเช้าแบบนี้ แต่ผมก็ทำทุกอย่างเสร็จก่อนเวลาที่ผ่านมาหลายนาที แปลกดีที่ผมกลับรู้สึกไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว ผมสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากศรีษะโดยสั่นแรงๆ และเตรียมตัวออกเดินทางไปฝึกงาน ทันทีที่เปิดประตูออกไป วัตถุร่างคนก็หงายเอนลงมาทับช่วงขาของผม ด้วยความตกใจผมร้องเสียงหลง “วิน….” คนที่ล้มลงนอนแนบเท้าผมเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยอาการงัวเงีย “เฮ้ย!! อะไรเนี่ย!! อย่าบอกนะว่านั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืน!!“ “ก็วินไม่ยอมใจอ่อนเสียที ไม่ยอมมาเปิดประตูให้เสียที กูก็รออยู่ตรงนี่ จนเผลอหลับไป“ ผมสังเกตเห็นรอยยุงกัดตามแขนและแผงคอที่เปิดกว้างอยู่ ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากกร่นด่าความงี่เง่าของมัน ดังลั่น ไอ้คอปเตอร์เอื้อมมือมาจับมือรั้งผมไว้ไม่ให้ไปไหน จนกว่าจะเคลียร์กันรู้สึก ผมซึ่งมองนาฬิกาของตนเองแล้วคิดว่าต้องสายแน่นอนเลยพยายามปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ผมพยายามดึงให้ไอ้คอปเตอร์ทรงตัวลุกขึ้นและผมก็ต้องประหลาดใจกับอุณหภูมิร่างกายของมัน ไม่รอช้าผมใช้หลังมือทาบไปที่หน้าผากทันที ร้อน… มันร้อนมาก สงสัยเมื่อคืนอากาศเย็นแล้วก็โดนยุงกัดทั้งคืน สงสัยคราวนี่น่าจะป่วยจริง “คุยกันก่อนได้ไหมครับ?“ เสียงสุภาพดังจากปากแห้งกรังของคนที่พยายามดึงรั้งผมไว้อย่างดื้อรั้น “ไม่!!” ผมผลักมันไปชิดผนังทางเดินอีกฝากที่เป็นห้องของมัน “มึงอยู่ตรงนี้!!“ ผมสั่งมันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำไมภาพที่มันเป็นแบบนี้ถึงได้รบกวนจิตใจเราขนาดนี้วะ!! ผมพูดจบผมก็รีบเดินจากมาทันที ผมลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างโดยไร้เงาคนติดตาม ทำให้ผมสบายใจได้ระดับหนึ่ง ขาของผมก้าวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว และเดินออกไปจนถึงพื้นที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ ที่ซึ่งมีรถตู้คันหรูจอดรออยู่ “พี่!! ช่วยไปจัดการเจ้านายตัวเองด้วยที่หน้าห้อง ไม่สบายหนักมากพามันไปโรงพยาบาลด้วย!!” …….
:z13: :a5:
……. “ไอ้เติ้ล!! กูไม่ไหวแล้วนะ แม่งโคตรเสียสุขภาพจิต!! นอกจากจะวุ่นวายกับกูแล้ว ล่วงละเมิดกูไม่พอ ยังทำให้กูไม่สบายใจอีก รบกวนจิตใจกูโคตรๆ” ผมโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันทีที่มีเวลาว่างในที่ทำงาน พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่สุดแสนจะอึดอัดให้เพื่อนสนิทที่สุดฟังอย่างไม่ปิดบัง “มึงห่วงเขาไอ้วิน“ ”สัด!! ห่วงก็เชี้ยแล้ว กูยังไม่ลืมที่มันทำกับกูหรอกนะ“ “อ่ะ! งั้นมึงก็ไม่จำเป็นต้องไม่สบายใจ มึงควรจะสะใจ เพราะถือว่ามึงได้ล้างแค้นแล้ว!!“ ผมเงียบไปพักหนึ่ง…. มันก็จริงนะ ผมคิดทบทวนไปมา “อย่าหลงรักเหยื่อ!! กูเคยบอกมึงแล้ว!!“ ”มึงไม่เคยบอกค่ะ!!” ผมกระแทกเสียวใส่โทรศัพท์ “อ้าวเหรอ?! ก็แหม่…มึงเกลียดมันจะตาย กูเลยไม่ได้พูดไง“ “กูไม่ได้ชอบมัน!! หรือรักมัน!! ไม่เคย!!“ “งั้นก็ดำเนินการตามแผนต่อไป อย่าได้แคร์!!” “กูทำแน่.. แค่นี้ก่อนนะ ต้องทำงานแล้ว!!” ผมรีบตัคบทเพราะยิ่งพูดกับไอ้ไตเติ้ล มันยิ่งพยายามชี้นำว่าผมชอบไอ้เลวนั่นอยู่นั่นแหละ จนอยากจะถามว่า ‘นี่มึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมัน!!’ ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่ผมได้มีเวลาทบทวนโปรเจ็คเรียบจบของตนเอง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำแบบ Business Process Improvement ของแผนก ช่วงนี้งานน้อยลงแล้วเนื่องจากโปรเจ็คของพี่ท้อปเสร็จสิ้นแล้วหรือแต่งาน Develop Software เพิ่มเติมซึ่งผมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือน้อยลงมาก ระหว่างร่างโปรเจ็คหน้าต่อหน้า ความคิดในหัวก็จะแทรกความคิดถึงอาการของไอ้คนป่วยเมื่อเช้ามาเป็นระยะ ๆ และทุกครั้งผมก็มักจะตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อคืนสติและสมาธิกลับมาที่งาน เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์แล้วที่ผมจะสิ้นสุดการฝึกงานที่นี่ ผมจะต้องเสร็จโปรเจ็คก่อนเดดไลน์ให้ได้ ระหว่างที่ผมกำลังร่าง Presentation หน้าสุดท้ายของโปรเจ็คเพื่อส่ง Draft ให้อาจารย์พิจารณา เสียงสั่นจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมก็ดังลั่นห้อง ผมที่ตอนนี้อยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องก็อดที่จะสะดุ้งตัวลอยไม่ได้ ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่กำลังสั่นและเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเหมือนกับมีชีวิต ชื่อที่แสดงบนหน้าจอคือ ‘ไตเติ้ลไอ้เพื่อนเชี้ย’ ใช่ครับ ผมเขียนแบบนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่เรียนหมอ มันก็เถื่อนขึ้นผิดหูผิดตา เพื่อนเด็กเรียนเรียบร้อย ภาพนั้นหายไปจากใจผมไปหมดแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น มันได้ทำให้ภาพพจน์คนเรียนหมอของผมเสียไปจนหมดสิ้น หากว่ามันไม่ได้กำลังจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ผมว่าคนอย่างมันน่าจะโดนไล่ออกไปแล้ว “กูไม่ว่าง” “มึงคิดว่ากูว่าง!! กูมาราวด์วอร์ด มึงว่ากูเจอใคร?” “จะอวดเมียอีกล่ะสิ!!” “ไม่ใชเว้ย!! อริมึงอ่ะ นอนป่วยเจียนตายอยู่เนี่ย!!“ “เฮ้ย!!!!” ผมร้องเสียงหลง ไม่คิดว่า เพราะผมปล่อยมันนอนหน้าห้องจะทำให้มันเป็นขนาดนั้น “มันเป็นอะไร?” ผมถามเสียงเรียบ เพราะไม่อยากให้ล้อผมอีก “ห่วงล่ะสิ!” นั่นไงไอ้ควาย!! ไอ้เพื่อนชั่ว!! ผมคิดอย่างหยาบคายแต่ก็ต้องทำได้แค่ในใจ เกรงใจสถานที่ “กูไม่ได้ห่วงมันเว้ย!! มันเป็นลูกเจ้าของบริษัทนะมึง กูอยากจบกับที่นี่สวยๆ นะ!!” “ไข้หวัดน่ะ แต่ร่างกายมันอ่อนแอมาก ก็เลยอาการหนักหน่อย นี่คือให้ยาแล้วก็หลับยาวเลย ยังไม่ฟื้น” ฉิบหายแล้ว ผมร้องในใจวนไปมา ผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครตายนะ แต่มันก็มีห้องตัวเองนี่หว่า แค่ฝั่งตรงข้าม มันจะเดินกลับไปนอนในห้องเองก็จบ! มันแส่หาเรื่องเอง!! “กูมาบอกแค่นี้แหละอาจารย์หมอเรียกแล้ว!!” สุดท้ายผมก็ถามที่อยู่ของมันจนได้ เลิกงานแล้วก็คงต้องไปดูอาการเสียหน่อย คราวนี้หมอบอกเองคงไม่โกหกเราอีกนะ ………….
:mc4: :katai5:
เป็นครั้งของการมาฝึกงานที่นี่ ที่ผมต้องนั่งมองตัวเลขบอกเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอ อาจเพราะความรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นกับไอ้คอปเตอร์ มันเลยกลายเป็นเข็มจิ้มแทงหัวใจให้กระวนกระวายซ้ำไปมา สมาธิในการร่างโปรเจ็คของผมมันเหือดหายไปเหมือนกับน้ำในทะเลทราย ใจหนึ่งก็กร่นด่ามันที่ทำให้ผมงานไม่เดิน ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดกับมันเหลือเกิน เบื่อความเป็นคนดีของตัวเอง เสียงผลักประตูเปิดกว้าง กวาดอากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ วูบไหวจนเส้นผมของผมปลิววูบ “น้องวิน!! มากับพี่หน่อย!! เก็บของมาเลย” พี่ร็อคเก็ตที่มีอาการรีบเร่งเปิดเข้ามาร้องทักอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย พอฟังได้ความผมก็หันไปมองเวลาที่เดินอยู่ที่มุมจอด้านขวา ยังเหลือเกือบ 20 นาทีถึงจะเลิกงาน “เรื่องเวลาช่างมัน พี่บอกพี่เอกไปแล้ว มากับพี่เร็ว!!” พี่ร็อคเก็ตเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ผมเก็บของลงกระเป๋าและเดินตามอย่างว่าง่าย พี่ร็อคเก็ตพาผมจนถึงลิฟต์วีไอพี (วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย) “พี่สืบรู้ว่า น้องพี่มันป่วยหนัก รู้ไหมว่าน้องพี่อยู่ที่ไหน?“ ทันทีที่ประตู VIP ปิดลง ท่าทีของผู้บริหารที่เข้มขรึม ก็เปลี่ยนไป พี่ร็อตเก็ต มีสีหน้าที่ร้อนรนปนเป็นห่วง เขาจับไหล่ผมเสียแน่นจนผมตกตกใจ “อ่ะ…โทษที คือ แม่พี่กับพี่ห่วงมันมากน่ะ” ผมจะไม่ถามก็แล้วกันว่ารู้มาจากไหน? ทำไมถึงได้รู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ความสามารถของตระกูลนี้ไม่น่าหาข้อมูลอะไรยาก ผมพยักหน้าตอบรับและบอกชื่อโรงพยาบาลไป “ทำไมถึงไปอยู่ที่นั้น?” พี่ร็อคเก็ตพึมพำ “มากับพี่!!“ ชายร่างที่เล็กกว่าผมคว้ามือผมและรั้งให้ผมเดินตามแทบจะไม่ทัน ไม่น่าเชื่อว่า คนๆ นี้จะแรงเยอะขนาดนี้ ผมถูกพาขึ้นรถตู้คันหรูที่จอดรออยู่แล้วที่ลานจอดรถ ถึงแม้ผมจะงงงวยว่า พี่คนขับรถเขารู้ได้อย่างไรว่าพี่ร็อคเก็ตจะลงมาที่ลานจอดรถ ถึงได้มาจอดรอแบบนี้ได้ พี่ร็อคเก็ตตะโกนชื่อโรงพยาบาลให้คนขับรถทราบ คนขับรถจิ้มไปที่ GPS ไม่กี่ครั้ง ระบบก็แสดงข้อมูลพร้อมนำทางและส่งเสียงแจ้งเตือนออกมา ผมที่กำลังสนใจกับเทคโนโลยีและการทำงานของคนขับอย่างมืออาชีพและทันสมัยจึงได้ยืนเหม่อมองอย่างชื่นชม “ขอโทษนะ“ หลังจากสิ้นเสียงนั้น พี่ร็อคเก็ต ก็รวบตัวผมแล้วอุ้มขึ้นรถตู้ที่พร้อมเดินทาง จนใจผมหายวูบไปอยู่ตาตุ่ม ผมที่เริ่มโวยวายบอกให้อีกฝ่ายปล่อยผมจนกระทั่งผมลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ต (รถคันนี้สามารถปรับให้นั่งหันหน้าเข้าหากันได้ด้วย) “ทำไมพี่ต้องเร่งรีบขนาดนี้ด้วย!!“ “พี่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยน่ะ” แล้วพี่ร็อคเก็ตก็เล่าให้ฟังถึงอดีตที่น่าตกใจของไอ้คอปเตอร์ ว่ามันเคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หนักขนาดที่ต้องให้เลือดเพื่อช่วยชีวิต และมีแต่เลือดของพี่ร็อคเก็ตมี่เป็นหมู่พิเศษแบบเดียวกันเท่านั้นที่ให้ได้ และนั้นเป็นเหตุผลที่เร่งรีบ ผมฟังจบรู้สึกได้ถึงความเย็นมาเยือนใบหน้ารู้สึกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง นี้ผมกำลังจะกลายเป็นฆาตรกรอย่างไม่ตั้งใจหรือนี่! “ไม่ต้องกังวล หากถึงมือของหมอแล้ว พี่ว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว“ พี่ร็อคเก็ตเอื้อมมือมาจับไหล่ผมอย่างอ่อนโยน ส่วนอีกมือหนึ่งก็เอื้อมมาจับมือผมไว้แน่น “มือเย็นหมดแล้วนะ“ พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทักและยิ้มอย่างอ่อนโยน ผมยอมรับว่าในใจแอบมีหวั่นไหวกับภาพเทพบุตรตรงหน้าเล็กน้อย แต่ในใจของผมกลับมีเรื่องรบกวนจิตใจทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมด “ร้องไห้ทำไม?” มือที่ไหล่ของผมย้ายมาลูบแก้มปาดหยาดน้ำน้อยๆ ที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “เป็นห่วงน้องพี่ขนาดนั้นเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยกับอากัปกิริยาของผม “ไม่….ไม่ใช่ครับ คือผมรู้สึกผิดน่ะมันเป็นเพราะผมที่….” ผมเล่าเหตุการณ์เมื่อวานอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็แอบตัดทอนบางอย่างที่ล่อแหลมออกไป ประเด็นคือ ผมปล่อยให้มันนอนหน้าห้อง ‘ก็มันโง่เองนี่หว่า!’ นี่คือสิ่งที่ผมคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป “ท่าทางครั้งนี้มันจะเอาจริงนะ” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อะไรหรือครับ?” ผมที่ยังงงได้แต่ทำตาโตใส่คนตรงหน้า พี่น้องคู่นี้เหมือนกันตรงที่ ไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำเท่าไหร่ “ก็เสียดายไง ครั้นจะจีบคนเดียวกับน้องนี่มันก็ดูไม่เหมาะไง” “หา….” ผมได้แค่ทำหน้าตาเหวอไม่เข้าใจ และขยับตัวห่างออกไปจนชิดพนักเก้าอี้ของรถ เสียงเครื่องยนต์เบาลง และเคลื่อนตัวเป็นวงกลมเข้าสู่ที่หมายอย่างนุ่มนวล ชายกลางคนที่เป็นพลขับเดินมาเปิดประตูให้ ผมที่กำลังประหม่าอยู่ได้แต่ทำตัวไม่ถูก จนกระทั้งพี่ร็อคเก็ตเอ่ยเชิญผมลง แต่ผมที่ยังย่อยข้อมูลไม่สำเร็จจึงได้แต่วุ่นวายกับการออกคำสั่งร่างกายที่แทบจะไม่ขยับไปไหน “หรือจะให้พี่อุ้มลง เหมือนตอนขึ้นรถ” คำนี้ทำให้ผมผุดลุกออกจากที่นั่งและเดินลงจากรถทันที ……..
:pighaun: :haun4:
ผมมองข้อความจากเพื่อนสนิทตัวเองที่บอกเลขห้องกับชั้นที่อยู่ของไอ้คอปเตอร์พลางมองหาเลขห้องตามทางเดิน และที่ประหม่าที่สุดคือ พี่ร็อคเก็ต ซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ นี่แหละ “ให้พี่ช่วยไหม?” คนทางด้านหลังเอ่ยถามข้างหู ”ไม่เป็นไรครับ น่าจะข้างหน้านี้แหละครับ” ผมถอยห่างไกลขึ้นพร้อมหันบอกปฏิเสธ รอยยิ้มจากชายใส่สูทสีกรมท่าเข้ารูปสาดใส่ดวงตาผม มันเจิดจ้าจนผมหลบตาแทบจะทันที พี่น้องคู่นี้เหมือนกันอยูหนึ่งอย่างคือ หลังจากเปิดเผยความในใจแล้ว ก็เดินหน้าลุยแทบจะสุดกำลัง บอกตามตรง ผมกลัว…… ผมรีบเดินมาถึงหน้าห้องที่หมายและรีบเคาะห้องทันที ป้ายหน้าห้องแสดงให้เห็นว่ายังอยู่ในเวลาเยี่ยมได้ ผมจึงไม่รอช้าที่บิดลูกบิดและผลักประตูเข้าไปทันที ภายในห้องที่เงียบงัน มีเพียงเตียงคนไข้จัดวางอยู่กลางห้อง เครื่องจ่ายน้ำเกลือวางอยู่ไม่ไกล คุณพยาบาลที่เดินออกมาจากมุมห้องฝั่งที่ผมไม่ทันสังเกตเอ่ยทักทายผมและพี่ร็อคเก็ตที่เดินตามหลังแทบจะทันทีที่สังเกตเห็นผม นางพยาบาลแนะนำตัวว่าเข้ามาตรวจเยี่ยมคนไข้และจะจ่ายยาตามเวลา แต่คนไข้หลับสนิทก็เลยจะขอวางยาไว้กับอาหารมื้อเย็นที่มุมห้อง หากได้เวลาแล้วจะเดินมาปลุกอีกครั้ง ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเดินไปที่เตียงเพื่อดูอาการคนป่วยที่นอนไม่ได้สติทันที ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็สอบถามอาการของน้องชายตนเองกับพยาบาลอย่างละเอียด ผมที่อยู่ในห้องก็เลยได้ฟังสภาพอาการไปด้วย สรุปคือ อ่อนเพลียและเป็นไข้หวัดธรรมดา ผมกับพี่ร็อคเก็ตแทบจะถอนหายใจออกพร้อมกัน ก่อนที่พยาบาลจะออกไปก็บอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเดินเข้ามาปลุกคนไข้เพื่อรับประทานมื้อเย็นและยาหลังอาหาร ผมพยักหน้ารับทราบพลางมองหน้าซีดๆ ของไอ้คนตายยากตรงหน้า พี่ร็อคเก็ตขอตัวไปขอพบแพทย์เจ้าของไข้ และเดินออกไปพร้อมกับพยาบาล ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท มือหนึ่งจากคนบนเตียงก็ดึงรั้งมือผมไว้แน่น ผมเกือบจะร้องโวยวายด้วยความตกใจแต่คิดได้ก่อนว่าอยู่ในโรงพยาบาลจึงใช้มืออีกข้างอุดปากตัวเองไว้ก่อน “ทำอะไรของมึงเนี่ย!! แน่ใจนะว่าป่วย!!“ ผมถลึงตาดุใส่มัน แต่สัมผัสผ่านมือก็รับรู้ถึงอุณหภูมิมืออีกฝ่ายที่ร้อนกว่าปกติ ครั้งนี้คงป่วยจริง ผมคิด “หิวข้าว” คำพูดสั่นๆ ออกจากปากซีดๆ นั่น “นั่นไง!!” ผมชี้ไปที่ถาดอาหารที่วางอยู่ที่โต๊ะล้อเลื่อนข้างเตียง “ป้อน” มึงเป็นเด็กหรือไง? ถึงได้พูดสั้นๆ แบบนั้น “ไม่มีแรง” สีหน้าออดอ้อนที่ผมผ่อนลมหายใจใส่คนพูด ผมเห็นวงหน้าซีดๆ กับสัมผัสอุณหภูมิที่ไหลผ่านมือมาทำให้ผมฝืนกับมันไม่ลงจริงๆ กรรมเวรอะไรของผมวะเนี่ย ผมตอบรับแบบขอไปทีพร้อมเดินกระแทกส้นไปจัดแจงจัดโต๊ะให้อยู่ในตำแหน่งเหนือเตียงนอนพร้อมกิน ไอ้คอปเตอร์ทำหน้าเหมือนจะบอกให้รีบป้อนอาหารให้มันได้แล้ว “มึง! เป็นไข้!! ไม่ได้แขนขาหัก!!” ผมสุดจะทนกับไอ้ความอ้อนของมัน “ไม่มีแรง ไม่อยากอาหาร!!” ใจอยากจะพูดว่า งั้นก็อดตายไปซะ!! ใจอยากจะพูดแบบนั้น แต่มันดูจะไร้มนุษยธรรมไปหน่อย สุดท้ายผมก็ต้องใช้ช้อนตักอาหารบนโต๊ะให้มันจนได้ หลังจากกลืนอาหารไปสักสองสามช้อนแล้ว นอกจากจจะยิ้มไม่หุบแล้วมันยังสามารถฮัมเพลงในลำคอได้ด้วย ผมอยากจะปาช้อนใส่หน้ามันมาก “แล้วทำไมถึงมากับไอ้เตี้ยได้!!” เสียงเปลี่ยนทันทีที่พูดถึงพี่ชายตัวเอง “เขาเป็นห่วงมึงมากนะ ทำไมถึงพูดกับคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองขนาดนี่!!!” “แล้วมันบอกหรือเปล่า ทำไมกูถึงป่วย!!” ผมส่ายหน้าตอบไปแบบงง ๆ กับคำถาม “ก็เพราะมันแกล้งกูไง ขังกูไว้นอกที่พักทั้งคืนที่เขาใหญ่ มันก็ต้องรับผิดชอบหรือเปล่าวะ!“ ผมตกใจกับคำตอบ ไม่คิดว่าพี่ร็อคเก็ตที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบจะมีมุมเกเรกับเขาด้วย “ทำไมวะ?” ผมถามถึงเหตุผล เพราะคาใจ มันคงเป็นคนละสาเหตุกับที่ผมทำมันป่วยรอบนี้แน่ๆ “ไปถามมันเอาเอง เพราะกูไม่เคยถาม!! มันไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่ากูรู้ว่ามันทำ!!” น้ำเสียงขุ่นเคืองประสมอยู่ในประโยค แล้วใครมันจะไปกล้าถามวะเรื่องแบบนี้ ผมยิ้มแห้งตอบกลับไป “แล้วมันรู้ได้ยังไง กูไม่ได้บอกใครเสียหน่อย” “ไม่รู้ อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตเขาก็มาถามกูตอนจะเลิกงาน” “มีหูตาเสียทุกที่จริงๆ” คิ้วขมวดห่อเอาเนื้อระหว่างคิ้วเป็นก้อนนูนขึ้นมาชัดเจน ผมไม่เคยเห็นมันแสดงอารมณ์แบบนี้เลย แท้แต่ตอนที่คิดจะกลั่นแกล้งใคร แต่ประโยคเหล่านั่นก็ทำให้ผมคิดอะไรออก “มึงดูไม่ประหลาดใจเลยนะที่กูหามึงเจอน่ะ แต่กลับประหลาดใจที่พี่ชายคนกว้างขวางของมึงเจอตัวมึงเนี่ย?!?” ไอ้คอปเตอร์กลับเข้าสู่โหมดหน้านิ่ง และเริ่มมีอาการไข้หวัดกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ผมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดที่ว่าจะประติดประต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้ แต่ก็ขอให้เป็นเรื่องที่คิดไปเองเถอะนะ วันนี้ผมคงต้องทำให้มันตายใจไปก่อน แล้วค่อยจัดการทีเดียว อย่างน้อยอาการป่วยของมันก็ไม่ใช่ของปลอม ไอ้คอปเตอร์ทำท่าอ้อนให้ป้อนอาหารต่อ ผมก็จัดการตามที่ขออย่างไม่อิดออด และวางแผนที่แก้เผ็ดไอ้คนที่มันหลอกลวงผมให้ตายกันไปข้าง ไม่นานหลังจากที่ผมป้อนมื้อเย็นให้ไอ้คนไข้ที่หมั่นไส้ที่สุดตรงหน้าไปได้ครึ่งทางของปริมาณของอาหารบนโต๊ะ พี่ชายสุดเท่ห์ของคนไข้ก็เข้ามา ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธที่จะกินต่อทันที “ดีนะที่ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวที่แล้ว ช่วงนี้พี่พักผ่อนน้อยด้วย ใครจะให้เลือดเราล่ะ! ทำไมไม่ดูแลตัวเอง” คนที่เป็นพี่ชายทำเสียงเข้ม ผมที่มีส่วนผิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดอาการอึดอัดขึ้นมาเลย ตัวแข็งทือและพร้อมจะยอมรับผิด ไอ้คอปเตอร์คว้ามือผมไว้และกำแน่น “กูดูแลตัวเองได้ คราวนี้ไม่ได้อยู่กลางป่ากลางเขาอย่างคราวที่แล้ว คงไม่ต้องพึ่งมึงหรอก!!” จบประโยคมันหันมาหาผมและพยักหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันจะจัดการเอง คนเป็นพี่ส่ายศรีษะ แล้วใช้นิ้วชี้กับโป้งบีบไปที่หัวคิ้วตัวเองอย่างแรง “อ่ะๆ โอเคๆ กูไม่อยากทะเลาะกับคนป่วย งั้นเรากลับกันเถอะน้องวิน!!” “ไม่ต้องเสือก คนเป็นแฟนกันเขาจะนอนเฝ้ากันคืนนี้!!” ผมที่อยากจะเถียงใจจะขาด ก็ได้แต่สะกดจิตใจไว้ก่อน เพราะตอนนี้คิดแผนแก้เผ็ดไอ้คนลวงโลกนี้เรียบร้อยแล้ว ผมคิดขอโทษกับพี่ร็อคเก็ตในใจล่วงหน้า “เขาเป็นแฟนมึงเมื่อไหร่ แล้วนี่ก็กระทันหัน ไม่ได้เตรียมอะไรเลยมึงอย่ามาเอาแต่ใจ!!” คนเป็นพี่โวยใส่คนน้อง ก่อนที่จะทำให้โรงพยาบาลวุ่นวาย ผมจึงปรามทัพด้วยการร่ำลาพี่ร็อคเก็ตและอาสาจะอยู่ค้างเพื่อดูแลคนป่วยเอง “แต่ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ“ “ก็เราเป็นคนคุยๆ กัน” ไอ้คนป่วยรีบแทรก “ก็แค่นั้น!! แต่ไม่ใช่แฟน!!” ผมหันไปค้อนมันวูบหนึ่ง “แต่เราจูบกันแล้ว!!” ไอ้คนป่วยมันไม่ยอมแพ้ “อย่าให้กูเริ่ม!!” ผมหันไปชี้หน้ามัน และแล้วผมก็ทำมันสงบเสงี่ยมได้สำเร็จ ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่ชายคนป่วย ก่อนที่จะขอตัวกลับบ้านไป ………….
:z3: :z13:
หลังจากส่งพี่ชายสุดหล่อของคนป่วยไปนอกห้องเรียบร้อย ผมก็เพิ่งมาคิดได้ว่า ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้า อุปกรณ์กิจวัตรประจำวันอะไรมาค้างคืนเลย คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อหาคนใกล้ตัว “มึง!! ยังอยู่ในโรงพยาบาลรึเปล่า?” “เออ ยังอยู่ เลยเดินราวด์วอร์ดอีกชั้นก็เสร็จแล้ว” “งั้นก่อนกลับกูฝากมึงซื้อพวก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ให้หน่อยสิ เออ!! แล้วขอยืมชุดนอนสักชุดนะ“ “เฮ้ย!! นี่มึงจะนอนค้างเฝ้ามันเหรอ?” “เออ! กูรู้สึกผิดกับมันนิดหน่อย” “เออๆ ดีๆ นะมึง อย่าให้มันจับกดได้อีกล่ะ!!” “สัด!! ในโรงพยาบาลมันก็จะไม่ยกเว้นหรือไง!! งั้นกูเปลี่ยนใจแล้ว!!” “เฮ้ยๆ กูแค่ล้อเล่น ป่วยๆ อย่างนั้นไม่น่าสู้แรงมึงได้หรอก!! ใช้ช่วงเวลานี้สั่งสอนมันให้สาแก่ใจเลย” “มึงดูไม่แปลกใจเลยนะที่กูจะค้างอยู่กับมัน” “กูอยากให้มึงแก้แค้นมันไง ตอนนี้น่ะทำได้เต็มที่เลย” “ยังไง? กูไม่แกล้งคนป่วยหรอกนะ กูไม่เลวขนาดนั้น!! นี่มึงเป็นหมอจริงไหมวะเนี่ย?” “อ้าวสัด! ลืมตัว เออๆ กูต้องไปแล้ว อาจารย์หมอเขาตามแล้ว ส่วนพวกอุปกรณ์กิจวัตรน่ะ เปิดในตู้บิวด์อินในห้องนะ อยู่ในกล่องสวยๆ ซ้ายมือ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวกูหาไปให้ แค่นี้นะ!!“ แล้วไอ้ไตเติ้ลก็วางสายไปเลย ไอ้หมอเถื่อนเอ้ย!! เพื่อนเด็กเรียบเรียบร้อยสมัยมัธยมคนนั้นมันหายไปไหนแล้ววะ!! ……….. โรงพยาบาลสมัยนี้มันดีจริงๆ ในตู้บานเลื่อนที่ฝังอยู่ในผนังนั้น มีกล่องใสสีสวยอยู่หนึ่งใบภายในนั้นเต็มไปด้วย อุปกรณ์กิจวัตรสำรองจำนวนสองชุด มีแม้กระทั้งหมวกใส่อาบน้ำ เหมือนโรงแรมเลย ผมสำรวจต่อที่ชั้นด้านบนก็พบเสื้อคุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวสำรอง ไม่อยากคิดเลยว่า ห้องพิเศษแบบนี้คืนละกี่บาท ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผมโดนไอ้คนป่วยอ้อนให้ช่วยเช็ดตัวให้มัน ทั้งๆ ที่มีพยาบาลมาช่วยดูแลจัดการก็ดันไปปฏิเสธเขา สุดท้ายผมก็ต้องทำให้มันจนได้ เพราะไม่อย่างนั้น มันคงจะงอแงจนผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบย้ายตัวเองขณะที่กำลังใช้ผ้าหมาดเช็ดผิวที่หน้าอกแน่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินผละออกไปจากห้องทันที “มึงช้า!!” “กูทำงานไหม!! เอานี่ชุด” ผมค้อนใส่มันแล้วหยิบชุดนอนที่มันเตรียมมาไว้กับตัวเองก่อนที่จะสำรวจเสื้อผ้าชุดนั่น “สัด!! ตัวใหญ่ฉิบหาย!!” “ก็กูชอบ มันสบายดี” ผมหยิบยกเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ย้วยๆ นิ่มๆ ขึ้นมาเสมอตัว พลางมองหน้าเจ้าของเสื้อ “คอเสื้อเว้ากว้างขนาดที่กูยัดตัวเองเข้าทางนี้ได้เลย!!” พูดพลางใช้สายตาแทนนิ้วชี้ “กูมีแค่นี้!!” “เออๆ กูมีทางเลือกหรือไง!!” “ไม่มีไงสัด!! อย่าเสือกเรื่องมาสิ!!” ผมมองเสื้อผ้าที่รับมาพลางคิดออกไปเสียงดัง “เสื้อผ้าก็ใหญ่หลวมโครก กางเกงก็สั้นนิดเดียว มันจะเข้าใจว่ากูไปอ่อยมันไหมเนี่ย!!“ “ดี!! ให้มันทรมาน!!” ไอ้ไตเติ้ลพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ผมผ่อนลมหายใจออกเสียงดัง เหนื่อยใจกับการมีเพื่อน ไอคิวสูง แต่ สติปัญญาในการวางตัวต่ำ ”มึง!! กูจะบอกอะไรให้“ แล้วมันก็เดินเข้ามาซุบซิบที่หูผม ผมยอมรับว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว “งั้นกูถามมึงคำถามหนึ่งได้ไหม?” มันทำท่าทางแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธ “นอกจากแผนการประหลาดๆ แบบนี้ มึงมีอะไรบอกกูไหม? แบบเรื่องที่มึงรู้แต่กูไม่รู้น่ะ” มันทำท่าพยายามนึกและตอบปฏิเสธแทบจะทันที ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ เรื่องนี้ ผมคงคิดไม่ผิด คงได้แต่รอดูต่อไป ………. ห้องน้ำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ดีเกินคาด การค้างแรมในโรงพยาบาลดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าที่คาด แม้ไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมแต่ก็ไม่ลำบากอะไร ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยออกจากห้องน้ำภายในห้องคนไข้ ท่ามกลางสีหน้าผิดหวังของคนป่วย ผมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจของมัน ผมเลือกที่จะไม่สนใจ ผมเดินไปนั่งที่โซฟาขนาดใหญ่ที่ปลายเตียง ซึ่งมันสามารถปรับให้กลายเป็นเตียงขนาดย่อมได้ ถึงไม่ได้นุ่มสบายแต่ก็ดีกว่านอนโซฟาทั่วไปแน่นอน “จะนอนเลยเหรอ?” เหมือนทุกการกระทำของผมจะอยู่ในสายของไอ้นักเลงน้อยนี้มาตลอด “แล้วจะให้กูทำอะไร?” ผมพูดพลางขยับคอเสื้อยืดหลวมๆ ของตนเอง “ยังโกรธกูอยู่เหรอ?” “แล้วมึงคิดว่าไง?” “ก็คงยังโกรธอยู่” “รู้ก็ดี!!” “ทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธล่ะ” “กูไม่รู้!!” “ไม่มีอะไรที่จะทำให้มึงหายโกรธกูเหรอ?” “มึงจะมาถามอะไรเซ้าซี้ ไม่สบายก็รีบนอนไป!!” แล้วไอ้คอปเตอร์ก็ปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆ ท่องโลกโซเชียลได้เพียงชั่วครู่ “มึงๆ มึงว่า…ไอ้เตี้ย… แบบไอ้เตี้ยเนี่ยมึงชอบหรือเปล่า!!” “เออสิ!! ฉลาด เก่ง ดูดี แล้วก็สุภาพด้วย เป็นใครก็ชอบแหละ” ผมนึกภาพพี่ร็อคเก็ตแล้วพูดถึงอย่างทั่ว ๆ ไป พลางนึกถึงคำพูดและท่าทีของพี่ร็อคเก็ตก่อนหน้านี้ จนรู้สึกเขินอายไปเลย ไม่คิดว่าจะเจอพูดใส่แบบนี้ต่อหน้า แต่อากัปกิริยาของไอ้คนเถื่อนกลับต่างออกไป ผมคิดว่ามันคงจะกร่นด่าอะไรออกมาเสียจนผมหมดอารมณ์จะคุยกับมัน ทั้งๆ ที่พี่ชายออกจะแสนดีขนาดนี้ “มึงชอบแบบนั้นเหรอ?” ”???” ผมอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าและการแสดงออกของมัน หน้าตาที่ซีดเซียวนั่นคิดหนักและนิ่งเงียบไปพักใหญ่ “งั้น….กู…เอ้ย เราจะทำตัวให้ดีขึ้นให้นายรู้สึกชอบเราจริง ๆ ให้ได้!!” ถ้อยคำที่สุภาพอ่อนโยนออกจากคนที่ดิบเถื่อนแบบนั้น ยิ่งตอนนี้แฝงไปด้วยอารมณ์หดหู่ในน้ำเสียง มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกและคิดในใจอย่างตะโกนว่า “มึงเป็นใครวะเนี่ย!?!?” ……………..
:angry2: :serius2:
…………….. เช้าตรู่ที่ห้องป่วยวีไอพี ที่เรียกได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนสบายนัก ทั้งมีเรื่องที่ต้องคิดมากอย่างท่าทาง และคำพูดสุภาพของไอ้คอปเตอร์ และคำปฎิญาณแปลกๆ ของมันอีก นับว่ามีแต่สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างในวันเดียว และที่สำคัญ เมื่อคืน หนาวมาก แถมปรับอุณหภูมิไม่ได้อีก ผมสะดุ้งตื่นเพราะความหนาวเย็นหลายรอบมาก แต่ผมเดาว่าไอ้คนป่วยคงนอนสบาย ผมลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางคิดว่าอากาศรอบๆ ตัวมันอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อผ้าห่มที่ผมห่มอยู่มันมีมากกว่าหนึ่งผืน ผมค่อยๆ หยิบชั้นของผ้าห่มบางๆ ของโรงพยาบาลออกมาทีละชั้นเหมือนจะนับชั้นของมันอย่างประหลาดใจ พลางทบทวนว่า เมื่อคืนมันไม่ได้มีเยอะขนาดนี้ สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นให้หมดไปเพราะจำไม่ได้จริง ๆ ผมยึดเหยียดลุกขึ้นสุดความสูงของตนเอง สายตาก็ไปจรดกับภาพแปลก ๆ บนเตียงคนไข้ ไอ้คอปเตอร์นอนขดและกอดตัวเองคุดคู้อย่างกับกุ้งที่โดนความร้อน หน้าตาซีดเผือดลงกว่าเดิมมาก ผมตกใจมาก เพราะในที่สุดก็รู้ว่าไอ้ปึกผ้าห่มเหล่านั้นมาจากไหน รู้ตัวอีกทีผมก็หยิบเอาผ้าห่มทั้งหมดที่มีมาห่มคลุมมันทั้งตัว ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนจะรู้สึกตัวตื่นแล้ว จึงได้ลืมตาหันมามองทางผม แล้วยิ้มด้วยปากซีดๆ นั่น “ไอ้บ้า มึงไม่สบายนะ อยากตายหรือไง ทำไมถึงไม่ทำให้ตัวเองอบอุ่น!!” ผมตะคอกใส่มันแบบที่ตัวเองก็ไม่รู้เหตุผล “เราเห็นนายหนาวสั่นเพราะลมแอร์ฯ ก็เลยยกผ้าห่มให้ เราชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว เลยไม่ต้องการเท่าไหร่” ผมไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่ามันเอาผ้าห่มให้ผมทั้งๆ ที่ยังมีสายน้ำเกลือต่ออยู่กับมือยังไง ผมได้แต่ต่อว่าถึงความไม่รู้จักคิดของมัน มันอยากให้ผมเป็นฆาตรกรหรือไง!! ไอ้คอปเตอร์ที่ตอบรับอย่างอ่อนเพลียและรอยยิ้มซีดๆ ที่สุภาพของมันทำให้ผมหมดอารมณ์ที่จะต่อว่ามันภายใน 1 นาที “ยังหนาวอยู่ไหม?” ผมถามเพราะความหน้าซีดของมัน “ไม่นะ” ปากกับสีหน้ามันตอบคนละเรื่อง ผมคว้ามือมันมาเพื่อพิสูจน์ ปรากฏว่า มือมันเย็นราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลายอยู่ในมือผม ตอนนี้คนที่รู้สึกหน้าซีดไม่ต่างกันก็คือผม “เอาผ้าห่มเพิ่มไหม? หรือให้กู เอ่อ….เราไปขอกระเป๋าน้ำร้อนให้ไหม?” รู้สึกว่าตนเองลนลานไปหมด “ไม่เอา” “จะบ้าเหรอ!! ตัวเย็นขนาดนี้แถมนายยังดูมีไข้นะ” “แค่นายเปลี่ยนสรรพนามคุยกันเราแบบนี้ เราก็ดีขึ้นแล้ว” “อย่ามาตลก!! งั้น…” ผมตัดสินใจผละมือออกจากมันและพยายามจะเดินออกไปหาความช่วยเหลือที่เคาเตอร์พยาบาล แต่ก็ถูกมือเย็นๆ นั่นรั้งไว้อย่างอ่อนแรง “ตัวมึงอุ่นดี มานอนด้วยกันสิ” “???????” ผมคือนิ่งไปพักใหญ่ รู้สึกในหัวสมองมันอื้ออึงไปหมด ใจหนึ่งก็บอกว่า มันดันโง่เองถึงได้ป่วยหนักกว่าเดิม อีกใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่มันทำดีด้วยขนาดนี้จนอาการทรุด สุดท้ายผมก็ยอมแพ้กับสายตาแมวป่วยของมัน ผมขยับเข้าไปใกล้และค่อยวางตัวเองลงบนพื้นที่ว่างอันน้อยนิดบนเตียงคนไข้ อีกฝ่ายเจ้าของเตียงดูท่าจะไม่เต็มใจที่จะให้ผมแย่งพื้นที่บนเตียง มันแทบไม่ขยับออกห่างแต่กลับอ้าแขนกว้างรับร่างบางๆ ของผมไปไว้แนบบนส่วนหนึ่งของร่างกาย พอเข้าที่เข้าทางคนป่วยก็รวบผืนผ้าห่มที่มีบนเตียงคลุมร่างของเราทั้งสองคน และใช้แรงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดในการกระชับพื้นที่ช่องว่างระหว่างกันและกันให้หมดไป ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของตนเองกำลังแลกเปลี่ยนความเย็นเยียบของอีกฝ่าย ไม่นานผมก็รู้ว่าคนป่วยได้เข้าสู่ห้วงฝันจากการที่ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่แรงที่รวบกอดร่างของผมนั้นยังคงแน่นหนาเท่าเดิม ผมเองก็เหมือนจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่กล้าขยับเพรากลัวอีกฝ่ายจะตื่น อีกอย่างตรงนี้ก็อุ่นสบายดี ผมก็เลยบอกตัวเองให้พักอยู่ตรงนี้สักระยะ ว้าย…!!!! เสียงแหลมเล็กที่อุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากปลายเตียง ไม่ใช่ภูติผีวิญญาณหรือใดๆ แต่เป็นนางฟ้าในชุดขาว มี่มีสีหน้าตกใจ และแดงกล่ำไปด้วยเลือดฝาด “ญาติที่มาเยี่ยมกับคนไข้จะนอนเตียงเดียวกันไม่ได้นะคะ!!” พยาบาลเจ้าของไข้ ร้องโวยวายแต่ก็จ้องมองผมกับไอ้คอปเตอร์ไม่วางตา “ไม่ใช่นะครับ คือ….ยังไงดี คือ เขาหนาว เขาไข้ขึ้น ผมก็เลย” พูดไปพลางรวบรวมแรงที่เหลือจากช่วงเวลาที่เพิ่งฟื้นจาการนอนหลับไปลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล ใช่ครับ ผมเผลอหลับ งงกับตัวเองเหมือนกันทำไมถึงนอนหลับอย่างสบายใจแบบนั้นบนเตียงแคบๆ แบบนั้น “หากเป็นแบบนั้นก็ควรติดต่อพยาบาลนะคะ ไม่ใช่มาทำอะไรแบบนี้!! หากเป็นอะไรขึ้นมาจะดูแลไม่ทันการณ์นะคะ!!” น้ำเสียงที่ออกไปทางแนวดุและต่อว่า แต่สีหน้ากลับแฝงรอยยิ้มซึ่งทำให้ดูขัดๆ ไปหมด ผมขอโทษขอโพยอย่างต่อเนื่อง รีบลยลานลงจากเตียง ในขณะที่พยาบาลทำการตรวจวัดสัญญาณชีพประจำวัน ส่วนคนไข้กลับยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่มันรู้สึกตัว “ดีนะคะที่ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวสายๆ จะมีคุณหมอมาตรวจเยี่ยมอีกรอบนะคะ หากไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็น่าจะ Discharge ได้คะ” คราวนี้พยาบาลทำหน้าเข้มใส่ ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษ ทั้งรู้สึกผิดและอาย ต่างจากไอ้คนป่วยที่นอนยิ้มมีความสุขเหมือนคนไม่ได้ป่วยอะไร “แล้วก็ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่โรงแรม หากจะรักกันขนาดนี้ก็ไปเช่าโรงแรมดีๆ เถอะนะคะ” พูดจบเธอก็มองมาที่คอของผมอย่างอายๆ แล้วก็เดินจากไป ผมลูบไล้คอไปทั่ว อย่างงงๆ สุดท้ายก็รีบวิ่งไปที่กระจกในห้องน้ำ แล้วก็พบว่าคอตัวเองแดงเป็นจ้ำๆ หลายรอย ผมขบฟันกรอดแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเกรี้ยวกราด “ทำไมนายทำแบบนี้!!” ผมชี้ไปที่รอยแดงตามคอ “แบบไหน?” “เราอยู่กันสองคนในห้องแล้วจะให้ไปถามใคร?!?” ผมโมโหจนไม่สนแล้วว่ามันป่วยหรือไม่ “อ้อ….ก็นาย นอนอ่อยเราขนาดนั้น ใครจะไปอดใจกับคอขาว ๆ เกลี้ยง ๆ แบบนั้นได้ แล้วนายก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ” “กูนอนหลับไหมล่ะ!!” พูดพลางมองไปที่เงาที่บานตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อินอีกทิศหนึ่งเข้า ก็ไม่แปลกใจที่มันจะคิดว่าผมอ่อย เสื้อยืดโอเวอร์ไซส์หลวมโครก คอเสื้อใหญ่เผยให้เห็นถึงช่วงเนินอก และเปิดไหล่ไปกว่าครึ่ง กางเกงขาสั้นที่สั้นมากจนแทบมองไม่เห็นชายกางเกงโผล่พ้นปลายเสื้อขนาดใหญ่ ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าจะเอาความโกรธนี้ไปลงที่ใคร ไอ้เชี้ยไตเติ้ล!! ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก!! หลังจากที่พยาบาลขอตัวออกไปไม่ถึง 5 วินาที พี่ชายสุดเนี๊ยบของไอ้คนป่วยก็เดินเข้ามาด้วยชุดสูทอาร์มานี่สีครามครบชุด ผมที่อยู่ในสภาพเหมือนคนที่นอนตามป้ายรถเมล์ได้แต่ก้มมองตัวเองอย่างอาย ๆ “โอโห.. ไม่นึกว่าจะมาเจอวินในสภาพนี้เลยนะ” พี่ชายสุดหล่อเอ่ยทักพลางอมยิ้มและมองอย่างสำรวจ “สภาพมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ?” ผมขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น “ไม่หรอกน่ารักดี” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนเหมือนห้องสว่างไสววูบหนึ่ง ผมยอมรับว่าไม่เคยเจอพี่ร็อคเก็ตในสภาพนี้ ผมถึงกับมีอาการเขินกับคำชมจากชายที่ผมชื่นชมมาตลอด “มึงมีธุระอะไร!!” คนป่วยบนเตียงเสียงแข็ง “พี่ชายมาเยี่ยมน้องชายก็ถือว่าปกติไหม? แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอภาพที่หายากแบบนี้!!” พูดจบประโยคก็มองมาที่ผมแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ผมประหลาดใจมาก ไม่คิดว่า คนอย่างพี่ร็อคเก็ตจะมีมุมนี้ด้วยเหมือนกับหลังจากประโยคนั่นในวันนั้น เหมือนไปเปิดผนึกอะไรสักอย่างที่ทำให้พฤติกรรมเขาเปลี่ยนไป “หากเป็นคนอื่นน่ะใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่างมึง!!” ผมเข้าใจนะเรื่องราวระหว่างสองคน แต่ไอ้คอปเตอร์ก็ไม่คิดจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไร? “ได้ยินว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนี่ จะได้เลิกรบกวนเพื่อนเราเสียที!!” “รู้แล้วก็รีบคาบข่าวไปบอกแม่ ตามประสาเด็กขี้ฟ้อง แล้วก็รีบออกไปได้แล้ว มันเป็นก้างขวางคอ คนกำลังเข้าได้เข้าเข็ม!!” “พ่องมึงสิ พี่เขาเข้าใจผิดกันพอดี!!” “ไม่ผิดหรอก หลักฐานก็มีให้เห็น!!” ผมนึกได้ก็ใช้มือบิดร่องรอยที่ไอ้คนป่วยฝากไว้ตลอดทั้งช่วงคอ คนที่มองตามไอ้คอปเตอร์ก็คือพี่ร็อคเก็ต พลางมีสีหน้าหวั่นไหวกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของไอ้คนปากเสีย แม้มันจะไม่ได้โกหกแต่ผมไม่ได้เต็มใจนี่หว่า “ไอ้สัด!!” ผมมองค้อนมัน “เข้าใจผิดแล้วครับพี่ คือ” ผมรีบหันไปอธิบาย “เมื่อเช้ามึงก็นอนอยู่แล้วเตียงกันกับกู มีคุณพยาบาลเป็นพยานหรือมึงจะเถียง” “ไอ้ๆๆๆ” มีคำด่าอยู่ในใจเป็นล้านคำ แต่ก็เกรงใจสุภาพบุรุษในห้อง “ไม่ต้องอธิบายหรอก!!” พี่ชายคนสุขุมกล่าว “เห็นไหม ไอ้เตี้ยนี่ยังเข้าใจ!!” “พี่หมายถึง คงไปตกหลุมพลางอะไรของเจ้าคอปเตอร์เข้าก็เลยโดนข่มเหงสินะ ไม่เป็นไร พี่รู้จักนิสัยน้องตัวเองดี” เป็นคำอธิบายที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย ดีจังที่พี่เขาเข้าใจถูกต้องแล้ว!! ไอ้คอปเตอร์หน้าบูดเดาะลิ้น สีหน้าพร้อมที่จะลงจากเตียงเพื่อเหวี่ยงกำปั้นใส่พี่ชายตนเอง แต่สุขภาพไม่อำนวยสุดท้ายก็ได้แต่นั่งกัดฟันอยู่บนเตียง “ว่าแต่….. พี่ว่า….. ” สายตาและคำพูดแบบเขินๆ ของพี่ร็อคเก็ตทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ผมขอตัวแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ใช้เวลาไปหลายนาทีพอควรเพราะความไม่คุ้นเคยสถานที่ และก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ผมเพิ่งนึกออกว่า ผมแขวนเสื้อผ้าตัวเก่าที่ใส่มาเยี่ยมไข้ไว้ที่ตู้เสื้อผ้า ลังเลอยู่พักใหญ่ก็รีบเดินออกมาเพื่อที่จะไปนำชุดออกมาใส่ ก่อนออกจากห้องน้ำก็สำรวจตัวเองยกใหญ่และคิดว่าชุดคลุมอาบน้ําน่าจะเพียงพอ ยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน คงไม่เป็นไร ทันทีที่ผมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำเท่านั้น ผมก็พบกับสายตาสองคู่ที่จ้องผมอย่างไม่วางตาไปจุดอื่น คนหนึ่งจ้องเหมือนกับจงอางกำลังจะตะครุบเหยื่อ อีกคนต้องเหมือนกับเจอลูกแมวที่ถูกใจอยากเลี้ยง ผมคงไม่ต้องบอกว่าใครจ้องมองแบบไหน เพราะหากผมไปเล่าให้ไอ้ไตเติ้ลฟังก็คงเดาได้ไม่ยาก สายตาสองคู่นั้นทำให้ผมเสมือนเปลือยร่างกายให้เขาทั้งสองได้มองอย่างหน่ำใจ ผมก็รู้นะว่าชุดคลุมมันอาจจะเล็กและสั้นกว่าขนาดและส่วนสูงของผม ทำให้ส่วนเนื้อหนังมันเผยออกมาเยอะกว่าเสื้อคลุมอาบน้ำแบบที่โรงแรมทั่วไปเขาให้บริการกัน อย่างน้อยผมก็มีเรื่องที่ต้องร้องเรียนกับโรงพยาบาลแห่งนี้แล้วล่ะ ผมรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าตนเองที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก “เอานี่พี่เตรียมมาให้” ผมที่ถือเสื้อผ้าตัวเองที่แขวนอยู่มองไปที่ถุงกระดาษสีขาวขนาดใหญ่หรูหรา ซึ่งถูกยื่นมาให้โดยผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่า “พี่ให้เขาซักรีดมาให้แล้ว น่าจะใส่ได้พอดีนะ” คนที่ยื่นให้ยิ้มหวาน “ผมรับมาแบบงง ๆ พลางสำรวจของที่ได้รับมา เป็นชุดลำลองยี่ห้อเดียวกับเสื้อผ้าของคนที่ยื่นให้ ขนาดที่วัดจากสายแล้วก็คิดว่ามันเป็นไซส์ผมแน่นอน ที่สำคัญมันดูใหม่มาก “ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” มันแพงไป ผมคิด “ไม่เป็นไร ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเฝ้าไข้น้องพี่ไง แล้วก็วันนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ลาไว้ให้แล้ว” ไม่เป็นไรครับ ผมกะว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแล้วก็จะรีบไปทำงาน ผมบอกพี่ท้อปไว้แล้วครับว่าจะขอเข้าสาย” พี่ร็อคเก็ตก็ยังยืนยันให้ผมลา แต่สรุปว่าผมดื้อกว่ามาก โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ผมต้องยอมเรื่องที่จะใส่ชุดลำลองที่พี่เขาซื้อให้ไปทำงาน สุดท้ายผมก็ต้องนั่งรถพี่ร็อคเก็ตมาทำงานด้วยกัน! วันที่คนทั้งแผนกมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เกือบตลอดทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ผมเตรียมใจมาแล้ว แต่มันก็ยังทำใจลำบากอยู่ดี จะไม่แปลกได้อย่างไร ก็ในเมื่อ 1 ผมใส่ชุดลำลองมาทำงาน 2 ผมเดินมากับผู้บริหารระดับสูง ที่เดินมาส่งผมถึงที่โต๊ะแถมคุยด้วยอย่างสนิทสนม ทุกคนจะมองผมด้วยสายตาแบบนั้นก็ไม่แปลก ผมพยายามไม่สนใจพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เอาใจ เอาสมองไปคิดเรื่องงานอย่างเต็มที่แต่ไม่วายว่า เรื่องเผือกร้อนของคนในออฟฟิศก็เดินทางมาเสิร์ฟที่ผมถึงที่ พี่ท้อปเดินเข้ามามอบหมายงานให้เหมือนเคย แต่ที่ต่างจากเดิมคือรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ที่ยากจะบอกได้ถึงความรู้สึกของเขา แต่ที่รู้แน่ๆ คือ พี่ท้อปมีเรื่องติดค้างในอกที่ต้องการจะสอบถาม! “พี่จะถามอะไรก็ถามมาเหอะ” เป็นผมที่ทนไม่ไหวเสียก่อน “แหม….เหมือนเข้ามาอยู่ในใจพี่เลยนะ ไม่ได้สิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดพี่จะแย่เอา” พี่ท้อปทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก “พี่ท้อป อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ผมไม่ขำด้วยเลยนะ” ผมรู้สึกผิดเลยที่ทักเขาก่อน “สรุปว่ายังไง คนน้อง หรือ คนพี่?” “แย่ลงกว่าเดิมอีกพี่!!” ผมโพล่งความรู้สึกออกไปตรงๆ “เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ ไอ้คำถามนี้พี่หญิงโต๊ะข้างๆ พี่ฝากมา” พี่ท้อปมีท่าทีกระวนกระวายแก้ตัวพัลวัน คงจะกลัวผมโกรธจริง ๆ ผมผ่อนลมหายใจออกมาหมดปอด แต่ความหนักอึ้งในอกไม่ได้หายไปไหน บอกได้เลยผมเองก็ไม่รู้อะไร พอๆ กับพวกพี่ ๆ เขานั่นแหละ “คือ ….พี่รู้ว่าเราลำบากใจนะ จะไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังก็ได้ แต่ถ้าเล่าออกมา มันอาจจะช่วยให้เราผ่อนคลายลงบ้าง แล้วก็…. ช่วยบรรเทาทุกข์จากต่อมเผือกของพวกพี่ ๆ ด้วย” พี่ท้อปหว่านล้อม ฟังแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า “นี่เหมือนผมนินทาเจ้านายหรือเปล่าเนี่ย?” ผมเอ่ยขึ้น “ไม่หรอกๆ เขาเรียกว่า…. ระบายน่ะ ระบายให้พี่ฟังดีกว่า” ผมคิดทบทวนอยู่พักใหญ่สุดท้าย ผมเลยตัดสินใจตอบไปว่า ไม่รู้ ไม่แน่ใจดีกว่า' เพราะไม่อยากให้กระทบอะไรกับการฝึกงานของผม อีกอย่างหากพี่ ๆ กลุ่มนี้รู้เข้า ผมว่า พี่เอก ที่แอบชอบไอ้คอปเตอร์ รู้ถึงหูเขาด้วยแน่นอน ไม่เสี่ยงดีกว่า หลังจากโดนเซ้าซี้อยู่นานจนเวลาเลิกงาน ผมถึงได้เป็นอิสระ เพราะพี่ร็อคเก็ตเดินมาอาสาไปส่งผมกลับห้องพัก แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เกรงใจจนขัดไม่ได้ สุดท้ายผมก็เก็บของเดินออกจากห้องพร้อมกับพี่ร็อคเก็ต ท่ามกลางสายตาคนทั้งแผนก นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!?!?! ผมตะโกนโหยหวนในใจ เช่นเดิม ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พี่ร็อคเก็ตเดินลงจากรถมาส่งผมถึงด้านหน้าหอพัก และอาสาจะเดินไปส่งผมถึงหน้าประตูห้อง ผมรีบปฏิเสธพลางคิดว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยแปลกประหลาดชะมัด แต่พี่ร็อคเก็ตกลับตอบว่า อยากไปดูห้องที่น้องชายอาศัยอยู่ตอนนี้อยากให้ผมช่วยพาไปหน่อย สุดท้ายผมก็ยอมเพราะรอยยิ้มและคำขอร้องอย่างสุภาพจนผมใจอ่อน (แพ้ว่ะ)
:hao7:รอๆ สนุกดี อ่านเพลินมาก
:laugh: o18
บทที่ 9 Trapped ผมเดินพาพี่ร็อคเก็ตมาจนถึงหน้าห้องพักของน้องชายของเขา ผมสงสัยจึงอดถามไม่ได้ว่าพี่ร็อคเก็ตมีคีย์การ์ดสำหรับเข้าห้องหรือไม่ และแล้วคำตอบก็เดินทางมาถึง ผู้ดูแลหอพักเดินนำคีย์การ์ดมาให้ถึงที่ และมีท่าทางนอบน้อมมากกว่าทุกครั้งจนผมอดสงสัยไม่ได้ “บังเอิญว่า เพื่อนพี่เป็นเจ้าของที่นี่น่ะ ที่พี่รู้ว่าน้องชายพี่พักที่นี่ก็เพราะเพื่อนพี่มันบอกนี่แหละ!! ก็ไม่แปลกใจนะ ที่มันจะได้ห้องเร็วขนาดนี้ มันก็สนิทกับคนง่ายอยู่นะ” พี่ร็อคเก็ตตอบคำถามตามที่สีหน้าของผมตั้งคำถามไว้เรียบร้อย “ไอ้คอปเตอร์เนี่ยนะ?!?” ผมทำสีหน้าไม่เชื่อจนออกนอกหน้า “ใช่ คงเพราะทุกคนที่มันสนิทด้วยเป็นแฟนเก่าพี่ทุกคนล่ะมั้ง!!” “เลวแล้ว!!” พูดมาถึงจุดนี้ผมรู้เลยที่พี่ร็อคเก็ตยังโสดก็เพราะไอ้น้องชายนิสัยทรามนี่เอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นแผนบุคคลที่สาม แต่แปลกที่พี่ร็อคเก็ตยังใจเย็นอยู่อย่างนี้ “ก็….ของที่มันใช่…..มันก็ต้องเป็นของเรา อย่างน้อยพี่ก็จะได้รู้ว่าใครจริงใจและจริงจังกับพี่….” รอยยิ้มที่ท้ายประโยคของพี่ร็อคเก็ตทำให้ปวดใจจี๊ดขึ้นมาทันใด “ฟังแล้วขึ้นเลย!!” ผมยู่คิ้วขมวดจนเกร็งไปทั้งศรีษะ “อย่าคิดมาก พี่ไม่โกรธมันหรอก พี่ว่ามันเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้าย มันก็บอกทุกคนว่าคิดแค่พี่น้อง หน้าตาอย่างน้องชายพี่ใครจะหลงก็ไม่แปลก!!” “ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ!!” คนเชี้ย ๆ อย่างมันต้องโดนลงโทษ ผมคิดต่ออย่างหยาบคาย ผมตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า หากมันไม่เจ็บปวดปางตายไม่ใช่ผม “ไม่เอาน่า อย่าไปเครียดแทนพี่สิ” พี่ร็อคเก็ตหันมายกมือขึ้นมาใช้นิ้วโป้งและชี้นวดคลึงที่ระหว่างคิ้วของผมอย่างนุ่มนวล แม้จะตกใจจนตัวแข็งทื่อแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากยิ้มอ่อนส่งไปให้อย่างประหม่า “อ่ะ! โทษทีนะพี่เผลอทำตัวตามสบายไปหน่อย ลืมไปว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่รู้เป็นไง พี่รู้สึกสนิทกับเราเหมือนรู้จักกันมานานเลย” ผมหัวเราะในลำคอแห้งๆ ของผม ประหม่าจนแทบอยากจะแทรกพื้นหนี หลังจากตั้งสติได้ ผมเลยเตือนให้พี่ร็อคเก็ตใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปทันที บรรยากาศประหลาดๆ เกิดขึ้นชั่ววูบหนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูของห้องพัก ทำให้ผทรู้สึกร้อนหน้าวูบวาบไปหมด แต่ก็บรรยากาศนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยภาพของห้องพักตรงหน้า เพราะแทบจะไม่มีข้าวของอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ของห้องพัก เสื้อผ้าที่จัดเก็บเรียบร้อยแต่บางเบาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ไม่มีหนังสือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ นอกจากโทรทัศน์ซึ่งเป็นของห้องพัก “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนอย่างไอ้คอปเตอร์มันจะอยู่แบบนี้ได้!!” พี่ร็อคเก็ตพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจปนอยู่ในสีหน้า จนกระทั้งพี่ชายมาดเนี๊ยบของเจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็น ก็ต้องประหลาดใจอีกรอบที่กลับมีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมากอยู่เต็มตู้ แต่ไม่มีน้ำดื่มสักขวด “นึกว่าอย่างน้อยจะมีน้ำสักขวด ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดคาดเลย” พี่ร็อคเก็ตถึงกับถอยหลบให้ผมเห็นของที่วางอย่างไร้ระเบียบในตู้เย็น “หากพี่อยากดื่มน้ำไปดื่มที่ห้องผมได้นะครับ” ผมเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับภาพตรงหน้า แต่ก็ไม่วายทำตัวมารยาทดีเช่นเคย “อืม…. ก็ดีนะ” อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตก็ยิ้มร่าทันทีจนผมอดแปลกใจไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันหรอกนะ และแล้วเราสองคนก็ย้ายมาที่ห้องของผมซึ่งเดินออกจากห้องเดิมเพียงไม่กี่อึดใจ “จัดห้องได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากเลยนะเนี่ย” ผู้ใหญ่เอ่ยชมทันทีที่มองสำรวจจนทั่วด้วยใบหน้าชื่นชม “มันจะดีกว่าครับ หากน้องชายพี่มันไม่อพยพมานอนทุกวัน จนผมเก็บห้องไม่ไหวแล้ว” “นี่แปลว่ามันมาค้างที่ห้องวินทุกวันเลยสิ ถึงว่าสิ! นี่แปลว่าพวกเรา……” สีหน้านั่นรู้เลยว่าพี่ร็อคเก็ตคิดอะไรอยู่ “ไม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงแค่นั้น” ปากแม้จะพูดแบบนั้นแต่ในหัวก็อดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่โดนเอาเปรียบไม่ได้ ผมกำหมัดแน่น “ทำไมยิ้มแปลกๆ?” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทัก ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง และเชิญให้พี่เขานั่งและหาน้ำมาให้ดื่มทันที ห้องอพาร์ตเมนต์ของผม มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก เก้าอี้สำหรับนั่งดีๆ จึงมีอยู่ไม่กี่ที่ ผมจึงได้ยกเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือให้พี่ร็อคเก็ตนั่งเพราะคิดว่าเป็นจุดที่นั่งสบายที่สุดของห้องแล้ว (ถึงแม้จะเก่าไปนิด) ส่วนผมหลังจากนำแก้วน้ำดื่มเย็นๆ จากในตู้เย็นไปวางที่โต๊ะหนังสือ ผมก็พาตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงนอนไม่ไกล บรรยากาศนิ่งๆ เหมือนน้ำในบ่อปลา เพราะผมเองก็ไม่ได้สนิทพอที่จะมีเรื่องพูดคุยอะไรกับพี่ร็อคเก็ต จึงได้แต่มองหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายที่พยายามสำรวจทุกมุมห้องของผมอย่างตั้งใจ “อ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ?” พี่ร็อคเก็ตพูดพลางใช้นิ้วช้อนสันหนังสือสีน้ำเงินอ่อนออกมาด้วยรอยยิ้ม เหมือนเจอขุมสมบัติที่หามานาน “7 Habits เหรอครับ ใช่ครับคือ ผมว่ามันดีนะครับ แล้วก็ไม่ outdated ด้วยครับ” ผมตอบกลับทันทีเพราะต้องการทำลายบรรยากาศนิ่ง ๆ นี้พอดี “ไม่น่าเชื่อว่า เด็กรุ่นเราจะอ่านอะไรแบบนี้ด้วย!!” พี่ร็อคเก็ตพูดพลางกรีดหน้ากระดาษไปมา เหมือนกำลังจะหาอะไรสักอย่างมากกว่าตัวหนังสือ “ผมว่ามันเป็นหนังสือที่ช่วยเรื่องพัฒนาตนเองดีนะครับ” ใจที่กำลังจะเริ่มพูดคุยถึงเนื้อหาในหนังสือกับผู้มากด้วยความสามารถอย่างนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง บางอย่างในเล่นหนังสือที่ใช้สำหรับคั่นหน้ากระดาษไว้ก็หล่นร่วง ปลิวลงมาวางอยู่ที่พื้นด้านหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนจงใจให้เห็น ผมรีบก้าวไปคว้าไว้ตามสัญชาตญาณ แต่อีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วเสียงของกระดูกศรีษะของคนสองคนก็ชนกันจนผมได้ยินเสียง ‘วิ้งๆๆๆ’ ในหู ผมล้มลงไปพับอยู่ที่พื้นพลางกุมศรีษะแน่น พี่ร็อคเก็ตเองก็ไม่ต่างกัน “หัวแข็งเหมือนกันนะเรา เป็นไรไหม?” พี่ร็อคเก็ตปิดตาข้างหนึ่งจากการเจ็บปวด แต่ก็ยังมีน้ำใจถามอาการผม ผมส่ายหน้า พลางพยุงตัวขึ้นมาพร้อมกับภาพถ่ายภาพหนึ่งในมือ “รูปเราสมัยเด็กเหรอ พี่ขอดูหน่อยได้ไหม?” พี่ร็อคเก็ตตาไวมาก ผมลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะยื่นให้พี่ร็อคเก็ตดู “นี่มัน…ชุดนักเรียนของ…อืม.. วินอยู่โรงเรียนเดียวกับคอปเตอร์เหรอ? แล้วนี่น้องพี่มันรู้หรือยัง?” “ไม่รู้ครับ ไม่รู้ พี่อย่าไปบอกนะ คือผม… อยู่ไม่ถึงเรียนจบหรอกครับ มีเรื่องต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.5” ผมรีบตอบกลับพลางโบกไม้โบกมือในอากาศ เหมือนพยายามปัดความคิดของพี่ร็อคเก็ตเรื่องนี้ออกไปไกล ๆ “เรานี่ก็แปลกนะ? แปลว่าวินก็ต้องรู้จักคอปเตอร์อยู่แล้วสิ ใช่ไหม? เพราะจำได้ว่าสมัยนั้น เจ้าคอปเตอน์นี่ตัวท้อปเลย” “เรื่องเกเรล่ะสิ!!” ผมเผลอตอบโต้ไปโดยอัตโนมัติ พี่ร็อคเก็ตยกยิ้มมุมปากกับกริริยาของผม ผมเห็นดังนั้นจึงรีบกลับไปนั่งเข้าที่ “ได้ยินแบบนี้นี่ คิดถึงช่วงนั้นเลยนะ เพราะพี่ต้องไปเรียนต่างประเทศก็เลย ไม่ค่อยอยู่กับน้องชายตัวเองเท่าไหร่ช่วงนั้น แต่ได้ยินข่าวว่า เกเรไม่น้อยเลย แต่ถึงเป็นแบบนั้น การเรียนก็ไม่ตกนะ แม่พี่ก็เลยไปต่อว่าอะไรเยอะไม่ได้…..” พี่ร็อคเก็ตเหมือนตกอยู่ห้วงลำรึกความหลังและต้องสะดุดหยุดลงเพราะสายตาที่จ้องมองพี่เขาอย่างตั้งใจของผม “ขอโทษทีนะ พออายุเริ่มเยอะก็เลยเผลอนึกเล่าเรื่องเก่า ๆ ไป” “ไม่เป็นไรครับ ผม….ก็อยากรู้เรื่องของคนที่จะมาจีบผมหน่อยเหมือนกัน” ความจริงผมรู้ดีเลยล่ะ แต่อยากฟังจากมุมมองคนอื่นด้วย เผื่อจะมีอะไรไว้แก้เผ็ดมันเพิ่ม “นี่.. เราไม่รู้จักคอปเตอร์จริงๆ เหรอ?” “จะบอกไม่รู้จัก ก็ตอบได้ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่าผมกับมันไม่เคยคุยกันก็พอครับ ผมเป็นกลุ่มเด็กเรียนน่ะครับ ไอ้คอปเตอร์มันพวกกลุ่มเด็กป้อป” ใครจะไปกล้าบอกว่าที่ไม่อยากสนิทด้วยเพราะเจอมันแกล้งทุกวัน!! “วินทำให้พี่นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งเลยนะ” พี่ร็อคเก็ตโยกไหล่อย่างผ่อนคลายและเริ่มพูดต่อ ผมได้แต่ทำสีหน้างุนงงกับท่าทางนั่น “เรื่องคนที่มันแอบชอบ แต่ก็ดันไปสนิทกับเขาแบบแปลกๆ จนเขาย้ายโรงเรียนหนีไง! นึกแล้วก็ขำที่มันเล่าให้แม่ฟัง ได้ยินว่ามันซึมไปเป็นเดือนเลยนะ” หลังจากฟัง ผมรู้สึกหน้าชาไปพักใหญ่ เหมือนหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหวีดวี้ ไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงออกทางสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่ว่าพี่ร็อคเก็ตถึงขั้นหันมาสนใจผมอยู่พักใหญ่ “อึ้งนะเนี่ย ไอ้เด็กเกเรแบบนั้น ไม่เคยได้ข่าวเลยว่ามันชอบใคร?” ผมเฉไฉ ไปเรื่องต่อไปก่อนที่จะหลุดโป๊ะ “เกเร อืม….นึกถึงช่วงตอนนั้น พี่เองก็ผิดนะ โตมาแล้วถึงได้คิดได้ กลายเป็นสงสารมากกว่า พี่สงสารเจ้าคอปเตอร์มันนะ ถึงว่าทำไมแม่พี่ถึงได้โอ๋มันขนาดนั้น” สีหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนเหินบินไปในความคิดอีกครั้ง “หมายความว่าไงครับ? ผมงงไปหมดแล้ว?” “พี่…ไม่เล่าเองดีกว่า อยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองนะ….ว่าแต่ วินคงไม่ใช่เด็กคนนั้นใช่ไหม?” “ไม่ๆ ไม่ใช่สิ ผมย้ายโรงเรียนเพราะต้องย้ายตามแม่ครับ คือ แม่ผมหย่ากับพ่อก็เลยต้องย้ายโรงเรียน อะไรประมาณนั้น!!” ผมนึกถึงคำพูดในนิยายเลยว่าจะโกหกให้เนียน ต้องมีเรื่องจริงแฝงไปด้วย ซึ่งก็จริง แม่ผมเลิกกับพ่อแล้ว และก็ย้ายบ้านกันไปไกลกว่าเดิม แต่ผมยังไม่ได้ย้ายโรงเรียนจนกระทั่งเกิดเรื่อง สีหน้าของพี่ร็อคเก็ตมีทีท่าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมุมปากยิ้มออกมา ในขณะที่พี่ร็อคเก็ตกำลังเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง เสียงสั่นของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาก็ดังขึ้น พี่ร็อคเก็ตตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะควานหาโทรศัพท์ในเสื้อสูทของตนเอง หลังจากอ่านชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอซึ่งกำลังส่องสว่างวูบวาบอยู่ พี่ร็อคเก็ตก็รีบขอตัวทันที ผมขออาสาไปส่งพี่ร็อคเก็ตที่รถแต่อีกฝ่ายรีบปฎิเสธ ผมจึงยืนยันว่าจะไปส่งถึงที่ลิฟท์ ระหว่างรับโทรศัพท์สายนั่น พี่ร็อคเก็ตก็ตอบกลับในสายเพียงคำว่า ‘อือ’ ‘ใช่’ ‘โอเค’ ได้ ๆ’ เท่านั้น หลังจากวางสาย ผมกับพี่ร็อคเก็ตก็มายืนรอหน้าลิฟต์แล้ว ผมไม่รู้หรอกว่า บทสนทนาในสายคุยอะไรกัน แต่เห็นพี่ร็อคเก็ตทำงานในระยะนี้มันช่างน่าประทับใจ ผมเผลอจ้องมองนานไปจนพี่เขาเอ่ยทัก “หน้าพี่มีอะไรไหม?” “ไม่มีอะไรครับ” เสียงแจ้งเตือนถึงการมาถึงของลิฟต์ดังขึ้น เป็นระฆังช่วยชีวิตผมพอดี ผมแก้เขินโดยการเดินเข้าไปในลิฟต์ และช่วยรั้งประตูให้อย่างการเป็นเจ้าภาพที่ดี แต่แทนที่พี่ร็อคเก็ตจะเดินเข้ามาเฉย ๆ เขากับขยับเข้ามาใกล้ผมทางด้านหลัง ใช้แขนสองข้างโอบผมแน่น และยกผมออกจากลิฟต์อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ผมน่าจะสูงกว่าพี่เขาเกือบสิบเซ็นติเมตร ผมเผลอร้องเหวอเพราะไม่คิดว่าจะโดนอุ้มออกมาแบบนี้ แถมยังไม่ยอมปล่อยอีก ทั้งที่ตัวผมออกมาพ้นลิฟต์แล้ว “ไม่ต้องมาส่งพี่แล้ว พักผ่อนเถอะ” เขาพูดก่อนปล่อยตัวผม เสียงมันใกล้หูผมมากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกระทบหู ผมถึงได้เงียบตอบเพราะกำลังตกใจ “ใส่น้ำหอมอะไรน่ะหอมจัง” คนพี่ยิ้มยิงฟันใส่ผม “เอ่อ….ครับ” หัวสมองขาวโพลนไปหมด สิ้นเสียงของผม พี่ร็อคเก็ตก็คลายมือออกจากผมแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ ผมโบกมือลากลับไปขณะที่ประตูลิฟท์กำลังเลื่อนปิดอย่างช้า ๆ ไอ้เชี้ย!!!! ผมสบถทันที่ประตูปิดสนิท ผมยกมือขี้นทาบอกเพื่อนับการเต้นของหัวใจที่สั่นระรัวไปหมด “ไอ้ที่พี่เขาบอกชอบเรามันเรื่องจริงหรือวะ?” ผมลงไปกองกับพื้นทันทีที่พูดจบ เรื่องมันจะซับซ้อนเกินมือผมไปเสียแล้ว …………
:pighaun: :haun4:
ผมวีดิโอคอลไปหาไอ้แพทย์เถื่อนเพื่อนสนิทตัวเองทันที หลังจากเล่าทุกอย่างให้ฟัง ผมก็รู้สึกว่าสีหน้ามันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนมันจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้ ที่น่าแปลกใจคือ อดีตของไอ้คอปเตอร์ที่ผมเล่าให้มันฟัง มันไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเหมือนที่ผมทำเสียเท่าไหร่ “มึงชอบพี่เขาหรือเปล่าล่ะ?” ไอ้แพทย์เถื่อนมันคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะถามออกมา “กู….ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยชอบใครมึงก็รู้ ที่ผ่านมามีคนเข้ามาหากูก็เยอะ แต่ไม่เคยที่จะรู้สึกเหมือนคนพวกนี้เลย!!” “คนพวกนี้? มึงหมายถึงพี่น้องสองคนนี้!!” “กูพูดงั้นเหรอ??!!” “กูได้ยินเต็มสองหู!! นี่อย่าบอกนะว่ามึงหลงรักเหยื่อตัวเอง?!” “รักเชี้ยอะไร แต่ แต่ กูก็รู้สึกคล้ายกันกับพี่ร็อคเก็ตนะ” “มึงแก้ตัวอะไร!?” ไอ้ไตเติ้ลมันยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “กูมาปรึกษามึงนะ ไม่ใช่มาล้อกู!!” “อืมมมมม กูว่า….. ก็ให้พี่กับน้องแข่งกันจีบมึงไปเลย ที่เหลือก็แล้วแต่มึง ใครดี ใครได้!!” “แล้วเรื่องที่มึงบอกให้กูแก้แค้นล่ะ!!” ผมเริ่มมีน้ำโหกับคำตอบของมัน “งั้น…… เอาอย่างนี้นะ ที่กูบอกแล้วแต่มึงก็คือ หากมึงเลือกพี่ชาย มึงก็ได้หักอกไอ้น้องชาย มึง win หากมึงเลือกที่จะชอบน้องชาย มึงก็ได้แก้แค้นให้มันมาเป็นแฟน เป็นเบี้ยล่างให้มึง มึงก็ win อีก! เป็นไง win-win situation แผนกู!” “จะแผนไหนกูก็เสียเปรียบ!! หากว่ากูไม่ได้ชอบใครเลยล่ะ!!” “งั้นมึงก็เลือกแผนแรก!!” “แบบนี้มันก็เหมือนไปหลอกพี่ร็อคเก็ตสิ สงสารเขานะ” “งั้นแล้วแต่มึงเลย กูรำคาญแล้ว ให้กูช่วยแต่มึงแม่งไม่เอาอะไรเลย มึงเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้วนะ” “ก็แค่หยุดป่ะวะ ยังไงกูก็ฝึกงานอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ แยกย้ายหายตัวจบ!!” “มึงนี่คิดง่ายนะ!! ขนาดมึงอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ไอ้คอปเตอร์ยังรู้หมด มึงคิดว่ามันจะจบง่ายแบบนั้นเหรอวะ!” ผมเงียบไปพักใหญ่ ครุ่นคิด และในที่สุดผมก็พยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายผมก็เหมือนขึ้นหลังพยัคฆ์ จะลงมาโดยไม่โดนพยัคฆ์ทำร้ายเลยคงไม่ได้ ไม่พยัคฆ์กับผมได้ตายกันไปข้าง!! ผมพึงพำกับตัวเอง “นี่มึงดูหนังจีนมากไปนะ!!” ไอ้หมอเถื่อนด่าผมก่อนที่จะขอตัววางสายไป ………..
:jul3: :laugh:
สุดท้าย ผมก็ยังสับสน ไม่สามารถเลือกได้สักแผนของไอ้เพื่อนสนิท ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ผมเลย มันไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้ว การแก้แค้นกับการรังแกใครมันไม่ใช่ตัวตนของผมเลย ผมคงได้แต่ทำตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยไปด้นสดเอา ยังไงมันก็ไม่เป็นไปตามแผนมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไงผมกับไอ้คอปเตอร์ มันคงเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แค่นึกถึงแล้ว ผมมองภาพผมกับมันคบกันจริงจังไม่ออกเลย ยิ่งเรื่องของหัวใจ คนไม่เคยมีแฟนอย่างผมจะไปรู้ได้อย่างไร หลังจากที่คิดได้ดังนี้ ผมก็เปิดประตูก้าวเท้าออกไปฝึกงาน สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากผ่านพ้นประตูห้องคือ ไอ้คอปเตอร์ที่ยืนหน้านิ่ง กอดอกแน่น จ้องหน้าผมเขม็ง ใจของผมหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ขาสั่นเล็กน้อย ยังไงก็ไม่เคยชินกับบรรยากาศแบบนี้เลย ผมเอ่ยทักทาย แต่แทนที่มันจะกล่าวทักทายตอบ มันกลับเดินสวนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าเขตพื้นที่ห้อง มันก็เดินสำรวจไปทั่วห้อง ไม่เว้นแต่ในห้องน้ำ “หาอะไร?” ไอ้คอปเตอร์ไม่ตอบ ได้แต่ยังคงหันรีหันขวาง มองหาอะไรอยู่ไปทั่วห้อง จนผมต้องถามซ้ำอีกหลายครั้ง “เมื่อวานวิน……” “ที่กลับห้องกับพี่ชายนายน่ะนะ โอย….. ขอร้อง เราไม่ได้ใจง่ายแบบนั่นนะ ยังไงเราก็คิดกับเขาแค่พี่ชาย!!” “จริงนะ!!” สีหน้าของไอ้คนที่แผ่รังสีอำมหิตเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสดใสทันที ‘เหรอ??’ ผมทวนกับตัวเองในใจ ทำไมเราพูดไปแบบนั้นวะ “ไปทำงานเถอะ จะสายแล้ว!” ผมตัดไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากคิดอะไรให้มันวุ่นวาย ตั้งแต่โปรเจ็คของพี่ท้อปจบ ผมก็แทบจะกลายเป็นคนล่องลอยประจำออฟฟิศ เพราะงานน้อยลงไปกว่าครึ่ง แต่ผมก็ถือว่าดีมากๆ เลยเพราะโปรเจ็คสุดท้ายสำหรับส่งเพื่อจบการศึกษานั้นจะได้ลงมือทำให้เสร็จเสียที ผิดแผกไปจากไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ ๆ ก็โดนพี่เอกเรียกตัวไปช่วยงานด้วยตั้งแต่ช่วงสายๆ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เจอมันเลย รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่ไม่มีคนมายุ่งวุ่นวาย เสนอความคิดเห็นกับโปรเจ็คของผมอย่างเคย ตอนแรกก็คิดว่าดีแล้วจะได้มีสมาธิในการทำงาน แต่กลับกัน การที่ไม่มีคนที่คิดต่างมาคอยเสริมเรื่องที่ตัวเองคิดเนี่ย มันก็มีอาการความคิดมันตีบตันเหมือนกัน กลับกลายเป็นว่า งานไม่คืบหน้าเสียอย่างนั้น ขณะที่ผมกำลังดำดิ่งไปกับความคิดเรื่องโปรเจ็คและการพิมพ์ร่างโครงงานไปเรื่อยเปื่อย อยู่ ๆพญาธิในกระเพราะก็ร้องดังลั่นห้อง ทำให้ผมต้องเหลือบมองนาฬิกาที่มุมขวาล่างของจอมอนิเตอร์ 12:12 pm ตัวเลขที่แสดงอยู่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย เพราะ หากเป็นช่วงแรกๆ อย่างน้อยก็จะมีพี่ท้อปและพี่ ๆ ในแผนก มาชวนไปกินมื้อเที่ยง แต่ตั้งแต่ผมเป็นลูกค้าประจำชั้น วีไอพี ซึ่งโดนไอ้คอปเตอร์ลากไปทุกวัน ก็ไม่มีใครมาทักชวนอีกเลย สิ่งนี้ควรจะโทษมันดีไหมนะ? คิดมาถึงตรงนี้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในแผนกอย่างโดดเดี่ยว ทุกคนต่างเดินออกไปกินมื้อเที่ยงกันหมดแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่าไอ้คอปเตอร์มันจะมาลากผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเสียที สุดท้ายผมก็ทนเสียงเรียกร้องจากท้องตัวเองไม่ไหวตัดสินใจลุกอยู่อกจากห้องไปหาอะไรเป็นมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานดีกว่า ผมที่กำลังรีบเร่งออกจากแผนก ไม่ทันระวังจึงเดินไปชนกับชายร่างเล็กคนหนึ่งเข้า “ขอโทษครับ ..ผม….” คนที่ผมเงยหน้ามาเจอคือชายหนุ่มใส่สูทสีกรมท่าที่ดูดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนในชีวิต “ไม่เป็นไรใช่ไหม?” “ครับ…. ขอโทษครับ ผมจะรีบไปกินข้าวน่ะครับ” “อ้าว!! ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ?” “เอ่อ….หมายถึงไอ้….เอ้ย…คอปเตอร์ใช่ไหมครับ? ผมไม่ทราบครับว่ามันหายไปไหน?” “วินก็เลยอยู่รอ?” “เปล่าครับ! คือผมทำงานเพลินไปหน่อย” “พี่ก็ยังคิดอยู่ว่า เราหายไปไหน ก็เลยเดินมาดูเสียหน่อย คนที่นี่เขาไม่มาชวนน้องๆ ฝึกงานไปกินข้าวกันเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกคิ้วข้างหนึ่งสูงขึ้นกว่าอีกข้างเล็กน้อย มีรอยย่นเล็กๆ เกิดขึ้นเหนือคิ้ว ที่ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย “อย่าไปตำหนิพี่ๆ เขาเลยครับ ก็ปกติผมมีไอ้คอปเตอร์พาไปโน่นนี่ตลอดก็เลยไม่มีใครกล้าน่ะครับ” “พูดเหมือนคิดถึงเลยนะ” “บ้าน่ะ ใครจะไปคิดถึงไอ้คนแบบนั้น!!” ”ล้อเล่นน่า ไป!! พี่พาไปกินข้าว!! ไม่ต้องทำหน้างง ไปกินกับพี่หน่อย วันนี้พี่กินคนเดียว มันเหงา” สุดท้ายผมก็ปฏิเสธไม่ได้ พี่น้องคู่นี้ก็เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ คิดว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ วันนี้ค่อนข้างเกร็งกว่าปกติเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคน ปกติผมจะมากับไอ้คอปเตอร์ ซึ่งทุกคนก็เริ่มจะชินชาและเริ่มจะพยายามหลีกเลี่ยงการมองมาที่พวกผมสองคนแล้ว แต่วันนี้มันต่างไป เพราะคนที่พาผมมากลับเป็นพี่ชายสุดแสนจะฮอตของบริษัท ผมถึงกับได้ยินเสียงซุบซิบที่ฟังไม่เป็นภาษาลอยมาตามอากาศเย็น ๆ ในห้องเลย ผมได้แต่ภาวนาให้ผมคิดไปเอง “ทำไมเดินช้าจัง” พี่ร็อคเก็ตหยุดเดินและหันมาทักอย่างยิ้มแย้ม ทำไมบรรยากาศมันไม่เหมือนการมากับคนน้องเลยวะ คนนั้นความรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้มาด้วยกัน “ไม่มีอะไรครับ ผม…แค่รู้สึกเกรงใจครับที่ต้องให้พี่พามาด้วยตนเองเลย!!” ความรู้สึกตอนนี้ยิ่งเกร็งกว่าเดิม เพราะพี่ผู้บริหารเล่นหันมาทักอย่างกันเองแบบเต็มระดับ “ไม่เห็นเป็นไร ยังไงวันนี้พี่ก็มีแผนจะมากินข้าวกับวินอยู่แล้วครับ” พูดจบพี่ร็อคเก็ตที่วันนี้มีความสดใสกว่าเดิมเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เดินมาขนาบข้างผมและใช้มือข้างหนึ่งโอบไปที่ด้านหลังและออกแรงผลักเบา ๆ ทำให้ผมต้องก้าวเท้าไปต่อทันที เพราะทันทีที่พี่ผู้บริหารทำแบบนั้น เหมือนได้ยินเสียงฮือฮามาจากอีกฝากหนึ่งของห้อง “ไป…รีบไปกินข้าวกัน พี่มีประชุมตอนบ่ายครับ” “อะ…ครับ ๆ” ผมก้าวเดินไปที่โต๊ะประจำที่เร็วกว่าเดิมจนผมเองรู้สึกได้จากลมที่ตีหน้าตัวเองอยู่ “พี่ไปตักอาหารก่อนก็ได้นะครับ” ผมนั่งลงและผายมือไปทางโต๊ะที่จัดวางอาหารนานาชนิดอย่างสวยงาม พี่ร็อคเก็ตที่แสนสุภาพ ยิ้มตอบกลับมาและทำแบบเดียวกัน ด้วยความเกรงใจเพราะต่างคนต่างให้อีกฝ่ายไปตักอาหารก่อน ผมจึงอาสาไปก่อนเองในที่สุด ผมยืนขึ้นมองภาพคนตรงหน้าอย่างสำรวจพลางคิดว่าวันนี้เหมือนมีอะไรแปลกไปจากเดิม ผมถึงขั้นเอ่ยถามเพราะมันติดอยู่ในใจ “พี่…. เอ่อ….ผมไม่เคยเห็นพี่ใส่แบบนี้” สูทลำลองที่มีลวดลายที่เนื้อผ้าอย่างวิจิตร เมื่อมองในระยะประชิดทำให้ขับราศีของคนใส่ และทำให้ดูเด็กลงไปอีกสักสิบปีได้ “สังเกตด้วยเหรอว่าพี่ใส่สูทตัวใหม่ ดีไซน์มันออกจากวัยรุ่นไปหน่อยก็เลยไม่กล้าใส่ แต่…..” พี่ร็อคเก็ตที่มีบุคลิกมั่นใจเสมอกลับมีท่าทีลังเลที่จะพูดประโยคถัดไป “แต่??” หัวคิ้วผมขนกันดังเอี๊ยด “แต่…. อยากจีบเด็กก็ต้องทำตัวเด็กลงหน่อย เผื่อจะจีบติด” พี่ร็อคเก็ตยิ้มเขิน ผมที่ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่การที่พี่เขามองมาทางผมด้วยสายตาหวานเยิ้มแบบนั้นจะให้เข้าใจเป็นอื่นคงยาก ผมทำได้เพียง เดินจากมาเพื่อตักอาหารมื้อเที่ยงดีกว่า ส่วนการเดินกลับไปที่โต๊ะเนี่ย ผมรู้สึกไม่อยากเดินไปตรงนั้นเลย มันทำตัวไม่ถูก มื้ออาหารที่พี่ร็อคเก็ตตักมามีแต่อาหารเพื่อสุขภาพ และมีเนื้อสัตว์อยู่น้อยชิ้นมาก ถึงแม้พี่ร็อคเก็ตจะหน้าตาดี แต่สีหน้าซีดเซียวต่างจากคนรุ่นเดียวกันทำให้ผมเองก็อดที่จะทักไม่ได้ “พี่ควรจะกินพวกโปรตีนบ้างนะ” พูดจบผมก็เลือกอกไก่ย่างชิ้นนุ่มหอมส่งไปที่ช่องว่างในจานพี่ร็อตเก็ต “ไม่เอาดีกว่า น้องวินกินเถอะ” พี่ร็อตเก็ตยื่นมือที่ว่างมาจับข้อมือผมเพื่อยั้งไม่ให้ไก่ชิ้นนั่นวางบนจานอย่างสมบูรณ์ มีการยืดยื้อกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพี่เขาก็ถอนหายใจกับความดื้อดึงของผม “โอเคๆ พี่กินก็ได้ครับ แต่….” พูดยังไม่ทันจบประโยค มือของผมที่จิ้มเนื้ออกไก่ชิ้นนั้น ก็ถูกจับที่ข้อมือแน่นและดึงให้เข้าหาหน้าของพี่ร็อคเก็ต และจบลงที่พี่เขาได้อ้าปากงับอกไก่ชิ้นนั้นเข้าปาก มองไกลๆ คงเหมือนผมตั้งใจป้อนพี่ร็อคเก็ตเพราะเสียงฮือฮายังคงมีอยู่พักหนึ่ง ผมที่ตอนนี้ได้แต่ทำตัวไม่ถูก ยกมือค้างไว้อย่างนั่นเหมือนถูกแช่แข็ง ทำให้คนที่เห็นอย่างพี่ร็อคเก็ตหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทางตลกๆ ของผม “วินก็มีมุมนี้เหมือนกันเนอะ” เสียงหัวเราะในลำคอกับการเคี้ยวอกไก่ชิ้นนั้น ก็เป็นมุมที่ผมไม่เคยเห็นกับพี่ร็อคเก็ตเช่นกัน ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมากับความน่ารักตรงหน้า “พี่น่าจะยิ้มแบบนี้บ่อย ๆ นะ น่ารักดี” ปากที่คิดก่อนสมองของผมมันกลับทำงานอย่างอัตโนมัติ “น่ารัก แล้วรักเลยไหมล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตไม่เคยมีช่องว่างเลย สามารถโต้ตอบด้วยถ้อยคำที่รุกจีบผมได้ทันที บอกตามตรงว่ามุกนี้ผมคิดไม่ถึง ไม่นึกว่ากับที่ชุมชนแบบนี้พี่เขาจะกล้ารุกผมขนาดนี้ ในขณะที่ผมยังอำอึ้งและเก็บไม้เก็บมือไม่ถูกกับการถูกรุกไล่โดยคนที่แอบปลื้มแบบนี้ บริกรหนุ่มคนหนึ่งก็กล่าวขออภัยและยกของมาวางตรงหน้า เป็นของหวานหน้าตาสวยงาม รูปร่างที่เห็นมันเหมือนกับเยลลี่รูปปลาทองหลายตัว วางอยู่บนเจลสีใสคล้ายปลาแหวกว่ายในถาดสีทอง ซึ่งมีใบบัวจำลองวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ “ลองชิมสิ เป็นของใหม่ที่เขาทำมาเป็น appetizers ที่หน้าตาเหมือนของหวานน่ะ พี่เห็นว่าน่าสนใจเลยสั่งมาให้ลองชิม” พี่ร็อคเก็ตตอบสนองใบหน้าที่แสดงความสงสัยของผม “แอป..แอป…อะไรนะครับ?” “อาหารเรียกน้ำย่อยก่อนกิน main dish น่ะ เอาเป็นว่าลองชิมดูนะครับ” ผมใช้ตักช้อนยาวสีทองที่มาคู่กับถาดสีเดียวกันตักปลาในถาดนั้นขึ้นมาหนึ่งตัว แต่ครั้นจะหั่นครึ่งตัวก็ดูใจร้ายไปเลยตักมาทั้งตัวเลย ลักษณะของเจลน้ำนั่นน่าจะเป็นเหมือนซุปที่ข้นหนึดแต่มีความใส มากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และสมุนไพร ตอนที่ตักของกินที่รูปร่างคล้ายปลาทองออกมา ตัวเจลใสคล้ายน้ำนั่นกลับไม่ได้หนึดเหมือนเจลเสียทีเดียว แต่น่าจะข้นประมาณน้ำซุป ปกติ ส่วนตัวปลาหากสัมผัสจากการใช้ช้อนตักก็เหมือนจะเป็นแผ่นแป้งมากว่าเนื้อสัตว์ ผมยกขึ้นมามองใกล้ก็ยิ่งยืนยันในความคิดของตนเอง ผมช้อนเข้าปากตนเองอย่างไม่ลังเล “นี่มัน…. ฮะเก๋า!!” พี่ร็อคเก็ตชื่นชมความละเอียดและละเลียดในการกินของผมทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด ส่วนผมก็ชื่นชมอาหารตรงหน้าและให้พี่ร็อคเก็ตลองชิมดูเช่นกัน เราต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องอาหารกันอย่างออกรส จนลืมไปเลยว่าเราถูกแวดล้อมโดยบุคลากรระดับสูงขององค์กร จนกระทั่งเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากพวกผม “ท่าทางสนุกกันจังเลยนะ!” คนที่หน้าตึงเครียดที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของผม และเป็นคนที่ผมไม่คิดอยากจะเจอเลยในช่วงเวลาแบบนี้ ไอ้คอปเตอร์ !! ผมกลัวว่าสงครามเย็นระหว่างสองคนนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม ผมเองก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พ่อแม่ของเขาทั้งสองคนตั้งชื่อให้พี่น้องคู่นี้เป็นอาวุธที่อยู่ในสนามรบทั้งคู่! “กินอะไรมาหรือยัง?” ผมรีบทักเพื่อทำลายบรรยากาศอันเย็นเยียบ สำหรับพี่ร็อคเก็ตผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่วางตัวดีไม่น่าจะมีปัญหา แต่ไอ้คนที่มารยาทแย่เป็นทุนเดิมอย่างคนน้องนี่ ผมล่ะกลัวที่สุด แค่นี้ผมก็ดังจะแย่ หากจะให้พี่น้องสองคนมาทะเลาะกับต่อหน้าผมอีก ผมน่าจะจะจบจากที่นี่ไม่สวย “พี่กับน้องวินกำลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันอย่างสนุกสนานเลย จะมาขอร่วมโต๊ะด้วยก็ควรจะมีมารยาทหน่อยนะ” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่จากความหมายนี่มันสุมน้ำมันเข้ากองไฟชัดๆ นี่ผม ควรจะปรามใครดี ทำไมอยู่ๆ คนพี่ถึงได้เริ่มไปหาเรื่องคนน้องแบบนี้ มันผิดปกติ “มึงนี่วอนโดนตีนกูมากนะไอ้เตี้ย!! มึงก็รู้วินเป็นคนของกู อย่าเอาอดีตของมึงที่เก็บรั้งใครไม่ได้เอง มาหาเรื่องกับกูแบบนี้!!” คือไอ้คนน้องก็ไม่ยอมกันเลย ทั้งยังเสียงดังเสียด้วย สักพักที่ทั้งสองมองหน้ากัน มันเหมือนทั้งสองคนไปโดนเกล็ดย้อนของอีกฝ่ายทำให้ต่างพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่กันได้ทุกเมื่อ ผมที่นั่งน้ำตาคลอเบ้า เพราะรู้สึกกดดันกับบรรยากาศแบบนี้ จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่มันทำไม่ได้ไง เสียงกำหมัดของไอ้นักเลงดังกระทบหูข้างที่ใกล้ที่สุดของผม คนไม่ฉลาดทางอารมณ์อย่างไอ้คอปเตอร์ ผมรู้เลยทันทีว่าจุดจบของเรื่องนี้มันจะจบลงตรงไหน ผมจึงนึกถึงวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ผมนึกออกตอนนี้และปฏิบัติไปโดยทันที “ใจเย็น ๆ นะ คอปเตอร์หิวข้าวแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวเราหาอะไรให้กินนะ นั่งลงก่อน หากไม่อยากนั่งตรงนี้เดี๋ยวเราย้ายที่ก็ได้นะ” ผมเลือกใช้ช่องเสียงที่คาดว่าคนน้องจะต้องเสียอาการและใช้วิธียืนขึ้นประชิดอีกฝ่ายและคล้องแขนประสานมือไอ้คนเกรี้ยวกราดไว้ พร้อมใช้อีกมือลูบไล้ต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา อายนะ แต่คงต้องทำ! อย่างน้อยก็เป็นไปตามแผน ไอ้คอปเตอร์หน้าเรื่อแดงขึ้นเห็นได้ชัด ริมฝีปากแทบสะกดให้ไม่ยกขึ้นไม่ได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ แต่อย่างน้อยบรรยากาศมันก็ดีขึ้นมาก ผมหันไปพยักหน้าให้พี่ร็อคเก็ต เขาก็ตอบพยักหน้ากลับอย่างเข้าใจ และนั่งลงมองไปทางอื่นอย่างไม่พอใจนัก ส่วนไอ้คอปเตอร์มันก็ได้ใจ ใช้แขนโอบกระชับผมไปกอดชิดร่างแกร่งของมัน หันมายิ้มให้ผมอย่างกับคนบ้า “ไปสิ เราไปตรงนั้นกันเนอะ” ชี้พลางพูดด้วยช่องเสียงเดียวกับที่ผมใช้กับมัน โคตรจะไม่ชิน (ต่อ)
:z6: :a5:
:katai2-1:รอมาต่อค่ะ
หลังจากไปจนถึงโต๊ะที่หมายแล้ว ผมก็อาสาที่จะไปตักอาหารให้ทันที ไอ้คอปเตอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย แค่เพียงวินาทีเดียวมันก็เหมือนคิดอะไรออกและเปลี่ยนใจที่จะเดินมาด้วย “เวลาแบบนี้ไม่มีใครมาแย่งนั่งหรอก ไปด้วยกันเร็วกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นพลางโอบไหล่รวบร่างผมให้เดินไปพร้อมกับมัน ผมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไหนๆ ก็ใช้มุกนี้มาแล้วก็ต้องตามน้ำไป การเดินไปที่โต๊ะกลางสำหรับวางอาหารแบบบุฟเฟต์นี้ไม่ไกลจากที่นั่งมากนัก แต่ไอ้นักเลงนั่นเหมือนจงใจพาเดินอ้อมไปเล็กน้อยให้พี่ร็อคเก็ตที่ยังคงนั่งทานมื้อเที่ยงอยู่เห็น ผมคิดออกทันทีเลยว่ามันจะทำหน้าแบบไหนใส่คนพี่ แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม การตัดอาหารมื้อนี้ลำบากกว่าปกติพอควรเพราะมีไอ้ลูกเจ้าของบริษัทคอยเกาะติด เกาะแกะตลอดเวลา แอบโอบ แอบแตะ แอบจับตลอดเวลา ทำเหมือนว่าปกติผมกับมันอยู่ด้วยกันแบบสนิทสนมขนาดนี้ แต่บอกเลยว่า รำคาญ แต่ไม่แสดงออก ขณะที่ผมกำลังเหนื่อยหน่ายกับการรับมือ บุรุษที่วุ่นวายวอแวผมไม่หยุด เหมือนแค่ใช่อาหารเป็นเครื่องมือในการมาหยอดจีบผมตลอด พี่ร็อคเก็ตก็เดินมาร่ำลาเพราะต้องแยกไปประชุมก่อน ไอ้ร็อคเก็ตแยกเขี้ยวใส่ ขู่ฟอดๆ เป็นเสือหวงถิ่นอย่างที่คิดไว้ ผมทำได้แค่ยิ้มส่งพี่ร็อคเก็ตเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั่น เพราะไอ้คอปเตอร์มันเดินมากันซีนตลอด จนผมต้องขมวดคิ้วใส่ถึงได้หยุดทำตัวกวนประสาทผมแบบนี้ หลังจากกลับมานั่งที่โต๊ะ ไอ้คอปเตอร์ก็กลายเป็นคนไม่มีมือมีเท้าในการใชีวิตเลย มันให้ผมป้อนให้ทุกคำ แน่นอน ผมปฏิเสธเพราะอย่างไร พี่ร็อคเก็ตก็ไปประชุมแล้ว คงไม่มีเรื่องมีราวอะไร สุดท้ายมันก็นั่งบ่นงุบงิบ หน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม แค่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะอยากจัดการอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่จะไปทำงานสายมากกว่านี้ “นึกว่าหนีหายไปไหน พี่ก็บอกอยู่ว่าให้มากินข้าวมื้อเที่ยงด้วยกันก็ได้” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล ผมหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเจอพี่เอกยืนมองพวกผมด้วยสายตาตึงเครียด ทันทีที่พี่เอกเห็นผม เขาก็ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ขึ้นมาดูเวลาทันที “บ่ายโมงแล้วนี่” เขาหันมาพูดกับผม “เอ่อ…ขอโทษครับ ผมลงมาข้า เดี๋ยวจะขึ้นไปแล้วครับ!” ผมลุกลี้ลุกลนเตรียมตัวยืนขึ้นพร้อมจะเดินไปทำงาน แต่มีมือหนึ่งดึงแขนผมไว้ “นั่งลง” เสียงของคนที่ปั้นยิ้มกว้างกว่าปกติพูดขึ้น และหันไปฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมใส่คนที่มาใหม่ “พี่เอกถือว่าผมขอนะครับ เขามารอผมกินข้าวด้วยถึงได้เลยเวลาพักแบบนี้ ก็พี่เล่นใช้ผมเกินเวลาเองนี่นา” “พี่ก็ขอโทษแล้วไง นี่ก็กะว่าจะให้มากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วเราก็เล่นหายตัวไปเลย งานก็ยังไม่เสร็จ!!” “ก็ผมเป็นห่วงแฟนผม กลัวเขารอ เดี๋ยวจะหิวจนเป็นลม” เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตส่งมาถึงผมทางสายตา ก่อนมันจะดับไปเพราะหันไปหาไอ้คนที่ดึงรั้งผมไว้ “พี่ทราบว่าน้องวิน มีคนชวนมากินข้าวด้วยแล้วนี่!! ก็น่าจะกินแล้ว” “นั่นแหละผมถึงได้รีบมา หากไม่ได้กินกับผมก็ถือว่าไม่ได้กิน!!” เอาผมมาร่วมวงสนทนาอะไรกันวะเนี่ย ผมพยายามจะบอกใบ้กับมันว่า ผมจะขอตัวไปก่อน แต่มันเล่นบีบมือผมเสียแน่น “งั้นพี่ขอนั่งกินด้วยสิ” “มันมีแค่สองที่นั่ง มันแคบไปนะครับมี่จะนั่งสามคน” “งั้นวินพี่ขอได้ไหม?” ในขณะที่ผมกำลังอ้ำอึ้งกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ไม่เคยคิดว่าสองคนเขาจะเป็นกันขนาดนี้ “เขามากับผมก็ต้องนั่งกับผม” “พี่ถามน้องวิน ได้ไหมครับ?” ในใจผมตอนนี้คือ อยากได้ก็เอาไปเลย ผมขอลา แต่ผมดันไปสบสายตาของไอ้คอปเตอร์ที่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ที่ผมดันเข้าใจ “ไม่ครับ ผมจะนั่งกินตรงนี้” “เข้าใจแล้วนะครับ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้และโอบไหล่ผมกระชับเข้าหาอกแน่นของตนเอง ผมก็ได้แต่ตามน้ำไป ในที่สุดพี่เอกที่ทำหน้านิ่งไปพักหนึ่งก็ขอตัวและเดินจากไปไกล “นี่มันอะไรกันเนี่ย?!?!” ผมถามมันด้วยเสียงกระซิบ “เห็นก็รู้แล้วไหม? ไอ้คนคลั่งรักนั่นมันจะเอาเราให้ได้ บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าเป็นได้แค่พี่ชาย มันก็พยายามจับเราทำเมียอยู่ได้” “เอ๋!! เคยได้ยินเรา พี่เอกกับครอบครัวนาย….” “เออไง!! มันเป็นลูกพี่ลูกน้องเราเอง ถึงจะเป็นญาติห่างๆ แต่ก็ญาติหรือเปล่าวะ ถึงไม่นับเป็นญาติ เราก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เขาเลยนะ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดเชิงหัวเสียกับสถานการณ์แบบนี้ “นี่คือจะเอาเราเป็นหนังหน้าไฟหรือไง?” “เปล่านะ เราไม่เคยคิดแบบนั้น เราชอบนายจริงๆ จีบจริงๆ อยากได้เป็นแฟนจริงๆ แบบอยากได้เก็บไว้คนเดียวเลย อยากได้มานานแล้ว!!” “หา!?!?” ผมแปลกใจกับคำพูดของมันที่พูดออกมาตรงๆ แบบไม่มีอะไรปิดกั้น นี่ตัวไอ้คอปเตอร์มันก็มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ขั้นคลั่งรัก เหมือนอย่างที่ใครเขาพูดกัน (แม่ผมมั้ง) ต้องให้มีอุปสรรคถึงจะพิสูจน์รักแท้ ถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพราะกลัวที่จะสูญเสีย สำหรับไอ้คอปเตอร์คือ เลิกปิดบังความรู้สึกแสดงออกกันด้วยคำพูดไปเลย ส่วนผมนั้นทำได้แค่นั่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะตลอดมื้อเที่ยง ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน ……….
:ling1: :ling3:
ช่วงนี้ลงได้ช้าหน่อย เพราะงานยุ่งมาก ตรวจต้นฉบับไม่ทัน
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผมถูกมอบหมายให้นั่งทำงานกับโปรเจ็คใหม่โดยย้ายไปช่วยพี่อีกคนอย่างกระทันหัน พี่ท้อปที่เดินมาบอกผมด้วยตนเองก็รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งฟ้าผ่าแบบนี้ แต่พอมันเป็นงานก็คงต้องทำครับ บ่นอะไรไม่ได้ ชีวิตลูกจ้างก็คงแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ช่วงบ่ายผมก็ยังนั่งทำงานอยู่คนเดียว โชคดี คือ ไอ้ตัวปัญหาไม่อยู่ หากมันรู้ว่าผมถูกย้ายไปช่วยโปรเจ็คใหม่มันคงมีอาการโวยวายและหาสาเหตุ มันคงรู้ว่าผมใกล้เส้นตายที่จะส่งงานโปรเจ็คเรียนจบแล้ว ควรจะให้เวลาให้เวลาในการทำงานโปรเจ็คเรียนจบมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่มหน้าที่ในบริษัทให้ทำ โชคร้ายก็คือ ไม่มีคนคอยให้คำแนะนำให้งานมันเสร็จเร็วขึ้น ถึงผมไม่ขอความช่วยเหลือจากมัน แต่อย่างน้อยคำแนะนำของคนที่ฝึกงานที่นี่มาตลอด 4 ปีก็น่าจะมีประโยชน์กว่าการนับจากศูนย์ ทำไมผมต้องมานั่งนึกถึงมันด้วย แอบแปลกใจตัวเองเหมือนกัน แทนที่จะคิดแก้แค้นมัน แต่กลับกลายเป็นว่า มีมันอยู่แล้วมันอุ่นใจกว่าเสียอย่างนั้น ผมตบแก้มสองแก้มด้วยสองมือเย็นๆ ของตนเบา ๆ เพื่อให้กลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้าที่ได้รับมอบหมายมาใหม่ ไม่ถึง 20 นาทีที่ตั้งใจทำข้อมูลที่ได้รับมาอย่างมหาศาลมาเป็นรายงานรายเดือนตั้งแต่ปี 2010 เสียงอีเมลแจ้งเตือนก็ดังขึ้นทำลายสมาธิผม อีเมลแจ้งว่า อาจารย์นิเทศประจำวิขาจะมาเยี่ยมและขอดูร่างโปรเจ็คในอีก 1 สัปดาห์ และจะขอพบกับพนักงานของบริษัทที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงของนักศึกษา ข้อความเหล่านั้นทำให้ผมเอ๋อค้างไปกว่าเกือบนาที แล้วผมจะทำทันไปเนี่ย!!!!! ผมสูดหายใจลึกสุดปอด และถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ทำสมาธิทันทีเพิ่มวางแผนปั่นงาน และคิดว่าจะไปขอเวลาทำโปรเจ็คจบกับพี่โจโจ้ ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจ็คงานที่ผมต้องไปช่วย เหมือนฟ้าจะรู้ สวรรค์จะเข้าข้าง พี่โจโจ้โทรศัพท์เพื่อเรียกผมไปพบในทันที พี่โจโจ้เป็นชายวัยกลางคนที่เงียบขรึม วางตัวเป็นผูใหญ่ของแผนกและมีแผนจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในปีถัดไปเนื่องจากผลงานอันโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่าน เพราะเป็นคนจริงจังจึงมีคนเข้าหาน้อยถึงน้อยมาก เพราะนอกเหนือจากงานแล้ว พี่โจโจ้ก็แทบจะไม่พูดคุยเรื่องอื่นเลย พี่ท้อปพูดกับผมก่อนที่จะส่งผมไปทำงานกับพี่โจโจ้ แค่เพียง “ดูแลตัวเองด้วยนะ” คือผมไปทำงานที่ห่างจากโต๊ะพี่ท้อปเพียง 3 บล็อกเองนะ การพูดแบบนี้ผมจึงได้แค่สงสัย ส่วนพี่เชอร์รี่ที่เป็นขาเม้าส์และรู้ทุกสรรพสิ่งในแผนก ก็พูดแต่เพียง “เดี๋ยวน้องก็รู้” มันยิ่งแปลกไปอีก…… ผมคิดพลางเดินไปหาพี่โจโจ้ที่โต๊ะทำงาน ที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าคนอื่นเล็กน้อย มีแผงกั้นสูงเสนอศรีษะ มองเห็นเอกสารมากมายเต็มโต๊ะ แต่กลับเป็นระเบียบกว่าทุกคนในแผนก ผมกำลังทึ่งกับความมีระเบียบวินัยของคนตรงหน้า “สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักคนที่กำลังง่วนกับการพิมพ์อย่างมีสมาธิ คนที่ง่วนกับการทำงานหันมามองและใช้สายตามองลอดแว่นสีเหลืองอ่อนอย่างพินิจ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างผม “สวัสดีครับ เราเพิ่งเคยพบกันอย่างเป็นทางการสินะ ปกติคุยกันผ่านแชทตลอด คุณเอกแนะนำน้องให้มาช่วยงานพี่น่ะ เห็นบอกว่าทำงานดีจนอยากจ้างต่อเลย จริงไหมครับ?” พี่โจโจ้ฉีกยิ้มจนเห็นฟันหน้าที่เรียงตัวสวยจนครบ ใบหน้าที่ขาวซีด แก้มตอบนั่น กลับมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนกว่าที่คิด ริ้วรอยที่บอกถึงความตั้งใจทำงานมาตลอดแสดงให้เห็นก่อนวัยอันควร แต่หลับมีเสน่ห์ในแบบหนุ่มใหญ่หน้าตาดี มันน่ามองกว่าตอนหน้าเคร่งเครียดทำงานเสียอีก ผมได้แต่ตอบใช่และพยักหน้าตอบอย่างเกร็งๆ พี่โจโจ้กลับแสดงความเป็นกันเองและแนะนำตัวอย่างสนิทสนม ผมเองก็แนะนำตัวกลับด้วยบรรยากาศที่เท่ากัน บรรยากาศในการพูดคุยกันแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายหายเกร็งไปเลย แถมยังรู้สึกสนิทกับพี่โจโจ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่โจโจ้คุยเก่งผิดกับรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมภายนอกเลย หลังจากช่วงที่พูดคุยแนะนำตัวและละลายพฤติกรรมเรียบร้อย พี่โจโจ้ก็ให้ผมไปนั่งใกล้ๆ เพื่อที่จะได้สอนงานทันที พี่โจโจ้บอกว่าเขาเป็นคนพูดเบาเลยอยากให้ขยับเข้าไปใกล้หน่อยซึ่งผมที่รู้สึกสนิทใจกับพี่โจโจ้ไปแล้ว จึงขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่คิดอะไร หลังจากผ่านไปร่วมสามชั่วโมง สิ่งที่รู้สึกเด่นชัดคือ กลิ่นจากตัวพี่โจโจ้มันหอมอย่าเย้ายวน มันหอมมากแต่กลับไม่รู้สึกฉุน มันเย็นเบาสบายจนเหมือนลอยอยู่ในสวนดอกไม้ “ชอบกลิ่นนี้เหรอ” พี่โจโจ้ทักขึ้นจากการที่เห็นผมทำจมูกฟุดฟิดเป็นครั้งคราว “เอ่อ….ครับ” ผมหน้าร้อนผ่าวตอบไปอย่างเขินๆ “นี่ไงลองดมใกล้ๆ” พี่โจโจ้ขยับเข้าใกล้กว่าเดิมและยกข้อมมือด้านในให้ผมดม ผมก็ดันก้มลงไปดมอย่างว่าง่าย “หอมจังครับ กลิ่นอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาที่จ้องมองผมอย่างใกล้ชิด แบบที่ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายได้ “พี่คัสตอมเอง เป็นไง มีแต่พี่นะที่ใช้กลิ่นแบบนี้” พี่โจโจ้ยิ้มหวานใส่ในระยะประชิด แปลกนะที่ผมไม่รู้สึกกลัวกับการกระทำแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก มันแปลกจริงๆ !! ผมกลับละสายตาจากอีกฝ่ายไม่ได้เลย มือหนึ่งของพี่โจโจ้ ยกขึ้นเชยคางผมขึ้นเล็กน้อย พลางกระซิบเบาอ่อนใส่หน้าผมที่รู้สึกง่วงมึนเหมือนกับเมามายในกลิ่นที่โชยอวนในบริเวณนั้น “ริมฝีปากน้อยๆ นี้ช่างสวยงามจนพี่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ ไม่แปลกเลยนะที่มีแต่คนอยากเชยชม” เหมือนม่านมนตราบางอย่างเคลือบสายตาผมอยู่ ทำให้ภาพตรงหน้ามันเบลอไม่ชัดเจน ความร้อนรุมเร้าจากภายในอกที่ยากจะบรรยาย ทั้งที่ใจปฏิเสธแต่ผมกลับต่อต้านคนตรงหน้าไม่ได้เลย ผมกำมือเน้น เพื่อขับไล่ความรู้สึกแปลกออกไปจากในหัว พยายามขัดขืนความรู้สึกลุ่มลึกที่ยากยั่งถึงถึงแรงปรารถนาบางอย่างเบื้องล่าง เวลาที่ถูกจัดท่าทางด้วยใบหน้าที่เงยอยู่แบบนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมคงทำได้แค่อยู่ให้นิ่งที่สุด ไม่ตอบสนองแรงปรารถนาตนเองออกไปกับคนตรงหน้า ความหอมที่ยั่วยวนและตรึงใจทำให้ภาพตรงหน้ามันทำให้เร้าใจไปหมด ทุกการกระทำ ผมรู้สึกแม้แต่ชีพจรบริเวณมืออีกฝ่ายที่สัมผัสคางและคอผมอย่างแผ่วเบา “น้องเป็นคนแรกนะที่ทนได้นานขนาดนี้ สงสัยพี่ต้องเพิ่ม” พูดจบพี่โจโจ้ก็ผละไปหยิบจับอะไรบางอย่างมาป้ายเพิ่มบริเวณต้นคอและข้อมือ ผมรู้สึกถึงกลิ่นที่แรงขึ้น บรรยายกาศดูหนัก แน่น และร้อนอ้าว ลมหายใจผมอุ่นขึ้นพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงสูบฉีดมากขึ้นจนผมร้อนไปทั้งร่าง ผิวหนังสั่นเทิ่มไปด้วยอาการแปลก ๆ ภาพตรงหน้ายิ่งฉาบทับด้วยฝ้าหมอกที่หนาขึ้นจนจับเค้าโครงคนตรงหน้าไม่ได้ “น้องวิน…..” เสียงที่เหมือนอยู่ที่ไกล ๆ ดังกังวาลรอบพร้อมกับม่านหมอกตรงหน้าจับตัวเป็นร่างคนสูงใหญ่ และโอบรอบไหล่ผมอย่างใกล้ชิด ผมพยายามขยับออกห่างแต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย “วิน…..” เสียงที่ดูเหินห่างกลับกลายเป็นเสียงที่คุ้นเคย ผมมองกลับไปยังต้นเสียงก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอตรงนี้ “คอปเตอร์….” ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนแรงและโผไปหาอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดที่เจอเขาตรงนี้ “น่ารักจัง ทำไมน่ารักขนาดนี้” แม้เสียงอีกฝ่ายจะคุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นตา แต่สีหน้าและการกระทำช่างไม่คุ้นชิน ร่างคอปเตอร์ ค่อยโน้มตัวลงมาใกล้หน้าของผม และสวาปามริมฝีปากผมอย่างหิวโหย ผมที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอยู่แล้ว มาเจอคอปเตอร์ในสภาพนี้ยิ่งไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นได้ แต่แปลก…. ผมกลับไม่ได้ผลักไสเขาออกไปอย่างที่คิด ผมกลับดื่มด่ำกับมันอย่างไม่ตั้งใจ กลิ่นหอมประหลาดนั่นยังคงอบอวลอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ ผมกลับเคลิ้มไปกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น มือของอีกฝ่ายได้พยายามรุกล้ำเข้ามาในเสื้อเชิ้ตผ่านกระดุมที่ตอนนี้หลุดไปแล้ว 1 อัน แปลก…. ทำไมผมถึงไม่พยายามขัดขืน
:katai1: :z10: :a5: o22
“มึง!!! ไอ้สัด!!!!” เสียงดุดันที่คุ้นหูยิ่งกว่าดังขึ้นไม่ไกล แต่ผมกลับไม่ได้แม้แต่สนใจนอกจากเคลิบเคลิ้มไปกับรสหวานจากชิวหาที่คนด้านบนมอบให้อย่างดุดัน ไม่นาน ความรู้สึกของผมก็เหมือนลอยคว้างและหล่นไปอยู่ที่พื้นพร้อมเสียงชุลมุนที่แผดไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงแตกตื่นของคนจำนวนมากกว่าหนึ่งร้องโวยวายไปทั่ว คงเพราะแรงกระแทก และความมึนศรีษะ สติของผมเลยหายไป ……… ผมตื่นขึ้นด้วยอาการเหมือนดื่มเหล้าสักสิบขวดแล้วสติขาดหายไปช่วงระยะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าเลย แต่มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นเสียทีเดียว ผมพยายามตั้งสติ ผมไม่ได้ดื่มอะไรเสียหน่อย ส่วนความทรงจำก่อนหน้านั่นก็ขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ ผมมองสภาพแวดล้อมโดยรอบภายใต้แสงสว่างของแสงไฟแอลอีดี ล้อมรอบไปด้วยม่านทึบสีครีมไปเสียครึ่งหนึ่งของพื้นที่รอบเตียงสีขาวขนาดหนึ่งคนนอน สภาพแวดล้อมคล้ายกับอยู่ในหอพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาล หลังจากที่กวาดตาไปสามรอบก็พบว่าตนเองน่าจะอยู่คนเดียว ผมพยายามพยุงร่างที่เหลือแรงอยู่เพียงครึ่งลุกขึ้นนั่งในสภาพสับสน ผมอยู่ที่ไหนแล้ว มานอนตรงนี้ได้ยังไง ยิ่งคิดยิ่งสับสน “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังม่าน เสียงเป็นของคนที่ผมคิดว่าไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ “เอ่อ….ครับ พี่เอก” ผมเอ่ยทักทันทีที่อีกฝ่ายเลื่อนม่านเปิดจนเห็นเค้าหน้าของอีกฝ่าย แต่ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ใบหน้าของพี่เอกกลับมีรอยช้ำจำนวนมากอยู่บนใบหน้า ผมตกใจจนออกนอกหน้าพลางมองหากระจกส่องใบหน้าตนเองเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับตนเอง “วินน่ะ ไม่เป็นไรหรอกแค่หมดสติเพราะฤทธิ์ยา” อีกฝ่ายให้คำตอบทันทีที่เห็นท่าทางกระวนกระวายของผม “ฤทธิ์ยา!?!??” คราวนี้ผมยิ่งงงกว่าเดิมอีก “ก่อนอื่น…… ก็ ขอโทษด้วยนะ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้” พี่เอกก้มศรีษะลงต่ำ “เดี๋ยวครับ คือ ผมงงไปหมดแล้ว เรื่องที่ผมหมดสติมันเกี่ยวอะไรกับพี่” “แต่พี่ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากพี่นี่แหละ……” หลังจากพี่เอกก็หาเก้าอี้มานั่งก็อธิบายยาวยืดเรื่องที่ผมยังคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับพี่เอกเขา พี่เอกสารภาพว่า พี่เอกจงใจเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้ผม ให้ไปอยู่กับเพลย์บอยที่ขึ้นชื่อเรื่องล่าเด็กฝึกงาน โดยส่วนใหญ่เด็กทุกคนก็จะหลงเสน่ห์ โจโจ้ และยอมคบด้วยแต่พอโจโจ้ได้เจอคนใหม่ เขาก็ทิ้งทุกคน พี่เอกยอมรับว่าที่เปลี่ยนก็เพราะอยากเปลี่ยนใจผมเรื่องที่จะคบหากับคอปเตอร์ เพราะพี่เอกนั่นแอบชอบคอปเตอร์อยู่ แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายแบบนี้ มันเป็นความบังเอิญที่ผมดันไปตรงสเปกพี่โจโจ้มากๆ และบวกกับที่พี่เอกเสริมไปว่า ผมน่ะก็แอบชอบพี่โจโจ้อยู่แล้ว อยากมาทำงานด้วย มันเหมือนไปเปิดกล่องแพนดอร่าในใจของพี่โจโจ้ สุดท้ายก็ลงเอยอย่างที่เห็น พี่โจโจ้ห้ามใจไม่อยู่….. ผมนิ่งไปพักใหญ่ หลังจากที่พี่เอกเล่าเหตุการณ์ที่ผมจำไม่ได้เสริมเข้ามา มันน่ากลัวจนผมขนลุกไปทั้งตัว ถึงแม้พี่เอกจะไม่ได้เล่าละเอียดขนาดที่ว่าผมโดยกระทำอะไรบ้าง แต่แค่ได้ยินว่าพยายามทำล่วงเกินแบบนั้น ผมก็ขนลุกไปหมด “พี่คงมาห้ามและเจ็บตัวเพราะผมใช่ไหม?” หลังจากตั้งสติได้ และเหลือบไปมองหน้าพี่เอกที่ซีดเซียวลงไปมาก อย่างน้อยเขาก็สำนึกผิด “คือ……. ไอ้ที่พี่ต้องมาอยู่ห้องพยาบาลเนี่ยก็เพราะ…. คอปเตอร์….” แล้วพี่เอกก็บอกว่าโดนอะไรบ้าง เหตุการณ์หลังที่ผมกำลังโดนคุกคามทางเพศ คนที่มาช่วยคือ คอปเตอร์ เขาโมโหเลือดขึ้นหน้าจนซัดพี่โจโจ้ปางตาย พี่เอกที่เข้าไปห้ามก็เลยโดนไปด้วย เพราะเหมือนคอปเตอร์จะรู้จากคนในแผนกว่ามึการเปลี่ยนพี่เลี้ยงเป็นโจโจ้โดยพี่เอก แค่นี้ไอ้คอปเตอร์คนฉลาดคงรู้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ปะติดปะต่อได้ไม่ยาก เล่ามาถึงตรงนี้พี่เอกส่งแววตาสำนึกผิดผ่านมาที่ผม เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง และเอ่ยคำขอโทษออกมา “พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดขนาดนี้ ไม่คิดว่าพี่โจ้แกจะจริงจังขนาดนี้ พี่ไม่เคยเห็นเขาจริงจังมาก่อน อาจเพราะ….. อันนี้พี่ก็เพิ่งรู้จากปากพี่โจ้ว่า เขาเพิ่งเลิกกับคนที่คิดจริงจังด้วย แล้ววินมีส่วนคล้ายกับแฟนเก่าพี่โจ้ เรื่องมันก็เลยบานปลายใหญ่โต พี่ก็แค่คิดว่าหากเจอคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดูดีกว่า วินน่าจะชอบ เหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา พี่โจ้จีบน้องฝึกงานติดทุกคน” ระหว่างเล่าพี่เอกก็คุกเข่าลงพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่คิดแม้แต่จะปกปิด หรือเช็ดหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างล้นหลามเหล่านั้น ผมนั่นสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเห็นใจหรือโกรธดี ที่ตนเองถูกกระทำด้วยการวางแผนแบบนี้ แม้ผลลัพธ์มันจะออกมาแย่กว่าที่พี่เอกคิดแต่การถูกคิดร้ายอย่างการวางแผนแบบนี้ เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ผมไม่คิดว่านอกจอทีวีก็จะมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้ด้วย ระหว่างที่ผมกำลังสับสนอยู่นั้น ประตูห้องพยาบาลก็เปิดออกกว้างด้วยแรงเหวี่ยงอย่างมหาศาล โชคดีที่มันมีบานหยุดนิรภัย จึงหยุดค้างไว้ก่อนจะกระทบกับกำแพงอีกฝั่ง ไอเย็น จากจิตอำมหิตแผ่เข้ามาในห้องอย่างโจ้งแจ้ง เสียงกัดฟันกรอดกรอบดังจนผมได้ยินชัดเจน “มึงต้องการอะไรอีก!!” คนมาใหม่ที่กำหมัดแน่นจนแทบจะที่เล็บจะจิกเนื้อจนเลือดไหล “คอปเตอร์ พี่แค่ต้องการจะขอโทษ” คอปเตอร์เดินเข้าในระยะที่ผมมองเห็นชัดขึ้น เสื้อสีขาวสะอาดที่มีรอยแต้มสีชาดเปรอะอยู่ทั่วเสื้อ เป็นภาพที่สยดสยองไม่น้อย แววตาที่จ้องเขม็งผู้ใหญ่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้ห้องร้อนจนลุกเป็นไฟ “มึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น นอกจากจะต้องชดใช้สิ่งที่มึงทำ!!” ไม่มีคำพูดสุภาพกับพี่เอกอีกต่อไป หลังพูดจบยังย่างเดินมาอย่างหนักแน่น มือหนึ่งคว้าตอคอเสื้อพี่เอกไว้ อีกมือหนึ่งก็ยกง้างจนสุดมือ หมัดที่แดงกรำจากการใช้งานเหมือนถูกกระทบด้วยของแข็งหลายครั้งทำให้มันดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก “หยุดเลย พี่เขาขอโทษแล้ว” ผมตรงรี่ไปคว้ามือคอปเตอร์ไว้ “แล้วมึงยกโทษให้คนแบบนี้เหรอ!?!??” มันหันมาตาขวางใส่ผม ทำให้มือผมอ่อนแรงไปชั่วครู่ คอปเตอร์กำหมัดแน่นขึ้นเมื่อเห็นผมไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเขาได้ “งั้นมึงถอยไป!!” มือที่ง้างอยู่ถูกเลือดสูบฉีดเข้าไปเพิ่มเพื่อเพิ่มแรง “เดี๋ยวก่อนๆ คือ จะให้ยกโทษให้ได้หรือเปล่ายังไม่รู้ แต่คือ เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจอกับอะไรบ้าง แล้วพี่เอกก็สำนึกผิดแล้ว ช่างมันเถอะนะ” ผมพูดไปอย่างติดขัดจนจบประโยค แต่ก็หมายความอย่างที่ว่าจริงๆ “แต่กูยังจำได้กูเห็นเรื่องนี้กับตา อย่างน้อยก็ขอให้มันชดใช้จนกว่าเราจะหายโมโหนะ!!” คอปเตอร์เสียงเข้มพลางขยับเข้าไปใกล้ขึ้น กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงแน่น ผมทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจ…. จรดริมฝีปากไปที่คอปเตอร์และพรมจูบอย่างดูดดื่ม แม้อีกฝ่ายจะไม่พร้อมแต่ก็ตอบรับได้ดีพอควร ผมถอนริมฝีปากออกพร้อมด้วยน้ำหนึดที่เราแลกกันเมื่อครู่ยังมีระยางยืดเชื่อมปากเราสองคน แรงทั้งร่างของคอปเตอร์ผ่อนลงแล้ว ใบหน้าร้อนแดง และมีรอยยิ้มประดับอยู่บางๆ เขามองผมด้วยสายตาโหยหาและหิวโหยจุมพิตเมื่อครู่ เหมือนคนเสพติดมันอย่างขาดไม่ได้ พักเดียวมือที่เตรียมจู่โจมอีกฝ่ายกลับมาโอบรัดผมอย่างแนบแน่น สุดท้ายเราก็อยู่ในท่ากอดกันกลม ใบหน้าผมไปอยู่ซอกคอเขาอย่างช่วยไม่ได้ “ใจเย็นขึ้นยัง?” ผมถามอย่างหอบๆ เพราะเหมือนโดนขโมยลมหายใจไปหมดตัวเมื่อครู่ “อะไรเหรอ?!?” มันตอบกลับมาแบบนี้ พร้อมลูบศรีษะผมอย่างอ่อนโยน สายตาที่เปลี่ยนไปจากไฟร้อนๆ กลายเป็นน้ำเย็นๆ คู่นั้นทำให้ผมรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป มือที่ว่างอยู่ของผมทำท่าทางให้พี่เอกรีบออกจากห้องไปก่อน ซึ่งพี่เอกไม่รีรอที่จะอยู่ปะทะกับหมัดแห่งความเกรี้ยวกราด พลางก้มหัวขอบคุณที่ผมช่วยชีวิตเขาไว้ “อยากกลับห้อง” ผมพูดขึ้น หลังจากที่ถูกโอบรัดอยู่หลายนาที “อือ” เสียงตอบรับอู้อี้ของคอปเตอร์ที่ตอนนี้ทั้งใบหน้าจมอยู่ที่ซอกคอผม “งั้นปล่อยได้แล้ว” ผมตบหลังเขาเบา ๆ “เดินไหวไหม?” คอปเตอร์ถามคงเพราะเห็นอาการสั่นเทาที่ขาทั้งสองข้าง เขาผละออกจากผมเล็กน้อยเพื่อมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง “ไหวสิ” ผมผละออกจากอีกฝ่ายทันทีที่มีโอกาส แต่ขาเจ้ากรรมมันดันไม่ยอมเชื่อฟัง ผมเซไปทางซ้ายเล็กน้อย คอปเตอร์ก้าวเท้าเข้ามารับตัวผมและประคองไว้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาที่ค้างอยู่ หรืออาการหอบตื่นเต้นกับการจูบอย่างดูดดื่มเมื่อครู่ ผมพยักหน้าขอบคุณ ในขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้ากับอาการของผม คอปเตอร์หันหลังและก้มลงสวมลงที่ด้านหน้าผมพลางยกตัวเองให้กลายเป็นท่าที่ผมลอยสูงขี่หลังอีกฝ่ายอยู่ ผมร้องตกใจและพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายด้วยความดื้อรั้นของคอปเตอร์ ผมเลยต้องถูกแบกขึ้นหลังจนไปถึงรถยนต์ของเขาและขับพาผมส่งกลับบ้าน …………………….
:pighaun: :haun4:
บทที่ 10 Confessed แม้ว่าผมจะได้พักมาระหว่างนั่งรถเดินทางจนถึงอพาร์ตเมนต์แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายแบกใส่หลังและพามาถึงที่ห้อง โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นไม่อย่างนั้นผมคงอายที่ทำให้ตัวเองต้องยอมมาตกอยู่ในสภาพนี้ คอปเตอร์บรรทุกผมใส่หลังจนมาถึงปลายเตียงและผ่อนแรงย่อตัวให้ผมลงนั่งอยู่บนที่นอนอย่างอ่อนโยน ไม่คิดว่าตัวเองจะยินยอมให้ตัวเองเห็นมุมนี้ของไอ้คนพาลคนนี้ แต่แปลกที่หัวใจผมมันเต้นแรงไม่หยุด ยิ่งได้อยู่ชิดใกล้ ยิ่งได้กลิ่นอายของอีกฝ่าย มันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง …ผมย้ำกับตัวเองตลอดทางว่า อาจเพราะฤทธิ์ยา ……แต่นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ ……..มันคงตกค้าง คิดย้ำวนไปมา…. “ดื่มอะไรไหม? หรือ อยากกินอะไรหน่อยไหม? ดูเหม่อๆ หน้าซีดๆ” คอปเตอร์ถามด้วยความเป็นห่วง มือหนึ่งของเขาก็เกาะกุมที่ท้ายทอยของผมอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของคอปเตอร์ที่ขยับเข้ามาใกล้ มันทำให้ผมรู้สึกร้อนตั้งแต่คอขึ้นไปทั่วทั้งหน้า “อ้าว…แดงเสียแล้ว ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม? ตัวอุ่นๆ ด้วย” คอปเตอร์พูดพลาง ยกมืออีกข้างทาบหน้าผากผม ผมปฏิเสธเสียงสั่นพลางปัดมืออีกฝ่ายทิ้งไป ผมเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะขบขันกับปฏิกิริยาของผมแต่เปล่า ไอ้คนพาลคนนั้นกลับทำหน้าเศร้าและคุกเข่าลงสองข้าง “ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นกับนาย หากเรากล้ากว่านี้ เด็ดขาดกว่านี้ ทุกอย่างคงไม่บานปลายแบบนี้ หากเราเด็ดขาดกับพี่เอก เรื่องแบบนี้คงไม่เกิด!!” คอปเตอร์พร้ำเพ้อจนยาวเยียด สีหน้าอมทุกข์ที่แสดงออกมาทำให้ใจผมสะท้านสะเทือนพอควร ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกได้ถึงความทุกข์ของอีกฝ่ายได้นะ ทำไมผมต้องรู้เศร้าไปกับมันด้วย ผมก็บอกตัวเองไม่ได้ ในใจตอนนี้ให้อภัยคนตรงหน้าหมดทั้งใจทั้งที่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคอปเตอร์โดยตรง หากเป็นเมื่อก่อนผมคงขอเลิกคบกับมันและทำให้มันเจ็บช้ำที่สุด แต่ตอนนี้แม้จะมีโอกาสตรงหน้า ผมกลับทำมันไม่ลงเสียอย่างนั้น “ช่างมันเถอะ” ผมผ่อนลมหายใจยาวพลางเชยคางคนตรงหน้าขึ้นเผยให้เห็นน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาที่แดงกล่ำ “ขอบใจนะ….ที่ให้โอกาส..” คอปเตอร์พูดอย่างเชื่องช้าด้วยดวงตาที่สดใสขึ้นกว่าเดิม พลางมองขึ้นมาทางผมด้วยดวงตากลมใสสองดวงนั้น เราสบตากันอยู่อย่างนั้นอยู่หลายวินาที เหมือนมีเคมีหรือกระแสอะไรบางอย่างที่ต่างสื่อสารแลกเปลี่ยน สสารบางอย่างที่ผมไม่เห็น หัวใจกลับพองโต เต้นเร็วและแรงดุจม้าแข่งที่กำลังเข้าเส้นชัย มือที่ผมเผลอไปสัมผัสกับแขนของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ราวกับรู่สึกถึงกระแสเลือดที่สูบฉีดโหมภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วผิดปกติ ไม่นานหลังจากนั้นคอปเตอร์ก็ยืดตัวขึ้นให้ใบหน้าเราขนานกัน ลมหายใจของเขาสัมผัสกับใบหน้าและลำคอของผม ความรู้สึกประหลาดวูบวาบมันโหมกระหน่ำเข้ามาในสมองผมจนเบลอไปหมด กลิ่นกายอีกฝ่ายที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันเย้ายวน ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนแทบหมดแรง ในที่สุดผมกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อแรงกระตุ้นภายใน ผมโน้มตัวไปประทับริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จู่โจมจนรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ถอยหนี กลับกันเขากลับจู่โจมกลับได้รุนแรงกว่าเดิมมาก ร่างกายของผมถูกชักนำให้ไหลไปตามแรงดันของอีกฝ่ายที่คอยโถมร่างกายท่อนบนเลื่อนดันร่างของผมไปบนพื้นที่นอนที่อ่อนนุ่ม คล้าย ๆ โดนกระแสคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งซ้ำ ๆ จนทรายเปลี่ยนรูปและถอยร่นไปตามแรงของน้ำ ผมรู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองขึ้นมานอนเป็นจุดศูนย์กลางบนเตียงเสียแล้ว คอปเตอร์ยกตัวขึ้นตั้งฉากกับเตียง พลางพยายามถอดเสื้อตัวเองออกอย่างทุลักทุเล ผมเองที่เห็นอีกฝ่ายแสดงเนื้อหนังแผ่นอกและลอนท้องอ่อน ๆ ตรงหน้าก็อดที่จะทำตามไม่ได้ ผมขยับร่างกายตัวเองเล็กน้อยเพื่อปลดเปลื้องตนเองออกจากพันธนาการของเสื้อเชิ้ต แต่ก็ลำบากตรงที่นำ้หนักที่กดทับอยู่ ไม่นานนัก สองมือของคนด้านบนก็ช่วยปลดเปลื้องผ้าชิ้นบนหลุดออกจากร่างผมโดยง่าย สายตาที่อีกฝ่ายมองผมมันช่างยากเกินกว่าที่จะอธิบาย เหมือนอีกฝ่ายได้ค้นพบสมบัติที่ใฝ่ฝันมานาน นิ้วเรียวที่ค่อยๆ ไล่ไปตามผิวส่วนคอลากไปจนถึงลอนท้องที่ไม่ได้สมส่วนเท่าไหร่เพราะขาดออกกำลังกายช่วงนี้แต่คอปเตอร์จ้องมองเหมือนพยายามจะเก็บภาพตรงหน้าไม่ให้เลือนหายไปจากสมองตลอดกาล ผมหลบสายตาจากอีกฝ่าย เพราะไม่คิดว่าจะโดนสายตาแบบนี้ถาโถมใส่ และไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองจะรู้แบบนี้กับสายตานั่น แต่ต้องยอมรับว่าร่างกายมันร้อนไปหมด สมองมันเหมือนถูกปลดผ้าคลุมบางๆ ออก เข้าใจความต้องการของตนเองมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อน คนด้านบนโน้มตัวลงมาอย่างช้าๆ ลงริมฝีปากไปที่ต้นคออย่างแม่นยำพลางขบเบาๆ ด้วยฟันหน้า ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บกับการกระทำนี้ เพราะอีกฝ่ายทำด้วยความทะนุถนอมและโอนโยน ลิ้นที่เหมือนต้นอ่อนของต้นไม้ฝ่าแผงฟันหน้ามาไล้โลมผมอย่างเชื่องช้าคล้ายคอปเตอร์พยายามรับรสชาติของผมอย่างสุนทรี และพยายามที่เก็บรสชาติเหล่านั้นเข้าไปในความทรงจำของตนเองทั้งหมด ผมทำได้แค่ร้องในลำคอตามน้ำหนักที่ต้นอ่อนนั่นลากผ่าน ความรู้สึกของต้นอ่อนนั้นมันฝังลึกเข้าไปใต้ผิวหนัง ความสุขที่ผมเพิ่งเคยสัมผัสนี่มันสุดยอดไปเลย “รู้ไหมเรานึกถึงภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนต้องทำร้ายตัวเองไปตั้งหลายรอบ แต่รู้ไหม ไม่เคยไม่ความคิดไหน สุดยอดเท่ากับความรู้สึกที่เรารู้สึกตอนนี้เลย…” เสียงเบาเบาและติดหอบที่ปลายประโยคทำให้ผมคิดไม่ออกว่านี่คือ คำชื่นชมหรือความโรคจิตของอีกฝ่าย ผมแยกไม่ออกเลย เพราะในหัวตอนนี้คือเป็นสีขาวโพลนว่างเปล่า คอปเตอร์กดตัวลงและสวมกอดผมแน่น ร่างกายทั้งสองแนบชิดแทบจะรวมเป็นหนึ่ง กระแสเลือดที่ถูกปั๊มจากหัวใจแทบจะสูบฉีดเป็นจังหวะเดียวกัน ที่สำคัญส่วนที่นิ่มอยู่ยามปกติตอนนี้เติบโตแข็งแรงจนผมรู้สึกได้ เพราะมันเหมือนพยายามจู่โจมผมอยู่ที่ท้องน้อยไม่หยุด แต่ผมเองก็ไม่ต่าง ในเมื่อความต้องการของตนเองมาจนสุดทางขนาดนี้ ผมยั้งตัวเองไม่ไหวแล้ว “วิน….โอเคไหม….? ถ้าเราจะขอ….” คอปเตอร์กระซิบใส่หูผมด้วยเสียงสั่นเครือ ความกล้าที่ผ่านมาทั้งชีวิตของมันเหมือนจะไม่มีอยู่ในคำพูดนั่นเลย ผมนิ่งไปพักใหญ่ไตร่ตรอง ในความว่างเปล่าในหัว ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการปลดกางเกงตัวเองลงอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้า คอปเตอร์ก็เล็งกางเกงผมเช่นกัน แต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้ผม ใช้มือจับขอบกางเกงตัวเองแน่น “เราโอเคนะ หากนายไม่พร้อม…” อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรา…เรา…. ขอถอดเองได้ไหม?” พูดจบผมก็หลับตาแล้วก็ปลดกางเกงตัวเองลง “มันน่าอายจะตาย” ผมพึมพำหลับตาปี๋ “ไม่หรอก… มันสวยงามมาก…” “ไอ้บ้า ขนลุก” ผมพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาปี๋ ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ผมคิดตัวเองเหมือนจะเป็นไข้ “จริงๆ” พูดจบ ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เล่นล้อกับส่วนที่แข็งขืนของผม เหมือนพยายามลิ้มรสของส่วนสัมผัสของผิวส่วนนั่น ผมถูกปรนเปรอแบบนั่นอยู่หลายนาทีจนแทบขาดอากาศหายใจ ไม่คิดว่าคนห้าวๆ อย่างมันจะสามารถทะนุถนอมส่วนนั้นของผมได้อย่างยอดเยี่ยม บอกได้เลยว่า ดีที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา ผมพยายามยกศรีษะของคนด้านบนอยู่นานกว่าจะเขาคายเอาบางส่วนของร่างกายของผมออกมา แต่แทนที่ผมจะได้หยุดพักบ้าง เขากลับลากต้นอ่อนอันเปียกชุ่มไล่ชิมหยาดเหงื่อของผมตั้งแต่ท้องน้อยจนถึงแผงคอ แม้ทุกการกระทำจะดูนุ่มนวลและเนิบนาบแต่ความรู้สึกของผมเหมือนเป็นเหยื่ออาหารอันโอชะของสิงโตที่กระหายเนื้อที่หิวโหยมาแรมเดือน ทุกการกระทำของเขาเหมือนจะกัดกินผมจนถึงจิตวิญญาณ เขาขยับศรีษะมาพรมจุมพิศที่ริมฝีปากของผมอย่างเร่าร้อน ผมเหนื่อยมากกับการถูกรุกไล่ด้วยริมฝีปากที่หิวกระหาย เหมือนถูกดึงอากาศออกจากปอดไปเสียหมด สุดท้ายผมทำได้แค่ยกมือขี้นปิดปากอีกฝ่ายเพราะต้องขอหายใจ “เหมือนนายจะพร้อมแล้วนะ..” อีกฝ่ายพูดพลางหอบหายใจถี่ ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พูดเท่าไหร่ แต่รู้ตัวอีกที ปากประตูเบื้องล่างก็ถูกบางอย่างจรดจ่อรั้งไว้ไม่ห่าง ผมเข้าใจในทันทีที่วัตถุขนาดไม่ธรรมดานั้นดันเข้ามาใกล้ชิดติดจนจุกหน่วง ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรต่อไป อีกฝ่ายลุกขึ้นหายไปค้นกระเป๋าตัวเองกุกกักเสียงดัง เพียงชั่วอึดใจก็กลับเข้ามาสู่สภาพเดิมก่อนหน้านี้ ของเหลวหนึดเย็นถูกป้ายลงตรงปากประตูสวรรค์ ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยความเข้าใจที่สายตาคอปเตอร์ส่งลงมาให้ วัตถุทรงเรียวยาวฝ่าประตูสวรรค์เข้าไปอย่างยากเย็น ไอ้ความรู้สึกแปลกใหม่นี่มันอะไรกัน ผมก็อธิบายไม่ถูก มันอึดอัดและเจ็บเสียดไปหมด แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดมากมายกว่าที่คิด ผมเข้าใจคำว่าผมพร้อมแล้วของอีกฝ่ายเลย ขนาดมันคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเรา ไม่นานหนักผมก็เริ่มชินกับสิ่งที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างกายตนเอง “งั้นเอาจริงแล้วนะ” พูดพลางชักบางอย่างออกจากร่างของผม เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ นั่นมัน! แค่นิ้วเหรอ? สักพักสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วมากมายนักก็พยายามฝ่าประตูเข้ามาอย่างยากเย็น ผมร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วร่างพร้อมพยายามขยับร่างกายหนี แต่ไม่ทันเสียแล้วในเมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้ว ย่อมยากที่จะหลบหลีก สุดท้ายผมก็ต้องกับเผชิญกับความสุขที่แสนเจ็บปวดอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง ………..
:oo1:
นับเป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมนอนหลับแล้วแทบจะไม่ฝันอะไรเลย ความงุนงงในเวลารุ่งสางของวันที่หลับมากกว่าปกติ สติที่แสนเลือนลางค่อน ๆ เด่นชัดขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่าง กายคล้าย ๆ โดดไปให้รถบรรทุกชนจนร่างแหลก โดยเฉพาะช่วงล่าง รู้สึกเหมือนปวดแสบอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน สมองของผมเริ่มทบทวนแล้วว่าทำไมร่างกายผมถึงอยู่สภาพนี้ ร่างกายที่หนักกว่าปกติ ขยับตัวได้ยาก เหมือนผ้าห่มมันหน้าขึ้นและหนักขึ้นมาก ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายย้ายผ้าห่มหนักๆ บนตัวร่นลงไปถึงครึ่งตัว ผมต้องตกใจที่ตัวเองเปลือยเปล่า และผ้าห่มที่หนักอึ้งนั่นก็คือไอ้คอปเตอร์ที่ตอนนี้ร่างไร้อาภรณ์ใดๆ กอดก่ายผมอยู่สบายใจ ในที่สุดสมองที่ทื่อเพราะความตื่นเช้าก็ค่อยๆ รื้อฟื้นภาพจำเมื่อคืนออกมาเป็นฉากๆ พระเจ้า!! ทำไมเมื่อคืนถึงได้ตัดสินอะไรแบบนั่นลงไป แม้จะดูเลือนลางอย่างกับความฝัน แต่ความต้องการเหล่านั้นดูเป็นของจริงไม่ปรุงแต่ง และความรู้สึกเจ็บป่วยตอนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ ตรงนี้ ในขณะที่ผมพยายามขยับตัวออกห่างร่างกำยำที่ก่ายเกาะผมอยู่มากกว่าครึ่งร่าง ร่างกำยำด้านบนกลับขยับตัวเล็กน้อยพร้อมเสียงงัวเงีย ผมรีบทำตัวนิ่ง และแสร้งทำเป็นหลับต่อ ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปทำไม แค่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายหลังจากความสัมพันธ์ของทั้งคนลึกซึ้งแบบที่ผมไม่ได้ตั้งใจ (มั้ง) ร่างหนาด้านบนขยับเข้าใกล้และยกร่างส่วนบนขึ้นเพื่อแอบสอดส่องว่าผมตื่นแล้วหรือยัง เนื่องจากผมหลับตาอยู่เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าแบบไหน แต่ที่รู้สึกแน่ๆ คือ ผมรู้สึกกำลังถูกจ้องมองอยู่ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาลูบแขนผมโดยมีผ้าห่มผืนหนาขวางกั้นอยู่ ลมหายใจของอีกฝ่ายที่ไหลผ่านออกมากระทบผิว ทำให้ผมพอจะทราบว่าน่าจะเกิดจากอาการตื่นเต้นของคอปเตอร์ มันอุ่นและกระชั้นชิด ผมรู้ได้จากสัญชาตญาณที่อยู่ร่วมกันมาหลายเดือนที่ผ่านมา เสียงสั่นหวืดหวือของอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้นไม่ไกล ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับร่างไปตอบรับเสียงนั่นหลังจากขยับร่างให้ถอยห่างไปได้ไม่นาน “เออ …..” คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ทำให้รู้ว่าคนที่อยู่ในสายคงเป็นคนสนิทของคอปเตอร์ “……..” ผมไม่ได้ตั้งใจฟังก็เลยไม่รู้ว่าแปลความว่าอะไรจากเสียงที่เล็ดลอดจากหูคนข้างๆ “กูต้องกระซิบสิ เมียกูยังไม่ตื่นเลย” เสียงในสายดังขึ้นอู้อี้แต่ผมก็พอจะจับใจความได้เพราะคู่สนทนานั้นคุยกันไม่ได้ไกลจากตัวผมเลย เสียงจากในสายดังจนเกือบจะเท่าเสียงกระซิบของเจ้าของสายทางนี้เลย พอได้ยินคำว่าผมเป็นเมียของมัน เลยอดไม่ได้ที่จะตั้งใจแอบฟังอย่างตั้งใจ โชคดีที่เป็นคนหูดี (แอบกำมือแน่น) “พูดได้เต็มปากเลยนะว่าเมีย!! ไอ้วินมันยอมมึงแล้วเหรอ ไอ้สัด มันได้ยินโกรธตายห่า กูจะถามว่าเพื่อนกูเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าเจอยาแปลกๆ ไป” ปลายสายถาม ทำให้ผมสงสัยกับคำว่า ‘เพื่อนกู’ เสียงที่เล็ดลอดออกมาก็คุ้นหูมาก “ที่รักกูไม่เป็นไรมากแล้ว แต่กูก็ควรจะขอบใจยาแปลกๆ พวกนั้นนะ มันทำให้วิน ยอมรับกู ตอนนี้กูมีความสุขสุดๆ ไปเลย!!” “อย่าบอกนะว่า….” “ใช่ วินเป็นของกูแล้ว เมื่อคืน หลายรอบด้วย!!” ฟังถึงตรงนี้แล้วอยากลุกขึ้นกระโดดถีบมันให้ตกเตียง แต่ยังไม่อยากขัดจังหวะโทรศัพท์ เพราะสงสัยว่ามันคุยกับใครอยู่ “เชี้ย….. แล้วแบบนี้กูต้องวางตัวยังไงว่าเรื่องที่กูแอบช่วยมึงน่ะ?” เสียงปลายสายมีความกังวล ไอ้นำ้เสียงแบบนี้ ทำไมถึงได้คุ้นเคยแบบนี้นะ “กูว่าอย่าเพิ่งเลย ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่ากูว่า กูไม่อยากให้วินโกรธกูอีก” “กูไม่เห็นแก่ ‘ไอ้ศิน’ กูไม่คิดจะช่วยมึงหรอก มึงเองก็มีคดีกับกูไม่น้อย!!” เสียงจากปลายสายผุดตัวละครใหม่ที่ไม่คุ้นเคยอีกหนึ่งคน ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก “กูขอโทษด้วยนะ กูก็สารภาพกับมึงหมดแล้วนี่ ก็ช่วงที่ไอ้พี่ศินมันเกเร มันน่ากลัวจะตาย แล้วมันก็เล็งมึงกับเพื่อนขนาดนั้น ขืนกูไปทำดีกับมึง กูไม่ซวยไปด้วยเหรอวะ!! ใครจะไปรู้ว่าที่มันแกล้งเพราะชอบมึง!!” “มึงก็เลยเลียนแบบมันเสียหมด แกล้งคนที่ตัวเองชอบเนี่ยนะ!!” “กูบอกมึงกี่รอบแล้ว ว่ากูไม่รู้ว่ามันชอบมึง แล้วกูก็ไม่ได้อยากแกล้งเพื่อนมึงด้วย!! กูทำเพราะช่วยต่างหาก!!” ‘เพื่อนเหรอ?’ ผมคิด รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ “ช่วยด้วยวิธีโง่ๆ ของมึงยิ่งทำให้มันเกลียดน่ะสิ!!” มีความเกลียดชังแฝงในคำพูด นี่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันจริงไหมเนี่ย? “อย่างน้อยที่กูทำไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นแกล้งมัน ไม่อย่างนั้นหนักกว่านี้แน่!!” “ถึงกูจะเห็นด้วยกับมึงตรงนี้แต่มันมีวิธีดีกว่านี้หรือเปล่าวะ!!” “กูขอโทษนะตอนนั้น กูก็มีปัญหาของกู….” เสียงคอปเตอร์อ่อนลงเล็กน้อย ผมฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว แม้ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็มองไอ้คอปเตอร์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เดี๋ยวนะ นี่แปลว่า มันจำผมได้ตั้งแค่แรกหรอกเหรอ?? นี่การเปลี่ยนแปลงตัวเองของผมนี่มันไม่ได้ผลเลยหรือ?? นึกย้อนไปแล้วก็อดที่จะอายการกระทำตัวเองไม่ได้ “เออๆ ไอ้เชี้ยเอ้ย…. กูรู้จากไอ้ศินแล้ว กูเข้าใจนะแต่จะให้กูไม่โกรธมึงคงทำไม่ได้ แต่หากมึงทำเชี้ยกับเพื่อนกูอีก มึงได้เจอกับกูเวอร์ชั่นนี้แน่ๆ กูไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เตรียมตัวตายได้เลย” ผมเห็นด้วยกับปลายสายเรื่องที่ยังโกรธอยู่ “ขอบใจนะไอ้เติ้ล ขอบใจที่ให้โอกาสกู” คอปเตอร์พูดประโยคสุดท้ายก่อนจะวางสาย ประโยคนี้ประโยคเดียวที่ผมเชื่อมต่อจิ๊กซอว์ทุกตัวเข้าด้วยกันสำเร็จเป็นภาพที่สมบูรณ์ชัด ที่แท้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมคงต้องหาโอกาสไปคิดบัญชีไอ้คนขายเพื่อนสักครั้งหลังจากนี้ แต่ตอนนี้ ผมยังคิดหาทางออกให้กับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ออกเลย โดยเฉพาะเมื่อโดนอีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาให้ผ้าห่มอย่างช้าๆ ด้วยร่างกายอันเปลื่อยเปล่า แล้วโอบกอดผมอย่างแผ่วเบาทะนุถนอน อาจเพราะกลัวผมจะตื่น ผิวอันเย็นฉ่ำจากการที่ตากอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ สัมผัสกับผิวของผมโดยตรง ความเย็นของผิวที่ทำให้ผมแทบอยากจะขยับหนีทันที แต่ต้องสวมบทบาทคนหลับลึก ทำให้ต้องทนหนาวอย่างไม่ฝืนไม่ได้ เพียงครู่เดียวผิวกายของอีกฝ่ายก็เริ่มอุ่นไปตามอุณหภูมิใต้ผืนผ้า ในขณะเดียวกันผมก็ถูกกอดแน่นขึ้น ร่างกายส่วนหน้าของอีกฝ่ายนาบแนบแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับด้านข้างของผม มือด้านบนที่โอบรอบอกและต้นแขนของผม เขาเริ่มขยับและลูบไล้ผิวของผมไปมาจนทั่ว อย่างช้าๆ และ แผ่วเบาไม่ต่างจากนำขนนกขึ้นมาถูกไถอยู่บนร่างอยู่นานหลายนาที “ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้” เสียงบ่นบึมพำข้างหูของผม เหมือนดั่งไม่ตั้งใจให้ผมได้ยิน ผิวกายของอีกฝ่ายเนียนนุ่มกว่าที่คิด ส่วนที่เป็นกล้ามแกร่งก็สัมผัสได้ถึงความสมชายของอีกฝ่าย แน่นอนผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่โดนชายหุ่นแบบนี้เล้าโลมอยู่นานสองนานแล้วจะไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้จะพยายามข่มใจให้เกลียดมันเข้าไส้เหมือนอย่างที่เคยทำมา แต่ตอนนี่ไอ้ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปไหนหมดแล้วนะ? มืออันแสนซุกซนข้างนั่นของคอปเตอร์ปรับเปลี่ยนจุดที่ลูบไล้ไปเรื่อย จนถึงช่วงสะโพกแกร่งของผม และไล่วนมาทางด้านหลังเล็กน้อย เพียงชั่วอึดใจ ส่วนที่ควรจะนอนหลับนุ่มนิ่มไปกลับตื่นแข็งขันขึ้นมาอีกครั้ง ผมที่ถูกส่วนนั้นสัมผัสที่ข้างบั้นท้าย รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมความรู้สึกเจ็บแปลบจนเผลอร้องออกมา “ทำอะไรน่ะ!!” ความเจ็บนั่นทำให้ผมเลิกที่จะแกล้งหลับ ผมขยับพลิกตัวถอยห่างไปเล็กน้อย “ก็คิดอยู่แล้วนะว่าน่าจะตื่นแล้ว ก็เลยจะช่วยปลุกแบบจริงจัง” คนหื่นที่เปลื่อยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันส่งสายตาแห่งความปรารถนามาอย่างไม่ลดละ ไม่เพียงเท่านั้นยังรุกคืบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกที ผมก็อยู่ภายใต้ร่างหนาของอีกฝ่ายเสียแล้ว เหมือนความทรงจำเรื่องเมื่อคืนมันย้อนกลับเข้ามาในสมอง จากการเห็นหน้าอมยิ้มแดงเรื่อ และผิวร่างแกร่งเป็นลอน ปลุกให้ความต้องการในส่วนลึกมันโลดเล่นขึ้นจนผมควบคุมร่างกายบางส่วนของตนเองไม่ได้ “คิดเหมือนกันใช่ไหม?” “เรา….. เราไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ทำไมเราถึงได้ต้องการคนตรงหน้าขนาดนี้นะ คงเพราะยาตกค้างหรือเปล่า ผมพยายามคิดเข้าข้างตนเอง “โกหกไม่เนียนเลยนะ” คอปเตอร์ยิ้มมุมปากแบบเซ็กซี่ ยอมรับครับว่าใช่ แม้ปากจะบอกไล่แต่ร่างกายกลับไม่ต่อต้านอีกฝ่าย แม้แต่ทันทีที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาใช้ริมฝีปากสัมผัสที่ต้นคอด้านหน้า ผมก็แทบจะไม่มีท่าทีต่อต้าน ความรู้มันกลับตรงกันข้าม…. มือของผมถูกกุมและโน้มไปด้านบนเบาด้วยมือข้างที่ว่างของคอปเตอร์ ผมกลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายไปเสียแล้ว ยอมโยนมือไปตามแรงอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายได้ลิ้มชิมรสผิวหนังสดใหม่ในช่วงเช้าอย่างหิวโหย แต่ก็อ่อนโยนจนผมไม่อยากให้ช่วงเวลานี้สิ้นสุด เขาไล่ลิ้มชิมหยดหยาดเหงื่อที่ผมเริ่มซึมออกจากความตื่นตัวของกล้ามเนื้อทุกส่วน ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั้งผ้าห่มที่ควรจะปกคลุมเราทั้งคู่ไหลลู่ลงไปกองที่ปลายเตียง คอปเตอร์ไม่ได้หยุดแค่ช่วงท้องน้อย แต่ลงไปต่อในส่วนยอดชายของผม เขาเติมเต็มความรู้สึกของผมอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนดิบเถื่อนอย่างคอปเตอร์จะทำได้อ่อนโยนขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงช่วงสำคัญที่คนด้านล่างได้แหวกขายาวของผมและพลิกกลับหลัง จนผมเผลอที่จะร้องเสียงหลงไม่ได้ แต่แปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากนั่งมองนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ บอกตามตรงว่าผมเริ่มจะอายแล้ว ทันทีที่ผมจะเอ่ยถาม คอปเตอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา “อยู่นิ่งไปก่อน ขอโทษนะ เราขอโทษ” ผมขยับตัวลุกขึ้นและหันกลับไปเห็นคราบสีแดงสด เปรอะอยู่ทั่วผ้าปูที่นอนสีฟ้าคราม ในขณะที่ผมร้องโวยวาย ผมก็ถูกอีกฝ่าย รวบตัวและอุ้มเข้าห้องน้ำทันที ………..
:pighaun: :haun4:
ถึงแม้ว่าจะโมโหเพื่อนอย่างไอ้ไตเติ้ลมากแค่ไหน แต่หนนี้คงต้องวางทิฐิตัวเองลงชั่วคราว ในขณะที่ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังจากถูกคอปเตอร์อุ้มไปอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยก็ยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนเองขึ้นมาโทรศัพท์หาไอ้หมอเถื่อนเพื่อนตนเอง “สวัสดี ว่าไง ทำไมโทรหากูได้ตั้งแต่เช้า!! มีอะไรก็พูดมากูเพิ่งลงเวรมา กูพร้อมจะร่วงลงเตียงได้ทุกเมื่อ!! ห้านาทีเท่านั้น!! ฃพูดมาก่อนที่กูจะหลับ!!” แค่ได้ยินเสียงและคำทักทายแกล้งโง่ของมันแล้วผมก็หูร้อนไปหมด แทบจะสะกดกลั้นความโกรธต่อไอ้คนขายเพื่อนแทบไม่อยู่ แต่พอมาดูสภาพร่างตนเองที่ต้องขอพึงพามัน จึงอดทนไว้ก่อน ผมอ้ำอึ้งที่จะเริ่มต้นอยู่นาน คอปเตอร์ที่นั่งห่วงอยู่ห่าง ๆ เพราะผมโวยวายใส่หลังจากออกจากห้องน้ำ ก็ทำท่าทางบอกใบ้ว่าให้เขาบอกเองไหม ? ผมแสยะยิ้มแล้วยกนิ้วกลางให้มัน!! “คือ…กู… ขอความช่วยเหลือหน่อย คือ กูว่า กูมีแผล ….ที่ …. เอ่อ ….. กลัวจะอักเสบ มึงหายามาให้กูตอนนี้เลยได้ไหมวะ?” “เป็นอะไรวะ” เสียงที่ปลายสายมีอาการสั่นๆ ที่ปลายประโยค ผมนึกถึงหน้าที่กลั้นขำของมันออกเป็นฉาก ๆ มือก็กำหมัดแน่นไว้ “เอ่อ…. คือ เป็นแผลมั้ง เลือดออกเยอะเลย” “ตรงไหน?” “มึงนี่ก็ถามแปลกๆ ตรงไหนมันก็เหมือนกันไหมแผลน่ะ!!” “ไม่เหมือนดิ!! มึงจะรู้ดีกว่าหมอเรอะไง!!” “อย่ามากวนตีนกู!!” “ไม่ได้กวนตีน กูจัดยาให้ไม่ถูก” เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเห็นปลายสายยิ้มอย่างสะใจ “เชี้ย!! ….ที่…. เอ่อ… ที่…ก้…..น…” “ไอ้สัด!! ดังๆสิกูไม่ได้ยิน เป็นอะไรก็บอกอย่าอายหมอ!!” เส้นความอดทนผมมันขาดดัง ผึง!! “กูไม่นับถือมึงเป็นหมอไอ้นกสองหัว กูไม่คิดเลยว่าว่าจะมีเพื่อนแบบมึง ไอ้สัด!! ไม่ช่วยแล้วยังลีลาอีก คนอย่างมึงไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีกเลย!!!” ผมโวยลั่นใส่โทรศัพท์ แล้วก็วางสายใส่มันไปเลย ผมวางโทรศัพท์หอบหายใจอยู่พักใหญ่ คอปเตอร์ที่เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาโอบไหล่ผม อย่างทะนุถนอม ผมใจเย็นลงอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากผมมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับมันไปเพียงชั่วคืน มันจะทำให้ผมรู้สึกกับมันเปลี่ยนไปขนาดนี้ สักพักผมจึงเริ่มรู้สึกตัวเองว่ากำลังใจอ่อนกับไอ้คนที่เคยทำร้ายเรา ผมมองแรงใส่มันอีกครั้ง แน่นอนว่าอีกฝ่ายยอมล่าถอยแต่โดยดี ด้วยท่าทีหงอยห่อเหี่ยว “ไม่ต้องไปไหนก็ได้อยู่ข้างกันแบบนี้ก็ได้” แอบตกใจเหมือนกันที่ตัวเองพูดแบบนั้นออกไปโดยไม่คิด แน่นอนว่าไอ้นักเลงนั้นมีท่าทางหูลู่หางกระดิกกระโจนเข้ามานั่งใกล้ๆ แทบจะทันที เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอแสดงให้เห็นเป็นหน้าไอ้เพื่อนทรยศยิ้มแฉ่ง หากไม่คิดว่าโทรศัพท์มันแพงผมคงหาอะไรมาทุบให้หน้าหักไปแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยที่ไร้เสียงทักทาย “มึง……” ไอ้เพื่อนทรยศลากเสียงยาวใส่ ผมยังไม่มีอารมณ์จะตอบมัน รู้แต่ว่ายิ่งได้ยินเสียงมันก็ยิ่งโกรธ ความร้อนจากในอกมันปะทุเดือดปุดๆ จนเหมือนจะได้ยินเสียงความเดือดของอารมณ์ตัวเองชัดเจน “กูจำเป็นนะ มึงฟังกูก่อน กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ไหนๆ ทุกคนก็สำนึกผิดแล้ว และกูว่าทุกคนก็ได้รับผลกรรมในแบบของตนเองกันแล้ว” “กูไม่เข้าใจที่มึงพูดสักประโยค!!!” ผมตอบกลับไปด้วยอาการอดกลั้นถึงขีดสุด “หา!! พวกมึงนี่นะ กูละปวดหัวจริง นี่พวกมึงได้กันโดยไม่คุยกันเรื่องที่ผ่านๆ หรือไง!!” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีของแหลมแทงหัวใจตรงเส้นเลือดดำ “มึงคิดว่าไอ้เชี้ยคอปเตอร์จำมึงไม่ได้เรอะ ทั้งๆมันส่องไอจีมึงเป็นปีๆ!! เข้าขั้นโรคจิตเลยล่ะ” ผมรู้สึกเสียววันหลังวูบ ไม่เคยคิดเลยว่า ไอจีที่เราเพิ่งสมัครเมื่อสมัยมหาวิทยาลัยจะถูกคอปเตอร์หาเจอและแอบส่องมาโดยตลอด “ฟังกูดีๆ นะ มันแอบชอบมึงตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว ส่วนมันชอบมึงตอนไหน เพราะอะไร กูไม่รู้ มันไม่เล่าให้กูฟัง!! รู้แต่ช่วงนั้นมันมีปัญหาครอบครัว มันก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อน หลังจากที่มันชอบมึงก็แอบมองมึงมาตลอด มันเห็นว่ามึงเจอไอ้พวกอันธพาลรังแกบ่อยๆ มันก็คิดปกป้อง แต่มันรู้ว่าหากทำตัวเป็นฮีโร่ สุดท้ายฮีโร่นี่แหละตายก่อน มันจึงต้องไปสนิทกับไอ้พวกเลวนั้น” ฟังเพื่อนตัวเองเล่ามาถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลกๆ ในอก ไม่รู้จะรู้สึกแบบใดดี ระหว่างดีใจ กับ สับสน “กูก็เพิ่งมารู้จริงๆ นี่แหละว่า ทุกอย่างที่มันทำน่ะ มันพยายามช่วยมึงทางอ้อมนะ หากมึงรู้ว่าจริงๆ แล้วมึงจะโดนอะไรบ้าง กูว่ามึงโชคดีแล้วที่โดนมันแกล้งน่ะ และสุดท้ายก็เป็นไอ้คอปเตอร์นี่แหละมี่มาสารภาพเสียทุกสิ่งให้อาจารย์ปกครองฟัง จนต้องลงโทษไอ้พวกเกเรพวกนั้นให้ไม่กล้าทำอะไรใครอีก!!” “นี่กูแค่สรุปให้นะ รายละเอียดมึงไปถามมันเอง มันแกล้งมึงมันก็ทุกข์ใจ พอมึงทำเรื่องย้ายไป มันก็ได้แต่โทษตัวเอง อยากจะไปขอโทษ แม่งก็ตาขาวไม่กล้า การที่มึงเข้ามาฝึกงานในบริษัทของมันนี่ถือว่าสวรรค์เมตตามันแล้ว!!“ ผมนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ ผมมองไปทางคอปเตอร์ที่เหมือนกับก้มหน้ายอมรับความจริงที่ไอ้เติ้ลเล่ามา “สุดท้ายอยู่ที่มึงแล้ว!! ว่าจะเอายังไงกันต่อ!!” ไอ้เติ้ลพูดทิ้งท้ายก่อนจะวางหู เพื่อที่จะเอายามาให้ผม ผมบอกตามตรงว่าไม่รู้จะแสดงอากัปกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ สมองมันสับสนไปหมด แต่กลับเป็นคอปเตอร์ที่ขยับเข้ามาใกล้และเริ่มบทสนทนาก่อน “เราไม่ขอแก้ตัวอะไร เรารู้ว่าเราผิด เรารู้ว่าเราอ่อนแอ เราไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่ใครๆ คิด ที่ผ่านมาเราก็แค่แกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อให้อยู่ในโรงเรียนได้ เรายอมรับผิดที่เราผิดกับวินไปเสียทุกเรื่อง แต่เราไม่ไหวแล้ว เมื่อครั้งที่วินเดินเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง มันเหมือนพระเจ้าได้ให้โอกาสเราอีกครั้ง ได้มีโอกาสแก้ตัว และขอให้ได้รักกับนาย แต่เราก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับความจริงได้ สุดท้ายมันก็เลยเป็นแบบนี้ เรากลัวว่าหากเราทำว่าเราจำนายได้ตั้งแต่แรกเราคงไม่ได้คุยกันโชคดีที่ได้ไปปรึกษาไอ้เติ้ล……” “เราไม่เข้าใจว่า มันไปสนิทกับนายตอนไหน ก็ในเมื่อเรากับมันก็ติดต่อกันตลอด!!” ผมเผลอพูดแทรกเพราะคอปเตอร์มันดันพูดชื่อไอ้เพื่อนสนิทที่ผมยังมีคำถามค้างคาใจอยู่จำนวนมาก “เอ่อ….. เรื่องนั้น คือ….. ก็ไม่ได้สนิทกับมันแต่ว่าแฟนของมันเป็นเพื่อนสนิทเราน่ะ!!” อ้าว!! ไอ้เพื่อนเลว เห็นหญิงดีกว่าเพื่อนเสียแล้ว (หรือชายวะ มันก็แทบไม่เคยเล่าเรื่องแฟนมันเลย “คือ……แล้ว….หากเราจะขอยกโทษจากนายเนี่ย….. จะได้ไหม? เราสาบานเลยว่าจะไม่ทำให้นายต้องเสียใจอีกต่อไป” คอปเตอร์ถามเสียงเศร้า ผมนึกทบทวนทันทีหลังจากจบคำถามจากคนด้านข้าง ที่ผ่านมาผมยอมรับว่าผมเสียสุขภาพจิตไปกับเรื่องถูกรังแกสมัยมัธยมพอสมควร แม้จะถึงขั้นไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่ผมก็ผ่านมันมาได้แล้ว มันทำให้ผม เข้มแข็งขึ้น และเป็นแรงขับดันให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมนึกย้อนกลับไปก็เข้าใจดีว่า สมัยนั้นก็มีคนแกล้ง กับ คนโดนแกล้งนั่นแหละ ช่วงเวลาเด็กวันรุ่นที่คึกคะนองก็คงอยากเป็นอย่างแรกมากกว่า ผมยังเคยคิดแบบนั้นเลย ในที่สุดผมก็คิดอะไรได้ “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ผมพูดขึ้นมาเสียงดังหลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่ คอปเตอร์ได้แต่ทำหน้างุนงงกับคำพูดของผม ผมยิ้มและตอบกลับไป “จะให้เรายกโทษให้กับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา บอกเลยว่ายาก ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม” คอปเตอร์หน้าซีดลงและลดศรีษะลงเล็กน้อย “แต่จากนี้ก็ขอดูนะว่านายจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า?” ผมพูดต่อ คอปเตอร์หันมามองหน้าผมอย่างุนงง ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้โง่นักนะ “ถึงจะไม่ยกโทษให้แต่ก็คาดโทษไว้ก่อน หากว่าวันไหนนายเป็นแฟนเลวๆ ของเราเสียแล้ว รับรองวันนั้นได้ได้ชดใช้ทั้งต้นทั้งดอกแน่นอน!!” “แปลว่า…..” “อยากเป็นแฟนเราไม่ใช่เหรอ?” คอปเตอร์พยักหน้าระรัว ผมก็พยักหน้าตอบ เท่านั้นแหละ คอปเตอร์โผเข้ามากอดผมเต็มแรง ผมล้มลงไปนอนบนพื้นเตียง ก้นกระแทกสะเทือนไปหมด ผมร้องออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว คอปเตอร์ขอโทษขอโพยไม่หยุด แต่ก็พรมจูบที่แก้มผมทั้งสองข้างไม่หยุดเหมือนกัน …………..
:ling1: :z6:
เสียงเคาะประตูดังมาพักใหญ่แล้ว แต่คอปเตอร์ที่กอดผมไม่ปล่อย ผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุกไปเปิดประตู นับตั้งแต่วินาทีที่ผมออกปากตกลงคบกับเขา คอปเตอร์ก็กอดผมไม่ปล่อยเลย เอาแต่พูดว่าอย่าชดเชยเวลาที่เสียไป “หลายปีที่ผ่านมากอดนายได้แต่ในฝัน แต่ครั้งนี้ได้จับเนื้อหนังเป็นๆ แบบนี้ เราไม่คิดอยากจะปล่อยนายไปไหนเลย” ผมฟังแบบนี่แล้วรู้สึกขนลุก อดที่กรอกตาไปมาไม่ได้ “กูรู้ว่าพวกมึงได้ยินที่กูเคาะประตู อย่าเอาแต่นอนกกกันแล้วไม่สนใจกูได้ไหม กูเอาเวลาพักผ่อนมาหามึงนะ!!” ไอ้ไตเติ้ลตะโกนลั่น ด้วยความรู้สึกอายผมเลยยื่นคำขาดกับคอปเตอร์ว่า หากไม่รีบลุกออกไป ผมจะโกรธและไม่ให้แตะต้องตัวอีก เท่านั้นแหละ ร่างที่สูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็ดีดออกและไปเปิดประตูให้ไอ้ไตเติ้ลอย่างรวดเร็ว คอปเตอร์มองค้อนคนที่เพิ่งเข้ามาตาเขียวที่มาขัดจังหวะความสุขของเขา ผมเอ่ยทักทายเพื่อนด้วยรอยยิ้มเขินๆ กับสภาพตัวเอง ไม่คิดว่าจะให้เพื่อนรักมาช่วยดูแลเรื่องอะไรแบบนี้ของตน แต่ที่แปลกใจกว่าคือคนที่เดินตามมาด้วยห่างๆ ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ผมมองไปที่คนมาใหม่ด้วยท่าทางสับสนสลับกับมองเพื่อนของผมและแฟนใหม่ป้ายแดงของผมที่มีสีหน้าไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมาเลย “แฟนกูเอง!” ไอ้เติ้ลพูดออกมาสั้นๆ เป็นคำตอบ “อะ อ้อ…. เอ่อ สวัสดีครับ” ผมมองคนที่ผมไม่คุ้นหน้าและทักทายอย่างสุภาพ ผมกวักมือเรียกเพื่อนสนิทของผมมาใกล้ๆ พอได้จังหวะผมก็คว้าคอมันลงมาใกล้ผมเพื่อเค้นถามเรื่องคาใจ “สรุปว่า…เป็นผู้ชาย? หน้าตาน่ารักดีนี่หว่า นี่กูนึกว่า จะประมาณดาวมหาวิทยาลัย สรุปเดือนเหรอวะ อันนี้พีค กูไม่รู้เลยว่ามึงจะ มีรสนิยมแบบนี้!!” “นี่มึงบูลลี่กู อย่างมึงนี่ไม่น่าว่ากูได้นะ!!” “อย่างน้อยกูก็ชัดเจน ไม่เหมือนมึง!!” “กูไม่ได้สนเพศนี่หว่า หากชอบกูก็จีบแค่นั้น แต่คนนี้พิเศษหน่อย!!” “พิเศษยังไงวะ!!??“ แล้วไอ้เติ้ลก็สบัดคอให้หลุดจากการควบคุมของผม “นี่มึงไม่เคยเล่าเชี้ยอะไรให้เพื่อนกูฟังจริงง่ะ?” ไอ้เติ้ลหันไปหาคอปเตอร์อย่างอ่อนใจ “อยากให้มึงเล่าเอง!” แฟนป้ายแดงผมตอบ ซึ่งผมก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้นจริงๆ “สัด!!! โยนขี้ให้กูเสียอย่างนั้น” พูดเสร็จมันก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว “ศรัณย์.. มานี่หน่อยสิ!” ไอ้เติ้ลเรียกคนที่บอกว่าเป็นแฟนมาใกล้ๆ “มึงมองให้ดีๆ จำไม่ได้จริงๆ น่ะ?” ผมมองตามที่มันบอก แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชายหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวสุภาพ ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม ทรงผมยาวกว่ารองทรงพอสมควร ผมแสกข้างด้านหน้าที่ยาวเหมือนขาดการตัดผมไปหลายเดือน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ขาวเนียน หน้าออกแนวหวานมากกว่าหล่อ หนวดก็โกนได้เกลี้ยงเกลาจนแทบไม่เห็นตอขน แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาวสะอาดแขนยาวและกางเกงผ้าทรงสุภาพที่เข้ารูปกำลังดี คนที่ดูโดดเด่นแบบนี้ผมน่าจะจำได้สิ แต่กลับแค่คุ้นเคย แต่นึก ไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน หากเคยเป็นเดือนคณะฯ จริงๆ ผมคงจะรู้จักบ้าง เพราะสังเกตได้จากตราที่เข็มขัดจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน “โง่จริง!! ถ้ากูเรียก ไอ้เข้มล่ะ“ ไอ้เติ้ลเหล่มองผมอย่างละอาใจ “คุ้นนะ แต่เราไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักชื่อ ‘เข้ม’ อะไรนั่น……เข้มเดียวที่กูรู้จักก็……….” พูดพลางคิดพลางก็สำรวจที่คนมาใหม่นี่อีกรอบ สุดท้ายผมก็มองแฟนเพื่อนด้วยตาโตกว่าปกติ “ว่าไง!!” แฟนของเพื่อนสนิทเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเข้มต่างใบหน้าหวานๆ และพลางทำท่าทักทายที่เราแสนจะคุ้นเคย เพราะหากเจอคำทักทายแบบนี้ แปลว่าพวกผมโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษแล้ว!! “ไอ้เชี้ยเข้ม ไอ้บูลลี่ปากหมาคนนั้นน่ะนะ!!” ผมพูดขึ้นพลางชี้ไปที่คนที่แต่งกายสุภาพคนนั้น “สัด!! กว่าจะนึกออก!!” เพื่อนผมถอนหายใจ “ไอ้เชี้ยก็มันต่างจากภาพลักษณ์ที่จำได้อย่างกับฟ้ากับเหว!!” ผมผายมือไปทางไอ้เข้ม เหวี่ยงมือขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า “หน้าดำๆ มันๆ ไว้หนวดเฟิ้ม เสื้อผ้าก็ยับๆ ผิดระเบียบ ตั้งแต่เข็มขัดยันรองเท้า เตะบอลเหงื่อออกทั้งวันแบบนั้น ใครจะไปเชื่อวะ ว่าจะเปลี่นนไปได้ขนาดนี่!!” ผมเล่าความในใจเสียงดังแบบไม่ปิดบัง “พูดเสียเราอยากรังเกียจตัวเองเลย” ไอ้เข้มผ่อนลมหายใจ แล้วก็ทำหน้าหดหู่ทันที ส่วนเสียงนั่นปรับเป็นโทนเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ต่างจากเมื่อครู่ “ขืนกูให้เมียกูเป็นแบบเดิมก็แย่ดิวะ กว่าจะดัดสันดานได้ขนาดนี้!!” ไอ้เติ้ลพูดสวนขึ้นมาด้วยสีหน้าภูมิใจ “ไม่ต้องพูดเลย หากไม่รักจะยอมทำขนาดนี้ไหมเนี่ย!!” ไอ้เข้มทำสีหน้างอนๆ ใส่ไอ้เติ้ล ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตามาก ไม่คิดว่าชาตินี้ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเด็กเนิร์ด จะกลายเป็นเด็กเนิร์ดเสียเองแบบนี้ ไหนจะท่าทีอ่อนหวานพวกนั้นอีก แล้วไอ้เติ้ลไปดัดนิสัยประมาณไหนเนี่ย!! “กูว่าไม่ต้องดัด เพราะมันเป็นอินเนอร์!!” เสียวคอปเตอร์แทรกขึ้นมาระหว่างที่คู่รักสองคนนั้นกำลังมองหน้ากันเหมือนชวนทะเลาะ นับแต่วินาทีนั้น ก็มีแต่เสียงพูดคุยกันระหว่างสามคนนั้นที่ผมฟังแล้วเวียนหัว แต่ก่อนที่จะคุยกันไปมาไม่จบ ไอ้เติ้ลที่เพลียจากการเข้าเวรมาก็ขอให้รักษาใส่ยาให้ผมให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อย เลยให้ไอ้เข้มไปรอที่ห้องของคอปเตอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนออกไปไอ้เข้มได้บอกว่า เราไม่ได้ชื่อเข้มหรอกนะ อันนี้เราตั้งเองเพราะชื่อเล่นจริงของเรา บอกไปคงไม่มีใครกลัว “คุโร น่ะเหรอ” แฟนเขาแซวขึ้นมา “ก็จริงนะ!! น่ารักเชียว” ไตเติ้ลพูดพลางพลางยิ้มหวาน ส่วนคุโรยิ้มอย่างเขินๆ แล้วก็หันหลังเดินไป แต่ก่อนจะออกจากประตู เขาก็หันกลับมาพูดกับผม เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “เรียกศรัณย์เถอะ เหมือนไอ้คอปเตอร์ไง ง่ายดี” ผมหันไปหาแฟนป้ายแดงของตัวเอง แล้วสื่อสารประมาณว่า เรามีเรื่องต้องคุยกัน!! ส่วนคอปเตอร์นั้นผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป เพราะมันบอกว่า นอนเปลือยด้วยกันทั้งคืน ขนาดนี้ แถมใช้มือสัมผัสผมแทบจะทุกส่วนแล้วจะอายอะไรกัน ผมได้ถอนหายใจแล้วปล่อยมันอยู่ต่อโดยมีไอ้เพื่อนทรยศอย่างไอ้หมอเถื่อนสนับสนุนว่า “อย่างมึงทำแผลแบบนี้คนเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีคนช่วย ให้ผัวมึงช่วยเถอะ!!” ฟังแล้วอยากหารองเท้ายัดปากมัน ผมกัดฟันกรอดๆ แต่แทนที่ไอ้เติ้ลมันจะสำนึก มันกลับสวนกลับด้วยคำพูด “หรือมึงจะเถียง!!” ผมเลยตัดสินใจเลิกสนใจมันและมุ่งสมาธิกับการรักษาแผลตัวเองดีกว่า ไอ้เติ้ลเข้าสู่โหมดแพทย์วิชาชีพที่จริง อธิบายเรื่องยาและเรื่องการทำแผลด้วยศัพท์วิชาการและน้ำเสียงน่าเชื่อถือ ส่วนคอปเตอร์แม้ผมจะมองไม่เห็นหน้า แต่คิดว่ามันคงตั้งใจน่าดูเพราะแทบไม่ได้ยินเสียงมันเลย หลังจากทำความสะอาดแผลและสอดยาเรียบร้อยโดยคอปเตอร์ ผมก็ได้แต่ลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางที่ไม่ได้สบายตัวเท่าไหร่นัก แอบยอมรับว่าคอปเตอร์มันเป็นห่วงผมจริงๆ ในทุกขั้นตอน ผมก็เลยไม่สามารถบ่นหรือตำหนิมันได้เลย “มึงอยากจะเคลียร์เลยไหมล่ะ!!? ไม่งั้นกูจะไปนอนกกเมียแล้ว!!” ไอ้เติ้ลผู้ไม่เคยสำนึกกับอะไรเอ่ยขึ้นมาพร้อมจ้องหน้าผมเหมือนเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นความผิดของผม “กูเจ็บ กูว่าจะปล่อยผ่าน แต่เห็นหน้าเชี้ยๆ ของมึงแล้วกูอยากจะเคลียร์เลย!!” ผมคิ้วขมวดกลับ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือ ไอ้คอปเตอร์มันก็แค่บลัฟผมเท่านั้น มันคงไม่คิดว่าผมจะกล้าเอ่ยปากขอเคลียร์เลย ไอ้ไตเติ้ลมันมีสีหน้าลนลานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาแฟนตัวเอง ศรัณย์เดินเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพและเรียบร้อย ภาพเก่าที่เคยทับซ้อนอยู่บนความกลัวในหัวของผม มันค่อยๆ เลือนหายไป ผมไม่รู้ว่าไอ้ไตเติ้ลมันทำแบบไหนถึงได้ทำให้คนนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้ “เราขอเล่าก่อนก็แล้วกัน จริงๆ เรื่องของเรามันก็เป็นพรหมลิขิตล้วนๆ เลยนะ แต่อาจจะใช้โอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์เท่านั่นเอง” คอปเตอร์ยกมือขึ้นขนาดกับศรีษะตัวเอง ผมพยักหน้าและตั้งใจฟัง ก่อนที่จะฟัง ผมก็แอบเห็นด้วยนะ เพราะการที่ผมอยากมาฝึกงานที่นี่ก็เพราะตัวผมเอง ผมไม่เคยบอกไอ้ไตเติ้ลเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเรียนหนักกว่าผมอีก ก็เลยปล่อยผ่าน ดังนั้นเรื่องที่มันพูดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว คอปเตอร์ยอมรับว่าค่อนข้างช้อคและทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอผมอีกครั้งในสถานที่เดียวกัน และยอมนับว่าสับสนว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีสุดท้ายก็ต้องแสดงออกไปว่าจำไม่ได้ เพราะอยากสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันใหม่ แต่เพราะว่าศรัณย์ซึ่งตอนนี้เป็นแฟนของไอ้เติ้ลแล้วนั้นรู้เรื่องก็เลยหลุดปากเรื่องที่ผมกับคอปเตอร์พบกันอีกครั้ง (คอปเตอร์ที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรจึงได้มาปรึกษากับศรัณย์ทุกวัน เรื่องก็เลยถึงหูไตเติ้ลที่ชำนาญการเรื่องความเผือกเป็นลำดับต้นๆ และคงไม่ต้องบอกนะว่าศรัณย์โดนอะไรบ้างเมื่อ ศรัณย์พยายามปิดบังไม่ให้ไตเติ้ลรู้เรื่อง เพราะศรัณย์อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป ผมขอเซ็นเซอร์ไม่เล่านะ ให้รู้แต่ว่า วันต่อมาศรัณย์แทบเดินปกติไม่ได้ (ไอ้ซาดิสต์เอ้ย!!) ในที่สุดคนที่รู้เรื่องของทั้งสองฝ่ายอย่างไอ้เติ้ลมันก็เริ่มคิดแผนรวบรัด เพราะผมดันเผลอไปเล่าให้มันฟังเรื่องที่เจอคอปเตอร์ในที่ฝึกงาน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน หลังจากเรื่องของผมกระจ่าง ผมจึงเพ่งเป้าหมายใหม่ไปที่มันทันที “พวกมึงคบกันได้ยังไง!” “เรื่องมันยาววววว” “กูว่าง!!!” “ไม่เสือกสักเรื่อง!!” “กูเพื่อนมึงนะ” “ยกเว้นกูไว้สักคนนะ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกูก็ได้” “ไอ้สัด!!” ผมโมโห จนอยากจะกระโดดต่อยหน้ามันสักหมัด แต่ตอนนี่คงได้แต่กำหมัด “ให้แฟนมึงเล่าให้ฟังสิ” ไอ้เติ้ลหันมายิ้มให้คอปเตอร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล คอปเตอร์สีหน้าเจื่อนๆ และตอบกลับมาด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ “เรื่องนี้ศรัณย์ไม่อยากให้เล่านะ อีกอย่าง เราก็รู้แต่มุมของฝั่งศรัณย์ด้วย” “ผัวมึงเชื่องดีนะ!!” ไม่เคยนึกเลยว่าไอ้เติ้ลมันจะห้าวได้ขนาดนี้ อะไรไปเปลี่ยนมันได้ขนาดนี้วะ “เออ ก็ได้วะ!!” ผมมองหน้ายิ้มอ่อนของศรัณย์แล้วก็รู้สึกยอมแพ้ “นิดหน่อยก็ได้ แต่ให้คอปเตอร์เล่าก็แล้วกัน” “เอาจริงน่ะ” คอปเตอร์ทวนสอบให้แน่ใจ “คร่าวๆ สิ!” แว่บหนึ่งที่เห็นความโหดของสีหน้าเก่าๆ ของศรัณย์แทรกมา “เออๆ งั้น…..ค่อยเล่าให้ฟังวันหลังได้ไหม?” คอปเตอร์หันมาขออนุญาตผม ซึ่งผมก็เข้าใจ จึงพยักหน้าตอบไป หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องการดูแลตัวเอง และเพศศึกษาฉบับชายรักชายที่คุณหมอมือใหม่อย่างไอ้เติ้ลเทศนามาเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะโอบกอดศรัณย์จนตัวลอยและพาออกจากห้องไปด้วยใบหน้าที่หื่นกระหายอีกฝ่าย 1000% แขกสองคนออกจากห้องไปหลายนาทีแล้วแต่ในห้องที่อยู่ระหว่างผมกับมันก็ยังคงเงียบสงบ อาจเพราะความไม่คุ้นเคยกับสถานะใหม่ ที่กระทันหันปรับตัวไม่ทัน จึงได้แต่นั่งมองหน้ากันอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างหลบตา และพยายามที่เอื้อนเอ่ยสื่อสารกัน แต่ก็ต้องหยุดตัวเองไว้เพราะ มันเหมือนมีบรรยากาศใหม่ๆ แฝงตัวอยู่ในบรรยากาศของห้องจนมวลอากาศหนักอึ้ง “เอ่อ…. เรื่องไอ้…เอ้ย ศรัณย์กับไอ้เติ้ลน่ะ เล่าให้ฟังได้ไหม?” ผมชิงทำลายบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ก่อน แปลกๆ นะ ที่เราเลยขั้นนั้นมาแล้ว แต่ยังเอียงอายกับการอยู่สองคนลำพังแบบนี้ “เราก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนะ จริงอยู่ที่เราสนิทกับศรัณย์ แต่ก็สนิทกันแค่ช่วงผิวเผินช่วงแรก เพราะสังคมช่วงนั้นมันพาไป ศรัณย์มันมาเฉลยที่หลังว่ามันหมั่นไส้เรามากที่ดีพร้อมทุกอย่าง เลยพยายามเอาเข้ามาเป็นพวกเกเรด้วยกัน คือมันมีปมนิดหน่อยน่ะ” คอปเตอร์พูดไปก็ทำหน้านึกย้อนไปด้วย ก็น่ารักดี เวลาไม่ได้เซ็ตผมแบบนี้ พูดด้วยท่าทางสุภาพแบบเด็กๆ แบบนี้ก็น่ารักดีนะ ผมอาจจะเผลอยิ้มจนอีกฝ่ายหยุดพูดและจ้องเขม็งมาด้วยความแปลกใจ “อะไร?!?” ผมถามย้อนเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหยุดจ้องผมแบบนั้นได้แล้ว “ก่อนเล่าต่อ เราขออะไรอย่างหนึ่งสิ?” “????” ผมทำหน้าสงสัยตอบกลับไป “ขอเข้าไปนั่งใกล้ๆ ได้ไหม?” แน่นอนผมตอบว่า ‘ได้’ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย ผมขยับตัวมาพิงหัวเตียงและเหลือพื้นที่ให้อีกฝ่ายมานั่งพิงหัวเตียงข้างๆ ได้ แต่หลังจากที่คอปเตอร์มาถึงพื้นที่ๆ ผมเว้นไว้ให้ เขากลับแทรกแขนตนเองอ้อมไปที่ด้านหลังของผม และใช้แรงโอบไหล่ผมกระชับเข้ามาใกล้ ผมเสียหลังเอียงคอไปซบไหล่อุ่น ๆ ของอีกฝ่าย ความรู้สึกแรกคือ ผมจะโวยวายที่มันถือวิสาสะขนาดนี้ แต่พอได้ซบลงพอดีและลงตัว ความอบอุ่นและความสบายตัวมันเพิ่มขึ้นมาอย่างท่วมท้น ในใจกลับได้รับการเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด สุดท้ายผมทำได้แค่ปล่อยตัวไปตามสบายและฟังเสียงนุ่มๆ ของคอปเตอร์เหล่าให้ฟังผ่านเส้นเสียงที่ดังจากภายในอก แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่า ฟิน! คอปเตอร์เล่าต่อทันทีหลังจากทุกอย่างลงตัว เขาแอบยิ้มอย่างลืมตัวจนผมรู้สึกได้จากภาพสะท้อนของชั้นวางกระจกที่มุมห้อง ………………….
ชอบจังงงงงงง
:o8: :-[
ชอบจังงงงงงง ขอบคุณที่ชอบครับ
บทที่ 11 Obsessedผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนอย่างงงงวย เพราะมันช่างว่างเปล่าและมืดมิด ม่านที่ไหวหวิวเพราะลมของเครื่องปรับอากาศที่ถูกปรับจนเต็มความแรงลม เสียงนาฬิกาปลุกที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ดังขึ้นเรื่อยๆ จนแทบอยากจะขว้างทิ้ง แต่เสียดายที่มันแพงเหลือเกิน ในที่สุดจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดอย่างอารมณ์ไม่แจ่มใสนัก เมื่อคืนจำได้ลางๆ ว่านอนซบคอปเตอร์อยู่แล้วก็วูบไปเลย จำอะไรไม่ได้แล้ว (นี่ผมติดมันขนาดนั้นเลย?) หลังจากนั้นผมก็ตื่นมาบนที่นอนอย่างเดียวดาย ในใจมันวูบไหวว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูกไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงรู้สึกแบบนี้ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเสียเท่าไหร่ ขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดไฟโดยเดินตามแสงพรายที่เรืองแสงอยู่ที่ข้างประตูห้องน้ำไม่ไกล ประตูบานใหญ่ทางเข้าห้องก็เปิดกว้างขึ้นอย่างช้าๆ และแสงสว่างจากภายนอกสาดไปทั่วห้อง “อ้าวตื่นแล้วหรือครับ?” คนที่เดินเข้าประตูเอ่ยทัก ผมรู้สึกโล่งอกอย่างประหลาดที่เรื่องที่ผ่านมาเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน มีแรงสั่นเพื่อมอย่างประหลาดในอกและ กำลังวังชาเหมือนจะฟื้นคืนมาระดับหนึ่ง ผมน่าจะเผลอยิ้มออกมาด้วยซ้ำ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?!? “เราออกไปซื้อมื้อเช้ามา จะได้กินมื้อเช้าก่อนกินยา” คอปเตอร์ยกถุงอาหารขึ้นมาให้เห็นเป็นเหมือนพวงองุ่น “บ้าเหรอ ใครจะไปกินหมด!!” ผมตอบกลับไปแบบนั้น แต่หน้าร้อนผ่าวไปหมด “ก็เราไม่รู้ว่านายจะอยากกินอะไรนี่นา” “เออๆ ไม่เป็นไร เราไปอาบน้ำ แปรงฟันก่อนนะ” “เดี๋ยวก่อน!!” คอปเตอร์เอ่ยทักเสียงดัง ผมหันไปดูสีหน้าคนพูดอย่างตื่นตระหนก ”เอ่อ…. เราอาบด้วยสิ!!” “ไม่เป็นไร เราอาบเองได้” “รู้! แต่ อยากอาบด้วย” ผมอึ้งไปพักใหญ่ หน้าร้อนขึ้นไปอีก “เราไม่น่าจะอายกันแล้วนะ” “แต่เรายัง……..อะ….” ตอบไม่ถูกเลยผม “งั้นไม่เป็นไร” คอปเตอร์ยิ้มหงอยหลังจากพูดจบประโยค ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างลังเล ก่อนจะปิดประตู ผมดันเผลอพูดไปว่า “ไม่ได้ล็อกประตูนะ อยากอาบน้ำก็เปิดเข้ามา” ที่เหลือคงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น ……. วันนี้มาทำงานเหมือนปกติ ผมมองบรรยากาศโดยรอบเห็นพี่ๆ พนักงานประจำทยอยเดินเข้ามาทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย แม้ภาพจะเป็นแบบนั้นแต่ผมรู้ว่าเมื่อถึงเวลาทำงานพี่ๆ เขาทำงานกันอย่างจริงจังมาก ผมยกยิ้มมุมปากอย่างไม่ตั้งใจ พลางรู้สึกใจหายที่อีกไม่กี่สัปดาห์ ผมจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เสียแล้ว ผมเดินมาถึงห้อง วางสัมภาระตนเองลงตรงที่ประจำตัว จ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดขึ้นและกำลังประมวลผลแสดงภาพอยู่ คนที่เดินตามผมไม่ห่างก็ได้เอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่กระแทกก้นนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว “เป็นอะไร เห็นเหม่อมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว?” “เปล่า แค่รู้สึกใจหายนิดหน่อย ใกล้จบฝึกงานแล้วนี่นา” “อยากมาทำงานที่นี่ก็ไม่เห็นจะยากเลย!” “มีตำแหน่งงานว่างเหรอ?” “ไม่รู้ แต่จะให้มีก็ไม่ยาก” “ไม่เอา ไม่ทำแบบนี้สิ เราอยากใช้ความสามารถของตนเองมากกว่า!” “แต่เราว่าวินมีความสามารถนะ เก่งขนาดนี้ น่ารักขนาดนี้ ใครไม่รับทำงานถือว่าโง่มาก!” พูดจบคอปเตอร์ก็ดึงมือผมจนเสียหลักและเซไปนั่งตักเขาทันที “จะบ้าเหรอ นี่มันที่ทำงานนะ!!!!” ผมรีบขัดขืนทันทีแต่ก็สู้แรงกอดของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาโอบรัดเอวผมอย่างรวดเร็วและเอาหน้าซุกลงที่กลางหลังผมอย่างแนบชิด ลมหายใจอุ่นๆ กระทบแผ่นหลังผม อยู่เนื่อง ๆ พี่ท้อปที่เดินเข้ามาทักทายเพื่อมอบหมายงานให้เป็นปกติทุกเช้าก็ต้องมาเป็นประจักษ์พยานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไป เขิน…. ผมพูดได้คำเดียว “เอ่อ….. จะให้เข้ามาอีกที หลังจากนี้ไหม?” พี่ท้อปถามพลางมองไปทางอื่น “ได้ครับพี่ ขอบคุณครับ” คอปเตอร์ตอบแทบจะทันที “ไม่นะ ไม่ใช่สิ! คอปเตอร์ปล่อย!! ไม่งั้นจะโกรธนะ” และแล้วทุกอย่างก็กลับสู่สิ่งที่ควรจะเป็น ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของพี่ท้อป “งั้นน้องวินมาคุยกับพี่ที่โต๊ะหน่อยสิ” พูดจบพี่ท้อปก็ปิดประตูและเดินกลับไปทันที “ก้างขวางคอ!!” คอปเตอร์ทำสีหน้าที่ต้องการสบถแรงกว่านี้แต่เกรงใจผมที่หน้าหงุดหงิดใส่ตั้งแต่พี่ท้อปเดินจากไปอย่างอึดอัด “เราตกลงกันแล้วนี่ ให้ทำตัวเหมือนเดิมระหว่างที่อยู่ที่ทำงาน” “ก็มันอดไม่ได้นี่นา แฟนน่ารักขนาดนี้” คอปเตอร์ทำหน้ายู่เป็นเด็กเอาแต่ใจ ผมผ่อนลมหายใจออกมาหมดปอด ไม่คิดว่าตนเองจะไปเปิดกล่องแพนดอร่าของไอ้คอปเตอร์เข้า ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคน “เลือกเอาว่าจะอดที่นี่หรือที่ห้อง!!” ผมยื่นคำขาดซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี “ที่นี่ผมจะอดทนครับ!” คอปเตอร์ตอบพร้อมทำท่าทำความเคารพเหมือนตำรวจยกมือขึ้นเทียบหางคิ้ว เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจริงๆ ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นมุมนี้ของไอ้คนเถื่อนคนนี้ ผมส่ายหน้าแล้วเดินหนีออกจากห้อง ผมแอบมองเห็นสายตาหมาหงอยเวลาเจ้าของไม่อยู่บ้านจากคอปเตอร์ชัดเจน คนไม่เคยจริงจังกับใครอย่างผมถึงกับใช้หน้ามือตบที่หน้าผากตัวเองเบา ๆ หลายครั้ง พยายามอย่ายอมแพ้กับภาพน่ารักตรงหน้า อย่าใจอ่อนกับเขาเด็ดขาด …………
:jul3: :laugh:
:hao6:สนุกมาก รอตอนต่อไป
………… “พี่แค่จะถามว่า งานโปรเจ็คถึงไหนแล้วให้พี่ช่วยไหม?” แก้มกลมของพี่ท้อป เปล่งสีชาดพร้อมกับรอยยิ้มที่บาน เขาจะรู้ตัวไหมว่า เขาควบคุมตัวเองเวลาตื่นเต้นไม่ได้ “พี่จะถามเรื่องนี้จริงน่ะ?” ผมสวนกลับไปด้วยความไม่เชื่อหูตัวเอง “จริงสิ!! เห็นพี่แบบนี้ พี่ก็ช่วยคนเรียนจบมาเยอะนะ” “งั้นดีเลยเดี๋ยวผมไปเอาโปรเจ็คมาให้พี่ช่วยดูหน่อย” “แต่ก่อนพูดเรื่องงาน พี่ถามอะไรหน่อย?” นั่นไง!!!! มาแล้วครับ เผือกร้อนในอกมันเก็บไม่อยู่ ผมพยักหน้าพร้อมรับแรงกระแทกจากคำถาม “ดูพวกเราก้าวหน้าขึ้นนะ สรุปว่ายังไงกัน?” พี่ท้อปเข้าสู่โหมดจริงจังเสียยิ่งกว่าเมื่อสักครู่ “หมายถึง……” ผมพยายามขยาย แต่ดูสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร “ผมกับคอปเตอร์?” “ใช่ๆ ไหนว่าไม่ชอบหน้ากันไง หรือว่าจะประมาณ เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น!!” โดนจู่โจมขนาดที่ว่าไม่ให้พักหายใจกันเลย หลังจากโดนเซ้าซี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายผมก็ยอมเฉลยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคอปเตอร์ แต่เอาที่พอจะบอกได้ เรื่องบนเตียง ผมขอข้ามไปให้หมดเลย “เห็นไหมล่ะ!!” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นหลังผนังกั้นที่สูงไม่เกิน 1.50 เมตร ทำให้เห็นร่างของต้นเสียงชัดเจน พี่เชอร์รี่ประชาสัมพันธ์สาวสวยยึดตัวขึ้นพร้อมกำมือขึ้นเสมออก แสดงถึงความมีชัยของตน ผมอุทานชื่อคนที่ยืดตัวขึ้นมาอย่างตกใจ ไม่ใช่แค่นั่น ด้านหลังผนังกั้นรอบๆ ก็มีเงาศรีษะอีกหลายคนปรากฏขึ้น “ทุกคนต้องจ่ายฉันจ้า“ พี่เชอร์รี่ แบมือและขยับนิ้วเข้าหาตัวเองเป็นการเรียกทรัพย์จากคนโดยรอบ ท่ามกลางสายตาที่แสดงความประหลาดใจปนผิดหวังจากผมส่งไปหาทุกคนโดยรอบ “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าชายขั้วโลกเหนืออย่างนั้นจะมาตกหลุมเสน่ห์ผู้ชายสไตล์น่ารักๆ แบบน้องวินแบบนี้ คนสวย คนหล่อมาจีบเจ้าชายก็เยอะ ไม่เห็นเคยสนใจใคร แม้แต่พี่เอกเองก็…..” หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพี่เชอร์รี่บ่นขึ้นเสียงดัง ในขณะถึงท้ายประโยคที่เอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ควรจะเอ่ย ทุกคนก็ทำเสียง จุ๊ๆๆๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เว้นพี่คนหนึ่งนะเพราะพี่สนิทกับวินมาก พี่ว่ามันมีเคมีบางอย่างที่ น้องวินมี ใครไม่หลงก็แย่แล้ว!! พี่ยังคิดว่าน้องวินน่ารักเลย หากยังไม่มีเมียนะ คงจีบ!!” พี่ท้อปพูดติดตลก ทำให้ผมผ่อนคลายหายประหม่า และลดความร้อนในใจลงไปได้บ้าง “ชิส์ ฉันลืมแกไปเลย อีท้อป!! นึกว่าจะแต่ฉันที่ได้พนันไปคนเดียว!! แล้วก็แน่ใจนะที่พูดออกมาน่ะ สงสารน้องวินนะที่จะต้องโดนเมียแกมาแหกอกน่ะ!!” “แค่พูดขยายไหม ไม่ได้จริงจังเสียหน่อย!! ว่าแต่ พี่ขอโทษนะ ที่ต้องมารู้เรื่องไร้สาระของพวกพี่ พี่รู้ว่ามันเหมือนไม่ให้เกียรติวินเลย พี่ขอโทษนะ” พี่ท้อปแสดงความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็น ทั้งที่ปกติไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นเท่าไหร่ ทำให้ผมพอที่จะทำใจให้อภัยได้บ้าง “ผมเข้าใจครับ และหวังว่าพี่จะช่วยผมทำโปรเจ็ค และการประเมินฝึกงานให้ผมจริงๆ นะ!!” ผมยิ้มกลับอย่างเยือกเย็น พี่ท้อปรับปากด้วยท่าทางหวาดๆ “อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอก แฟนน้องวินนะ” “ก็อยู่ที่ว่า พี่จะช่วยผมแบบไหน?” ”พี่เต็มที่แน่นอนครับ” เหงื่อพี่ท้อปไหลชะโลมแก้มเปล่งปลั่งดั่งมะเขือเทศของพี่ท้อป ผมหัวเราะกับท่าทางของพี่ท้อป บอกกลับไปว่าผมล้อเล่น ผมเข้าใจ แต่ช่วยอย่าพนันอะไรเรื่องผมอีกก็เท่านั้นเอง …….. ผมเดินกลับไปที่ห้องทำงานสำหรับนักศึกษาฝึกงานเพื่อไปส่งไฟล์โปรเจ็คที่ผมร่างไว้ให้พี่ท้อปช่วยทบทวนถึงข้อมูลในเล่ม แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาทันทีที่มาถึงห้องคือ แฟนใหม่ป้ายแดงของผมที่นั่งกอดอก คิ้วขมวดจ้องมองมาที่ผมด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก “นาน!! นานมาก!!” คอปเตอร์พูดด้วยเสียงแข็งกร้าว แต่แปลกใจตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนที่ผ่านๆ มา ยิ่งกลับรู้สึกอยากแกล้งขึ้นไปอีก “ไปทำงานครับ!!” ผมตอบห้วนๆ พร้อมเดินไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปิดตัวลงเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ ผมจัดการเปิดขึ้นใหม่และหาไฟล์งานตนเองอย่างตั้งใจ โดยพยายามไม่สนใจคนที่พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่ด้านข้าง “ทำงานอีกแล้ว!!” “เราไม่ได้คาบช้อนเงินข้อนทองมาเกิดแบบนายนี่!!” “จะส่งโปรเจ็คให้ใคร?“ ทุกการกระทำของผมอยู่ในสายตาคอปเตอร์ “พี่ท้อปจะช่วยดูให้น่ะจะได้เสร็จเร็วขึ้น” “เราก็ดูให้ได้นะ” “พี่ท้อปเขาประสบการณ์เยอะกว่า ให้เขาช่วยเถอะ” “ไม่เห็นยากเลย!!” “แต่นายไม่ใช่คนที่ช่วยประเมินเรานะ!!” “……..” คอปเตอร์เหมือนพยายามคิดอะไรบางอย่างในใจอยู่ มันแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน “หยุดเลย! มีแผนอะไรอีก คิดอะไรไม่ดีอยู่ก็หยุดเลย เจอกันตอนเที่ยงนะ” ผมจัดการส่งไฟล์เสร็จก็รีบผละออกจากโต๊ะทันที แต่อยู่ๆ ผมก็ถูกแรงมือของอีกฝ่ายฉุดให้ลงมานั่งที่ตักของคอปเตอร์ และกอดแน่นไม่ปล่อย “เฮ้ย !! อะไรน่ะ!!” “กว่าจะเจอกันก็เที่ยงเลย ผมขอชาร์จพลังเก็บไว้หน่อย” คอปเตอร์พูดจบก็ซุกสันจมูกของเขาลงมาที่กลางหลังของผม และสูดลมหายใจเข้าไปในปอดอยู่หลายฟืด ก่อนที่จะปล่อยผมไปด้วยสีหน้าเหงาหงอย ผมเดินไปหาพี่ท้อปด้วยท่าทางมึนงง ไม่คิดว่าจะมีแฟนที่ติดกับตัวเองขนาดนี้ ผมจะไหวกับพฤติกรรมมันไหมเนี่ย? ………….. ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีการให้คำปรึกษาของพี่ท้อปนั้นดีกว่าที่คิดมาก งานของผมคืบหน้าจนเรียกได้ว่าเหลือเพียงเรียบเรียงเป็นรูปเล่มให้เหมาะสมเท่านั้น สมกับเป็นมืออาชีพที่ทำงานด้านนี้มานาน รู้แบบนี้ เดินมาปรึกษาตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะแยกย้ายกลับห้อง ผมจึงถามเรื่องที่คาใจผมอยู่พักใหญ่ “พี่ท้อปครับ คืองานที่ผมทำกับพี่โจโจ้……” “จะถามเรื่องงานหรือเรื่องพี่โจโจ้ล่ะ?” ผมขยับมุมปากยิ้มอ่อนตอบไป เพราะพี่ท้อปน่าจะรู้คำตอบ “เฮ้อ…. เสียดายนะ งานนั้นเกือบเสร็จแล้วด้วย ไม่น่าเลยนะพี่โจ้ ไม่รู้อะไรดลใจ พี่รู้แต่ว่า งานนั้นพี่เอกรับกลับไปทำเองแล้ว ส่วนพี่โจ้ก็….. หลังจากโดนสืบสวนทางวินัยแล้ว เขาก็ขอลาออกเอง….. ทุกคนที่นี่รู้นะว่าพี่เขาเจ้าชู้น่ะ ถึงขึ้นได้ฉายา ผู้พิชิตนักศึกษาฝึกงาน' แต่ที่ผ่านมาทุกคนก็ดูเต็มใจ เพราะพี่โจ้มันหล่อ แต่ก็แปลก มันไม่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นแบบนี้ ทุกคนเลยตีความไปว่า วินน่าจะตรงสเปกพี่เขามาก!!” “ว่าไปนั่น อย่างผมเนี่ยนะ!!” “อย่าให้พี่ต้องอธิบาย ขนาดคุณคอปเตอร์..” “แต่คอปเตอร์ เขามันต่างกันนะ คือ….” ผมพูดแย้งขึ้นมาแต่ก็ต้องหยุดเพราะคิดว่าเรื่องมันคงซับซ้อนเกินไป คอปเตอร์เองก็คงไม่อยากให้ใครรู้ “คุณคอปเตอร์ ทำไมหรือ?” พี่ท้อปทำหน้าสงสัย คำพูดของผมคงไปกระทุ้งต่อมเผือกของพี่เขาอีกครั้ง “น้องวิน มาหาพี่หน่อย!!” ระหว่างที่ผมกำลังคิดคำตอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก็เหมือนมีพระมาโปรด พี่เอกเดินมาจากไหนไม่ทราบ ยืนเรียกหาผมอยู่ไม่ไกล ผมรีบขอตัวกับพี่ท้อปทันที ผมเดินตามพี่เอกมาจนถึงห้องทำงานส่วนตัวของพี่เอก ผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูอย่างลังเลที่จะเดินเข้าไป เพราะบริเวณนี้มันอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุของตนเองเท่าไหร่ ทำให้ใจมันหวาดหวั่นชอบกล ในที่สุดผมก็สูดลมหายใจเต็มปอดเพิ่มกำลังใจตนเองแล้วก้าวเท้าเข้าห้องตรงหน้าไปทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้พร้อมเท่าไหร่ “พี่ว่าจะกล่าวขอโทษน้องวินอย่างเป็นทางการและแสดงความรับผิดชอบโดย ยินดีที่จะลาออกทันทีที่หาคนมาแทนพี่ได้” คำพูดแรกจากพี่เอกที่เอ่ยขึ้นทันทีที่ผมปิดประตู ทำให้ผมไม่ได้ตั้งตัวกับการกระทำแบบนี้ ผมหันมาหาพี่เอกที่ต้นเสียงก็พบว่าพี่เอกยืนก้มศรีษะต่ำขนานพื้นอยู่แบบนั้น “พี่ครับ แบบนี้ ผมก็ลำบากใจนะครับ บอกตามตรงนะครับ ว่าผมน่ะโกรธและไม่ชอบการกระทำของพี่มากๆ ผมไม่ขอเข้าใจนะครับว่าอะไรทำให้ความคิดของพี่บิดเบี้ยวแบบนั้น อีกในหนึ่งเพราะความที่ผมไม่เข้าใจนี่แหละก็เลยไม่รู้จะโกรธพี่ตรงไหน รู้แต่ว่าหากผมรักใครสักคน คงไม่ทำอะไรแบบนี้” ผมพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง ปกติผมจะถนอมนำ้ใจคนฟังเลยไม่พูดตรงๆ แต่กับคนนี้ผมกลับพูดออกไปแบบนั้นอย่างไม่มีการยั้งคิดอะไร “รู้สึกเหมือนโดนสอนอยู่เลย ไม่แน่ใจว่าใครโตกว่าเลยนะ” “เห็นผมยังเด็กแบบนี้แต่ผมก็ผ่านอะไรมาเยอะนะครับในชีวิต” พี่เอกฟังที่ผมพูดจบก็เค้นยิ้มออกมาบางๆ “พี่ขอสรุปเลยว่า เราไม่ให้อภัยพี่” “เรื่องนั้น ในฐานะคนเป็นเหยื่อกับเรื่องนี้ ผมคงตอบพี่ตอนนี้ไม่ได้ครับว่า ให้อภัยพี่ได้หรือไม่ นี่มันชีวิตจริงนะครับ ไม่ใช่ละครคุณธรรม เอาเป็นว่า ระยะเวลาเท่านั้นที่จะทำให้ผมให้อภัยพี่ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ที่นี่ วันนี้!!” “น้องวินจะให้พี่รู้สึกผิดไปจนวันที่พี่ลาออกเลยเหรอ?” “ความจริงพี่ควรจะคิดเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตพี่นะครับ จะได้ไม่เผลอทำแบบนี้อีก ส่วนเรื่องลาออก ผมว่ามันคนละเรื่อง ผมทราบนะครับว่าพี่ทำคุณประโยชน์ให้กับที่นี่ไว้มาก พี่เป็นคนมีความสามารถ ที่แม้แต่ผมยังเสียดายเลย ดังนั้นผมคิดว่าพี่ควรไถ่โทษโดยการขยันทำงานไปเถอะนะ” “แต่…. แต่….จะให้พี่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้….” “นั่นคือสิ่งที่พี่ต้องชดใช้ครับ หากพี่สำนึกผิดจริงๆ สิ่งนี้จะชดเชยให้ผมได้ครับ!! ถือว่าเป็นการลงโทษจากผมก็แล้วกัน ผมอยากให้พี่ทำงานต่อไป จนกว่าจะสำนึกผิด เรื่องนี้เบื้องลึกเบื้องหลังไม่มีใครรู้นี่ครับ นอกจากผม พี่เอก แล้วก็ตามคอปเตอร์” “แต่พี่ไปสารภาพกับคุณร็อคเก็ตแล้ว” “แล้วพี่ร็อคเขาว่าอย่างไร?” “เขาก็พูดเหมือนวิน” “นั่นไง” ผมชี้ไปที่ตัวพี่เอกให้เขาได้คิด เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมคนคุ้นหน้าที่เปิดแง้มประตูเข้ามาชวนไปกินข้าวเหมือนเด็กงอแงที่หิวโหย “พี่เอกก็ไปติดดูนะ” …………….. “ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย!” เป็นคำชมจากคนที่ผมไม่อยากได้ยินเลย เพราะไอ้คนที่ชมก็แผนเยอะไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน หลังจากผมเล่าให้คอปเตอร์ฟังขณะกินมื้อเที่ยง “วินเนี่ยเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิดเลยนะ!!” “ส่วนนายก็โตเสียทีสิ!!” “อุ้ย!!!” คอปเตอร์ทำตาโตใส่ผม และหยุดนิ่งไปเลยพักใหญ่ การที่ผมต่อว่าเขากลับไปด้วยถ้อยคำแบบนี้ มันหลายเป็นกิจวัตรของผมไปเสียแล้ว ไม่นึกว่าไอ้คนหนังหนาแบบนี้จะสะดุ้งสะเทือน “เป็นอะไร รับความจริงไม่ได้เลย?” ผมกล่าวกับเขาไปด้วยความอยากลองดูท่าทีของเขา คอปเตอร์ไม่พูดพร่ำฮัมเพลง เขากระโจนเข้ามาหาผมด้วยความรวดเร็ว ผมตั้งการ์ดรอทันทีด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง ผมถูกคนตรงหน้าโอบรัดด้วยความแรงพอเหมาะ กอดผมแน่นด้วยความหมั่นเขี้ยวเหมือนเห็นผมเป็นแมวตัวน้อยน่ารักที่อยากจะหอมฟัดไปเสียทุกส่วน เสียงโวยวานของผมที่ตื่นตระหนกในช่วงแรก กลายเป็นเสียงร้องไล่ให้คนตรงหน้าออกห่างจากตัวด้วยความอายและความรำคาญ “ออกไป ทำอะไรเนี่ย เป็นบ้าอะไร? อยู่ๆ เข้ามากอด!!” ผมไม่เพียงแค่พูด แต่มือก็คอยตบไหล่และหลังของคอปเตอร์เสียงดัง ที่สำคัญ ณ เวลาแบบนี้ มันเป็นช่วงที่คนใช้พื้นที่วีไอพีนี้มากที่สุด ดังนั้น พวกผมสองคนจึงกลายเป็นเป้าสนใจในทันที เสียงกระแอ๋มจากชายในชุดสูทสีครีมเนี๊ยบดังมาจากที่ไม่ไกล แต่ทำได้เพียงแค่ทำให้คอปเตอร์หันไปมองให้รู้ว่าเสียงใคร แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดแกล้งผมโดยการกอดและใช้จมูกฟัดร่างผมอย่างสนุกสนาน เสียงกระแอม ดังขึ้นเป็นชุดที่ สอง สาม สี่ และ ห้า ไอ้คนหน้ามึนก็ยังไม่ยอมหยุด สุดท้ายคอปเตอร์ก็ลอยออกห่างจากผมไปนั่งอยู่ในที่เขาควรจะอยู่ คือเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือของพี่ร็อคยังคงรั้งอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังของเสื้อเชิ้ตของคอปเตอร์ พี่น้องคู่นี้แรงเยอะทั้งคู่เลย ไม่นึกว่าแขนบางๆ แบบนั้นจะมีแรงมากขนาดนี้ “หัดดูกาลเทศะเสียบ้าง!! ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะยังเป็นห่วงนายมากขนาดนี้!!” “คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบเท่ามึงแล้วมั้ง กูไม่ได้อยากจะเอาหน้าแบบมึง!!” “หัดทำตัวดีๆ บ้าง นายรู้ไหมแม่เป็นห่วง” “รู้!! แต่กูก็ไม่ได้เกเรขนาดนั้นไหม?” “รู้ว่าเรียนดี กิจกรรมเด่น แต่ทำตัวไม่สนโลกแบบนี่มันดีแล้วหรือ?” “มึงเป็นใครถึงได้มาสอนกู!!” “กูเป็นพี่มึงไง!!” เมื่อผมเห็นสถานการณ์เริ่มระอุเหมือนสงครามรัสเซียยูเครนแบบนี้ ผมจึงต้องทำตัวเป็นสหประชาชาติเข้าห้ามปราม โดยเริ่มจากไอ้คนสันดานเสียใกล้ตัวก่อน “คอปเตอร์ หยุดทีได้ไหม?” แม้จะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและโทนเสียงที่สุภาพ แต่ต่างจากสายตาที่เหมือนเสือที่พร้อมตะปบเหยื่อ คอปเตอร์หยุดขยับปากและหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะทันที เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจกับพี่ร็อคเก็ตพอสมควร เขาถึงกับมองมาทางผมด้วยสีหน้าทึ่งๆ “วันนี้แปลกๆ นะ ที่คอปเตอร์จะสงบสติอารมณ์ง่ายขนาดนี้!!” “อ้าว!! มึง ไอ้เตี้ย วอนเสีย……..” ผมมองคนฝั่งตรงข้ามด้วยหางตา พลางทำเสียงจุๆในคอ “เอ่อ… ครับ กินข้าวเถอะ จะบ่ายโมงแล้ว” “เพราะใครล่ะ รีบกินเลย” ผมใส่ความหงุดหงิดในน้ำเสียง อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย “ว้าว….. ไม่เคยเห็นเลย แบบนี้พี่ขอร่วมโต๊ะด้วยได้ไหม?” “เสือก!!! คนเป็นแฟนเขาจะคุยกันสองคน!!” ไม่พูดเปล่า คอปเตอร์เดินข้ามฝั่งมานั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับผม และโอบไหล่ผมแน่น “อะไรนะ??” พี่ร็อคเก็ตมีสีหน้าประหลาดใจ “มึงฟังไม่ผิด นี่แฟนกู กูได้พรมจารีวินแล้ว!!” ป๊าป!!! เสียงฝ่ามือของผมแหวกอากาศไปลูบที่ศรีษะไอ้คนปากสุนัขข้างๆ ทันที ไอ้คนปากสุนัขที่หน้าคว่ำไปขนานกับพื้นพรมสีสวย ถึงกับหันหน้ามาทางผมอย่างโมโหร้ายด้วยความลืมตัว แต่หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าผมแล้วก็แทบจะก้มกราบผมในทันที ผมไม่แน่ใจว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป ผมรู้แต่ว่าตัวเองมีน้ำรื้อเอ่ออยู่ในดวงตา ร่างกายและใบหน้าร้อนผ่าว จ้องมองไอ้คนไม่รู้จักคิดและมีความคิดไม่ต่างราวกับเด็กมัธยมต้น ผมลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนรู้แต่ว่าอยากหนีออกไปจากตรงนี้ ผมแอบเห็นหน้าพี่ร็อคเก็ตที่เอือมระอากับน้องชาย และมองมาทางผมอย่างเห็นใจ คอปเตอร์กระโดดรวบตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเหนี่ยวรั้งผมไว้ตรงนั้น ปากก็พูดแต่คำว่าขอโทษและสำนึกผิด “ไม่โตเสียทีนะ สงสารคนเป็นแฟนเลย” พี่ร็อคเก็ตกล่าวเหน็บน้องชายในสภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยเห็นคอปเตอร์ในสภาพที่ห่วงความรู้สึก คนๆ หนึ่งได้มากขนาดนี้ ปกติคนอย่างคอปเตอร์ไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวเข่าจะแตะพื้นหากไม่ใช่คนเป็นแม่ “อย่าเสือก!! ผัวเมียเขาจะเคลียร์กัน!!” เสียงจากไอ้คนที่เหมือนจะสำนึกผิดดังขึ้น หลังจากได้ยินประโยคนั้น ทำให้ผมรู้สึกคิดผิดที่เลือกมัน!! ผมใช้แรงทั้งหมดพยายามดิ้นรนให้ตนเองหลุดออกจากบ่วงแขนของอีกฝ่าย ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกว่านี้ พี่ร็อคเก็ตก็ได้กล่าวประโยคสั่นๆ ประโยคหนึ่งกับน้องชายตนเองทันที “ไอ้เตอร์ เอ็งน่าจะรู้นะว่าจะใช้วิธีอะไรให้อีกฝ่ายยกโทษให้ รู้สึกตัวแล้วก็รีบทำเสียสิ!!” หลังจากจบประโยค คอปเตอร์ก็ปลดมือตัวเองออกและ ก้าวออกมาคุกเข่า ต่อหน้าผม และลดศรีษะต้วเองหมอบลงเกือบติดพื้น!! ผมร้องเสียงหลงตกใจ ไม่คิดว่าจะมีคนมาทำอะไรแบบนี้ “เราขอโทษนะ เราจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก เราจะให้เกียรติ นายมากกว่านี้เรารักนายนะอย่าโกรธเราเลยนะ” มันเป็นภาพที่ผมเองก็คิดไม่ถึง จริงๆ ผมคิดว่าแค่เขาขอโทษอย่างจริงใจและยอมรับผิด ผมก็ใจเย็นลงแล้ว แต่แบบนี้มันเกินไป!! ผมพยายามกล่อมให้คอปเตอร์ยืนขึ้นเพราะตอนนี้นอกจากจะเป็นจุดสนใจแล้ว ยังมีบางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปด้วย กว่าที่อีกฝ่ายจะยอมลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้แบบปกติ ก็หลายนาที รู้สึกชีวิตวัยรุ่นของตนเองสั้นลงไปเยอะเลย “พี่เข้าใจแล้วนะ พี่ไม่คิดแย่งคนมีเจ้าของหรอกนะ ทำไมต้องเล่นกันใหญ่ขนาดนี้เลย” พี่ร็อคเก็ตพยายามเก็บเสียงหัวเราะในคอระหว่างพูด ผมมองดูสีหน้าพี่ร็อคเก็ตที่เปื้อนยิ้มบาง ๆ แต่ให้ความรู้สึกที่แผ่ออกมากลับตรงกันข้าม ผมพูดไม่เก่ง แต่สิ่งที่ผมได้ทดแทนมาคือ การรับรู้อารมณ์ของผู้สนทนา ไม่นานพี่ร็อคเก็ตก็ขอตัวออกไป ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่าจะมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แม้ในใจจะรู้สึกหน่วงๆ จนเจ็บจี๊ดที่เผลอไปทำร้ายคนดีๆ แบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะทำตามหัวใจตัวเองก็เลยได้แต่ยืนส่งพี่ร็อคเก็ตที่เดินห่างออกไปจนพ้นสายตา ………….
:angry2: :serius2:
หลากหลายอารมณ์เลยตอนนี้ พี่ร็อคเก็ตไม่น่าชอบวิน อาจจะอยากเอาคืน(ขัดขวางความรัก)คอปเตอร์ที่สนิท(แย่ง)กับแฟนเก่าตัวเอง
รออ่านค่ะ :pig4:
ผมวางมือทั้งสองข้างกุมศรีษะไว้ทั้งสองข้างระหว่างอ่านทบทวนร่างโปรเจ็คที่เสร็จสิ้นเป็นครั้งสุดท้ายอย่างตั้งใจ ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบ ผมคิดในใจแบบนั้น พลางผ่อนลมหายใจและเหยียดยืดร่างกายที่แสนอ่อนล้าอย่างสุดกำลัง ผมยืดค้างไว้แบบนั้นอยู่พักใหญ่เพราะรู้สึกปวดตึงไปทั้งร่างกายด้านบน คอ บ่า ไหล่ นิ้ว รู้สึกได้ยินเสียงกล้ามเนื้อเบียดกันดังลั่น ผมหลับปี๋ ร้องครางด้วยความเจ็บปวดหน่วงๆ ไปทั้งร่าง จุ๊บ!! สัมผัสอันแผ่วเบาบรรจงบรรจบลงที่ริมฝีปากผม ความอบอุ่นแบบนี้ผมจำได้ดีเพราะเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทุกเช้าช่วงนี้ “ทำอะไรเนี่ย ยังไม่เลิกงานเลย” ผมผลักอีกฝ่ายเบาๆ “แปลว่า เลิกงานแล้วทำได้!!” คอปเตอร์ยิ้มอย่างยียวน “ไม่ได้โว้ย!! ที่นี่มันที่ทำงานนะ!!” “ก็ตัวเองบอกเองนี่นา!!” “อย่ามากวนบาทา ดีนะที่อารมณ์ดี ไม่งั้นนายโดนดีแน่!!” “อยากโดนจังเลย ขอเลยได้ไหม!!” ทำหน้าตาท้าทายใส่ผมอย่างไม่เกรงกลัวว่าผมจะโกรธ ความผิดผมเองล่ะครับ ที่ช่วงนี้ ผมหลงมันไปหน่อย เวลาอยู่ด้วยกันสองคน คอปเตอร์เวลาใส่เสื้อผ้าหลวมๆ กางเกงขาสั้นของผมที่มันรัดตึงไปหมด ทำให้ผมอดที่จะหมั่นเขี้ยวเขาไม่ได้ สุดท้ายผมต้องเผลอไปกอดไปฟัดเขาทุกครั้ง แต่แทนที่เขาจะรำคาญ เขากลับยิ้มตอนรับผมที่ทำแบบนั้น และสุดท้ายก็เป็นผมที่โดนกดลงไปเบื้องล่างด้วยร่างกายอันเปลื่อยเปล่าด้านบน แล้วที่เหลือคงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมโดนอะไรบ้าง ผ่านมาหลายวันแล้วนับจากวันที่เราเปิดตัวกับหลายคนโดยเฉพาะกับพี่ร็อคเก็ต (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าเลย เหมือนพยายามหลบหน้าผม) ผมกับคอปเตอร์ก็ทำแบบนี้กันทุกคืนเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมไปหลงอะไรเขานักหนา หลายครั้งช่วงนี้ผมก็เลยจะเห็นมันชอบท้าทายผมแบบนี้ แต่แปลก ลึกๆ ผมกลับชอบใจ และเผลออมยิ้มกับพฤติกรรมตรงหน้า “พอเถอะนะ เสียงดังไปกว่านี้เดี๋ยวโดนต่อว่า เรายังอยากจบจากที่นี่อย่างประทับใจอยู่นะ” คิ้วของผมแม้จะขมวดเป็นปม แต่ปากกับอมยิ้มอ่อน ๆ จนอีกฝ่ายสังเกตได้และยิ้มตาม สุดท้ายเขาก็มาหอมศรีษะผมหนี่งฟอดก่อนที่จะย้ายร่างตัวเองไปกระแทกนั่งข้าง ๆ ผม แล้วทำตัวว่างต่อไป พลางบ่นงุบงิบว่า “ก็ลองเดินมาว่าดูสิ หากพวกนั้นกล้านะ!!” ผมได้แต่สั่นหน้ากับความเป็นเด็กยักษ์ของอีกฝ่าย “สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวกันไหม?” คอปเตอร์โพล่งถามขึ้นหลังจากคลิกๆ เม้าส์ไปมา “ก็ต้องดูว่าผลประเมินพรุ่งนี้เป็นไง ต้องเอาร่างโปรเจ็คให้อาจารย์ดูวันนี้ด้วย หากผลออกมาไม่ดีก็ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวไหนหรอกนะ!!” ผมพูดจบก็ผ่อนลมหายใจออกยาว “มันจะไม่ออกมาไม่ดีได้อย่างไรล่ะ เรากับวินตรวจแก้กันตั้งหลายรอบ ยังไงก็ผ่าน!!” “จ้า ขอบใจสำหรับกำลังใจนะ” ผมยิ้มตอบกลับไปให้อีกฝ่าย ที่ทำหน้าแดงตอบกลับมา “มีที่ๆ อยากไปไหม?” คอปเตอร์เค้นกระแอมในลำคอก่อนจะพูดถาม “อยากไปทะเล แต่ก็กลัวแม่เป็นห่วง คือเราว่ายน้ำไม่ค่อยเก่งน่ะ ตอนเป็นเด็กเคยเจอประสบการณ์ที่มันไม่ดีเท่าไหร่?” พูดจบคอปเตอร์ก็คว้ามือผมไปกุมไว้เสียแน่น “ขอโทษนะ” เสียงอันอ่อนโยนของคอปเตอร์เอ่ยขึ้นพลางนวดคลึงมือของผมอย่างปลอบประโลม ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุของประสบการณ์ที่ไม่ดีของผมส่วนหนึ่งก็เกิดจากคนตรงนี้ แปลกนะที่ผมกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ ผม ตรงนี้กับเด็กคนนั้นในอดีตดูเป็นคนละคนกัน “ไม่เป็นไร” ผมพูดด้วยเสียงอันสั่นเทา เพราะไปดึงภาพในตอนนั้นแทรกเข้ามาให้สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาพในชั่วโมงว่ายนำ้ของโรงเรียน ผมถูกผลักลงไปในน้ำทั้งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็น กลุ่มนักเรียนเกเรที่ชอบทำให้กลุ่มที่กำลังด้อยกว่ากลายเป็นตัวตลก มันเกิดขึ้นช่วงที่อาจารย์สอนว่ายน้ำกำลังไปเตรียมอุปกรณ์เพิ่มเติมเพราะนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นมากกว่าที่คิด และมีพวกที่เตรียมชุดว่ายน้ำมาไม่ถูกระเบียบ จึงต้องไปเบิกมาเพิ่ม กลุ่มเด็กนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเกาะกลุ่มกันบริเวณใกล้ขอบสระด้วยความตื่นเต้นจากการได้ลงเรียนชั่วโมงแรก กลุ่มเด็กเกเรแทรกตัวเข้ามาหาผมและพวกพ้องในกลุ่มเดียวกันอีกสองสามคน ผมถูกลากคอไปติดขอบสระอย่างไม่ทันตั้งตัวและถูกผลักลงไปในสระอย่างจงใจแบบไม่ให้ตั้งตัว ผมหวีดร้องเสียงหลง ภาพผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณขอบสระไกลห่างและสูงขึ้น และถูกแทนที่ด้วยภาพเบลอทับซ้อนด้วยคลื่นฟองน้ำ เสียงแผ่นน้ำปะทะแผ่นหลังดังไปในโสตประสาท ร่างกายถูกพันธนาการด้วยแรงบีบอัดของน้ำแทนที่อากาศโดยรอบ แข้งขาหนักอึ้งและเหมือนถูกน้ำหนักของน้ำกดทับให้จมลงเรื่อย ๆ ผมพยายามตะเกียดตะกายเพื่อที่จะถีบตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำ หลังจากพอที่จะตั้งสติได้ ลมหายใจหนึ่งเฮือกที่สูดเมื่อจมูกพ้นผิวน้ำแล้วผมก็ถูกใครคนหนึ่งผลักให้ออกห่างจากขอบสระมากขึ้น แต่โชคยังดีที่ขาของไอ้คนที่ผลักผมนั่นกางออกทำให้ผมพอที่จะยันให้ตัวเองผุดขึ้นมาหายใจได้เป็นพักๆ แต่นานเข้าผมก็เริ่มหมดแรง ผมพยายามพาตัวเองเข้าฝั่งในช่วงที่ตอนนี้ทุกอย่างดูชุนมุนไปหมด แต่ด้วยความไม่รู้วิธี แทนที่จะดึงตัวเองขึ้นแต่กับดิ่งถ่วงลงอย่างช้าๆ ลึกมากขึ้นกว่าเดิม ภาพผิวน้ำที่พริ้วไหวเป็นระรอกคลื่นเริ่มเบลอมากขึ้น ไม่ช้าแรงของผมก็เริ่มหมดลง เสียงฮือฮาต่างๆ รอบสระเริ่มค่อยๆ ถอยห่างอออกไปและเริ่มที่จะเบาลง ผมมองเห็นผิวน้ำที่ห่างออกไปจากมือที่พยายามเหยียดจนสุดความยาว ผมจำไม่ได้ว่าสระนั้นลึกเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกในการดิ่งลงช้าๆ และค่อยๆ หมดแรง มันช่างยาวนานมาก ภาพความทรงจำในหัวไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเป็นฉาก ภาพล่าสุดคือการที่ผมหลุดหัวเราะกับการใส่ชุดที่ไม่ถูกระเบียบของพวกนักเลง อาจารย์ก็สั่งให้ใส่กางเกงว่ายน้ำแค่พวกนั้นกลับใส่เหมือนกับกางเกงชายหาดมากกว่า สุดท้ายอาจารย์จึงต้องไปหยิบชุดที่รุ่นพี่บริจาคไว้ให้เป็นกางเกงสำรอง นั่นเป็นเหตุที่ผมต้องดิ่งลงมาจุดนี้ ไม่ช้าภาพของแม่ก็วูบเข้ามาในสมอง รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย ในขณะที่สติเริ่มเลือนลาง ผมถูกมือหยาบมือหนึ่งดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ ผมรีบสำรอกน้ำออกมาเพื่อให้อากาศเข้าไปแทนที่ ผมถูกลากให้ลอยคอไปจนถึงขอบสระ หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาให้ห้องพยาบาลกับอีกสองสามคนที่ถูกผลักลงไป ซึ่งมีเพื่อนสนิทอย่างไตเติ้ลรวมอยู่ด้วยผมยังจำแววตาที่เครียดแค้นของไอ้ไตเติ้ลได้อย่างดี มันดูน่ากลัวแม้กระทั้งผมที่สนิทกับมันที่สุดยังไม่กล้าไปทัก ภาพตัดมาที่ปัจจุบันที่ผมถูกคอปเตอร์โอบกอดอย่างทะนุถนอมและปากพร่ำคำขอโทษผมซ้ำ ๆ ถึงแม้จะเลือนลางแค่ผมก็จำได้ว่าคนที่ลงไปผลักผมในสระน้ำไม่ให้เข้าใกล้ฝั่งขอบสระก็คือไอ้คนที่กอดผมอยู่นี้แหละ แต่ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงลงไปในสระด้วยตนเอง เพราะเขาแอบใช้เท้าของตนเองช่วยพยุงผมไว้ไม่ให้จมนั่นเอง ในระหว่างที่กอดผมไว้ คอปเตอร์บอกผมว่าเขาเป็นคนลงไปช่วยผมเองเพราะไอ้พวกนักเลงที่กลัวความผิดต่างหนีออกจากชั่วโมงเรียนไปหมดแล้วเพราะกลัวความผิด แต่ที่เขาลงมาช่วยช้าเพราะความฝืนที่จะใช้ขาเดียวพยุงร่างกายผมไว้นั่นทำให้เป็นตะคริว กว่าจะดีขึ้นเลยดำลงไปช่วยช้า เกือบจะช้าเกินไป ทำให้วันนั้นเขาจึงตั้งปณิธานว่าจะช่วยเหลือผมให้มากกว่านี้ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็สายเกินไป ผมถูกแม่สั่งให้ย้ายโรงเรียนเสียก่อน “ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมว่ายน้ำเป็นแล้ว พอที่จะดูแลตัวเองได้ เพียงแต่แม่ยังเป็นห่วงอยู่น่ะ” ผมอยากให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นมาบ้างเพราะผมวันนี้ก็เอาชนะความกลัวน้ำไปได้เยอะมากแล้ว เพราะก่อนเรียนจบมัธยมปลาย ผมเคยแอบแม่หนีไปเล่นสวนน้ำกับเพื่อนมาแล้ว เพื่อพิชิตความกลัวของตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เหมือนที่ไอ้ไตเติ้ลมันบอกผมทุกวัน แม้จะอยู่กันคนละโรงเรียนก็ตาม “เรายังรู้สึกผิดอยู่ดี งั้นเปลี่ยนเป็นภูเขาก็ได้!!” “ไม่เอา!! ผมเบื่อแล้ว ตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่พาไปทะเล ห้วย หนอง คลองบึงเลย!!” คอปเตอร์เงียบลงไปจากเดิม สีหน้าแสดงความสำนึกผิด ที่แม้แต่ผมยังรู้สึกได้ เขากำมือแน่นและพยายามเค้นยิ้มตอบกลับมา “เฮ้อ ว่าแต่ เรายังงงๆ อยู่นะ เรายังจำสีหน้าของไอ้เติ้ล วันนั้นได้ มันน่ากลัวมากนะ ทำไมถึงไปลงเอยกับศรัณย์ได้” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องนี้ เราว่านายไปถามเติ้ลเองดีกว่า” เป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ได้รับการแจ้งแถลงไขใดๆ กับเรื่องของสองคนนี้ที่มาลงเอยกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่ ไอ้เติ้ลมันเกลียดไอ้เข้มนั่นขนาดนั้น!! แต่ช่างเถอะสักวันผมก็ต้องได้รู้จากปากมันเองให้ได้! …………
:katai4: :katai2-1:
บทที่ 12 Complexity เช้าวันที่อาจารย์สุดโหดของผมจะมาประเมินผลการฝึกงานกับพี่เลี้ยงและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับโปรเจ็คจบการศึกษาของผมก็มาถึง ผมตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืนจนแทบจะนอนไม่หลับ แม้คอปเตอร์จะเสียสละตัวเอง (เหรอ?) ยอมเหนื่อยทำให้ผมพึงพอใจจนดึก แต่ถึงผมจะเพลียจะเหนื่อยจากกิจกรรมบนที่นอน ทำให้คิดถึงเรื่องอื่นไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ทำให้นอนหลับสบายขึ้นเลย ในขณะที่ผมนั้นยังคิดเรื่องโน่นนี่สำหรับวันพรุ่งนี้ เสียงลมหายใจอันสงบราบเรียบจากคอปเตอร์ก็ดังขึ้น เขาหลับก่อนผมด้วยร่างที่เปลือยท่อนบน (เพราะบ่นว่าร้อน) อย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยังกระสับกระส่ายอยู่ แต่ก็ช่างเถอะเพราะอย่างน้อยอาหารตาตรงหน้าก็ช่วยให้ผมผ่อนคลาย เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอบวกกับใบหน้าที่น่าเอ็นดูยามหลับทำให้ผมผ่อนคลายและเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว ผมตื่นมาก่อนนาฬิกาปลุกเสียอีก หลังเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนเองขึ้นมาดูก็พบตื่นก่อนเวลาที่ตั้งไว้เกือบชั่วโมงหนึ่ง ตอนนี้เลยว้าวุ่นกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม จะนอนก็กลัวตื่นสาย จะตื่นขึ้นมาเลยก็ไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่พลิกไปมาจนกระทั้งคอปเตอร์ตื่นลุกขึ้นนั่งมองผมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะฟุบลงสวมกอดผมจากทางด้านหลังพลางพูด “ใจเย็นๆ แล้วนอนก่อนนะ พักสักหน่อย ไม่ต้องกลัวสายเดี๋ยวผมปลุกเอง” เขากระซิบใส่หูผมอย่างอ่อนโยน ไออุ่นจากอกแน่นเปลื่อยนั่นแผ่ซ่านเข้ามาช้าๆ หัวใจที่เต้นอย่างไร้ระเบียบเริ่มกลับมาคงที่ แขนที่โอบกอดร่างกายผมไว้ช่วยให้ผมสงบลงและเริ่มรู้สึกง่วง กลีบตาที่เคยตื่นตัวเริ่มหนักอึ้ง และทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด “ตื่นได้แล้วนะครับที่รัก ไม่อย่างนั้นจะเจอผมจัดหนักรอบเช้าอีกรอบนะ!!” เสียงกระซิบข้างหูดังขึ้นไม่ไกล ร่างกายที่อ่อนเพลียค่อยๆ ฟื้นตัว ผมลืมตามองรอบตัวก็พบว่าฟ้าเพิ่งจะสาง แสงสว่างจากภายนอกเริ่มมีรำไร ผมรู้ตัวว่ามีคอปเตอร์ยังคงกอดรวบตัวผมอยู่ แต่มือของเขากลับไปอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์กลางตัวของผมที่ ผู้ขายทุกคนก็คงรู้ดีว่าเช้าๆ แบบนี้มันจะเป็นเช่นไร ก็คือไอ้น้องชายมันตื่นเคารพธงชาติก่อนเวลาที่ผมจะตื่นเสียอีก “ทำอะไรน่ะ” ผมตกใจ “ร้องทำไม ทำเหมือนไม่เคย” ผมถอนหายใจกับความไม่รู้กาลเทศะของคนร่วมเตียง “แล้วมันใช่เวลาไหม??!!” “มันต้องมีเวลาด้วยเรอะ อยากตอนไหนก็ทำ” “โอย!! ไม่พูดด้วยแล้ว” พูดจบผมก็ลุกพรวดขึ้นมาเพื่อไปอาบน้ำทันที ภายใต้เสียงหัวเราะของอีกฝ่าย มันคงสนุกจริงๆ ที่ได้แกล้งผม!! …………….. วันนี้ผมมาถึงชั้นสำนักงานอย่างกระหืดกระหอบ เพราะว่าผมมาถึงก่อนเวลาทำงานไม่ถึง 5 นาที เพียงเพราะคอปเตอร์ขอเข้าไปอาบน้ำด้วยท่าทางกระตืนรือร้นตั้งแต่อยู่บนเตียง สุดท้ายไม่บอกก็รู้ว่าทำไมผมถึงมาสาย ใจอ่อนกับคอปเตอร์ทุกที่เจอท่าทางรุกไล่ใส่กันแบบนั้น ผมวิ่งมาจนถึงหน้าห้องทำงานก็ต้องเจอกับพี่ร็อคเก็ตที่ยืนหันหลังคุยกับใครสักคนอยู่อย่างสนิทสนม “ขออภัยนะครับขอทางหน่อยครับ” ผมพูดอย่างสุภาพ เพราะพี่ร็อคเก็ตน่าจะมีแขกอยู่ เลยต้องวางตัวให้เหมาะสม “อ้าว!! วชิรวินทร์!!” คนที่เอ่ยทักผมกลับเป็นอีกคนหนึ่งที่พี่ร็อคเก็ตคุยด้วย ด้วยความสูงที่ไล่เลี่ยกันทำให้ผมไม่ทันสังเกตว่าเขาเป็นใครจนกระทั้ง เขาคนนั้นเอ่ยทักขึ้นมา ชายสวมสูทเป็นทางการที่มีตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยที่อกด้านซ้าย ส่วนสูงต่างจากผมพอควร มีสีหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดเวลา ทรงผมรองทรงสุภาพที่เหมือนเพิ่งตัดมาใหม่ จัดทรงมันวาวรับกับใบหน้าที่ขาวใสแบบโกงอายุ ใส่แว่นตากลมกรอบใหญ่ที่รับกับใบหน้าได้ดี ผมจำคน ๆ นี้ได้ในทันที “มึงเป็นใคร?!?!” ช่างร่างสูงกว่าผมเล็กน้อยซึ่งเดินตามผมมาติด ๆ เอ่ยขึ้นเสียงแข็ง ผมเหยียบเท้าอีกฝ่ายทันทีที่เดินเข้ามาในระยะ “สวัสดีครับอาจารย์” ผมรีบทักพร้อมยิ้มกว้างอย่างใจดีสู้เสือ คอปเตอร์มีอาการประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกของผมต่ออีกฝ่าย แม้อาจารย์จะมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มตอบกลับมาพร้อมคำตอบ “ขอโทษทีนะ คืออาจารย์กะเวลาการเดินทางพลาดไปหน่อย” อาจารย์ยิ้มแห้งๆ ใส่ผม ผมถึงกับคิดไปว่า ไม่น่าเป็นไปได้ Mr. Perfect อย่างอาจารย์เนี่ยนะ! “งั้นผมไปก่อนนะ” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยคำอำลากับอาจารย์ของผมแล้วก็หันมาลาผมด้วยก่อนที่หันหลังจากไป ส่วนอาจารย์ก็พยักหน้าตอบอย่างขอไปที ……………… การประเมินเป็นไปได้ด้วยดี ชั่วโมงแรกอาจารย์ขอเข้าพบพี่เลี้ยงอย่างพี่ท้อปซึ่งถูกส่งเป็นตัวแทนของฝ่ายฯ ทำให้ไม่รู้สึกกลัวมากมายนักเพราะพี่ท้อปนั้น ชอบการทำงานกับผมมากและผมก็ช่วยให้งานเสร็จก่อนกำหนดด้วยเลยคิดว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ชั่วโมงถัดไปผมก็โดนเรียกเข้าไปในห้องประชุมที่เตรียมการไว้ ผมเดินเข้าไปด้วยอาการใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะอาจารย์แทบไม่มองเล่มรายงานบนโต๊ะที่ผมส่งให้ก่อนทางอีเมล์เลย อาจารย์นั่งจ้องผมทุกอิริยาบทตั้งแต่เดินเข้ามาจนกระทั่งนั่งเรียบร้อย “ขอบอกอะไรก่อนได้ไหม?” อาจารย์ ทักขึ้นคำแรก “อ่ะ… ครับ ได้ครับ” ผมไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ตอบตกลงไปอย่างขัดๆ “เยี่ยมมากเลย“ อาจารย์ยิ้มออกมาที่ท้ายประโยค ผมถอนหายใจอย่างโล่งออก “คือไอ้ตัวรายงานเนี่ย อาจารย์ก็คิดว่าวินทำดีตามมาตรฐานของวินอยู่แล้ว อาจารย์ไม่กังวลเลย อ่านผ่านๆ ก็รู้แล้วว่าไม่ต้องแก้อะไร แต่เรื่องของการทำงานกับคนนี่สิที่อาจารย์เป็นกังวลมากกว่า ปกติพวกนักศึกษาที่เรียนเก่งเนี่ย มักจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับการทำงานจริง แต่กับเราเนี่ย อาจารย์พยายามถามถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากพี่เลี้ยงเราแล้วเนี่ย ไม่มีเลยเก่งมาก เบางานอาจารย์ไปเยอะเลย คิดว่าเคสแรกจะยากเสียอีก อาจารย์ยิ่งนอนไม่พออยู่……” มาถึงประโยคนี้ อาจารย์ก็หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกระแอมเสียงดังเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ส่วนผมที่นั่งตาโตกับการที่ทั้งโดนชม และการที่อาจารย์พูดยาวเหยียดอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เลยอดที่จะแสดงสีหน้าออกไปไม่ได้ สุดท้ายตลอดชั่วโมงถัดไปก็เป็นการนิเทศสรุปภาพรวมของกิจกรรมฝึกงานในเทอมนี้จนจบ ผมเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเพราะสิ่งที่คิดไว้ว่าจะต้องโดนแก้ไขตัวเล่มเสียมากมายแต่กลับไม่ต้องแก้ไขใดๆ เลย ระหว่างที่กำลังยืนยิ้มดีใจกับความสำเร็จของตนเอง ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ร็อคเก็ตเดินอย่างเร่งรีบกระหืดกระหอบมาจากทางลิฟต์ตัวพิเศษด้านหลัง “อาจารย์ของวินไปหรือยัง?” พี่ร็อคเก็ตพูดแทรกขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยทักทายรอบสอง ผมตกใจนึกว่าพี่ร็อคเก็ตอยากจะมาปรับความเข้าใจอะไรแต่กลับมาถามถึงคนอื่น เสียอย่างนั้น “เอ่อ…… เดินออกไปแล้วครับ ท่าทางรีบร้อนสงสัยมีธุระ” “ขอบใจนะ” พูดจบพี่ร็อคเก็ตก็เร่งก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เดินไม่ได้วิ่งแต่ก็ถือว่าเคลื่อนตัวไปได้ไวมาก ทำให้ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า นี่…พวกเขารู้จักกันเหรอเนี่ย? “เป็นไงบ้าง?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล “ถึงกับเดินมาแอบฟังเลยหรือ?” ผมแซวชายคนที่เดินออกมาจากมุมหนึ่งในแผงกั้นโต๊ะบริเวณนั้น “เปล่าเสียหน่อย!!” ผมนิ่งกับท่าทางขัดเขินของอีกฝ่าย “เรียบร้อยดี” “แบบนี้ต้องฉลองสินะ!!” ผมยิ้มกว้างเป็นคำตอบ “โอเค!! จะไปมัลดีพ หรือ ฮาวาย ดีนะ” คอปเตอร์เอ่ยขึ้นเหมือนกำลังคิดเสียงดัง “เดี๋ยวๆ ในประเทศก็พอ เราไม่มีเงินค่าตั๋วเครื่องบินหรอกนะ” ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูด ผมก็พูดสวนกลับไป “ทริปนี้หาญกันนะ ห้ามเลี้ยงกันนะ!!” ผมแผดเสียงเข้ม ทำให้อีกฝ่ายได้แต่หยุดสิ่งที่คิดไว้และกำลังจะพูดออกมา “งั้นไปไหนดี?” “อยากไปเกาะสมุย!!” ผมนึกถึงภาพไอจีเพื่อนๆ ร่วมคณะฯ ที่ลงรูปสวยๆ เมื่อโครงการสานสัมพันธ์พี่น้องทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวผมเองไม่เคยได้รับอนุญาตจากแม่ให้ไปสักครั้งเดียว “อืม….ได้สิ จะได้ประหยัด” “ประหยัดยังไง ค่าเดินทางค่าที่พักน่าจะแพง ยังคิดเลยเนี่ยว่างบอย่างเราตอนนี้น่าจะไปได้แค่สองคืน เสียดายเหมือนกัน อุตส่าห์ได้ไป อยากไปอยู่นานๆ จะถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ ทุกคนเลย!!” พูดจบผมก็ต้องสะดุดหยุดด้วยความตกใจที่เห็นอีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างใส่พฤติกรรมตื่นเต้นเป็นเด็กเล็กอย่างที่ผมทำเมื่อครู่ “อะไรเล่า” ผมพูดปัดแก้เขิน “เปล่า น่ารักดี ไม่เคยเห็นวินเป็นแบบนี้เลย ปกติจะขรึมๆ วางตัวนิ่งมาตลอด” ผมเบ้ปากใส่คนพูดล้อเลียน ส่วนคนพูดก็โผมากอดผมไว้ทันที แน่นอนผมเบี่ยงหลบได้ทัน เพราะยังไงก็ยังอยู่ในที่ทำงาน คอปเตอร์เดาะลิ้นด้วยความเสียดาย ขณะที่ผมกำลังเล่นงานไอ้คนไม่รู้จักกาลเทศะอยู่นั้น ผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานก็มายืนใกล้กับพวกผมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผมตกใจจนกระทั่งสะดุดขาตัวเองเกือบล้ม โชคดีที่คอปเตอร์ยื่นมือมาพยุงไว้ได้ทัน และกอดรัดผมไว้เสียแน่น แม้ผมจะไม่ล้มลง แต่ก็อยู่ในท่าที่น่าอายต่อหน้าคนอื่น ผมพยายามดิ้นรนก็ยิ่งดูขบขันในสายตาผู้มาใหม่จนกระทั่งเธอเผลอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่ผมก็สังเกตแรงกระตุกที่มุมแก้มได้ “คุณคอปเตอร์คะ คงไม่ลืมนัดวันนี้กับคุณแม่นะคะ” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นเสียงเรียบไม่ต่างจากสาวที่อยู่ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนยี่ห้อหนึ่ง “ไม่ลืมหรอก มีแค่เดือนละครั้งจะลืมได้อย่างไร! แต่วันนี่ไม่ได้ไปคนเดียวนะ ฝากบอกแม่ให้ทำสำรับเพิ่มอีกหนึ่งที่” “คุณผู้หญิงคงไม่พอใจนักหากมีอะไรผิดแผนไป ขอเป็นเดือนหน้าได้ไหมคะ?” “น้ายุพินช่วยผมหน่อยนะ ผมมีคนอยากแนะนำให้แม่รู้จัก” “คิดว่าเรื่องนั้นคงไม่จำเป็น” “ก็รู้นะครับว่าคุณแม่น่าจะรู้หมดแล้ว แต่ผมก็ยังอยากให้แม่ได้พบอยู่ดี” หลังจากนั้นผู้ช่วยประจำตัวเจ้าของบริษัทกับคอปเตอร์ก็มีการโต้ตอบกันเรื่องผมอยู่ระยะหนึ่ง แม้ผมจะขอปฏิเสธแล้ว แต่ก็ดูเหมือนไอ้โรคอยากที่จะเอาชนะของคอปเตอร์จะมีสูงกว่า “หากไม่ยอมไปบอกคุณแม่แบบนี้ ผมก็จะไม่ไป!!” คอปเตอร์กล่าวโต้กลับเสียงแข็ง ด้วยการยืนกรานหนักแน่น ทำให้คุณยุพินถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจและขบคิด “จะบ้าเหรอ!!” ผมโวยใส่ไอ้ลูกคุณหนูเอาแต่ใจแต่ก็ดูจะไม่ได้ผล หนนี้ผมไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายใจเย็นได้!! “ดิฉันขอคุณกับคุณท่านก่อน” คุณยุพินผ่อนลมหายใจแล้วจึงกล่าวออกมา ทำให้นึกภาพไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงแกร่งคนนี้ดูหนักใจ เพียงเวลาไม่นานที่คุณยุพินก้าวเท้าออกไปจากห้อง เธอก็กลับเข้ามาโดยมีสีหน้าที่มีเลือดฝาดกว่าเดิมมาก “คุณท่านตกลง จะเตรียมอาหารเพิ่มให้ คุณคอปเตอร์สามารถพาแขกไปร่วมรับประทานมื้อค่ำได้” ผมฝืนยิ้มรับทั้งๆ ที่ในใจไม่อยากไปเลย ………………….
:z3: :z2:
เวลาเลิกงานผ่านมาได้หลายนาทีแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้มีงานอะไรเร่งด่วนแล้ว เนื่องจากโปรเจ็คตนเองก็เสร็จแล้ว งานที่ถูกมอบหมายจากพี่ท้อปก็ลดลงไปมากเพราะเป็นช่วงท้ายๆ ของการฝึกงานแล้ว แต่ที่ตัวผมเองยังไม่ขยับจากจุดเดิมเพราะความหวาดหวั่นต่อการไปเจอหน้าคนที่ได้ชื่อว่าแม่ของแฟนตัวเอง ‘แฟน’ ขนาดแค่ผมคิดในใจ ผมยังรู้สึกแสลงกับคำนี้อยู่เลย เพราะที่ผ่านมายี่สิบปีนิดๆ ผมยังไม่เคยมีเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักครั้งแบบจริงจัง คนคุยอาจจะเยอะแต่คบกันแบบอยู่ด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน ได้….กันครั้งแรก เพิ่งจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้ แล้วยิ่งคนที่ได้ชื่อว่าแฟนกลับเป็นไอ้คอปเตอร์ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่า มันยิ่งกว่าคำว่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ผมยังไม่ได้บอกกับแม่ตัวเองเลย ไม่รู้ว่าแม่ผมจะมีปฏิกิริยายังไง? “จะไปหรือยัง? ใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้วนะ” “เดี๋ยวขอลาพี่ท้อปก่อนนะ เดี๋ยวพี่แกไม่รู้ว่าเรากลับกันแล้ว” “คนนั่นกลับไปแล้วล่ะ” “อะไรนะ!!?” “ก็แบบ…น่าจะรู้กันทั้งฝ่ายแล้วมั้ง!!” คำพูดของคอปเตอร์ ทำให้ผมรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้น นี่สินะสังคมทำงาน ความลับมันไม่มีในโลก “พี่เชอร์แน่เลย” ผมนึกถึงสาวสวยเลขาฯ บวกงาน แอดมินฯ ของแผนกที่รูเรื่อง ทำตัวอย่างกับ นักประชาสัมพันธ์ชั้นเลิศ ไม่มีเรื่องไหนหลุดรอดสายตาเธอไปได้ คอปเตอร์ไม่ตอบแต่ยิ้มตอบกลับมาอย่างหน่ายๆ กับเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ “เออๆ ช่างมันเถอะ” ผมเริ่มรู้สึกปล่อยวางและพยายามคุ้นชิน “ก็ดี เราก็ไม่ได้อยากปิดอะไร” คอปเตอร์ผายมือออก “เฮ้อ….ไปเลยก็ได้” ผมกลั้นใจลุกขึ้นยืน ผมถูกพาขึ้นไปที่ชั้นสูงสุดของอาคารสำนักงาน สถานที่ทำเป็นที่อยู่อาศัยของคนในตระกูลนี้ การตกแต่งดูเรียบง่ายกว่าที่คิด โทนสีเป็นสีน้ำตาล เทา และดำ เรียบง่ายไม่ต่างจากที่พักอาศัยของคนทั่วไป ต่างจากสิ่งที่ผมจินตนาการไว้ลิบลับ ผมคิดว่าจะได้มาเจอการตกแต่งสไตล์หลุยส์ สีเหลืองทองอร่ามไปทั้งชั้น หรูหราอลังการงานราชวงศ์เหมือนในละครที่เคยดู แต่ถึงจะดูภายนอกว่าเรียบง่ายแต่ก็เนี้ยบและดูมีราคาทุกชิ้น ทุกอย่างที่ชั้นนี้มีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องย่อยๆ มากมาย ผมถูกนำทางมาโดยคอปเตอร์ที่เป็นไกด์ที่ไม่ได้เรื่อง ก็เพราะเดินนำมาอย่างเดียวไม่พูดและไม่แนะนำอะไรเลย ผมเข้าใจนะครับ ผมสงสัยว่าเขาคงจะเครียดที่ต้องพาผมไปรู้จักแม่ตัวเองในฐานะ “แฟน” ผมก็เลยปล่อยที่ว่างให้เขาได้ทำใจเสียหน่อย เดินตามอย่างเงียบเชียบ ในที่สุดก็เดินเข้ามาสุดโถงทางเดินจนกระทั่งเจอบานประตูขนาดใหญ่ ก่อนที่จะผลักเข้าไปเจอโต๊ะรับประทานอาหารหินอ่อนสีดำเข้ม เป็นโต๊ะยาวขนาดใหญ่ที่เหลามุมเป็นทรงกลมมนอย่างปราณีต มีแจกันดอกไม้สดวางประดับอยู่กลางโต๊ะสีสันสวยงามจัดวางอย่างบรรจง เลยถัดจากโต๊ะอาหารไปก็จะเป็นกระจกใสบานใหญ่ที่มองทะลุเห็นวิวรอบอาคาร 180 องศา ภาพที่เห็นทำให้ผมเผลอกลืนนำ้ลายดังเอือก! จัดแต่งอย่างกับร้านอาหารชั้นดาดฟ้าหรูหรา กินอาหารแบบนี้ทุกวันคงเจริญอาหารน่าดู เลยถัดไปอีกด้านหนึ่งของห้องก็ถูกแบ่งเป็นห้องครัวที่เป็นสัดส่วนที่ผ่านการคำนวนมาอย่างเหมาะเจาะ ผมอดทึ้งกับคนที่ออกแบบห้องแบบนี้ไม่ได้ ทำออกมาได้ใช้ทุกสัดส่วนจริงๆ ทำให้ผมไม่เข้าใจว่า ไอ้คุณคอปเตอร์เขาจะลำบากออกมานอนนอกบ้านทำไม ในขณะที่ผมกำลังทึ่งกับภาพตรงหน้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “แม่ยังต้องเตรียมอีกนิดหน่อย ไปอาบน้ำล้างตัวก่อนก็ได้นะจ๊ะ” น้ำเสียงใจดีของหญิงวัยกลางคน ในชุดแม่บ้านเต็มชุด ผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ หมวกคลุมผมใบใหญ่ แว่นสายตาวงกลมวงใหญ่ที่ปิดเกือบหมดทั้งหน้า เดินออกมาจากอีกด้านของห้องรับประทานอาหาร ซึ่งก็คือห้องครัว “ครับแม่ แล้วก็นี่คือ…..” คอปเตอร์พูดเสียงสุภาพพลางผายมือมาทางผมที่กำลังยืนตัวเกร็งกับสถานการณ์ตรงหน้า “พาเพื่อนไปด้วยละกันนะ ให้เพื่อนยืมเสื้อผ้าก่อนได้ไหม?” แม่ของคอปเตอร์เหมือนจะไม่ได้ฟังลูกชายตนเองเท่าไหร่ หลังจากเห็นผมที่ยืนประหม่าอยู่ตรงนั้น ก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที คอปเตอร์พยักหน้ารับและจับมือผมจูงไปอีกด้านหนึ่งทันที หลังจากเดินมาอีกทางก็เจอกับบันไดขึ้นไปอีกชั้น อีกชั้นหนึ่งประกอบไปด้วยสามห้อง ซึ่งผมถูกลากเข้าไปในห้องแรกติดกับบันได “แม่…. ทำเป็นเมินเรื่องที่จะพูดด้วยเรอะ!!” คอปเตอร์พูดขึ้นทันทีที่ปิดประตูเรียบร้อย “คิดมากน่า” ผมก็พูดได้เพียงเท่านี้เพราะ ไม่เคยเจอแม่คนอื่นนอกจากแม่ตัวเอง แต่หากเป็นแม่ผมคงเดินมาดูแฟนผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วคงซักถามคำถามน่าอายมากมายที่ทำให้ผมรีบห้าม “วินไม่รู้จักแม่เราดี แผนเยอะ น่าจะมีอะไรในใจ ไม่งั้นบริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้หรอก!!” ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “ยังไงเราก็จะเปิดตัววินกับแม่ให้ได้!!!” “เอ่อ….. แล้ว…. พ่อของคอปเตอร์ล่ะ?” “……….คุณปฐมพงศ์…..เอ่อ………..ไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก ทำอีกบริษัทหนึ่ง ตอนนี้น่าจะอยู่ต่างประเทศ” คอปเตอร์เหมือนไม่ได้อยากพูดถึงพ่อตัวเองเท่าไหร่ แต่ที่แปลกใจคือสรรพนามที่ใช่เรียกกลับเป็นชื่อจริง แต่ผมก็ไม่ถามอะไรต่อ เพราะยังกังวลกับเรื่องตอนนี้มากกว่า สุดท้ายผมก็หันไปสำรวจห้องของคอปเตอร์เพื่อแก้ความกังวลดีกว่า ห้องมีวอลเปเปอร์เป็นพื้นสีเทาอ่อน มีไฟแอลอีดี ฝังอยู่ที่ผนังเป็นเส้นๆ แบ่งห้องเป็นลูกบาศก์ขนาดใหญ่หลายลูก ทุกอย่างในห้องเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วด์อินอย่างดี มีระเบียบ กว้างขนาดห้าก้าวเท้ายาว ๆ อยู่อีกด้านของประตูที่มองไปเห็นด้านนอกที่มีวิวสวยระดับล้านบาท ภาพตึกระฟ้าจากสถานที่ไกลๆ เส้นขอบฟ้าเรืองแสงบางตลอดสุดสายตา นี่มันสุดยอดไปเลย ผมเดินรี่ตรงออกไปที่ระเบียงเพื่อรับลมธรรมชาติเย็นๆ ทันที ลำพังห้องก็ใหญ่กว่าห้องที่ผมอาศัยอยู่มากแล้ว ออกมาเดินนอกระเบียงนี่ก็มีพื้นที่ไม่ต่างจากอพาร์ทเม้นต์ที่ผมเช่าอยู่เลย มาเจอแบบนี้ยิ่งมีคำถามขึ้นในใจมากมาย “บ้านน่าอยู่ขนาดนี้ ทำไมถึงย้ายไปอยู่ห้องเก่าๆ โทรมๆ แบบนั้น!!?” “ก็ที่นี่ไม่มีวินไง” “อ้วก!!!” ปฏิกิริยาที่ไม่เคยชินกับการถูกน้ำผึ้งหวานๆ ราดใส่อย่างไม่รู้ตัวยังคงเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ที่ประหลาดใจไม่ต่างกันคือ ปฏิกิริยาของคอปเตอร์ที่หัวเราะชอบใจอยู่ตรงหน้า แบบนี้ใช่ไหม? ที่เรียกว่าคลั่งรัก ที่เคยได้ยินจากเพื่อน ๆ ผมยืนรับลมอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจไล่คอปเตอร์ไปอาบน้ำ แต่คอปเตอร์กลับนิ่งเฉย และอมยิ้มอยู่คนเดียว “อะไร?!?” “ถ้าจะอาบก็อาบด้วยกัน” “จะบ้าเรอะ นี่มันที่บ้านนายนะ แม่นายก็อยู่นะ!!” “ไม่เห็นเป็นไร แม่ไม่เคยเปิดเข้ามาอยู่แล้ว” “พูดแบบนี้ ทำบ่อยแล้วสินะ” “ไม่เคย มีนายคนเดียวที่เราเคยพามาที่บ้าน แล้วก็เป็นคนเดียวที่ชวนมาที่ห้อง!!” ผมนิ่งไปพักใหญ่ ไม่คิดว่าคำพูดแค่นั้นจะกระแทกจิตใจผมอย่างแรง เลือดลมสูบฉีดจนรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด รู้สึกช่วงนี้ผมจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไปแล้วนะ “ไปอาบน้ำก่อนเลยไป ยังไงก็ไม่เข้าห้องน้ำด้วยกันเด็ดขาด” “ว่าแล้วเชียวว่าต้องพูดแบบนี้………….. เอางั้นก็ได้” คอปเตอร์พูดจบก็เดินเข้าไปด้านในห้องพร้อมหยิบผ้าเช็ดตัว 1 ชุดมาให้ที่ระเบียง “วินอาบก่อนนะ” “ไม่!! นายนั่นแหละ!!” “เอาอีกแล้วนะ ว่าจะไม่พูดอะไรแล้วแต่ขอร้องหน่อยได้ไหม?” “อะไร?!?” “เลิกเรียกเราว่า ‘นาย’ เสียที เรียกชื่อเล่นแทนได้ไหม?” ผมนิ่งไปพักใหญ่เพราะคนไม่เคยมีแฟนอย่างผม มันไม่คุ้ยเคยกับอะไรแบบนี้ “เรียก ‘เตอร์’ เฉยๆ ก็ได้ ปกติไม่เคยให้ใครเรียกแบบนี้นะ เพราะจะให้นายเรียกได้แค่คนเดียว” ผมคิดอยู่ในหัวพักใหญ่ ก็พยักหน้าตกลง “งั้นเรียกให้ได้ยินหน่อยสิ” “เอ่อ…..เตอร์ครับ ไปอาบน้ำก่อนนะครับ” คอปเตอร์หน้าแดงฉีกยิ้มกว้างเดินตรงรี่เข้ามาหาแล้วสวมกอดผมแน่นเสมือนผมเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรดที่ไม่ได้เจอมานาน “น่ารักจังเลยวุ้ย!! แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เราก็ยืนกรานให้นายไปอาบก่อนอย่าดีแหละนะ” พูดจบก็ยกตัวผมขึ้นอุ้มและพาเข้าไปในห้องน้ำทันที หลังจากที่ขาของผมแตะสัมผัสลงพื้นห้องน้ำได้ ผมก็จัดการไล่เจ้าของห้องออกไปทันที แม้จะใช้เวลาพักใหญ่เพราะแทบจะสู้แรงไอ้คนที่ทำหน้าตาชัดเจนกับความต้องการเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำชัดเจนแบบนั้นไม่ได้ แต่สุดท้ายผมก็สามารถปิดประตูห้องน้ำลงอย่างสวัสดิภาพ ห้องน้ำบ้าอะไร กลอนประตูหรือตัวล๊อคก็ไม่ทีสักอย่าง ผมจึงใช้คำพูดเด็ดขาดแทนกลอนประตู ว่าหากผลักเข้ามาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากผมก็อย่าหวังจะให้สัมผัสตัวกันอีกเลย ซึ่งก็ได้ผลดี ผมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ให้ที่อ่างล่างหน้า ผมกวาดตาไปโดยรอบก็พบว่าห้องน้ำของห้องนี้ดูเรียบง่ายกว่าการจกแต่งห้องมาก และก็ไม่ได้ดูกว้างใหญ่อะไรมากมาย มีพวกครีมบำรุงวางอย่างเป็นระเบียบที่หน้ากระจก แต่ละอย่างดูมีราคาทั้งนั้น แสดงว่าคอปเตอร์เองก็เป็นคนดูแลตัวเองดีพอควรทีเดียว ก่อนเดินเข้าพื้นที่อาบน้ำ ผมพยายามตรวจสอบทุกอย่างด้วยสายตาอีกครั้งว่าจะไม่มีฟังชั่นแปลกๆ ในห้องน้ำ เช่น ทางเข้าอีกทาง หรือ กระจกที่ส่องจากภายนอกได้ ซึ่งหลังจากตรวจสอบก็พบว่าไม่มีอะไรที่ว่า ผมถอดผ้าที่นุ่งออกแขวนไว้ตรงที่แขวนหน้าทางเข้าพื้นที่อาบน้ำ หลังจากปิดประตูประจกใสเรียบร้อย สิ่งที่ผมงงจนทำอะไรไม่ถูกคือ ปุ่มมากมายที่ถูกฝังไว้ที่ผนังบริเวณฝักบัว ซึ่งนี่สินะที่ผมรอคอยอยู่ โปรแกรมทันสมัยที่ผมไม่อยากเสี่ยงกด ผมคิดไว้แล้วว่าความธรรมดามันไม่เหมาะกับที่นี่ ผมตะโกนเรียกคอปเตอร์ถามเรื่องการใช้งาน แต่อีกฝ่ายบอกว่าจะเข้ามาอธิบายให้ฟัง ผมพยายามห้ามแต่ก็ไม่ฟัง ในที่สุดเขาก็เปิดประตูเข้าในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดเอวอยู่ ผมทำได้แค่รีบเปิดประตูออกมาคว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่ง “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เห็นมาหมดแล้ว” “มันคนละสถานการณ์กัน!!” คอปเตอร์ยกยิ้มกว้างพลางส่ายศรีษะกับพฤติกรรมของผม เหมือนได้ยินคำว่า ‘น่ารัก’ เบาๆ จากอีกฝ่าย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง การเปลือยกายต่อหน้าใครสักคนมันก็น่าอายอยู่ดี “มาใกล้ๆ สิ พี่จะได้อธิบายได้อย่างเข้าใจใช้เป็น” คอปเตอร์เดินเข้าไปด้านในพื้นที่ฝักบัวพลางกวักมือเรียกผมให้เข้าไปด้วย ผมซึ่งระวังตัวอยู่จึงยังคงอยู่ด้านนอกผนังกระจกที่กั้นระหว่างสองพื้นที่ “หากไม่เข้ามาจะไม่อธิบายต่อนะ” สุดท้ายผมก็เข้าไปอยู่ดี เฮ้ออออ….. เขาอธิบายว่า อุปกรณ์นี้เป็นต้นแบบของสินค้าของบริษัทในอนาคต ปุ่มต่างๆ จะไม่มีการเขียนตัวหนังสือไว้ เพื่อให้สามารถส่งออกไปหลากหลายประเทศได้ เพียงแค่อ่านคู่มือก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยากจากสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ที่ปุ่ม แล้วหลังจากนั้น ผมก็เหมือนอยู่ในห้องจัดแสดงสินค้าที่มีผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้ฟังโดยละเอียด เหมือนได้ยินว่าส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์นี้เป็นการออกแบบของคอปเตอร์เองด้วย (สมเป็นลูกเจ้าของบริษัท) บรรยายไปได้สักพัก เขาก็ลองให้ผมลองทดสองใช้ดูโดยการให้ปรับอุณหภูมิ และเลือกระบบการปล่อยน้ำซึ่งมีหลายระดับความแรงก่อนจะให้ปล่อยน้ำออกมาอาบจริงๆ แต่เหมือนผมจะเป็นผู้ฟังที่ไม่ค่อยดีนัก หรือ คอปเตอร์ก็คิดจะแกล้ง น้ำที่มีอุณหภูมิสูงพอควรไหลออกจากผักบัวเหมือนฟ้าฝนรั่วในยามฤดูมรสุม (ใครที่ชอบฟังชั่นนี้น่าจะซาดิสมาก) คอปเตอร์ที่มือไวกว่าปลดผ้าเช็ดตัวตนเองมาคลุมตัวผมและเขาบดบังน้ำไว้ และพยายามกดปุ่มเพื่อปิดน้ำ คิดว่านะครับ เพราะในทางกลับกัน น้ำไม่ได้หยุดไหล แต่อุณหภูมิถูกปรับให้เย็นลงแทนจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอุณหภูมิน้ำในฤดูหนาว “ทำไมไม่ปิดน้ำ!!” ผมโวยวาย “ก็โดนน้ำร้อนกัน ก็ต้องลดอุณหภูมิที่ผิวหนังที่โดนน้ำร้อนก่อนสิ!!” คอปเตอร์พูดพลางลดผ้าลงมา ทำให้ดวงตาผมปรับกับแสงสว่างที่มากขึ้น สังเกตดีๆ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตัวเปลือยเปล่าเสียแล้ว น้ำที่ไหลบ่าลงมาจากฝักบัวก็แรงและมากพอที่จะให้ผมเปียกและหนาวสั่นไปหมด คอปเตอร์ดึงผมไปสวมกอดไว้แน่นพร้อมกับปลดผ้าผืนที่คาดเอวผมออก ผมกะจะร้องโวยวายแต่การอยู่ภายในอ้อมกอดอีกฝ่ายก็อบอุ่นไม่เลว ท้ายสุดผมก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น กายเนื้อที่แนบติดกันทำให้ผมได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายชัดเจน มันเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในขณะเดียวกันผมก็ด้วยเหมือนกัน “เดียวปรับอุณหภูมิให้นะ” เสียงอ่อนโยนของอีกฝ่ายดังก่อนขึ้น สักพักอุณหภูมิของน้ำก็ถูกปรับให้อุ่นพอดี “ปล่อยมือเราได้แล้วนะ วินจะได้อาบน้ำไง เราขอตัวก่อนนะ” ผมรู้ตัวอีกทีก็เผลอกอดร่างเปลือยเขาไว้แน่น รู้สึกถึงบางส่วนของร่างกายกำลังตื่นขึ้นมาจนผมรู้สึกอายกับความต้องการของตัวเอง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปิดบังความต้องการของตนเองมานานแล้ว มันแข็งขืนสู้กับพุงน้อยๆ ของผมอยู่พักใหญ่แล้ว “เอ่อ…. ไหนๆ ก็เปียกแล้ว… ก็อาบด้วยกันก็ได้” ผมพูดอย่างอายๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวอีกฝ่าย “วินเนี่ย น่ารักจริงเลย” พูดจบ คอปเตอร์ก็โน้มตัวลงมามอบริมฝีปากตนเองงับลงที่ริมฝีปากที่เผยรั้งรออยู่ก่อนแล้ว น้ำเย็นที่ไหลจากฝักบัวฝักบัวเป็นละอองฝอยละเอียดแต่สม่ำเสมอ ซัดชโลมไปทั้งร่างของเราสองคน เนื้อผิวหนังด้านหน้าที่บดเบียดกันจนละอองน้ำไม่สามารถชะผ่านได้นั้นยังคงอบอุ่นอยู่จนผมรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างร่างด้านหน้าและด้านหลัง ริมฝีปากและชิวหาของคอปเตอร์ที่สัมผัสกับริมฝีปากและช่องปากของผมด้วยท่าทางหยอกเย้าที่เหมือนกับธรรมดา แต่ผมกลับรู้สึกตัวเองค่อยๆ ละลายหายเข้าไปในช่องปากของเขา เหมือนความสุขล้นเหล่านั้นได้ค่อยๆ ละลายผมเหมือนเทียนที่กำลังถูกเปลวไฟหลอมละลายและกลืนกินเข้าไปในปากอีกฝ่าย ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแต่ผมที่กำลังจะขาดใจจากอาการหายใจไม่ทั่วท้องได้แต่กระเสือกกระสนถอยห่าง และหอบเอาอากาศเข้าปอดทันทีที่มีโอกาส น้ำที่ไหลบ่าจากด้านบนเหมือนฝนกระหน่ำได้ทำหน้าที่ให้ร่างกายส่วนหน้าเปียกปอนและเย็นฉ่ำจนได้ ผมตัวสั่นเทาจากความเย็นฉับพลันที่ตนสัมผัสทางด้านหน้า ทำให้อีกฝ่ายที่ยังคงใช้มือรั้งร่างผมไว้แน่นกระชับร่างผมเข้าไปกอดแนบชิดอีกครั้ง “หนาวเหรอ?” คอปเตอร์ถามเสียงสั่น ผมพนักหน้าตอบภายในอ้อมกอดของคอปเตอร์และพลายน้ำที่พรำตกลงมาที่หน้าอย่างต่อเนื่อง “งั้นเรามาอบอุ่นร่างกายกันหน่อยไหม?” ผมพยักหน้าตอบอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร “งั้นรับความร้อนแรงของเราไปนะจะได้อุ่นขึ้น!!” เพียงสิ้นเสียง ผมก็ถูกจัดท่าทางให้หันหลังให้กับเขา พร้อมถูกทำความสะอาดจากลึกล้ำโดยสบู่เหลวที่มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่งห้องน้ำทันทีที่กดออกมา ผิวหนังด้านหลังทุกส่วนของผมไม่เว้นแต่จุดซ่อนเร้นถูกชโลมไปด้วยของเหลวมีฟองลื่นไหลไปทั่วพร้อมกับมืออีกฝ่ายที่นวดคลึงไปทั่ว ในขณะที่ความรู้สึกดีกำลังเกิดขึ้นและเตลิดไปในแดนฝันไกลโฟ้นจากมือคนด้านหลัง จุดยุทธศาสตร์ก็ถูกรุกล้ำเข้ามาไม่ทันตั้งตัว ส่วนที่อุ่นเหมือนเหล็กร้อนที่กำลังนำเข้าเตาไฟเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทุกครั้งที่ดันจนสุดทางก็ถูกดึงออกจนสุดทางเช่นกัน ความร้อนก่อเกิดจากภายใน ผมเริ่มไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป ร่างกายกลับอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะสะกดเสียงแห่งอารมณ์นั่นไม่ไหวจนร้องออกมา “นั่นแหละๆ ร้องออกมา ดังๆ เลย!!” เหมือนอีกฝ่ายจะชอบใจและรุกหนักขึ้นกว่าเก่า ร่างกายเหมือนจะไม่เป็นของตนเองอีกต่อไป ผมทำตามในสิ่งที่อึกฝ่ายต้องการอย่างว่าง่าย มือของคอปเตอร์ที่โน้มรั้งศรีษะของผมจนตึงและพยายามสอดมือเข้ามาในช่องปากผมอย่างช้าๆ ปฏิกิริยาตอบโต้ของผมทำได้ขบเรียวนิ้วที่สอดเข้ามาในปากอย่างอ่อนเบาตามจังหวะของเครื่องจักรด้านล่าง ในที่สุดทุกอย่างก็จบสิ้นท่ามกลางละอองน้ำเย็นฉ่ำและลมหอบหายใจอันอุ่นร้อนของเราทั้งสองคน ………..
:ling1: :ling2:
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!!” ผมโวยวายทันทีหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขณะกำลังยืนเปลือยกายเช็ดละอองน้ำตามร่ายกายให้แห้ง คอปเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยด้านหน้าครบทุกซี่ “ไปเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยสิ!!” ผมโยนผ้าผืนหนึ่งที่ใกล้มือที่สุดไปใส่บุรุษที่ยืนเปลือยกายตรงหน้า ละอองน้ำที่พรมพร่ำทุกส่วนของลอนกล้ามเนื้อตรงหน้ามันช่างเจิดจ้าแสบตาเหลือเกิน โดยเฉพาะส่วนที่พ่อให้มามากกว่าผมส่วนนั้น มันน่าหมั่นไสและน่าอิจฉาเกินไป “ไม่ต้องอิจฉานะ เรารู้ว่ามันน่าภูมิใจที่ได้มาเยอะแต่บอกไว้ก่อนก่อนนะว่า ทั้งหมดที่เห็นเนี่ยของนายคนเดียวเลยนะ” คอปเตอร์พูดพลางผายมือออกกว้าง เผยให้เห็นร่างกายทุกส่วนชัดเจน “หน้าด้านใครเขาจะไปอยากได้!!” แน่นอนว่าผมพูดไม่ตรงกับใจ อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ความในใจผมจึงได้แต่หัวเราะในลำคอ พร้อมเดินเข้ามาใกล้ทั้งอย่างนั้น อ้าแขนกว้างขยับเข้ามาใกล้ “หยุดตรงนั้น ตัวยังเปียกอยู่เลย ไปแต่งตัวให้เรียบร้อย!!” ผมทำท่าไล่อีกฝ่ายด้วยหลังมือ และสายตาจ้องขมึง คอปเตอร์คงจะรู้ว่าผมจริงจังเลยยอมยกมือยอมแพ้และถอยหลังอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก เพราะหากอีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาสวมกอด ผมคงไม่รู้ว่าจะควบคุมตัวเองได้ไหม หากโดนอีกฝ่ายแสดงความรักอีกรอบ?!? ……………. ผมตัดสินใจคว้าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้แล้วรีบออกจากห้องน้ำก่อนที่จะโดนคอปเตอร์รุกไล่ใส่อีก ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องออกมาสิ่งแรกที่ผมเจอถึงกับทำให้ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ คอปเตอร์วิ่งตามมาทันทีตามเสียงร้องของผมโดยที่ยังไม่ทันได้นุ่งผ้าให้เรียบร้อยเพียงหยิบผ้าเช็ดตัวตามมาด้วยเท่านั้น “แม่!!” คอปเตอร์ร้องเสียงหลงและรีบใช้ผ้าเช็ดตัวคาดเอวปกปิดส่วนลับอย่างลวกๆ หญิงวัยกลางคนในชุดอยู่บ้านแสนธรรมดาที่ดูมีราคาปรายตามองผมและลูกชายตนเอง ก่อนที่เค้นฝืนยิ้มออกมา “ไปรับประทานมื้อค่ำกัน” เสียงหญิงสาวราบเรียบแต่มีความเอ็นดูอยู่ในที แต่เหมือนเสียงนั่นไม่ได้ถูกส่งมาหาผม เพราะเธอมองเพียงลูกชายเธอคนเดียวเท่านั้น แล้วเธอก็เดินออกไปช้าๆ จนพ้นประตูห้องไป “แม่นายอยู่ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย??” ผมพูดขึ้นทันทีที่ประตูห้องปิดลง พลางนึกถึงเสียงตัวเองที่เปล่งออกมาขณะอยู่ในห้องอาบน้ำ “ปกติแม่ไม่เคยเข้ามาห้องเราเลยนะ แปลกดี คง….เพิ่งจะเข้ามาแหละ” คอปเตอร์เหมือนพยายามพูดให้รู้สึกดีขึ้น ผมพยายามไม่คิดอะไรจึงได้พยายามแต่งตัวให้เสร็จเพื่อที่จะได้ปฏิบัติภาระกิจเยี่ยมบ้านแฟนวันนี้ให้เสร็จสิ้น ในขณะที่ผมกำลังยกขาใส่ลงในกางเกงขายาวผ้านุ่มนิ่มสีเทา ผมก็ถูกผลักลงไปนอนแผ่บนที่นอนอ่อนนุ่มที่อยู่ไม่ไกล ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัวอีกครั้ง อาการเจ็บที่บั้นท้ายจากการทำหน้าที่แฟนในห้องน้ำยังไม่ทุเลาเลย ขณะที่ผมตั้งตัวได้และกำลังจะสบถใส่อีกฝ่าย ผมก็ถูกเจ้าของห้องโถมตัวลงมาทับในท่าทางที่เหมือนผมเป็นขนมปังแล้วเขาเป็นฮอตด็อก ผมพยายามหนีบขาฝืนสู้ดันคอปเตอร์ไม่ให้เขาเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่สุดท้ายผมก็สู้แรงไม่ได้ กางเกงที่เพิ่งใส่เข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว ผมถูกจัดอยู่ในท่าทางที่คิดว่าไม่รอดแน่นอน เพราะกำลังรบมาจรดจ่ออยู่ที่ประตูแล้ว มันเหนอะหนะเปียกลื่นและพร้อมสำหรับการทำศึก ผมพยายามปฏิเสธแต่อีกฝ่ายดูเหมือนเครื่องจักรไร้จิตใจ ฃทำงานอย่างหนักจนไม่สนใจคำทัดทานจากผม “เราไม่ไหวแล้ว นายน่ารักเกินไป!!” คอปเตอร์เอ่ยอะไรแบบนี้ซ้ำไปมา ไม่นานผมก็ต้องปล่อยตัวปล่อยใจร่วมไปกับเขาซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพราะความรู้สึกตอนนี้มันก็ยอดเยี่ยมมาก สุดท้ายผมทำได้แค่กอดเขาไว้แน่นและก้าวเดินไปจนสุดทางพร้อมกัน “ออกมากินข้าวกันได้แล้ว” ไม่มีใครได้ยินเสียงประตูเพราะได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของกันและกัน รู้ตัวอีกทีพี่ร็อคเก็ตก็เข้ามาในห้องมาเจอกับภาพที่เราสองคนยังคาราคาซังกันอยู่ ผมทำตัวไม่ถูก ทำได้แค่เอามือขึ้นปิดหน้า ส่วนคอปเตอร์รีบลุกออกไปหาปลายผ้าห่ม และดึงมาฃฃปิดร่างเปลือยเปล่าของผมไว้ ก่อนที่จะไล่พี่ชายตนเองออกจากห้องไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้สวมอะไรนอกจากถุงยาง สองเหตุการณ์ในวันเดียว ผมว่าวันนี้มันเกินไปมาก เกินที่จะรับไหวจริงๆ ผมคลุมโปงและอยากจะร้องไห้อยู่อย่างนั้นทั้งคืน ……………
:pighaun: :haun4:
คอปเตอร์พยายามกล่อมผมอยู่นานกว่าผมจะกล้าออกมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำได้ ผมเดินพลางคิดอะไรในหัวร้อยแปด รู้สึกอยากได้อะไรมาคลุมศรีษะไว้ให้มิด ไม่อยากเจอหน้าใคร ท้องมันร้องว่าหิว แต่ใจผมร่ำร้องอยากกลับบ้านเสียตอนนี้เลย ผมถูกคอปเตอร์กุมมือแน่นและลากจูงไปจนถึงโต๊ะอาหาร ผมถูกพาไปนั่งข้างเก้าอี้ที่คอปเตอร์นั่งที่มุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ตพอดี แน่นอนผมไม่กล้าสบตาพี่เขาตอนนี้ ทั้งๆ ที่พี่ร็อคเก็ตพยายามมองมาทางผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกำลังต้องการจะคุยด้วย “ไม่ต้องประหม่านะ ทำตัวตามสบาย” ในที่สุดพี่ร็อคเก็ตก็พูดออกมา ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองยังก้มหน้าอยู่ “โต๊ะมันใหญ่ไปหน่อยใช่ไหม มันก็เลยดูห่างเหินกัน ดูสิมีที่นั่งตั้ง สิบสองที่ บ้านเราก็ไม่ได้มากินข้าวพร้อมหน้ากันบ่อยๆ แขกก็ไม่ค่อยมีมา ไม่รู้ว่าพ่อเขาจะซื้อมาทำไมใหญ่ขนาดนี้” คนเป็นแม่บ่นพลางมองมาทางผมเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ผมกับทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “แม่ครับ ผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่คือ วิน ครับ แฟนผมเอง!” คอปเตอร์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ดูบรรยากาศ เป็นคนมองบรรยากาศไม่เป็นเหมือนเดิม ผมได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเลยเรอะ?’ สุดท้ายผมก็ต้องกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะคุณแม่ได้แต่ทำหน้านิ่งและมองมาทางผมไม่หยุด คล้ายกำลังเปิดโหมดสแกนของหุ่นยนต์สังหารในหนังไซไฟ ผมคงคิดไปเองที่เห็นแสงไฟสีแดงฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นแว่บหนึ่ง น่ากลัว เย็นไปถึงกระดูกสันหลัง ก่อนที่ยิ้มกลับมาแบบปูนปั้น และกล่าวยินดีที่ได้รู้จัก “เสียเวลามากแล้วรับประทานกันได้แล้ว” คุณแม่ยิ้มหวานใส่ลูกทั้งสอง แต่ไม่แม้แต่เหลือบมามองผม รู้สึกพลังชีวิตหายไปหลายแต้ม ระหว่างมื้ออาหารคุณแม่ของเทพบุตรทั้งสองมีวิธีในการเข้าหาลูกชายทั้งสองที่แตกต่างกัน คนที่เป็นพี่ชาย คุณแม่จะถามเรื่องงาน และถกถึงการแก้ปัญหา แก้เกมการเมืองต่างๆ ในองค์กร ได้อย่างถึงเครื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมตามไม่ทันและไม่รู้จักทั้งนั้น ระหว่างนั้นคอปเตอร์จะตักกับข้าวให้ผมและให้ผมลองชิมฝีมือคุณแม่เขาทุกจาน ทุกชามที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารแม่จะปรุงอย่างเรียบง่าย แต่ก็รู้สึกได้ว่าทุกวัตถุดิบมีการใส่ใจในการจัดแต่งและปรุงรสอย่างปราณีต เฉกเช่น ชาววัง (มาทราบทีหลังว่าเป็นลูกหลานเหลนโหลนหม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเรียกยากๆ) ต่อมาถึงคิวคนน้องบ้าง คุณแม่จะพูดคุยเรื่องฝึกงาน เรื่องช้อปปิ้ง เรื่องเที่ยว เรื่องทั่วไป ที่ทำให้บรรยากาศต่างจากคนแรกชัดเจน เห็นได้ชัดว่า ไอ้การที่คอปเตอร์นิสัยแบบนี้ ต้นเหตุมาจากใคร น่าจะถูกสปอยหนักมาก ในระหว่างที่แม่และลูกชายคนน้องพูดคุยกันอย่างออกรส คอปเตอร์ก็จะพยายามแทรกเรื่องราวของผมเข้าไป ทุกประโยคที่มีโอกาส ซึ่งทุกครั้งคุณแม่ก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นแบบเนียน ๆ ไปคุยเรื่องอื่นแทบทุกครั้ง ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น กลับกลายเป็นอากาศธาตุไปโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกไม่อยากอาหารตีตื้นขึ้นมาแทนที่ อาหารอร่อยทั้งรูป รส กลิ่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกต้องการมันเลย รู้สึกอยากเดินออกจากตรงนี้ หลังจากข้าวหมดจานผมก็วางช้อนทันที “อิ่มแล้วหรือ? ไหนว่าอร่อยมากไง?” คอปเตอร์หันมาสนใจผมทันทีที่ผมวางช้อนชิดกันบนกลางจาน เขาหันมากระทันหันขณะที่แม่ของเขายังคุยกับเขาถึงกลางประโยค แน่นอนสายตาที่คอปเตอร์ไม่มีทางได้เห็น แม่ของเขาเพ่งทะลุเข้ามาในใจผมผ่านดวงตาที่เผลอไปมองทางนั้น รู้สึกเลือดตกในทันที พลังชีวิตเหมือนจะหายไปหลายจุด “อิ่มแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนจะปวดท้องนิดหน่อย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมพูดกับคอปเตอร์จบก็ยกมือไหว้คนเป็นแม่เพื่อขอตัว คุณแม่เพียงแค่พยักหน้าตอบมา “ขอโทษด้วยนะที่เราไม่ยั้งมือ” อุณหภูมิบนใบหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันทีที่จบประโยค ส่วนพี่ร็อคเก็ตแทบจะควบคุมข้าวที่เคี้ยวอยู่ไม่ได้ คล้ายจะพุ่งออกมาเล็กน้อย ส่วนคุณแม่ก็มองมาทางผมด้วยสายตาที่ตัดสินอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับผมแน่นอน ผมรีบขอตัวอีกครั้งและเดินไปทางห้องนอนของคอปเตอร์ทันที …………….
:katai5: :ling1:
(https://i.postimg.cc/KKv1yRxn/animestyle1721990290147.png) (https://postimg.cc/KKv1yRxn)
ผมเดินไปมาอยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ให้อะไรๆ ในหัวมันโละออกไปบ้าง ผมไม่เคยเตรียมใจกับสิ่งที่เจอวันนี้เลย ไม่เคยคิดเลย หลังจากมองตัวเลขที่นาฬิกาดิจิทัลผันเปลี่ยนทางฝั่งนาทีมากขึ้นจากหนึ่งไปหลายนาทีนับจากเวลาที่ผมเข้า ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปทันที ประตูที่เปิดกว้างออกทำให้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงในห้องที่เงียบสนิท ด้วยความไม่คุ้นเคย ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งตัวโยนไปทางด้านหลังสองก้าว แม้จะตกใจมากแต่ผมก็สะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเองไว้สุดกำลัง ทันทีที่ตั้งตัวได้ อีกฝ่ายจึงได้เอ่ยทักทายมาด้วยรอยยิ้ม “อ้าว… พี่ทำให้ตกใจเหรอขอโทษนะ” พี่ร็อคเก็ตมองมาทางผมด้วยสายตาปลอบใจ “นิดหน่อยครับ คือผมไม่ได้เข้าห้องผิดใช่ไหม?” นั่นสิ รีบเดินมาโดยไม่รู้ตาม้าตาเรืออะไร “ไม่หรอก นี่ห้องเจ้าคอปเตอร์ วินเข้าห้องถูกแล้ว!!” น้ำเสียงที่แสดงความผิดหวังแฝงมาจนผมรู้สึกได้ ‘ห้องนี่มันอะไรกัน!! ใครๆ ก็เข้ามาได้เรอะ!!’ ผมคิดในใจ “เอ่อ… ครับ แล้วพี่มาทำอะไรครับเนี่ย เงียบๆ” ผมพยายามรักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติ “พี่เอานี่มาให้” พูดพร้อมยื่นกระเป๋ายาให้ซึ่งอัดแน่นไปด้วยอะไรบางอย่างอยู่เต็มไปหมด “อะไรครับเนี่ย?” ผมเดินไปหยิบมาด้วยความระวังตัว ผมส่องสิ่งของด้านในก็ต้องตกใจ เพราะเหมือนจะเป็นยาตัวเดียวกับที่เพื่อนหมอของผมให้มา “ขอบคุณครับ แต่ผมมีแล้ว ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ครับ!” ผมพูดจบก็อยากตบปากตีวเองดังๆ “อ้าวเหรอ…” เสียงที่ตอบกลับมาจากพี่ร็อคเก็ตมันมีร้อยแปดคำพูดที่ผมอธิบายไม่ได้ “งั้นพี่…. ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ไม่รบกวนแล้ว” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ผมที่ยืนคิดไม่ออกว่าจะต้องทำตัวแบบไหนกับสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งนิ่งมึนงงไปพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจออกจากห้องไปที่โต๊ะอาหาร ผมมาถึงโต๊ะอาหารก็พบว่าสมาชิกหายไปหนึ่งคน แต่คุณแม่ยังคงชวนคอปเตอร์คุยอย่างออกรสเช่นเดิม ทำเหมือนกันว่าส่งลูกไปเรียนต่างประเทศหลายปีแล้วเพิ่งกลับมาเจอกัน ผมมองไปที่ความว่างเปล่าตรงจุดที่พี่ชายคนโตของครอบครัวเคยนั่งอยู่ด้วยสายตาสงสัย ต่างจากคนในครอบครัวคนอื่นที่ดูไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างนี้ ทันทีที่คอปเตอร์มีช่องว่างกับแม่ของตนเอง เขาก็หันมาถามถึงอาการของผมทันที ผมตอบกลับไปด้วยเสียงกระซิบว่าไม่เป็นอะไรมาก เลยถามถึงพี่ร็อคเก็ตต่อพลางชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า “ไปถามถึงมันทำไม?” แทนที่จะได้คำตอบ ผมกลับได้คำถามที่ชวนหงุดหงิดเสียเอง “ไม่มีอะไรก็เมื่อครู่เจอที่ห้อง พี่เขาเอายามาให้ แล้วก็เดินออกมาก่อน นึกว่าเดินกลับมานั่งต่อ” ผมพยายามบังคับเสียงให้ได้ยินเพียงแต่คอปเตอร์ เพราะดูเหมือนจะมีคนที่ตั้งใจฟังยิ่งกว่าอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม “มันไม่เคยเข้าห้องเราเลยนะ!! แปลก มันตั้งใจจะทำอะไร??” คอปเตอร์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ในขณะที่ผมพยายามให้เขาสงบใจลงหน่อยเพราะ หน้าคอปเตอร์แดงก่ำไปหมดแล้ว ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคอปเตอร์ก็อยู่ในสายตาคุณแม่โดยตลอด สายตาที่จ้องมาทางผมสองคนนั้น เหมือนงูยักษ์ที่จ้องรอโอกาสเขมือบเหยื่อเมื่อเผลอเลยทีเดียว โอ้ยยยย น่ากลัวเกินไปแล้ว!!!!! หลังจากนั่งเป็นสักขีพยานระหว่างคุณแม่ยังสาวและลูกชายหัวแหวนที่คุยอย่างสนุกปากจนลืมไปว่าผมนั่งอยู่ด้วยโดยไม่ได้แตะแม้ข้าวสักเม็ด คุณแม่สั่งให้แม่บ้านประจำตัวเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย และนำของหวานและผลไม้ลงมาวางต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ “ของหวานนี่แม่ไม่ได้ทำเองนะ แต่ฝากเพื่อนที่สนิทกันซื้อมาเห็นว่าอร่อย วินชิมสิลูก” เสียงที่อ่อนหวานกับสีหน้าที่ดูฝืนในการแสดงอย่างยิ้มแย้ม ทำให้ผมไม่อยากอาหารขึ้นมา ผมปฏิเสธอย่างสุภาพโดยอ้างว่าท้องไส้ไม่ค่อยดี จึงผ่านการแสแสร้งขยั้นขยอของคุณแม่ยังสาวมาได้ ส่วนคอปเตอร์กลับยิ่งแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนออกนอกหน้า แน่นอนทั้งหมดก็ยังอยู่ในสายตาของคุณแม่ยังสาว การที่ส่งสายตามาแต่ไร้คำพูดที่จริงใจออกมา มันน่าอึดอัดพอควรทีเดียว หรือว่าผมมาหาครอบครัวคอปเตอร์เร็วเกินไป “แม่ครับ ผมขอกุญแจ บ้านพักที่หัวหินหน่อยนะครับ ผมว่าจะไปเที่ยวสักสองสามวันครับฉลองจบการฝึกงานเสียหน่อยครับ” “ไปกันกี่คนล่ะ บ้านหลังนั้นมันเล็กจะตาย น่าจะรองรับเพื่อนๆ ของคอปเตอร์ไม่ไหวนะ แม่ว่าเดี๋ยวแม่จองรีสอร์ทให้ดีกว่านะ เอาแบบ Pool villa ที่พักได้สัก 10-20 คนดีไหมลูก?” ผมมองสีหน้าคนตามใจลูกชายคนเล็กขั้นสุด ช่างต่างจากแม่ผมมาก หากเป็นแม่ผมคงให้ผมไปช่วยงาน หาเงินไปเที่ยวเอง “ไม่เอาครับ ผมไปกับแฟนแค่สองคน แค่นั้นก็พอครับ ยังไงผมก็ชอบบ้านหลังนั้นมากกว่าไปพักที่อื่น” คอปเตอร์ยืนยันหนักแน่นพลางช้อนของหวานตรงหน้าเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับ ภายใต้รอยยิ้มของผู้เป็นมารดาที่มองมาอย่างเอ็นดู “ไปกันสองคน….” คุณแม่ทวนคำพูดที่เหมือนเพิ่งนึกออก “ครับ” คอปเตอร์พนักหน้าและใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นโอบไหล่ผมกระชับแน่น “เหรอจ๊ะ” คุณแม่คอปเตอร์ยิ้มหวานแบบฝืนๆ ผมไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นคิดอะไรอยู่ จะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันแต่กับพี่ร็อคเก็ตเท่าที่ทราบก็ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมผมไม่รู้สึกถึงบรรยาการน่าภิรมย์แผ่มาจากทางนั่นเลย “แม่ขอพูดตรงๆ ได้ไหม? แม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้ชอบให้พูดตรงๆ” คอปเตอนพยักหน้า ส่วนผมได้แต่พยักหน้าตาม “แม่รู้นะว่าวัยรุ่นสมัยนี้พอตกปากรับคำเป็นแฟนกัน เรื่องบนเตียงก็คงเรียบร้อยกันแล้ว แต่แม่ก็ไม่อยากให้มันดูเป็นเรื่องปกติในวัยเรียนแบบเราสองคน แม่รู้ว่าผู้ขายด้วยกันมันคงไม่เสียหาย แต่แม่ว่าการไปหาโอกาสอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนบรรยากาศเพื่อทำอะไรแบบนั้น ถือว่าแม่ขอนะ ว่าอย่าทำอะไรกันแบบนั้นอีกได้ไหม?” คุณแม่พูดตรงจริงๆ ด้วย ผมฟังจบผมก็ได้ยิ้มและคิดในใจว่า แม่ช่างรู้ใจลูกเหลือเกิน เรื่องเที่ยว เรื่องพักผ่อนน่ะ มันก็เป็นจุดประสงค์หลักครั้งนี้ แต่อีกจุดประสงค์หลักอีกหนี่งอย่างก็คงไม่พ้นหาที่เปลี่ยนบรรยากาศนั่นแหละ เรื่องนี้คอปเตอร์ไม่ต้องพูดออกมาผมก็รู้สึกได้ “แม่ผมโตแล้วนะ ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยว่าอะไรเลยนี่!!” “เอาเป็นว่าแม่ไม่ไว้ใจ เคยไปตรวจเลือดหรือยังก็ไม่รู้!?!” “แม่!?! วินไม่เหมือนพวกผู้หญิงพวกนั้นนะ!! ผมต่างหากที่ควรไปตรวจก่อนเสียด้วยซ้ำ วินน่ะเขาอุตส่าห์มอบความบริสุทธิ์ให้ผมเลยนะ!!” ฟังจบผมได้แต่ใช้มือแอบทุบตักคอปเตอร์ใต้โต๊ะอย่างไม่พอใจ ถึงแม้สีหน้าของผมจะแสดงอาการตกใจกับเรื่องที่คุยกันระหว่างสองแม่ลูก แต่ก็อดที่จะโกรธในสิ่งที่คอปเตอร์พูดกับแม่ของเขาไม่ได้ ถึงมันจะจริง แต่มันก็ควรพูดหรือเปล่าวะ!! “เฮ้อ….โอเคๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวแม่ให้น้ายุพินเตรียมไว้ให้ แล้วจะให้แม่เตรียมคนขับรถให้ไหม?” “ผมก็บอกอยู่ว่าอยากไปกันแค่สองคน เดี๋ยวผมขับรถไปเองครับ” คุณแม่ของคอปเตอร์ตอบรับอย่างหน่ายใจกับลูกชายหัวแก้ว ส่วนผมได้แต่ปวดหัวกับแม่ลูกคู่นี้ ที่มีบทสนทนาประหลาดๆ ตลอดมื้อค่ำ “กินของหวานกันต่อเนอะ” แม่พยายามเปลี่ยนเรื่องทำลายบรรยากาศเมื่อครู่ คอปเตอร์ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว หยิบของหวานที่เป็นขนมปังชิ้นพอดีคำรูปร่างแปลกตาที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ยื่นให้ผมเหมือนอยากจะง้อผมด้วยของหวาน เขาคงรู้ว่าผมไม่พอใจกับเรื่องที่พูดแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อครู่ ผมส่ายหน้าปฏิเสธและดันขนมชิ้นนั้นกลับไปทางปากอีกฝ่าย ตอปเตอร์คงคิดว่าผมป้อน เขาจึงฉีกยิ้มกว้างและกัดขนมชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวดังกังวาล น่าจะกรอบมาก ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่กิน “วิน งั้นแม่วานหน่อยสิ คือว่าแม่กับพี่ร็อคเก็ตน่ะ จะออกไปธุระด้วยกันนิดหน่อย ฝากไปเตือนพี่ร็อคเก็ตในห้องให้ทีสิจ๊ะ” คุณแม่ยังสาวไหว้ผมเสียงอ่อนหวาน แน่นอนว่าผมตอบรับยินดีที่จะไปให้ เพราะดีกว่านั่งเบื่อๆ ร่วมโต๊ะอาหารแบบนี้ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่
:z3: :z13:
แม้คอปเตอร์จะมีอาการอิดออดแต่ก็ขัดแม่ตัวเองไม่ได้ ถึงจะดื้อและเอาแต่ใจ ในท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับแม่ตัวเองเหมือนกัน มุมนี้ก็เพิ่งเคยเห็นจากคอปเตอร์ ผมส่งยิ้มให้คุณแม่ก่อนที่จะเดินออกจากโต๊ะ แต่กลับได้รับความเมินเฉยกลับมา แม้จะรู้สึกวูบไหวภายในอก แต่วินาทีนี้คงต้องเข้มแข็งเพราะดันไปหลงรักลูกชายเขาแล้วนี่ ผมเดินไปตามทางที่คุณแม่แนะนำทางให้ จนมาถึงห้องสุดทางที่ชั้นสองของพื้นที่ ผมพยายามเคาะประตูเพื่อแจ้งคนภายในห้องอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมจึงตัดสินใจบิดลูกบิดประตู ผลักให้ประตูเปิดกว้างออก และต้องแปลกใจที่ ห้องไม่ได้ล็อก ภายในห้องโออ่ามากกว่าห้องคอปเตอร์มาก สมกับเป็นลูกชายคนโต ห้องถูกแบ่งสัดส่วนเป็นประมาณสามส่วน ประเมินคร่าวๆ จากการกวาดตามอง ห้องหนึ่งมีการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นจนเหมือนห้องนี้มีสองชั้น มีกระจกใสกั้นและใส่ผ้าม่านบางๆ ป้องกันสายตาได้อย่างลงตัว เนื่องจากพื้นยกระดับสูงพอควรจึงมีขั้นบันไดตรงทางเข้าห้องนอนที่มีแสงไฟแอลอีดีสว่างอยู่ภายใต้ขั้นบันไดเหล่านั่น ห้องอีกส่วนหนึ่งแยกเป็นห้องทำงาน ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และเรียบร้อยสุดยอด ส่วนพื้นที่ที่ควรจะเป็นระเบียงยื่นออกไปกว้าง กลับตกแต่งปรับส่วนหนึ่งเป็นเหมือนบาร์เครื่องดื่มตามผับหรู ตกแต่งด้วยคริสตัลและแสงไฟแอลอีดีระยิบระยับ มีทางเดินเล็กๆ ที่สามารถเดินออกไปชมระเบียงที่เว้นพื้นที่ไว้พอประมาณได้อย่างเหมาะเจาะ ระเบียงนั้นทตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับแปลกตาหลากหลายพันธุ์ จากการกวาดตามองสองรอบทำให้เห็นพี่ร็อคเก็ตนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สูงตรงส่วนบาร์ ผมจึงถือวิสาสะเข้าไปจัดการธุระที่ถูกไหว้วานไว้ “ขอโทษนะครับ ที่ถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน” “ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ถือหรอกนะถ้าเป็นวิน ว่าแต่ทำไมถึงเข้ามาหาพี่ได้ล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตขยับตัวตามเสียงของผมและยิ้มหวานให้เหมือนเคย พร้อมแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือ “คุณแม่พี่ให้มาเตือนเรื่องที่จะออกไปธุระด้วยกันน่ะครับ” ผมพยายามระลึกถึงคำสั่งของคุณแม่ เนื่องจากมัวแต่เพลินตากับการตกแต่งห้องที่สวยถูกใจ “อ้อ…. งานนั้น โอเครับเดี๋ยวพี่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะออกไป” พูดจบพี่ร็อคเก็ตก็ลุกขึ้นถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดออกมา เผยให้เห็นรูปร่างท่อนบนที่ขาวเนียนสว่างไม่แพ้เสื้อที่ใส่ “เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” “ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปพร้อมกันก็ได้!!” “แต่พี่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้มัน….” “ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม พี่ไม่ได้ถอดหมดเสียหน่อย” ระหว่างที่พูดอยู่สภาพพี่ร็อคเก็ตก็เหลือแค่เพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วเข้ารูป ที่เรียกได้ว่ากางเกงนั้นน่าจะเล็กเกินไปกับขนาดตัวของพี่ร็อคเก็ต ผมหันหลังกับภาพตรงหน้า เดินแยกเข้าไปในห้องอีกส่วนหนึ่งอย่างจงใจ แต่ใจไม่รักดีกลับตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น คนน้องมีหุ่นแน่นๆ มีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา ส่วนน้องพี่มีรูปร่างแบบลีนๆ แบบผู้ใหญ่ดูแลตัวเองที่เห็นบ่อยๆ ตามนิตยาสาร คงเพราะแบบนี้ใจก็เลยเต้นอย่างไม่รักดีเท่าไหร่ “พี่มีเรื่องจะถามหน่อย ไม่อยากคาใจ” เสียงคำพูดดังก้องที่ข้างหู ทำให้ผมตกใจหันไปหาต้นเสียง แต่ก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเพราะคนที่ถือเสื้อผ้าทั้งไม้แขวนทั้งๆ ที่สวมใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วมาอยู่ใกล้เพียงคืบ ผมถอนก้าวขาออกห่างครึ่งก้าวตามมารยาท ไม่อยากถอยห่างเกินไปกลัวพี่เขาจะหาว่ารังเกียจ “อ่ะ…ครับ ครับ” ผมตอบกลับเสียงสั่น พี่ร็อคเก็ตยิ้มตอบกลับมาอย่างเอ็นดูกับท่าทางหวาดๆ ของผม “วินไม่รู้สึกอะไรกับพี่เลยจริงๆ เหรอ?” พี่ร็อคเก็ตเดินเอาชุดเสื้อผ้าเหล่านั้นพาดลงบนเก้าอี้โซฟาหนังที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ผมผ่อนลมหายใจกับสีหน้าของคนถามที่ดูเศร้าสร้อยและสับสน ผมนิ่งค้างไปพักใหญ่เพราะเข้าไปจัดการอะไรให้หัวและพยายามเรียบเรียงความคิดความรู้สึกออกมา “ผมขอพูดตรงๆ ล่ะกันนะครับ หลังจากคิดทบทวนมาหลายวันแล้ว ผมว่าความรู้สึกของผมต่อพี่ก็เหมือนพี่ชายแสนดีที่ผมไม่เคยมี เป็นคนอบอุ่นเหมือนอย่างที่ผมอยากให้พ่อผมเป็น แล้วผมก็คิดว่าพี่เองก็เหมือนกัน ผมว่าพี่คิดกับผมเหมือนน้องชายที่พี่อยากจะมี เพราะผมน่ารักกว่าไอ้คอปเตอร์ใช่ไหมล่ะครับ” “มันเจ็บจี๊ดที่ใจยังไงไม่รู้” ชายร่างสันทัดอึ้งค้างไปพักใหญ่ สีหน้ามีการทบทวนคิ้วขมวดหลับตาพริ้ม เหมือนพยายามคลี่คลายปมเชือกอันยุ่งเหยิงในจิตใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า ผมได้แต่ส่งยิ้มอ่อนตอบกลับไป “นั่นสินะ!! พี่คงแค่สับสน รู้ไหม ตอนนี้ที่พี่รู้ว่าวินจะไปคบกับน้องชายพี่นี่ พี่โคตรสับสนเลย บอกได้เลยว่าเสียดาย กลัวน้องวินเสียใจ กลัวมันดูแลวินไม่ได้ กลัวไปหมด อยากแย่งมาดูแลเสียเอง แต่พอผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนพี่ก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าใจตัวเองคิดกับวินแบบไหน” พี่ชายที่แสนดีร่ายยาวเหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่าง “เหตุการณ์เมื่อคืน???” ผมสงสัยประโยคสุดท้ายที่ไม่เข้าใจเท่าไหร่ “ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าขอบใจนะ ขอบใจที่พูดกับพี่ตรงๆ ให้พี่ได้สติ” พี่ร็อคเก็ตเดินมากุมไหล่ผมเพื่อแสดงความขอบคุณ ทั้งๆ ที่ยังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋ว ผมแสดงสีหน้ายินดี และกำลังจะพยายามที่จะปลดมือพี่ร็อคเก็ตออกจากไหล่ผมด้วยความเขินอาย อีกคือ หากถูกคอปเตอร์มาเห็นในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “ไอ้สัด!!!! มึงกำลังจะทำอะไร!!” นั่นไงสิ่งที่คิดไว้ว่าไม่อยากให้เกิด มันก็ดันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น!! คอปเตอร์เดินย่างฝีเท้าหนักเข้ามาให้ห้องด้วยสายตาอาฆาต รู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาดร้ายแผ่ไปสู่อากาศทั่วห้อง คล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปที่พี่ร็อคเก็ต ซึ่งแม้แต่ผมที่อยู่ห่างจากเขายังรู้สึกได้ ผมตัดสินใจเดินไปรั้งตัวคอปเตอร์ไว้ไม่ให้ก้าวเข้าใกล้พี่ชายตนเองไปมากกว่านี้ แม้ว่าใจผมจะสั่นกลัวกับอากัปกิริยาของแฟนตนเองตอนนี้มาก เพราะจิตมุ่งร้ายอันชัดเจนมันทิ่มแทงผ่านผมไปเหมือนเข็มนับพันเล่ม ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ภาพแบบนี้ในจิตใจผมมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายผมได้เสมอ แต่แรงอย่างผมหรือจะสู้ชายหนุ่มที่กึ่งคลุ้มคลั่งคนนี้ได้ ผมโนกดดันถลาถอยไปหลายก้าว และพยายามใช้แรงเรียกสติอีกฝ่าย พยายามจ้องไปที่ดวงตาที่แทบจะไม่มีผมอยู่ในแววตาเลย ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนเสียงที่เปร่งออกไปเริ่มสั่นเครือ น้ำในตาเริ่มกรอกกลิ้งออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมที่พยายามนึกถึงคำพูดของจิตแพทย์มากมายเพื่อยับยั้งความกลัวของตนเอง และต่อต้านอย่างหนัก “ขอร้อง! เราขอร้อง!!” ผมเปร่งเสียงที่สั่นเครือสุดเสียง ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แน่นอนว่า พี่น้องสองคนเองก็คงรู้สึก น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นไหลผ่านแก้มลงมาจนถึงคางและถูกปาดโดยมือหยาบใหญ่ของชายที่เกรี้ยวกราด ตอนนี้ชายคนนั้นสงบลงแล้ว เขาหยุดก้าวเดินไปด้านหน้า เชยหน้าผมขึ้นมามองให้เต็มตา “เราทำนายเสียนำ้ตาอีกแล้ว….” เสียงของคอปเตอร์เปลี่ยนไป แววตามีความสำนึกผิดมากมายและแสดงออกผ่านสีหน้าที่กระวนกระวาน “หยุดเถอะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันไม่มีอะไรอย่างที่เตอร์คิด เตอร์เชื่อเรานะ” ผมพยายามพูดออกมาให้เป็นประโยคที่ฟังความรู้เรื่องที่สุดผ่านเสียงอันสั่นเครือ “เราเชื่อวินนะ!! แต่เราไม่เชื่อใจคนอย่างมัน!!” พูดจบก็ชี้หน้าพี่ชายตนเองที่ตอนนี้หยิบกางเกงที่เตรียมไว้มาสวมใส่เรียบร้อยแล้ว “คือพี่…..” “มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่เรอะ!!” “เตอร์ เราขอร้อง” ผมพยายามไม่ให้เรื่องมันบานปลายกว่านี้ “เดี๋ยวเราขออธิบายเองนะ” ผมกลืนนำ้ลายและพยายามกล่อมอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้น!!!” เสียงเข้มที่ดังขึ้นทางด้านหลัง เจ้าของเสียงก็คือมารดาของชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ “เราไม่ไหวแล้ว พาเรากลับห้องหน่อยนะ” ผมที่คล้ายจะมีอาการหน้ามืด เมื่อได้โอกาสจึงรีบขอตัวออกจากสถานการณ์นี้ “ไม่มีอะไรครับแม่!! เราแค่คุยกันเฉยๆ!” คอปเตอร์หันไปพูดกับมารดาตนเองอย่างห้วนๆ ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็พยักหน้าตามและหันไปสวนเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้ และตอบกลับแม่ของตนด้วยถ้อยคำเดียวกับน้องขายของเขา คอปเตอร์เห็นดังนั้นจึงเดินพยุงผมออกจากห้องไป โดยเดินผ่านแม่ของคอปเตอร์ที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล ผมแอบเห็นแววตาที่เธอมองเสมือนพูดกับผมว่า 'คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!!' ผมได้แต่พูดกับตัวเองว่า ….. นี่มันวันอะไรของผมวะเนี่ย!! ผมถูกพามาห้องนอนของคอปเตอร์ เขาอุ้มผมขึ้นไปบรรจงนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอม แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมพยายามจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ถ้อยคำต่างๆ กลับตีบตันอยู่ในลำคอไม่สามารถเปล่งออกมาได้ คงเกิดจากอาการวิตกกังวลของผมเอง คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นลูบศรีษะอย่างแผ่วเบา และใช้นิ้วโป้งนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างทะนุถนอม “ไม่ต้องพูดแล้วพักผ่อนก่อน” พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ผมยิ้มตอบกลับไปและพยักหน้า แล้วเลิกพยายามที่จะฝืนตัวเองอีกต่อไป ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลงและปล่อยให้ตัวเองคิดถึงสถานที่ที่ผมทีความสุขสงบที่สุด ผมเห็นรอยยิ้มของแม่ที่โอบกอดผมไว้อย่างอบอุ่น พลางใช้มือตบศรีษะผมเบาๆ เสียงลงหายใจของแม่ที่กระทบลงมาที่เส้นผมทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด เสียงหัวใจที่เต้นเร้าจนแทบระเบิดออกจากอกในช่วงแรกเขาลงจนแทบจะไม่ได้ยินอาการหอบหายใจค่อยๆ ทุเลาลงจนกระทั่งผมได้ยินเสียงรอบข้างทุกอย่าง ทั้งเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและเสียงฝีเท้าที่เดินไปมาของคนในห้อง “เฮ้ยเติ้ล กูขอปรึกษาหน่อยสิ คือ….” เสียงร้อนรนของคอปเตอร์ที่ดังมาจากที่ไกลๆ และค่อย ๆ หายไปจากโสต แล้วผมก็ปล่อยให้ตัวเองโดนความอ่อนเพลียเข้าครอบงำและหายไปในความมืด หลังจากจมลงสู่ห้วงนิทราที่ไม่เต็มใจ ผมเริ่มรู้สึกตัวจากเสียงเพลงบรรเลงที่มีจังหวะสบายๆ มีทั้งเสียงทุ้มและแหลมเล็กสลับกันไปจนเกิดเป็นเสียงเพลงที่แสนเสนาะหู ผมพยายามยกหนังตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นจนสุด แล้วก็พบว่าตัวเองนอนอยู่อยู่ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟที่มุมสองข้างของหัวเตียง และไฟเส้นแอลอีดีตามขอบมุมของพื้นและเพดานห้อง ผมยกมือขึ้นมานวดคลึงศรีษะไปมาด้วยความมึนงงและพยายามนึกว่าตนเองล่าสุดทำอะไรอยู่ที่ไหน? ภาพล่าสุดย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากต่อฉาก ผมส่ายหน้ากับความอ่อนแอของตนเอง สิ่งที่คิดว่าตัวเองควบคุมได้และจากไปแล้ว กลับตามมารบกวนอีกเพราะไปเจอสิ่งเร้าต้นกำเนิด มันจึงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่แค่ไม่อยากยอมรับว่า ตัวเองย้อนกลับมาที่เดิมอีกแล้ว “ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงอ่อนทุ้มจากด้านข้างที่ผมแทบไม่รู้สึกตัวตนของคนที่นอนอยู่ข้างผมมาตลอดจนกระทั้งได้ยินเสียงเรียก อีกฝ่ายพยายามยื่นมือมาจับบ่าผมด้วยที่ผมนั้นตอบสนองช้าในยามเช้า มืออันเย็นเยียบนั้นทำให้ผมผวาทันทีที่สัมผัส ปฏิกิริยาโต้ตอบของผมมันอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือใครและถอยขยับไปอีกด้านทันที ไม่นานผมก็รู้สึกตัวเพราะคนที่ร่วมเตียงด้วยมีท่าทีนิ่งไปจากเดิม แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ผมมั่นใจเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงออกแบบไหนอยู่ ในใจของผมอยากเข้าไปหาเพื่อปรับความรู้สึกอีกฝ่าย แต่แขนขาที่สั่นเทา มันไม่ยอมขยับแม้แต่น้อยเลย ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของผมเหมือนกำลังเล่นชักเย่อกันอยู่ ผ่านไปพักใหญ่เหมือนอีกฝ่ายทำใจได้ เขาก็ลุกขึ้นไปเปิดม่านที่ปิดกระจกใสบานใหญ่ออกมาให้เห็นเส้นแสงสีทองที่ริมขอบฟ้าอีกด้านไกลโพ้น ดวงไฟบางส่วนเปิดขึ้นมากับการเพียงแค่อีกฝ่ายแตะปุ่มคำสั่งบริเวณนั้นไม่กี่ครั้ง ผมมองเห็นร่างของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น คอปเตอร์อยู่ในชุดนอนขายาวสีเทาอ่อน ที่ดูพอดีตัว มันดูเหมาะกับเขาอย่างบอกไม่ถูก ในขณะเดียวกัน ผมเองก็ใส่ชุดแบบเดียวกันแต่เพียงเป็นสีขาวขุ่นแต่ดูหลวมโครกหย่อนไปเสียทุกส่วน นอกจากนี้ผมยังพบว่าใส่แบบนี้มันก็สบายดี กลิ่นหอมๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มที่หอมกำลังดีเหมือนอยู่ในพุ่มดอกไม้สักสิบสวน สดชื่นดี “ดีขึ้นหรือยัง?” คอปเตอร์ถามขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน แต่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกัน “อืม…..” ผมหลับตาสำรวจร่างกายตัวเองด้วยสัมผัสภายใน ก่อนจะตอบด้วยเสียงในลำคอเบาๆ “งั้นเหรอ… ค่อยยังชั่วหน่อย” คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้จนชิดขอบเตียง แต่ผมกลับขยับขาหดเข้าหาตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายตอนนี้ มันแทบจะไม่เชื่อฟังผมเสียเลย ความเงียบเข้ามาเยือนอีกฝ่ายอีกครั้ง สีหน้าของคอปเตอร์มีแค่ความกังวลและเจือไปด้วยความรู้สึกผิด เขาค่อยๆ ขยับห่างออกไปอีกครั้ง ผมเห็นทุกกล้ามเนื้อของคอปเตอร์ที่ขยับและแปลเปลี่ยนไป จากที่กระฉับกระเฉงร่างเริง เต็มเปลี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า แต่ตอนนี้ทีแต่ความกลังวลและลังเล เขาคงกังวลว่าจะรับมือกับอาการของผมอย่างไร ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมเห็นน้ำตาของเขาที่หลั่งออกจากตา อย่างเงียบเชียบ แต่สิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียใจเช่นกัน ผมหลับตาและกัดฟันสู้กับอาการผิดปกติของตัวเอง บอกบังคับตัวเองให้เลิกสั่น เลิกกลัว เลิกตกใจหวาดระแวงคนตรงนี้ได้แล้ว ผมพยายามปิดบาดแผลที่เปิดโหว่กว้างภายในใจอย่างหนัก จากหนึ่งนาทีเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นสิบ ที่ทุกอย่างในห้องช่างเงียบสนิท และไร้ความเคลื่อนไหว นอกจากผมที่กำมือแน่นและสั่นไหวไปตามกล้ามเนื้อที่บิดเกร็ง “งั้นผมไปหาอะไรร้อนๆ มาให้กินนะจะได้มีแรง” คอปเตอร์คือผู้ทำลายความเงียบเหล่านั้นด้วยคำพูดอันสั่นเครือ เขาเดินผ่านผมไปด้วยความเร็วที่ผมเองไม่สามารถจะทักท้วงได้ได้ทัน เพียงครู่เดียวเขาก็เดินไปถึงประตูเสียแล้ว แต่สีหน้าแบบนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ไม่คลาย สายตาแดงก่ำ รื่นไปด้วยน้ำตาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ ด้วยเหตุนั้น มันทำให้ผมกลั้นใจก้าวเดินออกจากจุดเดิม และพยายามตะโกนเรียกชื่อเขาสุดเสียง ด้วยแรงที่ยังไม่คืนมาเต็มร้อย ผมอ่อนแรงล้มลงไปกับพื้นห้อง แต่เหมือนกับพระพาย ความเร็วในการเข้าถึงตัวผมนั้นมันช่างน่าอัศจรรย์ ผมถูกอีกฝ่ายคว้ารวบไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่ความคิดอันน่าหวาดหวั่นของตัวเองจะทำงาน ผมใช้สติที่เพิ่งโดนใบหน้าอันเศร้าหมองของคนรักกระตุ้นให้ตัวเองผ่านพ้นมาจนมีสติมากขึ้น ผมคว้าแขนเขาไว้และกอดแน่น “กอดเราหน่อย กอดไว้แน่นๆ อย่าหายไปไหน!!” ผมฝืนพูดขึ้นมาทั้งน้ำตา ร่างกายที่สั่นเครือที่พยายามปฏิเสธเขา แต่ใจที่ดันไปรักเขาเสียแล้ว มันพยายามสู้อยู่อย่างสุดพลัง คอปเตอร์รีบทำตามอย่างที่ผมพูดทันที แม้ว่าผมจะสั่นกลัวจนแทบหายใจไม่ออก แต่มือของผมก็กอดแขนเขาไว้แน่นจนเหมือนผมจะบิดแขนแน่นใหญ่ของเขาให้ขาดเป็นสองท่อน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น คอปเตอร์เขาก็ไม่ปล่อยผมอย่างที่ผมขอร้องไว้ เขายกมืออีกข้างขึ้นโอบล้อมรอบร่างที่สั่นเทาเหมือนลูกนกเพิ่งเกิดจากไข่ของผมอย่างอบอุ่น ไออุ่นเหล่านั้นแทรกซึมผ่านผิวหนังทำให้นึกไปถึงวันคืนแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน ความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ที่ผมจำได้ดี มันค่อยๆ ลบภาพอดีตที่แสนเลวร้ายให้มันเลือนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าผมไม่ได้ลืมเรื่องเหตุการณ์เหล่านั้น แต่ความรู้สึกที่แข็งกร้าวที่มีต่อมันได้ถูกเปลี่ยนไปคล้ายกับการดูหนังน่ากลัวเรื่องหนึ่งที่มีผมเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ผมหวนนึกไปถึงถ้อยคำสารภาพจากคอปเตอร์และคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้ผมเหมือนปลดล็อกจากความหวาดหวั่นที่ค้างคาอยู่ในใจมาแสนนาน ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำแล้วร่างกายผมก็ค่อยๆ ถูกส่งคืนมาที่สติของผมแทนที่จะถูกความหวาดหวั่นเข้าแทรกแทรง “ขอบคุณนะ ที่ไม่ปล่อยมือกัน” ผมพูดกับคนที่โอบกอดผมไม่ปล่อยด้วยเสียงที่มีความสดใสขึ้นเล็กน้อย “แค่นี้เองสบายมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่กับนายตลอดนะ” เสียงของคอปเตอร์ที่ผ่อนคลายขึ้น และแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่แม้แต่ผมตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ ผมค่อยคลายมือที่บิดเกร็งจากอาการหวาดระแวงแล้วก็พบว่าที่ปลายเล็บของตนเองมีรอยเลือดติดอยู่เล็กน้อย ด้วยความตกใจผมจึงก้มลงไปมองจุดที่ผมจับกำเขาไว้แน่น วงแขาที่มีสีแดงช้ำป็นจ้ำๆ และรอยเล็บของผมที่ฝังไปผ่านผิวหนังไปหลายมิลลิเมตร มีของเหลวสีแดงซึมออกมาจากช่องว่างเหล่านั่นเล็กน้อย “เตอร์….เรา…ขอ….ขอโทษ….” ไม่รู้ทำไมน้ำในตาผมมันหลั่งไหลออกมาไม่หยุด เป็นห่วง สำนึกผิด รู้สึกไม่ดี คือเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก “เอาอีกแล้ว เราทำวินร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอานะ ไม่ร้องนะ แค่นี้เอง สบายมาก แค่นี้ถือว่ามันยังน้อยกับสิ่งที่วินต้องเจอนะ” แทนที่ผมจะต้องเข้าไปปลอบขอโทษเขา แต่กลับกัน คอปเตอร์กลับเป็นคนทำแบบนั้นกับผมเสียเอง คอปเตอร์ดึงผมเข้าโอบกอดอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของผมจมไปกับหน้าอกที่แสนบึกบึนของเขา แทนที่ผมจะหยุดร้องผมกลับร้องออกมาไม่หยุด ผมไม่สามารถสะกัดกั้นอะไรได้เลย อารมณ์ระเบิดพวยพุ่งเหมือนผมไปเหยียบกับระเบิดที่รุนแรง รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย…. ผมถูกเชยคางเชิดหน้าขึ้น คอปเตอร์คล้อยตัวลงและกดริมฝีปากลงมาประกบที่ริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่น้ำตาผมยังไหลอาบแก้มไม่หยุด เราแลกสัมผัสกันอย่างดูดดื่ม รสชิวหาของอีกฝ่ายทำให้ผมหลงลืมความรู้สึกที่ปวดร้าวก่อนหน้านี้ไปสิ้น ผมยกมือขึ้นลูบแขนของเขาที่ตอนนี้กำลังใช้มือโอบอุ้มใบหน้าผมอยู่และกำลังใช้ริมฝีปากของเขาโหยหาความรักจากผมอย่างหิวกระหาย “โอ้ย!!” คอปเตอร์สะดุ้งกับสัมผัสของผมที่แขน ผมหยุดกิจกรรมตรงหน้าและมองไปที่มือของผมที่ตอนนี้มีคราบของเหลวสีแดงเปรอะอยู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไร…. เรามาต่อกัน” คอปเตอร์ยกมือผมลงจากแขนของเขาและตั้งท่าเดิม “ไม่เอา…ไปทำแผลก่อน!” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่หิวโหยของคอปเตอร์ และหันไปสนใจแผลเหล่านั้นอีกครั้ง “แค่แมวข่วนแค่นี้เอง” คอปเตอร์ใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผมให้หันไปจดจ่อกับใบหน้าของเขาแทนที่จะไปมองแผลของเขา “ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยนะ ทำแผลก่อนเถอะนะ แล้วอยากจะทำอะไรเรายอมหมดเลย” “แน่นะ” คอปเตอร์พูดด้วยเสียงที่ร่าเริงมากกว่าปกติ ผมรู้สึกเหมือนเห็นหางของเขากระดิกไปมาอย่างพอใจ “งั้นไปทำกันที่นอกชาน” คอปเตอร์พูดพลางชี้ออกไปที่จุดพื้นที่ๆ แสงแรกของพระอาทิตย์เริ่มสัมผัสถึงด้านนอก “อะไรนะ!!” หน้าของผมมันร้อนไปหมด เหมือนจะเป็นไข้ “หมายถึงไปทำแผลกันข้างนอกน่ะ” “อ๋อเหรอ…” ผมแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก และหวังว่าจะเป็นอย่างที่ปากพูดจริงๆ ในระหว่างที่คอปเตอร์เดินไปรื้อตู้ขนาดใหญ่ใกล้ประตูทางเข้าห้อง ผมก็ใช้เวลานี้สำรวจร่างกายตนเองอีกครั้ง และพบว่ากำลังวังชาฟื้นกลับคืนมาดีพอควรและ หัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะในตอนแรกก็กลับมาปกติแล้ว ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดทำให้รู้ว่าห้องนี้เหมือนถูกรมไปด้วยอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ ผมคิดว่าคงเป็นสูตรของไอ้หมอเติ้ลที่อยากให้ผมผ่อนคลายที่สุด แต่แบบนี้มันน่าจะเกินพอดีไปหน่อย ดมไปดมมาเริ่มฉุนจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้เติ้ลน่าจะรู้นะว่าคุณคอปเตอร์น่ะเป็นประเภททำอะไรเกินพอดี ควรจะบอกในปริมาณที่น้อยๆ ไว้ก่อน “เดินไหวไหม?” คอปเตอร์เดินมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ที่ไม่คิดว่ามันถูกเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคน “ไหวสิ” ผมพยักหน้าตอบพร้อมยืนขึ้นอย่างคล่องแคล้วให้ดู ถึงแม้จะดูไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในครั้งเดียว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากภายใน เกิดจากแรงใจล้วนๆ ผมคิด หากใจเราคิดว่าไม่เป็นอะไร ยังไงร่างกายเราก็พร้อม ผมบอกให้เจ้าของห้องเดินนำหน้าไปเลย ส่วนผมจะขอเดินตามไปเอง แม้คอปเตอร์จะมีสีหน้ากังวลแต่ผมก็พยักหน้าบอกเขาพร้อมด้วยแสดงออกทางสีหน้าว่ายังไหว จนในที่สุดพวกเราก็ได้มานั่งอยู่ที่จุดนั่งเล่นที่รัมสุดของระเบียงที่ออกแบบเป็นโซฟายาวและมีโต๊ะกลางตั้งอยู่ใกล้กับแผงกั้นระเบียงที่เป็นกระจกที่ดูมีความแข็งแรงกว่าตึกสูงหลายที่ “เอาแขนมา แล้วก็มานั่งใกล้ๆ ด้วย” ผมกวักมือเรียกคอปเตอร์ให้เข้ามาหา เพราะจากการเดินมาที่ตรงนี้ทำให้ผมหมดแรงไปเยอะแล้ว คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้อย่างว่าง่าย เพราะตรงจุดที่เขานั่งตอนแรกนั้น อยู่คนละปลายขอบของโซฟาที่นั่ง ส่วนผมก็นั่งลงที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง โดยมีกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่วางขวางอยู่ ลักษณะเหมือนเขาจะยังเกร็งๆ กับท่าทีของผมอยู่ หลังจากที่ผมเริ่มลงใส่ยาที่แผลเท่านั้นแหละ ผู้ชายตัวยักษ์คนนี้ถึงกับร้องโวยวายและขยับออกห่าง ผมจึงเริ่มที่จะคิดว่าที่ไม่ขยับเข้ามาใกล้อาจจะเพราะกลัวการใส่ยาเสียมากกว่าเสียแล้ว “ตอนมัธยมเห็นชอบทะเลาะค่อยตีกับเขาไปทั่ว กับแผลแค่นี้ทำไมถึงกลัว” ผมขำในลำคอขณะพูดทัก “ตอนต่อยตีมันมีอดินาลีนหลั่ง มันไม่เจ็บน่ะ แต่ตอนทำแผลก็เป็นแบบนี้ทุกที ทำไมไม่ใครออกแบบให้ยาใส่แผลมันเจ็บน้อยกว่านี้เนี่ย!!” “ดีแล้ว! จะได้หลาบจำ” ผมพูดพร้อมขยับเข้าไปใกล้และพยายามเริ่มต้นปฐมพยาบาลอีกครั้ง ครั้งนี้คอปเตอร์กัดฟันหลับตาปี๋ ทำไมไอ้คนเกรี้ยวกราดแบบนั้น มันถึงน่ารักได้ปานนี้ น่าเอ็นดูเหมือนเด็กอนุบาลที่กลัวครูห้องพยาบาลเลย (ต่อ)
:haun4: :jul1:
ผมพยายามใช้สำลีชุบน้ำยาและสัมผัสกับแผลอย่างเบามือที่สุด ผมเห็นแผลเหล่านั้นแล้วมันเป็นรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่หลายวง แต่ละวงนั่นฝ่าทะลุชั้นหนังกำพร้าไปหลายมิลลิเมตรเลยทีเดียว ผมคิดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นผม ผมจะทนได้ขนาดนี้ไหม? หลังจากติดพลาสเตอร์ปิดบาดแผลเรียบร้อย ผมเลยบริการพิเศษให้โดยการใช้ริมฝีปากจุมพิตไปที่แผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลไปทุกชิ้น และลงท้ายด้วยริมฝีปากเจ้าของบาดแผล “ยาวิเศษ หายเจ็บหรือยัง?” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของบาดแผลที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นผลมะเขือเทศสุกใหม่ สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจที่ผมเป็นฝ่ายรุกไปหาเขาก่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อก่อนก็มีบ้างล่ะครับ แต่จุดประสงค์มันต่างออกไป “รู้ไหม….นี่มันดีกว่ายาที่ใส่แผลสดอีกนะ! ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ อย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้ได้ไหม?” คอปเตอร์พูดจบก็ใช้แขนทั้งสองข้างรวบร่างของผมเข้าไปกอดแน่น จนแทบหายใจไม่ออก “ทำอะไรน่ะ” ผมถามด้วยเสียงอู้อี้ในอ้อมอกแน่นของอีกฝ่าย “อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ ขอกอดหน่อยนะ แค่กอดคงให้ได้ใช่ไหม?” คอปเตอร์พูดพลางเขย่าร่างผมเบาๆ “จะทำมากกว่านี้ เราก็ไม่ว่าหรอก” ผมพูดออกเสียงที่เหมือนกับพูดกับตัวเอง “อะไรนะ!?!” คอปเตอร์คลายมือและขยับร่างผมออกจากอกเพื่อมองหน้าผมชัดๆ เหมือนต้องการย้ำกับคำพูดที่ผมหลุดปากออกมา “อือ…ก็……จูบอกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรมั้ง?” ผมพูดเหมือนกับพูดกับตัวเองอีกครั้ง เพราะพยายามหลบสายตากระหายรักจากอีกฝ่าย ผมไม่ได้ทันตั้งตัวกับคำตอบของอีกฝ่าย คอปเตอร์ก็โถมทั้งร่างพุ่งเข้าใส่ผมด้วยความกระหายเหมือนคนหลงทางในทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิสโดยบังเอิญ เขาเพลิดเพลินกับแหล่งน้ำโอเอซิสตรงหน้า จนแม้แต่โอเอซิสเองก็คิดว่าได้ให้ที่อยู่กับสัตว์ร้ายเสียแล้ว ริมฝีปากที่กดลงปะทะกับริมฝีปากของผมมันช่างร้อนแรงจนแทบจะหายใจไม่ออก คอปเตอร์เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังขโมยอากาศออกจากปอดผมไปจนสิ้น “พอ…พอก่อน….ขอหายใจหน่อย” ผมยกมือแทรกป้องปากอีกฝ่ายแล้วพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด “พอก่อนไหม?” คอปเตอร์ถามด้วยความห่วงใย แม้ผมจะหอบหายใจอย่างเร่งรีบ แต่ผมก็อดที่จะมองคอปเตอร์อย่างเต็มตาในช่วงแดดอ่อนๆ ยามเช้าแบบนี้ไม่ได้ แล้วผมก็พบว่าเสื้อของเขาลงไปนอนกองที่พื้นเรียบร้อย เผยให้เห็นลอนกล้ามบางๆ ของอีกฝ่ายที่ดูแลมาอย่างดี เนินอกที่ผมมักจะถูกดึงไปอยู่ตำแหน่งนั้นประจำ แม้จะเคยเห็นบ่อยแล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นไม่หาย “งั้นวินไปนอนพักต่อไหม? ยังเช้าอยู่เลยคงยังเพลียอยู่ใช่ไหม” ผมคงนิ่งไปนาน ทำให้คอปเตอร์เข้าใจแบบนั้น เขาลูบศรีษะผมเหมือนลูกสุนัข แต่ไฟในกายผมมันคุกรุ่นไปหมด ผมไม่สามารถดับไฟที่เขาได้ก่อไว้ได้ ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เห็นเขาเปลือยอกทีไร มันไปกระตุ้นต่อมบางอย่างของผมให้ทำงานทุกที รูปร่างของคอปเตอร์เสมือนกุญแจสำหรับไขหีบแพนดอร่าในกายของผม ผมรีบจับมืออีกฝ่ายในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะลุกขึ้นเพื่อเก็บกล่องยาปฐมพยาบาล “ทำต่อเถอะ ….เถอะนะ” ผมพูดเหมือนพูดกับตัวเองอีกแล้ว เพียงสิ้นคำของผม คอปเตอร์รีบวางกล่องนั่นและตรงรี่มาจัดให้ผมนอนราบไปกับโซฟา และคล่อมอยู่เหนือร่างของผม เขามองผมทั้งร่างเหมือนอาหารชั้นเลิศที่ต้องกินให้หมดในคำเดียว หัวใจของผมสั่นไหวระรัว จนร่างของผมแทบจะลุกเป็นไฟ สายตาแบบนั้นมันคืออะไรกัน มันน่ากลัวแต่ก็น่าค้นหา ไม่นาน…. ผมก็ถูกอีกฝ่ายลิ้มชิมไปเสียทุกส่วนตั้งแต่ริมฝีปากไล่ลากลงมาจนถึงเนินอกทั้งๆที่ผมยังสวมชุดนอนอยู่ มือข้างหนึ่งของเขาสอดแทรกเข้ามาใต้เสื้อ คืบคลานอย่างช้า ๆ ไล่จากล่างขึ้นบน ชายเสื้อชุดนอนที่ผมสวมอยู่ค่อย ๆ ร่นยู่ตามท่อนแขนของคอปเตอร์ที่ค่อยๆ สูงขึ้น สายลมเย็นยามเช้าในที่สูงแบบนี้กำลังรุกล้ำสัมผัสผิวของผมจนอดที่จะตัวสั่นเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปไม่ได้ แต่ถึงผมจะแสดงท่าทางแบบนั้นคอปเตอร์กลับไม่ได้หยุดสิ่งที่เขาทำเลย เขาใช้มือเลิกเสื้อผมขึ้น จับท่าให้ผมต้องชูมือลู่ไปทางศรีษะคล้ายยกมือทั้งสองข้าง แต่เสื้อกลับถอดไปไม่สุดทาง มันค้างอยู่บริเวณช่วงข้อศอก ใบหน้าของผมอยู่ภายใต้ผืนผ้าของเสื้อที่เคยสวมอยู่ คอปเตอร์ตั้งใจที่จะทำแบบนี้เพื่อให้ได้สัมผัสผิวร่างช่วงบนของผมอย่างเต็มที่ และผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ คล้ายถูกมัดตรึงไว้กับที่ การที่มองไม่เห็นอะไร มันกลับได้รับความรู้สึกที่มากขึ้น สัมผัสได้ทั้งความชื้นของลิ้น ความหยาบของนิ้วและมือ ลมอุ่นจากลมหายใจ ทั้งหมดทำให้สติผมลอยไปไกล ทำให้ผมเผลอร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวตามจังหวะสัมผัสของคอปเตอร์ ผมรู้สึกว่านับวันกระบวนท่าต่างๆ ของคอปเตอร์ยิ่งแพรวพราว เหมือนมีการเก็บข้อมูลมาเยอะเพื่อมาฝึกฝนกับผมอย่างชำนาญ สักพักใหญ่หลังจากที่ผมเหมือนจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำบ่อน้อย ลมอุ่นของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำและขอบกางเกงของผมก็ถูกลดลงไปกองที่ตาตุ่ม ผมพยายามขัดขืนเพราะ สติฝ่ายดีเริ่มกลับคืนมา หลังหลงเข้าไปในป่ากามาที่คอปเตอร์มอมเมาผมอย่างหนัก แต่ไม่ทันเสียแล้ว ทุกอย่างของผมเบื้องล่างกลายเป็นของเขาทั้งหมด สติผิดชอบที่เพิ่งกลับมาเตลิดหายไปหมอกหนากามาของสิ่งที่คอปเตอร์กำลังมอมเมาผมอยู่ “อร่อยมาก” เขามอมเมาผมอยู่หลายนาทีและผุดลุกมาคล่อมผมและกระซิบข้างหูผมแบบนั้น “ชิมแล้วก็ขอกินล่ะนะครับ” หลังพูดจบเขาก็ย้ายตัวเองไปอยู่ด้านท้ายของโซฟา แล้วยกขาผมขึ้นสูง ผมยังรู้สึกไม่พร้อมกับการมาทำอะไรแบบนี้ กลางแจ้งแบบนี้ ผมจึงพยายามขัดขืนอีกรอบ แต่คราวนี้คอปเตอร์ผุดแทรกระหว่างขาของผมและเลิกเสื้อของผมโยนไปไกล เสื้อชุดนอนของผมลอยคว้างไปตามลมและตกลงพื้นไม่ไกล เหมือนโดนแรงลมยอดตึกพัดกลับมา ระหว่างที่ผมกำลังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ผมก็ถูกอีกฝ่ายประกบริมฝีปากจนไม่สามารถออกเสียงขัดขืนใดๆ ได้ สุดท้ายผมก็ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพล้ง!!!! เสียงคล้ายวัตถุประเภทแก้วตกลงจากที่สูงกระทบพื้นในรัศมีไม่ใกล้ ด้วยความระแวดระวัง ผมและคอปเตอร์หยุดทุกกิจกรรมและหันไปทางต้นเสียงที่อยู่เลยศรีษะห่างออกไป ผมพบชายวัยหนุ่มในสภาพชุดนอน ไม่คุ้นหน้ายืนอ้าปากค้าง อยู่ตรงพื้นที่ๆ ผมคาดว่าเป็นเขตห้องของพี่ร็อคเก็ต ในภาพการมองภาพกลับหัวกลับหางแบบนี้ ทำให้ผมจำเค้ารางของคนที่ค้างอยู่แบบนั้นไม่ได้ สักพักเขาก็เหมือนขยับปากพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย “วชิร…… ทำไม…?.” เสียงแผ่วเบาลอยมาตามลม “อาจารย์!! จิตใต้สำนึกของผมมันร้องโวยวาย คอปเตอร์ที่ตอนนี้เริ่มได้สติและกดตัวเองลงกอดผมแน่น มือหนึ่งพยายามค้าเสื้อที่ร่วงลงมาบริเวณนั้นมาปิดคลุมส่วนสำคัญแทบจะทันที ไม่เพียงเท่านั้น คอปเตอร์ที่ตอนนี้ไร้เสื้อผ้าสักชิ้นปิดบังร่างกายกลับผุดลุกขึ้นและเดินไปหา พร้อมโวยวายหมายจะเอาเรื่องคนแปลกหน้าตรงหน้า ชายคนนั้นทำได้แค่วิ่งหนีเข้าไปในห้องพี่ร็อคเก็ต ซึ่งหากผมจำไม่ผิด ชายคนนั้นมันอาจารย์ผมไม่ใช่เรอะ แล้วมาเจอกันตรงนี้ ที่นี่ได้ไง ที่สำคัญมาเห็นตอนกำลังจะไคลแมกซ์เสียด้วย ผมลุกขึ้นมานั้นกุมศรีษะ ทั้งๆ ที่มีเพียงเสื้อชุดนอนตัวบางปิดส่วนล่างอยู่เพียงเท่านั้น
:katai1: :ling1: :z3:
“โวยวายอะไรวะ…ไอ้เชี้ยเตอร์ มึงเอ้ย…ไอ้เตอร์ช่วยไปใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหมวะ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล อุทานเสียงดังข้ามระเบียงกั้น ผมหันกลับทางต้นเสียงก็พบพี่ร็อคเก็ตอยู่ในสภาพไม่ต่างกันมาก เขาเดินใส่กางเกงชุดนอนขายาวผ้าบางเฉียบที่แทบจะเห็นทุกส่วนสัดภายในผ้าผืนนั้น กับเปลือยอกจนเห็นเนินอกขาวแต้มสีชมพูอ่อน และลอนหน้าท้องแบบลีน ลอนบางๆ สีขาวสะท้อนแสงยามเช้า “อ้าว วิน เอ่อ…..” ผมแน่ใจว่าพี่ร็อคเก็ตน่าจะประหลาดใจไม่ต่างกับผมที่พวกเราต่างเห็นกันสภาพเกือบเปลือยแบบนี้ “มึงมองอะไรของมึง!!” ส่วนไอ้คนขี้หึงก็เหวี่ยงใส่พี่ชายตามสไตล์ของมัน “เออๆ เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษ ไปล่ะ” พูดจบพี่คอปเตอร์ก็รีบเดินเข้าห้องไปทันที “นี่ไม่คิดจะอายใครเลยหรือไง!!“ ผมทักไปพลางพยายามใช้เสื้อที่มีอยู่ปิดบังผิวที่เผยอยู่ตอนนี้ให้มากที่สุด ”ต่อไหม?” คอปเตอร์ถามพลางยิ้มไปด้วย “จะบ้าเหรอ เจอแบบนี้ยังมีอารมณ์อยู่นี่สิแปลก!!” ผมพยายามมองหากางเกงชุดนอนที่ตอนนี้ หายไปไหนไม่ทราบ หวังว่าคงไม่ถูกโยนลงไปที่พื้นด้านล่างนะ “งั้นเข้าไปข้างไหนกันก่อนเถอะ คนที่เห็นวินเปลือยมีได้แค่เราเท่านั้น” คอปเตอร์พูดจบก็เดินเข้ามาอุ้มผมในท่าเจ้าสาว “เฮ้ย!! ทำอะไรนะ” มองจากมุมนี้ ยิ่งสูงและหวาดเสียวมากขึ้นไปอีก “พาเข้าห้องไง!!” เขาพูดจบก็เดินพาผมเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย จนมาถึงที่นอนแล้วเขาก็วางผมลง แต่ตัวเขาเองก็โน้มตัวลงตามมานอนกอดผมในสภาพที่ทับผมอยู่ทั้งตัว “ว่าแต่จะให้มันจบเท่านี้เหรอครับ?” คอปเตอร์กระซิบเบาๆ ข้างหู “เอ่อ…. ชะ ใช่ แค่นี้เถอะ” ผมยอมรับครับว่าลังเล “แต่เรายังว้าวุ่นอยู่เลย ดูสิรู้สึกได้ใช่ไหม?” แน่สิ!! รู้สึกได้สิ ก็ไอ้น้องชายคอปเตอร์มันเล่นสะกิดท้องผมไม่หยุด ผมจึงไม่คิดจะตอบอะไร “เราต่อกันเถอะนะ…. นะครับ นะครับฃ” เป็นคนแพ้คำสุภาพเสียด้วย สีหน้า แววตา และน้ำเสียงที่ขอร้องอย่างสุภาพทำให้ผม อ่อนแรงต่อต้านไปหมด “นะครับ” พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนแต่ แววตาขึงขังจริงจัง ผมกัดริมฝีปากด้วยความลังเล พยายามเลี่ยงที่จะมองหน้าคนตรงหน้าตรง ๆ แต่ร่างกายของผมมันดันตอบรับอีกฝ่ายไปแล้วโดยการผ่อนแรงแข็งขืนให้อ่อนลง ปล่อยให้หลังลงไปราบติดที่พื้นที่นอนอันอ่อนนุ่ม และยอมรับการปรนเปรอจากอีกฝ่ายแทบที่จะทันทีไม่ปฏิเสธ ………. ตั้งแต่เกิดเหตุในวันนั้น ความรู้สึกของผมก็มีหลากหลายตีกันอยู่ในหัวยุ่งเหยิงเป็นทัพสามก๊ก ทัพหนึ่งคือ พยายามหลบหน้าพี่ร็อคเก็ตทั้งๆ ที่ยังอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน เพราะกลายเป็นว่าผมถูกลากมานอนที่นี่ทุกวัน หลังจากไม่ต้องฝึกงาน เว้นแค่ช่วงที่ผมไปจัดการเรื่องต่างๆ ที่มหาวิทยาลัย ผมก็อยู่กับคอปเตอร์ทุกวัน และไม่รู้ว่าทำไมคอปเตอร์ถึงต้องมานอนบ้านทุกวันด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคย ทัพที่สอง ความเผือกเรื่องอาจารย์ตัวเองกับพี่ร็อคเก็ต อยากรู้อยากสืบ อยากไปเริ่มต้นคุยกับใครสักคน พี่ร็อคเก็ตก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง ทัพที่สาม ผมอยากกลับบ้านตนเองแล้ว แต่ติดที่คอปเตอร์มันตื้อเก่ง การที่ต้องเจอคุณแม่ของคอปเตอร์ทำให้ผมรู้สึกพลังชีวิตถดถอยลงทุกครั้ง ถึงแม้ว่าคอปเตอร์จะมาคอยเติมพลังให้ช่วงกลางคืนแต่แบบนี่มันก็ไม่ไหว ในที่สุดผมก็สบโอกาสที่จะต้องทำเรื่องย้ายห้องเช่า เพราะใกล้เรียนจบแล้ว ฝึกงานก็ไม่ต้องไปแล้ว สัญญาเช่าก็กำลังจะหมดลง ผมจึงบอกคอปเตอร์เรื่องที่วันนี้ผมคงต้องไปเก็บของและย้ายของออกแล้ว นัดกับแม่ตัวเองไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง ผมก็เลยว่าจะขอกลับไปค้างที่บ้านกับแม่ “โอเคเลย สิ้นสุดวันนี้พอดี ขอไปด้วยสิ” “สิ้นสุดอะไร? แล้วตามมาด้วยคืออะไร?” “ก็มีตกลงกับแม่เรื่องบ้านพักตากอากาศที่หัวหินน่ะ จะขอเข้าไปใช้เสียหน่อย ระหว่างส่งคนไปดูแลเรื่องบ้านพักที่โน่น แม่ก็เลยให้อยู่บ้านครบสัปดาห์น่ะ นี่ไงได้กุญแจมาแล้ว!!” พูดจบก็ชูพวงกุญแจที่ดูธรรมดาผิดคาดขึ้นมาแสดงให้ดู “โอ…โอเค” ในที่สุดก็ตอบคำถามเรื่องที่คาใจตัวเองมาพักใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นต้องพาผมมาอยู่ด้วยทุกวันเลยนี่นา “แล้ว….จะตามมาด้วยนี่คืออะไร ไม่ต้องก็ได้นะ วันนี้ไม่นอนที่ห้องเช่าแล้วนะ เพราะจะกลับบ้าน พวกขนของก็ไม่ต้องเพราะแม่พาลูกน้องมาช่วยขนย้าย” “ก็อยากไปนอนบ้านแฟนมันผิดตรงไหน” “ผิดสิ เพราะยังไม่ได้บอกแม่เลย!!” “งั้นก็ถือว่าไปเปิดตัวให้แม่ได้รู้อย่างเป็นทางการ” “จะบ้าเรอะ ไม่เอา ไม่รีบ!!” “เรายังเปิดตัวกับแม่เราเลยนะ” “นั่นมันเตอร์ ไม่ใช่เรา!!” “น่าน้อยใจจัง” “ตามสบาย!!” “เฮ้อ…. ดูวินไม่ค่อยรักเราเลยนะ” ก้มหน้า คอตก หางลู่ ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ผมทนไม่ไหวถึงกับเดินเข้าไปกอด “รักสิ! แค่ขอเวลาเราหน่อยนะ เอาเข้าจริง ถึงแม้ว่าแม่จะรู้เรื่องที่เราชอบผู้ชายแต่ เรื่องแบบนีเราก็ยังไม่กล้าอยู่ดีแหละ” “เชื่อเราสิว่าไม่เป็นไร แม่วินจะต้องดีใจกับพวกเรา” “ไม่เอา… ไม่เสี่ยงดีกว่า ขอทำใจก่อนนะ เราไม่เคยพาใครไปเจอแม่ในฐานะแฟนมาก่อนเลยนะ มันกล้าๆ กลัวๆ อยู่ดี แม่ไม่ว่าก็ใช่ว่าแม่จะดีใจที่ลูกเป็นแบบนี้เสียหน่อย” “คิดมากน่า” “…….” ผมนิ่งจมไปกับความคิดของตนเองไปพักใหญ่ เพราะประสบการณ์ไม่ดีจากครั้งมาเปิดตัวกับแม่ของคอปเตอร์ “เอาล่ะๆ งั้นขอแค่ไปนอนด้วยก็ได้ ยังไม่คงต้องเปิดตัวอะไรก็ได้!!” ผมผ่อนลมหายใจกับอาการดื้อดึงของอีกฝ่ายที่ผมไม่มีความสามารถที่จะปฏิเสธได้เลย …………………………
บท Intermission -Rocket to the moon แสงสลัวสีส้มสลับแสงสีขาวในพื้นที่ที่ไม่คุ้นตา ชายหนุ่มที่มีชื่อเหมือนอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพุ่งทะยานแหวกฟากฟ้าไปสู่อวกาศอันไกลโพ้น แต่กลับก้มหน้าคอตกนั่งกรอกเชื้อเพลิงสีอำพันลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า เสียงเพลงแผ่วเบาคลอไปทั่วทั้งสถานที่ บรรเลงเพลงสไตล์แจส ที่ไม่เคยคิดที่จะฟังมาก่อน ถึงเขาจะแสดงออกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวตั้งแต่สมัยเรียน ฝึกออกงานสังคมตั้งแต่สมัยเรียนอุดมศึกษา แต่เพลงที่เขาชอบมักจะเป็นสไตล์ easy listening มากกว่า เพลงเหล่านั้นแม้ว่ามันจะเพราะแค่ไหน แต่มันก็ไม่ทำให้จิตใจที่แสนขุ่นมัวของเขาสดใสขึ้นมาได้ แก้วแล้วแก้วเล่าที่เขายกมันจรดริมฝีปากให้ความร้อนแรงของน้ำสีอำพันขึ้นชื่อเหล่านั้นไหลผ่านลำคอจนแทบจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย นึกถึงเรื่องที่เจอวันนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากให้สติมันเลือนหายไป เขาอยากที่จะผ่านค่ำคืนนี้ไปให้ได้ คนแล้วคนเล่าที่เขารักษาไว้ไม่ได้ คนแล้วคนเล่าที่เขาเสียคนรักของตนเองให้กับน้องชายของเขา เขานั่งคิดทบทวนซ้ำๆ ในหัว วนไปมา ทั้งๆ ที่เคยตกผลึกได้ว่า มันไม่ใช่ความผิดของน้องชายตนเอง ความผิดส่วนใหญ่มันเกิดจากที่เขามันบ้างานมากไป ไม่ค่อยมีเวลา และก็….ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องของแม่มากกว่าแฟนตัวเอง ส่วนคอปเตอร์มันก็แค่ หล่อกว่า สูงกว่า ใส่ใจมากกว่า แล้วก็ไม่ค่อยตามใจแม่ ต่างจากเขา ทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่า เขากับน้องชายของเขามันมีสิ่งที่ต่างกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้มันดื้อดึงกับแม่ได้ขนาดนั้น ….ต่างจากเขา…. เสียงในใจดังซ้ำๆ เหมือนเสียงตะโกนในถ้ากว้าง สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ พ่นลมหายใจออกทางปากรอบใหญ่ เสียงที่ส่งออกมาดังไปทั่งบาร์ที่เขานั่งอยู่ แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นไม่ไกล เสียงของลมหายใจผ่อนยาวและดังไม่น้อยไปกว่าเขา ร็อคเก็ตหันไปหาต้นเสียงด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมานั่งอยู่ใกล้ขนาดนี้ ทั้งที่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเขาได้นั่งคนเดียวที่บาร์ตัวสูงนี้มาตลอด คนที่บังเอิญทำเสียงแบบเดียวกันก็หันมาเจอหน้ากันอย่างไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มร่างบอบบาง ผมทรงทูบล็อค แสกกลาง ผมด้านหน้ายาวเลยหางตาไปเล็กน้อย ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาวและแก้มแต้มไปด้วยเลือดฝาด ความใสของใบหน้าทั้งหมดนั่นกลับมีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาคือ ดวงตาที่แดงก่ำ และคราบน้ำตาที่ทิ้งร่องรอยไว้รอบดวงตา ร็อคเก็ตที่เห็นก็คล้ายกับชะงักนิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกว่าคนๆ นี้น่าจะคล้ายคลึงกับตัวเองอย่างมาก ความรู้สึกเศร้าและเสียใจมันคล้ายจะเชื่อมต่อถึงกันทางสายตา เรามองกันพักใหญ่ก่อนที่จะเลี่ยงหลบและหันไปหาน้ำเมาตรงหน้าและจัดการมันอย่างไม่ปราณี “บลูเลเบล อีกแก้ว” ผมพูดพลางเคาะที่ปากแก้วตนเองเพื่อให้บาร์เทนเดอร์ทราบถึงความต้องการ บาร์เทนเดอร์ตอบรับพลางหันไปหยิบวิสกี้ขวดสวย ที่วางอยู่ในตู้ด้านหลังอย่างชำนาญ “ในขณะที่บาร์เทนเดอร์กำลังรินของเหลวสีอำพันลงรินผ่านน้ำแข็งทรงกลมขนาดใหญ่ลงสู่ก้นแก้ว เขาก็ถูกอีกคนที่นั่งขนานกับร็อคเก็ตเรียกให้เติมของเหลวแบบเดียวกันลงในแก้วของเขา เขาขานรับออเดอร์ ก่อนที่เอ่ยกับร็อดเก็ตว่า “ให้ทายนะ อกหัก รักคุด ไม่สมหวัง อะไรประมาณสินะครับ” บาร์เทนเดอร์พยายามเล่นมุกเพื่อตีสนิท ร็อคเก็ตไม่ตอบแต่แสดงสีหน้าเป็นคำถามออกไปว่ารู้ได้ยังไง? “มาคนเดียว ดื่มหนักขนาดนี้ สีหน้าอมทุกข์ เหม่อลอยบ่อยๆ คงมีไม่กี่เรื่องนะครับ จากประสบการณ์ของผม ส่วนใหญ่ก็เรื่องเนี่ย!” ร็อคเก็ตยิ้มกลับบางๆ เป็นคำตอบก่อนที่จะกระดกแก้วจิบของเหลวร้อนแรงลงคอไปหนึ่งอึก “อย่างน้อยวันนี้ก็สอง” พูดจบบาร์เทนเดอร์ก็ชี้ไปที่อีกคนที่นั่งขนานร็อคเก็ตอยู่ “ผมว่า คุณสองคนควรคุยกันนะ เผื่อจะได้ช่วยบำบัดซึ่งกันและกัน วันนี้ผมรับฟังมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะกับคุณลูกค้าคนนั้น ถือว่าช่วยผม ช่วยทางร้านนะ ท่าทางเขาจะดื่มไม่เก่งเท่าคุณด้วย” พูดจบเขาก็ขอตัวไปเติมเชื้อเพลิงให้อีกคนหนึ่งทันที ร็อคเก็ตมองตามบาร์เทนเดอร์ไปด้วยสายตาเลื่อนลอย เขาไม่คิดจะสนใจหรอก เขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่าเวลาแบบนี่ แต่ไม่รู้ด้วยอะไร ทำให้เขามองคนๆ นั่นดื่มนำ้เมาเหล่านั้นด้วยหน้าตาฝืนใจ และมีอาการน่าขบขันหลังจากของเหลวเหล่านั้นไหลผ่านคอไป “ว่าจะเลิกเป็นคนดีแล้วนะ“ เขาบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะลุกออกจากเก้าอี้อย่างช้าๆ และมั่นคง แม้โลกของเขาตอนนี้จะเริ่มสั่นไหวไปหมด แต่เขาก็คิดว่ามันคงดีกว่าไอ้คออ่อนตรงนั้นที่เริ่มยกมือกุมศรีษะตัวเองแล้วล่ะ
:กอด1: :n1:
“ผมว่าคุณควรเลิกดื่มเหมือนเททิ้งดีกว่านะ ดื่มแบบไม่รู้สึกสุนทรีของรสชาติแบบนี้มันเสียดายของ!” ร็อคเก็ตคิดว่าคนแบบนี้ต้องโดนของแรงๆ แบบนี้น่าจะช่วยให้หยุดได้ “ใช่สิ!! ผมมันไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไอ้การที่ผมไม่เคยดื่มอะไรพวกนี้เลยมันก็ผิดหรือไง?” ชายคนนั้นเหวี่ยงสายตาท่วมทุกข์ใส่คนที่เข้ามาทักทายอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหน้าสีดำทรงสีเหลี่ยมพอดีใบหน้ามันช่างชอกช้ำบวมแดงคราบน้ำตาที่ไหลท่วมแก้มมันปรากฏขึ้นชัดเจนภายใต้แสงสลัวในระยะประชิดแบบนี้ ใบหน้าเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียนสวมเสื้อเชิ้ตทางการสีขาว ที่ยับยู่ มันช่างขัดกับบรรยากาศของผับแห่งนี่เสียนี่กระไร คนตรงหน้าของร็อคเก็ตเปรียบเสมือนภาพสะท้อนความเจ็บปวดจากรักแรกของเขาที่ยังจำได้ดี เขารู้สึกเห็นใจคนๆ นี้ขึ้นมาทันที “เติมอีกแก้ว!!” ชายในเชิ้ตสีขาวยกมือขึ้นพร้อมตะโกนออกมา ร็อคเก็ตยกมือขึ้นจับแขนอีกฝ่ายแล้วหันหน้าไปมองบาร์เทนเดอร์ที่ถือขวดวิสกี้ไว้รอ เขาสั่นหน้าให้บาร์เทนเดอร์และทำสีหน้าจริงจังใส่ด้วยเชิงปฏิเสธ “ผมว่าแก้วต่อไปที่คุณต้องดื่มคือกาแฟร้อน ๆ สักแก้ว!!” ร็อคเก็ตพูดกับหนุ่มเนิร์ดตรงหน้าอย่างจริงจัง “โธ่โว้ย ทำไมต้องห้ามด้วยวะ!! คนอยากจะดื่มก็ต้องได้ดื่ม!!” “ผมว่าคุณพอเถอะ หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว!! ดื่มไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ดื่มไปอะไรมันก็ไม่ทำให้เราสมหวัง” ร็อคเก็ตรู้สึกว่าประโยคหลังนี่ เขาเหมือนพูดกับตัวเอง “เพลย์บอยหน้าตาดีอย่างคุณจะมาเข้าใจอะไร คงมีแต่คนเอาความรักมามอบให้ เกิดมาเลือกได้แบบนั้นจะไปเข้าใจอะไร!!” ร็อคเก็ตมองกระจกตรงข้ามกับบาร์ที่เขายืนอยู่ มันสะท้อนเงาของเขาขณะนั้น สภาพโดยรวมของเขาต่างจากที่เห็นที่ทำงานมาก ผมเผ้าจัดอย่างไม่เป็นทรง เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นหลายทบ ปลดกระดุมอย่างสบายๆ กางเกงผ้าทรงสูงไร้เข็มขัด แม่จะดูดีรับกับใบหน้าไปอีกแบบแต่ ดูรวมๆ ก็คล้ายภาพลักษณ์เพลย์พอยที่เห็นตามทีวีซีรี่ย์ทั่วไป แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะอ่อนต่อโลกพอควร เพลยบอยในชีวิตจริงที่ไหนเขามีสีหน้าอมทุกข์ขี้แพ้แบบนี้ ร็อคเก็ตส่ายหน้ากับอาการโวยวายของอีกฝ่าย มองผ่านๆ รวมๆ แบบนี้ คนตรงหน้าแทบจะดูอายุไม่ออก น่าจะเป็นคนที่หน้าตาดูเด็กกว่าอายุจริง แต่ก็น่าจะเลขสามนำหน้า น่าจะใกล้เคียงกับเขา “ถ้าผมเป็นเพลย์บอยจริง คงไม่ต้องมานั่งดื่มวิสกี้คนเดียวในสภาพนี้หรอกมั้ง” “เฮ้ย…!!! อกหักเหมือนกันเลยสิ! งั้นต้องดื่ม ดื่มให้ลืมไอ้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจ เจ็บจนหายใจแทบไม่ออก” ร็อคเก็ตที่เห็นคนตรงหน้าแล้วก็รู้สึกสะท้อนตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่อยากดื่มขึ้นมาเลย เห็นแล้วมันเศร้านะ เขาคิดว่าเขาจะช่วยเหลือคนตรงหน้าให้ดีขึ้นจนกลับบ้านเองได้ เพราะอย่างน้อยความสบายใจที่ทำมันอาจจะช่วยเหลือจิตใจเขาให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง “ขอร้องนะ ผมว่าคุณต้องหยุด ผมผ่านจุดนี้มาก่อน ผมรู้ว่ามันเจ็บ แต่เหล้ามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับกันนะ แย่กว่าเดิมอีก!!” “แต่ๆๆ ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่มีใครต้องการอีกแล้ว อยากจะลืม!!” หลังจากที่ฟังคนตรงหน้าพูดทั้งน้ำตานองหน้า มือจับหน้าอกกำเสื้อเชิ้ตส่วนหน้าขยำแน่นเกร็งแสดงความเจ็บปวด ก็เกิดความรู้สึกแปลกแยกขึ้นมา เขาไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น เขารู้สึกเจ็บ ผิดหวัง เสียใจ แต่มันก็ไม่ทรมานเหมือนคนตรงหน้าเขา ทำไมนะ? “คือผมน่ะ….เหมือนเพิ่งโดนปฏิเสธมา ทั้งๆ ที่แสดงออกว่ารักมากขนาดนั้น จริงใจและทุ่มเทเท่าที่ผมจะให้ได้แต่สุดท้าย คนที่ผิดหวังมันกลายเป็นผม” “โธ่… คุณคงเจ็บมาก” หนุ่มเนิร์ดขยับเข้ามาใกล้ พลันดันตัวเองให้ยืนขึ้นเพื่อกอดไหล่ร็อคเก็ตอย่างสนิทสนม “เจ็บนะ มากไหมไม่รู้ สงสัยจะชิน ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของผมน่ะนะ” “โห… ขนาดหน้าตาแบบนี้ยังโดนทิ้ง อย่างผมคงเป็นเรื่องปกติสินะ…” หนุ่มเนิร์ดผละออกจากร็อคเก็ตเพื่อทิ้งตัวลงนั่ง แม้จะเกือบล้มแต่ก็กลับมาทรงตัวได้ทันที “หน้าตาแบบไหนไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมจะบอกว่าเรื่องความรักเนี่ย มันบังคับใจกันไม่ได้ ผมเจ็บมาจนพอที่จะเข้าใจ แต่จะบอกว่าไม่เจ็บปวดเลยมันก็เป็นเรื่องโกหก สำหรับผม ผมให้เวลาเยียวยาหัวใจตัวเอง หากยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีหวังที่จะมีรักแท้สักวัน” ร็อคเก็ตร่ายยาวเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเอง ระหว่างพูดก็มองตรงไปที่ด้านหน้าที่เป็นชั้นวางกระจกสำหรับวางขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิด ที่พื้นหลังเป็นกระจกสะท้อนเห็นใบหน้าตัวเองตอนพูด ทำให้ภายในใจพอที่จะเยียวยารักษาตนเองได้ เหมือนเขากำลังพูดปลอบตัวเองมากกว่า แต่สำหรับอีกคนที่นั่งฟังด้วยอาการขมวดคิ้วและสายตาที่แสดงออกว่ากำลังคิดขัดแย้งกับเรื่องร็อคเก็ตพูดออกมา “สวยเกินไป คำพูดมันสวยหรูเหมือนเนื้อเพลงเลย ไม่เห็นจะเข้าใจ!!” คำพูดคำจาของคนตรงหน้าร็อคเก็ตคล้ายถดถอนอายุตัวเองไปสู่อายุรุ่นเลขหนึ่งนำหน้า คนๆ นี้อาจเป็นประเภทเก่งเรื่องวิชาการแต่ไม่เก่งเรื่องการใช้ชีวิตกระมัง ในขณะที่ร็อคเก็ตกำลังจะเอ่ยปากขยายความ หนุ่มเนิร์ดอีกฝ่ายก็ยึดตัวขึ้นและสูดหายใจเข้าลึก พร้อมที่จะบรรยายความนัยของตนแทรกขึ้นมา “ผมกับคู่หมั้น เรารักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท จนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอก สิบปีเราคบหาดูใจกันจนมีการหมั้นหมายมีพิธีการที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ เหลือแค่รอให้เรื่องงานมันลงตัวแล้วผมจะไปขอเธอแต่งงาน ผมโหมงานหนักมากนะเพื่อเธอ แค่ให้รออีกสองสามปี เธอก็ไปแอบคบกับไอ้เศรษฐีหน้าเงิน ทิ้งช่วงเวลาดีๆ สิบปีของเราไปเสียอย่างนั้น วันนี้เธอมาขอถอนหมั้นผมเพื่อไปคบกับไอ้หมอนั่นอย่างเปิดเผย!! ผมพยายามรั้งเธอเต็มที่ พยายามทำทุกอย่าง สุดท้ายผมก็ต้องมาจมอยู่กับความเสียใจของตนเองตรงนี้!!” พูดจบหนุ่มเนิร์ดก็ยกแล้วสุราเทของเหลวในแก้วลงคอตัวอย่างจนไม่เหลือแม้สักหยดในแก้ว (ทั้งที่แทบไม่เหลืออยู่แล้ว) ตามด้วยใบหน้าที่ฝืนทนกับความทรมานกับรสชาติที่เขาไม่คุ้นเคย หลังจากตั้งตัวกับรสชาติของเหลวที่กลืนลงคอไปได้สักพัก เขาก็ยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อขอเติมแก้วถัดไปทันที “พอเถอะ ผมขอร้อง” ร็อคเก็ตที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแบบงงๆ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวละเอียดมากมาย แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้เป็นอย่างดี ร็อคเก็ตคว้ามือหนุ่มเนิร์ดเพื่อห้ามปราม และมองไปทางบาร์เทนเดอร์ให้หยุดการเติมเชื้อเพลิงเดี๋ยวนี้ด้วยสายตาดุดัน “กาแฟร้อน มีไหม?” บาร์เทนเดอร์พยักหน้าตอบรับทันทีและหายไปด้านหลังเคาเตอร์ เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกาแฟกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ซึ่งขัดกับบรรยากาศแสงสีโดยรอบอย่างมาก “ขี้เสือกนะเราเนี่ย!!” หนุ่มเนิร์ดจ้องขมึงไปที่ร็อคเก็ตอย่างแค้นเคือง “เมาแล้วไม่ได้สติแบบนี่ มันไม่ใช่คุณคนเดียวที่จะเดือดร้อน คุณจะสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่นด้วย ดังนั้นควรจะทำตัวดีๆ กว่านี้ ดูจากบุคลิกการแต่งกายแบบนี้ ก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่คิดเองได้ อย่าให้ผมต้องบอกซ้ำๆ!!” คราวนี้ร็อคเก็ตทำเสียงดุแข็งขึ้น “ไม่ใช่พ่อกูเสียหน่อย!!” หนุ่มเนิร์ดบ่นงึมงำ พลางคว้าแก้วกาแฟควันระอุ กรอกใส่ปาก “โอ้ยยๆๆ ร้อนๆ” “ก็บอกว่ากาแฟร้อน มันจะเย็นได้อย่างไร!!” หนุ่มเนิร์ดไม่พูดอะไรนอกจากจ้องมองคนพูดอย่างไม่วางตา ในใจคิดด่าในใจน้อยแปด “ไม่เป็นไร เมาได้ที่แล้ว กูทำตัวเหลวไหลให้สะใจ อุตส่าห์เก็บพรหมจรรย์ เพื่อแต่งงานกับเธอ ก็ได้วันนี่จะไม่สนใจแล้ว ไม่มีหางกูเอาหมด!!” พูดจบก็พุ่งตัวไปหาเป้าหมายที่เล็งมาสักพักแล้ว คือกลุ่มผู้หญิงสุดสวยที่มุมห้อง โดยที่ร็อคเก็ตคว้าตัวเขาไว้ไม่ทัน “นั่นไง ไม่ขาดขำ ทำคนอื่นเดือดร้อนเสียแล้ว!!” ร็อคเก็ตบ่นกับตัวเองก่อนพุ่งตัวตามไป …………
:z6: :z3:
………… “เราเลิกกันเถอะ!!” ฝันร้ายของ ผศ.ดร. สสิณพงศ์ ยังคงดำเนินซ้ำไปมาตลอดเวลาที่หลับตาลง ความรักที่เขาศรัทธามาตลอด สิบปี จบลงด้วยประโยคสั้นๆ จากหญิงสาวที่เขารักที่สุด รักเดียวตั้งแต่มัธยมปลาย ฝันทั้งหลายร่วมกันสร้างมาล้มครืนเพียงเพราะผมตั้งใจทำงานมากเกินไป ใฝ่สูงเกินไป มีความทะเยอทะยานในความสำเร็จมากเกินไป และแน่นอน เป้าหมายของ ความสำเร็จของเขามีเธออยู่ด้วย พอลลี่ คือ ชื่อเล่นของสุดที่รักของเขา แม้เธอผู้นั้นจะกระชากหัวใจของเขาทุ่มลงดินอย่างไม่ใยดีก็ตาม แต่เขาก็ยังลืมเธอไม่ลง เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเจอคือความฝัน แต่ทำไมความเจ็บปวดที่ใจมันไม่ได้น้อยลงเลย ภาพเหตุมันสะท้อนไปมาจนเขาเริ่มท้อและอยากตื่นจากฝันร้ายเหล่านี้ “คุณๆๆ” เสียงดังจากที่ไหนสักแห่งกำลังดึงความสนใจของเขา ภาพฝันร้ายเหล่านั้น ค่อยๆ เลือนหายไปเหลือไว้แต่แสงสว่างอันพร่ามัวไปทั่วดวงตา หนุ่มเนิร์ดลืมตาพลางปาดนำ้ตาที่ไหลพรากไม่หยุด เขาพยายามรวบรวมอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดก่อนจะขาดใจ การที่เขาจมกองน้ำตามันทำให้ปอดเขาทำงานหนักจนเกินไป เขาทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนที่มองสิ่งต่างๆ รอบตัว “ตื่นเสียที ผมพยายามปลุกอยู่ตั้งนาน เป็นอะไรไหมครับ!” เสียงนั่น เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เขาหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยสายตาที่พร่ามัว สายตาที่สั้นมากกว่า -500 ของเขามองแทบไม่ออกเลย เขาพยายามหยีตาอยู่พักใหญ่ คนที่เป็นต้นเสียงผ่อนลมหายใจและเค้นยิ้มออกมาอย่างที่เขาสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยสายตาแบบนี้ พักใหญ่เขาก็ควานหาและยื่นแว่นตากรอบหนาให้กับคนที่หยีจนยู่ไปทั้งใบหน้า หนุ่มเนิร์ดรีบคว้าไปใส่อย่างรีบร้อน ทำให้เห็นว่ารอบข้างของเขานั่นอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และที่สำคัญคนที่อยู่บนเตียงของเขาก็ไม่คุ้นหน้า “เฮ้ย!! คุณเป็นใคร!?!? ที่นี่ที่ไหน!?!?” หนุ่มเนิร์ดชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วถอยร่นห่างออกไปเล็กน้อย ทำให้เขารู้ว่า เขาเปลือยเปล่าอยู่ภายในผ้าห่มผืนหนา ความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วตัว โดยเฉพาะที่แกนกลางของสมอง มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดออกมาจากด้านใน “นี่คุณน่าจะเมาจริงนะ จำอะไรไม่ได้เลยหรือไง!!” ชายหนุ่มอีกฝ่ายที่หนุ่มเนิร์ดเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้องเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย หนุ่มเนิร์ดพยายามโกยผ้าห่มที่คลุมอยู่เข้าหาตัวเองให้มากขึ้นหมายให้มันเพียงพอที่จะป้องกันตัวเองจากอีกฝ่ายได้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ขยับจากจุดเดิมแม้แต่น้อย ผ้าห่มที่ถูกร่นห่างจากชายอีกคนเผยให้เห็นผิวเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเช่นกัน เขาจำได้ลางๆ ว่าเมามาก ไม่เคยกินเหล้ามาก่อน มันขม มันฝาด มันร้อนแสบท้องไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบดื่มกันนัก เขาคุยกับใครสักคนหนึ่งคนที่ภาพมันจะเบลอไปหมด “คุณ…..คือคนที่นั่งข้างๆ ?” ประโยคที่เหมือนคำถามมากกว่าคำตอบ ร็อคเก็ตผ่อนลมหายใจยาวอย่างช้าๆ และมองสภาพบัณฑิตหนุ่มตรงหน้า “เฮ้อ……ไม่รู้ว่าจำอะไรได้บ้าง แต่เมื่อวานเนี่ย!! นายลุ่มล่ามไปทั่วเลยนะ ผู้หญิงในผับนั่นไม่แจ้งตำรวจจับก็บุญแล้ว ดีนะที่นายบาร์เทนเดอร์นั่นช่วยเคลียร์ให้!!” หนุ่มเนิร์ดพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ภาพที่นึกออกมันเบลอไปหมด เหมือนพยายามมองหาของในห้องที่เต็มไปด้วยไอน้ำร้อนลอยวนไปมา สุดท้ายเขาจึงเลิกพยายามในเวลาที่หัวปวดแทบระเบิดแบบนี้ “โอ้ย!! ขอโทษ! ไม่สิขอบคุณก็แล้วกัน!! ว่าแต่ทำไมผมถึงได้เปลือยแบบนี้ละ!!” พูดพลางค่อยๆ ขยับผ้าห่มที่คลุมเตียงที่เหลือเข้าหาตัวที่ละน้อย คล้ายมันจะเป็นกำแพงกั้นตัวเขากับอีกฝ่ายได้ จากสภาพแบบนี้ ทำให้เขาคิดในแง่ลบสถานเดียว “เรื่องนั่น……เอ่อ……” ท่าทีของเจ้าของห้องยิ่งชวนทำให้หนุ่มเนิร์ดหวาดระแวงและคิดหนัก และเริ่มถอยร่นห่างออกไป ผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมเตียงอยู่ถอยร่นจนกระทั่งเผยให้เห็นรอยสีแดงแต้มไปผ้าปูที่นอนสีขาวลายเมฆสีเทาทำให้ผ้าผืนนั้นดูน่าพิศวงและน่ากลัว “เดี๋ยวนะ!!” หนุ่มเนิร์ดชี้หน้าอีกฝ่ายพลางสำรวจร่างกายโดยอัตโนมัติ เขาพบว่าตัวเองมีอาการเจ็บหน่วงๆ ที่บั่นท้าย “นั่นแหละ! คือเรื่องที่บอกคือ เมื่อวานผมก็เมามากเหมือนกัน บวกกับที่คุณซนจนผมต้องเผลอไปตามอารมณ์!!” “แก!! ล่อลวงผมมาทำมิดีมิร้ายแบบนี้เหรอ??” “นายเป็นคุณลุงในร่างคนหนุ่มหรือไง!! ถึงชอบพูดแบบนั้น เมื่อคืนออกจะทำตัวน่ารักกว่านี้แท้ๆ !!” “นายมัน ไอ้คนเลว เลวๆๆๆ ชั่วๆๆๆ ทำไมๆๆ นายเป็นโรคอะไรหรือเปล่าเนี่ย เราไม่อยากเป็นโรคไปกับนายด้วยนะ!!” หนุ่มเนิร์ดที่ชาตินี้ไม่เคยพูดคำหยาบเลยนึกหาคำต่อว่าอีกฝ่ายได้อย่างยากลำยาก มันคับแค้นแน่นออก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเสียทีแบบนี้ ส่วนหนึ่งเขาก็ได้แต่โทษตัวเองที่ดื่มนำ้ขาดสติเหล่านั้นไป และนี่คือสิ่งที่เขาต้องรับกรรมไป “เอาเถอะ ยังไงเราก็ ได้ประโชน์กันทั้งคู่ เรื่องโรคก็ไม่ต้องกลัว ผมรู้จักป้องกันอย่างดี!! อย่างน้อยนายก็ได้ปลดปล่อยความเครียดไปบนเตียงนี่…..ฉิบหายแล้ว!!” ร็อคเก็ตมองภาพบนเตียงระหว่างที่ผ้าห่มถูกดึงออกไปทีละน้อย เผยให้เห็นอุปกรณ์ป้องกันที่เมื่อคืนเขาได้ใช้เผด็จศึกอีกฝ่าย แต่ที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือ สิ่งนั้นมันฉีกขาด!!! ร็อคเก็ตก้าวไปรวบคว้าทุกอย่างบนเตียงมาตรวจสอบ เขานั่งระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้มันจะกระทันหันแต่เขาก็เตรียมการป้องกันไว้เสมอ “ครั้งล่าสุดมันก็นานเป็นปีแล้วนี่นา…” ร็อคเก็ตฟุบนั่งลงบ่นพึมพำกับตัวเอง “อะไรของนาย!?! บ่นพึมพำทำหน้าเครียดทำไม? เสื้อผ้าผมอยู่ไหน? ผมจะกลับบ้านแล้ว!!” หนุ่มเนิร์ดที่ยังไม่รู้สถานการณ์มีความเร่งร้อนเมื่อปรายตาไปเจอนาฬิกา บอกเวลาว่าเข้าแล้ว วันนี้เขามีงานตอนเช้า เขาเป็นคนตรงต่อเวลามากจึงมีความกังวลเรื่องตรงหน้าน้อยลงไปถนัด “เดี๋ยว!! คุยกันก่อน!!” “เออๆ คุยได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ขอไปทำงานก่อนนะ สายแล้ว แล้วที่นี่มันที่ไหนฟะเนี่ย!??!?” หนุ่มเนิร์ดคุยกับตัวเองมากกว่าตอบผู้สนทนา พลางมองหาเสื้อผ้าตัวเองรอบๆ ห้อง “เดี๋ยวสิ ต้องคุยกันก่อน จะได้รู้สถานการณ์ จะได้ไปตรวจโรคด้วยกัน!!” “แปลว่าอะไร ไหนว่าป้องกัน!!”ประโยคนั้นทำให้หนุ่มเนิร์ดหันมาสนใจอีกฝ่าย ร็อคเก็ตชูสิ่งที่ฉีกขาดขึ้นให้เห็น “สงสัยมันคง….เก็บไว้นานไปน่ะ!!” “ไอ้เชี้ยยยยยยยยย” หนุ่มเนิร์ดลากเสียงยาวพลางคว้าโน่นนี่โยนใส่อีกฝ่าย!! “ใจเย็นๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่เราต้องคุยกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรกันมาก่อนไหม เราควรจะไปตรวจด้วยกัน!!” “เชี้ยแล้ว!! ผมจะใจเย็นได้ไง ในเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรก เป็นผู้ชายแถมไม่ได้ป้องกัน ผมสิควรจะสติแตก คุณจะติดโรคจากผมได้ไง ในเมื่อผมไม่เคย!!” “เดี๋ยวนะ ไหนว่ามีแฟนแล้วไง แล้ว ไม่เคยเลยนี่มัน…” “เออสิวะ ผมไม่เคย ผม….เวอร์จิ้นไง เข้าใจป่าว!!” แม้จะกระอักกระอ่วนในการตอบออกมาแต่เขาก็พูดออกมาโดยที่เพราะโมโหอารมณ์เสียอยู่ “บ้าน่ะ เพิ่งเคยเจอคนที่…อายุปูนนี้แล้วยังจิ้นเนี่ยนะ!!” “อันนี้คือไม่เชื่อ หรือจะบูลลี่!! เขาเรียกว่าเก็บไว้หลังแต่งงานโว้ย!!” “หัวโบราณดีนะ” ท่าทางอีกฝ่ายทำให้ร็อคเก็ตหลุดหัวเราะออกมา เผลอคิดในใจว่ามันน่ารักดี “สบายใจเถอะผมตรวจสุขภาพทุกปี ยังไงก็ไม่เป็นโรคอะไรหรอกนะ แล้วผมก็ไม่เคยมีอะไรกับใครมาเกือบปีแล้วด้วย!” “ไม่เชื่อ..!!” “งั้นเดี๋ยวพาไปตรวจเลือดพร้อมกันเลย ถึงจะพูดว่าบริสุทธิ์ใครเขาจะไปเชื่อในเมื่อเมื่อคืนนายก็ลีลาดีไม่ใช่น้อย!!” “พูดบ้าอะไรนะ!!” หลังจากนั้นสองคนนั่นก็มีปากเสียงกันจนเหนื่อย และตกลงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เนื่องจากเสื้อผ้าของหนุ่มเนิร์ดต่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนมอมแมมไปด้วยสารพัดคราบ ร็อคเก็ตจึงได้จัดเตรียมเนื้อผ้าของเขาไว้ให้โชคดีที่ทั้งสองมีขนาดของร่างกายใกล้เคียง “กางเกงในผมล่ะ??” หนุ่มเนิร์ดโวยลั่นหลังจากเห็นกองเสื้อผ้าที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้ “ไม่รู้หาไม่เจอ เราก็เปลือยเปล่าอยู่บนเตียงทั้งคู่ ตั้งแต่เช้า เรื่องเมื่อคืนก็จำได้แค่ลางๆผมไม่ทราบหรอกนะว่าคุณวาง หรือเหวี่ยงกางเกงในตัวเองไว้ไหน? และผมก็ไม่คิดจะหาด้วย!! ดูจากรูปร่างแล้ว คุณน่าจะใส่เสื้อผ้าผมได้นะ แล้วก็กางเกงในตัวนั้นมันของใหม่ ผมยังไม่เคยใส่ ใส่ได้เลยไม่ต้องห่วง” “โอเค แต่ก็ยังห่วงนะ!” “ก็ไซส์มันเล็กไปหน่อย ผมใส่คงจะอึดอัดน่าดู!” “คิดจะอวดหรือคิดจะยั่วโมโหกันเนี่ย!! …..โอเค!! เข้าใจได้!!แต่ใครกันนะที่เมื่อวานร้องแหกปากโวยวายว่าใหญ่ คับแน่น ไปหมด ทั้งเจ็บทั้งสุข อยากหยุดแต่ก็ไม่อยากให้หยุด แถมยังดันตัวเจ้ามาหาผมเองด้วย!!” หนุ่มเนิร์ดร้องโวยวายลั่น เพราะเหมือนภาพเหล่านั้นมันย้อนกลับขึ้นมาจากหลุมฝังในสมองที่ถูกสั่งให้ลืมไปแล้ว!! โวยวายจบเขาก็กลับไปสวมใส่เสื้อผ้าที่ถูกเตรียมไว้ให้เรียบร้อยเพราะแสงอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว ชุดที่เตรียมมานั่น มันค่อนข้างเล็กกว่าร่างกายเขาเล็กน้อย ก็ไม่ถือว่าแปลกตา ทั้งเสื้อทั้งกางเกงรวมถึงกางเกงใน ต่างเป็นแบรนด์ที่เขาชอบ เขาจึงรู้สึกพอใจเมื่อส่องกระจก อย่างน้อยเสื้อผ้าของไอ้คนไร้มารยาทคนนี้ก็มีรสนิยมที่ดี ระหว่างที่ส่องกระจก เสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนดังขึ้น เขารีบค้นหาแล้วคว้าขึ้นมาดู เขามักจะตั้งเตือนล่วงหน้า 1 ชั่วโมงเพื่อจะได้ไปถึงทุกนัดหมายก่อนเวลาเสมอแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ตรงมุมไหนของประเทศ จึงทำได้แต่รีบกระวีกระวาดเก็บของที่ต่างกระจัดกระจายทั่วห้องใส่กระเป๋าตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อม “จะรีบไปไหน เดี๋ยวไปส่งก็ได้” ร็อคเก็ตในสภาพที่แต่งกายเรียบร้อยในชุดสุดเนี๊ยบเดิยมาพร้อมถ้วยกาแฟกลิ่นหอมกรุ่น “ได้ไง? ไปอาบน้ำตอนไหน แล้วกาแฟนั่นอีก!?!” หนุ่มเนิร์ดมีแต่ถ้อยคำที่ประหลาดใจกับภาพตรงหน้า “บ้านนี้ไม่ได้มีห้องน้ำห้องเดียว มีห้องรับรองแขกอยู่อีกห้องสองห้อง ผมก็ไปอาบน้ำแต่งตัวหนึ่งในห้องที่ว่าง แล้วกาแฟเนี่ย สั่งให้แม่บ้านเตรียมเผื่อให้แล้ว อยู่โซนโต๊ะทำงานด้านนอกไปดื่มก่อนก็ได้” ร็อคเก็ตใจเย็นจิบกาแฟพลางกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “นายไม่ต้องทำงานหรือไงทำไมชิลจังวะ!! แต่ผมไม่ว่างขนาดนั้นนะ!!” “ที่ผมไม่รีบร้อนก็เพราะที่ทำงานก็แค่ชั้นล่าง!! ข้างล่างเป็นบริษัทผมเอง” ร็อคเก็ตกล่าวพลางยิ้มมุมปากจิบกาแฟอย่างใจเย็น “อ้าว!! ทำไมเพิ่งบอก!! แล้วที่นี่ที่ไหน ผมจะได้วางแผนถูก ปกติผมต้องไปถึงแล้วนะ!!!” หนุ่มเนิร์ดโวยวายไปโดยที่มือไม้ยังคงจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปด้วยอย่างเร่งรีบ “ก็บอกมาเสียทีสิว่าจะไปไหน? แล้วก็เรื่องไปตรวจเลือดนี่ยังไง!?! อย่างน้อยบอกหน่อยสิว่านายเป็นใคร ชื่ออะไรมาจากไหน แล้วบอกด้วยว่าว่างวันไหนจะไปนัดกันไปพร้อมกัน!!” “ถามเป็นชุดเลยโว้ย!! เอาเป็นว่า จะไปอาคาร ACE บอกหน่อยสิว่าไกลไหม?” พูดพลางหวีผมตรวจสอบใบหน้าและลำคอว่าไม่มีร่องรอยอะไรน่าสงสัย “งั้นสบายใจแล้วหนึ่ง แล้วที่เหลือล่ะ!!” “อย่ามาลีลา คนกำลังรีบ!!” “ไม่ต้องรีบแล้ว ตึกนั้น….. มันไม่ไกล!” ร็อคเก็ตแอบหัวเราะในลำคอ “โอเค ฟังแบบนี้ค่อยโล่งอก งั้นไปก่อนนะ” “เดี๋ยวจะไปไหน? นายไปไหนไม่ได้หรอก หากไม่มีนิ้วผมสแกนที่ลิฟต์น่ะ!” “หา!! อยากจะบอกว่าสุดยอดนะ แต่มันใช่เวลาไหมเนี่ย พาผมไปหน่อย!!” “ก็บอกแล้วว่าจะไปส่ง บอกข้อมูลที่เหลือมาเร็ว!! ผมไม่อยากจะ one night stand กับใครที่ไหนก็ได้แล้วติดโรคมาหรอกนะ!!” หนุ่มเนิร์ด ยิ่งสนทนากับเจ้าของแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ทำไมมันถึงได้กวนบาทาแบบนี้วะ เขาสิเป็นผู้เสียหายที่ถูกพรากพรมจารีไป ไอ้คนที่น่ากลัวคือไอ้ลูกคนรวยคนนี้ต่างหาก รู้สึกโกรธมากจนต้องกำหมัดแน่น “ดร. สสิณพงศ์ เรียกว่า อาร์เช่ ก็ได้ เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนเรื่องตรวจเลือด….. ต่างคนต่างไปเถอะ แค่นี้ผมก็แทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแล้ว ดันมาเสียความบริสุทธิ์ให้ผู้ชายเนี่ย โอ้ยยย แล้วรีบไปส่งผมเสียที อย่ากวนบาทาให้มากนัก!!” “ก็บอกแล้วว่า จะรับผิดชอบค่าตรวจให้!!” “มันไม่แพงขนาดนั้น!!” “หากผมติดโรคอะไรผมจะเอาผิดที่ใครล่ะ!!” “คุณจะติดได้ไงล่ะ ในเมื่อผมไม่เคย ไม่เคยเลย ได้ยินชัดไหม?!!!” “ก็ผมไม่เชื่อ!!” “พอเถอะผมสายแล้ว!!” พูดจบอาร์เช่ก็เดินตรงรี่ไปหาร็อตเก็ตแล้วคว้าจับแขนร็อคเก็ตอย่างรวดเร็วและเดินนำไปข้างหน้าเพื่อลากอีกฝ่ายให้ตามมา แต่ด้วยแรงของบัณฑิตหนุ่มที่ขาดการออกกำลังกายไหนเลยจะสู้ร่างกายกำยำของผู้บริหารหนุ่มที่ดูแลตัวเองอย่างดี แรงกระชากของตนเองกลับส่งผลสะท้อนทำให้อาร์เช่เสียหลักเกือบล้มหงายหลังโชคดีที่ร็อดเก็ตปฏิกิริยารวดเร็วพุ่งตัวไปรับได้ทัน ทำให้ใบหน้าทั้งสองเข้าใกล้กันมาก ภาพเมื่อคืนระหว่างเขาทั้งสองตัดเข้ามาแทรกทำให้หัวใจของทั้งสองที่อยู่ห่างกันเพียงคืบเต้นระรัวเป็นกลองวงดนตรีหนักอย่างร็อคแอนด์โรล กลิ่นน้ำหอมสไตล์เปลือกไม้หอมปลายกลิ่นเต็มไปด้วยกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวลอยเข้าจมูกอาร์เช่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันหอมในแบบที่เขาไม่เคยได้กลิ่นจากใครมาก่อน แต่มันก็ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน มันคล้ายกับกลิ่นที่เขาโหยหาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ใช่แล้วมันคล้ายกับกลิ่น พอลลี่ แฟนสาวของเขา แต่มันก็มีอะไรที่ต่างออกไป มันคล้ายๆ กับปลุกความต้องการบางอย่างของเขาตลอด “ปล่อยได้แล้ว!!” อาร์เช่โวยขึ้นหลังจากดึงสติกลับจากกลิ่นอันน่าคนึงหานั่น ร็อคเก็ตรีบปล่อยพลางพยุงอีกฝ่ายขึ้น ในใจกลับมีแต่ความสับสน ทุกครั้งที่เขาสัมผัสอีกฝ่าย มันเหมือนเขาตกลงไปในห้วงลึกอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ เขาไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากมายนักกับระยะเวลาเท่านี้ มันทำให้เขาอยากที่จะลองสัมผัสอีกครั้ง “กินมื้อเช้าค่อยไป เดี๋ยวไปส่งถึงที่” “ไม่ต้อง!! เดี๋ยวจะสาย” “ไม่สายหรอก ก็ตึก ACE ก็ตึกนี้แหละ แค่ลงไปก็ถึง!!” “หา!!! อะไรนะ อย่าบอกนะ ….เออๆ ช่างมัน ส่งผมลงไปเดี๋ยวนี้!!” “กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมไปส่งถึงที่ อย่างผมน่ะเข้าได้ทุกชั้น” “ไม่เอาดีกว่า ออกจากตึกได้ผมจะเข้ามาแบบผู้ติดต่อเอง ไม่อยากให้มันแปลกๆ” ร็อคเก็ตแอบเห็นด้วยจึงได้แต่พยักหน้า ส่วนอาร์เช่ก็เดินออกไปรับประทานมือเช้าที่จัดเตรียมได้เกินกว่ามื้อปกติของเขามาก คือมีทั้ง กาแฟอันหอมหวนตั้งรอไว้ในกาสไตล์โมเดิร์น ขนมถาดเล็กเรียงกันบนชั้นหรูอยู่เต็มถาดเป็นชั้นๆ ทั้งสามชั้น มีตั้งแต่ขนมปังปิ้ง ไปจนถึงครัวซอง อันจิ๋วน่ารักพอดีคำ แต่ละชิ้นยังคงอุ่นร้อนส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง แม้จะประหลาดใจกับภาพตรงหน้า แต่เขาก็จัดทุกอย่างเข้าปากด้วยความรวดเร็ว ตามเวลาที่เขากะประมาณไว้พอดิบพอดี “เสร็จแล้ว ไปกันได้แล้ว!!” “นายนี่มัน นิสัยประหลาดของแท้เลยนะเนี่ย” ร็อคเก็ตยิ้มพร้อมกับส่ายหน้ากับความไม่พิถีพิถันตรงหน้า หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อย อาร์เช่เดินไปค้นกระเป๋าเอกสารขนาดใหญ่ของเขาเพื่อหาอะไรบางอย่าง จนมีสีหน้าเตึงเครียด “ถ้าจะหาเสื้อสูท ที่พับไว้ในนั่นน่ะ รอเดี๋ยวนะ กำลังให้แม่บ้านไปเอามาให้ เห็นมันยับเยินไปหมด เลยส่งไปรีดให้ใหม่นะ ใจคอจะใส่ยับๆ แบบนั่นเลย?” “ผ้ามันดี สลัดนิดหน่อยก็หายยับแล้ว!!” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ร็อคเก็ตประหลาดใจอย่างมาก เพราะมันดูขัดกับภาพลักษณ์ที่เขาคิดไว้กับคนแบบนี้พอควร “มองอะไรแบบนั้น จะให้ ทำยังไงล่ะ เจอแบบนี้มันไม่มีทางเลือกนี่!!” อาร์เช่มองร็อคเก็ตตาขวาง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าดูแคลนเขา สักครู่แม่บ้านก็เข้ามาขัดจังหวะ พร้อมยื่นเสื้อที่สวมไม้แขวนมาอย่างบรรจง อาร์เช่ไม่รอช้าเดินไปขอบคุณ คุณป้าแม่บ้านอย่างยิ้มแย้มและรีบสวมใส่ทันที อาร์เช่หลังจากที่ได้สวมเสื้อนอกที่มีตราของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทำให้ออร่าของอาจารย์ประทับร่าง มีสง่าราศีขึ้นมาจากเดิมมาก แล้วแล้วท่าทีของคนตรงหน้าร็อคเก็ตก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด “ค่อยดูเป็นครูบาอาจารย์หน่อย!!” อาร์เช่ถอนหายใจกับคำพูดอีกฝ่าย เพราะไม่อยากจะกล่าวความยาวสาวความยืดจึงได้แต่เงียบปากสงบคำไป หลังจากที่เตรียมตัวเรียบร้อย ร็อคเก็ตจึงไปพาแขกที่ไม่ได้ตั้งใจค้างออกจากห้องและพาลงไปที่ลิฟท์พิเศษลงไปถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน โดยระหว่างทางที่ลงลิฟท์พิเศษ อาร์เช่ทำได้เพียงพูดขึ้นมาลอยๆ “พวกคนรวย” “คิดเสียงดังจังนะครับ” ร็อคเก็ตเอ่ยทัก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เพราะผู้ร่วมเดินทางด้วยมัวแต่จดจ่อกับตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ ซึ่งปรากฏอยู่ที่จอทันสมัยทางด้านหน้า เพียงแต่ลิฟต์เดินทางมาถึงจุดหมายและประตูเปิดออกกว้างพอสำหรับตัวอาร์เช่ เขาก็รีบก้าวเท้าออกไปจนสุดแรง และหายไปจากคลองสายตาของร็อตเก็ตอย่างรวดเร็ว ……….
:ling1: :ling2:
บทที่ 13 Open house ผมตกลงกับคอปเตอร์ว่าจะไปเยี่ยมแม่ ผมขอเขาว่าจะขอค้างกับแม่สักหนึ่งคืน อยากอยู่ด้วยกันให้หายคิดถึงก่อนที่อีกวันจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกันตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ คอปเตอร์ยอมตกลงแต่โดยดีและอาสาไปส่งผมที่บ้าน ผมเห็นว่าทุกอย่างราบลื่นดีจึงยอมตกลงให้เขาไปส่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าคอปเตอร์น่าจะมีแผนเข้าไปแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกับแม่ของผมก็ตาม ผมไม่ได้กลัวแม่รับไม่ได้เรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชายนะครับ เพราะแม่ผมเป็นสาววายเลือดบริสุทธิ์ พยายามหาแฟนผู้ชายน่ารักๆ ให้ลูกชายเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมไม่เล่นด้วย อยากเลือกเองมากกกว่า แน่นอนว่าผมได้วางแผนที่จะย้ายออกจากห้องเช่าที่ผมพักอาศัยอยู่ชั่วคราวในช่วงฝึกงานด้วย ระหว่างที่ช่วงท้ายของการฝึกงานผมก็ค่อยๆ เก็บของต่าง ๆ และเสื้อผ้า ที่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้มีอะไรมากมายลงกล่องขนาดกลาง 2 กล่องได้อย่างพอดีพอดิบ ส่วนข้าวของของคอปเตอร์ที่นำมาใช้ช่วงแฝงตัวอยู่ที่ห้องผมก็จัดเก็บใส่กล่องอย่างเรียบร้อย “จะทิ้งก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องขน หรือเอาไปให้ใครก็ได้ ที่บ้านก็มี เราซื้อไว้มาใช้ที่นี่จะได้ไม่ต้องย้ายไปมา” นี่คือสิ่งที่คอปเตอร์พูดหลังจากที่เดินมาเจอกล่องที่ผมวางไว้ให้ “อวดรวย!!” ผมได้แต่บ่น สุดท้ายผมก็ขนกลับไปบ้านตัวเองด้วยความเสียดาย “ทำไมของน้อยจัง?” คอปเตอร์ถามขึ้นทันทีเมื่อผมยกทุกอย่างขึ้นท้ายรถของเขาทั้งสามกล่อง “มินิมอลครับ ใครจะไปเหมือนนาย อยู่แค่แปปเดียวมีของอยู่ตั้งลังหนึ่ง!! แล้วก็ของดีๆ ใหม่ ๆ ทั้งนั้นเสียดายเนี่ย!!” “งั้นก็เอาเก็บบ้านนายสิครับ” “กะว่าจะหาเรื่องมาค้างบ้านเราอีกล่ะสิ!!” “เกลียดจังรู้ทัน” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของแฟนตัวเอง “คนเป็นแฟนกันจะไปนอนค้างด้วยกันที่บ้านไม่เห็นแปลก!!” “แน่ใจนะว่านอนอย่างเดียว!!” “อ้าว…!! แล้วทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ?” “ไม่ได้ไง แม่เราก็อยู่นะ!!” “นายก็เบาๆ สิ” “โว้ยยยยย” ผมเกาหัวกับอาการคนหน้ามึนตรงหน้า สรุปว่าจะเอาแบบนั้นให้ได้ใช่ไหมเนี่ย!! รถมินิแวนคันหรูขับมาจนถึงซอยทางเข้าบ้านของผมย่านชานเมือง ผมลังเลนิดหน่อยที่จะให้เขาขับเข้าไปส่งถึงตัวบ้าน ผมไม่ได้รู้สึกอายกับการพาเขาไปบ้านตนเองเพราะความต่างกันทางด้านฐานะ แต่จากประสบการณ์ที่พาไอ้เติ้ลไปนั้น บอกเลยว่าทุกวันนี้มันยังล้อผมอยู่เลย “บ้านวินอยู่ไหนครับ?” คอปเตอร์ส่องซ้ายส่องขวาภายในตัวรถด้านคนขับ “เข้าไปในซอยอีกหน่อยก็ถึง” ผมพูดพลางชี้เข้าไปในซอย “แล้วทำไมให้เรามาจอดตรงนี้” “เตอร์สัญญากับเราก่อนว่า จะไม่ล้อเราเรื่องบ้าน” “บ้านวินจะเล็กจะใหญ่ จะใหม่ จะเก่า เราไม่สนใจหรอก วินน่าจะรู้นะ” “มันไม่ใช่เรื่องแบบนั้นนะสิ…..” “วินหมายความว่าไง?” “ถึงแล้วก็รู้!!” หลังจากที่เห็นสีหน้างงๆ ของคอปเตอร์ ผมก็บอกทางต่อทันที ผมบอกทางให้รถมาจอดที่รั่วที่เป็นพุ่มไม้ประดับตัดแต่งเป็นกำแพงเรียบสวยงามยาวหลายสิบเมตร “ถึงแล้ว” ผมพูด “ไหนล่ะ?” คอปเตอร์มองหาบ้านของผมด้วยอาการสับสน เพราะด้านหน้าก็เป็นถนนคอนกรีตลาดยาวไปสุดตา ด้านซ้ายก็เป็นบ้านที่ปลูกสร้างอยู่ในรั่วสูงเรียงรายกันตลอดเส้นทางสลับกับที่รกร้างที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ที่ขึ้นกันหลากหลายพันธุ์แบบสุ่ม ผมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมากดปุ่มบนแอปพลิเคชั่นรูปไอคอนคล้ายบ้าน และกดรหัสผ่าน 8 ตัวอักษร รั่วไม้ประดับมีเสียงดัง ปี๊ปๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะขยับเลื่อนถอยหลังไปเล็กน้อย และเลื่อนเปิดไปทางด้านซ้ายเผยให้เห็นรางเลื่อนและถนนทางเข้าบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีสวยสดใส หลังจากที่ขับรถเคลื่อนเข้าไปภายในรั่วบ้าน คอปเตอร์จึงรู้ทันทีว่าทำไม วินถึงได้มีอาการแบบนั้นเมื่อพูดถึงบ้านตนเอง กระเบื้องสีครามอ่อนปูสลับกับกระเบื้องสีขาวเปลือกไข่เป็นลวดลายที่คอปเตอร์ไม่เข้าใจ แม้มองโดยภาพรวมแล้วมีความสวยงามจากการไล่ระดับสีแต่มองไม่ออกว่ามันเป็นลวดลายอะไร ถนนสายนี้ทอดยาวไปถึงตัวบ้านที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร สองข้างฝั่งของถนนเต็มไปด้วยสวนสวยที่มีต้นไม้ปลูกและออกแบบพุ่มไม้ประดับเป็นทางวงกตเตี้ยๆ มีการปลูกดอกไม้แทรกให้มีสีสันทั่วทั้งสวน มีรูปปั้นที่คล้ายกับเทวดามีปีกอยู่มากมายทั้งสวน รูปปั้นเหล่านั่นถูกวางอย่างไม่มีหลักการอะไร คล้ายๆกับ วัชพืชที่ขึ้นตามอำเภอใจไปทั่วทั้งสวน สวนกว้างขวางพอประมาณแต่ก็ยังมองไปเห็นรั่วสูงสีขาวสะอาดที่ด้านข้างสุดทางทั้งสองฝั่ง “เอ่อ…..” คอปเตอร์กวาดตามองไปจนทั่วแล้วคล้ายมีอะไรอยู่ภายในใจจนล้นแล้วอยากจะระบายออกมา “รอให้ถึงตัวบ้านก่อนแล้วค่อยพูด” ผมยกมือขึ้นปรามและให้เขาตั้งใจขับรถต่อไป คอปเตอร์จดจ่อไปที่ด้านหน้า เขาขับรถอย่างช้าๆ เพื่อชมบริเวณบ้านที่มีทัศนียภาพแปลกตา บ้านตรงหน้าสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เป็นจุดเด่นของบ้านเลยก็คือ เสาจั่วหน้าบ้านที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันขนาดใหญ่ไม่ต่างกับมหาวิหารของเทพกรีก ตัวบ้านเป็นสีขาวสะอาดและสะท้อนแสงเหมือนตัวบ้านเรืองรองออกมาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ บ้านมีสองชั้นสไตล์โรมันที่ขนาดใหญ่ไม่น้อย ภายในบ้านประดับด้วยไม้ขัดเงาจำนวนไม่น้อย และที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ สระบัวขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของบ้าน และมีศาลาสองชั้นกลางน้ำที่มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับตัวบ้าน “อย่างกับวิหารเทพ!!” คอปเตอร์เผลอหลุดปากออกมา “พูดเหมือนกันทุกคน!!” ผมบ่นออกมาเสียงดัง รถมินิแวนยี่ห้อดังถูกขับเข้ามาถึงบริเวณลานโค้งหน้าบ้านซึ่งสร้างเป็นสถานที่จอดรถชั่วคราวเพื่อเข้าบ้าน ตัวบ้านอยู่สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ การจะเดินเข้าถึงตัวบ้านได้จะต้องก้าวขึ้นบันไดประมาณ 10 ขั้น ซึ่งตอนนี้มีหญิงสาววัยกลางคนยืนรอรับอยู่ “ใครน่ะ? มีคนมาต้อนรับด้วย!?!” คอปเตอร์หันมาทำเสียงประหลาดใจ “ก็ไม่เชิง” ผมตอบอย่างเฉยชา ผมลงรถและเดินไปหยิบกล่องเก็บของส่วนตัวมากองไว้ตามขั้นบันได หญิงวัยกลางคนๆ นั่นจึงเดินขยับเข้ามาใกล้ “สวัสดีครับ น้ากันย์” ผมยกมือไหว้คนที่ขยับมาจนถึงด้านหน้า หญิงวัยกลางคนรับไหว้และยิ้มกว้าง “วางไว้ตรงนั่นแหละ เดี๋ยวน้าไปเรียกลุงตุลย์มาช่วยเอง“ เธอเอ่ยขึ้นด้วยนำ้เสียงใจดี “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง เดี๋ยวผมกับเพื่อนช่วยกันยกขึ้นไปเองครับ” “เพื่อนเหรอ?” “ไม่ใช่ครับ ผมเป็นแฟน!!” คอปเตอร์พูดแทรกผมขึ้นมา “ว้าย!! ในที่สุดแม่แกก็สมหวัง!!” “น้ากันย์!!” ผมค้อนน้ากันย์ไปหนึ่งที “ไปเถอะรีบไปหาแม่เถอะ วางไว้นี้แหละเดี๋ยวน้าไปวางไว้หน้าห้องวินเอง ไป!! รีบไป แม่แกรออยู่ในห้องรับแขก” น้ากันย์โบกมือไล่ถี่ยิบ ผมได้แต่พยักหน้าด้วยความเกรงใจและจับแขนคนที่มาด้วยลากเข้าไปในบ้าน “ญาติวินเหรอ น่ารักดีนะ” “ก็ไม่เชิง จะเรียกว่าญาติก็น่าจะได้ แต่เป็นญาติที่ห่างมากๆ จนไม่สามารถนับลำดับญาติได้เลย แม่เห็นแกว่างงานก็เลยจ้างมาช่วยดูแลบ้านน่ะ” คอปเตอร์พยักหน้าแสร้างทำเป็นเข้าใจและไม่ถามต่อให้มากความ เพราะตอนนี้เดินจนใกล้ถึงโถงห้องรับแขกที่ตระการตาแล้ว บริเวณสวนด้านนอกก็คิดว่าอลังการแล้ว คอปเตอร์พบว่าด้านในบ้านถูกประดับประดาตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์หลุยส์ และโรมัน เสาของห้องรับแขกเป็นเสาทรงโรมันที่มีความเหลี่ยมและความโค้งมนประกอบเข้าด้วยกัน เสาตั้งสูงรอบด้านห่างกันอย่างพอดี เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ มีกระจกบานใหญ่ล้อมกรอบระหว่างเสาเหล่านั้นเป็นทรงเพชรที่เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าจะเป็นบ้านเพื่ออยู่อาศัย รสนิยมของแม่วินมีความสุดโต้งไม่ต่างจากนิสัยของเธอเลย คอปเตอร์คิดขณะเดินและมองไปรอบๆ อย่างประหม่า มันทำให้เขาดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเลย ผมเดินพาคอปเตอร์เดินไปถึงกึ่งกลางห้องที่มีชุดเก้าอี้รับแขกวางล้อมโต๊ะเตี้ยที่ทำจากกระจกซึ่งมีรูปทรงเดียวกับห้อง ผมพบว่าคุณแม่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ กระดาษแผ่นใหญ่ที่มีพาดหัวข้อข่าวรุนแรงตัวหนาใหญ่วางอยู่ทั่วหน้าแรกของหนังสือฉบับนั้น “แม่สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว่ตามปกติ แต่อีกฝ่ายที่โดนทักกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ นอกจากส่งเสียงในลำคอ “อืม” ผมผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างหน่ายๆ ผมหันหน้าไปทางคอปเตอร์ที่เดินตัวลีบตามหลังมาด้วยท่าทางกังวล ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยเจอแม่ของผมครั้งแรก ก็ทำท่าทางให้แม่เข้าใจผิดมายกใหญ่ แต่ผมก็เข้าใจเพราะการพบหน้าครั้งนี้สถานะมันเปลี่ยนไป “แม่ครับ ผมอยากจะมาขอลูกชายแม่เป็นแฟนอย่างเป็นทางการ!! ผมรักวินครับ!” อยู่ๆ คอปเตอร์ก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นบ้าน “เตอร์!!! นายจะบ้าเรอะ!!”
:jul3: :laugh: :pigha2:
ในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะพูดอะไรออกมาอีก คุณแม่ของผมก็ขยำขอบกระดาษหนังสือพิมพ์ด้วยการกำมือ ทำให้มีบางส่วนยับยู่และฉีกขาด เสียงนั่นดังลั่นทำให้ผมได้ยินเสียงคอปเตอร์กลืนน้ำลายเสียงดัง และตัดสินใจที่จะเงียบไปพักใหญ่ แต่ผมรู้จักแม่ตัวเองดี “แม่!! ไม่ต้องมาทำแกล้งอ่านหนังสือพิมพ์ เลิกล้อเล่นได้แล้ว!!” “แกเนี่ย ทำตัวไม่น่าสนุกเหมือนเคย!!” หญิงสาววัยกลางคนที่แต่งหน้าทำผมแบบจัดเต็มคล้ายกำลังไปออกงานสังคม ลดหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่ลงทันทีจนแผ่นกระดาษเหล่านั้นยับยู่ยี่ไปหมด “บ้านเราอ่านหนังสือพิมพ์กันที่ไหน ปกติก็หาอ่านทางออนไลน์ การที่แม่มานั่งกางหนังสือพิมพ์แบบนี้ มันผิดปกติแบบสุดๆ” “ก็ฉันอยากเล่นเป็นบทแม่ยายดุๆ มาตั้งนานแล้ว อยากทดสอบลูกเขยไม่ได้เรอะ!!” “แม่!!!!” คอปเตอร์หัวเราะลั่น เพราะผมกับแม่เล่นและตบมุกกันสนั่นบ้าน “บอกตามตรงว่าผมมีแอบกังวลนิดหน่อย ถึงจะรู้ว่าคุณแม่น่าจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วก็เถอะ” คอปเตอร์เอ่ยต่อจากเสียงหัวเราะที่ลดเสียงตามลำดับเวลา “ทราบ? แม่รู้ได้ยังไง ผมไม่เคยบอกเสียหน่อย!!” “ไอจี ไง เตอร์เขาลงออกจะบ่อย” แม่ของผมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ขึ้นมาแสดงให้เห็นแอคเคาท์ของคอปเตอร์ “ไหนว่านายมีคนติดตามแค่ศรัณย์กับคนในครอบครัวไง!!“ ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ คนที่เช็ดน้ำตาที่ไหลจากการกลั้นหัวเราะ “ก็ไม่ได้พูดผิด” ผมทำหน้างงใส่คำตอบของคอปเตอร์ “แม่แฟนก็เหมือนแม่เรา เท่ากับคนในครอบครัว” คอปเตอร์ยิ้มอย่างขบขันที่ผมรู้ไม่ทันเขาอีกแล้ว ผมขยำหัวตนเองด้วยความสับสนปนโกรธ “แล้วแม่ไปตามไอจีของเตอร์ได้ยังไง? แล้วทำไมเรียกกันเสียสนิทสนม!!” “แม่คิดว่า แม่ควรจะรู้จักคนมาจีบลูกทุกคนนะ แม่เคยเห็นเขามาดูไลฟ์ของแม่ แม่จำได้ก็เลย ส่งข้อความไปขอ แล้วก็คุยกันเรื่อยมา!!” ”โธ่…. ผมอุตส่าห์เครียด !!“ “แล้วนาย!!“ ผมหันไปหาแฟนคนปัจจุบันที่กำลังจะกลายเป็นอดีต หากตอบคำถามไม่ถูกใจ “รู้จักกันขนาดนี้แล้วจะเครียดทำไม!?!” ผมถามอย่างขุ่นเคือง “ก็….แหม.. หลังจากที่เราบอกว่า เราขอวินเป็นแฟนได้แล้ว แม่ก็ไม่ตอบข้อความเราเลย!!” “แม่ขอโทษนะลูก แค่อยากจะเล่นใหญ่หน่อยนะ” ได้ยินสองคนนี้คุยกันแล้วสมองของผมปวดตึบไปหมด “บ้านแม่สวยใหญ่อลังการมากเลยนะครับ!!” “แม่ก็ค่อยๆ เก็บเงินต่อเติมไปเรื่อยๆ แบบสมัยสาวๆ อยากได้บ้านแบบในละครทีวี อะไรสวยก็ซื้อมาจัดเรื่อยๆ มีแต่วินนี่แหละที่ไม่เข้าใจความสวยแบบนี้!!” “เปลืองเงิน!!” “แม่หาได้น่า แค่นี้เอง” “สมกับเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์อันดับหนึ่ง!!!” ไอ้คุณคอปเตอร์อวยไม่หยุด “ยังหรอก ยังอีกไกล แต่แม่ไม่ได้ทำแค่นั่นหรอก แม่น่ะทั้งขายของออนไลน์ ผลิตเครื่องสำอางค์ สอนแต่งหน้า สอนเรื่องบุคลิกภาพ ……..” อื่นๆ อีกมากมายที่แม่สารพัดจะทำ เป็นที่มาของรายได้หลังจากที่แยกทางกับพ่อไป พ่อเหลือที่ดินผืนนี้ให้ ก่อนจะย้ายออกนอกประเทศไปกับภรรยาใหม่ของเขา ถึงผมจะบ่น แต่ก็ไม่ต่อต้านความสุขของแม่ เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าที่แม่มานั่งเสียใจกับเรื่องพ่อ ผมมองภาพแม่กับแฟนตัวเองนั่งคุยกันออกรสแบบถูกคอกันดี ทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนนอกไปเลย เป็นเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ผมทนนั่งฟังบทสนทนาระหว่างแม่กับแฟนตัวเอง ความจริงต้องขอชื่นชมคอปเตอร์เลยล่ะที่สามารถทนฟังเรื่องความสำเร็จของแม่ได้นานขนาดนี้โดยไม่เบือนหน้าหนีแม้แต่น้อย จากบ่ายคล้อยมาจนถึงช่วงแดดเริ่มอ่อนแรงลง น้ำชาที่เสิร์ฟทิ้งไว้เริ่มชืด แม่ที่เห็นผมทำหน้าตาหน่ายเหนื่อยกับการนำเสนออัตชีวประวัติของตัวเองก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องของผมสมัยเด็กเสียแล้ว ผมซึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงโวยวายว่าหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว เพื่อเรียกร้องความสนใจ กับแม่ที่รู้ทันกลับนิ่งเฉยและเริ่มต้นเล่าเรื่องน่าอายของผมต่อ แต่คนที่ผมเล็งไว้น่ะไม่ใช่แม่ แต่เป็นคอปเตอร์ คอปเตอร์ก้มศรีษะขอตัวออกจากวงสนทนาและขยับมาถามอาการผมทันที พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเตรียมสั่งอาหาร ผมแอบยกมุมปากอย่างมีชัยให้แม่ “โอ้ย!! นี่ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจ หรือ หมั่นไส้พวกเธอเลยนะเนี่ย!!” แม่ผมพูดขึ้นเหมือนพูดกับฝ้ากับเพดานในห้องรับแขกเสียงดังลั่น ในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะหันไปสนใจแม่ของผมต่อ ผมจับมือคอปเตอร์ไว้แน่น พลางบอกกับเขาอย่างแผ่วเบา ไปหาข้าวกินกันเถอะ ออกไปไม่ไกล แค่ปากซอยนี่เองอร่อยนะ แล้ว…. นายจะได้กลับบ้านไปเลย” “แล้ว…แม่วินล่ะ” “แม่เขาไม่ชอบกินข้าวนอกบ้าย มันอ้วน ชอบกินอาหารคลีนที่บ้าน” ผมพูดชักชวนหนักแน่น คอปเตอร์ได้แต่พนักหน้าตอบรับ “พาแฟนมาแนะนำแค่นี้เองเรอะ แล้วยังจะพากันไปกินข้าวนอกบ้านอีก ไม่ชวนแม่สักคำ รักแฟนมากกว่าแม่เสียแล้วลูกคนนี้!!” แม่ผมพูดกับดินฟ้าอากาศอีกแล้ว แต่ผมไม่หลงกลแม่ตัวเองเด็ดขาด “แม่ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” คอปเตอร์ชวนอย่างสุภาพ “ก็อย่างที่ลูกแม่มันบอกนั่นแหละ แม่มีกับข้าวมื้อเย็นแล้ว อายุเยอะแล้วก็ต้องรู้จักเลือกกิน แต่…..แม่ก็เตรียมทำอาหารเผื่อแล้วนะ ไม่คิดจะกินฝีมือแม่ตัวเองหน่อยเรอะ!!” แม่ผมแสดงสีหน้าน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด สงสัยว่าจะไปเรียน Acting มาจริงๆ เสียด้วย เคยบ่นให้ได้ยินว่าอยากไปเรียน คอปเตอร์ที่ท่าทางจะไม่ทันจริตผู้ใหญ่อย่างแม่ของผมได้แต่ส่งสายตาลำบากใจมาที่ผม โอเค!! แม่ชนะยกนี้ ผมผ่อนลมหายใจแล้วทำท่ายอมแพ้ หลังจากที่ผมกับคอปเตอร์แจ้งการเปลี่ยนใจกับแม่ แม่ของผมก็หัวเราะร่าแล้วก็รีบลุกเดินไปทางห้องครัวทันที “ดีจังเลยนะ” คอปเตอร์เอ่ยขึ้นขณะมองแม่ของผมเดินไปห่างออกไปอย่างรีบเร่ง “ดียังไง ก็เหมือนแม่นายนั่นแหละ แม่นายก็ทำกับข้าวเก่งจะตาย ใส่ใจในการทำอาหาร แถมธุรกิจยุ่งแบบนั้นยังหาเวลามากินข้าวกับลูกให้ได้สักมื้อ แบบนี้มันไม่ต่างหรอกนะ!!” “ไม่เหมือนหรอก ไม่เหมือนจริงๆ คนนั้นเหมือนแม่แต่ก็ไม่ใช่แม่” ผมรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของคอปเตอร์ ไม่เข้าใจการแสดงออกทางแววตาคู่นั้น “เอาน่าแม่คนเก่งของนายดูแลบริษัทมากมาย แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะน่า!!” ผมยกมือขึ้นตบบ่าเขาเบา ๆ สองครั้งเป็นการให้กำลังใจ ไม่คิดว่าคนที่ห่ามทั้งความคิดและการกระทำจะมีมุมละเอียดอ่อนแบบนี้ “…..อืม…. ช่างมันเถอะ แต่ระหว่างนี้ ระหว่างรอ เราขอขึ้นไปดูห้องนายได้ไหม?” “ไม่ทันไรก็คิดทะลึ่งอีกแล้ว!!” “ไม่ใช่สักหน่อย แค่อยากรู้จักนายในอีกมุมหนึ่ง อยากเห็นอะไรของนายมากขึ้น!” แววตาจริงจังถูกส่งออกมา “จริงน่ะ?!?” ผมถามย้ำหลายรอบแต่ก็ใจอ่อน สุดท้ายผมจึงยอมตกลง ผมพาคอปเตอร์เดินขึ้นบันไดวนขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ลายสวยขนาดใหญ่ที่ถูกขัดเสียจนมันแวววับสะท้อนภาพคนที่เดินสัมผัสพวกมัน ท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนที่เดินตาม ผมยอมรับว่ายังไม่ชินกับการที่ใครก็ตามที่ผมพามาที่บ้านจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ “บ้านวินเนี่ยมันสุดยอดไปเลยนะ ในอีกความหมายหนึ่งนะ” “มันหมายความว่าไง?” ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปถามตาขวาง “พูดได้ใช่ไหม?” “ไม่เป็นไร…“ ผมพอจะทราบคำตอบของอีกฝ่ายเลยผ่อนลมหายใจยอมรับกับมันให้ได้ ผมพาคอปเตอร์เดินวนมาทางปีกทางขวาสุดทาง จนมาถึงห้องของผมที่มีบานประตูขนาดใหญ่ทำจากไม้สลักด้วยลวดลายเรียบง่ายที่สุดในบ้าน เพราะนอกจากบานประตูห้องผมแล้ว แม่ผมเป็นคนสั่งออกแบบทั้งหมดแบบไม่ซ้ำลาย ผมไม่ชอบเลย เพราะมันเหมือนหลุดเจ้ามาในโบราณสถานสักแห่ง ผมบิดลูกบิดสีทองเหลืองสีหม่น และผลักเข้าไปด้วยแรงระดับหนึ่ง ผมคงไม่ได้เข้ามานานจนกระทั่งบานพับน่าจะฝึดบวกกับน้ำหนักของประตูที่มากกว่าประตูทั่วไป มันเลยยิ่งเหมือนผลักบานประตูของโบราณสถานจริงๆ แชะ! เสียงกดชัตเตอร์ถ่ายรูปมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมหันไปมองตาขวางอีกครั้ง “เตอร์ !! เพื่อ!!??” “มันน่าตื้นเต้นไง เลยอยากถ่ายเก็บไว้ อารมณ์เหมือนเจ้าถ้ำพญานาค หรือ ตำหนักเทพอะไรแบบนั้น รู้สึกเร้าอารมณ์ดี!” “อะไรนะ?!?” “ไม่มีอะไร เข้าไปเถอะ!!” พูดจบคอปเตอร์ ก็โผเข้ามากอดผมและอุ้มเดินเข้าไปด้านใน ผมทำได้แค่โวยวายด้วยเสียงกระซิบและทุกไหล่อีกฝ่ายรัวๆ ผมถูกวางให้ยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของห้อง ซึ่งถูกเปิดไฟ และ เครื่องปรับอากาศไว้รอเรียบร้อย “เรียบง่ายกว่าที่คิด” คอปเตอร์เอ่ยขึ้นพลางมองซ้ายและกวาดตาไปทางขวาสลับกันไปเหมือนกล้องวงจรปิด “แน่นอน เราไม่ยอมให้แม่เข้ามาจัดห้องให้หรอก ไม่อย่างนั้นได้ถูกจัดแบบจีนโบราณแน่ๆ ตอนเข้ามาดูห้องนี้ตอนสร้างเสร็จชอบพูดกับเราบ่อยๆ ไม่รู้ว่าไปอินกับเรื่องอะไรช่วงนั้น!!” ห้องของผมแน่นอนว่าต่างจากสภาพตกแต่งทางด้านนอกชัดเจน ใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์เรียบง่ายแบบ Ikae เน้นที่รูปแบบการใช้งาน ในห้องผมมีเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เตียงขนาดห้าฟุต โต๊ะหนังสือ เก้าอี้ โต๊ะกระจก ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่แล้วก็ชั้นหนังสืออีกสองชิ้น “แต่ก็สมเป็นวินดีนะ” คอปเตอร์พูดด้วยรอยยิ้มขณะสำรวจชั้นหนังสือของผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือเรียน และพวกหนังสือ How to หลังจากเดินเลยชั้นหนังสือมาเล็กน้อยก็พบพื้นที่ๆ ปูด้วยเสื่อยางนิ่ม และอุปกรณ์ออกกำลังขนาดย่อม แอบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องถัดจากชั้นหนังสือ คอปเตอร์หันมาหาผมด้วยท่าทางประหลาดใจและชี้ไปที่อุปกรณ์เหล่าด้วยความสงสัย “ก็เพราะนายนั่นแหละ เราถึงต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความแข็งแรงของร่ายกายก็เป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี เราต้องการเปลี่ยนตัวเองให้มากที่สุด” หลังจากผมพูดจบคอปเตอร์ก็มีสีหน้าแปลกไปเหมือนจะรู้สึกผิดปะปนกับรู้สึกเหมือนชื่นชมในความพยายามของผม คอปเตอร์เดินมากอดผมอย่างแผ่วเบาและอบอุ่น แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนเราสามารถสื่อใจกันได้ เขาเหมือนต้องการขอโทษกับสิ่งที่แล้วมา แต่มันไม่สามารถอธิบายออกเป็นคำพูดได้ “ไม่เป็นไรนะ ใจหนึ่งเราก็คิดขอบคุณเตอร์นะ เพราะแรงผลักดันเหล่านั้นทำให้เรามาไกลขนาดได้เป็นเดือนคณะเลยนะ” ผมกอดอีกฝ่ายตอบไปและเอ่ยออกมาใกล้หูเขา “นั่นสินะ เพราะวินเป็นแบบนี่เราถึงได้…ยิ่งหลงวินหนักกว่าเก่าเสียอีก” คอปเตอร์พูดพลางใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสไปทั่วแผ่นลอนท้องและส่วนโค้งที่ด้านหลังอย่างทะนุถนอม “เฮ้ย…ทำอะไรน่ะ!?!” ผมตกใจกับปฏิกิริยาของคอปเตอร์จึงได้พยายามถอยร่นออกห่าง แต่เท้าของผมไม่ไวเท่ามือของเขา ผมถูกโอบกอดกระชับแน่นทันที “ลอนกล้ามและหุ่นสวยๆ พวกนี้ก็มาจากความพยายามด้วยสินะ เรารู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่ได้วินมาครอบครอง” คอปเตอร์เอาหน้าซุกไซ้เข้าที่แผงอกของผมและใช้คำพูดปะทะกับเนื้อหนังของผมให้มันดังก้องไปทั้งองคาพยพ “เฮ้ยๆ ไหนว่าตกลงกันแล้วว่าจะทำตัวดีๆ ไง พักเรื่องอย่างว่าที่บ้านนี้ได้ไหม?” ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดหลวมๆ นั่นแต่ทำไม่ได้ คล้ายๆ แรงผมจะถูกอะไรบางอย่างดูดหายไปเหมือนน้ำซึมบ่อทราย “ก็ขอแค่กอดเฉยๆ ได้ไหม? ได้ไหมครับ?” ไอ้คำพูดสุภาพแบบนี้มันไม่น่าไว้วางใจเลยเว้ย…. “ไม่เอา ปล่อย….” ปากพยายามขัดขืนแต่ร่างกายกลับอ่อนแรง นี่มันอะไรกัน ผมโดนเล่นของใส่หรืออย่างไร “ขออีกนิด อีกนิดนะ มันรู้สึกสงบดีจังเลยนะอยู่แบบนี้” หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่กับการแก้ปมแขนที่พันอยู่รอบตัวบวกกับถ้อยคำสุภาพหวานๆ จากปากคอปเตอร์ สุดท้ายผมก็เหนื่อยที่จะต่อต้าน และทำแบบเดียวกับเขาแก้เหมื่อย แต่กลับรู้สึกดีเกินคาด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมกับคอปเตอร์โอบกอดร่างของกันและกันสนิทแน่นในท่ายืน ในที่สุดผมก็เป็นคนออกปากเองว่าอยากจะเอนหลังสักหน่อย คราวนี้แขนที่พันเกี่ยวอยู่รอบตัวกลับคลี่คลายออกเองอย่างง่ายดาย ผมรู้ตัวดีว่าหากเปลี่ยนสถานที่ไปบนเตียงนอน ตามนิสัยของคอปเตอร์คงไม่อยู่เฉยแน่ๆ แต่กลับผิดคาด เขาตามผมมานอนอยู่ข้างๆ ผมและกอดก่ายผม หลับตามพริ้มเหมือนเด็กเล็กที่ได้ผ้าห่มคู่ใจมากอดแนบกาย ในที่สุดเสียงลมหายใจที่อบอุ่นราบเรียบและสม่ำเสมอก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายได้นอนหลับไปเสียแล้ว แม้จะอยู่ในท่าทางที่ไม่สะดวกสบายนักแต่ผมก็ปล่อยให้ความความอ่อนเพลียเข้าเล่นงาน หนังตาที่ถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นอย่างช้าๆ ก็ยากที่จะต้านทาน ผมปิดตาตัวเองลงและปล่อยใจให้เข้าสู่ห้วงนิทรา
:katai4: :katai2-1:
ผมสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นเต็มตาด้วยความตกใจ เพราะผมรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสไปทั่งร่าง รู้สึกถึงอากาศที่สัมผัสผิวหนังส่วนต่างๆ ได้โดยตรงไม่ผ่านเสื้อผ้า สิ่งแรกที่เห็นคือชายรูปร่างคุ้นตากำลังโรมรันร่างที่ไร้สติของผมอย่างทะนุถนอมและแผ่วเบา ทั้งนิ้วมือและริมฝีปากต่างไม่ว่างจากร่างกายของผม “ทำอะไรน่ะ!!” ผมรู้สึกขนลุกไปหมด “ลักหลับไง” อีกฝ่ายตอบกลับออกมาหน้าตาเฉย “ขอดีๆ ก็ได้โว้ย!!” รู้สึกเส้นเลือดในสมองแทบปริแตก “จริงนะ” อีกฝ่ายส่งสายตาใสแป๋วกลับมาอย่างลิงโลด ไม่เคยรู้สึกเบื่อกับปฏิกิริยาแบบนี้จริง ๆ “ก็แล้วแต่….” หน้าร้อนผ่าวไปหมด “นั่นไง.!! ก็มันไม่ง่ายไง งั้นขอทำต่อนะ!!” ฝ่ามือของผมฝ่าแหวกอากาศไปปะทะกับศรีษะคนตรงหน้าเสียงดังด้วยความโมโห “ช่วยดูเวลาและสถานที่หน่อยครับ!!” ผมโวยลั่น “เป็นอะไร เอะอะเสียงดังลั่น!!” แม่ผมผลักประตูเข้ามาแทบจะทันทีที่ผมเสียงโวยวายจบประโยค ภาพที่เห็นเป็นใครก็เข้าใจผิด ผมและคอปเตอร์ในสภาพกึ่งเปลือยบนที่นอน ผมถูกอีกคนหนึ่งคล่อมทับอยู่เกินครึ่งร่าง “อุ้ย!! ว้าย!! แม่ไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรใช่ไหมลูก? งั้นทำต่อได้นะแม่ไปก่อนนะ” แม่ผมเขินตัวบิด ยิ่งได้เห็นคอปเตอร์เปลือยอกแล้ว แม่ยิ่งทำหน้าเขินบิดไปมา อิ่มเอมไปด้วยความสุข “เดี๋ยวนะแม่!! ผมเพิ่งจะอ้าปากโวยวายทำไมแม่มาถึงเร็วจัง!!” “เอ่อ….แม่มา…. ตามพวกลูกไปกินข้าวไง อาหารเตรียมเสร็จแล้วลงไปกินข้าวกันนะ” “ไม่ใช่ย่องมาแอบฟังใช่ไหม? กับเพื่อนสนิทแม่ยังไม่เว้น ประสาอะไรกับคนที่เปิดตัวมาเป็นแฟนอย่างเตอร์!!” “ม๊ายยยย!!!” เสียวแม่สูงติดเพดาน “แน่ใจนะ” ผมทำเสียงเข้ม มองแม่ด้วยสายตาคาดคั้นและรู้ทัน “โถ่….แม่ก็แค่หาข้อมูลเอง ก็อีกพวกผู้ติดตามแม่บางคนบอกว่า ‘ฟิค’ ของแม่ ในฉากร่วมรักกันมันไม่เรียลเท่าไหร่ แค่แอบฟังนิดเดียวเอง แต่นี่อย่าหวงตัวได้ไหม ของแกแม่ก็เห็นหมดมาตั้งแต่เกิดแล้วจะอายอะไร” “พูดอะไรอยู่ รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย!!” “มันเป็นที่เขาเรียกว่า Passion” “สำหรับผมมันคือโรคจิต!!” “แค่ครั้งเดียว เอ่อ…. สองครั้ง ก็ได้แค่นั้น” “ไม่!! เราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก!!” “ว่าแต่เตอร์ ลูกเคย….เอ่อ…กับลูกแม่หรือยัง?” “แม่!!!” ผมนี่อายจนแทบจะแทรกตัวหนีไปตามช่องพื้นไม้ขัดเงาแวววาว “แน่นอนครับ ลูกแม่น่ารักขนาดนี่ ผมไม่ทำถือว่าพลาดมาก!!” “เตอร์!! นายก็อีกคน” “เจ๋งมาก!!!” แม่ผมยกนิ้วโป้งและยื่นมาด้านหน้า ส่วนไอ้คนหน้าไม่อายยิ้มกลับอย่างมั่นหน้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็แทบไม่ได้สวมอะไรเลย “หากแม่อยากได้ข้อมูลแบบเรียลๆ เดี๋ยวหาเวลาเล่าให้ฟังก็ได้นะครับ!!” ผมกุมขมับอยู่บนเตียงเหนื่อยใจกับแม่และแฟนตัวเอง หลังจากไล่แม่อออกจากห้องได้แล้ว ผมก็ถูกอีกฝ่ายตรึงนอนไว้กับเตียงจนแทบขยับไม่ได้ “ทำอะไรของเตอร์เนี่ย!! เจ็บนะ!!” ผมพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ สายตาของเขาที่ทิ่มแทงลงมาที่ผมมันน่ากลัวไม่น้อย “ได้ยินว่าเคยพาใครมาที่ห้องด้วย!!” “ก็มีแค่ไอ้ไตเติ้ลไง!! มาทำรายงานแล้วก็นอนค้าง” “ไอ้เติ้ล!! คราวเพื่อนสนิทกูก็ยอมให้เรื่องหนึ่งแล้ว แต่กับแฟนกูอีก มึงเตรียมตัวตายได้เลย!!” “มันไม่มีอะไร!!” “จะรู้ได้ยังไง!?!” “พูดแบบนี้โกรธจริงๆ ยะ นายเป็นคนแรกของเรานะ!!” “ไม่มีแบบจับ จูบ ลูบ คลำ?” “กับไอ้เติ้ลเนี่ยนะ อี๋ ไม่เอาอ่ะ!!” “มันก็หล่อนะ” “นิสัยอย่างมันเป็นได้แค่เพื่อนแหละ!!” คอปเตอร์ปล่อยผมจากพันธนาการแล้วก็ผ่อนลมหายใจยาว เขากล่าวคำขอโทษผมที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้หากคิดว่าผมจะมีใครนอกจากเขา นี่ผมคิดถูกใช่ไหมที่คบกับคนแบบนี้? แต่สุดท้ายผมก็ขอร้องว่าทีหลังอย่าทำแบบนี้ หากไม่เข้าใจอะไรให้ถามกันดีๆ คอปเตอร์กล่าวตกลงอย่างรู้สึกผิด ยิ่งได้เห็นรอยช้ำแดงที่รอบข้อมือผม เขายิ่งรู้สึกผิด เขาคว้ามือของผมมาลูบไล้บริเวณที่เป็นรอยอย่างแผ่วเบา พลางพูดขอโทษไม่หยุดปากถึงแม้จะทำตัวดูน่าสงสาร แต่ผมคงต้องดัดนิสัยผู้ชายเอาแต่ใจคนนี้เสียหน่อย ดังนั้นผมคาดโทษเขาไว้ ว่าหากทำแบบนี้อีก ผมจะขอเลิกกับเขา เขาตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะก่อนที่ผมจะพาเขาไปกินมื้อค่ำด้วยกัน ผมพาเขาเดินไปทางด้านหลังอีกด้านของห้องรับแขกอันหรูหรา เดินผ่านโถงทางเดินที่มีห้องที่ถูกสร้างเป็นสตูริโอสำหรับ ถ่ายทอดสดผ่าน Social media ก็เหมือนกับห้องทำงานของแม่นั่นแหละ และก็มีอีกหลายห้องที่ปิดเอาไว้ บางคนก็เป็นห้องว่าง บางห้องก็กำลังปรับปรุงพื้นที่ตามแผนที่แม่วางไว้ ผมพาคอปเตอร์เดินมาถึงห้องปลายทางซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในห้องมีเพียงโต๊ะที่ทำจากไม้วางไว้กลางห้องที่สว่างสดใส มีเก้าอี้ที่ออกแบบเรียบง่ายล้อมรอบโต๊ะตัวนั้นที่ตอนนี้มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะส่งกลิ่นและไอร้อนไปทั่วโต๊ะ มองคร่าวๆ ก็รู้ว่าเป็นของโปรดของผมทั้งหมด คอปเตอร์ที่ยืนมองนิ่งอยู่พักใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมานอกจากมองซ้ายและมองขวาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เรียบง่ายกว่าที่คิดสินะ” ผมพูดแทนใจ แทนการแสดงสีหน้าของอีกฝ่าย “นั่นสิ คิดว่า… น่าจะอลังการกว่านี้ ไม่น่าเชื่อว่า ห้องรับประทานอาหารจะเป็นห้องเป็นห้องเล็กๆ ท้ายบ้านแบบนี้!!!” “แม่เราบอกว่าเวลากินข้าวน่ะเป็นเวลาของครอบครัว เราควรจะต้องใกล้ชิดพูดคุยกัน มันเวลาที่ทุกคนสามารถทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายได้ สังเกตไหมล่ะ ในนี้แทบไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย นอกจาก หลอดไฟและเครื่องปรับอากาศ แม่บอกว่าไม่อยากมีทีวีหรือเครื่องเสียงใดๆ อยากให้ทุกคนสนใจคนในโต๊ะอาหารมากกว่า แต่ไม่ต้องกลัวนะ หากมีแขกที่ต้องจัดเลี้ยงจริงก็โน่น เห็นศาลาสองชั้นกลางสระบัวหน้าบ้านไหม? นั่นแหละ เราจะไปจัดกันตรงนั้น” “โหหหหห สุดจัด!!” คอปเตอร์อุทานออกมาด้วยความอึ้ง “เราก็บอกแม่ตั้งหลายรอบแล้วว่ามันสิ้นเปลืองก็ไม่ฟัง!!” “เงินฉันเหลือ ฉันจะทำมีอะไรไหม?” แม่ที่มาจากไหนไม่ทราบปรากฏตัวออกมาพร้อมกับข้าวในมืออีกหนึ่งอย่าง “จ้าๆๆ ว่าแต่ยังมีกับข้าวอีกเหรอ? เยอะไปแล้วนะ!!” “ก็แม่ไม่รู้ว่าอย่างคอปเตอร์กินอะไรได้บ้าง แม่ทำอะไรอร่อยก็เลยอยากลองทำมาให้ชิม” “ผมกินง่ายครับแม่ แต่แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอร่อย” “ประจบ!” ผมพูดดักแฟนตัวเองที่ทำแบบนี้ก็เป็น “ปากหวานจริงเชียว อยากได้มาเป็นลูกชายเลย ไม่เหมือนลูกแม่ ขมมาก” แม่พูดจบก็เอียงคอมองมาทางผมแล้วผ่อนลมหายใจแบบปลอมๆ “ผมเป็นแฟนลูกชายแม่ แม่ของวินก็เหมือนแม่ของผมนั่นแหละครับ” “อุ้ยจริงเหรอ ทำไมแม่ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าลูกชายแม่มีแฟนเนี่ย” แม่ผมยิ้มร่า ยกมือขึ้นป้องปากที่ฉีกยิ้มกว่านั้น “เวร…จะได้กินข้าวไหมวันนี้…” ผมกุมขมับบ่นกับตัวเองเสียงดัง ไม่นานคนอื่น ๆ ภายในบ้านก็ทยอยมากินข้าวมื้อเย็นที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่คนที่มากินด้วยยังเอ่ยปากแปลกใจที่แม่ผมลงมือเองขนาดนี้ การกินข้าวบ้านผมปกติก็ค่อนข้างจะบันเทิงอยู่แล้วเพราะจะให้ญาติๆ ที่ทำงานที่บ้านมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างเป็นกันเอง หญิงวัยกลางคนทั้งสองคนต่างถกเถียงพูดคุยเรื่องดาราและผู้มีชื่อเสียงอย่างเป็นปกติโดยเฉพาะเรื่อง วายๆ จากสาววายรุ่นใหญ่ทั้งสองคนที่โต้ตอบกันได้ถึงพริกถึงขิง ผมผู้ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการหาแฟนมาตลอดก็โดนกดดันอยู่เรื่อยๆ ให้หาผู้ชายสักคนมาให้แม่ และน้า ชื่นใจสักหน่อย แต่วันนี้ทุกคนคงจะสมหวังเพราะผมได้พาแฟนมากินข้าวด้วยทำให้ทุกบทสนทนาเพ่งเล็งมาที่คอปเตอร์และผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำถามใต้สะดือทั้งหมดก็ถูกผมห้ามปรามไว้จนหมด เป็นมื้ออาหารที่นอกจากจะไม่อิ่มแล้ว ยังเหนื่อยมากอีกต่างหาก ……….
:ling1: :ling2:
………. การสนทนาที่ถูกคอล่วงเลยมานานถึงช่วงหัวค่ำ ผมและคอปเตอร์ถูกแม่ลากมาดื่มเครื่องดื่มคอกเทลที่ห้องนั่งเล่นที่สองซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับปาร์ตี้เล็ก เพราะมีเคาเตอร์บาร์น้ำขนาดย่อมเหมือนกับผับขนาดกลางตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง “โห….อร่อยมากเลยครับ” คอปเตอร์ทำตาโตหลังกระดกคอกเทลสีสวยลงคอไปครึ่งแก้ว “ค่อยยังชั่ว ไม่เสียทีที่ไปเรียนมาตั้งไกล” แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนม “ไปทำเป็นอาชีพได้เลยนะครับ” คอปเตอร์ยกแก้วขึ้นส่องดูกับแสงไฟในห้องที่จัดเป็นไฟแสงจันทร์สวยงาม “แม่ก็หัดทำเฉพาะวันที่มีแขกมาที่บ้านนี่แหละ มีร้อยวิชาแต่ไม่มีที่ให้ลอง จะให้แม่ชิมคนเดียวก็ไม่ไหว” “ก็ลูกชายแม่ไงครับ เขาก็ดูชอบดื่มอยู่นะครับ” หลังจากได้ยินประโยคนี่ผมถึงกับกระแทกข้อศอกเข้าที่สีข้างของคอปเตอร์อย่างจัง “ตายจริง!! ไม่เคยรู้เลยนะ แม่ก็ชวนบ่อยๆ นะ แต่เขาชอบบอกว่าไม่ดื่ม ทั้งๆ ที่แม่จะสอนให้ดื่มแท้ๆ” แม่ของผมยกมือขึ้นปิดปากทำท่าทางเสียใจ ผมนึกในใจว่าดื่มกับแม่จะไปสนุกอะไร!! “ใจร้ายจังเลยนะ วินเนี่ย!!” มีคนประสมโรงกับเขาด้วย “หยุดเลย!! กลับบ้านไปได้แล้ว!! พรุ่งนี้ต้องเดินทางไม่ใช่เหรอ!! เดี๋ยวมารับเราสายนะ!!” “อ้าวว!! แม่นึกว่าจะค้าง!! แม่โอเคนะ ไม่เป็นไร แม่เข้าใจคนเป็นแฟนกัน เนอะ” แม่ของผมหันไปหาคอปเตอร์ ทำท่าทางเหมือนจับผมใส่พานถวาย “ไม่ได้ กลับไป!!” ผมรู้ว่าแม่มีเจตนาแอบแฝง ผมเลยหันไปจัดการคนของตัวเองง่ายกว่า “ดึกแล้วนะ แก้วนี้เข้มมากเลย เดี๋ยวโดนตำรวจจับ ไม่กลัวเค้าเป็นอันตรายเหรอ?” คอปเตอร์ปรับเสียงให้เล็กลงจนอยากจะหาอะไรฟาดที่กลางหลังดังๆ ผมกำมือแน่น เพราะไม่คิดว่าจะเจอไม้นี้ ผมปฏิเสธเสียงแข็งจนกระทั้งแม่ของตัวเองร่วมวงขอร้องด้วย สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับเพราะเป็นเสียงข้างน้อย “แล้วกระเป๋าเสื้อผ้าล่ะ!?!” ผมใช้ไม้ตายสุดท้ายเท่าที่นึกได้ เพราะผมสำรวจแล้วว่า เขาไม่ได้ติดรถมาด้วยแน่นอน “มีสิ เราเตรียมเผื่อไว้” “ห๊ะ!! ตรงไหน ไม่เห็นมีในรถ?!?!” “กระเป๋าเป้นั่นไง” ผมคิดไปถึงกระเป๋าใบขนาดกลางที่วางอยู่เบาะหลัง ซึ่งผมลองยกดูแล้วมันเบามาก “บ้านพักส่วนตัว พอจะมีข้าวของเครื่องใช้อยู่บ้าง เพราะมีไปกันทุกปี อีกอย่าง…..คงไม่ค่อยได้ใส่เสื้อผ้าเท่าไหร่หรอก” “เยี่ยม!!” แม่ของผมยกนิ้วโป้งขึ้นชมและสนับสนุน แกมหน้าแดงนิดๆ ในใจคงคิดจิตนาการไปไกล ผมยอมแพ้และเดินจากออกมา “ไปไหนล่ะ มาดื่มกันก่อนสิ ไหนๆ ก็ดื่มเป็นแล้วนี่” แม่ผมทัก “เดี๋ยวลงมาครับ” “จะไปไหนล่ะ?” “จะไปเตรียมที่นอนให้แขก ที่พื้น!!” ผมย้ำหนักแน่นจนหน้าของคอปเตอร์ถอดสี เพราะรู้ว่าผมทำจริงแน่นอน ……… สุดท้ายผมก็ไม่ได้ลงไปร่วมวงดื่มไวน์และเครื่องดื่มคอกเทลกับแม่และคอปเตอร์ เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับการสนทนาของเขาทั้งคู่ ที่ไม่คิดว่าผมจะอายบ้าง คุยกันแต่เรื่องบนเตียง หรือไม่ก็ขุดเรื่องตอนผมเด็กขึ้นมาเป็นหัวข้อหลัก ตอนนี้ผมจัดเตรียมที่นอนสำหรับแขกที่พื้นเรียบร้อย หนานุ่มฟูน่านอน คิดว่าคุณชายแบบคอปเตอร์คงไม่ปวดหลังแน่นอน ผมที่อาบน้ำแต่งตัวชุดนอนได้มานั่งเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอยู่บนเตียงตัวเองเพื่อรอให้อีกฝ่ายขึ้นมา และเพื่อให้แน่ใจว่า คอปเตอร์ อาบน้ำและนอนในที่ของตัวเอง (ที่ผมเตรียมไว้) ในช่วงระหว่างที่ผมกำลังเพลียกับการท่องโลกไซเบอร์ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ดวงตาอ่อนล้าและหนังตากำลังหนักอึ้งได้ที่ เพราะเวลาผ่านพ้นมาหลายชั่วโมงแล้ว ประตูห้องของผมก็เปิดออกมาช้าๆ พลันเห็นร่างที่เห่อแดงไปทั่วทั้งตัว เดินเข้าห้องมาในสภาพโซเซ ผมเดาว่าน่าจะดื่มกันหมดตู้เก็บไวน์ถึงแยกย้ายได้ตามประสาคุณแม่ของผม “ทำไมหนีมานอนสบายอยู่นี่ ไม่ยอมลงไปดื่มต่อ!!” สายตาคนเมามองค้อนด้วยใบหน้าเหมือนมะเขือเทศสุก “มันไม่สนุกน่ะสิ” ผมก็ตอบกลับด้วยท่าทางยียวนเสียด้วย “แม่วินน่ะ….. ไม่ยอมให้เราแยกตัวมาจนกว่าวินจะลงไปเลยนะ นี่ดีนะที่ไวน์ที่แช่ไว้หมดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเราว่า…..สว่าง” นับว่าคอปเตอร์คุมสติในการพูดได้ดีในสภาพอ้อแอ้แบบนั้น “เป็นอย่างที่คิดจริงๆ” ผมผ่อนลมหายใจบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ผมจะบอกให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า คอปเตอร์ที่พยายามจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ก็เหมือนอ่อนแรงทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ผมที่ตกใจมากจึงรีบถลันตัวพุ่งไปประชิดตัวคอปเตอร์ทันที “เป็นอะไรไหม?” “ไม่….ไม่เป็นไร…” ใบหน้าฝืนๆ ของคอปเตอร์แสดงออกชัดเจน “ไม่ไหวทำไมไม่ขอตัวออกมา ทำไมต้องฝืน!!” “นั่นแม่เมียเลยนะเว้ย! ทำแบบนั้น…….. มันเสียมารยาท…… เจอกันวันแรก……ใครจะไปปฏิเสธลง!!” “แม่เราคอแข็งจะตาย น่าจะเป็นสิ่งเดียวเลยที่เราไม่ได้มาจากแม่ ลุกขึ้นยืนไหวไหม?” หลังจากสิ้นประโยคของผม คอปเตอร์ก็พยายามทรงตัวลุกขึ้นได้สำเร็จ แต่ทรงเหมือนเด็กหนึ่งขวบเพิ่งหัดยืน หันเดิน ไม่ได้มีความเสถียรเท่าไหร่นัก สุดท้ายเป็นผมที่ต้องพยุงเขาไปนอนที่เตียง ครั้งจะถามว่าอาบน้ำไหวไหม แต่ผมสำรวจสติอีกฝ่ายแล้ว ประเมินว่าไม่น่าจะรอด ผมจึงต้องเช็ดตัวให้เขาแทน เพราะตอนนี้ คอปเตอร์ก็นอนแน่นิ่งไปแล้ว ผมผ่อนลมหายใจอยู่หลายครั้งที่เห็นสภาพคนตรงหน้า พลางค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของเขาออกทีละชิ้น กลิ่นไวน์โชยออกมาจากเหงื่อของเขาเลยทีเดียว (จะตายไหมเนี่ย) ทุกชิ้นของเสื้อผ้าที่ถูกปลดออกเผยให้เห็นเนื้อหนังที่น่าจะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่กลับทำให้ใจเต้นไม่น้อย ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากผมมาแก้ผ้าเปลื่อยล่อนจ้อนในห้องนอนของตัวเอง ผมส่ายหน้าไล่ความคิดประหลาดออกจากหัว และเริ่มใช้ผ้าชุบน้ำเย็นพอหมาดลูบไปตามจุดต่างๆ ของร่างกายอย่างช้าๆ ผมแน่ใจว่าไอ้คนตรงหน้ามันหลับอยู่แน่นอน แต่ลูกชายเขาทำไมมันถึงไม่หลับไปด้วย ยิ่งลูบมันก็ยิ่งเติบโตขึ้น จนกระทั้งตอนนี้น่าจะโตเต็มตัวแล้ว ไม่รู้ทำไม เราถึงได้ตื่นเต้นนักนะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นเสียหน่อย สุดท้ายความคิดในหัวก็แล่นเข้ามาว่า ไหนๆ เราก็ทำความสะอาดส่วนที่ยังตื่นอยู่นั่นเสียเลยก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้นก็ใช้ผ้าหมาดไปลูบเช็ดทำความสะอาดทันที ขณะที่เช็ดไปได้เพียงครึ่งทาง มือหยาบใหญ่มือหนึ่งก็คว้าข้อมือของผมด้วยความเร็ว ทำให้ผมตกใจใช้มือกำหนึ่งของคนที่นอนอยู่แน่นขยำขึ้นด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบ เสียงของเจ้าของข้อมือนั่นร้องโอดโอย รีบผลุดลุกขึ้นนั่งกุมของรักของตนเองอย่างช่วยไม่ได้ “ช่วยไม่ได้ก็ทำให้ตกใจเองทำไม?!?” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเงยหน้าสีแดงก่ำเป็นผลมะเขือเทศสุกแล้วมองมาทางผมด้วยความเจ็บปวด “ก็คิดว่าเมามากคงไม่มีสติอะไร ก็เลยพยายามทำความสะอาดให้อย่างดีทุกซอกทุกมุม!” “ก็ผ้ามันเย็น แล้วนายก็เช็ดจริงจังเกินไป จนเราแทบทนไม่ไหว!!” “สรุปว่าแกล้งเมาไม่ได้สติ!!” ผมค้อนใส่คนแผนสูง “ก็อยากอ้อนบ้าง….อูย….” สีหน้าตอนคอปเตอร์ตอบกลับมาบอกได้เลยว่า….. สงสาร “มา… เดี๋ยวดูให้ คลายมือออก แล้วเอามันออกมา” “เดี๋ยวสิพูดเหมือนมันเป็นตัวอะไรสักอย่าง นี่มัน…..ของเรานะ!!” “เอาน่า!! เผื่อเราจะช่วยได้” อีกฝ่ายคลายมือออก และเผยสิ่งปิดอยู่ให้ผมดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไม่เป็นแผลนะ แค่แดงๆ เดี๋ยวคงจะหาย….มั้ง!!!” “แหม….ลองมาโดนเองไหมล่ะ!?!” “งั้นเดี๋ยวเรารักษาให้!” “ยังไง นอกจากปล่อยให้หายเองกับไปหาหมอ แล้วจะทำอะไรได้ไปหาหมอเพราะเรื่องแบบนี้ เราไม่เอานะ!!” “เคยเห็นสุนัขเวลามันรักษาแผลตัวเองหรือลูกตัวเองไหม?” ผมพูดด้วยรอยยิ้มมุมปาก คอปเตอร์ที่ประมวลความคิดเสร็จสิ้นได้แต่อึ้งกับคำพูดของผม ผมไม่รอช้ารีบก้มลงไปปฏิบัติตามอย่างที่พูดทันที คอปเตอร์ไม่ได้อิดออดอะไรอีกนอกจากหลับตาพริ้มกับการรักษาฉบับของผมเอง การรักษาด้วยวิธีแบบสุนัขป่าของผมราบรื่นไปได้ด้วยดี คนที่ได้รับการรักษาก็มีความพึงพอใจถึงขีดสุด หลังจากอาการของเขาดีขึ้น คนไข้จึงตอบแทนการรักษาของผมด้วยความรักอันล้นเหลือ ที่แม้แต่ผมเองจะพยายามหักห้ามใจไม่ให้แสดงออกถึงความพึงพอใจทางเสียง แต่สุดท้ายผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวสำนึกเสียใจ ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นจนสุดทางเรียบร้อย ตอนนี้ผมได้แต่นอนก่ายหน้าผากตัวเองด้วยความละอายที่จะเจอกับอะไรบ้างในวันพรุ่งนี้หากเจอหน้าแม่ตัวที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ภายใต้อ้อมกอดของคอปเตอร์ที่ตัวเปล่าเปลือยอยู่ข้างๆ ………….
“อรุณสวัสดิ์” เสียงปลุกยามเช้าที่เริ่มจะคุ้นชินดังขึ้น ทำให้ผมถลึงลืมตาด้วยความตกใจ ภาพแรกที่เจอคือ ภาพเพดานห้องตัวเองที่แสนคุ้นเคย แต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือ คนที่นอนตะแคงหันมานอนก่ายผมอยู่ด้านข้าง “แปลกนะเนี่ยที่วินตื่นสายกว่าเรา“ คอปเตอร์พูดจบก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ อาจเพราะความคุ้นเคยกับสถานที่ เหนื่อยจากเรื่องเมื่อคืน และสุดท้ายกลุ้มใจกับสิ่งที่ตัวเองเผลอใจทำอะไรในห้องตัวเองลงไปแบบนั้นจนนอนแทบไม่หลับ สุดท้ายผมตื่นสายที่สุดเท่าที่จำความได้ “สายขนาดนี้แล้ว!?!” ผมอุทานหลังจากที่หันไปมองแสงของนาฬิกาดิจิตอลที่ส่องขึ้นไปบนเพดาน 11:23 am มันแสดงตัวเลขสถิติของวันนี้ “วันนี้เราต้องออกเดินทางนี่!! ลุกเร็ว!!” ผมลุกขึ้นนั่งและหันไปหาอีกฝ่ายอย่างเร่งร้อน “รุกเหรอ ตอนนี้เลย!!? ได้สิ” ทันทีที่พูดจบผมก็ถูกจับให้นอนหงายราบลงกับพื้นที่นอนอันอ่อนนุ่ม เผยให้เห็นร่างแกร่งที่เปลือยเปล่าตั้งแต่เมื่อคืนคล่อมทับตัวเอง เนื้อทุกส่วนทางช่วงล่างแนบชิดสนิทกัน รู้สึกถึงแม้แต่การเต้นของเส้นเลือดของอีกฝ่าย และลีลาป้อนคำรักที่อีกฝ่ายมอบให้ตั้งแต่เมื่อคืนก็แล่นเป็นภาพเคลื่อนไหวเข้าสู่สมองอยู่หลายฉาก ความร้อนลุ่มแล่นขึ้นสูงสู่ใบหน้าจนร้อนแทบจะมีควันลอยออกมา “ปล่อย!!” ผมพูดหนักแน่นชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองแสดงออกไปแบบไหน เพราะคนที่มองลงมานั่น ฉีกยิ้มอย่างพึงใจ “ก็บอกให้รีบรุกไง ก็ทำอยู่ ทำตามคำสั่งทุกอย่าง” ระหว่างที่พูดก็ค่อยๆ โน้มตัวเองลงมาใกล้กับคอของผม สิ้นคำสุดท้ายริมฝีปากก็โลมเลียชิมเนื้อสดในยามสายเหมือนหิวกระหายอาหารเช้า “คนละคำกันโว้ย… ‘ลุก!’ ที่แปลว่าลุกขึ้นน่ะ!! ไม่ใช้ ‘รุก’ แบบนี้!!” “ก็นี่ไงลุกแล้ว” ถึงจะพูดถูกแล้ว แต่สายตาที่มองลงต่ำแบบนี้ ผมว่ามันก็คนละความหมายอยู่ดี!! “ไม่ตลก!! ลุกออกไปได้แล้ว” “ไม่อ่ะ” “ขอร้องล่ะนี่มันที่….อุ๊บ!!” ยังไม่ทันสิ้นประโยคผมก็ถูกอีกฝ่ายจู่โจมสายฟ้าแล่บ โน้มตัวลงมาประริมฝีปากของผมด้วยความร้อนแรง ด้วยความไม่ทันตั้งตัว ผมพยายามจะฝืนกับสิ่งเร้าตรงหน้า แต่แรงของอีกฝ่ายที่มากกว่าและน้ำหนักที่กดทับทำให้ไม่สามารถขยับตัวหนีออกจากจุดนี้ได้ ด้วยความพยายามของคอปเตอร์ ที่รุกไล่ผมไม่หยุด เนื้อตัวที่เบียดเสียดบดแนบแน่น กลิ่นของอีกฝ่ายที่โชยเข้ามาทำให้รู้สึกหลงไปกับสิ่งเร้าตรงหน้าจนแทบจะเสียสติ ผมจึงได้แต่โอนอ่อนผ่อนแรงไปตามความปรารถนาของอีกฝ่ายที่บอกได้เลยว่ารู้สึกไม่ได้แย่เลย ริมฝีปากของคอปเตอร์ที่ประเคนความนุ่มนวลและดุดันในเวลาเดียวกันทำให้ผมรู้สึกล่องลอยไปไกล อวัยวะทุกส่วนที่บดบี้เคล้าคลึงกับอย่างเผ็ดร้อน ทำให้ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนกับคอปเตอร์จะจับจังหวะรักของผมได้ เขาค่อยๆ ไล่ระดับมอบความสุขไปตามจุดต่างๆ ตามลำดับความชอบของผม ตั้งแต่จุดแรกไล่ไปจนถึงจุดสุดท้ายอย่างไม่รีบร้อน ผมทำได้เพียงร้องครางอยู่ในลำคอและบิดตัวไปมาตามระดับสุขที่เขามอบให้ ในขณะที่ผมกำลังอยู่ในระดับความสุขสูงสุด ผมก็ถูกพลิกตัวในท่าเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่คอปเตอร์กำลังตระเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยสวมใส่กับอาวุธคู่กายของเขา ผมก็พยายามจะปฏิเสธสิ่งจะเกิดขึ้นอยู่ในใจอย่างเร่งร้อน ยังไม่อยากจะเจ็บตัวตั้งแต่แรกตื่น “ยังไม่…..ตื่นหรือครับ!!” เสียงทักทายยามเช้าของแม่ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกกว้างอย่างแรง เสียงหวีดว๊ายของแม่ดังลั่นห้อง แน่นอนผสมกับเสียงโวยวายของผมที่แผดก้องไปด้วย เสียงมันจึงดังมากๆ ผมแปลกใจที่คอปเตอร์กลับเยือกเย็นกว่าที่คิด เขาทำหน้าที่คว้าผ้าห่มผืนหนามาคลุมห่อร่างของเราทั้งสองคนก่อนที่เสียงกรี๊ดร้องจะสิ้นสุดเสียอีก “แม่ออกไปก่อน!!” ผมไล่แม่ขอตัวเองทั้งที่ยังไงคาราคาซังอยู่แบบนั้น แม่ใช้มือปิดตาแบบห่างๆ และรีบล่าถอยไปอย่างเร็ว หลังจากที่ประตูปิดลงไปผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก อารมณ์ที่เลื่อนลอยอย่างมีความสุขเมื่อครู่มลายสิ้น เหลือไว้เพียงความละอายที่ต้องให้ผู้เป็นมารดามาเจอตัวเองในสภาพนี้ “ต่อไหมที่รัก?” “ยังอีก!!” “ได้เลยเดี๋ยวทำต่อ” คอปเตอร์พูดพลางขยับร่างตัวเองเข้ามาใกล้แนบชิดและดำเนินกิจกรรมต่อ “หมายถึง… ยังไม่หยุดอีก!!! โอ้ยย!!” สิ่งที่ผมพูดด้วยความเกรี๊ยวกราดไม่เป็นผล แต่กลับได้สิ่งตรงกันข้าม มันดูดุเดือดกว่าเดิม การที่ผมพยายามขัดขืนมันเหมือนไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างของเขา เขาเหมือนนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันที่พยายามทำลายสถิติอย่างตั้งใจ ผมกลายเป็นรถแข่งที่เขาพยายามเป็นหนึ่งเดียวกันและไปให้ถึงเส้นชัยด้วยกัน ในความพยายามขัดขืนอยู่เพียงไม่ถึง 5 นาที ผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันของเขาอย่างไม่ตั้งใจ อะไรๆ ที่เขาทำอยู่ตอนนี้มันช่างเพลิดเพลินจนผมเผลอให้เขาทำได้ทุกอย่างตามจังหวะที่เขาต้องการ สุดท้ายผมก็แพ้ และผมกับเขา เราก็ได้เข้าเส้นชัยพร้อมกัน …………
:m25: :pighaun:
ผมได้แต่โทษตัวเองระหว่างอาบน้ำชำระร่างกาย พร้อมกับคอปเตอร์ที่ยังนัวเนียผมไม่เลิก ผมพูดคาดโทษเขาซ้ำไปมาด้วยความโกรธ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรับปากแบบขอไปที่ เหมือนไม่ได้สำนึกเสียใจ ผมมักจะหันไปมองค้อนเขาด้วยสายตาเดือดดาล แต่หลังจากเห็นใบหน้าที่ทะเล้นกลับมาใส่ด้วยท่าทางน่าหมั่นเขี้ยวผมก็เผลอให้อภัยทุกที จนต้องหยิกตัวเองเพื่อเตือนสติว่าอย่าไปหลงรูปคนๆ นี้ให้มากนัก ผมกับคอปเตอร์เดินลงมารับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน พวกเราแต่งตัวพร้อมสรรพเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปต่างจังหวัดตามแผน แต่ระหว่างที่เดินผ่านโถงห้องรับแขก แม่ของผมก็ตะโกนเรียกเราสองคนเสียงเข้ม “ครับ” ผมขานรับแม่ทันทีที่เดินมาถึงโซฟารับแขกหรูหราของแม่ “นั่งลงและฟังแม่นะ!!” แม่เสียงเข้มกว่าเดิมและไม่สบตาเราสองคน ผมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย และชวนอีกคนที่ไม่ดูบรรยากาศเหมือนเคยให้รีบนั่งลงข้างๆ ผมอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าจะยืนยิ้มบื้อๆ อยู่ทำไม “แม่เข้าใจ และรับทราบเรื่องที่เราเป็นแฟนกันนะ แม่อวยพรให้ด้วยนะให้มีแต่ความสุขดูแลกันดีๆ แต่นี้…….” แม่ผมเริ่มกุมศรีษะและคลึงหัวคิ้วด้วยความเครียด “แม่ไม่คิดนะว่า จะมาทำเรื่องแบบนี้กันในคืนแรกที่มาค้างบ้านแม่จริงๆ แม่น่ะรู้นะว่าเรื่องเซ็กซ์ ของคนรุ่นเราน่ะ มันเป็นเรื่องปกติ แต่ทำกันแบบนี้ในบ้านแม่ ข้างๆ ห้องแม่แบบนี้มันเกินไป!!” นานๆ ครั้งผมถึงจะเห็นแม่เป็นแบบนี้ซึ่งทำให้ผมกลัวจนถึงขั้นปากคอสั่นเลยทีเดียว “เอ่อ…แม่ครับ …. ผม…. ขอโทษครับ” รู้สึกน้ำในตาคลอกลิ้งไปมาในดวงตา “แม่ครับ ผมผิดเอง ผมเริ่มก่อน ผมข่มเหงลูกของแม่โดยที่เขาไม่เต็มใจ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” คอปเตอร์ลงไปนั่งคุกเข่าที่หน้าโซฟาที่พวกเรานั่งกัน ยกมือขึ้นพนมไหว้แม้ผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงใจ ผมนั่งมองหน้าแม่ที่นิ่งไปพักใหญ่ก่อนที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตาแปรเปลี่ยนจากดุดันแข็งกร้าวเป็นเอ็นดูคนที่นั่งคุกเข่าตรงหน้า “เรื่องเดียวที่แม่กังวล ก็เรื่องคนที่ลูกของแม่คบหาอยู่นี่แหละ เห็นแบบนี้ก็วางใจ อย่างน้อยวินก็สายตาเรื่องผู้ชายดีกว่าแม่นะ” คอปเตอร์ยิ้มกลับและกล่าวอย่างหนักแน่น “ผมรักลูกชายแม่จริงๆ รักมานานแล้ว สาบานว่าหากได้มาเป็นคู่ชีวิตผมจะรักษาไว้จนกว่าลมหายใจสุดท้ายของผม” “ตายจริง!! ขอเก็บคำนี้ไว้ใช้กับฟิคของแม่ได้ไหมเนี่ย ดูเป็นนิยายดีจัง!!” แม่ยิ้มร่าตามปกติ พลางหยิบปากกาและสมุดโน๊ตขึ้นมาจดอะไรหยุกหยิก “แม่!!! แกล้งกันใช่ไหม?” ผมโวย “เปล่านะ!! แม่ไม่โอเค จริงๆ แต่ก็อยากทดสอบลูกเขยด้วยแหละ ปรากฏว่าสอบผ่านนะ คราวนี้จะทำแบบนี้อีกกี่ครั้งก็ได้เลยแม่โอเค!!” “แม่!!!” ผมโวยวายกับความคิดของแม่ “ได้ครับ” “ไอ้เตอร์!!!” ผมหันไปมองหน้าคนเออออกับแม่ของผมอย่างกับปี่กับขลุ่ย “วันหลังเล่าให้แม่ฟังบ้างนะ ว่ามันเป็นยังไงบ้าง เพื่อความสมจริงในการแต่งนิยาย!!” “ได้ครับ แต่ต้องถามวินก่อนนะครับว่าโอเคไหม?” “ไม่โอเคโว้ย!!” ผมโวยเสร็จก็เดินไปกินมื้อเช้าด้วยความโมโห ………
บทที่ 13 Sand castle
:katai4: :ling1:
บทที่ 14 Sand castle หลังจากเรื่องวุ่นวายที่บ้าน และอาหารมื้อแรกของวัน ผมรู้สึกอ่อนเพลียและเวียนหัวไปหมด รู้สึกได้เลยว่าเรี่ยวแรงโดนเรื่องที่เกิดขึ้นดูดหายไปหมด ผมเกือบจะยกเลิกการเดินทางครั้งนี้แล้วเพราะนี่มันเลยเที่ยงมาแล้ว พวกผมยังไม่ได้ออกเดินทางเลย แต่สายชิลอย่างคอปเตอร์ได้แต่บอกกรอกหูผมว่า สบายๆ ค่อยๆ เดินทางไป ถือว่าได้เที่ยวระหว่างเดินทางด้วย คงได้ไปถึงทันพระอาทิตย์ตกดินแน่นอน ผมอ่อนใจกับทั้งแม่และแฟนมามากแล้วจึงได้แต่ตามน้ำไป ขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถและนั่งอย่างเหนื่อยหน่ายบนรถยนต์ เวลาและทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปจะเยียวยาทุกสิ่ง นั่นคงเป็นเรื่องจริง เพราะการได้เห็นทิวทัศน์ข้างทางที่วิ่งสวนทางเข้ามา มีตั้งแต่อาคารริมทาง ต้นหญ้าสูงเทียมศรีษะ ทุ่งนาเขียวขจีไกลสุดสายตา วัวและควายที่ถูกเลี้ยงโดยการปล่อยให้เล็มกินหญ้าตามทุ่งนาตามใจชอบ มันเพลินเพลินจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปเหมือนควันที่โดนลมพัดปลิวไป คอปเตอร์ที่พยายามสร้างบรรยากาศโดยการหาเพลย์ลิตส์เพลงดัง เพลงรักเพราะๆ ขับกล่อมตลอดทาง พยายามที่จะชวนคุยง้ออยู่เนืองๆ แต่ไม่สามารถทำให้ผมสนใจได้ ด้วยความเพลียและความเพลิน ผมเลยหลุดเข้าไปในความฝันอย่างไม่รู้ตัว ………… ทัศนียภาพที่เห็นตอนนี้ ผมยังจำได้ดี ลานกว้างที่ใกล้รั่วหน้าโรงเรียน ที่ๆ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงกันสวยงาม ทุกต้นต่างถูกบรรจงให้ยืนเรียงกันในระนาบเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้ทัศนียภาพแถวนี้ดูร่มรื่นเย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า พยายามแทงผ่านใบไม้แก่อ่อนตามกิ่งต่างๆ ที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง สายลมอ่อนที่พัดให้เกิดการสั่นไหวไปตามกิ่งต่างๆ ภาพเงาที่ทาบไปที่พื้นจึงมีความเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา ผมมักมานั่งตรงนี้ทุกเช้า เพื่อรอเพื่อนเนิร์ดของผมอย่างไอ้ไตเติ้ลทุกเช้า เพราะมันจะมาเกือบสายตลอดเพราะความที่บ้านไกลโรงเรียนพอควร ที่ผมต้องมานั่งรอมันทุกเช้าเพราะ ไม่อยากเดินเข้าไปคนเดียว มันจะเป็นเป้าให้นักเลงประจำถิ่นกลั่นแกล้งได้ง่าย ผมมักจะมองไปที่ฝั่งตรงข้ามเสมอเพราะตรงนั้นเป็นสนามกีฬากลางแจ้ง มีทั้งพื้นที่สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ลู่วิ่งขนาดมาตรฐาน ลานสำหรับชมรมกรีฑา ลานฝึกกีฬาเอนกประสงค์ที่กลายเป็นที่ประจำของชมรมรักบี้ มีสมาชิกทีมรักบี้มาฝึกกันทุกเช้า ซึ่งในตอนนั้นผมเองก็แอบมองการฝึกที่แสนโหดของโค้ชระดับประเทศอยู่ห่างๆ ร่างกายที่แข็งแรงนั้นบึกบึนและสมส่วน เหงื่อที่ไหลต่างน้ำเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉาในความแข็งแรงของพวกเขาเหล่านั้น นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมชอบแอบมองพวกนักกีฬารักบี้ แต่หลังจากโตมาสัหน่อยถึงได้รู้ว่าการที่ผมชอบนั่งมองคนเหล่านั้นมันมีอีกเหตุผลหนึ่ง เสียงสะอื้นเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมรู้สึกคุ้นเคยเพราะผมฝันถึงเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ ยิ่งฝันถึงช่วงเวลานี้บ่อยครั้ง ผมเดินเข้าไปหาตามเนื้อเรื่องที่ควรจะเป็น ผมพบเด็กผู้ชายวัยเดียวกับผม แม้รูปร่างจะดูสูงใหญ่กว่าแต่สภาพนั่งกอดกระเป๋าเป้อยู่กับพื้นทำให้เขาดูตัวเล็กลงไปมาก ผมเข้าไปนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของต้นไม้และทักทายเหมือนเช่นทุกครั้งที่ฝันถึง ช่วงแรกเขาแทบไม่ตอบ จนกระทั่งเขาหลุดปากออกมาเรื่องที่เขาสูญเสียพ่อและแม่จากอุบัติเหตุ ส่วนผมจึงได้เล่าไปเหมือนกันว่าบ้านผมเองก็มีปัญหา พ่อแม่แยกทางกัน ผมคิดว่ามันคงไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เรามีเหมือนกันคือ การที่ครอบครัวเราแยกจาก มันทำให้ผมค้นพบสัจธรรมตั้งแต่ตอนนั้นว่า คนเรายังไงก็ต้องจาก อยู่ที่จากเป็นหรือจากตาย ผมน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว ผมจำได้ว่า เด็กชายคนนั้นยื่นกระดาษเช็ดหน้ามาให้ผมซับน้ำตา ผมหัวเราะกับการกระทำของตัวเอง มาปลอบเขาแต่เป็นเราเสียเองที่มีน้ำตา เพิ่งค้นพบตัวเองว่าเราไม่เคยไม่เสียใจที่พ่อกับแม่แยกทางกัน เราแค่สะกดมันไว้ แต่การจากเป็นมันดีกว่าการจากตาย อย่างน้อยเราก็อาจจะได้พบกับพ่อบ้างในอนาคต แต่กับคนๆ นี้ ไม่มีโอกาสแล้ว…. “วินๆ เป็นอะไรน่ะ ตื่นๆ” เสียงคอปเตอร์ ดังทะลุความฝัน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยแก้มที่เปียกไปกว่าครึ่ง “ฝันอะไรทำไมร้องไห้ไม่หยุด!!” สีหน้าคอปเตอร์มีความกังวลมาก หัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว “ไม่มีอะไร แค่….ฝันถึงเรื่องที่ลืมไปแล้วน่ะ” “อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องของเราสมัยเรียนมัธยม” “ไม่ใช่หรอก เรื่องแบบนั้นไม่มีทางลืม เตรียมตัวโดนเอาคืนได้เลย” “รอเลยครับ!!” “ไอ้คนทะลึ่ง คิดลามกอยู่ล่ะสิ!!” “ก็นิดหนึ่ง….ว่าแต่ฝันเรื่องอะไรล่ะ เล่าให้ฟังได้ไหม?” “ได้สิ….. ก็แค่มันค่อนข้างเลือนลาง แล้วก็ไม่ได้ฝันแบบนี้ครั้งแรกด้วยนะ” “แปลกดี งั้นฝันว่าอะไรล่ะ?” ผมจึงเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง โดยที่อีกฝ่ายหลังจากได้ฟังไปครึ่งเรื่องก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หุบ “เรื่องนี้มีอะไรน่าขำ” “เปล่า แค่คิดว่า วินฝันแบบนี้ตั้งแต่เราเจอกันอีกครั้งใช่หรือเปล่า?” “นายจะบอกว่าเราฝันถึงเตอร์ ว่างั้น?” “ฝันมักจะบ่งบอกถึงความต้องการภายใต้จิตสำนึก ลึกๆ นายอาจจะอยากจะดูแลเราก็เลยเก็บไปฝัน” “ถามจริง!! หลงตัวเองขนาดนั้นเลย คนๆ นั้นเหมือนนายตรงไหน มิทราบ?” “แล้ววินรู้ได้ไงว่าไม่ใช่เรา?” “ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ความรู้สึกของเราบอกว่า ไม่ใช่นายแน่ๆ คอปเตอร์!!” “ได้ยินว่าในฝันเดินข้ามต้นไม้ไปหาเขาทุกครั้งนี่?” “ก็มันตื่นก่อนทุกทีนี่นา ชีวิตจริงไม่เคยเห็นหน้ากันตรงๆ จะไปเห็นความฝันคงจะแปลกๆ” “สงสัยจะรักแรกของวินแน่เลย งั้น…เรา….” “ไม่เอาแล้วไม่พูดเรื่องแบบนี้กับเตอร์แล้ว ว่าแต่ทำไมจอดรถแล้วล่ะ?” “อ้อ ก็วินละเมอร้องไห้ เราก็เลยเป็นห่วง จอดรถดูเสียหน่อย แต่รู้อะไรไหม ที่พักที่ว่าก็อยู่ข้างหน้านี่แหละ!!” ผมมองออกไปนอกตัวรถ เห็นแสงแดดสีส้มแก่ยามบ่ายค่อนเย็น รถถูกนำมาจอดในพื้นที่ๆ เหมือนซอยขนาดกลาง บริเวณไหล่ทางของถนนสองเลนปูคอนกรีตสภาพกึ่งเก่า สองข้างทางเต็มไปด้วยพื้นที่ว่าง ปลูกรั่วไม้สีขาวเก่าซีดสูงประมาณเอว ยาวไปสุดทางด้านหน้า ด้านหลังเป็นปากซอยที่มีร้านค้าสะดวกซื้อ และ ร้านค้าอื่นๆ อีกมากมายที่ผมมองไม่ชัดเจน ผมลดกระจกลงด้วยความตื่นเต้น กลิ่นเกลือและความชื้นคาวของทะเลโชยมาตามสายลมอ่อน ๆ เป็นสิ่งที่แสดงว่าเรามาถึงชายหาดแล้ว “บ้านพักอยู่ติดชายหาดเลย” “ใช่สิ หาดส่วนตัวด้วยนะ” คอปเตอร์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เห็นสายตาผมที่เปล่งประกาย
:katai4: :katai5:
จากบทสนทนานั้นรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปในซอยอีกพอสมควร เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเข้ามาในห้องโดยสาร สายลมที่พัดผ่านต้นไม้สูงใหญ่โดยรอบทำให้รับรู้สึกถึงแรงลมที่พัดเข้าฝั่ง เสียงสืบสาบใบไม้เสียดสีกันเกิดเสียงท่วงทำนองธรรมชาติที่ผมคิดถึง อยู่ในป่าคอนกรีตมานานเสียจนโหยหาธรรมชาติขนาดนี้ รถมาจอดหน้ารั่วบ้านกึ่งเก่ากึ่งใหม่ รั้วและประตูทำจากแผ่นไม้หนาขนาดใหญ่ที่ผ่านการตัดแต่งอย่างบรรจง ปลูกห่างกันเล็กน้อย เสมือนเป็นระแนงไม้สวยงาม สีของรั้วทีไม่ได้ถูกทาสีอะไร สีของเนื้อไม้จึงกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้สบายตาและไม่ขัดแย้งกับสภาพโดยรอบ แสงสุดท้ายของวันส่องทอประกายอยู่ที่ปลายฟ้าฝั่งขอบน้ำทะเล ทำให้บ้านหลังนี้มันมีมนต์คลังแปลกประหลาดทอประกายออกมา ผมแอบหวังว่าจะไม่มีประวัติแปลกๆ ติดบ้านมาด้วย เจ้าของที่พักรีบลงเปิดประตูให้เปิดกว้างออก ไม่มีกลไกอะไรพิเศษ รั่วเปิดอ้าออกสุดเท่าที่พานพับเก่าๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจะสามารถทำได้ เผยให้เห็นบ้านไม้ขนาดกลางสองชั้นที่มีรูปแบบอนุรักษ์นิยม บ้านทรงเก่าที่สวยงามและยังดูแลได้เป็นอย่างดี คอปเตอร์วิ่งเข้ารถมาเพื่อขับเข้าไปในตัวบ้านที่มีที่จอดรถอยู่ด้านข้าง แม้ผมจะแปลกใจอยู่บ้างที่บ้านนี้ไม่ถูกล็อกรั่วไว้ แต่ก็เข้าใจได้ทันทีที่มีหญิงวัยชราเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม หญิงชรากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เห็นริ้วรอยทั่วใบหน้า พร้อมทั้งยกมือไหว้ผู้มาเยือนทั้งสอง “ป้าขวัญ ไม่ต้องไหว้ผมหรอก บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ผมอายุสั้นกันพอดี” คอปเตอร์ยกมือไหว้กลับและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงกันเอง “คุณคอปเตอร์ ก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย ก็แหม่… ขนาดพวกคุณๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วยังจ้างป้าแก่ๆ ทำงานไม่ค่อยไหวคนนี้ดูแลบ้านต่อ จะไม่ให้ไหว้นายจ้างก็ยังไงอยู่นะ” “ป้าขวัญ เรื่องพวกนี้ก็ได้ป้าขวัญแหละสอนให้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่พูดเรื่องลูกจ้างนายจ้างอะไรหรอกครับ ป้าอยู่กับเรามานานจนเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้านไปแล้ว” “ไม่ได้ๆ ป้าคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก” หญิงชราที่ท่าทางใจดี แต่งตัวเหมือนผู้ดีเก่าคนนี้ ส่ายหน้าส่ายมือด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น หลังจากนั้นคอปเตอร์ก็เดินเข้าไปสวมกอดป้าขวัญอย่างอบอุ่น ทั้งพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างออกรส มองเผินๆ ก็เหมือนลูกหลานมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ “อ้าว…แล้วไหนว่าจะพาใครมาด้วย เพื่อนสนิทเหรอคะ แปลกนะไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์พาเพื่อนสนิทมาบ้านพักตากอากาศสักครั้ง” ได้ยินแบบนั้นจากป้าขวัญผมจึงทำได้แค่ยิ้มหวานใส่ กล่าวคำทักทายและไหว้งามๆ ให้อีกฝ่ายทันที “คนนี้ วินครับ แฟนผมเอง” คอปเตอร์หันมาโอบไหล่ผมกระชับแน่นพร้อมแนะนำอย่างมั่นใจ ผมซึ่งไม่แน่ใจว่าคอปเตอร์จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาอย่างไรก็ได้แต่อึ้งกับคำพูดนั่น แล้วก็ระลึกได้ว่าไอ้คนๆ นี้มันไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเท่าไหร่ แต่ก็เป็นส่วนที่น่ารักของเขา “ผู้ชายเหรอ? อืม…..นึกว่าจะหาผู้หญิงน่ารักมาแนะนำให้รู้จักเสียหน่อย……” คุณป้าขวัญมองผมอย่างละเอียดจนแทบจะเรียกได้ว่าสแกนทุกรูขุมขน “….. แต่ก็…. สมัยนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วใช่ไหมคะ ป้าก็เคยดูนะพวกซีรีย์วายน่ะ น่ารักดี …. หาแฟนได้น่ารักดีนะ” ป้าขวัญยิ้มหวานและเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ “มาๆ ป้าพาไปที่ห้อง” ป้าขวัญเดินจูงผมเข้าไปในตัวบ้าน “ยิ่งมองใกล้ ยิ่งน่ารักนะ ตัวหอมด้วย นึกว่าล่ะ คุณคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดพามาถึงที่นี่” ป้าขวัญหันไปหาคอปเตอร์และยิ้มอย่างยินดี คอปเตอร์ยิ้มตอบกลับมาด้วยความภูมิใจ …….. หลังจากที่ป้าขวัญช่วยจัดแจงเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้บรรจงวางให้ในห้องนอนอย่างเป็นระเบียบแล้ว ป้าขวัญก็ขอตัวกลับไปบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรั่วบ้านหลังนี้ “บ้านกว้างกว่าที่คิดนะ แล้วทำไมถึงเลือกห้องนี้ล่ะ ถึงห้องนี้จะมองเห็นชายหาดชัดกว่า แต่สองห้องนั่นน่าจะกว้างกว่านะ แยกห้องกันนอนดีไหม เตอร์อยู่ห้องโน่น เราอยู่ห้องนี้” ผมพูดขณะสำรวจห้อง “ฝันไปเถอะ แฟนกันก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ!!” คอปเตอร์พูดพลางผายมือ “เตียงเล็กกว่าที่บ้านอีก ผู้ชายสองคนตัวใหญ่คนนอนด้วย มันจะพอได้ยังไง?” “พอสิ!! วินก็นอนบนตัวเราเหมือนทุกทีก็ได้” “ไอ้ทะลึ่ง” ผมแทบอยากจะหาอะไรขว้างใส่ไอ้คนทำสายตาหื่นกามใส่ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะว่าไป ก็ได้นะ เพราะอีกสองห้องเป็นของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ …พี่สาวคุณแม่น่ะ อืม…… คงไม่ได้ใช้งานแล้วล่ะ จะไปนอนก็ได้นะ” “ “โอเค พูดขนาดนี้ใครจะไปกล้านอนจริงๆ นอนด้วยกันก็ได้” “กลัวผีเหรอ? แต่จะว่าไป บ้านมันเก่าขนาดนี้อาจจะมีก็ได้นะ” “ไม่กลัวหรอกนะ ผีน่ะ คนยังจะน่ากลัวกว่า” ผมมองแรงไปที่คอปเตอร์เพื่อให้รู้ว่าผมหมายถึงเขานั่นแหละ เพียงครู่เดียว อยู่ๆ ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ก็เปิดอ้าออกเล็กน้อยและอ้ากว้างมากขึ้นเรื่อย ผมที่ยืนอยู่ใกล้ห้องน้ำเผลอตกใจจนกระทั่งเดินก้าวเท้าออกห่างและเดินไปจนถึง คอปเตอร์ที่อยู่ตรงประตูอีกฟากหนึ่ง “ไหนใครว่าไม่กลัว?” “ก็….มัน…ทำไมเปิดเองล่ะ….?” “ก็บอกอยู่ว่าบ้านมันเก่า เวลาเราเปิดประตูทีไร ประตูห้องน้ำที่ปิดอย่างหลวมๆ มันก็จะเปิดอ้าเองแบบนี้แหละ” พูดจบเขาก็ชี้ที่มือตัวเองที่ลูกบิดประตูและแง้มเปิดเล็กน้อย น่าจะเป็นเรื่องของการไหลเวียนของอากาศ ผมคิดแบบนั้นก็เลยใจชื่นขึ้นหน่อย แต่…. “เตอร์? แกล้งเราเหรอ?!?” “เปล่านะ!! แค่จะลงไปหยิบน้ำดื่มเย็นๆ ขึ้นมาให้” ผมมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายก็ขอตัวออกไปแทบจะทันทีที่ผมทำสายตาแบบนั้น ความเงียบเข้ามาโอบล้อมผม ผมอยู่ตัวคนเดียวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สุดท้ายผมจึงก้าวเท้าตามคอปเตอร์ออกไปด้วยความกลัว ผมเดินตามแสงสว่างแหล่งเดียวที่ชั้นล่าง เดินมาถึงพื้นที่เสมือนห้องรับประทานอาหารที่อยู่ทางด้านข้างของบ้านซึ่งเป็นด้านที่สามารถมองออกไปเห็นชายหาดที่ดำมืด แสงของพระจันทร์เต็มดวงที่ฉายลงมาทาบกับพื้นทรายสีดำเทาเทียบกับพื้นน้ำระลอกคลื่นวาววับจับตา “ยื่นเหม่อเชียว ตามลงมาทำไมล่ะ เดี๋ยวจะเอานำ้เย็นๆ ขึ้นไปให้” คอปเตอร์หันมาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมยิ้มอย่างพอใจที่แกล้งผมให้กลัวได้ “ตรงนั้นคือ ศาลาหรือ?” ผมไม่สนใจไอ้คนขี้แกล้ง จึงเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ออกไปนอกตัวบ้าน ตรงเงาร่างคล้ายโครงหลังคาบ้านขนาดเล็ก “อืม..ใช่ เหมือนจะเพิ่งซื้อมาเปลี่ยนเมื่อปีที่แล้วแทนตัวเก่าที่พังไป ตั้งไว้สวยๆ ไม่มีใครออกไปใช้หรอก เพราะกลางวันมันร้อนมาก ส่วนกลางคืนก็อย่างที่เห็นมันดูน่ากลัวเกินกว่าที่จะไปนั่งคนเดียว” คอปเตอร์อธิบายพลางมองผมที่สายตาจดจ่อกับสิ่งนั่นไม่วางตา “อยากออกไปนั่งเล่นตรงนั้นไหม?” “อยากนะ แต่…มันมืดจัง” “รู้สึกว่าแม่จะสั่งให้ต่อไฟฟ้าเข้าไปนะจะได้ติดตั้งหลอดไฟได้ รู้สึกว่าจะอยู่…ตรงนี้มั้ง” คอปเตอร์พูดพลางเดินไปสุ่มกดสวิตช์ไฟบริเวณประตูทางออก สองสามครั้ง ไฟตะเกียงดวงเล็กก็สว่างขึ้นภายในศาลานั่น ทำให้มองเห็นรูปร่างศาลาที่ทำจากไม้และออกแบบได้น่ารัก ในโทนสีขาวและฟ้าอ่อน เหมือนผืนทราย, น้ำทะเลและท้องฟ้า คอปเตอร์เหมือนจะเข้าใจความต้องการของผม เขาผลักประตูเปิดออกและจับมือผมแน่นและจูงออกไปด้านนอกทันที แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของพื้นที่บริเวณนั้นคือบ้านพักของคอปเตอร์ แสงที่เรืองสว่างจากทางที่ผมเดินจากมาค่อยๆ จางลงไปตามระยะทางที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ พื้นที่ว่างบริเวณที่อยู่ด้านข้างของบ้านกว้างกว่าที่ผมคิดมาก พื้นประดับไปด้วยผืนหญ้าเตี้ยๆ ปะปนกับพื้นทรายหยาบๆ ที่เดินค่อนข้างลำบากเพราะความมืดด้วย แต่ที่ผมยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ จนถึงจุดหมายศาลาริมรั่วก็เพราะมีเจ้าของบ้านพักเดินกึ่งจูงกึ่งพยุงไม่ห่าง “ถึงแล้ว นี่ไงที่อยากมา ดูสิตากแดดจนซีดหมดแล้ว” คอปเตอร์พูดพลางมองสภาพศาลาขนาดย่อมโดยรอบ ผมมองตามสภาพของศาลาที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีซีดจางและมีรอยแตกของสีตามเนื้อไม้ไปทั่ว ซึ่งหากมองเผินๆ ก็จะมองแทบไม่เห็น ศาลาถูกยกสูงจากพื้นพอควรทำให้คนในศาลาสามารถมองออกไปผ่านรั่วบ้านเตี้ยๆ ไปเห็นทะเลสีดำสนิท ที่เคลือบประกายแสงระยิบระยับสวยงาม ลมยามค่ำพัดโบกหนาวเสียดผิว ใบไม้น้อยใหญ่ทั่วทั้งบริเวณพริ้วไหวไปตามแรงลมที่มองไม่เห็น ภาพตรงหน้าช่างอัศจรรย์ แม้แต่จินตกรชั้นเอกคงไม่สามารถเก็บรายละเอียดที่ตาเห็นได้ทั้งหมด ลมส่งกลิ่นสดชื่นกึ่งกลิ่นคาวเกลือทะเลที่ลงตัว ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรับอากาศที่หาไม่ได้ที่เมืองหลวง ในขณะเดียวกันเสื้อบางๆ ที่ใส่เดินทางมาตั้งแต่ช่วงบ่ายก็เริ่มต้านทานอุณหภูมิที่ค่อยๆ ลดลงไม่ไหว ผมยกมือขึ้นโอบรอบอกไว้โดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงรูขุมขนของตัวเองที่สั่นไหว ขนชี้ตั้งเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย เหมือนมีคนเฝ้ามองดูผมทุกอิริยาบท คอปเตอร์เดินรี่เข้ามาทางด้านหลังและใช้ร่างกายที่หนาใหญ่ของเขาโอบรอบตัวผมไว้แนบสนิท ความอบอุ่นเริ่มแผ่ขยายจากอุณหภูมิที่เนื้อหนังอีกฝ่าย และลมหายใจที่อุ่นชื้นราดรดใบหน้าของผม แต่สิ่งที่อบอุ่นที่สุดในร่างกายกลับไม่ใช่ส่วนที่เขาโอบกอดผมไว้ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในอกของผม มันร้อนขึ้นมาจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทุกอย่างคงจะดำเนินไปด้วยความโรแมนติก หากแต่ว่า… “คิดทะลึ่งตรงนี้เลย!!” ผมกล่าวขึ้นเสียงแข็งเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรทิ่มแทงผมทางด้านหลัง “ว้า….เสียบรรยากาศหมด” “เตอร์นั่นแหละ!! มันเกินไปนะ สรุปจะไม่ให้เราได้พักเลยหรือไง?!?” “ก็เห็นหลับมาบนรถแล้วนี่!!” “เตอร์!?!” ผมสะบัดตัวหนีอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวและเผชิญหน้ากับเขาด้วยความโมโหกับกาละเทศะของอีกฝ่าย “ล้อเล่นน่า หากวินไม่ยอม เราก็ไม่ฝืนหรอกนะ แต่เราห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้จริงๆ!!” ผมถอนหายใจ และพยายามไม่สนใจอีกฝ่ายโดยการหันไปหาทิวทัศน์ที่สวยงามแทน ลมทะเลที่นี่เวลานี้เย็นกว่าที่คิด ผมจึงคิดที่จะยอมแพ้หลังจากผ่านไปไม่ถึง ห้านาที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทราบดีไปเสียทุกอย่าง เขาหยิบผ้าคลุมผืนบางมาจากตรงไม่ทราบมาคลุมไหล่ผมไว้และสวมตัวเองเข้ามากอดผมไว้อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดให้อยู่ตรงนี้ไปอีกหลายสิบนาที โดยที่เราสองคนไม่ได้พูดกันสักคำ มีเพียงคอปเตอร์ที่กดริมฝีปากตัวเองมาจูบที่กลางกระหม่อมของผมเป็นครั้งคราว
:bye2: o13
ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายที่อุ้มผมมาถึงภายในตัวบ้านเสียแล้ว จำได้ว่าล่าสุดผมขอนั่งลงบนที่นั่งในศาลาโดยมีคอปเตอร์อยู่ทางด้านหลังต่างพนักพิงให้ผมได้ทิ้งตัวลงไปนอนทับ ผมรู้สึกอายนิดหน่อยเพราะรู้ตัวดีว่าร่างกายตนเองก็ไม่ได้บอบบางตัวเล็กตัวน้อยน่าทะนุถนอมขนาดนั้น แต่ก็ถูกปฏิบัติไม่ต่างจากเด็กอายุ 3 ขวบ คอปเตอร์อุ้มผมในท่าอุ้มเจ้าสาว ส่วนสูง180 เซ็นติเมตรของผมทำให้แขนขามันดูเก้งก้างเกะกะไปหมดเวลาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านไม้ทรงเก่ารุ่นปู่ย่าที่ส่วนสูงเฉลี่ยในสมัยนั่นต่างจากรุ่นลูกหลานมาก ต่อให้คอปเตอร์ระวังแค่ไหน สุดท้ายขายาวๆ ของผมก็ไปสะดุดกับบานประตูห้องนอนจนได้ ผมส่งเสียงด้วยความตกใจ ไม่ใช่เจ็บปวด แต่อีกฝ่ายก็ขอโทษขอโพยผมก่อนที่วางผมลงบนเตียงนอนด้วยท่าทีลนลาน “ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ” ผมพูดซ้ำกับคอปเตอร์ที่กระวีกระวาดหาบาดแผลที่เท้าของผมอย่างตั้งใจ “นอนต่อก็ได้นะ” คอปเตอร์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าอ่อนโยน หลังจากที่นั่งลงค้นหาบาดแผลที่เท้าของผมอย่างตั้งใจ และแน่ใจว่ามันไม่มีจริงๆ “จะบ้าเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ตะลอนๆ มาทั้งวัน” “นอกจากแวะห้องน้ำที่ปั้มก็ไม่ได้ลงจากรถเสียหน่อย น้ำก็เพิ่งอาบก่อนออกเดินทางเอง นอนไปเถอะหน้าตาเหนื่อยขนาดนี้แล้ว” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนและดันไหล่ให้ผมนอนลง แต่ผมฝืนไว้ไม่ให้ล้ม “ไม่เอาอ่ะ เหม็นเหงื่อจะแย่!!” “เหม็นตรงไหนกัน?” ไม่เพียงพูดเปล่า คอปเตอร์โน้มตัวลงกดหน้าตัวเองลงไปที่ซอกคอของผมพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “เฮ้ย!!! อะไรน่ะ!?!” ผมพยายามผลักอีกฝ่ายแต่โดนเขากอดเสียแน่นแทน คอปเตอร์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกหลายครั้ง เหมือนคนเสพยาที่กระหายยาเสพติดอย่างรุนแรง ขนลุกลุกลุกลุกลุกลุกบนร่างของผมลุกวูบวาบไปหมด ผมพยายามจะให้อีกฝ่ายปล่อย แต่คอปเตอร์ไม่ขยับเลย พร่ำพูดว่าหอม กลิ่นแบบนี้ดมทั้งวันก็ไม่เบื่อ นอนทั้งแบบนี้ก็ได้ ผมทั้งเขินทั้งอาย ทั้งระอากับความคลั่งรักของอีกฝ่ายจึงได้แต่ปล่อยตัวให้เขาทำไป รอให้เผลอก่อนผมก็จะใช้โอกาสนั้นหนีเข้าห้องน้ำ แต่สุดท้ายกลิ่นของผมคงไปปลุกหมาป่าในตัวของคอปเตอร สุดท้ายการที่ผมนิ่งเฉยกลับกลายเป็นเนื้อป่าอันโอชะให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองซ้ำๆ ในคืนนั้น ……….. แสงยามเช้าสาดเข้าทุกทางเริ่มจากหน้าต่างทางตะวันออกไล่เรียงเรื่อยมาจนเติมแสงในห้องนอนจนเต็ม ผมค่อยๆ ยกหนังตาขึ้นทีละน้อย รู้สึกอ่อนแรงจากกิจกรรมก่อนที่นอนที่ผมเป็นฝ่ายสมยอมเอง พูดได้เต็มปากว่าบรรยากาศพาไปอย่างช่วยไม่ได้ ความหงุดหงิดเกิดขึ้นในใจเพราะความเหนื่อยล้ามันฉุดรั้งร่างของผมไว้ให้โหยหาการพักผ่อนมากขนาดนี้ ทำให้ใจอยากนอนต่ออย่างสงบ แต่ด้วยเแสงในห้องมันรบกวนจนแทบทำไม่ได้ คิดทบทวนในใจแล้วต้องโทษตัวเองที่เมื่อคืนอยากเปิดม่านกว้างออกให้เห็นวิวทะเลยามค่ำคืนเต็มตาในขณะที่ทำกิจกรรมก่อนนอน ผมใช้แรงงวดสุดท้ายรั้งตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะหาทางปิดม่านที่มีอยู่ในห้องทั้งหมด สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งใช้มือค้ำตัวเองไว้อยู่บนเตียง มองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ คอปเตอร์กำลังทำท่าทางเหมือนยืดเส้นยืดสาย และออกกำลังกายเบาๆ ตรงบริเวณปลายเตียงด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ยอมรับว่าตกใจมากที่เห็นอะไรๆ ตรงหน้าแกว่งไปมาจนน่าเวียนหัว แต่มัดกล้ามต่างๆ ที่คอปเตอร์พอจะมีให้เห็นก็ทำให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นความบันเทิงแทนที่ความอนาจารไปได้ระดับหนึ่ง อีกใจหนึ่งก็รู้สึกทึ่งกับเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายที่ยังมีหลงเหลืออยู่มากมายขนาดนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น และมีเสียงที่คุ้นหูพูดข้ามผนังเข้ามา “คุณคอปเตอร์คะ อาหารเช้าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วคะ ถึงคุณคอปเตอร์แจ้งว่าให้จัดเตรียมสายหน่อย แต่เห็นไม่ลงมาเลยลองมาเรียกดูน่ะคะ” “ครับป้า เดี๋ยวอาบน้ำแล้วลงไปครับ” ตอกเตอร์เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาคาดเอวก่อนตอบคำถามนั่น อีกฝ่ายที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงตอบกลับมา และเหมือนพยายามจะบอกอะไรสักอย่างแต่ก็ตัดสินใจขอตัวลาลงไปด้านล่าง “ไปอาบน้ำกัน!!” คอปเตอร์หันมายิ้มอย่างเจ้าเลห์ “อาบคนเดียวไม่เป็นหรือไง!?!” ผมมองค้อนกลับไป “ไม่ได้ มันเหงา พอมีแฟนมันก็เลยอาบคนเดียวไม่ได้แล้ว!” สีหน้าท่าทางของไอ้เด็กโข่งตรงหน้าแล้วอยากลุกขึ้นไปเขกกระโหลกดังๆ “ไม่เอาน่ะ น่ากลัว แค่นี้ก็เจ็บไปหมดแล้ว ลดความเสี่ยงเรื่องอย่างว่า เราแยกกันอาบก็แล้วกันนะ!!” “ไม่เอา!! เหงา ไม่มีเราแล้วใครจะถูหลังให้วินล่ะ?” “ก็ทำด้วยตนเองมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” “ใจร้ายจัง สาบานนะจะไม่ทำอะไร อาบน้ำเป็นเพื่อนหน่อย” “ไม่!!” ผมปฏิเสธเสียงแข็งในท่านอนปล่อยจอยบนที่นอนเพราะปวดเมื่อยไปหมดทั้งร่าง รู้สึกขยาดกับการสัมผัสของคอปเตอร์ พูดง่าย ๆ ว่ากลัวใจไม่แข็งพอ คอปเตอร์นิ่วหน้า ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายอีกฝ่ายสูงขึ้นจากเพียงแค่มองปรายตา เพียงครู่เดียวผมก็ถูกอุ้มขึ้นและพาเข้าห้องน้ำอย่างแทบที่จะขัดขืนไม่ได้ ผมถูกพาเข้ามาในห้องน้ำ ในพื้นที่ฝักบัวทันที ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ที่ผมเปลือยอยู่แล้ว แต่น้ำที่ถูกเปิดให้ไหลชะโลมผ่านร่างกายนั้นเย็นเยียบ ผมเผลอร้องโวยวายอย่างไม่รู้ตัว พลางสบถด่าไอ้คนที่แกล้งผมอย่างหยาบคาย คอปเตอร์หัวเราะลั่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็สั่นเทาจากน้ำเย็นที่ไหลลงมาพลางพูดขออภัย “ขอโทษนะ เราไม่อยากห่างจากสายเลยน่ะ สาบานนะว่าจะไม่ทำอะไร” คอปเตอร์พูดพลางยกนิ้วชูสามนิ้วสาบานแบบลูกเสือ “เป็นเด็กหรือไง!” ผมแขวะไอ้คนไม่รู้จักโตคนนี้ ซึ่งหัวเราะไม่เลิกเสียที ผมผ่อนลมหายใจอย่างให้อภัย ผมผิดเองที่ปล่อยใจไปชอบไอ้คนแบบนี้ และนี่คือผลกรรม!! “รักษาสัญญานะ” ผมใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกแน่นๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง “แน่นอน” คอปเตอร์ยิ้มตอบ แล้วผมก็ถูกทำความสะอาดอย่างหมดจดโดยคอปเตอร์ เขารักษาสัญญาอย่างดี แม้ว่าจะแสดงออกถึงความต้องการเรื่องอย่างว่าอย่างชัดเจนแค่สุดท้ายเขาก็แค่ลูบๆ คลำๆ ทำความสะอาดทุกขั้นตอนเรียบร้อยและปล่อมผมออกมาแต่งตัวก่อน เขาบอกผมว่า ขอสงบสติอารมณ์และจัดระเบียบสังคมสักพักก่อนจะออกจากห้องน้ำ ผมแอบยิ้มกับความน่ารักๆ แบบนี้ของเขา แล้วก็คิดในใจว่า คืนนี้น่าจะชดเชยให้เสียหน่อย ……….. “สวัสดีจ๊ะ” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นไม่ไกล ผมที่เดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพกึ่งเปลือย สวมเสื้อคลุมอาบน้ำที่ยังไม่ได้ผูกเชือกสวมทับ ทำให้เผยเนื้อหนังบางส่วนตลอดความยาวของช่องว่างระหว่างสาบเสื้อคลุมทั้งสองด้าน ผมมองไปทางต้นเสียงเห็นผู้หญิงมัดรวมผมตึง สวมใส่ชุดสบาย ๆ นั่งอมยิ้มมองมาทางผมด้วยสายตาสำรวจ ผมร้องเสียงหลงพร้อมคว้าจับชายเสื้อคลุมมาสวมทับให้เรียบร้อย คนที่ตกใจไม่แพ้กันคือ คอปเตอร์ เขาวิ่งออกมาจากพื้นที่ฝักบัวทั้งที่เพิ่งชำระฟองสบู่ ยังมีฟองพรายอยู่ประปรายตามตัว โชคดีของเขาที่ผมยืนขวางประตูอยู่ ร่างเปลือยเปียกปอนของเขาจึงมีผมบังอยู่ด้านหน้า และแน่นอนว่าคนที่ว่าไร้ยางอายยังไงก็คงไม่กล้าเปลือยอยู่หน้าผู้หญิงคนนี้ “แม่!!” คอปเตอร์โอด อยู่ด้านหลังผม “ก็นึกว่าหายไปไหนกันหมด? แม่ไม่เคยนึกเลยนะว่าคอปเตอร์จะมีนิสัยชอบอาบน้ำกับคนอื่น สมัยเด็ก ๆ ขี้อายขนาดที่ว่าเวลาไปเข้าค่ายซัมเมอร์ที่เป็นห้องอาบน้ำรวม ถึงกับยอมไม่อาบน้ำตั้งหลายวัน” “แม่!! มันใช่เรื่องที่พูดตอนนี้ไหม? อีกอย่างวินก็ไม่ใช่คนอื่น เรื่องแบบนี้ธรรมดาสำหรับแฟนกันหรือเปล่า?” “แฟน….นั่นสินะ เตอร์บอกแม่แล้วนี่ว่าเตอร์มีแฟนแล้ว” แล้วแม่ของคอปเตอร์ก็มองมาทางผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะจ้องอยู่แบบนั่นด้วยความเงียบ “ผม…ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” คอปเตอร์พูดจบก็ลากผมเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อปิดบังร่างเปลือยของตัวเอง และปิดประตูทันที ……………
:hao6: :hao7:
หลังจากออกจากห้องน้ำอีกครั้ง แม่ของคอปเตอร์ก็ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว แม้จะรู้สึกโล่งใจไปได้บ้างที่สามารถแต่งตัวโดยไม่มีคนนอกในห้อง แต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยังเกาะกุมอยู่ในอกไม่หลุดไป คอปเตอร์และผมเดินลงมาทางด้านล่างเพื่อรับประทานมื้อเช้า แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมคือ มื้อนี้ไม่ได้มีเราแค่สองคน “มากันได้เสียที แม่รอตั้งนาน” หญิงวัยกลางคนลดหน้าจอแทปเล็ทลงเล็กน้อยและปรายตาขึ้นมอง “ขอโทษครับ” ผมตอบกลับอัตโนมัติพร้อมยกมือขึ้นไหว้ “จะไปขอโทษทำไม ไม่ได้นัดกันเสียหน่อย” คอปเตอร์กุมมือที่พนมอยู่ของผมให้ลดลง “แต่ให้ผู้ใหญ่รอมันก็ไม่ดี” ผมหันไปหาเขาอย่างประหม่า “เอาล่ะๆ แม่ไม่ได้ต่อว่าอะไร ก็ถูกของลูก แม่ไม่ได้นัดหมายอะไร แม่แค่ถามเพื่อทักทายก็เท่านั้น มากินมื้อเช้ากัน แม่อุตส่าห์ไปซื้อจากร้านดังย่านนี้เลยนะ!” หญิงผู้เป็นแม่อมยิ้ม แต่ก่อนหน้านั้นก็มีการกระตุกคิ้วกึ่งขมวดไปบ้าง “ครับ ….โอโห…..น่ากินจังเลยครับ!!” ผมกวาดตามองมื้อเช้ามากมายบนโต๊ะ ทั้งโจ๊ก ข้าวต้ม ติ่มซำ ต้มเลือดหมู ปาท่องโก๋ แซนวิช ไข่คน ไข่กระทะ ผมรู้สึกได้เลยว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นกรรมพันธุ์ “แม่รู้นะว่าลูกชอบไข่กระทะร้านนี้” คนเป็นแม่ส่งต่อไข่กระทะไปวางตรงหน้าคอปเตอร์อย่างกระตือรือร้น “แม่มาทำอะไรที่นี่ ไม่มีงานทำเหรอไง?” คอปเตอร์นอกจากจะไม่มองอาหารบนโต๊ะแล้วยังจ้องหน้าแม่ตัวเองอย่างเคร่งเครียด “ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไร เห็นเตอร์เอ่ยถึงก็เลยอยากมาพักผ่อนบ้าง!!” หญิงสาวตอบพลางคนโจ๊กที่ตนเองเลือกหยิบมาวางตรงหน้า “จะกลับเมื่อไหร่?” คอปเตอร์เสียงเข้ม “ก็สักพัก….. อาจจะกลับพร้อมลูก” “แม่ไม่เคยอยากจะมาที่นี่สักหน่อย อะไรหอบมาถึงที่นี่!!” โทนเสียงของคอปเตอร์เริ่มเปลี่ยนไป “เตอร์ แม่อุตส่าห์ซื้อของอร่อยๆ มาให้กิน กินก่อนเถอะ!!” ผมรั้งแขนของเขาพยายามดึงแขนของเขาให้นั่งลง แต่อีกฝ่ายก็ยื้อต้านไว้ “แต่….” คอปเตอร์หันมาหามด้วยแววตาหงุดหงิด “เตอร์ เราหิวแล้ว อย่าเพิ่งพูดเลย ถือว่าแม่มาพักผ่อนด้วยไม่ดีเหรอ?” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะการเลี้ยงดูหรือว่ามีปัญหาระหว่างครอบครัว แต่ผมรู้สึกไม่สบายเลยที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ “ไม่!!!” คอปเตอร์ปฏิเสธเสียงแข็ง ผมไม่เคยเห็นเขาต่อต้านผมขนาดนี้ ฟังแล้วผมอยากจะกรี๊ดร้อง “เตอร์!!” ผมส่งสายตาที่อยากจะร้องไห้ไปที่เขา คอปเตอร์ถึงได้สงบลง แต่ก็แทบจะไม่แตะอะไรบนโต๊ะเลย หากผมไม่ชวน อาหารเช้ามื้อนี้จบลงด้วยความเหนื่อยล้าและความไม่เจริญอาหารของผม ส่วนคุณแม่ของคอปเตอร์ก็ยังคงรักษาอาการสงบอารมณ์ได้ดี แม้ว่าลูกชายตนเองจะแสดงอารมณ์ไล่ตนเองไปบ่อยแค่ไหน บอกได้คำเดียวว่าโคตร สตรอง!! (Strong) และ โคตรน่ากลัว!! หลังจากมื้อเช้าผมจึงชวนคอปเตอร์ออกมานั่งรับลมที่ชายหาด ระหว่างเดินเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ จนถึงย่านที่มีรีสอร์ตปลูกกันเรียงรายติดๆ กัน ตลอดผืนทรายริมหาด ความครึกครื้นจากแขกที่มาพัก เสียงดนตรีคลอ และการละเล่นตามชายหาด พาให้ใจผมเคลิ้มไปกับบรรยากาศโดยรอบ ผมจึงเผลอเดินนำหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว คอปเตอร์ที่เดินมาด้วยความที่ใจลอยออกไปตามลมเกือบสุดสายตา ผมเดาว่าในหัวคิดอะไรมากมายร้อยแปดที่ผมไม่เข้าใจ ผมแค่มองเห็นลูกชายที่ถูกเอาอกเอาใจจนนิสัยเสียและโกรธแม่ตัวเองที่ใส่ใจและรักตัวเองมากเกินไป ผมรู้ว่าการที่เตอร์เลือกที่จะคบกับผม มันอาจจะไม่ถูกใจคุณแม่เท่าไหร่? แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ผมเลยเลือกที่จะไม่สนใจ เวลาจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง ระหว่างที่เดินเพลิดเพลินไปกับเสียงคนตรีที่คาเฟ่ริมหาดแห่งหนึ่ง ชายสองคนก็เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทีกระตือรือร้น เข้ามาพูดด้วยภาษาต่างชาติที่ผมไม่รู้จัก น่าจะเป็นเอเชียสักที่ หน้าตาคมเข้มหุ่นแน่นผิวสีแทน ผมได้แต่หยุดตกใจกับการกระทำของพวกเขาทั้งสอง ในที่สุดผมตัดสินใตหันหลังกลับไปหาคนที่หยุดเดินใจลอยไปในคลื่นทะเลที่อยู่ห่างฝั่งออกไป “เตอร์” ผมเดินเข้าไปจับมือเขาเรียกสติและบีบแน่น ชายต่างชาติสองคนนั้นหยุดก้าวเดินตามและทำท่าสบถอะไรสักอย่างที่บ่งบอกถึงอาการขอโทษขอโพยผม และคนที่ตอนนี้ดึงสติกลับมาพร้อมส่งกระแสจิตอำมหิตเข้มข้นไปถึงสองคนนั้น ในที่สุดทั้งสองคนนั้นก็พุ่งเป้าไปที่อื่น “เผลอไม่ได้เลยนะ” คอปเตอร์ยิ้มอ่อนและหันมาโอบรวบผมเข้าไปใกล้ “ก็คนมันน่ารัก ใครไม่สนใจก็จะได้ทิ้งให้!!” “ไม่มีใครมันกล้าหรอก!! มันคงไม่อยากอายุสั้น!!” “เกินไปนะ!!” คอปเตอร์หัวเราะในลำคอใส่ผม แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศที่เบาสบายขึ้น “นานๆ เห็นวินมาอ้อนเรา พึ่งพาเราแบบนี้บ้าง มันก็ไม่เลวนะ” “เงียบไปเลย” “ไม่” “ทำไมกวนตีนจัง” “น่ารักล่ะสิ” “หุบปาก!!” “ไม่หุบ!! อุบ!!!” ผมยื่นหน้าไปจุมพิตริมฝีปากเขาตรงๆ กลางชายหาด นั่นทำให้เขาอมยิ้มและแอบอึ้งค้างไปหลายวิ เพราะต่อหน้าที่สาธารณะ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยและสั่งห้ามเขาด้วย มันคงทำให้เขาประหลาดใจพอควร คอปเตอร์แสดงออกทางสีหน้าชัดเจน “นานๆ ทีแบบนี้ก็ไม่เลวใช่ไหม?” ผมถามเขาด้วยอาการเอียงอายปนประหม่า เพราะตอนนี้ หลาย ๆ สายตาในร้านคาเฟ่ริมหาดเริ่มจับจ้องมาที่ผมสองคนเสียแล้ว เพียงครู่เดียวหลังจบประโยคของผม คอปเตอร์กระโจนเข้าใส่ผมเต็มสปีด โอบรัดผมแน่นและยกตัวผมสูงจนกระทั่งเท้าของผมลอยเหนือพื้นไปพอควร ผมตกใจร้องเสียงหลงเพราะคอปเตอร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั่น เขาพยายามกระชับขยับร่างของผมให้อยู่ระนาบเดียวกับเขา ผมถูกเขย่าไปมาอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรู้ตัวว่าใบหน้าของผมกับเขาก็อยู่ใยระยะที่เขากะประมาณไว้ ใบหน้าของผมอยู่เหนือใบหน้าเขาเล็กน้อย อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าขนานกันอย่างพอเจาะ คอปเตอร์ยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนที่จ้องมองอยู่ “ทำอะไรน่ะ!?! ปล่อย!?!?” ใบหน้าของผมร้อนผ่าวไปหมด บวกกับแสงแดดยามใกล้เที่ยงแบบนี้ รู้สึกเหมือนใบหน้าจะไหม้เลย “Please marry me?” เขาพูดจบก็ลดตัวผมลงไปประทับริมฝีปากอย่างดูดดื่ม ผมที่แม้จะตกใจแต่ก็เผลอใจจุมพิตกลับไปอย่างเร้าร้อน จนกระทั้งถูกปลุกออกจากภวังค์อันเร้าร้อนจากเสียงเชียร์โดนรอบ “ใครจะไปแต่งด้วย!!” ผมพลักเข้าออกห่างและพูดด้วยลมหายใจขาดห้วงไประหว่างประโยค “จูบตอบแปลว่าตอบตกลงนะ” คอปเตอร์เกร็งแขนฝืนให้ผมอยู่ในอ้อมแขนเขาต่อ “ไม่!!!” ผมพยายามแยกตัวออกแต่แรงสู้ไม่ได้ “ไปเข้าหอกัน!!” “เฮ้ย!!!!!” ผมถูกอุ้มขึ้นพาดไหล่และเดินกลับไปทางเดิม ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนทั้งบริเวณ รู้สึกทั้งอายและเขิน คอปเตอร์ที่เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว โบกไม้โบกมือเป็นการขอบคุณทุกเสียงเชียร์ …………..
:jul3: :m20: :laugh:
ผมถูกพากลับมาถึงบ้านพักในสภาพที่ถูกอุ้มพาดไหล่ แม้ว่าจะเริ่มเวียนหัวแล้ว แต่ก็จนด้วยปัญญาที่จะดิ้นรนเพราะคอปเตอร์เป็นบ้าคนบ้าพลังและหัวดื้อหัวแข็งที่จะอุ้มผมมาทั้งแบบนี้ถึงบ้าน ก่อนเข้าประตูรั้วบ้านผมถึงถูกวางลงบนพื้นทรายที่ร่วนซุย ผมมยอมรับเลยครับว่า ตัวเองทรงตัวไม่อยู่จนเกือบล้ม ในที่สุดผมก็โดนอีกฝ่ายพยุงเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากเข้ามาในบริเวณบ้านพัก สิ่งแรกที่ผมเห็น คือ คุณแม่ของคอปเตอร์นั่งอยู่นอกตัวบ้าน บริเวณโดยรอบมีอุปกรณ์สำนักงานจำนวนมาก ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 1 เครื่อง แทปเล็ท กองเอกสารจำนวนหนึ่ง ตั้งอยู่บนโต๊ะและที่นั่งสนาม และมีอุปกรณ์กำเนิดลมและความเย็นจำนวนหนึ่ง เป็นภาพที่แปลกตาจนน่าแปลกใจ “ไปทำอะไรกันมา ทำไมถึงต้องพยุงกันเข้ามา!!” คุณแม่ที่หยุดพักการจ้องหน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างเคร่งเครียดทักขึ้น ก่อนที่ผมและคอปเตอร์จะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ “ไม่มีอะไรครับ ผมหน้ามืดนิดหน่อย” ผมรีบชิงตอบก่อนที่จะเกิดศึกแม่ลูกอีกรอบ คุณแม่ฟังคำตอบก็นิ่งไปพักใหญ่ ส่วนคอปเตอร์ไม่สนใจจะสนทนาด้วยทำเพียงพยุงผมเดินก้าวออกจากจุดนั้น “เตอร์ ลูก แม่จะบอกว่า มันบังเอิญมากเลยนะที่น้องมิวมิว ลูกเพื่อนแม่ก็มาเที่ยวที่หัวหินเหมือนกัน เราไปหาน้องกันไหม?” คอปเตอร์หยุดเดินแล้วหันมามองตาคุณแม่พักเดียว ผ่อนหายใจยาว ก่อนจะหันไปเดินต่อ “อะไรจำน้องมิวมิวไม่ได้เหรอ? ตอนเด็กก็เล่นด้วยกันบ่อยๆ” “จำได้ครับ แต่ไม่อยากจะเจอ!” “คุณน้าแหม่มก็มาด้วยนะ เห็นบอกอยากเจอลูกด้วย!!” “ไม่ครับ ผมมาพักผ่อนกับแฟนผม อยากอยู่กับวินมากกว่า!!” “เอาน่า! แม่บอกน้าเขาแล้วว่าจะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน ไปด้วยกันนะ” “งั้นนายก็ไปเถอะนะ เราขอนอนพักสักหน่อย!!” ผมเอ่ยตัดบทเพราะไม่อยากให้ทะเลาะกันอีก ผมยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ “นั่นไง มีบางคนรู้กาละเทศะด้วย!!” คุณแม่ยิ้มมุมปาก ก็ในบทสนทนาไม่มีผมอยู่เลย ผู้ใหญ่ไม่ได้ชวนใครจะกล้าไปด้วย ไม่ได้รู้จักกับใครเลย ผมแอบคิดในใจ “ไม่!! เรามีแผนจะไปเที่ยวกับนายแล้ว!!” คอปเตอร์หันมาคุยกับผมโดยไม่สนใจมารดาตัวเองที่เขม่นคิ้วใส่ผมนับไม่ถ้วนไม่ถ้วนครั้งไม่ถ้วน หลังจากเถียงกันได้สักพักผมจึงลากคอปเตอร์ไปที่ห้องเพื่อที่จะได้คุยกันสะดวกขึ้น สุดท้ายผมขอให้เราพบกันครึ่งทางคือ เขาจะพาผมไปเที่ยวก่อน เมื่อถึงเวลามื้อเย็น คอปเตอร์จะตามไปพบกับคุณแม่ที่ร้านอาหารในช่วงหัวค่ำ หลังจากนั้นก็นำข้อตกลงนี้ไปบอกกับคุณแม่ ซึ่งเธอก็มีท่าทางรับได้กับข้อตกลงนี้ ตราบใดที่คอปเตอร์ยอมไปกับแม่ แม้ช่วงบ่ายผมกับคอปเตอร์จะไปเที่ยวกันหลายที่ ผมมีความสุข มากๆ เลยเวลาได้อยู่กับเขา แต่ความไม่สบายใจบางอย่างมันก็ค่อยๆ กัดกินจิตใจผมไปตามเวลาที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงพยายามกีดกัดผมถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เหมือนจะรับความสัมพันธ์ของพี่ร็อคเก็ตและแฟนหนุ่มแต่ละคนของเขาได้ (นาตข่าวที่เสพมา) หรือมันมีอะไรที่เขาไม่รู้อย่างนั้นหรือ? “นายจะไม่ไปด้วยจริงๆ เหรอ?” คอปเตอร์ถามขึ้นอีกครั้งขณะที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพัก “ไม่ดีกว่า….รอให้อะไรๆ มันดีกว่านี้ก่อนดีกว่า!!” ผมส่ายหน้าแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่มๆ ตรงหน้า “ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่?” พูดจบก็พาร่างที่ห่อหุ้มเพียงผ้าเช็ดตัวผืนสั้นตรงรี่เข้ามาคล่อมตัวใส่ผมที่นอนอยู่ “ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไป” ผมไล่ เพราะพวกเราต่างเหนียวเนื้อตัวมากๆ หลังจากตลอนชิม ช้อป ไปทั่วเมือง “อาบด้วยกันสิ” “ไม่เอาอ่ะ อยากพักสักหน่อย นายมีนัดก็รีบไปเสียสิ!!” “วินดูหงุดหงิดนะ” “ไม่..ได้…เป็น…อะไร!!” ผมเน้นคำ “งั้นเดี๋ยวพาไปทำให้หายหงุดหงิด” พูดจบเขาก็อุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเลย แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ทำให้ผมหายหงุดหงิดแน่นอน แต่ก็เล่นเอาเพลียไปเลย แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือ ทำไมอีกคนถึงได้ยิ่งดูคึกคักกว่าเดิม ………. คอปเตอร์ เขาถูกแม่บังคับให้นั่งรถมาด้วยกัน รถซีดานคันหรูถูกพามาจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมชายหาด ร้านนี้ถูกปลูกอยู่บนเนินเล็กๆ สองสามเนินใกล้กับรีสอร์ตหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ถูกออกแบบเป็นร้านสไตล์กระท่อมริมหาด ทุกอย่างทำจากไม้และถูกทาสีเป็นสีเทอร์คอยส์ที่เหมือนถูกปล่อยให้ซีดจางอย่างเป็นธรรมชาติ โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทุกโต๊ะปูผ้าดิบสีขาวสะอาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทำจากไม้ แสงสว่างภายในร้านเกิดจากแสงเทียนที่ประดับตามโต๊ะ และจุดต่างๆ ของร้าน และไฟแอลอีดีสีแสงจันทร์ตามขอบพื้นและผนังทั่วทั่งร้าน ทันทีที่เดินลงจากรถ สายลมเย็นๆ ของทะเลก็พัดกระทบหน้า เสียงดนตรีคาสสิคคลอเบาๆ มาตามสายลมเหล่านั้น ทำให้คอปเตอร์แอบคิดในใจว่าหากไม่ทราบมาก่อนว่า คุณแม่มาพบกับคุณน้าแหม่มเพื่อนสนิท ก็คงคิดได้ว่ามีนัดกับกิ๊กเสียแล้ว (ถึงจะรู้ว่าแม่ไม่มีของแบบนั้นหรอก) คอปเตอร์เดินตามมารดาตนเองอย่างสงบเพราะไม่คิดจะพูดกับคนที่อยู่ ๆ ก็ไร้เหตุผลขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ผ่านมา แม่ไม่เคยว่าเขาเรื่องการคบคนสนิทเลยสักครั้งทั้งชายและหญิง อาจเพราะแม่คงรู้ว่าผมคงไม่ได้จริงจังกับใคร ต่างจากวินที่ผมถึงกับพามารู้จักและเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เสียงเรียกชื่อคุณแม่ดังแหวกอากาศมาจากทางโต๊ะริมหาดที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด “สวัสดียัยชม! เจอกี่ที่ก็ยังสวยไม่สร่าง แนะนำหมอให้บ้างสิ!!” หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยสีจัดจ้าน เดินมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสสว่าง เอ่ยทักด้วยปากสีแดงสดมันวาว คอปเตอร์กล่าวสวัสดีทันที่พบหน้าน้าแหม่ม ในขณะที่ที่แม่ของคอปเตอร์กลับรีบคว้าแขนให้เพื่อนตนเองสงบปากลงเพราะกลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านเรียบร้อย คอปเตอร์อมยิ้มกับภาพที่เห็น เพราะแม่กับเพื่อนของเธอนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะเรื่องฐานะ เท่าที่คอปเตอร์ทราบ น้าแหม่มเป็นเพียงผู้บริหารระดับกลางของบริษัทใหญ่ระดับต้น ๆ แห่งหนึ่งของประเทศไทย คอปเตอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงยังคบกันได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา น้าแหม่มเป็นคนนิสัยน่ารัก ใจดี และเป็นกันเองมากๆ เป็นคนเก่งที่ไม่ถือตัวและสมถะมาก ๆ คนหนึ่ง เท่าที่เขารู้จักคนมาทั้งชีวิต เธอเข้ามาทักทายเขาอย่างเป็นกันเองเช่นเคย “ได้ข่าวว่าทำแม่แกปวดหัวเหรอ” น้าแหม่มกระซิบใส่หูคอปเตอร์เมื่อสวมกอดกัน คอปเตอร์ยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ให้แม่ตัวเองรู้ “เฮ้อ…. เรื่องนี้น้าเองก็จนใจ ยังไงช่วงนี้ก็ตามใจแม่เอ็งไปก่อนก็แล้วกัน” น้าแหม่มพูดโดยแทบไม่ขยับปาก ในรอยยิ้มของน้าแหม่มก็สามารถสื่อสารเป็นคำพูดออกมาได้ “แอบนินทาอะไรฉันอีก!?! น้าหลาน” เหมือนว่าแม่คอปเตอร์จะรู้ทัน “สอบถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาน้าหลานจ๊ะ!!” น้าแหม่มกรอกตาให้เห็นกันชัดๆ “แล้วไป!!” แม่ของคอปเตอร์เหล่มองขึ้นมาขณะอ่านเมนู น้าแหม่มกับคอปเตอร์แอบส่งยิ้มให้กันอย่างรู้ทัน “เจ้าของร้านแนะนำหน่อยสิ!!” แม่คอปเตอร์เหวี่ยงเล่นเมนูลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ แต่การกระทำแบบนี้ในฐานะเพื่อนกันระหว่างน้ากับแม่ เขารู้กันว่าไม่มีอะไรให้ถือสา “แก่แล้ว ลืมเอาแว่นมาสินะ” น้าแหม่มยิ้มกว้างแล้วเริ่มล้อทันที “ปากเธอเนี่ยนะ!!” น้าแหม่มหัวเราะกว้าง แต่ยังไม่ทันที่น้าแหม่มจะเอ่ยปากแนะนำเมนูใดๆ แม่ของคอปเตอร์ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “แล้วยัยมิวมิวล่ะ?” “ขอตัวไปเดินเล่นริมหาดโน่น” “คอปเตอร์ลูก!…. ไปตามน้องมารับประทานมื้อเย็นด้วยกันสิไป” “เดี๋ยวน้องก็มา หาดอยู่แค่นี้เอง!!” “เอาน่า ผู้หญิงเดินดึก ๆ เปลี่ยวๆ มันอันตราย” “แต่นี่มันหาดส่วนตัวนะ” “ไปเถอะ แม่ขอร้อง!” น้าแหม่มพยักหน้าเชิงขอร้องด้วยอีกคน ด้วยความรำคาญ สุดท้ายเพื่อตัดปัญหาผมจึงเดินออกจากโต๊ะไปที่ริมชายหาดทันที ……….. “แม่พี่เอาอีกแล้วเหรอ พยายามจับคู่เราอีกแล้วเหรอ?” คำพูดแรกของคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวแท้ ๆ ทักขึ้นทันที่ที่เห็นหน้าคอปเตอร์ เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆ กระทัดรัด สูง 160 เซ็นติเมตรในชุดกระโปรงบานยาวสีขาวพริ้วสวยตามแรงลม ภายใต้แสงจันทร์ผมลอนยาวของเธอขับเสน่ห์ของออกมาอย่างล้นเหลือ “ก็เหมือน เวลาพี่สนิทกับใครก็จะกลับมาใช้วิธีนี้อีกแล้ว ดีนะที่น้าแหม่มไม่เล่นด้วย” คอปเตอร์ตอบไปพลางผ่อนลมหายใจไปพลาง “พี่เตอร์ก็เลยไม่ลงเอยกับใครเสียที” มิวมิวหัวเราะในลำคอคิกคัก “มันไม่ใช่แบบนั้นมิวมิวก็รู้” คอปเตอร์หันไปหาน้องสาวต่างครอบครัวที่ยิ้มหวานเหมือนจะรู้ว่าจี้เขาถูกจุด “พูดไปก็ไม่น่าเชื่อนะ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบอย่างพี่เตอร์เนี่ยจะมีคนที่แอบรักแอบชอบอยู่ตั้งหลายปีแบบไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย” “พี่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นแล้วล่ะ” คอปเตอร์อมยิ้มและเหล่ตามองปฏิกิริยาน้องสาว หญิงสาวหยุดฝีเท้าลงปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าโดนน้ำทะเลซัดอยู่สองสามคราก่อนจะหันมามองหน้าคนที่เหมือนพี่ชายของเธอ “เฮ้ย!! จริงน่ะ อย่ามาอำนะ!!” มิวมิวยกมือขึ้นตบที่ไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ คอปเตอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนปนเขินอาย คิดถึงเรื่องนี้ในใจ แล้ว มันทำให้เห็นภาพย้อนอดีตไปสมัยที่คอปเตอร์เจอกับมิวมิว ช่วงที่รู้ว่าแม่ของตนเองจะจับคู่ให้กับน้องสาวคนนี้ที่เคยเล่นหัวกันตั้งแต่สมัยเด็ก เขาสารภาพหมดเปลือกว่าเขาพบความรักแล้ว และอยากจะใช้ชีวิตกับคนๆ มาตลอด จนเสมือนว่ามิวมิวคือคลังกักเก็บความหมกหมุ่นที่มีต่อวินอย่างโงหัวไม่ขึ้น มิวมิวเป็นน้องสาวที่น่ารักที่เก็บความลับให้เขามาตลอดหลายปี มันยิ่งทำให้ที่สองคนสนิทกัน และแน่นอน…. มิวมิวเองก็มีความลับที่แบ่งปันแลกเปลี่ยนกับคอปเตอร์คนที่เสมือนเป็นพี่ชายกับเขาไม่น้อยเช่นกัน “ว้ายๆๆๆ เล่ามา!! ด่วนๆ คะ” “ต่อให้ไม่บอกก็จะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว!!” แล้วคอปเตอร์ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับมิวมิวฟังอย่างหมดเปลือก ตั้งแต่เจอกันบังเอิญที่ฝึกงาน จนถึงปัจจุบันที่พามาเที่ยวหัวหินด้วย “โรแมนติก ฝันที่เป็นจริง!! แล้วทำไมไม่พามาพี่สะใภ้มาด้วย” มิวมิวทำท่าทางกระตือรือร้นตื่นเต้น “ไม่น่าถามนะ“ ”อ้อ! แม่พี่ ตัดทางสาววายชะมัด!!” “แล้วเธอล่ะ จะเอาไง? บอกแม่ไปหรือยัง?” “บอกเรื่อง ไอ้เจ้าตี้ไง” “ยังดีกว่าคะ น่าจะยาว อย่าเพิ่งเพิ่มปัญหาเลยคะ รอเรียนจบก่อนดีกว่า” “น้าแหม่มจะรู้ไหมนะว่า ชายตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักๆ ที่ชื่อตี้ ที่ไม่ได้มาจาก ‘ตี่ตี้’ ที่แปลว่าน้องชาย แต่ย่อมาจากคำว่า ‘บิวตี้‘ น่ะ” พูดมาถึงท้ายประโยคคอปเตอร์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องยังไม่ทันตกลงเป็นแฟนกับตี้เลยนะ” “แต่ก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ?” “มันก็ดี คือ ทุกอย่างมันได้อย่างที่ใจอยากได้เลย หล่อน่ารัก ตัวเล็กผิวขาว สะอาด ดูแลดี เอาใจใส่ เข้าใจหัวอกผู้หญิง” มิวมิวพูดพลางแก้มแดงไปพลาง “จะไม่ให้รู้ใจผู้หญิงได้ใจก็นั่นก็ผู้หญิง! แอบแปลกใจนะที่คนเพื่อนเยอะอย่างเธอไม่รู้แต่แรกว่านั่นทอม!!” “สมัยนี้ดูยากจะตายคะ ขนาดผู้ชายยังหน้าสวยกว่ามิวมิวเยอะแยะไป!!” “อ่ะๆ ไม่ล้อแล้วเดี๋ยวจะร้องไห้เหมือนคราวที่แล้วอีก เอาเป็นว่า พี่ฝากไว้ให้คิดก็แล้วกัน เหมือนที่พี่คิดได้ หากได้รักใครแล้ว เพศมันก็ไม่สำคัญหรอกนะ รู้ไหม? หากลังเล ระวังเป็นแบบพี่นะ!!” คอปเตอร์พูดจบก็ยกมือขึ้นลูบหัวคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวคนเล็กของเขาเอง “เฮ้อ…… งั้นรีบไปกินข้าว แล้วพยายามปฏิเสธแม่ของพี่เรื่องหมั้นหมายเราสองคนกันเถอะ รีบๆ ทำให้มันจบๆ ไปเหมือนทุกทีนั่นแหละ” มิวมิวผ่อนลมหายใจออกยาว และแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่ชอบอย่างชัดเจน คอปเตอร์ยิ้มอ่อนแล้วพยักหน้าเห็นด้วยพลางมองออกไปยังทิวทัศน์ท้องทะเลยามพลบค่ำที่สงบและเย็นสบาย และภาวนาให้เรื่องวันนี้จบลงด้วยดีเหมือนทุกครั้ง หวังว่าน้าแหม่มจะยังไม่เปลี่ยนใจนะ’ คอปเตอร์คิดในใจ …………….
:jul3: :laugh:
หลังจากการปั้นหน้าทำหน้าที่ลูกชายที่ดีบนโต๊ะอาหาร และพยายามปฏิเสธการจับคู่อย่างสุภาพ พร้อมกับน้องสาวมิวมิวที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาเป็นระยะ ๆ วันนี้คุณแม่รุกหนักมากกว่าปกติมาก ชงเข้าเรื่องงานหมั้นหมายอย่างโจ่งแจ้งกว่าที่ผ่านมามาก โชคดีที่น้าแหม่มยังคงรักษาท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนเดิม และพูดด้วยประโยคเดิมที่คุ้นหู “เรื่องงานหมั้นหมาย งานแต่ง มันต้องแล้วแต่คนแต่งสิเธอ เธอน่าจะรู้ดีนะ!!” ซึ่งเป็นประโยคเด็ดที่ทุกครั้งที่น้าแหม่มพูด คุณแม่ก็จะอึ้งไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องและหาวิธีวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง คอปเตอร์รู้สึกเหนื่อยอ่อนกว่าทุกครั้ง เช่นเดียวกับน้องมิวมิว ที่ส่งข้อความมาหลังจากแยกย้ายจากกันว่า “เริ่มไม่ไหวแล้วนะพี่ เมื่อไหร่หยุดใส่พานให้พี่มาเป็นสามีน้องเสียที ขนลุกจะแย่อยู่แล้ว ใครจะไปอยากได้พี่ชายตัวเองเป็นสามีน่ะ!!” คอปเตอร์อ่านแล้วก็แอบยิ้มออกมาไม่ให้แม่เห็น เมื่อรถจอดสนิทที่ลานจอดหน้าบ้านพักตากอากาศ คอปเตอร์รีบกระโดดลงจากรถทันทีโดยที่ไม่ได้ฟังเสียงของคุณแม่ที่เรียกให้ไปหาเลย เพราะตอนนี้เขาคิดถึงอ้อมกอดของคน ๆ หนึ่งมาก ๆอยาก กอดให้หายเครียด หายเกร็งเสียหน่อย แต่สิ่งแรกที่เขาเจอที่ห้องรับแขกคือ น่ายุพิน ผู้ช่วยคนสนิทของประธานบริษัทสาว เธอนั่งทำหน้าเคร่งเครียดและโขลกนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตรงหน้าอย่างมีสมาธิ เพียงแค่เห็นคนตรงหน้า คอปเตอร์ก็รู้สึกไม่สบายใจเสียแล้ว เพราะการที่คน ๆ นี้ อยู่ตรงนี้ ในเวลาแบบนี้ มันน่าสงสัยเกินไป แต่เขาไม่มีเวลาคิดแล้ว คอปเตอร์เร่งฝีเท้าพุ่งทะยานเข้าไปในตัวบ้านและวิ่งขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะเหลือแต่เสียงลมทิ้งไว้ คอปเตอร์ ผลักประตูห้องกว้างออกภายในห้องมีเพียงความมืดและความเงียบงัน ผ้าม่านที่มัดผูกไว้ชิดขอบแต่ละมุมอย่างเรียบร้อย ทำให้แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสั่งทำพิเศษให้คงดีไซน์ดั้งเดิมไว้อย่างลงตัว แสงอ่อนนวลเหล่านั้นยิ่งขับให้ห้องดูเหงาหงอยมากขึ้น คอปเตอร์คลิกเปิดสวิตช์ไฟเพดานให้สว่างยิ่งทำให้เห็นถึงความว่างเปล่าภายในห้อง ทุกอย่างถูกจัดเก็บเรียบร้อยเสมือนภาพห้องรกๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝัน ชายหนุ่มที่เลือดลมพลุกพล่านจนเดือดไปทั้งหน้าขว้างกระเป๋าสะพายใบเล็กลงเตียงอย่างสุดแรง คนที่เขาโหยหามาตลอด สองสามชั่วโมงที่ผ่านมาหายไปไหนอย่างไร้ร่องรอย เขาเดือดดาลโทสะวิ่งลงจากชั้นสองของบ้านลงไปหาผู้ช่วยคนสำคัญของแม่ เพื่อถามหาคนรักตัวเองทันที ในขณะที่น้ายุพินจิบชาร้อนอย่างใจเย็น กลิ่นหอมของชาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเย็นลงเลย กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเร่งเร้าให้ได้คำตอบมากกว่าเดิม “คุณคอปเตอร์ หาทั่วแล้วเหรอ?” น้ายุพินตอบกลับมาอย่างใจเย็น “คนนะ ไม่ใช่เข็ม ที่มันตกอยู่ในห้องแล้วจะมองไม่เห็น!!” คำถามยิ่งทำให้คอปเตอร์หงุดหงิดมากกว่าเดิม คนเป็นแม่เดินมาจากสวนข้างบ้าน แล้วมานั่งฝั่งตรงข้ามกับน้ายุพินอย่างใจเย็น แล้วก็ถามคำถามเดียวกัน คอปเตอร์เหมือนนึกอะไรออกจึงเร่งก้าวเท้าออกจากบ้านไปทางสวนข้างบ้านที่มีศาลาทรงโบราณตั้งอยู่ หลังจากเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นคนที่เขาตามหานั่งอยู่อย่างเหม่อลอย “ทำไมมานั่งตากลมเย็นๆ ตรงนี้!!” คอปเตอร์กล่าวกับคนที่นั่งเหม่อลอยด้วยความเป็นห่วง “อ้าว!! กลับมาแล้วหรือ?” วินหันมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความกังวลจนเขารู้สึกได้ …………..
บทที่ 15 Enigma ท่ามกลางสายลมที่พัดโบกกระหน่ำเข้าฝั่ง ปะปนไปด้วยความชื้นและกลิ่นเกลือของทะเล เวลาที่คล้อยดึกยิ่งทำให้ลมเย็นขึ้นจับใจ ผมนั่งมองริ้วคลื่นที่สะท้อนแสงจันทร์ข้างขึ้นพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน หลังจากที่คอปเตอร์ออกจากที่พักเพื่อไปกินมื้อค่ำกับเพื่อนของแม่ของเขาในลักษณะเชิงบังคับไปได้สักพัก ผมที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า จึงได้ตัดสินใจแต่งตัวไปเดินเล่นริมชายหาดฆ่าเวลา เผื่อจะได้ภาพทะเลสวยๆ เก็บไว้ในความทรงจำ ระหว่างทางที่ผมกำลังจะออกจากบ้านในยามสนทยา ป้าขวัญรีบวิ่งเข้ามาทักผมเพื่อบอกว่าได้เตรียมมื้อเย็นไว้ให้แล้ว หากหิวแล้วก็สามารถมาแจ้งป้าเพื่อจัดเตรียมสำรับไว้ที่โต๊ะได้เลย ป้าขวัญมีท่าทีน่ารักมากเพราะพูดไปก็หอบหายใจไปด้วยอย่างทุลักทุเล ผมจึงตัดสินใจบอกป้าขวัญไปว่าจะจัดการเรื่องมื้อเย็นเอง แค่บอกที่เก็บอาหารก็พอ ผมสามารถดูแลตัวเองได้ เรื่องอุ่นอาหาร เพื่อรับประทานผมทำเองจนเคยชิน คุณป้าขวัญแสดงออกถึงความไม่สบายใจที่จะให้ผมจัดการเรื่องเตรียมสำรับมื้อเย็นเอง คงเป็นเพราะถูกกำชับจากคอปเตอร์ให้เตรียมเรื่องนี้ให้เรียบร้อย กว่าที่ผมจะกล่อมให้ป้าขวัญแกยอมปล่อยวางได้ผมก็ใช้เวลาไปจนแสงแดดยามเย็นใกล้จะหมดลงที่ขอบฟ้า ผมตัดสินใจเดินรับลมไปพลาง ให้เท้าได้สัมผัสกับคลื่นทะเลไปพลางจนกระทั้งแสงหมดจากขอบฟ้า โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายรูปได้ดี แต่มีปัญหากับการถ่ายในที่มืดพอควร ผมจึงตัดสินใจกลับไปที่พัก กว่าที่ผมจะเดินถึงบ้านก็ใช้เวลาไปมากโข ทำให้รู้ว่าตัวเองน่าจะเดินเพลินไปหน่อย หลังจากมาถึงตัวบ้าน ผมพบว่าภายในตัวบ้านสว่างไสวมากกว่าปกติ ผมทึกทักในใจคาดว่าคอปเตอร์น่าจะกลับถึงบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อคิดแบบนี้แล้วรู้สึกตื่นเต้นดีใจแบบแปลก ๆ นี่เราติดเขามากกว่าที่คิดหรือนี่?!? ห่างกันเพียงแต่นี้ก็รู้สึกคิดถึงเสียแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงพยายามจะเว้นระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาได้ไกลขนาดนี้ ผมเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านที่ตอนนี้มีคนที่หน้าตาคุ้นหน้านั่งอยู่ หญิงวัยกลางคนที่ตัดผมประบ่าเส้นตรงเรียงตัวสวยเสมอกันแทบจะทุกเส้น เธอนั่งขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองอย่างมีสมาธิ เธอแทบไม่หันมาหาผมที่เดินเข้ามาในพื้นที่เลย จนกระทั้งป้าขวัญเดินมาพบผมและเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะกับหญิงคนนั้น “สวัสดีครับคุณยุพิน” ผมทักคนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างสุภาพ “เรียกน้ายุพินเหมือนคุณคอปเตอร์ก็ได้คะ” เธอยิ้มตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศต่างจากที่เคยเจอที่ทำงานก่อนหน้านี้มาก “เดี๋ยวป้าไปอุ่นกับข้าวมาให้กินนะ รอสักครู่นะคะ” ป้าขวัญแทรกขึ้นมาเพื่อขอตัว ผมกับน้ายุพินตอบรับพร้อมกันอย่างที่ไม่ได้นัดหมาย หลังจากยิ้มให้กันแก้เขิน น้ายุพินก็เอ่ยขึ้นก่อนอย่างจงใจ “แปลกนะ ที่คนอย่างคอปเตอร์จะพาใครมาบ้านหลังนี้” “แปลกยังไงครับ?” ผมคิ้วขมวดตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ก็….คอปเตอร์ แทบไม่เคยมาค้างที่นี่คนเดียวเลย หากไม่ได้มากับครอบครัวน่ะ หมายถึงถูกบังคับให้มาน่ะ” ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจกับประโยคพวกนั้น เพราะทุกครั้งที่คอปเตอร์พูดถึงบ้านหลังนี้ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง “บ้านหลังนี้มันมีความทรงจำเยอะแยะไปหมด” น้ายุพินพูดพลางมองไปรอบ ๆ ผมได้แต่ตอบรับและเก็บความสงสัยในใจ เพราะบ้านหลังเก่าแบบนี้ ที่คนในบ้านโตมากับบ้านหลังนี้ มันก็ต้องมีความทรงจำมากมายก็ไม่แปลก “ครอบครัวนี้ คงชอบถ่ายรูปมากเลยนะครับ ผมเห็นมีรูปครอบครัวอยู่เต็มบ้าน สมัยเด็กๆ นี่คอปเตอร์ มันก็เป็นเด็กยักษ์แบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ แต่แปลกนะครับ ผมไม่เห็นรูปพี่ร็อคเก็ตเลยครับ” “…….นี่…คอปเตอร์ยัง……..อืม…. ช่างมันเถอะ ตอนเด็กเขาอยู่บ้านกันคนละหลังน่ะ” น้ายุพินนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบคำถามอย่างไม่ปกติ ผมรู้สึกถึงปัญหาครอบครัวจึงตัดสินใจไม่ถามต่อ ระหว่างนี้ป้าขวัญก็ทยอยนำกับข้าวมาวาง ผมจึงตัดสินใจเริ่มมื้อเย็นดีกว่า ระหว่างที่รับประทานอาหารร่วมกัน น้ายุพินพยายามชวนผมคุยสัพเพเหระ โดนเฉพาะเรื่องที่บ้านของผม จนกระทั้งมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคอปเตอร์ ทำให้ผมคิดเดาประโยคถัดๆ ไปออก “รู้ใช่ไหมว่าคุณผู้หญิงเขาไม่ปลื้มวินเสียเท่าไหร่ หมายถึงเรื่องที่มาเป็นแฟนคอปเตอร์น่ะ แต่เรื่องอื่นเท่าที่สืบมาก็ไม่ติดใจอะไร” โห…. ถึงขั้นสืบกันเลย!! “ครับ สังเกตจากหลายๆ อย่างก็พอจะทราบ” “แล้วรู้ใช่ไหมว่า หากเป็นแบบนี้ต่อไป เรื่องของเธอสองคนคงไม่สมหวังหรอก น้ารู้จักคุณผู้หญิงดี เธอไม่เคยทำอะไรไม่สำเร็จ!!” “ผมไมเข้าใจครับว่าทำไม? ในเมื่อพี่ร็อคเก็ตก็….” “มันไม่เหมือนกัน สถานะของสองคนนั้นมันไม่เหมือนกัน!!” น้ายุพินพูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง ผมอึ้งกับท่าทีของหญิงที่สุขุมมาตลอดตรงหน้า “เธอยังไม่ต้องเข้าใจอะไรหรอก รู้แต่ว่าคอปเตอร์จะต้องสืบทอดบริษัทก็พอ!!” ยิ่งพูดผมยิ่งไม่เข้าใจ ผมนิ่งอึ้ง ไปพักใหญ่ และตอบกลับฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้างุนงง “น้าขอโทษนะ แต่น้าไม่รู่ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน คุณผู้หญิงเองก็มีความตั้งใจแบบนั้น แต่อาจจะเป็นคนตรงไปตรงมามากไปหน่อย อารมณ์ร้อนไปนิดก็เลยได้ผลตรงกันข้ามมาตลอด” “ผมว่าคุยกับคอปเตอร์ดีๆ คงจะเข้าใจนะครับ หลังจากที่สนิทกันผมจึงได้คิดว่าตัวคอปเตอร์ก็เป็นคนฉลาดมีเหตุมีผล” “ใช่ น้ารู้ แต่เขาใช้ใจนำทางมากไปหน่อย…. ไม่เหมือนกับแม่ของเขาเลย…..” “งั้นพวกเราลองจับให้แม่ลูกคุยกันดี ๆ น่าจะเข้าใจกัน ดีไหมครับ?” “มันจะเป็นไปได้ยังไง?” น้ายุพินขมวดคิ้ว “ได้สิครับ!!” ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “อ้อ……” น้ายุพินคล้ายคิดอะไรออกแต่กลับมีท่าทีอึดอัดที่จะพูด “เฮ้อ……. เอาเป็นว่า คุณผู้หญิงต้องการสร้างโปรไฟล์ให้กับคุณคอปเตอร์ ถึงได้พยายามทุกวิถีทางให้คุณคอปเตอร์เป็นที่ยอมรับ ทั้งเรื่องที่บังคับให้ไปฝึกงานตามแผนกต่างๆ แทนการไปเที่ยวท่องต่างแดน ทั้งวางแผนจะให้ไปเรียนต่อเมืองนอก ทั้งเรื่องคู่ครองที่เป็นที่ยอมรับ มั่งหมดก็เพื่อให้ทุกคนในกรรมการบริหารที่เป็นเครือญาติยอมรับ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่วินรู้นั่นล่ะว่า ยังไงคุณร็อคเก็ต ที่คุณผู้ชายหนุนหลังอยู่นั้นภาพลักษณ์ดีกว่ามาก” น้ายุพินร่ายยาวเหมือนปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาในใจอยู่นาน แต่สำหรับผมนั้น ประโยคเหล่านั้นมันมีความนัยซ่อนอยู่มากมาย ทั้งเรื่องที่คอปเตอร์โดนบังคับให้ฝึกงาน แลกกับการไปเที่ยวต่างประเทศ เรื่องเรียนต่อ เรื่องคู่ครองคู่หมาย และมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่เคยคุยกัน “เอาเป็นว่าสิ่งที่คุณนายเลือก คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะรักษาบริษัทไว้ให้คุณคอปเตอร์!!” “ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาเลยนี่นะครับ” “เธอไม่รู้เรื่องทั้งหมด เธอไม่เข้าใจหรอก!!” “เรื่องของบริษัทนี้ผมรู้อยู่แล้ว ผมศึกษาก่อนมาฝึกงานที่นี่!!” “นั่นก็แค่เรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้น!!” “ผมว่ามันไม่ซับซ้อนนะครับ เรื่องก็แค่คุณชาญ คุญปู่ของคอปเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากกับธุรกิจอสังหาฯ จนเติบโตและหันมาจับธุรกิจมีเดียและเทคโนโลยี และตอนนี้คือมีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมากมายในรุ่นลูกก็คือคุณแม่ของคอปเตอร์” “ก็ไม่ได้ผิด แต่ก็ไม่ได้ถูกไปเสียทั้งหมด!!” “ผมรู้นะว่าครอบครัวตระกูลนี้น่ะเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้นอาจมีเรื่องแย่งชิงกันบ้างในหมู่ญาติพี่น้องแต่สุดท้ายคุณแม่ก็ยังคงรักษาอำนาจมาได้จนถึงปัจจุบัน” “เฮ้อ…เธอไม่เข้าใจหรอก เธอยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ น้าขอร้องได้ไหม? น้าว่าวินพูดเอง คอปเตอร์น่าจะเข้าใจและยอมทุกอย่าง” “ถ้าเป็นเรื่องสืบทอดธุรกิจ ผมว่าน่าจะลองพูดให้ได้ ผมว่าเขาเป็นคนฉลาดแล้วก็เก่งมากๆ น่าจะทำได้อยู่แล้ว มันคงอยู่ในสายเลือด….” ระหว่างที่ผมหยุดพักเพื่อทบทวน น้ายุพินก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย “เรื่องเรียนต่อ ผมว่าน่าจะไม่ติดอะไร เขาคงอยากไป ห่างกันไม่กี่ปี ผมไม่คิดมากหรอกหากเป็นเรื่องอนาคตของเขา…” พูดถึงตรงนี้ผมก็หยุดคิดไปพักใหญ่ “เรื่องหมั้นหมาย ผมคง……” ในอกมันเจ็บแปลบไปหมด “ได้ไหม? เรื่องนี้ก็สำคัญกับบริษัทนะ การที่….. น้าเข้าใจโลกในปัจจุบันนะ แต่ผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ย พวกไดโนเสาร์ในคณะกรรมการบริษัทคงไม่เข้าใจ การที่พวกไดโนเสาร์เข้ามามีบทบาทในบริษัทมากขึ้น ไม่เป็นผลดีกับใครเลย โดยเฉพาะพนักงาน และหลักการในการบริหารที่ผ่านมาก็จะหายไปเหลือพวกหวังผลกำไรโดยทำนาบนหลังคน!!” “ผมคง….ให้…คอปเตอร์เขาเลือก…” “เขาเลือกเธออยู่แล้ว นอกจากเธอจะถอยไป!! ยังไม่ใช่เวลานี้ก็ได้ แต่ต้องมีสักวัน เข้าใจน้าใช่ไหม?!?” ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งกำช้อนในมือแน่น ดวงตาร้อนผ่าวไปหมด ในหัวคิดอะไรไปร้อยแปด “ถึงไม่ตัดสินใจ อย่างไรคูณผู้หญิงก็จะมีวิธีทำให้เธอตัดสินใจ!!” น้ายุพินพูดหนักแน่น หลังจากที่น้ายุพินที่โพล่งพูดอะไรออกมามากมาย หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งกินมื้อเย็นและกลับมาอยู่กับความคิดของตนเองจนอิ่ม และต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ……….
:katai1: :katai5:
ศาลาใกล้ชายหาดเป็นสถานที่ที่ผมเลือกลงหลักเพื่อนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ได้ยินมา สิ่งที่ผมรู้มากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า มันทำให้ผมจนด้วยปัญญา ที่ผ่านมาผมพยายามผลักดันตัวเองตั้งแต่ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ก้นลึกสุดในสายน้ำที่มีแต่โคลนตม พยายามพัฒนาจนเติบโตเป็นบัวที่ปริ่มผิวน้ำ ผมไม่เคยย่อท้อเลย แต่เรื่องในครั้งนี้มันเกินมือไปมาก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว ผมนั่งมองคลื่นที่ดำทมิฬซัดเข้าฝั่งภายใต้แสงจันทร์สีขาวนวลสลัว ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั้งมือเย็นเยียบมาสัมผัสที่แก้มของผมจนหลุดจากภวังค์ คอปเตอร์ เดินเข้ามานั่งข้างๆ อย่างกระตือรือร้น เขากอดผมจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างเราสองคน “โอ้ยหายใจไม่ออก!!” “กอดๆ นะ จะได้หายเครียด” นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? ผมตกใจพลางปั้นหน้าโกรธ “อย่ามาทำเป็นรู้ดี!!” “รู้สิ เราหายไปนาน คงคิดถึงกันล่ะสิ!!” ผมรู้สึกปวดใจกับคนที่ไม่ได้สนโลกคนนี้ “ถามจริงว่าคิดได้เท่านี้??” “คนรักกัน มันก็คิดได้แค่นี้!!” “หลงตัวเอง” ผมสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนคอปเตอร์สุดแรง “แล้วเป็นอะไรล่ะเนี่ย เมื่อสักครู่ก็เรียกอยู่พักใหญ่ก็มัวแต่เหม่อลอย” เสียงของคอปเตอร์เข้าโหมดจริงจังเสียอย่างนั้น “ไม่มีอะไร” ผมพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายเพราะคิดว่ามองตาฝ่ายตรงข้ามพร้อมตอบคำถามไปด้วย ผมคงตอบด้วยเสียงที่ไร้กังวลไม่ได้ และผมก็ทำได้ดี “เรื่องหนึ่งที่นายไม่เก่งเลยก็คือเวลาโกหก นั่นแหละ!” คอปเตอร์จับผมหันไปหาเขาและจ้องตาเขม็ง ผมไม่ได้ตอบอะไร ผมมองหน้าเขานิ่งและสะกดอารมณ์ตัวเองให้ไม่คิดมากเรื่องอะไร แต่มันยากเสียเหลือเกิน ในใจผมตอนนี้เหมือนมีเข็มนับพันจิ้มแทงไม่หยุด “นั่นไง!!” คอปเตอร์จ้องเข้าไปในดวงตาผม และเหมือนผมได้บอกเขาทุกอย่างผ่านดวงตาของตนเอง “ความจริง….. วินไม่ต้องบอกอะไร เราก็พอจะรู้เรื่อง เพราะคนที่โกหกไม่เก่งอีกคนก็น้ายุพินนี่แหละ คนๆ นี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของคุณแม่” `เป้าหมาย?’ ผมคิดสงสัยในใจ คอปเตอร์ยังคงมองผมอยู่ด้วยสายตาอันชาญฉลาด เหมือนเขาจะรู้สิ่งที่ผมคิดและตอบกลับมาแทบจะทันที “ปกติเราจะแกล้งโง่ และหลบหนีความจริงมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เราไม่ไหวแล้ว มันเกินไปจริงๆ” พูดจบคอปเตอร์ก็ปล่อยตัวผมและตรงดิ่งเข้าบ้านทันที ผมรีบเดินตามไปทันทีเพราะลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง “คุณภัสสร!!” คอปเตอร์เดินเข้าไปหาแม่ตัวเองแต่กลับเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายแทนสรรพนาม “แม่ไม่มีเวลามาเล่นด้วยนะ ไปพักผ่อนได้แล้วไป!!” คุณผู้หญิงของบ้านนิ่วหน้าพลางโบกมือไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ ไม่นานคุณน้ายุพิน ผู้ช่วยคนสนิทก็วางเอกสารไว้ตรงหน้าหนึ่งกอง พร้อมวางปากกาสุดหรูเปร่งประกายให้เจ้านายตนเองลงนาม “อย่ามาทำตัวเป็นแม่ให้มันมากนัก อย่ามาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผม!!” การกระทำของอีกฝ่ายเหมือนยิ่งไปยั่งยุคแม่ของคอปเตอร์มากกว่าเดิม “ก็ฉันเป็นแม่เธอไง จะไม่ให้ทำตัวเป็นแม่ได้ยังไง” รู้สึกเหมือนคำพูดของคอปเตอร์น่าจะไปแตะเกร็ดย้อนของนางพญาเข้าทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “เหมือน! แต่ไม่ใช่!!” คอปเตอร์สวนกลับทันที คุณแม่ของเขากุมศรีษะและผ่อนผมหายใจออกอย่างหนักหน่วง “เพราะเด็กคนนี้ใช่ไหม? ที่ทำให้เตอร์เป็นแบบนี้ เตอร์ไม่เคยเถียงแม่ขนาดนี้” “ผมทำตัวว่าง่ายมาโดยตลอดเพราะ…. ความเป็นแม่ของคุณ!! แต่เรื่องนี้ ผมไม่โอเค!! ผมรักวิน ผมจะอยู่กับวิน!!” “กับไอ้แค่แฟนคนเดียว แกจะทิ้งทุกอย่างที่แม่เธอสร้างมันขึ้นมาเพื่อแกหรือไง!!” “ก็มีพี่ร็อคเก็ตอยู่แล้วไง ทำไมต้องเป็นผม!!” “พี่ชายแกมันก็แค่ลูกของพ่อ เขาไม่เคยเถียงพ่อสักคำ คิดหรือว่าจะบริหารได้ดี ไม่นานทุกอย่างคงตกไปเป็นของพ่อ!!” ผมที่ยืนฟังอยู่ก็งงกับครอบครัวนี้ เขาคุยกันเรื่องอะไร ทำไมเหมือนทำตัวเป็นคนอื่นคนไกลกัน!! “แม่พยายามทุกวิธีทางไม่ให้บริษัทไปตกอยู่ในมือของพ่อแก และตระกูลนั้น!! แม่ทำแบบนี้เพื่อบริษัทที่ปู่ลูกสร้างมากับมือ!!” “เขาไม่ใช่พ่อของผม และเขาไม่มีสิทธิ์ได้อะไรจากบริษัทนี้แม้แต่บาทเดียว!!” “นั่นไง นี่คือสิ่งที่แม่พยายามอยู่!!” “แต่สิ่งที่แม่ทำมันผิด!!” “แล้วแกจะทำอะไร!! ความคิดตื้นๆ ของลูกมันเปลี่ยนแปลงที่นี่ไม่ได้!!” “เริ่มจากคุณเลิกทำตัวเป็นแม่ผมเสียที!! ผมมีวิธีของผม!!” คุณผู้หญิงของบริษัทที่แข็งแกร่งกลับมีน้ำตานองหน้าจนแทบรักษาความสุขุมไม่อยู่ จนกระทั่งหน้ายุพินมาประคองไว้ “คุณคอปเตอร์!! ใจร้ายเกินไปแล้วนะ ที่คุณผู้หญิงทำมาทั้งหมดก็เพราะหวังดีนะคะ อยากให้บริษัทนี้เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของคุณนะ!!” “ก็เพราะบริษัทนี่แหละ มันถึงพรากคนสำคัญของผมไป ทำไมผมต้องใจดีมันด้วย!! ก็คุณสามีของคุณอยากได้มันไป ก็ให้มันไปเลยสิ ยังไงก็ครอบครัวเดียวกันนี่!!” เพี๊ยะ!! “เลิกทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจเสียที แม่น่ะทำทุกอย่างเพื่อนลูกนะ!!” “คุณไม่ใช่แม่ของผม!!” แล้วคอปเตอร์ก็เดินจากไปดุจพายุโหม ที่พัดพาทุกอย่างในบ้านเสียหายโดยเฉพาะหัวใจของคนเป็นแม่ตรงหน้า ผมที่ยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สามารถบรรเทาสถานการณ์อะไรแบบนี้ได้เลย สิ่งที่เขาพูดคุยกันมันทำให้สับสนไปหมด คนอะไรว่ะ ที่โกรธขนาดตัดแม่ตัดลูกกันได้ ซึ่งผมไม่อยากเป็นตัวต้นเหตุเลย ผมมองภาพคนที่เดินกระแทกเท้าเดินออกจากบ้าน กับคนที่กุมหน้าผากน้ำตานองหน้าสลับกันไปมาด้วยความสับสน จนกระทั่งน้ายุพินที่น่าจะเข้มแข็งที่สุด ณ ที่นี้ เป็นคนพยักหน้าให้ผมตามคอปเตอร์ออกไป ผมพยักหน้าตอบรับและตัดสินใจเดินตามออกไปทันที ………. ผมวิ่งตามหาอยู่พักใหญ่ วิ่งลัดเลาะชายหาดที่ยาวเกินกว่าที่จะวัดได้ด้วยสายตา ผมไม่ได้หันกลับไปมองที่ต้นทางที่ผมจากมา ในใจเต็มไปด้วยความกังวลว่า คอปเตอร์จะไปอยู่ที่ไหน ด้วยความคิดแปลกๆ อย่างสุดโต่งของคนๆ หนึ่ง ทำให้มีความเป็นไปได้นับอนันต์ หลังจากที่ใช้เท้าจ้วงทรายจนเจ็บไปหมด เหงื่อไหลจนลมทะเลทำให้แห้งไม่ทัน บวกกับมื้อเย็นที่แทบไม่ได้แตะอะไรเข้าปากเลย ผมเลยรู้วิงเวียน และหายใจกระชั้นถี่จนแทบควบคุมไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เท้าของผมมันก็ก้าวเดินต่อไปแม้จะแทบไร้เรี่ยวแรง สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดในยามนี้ได้แต่คอยมองทะเลและชายหาดเบื้องหน้าเผื่อว่าจะเจอกับคนที่ผมตามหา แม้ว่าจะผ่านโรงแรม รีสอร์ตริมหาด ทั้งปาร์ตี้และคาเฟ่มากมายก็ไม่พบเลย ตอนนี้ผมทรุดตัวลงบนผืนทรายอย่างเหนื่อยล้า หัวเข่ากระแทกผืนทรายจนเจ็บไปหมด ตอนนี้ผมไร้เรี่ยวแรงจะยืนแล้ว ผมตัดสินใจนั่งพักตรงนี้ สูดอากาศเข้าให้เต็มปอดและให้ลมทะเลปะทะใบหน้าที่โชกเหงื่อเสียก่อน ค่อยเดินต่อไป “ไปอยู่ไหนของเขานะ…. คอปเตอร์!!!” ผมบ่นกับตัวเองพึมพำและเผลอเรียกชื่อเขาออกมาเสียดัง “ก็เดินตามมาอยู่นี่ไง!! วินนี่ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ น่ะว่าเดินตามหลังมาห่างๆ มองไปข้างหน้าอย่างเดียวจริงๆ สินะ นิสัยอย่างวินเนี่ย น่ารักจริงๆ” เสียคุ้นหูดังขึ้นในจังหวะที่มีอาการหอบเล็กๆ ในประโยค “ไอ้บ้า!! แล้วทำไมไม่เรียกวะ!! รู้ไหมว่าเป็นห่วง” “เราสิต้องถามว่าวิน เดินมาทำอะไรเสียไกลบ้านพักขนาดนี้!!” “ก็มาตามหาไอ้โง่ตัวหนึ่งที่ทะเลาะกับแม่ตัวเองแล้วเดินหนีมาไง!!” “นี่ไม่ได้เรียกหนี แต่เรียกว่าเดินมาตั้งหลัก…..อ่ะ…หนีก็หนี!!” หลังจากเจอสายตาของผมไป คอปเตอร์ก็เปลี่ยนคำพูด “แล้วมาอยู่ข้างหลังเราได้ยังไง?” “เราก็แค่เดินออกมาหลบในจุดประจำของเราน่ะ…ระงับอารมณ์ก่อนไปสู้กับเธอคนนั้นใหม่ จนกระทั่งเห็นวินเดินผ่านก็เลยเดินตามด้วยความสงสัย” “ไปหลบตรงไหนทำไมเราไม่เห็น?” ก็นั่งอยู่ข้างๆ รั่ว นั่นแหละ ทุกคนรู้ดีว่าเป็นที่สงบสติอารมณ์ของเรา!” “แต่เราไม่รู้ไง!!” “เออ นั่นสินะ” ผมผ่อนลมหายใจออก อ่อนใจกับบ้านหลังนี้จริงๆ “ทะเลาะกันยังไง เขาก็เป็นแม่นะ จะนิสัยหยาบคายยังไงก็ควรมีขอบเขตนะ!!” “ก็เธอไม่ใช่แม่จริงๆ!!” “เตอร์!!!” ผมขมวดคิ้วดุเขา เพราะผมไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้ของเขาเอาเสียเลย “ถามหน่อยนะ ว่าไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยมันสมควรไหม? วางแผนอะไรอยู่อีกหรือเปล่า? นี่เราไม่รู้เลยนะว่านายมีปุ่มสำนึกเสียใจไหม! หรือแค่เหลี่ยมไปวันๆ!!” ผมระบายสิ่งที่รู้สึกบวกกับความโกรธและเหนื่อยบวกเข้าไปอีก “……..” เป็นครั้งแรกที่คอปเตอร์เลือกที่นิ่งและมีสีหน้าคิดหนัก “รู้ไหมว่าเราเคยเจอกันมาก่อน” คอปเตอร์ทรุดลงนั่งกับพื้นทรายอย่างทิ้งตัว ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดเรื่องนี่ทำไม “มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็เราเรียนอยู่มัธยมปลายด้วยกัน” “ใช่…แต่นึกออกไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่?” “ก็….ก็ วันที่นายเปิดตัวกับแก๊งไอ้เข้ม ด้วยการมาแกล้งเราไง จำได้ดีเลย คนอะไรวะแรงเยอะฉิบหาย ผลักเราชนตู้ล็อกเกอร์แล้วแย่งกระเป๋าเราทิ้งลงสระน้ำว่ายน้ำน่ะ ใครจะไปลืม!!” นึกถึงตรงนี้ผมก็กำหมัดแน่นและพร้อมที่จะปล่อยลงพื้นที่ตรงไหนสักที่บนตัวต้นเหตุ “ไม่ใช่ๆ” คอปเตอร์คิ้วขมวดและแอบยกมุมปากยิ้ม “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนี้วะ” “เกี่ยวสิ!! หากนายจำได้ วินจะรู้สิ่งที่เราพูดถึงผู้หญิงคนนั้น!!” ผู้หญิงคนนั้น? คงจะหมายถึงแม่ตัวเองอีกล่ะสิทำไมถึงไม่รู้จักสำนึกเอาเสียบ้างวะ ผมกำหมดแน่นอีกครั้ง และส่ายหน้าใส่มันอย่างเคือง ๆ “ทุกเช้าใต้ต้นหูกวาง เราคุยกันแทบจะทุกวัน” คอปเตอร์ยิ้มมุมปากขณะพูดประโยคนี้เหมือนเขากำลังฝันดีถึงอะไรสักอย่างอยู่ แต่ประโยคเหล่านั้นก็ทำให้ผมฉุกคิดอะไรออก มันเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมจริง ๆ ในช่วงเข้ามัธยมปลายใหม่ๆ แล้วเค้าร่างของตนเองที่นั่งอยู่ใต้ต้นหูกวางท่ามกลางแสงแดดยามเช้าก็ปรากฏเข้ามาในสมอง “ใช่ๆ เคยเจอใครคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน เขามานั่งร้องไห้อยู่เป็นประจำใต้ต้นไม้แต่อีกด้านหนึ่ง…. เท่าที่นึกออกคือ…. เขาเสียทั้งพ่อและแม่ในอุบัติเหตุ!!” ผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วจ้องกลับไปที่คอปเตอร์ “กว่าจะจำกันได้เนอะ!!” คอปเตอร์ส่งรอยยิ้มบางให้กับผม ผมอึ้งนิ่งประมวลผลข้อมูลในสมองพักใหญ่แต่ไม่สามารถมีคำตอบได้ จึงทำได้เพียงจ้องหน้าคนตรงหน้าด้วยความสับสน หากเป็นในหนังสือการ์ตูน หัวของผมตอนนี้คงกำลังมีควันขึ้นโขมงอยู่ “เอาล่ะๆ เรื่องต่อจากนี้ นายไม่รู้ก็ไม่แปลก เรื่องมันนานมาแล้ว…. จะขอเล่าให้ฟังย่อๆ ก็แล้วกัน…..แต่จะนั่งคุยตรงนี้คงได้โดนยุงแมลงกัดต่อยน่ารำคาญ ไปหาที่นั่งคุยดีๆ เถอะ” คอปเตอร์พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินนำหน้าไปทันที ชายร่างสูงใหญ่เดินนำหน้าผมอย่างมุ่งมั่น เหมือนเขารู้จุดมุ่งหมาย ทั้งๆ ที่การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ ผมเดินตามอย่างกระหืดกระหอบจนกระทั่งเดินทางมาถึงที่พักลักษณะเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ มีความหรูหราในการตกแต่งด้วยสไตล์บาหลี ปลูกห้องพักไล่เรียงไปตามระดับความสูงของเนินริมหาด ประดับด้วยแสงไฟจากคบเพลิงขนาดย่อมตามทางเดินจำนวนมาก คอปเตอร์เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล และเดินไปทักผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งฟังเพลงบรรเลงบริเวณลอบบี้อย่างสบายใจ “น้าแหม่ม!! ขอรบกวนเหมือนเดิมครับ” คอปเตอร์ยกมือขึ้นไหว้ ก่อนที่จะพูดจบ “ทะเลาะกับแม่มาอีกล่ะสิ!! ฉันล่ะเบื่อจริงๆ แม่ลูกคู่นี้!!” “เขาไม่ใช่แม่ของผม!!” “เออๆ ฉันไม่พูดกับแกแล้ว เหนื่อย!! ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว คิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวก็มา!!” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจออกยาวอย่างหน่ายๆ คล้าย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น “แล้วนี้!” และแล้วสายตาคู่นั้นก็หันมาหาผมแล้วผายมือเอ่ยถาม “แฟนผม!!” “อ๋อ….มิน่าล่ะ ยัยน้องมันถึงได้ใจร้อน เพราะแบบนี้นี่เอง! ทำไมเป็นคนใจร้อนแบบนี้นะ มันมีวิธีตั้งแยอะเรื่องบริษัทเนี่ย หากเป็นยัยคนพี่…….” หญิงวัยกลางคนหยุดชะงักและหน้าถอดสี “น้าก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดนะ…. ไหนๆ น้าขอดูแฟนเตอร์หน่อย” หญิงวัยกลางคนพูดจบก็ลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมทำได้แค่พนมมือกล่าวคำสวัสดี “สวัสดีจ๊ะหลาน เรียกน้าแหม่มก็ได้นะ!! แหมๆๆ หลายน้ามันตาถึงนะ หน้าตาน่ารักจริงๆ สูง หุ่นดี ผิวพรรณดี สุภาพ แล้วก็มีท่าทีฉลาดสุขุมกว่าหลานน้าเยอะเลย!!” ใบหน้าของผมร้อนผ่าว ได้แต่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น “แอบด่าผมไหมเนี่ย!!” “มันจริงไหม? ลูกไปรักกับไอ้คนแบบนี้ได้ยังไง!” “เอ่อ…..” ผมพูดอะไรไม่ออกเลย “รักคนอื่นมากกว่าหลานตัวเองตลอด!!” “ก็เอ็งมันไม่น่ารักนี่หว่า น้ามีหลานชายเหมือนกัน เปลี่ยนใจไหมลูก ดีกว่าไอ้คนแบบนี้เป็นกอง!!” ผมยิ้มแห้งและตอบกลับไปว่า “แรกๆ ผมก็เกลียดนะครับ แต่พอมารู้จัก ผมก็ดันรักคนแบบนี้ไปเสียแล้ว” ทันทีที่จบประโยดผมถูกคอปเตอร์ดึงไปกอดไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก “เฮ้ยๆ ไปทำกันในห้องไป๊!!” “โอเค!!” “ฉันพูดเล่นยะ!! รีสอร์ทฉันไม่ใช่ม่านรูด!!” “ทำแบบนี้บ่อยเหรอ??” ผมแทรกหน้าขึ้นมาพูด “เปล่าๆ เราไม่เคยนะ ไม่มีๆ” “โถ่…. อยากเรียกมิวมิวมาดูเสือกลายเป็นแมวจังเลย” “น้าแหม่ม พูดอะไรให้เขาเข้าใจผิดเนี่ย!” “หายากนะที่คอปเตอร์จะกลัวจนลนลานแบบนี้” “ผมก็ยอมเขาคนเดียวนั่นแหละ!! รวมถึง…..” คอปเตอร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยประโยคถัดไป “เรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับครอบครัวของผมด้วย” “จริงจังเลยเหรอ??” น้าแหม่ม ทำสีหน้าจริงจัง “งั้นเดี๋ยวน้าเล่าให้ฟังเอง จะได้ครบถ้วนทุกเนื้อหา เพราะมีบางอย่างที่คอปเตอร์ก็ไม่มั่นใจใช่ไหม?” คอปเตอร์พยักหน้าแล้วกล่าวคำขอบคุณอย่างสุภาพ น้าแหม่มอมยิ้มเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่มาเปิด ใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอเลื่อนไปมาอยู่พักใหญ่ ก็แสดงภาพๆ หนึ่งให้ผมดู ในภาพประกอบด้วยหญิงสาวที่หน้าเหมือนคุณแม่ของคอปเตอร์แต่สาวกว่าและมีรอยยิ้มที่สวยกว่ามาก และเด็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่วนวิวทิวทัศน์เดาได้ว่าอยู่ที่ไหนสักแห่งที่สภาพเหมือนชายหาดหน้าบ้านพักที่เพิ่งเดินจากมา “คอปเตอร์และ…คุณแม่ของเขา?” ผมตอบเชิงคำถาม “ใช่นี่คือ แม่แท้ๆ ของคอปเตอร์!!” น้าแหม่มตอบเสียงเรียบซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ได้ทราบอะไรมากขึ้นเลย!! “เอ่อ…. แล้วภาพนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่ายังไงครับ?” ผมถามขึ้นหลังจากที่น้าแหม่มนิ่งไปพักใหญ่ “น้ากำลังคิดว่า…จะบอกวินยังไงให้เข้าใจง่ายๆ ก็เลยเอารูปนี้ให้ดู หากน้าจะบอกว่าง คนในรูปกับคนในบ้านหลังนั้นตอนนี้ ไม่ใช่คนๆ เดียวกันล่ะ” อันนี้ยิ่งงงมากขึ้นไปอีก!! ผมตอบกลับโดยการมองหน้าอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วตั้งคำถาม “คนที่อยู่ในบ้านพักนั้น คนที่เป็นเพื่อนสนิทของน้า จะบอกว่ายังไงดี จะบอกว่าน้าสนิทกับทั้งสองคนนั้นแหละ!! เพื่อนของน้าทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่พี่น้องธรรมดา!! พี่น้องฝาแฝดเลยเสียด้วย!!” หลังจากที่ผมฟังมาถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งคำพูดและการกระทำของคอปเตอร์ แต่ยังมีจิ๊กซอว์อีกหลายชิ้นที่ผมยังไม่เข้าใจ “เอ่อ…” ผมพยายามจะตั้งคำถามที่มากมายเอ่อล้นอยู่เต็มหัว “หากพอเข้าใจแล้วก็ง่าย น้าจะได้อธิบายต่อ รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายที่ทั้งสองถ่ายด้วยกัน ซึ่งน้าเป็นคนถ่ายให้เอง!! เป็นภาพก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้น…..” ความทั้งหมดก็เริ่มต้นที่ การมาทริปพักผ่อนกับครอบครัวคอปเตอร์ ถูกแทรกโดยการประชุมเร่งด่วนจากบริษัท สมัยนั้นการประชุมออนไลน์ ยังไม่ดีนัก ทำให้ต้องเร่งเดินทางกลับทันที คอปเตอร์ถูกฝากไว้กับน้าแหม่มที่มาเที่ยวด้วย เพราะต้องติดต่อทำธุรกิจรีสอร์ทที่นี่พอดี แม่ของคอปเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จึงอาสาที่จะมาช่วยด้วย และเป็นการพักผ่อนในตัว แต่สุดท้ายการเดินทางกลับในครั้งนั้นจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย ทั้งพ่อและแม่ของคอปเตอร์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเด็กชายคนหนึ่งรับไม่ทัน อยู่ๆ ภาระเรื่องบริษัททั้งหมดจะต้องตกเป็นของผู้เยาว์คนนี้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ น้องสาวฝาแฝดของคุณแม่ได้เข้ามาช่วยเหลือ และได้รับมอบหมายตามกฏหมายให้เป็นผู้ดูแลเรื่องการบริหารเอง จนกว่าคอปเตอร์จะบรรลุนิติภาวะและพร้อมที่จะเข้ามาบริหารต่อ เรื่องต่อจากนี้ค่อนข้างซับซ้อนเพราะน้องสาวของแม่ที่แต่งงานออกจากตระกูล ห่างหายจากงานบริหารบริษัทอยู่นานหลายปี จึงได้ให้สามีเข้ามาช่วยเหลืออยู่หลายอย่าง สามีของเธอที่เป็นเจ้าของเพียงบริษัทในเครือของบริษัทแม่ หวังที่จะรวบรวมอำนาจเพื่อเข้ามาควบคุมบริษัทใหญ่ จึงทำให้น้องสาวของแม่นั้นลำบากใจ และต่อสู้มาตลอด โชคดีที่ลูกชายคนเดียวของเธอ (ร็อคเก็ต) เป็นเด็กที่น่ารัก รักแม่ของตัวเองมาก จนน้าคิดว่ามากเกินไป เข้ามาช่วยบริหารจนสามารถขจัดอำนาจมืดของพ่อออกไปจากบริษัทใหญ่ไปได้! น้าแอบสงสารนะ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย แม่ชี้ให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น ทำงานหนักมากทั้งๆ ที่รู้ว่า สิ่งที่ทุ่มเทไป ไม่ใช่ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ! ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกเห็นใจและสงสารพี่ร็อคเก็ตจับใจ ในอกมันเคลื่อนตัววูบวาบจนไปถึงท้องน้อยจนรู้สึกไม่สบายตัว แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็น่าจะเป็นที่ต้องเห็นแม่ของตัวเองดูแลเจ้าคอปเตอร์ ไอ้เด็กเจ้าปัญหาเสียยิ่งกว่าลูกในไส้!! เธอรักพี่สาวมาก เห็นพี่สาวตัวเองเป็นไอดอล และเป็นเป้าหมายสำหรับชีวิตของตัวเองมาตลอด แม้ภายนอกดูเหมือนแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอรักพี่สาวของเธอมากนะ ก็ตอนที่เธอทราบข่าว เธอถึงขั้นล้มพับเข้าโรงพยาบาลตั้งสองวัน กว่าจะตั้งตัวได้ น้าต้องช่วยดูแลไอ้เด็กแสบนี่อยู่ตั้งหลายวัน!! น้าแค่อยากเล่าให้ฟังอีกว่า น้า…ไม่สิ แม่ของเธอน่ะรักเธอมากนะ! แต่เป็นคนแข็งแล้วก็หยาบกระด้างไปหน่อย!! “ทำไมเธอถึงได้ชอบนินทาคนอื่นรับหลังแบบนี้นะ!!” เสียงอ่อนใจดังขึ้นทางด้านหลัง ท่ามกลางความสงบเพราะทุกคนกำลังตั้งใจฟังน้าแหม่ม “แม่!!” คอปเตอร์ตกใจร้องลั่นเพราะไม่คิดว่าคนๆ นี้เดินทางมาถึงตรงนี้!! ผมแอบยิ้มกับเสียงร้องนั่น ผมว่าอย่างไรจิตใต้สำนึกของคอปเตอร์ก็คิดว่าคนๆ นี้เป็นแม่อยู่แน่ รักและนับถือว่าคือแม่คนหนึ่ง “ฉันไม่ได้อยากให้เธอมาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้คนอื่นฟังหรอกนะ!!” แม่ของคอปเตอร์พูดเสียงเข้มใส่เพื่อนสนิทตัวเอง อีกฝ่ายคงจะชินกับนิสัยแบบนี้จึงได้ไม่สนใจและยิ้มตอบไปพลางยักไหล่ “คนอื่นคนไกลที่ไหน คนกันเองทั้งนั้น!!” น้าแหม่มสวนออกไป “ฉันไม่มีเวลาทะเลาะกับเธอนะยัยแหม่ม!!” พูดจบก็เบือนหน้าจากน้าแหม่มและหันมาหาคอปเตอร์ทันที “กลับบ้าน!! มีอะไรก็ไปคุยกันที่บ้าน!!” คุณแม่เสียงดังลั่น โชคดีที่เวลานี้ ลูกน้องของน้าแหม่มที่รู้ความดีได้จัดการเรื่องคนออกจากพื้นที่เรียบร้อยแล้ว “ไม่!!! ผมจะคุยที่นี่” เสียงที่ดังไม่แพ้กันดังจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “เรื่องในครอบครัว แกจะคุยในที่มีคนอื่นอยู่เยอะแยะทำไม!!” “คนอื่น!!?? คนนี้ก็เพื่อนแม่ คนนี้ก็แฟนลูก คนอื่นยังไง!!” “ฉันไม่นับผู้ชายของเธอเป็นแฟน โลกจะเป็นยังไงฉันไม่สน ฉันไม่ยอมรับ!! เคยคิดบ้างไหมว่ามีแฟนแบบนั้นมันจะกระทบกับอะไรบ้าง ไอ้พวกกรรมการบริหารน่ะมีแต่พวกไฮยีน่า!! ทั้งน่ากลัวและน่ารังเกียจ!! เธอจะดูแลบริษัทของตัวเองยังไง!! คิดบ้างสิ!!” “ผมไม่สน!! ผมอุตส่าห์ถอยออกมาเพราะไม่ต้องการบริหารงานอะไรแบบนี้ และยิ่งรู้ว่าไอ้พวกไดโนเสาร์พวกนั้น มันจะมาโจมตีผมด้วยเรื่องแบบนี้ก็ช่างมันปะไร!?! ผมไม่สนใจ!! เชิญแม่ไปสู้รบตบมือกันเองเลย อยากลากผมไปเกี่ยวด้วย!!” “นี่ฉันทำเพื่อความสุขของแกนะ!!” “แม่ไม่รู้หรอกว่าความสุขของผมคืออะไร!!” “คอปเตอร์ ไม่รู้เหรอว่าแม่ทุ่มเทมากแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ กว่าที่จะมีวันนี้ วันที่แม่สามารถส่งต่อทุกอย่างของลูกคืนให้แก่ลูกได้ หากลูกโตกว่านี้ลูกจะรู้ว่าอะไรมันคือความสุขที่ได้มายืนตรงนี้!!” “นั่น!! เป็นความสุขของผมในความคิดของแม่ ไม่ได้เป็นความคิดของผม ผมมีความสุขเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนนั่นแบบไม่มีใครแบบแม่!!” “คอปเตอร์ น้าว่ามันแรงไปนะ” ขณะที่น้าแหม่มหันไปว่าตักเตือนคอปเตอร์ แต่เหมือนมีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวไปเร็วกว่า คือ ฝ่ามือของคุณแม่ เพี๊ยะ!!! เสียงฝ่ามือปะทะแก้มคอปเตอร์ ดังลั่นพื้นที่ หลกได้แม้แต่เสียงดนตรีเบาๆ ที่เปิดคลออยู่ “ลูกไม่รู้อะไรอย่ามาทำปากดี บริษัทนี้เป็นของครอบครัวเราตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ตกทอดจนรุ่งเรื่องที่ยุคของพี่สาว!! ฉันไม่ยอมให้มันไปกับใครนอกจากทายาทที่ถูกต้องเด็ดขาด!!!” พี่สาวที่ว่าน่าจะหมายถึงแม่แท้ๆ ของคอปเตอร์ ผมคิดไปพลางสับสนไปพลาง และคนที่น่าจะสับสนที่สุดน่าจะเป็นคอปเตอร์ คนที่มีหน้าเหมือนแม่ เลี้ยงเราและรักเราเหมือนแม่ แต่ไม่มีความผูกพันธ์เหมือนแม่ ผมพอจะเข้าใจในความหมายหลายๆ คำที่คอปเตอร์พูดกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ แต่เอาเข้าจริง ผมก็โกรธเธอคนนี้ไม่ลงจริง ๆ เพราะทุกอย่างเต็มไปด้วยความหวังดีในแบบของเธอเองและแอบมีความยึดติดบางอย่าง ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า สิ่งที่คอปเตอร์โดนตบหน้าในวันนี้ก็เพราะไปจี้แทงใจดำของผู้หญิงที่เป็นมารดาของครอบครัวของคนนี้เพราะสามีที่แต่งงานด้วย สร้างครอบครัวและธุรกิจมาด้วยกันกลับต้องการฮุบธุรกิจของบ้านตนเองหลังจากที่พี่สาวเสียชีวิต ทำให้เธอต้องห่างเหินกับสามีและมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ปัจจุบันถึงขั้นปลุกปั่นกรรมการบริหารหลายคนให้ต่อต้านการบริหารของเธอ ฟังแล้วก็เจ็บปวด คอปเตอร์นิ่งไปพักใหญ่ หันไปมองหน้าผู้หญิงตรงหน้าคนที่ตบเขาอย่างเต็มแรง แต่กลับมีสีหน้าที่เจ็บปวดเหมือนโดนกระทำเสียเอง น้ำตาหญิงสาวไหลนองหน้า ผมที่เป็นคนนอกได้แต่เพียงมองและรู้สึกถึงบรรยายกาศที่หนักอึ้งรอบข้างจนแทบจะหายใจไม่ออก คอปเตอร์แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดแล้วพลุนผลันวิ่งออกจากพื้นที่ไป ท่ามกลางความตกใจต่อเหตุการ์ณดังกล่าวของทุกคน ……….
:sad4: :o12:
กว่าที่สติของทุกคนจะกลับมาจากภาพเหตุการณ์ตอนนั้น พวกเราก็ไม่สามารถหาคอปเตอร์พบแล้ว เหมือนเขาหายไปกับสายลมหนาวยามค่ำคืน ในวันที่คลื่นลมทะเลสงบเงียบ น้าแหม่มอาสาดูแลผมต่อจากตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่าคุณแม่(เลี้ยง) ของคอปเตอร์จะไม่ได้สนใจอะไรผมเท่าไหร่ วันถัดมาผมยังขออาสาช่วยค้นหาคอปเตอร์อย่างใจว้าวุ่นทั้งวัน แต่ก็ไม่พบ น้าแหม่มจึงให้ผมกลับไปบ้านก่อน โดยที่น้าแหม่มจะให้คนขับรถของรีสอร์ตตนเองไปส่ง ครั้งแรกผมปฏิเสธหนักแน่นและขอช่วยอีกฝ่ายตามหา แต่น้าแหม่มก็พยายามเกลี่ยกล่อมผมด้วยวิธีต่างๆ นานา และประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมยอมก็คือ “น้าว่ากลับดีกว่านะ เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง” “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าแม่ผมเข้าใจ” “เฮ้อ…เอาอย่างนี้นะ วินโทรหาคอปเตอร์ได้ไหม?” ใจผมสะดุดไปวูบหนึ่ง “ไม่ครับ เขาเหมือน….ไม่เปิด…เครื่อง…” “นั่นไง ดังนั้นวินไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อนะลูก กลับบ้านไปพักผ่อนนะ แล้วรอฟังข่าวจากน้า …หาก….คอปเตอร์ติดต่อไปหาวิน….วินรีบบอกน้านะ!!” น้าแหม่มมีดวงตารื้นน้ำปริ่มอยู่รอบขอบตา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่บ้าน!! ………… เมื่อกลับถึงบ้าน ผมตรงรี่ไปเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ของผมฟัง แม่ฟังด้วยความตั้งใจ แปลกว่าทุกครั้งที่แม่ผมไม่มีท่าทีล้อเลียนเรื่องของคอปเตอร์ แม่เพียงโอบกอดและะให้กำลังใจเท่านั้น แต่เท่านั้นก็เพียงพอให้ผมปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาออกมาทางน้ำตาอย่างหยุดไม่ได้ ผมรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ สุดท้ายผมก็นอนหลับอยู่บนตักอันอบอุ่นของแม่ ผมตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้าจากการร้องไห้เมื่อคืน และพยายามหยิบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอว่าคอปเตอร์จะพยายามติดต่อผมมาบ้างหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็พบกับความผิดหวังเพราะมันมีแต่เพียง ข้อความจากค่ายโทรศัพท์ที่พยายามนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ นานา สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากลุกจากที่นอนไม่ใช่การอาบน้ำแปรงฟันอย่างเช่นกิจวัตร แต่เป็นการยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทของตนเอง เสียงรอสายดังเพียงไม่กี่ครั้งปลายสายอีกทางก็ทักมา “เป็นอย่างไรบ้างมึง? ติดต่อได้หรือยัง? กูเห็นข้อความมึงแล้ว กูเพิ่งราวด์วอร์ดเสร็จ โทษทีนะกูควรรีบโทรศัพท์หามึง กูรู้เรื่องจากศรัณย์แล้วนะ กูถามให้แล้ว มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคอปเตอร์หายไปไหน? มันเองก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” สมเพื่อนสนิทที่แท้จริง เพราะไม่ต้องเอ่ยอะไรมาก ไอ้เติ้ลก็อธิบายละเอียดในเรื่องที่อยากรู้จนหมด “จะว่าไปการที่คุณศรัณย์ห่วงคนอื่นให้กูเห็นเนี่ย รู้สึกเข็ดฟันฉิบหาย หากเจอพ่อจะจัดให้ฟ้าเหลือง” ทิ้งห่างจากประโยคแรกเล็กน้อย ไอ้เติ้ลมันก็กลายเป็นพายุแห่งความหึงห่วงเอาดื้อๆ “ไอ้เติ้ล!!” “เออๆ โทษทีเพื่อน!! กูรู้ว่ามัน ไม่ใช่เวลา เอาเป็นว่ากูกับแฟนจะช่วยกันตามหาอีกแรงนะ หากมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ” “ขอบใจมึง!” แล้วมันก็วางหูไปด้วยความรีบเร่ง ไม่บอกก็พอจะเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ไอ้เข้ม อดีตนักเลงโต’ ก่อนที่จะเริ่มการค้นหาเพื่อนสนิทของเขา ผมนั่งทำใจสักพักก่อนที่ใช้ฝ่ามือทั้งสองตีแก้มตัวเองเสียงดังเพื่อตั้งสติ แล้วเดินไปทำกิจวัตรทันที วันนี้ผมจะต้องหาเขาให้เจอ!! ………. ผมเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารทางด้านท้ายของบ้าน วันนี้แม่และน้ายุพินดูมีความวุ่นวายมากกว่าปกติเล็กน้อย กับข้าวที่ทำเป็นมื้อเช้าก็มากกว่าปกติ จนทำให้ผมมีความสงสัยเอ่ยถาม “ใครจะมากินข้าวกับเราตั้งแต่เช้า??” ปกติก็มีคนมากมายเข้ามากินมื้อเที่ยง มื้อเย็นที่บ้านบ่อยอยู่แล้วเพราะแม่เป็นคนมีเพื่อนเยอะ แต่เช้าขนาดนี้ค่อนข้างหายากที่จะมีคนอื่นมาร่วมโต๊ะด้วย “แม่แค่อยากทดลองทำมื้อเช้าแบบใหม่ดูน่ะ” ผมกวาดตามองไปที่ของบนโต๊ะอาหารที่ดูธรรมดาเรียบง่ายเหมือนเช่นเคย ที่ต่างก็อาจจะแค่เรื่องปริมาณเท่านั้น แต่เนื่องด้วยในใจผมตอนนี้มันไม่มีพื้นที่ๆ จะคิดประหลาดใจกับการกระทำของแม่อีกต่อไป ผมจึงรีบยัดเอาพลังงานยามเช้าเข้าปากและเคี้ยวๆ ให้มีแรงต่อไปสำหรับภารกิจวันนี้ แม้จะตั้งใจกินมื้อเช้าอย่างบังคับตัวเอง แต่แม่ก็บ่นอุบอิบว่าผมกินน้อยจนเกินไป ผมไม่ใส่ใจกับคำบ่นเหล่าผมรีบออกจากบ้านไปทำภารกิจทันที แม้ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองจะไปไหน แต่จะให้ผมเฝ้ารอต่อไปผมก็ไม่เอาอีกแล้ว ผมอยากออกไปให้รู้จริงๆ ว่า ผมไม่เจอเขาจริงๆ และได้พยายามแล้ว ผมตะโกนขออนุญาตใช้รถของแม่แล้วรีบคว้ากุญแจรถออกไปที่ลานจอดรถทันที ขณะที่ที่เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องสีสวยที่ทอดยาวไปจนถึงลานจอดรถข้างสระบัวขนาดใหญ่ของบ้าน ศาลารับรองแขกสองชั้นที่ตั้งอยู่กลางสระบัวนั่นกลับมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ที่ชั้นสองมีการเปิดไฟสว่างอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครไปใช้งานระหว่างวัน “วินๆ เอาคันนี้ไปดีกว่า คัน suv คันนั้นแม่จะเอาไปเข้าศูนย์” แม่วิ่งกระหืดกระหอบมาที่ผมขณะเดินมาได้ครึ่งทาง พร้อมยื่นรถซิตี้คาร์ขนาดเล็กมาให้ มันเป็นรถไฟฟ้าคันใหม่ที่แม่ผมหวงมาก ผมรับกุญแจมาอย่างรู้สึกแปลกใจ “แม่ชาร์จไฟฟ้าทิ้งไว้หน้าบ้านนะ” แม่กล่าวจบแล้วก็เรียกผมให้ตามไปทันที แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธเพราะใจก็อยากทดลองขับมานานแล้ว ผมขับออกจากบ้านโดยไร้จุดมุ่งหมาย ในใจคิดและคาดเดาต่างๆ นานา ว่าคอปเตอร์จะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง? ผมจึงตัดสินใจไปทุกๆ ที่ที่ผมกับเขาไปด้วยกัน ตั้งแต่ที่หอพัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ที่ปั้มน้ำมัน แต่ก็ไร้วี่แววของคอปเตอร์ ผมพยายามกดโทรศัพท์หาเขานับร้อยครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณ น้ำตาผมคลออยู่รอบดวงตา เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าผมห่วงเขาขนาดไหน? ………………
:ling1: :ling2:
ผมตรวจสอบรอบดวงตาและใบหน้าในรถอย่างดีก่อนที่จะเดินเข้าบ้าน ผมไม่อยากให้รอยช้ำแดงรอบดวงตาทำให้แม่เป็นห่วง ผมเร่งฝีเท้าเดินเข้าบ้านอย่างตั้งใจว่าจะไม่พบใครจนกว่าผมจะได้น้ำเย็นๆ ราดรดใบหน้ายามชำระล้างร่างกายภายใต้ฝักบัว “กลับมาเสียดึกเชียว” เสียงแม่ผมดังมาจากทางห้องรับแขก สถานที่ๆ แม่ผมมักจะนั่งเป็นประจำ “ครับ เหนื่อยมากเลย ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมหยุดตอบคำแม่กลับไป แต่ก็ไม่กล้ารั้งอยู่นาน เพราะขอบตายังคงชื้นแฉะอยู่ “มาหาแม่หน่อยสิ” “ผมเหนื่อยมากเลยครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” “นิดเดียว แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบอะไร ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก และผ่อนลมหายใจออกมายาว เพื่อดึงความเข้มแข็งจากส่วนลึกในใจออกมา อย่างน้อยก็เพื่อเผชิญหน้ากับแม่ ผมกลัวว่าหากเจอหน้าแม่ผมคงจะเผยความอ่อนแอออกมาอีกแน่นอน หรือผมควรจะหนีขึ้นห้องดี…… “วิน…ลูก” แม่ผมเดินมาถึงตัวผมอย่างไม่รู้ตัวพร้อมยกมือขึ้นเกาะกุมไหล่ผมทันที ผมสะดุ้งตัวโยน พร้อมกับพยายามสะกดอารมณ์อ่อนไหวของตัวเองไว้ “โธ่….ลูกแม่ คงรักเขามาก ดูสิตาบวมหมดแล้ว” แม่ลูบใบหน้าที่เพิ่งแห้งคราบน้ำตา “…ผมยังไหว ผมไม่เป็นไรครับ…” ผมฝืนยิ้มให้แม่ แม่ผมยิ้มตอบกลับมาอย่างบางเบา ในดวงตามีความแวววาวระยิบจากน้ำที่กระทบแสงไฟจากโคมระย้าด้านบนศรีษะ “ไปเดินในสวนกับแม่หน่อยไหม? มีอะไรจะได้เล่าให้แม่ฟัง” “ไม่เป็นไรครับผมเหนียวตัวแล้ว เดี๋ยวผมขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” พูดจบผมก็เดินขึ้นบันไดมาที่ห้องทันที ก่อนที่ความอ่อนแอของผมจะกลับมาทำให้ตาของผมชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ความเฉื่อยชาของผมทำให้ผมอาบน้ำนานกว่าปกติมาก ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านทั่วทั้งร่างกาย อย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่าผมยังรู้สึกอะไรได้อยู่ผ่านผิวหนังให้ความเย็นมันรบกวนจิตใจที่อ่อนล้า ไล่ความคิดแย่ๆ ออกไปให้หมด หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยออกมาแล้ว ผมได้แต่ทิ้งร่างของตัวเองลงบนที่นอนอันอ่อนนุ่มและคุ้นเคย พยายามให้ร่างกายได้พักและเก็บรวบรวมพลังงานให้พรุ่งนี้ได้ไปต่อ ความจริงช่วงเวลานี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีสำหรับผมสิ เพราะเป็นเวลาที่ใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ผมควรจะต้องมีความสุขและคิดถึงอนาคตถัดไปว่าจะทำอะไร ไม่ใช่เอาสมองมาคิดมากเรื่องนี้ คิดถึงตรงนี้น้ำในตาผมก็ไหลมาถึงที่นอนจนเปียกชุ่ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเร่งลุกไปรับอย่างไม่คิดที่จะมองเสียด้วยซ้ำว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือใคร “มึง! ยังไม่ตายใช่ไหม?” “มึงควรมาพูดใกล้ๆ ตีนกูนะ จริงๆ” อย่างน้อยเพื่อนสนิทของผมคนนี้ก็ช่วยให้ผมเปลี่ยนอารมณ์ไปได้บ้าง “ขอโทษนะ กูแค่ อยากจะให้มึงหายเศร้า” “แล้วมาอารมณ์เสียใส่มึงแทน!!” ผมช่วยต่อประโยคจากไอ้ไตเติ้ล “เออๆ ก็แค่จะบอกว่าเรื่องที่มึงให้กูช่วยถามแฟนกูน่ะ แฟนกูก็ช่วยตามหานะ แต่แม่ม !!! หาไม่เจอเลยว่ะ แน่ใจนะว่าไม่ได้หนีไปต่างประเทศแล้วน่ะ?” “กูไม่รู้ หากหนีไปต่างประเทศมันก็คงจะหาง่ายกว่านี้ไหม เพราะมันตรวจสอบง่ายกว่ามาก” “เออ!! นั่นสิ” คนเป็นหมอเห็นด้วยหนักแน่น สรุปว่าบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้หมอประหลาดนั่นก็ไม่ได้มีความคืบหน้ามากมายนัก ผมผ่อนลมหายใจ และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดออกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ ผม มองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นเป็นทิวทัศน์สวนหย่อมจัดตามใจฉันของแม่อย่างเลื่อนลอย พลางภาวนาให้ผมได้เจอกับเขาสักที ท้องฟ้าค่อยๆ หรี่แสงลงทำให้เห็นแสงสีชมพูเรื่อเรืองอยู่ที่ขอบฟ้าไกล ความมืดกำลังคืบคลานดั่งเสือดำลอบตะบบเหยื่อ เงียบเชียบและรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจความมืดก็ปกคลุมไปทั่วสวน ทำให้แสงไฟในสวนเปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ แม้ยามสว่างสวนจะดูเลอะเทอะเยอะสิ่งไปบ้าง แต่ในยามค่ำคืนภายใต้แสงสว่างสีนวลจันทร์แบบนี้ มันก็สวยไปอีกแบบ บอกตามตรงผมแทบไม่เคยมองสวนหย่อมยามราตรีแบบนี้เลย อาจเพราะความไม่ชอบการตกแต่งเป็นการส่วนตัว ขณะที่กวาดตามองไปทั่วบริเวณ ปลายตาก็ไปกระทบกับแสง ๆ หนึ่งที่ชั้นสูงสุดของศาลากลางน้ำ ไฟของชั้นรับรองแขกที่ปกติจะปิดไว้เสมอ เพราะเก็บไว้เฉพาะงานสังสรรค์ของเพื่อนแม่เท่านั้น เงาคนเงาหนึ่งปรากฏมาชั่วครู่ แม้จะมองผ่านกระจกทึบแสงไม่ชัดเจน แต่เป็นเงาที่ผมจำได้ขึ้นใจ ในใจได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่เห็นเป็นจริง แล้วเท้าผมก็ก้าวออกจากห้องไปยังจุดที่มีเงาร่างคนอยู่ทันที ผมไม่เคยคิดอะไรน้อยขนาดนี้เลย ผมสับเท้าก้าวออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังรู้สึกช้ากว่าใจของผมมาก สายลมที่ปะทะใบหน้าประสานกับลมหายใจอุ่นและหอบถี่จนรู้สึกหายใจแทบไม่ทัน ผมก้าวมาจนถึงจุดหมายที่ชั้นที่สี่ของศาลากลางน้ำ ไฟยังคงเปิดอยู่ แต่บางเบาเหมือนเปิดแค่แสงจากโคมไฟเล็ก ภายในเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูบานใหญ่ อาจเพราะเป็นห้องที่สามารถปิดกั้นเสียงได้ ผมยกมือชึ้นช้าๆ ค่อยๆ สัมผัสบานประตูบานใหญ่ที่ทำจากไม้สังเคราะห์แผ่นหนา ผมตัดสินใจผลักเข้าไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ในใจ แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั่น………….. ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างประหลาด ผมเห็นไอ้บ้าคนหนึ่งที่นั่งเล่นเกมส์เพลย์สเตชั่นรุ่นล่าสุดกับทีวีจอใหญ่เกือบเท่าผนังอย่างสบายใจ เสียงดังสนั่น พร้อมทั้งอุปกรณ์ยังชีพอื่นๆ รวมถึงอาหารและขนมวางไปทั่วอย่างกับราชา ผมเดินไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไร้เสียง เมื่อถึงเป้าหมายผมยกหมัดเหนือศรีษะและวาดลงไปปะทะกับศรีษะคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวตรงนั้นเสียงดังลั่น อีกฝ่ายที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นโวยวาย แต่หลังรู้ว่าคนที่ฟาดเขาเป็นใคร เขาถึงกับคุกเข่ายกมือพนม!! “รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงขนาดไหน!!!!” ผมตวาดเสียงดังและน้ำตานองหน้า รู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด มีหลายหมื่นคำที่อยากจะระบายออกมาแต่กลับติดอยู่ที่คอ มันตีบตันไปหมด เรื่องทั้งหมดนี้ ผมคิดได้คนเดียวเลยว่าใครอยู่เบื้องหลัง ‘แม่!!’ “วิน! เราขออธิบายได้ไหม?” คอปเตอร์พูดพลางถลาเข้ามาเกาะกุมมือผมไว้แน่น แต่ผมกลับสบัดทิ้งสุดกำลัง ผมไม่คอฟังคำอธิบายเพิ่มเติม ผมเดินหันหลังกลับไปจากทางที่มาทันที คอปเตอร์ที่ว่องไวเกินกว่าคนทั่วไปรีบลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถมาสกัดเส้นทางของผมได้ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร ผมตวาดกลับเสียงดังให้อีกฝ่ายเงียบเสีย เพราะผมยังโกรธอยู่มากไม่ต้องการคำแก้ตัวใดๆ แต่ภายในใจนั้นกลับเกิดความกลัวขึ้น กลัวว่าหากเขาเอ่ยปากแก้ตัวแล้วผมจะใจอ่อน จึงทำให้ผมรีบหยุดถ้อยคำเหล่านั้นเสียก่อน ผมผลักเขาสุดแรงให้ถอยห่าง แต่อีกฝ่ายที่คล่องตัวกว่ากลับเบี่ยงหลบทำให้ผมเสียหลัก เสียการทรงตัวล้มไปทางด้านหน้า แต่ผมก็ถูกอึกฝ่ายโอบอุ้มจากทางด้านหลังไว้ได้ทัน “ปล่อย!!” ผมโวยลั่น “ไม่!! จนกว่าเราจะได้คุยกันดีๆ !!” “ไม่!!!” ผมยืนยันหนักแน่น พลางขยับตัวฝืนดิ้นให้หลุด แต่เรี่ยวแรงผมหรือจะสู้กำลังช้างสารของอีกฝ่ายได้ ต่อให้พยายามเท่าไหร่ ผมก็ยังอยู่ในอ้อมกอดเขา อ้อมกอดที่ผมคิดถึง….. และสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น ใจผมอ่อนยวบเมื่อเจออีกฝ่ายพยายามใช้ถ้อยคำสุภาพร้องขออยู่นานหลายนาที “ผมขอร้อง ฟังผมก่อนนะ” เสียงของคอปเตอร์ที่แฝงความปวดใจไม่น้อยเช่นกันเปล่งออกมาจากทางด้านหลังของผม ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบคอปเตอร์จะยอมใครมากขนาดนี้ สุดท้ายใจที่อ่อนยวบอยู่แล้วก็ยิ่งนุ่มนิ่มมากขึ้นไปอีก ผมผ่อนลมหายใจและ ผ่อนกำลังลง พร้อมพยักหน้าเบาๆ กับเขา “มีอะไรก็พูดมา จะรับฟัง หากไม่โอเค เราก็เลิกกันเถอะ”ขณะที่พูดใจผมก็เจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทงซ้ำๆ สิ้นประโยคของผม ผมหันไปพบกับคนที่ล้มลงคุกเข่าอย่างหมดแรง ดวงตาของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและปนไปด้วยการสำนึกผิด “คือ……” คอปเตอร์พูดด้วยการหลบสายตาของผมที่จ้องเขม็งไปที่เขา แววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ “ตอนนั้น…. เรา…. ยอมรับว่าโมโหมาก…. เดินออกมาอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเดินไปไหน จนกระทั้ง แม่วินทักมาในแชทไลน์” “หา!?!?!” ผมฟังมาถึงตรงนี้บอกได้เลยว่าประหมลาดใจมาก “เดี๋ยวนะ!! เตอร์ มีแชทกับแม่เราส่วนตัวด้วย!! ได้ไง?” “ก็ในฐานะลูกเขยในอนาคตก็เลยแอบคุยกับแม่วินตั้งแต่ เจอกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าไปได้ ไอดีเรามาจากไหน?” “ไอ้เติ้ล!! ไอ้เพื่อนทรยศ!!” ผมนึกออกเพียงแค่คนเดียวเลย “คิดเหมือนกันแต่ไม่กล้าถาม!!” “ไม่ได้ถาม!! เล่าต่อ!!” คอปเตอร์เล่าต่ออย่าลนลาน หากคนอื่นมาเห็นคงไม่เชื่อสายตาตนเอง ม้าพยศอย่างคอปเตอร์จะโดนปราบได้ราบคาบขนาดนี้ หลังจากเล่าเรื่องจนหมดผมก็เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะมีแม่ผมคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังแบบนี้ คอปเตอร์ถึงเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ เพราะแม่มีเพื่อนเปิดโรงแรม รีสอร์ตอยู่ที่นั่นไม่น้อย การจะขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นจึงไม่น่าจะยาก “แต่นายก็ควรจะบอกเราบ้าง!” ผมพูดเสียงเข้ม “ก็โทรศัพท์โดนแม่วินยึดไป แม่บอกว่าให้ปิดเป็นความลับไปก่อน” คอปเตอร์ตอบเสียงแผ่ว “อย่างน้อยก็ควรบอกเราไหมว่าปลอดภัยดี!!” เสียงผมนั้นดุเข้ม แต่ดวงตากับเริ่มร้อน และชื้นเปียก “เราขอโทษ เรามันคิดน้อยไปหน่อย” อีกฝ่ายพยายาม โผเข้ามากอด แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ “เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นว่า เตอร์ยังรักเราไม่มากพอ ยังไม่โตพอที่จะดูแลกัน ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของเรา บอกตามตรงว่าเรากลัว…. กลัวว่า อนาคตนายจะทำแบบนี้อีก!!” ผมพักหายใจ และกลืนความขมขื่นเข้าไป แสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพราะประโยคถัดไป ไม่เพียงทำร้ายคนตรงหน้า แต่ยังทำร้ายตัวเองด้วย!! ”เรา…..” “ไม่นะ!!” คอปเตอร์ตะโกนแทรกขึ้นมา พลางถลันตัวพุ่งเข้ารวบตัวกอดผมแน่น “ปล่อย!!” รู้ตัวดีว่าเสียงสั่นมาก ปากปฏิเสธแต่ร่างกายกลับนิ่งเฉย “ไม่ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” “เรารับรู้จากการกระทำเตอร์หมดแล้ว!!” “ไม่นะ เราขอร้อง!!” คอปเตอร์รวบกอดผมแน่นขึ้น “ปล่อย!!” “เราขอร้อง เราสัญญา เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!” “ปล่อย!!” ผมตะโกนพลางรวบรวมแรงทั้งหมดเหวี่ยงร่างหนานั้นให้ถอยห่างไปไกล ด้วยแรงเหวี่ยงอย่างไม่ตั้งใจและทำไปด้วยอารมณ์ ร่างของคอปเตอร์ไปปะทะกับโต๊ะสังสรรค์ที่ถูกพับเก็บไว้มุมหนึ่งล้มครืนลงมาทับร่างที่พุ่งมาปะทะอีกที แล้วร่างนั้นก็นอนแน่นิ่งไป จมกับบรรดาโต๊ะพับขนาดกลางที่ทำจากไม้และเหล็กเหล่านั้น ภาพที่เห็นทำให้ผมช็อคไปหมด ในสมองเบลอและว่างเปล่า ผมพยายามเรียกอีกฝ่ายอย่างย้ำๆ ด้วยน้ำเสียงที่จมหายอยู่ในลำคอเพราะความกลัว ผมเดินไปรื้อบรรดาโต๊ะที่ล้มทัยร่างนั่นออก และพยุงร่างเขาพลิกในท่าที่หายใจสะดวก ผมได้ยินเสียงผมหายใจที่แผ่วบาง ด้วยสัญชาตญาณ ผมก้มลงใช้หูแนบหน้าอกฟังเสียงหัวใจ ดวงตาร้อนผ่าวเต็มไปด้วยหยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาไม่หยุด “เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ อย่าเป็นอะไรนะ!!” ผมร้องอยู่บนอกแน่นของอีกฝ่ายที่หายใจรวยริน
:haun4: :jul1:
“แจ้งรถพยายบาล!!” ผมนึกได้ดังนี้จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงด้วยมือที่สั่นเทา “ผมไม่น่าใจร้อนเลย….” ผมพูดกับตัวเองซ้ำๆ ขณะกดเลขที่ตัวเองเห็นจากในเวปไซต์โรงพยาบาลซึ่งที่บ้านไปเป็นประจำ “วิน….” เสียงอ่อนแรงของคอปเตอร์ดังขึ้น ผมวางโทรศัพท์ทันทีและหันไปหาเจ้าของเสียง พลางสำรวจใบหน้าของเขาที่ยังเหมือนตื่นไม่เต็มที่ “เป็นไงบ้าง เวียนหัวไหม คลื่นไส้หรือเปล่า การมองเห็นเป็นไงบ้าง จำอะไรได้บ้าง?” ผมยิงทุกคำถามที่นึกออก “ใจเย็นๆ ตอบไม่ทันเลย เอ่อ….. เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ รู้สึกอยากนอนแบบนี้อีกสักหน่อย” คอปเตอร์พูดเสียงเบามากจนแทบจับใจความอะไรไม่ได้มาก เขาเพียงปล่อยให้ตัวเองนอนยืดเหยียดออกไปตามความยาวของตนเองเต็มที่ และนิ่งไปพักใหญ่ “เตอร์ๆ” ผมขยับไปเขย่าตัวเขาเพื่อให้มั่นใจว่าเขายังมีสติอยู่ ผมมองใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและมีรอยแดงจากการปะทะอยู่ประปราย เขายังคงนิ่ง ผมได้ยินแต่เสียงลทหายใจที่แผ่วเบา ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลนองสองข้าง “ทำไมพอเป็นเรื่องของนายเราถึงไม่เคยใจเย็นอะไรได้เลยนะ เราทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงนายนะรู้ไหม อย่าทำแบบนี้สิใจมันไม่ดี….” ผมฟูมฟายอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีสติกดโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อเรียกรถพยาบาล มือหยาบใหญ่มือหนึ่งยกขึ้นมาจับแขนผมไว้แน่น “เด็กขี้แง เราไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย” เสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “เตอร์ อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” ผมหันไปทางต้นเสียงที่ตอนนี้ลืมตากลมโตให้เห็นชัดเจน “เจ็บหัวน่ะ โอ้ย!!!” อีกฝ่ายที่พยายามยกศรีษะขึ้นร้องเสียงหลง “อย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวเราตามหมอให้!!” “เดี๋ยวก่อน…” คอปเตอร์คว้ามือผมรั้งไว้ด้วยแรงที่รวยริน “ทำอะไรน่ะ?!?” “เราอยากจะขอโทษก่อน ที่….. คิดน้อยไป…หน่อย” “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เราให้อภัยเตอร์ตั้งแต่เจอหน้าแล้ว มัน….หมดห่วงอะไรประมาณนั้น แต่…..ก็ยอมรับว่า โกรธ…นิดหน่อย” หน้าผมร้อนไปหมดเมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา มันคือความรู้สึกจริงๆ ที่เพิ่งได้เรียนรู้ “ไม่โกรธเราแล้วเนอะ?” “อืม” ผมพยักหน้า “แน่นะ?” “แน่สิ!!” “งั้นกอดหน่อย” “ใกล้จะตายแล้วยังไม่วาย…… เดี๋ยวนะ!!” ยังไม่ทันจบประโยคดี ผมก็ถูกอีกฝ่ายรวบไว้ในอ้อมแขน “เฮ้ย!! แกล้งเจ็บเรอะ??!?” “ไม่ได้แกล้ง เจ็บจริง หัวน่าจะโนนะ คิดว่ายังเจ็บอยู่เลย แต่…..ทนคิดถึงวินไม่ไหวแล้ว รู้ไหม? เราฝันถึงวินไม่รู้ตั้งกี่รอบ ยิ่งตอนวินกลับมาถึงบ้าน ได้เพียงแค่มอง แต่ไม่ได้สัมผัส มันทรมานมากรู้ไหม??” ผมถูกอีกฝ่ายกอดแน่นมากขึ้นอีก รู้สึกเหมือนอากาศภายในปอดมันน้อยลงไปจนผมแทบจะหายใจไม่ออก “ปล่อย!!” “ไม่!! เราไม่ไหวแล้วนะ!!!” ผมถูกพลิกและกดลงไปติดกับพื้นพรมสีแดงเลือดนกที่แข็งหยาบ ผมร้องโอยทันทีที่หลังติดพื้น สองมือของผมอยู่ในท่าแผ่กางออกขนานกับศรีษะแนบติดกับพื้นพรมโดยมีมือของผู้ชายร่างใหญ่กดทับไว้ด้วยน้ำหนักของเขาเอง ผมร้องด้วยความเจ็บปวดพลางขอร้องให้เขาปล่อยผมด้วยวาจาเกรี้ยวกราดเพราะความโกรธ แต่ด้วยน้ำหนักที่จับกดลงมันมันทำให้เลือดลมของผมเดินไม่สะดวกเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าคอปเตอร์เขาอ่านใจผมออกหรือว่าอะไร แม้จะเห็นผมโวยวายและต่อว่าปฏิเสธการกระทำของเขา เขากลับยิ้มมุมปากอย่างพอใจ วงหน้าที่หล่อเหลาเจ้าเลห์นั่น กลิ่นและรสสัมผัสของคนตรงหน้ามันทำให้ผมโหยหาและใจสั่นไปหมด ในหัวของผมมันสับสนไปหมดเพราะไม่รู้ว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่าที่มาใจสั่นกับการทำแบบนี้ของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันร่างกายของผมกลับตอบสนองและต้องการบางอย่างจากอีกฝ่ายมาเติมเต็มอย่างมหาศาล ผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว หากเขา……. ผมคิดในใจอย่างร้อนรน ไม่ทันที่จะสิ้นสุดประโยคในหัว ผมก็ร้องออกมาเสียงหลงเพราะอีกฝ่ายดันทำสิ่งที่ผมกำลังจะพูดในใจด้วยความหวาดหวั่นที่จะต่อต้านไม่ไหว เขาโน้มลงมาพรมจูบที่ต้นคออย่างนุ่มนวล และใช้ริมฝีปากเม้มวนไปจนถึงเนินอก ทันทีที่ริมฝีปากอันชุ่มชื้นของคอปเตอร์เดินทางถึงเนินอก ผมก็หมดแรงขัดขืนทันที ผมเหมือนคนเสพติดคอปเตอร์ เสพติดสัมผัสจากเขาจนแทบจะขาดไปจากชีวิตไม่ได้ มือหยาบใหญ่ของเขาสัมผัสที่ท้ายทอยของผมและไล่มาถึงสันกรามและใช้นิ้วโป้งดันคางของผมให้เชิดขึ้น เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสสัมผัสจากผมทั้งรสที่ปาก และกลิ่นทางจมูก ผมเหมือนเนื้อชิ้นใหญ่ที่กำลังถูกราชสีห์แทะกินอย่างตะกละ มืออันเชี่ยวชาญของเขาค่อยๆ ปลดอาภรณ์ของผมออกที่ละชิ้นอย่างไม่รีบร้อน สายตาอันหิวกระหายคู่นั้นทำให้ผมร้อนลุ่มไปหมด ทำให้ผมทำตัวเป็นอาหารอันโอชะให้กับเขา เมื่อกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปหมดแล้ว คอปเตอร์ก็เริ่มเข้ามาลิ้มรสทุกส่วนสำคัญทุกส่วนจนผมใช้นิ้วจิกพื้นพรมเพื่อให้สามารถทนกับเทคนิคการเสิร์ฟรักจากเขา ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า รอรับทุกสิ่งที่คอปเตอร์มอบให้ เหงื่อที่ไหลออกจากกิจกรรมที่อีกฝ่ายชี้นำและการสัมผัสเสียดสีของทั้งสองร่างทำให้ผมเริ่มหนาวสั่นจากเครื่องปรับอากาศที่พยายามทำให้ห้องนี้เย็นขึ้นจนเหมือนเขตใกล้ขั่วโลก ความรู้สึกตัวเหล่านั้นทำให้ผมพยายามหยุดอีกฝ่ายที่พยายามเตรียมการที่จะรุกล้ำเข้ามาในร่างกายของผมเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ด้วยความหิวโหยและโหยหา คอปเตอร์ไม่สามารถหยุดตัวเองได้อีกต่อไป เขาใช้เสื้อยืดแขนยาวของตัวเองที่ตอนนี้ถอดกองอยู่ไม่ไกล ใช้สิ่งนี้มัดแขนผมไว้และผูกกับขาโต๊ะที่อยู่ใกล้กับศรีษะของผม ผมไม่สามารถขยับได้เลย ไม่คิดว่าความหน้ามืดของคนเราจะทำอะไรได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายจัดท่าทางของผมตามใจ ในขณะที่ผมพยายามร้องปฏิเสธ แต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด ร่างกายกลับไม่ได้ปฏิเสธมากอย่างที่ปากโวย คอปเตอร์ที่เหมือนอ่านใจผมได้ เขาไม่รั้งรอที่จะเดินหน้าต่อด้วยใบหน้าแฝงยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ เขาค่อยๆ ลิ้มชิมร่างกายของผมด้วยริมฝีปากอย่างบรรจง อย่างกับว่าเขาเห็นผมไม่ขันขืนแล้ว เขาจึงใจเย็นลงแล้วค่อยๆ ใช้ลิ้นที่ชุ่มอุ่นสัมผัสเรือนร่างของผมอย่างช้า ๆ แต่ตรงจุด ความรู้สึกของผมมันขัดแย้งกันไปมาระหว่างยอมรับความสุขที่เขามอบให้ต่อไป หรือ พยายามต่อต้านเพื่อหยุดเขาให้ได้ จนกระทั้งเขาพยายามกลืนกินสิ่งที่ผมหวงแหน เหมือนผึ้งที่พยายามที่จะเก็บน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ชูก้านตรงรับแสงตะวัน ในที่สุดผมก็ปล่อยทุกความคิดในหัวไปหมด เหลือแต่อยากให้เขาทำให้มันจบไวๆ ผมพยายามร้องปฏิเสธ และคอปเตอร์ที่อยู่กับผมมาพอสมควรจะรู้ว่าการที่ผมร้องแบบนี้คือถึงเวลาที่เขาควรเผด็จศึกแล้ว เขาลุกขึ้นเดินหายไปพักใหญ่พร้อมกับอุปกรณ์ประจำตัว เขาเตรียมความพร้อมให้ผมเช่นเคยก่อนที่จะทำให้ทุกอย่างมันสุดยอดมากกว่าที่เคยทำมา….. บนพรมที่หยาบและแข็งนั่น….. …………
:z1: :pighaun:
“ว๊าย!!!” เสียงกรี๊ดร้องของผู้หญิงวัยกลางคนที่บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอาการตกใจ ประหลาดใจ หรือ ชอบใจ ผมรีบลืมตาโพร่งขึ้นด้วยความตกใจเพราะจำเสียงร้องนั้นได้ และความทรงจำสุดท้ายมันย้ำเตือนว่าตนเองอยู่ในสภาพแบบไหน แต่กรรมของผมที่มือถูกผูกไว้กับขาโต๊ะทางด้านศรีษะ ทำให้ผมทำได้แค่งอตัวที่เปลือยเปล่าเพื่อหลบสายของผู้เป็นแม่ แต่ก็ทำได้ยากเมื่อมีชายร่างหนานอนกอดก่ายอยู่บนร่าง คอปเตอร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวทำได้แค่ลนลานหยิบจับทุกอย่างรอบตัวมาปกปิดร่างกายของผมและตัวเอง “แม่รึก็อุตส่าห์เป็นห่วง ก็คิดอยู่ว่าต้องเจอที่นี่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะคิดถึงกันมากขนาดนี้!!” “แม่!! ช่วยออกไปก่อนได้ไหม!!” ผมโวยแม่ตัวเองที่ยังยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดกว้าง “โอเคๆ หากไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วแบบนี้ก็ลงไปกินข้าวด้วยกันก็แล้วกันนะ” แมผมยิ้มกว้าง พวกเราสองคนตอบรับพร้อมกัน ในขณะที่ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดและพยายามใช้สายตาไล่แม่ของตัวเองแทบตาย แต่คอปเตอร์กลับยิ้มอย่างยินดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีกับแม่ของผม ทำให้ผมต้องหันไปค้อนใส่เขารอบใหญ่ “แต่ถึงกับมัดกันแบบนี้…..เล่าให้แม่ฟังบ้างนะ!!” “จะไปไหนก็ไปเลยไป” ผมกล่าวไล่แม่ด้วยใบหน้าที่มีอุณหภูมิราวกับพื้นผิวดวงอาทิตย์ พลางคิดว่าผมจะต้องคิดบัญชีกับไอ้คนที่ผมต้องอายแบบนี้บ่อย ๆ เสียแล้ว …………… สองวันผ่านไปนับจากวันที่ผมพบกับคอปเตอร์ นับตั้งแต่วันนั้น คอปเตอร์ก็ย้ายมานอนที่ห้องนอนของผมโดยที่ผมไม่ได้อนุญาติ และด้วยที่เขามีความผิดติดตัว ผมจึงสั่งให้เขานอนที่พื้นห้องจนกว่าผมจะอนุญาตให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วย หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือจนกว่าผมจะหายโกรธนั่นแหละครับ ไม่เพียงเท่านั้น ผมย้ำหนักแน่นหากเล่นไม่ซื่อผิดคำพูดแม้แต่เพียงนิดเดียว ผมจะเลิกกับเขาทันที ตอนแรกก็โวยวายลั่นบ้าน ทำให้แม่ผมถึงกับมาช่วยเขาเคลียร์ความรู้สึกของผม แต่ผมไม่ยอมเสียอย่าง ต่อให้เป็นแม่ก็เปลี่ยนใจผมไม่ได้ ยิ่งทำให้แม่ของผมมีส่วนร่วมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดอยากจะให้คอปเตอร์ทรมานมากขึ้น ผมยื่นคำขาดอีกครั้งว่า ห้ามแม้แต่จับตัวผมจนกว่าผมจะหายโกรธ และหากต่อรองมากกว่าผมจะเลิก!! ด้วยความดื้อของผม ทำให้แม่ผมเองก็ยอมถอย และทำได้เพียงให้กำลังใจคอปเตอร์ห่างๆ เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเที่ยวตามหาคอปเตอร์จนเหนื่อยบวกกับไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นมาหลายคืน ผมจึงใช้ช่วงเวลานี้พักร่างให้แข็งแรงต่อแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องของคุณแฟนตัวดี เนื่องจากเงื่อนไขต่างๆ ทำให้คอปเตอร์ได้แต่พูดคุยกับผมโดยมีระยะห่างไม่ต่ำกว่าสองเมตร ผ่านมาสองวัน เขาทำได้ดีมากกว่าคิด ด้วยสายตาหมาหงอยของเขา ทำให้ผมอยากแกล้งหนักขึ้นไปอีกโดยการแอบโป๊ แอบเปลือยบ้างในบางโอกาส จงใจให้เขาเห็นในระยะประชิด เดินยั่วไปรอบตัวเขาเมื่อมีโอกาส ผมหัวเราะในใจกับอาการกำหมัดแน่นและขบกรามเสียงดัง จนกระทั่งผมคิดว่าฟันในปากน่าจะถูกบดจนแหลกไปแล้ว “แกก็ระวังตัวดีๆ ขืนไปยั่วมากๆ แกจะเสียใจภายหลังนะ” แม่ผมได้กล่าวไว้ตอนกินมื้อเย็นของวันที่ห้าที่ผมลงโทษเขา “เขาไม่กล้าหรอก!!” ผมยิ้มอย่างมั่นใจ แม่ผมได้แต่ผ่อนลมหายใจ “ตัวแกเองก็เป็นเด็กเหมือนกันนะ จะไปว่าแต่เขาไม่ได้ ฉันไม่เคยแกเป็นแบบนี้กับใครเลยนะ!!” ผมได้แต่ยิ้มเยาะไม่ได้เก็บไปคิดอะไร และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมจะเผด็จศึกให้เขาจำไปจนวันตาย แน่นอนว่าคอปเตอร์ยังนั่งหงอยอยู่ที่มุมห้อง ที่ๆ ผมจัดไว้ให้เขาอยู่ในระหว่างที่โดนคาดโทษอยู่ ผมถอดเสื้อออกอย่างตั้งใจ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ผมมั่นใจว่าดูแลมาอย่างดี ใช้มือค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดตัวผืนน้อยมาคาดเอวไว้ แล้วปลดกางเกงออกหมด ตอนนี้มีเพียงผ้าน้อยๆ หนึ่งผืนที่ปกปิดร่างของผมไว้เฉพะส่วนสำคัญ ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าผมอยู่ในสายตาของอีกคนอย่างหื่นกระหาย ได้แต่กำหมัดแน่นหักห้ามใจไว้ “วันนี้อยากให้รางวัลคนประพฤติตัวดีเสียหน่อย” ผมเดินเข้าไปใกล้คอปเตอร์ อีกฝ่ายเหมือนจะยกมือขึ้นมาเพื่อสัมผัสผมอย่างเคยชิน ผมโวยเสียงดัง สั่งให้เขา หยุด!! ผมสั่งเขาว่า ผมสัมผัสเขาได้แต่เขาห้ามสัมผัสผมเด็ดขาด แล้วเกมส์ของผมก็เริ่มขึ้น ผมจับเขาย้ายให้ลงไปนั่งที่เตียง แล้วค่อย ๆ ใช้มือปลดเปลื้องเสื้อของเขาออกช้า ๆ ผมพยายามใช้สายตาดุเขาเป็นระยะ เพื่อให้เขาหยุดโน้มมือมาสัมผัสผมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง บางครั้งถึงต้องกระแอมเสียงดังเพื่อให้เขารู้ตัว ในที่สุดร่างท่อนบนของเขาก็เปลือยเปล่า คอปเตอร์ยังคงยิ้มร่าเพราะคิดว่าผมกำลังเล่นพิเรนทร์กับเขา ใช่ครับ ผมเล่นพิเรนทร์ แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแน่ๆ ผมใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกและแผ่นลอนท้องของเขาอย่างนุ่มนวลและไล่วนจุดต่างๆ ที่ทำให้เขารู้สึกดี แน่นอนว่าผมรู้จักจุดเหล่านั้นเป็นอย่างดี เมื่อเห็นเขาเคลิบเคลิ้มจนหลับตาพริ้ม ผมก็ผลักเขาให้นอนลง ผมก้าวขึ้นเตียงแล้วกดตัวเองลงไปให้ร่างกายส่วนล่างสัมผัสกับร่างกายช่วงท้องของอีกฝ่าย แม้ว่าผมจะหนักพอควรแต่เขากลับไม่บ่นสักคำ ด้วยความเคยชิน คอปเตอร์ยกมือขึ้นมาหวังจะสัมผัสท่อนขาของผม สุดท้ายเจอฝ่ามือผ่าอากาของผมตบลงไปดังเพี๊ยะ อีกฝ่ายร้องโอดโอย แต่เจอสายตาดุดันของผม เขาจึงหยุดแทบจะทันที ผมเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายตอบสนองอย่างดี สังเกตได้จากอาการหอบหายใจ และอวัยวะที่ตื่นตัวแปลี่ยนแปลง ผมจึงเริ่มแผนงานถัดไปทันที ผมปลดผ้าผืนเล็กออก เผยให้เห็นทุกส่วนของผมที่เขาอาจจะมองว่าพร้อมใช้งานแล้ว ผมโน้วตัวเองลงไประนาบเดียวกับคนที่นอนอยู่เบื้องล่าง ให้หน้าเราขนานกัน สายตาของเขาที่มองมาที่หน้าผมหลังจากที่ร่างของผมเกือบทุกส่วนด้านหน้า กำลังบดเบียดเขาอยู่ มันเป็นสายตาแห่งความต้องการ ความปรารถเรื่องนั้นอย่างแรงกล้า แต่ตอนนี้เขากลับทำได้เพียง กำหมัดแน่นและแอบทุบที่นอนอ่อนนุ่มอย่างเบาๆ ผมบดร่างตัวเองเสียดสีไปกับคอปเตอร์อยู่แบบนั้นจนเขาแทบจะหายใจไม่ทัน ลมหายใจของเขาหอบถี่ ปลายจมูกแดงก่ำเหมือนเลือด ผมรู้ได้ทันทีว่าหากผมฝืนแกล้งเขามากกว่า เขาอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย ส่วนผมคงกลายเป็นม่ายดับชีพแฟนตัวเองด้วยความพิศวาส จินตนาการข่าวพาดหัวไปต่างๆ นานา สุดท้ายผมจึงใช้ท่าสุดพิเศษสุดท้ายของผมกับเขาไป ซึ่งมันติดเรทจนผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย แต่พูดได้คำเดียว คอปเตอร์ถึงกับกัดฟันร้องโวยวายในลำคอ กำหมัดแน่น ทุบที่นอนเสียงดังลั่น เมื่อเห็นแบบนั้น แปลว่าผมสำเร็จโทษเขาสำเร็จ ผมจึงหยุดมือและถอยห่างออกมาทันที ถามว่าผมต้องการไปต่อให้สุดทางไหม ผมก็ต้องการเช่นกัน ผมก็คน แต่ผมเป็นคนควบคุมตัวเองได้ มันก็เลยตัดจบได้อย่างไม่ค้างคา ต่างจากอีกฝ่าย หลังจากที่ผมยืนบนพื้นห้องได้มั่นเหมาะ คอปเตอร์รีบขยับตามลงมาจากเตียงทั้งที่ร่างเปลื่อยเปล่า เขาคุกเขาพนมมือ ขออภัยจากผมด้วยเสียงที่สั่น ตาที่แดง เขารู้สึกหวาดกลัวที่ผมจะทิ้งเขาไปมากกว่าปกติ ผมคิดจะให้เขาสำนึกผิด แต่แบบนี้มันดูจะมากไปไหมนะ ผมมองเขาพลางคิด พยักหน้าตอบแบบขอไปที “จริงๆ ใช่ไหม?” เขาก้มหน้าถามผมเสียงสั่น “จริงสิ!” ผมก็ตอบไปตามความรู้สึก “เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?” “ได้สิ” “งั้น….” หลังจากสิ้นเสียงนั้น ผมก็ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงและถูกวางลงไปนอนแผ่อย่างสิ้นท่า “เฮ้ย!! อะไรน่ะ” “กำลังจะกลับไปทำเหมือนเดิมไง!!” “หา!!” หลังจากเสียงตกใจของผม คอปเตอร์ก็รุดเข้ามาบุกผมเหมือนเช่นที่เคยทำ แม้จะตกใจ แต่ก็ยอมรับว่า….. รู้สึกดีไม่น้อย และหวังว่าเขาจะหลาบจำกับสิ่งที่เขาทำมา …………
:z1: :pighaun:
“แม่ว่าอยู่กันแบบนี้ต่อไปมันไม่เวิร์ค โตแล้วก็ต้องรู้จักแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่” แม่ผมเอ่ยขณะรับประทานอาหารมื้อเช้าอย่างกระทันหัน ผมที่รับไม่ทันกับประโยคดังกล่าวของแม่จึงได้แต่ทำสีหน้าตั้งคำถามไปที่แม่ ส่วนคอปเตอร์กลับเงียบขรึมทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้วอแวผมไม่หยุด “เรื่องที่ผมยังเกาะแม่กินแบบนี้น่ะหรือ? แต่ผมก็ยังช่วยงานแม่นะ ถือว่าเป็นค่าจ้างก็ได้ เดี๋ยว….. เอ่อ…. อะไรๆ มันดีขึ้นแล้วผมก็ไปหางานทำแล้ว!!” ผมพูดตัดบทไป “เรื่องนั้น แม่ไม่มีปัญหาหรอกนะ แกอยู่ช่วยแม่ไปเลยก็ยังได้ ยังไงงานบ้านเราก็เยอะแยะจะไปเป็นลูกจ้างคนอื่นทำไม?!? ไม่ต้องมาพูดเรื่อง passion อะไรของแกนะ ฉันเบื่อแล้ว!!” “อ้าว!! แล้วเรื่องอะไร?!? ผมทำหน้ายู่ใส่แม่ ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้ดีอยู่เต็มอก “เรื่องคอปเตอร์น่ะ หนีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่ผู้ใหญ่เขาทำกันเลย เตอร์เข้าใจแม่ไหมลูก!!?” คราวนี้แม่เล็งไปที่คนที่นั่งข้างผม “ผมเข้าใจครับ ผมแค่….กำลัง…. หาทางออกที่ดีที่สุดอยู่!!” “แม่พูดอะไรแล้วอย่าโกรธแม่นะ” แม่ผมผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ผมรู้จักดีและไม่คิดจะไปขัด “ครับ” คอปเตอร์กล่าวตอบหนักแน่น และทำสีหน้าอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน สีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นจากคอปเตอร์เลย “แม่คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรคุยกับแม่ดีๆ แล้ว” “แม่ผมไม่เหมือนกับแม่นะครับ พูดกันไม่เข้าใจหรอกครับ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่!!” “แม่รู้…ดังนั้นแม่จะขอเป็นคนคุยเอง!!” “อย่าเลยครับ เสียเวลาเปล่า!!” “ไม่ทันแล้ว แม่โทรศัพท์แจ้งแม่ของเตอร์แล้ว เดี๋ยวสักสายๆ ก็คงเข้ามาหาที่นี่” “แม่!!!” ผมลุกขึ้นยืนพูดเรียกชื่อแม่ด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ด ต่างจากคอปเตอร์ที่ทำตาโตประหลาดใจเท่านั้น “แม่คิดว่าจะคุยกับเขาได้หรือครับ??” คอปเตอร์ถามต่อแทบจะทันที “ได้สิ!! ไม่มีใครเถียงชนะแม่อยู่แล้ว!!” “แม่ทำอะไรน่ะ แม่รู้ไหมว่าหาก แม่ของคอปเตอร์เขารู้ว่าคอปเตอร์อยู่ที่นี่!! เขาได้ลากเตอร์กลับไปขังที่บ้านแน่ๆ” “เชื่อแม่สิ ไม่หรอก!!” “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน!!” “ก็ประสบการณ์ตรงตลอดสี่สิบกว่าปีนี่ไง!!” ผมได้แต่กุมหน้าผากพลางมองหน้าที่ซีดเผือกของคอปเตอร์ ที่ยิ้มรับกับความมั่นใจของแม่ของผม หลังจากมื้อเช้าไม่นาน เสียงกดกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นหลายครั้งต่อเนื่อง ผมและคอปเตอร์ที่นั่งคอยอยู่ที่โถงรับแขกถึงกับรู้สึกประหม่ากับคนที่จะมาเจอ ทั่งๆ ที่ไม่ใช่ครั้งแรก เสียงรถหรูขับมาจอดที่ประตูหน้าบ้าน และเสียงฝีเท้าเร่งรีบกระทบกับพื้นหินขัดดังก้องไปทั่ว “คุณรู้ใช่ไหมว่าให้ที่ซ่อนตัวคนหายก็ไม่ต่างจากการลักพาตัว!!” สายตาเยียบเย็นมองมาทางแม่ของผมอย่างไม่สนใจว่าเธอกำลังคุยกับเจ้าบ้านอยู่ และอยู่ในพื้นที่ของเขาด้วย เป็นคนไม่กลัวใครจริงๆ ผมคิด “ถึงฉันจะเรียนไม่สูงแต่ก็พอรู้นะคะว่า หากมาอยู่อย่างเต็มใจ อย่างไรเจ้าบ้านก็ไม่ผิด!!” แม่ของผมเองก็ไม่ธรรมดา ปกติก็เป็นคนสู้คนอยู่แล้ว แม่คอปเตอร์มองด้วยสายตาคล้ายคมมีดคมหอกรู้สึกถึงแรงเสียดสีผ่านอากาศพุ่งตรงลงมากลางอกของผู้ที่ถูกมอง แม่ผมเองก็ยืดอกรับอย่างไม่เกรงกลัว สุดท้ายแม่ของคอบเตอร์จึงผ่อนลมหายใจออกมาหอบใหญ่จนได้ยินเสียงดังออกมา “เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันมารับลูกของฉัน!!” คุณแม่ของผมเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งนั่งที่โซฟาหรูหราในห้องรับแขกแต่กลับได้รับการปฏิเสธและเข้าประเด็นทันที “ลูกคุณโตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วนะคะ เรื่องแบบนี้เขาทำกันตอนอายุไม่เกิน 15 ปีนะคะ” “คุณนี่มันยังไง!?! อย่ายุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่นจะได้ไหม!?” “พุดแบบนี้ก็ไม่ถูกแฟนลูกฉัน ฉันก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวแล้ว และเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสุขลูกของฉัน ฉันคงอยู่เฉยไม่ได้หรอกนะ เอาเป็นว่านั่งก่อนไหม? หากยังพูดแบบนี้ ฉันว่าอีกนานกว่าจะจบ” คุณแม่คอปเตอร์แม้จะไม่เห็นด้วย ทำสีหน้าเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเหตุผลพอที่จะทำให้เธอเปลี่ยนความคิดได้แน่นอน ออกจะแสดงความดูถูกออกทางสีหน้าชัดเจน แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งแต่โดยดี หลังจากนั่งเสร็จเธอก็สาธยายเหตุและผลของเธอแบบที่ผมและคอปเตอร์เคยได้ยินได้ฟังกันอยู่แล้วอีกครั้ง ส่วนแม่ผมที่พอจะทราบมาบ้างจากคำบอกเล่าของคอปเตอร์ได้แต่นั่งฟังอย่างตั้งใจ “ฉันหวังว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานอย่างคุณ จะเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เหมือนกันนะ!!” “ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อยู่แล้วแน่นอน เข้าใจถึงสภาพสังคมปัจจุบันดีด้วย ฉันก็เคยเจอนะ ผู้ใหญ่แบบนั้น รู้เลยว่าลูกเราหากเป็นแบบนี้ อนาคตก็คงไม่ได้สบายเท่าไหร่….” แม่ของผมหยุดอยู่ตรงนี้พักใหญ่พร้อมใบหน้าที่เคร่งเครียด ส่วนแม่ของคอปเตอร์นั่นยิ้มมุมปากแฝงด้วยนัยยะว่าครั้งเธอก็ชนะเหมือนเช่นทุกครั้ง เช่นที่เธอเถียงกับเพื่อนสนิทของเธอ “แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชีวิตลูกขนาดนั้น!!” แม่ผมเอ่ยออกมาในที่สุด “คุณ!!!” แม่ของคอปเตอร์ขึ้นเสียงดัง “ฉันพูดให้เห็นภาพขนาดนี้ก็ควรจะเข้าใจนะ!!” “ฉันเข้าใจ เข้าใจดีเลย แต่อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของพวกเขา พวกเขาควรจะเลือกด้วยตนเอง อย่าลืมว่า แม่ๆ อย่างเราจะอยู่กับเขาได้สักกี่ปี เราจะสามารถปกป้องเขาได้อีดกี่ปี สุดท้ายทำไมเราไม่เปลี่ยนสถานะจากการเดินอยู่หน้าพวกเขา คอยปัดคมหอกคมดาบให้พวกเขา เปลี่ยนเป็น มาอยู่ข้างๆ พวกเขา เดินไปพร้อมๆ กัน ให้คำปรึกษาเขาเวลาเขาเพลี่ยงพล้ำ คอยรักษาเขาเวลาเขาเจ็บปวด สอนให้เขารู้จักความเข้มแข็งที่แท้จริง ในยามที่เราไม่อยู่อาจอยู่ข้างเขา เขาจะได้เดินอยู่ได้เพียงลำพัง เราเองก็จะได้จากไปอย่างสงบไม่เป็นกังวล” คำพูดนี้เหมือนไปกระแทกใจอีกฝ่าย แม่คอปเตอร์ถึงกับพูดโต้ตอบไม่ได้ เพราะคำพูดนี้มันช่างคล้ายกับใครสักคนที่เธอได้สูญเสียไปแล้ว ใครสักคนที่ทำเช่นนี้กับเธอเช่นกัน เธอยังจำวันที่โวยวายใส่ใครคนนั้นได้อยู่เลย ก่อนที่ใครคนนั้นจะจากไปชั่วนิจนิรันดร์ “พี่คะ” เสียงดั่งคำกระซิบดังออกมาเบาๆ เหมือนลมพันยอดหญ้า ภาพของคนที่มีรูปร่างคล้ายคลึงตนเองวางพาดทับกับคนตรงหน้า อยู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ผมที่เห็นและรับฟังเหตุการณ์ทั้งหมดก็ยังไม่สามารถสะกัดกั้นน้ำที่เอ่อล้นออกจากตาทั้งสองข้างได้ รู้สึกถึงความรักของผู้บังเกิดเกล้าอย่างเปี่ยมล้น “คำพูดที่สวยหรูน่ะ มันใช้กับชีวิตจริงไม่ได้หรอก ชีวิตจริงมันโหดร้ายกว่ามาก!” น้ำเสียงของแม่คอปเตอร์แม้จะสั่นเครือเล็กน้อย ก็พอจะสัมผัสได้ว่า คำพูดของแม่ผมนั้นมันสัมผัสกับใจเธอไม่มากก็น้อย “ฉันรู้ค่ะ รู้ดีเลย ฉันที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาถึงจุดนี้ได้เนี่ยไม่ใช่ความโชคดีเลย ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อยเหมือนกัน และฉันเองก็อยากจะให้ลูกของฉันได้สัมผัสและเรียนรู้กับพวกมันบ้าง อย่างน้อยก็ในขณะที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่นะ จะได้ช่วยเหลือแบ่งเบามันได้บ้าง ไม่คิดบ้างหรือว่าหากเรายังโอบอุ้มเขาอยู่แบบนี้ ในวันที่เราไม่อยู่ เขาจะเปราะบางขนาดไหน เขาจะสูญเสียอะไรบ้าง เคยนึกถึงมันบ้างไหม?” ประโยคนี้ของแม่ของผมพุ่งไปเสียดแทงจิตใจอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากมือที่กำแน่นและสั่นไหวอยู่พักใหญ่ “แกยังเด็กเกินไปที่จะ….” “แปลว่าคุณก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ทำไมถึงได้เร่งร้อนนัก ทำไมไม่ให้เวลาลูกบ้าง อย่างน้อยก็ให้ลูกได้เลือกเอง!!” บทสนทนาลักษณะนี้ระหว่างผู้เป็นมารดาทั้งคนอยู่นานหลายนาที และสุดท้ายทุกประโยคที่แม่ผมพูดกลับไปเหมือนเพิ่มบาดแผลในจิตใจของแม่คอปเตอร์มากขึ้นจนแทบจะยืนไม่อยู่ ตาแดงก่ำ และน้ำในตารื้นจนแทบจะล้นออกมา เธอเข้มแข็งในแบบของเธอ ไม่ยอมแพ้ในความคิดของตนเองจนในที่สุดประโยคสุดท้ายของแม่ของผมก็ทำให้เธอเดินหนีออกจากห้องรับแขก ผมทึ่งในความสามารถของแม่ หลังจากที่ฟังบทสนทนาทั้งหมด ทำให้ผมเข้าใจบุคคลที่เป็นแม่ของตัวเองมากขึ้นภายใต้บุคลิกขี้เล่นไม่จริงจัง ซ่อนความทุกข์ระทมจนแทบไม่เห็นก้นบึ้ง ผมโผเข้ากอดแม่ทันทีที่แม่ผ่อมลมหายใจออกยาว “เด็กน้อยเอ้ย” แม่ลูบศรีษะผมเบาๆ ขณะเอ่ยกับผมด้วยเสียงที่นุ่มชวนฟัง “เตอร์ ตามแม่ออกไปสิ!” “คนๆ นั้นไม่ใช่…” “เลิกงอแงเป็นเด็กได้แล้ว!! แม้ว่าจะไม่ได้คลอดเธอออกมา แต่แม่สัมผัสได้นะว่าความรักนั่นเป็นของจริง เธอรักเตอร์เป็นลูกจริงๆ นะ ทุกอย่างที่เธอทำน่ะหวังดีนะ แต่อาจจะมากเกินไปหน่อยก็เท่านั้น!!” คอปเตอร์สะดุ้งเล็กน้อยที่โดนตวาดใส่ในประโยคแรก แต่หลังจากจบประโยคของแม่ของผม เขาก็เร่งฝีเท้าตามแม่ของตนเองไปทันที!
:hao5: :katai1:
บทที่ 16 A new beginning คอปเตอร์วิ่งพุ่งออกห้องสุดแรง ผมซึ่งถูกแม่ไหว้วานมาให้ ‘เผือก’ อย่างห่าง ๆ ก็วิ่งตามมาด้วยโดยรักษาระยะห่างพอควร คอปเตอร์หันซ้ายหัวขวาด้วยอาการลนลาน คนขับรถประจำตำแหน่งที่ยืนรออยู่บริเวณนั้นทำท่าชี้ไปทางสวนข้างบ้าน คอปเตอร์ที่เข้าใจในทันทีจึงก้าวเท้าไปทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล คอปเตอร์หยุดฝีเท้าก่อนถึงเป้าหมายไม่กี่ก้าว หากเป็นในอนิเมชั่น ภาพนี้น่าจะก่อให้เกิดฝุ่นตลบคละคลุ้งจากแรงขาที่หยุดลงกระทันหัน เป้าหมายคือหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งในสวนกว้างที่มีการออกแบบผสมแต่ไม่ผสานกันเสียทีเดียว หากเป็นเวลาอื่น เธอคงมองอย่างขบขันกับรสนิยมแปลกๆ ของเจ้าของบ้าน แต่ในเวลานี้มันมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจเธออยู่ หากเป็นช่วงเวลาอื่น คำพูดของคนที่เธอไม่รู้จักแบบนี้ คงสั่นคลอนความตั้งใจของเธอไม่ได้ แต่ด้วยความอ่อนล้า และความหวาดกลัวที่จะสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักของพี่สาวเธอ และเปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง จากช่วงหลายวันที่ผ่านมา กำแพงในจิตใจของเธอจึงอ่อนแอลงมาก ยิ่งได้ฟังคำพูดที่กระทบจิตใจจากคนเป็นแม่อีกคนหนึ่ง มันจึงยิ่งทำให้เธอนึกย้อนกลับไปว่า สิ่งที่เธอทำอยู่มันไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? การเคี่ยวเข็ญ คอปเตอร์แบบนี่มันมากเกินไปหรือเปล่า? หรือว่าเธออยากให้คอปเตอร์เป็นเสมือนภาพตัวแทนของพี่สาวที่ยังสะท้อนอยู่ในสายตา? คำถามและความคิดยังวนเวียนในหัวอย่างไม่จบสิ้น พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำไมเธอถึงได้อ่อนแอแบบนี้? หากเป็นพี่สาวมาอยู่ตรงนี้แทนที่จะเธอ มันจะเป็นอย่างไรนะ? คิดมาถึงตรงนี้ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ทำให้ความคิดเหล่ามลายหายไปดังแสงสว่างยามเช้าที่สลายเมฆหมอกให้หมดไป “แม่…” เสียงของชายหนุ่มที่เธอทะนุถนอมไม่ต่างจากลูกชายตนเอง ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่สาวฝาแฝดของเธอ แม้ในใจของผู้เป็นเสมือนแม่จะอ่อนไหวต่อเสียงเสียงของเด็กหนุ่มแค่ไหน อยากจะหันไปมองหน้าที่แสนคิดถึงแค่ไหน แต่อีกใจก็ละอายกับการตัดสินใจของตนเองเกินกว่าจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ “เอ่อ…..แม่….ผม….” คอปเตอร์พูดพลางขยับเท้าเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว หญิงที่กำลังปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ พยายามเข้มแข็งที่จะไปหันไปตามเสียงเรียก เพราะกลัวว่าจะได้เห็นความอ่อนแอของตนเอง “แม่ครับ ผมขอโทษ ที่ทำตัวเป็นเด็ก หนีออกมาแบบนี้ … ผมรู้ว่าแม่คงจะเป็นห่วงและผิดหวังกับลูกชายคนนี้ เพียงแต่ว่า…. ผมอยากให้แม่ฟังผมบ้าง เพราะวิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่แม่จะฟังผม ผมไม่เหลือวิธีอื่นแล้ว ผมทำมาหมดแล้ว ทั้งเกเร ทั้งเรียกร้องความสนใจทุกวิธี สุดท้ายผมเหลือแค่วิธีนี้เท่านั้น แม่ฟังผมนะ!!” คอปเตอร์ร่ายยาวเหมือนพยายามเอาสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมาให้หมด หญิงสาวผู้เป็นแม่รวบรวมสติและหันไปมองหน้าอีกฝ่ายและเตรียมคำพูดเพื่อเรียกสติผู้เป็นเสมือนคนที่มาจากเลือดเนื้อของตนเอง แต่เพียงแค่เห็นแววตาที่แน่วแน่มุ่งมั่นจากชายหนุ่ม แววตาที่มีความเหมือนพี่สาวตนเองเวลาตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จ ถ้อยคำทั้งหลายที่คิดไว้ก็มลายหายไปสิ้นดุจละลายเกลือลงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นลูกชายคนนี้มีความแน่วแน่แบบนี้เลย อาจจะเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ปล่อยออกมาให้เห็นบ้าง แต่เมื่อเจอสีหน้าจริงจังของเธอ มันก็ค่อยสลายไป และทำอะไรตามที่เธอสั่งแทบจะทุกอย่าง แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนไป อาจเพราะคนๆ หนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงคอปเตอร์ได้ขนาดนี้ เขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยความตั้งใจของตนเองแล้ว มันน่าภูมิใจและน้อยใจในเวลาเดียวกัน หญิงสาวเห็นภาพตรงหน้าก็เผยยกยิ้มมุมปาก บรรยากาศมันชวนให้คิดถึงใครคนหนึ่ง “ว่ามา!! แม่จะรับฟัง แต่หากแม่ไม่เห็นด้วยลูกก็ต้องรู้นะว่ามันจะเป็นเช่นไร!!” หญิงสาวผ่อนคลายและกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แต่ภายในใจกลับแตกต่างออกไป “ครับ!!!” คอปเตอร์ตกปากรับคำหนักแน่น หญิงสาววัยกลางคนปรับตัวนั่งตรง สีหน้าและแววตากลับมาเปล่งประกายมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เท่ากับก่อนหน้านี้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า สติของเธอกลับเข้าสู่จุดที่ควรจะเป็นแล้ว “ผมรักวิน!!“ เสียงของคอปเตอร์ดังกังวาลไปทั่วบริเวณ “อันนี้แม่ก็พอจะรู้ จะบอกแม่ในสิ่งที่แม่รู้อยู่แล้วทำไม?” หญิงสาวผู้เป็นแม่ผ่อมลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา “ไม่!! แม่รู้แต่แม่ไม่ได้รับรู้อย่างที่ผมเข้าใจ ผมจริงจังนะครับ ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมยอมรับตัวตนของผมได้ดีไปกว่าวินแล้ว เขาทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่ากับการใช้ชีวิตทุกวัน ทำให้ผมเริ่มที่จะอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อที่จะได้อยู่กับเขาทุกวัน เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเดินมาคุยกับแม่ในวันนี้ ผมอยากให้แม่ยอมรับเรื่องของเรา ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ผมพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่ง หากยังมีเขาอยู่ข้างๆ” หญิงสาวแปลกใจที่เด็กที่เสมือนลูกชายคนนี้ ในวันนี้เขาพูดมากกว่าปกติที่เคยคุยกับเธอตลอดทั้งเดือน รวมถึงความมุ่งมั่นและมั่นใจในทุกคำพูด มันช่างคล้ายกับพี่สาวของเธอเหลือเกิน อย่างนี้สินะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น!! แววตาที่แสนมุ่งมั่นนั่น ทำให้เธอหวนคิดถึงใครบางคนที่อยู่ไกลแสนไกล ลูกชายของเธอคนนี้เติบโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากเธอมีเวลาเฝ้ามองการเติบโตแทนที่จะเอาเวลามาวางแผนต่างๆมากมายสำหรับเพื่อให้เขาพร้อม เรื่องอย่างวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ “แม่ควรต้องขอบใจวินสินะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะมองท้องฟ้าในยามพลบค่ำด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย “อะไรนะครับ?!?” คอปเตอร์ไม่แน่ใจว่าแม่ของตนพูดว่าอะไร “ไม่มีอะไร!! แม่ก็แค่…. กลับเข้าไปด้านในกันเถอะ แม่มีเรื่อที่จะคุยกับคนบ้านนี้!!” พูดจบเธอก็ลุกหนึ่งก้าวเท้าออกอย่างฉับไวและมั่นคง คอปเตอร์จึงเดินตามด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั่น สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ผมที่แอบเฝ้าดูอยู่ไม่ไกล ได้แต่วิ่งหลบกลับมาไม่ให้คนสองคนนั้นรู้ตัว ………….
:katai3: :katai2-1:
…………. “แม่!! เราคุยกันจบแล้วเหรอ?!?” คอปเตอร์เดินถึงจุดที่แม่ของเขายืนเผชิญหน้ากับแม่ของวิน ซึ่งตอนนี้นั่งอมยิ้มยกมุมปากอย่างมีชัย เหมือนเป็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันจะเป็นเช่นนี้ “จบแล้ว!! ส่วนความคิดเห็นของแม่ ก็รอฟังพร้อมกันทั้งหมดนี่แหละ จะได้ไม่มาแอบฟังแล้วเอามาเล่าผิดๆ” แม่ของคอปเตอร์พูดจบก็หันมาทางผมชั่ววูบหนึ่ง ผมที่พยายามเก็บอาการหอบเอาไว้แทบจะหลบสายตาในทันที “ก็ได้!!!” แม่ของคอปเตอร์ประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัด “อะไรหรือคะ? ที่ว่าได้เนี่ย?” แม่ของผมก็ทำหน้ายียวนขนาดนี้เป็นกับเขาด้วย ผมก็เพิ่งเคยเห็น “เรื่องของเด็กสองคนนี้!!” แม่ของผมทำเสียงในลำคอแสดงให้รู้ว่ารับทราบและเข้าใจด้วยสีหน้าที่รอคำพูดเพิ่มเติมของอีกฝ่าย ”ฉันยอมรับเรื่องของสองคนนี้ก็ได้” “แม่….” เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เสียงของคอปเตอร์มีความอ่อนโยนและจริงใจกับเสียงที่เปล่งออกมา “เพราะแม่เห็นแล้วว่า ลูกของแม่เติบโตมากขึ้นขนาดนี้แล้ว เข้มแข็งขนาดนี้เลยนะ แม่ว่า ลูกน่าจะพร้อมแล้วล่ะ แม่น่าจะวางใจได้แล้วว่าลูกทั้งสองคนจะฝ่าฟันกับสิ่งที่ตนเองเลือกได้แล้ว!” เธอพูดพลางเดินเข้าสวมกอดลูกชายตนเองอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเธอแปรเปลี่ยนไปเหมือนกับคนละคน และที่ท้ายประโยค เธอหันมามองผมด้วยสายตาที่ผมไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน พร้อมประโยคสั้นๆ ที่ไร้เสียงใดๆ ว่า “ขอบคุณนะ” ส่วนแม่ผมนั้นพยายามที่จะกลั้นกรี๊ดแทบไม่ไหวกับภาพตรงหน้า (เฮ้อ….) “แสดงว่าแม่ให้ผมคบกับวินได้แล้วใช่ไหม?” “ได้สิ!! แค่มีข้อแม้นะ” “โหย!! อะไรอีกน่ะแม่!!” “ลูกต้องเรียน ปริญญาโท ให้จบ” “ที่อเมริกาน่ะหรือแม่!!” “ใช่ ทำให้แม่ได้ไหม แม่ขอเป็นสิ่งสุดท้ายแล้ว ส่วนเรื่องงานที่บริษัทก็แล้วแต่ลูกเลย!!” “แต่มันตั้ง สองสามปีเลยนะ” “แม่ไม่ได้ห้ามที่เราสองคนคบกันแล้วนะ ที่เหลือก็แล้วแต่พวกเธอสองคน!!” พูดจบประโยคก็หันมาทางผมและแม่ผม “เฮ้อ….. เอาเถอะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ฉันเถียงไม่ออกหรอกนะก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นผลดีกับเตอร์น่ะ ตามใจเธอเลย!!” แม่ผมพูดจบก็เอนหลังแล้วมองมาทางผม “ผม…. ผมจะรอนะ” ผมบอกเขาไปแบบนั้น แต่ในใจกลับ สั่นไหวไปหมด ………… เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น แม่ของคอปเตอร์ก็ได้จัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศของคอปเตอร์จนแล้วเสร็จ มันรวดเร็วมากเหมือนกับทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว และกำหนดการการออกเดินทางก็ถูกแจ้งมาผ่านทางน้ายุพิน เลขาฯ คนสนิทของแม่คอปเตอร์ คอปเตอร์หลังจากรับโทรศัพท์เขาก็นิ่งไปพักใหญ่ สีหน้ามีอาการทบทวนบางอย่างในใจซ้ำไปมา รูปปากที่ขบบดกันจนผมได้ยินเสียงนั่น บ่งบอกถึงความเครียดที่เขามี “ไม่ต้องเครียดนะ อยู่ที่นั่นใช่ว่าเราจะคุยกันไม่ได้เสียหน่อย” “ได้แค่คุยมันพอที่ไหน!!” “งั้นก็รีบกลับมาสิ!!” “มันง่ายแบบนั้นก็ดี ก่อนไปเรียนจริงต้องไปเรียนและสอบเพื่อปรับระดับภาษาก่อน ไหนกว่าจะเรียนจบอีก เร็วสุดก็ต้องสองปี มันนานไป!!” “เอาน่าทนเพื่ออนาคตนะ แม่นายยอมขนาดนี้ก็ดีแล้ว แค่นี้เราก็ดีใจแล้วนะ” ผมเข้าไปโอบกอดเขาขณะพูดออกมาอย่างปลอบประโลม คอปเตอร์ยกมือลูบแขนผมอย่าอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับทำได้แค่ฝืนยิ้มเท่านั้น “อ้อ!! จริงสิ ผมได้สัมภาษณ์งานแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะได้แม่ของนายคุยไว้ให้แต่ก็จะไปสัมภาษณ์วันพรุ่งนี้แล้วนะ” “ให้ไปส่งไหม?” “ไม่เป็นไร เตอร์ไปจัดการเรื่องของเตอร์ให้เรียบร้อยเถอะ” เขาผยักหน้าแบบทำใจยอมรับ เพราะเขาต้องไปดำเนินการเอกสารอะไรอีกมากมายก่ายกองก่อนออกเดินทาง “เราก็ว่าจะเรียนต่อเหมือนกัน จะได้ไม่น้อยหน้าแฟนไง” ความจริงคือจะได้มีอะไรทำในระหว่างที่คอปเตอร์ไม่อยู่ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนความคิดถึงขนาดนั้นไหวไหม หลังจากนั้นพวกเราสองคนก็ยุ่งๆ กันตลอดทั้งวัน คอปเตอร์เองก็ต้องไปเตรียมตัวเรื่องเรียนต่อ แม้เขาจะไม่อยากทำและฝืนใจทำอย่างถึงที่สุด แต่ในเมื่อรับปากแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก ส่วนผมเองก็ต้องเตรียมตัวสัมภาษณ์งานหลายรอบ เพราะเหมือนต้องคุยกับใครต่อใครหลานคนเลย จากคำแนะนำของแผนกสรรหาบุคลากร ในตารางสัมภาษณ์แบบวันต่อวัน ทั้งหมดสามรอบเนี่ย มีแต่ชื่อตำแหน่งระดับใหญ่ๆ ทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ผมสมัครงานแค่ระดับพนักงานขั้นต้นทำไมผมถึงได้ต้องคุยกับคนเหล่านี้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมเองก็ไม่กล้าไปรบกวนคอปเตอร์ เพราะเขาเองก็ยุ่งๆ อยู่แล้ว เขาโดนคำสั่งให้ดำเนินการอะไรต่อมิอะไรเองเป็นบทลงโทษ ผมจึงไม่กล้าไปถามอะไรเขาให้เขารู้สึกเป็นห่วง จึงได้แต่บอกเขาว่าสบายดี สบายมาก ในทุกๆ วันที่เจอเขาทุกๆ คืนก่อนนอน หลังจากที่ไม่ได้มีเวลาร่วมกันมากมายนัก คอปเตอร์จึงตัดสินใจมานอนที่บ้านผมทุกวันเผื่อจะได้เจอกันก่อนที่จะลาจาก แม้มันจะมีอะไรมากกว่าแค่เจอกันก็ตาม เมื่อวานผมได้เจอกับคนคุ้นเคยอย่าง Head of HR อย่างพี่เอกซึ่งผมไม่ได้เกร็งอะไรมาก ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี พี่เอกทำให้มันไม่เหมือนการสัมภาษณ์งาน แต่เป็นการสอนเรื่องต่างๆ และแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกันและกันมากกว่า จนกระทั่งผมรู้สึกได้ว่า ผมน่าจะเป็นฝ่ายได้รับความรู้มากกว่าการถูกประเมิน ส่วนวันนี้ผมต้องคุยกับอีกสองท่าน ท่านแรกก็เป็น Director of regional development และสุดท้ายก็เป็น CEO ซึ่งผมก็คิดว่าการคุยกับแม่ของคอปเตอร์น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป รอบแรกผ่านไปได้ด้วยดี ต้องของคุณพี่เอกที่เหมือนจะได้ติวให้ผมทั้งหมด เขาน่าจะได้เป็นติวเตอร์ตัวท้อปเพราะ คำถามส่วนใหญ่ ผมได้ใช้คำตอบจากการแบ่งปันประสบการณ์ของพี่เอกทั้งสิ้น ทำให้ผมตระหนักรู้ถึงความเก่งกาจของพี่เอกเลยวันนี้ เขามองขาดทุกคำถามเลย ในที่สุดก็ถึงนัดสุดท้ายของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผมถูกเชิญเข้าไปในห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่มีอุปกรณ์สำหรับการประชุมที่ทันสมัยมากมาย มันทำให้ผมตื่นตาตื่นใจจนหายตื่นเต้น ตั้งแต่หน้าจอ OLED ขนาดใหญ่ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อหน้าจอพร้อมระบบประชุมออนไลน์แบบวิดีโอแบบเรียลไทม์ที่ผมเคยเห็นแต่ในนิตยสาร ไมค์ขนาดเล็กพร้อมก้านใสๆ ตรงหน้า มันช่างดูน่าตื่นตาไปหมด สักพักคุณยุพิน ผู้ช่วยประจำตัวของคุณแม่คอปเตอร์ได้เข้ามาตั้งค่าต่างๆ ของพวกอุปกรณ์เหล่านั้น “เอ่อ…. คุณแม่…เอ้ย….คุณประธานบริหารเจ้าหน้าที่บริหาร มาด้วยตนเองไม่ได้หรือครับ?” ด้วยความที่ผมพูดผิดกาละเทศะ จึงทำได้แค่เอ่ยชื่อตำแหน่งเต็มยศอย่างประหม่า “คุณผู้หญิงไม่ใช่คนที่จะมาสัมภาษณ์คุณนะคะ” เธอตอบเสียงเรียบ “แล้ว…..ใครล่ะครับก็เห็นว่าตำแหน่ง CEO?” “ชื่อตำแหน่ง ไม่ได้ผิดนะคะ เพียงแต่….. โอเค เขาออนไลน์พอดี เชิญคุยกันได้เลยคะ” เธอพูดพลางผายมือไปทางจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ภาพที่เห็นเป็นชายต่างชาติ ผมสีทองสูงวัยที่ดูแลตัวเองดี ยิ้มแนะนำตัวเองและทักทายผมอย่างเป็นกันเองอยู่ที่หน้าจอ อ้าววววว?!?! นี่มันอะไรกัน ……… และแล้ววันที่คอปเตอร์เดินทางก็มาถึง เนื่องจากวินติดภาระกิจบางอย่างทำให้ไม่สามารถออกเดินทางมาพร้อมกัน ภาระกิจที่ว่าคือ ตอนนี้วินจะต้องไปเริ่มงานกับบริษัทแล้ว ทำให้มีอะไรหลายๆ อย่างต้องเตรียมตัว หลังจาก Check-in เรียบร้อยแล้ว คอปเตอร์ที่ต้องจัดการธุระเรื่องการเดินทางและการเรียนต่อเองจึงได้มายืนรอทุกคนที่หน้าทางเข้าเทอร์มินอล แม้จะมีผู้คนมากหน้าหลายตา เดินผ่านปะปนกันไปมา แต่เขากลับรู้สึกเหงาและเปล่าเปลี่ยวเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ มีเวลาอีกเพียงชั่วโมงเศษๆ ที่เขาจะต้องจากบ้านและคนที่เขารักทั้งหลายไปไกลหลายพันกิโลเมตร แต่เขากลับจะต้องเดินทางจากไปเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ ยิ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วินเองก็ยุ่งกับการเตรียมการหลายอย่างทั้งเรื่องเริ่มงานและเรื่องแผนที่จะเรียนต่อ ทำให้ไม่มีโอกาสได้เจอกันดีๆ เลย เจอกันส่วนใหญ่จะเป็นภาพก่อนนอนทั้งสิ้น ทั้งสองคนวุ่นวายกับเรื่องของตัวเองจนลืมไปว่าเราจะต้องห่างกันไกล และต้องห่างกันด้วยระยะเวลาที่นานจนเขาไม่คิดว่าตัวเองจะทนไหวหรือไม่ สักพักกลุ่มคนที่จะมาส่งเขาที่นำโดยคุณแม่ของเขามาก็มาถึง คอปเตอร์สังเกตเห็นพี่ชายของตนหิ้วกระเป๋าเดินทางมาไม่ต่างจากตน แต่ก็ไม่ได้ตกใจเพราะคงถูกแม่ไหว้วานมาให้ดูแลในช่วงแรก เพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน คอปเตอร์จึงไม่ได้แปลกใจอะไร ถึงจะดูหอบหิ้วมากกว่าความจำเป็นก็เถอะ ผมพยายามมองหาคนที่ผมเฝ้าคอยอยู่จนกระทั่งลืมทักทายคุณแม่ของตนเองและพี่ชาย ในที่สุดเขาก็เจอชายร่างสูงโปร่งแต่วตัวสุภาพเรียบร้อย จัดทรงผมสบายๆ และรอยยิ้มที่แสนจะสดใสของเขานั้นทำให้คอปเตอร์เบิกบานขึ้นโลกทั้งใบในสายตาคอปเตอร์สุกสว่างขึ้นมาทันตา แต่ว่ารอยยิ้มของเขากลับส่งไปให้กับชายร่างสันทัดอีกคนที่มีใบหน้าที่คุ้นเคย พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนมจนแทบจะลืมไปว่า รอยยิ้มนั้น ในวินาทีนี้มันควรจะเป็นของเขาเท่านั้น ร่างกายของคอปเตอร์เคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิด เขาสืบเท้าก้าวเร็วเข้าประชิดอีกฝ่ายและใช้มือผลักอีกคนให้ถอยห่างไปทันที “เตอร์!! ทำบ้าอะไร!! อาจารย์!! เป็นอะไรไหมครับ?” วินวิ่งแทรกตัวไปดูอาการคนที่เซถอยไปสองก้าว หลังจากจบประโยค คอปเตอร์รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ด้วยความหึงหวงหน้ามืดทำให้เขาลืมใบหน้าอาจารย์ของวินที่เคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง “มึงเป็นบ้าอะไร” ครู่เดียวร็อคเก็ตก็เดินมาดูอาการคนๆ นั้นเหมือนกัน หลังจากสอบถามอาการก็รู้ว่าอาจารย์อาร์เช่ แค่ตกใจเท่านั้น พี่ร็อคเก็ตรีบหันมาหาคอปเตอร์ทันที!! “อย่า!! มายุ่งกับคนของกูอีกเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!!” “คนของมึง??” “แฟนกูไง นี่แฟนกู” “แล้วกูจะรู้เรอะ!!” “พอได้แล้ว!! ผมไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ใครแฟนคุณนะ เราเพิ่งจะตกลงคุยกัน ยังไม่ถึงขั้นนั้น!!” อาร์เช่ เดินมาห้ามทัพก่อนจะโดนเจ้าหน้าที่สนามบินลากออกไปด้านนอกข้อหาทะเลาะเบาะแว้งกันในสถานที่ “อ้าว! แล้วที่…. นอนได้เสียกันทุกวันนี่มันยังไม่ใช่แฟน?” “ไปคุยเรื่องนี้กันที่อื่นนะ ขอร้อง!!” อาร์เช่หน้าแดงดั่งมะเขือเทศสุกก่อนจะพูดและลากร็อคเก็ตโดยการดึงติ่งหูออกไปอีกทาง คอปเตอร์และวินที่ยังอึ้งกับสถานการณ์นี้จึงได้แต่ยืนดูและทำหน้ายิ้มอ่อนใส่กัน พร้อมกับมือของวินวาดไปที่ท่อนแขนของคอปเตอร์ดังแปะหนึ่ง “เพราะนายเลยเนี่ย!!” คอปเตอร์ได้แต่ทำท่ายกไหล่แบบไม่สนใจ แต่หลังเจอสายตาดุดันของวินจึงต้องยอมขอโทษอีกฝ่ายทันที “นึกว่าวินจะไม่มาส่งเราเสียแล้ว…. แต่ทำไมถือของมาเยอะจังไปไหนมาเหรอ? หรือว่าจะเอาของแทนตัวมาให้เรา ไม่เป็นไรนะ เราเอามาหมดแล้ว ทั้งผ้าห่ม ปอกหมอนของนาย ทั้งชุดนอนที่นายใส่ประจำ โอ้ย!!!?” คอปเตอร์ร้องเสียงหลงหลังจากโดนมือเรียวยาวฟาดไปที่แขนส่วนบน “ไอ้บ้านี่!! ก็นึกแล้วเชียวว่าทำไมหาไม่เจอตอนจัดกระเป๋า” “จัดกระเป๋า?? จะไปไหน??” สีหน้าของคอปเตอร์เบิกกว้าง แล้วก็หันไปหาผู้เป็นมารดาของตนทันที “แม่จะให้วินไปไหนอีก ถึงจะเป็นลูกสะใภ้ แม่ก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องขออนุญาติผมก่อน!!” “ใครเป็นอะไรกับนายแบบนั้นโว้ย ยังไม่ได้แต่งงาน อย่ามาเรียกกันมั่วๆ“ “โถ่ ที่รัก!!” วินได้แต่ส่ายหน้ากับไอ้คนที่ไม่เคยสลดและไม่เคยอ่านบรรยากาศ “คอปเตอร์ แม่ไหว้วานวินเดินทางไปทำธุระที่สำคัญที่สุด” “แม่ก็ต้องขอแม่วินด้วยสิ ถึงจะเป็นพนักงานของบริษัทแต่ก็ต้องให้วินไปถามแม่ก่อนนะ!!” “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง แม่อนุญาติแล้ว แล้วก็สนับสนุนด้วย” แม่ของวินเดินมาด้วยท่วงท่านางพญา ในชุดที่เรียกได้ว่า เหมือนมาเดินแบบบนรันเวย์ แบบฟินาเล่! “คุณแม่!!” คอปเตอร์ประหลาดใจตาโตแต่มือก็ไม่ลืมที่จะยกไหว้ทักทาย “เดินทางปลอดภัยนะลูก” คุณแม่ของวินเดินเข้ามาสวมกอดวินอย่างแนบแน่น “ทำไมคุณแม่ถึงได้ปล่อยให้วินเดินทางไปทำงานไกลๆ แบบนี้ครับ?” คอปเตอร์สอบถามคุณแม่ของวินด้วยสายตาเศร้าสร้อยคล้ายสุนัขตัวใหญ่ที่เห็นเจ้าของจะไม่อยู่บ้าน “โถ่ๆ ก็แม่มั่นใจไงว่าการเดินทางครั้งนี้ จะมีคนคอยดูแลอย่างดี” แม่ของวินยิ้มหวาน แต่นัยน์ตากลับรื่นน้ำคลออยู่ “ไอ้ร็อค!!” คอปเตอร์หันไปหาผู้ต้องสงสัยเบอร์ 1 “กู? เสียใจด้วยกูไม่ไปไหนไกลแฟนกูแน่นอน!” ร็อคเก็ตโอบแฟนหนุ่มกระชับเข้าชิดตัวเอง แล้วก็โดนอาจารย์หนุ่มฟาดท่อนแขนไปหนึ่งครั้งเสียงดังลั่น “อ้าว!!” คอปเตอร์สับสน มองไปทางแม่ตัวเองทันที “แม่ว่าเราเลิกแกล้งเขาเถอะนะ แม่รู้สึกสงสารขึ้นมาแล้วสิ” แม่ของคอปเตอร์อมยิ้ม ท่าทางสบายๆ แบบนี้วินเพิ่งจะเคยเห็นมาก่อน ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก ความปิติที่เห็นบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นรอบๆ ตัวคอปเตอร์ มันช่างคาดไม่ถึงมาก่อน แต่ก็เป็นสิ่งที่วินปรารถจะให้เกิดขึ้นกับคนที่เขารักมากที่สุดคนนี้ “ก็เตอร์ไงลูก แม่รู้ว่าลูกต้องดูแลลูกแม่อย่างดีแน่ๆ” แม่ของวินก้าวเข้ามาใกล้มาขึ้นพลางยกมือขึ้นวางบนไหล่ของคอปเตอร์ หลังจากที่ได้ยิน คอปเตอร์ก็รู้สึก งงงวยไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก การที่แม่ของวินฝากฝังเขาแบบนี่เป็นเรื่องที่เขายินดีอยู่แล้ว น้ำหนักที่กดอยู่ที่บ่านี้มีความรักอันมหาศาลของแม่คนหนึ่งวางอยู่ เป็นสิ่งที่เขายินดีแบกรับไว้ เพราะว่าลูกชายของผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขารักหมดหัวใจ แต่ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเขา? “บางทีมันก็โง่ครับแม่ มันมักจะไม่ค่อยจะคิดว่ามีสิ่งดีเกิดขึ้นกับตัวเองจนเป็นนิสัย แม่บอกมันตรงๆ เถอะ!” ร็อคเก็ตผ่อนลมหายใจยาวก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลก “แม่อนุญาตให้วินไปเรียนต่อกับลูกไง แม่คุยกับแม่ของวินแล้ว ส่วนเรื่องสัมภาษณ์ก็เพราะอยากให้ไปฝึกงานที่บริษัทในเครือของเราที่โน่น อย่างน้อยก็จะได้มีรายได้ระหว่างเรียน หลังจากเรียนจบกลับมาจะได้ทำงานช่วยเตอร์ไงลูก” แม่ของคอปเตอร์เดินมาใกล้เขาด้วยรอยยิ้มที่แสนจะใจดี “จริงหรือครับ?!?!” “แม่เขาไม่โกหกเตอร์หรอกนะ ก็นี่ไงตั๋วเครื่องบินของเรา บิสสิเนสคลาสติดที่เตอร์นั่งเลย โคตรตื่นเต้นน่ะ แล้วก็ขอโทษนะที่ปิดนายมาสักพักหนึ่งแล้ว” วินยื่นตั๋วเครื่องบินพร้อมพาสปอร์ตให้กับคอปเตอร์ได้เห็นอย่างชัดเจน อ่านทุกตัวอักษร “สุดยอด เรื่องแบบนี้ใครจะไปโกรธลงคอ” คอปเตอร์ดีใจเสียงดัง ก้าวเท้าเร็วเข้ามาคว้าตัววินกอด และอุ้มขึ้นหมุนตัวเองไปสามรอบ วินร้องโวยวายลั่นสนามบิน ทั้งอายทั้งเวียนหัว หลังจากที่เท้าสัมผัสลงพื้น ผมจึงใช้ฝ่ามือฟาดไปที่หลังของเขาหลายครั้ง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของร็อคเก็ต ส่วนแม่ๆ ก็ได้แต่หัวเราะกับท่าทีของพวกผม หลังจากเอ่ยคำร่ำลากันอย่างอบอุ่น ผมวิ่งไปกอดแม่ของผมแนบแน่นอีกครั้ง เพราะคงจะไม่ได้ทำแบบนี่อีกนายเลย ผมสูดเอาอากาศและน้ำหอมที่แม่ใช้ประจำเข้าไปเต็มปอด ก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมาอาบแก้มด้วยความคำนึงถึงไออุ่นของแม่ “เด็กโง่ ไปไม่กี่ปีก็ได้หลับมาเจอกันแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว” “ผม ผม ไม่ได้ ร้องไห้ เสียหน่อย!!” ผมเถียงแม่ในขณะที่ตาดวงตาชุ่มฉ่ำไปด้วยนำ้และ แดงช้ำไปหมด “ผมสัญญานะครับว่าจะดูแล ลูกของคุณแม่อย่างดี!!” คอปเตอร์เข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง และโอบอัอมไปกอดแม่ของผมด้วย “แม่รู้จ๊ะ” แม่ของผมลูบศรีษะเขาอย่างอบอุ่น “คุณคะ คุณก็มาด้วยสิ” แม่ของผมกวักมือเรียกแม่ของคอปเตอร์ให้เข้ามาสวมกอดด้วย คุณแม่ของคอปเตอร์ ซีอีโอใหญ่ที่มีบุคลิกเด็ดขาดกลับมีสีหน้าลังเลจนกระทั่งลูกชายของเธอที่โอบกอดผมแน่นอยู่นั่นหันไปแสดงสีหน้าชักชวน เพียงเท่านั้น เธอก็เดินโผเข้ามากอดด้วยสีหน้าตื้นตัน พวกเรากอดกันแน่นอยู่พักใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความปิติของทุกคนตรงนั้น ผู้หญิงที่แสนจะเข้มแข็งกลับหลั่งน้ำตาขณะที่กอดลูกชายตนเองอยู่แบบนั้น ทำให้ผู้ช่วยของเธอถึงขั้นเอ่ยปากแซวออกมา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจ ผู้ช่วยของเธอรู้ดีว่าน้ำตาเหล่านั้น ไม่ใช่น้ำตาแห่งการลาจาก แต่เป็นความปิติที่ความพากเพ็ญในการดูแลลูกชายคนนี้ ในที่สุดเธอก็ได้ความรักจากเขาเสียที งานเลี้ยงใดๆ ก็ย่อมมีวันเลิกลา เมื่อใกล้ถึงเวลา ผมและคอปเตอร์ก็ลากกระเป๋าเดินทางขยาดย่อมเข้าประตูสนามบิน ในขณะที่ผมพยายามเหม่อมองคณะที่มาส่งพวกเราอยู่ทุกขั้นตอนของสนามบิน ก่อนที่ผมจะตัดใจเดินเข้าไปในส่วนลึกของเทอร์มินอล และภาพผู้คนเหล่านั้นก็หายลับตาไป คอปเตอร์ใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ไหลออกพ้นจากดวงตาผมเบาๆ เจขยิ้มอย่างอ่อนโยน “เลิกร้องไห้ได้แล้วนะ ต่อไปนี้เราจะดูแลวินเอง สัญญาเลยว่าจะไม่ทำให้วินเสียน้ำตาแบบนี้อีก” วินพยักหน้าและเช็ดซับน้ำตาให้แห้ง พลางยิ้มตอบไป “เพราะต่อไปนี้ วินจะเสียแต่น้ำอย่างอื่นให้เราอย่างเดียวเท่านั้น!!” คอปเตอร์พูดพลางวางมือลงบนบั้นท้ายผมเบาๆ “โอ้ย! ไอ้บ้าเกือบซึ้งแล้วเชียว ไอ้ลามก” ผมหยิกมือที่แสนซนอย่างไม่ปราณี คอปเตอร์ ร้องโอดโอยเสียงดัง ผมอายที่จะเดินกับคนแบบนี้จึงเดินหนีคอปเตอร์ห่างออกไป แต่ก็แอบยิ้มที่มุมปาก เพราะผมรู้ว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้ผมหายเศร้า แม้ว่าสิ่งที่เขาพูด เขาจะทำจริงๆ ก็ตาม คอปเตอร์วิ่งตามมาคว้าคอผมและโอบไหล่อย่างอ่อนโยนเพราะรู้ว่าผมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เราก้าวเดินไปพร้อมกัน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะก้าวเดินไปพร้อมกับเขาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ……….. จบ…………. ขอขอบคุณนักอ่านทุกคน
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณนักอ่านทุกคน ที่เข้ามาให้กำลังใจในการอ่าน นิยาย สำหรับนักเขียนมือใหม่ ที่แทบไม่มีวินัยในการเขียนเลย เขียนทีต้องอาศัยอารมณ์ร่วมล้วน ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ เรื่องนี้ถือว่าใช้เวลาเขียนนานมากๆ ทั้งๆ ที่คิดว่าควรจะจบตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว แต่เพราะเวลาช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ ก็เลย ลากยาวมาถึงเดือนพฤษภาคม ขออภัยที่หลังๆ เขียนได้น้อยแบบแม้แต่ตัวเองยังตกใจ ความจริงระหว่างที่เขียนสองบทสุดท้าย ผมมีร่างเรื่องใหม่ไว้แล้วด้วย หวังว่าทุกคนจะเข้ามาให้กำลังใจกันกันอีกครั้ง ขอบคุณอีกครั้ง แล้วเจอกันใหม่