พิมพ์หน้านี้ - Defeat skittish"ปราบพยศ"

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Pattprorapat ที่ 14-11-2021 16:55:46

หัวข้อ: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 14-11-2021 16:55:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 14-11-2021 16:57:57

สวัสดีค่ะเรื่องนี้ถ้าตามจริงมันจะเป็นเรื่องที่สามของเราแต่เราก็ตัดสินใจเอามาลงก่อนเพราะในหัวตอนนี้มีแต่เนื้อหาเรื่องนี้เต็มไปหมด

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาย รัก ชาย แนวแด็ดดี้ดุ หนูจำไม พระเอกมาแนวเท่หล่อรวย มาเจอกับนายเอกที่เป็นเลขา ที่เป็นเด็กสู้ชีวิตเก่ง เรียนรู้งานเร็ว แต่มันมีสิ่งเดียวที่ติดอยู่ในใจ ทำไมไม่มีคนจ้างงาน!

ตัวละครทุกตัว ไม่ได้มีอยู่จริง ภาพที่เห็นเป็นฉากประกอบจินตนาการณ์เท่านั้น 

หากไม่ชอบอย่างไรโปรดกดออกเท่านั้น อย่าดราม่า นะคะ



 

อัดฮัม อัจมาน คาล์ล

ชายที่ไม่เคยลงให้กับผู้ใด ยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง อำนาจครึ่งหนึ่งของประเทศที่เขาเป็นคนครอบครอง ทำให้ทุกคนหวาดกลัวในอำนาจนี้ หากนั่นคือตอนที่เขาอยู่ที่ ดูไบไม่ใช่ประเทศไทยเช่นตอนนี้ ที่ยอมบินลัดฟ้ามาลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่นี้พร้อมใช้นามแฝงในเข้ามาบริหารบริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์

เมฆา สุวรรณเมธีร์ หนุ่มนักธุรกิจใหญ่ไฟแรงที่ไม่เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเลยสักครั้ง ทุกคนรู้จักเขาเท่าที่เขาให้รู้จักนั้นคือ CEO หน้าใหม่ไฟแรงที่ดังขึ้นมาได้เพราะผลงานการสร้างชื่ออันยิ่งใหญ่ให้กับบริษัทที่เคยล้มละลายด้วยการ ได้เซ็นทำสัญญาด้านสังหาริมทรัพย์กับประเทศแห่งสมบัติอย่างดูไบโดยใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น และยังไม่มีใครได้เป็นเจ้าของหัวใจหนุ่มหน้าแขกคนนี้สักที

แต่ความเพอร์เฟกต์มันไม่มีอยู่ในโลกเมื่อเขาต้องมาเจอกับ

 

อิง แสงตะวัน ภูรินนท์

เด็กน้อยสู้ชีวิต ที่ปากจัดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา แต่ทำไมก็ไม่รู้แค่เห็นประวัติของเด็กคนนี้ในวันนั้น มาถึงวันนี้ ตัวเขาก็ไม่อยากปล่อยเจ้าเด็กนี่ให้ห่างตัวเลย เป็นเหตุให้ต้องหิ้วไปด้วยทุกที่แบบตอนนี้...

"คุณเมฆ..จะพาอิงไปไหน"

"..."

"ถ้าไม่บอกแล้วอิงจะรู้ไหม"

"เงียบ"

"เฮ้ยนั้นมันเฮลิคอบเตอร์นิ"

"..."

"เฮ้!!..ตอบผมก่อนสิ"

"Shut up and up"

"ทำไมต้องเสียงดังใส่ผมด้วย"

คาล์ลที่ยอมทนฟังมานาน หยุดเดินก่อนจะหันกลับไปสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะรวบตัวเจ้าเด็กนี่ขึ้นเครื่องไป หากใช้เครื่องบินรวมคงตกเครื่องแบบไม่ต้องคิด บางทีเค้าว่าให้เด็กนี่อยู่ต่อหน้าผู้บริหารคนอื่นยังจะดีเสียกว่า ต่างกันลิบลับ

 

 

ณ ดูไบ

หลังจากคาล์ลปล่อยให้เขาได้พักผ่อนหลังจากพากันเข้าห้องประชุมไปตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว เขาเลยถือวิสาสะเดินชมคฤหาสน์ใหญ่ของเจ้านายตัวเองสักหน่อย จนมาเจอกับสิ่งมีชีวิตสีขาวสามตัวนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เลยเดินย่องเบาเข้าไปดูใกล้ๆ

"น่ารักจังเจ้าแมวน้อย เอ๊ะหรือลูกหมา"

"คุณเมฆเห็นมืดมนแบบนั้นก็มีมุมมุ้งมิ้งนะเนี่ย"

 

 

เจ้าตัวขาวขนปุยเมื่อได้ยินเสียงและกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็พากับลืมตาขึ้นมาเจอ กับแสงตะวันที่นั่งยองๆมองพวกมันอย่างชื่นชอบ เจ้าเด็กสามตัวพอเจอของเล่นชิ้นใหม่ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก พวกมันพากันลุกขึ้นแล้วก้มหน้าลงต่ำสายตาก็มองที่ของเล่นไม่วางตา

แต่ แสงตะวันตอนแรกออกจะชอบแต่พอเห็นตอนมันลุกขึ้นก็รู้สึกแปลกๆ

"ทำไมพวกนายตัว ยะ..ใหญ่กันจัง"

"!!!"

"ละ..แล้วแล้วจะแยกเขี้ยวใส่เราทำไม"

พอเห็นท่าไม่ดี แสงตะวัน ก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะ ค่อยๆเดินถอยหลังช้าๆ แต่ตอนนั้นเองเค้าจึงได้สำรวจเจ้าแมวสามตัวใหม่อีกที พอรู้ว่าไอ้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แมวอย่างที่คิดขามันก็กับหลังหันวิ่งสุดขีดซะแล้ว

"อ๊าค!!...คุณเมฆทำไมไม่บอกอิงว่าเลี้ยงสิงโตไว้ในบ้าน!!"

ขณะที่ แสงตะวันวิ่งหนีสุดชีวิตเจ้าเด็กแสบสามตัวก็ยิ่งคิดว่าเล่นกับมัน มันก็ยิ่งวิ่งไล่ตามจนหนึ่งในสามตัวตัดสินใจกระโดดตะครุบร่างของแสงตะวันจนกลิ้งกันไปตามทางอีกสองตัวพอเห็นว่าพี่ใหญ่จับได้แล้วก็ยิ่งกระโดดเข้าไปทับเพิ่มอีก ก่อนจะพากันคำรามออกมาพร้อมกัน อย่างผู้ชนะ แต่ตอนนั้นเองที่มีชายตัวใหญ่ที่เพิ่งกลับเข้ามาบ้านอีกครั้งหลังจากออกไปทำธุระข้างนอก ปล่อยให้เด็กแสบได้พักแต่ใครจะคิดว่าจะมาพักไกลถึงคอกสิงโตลูกเค้าได้

" Gีild!! Given!! Ethan!! stop now"

#ป๋าคาล์ลจอมดุ #น้องอิงจัมไม

#ปราบพยศ

ฝากติดตามลูกๆเราด้วยนะ แต่งสดเลยเรื่องนี้อาจใช้การอัพ อาทิตย์ละครั้ง เพราะติดเรื่องอื่นๆด้วย

เรื่องนี้แต่งขึ้นวันที่ 19/12/2020

สถานะ จบแล้ว 5/11/2021

เหนือหมอก

https://www.facebook.com/Nuamok415/

หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 14-11-2021 16:59:37
ตอนที่ 1

ดูไบ ศูนย์รวมแห่งการค้าขาย และส่งออกที่ยิ่งใหญ่อีกประเทศหนึ่ง เพราะสิ่งนี้เลยทำให้หลายประเทศอยากเข้ามาทำการร่วมลงทุน หรือแม้แต่ก่อตั้งถิ่นฐานเป็นของตัวเอง แต่หากใครว่ามันเข้ามาง่ายๆ เหมือนที่คิดคุณคิดผิดมากๆ การลงทุนในประเทศนี้คุณต้องรู้จักและสนิทสนมกับผู้มีอิทธิพลในประเทศนี้อย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อการันตรีว่าคุณจะเข้ามาเพิ่มหลักทรัพย์ให้กับประเทศไม่ใช่ว่ามาเพื่อทำประเทศของพวกเขาพังไป

อัดฮัม อัจมาน คาล์ล ชายผู้อยู่เหนือใครทั้งหมดในประเทศ ครอบครัวของเขามีความเป็นมาที่ลึกลับซับซ่อน จนยากจะค้นหาข้อมูลใดๆ มาชีแจงได้ว่า พวกเขารวยมาจากไหน? และอำนาจที่มีอยู่ใครเป็นผู้ยกให้ หรือหากใครอยากทดสอบ เค้าก็ไม่เคยปฏิเสธหากคิดว่าตัวเองเก่งพอจะสืบค้นข้อมูลของเขาได้ ครอบครัวของเขามีทั้งธุรกิจส่วนตัวและเข้าร่วมลงทุนกับบุคคลหลายประเทศแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเค้าต้องมั่นใจก่อนว่า หากเค้าร่วมลงทุนด้วยแล้วเงินเขามันต้องงอกเงยขึ้นมาไม่ใช่ศูนย์หายไปเปล่าๆ

และเร็วๆ นี้ท่านอาของเขาได้ขอให้เค้าไปดูงานที่ประเทศไทย ประเทศที่เค้าจำแทบไม่ได้แล้วว่าเคยกลับไปครั้งสุดท้ายเมื่อใด อาจเป็นตอนพาศพแม่กลับไปทำพิธีทางศาสนาเมื่อสิบห้าปีก่อน หรืออาจจะตอนที่เค้าคิดอยากจะเป็นคนธรรมดาเมื่อเสียผู้เป็นที่รักไปอีกครั้งนั้นคือพ่อของเค้าห้าปีหลังจากที่แม่ของเค้าเสีย ด้วยการโดนรอบยิ่ง ครั้งนั้นเขาอยู่กับพ่อ แต่ไม่อาจปกป้องท่านได้ เค้ายังจำวันที่พ่อเค้าล้มลงตรงหน้าเพื่อบังกระสุนให้เขาได้ดี มันแสนจะเจ็บปวดกับคำขอสุดท้าย คือขอให้เขาใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมี่ความสุข

แต่เพราะท่านอาไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาผู้เป็นสายเลือดโดยตรงจึงต้องรับมันไว้แทน และเค้าทำมันสำเร็จเมื่อตอนนี้ครึ่งหนึ่งของประเทศนี้เขาเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมด และไหนจะประเทศเพื่อนบ้านหรือแม้แต่ทวีปอื่นๆ เค้าก็เข้าไปมีอิทธิพลร่วม จากการร่วมลงทุนหรือแม้แต่การซื้อหุ้นกับหลายบริษัทที่มีท่าทีว่าจะล้มละลาย และเมื่อเขาเข้าไปเทคโอเวอร์เขาไม่เคยใช้เวลานานเกิน1-2ปีเลยในการทำให้มันกับมามีราคาน่าลงทุนอีกครั้ง ด้วยคอนเนคชั่นที่มี และชื่อเสียงอีกมากมาย

นามแฝงมากมายที่เค้าหยิบมันมาใช้ล้วนแต่มีความอึมครึมลึกลับอยู่ในนั้นเสมอ อย่างเช่นครั้งนี้ที่เค้าต้องไปทำงานที่นั่น ชื่อที่แม่เคยตั้งให้ได้ถูกหยิบกลับมาใช้อีกครั้ง เมฆา สุวรรณเมธี ชื่อที่หมายถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เหมือนอำนาจที่เค้ามีในตอนนี้

“กำหนดเดินทางวันไหน?” คาล์ลเอ่ยถามมือขวาของเขาอย่าง ฟินิกซ์ ฌอร์ ถึงกำหนดการในการเดินทางในครั้งนี้

“อีกสองวันครับ”

“จัดกำลังคนมีฝีมือไปพร้อมฉันห้าคนก็พอ”

“ครับ นายท่าน”

“ (ส่วนนาย...ไม่ต้องไป และไม่ต้องคิดจะขัดคำสั่ง) ”

“รับทราบครับ” ถึงอยากจะตามไปด้วยมากแค่ไหน แต่คำสั่งของคาล์ล ถือเป็นประกาศิตไม่อาจปฏิเสธหรือคัดค้านได้หากยังอยากมีลมหายใจอีกยาวนาน อย่าได้ขัดคำสั่ง อัดฮัม อัจมาน คาล์ล

“ระหว่างอยู่ที่นี่ฉันมีงานให้นายทำ...ฉันไม่ไหวใจใคร”

“ครับ”

คนนอกว่าน่ากลัวแล้ว คนในถือว่าน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะหากเขาต้องอยู่ที่ไทยนานกว่ากำหนดที่ตั้งไว้ แล้วหากไม่มีหูมีตาที่นี้ เค้าอาจจะเสียอำอาจที่มีไปแบบไม่รู้ตัวก็ได้

ปกติแล้วเวลาที่ คาล์ลจะเดินทางไปต่างแดนแบบนี้ เขาไม่เคยไปแบบไม่มีมือขวาไปด้วยเลย แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปแค่เดือนสองเดือน แต่มันอาจจะเป็นปีหรือสองปีเค้าก็ไม่อาจรู้ได้ จึงต้องฝากให้ฟินิกซ์คอยดูแลที่นี้ และท่านอาของเขาด้วย ถึงฝั่งนั้นจะมีลูกน้องฝีมือดีมากแค่ไหนเขาก็ยังห่วงอยู่ดีเพราะ อุซมี อัจมาน คาล์ล คือครอบครัวคนสุดท้ายที่เค้าเหลืออยู่



วันเดินทาง 08:00 น.

“จำไว้...หากเกิดอะไรขึ้นติดต่อฉันทันที”

“Yes sir”

พอสั่งการเสร็จแล้ว คาล์ลก็เดินไปขึ้นรถที่ถูกจัดเตรียมมาเพื่อใช้เดินทางไปขึ้นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่ลานกว้างห่างจากตัวคฤหาสน์ไปห้ากิโลเมตรแต่ยังอยู่ในพื้นที่ของเขา

พอมาถึงลานกว้างก็เจอเข้ากับบอดี้การ์ดอีกสี่คนที่เขาให้ ฟินิกซ์เตรียมไว้ให้ ทุกคนล้วนแต่เป็นคนมีฝีมือตามที่สั่งการไปจริงๆ เพราะทั้งสี่คนนี้คือคนที่ติดตามเขาอย่างใกล้ชิดที่สุดที่อยู่ที่นี้ โดยเฉพาะคนที่ห้า คนที่ไปรับเค้าออกมาอย่าง อีธาน ไลน์เนอร์ คู่หูของฟินิกซ์หรือก็คือมือซ้ายของเค้านั้นเอง เก่งรอบด้าน ไม่ว่าจะการต่อสู้หรือแม้แต่การแฮคข้อมูลสำคัญทางราชกาลเค้าก็สามารถทำได้ ต่อมาก็ สตีเวน โจว มือปืนไร้เงา อนาคิณ ลูกน้องชาวไทยที่สามารถไต่ระดับขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของการอาลักขาได้ด้วยฝีมือที่เหนือกว่าใครหลายคน แถมสายตายังเชียบแหลมว่องไว หาตัวจับอยากไม่แพ้สตีฟเลยก็ว่าได้ และสองคนสุดท้ายพี่น้องแฝดนรก หยินและหยาง หวัง หรืออีกชื่อคือจิมมี่และเจมส์ทั้งสองถือว่าคือที่สุดของความโหดร้าย มายืนจุดนี้ได้เพราะการขอดวนกับมือขวาของเขาอย่างฟินิกซ์ ครั้งนั้นทั้งคู่เผยการต่อสู้ทุกอย่างที่มีถึงจะแพ้แต่การที่สามารถสู้กับมือขวาของเค้าได้นานถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ล้มแถมยังยิ้มสู้ต่อมันก็เพียงพอแล้วกับตำแหน่งนี้

พอขึ้นมานั่งในเครื่อง อีธานก็เดินเข้ามาบอกถึงเวลาในการเดินทาง ว่าจะถึงไทยประมาณ6-7ชั่วโมงให้เค้าพักผ่อนก่อนได้เลย หากถึงที่หมายแล้วมันจะมาเรียก เขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้นแต่ไม่ได้หลับหรือพักผ่อนแต่อย่างใด

เขานำเอกสารที่ท่านอาให้มาบอกว่าเป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริษัทที่เขาต้องไปดูแลที่ไทย พอนึกถึงเรื่องนี้คาล์ลก็นึกขึ้นมาได้ว่า เค้ายังขาดหน้าที่สำคัญไปอีกหนึ่งอย่าง จึงได้เรียกให้อีธานมาพบ

“ช่วยหาเลขาใหม่ให้ฉันด้วย ขอคนที่ทำงานได้แบบไม่จำกัดเวลา ขอตนที่คิดว่าทุ่มเทให้งานได้ดีที่สุดและเน้นที่เป็นผู้ชายหรือไมก็คนที่มีครอบครัวแล้วเท่านั้น”

“ที่จริงเราเตรียมเลขาไว้ให้ท่านแล้ว แต่หากท่านต้องการเป็นเป็นแบบนั้นเราจะเปลี่ยนให้ทันทีครับ”

รับคำเสร็จก็กับไปนั่งที่เดิม ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าจะไปหาเลขาดีๆ ได้จากที่ไหน ขนาดคนนี้ที่ได้มายังไปรับมาจากอีกบริษัทในเครือเลย เพราะหากจะหาคนที่เก่งน่ะ มีมากมาย แต่คนที่เก่งหลายภาษาแถมต้องใจเย็นเนี่ยสิจะหาจากไหน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว แต่หากพูดออกไปคงไม่พ้นสายตาดูถูกของบอสแน่ๆ เฮ้อคิดไปตอนนี้ก็ปวดหัวรอถึงไทยคอยว่ากันคงต้องแอบหาประวัติเองซะแล้ว



ณ ประเทศไทย 16:25น.

พอลงจากเครื่องได้ อีธานก็ปลีกตัวออกจากการคุ้มครองบอส โดยฝากสตีฟดูแลน่าที่นี้แทน ซึ่งสตีฟเองที่อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อคนขอให้เขาดูแลบอสหายไปจากเรดาร์สายตา อยากจะเอามือทึ่งหัวตัวเองแรงๆ สักที

“อีธานไปไหน?”

“เอ่อ!! ไม่ทราบครับ” คาล์ลได้ยินแบบนั้นก็งะงักเท้าที่กำลังเดินจะไปขึ้นรถลงทันที เขาหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกับสตีเวน ประมาณว่าไม่รู้ได้ไง

“...” สตีเวน ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะสู้สายตาของบุคคลเบื้องหน้าเขาได้เลย

“ให้ตายสิ...นี่ฟินิกซ์ส่งใครมาให้ฉันกันเนี่ย! เพื่อนหายไปไหนยังไม่รู้”

คนฟังแทบอยากจะร้องไห้ ได้แต่สบถด่าไอ้คนที่ไปไม่บอก แถมยังได้ยินไอ้สองแฝดนรกนั่นขำอีกเสียหน้าชะมัดเลย อย่าให้เจอกับตัวบางนะแม่จะขำให้ฟันน้ำนมหลุดเลยคอยดู

กว่าจะมาถึงที่พัก คาล์ลก็รู้สึกปวดหัวให้กับบอดี้การ์ดชุดนี้จริงๆ ถึงจะเป็นชุดประจำที่ใช้ที่ดูไบ แต่ปกติพวกนี้จะฟังคำสั่งของมือขวาเค้าอีกที ไม่ได้เข้ามาใกล้เค้าถึงขนาดนี้ บางทีก็สงสัยว่าเจ้านั้นมันทนพวกนี้นานๆ ได้ยังไง เรื่องฝีมือเค้าไม่เคยปฏิเสธเลยว่าดีเยี่ยม แต่เรื่องนิสัยที่มัน โอ้ว!!ช่างเหอะแค่คิดก็ปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว

“พวกแกออกไปกันได้แล้ว” เค้าบอกอย่างเหนื่อยๆ ให้ตายสิทำงานทั้งปียังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย

หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องของเขา เขาก็ได้โทรไปหาฟินิกซ์ เพื่อถามไถ่สถานการณ์ทางนั้นถึงจะผ่านมาแค่7ชั่วโมงเค้าก็อยากให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย หลังจากถามข่าวเรียบร้อยเขาก็วางสายจากลูกน้องคนสนิทเพื่อที่จะเตรียมตัวไปอาบน้ำ

19:00 น.

ตอนนี้ถือเป็นเวลามื้อค่ำสำหรับเขา ในระหว่างที่กำลังทานอาหารอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องเกิดขึ้น หากเป็นฟินิกซ์จะรู้ดีว่าเวลานี้ถือเป็นเวลาที่เขาให้ความสำคัญมากอย่างหนึ่งห้ามรบกวนหรือแม้แต่รายงานข่าวสารอะไรทั้งนั้น แต่พอนึกได้ว่าบุคคลที่ตัวเองนึกถึงตลอดไม่ได้อยู่จุดนี้ ก็ได้เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเข้มให้เข้ามาได้

ด้านนอกพอได้รับอนุญาตก็เปิดประตูเข้ามาทันที ถึงจะรู้สึกเย็นแปลกๆ กับพื้นที่ภายในห้องแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอเดินเข้ามาถึงโต๊ะอาหารก็ต้องกยุดชะงักรีบก้มหน้าทันทีแทบจะลืมเรื่องที่จะมารายงานเลย

“ว่ามา..”

“เอ่อ...เลขาที่ท่านให้ผมหามาให้ใหม่ผมได้มาแล้วนะครับ แต่ผมได้มาทั้งหมดสามคน”

ก้านแก้วที่โดนควงอยู่บนนิ้วหนาหยุดชะงักลงกับการรายงาน สิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดทานอาหารไปเมื่อครู่ คาล์ลวางแก้วไวน์ราคาแพงลงก่อนจะแหงนหน้ามองบอดี้การ์ดที่หายไป3ชม. แล้วกลับมาพร้อมการขัดเวลากินของเขาเพื่อรายงานเรื่องแค่นี้! ให้ตายสิ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคิดผิดที่ไม่ให้ฟินิกซ์มาด้วยนะ อยากจะบ้า

“นายรีบเข้ามาขัดเวลาที่ฉันกำลังทานมื้อค่ำ...เพราะเรื่องแค่นี้เหรอ อีธาน? บอกฉันสิ๊ว่ามันสำคัญมากถึงกับต้องรีบรายงานให้ฉันรู้”

“Sorry Boss”

คาล์ล จ้องมองลูกน้องที่ต่อไปต้องประสานงานให้เขาแบบเอือมละอา และเรื่องที่หายไปก็คงไม่ต้องถามแล้วว่าไปไหน ให้ตายสิเขาต้องมาเป็นคนถามลูกน้องตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะไปไหนทำไมมันรู้สึกวุ่นวายแบบนี้นะ

เขาเลยตัดบทตัวเองด้วยการเปลี่ยนเรื่องแทน

“แล้วทำไมได้มาตั้งสามคน ฉันต้องการแค่คนเดียว”

“ผมเตรียมมาเผื่อ บอส ต้องการเลือกเองครับ” ถึงจะดูยุ่งวุ่นวายหลายขั้นตอน แต่ยังถือว่ารอบคอบที่ยังหามาเผื่อสำรองเขาไม่เลือก พอได้ยินแบบนั้นคาล์ลก็พยักหน้าไม่ได้พูดอะไรอีก อีธานเลยวางเอกสารที่ตัวเองไปค้นหาและคัดเลือกคนมีฝีมือดีจนเหลือเพียงสามคน และข้อมูลทุกคนแน่นกว่าเรซูเม่เสียอีก เพราะเขาเป็นคนหาประวัติเองโดยไม่ใช่การมาสมัครที่บริษัท ข้อมูลที่ไม่ได้มีในใบสมัครทั่วไปจึงมาอยู่ที่นี้ทั้งหมด

คาล์ลตัดสินใจที่จะเดินหยิบเอกสารไปที่โซฟาหน้าทีวีจอใหญ่ก่อนจะล้มตัวนั่งลงไป หลังจากรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มันไม่อร่อยอีกต่อไป เขาหยิบเอกสารชุดแรกที่เย็บมาอย่างดีขึ้นมาดูประวัติของบุคคลที่จะมาเป็นเลขาของตัวเอง

คนแรกจบมาจากต่างประเทศเกียรตินิยม2ใบ ที่บ้านทำธุรกิจส่งออกกันหลายประเทศ แต่เบื้องหลังครอบครัวค่อนข้างมีเบื้องลึกเบื้องหลังเยอะเกินไป ซึ่งเขาได้ตัดทิ้งไปเพราะไม่อยากมีปัญหาหากภายภาคหน้าเกิดอะไรขึ้น

คนที่สองเคยทำงานให้กับบริษัทยักใหญ่ของไทยมาแล้วนับไม่ถ้วนแต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องตัดคนนี้ออกคือสามารถใช้เงินซื้อตัวได้ง่ายเกินไป แถมวงเงินที่ขอมามันมากกว่าผู้บริหารบางคนเสียอีก

“นี่มันคิดว่าประเทศนี้หุ้นตัวละกี่บาทกันถึงกล้าข้อเงินเดือนตัวเองเยอะขนาดนี้”

ถึงเขาจะรวยล้นฟ้าแต่การใช้จ่ายแบบไม่คิดก็มีวันหมดได้เหมือนกัน และการที่ผู้ชายคนนี้ขอวงเงินหลักแสนให้ตัวเองแรกกับความลับทั้งบริษัท สำหรับคาล์ลแล้ว มันไม่คุ้มเอาเสียเลยสู้เอาเงินจำนวนนั้นไปจ้างคนอื่นได้อีกตั้งหลายคน คิดได้เท่านั้นก็แทบจะปาเอกสารในมือทิ้ง ก่อนจะหันไปหาอีธานที่ยืนตัวรีบอยู่ด้านข้างของเค้า พอเจอสองคนแรกแล้วตัวเขาก็แทบไม่อยากหยิบเล่มสุดท้ายขึ้นมาเลย แต่ก็ต้องจำใจหยิบขึ้นมา พอเปิดเข้าไปดูหน้าแรกก็ทำเอาเขาชะงักไปนิดนึง ก่อนจะเริ่มอ่านประวัติ แต่ยิ่งอ่านคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่ามันแย่ แต่มันดูไม่เข้ากันเลยสักอย่าง ตั้งแต่เรื่องครอบครัวที่อยู่กับแม่และน้องสาวรวมแล้วก็สามคน ที่บ้านแม่เปิดร้านขายข้าวแกง เรียนจบปริญญาตรีคณะบริหารอินเตอร์ ได้เกียรตินิยมอีกด้วย ฟังดูมันก็ไม่มีอะไรที่แปลกเลย หากไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ใช้เงินจากครอบครัวเลยสักบาทในการส่งตัวเองเรียน แต่เป็นเพราะตัวของเขาเอง ไหนจะที่ทำงานเก่งจนสามารถพูดได้ถึงห้าภาษา จากการทำงาน ย้ำว่าการทำงาน เด็กคนนี้ไม่ได้เรียนด้านภาษาอื่นๆ เลยนอกจากภาษาหลักอย่าง ‘อังกฤษ’ แต่เก่งได้ขนาดนี้ น่าแปลกตรงที่พอเรียนจบ ดันไม่มีคนรับเข้าทำงานทั้งๆ ที่ประวัติที่อีธานได้มามันบอกว่าเด็กคนนี้ไปสมัครไว้หลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนตอบกลับเลยมันน่าแปลก พออ่านจนจบหน้าสุดท้าย เค้าก็กลับมาดูหน้าแรกอีกครั้งก่อนจะขมวดคิ้ว แล้วหันไปถามลูกน้องว่า...

“เด็กคนนี้ขอเงินเดือนเท่าไหร่ ทำไมไม่มีในประวัติ”

“13,000บาทครับ จากที่ผมลองค้นจากบริษัทอื่นดู”

“แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้งาน?”

“อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับ มันไม่มีแจ้งบอกในประวัติ” ยิ่งอีธานตอบแบบนั้น เค้ายิ่งคิ้วขมวดเข้าไปใหญ่ อะไรที่ทำให้เด็กคนนี้ยังไม่มีคนรับเข้าทำงานกันนะ แต่อยู่ๆ มุมปากเขากับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นก่อนจะเอ่ยกับลูกน้องคนที่กำลังต้องสนิทไปว่า...

“ฉันรับเด็กคนนี้ และบอกเค้าไปว่า ฉันจ้างเค้าในราคา20,000บาทหากเขายอมตกลง และบอกไปอีกว่านั้นเป็นเพียงเงินเดือน ที่ยังไม่รวมสวัสดิการที่เขาจะได้รับ”

“รับทราบครับบอส”

“แสงตะวันงั้นหรอ หึ น่าสนใจ”





TBC.

เนื้อเรื่องตอนนี้ก็จะยาวหน่อยนะคะ อาจจะดูอ่านยากนิดหนึ่งเพราะการบรรยายที่ยาวจนเกินเหตุแต่ตอนหน้าสัญญาว่าไม่ยาวแบบนี้แล้วเนอะ

ตอนนี้ คุณคาล์ลหรือคุณเมฆของเรายังไม่ได้เจอกับน้องนะคะ เพียงได้อ่านประวัติการสมัครงานเท่านั้น  มีใครสงสัยไหมว่าทำไมน้องถึงไม่ได้งานทำสักที ไปร่วมลุ้นกันน้าาา พูดคุยกันได้ที่นี่เลยจ้า

[/font][/size][/color][/pre]
[/size][/font]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 17-11-2021 20:08:08
ตอนที่ 2 การสัมภาษณ์งาน



[อิง]



การเป็นอยู่ในแต่ละวันของผมถือว่าธรรมดามาก ตั้งแต่ผมเข้ามหาลัยผมก็เริ่มทำงานแล้วเพื่อที่จะส่งตัวเองเรียนหนังสือ ไม่ใช่ว่าผมอยู่ตัวคนเดียวหรอกนะครับ ผมยังมีครอบครัวอีกสองคนคือแม่และหนูอรน้องสาวของผมเอง แต่ที่ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยเพราะที่บ้านเราไม่ได้รวยเหมือนคนอื่นเขา ยังหาเช้ากินค่ำ ไหนจะค่าใช้จ่ายในบ้านไหนจะค่าเรียนน้องสาวผมอีก ผมไม่สามารถเห็นแม่ทำงานคนเดียวได้ พอขึ้นปี1 ผมเลยขอแม่ออกมาหางานทำเองซึ่งตอนแรกแม่จะไม่ยอม บอกว่ายังไหวอยู่แค่ผมกับน้องแม่เลี้ยงได้สบาย อ่อ!!แม่ผมทำงานอะไรน่ะหรอ ที่บ้านผมเปิดร้านข้าวแกงขายครับ อร่อยสุดในซอยนี้เลยแหละ หากใครเข้ามาซอยนี้แล้วไม่ได้กินอาหารร้านป้าน้ำถือว่ามาไม่ถึงน้า...

นอกเรื่องอีกละนั้นแหละครับ หลังจากวันนั้นผมเลยไม่กล้าขอแม่อีก จะบอกไงดีล่ะไม่ใช่ล้มเลิกความตั้งใจนะ แต่ใช้วิธีแอบไปแทน ช่วงแรกเหมือนจะหลอกได้หน่อยว่า มีกิจกรรมที่มหาลัยลัยทำให้เลิกดึก แต่พอนานวันเข้าแม่ก็จับได้ แต่ท่านก็ไม่ได้โกรธหรอกนะครับ ท่านบอกเป็นห่วงผมมากกว่ากลัวว่าจะโดนคนอื่นหลอกเอา แต่ผมก็บอกว่าผมเอาตัวรอดได้ แม่เลยยอม ช่วงปี 1 ปี 2 ผมทำงานสองที่ครับ ถ้าวันไหนมีเรียนบ่าย ตอนเช้าผมจะไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ซึ่งพี่เจ้าของร้านน่ารักมาก พี่เขาบอกว่าตอนที่เขายังเรียนเขาก็ทำแบบผมพอเรียนจบ เลยทำงานเก็บเงินมาเปิดร้านนี้ ซึ่งทำเลดีมากๆ ส่วนถ้าวันไหนมีเรียนเช้าผมจะทำงานสองที่คือที่ร้านเบเกอรรี่ถึง5โมงเย็น แล้วก็ไปทำงานร้านเหล้าที่พี่เจ้าของร้านเบเกอรี่บอกเป็นร้านของแฟนพี่แก เลยแนะนำผมให้แต่ที่นี้ผมรับเป็นเงินเดือนไม่เหมือนที่ร้านเบเกอรี่ที่รับเป็นเงินสดเลย ผมถือว่าดี มันเป็นการล็อคเงินไปในตัว อย่างรับรายวันผมก็ใช่เงินส่วนนี้ในทุกๆ วันเหลือก็เก็บได้ รายเดือนก็เอาไว้ใช้จ่ายในเรื่องค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในเรื่องรายงานหรือช่วยแม่เรื่องค่าน้ำค่าไฟ ดีหน่อยที่บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านเราเอง

นั่นแหละครับแล้วพอขึ้นปี3ผมก็ต้องไปฝึกงานพอจบจากฝึกงาน ก็ติดทำโปรเจคจบเลยไม่ได้ไปทำงานอีกซึ่งพี่ๆ ก็เข้าใจแล้วบอกหากเรียนจบแล้วยังไม่มีงานทำก็มาทำกับพี่ๆ เค้าก่อนได้ ฮ่าๆ นั้นคือตอนที่ผมไปหาก่อนเรียนจบ แต่...

“อ่าวอิงเป็นไงบ้างลูก”

“แฮร่ที่ร้านพนักงานเต็มอ่ะแม่” ครับพอผมจบแล้วและระหว่างรอเรียกสัมภาษณ์จากบริษัทที่ไปสมัครไว้ ผมก็ลองโทรไปถามพี่ๆ เค้าดูแต่ผมคงช้าไป เพราะก่อนผมโทรเข้าไปพี่เค้าเพิ่งรับคนเข้าใหม่และตำแหน่งมันเต็มหมดแล้ว

“แต่ไม่เป็นไรหรอก อิงสมัครไว้หลายที่ แม่ไม่ต้องห่วงนะ ระหว่างรออิงก็ช่วยแม่ขายข้าวแกงเราไปก่อนไง ดีไหมจ๊ะ จะได้ดูแลแม่ด้วย”

“ดูพูดเข้า ที่ร้านก็มี กระจิบ กับเท่งช่วยแม่แล้วไหนจะหนูอร ที่เลิกเรียนมาก็มาช่วยแม่อีก”

.

.

“เหนื่อยไหมลูก”

“หือ! ไม่เลยจ๊ะสนุกออก”

“แม่หมายถึง...ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เหนื่อยบ้างไหมหื่ม?”

“แม่!!!อิงบอกแล้วไง ที่อิงทำก็เพราะไม่อยากให้แม่เหนื่อยเกินไป อิงอยากให้แม่พักบ้าง อิงสบายมาก” ร้อยยิ้มของผมไม่เคยหลอกแม่ได้เลยสักครั้ง รอยยิ้มที่เหมือนคนร่าเริงแต่ไม่รู้ทำไม มันถึงเหมือนยิ้มไม่สุดเลยสักครั้ง

“อึก...ถ้าแม่มีเงินหรือมีงานที่ดีกว่านี้ อิงกับหนูอรก็ไม่ต้องลำบากแบบนี้ คงไม่ต้องอายเพื่อนที่บ้านเราเป็นแบบนี้”

“แม่...แม่พูดอะไรจ๊ะ อิงไม่เคยอายใคร ที่เป็นลูกแม่น้ำ แม่ค้าขายข้าวแกง แม่คือทุกอย่างของอิงกับน้องนะ ถ้าเพื่อนอิงจะเลิกคบอิง เพราะฐานะทางบ้านก็ปล่อยไปสิ คนที่เป็นเพื่อนแท้อิงก็ใช่ว่าจะไม่มี อย่าง นาวา ดินและก็ยายวรรณไง”

ใช่ครับผมเคยโดนดูถูกจากเพื่อนตอนที่เรียนมหาลัย กับฐานะทางบ้านแต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมถือว่าเขาพูดได้ สักวันเขาก็ลืมได้เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่น้อยใจ แต่ผมถือว่ามันเป็นการชีวัดใจคนไปด้วย ผมเลยเหลือเพื่อนเท่าที่พูดไปในตอนแรกไงครับถึงจะมีบ้างคนในกลุ่มคบผมเพราะฝีมือทำอาหารแม่ผมก็เหอะ (มันปากแข็ง)

“แล้วที่ไปสมัครมามีที่ไหน โทรตามไปสัมภาษณ์บ้างหรือยังลูก”

“...ยังจ้ะแม่คงตรวจสอบเอกสารอยู่มั่ง”

“แต่แม่ว่ามันนานแล้วนะลูก”

“ตำแหน่งที่อิงไปสมัครมันค้อนข้างต้องพิจารนาอย่างถี่ถ้วนน่ะจ้ะแม่”

“เฮ้อออ เอาเถอะๆ ไปไปกินข้าวกันดีกว่า”



18:45 น.



ชีวิตของผมก็ดำเนินไปแบบนี้แหละครับ เช้ารีบไปหาที่สมัครงาน ที่เริ่มจะน้อยลงทุกที สายๆ มาช่วยแม่เก็บร้านเพราะของหมด แล้วตกดึกก็นั่งทานข้าวกันห้าคน มีผมแม่น้องอร กระจิบ เท่ง สองคนหลังเป็นลูกจ้างที่ร้านแม่ครับ เป็นเด็กดีทั้งคู่เลย แต่ครอบครัวทางบ้านจนกว่าผมมาก เลยไม่ได้เรียนโรงเรียนปกติเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน เด็กทั้งสองจบ ม.ต้น และตอนนี้ก็เรียน กศน.กันอยู่ เป็นผมเองที่บอกให้น้องๆ อย่าทิ้งการเรียน เพราะขนาดผมที่เรียนจบแล้ว ยังหางานยากเลย แล้วน้องทั้งสองหละ จะมาเป็นลูกจ้างร้านข้าวแกงวันละสามร้อยบาทตลอดไปไม่ได้หรอกนะ



หลังกินข้าวเสร็จเก็บกวาดเรียบร้อยเด็กทั้งสองก็พากันกลับบ้าน ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อเลยขอแม่ขึ้นมาพักผ่อน ก่อนจะหยิบสิ่งที่ผมหยิบทุกวันขึ้นมาเปิดดูก่อนจะเก็บไว้ที่เดิม

“เหลือน้อยลงไปทุกทีสินะ”

“ทำไมมันหายากจังนะงานเนี่ย”

“ตาจ๋ายายจ๋าช่วยให้อิงได้งานเร็วๆ ด้วยนะจ๊ะ อิงสงสารแม่ ถ้าอิงได้งานนะอิงจะ อิงจะ อิง!!! คิดไม่ออก เอาเป็นว่าถ้าอิงได้งานอิงจะทำให้สุดฝีมือเลย นะจ๊ะ สาธุ!!” มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแหงนมองบนฟ้า แล้วพูดอะไรเป็นตุเป็นตะแบบนี้ ทำไงได้คุยกับคนไม่อยู่มันสบายใจกว่าคนกับคนอยู่นิ ไม่อยากให้แม่เครียดไปด้วย





3วันต่อมา

07:30 น.



“รับอะไรดีจ๊ะ”

“อ่าวอิง ยังไม่ได้งานอิงเหรอเรา?”

“ยังเลยจ้ะพี่สา”

“แย่หน่อยนะ งานเดี๋ยวนี้มันหายาก”

“จ้า”

“งั้นพี่เอาพะโล้ใส่ถุง 1 อย่าง ข้าวเปล่าด้วย10บาท แล้วก็เอาแกงเขียวหวานราดข้าวหมูทอดด้วย ทานที่นี่จ้า”

“ได้จ้าพี่สานั่งรอก่อนนะเดี๋ยวให้น้องเอาไปให้ที่โต๊ะ” วันนี้ผมก็ยังมาช่วยแม่ขายข้าวแกงเหมือนเดิมครับ ที่แตกต่างคงเป็นวันที่ผมไม่คิดจะไปหางานแล้ว ขอพักหน่อยเหอะ หามาหลายที่แล้ว เงียบทุกที่ ขนาดที่ๆ เคยไปฝึกงานยังไม่สามารถรับผมเข้าทำงานได้เลย ที่อื่นก็คงไม่ต่างกัน บ้างทีการขายข้างแกงช่วยแม่ก็สนุกดีนะ

“อิง..อิงลูก มีสายเข้าน่ะ”

“แม่รับเลยจ้า อิงมัดถุงแกงแป๊บนึง”

“อิง เขาบอกโทรมาจาก บริษัทAQT โทรมาเรียกตัวไปสัมภาษณ์งานลูก”

เคร้ง

“อะ..อะไรนะแม่” ผมได้ยินแบบนั้นก็เรียกให้เท่งมาตักอาหารแทน แล้วรีบเดินไปหลังร้านทันที จะบอกยังไงดี ดีใจ ตื่นเต้น งุนงง หรือไรว่ะ

พอมาถึงแม่ก็ยื่นมือถือของผมมาให้ ด้วยใบน่าเปื้อนยิ้ม รอบดวงตามีแสงวาววับของน้ำตาที่คลออยู่

“สวัสดีครับ ผมแสงตะวันพูดครับ” ยิ้มดิ

“สวัสดีครับผมอีธาน เอ่อขอพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ไหมครับผมไม่ค่อยสันทัดภาษาไทย” ผมยิ้มอย่างดีใจ แต่ในใจกับกำลังเถียงอยู่ว่าใช่หรอ แต่จะให้ผมถามออกไปคงไม่ดีแน่

“ได้ครับ”

(การสนทนาต่อไปนี้จริงๆ แล้วเค้าพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษแต่ด้วยความต้องแปลไปมา ทำให้ต้องเขียนเป็นไทยให้เข้าใจตามนี้นะคะ)



“ผมโทรมาจาก AQT เคยได้ยินชื่อนี้ไหมครับ”

“เคย เมื่อกี้นี้ครับ เอ่อขอโทษครับ ผมตื่นเต้นไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ทราบคุณสะดวกมาสัมภาษณ์ไหมครับ”

“สะดวกครับ” ผมรีบโผงออกไปทันทีโดยไม่ได้ถามเลยว่าวันไหน แต่ไม่เป็นไรไม่อยากเล่นตัวเดี๋ยวไม่ได้งาน

“ครับ...เดียวยังไงผมขอช่องทางติดต่อออนไลน์หน่อยครับผมจะส่งที่อยู่ไปให้ นั่งแท็กซี่มาได้เลยเราออกค่าใช้จ่ายให้”

“แต่ผมยังไม่เป็นพนังงานเลยนะครับ”

“คุณได้เป็นพนักงานเราตั้งแต่คุณยอมรับสายแล้วครับ ที่ให้มาเพราะจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานและสวัสดิการต่างๆ”

“ดะ..ได้ได้เป็นพนักงานแล้ว จริงๆ หรอครับ”

“ครับ ยังไงขอช่องทางติดต่อด้วยครับ” คำถามที่อยู่ในหัวตอนนี้มีเต็มไปหมด แต่จะถามตอนนี้ก็กลัวเขาจะเปลี่ยนใจ เลยให้ช่องทางไลน์เขาไปง่ายดีเพราะมันเชื่อมต่อกับเบอร์โทรอยู่แล้ว

“แม่!!!เดี๋ยวอิงกลับมานะจ๊ะ”

“จะไปไหนอิง ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรอลูก”

“เออ!! จริงด้วย ตายๆ เกือบไปแล้วเรา เห็นเราในสภาพนี้เค้าคงกล้ารับหรอก” พึมพำกับตัวเอง

“อย่ามัวแต่พึมพำตาอิงนี่ รีบไปไม่ใช่หรอเรา” พอได้สติก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที น้ำไม่ต้องอาบ ดมกลิ่นแล้วยังโอเคอยู่ ผมเลือกเป็นเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน เนคไทสีน้ำเงินเข้มลายขวางนิดหน่อย กางสแลคสีดำ ใช้เป็นเป้ในการเก็บเอกสาร เผื่อต้องใช้เพราะผมว่าผมไมเคยไปสมัครงานกับทางเค้ามาก่อน



10:00 น.



“ยังทัน...ขอโทษนะครับผมมาหาคุณอีธาน” ผมรีบตรงไปที่ประชาสัมพันธ์ทันทีที่มาถึง ยังดีที่มาถึงก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมง

“นัดไว้หรือเปล่าคะ”

“ครับ ชื่อแสงตะวัน”

“อ่อ เลขาท่านประทาน”

“คะ..ครับ ประทานเหรอ!”

“อ่าวยังไม่ทราบรายละเอียดหรอคะ? งั้นไปที่ลิฟต์ตัวขวานะคะบอก รปภ.ว่าไปชั้นที่38 อันนี้เป็นบัตรผ่านค่ะ อย่าทำหายนะคะ”

ผมที่ยัง งงๆ กับสถานการณ์ก็เดินอึนๆ ไปที่ลิฟต์ด้านขวาและแจ้งกับ รปภ.ก่อนที่เค้าจะขอบัตรในมือผมไปสแกนอะไรสักอย่าง ก่อนจะรู้สึกว่าลิฟต์มันกำลังจะเคลื่อนตัวไป





ติ้ง!!

และแล้วก็มาถึงชั้นที่ผมต้องมา ซึ่งพอลิฟต์เปิดก็เห็นกับคนที่หน้าคล้ายกันนั่งเล่นที่โซฟา ใกล้กับลิฟต์ที่เปิดออก ทั้งสองหันมามองผมก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา ก่อนจะพูดภาษาจีนใส่ผม แบบ...

“หยิน..แกว่าสวยไหมวะ”

“เออสวย สลัด ผู้ชายจริงป่ะเนี่ย”

พอได้ยินแบบนั้นผมเลยยิ้มใส่ก่อนจะตอบเป็นภาษาจีนแบบที่พวกเขากำลังคุยกัน

“จริงครับ”

ขวับ!!

อือหือคอเคล็ดแล้วไหมนั่นนะ หันไวไปไหน!

“นายฟังออกด้วยหรอ”

“ครับ” ยิ้มสู้

“ไม่สนุกเลย” แล้วทั้งสองก็ทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเดินพาผมไปข้างหน้าต่อ อะไรมันจะหงอยขนาดนั้น

“นี่ นายน่ะชื่ออะไร”

“ผมชื่ออิง คุณคงหยิน แล้ว!คุณ..”

กึก

“อะ อะไรทำไมมองผมแบบนั้น”

“นายมองพวกเราออกได้ไง ไม่เคยมีใครแยกพวกฉันออกเร็วขนาดนี้ นอกจากลูกพี่ และบอสก็ไม่มีใครทายถูกเลย”

“ไม่นะ มันมีความแตกต่าง คุณชอบเอามือร่วงกระเป๋าตลอดเลยตอนคุยกัน เนี่ยตอนนี้ก็ทำ ส่วนคุณหยินเค้าชอบกอดอก”

“อ่า!! ฉันชักจะชอบนายแล้วสิ” ผมยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนที่เราจะออกเดินกันต่อ ทางเดินบนนี้โคตรเงียบเลย มีแต่ห้องกระจก บ้างห้องจัดเหมือนห้องรับแขก บ้างห้องเหมือนห้องพัก ดูสบายจัง

“ที่โซนนี้เป็นของพวกเรา แล้วก็เดี๋ยวจะมีลุงๆ อีก3คน จะแนะนำอีกที”

“ครับ”

พอเดินเลี้ยวมาทางซ้ายมือก็จะเจอห้องกระจกดำทึบเลย อยู่หนึ่งห้องและปีกขวาก็เช่นกัน

“อ่ะ ฉันส่งนายแค่นี้นะ แล้วเจอกันวันที่นายเริ่มงานอีกที”

ก๊อก ก๊อก

“ลุงผมเอาเด็กมาส่ง”

“ให้เขาเข้ามา และฉันก็ไม่มีหลานอย่างพวกแก”

ทั้งสองยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจแล้วเดินมายิ้มให้ผม ก่อนออกจากห้องไป

แต่แปลกกับการโต้ตอบกับเมื่อกี้มาก คนหนึ่งพูดจีนไป อีกคนตอบอีกภาษาหนึ่งมาซึ่งตรงกันเฉยเลย สุดยอด

“ขออนุญาตครับ”

“เชิญนั่งครับ ให้ผมเดาคุณคงมาถึงนานแล้วแต่โดน ไอ้สองแสบกวนใช่ไหม”

“อ่า ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ทั้งคู่น่ารักดี”

“หึ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นดีกว่า เข้าเรื่องเลยดีกว่า”

“อันนี้เป็นเอกสารข้อตกลงในการทำงานที่นี้ของคุณลองอ่านก่อนก็ได้ หรือหากไม่เข้าใจตรงไหนบอก หรืออยากได้แบบเอกสารไทย ก็บอกผมจะจัดการให้”

“ครับ”

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมา ก่อนจะเริ่มถามกับคำถามที่คาใจ

“ก่อนจะอ่านรายละเอียด ผมขอถามได้ไหมครับว่ารู้จักผมได้ยังไง เพราะผมจำได้ว่าไม่เคยมาที่นี่มาก่อน หรือมีใครแนะหรอครับ”

“ที่จริงข้อมูลของคุณผมเป็นคนหาเองครับ คือบอสของเราต้องการคนที่สามารถทำงานกับเขาได้แบบไม่จำกัดเวลา และรอบรู้เรื่องภาษาซึ่งคุณตรงกับข้อนี้มาก อีกส่วนคือผมเห็นประวัติการฝึกงานของคุณ ที่มันดีมาก ไหนจะการเรียนที่ดีมาตลอด เข้ากับคนได้งาน ชอบพูดและเจรจา ข้อนี้สำคัญมากๆ กับการทำงานร่วมกัน”

“แต่ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์อื่นเลยนอกจากฝึกงานนะครับ ผมไม่เคยทำงานบริษัทใหญ่ๆ มาก่อนเลย กลัวว่าจะทำงานให้คุณได้ไม่ตรงตามที่คุณต้องการ”

ถามว่าผมอยากได้งานไหมก็อยากแต่ตำแหน่งที่เขาจะให้กับผมมันใหญ่มากนะ

“คุณลองอ่านในสัญญาจะรู้ครับ เราไม่ได้ให้คุณเริ่มงานเลย หมายถึงหน้างานน่ะครับ ระหว่างที่คุณเรียนรู้งานผมจะดูแลส่วนนี้แทนคุณไปก่อนและ...”

“แล้วทำไมคุณไม่ทำต่อละครับ”

“หึครับ ผมก็ยังทำอยู่แต่ส่วนมากจะเป็นงานที่อยู่นอกเหนือจากงานของคุณอยู่มากเลยต้องมีคุณเข้ามาอยู่ในจุดนี้”

ผมพยักหน้าเข้าใจถึงจะมีคำถามอีกมากมาย แต่ก็เหมือนยังไม่ถึงเวลา ผมเลยก้มหน้าลงอ่านเอกสารตรงหน้าแทน ระหว่างที่อ่านเอกสารอยู่นั้นคุณอีธาน ก็ได้โทรเรียกให้ใครไม่รู้เอาเครื่องดื่มมาให้ผม”





“ฉันไม่ใช่เด็กเสิร์ฟของนายนะอิฟ”

“ย๊ากก!!แม่ช่วยลูกด้วยหนูจะจมน้ำ”

“ฮ่าๆ ที่นี่มันชั้น38นะ ไม่จมหรอก”

“คิณนายทำเธอตกใจ” กดเสียงต่ำ

“โทษๆ ไม่คิดว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้”

“ไม่เป็นไรครับ อ่ะ!!..คุณเป็นคนไทย”

“อืม ฉันคิณ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ครับ ผมอิง”

“ออกไปได้แล้ว”

“นี่ เวลาจะใช้นายก็เรียกหา เวลาหมดค่านายก็ไล่”

“ออกไป”

“เออ” พอพูดจบคุณคิณก็เดินหน้าตึงออกไปเลย

“ทำไมผมรู้สึกปวดหัว” อยู่ๆ คุณอีธานก็พูดขึ้น ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เขาก่อนจะอ่านเอกสารต่อ

ในเอกสารก็จะมีเรื่องเงินเดือนที่โคตรจะเยอะ ไหนจะสวัสดิการที่มากกว่าที่ไหนๆ ที่เคยเห็น แถมมีประกันอุบัติเหตุให้ด้วย (ที่ไม่ใช่ประกันสังคม) เบ็ดเสร็จผมได้เงินเดือนเกือบ25000บาท และยังมีรถประจำตำแหน่งให้ด้วย กรณีบอสเรียกใช้นอกเวลางาน ซึ่งในช่วงนี้ผมก็จะได้เงินพิเศษอีกเป็นรายชั่วโมง ฮ่าๆ ชั่วโมงค่าเสียเวลา2000บาทต่อ ชม. บ้าไปแล้ว!!!

“อ่านแล้วเป็นไงบ้างครับ โอเคไหม? หรืออยากเพิ่มอะไรอีกบอกได้เลยนะ”

“เอ่อ จะบอกมีก็มีครับ แต่เป็นการตัดเงินช่วงร่วงเวลาเป็น ชม.ละ 500หรือ1000 ดีกว่าไหมครับ ผมว่าราคาที่ตั้งไว้มันเยอะไป

“ไม่เยอะไปหรอกครับ มันเป็นสิ่งที่คูร...”

“นี่อีฟได้ยินว่ามีคนมาใหม่สวยด้วยไหนๆ”

“สตีฟ”

“หือ ทำไมหน้านายดูเครียดๆ โอ๊ะ!! คนนี้หรอ หูว!!น่ารักจริงด้วย”

“ออกไป”

“เฮ้นายฉันสตีเวนนะ หรือเรียกสตีฟก็ได้ โอ๊ะนายฟังฉันออกไหม sorryฉันลืม”

“เอ่อ!!!”

“ออกไปถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูบอส”

“โอ๊ะ นึกขึ้นได้ว่ามีงานค้างอยู่ไปก่อนนะ แล้วเจอกันหนุ่มน้อย จุ๊บ”

“อ่ะ”

อะไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“เอ่อ คุณอีธานโอเคไหมครับ” หน้าเค้าตอนนี้เหมือนอยากจะฆ่าคนเลย หน้ากลัวเป็นบ้า ยิ่งยิ้มแบบนั้นอีก อะไรวะเนี่ย!!

“ครับ ผมโอเคเหมือนจะชิน แต่มันก็ยังไม่ชิน แล้วคุณแสงตะวัน โอเคไหมครับที่...”

“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ เรียกผมอิงก็ได้ อีกอย่างเหมือนโดนพ่อหอมแก้มยังไงไม่รู้”

“พรืด!! พ่อหรอครับ ถ้าไอ้บ้านั้นได้ยินคุณคงไม่อยากเห็นสภาพเขาแน่”

พออ่านอะไรเรียบร้อยผมก็ได้เซ็นสัญญาเป็นพนักงานของที่นี่ และตอนจะกลับอีธานก็ได้พาผมเดินสำรวจทั้งชั้นว่าอะไรอยู่ตรงไหน และต้องส่งงานประสานงานกับชั้นไหนบ้าง แปลกตรงที่ว่าอีธานไม่ใช่ฝ่ายบุคคลแต่ตำแหน่งของเค้าคือบอดี้การ์ดพ่วงตำแหน่งเลขาจำเป็นในช่วงนี้

“กว่าจะได้กลับก็เที่ยงแล้วจะไปทานกับผมก่อนหรือจะกลับเลยครับ”

“กลับเลยดีกว่าครับ อยากเอาเรื่องไปบอกแม่จะแย่”

“ได้ครับ เดียวผมจะให้แฝดไปส่งคุณจะได้เอารถไปไว้ให้ด้วย แล้วจะได้รู้ที่อยู่ด้วยเผื่อคุณหนี ฮ่าๆ ผมล้อเล่นครับ”

“ครับ”

“จะกลับแล้วหรอ อิง” ผมพยักหน้ารับก่อนจะส่งยิ้มให้ทั้งคู่

“พวกนายสองคนไปส่งอิงด้วย ห้ามเถลไถลที่ไหนส่งแล้วรีบกลับมา เอารถคันโปรดบอสไปไว้ให้อิงด้วย”

“มันจะดีหรอครับ”

“ยังไงก็ต้องได้ใช้อยู่แล้ว” อีธานบอกกับผมมาแบบนั้น

“ไปกันเถอะอยากเห็นบ้านอิงแล้ว”

“ฉันไปด้วยได้ไหม” สักพักผมก็เห็นสตีฟเดินออกมาจากห้องขวามือด้วยร้อยยิ้มเต็มหน้า

“ไม่มีงาน?”

“เสร็จหมดแล้ว บอสให้ฉันไปพักได้ ฉะนั้นฉันไปด้วยนะ..ตกลง” พูดเองเออเองกันหมด อยู่กับพวกเขาผมว่าก็สนุกดีนะ ถึงจะรู้สึกว่ามันปลอมๆ ก็เหอะ





หลังจากลงมาลานจอดรถผมก็แทบตาถลนเมื่อเห็นรถประจำตำแหน่งของตัวเอง อะไรมันจะขนาดนั้นถ้าผมทำรถเค้าพังชาตินี้ผมจะจ่ายหมดไหม!

พอหยางขับเข้ามาในซอยบ้านผมก็บอกจุดแล้วตรงเข้าไปประมาณกลางซอย ก่อนจะเห็นร้านข้าวแกงแม่อยู่ข้างหน้าผมก็บอกเค้าจอดชิดกำแพงทันที

“ลงไปดื่มน้ำก่อนไหม อ่ะ สตีฟไปนู้นแล้ว” ระหว่างผมหันไปคุยกันหยาง ก็เห็นคนที่ขับคนตามหลังมาลงรถแล้วเดินอารมณ์ดีเข้าร้านแม่ผมไปแล้ว

“นายช้ากว่าตาลุงอีก ไปกัน”

“โห!!น่ากินทั้งนั้นเลย เอาอันนี้ อันนี้ อันนี้ด้วย โอ๊ะๆ อันนี้ๆ คิณเคยทำให้กินเผ็ดเป็นบ้า อะไรนะ แกงไตวาย”

“ไม่ๆ สตีฟแกงไตปลา ไม่ใช่ไตวายครับ”

“โอ๊ะเหรอ ขอบใจนะหนุ่มน้อย”

พูดกับผมเสร็จก็หันไปยิ้มให้กระจิบที่หน้าถอดสีไปแล้ว

“เฮ้ หนุ่มน้อย คนสวยเค้าเป็นอะไรอ่ะ”

“นี่ลุง นายพูดอังกฤษอยู่นะเพื่อลืม”

“โอ๊ะซอรี่ลืมตัว ก็ฉันเห็นหนุ่มน้อยฟังฉันออกฉันก็คิดว่าคนอื่นจะฟังออกด้วยนิ แต่เดี๋ยวนะเมื่อนายกี้เรียกฉันว่าลุง ฉันไปเป็นพี่ชายพ่อแม่แก่เมื่อไหร่ห๊ะ”

ผมที่ยืนฟังฝรั่งเถียงเจ๊ก แล้วก็ได้แต่ยิ้มหน้าแห้งไปมองแม่ที่เดินถือถาดน้ำออกมาตอนรับหลังจากที่ผมบอกจะมีเพื่อนมาส่ง



“เฮ้ เลิกเถียงกันก่อนครับ ดื่มน้ำก่อนนะ” ศึกเหมือนจะจบลงไปในตอนนั้น แม่ผมหันมาถามว่าพวกเค้าเป็นเพื่อนร่วมงานจริงๆ ใช่ไหม ทำไมน่ากลัวจัง ผมก็ได้แต่ยิ้มเกาแก้มตัวเองไปโดยที่ตอบอะไรไม่ได้



“ฮาเผ็ดๆ น้ำๆ อิงน้ำฉันหาย อ่ะตาลุงบ้าเอาน้ำฉันมานะ”

“ฮ่าๆ หน้าพวกนายตอนนี้โคตรแย่แหนะไอ้แฝด” ผมที่มองสงครามรอบใหม่เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วมันรู้สึกปวดหัว เหมือนที่อีธานบอกเลย

“กินหมูหวานแก้ก่อนนะคุณ เอ่ออิงช่วยแม่หน่อยสิ”

“ฮา ผมฟังได้ครับ กับข้าว ฮา อร่อยมากเลยครับ หยุด หยุดไม่ได้เลย”

“โถ!! คุณทานเผ็ดไม่ได้ก็น่าจะบอก แม่จะได้เลือกตัวไม่เผ็ดให้”

“แม่!!” สองเสียงประสานกันจนผมเองก็ตกใจ แต่พอหันไปมองสตีฟกับเห็นเพียงลอยยิ้มเล็กๆ เท่านั้น ยิ้มแบบที่ไม่ได้แสร้งทำ

“นานแล้วนะที่ไม่ได้ยินคำนี้” อยู่ๆ หยินก็พูดเป็นภาษาจีนออกมาก่อนที่หยางจะรับคำ



หลังจากทุกคนทานมื้อเที่ยงเสร็จก็ได้เวลากลับ แต่กว่าจะกลับได้นั้น ข้าวของเต็มมือเลยทีเดียว

“ไม่ต้องให้เงินแม่หรอกนะ แม่เต็มใจให้ เห็นคุณๆ ทานกันอร่อยแม่ก็ดีใจแล้ว อันนี้ของสองแฝดนะไม่ค่อยเผ็ดมากน่าจะทานได้ ส่วนพ่อสตีฟเป็นแกงไตปลาสองถุง แม่ฝากไปให้คนนั้นด้วย แล้วก็มีแกงเหลืองด้วยเค้าน่าจะชอบ”

“ครับ วันหลังผมจะพาคิณมา เค้าคงดีใจ” พูดด้วยภาษาแปร่งๆ



กว่าจะล่ำลากันจบ ก็เกือบบ่ายสองเข้าไปแล้ว แม่ผมดีใจมากที่ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้ แถมเงินเดือนยังมากโขอีก แม่บอกผมว่าเมื่อโอกาสมาหาเราแล้วก็รักษาให้มันดีๆ อย่าทำตัวเหมือนตัวเองดีจนเขาต้องง้อ เพราะมันจะไม่มีโอกาสสำหรับคนจองหองอีก

“ตาจ๋ายายจ๋า เป็นกำลังใจให้อิงด้วยนะ”





ฝั่งคาล์ล

“เป็นไงบ้างเขาตกลงไหม”

“ครับบอส แต่ก็มีข้อยกเลิกเงินจำนวนหนึ่งครับ”

“ยกเลิก!!หมายความว่าไง”

“คือ อิง เขาอยากให้ลดเงิน ที่จะได้ร่วงเวลาน่ะครับ แต่ผมบอกไปแล้วว่ายังไงเขาก็ต้องได้”

“หึ แปลกคน เป็นคนอื่นคงมีขอเพิ่ม”

“ครับแถมยังตกพวกนั้นซะอยู่หมัดกันทุกคนเลย นี่ก็ออกไปส่งกันนานแล้วยังไม่กลับมาเลยครับ”

“ตก!”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เอ่อ คิณไม่อยู่ที่นี่หรอครับ” แทนคำตอบคาล์ลก็ได้ฟาดสายตาไปมองลุกน้องตน

“คงไม่อยู่ งั้นผมขอตัวครับ”

“เดี๋ยว นั้นอะไร” ก่อนที่สตรีเวนจะออกไป คาล์ลก็ไดเอ่ยถามถึงถุงมากมายที่ห้อยเต็มมือของสตีฟ

“ครับ? อ่อพอดีแม่ของอิงให้มาครับ บอสจะรับไหมครับ อ่า!!เดี๋ยวนะ อันนี้เลยครับ”

พูดเองเออเอง เสร็จสับก็เดินถือถุงที่มีกล่องอะไรบ้างอย่างอยู่ด้านใน สีม่วงๆ

“อะไร?”

“เอ่อ ช่อ ช่อ จำไม่ได้ครับแต่อร่อยมาก บอสต้องลองนะครับ ยังไงผมขอตัว”

“อีธาน บอกฉันที่ว่าฉันคือใคร”

“เอ่อบอสอย่าใส่ใจเลยครับ”

“ให้ตายสิ นายออกไปได้แล้ว”

“แล้วขนมนี่บอสจะรับไว้ไหมครับ?” เค้ามองกล่องขนม สีม่วงที่เหมือนดอกไม้ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับ

อีธานพอรู้คำตอบแล้วก็ขอตัวออกไปทันที

พออยู่คนเดียว เค้าก็หยิบขนมขึ้นมาดูใกล้ๆ นแกะกล่องดมกลิ่นแล้วลองกินมันเข้าไป ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนในทันที

“แล้วถ้าครั้งหน้าฉันอยากกินอีกจะทำยังไง ให้ตายสิ”





TBC.

อย่าลืมเม้นกันน้าาาา

#ปราบพยศ

พูดคุยกันได้ที่นี่[/pre]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 17-11-2021 20:10:13
ตอนที่ 3 คุณที่ต่าง



[อิง]



ในการเริ่มงานครั้งแรกของคนอื่นไม่รู้เป็นยังไง จะดีหรือจะร้าย จะตื่นสายหรือว่ามาตั้งแต่ รปภ.กะดึกยังไม่เลิกงานอย่างผม คุณฟังไม่ผิดหรอกผมมารอเข้างานตั้งแต่ หกโมงเช้า เวลาเข้างานของผมน่ะหรอ? แฮะๆ เก้าโมงตรง ก็มันตื่นเต้นอ่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลยเมื่อวานพอทุกคนที่ไปส่งผมกลับ ผมกับแม่ก็ยืนกอดกันดีใจจนน้องอร น้องสาวผมเลิกเรียนมาถามว่าดีใจอะไรกันพอแม่บอกว่าผมได้งานทำแล้ว ยายตัวแสบก็ดีใจหนักกว่าผมกับแม่อีก พอตกดึกอาการตื่นเต้นที่วันนี้จะได้เริ่มงานเป็นวันแรก ก็ทำเอาผมนอนไม่หลับจนต้องลงมาช่วยแม่เตรียมของเพื่อทำอาหารในตอนเช้า พอเตรียมเสร็จแม่ก็บอกให้ผมขึ้นไปพักแต่มันหลับไม่ลงแล้วผมเลยอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกมาทำงาน

ลงมาแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ก็หันมาบอกผมให้เอา อาหารไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วย โดยเฉพาะสองแฝดที่มีทั้งหมูหวาน ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่ตุ๋นที่ไม่มีขายหน้าร้านก็มา ก็นั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็มานั่งเล่นรอที่หน้าตึกนี่ไง พี่ รปภ.ก็บอกให้ผมเข้าไปได้เลย เพราะผมมีบัตรพนักงานที่สามารถเข้าลิฟต์หรือแม้แต่ชั้นไหนก็ได้ด้วยซ้ำ เป็นบัตรเฉพาะพนักงานหรือผู้บริหารสูงๆ เท่านั้นถึงจะมี แต่ของผมยังพิเศษกว่าเพราะสามารถขึ้นถึงชั้น39 ที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของบริษัทคนใหม่ด้วย ทั้งๆ ที่ปกติจะมีแค่บอดี้การ์ดของท่านเท่านั้นถึงจะมีได้ ฮ่าๆ

ทุกคนกำลังจับผิด หรือว่าผมอยู่หรือเปล่าครับว่าผมสอดรู้สอดเห็นไปซะหมด แต่ผมจะบอกว่าผมไม่ได้ถามพี่เขาเลยนะนั่งรอเวลาเข้างานอยู่ดีๆ แกก็เดินมาถาม พอรู้ว่าทำงานที่ตึกนี้แกก็ขอดูบัตรประจำตัว ผมก็เอาให้ดู นั้นแหละครับ ที่มาของการเล่าประวัติบัตรก็มาตอนนั้นเลยครับ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจาก ยิ้มและฟังเท่านั้น

เวลาล่วงเลยมาจนถึงแปดโมงเช้า ผมก็เห็นบุคคลที่ผมรู้จักกำลังก้าวเข้าลิฟต์ตัวที่ผมใช้เมื่อวานไปผมเลยรีบลุก ลาพี่ รปภ.ก่อนจะวิ่งไปที่ลิฟต์ตัวนั้นไม่ทันได้ยินว่าพี่ รปภ.ทักว่าอะไรผมก็แทรกตัวเข้าไปในลิฟต์เรียบร้อย

“อีธาน ผมไปด้วยครับ”

“อ้าว อิง เข้ามาสิ” เขาพูดก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผมเข้าไปด้วย

“มาเช้าจังเลยนะครับ”

“ผมน่ะปกติ แต่คุณน่ะผมจำได้ว่าบอกให้เข้าเก้าโมงไม่ใช่หรอ?”

“แฮร่ๆ ตื่นเต้นน่ะครับเลยนอนไม่หลับ” ผมเกาหัวแก้เขินก่อนจะได้ยินเสียงคนพึมพำด้านหลัง

“หึ ดีได้นานแค่ไหนกันเชียว” ถึงภาษาที่เขาบ่นจะไม่ถนัดสำหรับผมเท่าไหร่แต่ก็พอฟังออก ผมเลยทำหน้าตึงใส่เขาไป คนอะไรไม่รู้จักยังจะมาว่าคนอื่นอีก หน้าก็ไม่ยิ้มเลย ยืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น หน้าตาก็ดี แต่ปากแบบนี้มัน...

“อ่ะ...ลืมแนะนำเลย นี่บ...”

“บอดี้การ์ดอีกคนหรอครับ ที่พูดเมื่อกี้หมายถึงผมหรือเปล่า ถ้าใช่อย่าเพิ่งดูถูกกันสิครับให้ผมได้ทำงานก่อน แล้วค่อยมาดูกันที่หน้างานว่าผมจะทำได้ไหม!” ผมถามอีธานไปก่อนจะหันไปคุญกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม

“ไม่ ไม่ชะ...อึก”

“เหรอ งั้นก็ขอให้ทำให้เต็มที่แบบที่ปากพูด ฉันจะรอดู ให้สมกับที่ถูกเลือก” เขาพูดออกมาเหมือนพยายามเชื่อในสิ่งที่ผมพูด

ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย

“ครับ ผมจะไม่ทำให้หัวหน้าพวกคุณผิดหวัง” ผมพูดเสร็จก็หันกลับไปกะจะคุยกับ อีธานต่อผมก็ต้องตกใจเมื่อใบหน้าที่สดใสเมื่อกี้นั้น ซีดยิ่งกว่ากล้วยดิบโดนปลอกเปลือก

“อีธาน!คุณโอเคไหม? ไม่สบายหรือเปล่า”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ผะ ผมสบายดี ดีสุดๆ ไปเลย แฮร่” พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มพยักหน้าเข้าใจไม่ซักไซ้อะไรเขาอีก จนมันเงียบสุดๆ อีธานเลยถามผมขึ้น

“แล้วหิ้วอะไรมาเยอะแยะน่ะ”

“อ่อ กับข้าวที่บ้านน่ะครับ แม่ฝากมาให้ทุกคนโดยเฉพาะ หยินและหยาง”

“หึ มันสองคนไปหลอกลวงอะไรแม่เธอล่ะ ถึงเอ็นดูมันได้”

“ไม่เลยครับ แม่ผมชอบคนที่ชอบอาหารที่แกทำทุกคนแหละครับ แกบอกว่าเห็นแล้วมีความสุข”

กว่าพวกเราจะขึ้นมาถึงชั้นที่ 38 ผมกับอีธานก็คุยกันไปหลายเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องที่ทั้งสามคนไปส่งผมอยู่ทานข้าวที่บ้าน ทั้งเรื่องที่แม่ดีใจมากที่ผมได้งานทำ ไหนจะเรื่องรถประจำตำแหน่งที่สวยหรูดูแพงจนแม่บอกให้เอามาคืนนั่นอีก เพราะกลัวไปทำของเขาพัง อีธานก็ขำบ้าง ถามนั้นนี่บ้าง ยกเว้นคนที่โดยสารมาด้วยกัน จนบ้างครั้งผมนึกว่าเข้าหายไปแล้วเงียบเหมือนหลับ แต่พอหันไปมองหน้าก็ดันมาเลิกคิ้วใส่ แถวบ้านเรียกหาเรื่องกันชัดๆ

พอออกจากลิฟต์ได้เขาก็เดินปาดหน้าผมไปเลย พอถึงทางแยกเขาก็เลี้ยวขวาไป อีธานที่มองตามก็ได้แต่ทำตัวแปลกๆ ก่อนจะขอตัวเดินไปทางเดียวกับคุณนิ่งนั่น ผมที่ขึ้นมาถึงแล้วยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนดี เลยไปรออีธานที่ห้องพักที่เดินผ่านมาเมื่อกี้ ก่อนจะเห็นว่ามีคนอยู่นี่ด้วย

ติ้ง

แต่ก่อนที่ผมจะได้ทักคนที่หลับอยู่ด้านในนั้น ลิฟต์ที่ผมเพิ่งเดินออกมาเมื่อกี้ก็เปิดออก เผยให้เห็นคนมาใหม่ที่ผมรู้จักแล้วเช่นกัน สองคน

“อ้าว อิง...” ผมยกนิ้วแตะปากเป็นเชิงบอกให้ทั้งสองเงียบไว้ ก่อนจะชี้ให้ดูคนที่หลับฝันดีอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

“หึ สงสัยเมื่อคืนนี้คงโดนบอสใช้งานหนักอีกแล้วดิ ถึงได้มานอนตายตรงนี้” หยางที่เดินมาพิงประตูทางเข้า ก่อนที่คุณคิณจะแทรกตัวเดินเข้ามาด้านใน และลากเก้าอี้มานั่งเบื้องหน้าคนที่หลับไหลไม่ได้สติ

“อิงอยากดูอะไร สนุกๆ ไหม?” ผมยิ้มแหยทันทีที่คุณคิณถาม ไม่ใช่ไม่อยากดู แต่แววตาคุณคิณตอนพูดมันดูเจ้าเล่ห์มาก

“ลุง ถ้าอี่ตาลุงบ้ามันตื่นขึ้นมา มันบ่นลุงแน่ ระวังได้นอนนอกบ้านนา”

“ฉันเคยกลัวที่ไหน” พูดจบคุณคิณก็มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะ.. “ไปเอาดอกไม้ในแจกันมา”

สิ้นคำสั่ง หยางก็เดินไปเอาดอกไม้ปลอมในแจกันมาให้คุณคิณทันที ก่อนที่จะเห็นคุณเขาใช้มันลากไปบนใบหน้าของ สตีฟ

“อืม ลิลลี่ อย่าเพิ่งกวนฉันได้ไหม” ทั้งสองยิ้มขำกับคนนอนบ่นแต่ก็ไม่ยอมลืมตา

“อื้อ ไอ้แมวผี อย่ากวนฉาน!! แก่รู้ไหมว่าฉันเพิ่งได้นอนเนี่ย” คำด่าภาษาอังกฤษ ทำให้รู้ว่า ลิลลี่ที่ว่าคือแมวนั่นเอง

“คิณ คิณ!! มาเอาลูกนายออกไปทีฉันจะนอน!!” ผมที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ยังอดขำไม่ได้ กับสภาพคนหมดแรง ต้องทำงานหนักแค่ไหน ขนาดโดนกวนขนาดนี้ยังไม่ยอมตื่นอีก

“เอาไงต่อลุง ดูแล้วไม่น่าตื่น” หยางที่ยืนดูอยู่ถามขึ้นเมื่อทำยังไงคนหลับก็ไม่ยอมตื่น

“งั้นวิธีนี้เป็นไง สวัสดีครับหัวหน้า”

พรึบ!!

ไวกว่าความคิดคนที่หลับสนิทไม่คิดตื่น แต่พอได้ยินคำว่า ‘หัวหน้า’ ตาตื่นยิ่งกว่าตัวเมียแคชอีก

“ฟีนิกซ์ฉันไม่ได้หลับเวลางานเลยนะ เมื่อกี้แค่พักสายตา ยังมีสติสะ... เอ๊ะ เราอยู่ไทย ฟีนิกซ์ไม่ได้มา งั้น.. (หันไปมองด้านข้าง) .ไอ้คิณ!! นายแกล้งฉัน นายทำให้ฉันดูแย่ อ่ะหนุ่มน้อย โอ้ไม่นะบุคลิกหล่อเนี๊ยบของฉัน คิณ นายทำมันพังหมดเลย หนุ่มน้อยเมื่อกี้นายไม่เห็นอะไรใช่ไหม นายเพิ่งเดินเข้ามาในห้องนี้ใช่ไหมที่รัก พระเจ้าคิณ!! ฉันจะไม่ให้อภัยนายเลย”

“ฮ่าๆ เป็นไงลุง ผมบอกแล้วว่า ตาแก่นี่มันต้องบ่นลุงแน่ เป็นไง ด่าที่สามภาษาเลย อิงแปลทันไหมนั่นยิ้มอย่างเดียวเลย”

“ทันครับ เค้าดูตลกดี” ผมขำกับคนโดนแกล้ง ที่บ่นทีอย่างกับแร็ปเปอร์

“หนุ่มน้อย เธอไม่คิดว่ามันดูแย่หรอ (ผมส่ายหน้า) อ่ะแล้วนั้นอะไรเต็มมือเลย นายไม่ต้องมาใกล้ฉันคิณ ไปห่างๆ เลย”

“กับข้าวที่บ้านครับแม่ให้เอามาให้ แล้ว หยินไปไหนครับ”

“ไปทำธุระให้บอสน่ะ เดี๋ยวสายๆ ก็คงมา” หยางเป็นคนตอบคำถามของผม พยักหน้ารับก่อนจะจัดแจงอาหารให้ทุกคน

“อันนี้ของคุณกับหยินแม่ทำไข่ตุ๋นมาให้ด้วยคนละถ้วย ส่วนอันนี้ของคุณคิณครับ แกงไตปลาคั่วกลิ้งไข่เจียว ผักอีกถุงใหญ่ อันนี่ของสตีฟเหมือนคุณคิณแต่ไม่มีผักสด”

“รู้ได้ไงว่าฉันไม่กินผักสด”

“เมื่อวานที่ไปทานที่บ้านผมเห็นว่าคุณไม่แตะผักสดเลย คิดว่าไม่ชอบหรือไม่ทานน่ะครับ”

“ใส่ใจจริงเชียว ใครได้เป็นแฟนมีหวังรักตาย แต่ถ้าไม่มีบอกฉะ..”

“อะแฮม คิดจะพูดอะไรตาแก่”

“อะไร? ถ้าไม่มีฉันจะหาให้ไง ทำไม จับผิดอะไร ไม่ได้แอ้มหรอก”

“หึ อย่าให้รู้ว่าคิดอะไร ไม่งั้นบอกลูกพี่แน่”

“อย่าเอา นิกซ์ มาขู่”

“ไม่กลัว?”

“เหอะ... (กระซิบ) เยี่ยวแทบเล็ด”



พอแจกแจงอาหารเสร็จก็เห็นอีธานเดินกลับมาพอดี ผมจึงเดินตามอีธานไปที่ห้อง เพื่อเริ่มเรียนรู้งาน วันนี้ผมต้องอ่านข้อมูลเก่าๆ ของบริษัท เกี่ยวกับรายได้ ผลกำไลก่อนที่ บอสคนปัจจุบันมาเทคที่นี่ มันมีทั้งข้อมูลที่จริง และแปลกๆ หลายเล่มเลย จนผมต้องถามอีธานว่ามันใช่อย่างที่ผมเข้าใจไหม? พอเขามองเอกสารที่ผมกำลังอ่านอยู่ แล้วลองคำนวณตัวเลขเอง ก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ตัวเลขที่มันไม่ตรงกันเลยทั้งสามเล่ม ตัวจริงเลขอีกแบบ ตัวเก็บก็อีกแบบ ตัวที่จะเสนอลูกค้าก็อีกแบบ ซึ่งตัวเลขพวกนี้ถ้าไมดูดีๆ จะไม่รู้เลยว่ามันถูกปรับแต่งราคาใหม่

“ถึงว่ายอดขายถึงลดลงแบบก้าวกระโดดแบบนี้เพียงแค่ปีเดียว ทั้งๆ มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น”

“แล้วแบบนี้ ตอนนี้ที่บริษัทก็แย่อยู่สิครับ”

“หึ ไม่หรอกเพราะเอกสารพวกนี้คือเอกสารของพวกที่อยู่ที่นี่มาก่อน”

“หมายถึง!”

“ตอนนี้ที่นี่คือของบอส การดำเนินงานทั้งหมดจะต้องผ่านบอส หรือแม้แต่การเบิกจ่ายรายย่อยก็ต้องผ่านบอส คนที่เคยทำงานที่นี่มาก่อนบ้างคนก็เข้าใจ ส่วนคนที่แอบยักยอกเงินบริษัท พอมันไม่สามารถทำได้แล้ว ก็ทำทีเป็นลาออก แต่การจะออกได้นั้น เราต้องเช็ครายรับรายจ่ายในบัญชีที่แล้วมาของเขาคนนั้นก่อน ถ้าโปร่งใสออกได้ แต่ถ้าแปลกไป ก็สืบประวัติกันยาว”

“แล้วคุณมาเล่าให้อิงฟังแบบนี้จะดีหรอครับ”

“มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้เตือนคุณด้วยไง ว่าอย่าคิดหักหลังบอส”

“..”

“หึ ผมล้อเล่น อย่างที่ผมบอกไปเมื่อวานว่าผมเป็นคนหาตัวคุณเอง แปลว่าผมมั่นใจแล้วว่าคุณใช่ และไว้ใจได้”

“ครับ”

กว่าผมกับอีธานจะตรวจเอกสารที่เตรียมมาลื่อวันนี้หมดก็ปาไปบ่าย แต่พอจะเตรียมตัวออกไปทานข้าว ก็เจอกับคุณนิ่งอีกแล้วเขาเดิออกมาจากห้องพร้อมกับแฝด ที่อีกคนผมเพิ่งเห็น

“ไง อิง ทำงานวันแรก”

“ก็ดีครับ แต่ก็ลายตานิดหน่อยตัวเลขเยอะเกิน”

“ท้อแล้ว?” ผมที่คุยกับหยินอยู่กับโดนคุณนิ่งว่าอีกแล้ว เค้าเป็นอะไรมากไหมนั้น

“ผมไม่ได้พูดสักหน่อยแค่บอกว่าลายตาเฉยๆ เถอะ”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ ก็แค่ถาม”

“มีใครเคยบอกไหมว่าคำพูดคุณ มันเหมือนคำดูถูกคนอื่น”

“อิง จะ ใจเย็นไหม เบาได้เบาเนอะ” ผมที่หันมองทุกคนที่ยืนด้วยกันก็รู้สึกแปลกอีกแล้ว ทำไมทุกคนหน้าซีดขนาดนั้น หยางทำไมก้มหน้าต่ำจัง

“ปะ ไป ไป กินข้าวกันดีกว่าเนอะ บ่ายแล้ว...”

“ฉันไปด้วย” อยู่ๆ คุณคนนิ่งก็พูดออกมากลางปล้องอีกแล้วไม่มีมารยาทสุดๆ

“จะดีหรอคะ...”

“อือ”

“งั้นไป เป็นไงเป็นกัน ฮ่าๆ อากาศมันเย็นๆ เนาะ อิง ลงไปซื้อข้าวกันดีกว่า กับข้าวก็กินของนายแล้วกันเอามาตั้งเยอะ เนอะอีฟ”

“ได้ สองคนนั้นด้วย” หยางรับทราบแล้วก็เดินมาล็อคคอผมเพื่อเดินลงไปด้านล่างเพื่อซื้อข้าวเปล่ากัน แต่จู่ๆ หยาง ก็โดนแย่งหน้าที่ไป

“ฉันไปเอง”

ขวับ!!

“ฉัน จะไปกับเขาเอง”

“โอยใช้สายตานี้แล้วใครจะขัด” เสียงที่หยินบ่นไม่เบามากนักจึงทำให้ผมได้ยิน ก็นึกแปลกใจว่าทำไมทุกคนดูเกรงใจ ไม่สิกลัวเลยแหละ หรือเค้าจะเป็นคนๆ นั้น คนที่สตีฟกลัว

“เดินสิ จะรอใครเอาเสลี่ยงมาให้นั่งหรือไง”

“ทำไมคุณถึงเป็นฝรั่งปากจัด”

“อิง จะใจเห็นพวก” ผมที่หลุดปากด่าไอ้คุณคนนิ่งไปก็โดนอีธานดึงเข้าหาตัวทันที ก่อนจะเห็นคนที่โดนผมว่ายืนนิ่งขรึมขึ้นกว่าเดิม เป็นอะไรของเขากัน

“เฮ้ นี่อิง รีบไปเถอะฉันหิวแล้วนะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

ผมไม่พูดอะไรต่อแต่เดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดลงไปด้านล่างเพื่อซื้อข้าว







(หลังจากลิฟต์ปิด)



“แฝดหัวฉันยังอยู่ไหม? ทำไมรู้สึกเหมือนสมาชิกใหม่เราชะตาขาด”

“ถ้าหัวพวกแกไม่อยู่ ของฉันคงหายไปตั้งแต่เช้า”

“อย่าบอกว่าเขาฉะกันก่อนหน้านี้แล้วนะ ไม่นะอิง นายทำอะไรลงไป”

“แล้วทำไมลุงไม่ห้าม”

“จะห้ามแล้ว แต่โดน บอส เหยียบตีนไว้เป็นแก แกจะพูดไหม?”

“ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง หลุมอาหารของฉันด้วยเถอะ” (หยาง)

“แกมันเห็นแก่กิน” (หยิน)

“หรือแกไม่” (หยาง)

“จะเหลือเรอะ!!” (หยิน)

“อาเมน” (ทั้งคู่)

“ฉันมีเรื่องจะบอก ฝากไปบอก สองคนนั้นด้วย ห้ามให้อิงรู้ว่าบอส คือบอส ให้เรียกแค่ชื่อเล่น ที่ใช้ที่นี่เท่านั้น หากใครหลุดปากบอก บอสจะส่งตัวกลับไปให้ฟีนิกซ์ทันที ซึ่งฉันบอกเลยว่าไม่เอาด้วยเด็ดขาด”

“พวกฉันก็ไม่ ยังไม่พร้อมเจอลูกพี่ตอนนี้





ด้านล่าง

พอทั้งคู่ลงมาอิงก็เดินไปถามพวกพี่สาวประชาสัมพันธ์ถึงร้านอาหารละแวกนี้ก่อนจะได้ความว่าที่ตึกเราชั้นใต้ดินมีโซนอาหารสำหรับพนักงานอยู่ จึงเอ่ยขอบคุณก่อนเดินมาหาคนที่ยืนรออยู่ข้างลิฟต์ซึ่งไม่รู้จะแอบทำไม

“เขาบอกชั้นใต้ดินมีร้านอาหารอยู่”

“ก็ไปสิ”

“นิ ที่จริงคุณควรรู้หรือเปล่าว่ามันมีร้านอาหารในตึกนี้”

“ฉันไม่เคยลงมาเอง ส่วนมากออกไปกินข้างนอก”

“แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรรู้ไหม?”

“เรื่องมาก” พูดจบ คาล์ล ก็เบี่ยงตัวเดินไปทางชั้นใต้ดินทันทีไม่รอให้เด็กมันว่าเขาได้อีก คนอะไรบ่นเก่งเป็นบ้า

“นิคุณทำไมชอบทำตัวหยิ่งจัง Relaxบ้างก็ได้ คุณทำให้ทุกคนกลัวคุณ”

“ไม่จำเป็น”

“คุณโตมาในสังคมแบบไหนกัน”

กึก

อยู่ๆ คนที่เดินด้านหน้าก็หยุดการเดินแบบกะทันหันทำให้อิงที่เดินตามเบรคตัวไม่ทัน ชนเข้ากับด้านหลังของคุณคนนิ่งทันที

“สังคมที่ไม่ได้โลกสวย เหมือนเธอ สังคมที่แม้แต่ญาติคนสนิทก็ห้ามไว้ใจ หรือแม้แต่พี่น้อง พ่อแม่เดียวกันก็อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เขาพูด”

พูดจบคาล์ล ก็หันกลับไปเดินหน้าต่อทันที แต่ก็ยังได้ยิน อิง พึมพำที่ด้านหลัง

“น่ากลัวเป็นบ้า พี่น้องไว้ใจไม่ได้ แล้วจะเชื่อใจใครได้อีก”

“ตัวเองไง”

“แล้วคุณมีเพื่อนบ้างไหม?”

คาล์ลยังไม่ตอบแต่ปรายตามองคนถาม คงคิดว่าเขาน่าสงสารมากสินะที่โตมาแบบนี้ แต่ระหว่างที่คิด อิง ก็พูดขึ้นมาว่า..

“ผมต่างจากคุณนะ ผมน่ะเชื่อใจคนง่าย ไวใจคนอื่นไปทั่ว ทำเพื่อคนอื่นมาก็เยอะ แต่คุณรู้อะไรไหม สุดท้ายผมก็ได้รู้ว่ามันคือการโกหก ลับหลังผมเขาก็นินทา ต่อว่าผมสารพัด คนจนบ้างล่ะ ลูกแม่ค้าบ้างล่ะ ทำดีเอาหน้าบ้างล่ะ แต่อย่างน้อยนะคุณ ผมยังมีเพื่อนที่จริงใจกับผมมีครอบครัวที่คอยให้คำปรึกษา แค่นี้ก็พอแล้วว่าไหม?”

“มี”

“ห๊ะ”

“เพื่อนฉันมีอยู่คนหนึ่ง”

“เขาดีกับคุณไหม?” แสงตะวันเอ่ยถาม

“อืม”

และบทสนทนาก็หยุดลงเมื่อมาถึงโซนอาหาร อิงเดินเข้าไปสั่งข้าวเปล่าและก็อาหารอีกสองอย่าง เพราะถ้าซื้อแต่ข้าวกลัวว่ามันไม่เหมาะ

“ทั้งหมด 200 บาทค่ะ”

“นี่ครับ ขอบคุณนะครับ” พอกล่าวคำขอบคุณเสร็จก็เรียกอีกคนให้เดินตามบอกว่าเสร็จแล้ว ก่อนจะเดินไปร้านน้ำ

“เธอซื้อของเขามา ทำไมต้องขอบคุณ?”

“หือ เมื่อกี้หรอก็..อืมยังไงดีล่ะ ขอบคุณที่เขามาขายของให้เราได้ซื้อละมั่ง ถ้าเขาไม่มาเราก็ไม่มีข้าวกินเลยนะคุณ”

“แล้วเธอจะเดินไปไหนอีก?”

“เป็นฝรั่งขี้สงสัยด้วยหรอคุณน่ะ ไปซื้อน้ำสิครับ”

“ข้างบนมีให้เธอกินวันนี้ก็ไม่หมด”

“จริงดิ! งั้นไปกัน แต่เอ๊ะฟังมานานแล้ว คุณใช้ทรัพย์เรียกผมผิดไปนะ ต้องเรียก ‘นาย’ ไม่ใช่ ‘เธอ’ ”

กว่าจะได้ทานข้าวกันในวันนี้ก็เกี่ยงกันนั่งจน อิงสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ลุงแก่สุดไปนั่งนู้นเลย”

“ไอ้เด็กเหี้ย ถึงฉันจะแก่แต่ก็มีที่นั่งแล้ว” สตีฟที่นั่งไกลจากหัวโต๊ะว่าขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองรอดแล้ว กับการนั่งใกล้ บอส แบบนั้น

“งั้นผมนั่งใกล้สตีฟนะ”

“มาเลยหนุ่มน้อยนั่งข้างฉันแล้วเธอจะปลอดภัย...ที่ไหนกัน” สตีฟพูดยังไม่จบดีก็ต้องชะงักค้าง เมื่อบอสที่รักดันอยากมานั่งจ้องตากันแบบนี้

“มีใครสนใจย้ายที่กับฉันไหม?” หันไปกระซิบถาม

“กินกันได้ยัง? จะได้ทำกันไหมงาน?” เท่านั้นแหละพื้นที่ที่เหลือก็ถูกจับจองกันพัลวัน

“คุณกินเผ็ดได้ไหม?” ประโยคคำถามที่มาจากอิง ทำให้คนที่มองอาหารตรงหน้า ต้องเงยหน้ามอง

“อืม”

“แล้วแพ้อะไรหรือเปล่า?”

“กุ้ง”

“อ่า...งั้นอันนี้ อันนี้ คุณห้ามแตะ แล้วก็ไข่ตุ๋นนั่นด้วย”

“อิง แต่น้ำพริกไม่มีกุ้งนะ!” หยางที่มองอาหารที่ อิง ชี้ห้ามไม่ให้นายทานแล้วก็สงสัย เพราะเขาไม่เห็นกุ้งสักตัว

“มันเป็นน้ำพริกที่มีกะปิครับ มันทำมาจากกุ้งฝอยหมัก”

“รอบคอบ” คาล์ล ได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยชมออกมาโดยไม่ปิดบัง ถึงใบหน้าจะเหมือนเดิมก็ตาม

“แล้วคุณหละอีธาน”

“ทานได้หมดแต่ขอรสไม่จัดมากนะ”

“ลุงแกแก่แล้ว ลำไส้ไม่ดีน่ะอิง” หยินที่นั่งข้างอีธานเอ่ยบอก พร้อมขำนิดๆ

“แก่พ-ง” เลยโดนด่าไปหนึ่งดอกก่อนจะได้ลงมือทานอาหารเบื้องหน้า ทุกคนเริ่มลังเลว่าจะตักอะไรกินก่อนดีหรือจะรอให้นายตักก่อนดี แต่นายก็ดันไม่ยอมตักนั่งมองอาหารอยู่แบบนั้น ก็แน่สิ ปกตินายเคยกินอะไรแบบนี้ที่ไหน ต้องสั่งจากภัตตาคารเท่านั้น แล้วต้องใช้ของเกตเอ หรือPremiumเลย

“คุณทำคนอื่นไม่กล้ากินแล้ว อะลองกินอันนี้ดู เรียกว่าหมูหวานทานคู่กับพริกซอยมะม่วงเปรี้ยวจะอร่อยมาก กินเลย” ทั้งพูดและตักให้เสร็จสับก่อนจะเชื้อเชิญให้ทานเข้าไป

คาล์ล มองสิ่งที่อยู่ในช้อนตัวเองก่อนจะยกขึ้นแล้วนำเข้าปากไป รสชาติแรกที่สัมผัสคือความหวานโดดแต่พอเคี้ยวความเปรี้ยวของมะม่วงและความเผ็ดของพริก กับทำให้มันอร่อยลงตัว

“ข้าวด้วยคุณมันถึงจะครบสูตร” ได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รอช้าตักข้าวพอดีคำเข้าปากทันที ถึงได้รู้ว่าอาหารบ้านๆ แบบนี้ก็อร่อยได้เท่า ภัตตาคารเช่นเดียวกัน

“เป็นไงคุณ บอกด้วยสิ คนทำจะได้ดีใจ”

“เธอทำ?”

“อื้อ ตุ๋นไว้ตั้งแต่เมื่อวานเลยนะ มันถึงได้เปื่อยขนาดนี้” คาล์ลรับฟังก่อนจะหันไปมองที่สองแฝดที่มีไข่ตุ๋นคนละถ้วย ทานกันแบบอร่อย ช้อนที่ตักลงไข่พอยกขึ้นแล้วเหมือนพุดดิ่งเด้งดึ่งเลย ก็อดกลืนน้ำลายตามไม่ได้

“แล้วทำไมฉันกินไขนั่นไม่ได้ ไม่ใส่กุ้งนิ”

“ใส่สิมันอยู่ในหมูอีกทีน่ะ” ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ จิ๊ปากก่อนจะหันมาหาหมูหวานเหมือนเดิม ก่อนจะพบว่ามันเหลือแค่สองคำเล็กๆ เท่า มองคนที่อยู่เบื้องหน้าที่หลับตาพริ้มกินแบบที่ อิง สอนเขาแบบไม่สนใจใครก่อนที่จะลืมตามาเจอกับคาล์ลที่มองอยู่ด้วยสายตา อาฆาตแค้น

“แฮร่ อร่อย จ..จังนะ” สตีเวนเห็นใบหน้านายแล้วแทบอยากจะคายหมูหวานที่ทานเข้าไปออกมาให้หมด (วันนี้เดินก้าวเท้าไหนออกจากบ้านว่ะ)

“อะ อันนี้ก็อร่อยนะคุณ น้ำพริกปลาย่างทานกับไข่ต้มอร่อยสุด”

คาล์ลไม่รอช้ารีบลองทานทันที ก่อนจะทำสิ่งที่คิดว่าไม่มีใครกล้าขัดเขาได้แน่ๆ นั้นคือการยกถ้วยน้ำพริกมาไว้ตรงหน้าก่อนจะตักไข่ต้มสองฟองสุดท้ายมาไว้ที่จานข้าวตัวเอง เหมือนเด็กหวงของ ก่อนจะหันไปมองสตีเวน ที่หน้าเจื่อนไปแล้ว (กะว่าจะลองทานอย่างที่ อิง บอกสักหน่อย อด)



มื้ออาหารจบลงที่ทุกคนอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อนี้ ยกเว้นสตีเวน ที่ไม่กล้ากินของที่นายจองด้วยสายตา จนกลายเป็นเกร็ง ก่อนสงครามสายตาจะประทุขึ้นมาอีกครั้งตอนเห็น อิง ยกกระเป๋าเก็บความร้อนขึ้นมาเปิด

“อะไร น่ะอิง”

“อ่อขนมครับ ช่อม่วง แม่บอกสตีฟชอบมาก เลยทำมาให้เยอะเลย”

“หนุ่มน้อย นายมันน่ารักที่สุด เมื่อวานที่แม่นายให้มาฉันก็ไม่ได้กิน...” พอนึกมาถึงตรงนี้สตีเวนก็หันไปมองคนตรงหน้าทันทีก่อนจะเห็นสายตาแวววาว เหมือนเด็กเจอของเล่นที่ถูกใจ เท่านั้นแหละ ลางสังหรณ์บอกเขาว่าอาจจะไม่ได้กินของชอบอีกแน่เลยวันนี้

พอเปิดออกก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมาเพราะมันเยอะมากจริงๆ ด้านในเป็นปิ่นโตสี่เหลี่ยมสามชั้น อิงจัดการแบ่งเป็นชั้นๆ ไป แฝดหนึ่งชั้น อีธานกับคิณ และชั้นสุดท้ายเป็น คุณคนนิ่งและสตีฟ

เท่านั้นแหละสตีฟแทบอยากร้องไห้แล้วเขาจะได้กินไหมนั้น ดูๆ ขนาดสายตายังเหมือนจะฆ่ากันเลย

“ไม่กิน เหรอ!!”

“กะ กินกิน”

“ตักสิ”

“ห๊ะ ตะ ตักตักก่อนเลย ทีหลังได้” ปากบอกให้เขาตักแต่ตานี่บอกถ้าตักตาย แล้วใครมันจะกล้าว่ะ (เช็ดเหงื่อแป็บ)

ดูๆ ขนาดตักเข้าปากแล้วยังมายักคิ้วใส่เค้าอีก เพิ่งรู้ว่าบอสกวนตีนก็วันนี้นิแหละ

“สตีฟ มากินกับฉันก็ได้ไม่หมดหรอก อันนั้นให้เขากินไป” อีฟนายมันคือพ่อพระของฉัน ฉันรักนายพวก โห่อยากจะกระโดดกอดสักที

พอรู้ว่าไม่มีคนแย่งแล้ว คาล์ลก็กระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งก่อนที่มันจะหายไป และทำการปิดฝาขนมลงแล้วลุกเดินออกไป

“ฉันไปล่ะ”

“เอ้าคุณ!! แล้วไม่แบ่งให้คนอื่นอีกหน่อยหรอ กินคนเดียวทั้งกล่องเลยหรือไง”

“เอาไปเลย” (ทั้งหมด)

“แค่นี้ก็อิ่มแล้ว” (อีธาน)

“ไม่พอค่อยแวะไม่ที่ร้านแม่นายวันอื่น” (สตีเวน)

“ฉันไม่ค่อยชอบของหวาน” (คิณ)

อีกสองคนพยักหน้าตามระรัว ก่อนจะหันไปบอกให้ คาล์ลเอาไปได้เลย

“จบนะ” พูดจบก็เดินกลับห้องตัวเองทันที ก่อนทุกคนจะถอนหายใจทิ้งเหมือนรอดตายจากป่า อเมซอนยังไงอย่างงั้น

“เมื่อเช้าลุงก้าวเท้าไหนออกจากบ้าน”

“ฉันยังไม่กลับเข้าห้องเลยเถอะ”

เสียงกระซิบกระซาบไม่ได้ทำให้ อิง สงสัยอะไรคิดแค่ว่าคงเป็นเรื่องส่วนตัว เขาเลยไม่ยุ่งต่อ ก่อนจะกลับไปทำงานที่ห้องกับอีธานเหมือนเดิมจน ถึงเวลาเลิกงาน



“จะกลับแล้วหรอ อิง”

“ครับ คุณคิณยังไม่กลับเหรอครับ”

“ยัง ต้องพาบอสไปงานเลี้ยงคืนนี้ก่อนน่ะ อ่อแล้วก็ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกน้าหรือพี่ก็ได้”

“ครับ พี่คิณ”

“เห้อ!!เหมือนอายุลดลงไปสิบปี”

ทั้งคู่ยืนขำและหัวเราะกันอยู่นาน ก่อนอิงจะขอตัวกลับก่อนเพราะกลัวรถติด

พออิงลงลิฟต์ไปแล้ว ประตูห้องบอส ก็เปิดออก เผยให้เห็นเจ้านายตนกับเพื่อนรักเขาอย่างสตีฟเดินออกมาจากห้อง

“ทำตามที่ฉันสั่ง เสร็จแล้วตามไปที่งาน”

“ครับบอส”

“เปลี่ยนชุดก่อนไหมครับบอส”

“อืม” สั่งงานสตีเวน ก็หันมารับคำจากคิณก่อนทั้งสองจะเดินไปรอลิฟต์

“กลับไปแล้วหรอ”

“ครับ!!”

“เด็กใหม่”

“อ่อครับ”

“สำหรับคนไทยด้วยกัน นายคิดว่าเธอเป็นไง”

“ถามผมหรอครับ ผมคิดว่าไม่น่าตกมาถึงบริษัทเราได้ ไหวพริบดี เรียนรู้งานเร็ว ขนาดเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องแพ้อาหารสำหรับคนไม่รู้จัก ก็ถือว่ามีสติดีครับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำ”

“อืม”

“แล้วบอสล่ะครับ คิดว่าเด็กคนนี้ผ่านไหม”

ไม่มีคำตอบใดออกจากปานายใหญ่ จนเมื่อลิฟต์เปิดออก ถึงได้ยินถ้อยคำที่ทำให้ยิ้มตาม

“ก็ไม่ได้แย่”









TBC

ฝากใจ ฝากไลค์ ฝากเม้น กันด้วยน้าาา

https://www.facebook.com/Nuamok415/
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 21-11-2021 16:06:46
ตอนที่4 แปลกๆ







2 สัปดาร์ต่อมา



12:05 น.

“คุณ...จะยึดทุกอย่างไปวางไว้ข้างหน้าคุณทั้งหมดไม่ได้นะ” บุคคลที่ถูกว่า สำนึกไหม! ก็ไม่ แถมยัง...

“ทำไม ใครมีปัญหา!?”

“...” เสียงเซ็งแซเงียบลงทันที เมื่อ คาล์ลเอ่ยปากถามทุกคน

“ผมเนี่ยมี ผมห่อมาให้ทุกคนได้ทานด้วยกัน แต่พอคุณย้ายไปไว้ตรงหน้าคุณก็ไม่มีใครกล้าหยิบ หรือตักขึ้นมากินกันเลย แล้วก็เลิกปล่อยออกมาสักทีไอ้ไอหวงก้างเนี่ย คุณทำพวกเราอึกอัดอีกแล้วนะ”

“ฮะ..เฮ้ อิงพวกเราสบายมาก”

“ชะ...ใช่พวกเราเริ่มอิ่มแล้วหละ”

“หนุ่มน้อยใจเย็นก่อนนะ”

สถานการณ์ที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งหมดเคยเห็น แต่ถามว่าชินไหม? ไม่เลยเหอะกลัวใจบอสก็กลัว กลัวเพื่อนใหม่ซวยก็กลัว แต่แปลกที่บอส ดันไม่พูดและไม่เคยว่าอิงของพวกเขาเลย ออกจะเถียงด้วยซ้ำทำตัวเหมือนเด็กอยากเอาชนะตลอด

“พวกคุณก็เข้าข้างเขาตลอดแหละ”

“เอานา!! เราทานอย่างอื่นก็ได้ แล้ววันนี้ของหวานเป็นอะไร”

“...”

“อิง” อีธานลูบไปที่แผนหลังเด็กน้อยในปกคลองเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนที่มันจะกู่ไม่กลับ

“เฮ้อ!! วันนี้แม่ทำบัวลอยยัดไส้งาดำให้ครับ”

“ทำไมไม่ใช่ช่อม่วง” คาล์ลที่ตักข้าวเข้าปากเป็นต้องชะงักงันเมื่อ ของหวานในวันนี้ไม่ใช่ของโปรดตน

“...” อิงไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่หันไปยกทัพเพอร์แวร์ขึ้นมาเปิดแทน ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อน ทั้งดีใจที่จะได้กินอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว แต่อีกใจก็ไม่กล้าหันไปมองหน้าบอสตอนนี้เลย

“ลองทานดูนะครับ แม่ทำมาให้ลอง ถ้าอร่อยจะได้ทำขายหน้าร้านด้วย”

“อ่าว แบบนี้พวกเราก็เป็นหนูทดลองสิ”

“ฮ่าฮ่าครับ แต่ปลอดภัยแน่นอน อิงชิมมาแล้ว”

“โห!! มีหลายสีเลย ด้านในคืออะไรบ้างหรอ อิง”

“ไส้มีไส้เดียวครับ แต่สีทำมาจากผักและดอกได้ ครับ อย่างสีเหลืองก็ฟักทอง ลีม่วงก็มันม่วง สีเขียวใบเตยครับ และก็สีฟ้าอัญชัน”

“น่าสนใจ ประเทศฉันก็เคยนำดอกไม้มาทำแต่น้ำหอม เพิ่งรู้ว่ามันทานได้ด้วย”

“ครับ ถ้าวันไหนมะลิข้างรั่วออกดอก ผมจะทำน้ำลอยดอกมะลิมาให้ลอง หอมอร่อยมาครับ”

“หึ สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้”

นั่งเงียบฟังมานาน ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ เลยรู้สึกเมื่อโดนลืม ก่อนจะโผงอะไรออกไป แต่มันก็ไม่ใช่คำที่ดีนัก เพราะมันยังแทรกการจิกกัดมาด้วยแบบนั้นเสมอ



สตีเวนได้แต่สบถในใจ ว่ามันจะมีวันไหนที่บอสจะเลิกกัด หนุ่มน้อยของเขาไหม กัดบ่อยๆ บางทีก็กลัวใจบอสเหลือเกิน กัดกันไปมา ถ้าเป็นแฟนกันคงลูกดกน่าดู

“ถ้ากลัววันหลังก็ไม่ต้องมาร่วมวงก็ได้นะ ผมไม่ได้บังคับใคร”

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อึกอักติดที่คอ จนอยากใช้นิ้วล่วงสักทีมันเป็นแบบนี้สินะ

ครืด!!



เสียงลากเก้าอี้ออก ก่อนคนที่นั่งมันจนพื้นอุ่นจะลุกแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าถมึงทึง

ลูกน้องทั้งหลายก็ได้แต่ปาดเหงื่อข้างขมับออก



บอสนะบอสจะบอกเขาไปเลยว่าตัวเองเป็นใครก็จบ จะได้ไม่ต้องโดนเขาเมินแบบนี้บ่อยๆ พอโดนเขาว่าหน่อย ทำอะไรเขายังไม่ได้ ก็ได้แต่เดินหนีเหมือนเด็กรอให้ผู้ใหญ่ไปง้อ แต่อิงไม่ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมดก็ไม่ ต้องบอกว่าไม่ง้อแต่กับบอสเขาคนเดียวนี่แหละ

ไม่รู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง อิงจะโดนเอาคืนอะไรบ้าง เฮ้อ ขอพระเจ้าคุ้มครองนะอิง





14:00 น.

พอทานอาหารและของว่างกันหมด ทุกคนก็ต้องแยกไปทำงานของตัวเอง อาทิตย์นี้สำหรับแสงตะวัน แล้วก็ยังน่าตื่นเต้นเหมือนเดิม มีอะไรหลายอย่างให้เขา ได้เรียนรู้เยอะเลยทั้งแบบที่เคยทำมาแล้วตอนฝึกงานเช่น ถ่ายเอกสาร สรุปรายงานประชุมที่อีธานเป็นคนเข้าประชุม ซึ่ง แสงตะวันยังไม่ได้เข้า อีธานให้เหตุผลว่ายังไม่ถึงเวลานั้น



เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน อีธานก็บอกสิ่งที่บอสฝากมากับอีกคน

“วันนี้นายเอารถอีกคันกลับนะอิง พอดีบอส ต้องใช้คันที่นายใช้”

“อ่อครับ ที่จริงให้อิง กลับเองก็ได้นะครับ”

“ไม่ได้หรอก มันเป็นคำสั่ง ฉันขัดไม่ได้ เธอก็ด้วย”

“ก็ได้ครับ”

“อ้อ อีกเรื่อง บอสเขาอยากสั่งอาหารร้านนายน่ะ แบบทุกวันผูกขาดรายเดือนเลย นายจะคิดเท่าไหร่ ก็เรียกมานะ”

“บอสเหรอครับ ท่านจะโอเคกับอาหารร้านผมหรอครับ” อีธานโคตรอยากบอกใจจะขาดว่าถูกปาก จนเชพประจำตัวจะตกงานเลยหละ แต่ก็นะ

“อื้อ เขาชอบอาหารไทยน่ะ เห็นพวกเราพูดถึงอาหารร้านเธอบ่อย บอสเลยอยากสั่งมาทานบ้าง”

“งั้นผมไม่รับเงินหรอกครั..”

“รับเถอะบอสจะได้สบายใจ ราคามันก็ไม่ได้แพงถึงกับบอส จนหรอกนะ ก่อนหน้านี้เขาทานอาหารจานละครึ่งแสนเขายังไม่ซีทู้เลย นายไม่ต้องเกรงใจ”

“จานละแสน กินแล้วเหาะได้หรอครับ”

“ฮ่าๆ นายลองไปถามบอสเองไหม”

“อีธาน คุณอยากให้ผมคอขาดหรอครับ ...ก็ได้ครับเดี๋ยวผมถามแม่ให้ว่าท่านจะคิดเท่าไร แล้วมีอะไรที่บอสอยากทานเป็นพิเศษไหมครับ หรือของที่ท่านทานไม่ได้”

“ช่อม่วง ทุกวันต้องมีช่อม่วงเป็นของว่างเสมอ แล้วก็บอสแพ้กุ้งทุกชนิด”

“เหอะมีคนชอบช่อม่วงเหมือนคุณเมฆด้วยหรอครับ เอ๊ะเดี๋ยวนะ แพ้กุ้งด้วยเหรอครับจะเหมือนกันเกินไปแล้ว แต่คงไม่น่าใช้คนเดียวกันหรอก ตาคุณเมฆปากจัดจะตาย”

พูดอะไรไม่ได้นอกจาก หัวเราะแห้งๆ ออกมา เธอจะรู้ไหมอิงว่าเขาคือคนเดียวกัน ชอบเหมือนกันก็ไม่แปลก แพ้สิ่งเดียวกันยิ่งควรแปลกใจไหม แต่เธอก็ยังคิดบวกได้อีกนะอิง



17:00 น.

บ้านของแสงตะวัน



[อิง]



ตอนนี้ผมได้มาถึงบ้านแล้ว วันสุดท้ายของสัปดาห์ในการทำงาน กับสถานการณ์รถติดโคตรๆ ในวันนี้ทำให้ผมถึงบ้านช้ากว่าเวลาปกติ เพราะตอนนี้เกือบจะสองทุ่มแล้ว ทำงานทั้งวันยังไม่เหนื่อยเท่ากับนั่งรอไฟเขียวกลางสี่แยกเมืองใหญ่เลยนิด ยกเว้นเวลาอยู่กับคนคุณเมฆนะพลังงานผมลดลงฮวบๆ เลยแหละตอนนั้น



“กลับมาแล้วเหรออิง ทานข้าวเลยไหมแม่อุ่นให้?”

“สวัสดีครับแม่ อิงขออาบน้ำก่อนดีกว่าร้อนมาก”

“จ้ะ เดี๋ยวแม่อุ่นกบข้าวรอนะ”

รับคำแม่เสร็จผมก็เดินขึ้นชั้นสองของบ้าน เปิดประตูห้องนอนตัวเอง ก่อนวางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนใช้มือคายเนคไทออกพร้อมล้มตัวลงที่นอนบนเตียงขนาด3ฟุตของตัวเอง ใช้เท้ากดปุ่มพัดลมเพื่อเพิ่มความเย็นให้ตัวเอง พักสายตาสักพักก่อนจะเดินไปดึงผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป

ใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานผมก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก่อนจะออกมาปิดพัดลมแล้วลงไปด้านล่าง



“แม่อุ่นเสร็จพอดีเลยมาทานข้าวเร็วลูก เป็นไงวันนี้ เหนื่อยไหมลูก”

“เหนื่อยแต่สนุกจ้ะแม่ มันไม่ได้เครียดอะไรมาก พี่ที่ทำงานก็ดี”

“แล้วเจอเจ้าของบริษัทบ้างหรือยัง ท่านดีไหมลูก”

“ยังเลยจ้ะแม่ อ้อ!! ท่านอยากจะสั่งอาหารกับแม่ วันละสามมื้อทุกวัน แม่จะคิดเงินเท่าจ๊ะ อย่าเพิ่งปฏิเสธฟังอิงก่อนนะ อิงบอกอีธานแล้วว่าไม่รับเงินยอมทำให้ท่านฟรีๆ แต่ท่านฝากมาบอกว่าให้คิดเงินมาเลย เขาเต็มใจจ่ายแม่อย่าคิดมากเลยนะจ๊ะ”

“อิงพูดมาขนาดนี้ แม่จะเถียงอะไรเราได้อีกล่ะ แล้วท่านอยากทานอะไรบ้างในแต่ละมื้อ แม่จะได้ทำให้ถูก”

“ทำตามที่แม่เห็นสมควรเลยจ้ะ แต่ของทานเล่นขอเป็นช่อม่วง”

“ได้ๆ ส่วนค่าอาหารแม่ก็คิดราคาน่าร้านแหละ ไม่คิดค่าข้าวถือว่าแม่แถมละกัน ไปบอกคุณเขาด้วย”

“อ้อ แล้วก็ท่านแพ้กุ้งนะจ๊ะแม่ ห้ามเด็ดขาด”

“แพ้กุ้งเหรอ! เหมือนเพื่อนร่วมงานคนนั้นเลย ที่อิงเล่าให้แม่ฟัง”

“อิงก็คิดแบบนั้น แต่คงไม่ใช่หรอก ท่านออกจะใจดี ไม่เหมือนตาคุณเมฆที่หาเรื่องอิงได้ตลอดเวลา”

“ถ้าเป็นสมัยแม่นะ แกล้งบ่อยแบบนี้แปลว่าเขา ชอบเราหรือเปล่าลูก”

ช้อนข้าวที่กำลังจะเข้าปากหยุดชะงักทันทีกับคำพูดแม่ เขาน่ะหรือชอบผม บอกไม่ชอบหน้ายังเชื่อมากกว่าอีก คนอะไรก็ไม่รู้เอาแต่ใจจนเหมือน เด็กมากกว่าคนที่เขาทำงานแล้วแบบนี้



“บอกว่าเกลียดอิงยังเชื่อกว่าเลยจ้ะแม่ กินข้าวต่อแล้ว”



แม่ก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินไปดูของในครัว ว่าเหลืออะไรบ้าง พรุ่งนี้จะได้ให้ลุงเพิ่มไปซื้อของให้ ลุงเพิ่มเป็นแท็กซี่ขาประจำของแม่ ที่มาทานข้าวที่ร้านบ่อยจนสนิทกัน จนเชื่อใจลุงจ่ายตลาดก่อนเข้าบ้านตลอด เพราะลุงแกจะขับรถช่วงสายๆ แล้วก็กลับมาพัก ก่อนจะออกไปอีกทีตอนเย็นช่วงตนเลิกงาน



พอทานเสร็จผมก็เก็บจานชามล้างให้เรียบร้อยก่อนจะขอตัวแม่ขึ้นไปนอนถึงพรุ่งนี้จะหยุดแต่ผมก็ยังต้องช่วยแม่ที่ร้านอยู่ดี เพราะที่ร้านไม่มีวันหยุด แต่แค่เสาร์อาทิตย์เปิดสายหน่อย เพราะตอนเช้าๆ ไม่ค่อยมีลูกค้าเหมือนวันทำงาน



ขึ้นมาถึงห้องก็เปิดดูไลน์กลุ่มที่เพื่อนๆ ผมคุยกันทิ้งไว้ ไหนจะกลุ่มบอดี้การ์ดนั้นอีก ผมชอบเข้าไปอ่านเวลาเห็นแฝดวนสตีฟให้ของขึ้นได้ มันฮาดี แล้วยังรู้ความเคลื่อนไหวของบอสอีกด้วยเวลาบอสไปไหน แต่แปลกผมไม่เคยเห็นชื่อของบอสในทีวี หรือข่าวนักธุรกิจเลย

ดูเป็นคนลึกลับดีแหะ ขนาดอยู่ตึกเดียวกันแท้ๆ ยังไม่เคยเจอตัว รู้แค่ว่า เวลามีงานข้างนอก พี่คิณจะเป็นคนขับรถให้ หรือไม่ก็จะเป็นแฝดที่หายไปทั้งวันกลับมาก็เหมือนไม่ได้นอนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะถ้าเข้าอยากบอกเดี๋ยวผมก็รู้เอง

อย่างสองวันหยุดนี้ทุกคนก็ไม่อยู่ ต้องตามบอสลงใต้ไปดูที่ที่บอสประมูลได้เพื่อสร้าง โรงแรมที่นั้นกว่าจะเสร็จงานก็คงวันจันทร์

“เฮ้อ ผมจะทำงานให้ดีที่สุดเลยนะทุกคน”





06:00 น.

“อิงดูหม้อเขียวหวานให้แม่ทีลูก”

ผมที่กำลังปั้นสาคูไส้หมูอยู่ก็ต้องพักไว้ ก่อนจะเดินมาดูหม้อเขียวหวานให้แม่

“มะเขือได้แล้วจ้ะแม่ อิงใส่โหระพาเลยนะจ๊ะ”

“จ้าลูก” รับคำแม่เสร็จผมก็ปิดไฟใส่ใบโหระพาลงไปคนสักหน่อยก่อนปิดฝาแล้วยกหม้อลง

“พี่อิง อรทอดปลาดุกเสร็จแล้ว”

“พักไว้ก่อนน้องอร รอให้เย็นก่อนค่อยผัด เอาแตงกวาที่หั่นแล้วให้พี่หน่อยจะผัดเปรี้ยวหวานรอ แล้วเราก็ไปปั้นสาคูต่อพี่ทีเดี๋ยวเม็ดมันจะแห้งก่อน ตอนนึ่งมันจะไม่สุกดี”

แจกแจงงานให้น้องเสร็จก็ยกกระทะใบใหญ่ขึ้นมา เปิดไฟเทน้ำมันลงไปให้พอดีก่อนจะทุบกระเทียมจีนกลีบเล็กลงไปผัดให้พอหอมแล้วนำไก่ที่หั่นไว้ลงไปผัด พอไก่สุกนิดๆ แล้วก็นำแตงกวาและสับปะรดลงไปผัดพอเปลี่ยนสีแล้วปรุงรสเติมน้ำซุปนิดหน่อยไม่ให้แห้งมากก่อนจะนำมะเขือเทศลงไปผัดรวมกัน ปิดฝาเปิดไฟอ่อนๆ ไว้ แล้วหันไปทำอย่างอื่น



“น้ำเดือดแล้ว เอาถาดซึ้งมาวางได้เลยน้องอร แล้วไปดูเพื่อนๆ ทีว่าจัดถาดน่าร้านเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว เอาของที่สุกไปเตรียมเลยนะ”

น้องพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะไปล้างมือแล้ววิ่งไปที่หน้าบ้าน เพื่อดูความพร้อม

“แม่ว่าจะถาม ทำไมได้รถคันใหม่มาล่ะอิง ไม่ใช่ว่าไปทำรถท่านพังนะลูก” ผมยิ้มขำกับคำของแม่ คงกลัวผมจะโดนต่อว่าสินะ

“เปล่าจ้ะแม่ พอดีท่านต้องใช้รถคันนั้น เลยเอาคันนี้ให้อิงขับ ทั้งๆ ที่อิงบอกเดินทางเองได้แท้ๆ”

“แปลว่าทานเอ็นดูอิงไงลูก แต่กระนั่นแม่ก็ยังอยากขอบคุณเขาจริงๆ ที่รับลูกชายแม่เข้าทำงาน”

แม่คิดเหมือนผมเลย แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก เพราะอาทิตย์หน้าก็สิ้นเดือนแล้ว อีกสองเดือนผมก็จะได้เจอหน้าบอสแล้ว แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วสิ



08:00น.



ตอนนี้อาหารที่เตรียมขายเสร็จไปจนจะหมดแล้วเหลือไม่กี่อย่างที่ต้องใช้เวลาหน่อยในการเคี้ยว

ปริ้น!! ปริ้น!!



“อิง!! หิวข้าว!!!” อ่า เหมือนจะมีแขกมาเยี่ยมแต่เช้าเลยแหะ

“วรรณ แกจะเสียงดังทำไมเนี่ย บ้านอิงมันก็มีออดหน้าบ้านนะเผื่อลืม”

“อ้าว! จะได้รูไงว่าฉันมา”

“รู้กันทั้งซอยเลยยายตะกระ”

“พวกแกสองผัวเมียหยุดรุมฉันนะ!!”

ครืด!!

“หยุดทะเลาะกันแล้วเข้ามาข้างในก่อน”

“ไง คุณเลขา อ่านไลน์ทุกวัน แต่ไม่ตอบอะไรสักอย่าง!” ผมที่ยืนเกาะประตูรั่วก็ได้แต่ขำ กับคำเพื่อนบ่นให้ที่ว่าผมชอบเข้าไปอ่าน แต่ไม่เคยออกความคิดเห็นอะไร

“ก็ดี แล้วมาได้ไงอะ? รู้ได้ไงว่ากูหยุด”

“ยัยตะกระ อยากมาแต่ไม่กล้ามาคนเดียว”

“อย่าใส่ร้ายฉันนะ...ก็แค่ทางผ่าน เห็นรถหรูจอดอยู่ก็คิดว่าคงอยู่ก็แค่นั้นแหละ”

“หรา!! ทางผ่านอ่ะเนาะโทรปลุกพวกฉันตั้งแต่เช้า แล้วบอกว่าอะไรนะดิน”

“คิดถึงอิง อยากมาหา” ผมยิ้มกับคำของดิน คนที่นิ่งๆ ไม่ค่อยพูดยกเว้นเวลาอยู่กับนาวา จะเป็นอีกคนคำพูดเยอะมาก

“ดิน บางทีก็อยากให้แกเงียบๆ ไปเหมือนเดิมนะ ไม่ต้องมาเข้าคู่กันแบบนี้”

“เข้ากันก็พอดีนะ”

“ดิน!!!!!” นาวาเสียงใส่ดินทันทีที่พูดจบ ส่วนวรรณได้แต่อ้าปากค้าง หน้าเห่อแดงไปหมดแล้วนั้น

“ไปๆ เข้าบ้านเหอะ อีกเดี๋ยวก็เปิดร้านแล้ว”

“งั้นวันนี้กูกับดินอยู่ช่วยมึงนะ ไม่รู้จะไปไหน”

“แม่คงดีใจ ไม่ได้เจอ พวกมึงนานแล้ว”

ผมและเพื่อนเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะพากันไปบุกครัวบ้านผมที่อยู่ด้านหลังบ้านเลย พอแม่เห็นก็ดีใจ ที่เห็นเพื่อนผมครบทุกคน เพราะตั้งแต่พวกมันจบไปก็ต้องช่วยงานที่บ้าน ไม่ได้ทำงานในสายที่ตัวเองเรียนมาสักคน จะมีก็คงเป็นวรรณที่ ได้ใช้วิชาบ้าง อย่างการออกแบบเครื่องเพชรให้ที่บ้าน

ส่วนดินและนาวาก็ช่วยที่บ้านดินทำธุรกิจส่งออกต่างประเทศ โดยมีพี่ชายดินเป็นประทานบริษัท คู่นี้จะบอกว่าไปได้สวยเลยแหละ ครอบครัวของดินไม่รังเกียจนาวาเลยที่เป็นเด็กกำพร้า แถมรักยิ่งกว่าดินที่เป็นลูกเสียอีก

ด้วยความเข้ากับผู้ใหญ่ได้ง่าย เลยมีแต่คนหลงรัก แม่ของดินเคยแกล้งจะขอนาวา ให้กับทัพฟ้าพี่ชายของดิน จนเกือบบ้านพัง

เพราะลูกชายคนเล็กของบ้านได้ทำการปล่อยแมว สัตว์ที่ทัพฟ้าไม่คิดชอบเลยไว้ทั่วบ้านไม่พอยังเอาเข้าไปปล่อยเต็มห้องพี่ชายอีก จนต้องหามทัพฟ้าส่งโรงพยาบาลเพราะเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรง

คุณหญิงหัวใจเกือบวายนึกว่าจะเสียลูกชายไปเสียแล้วส่วนคนทำก็หนีไปนอนคอนโด ไม่สนใจคำต่อว่าจากแม่สักคำได้แต่ปลายตามองคุณหญิงเท่านั้น จนท่านต้องยอมหยุดการแกล้งลงเพราะกลัวจะเกิดอะไรที่ไม่คลาดคิดขึ้นมาอีก

ส่วนทัพฟ้าก็ได้แต่ด่าน้องชาย ว่าจะฆ่าตนให้ตายจริงๆ ใช่ไหมถึงทำแบบนั้น ก็ได้คำตอบที่เกือบน้ำตาล่วงกันเลย

“อือ แม่จะได้ไม่ยกวาให้ทัพ”

“วาของเรา ทัพห้ามแตะ”

“มึงพูดแบบนี้มันก็จบแล้วไอ้น้องเวร”

“ก็ไม่ตายนิ”

“เออ แต่มันคันมึงเข้าใจไหมมันคัน”

“...ช่วยเกา” ไม่พูดเปล่า ยังยื่นมือมาช่วยเกาให้อีก



12:00 น.

“แล้วคุณป้าเป็นไงบ้าง” ผมถามดินที่นั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยวันนี้ถึง สุขภาพของคุณหญิงแม่

“ก็ดี”

“ช่วงหลังๆ ก็บ่นปวดเมื่อยบ่อยๆ แหละมึง อายุท่านก็มากแล้ว” นาวาที่เห็นว่าดินตอบสั้นห้วนจนน่ารำคาญเลยตอบแทน

“บางทีฉันก็คิดนะว่า ไอ้วามันเป็นลูกคุณป้าที่ถูกสลับตัวกับแกหรือเปล่าดิน ดูมันใส่ใจแม่แกมากกว่าแกอีก”

“อือ” ก็แค่นั้นแหละครับคำตอบไม่รู้อืออะไร ปวดหัวจริง



พอทานข้าวเสร็จยัยวรรณก็ขอตัวผมจากแม่เพื่อพาไปเที่ยวกัน แม่ก็อนุญาตบอกเอาไปเลยทำงานทั้งอาทิตย์ยังไม่ยอมหยุดอีก



นั้นแหละครับตอนนี้ผมและสามเกลอก็มายืนจ้องตรงหน้าทางเข้าโรงหนังอยู่นี่ไง

“จะดูอะไรอิง” วาถาม

“วา แกควรถามเลดี้ไหม เนี่ยยืนอยู่ตรงนี้” วรรณรีบชี้เข้าตัวเอง

“ก็แกมาดูบ่อยแล้ว ร้านแกก็อยู่ที่ห้างนี้แกคงไม่ใช่ว่ารอพวกฉันหรอกนะ”

“ก็...ก็ได้ แล้วแกอะ อิง จะดูเรื่องอะไร”

“เรื่องนี้ได้ไหมเราอยากดู เลล่า เล่น”

“เอาๆ ฉันอยากเห็นผัววามันขำ”

“คิดว่าจะได้เห็น!!”

“ไม่อะ ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า แกชอบมันได้ไง ทำตัวอย่างกับหุ่นยนตร์ลืมป้อนข้อมูล”

ผมก็อดขำคำต่อว่าเพื่อนของ วรรณไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จะเอ่ยว่าอะไร เพราะมันก็ชอบแหย่กันแบบนี้ตลอด

“บนเตียงเราดุนะ”

“อะจ้ะ” ถามเขาแล้วตัวเองก็มาหน้าแดงเองอะเนาะคนเรา

“พอๆ จะจองยังไง หน้าเครื่อง แอพหรือเคาเตอร์”

“แอพสิฉันมีส่วนลดอยู่”

“รวยขนาดนี้ยังจะเอาส่วนลดอีกเหรอวรรณ”

“รวยได้ใช่ว่าจะจนไม่ได้ ประหยัดไว้ดีกว่า”





จบจากดูหนังเราก็พากันหาร้านอาหารทานกัน ก่อนจะได้ร้านหมูกระทะ ที่มีคุณเข้ตัวเขียวยืนหรือหน้าร้าน ที่เคยเถียงกับเพื่อนเมื่อตอนปีหนึ่งว่ามันคือ พี่เข้ หรือพี่ก็อต



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“เฮ้ย!! มาได้ไง”

“ใครว่ะอิงหล่อๆ ทั้งนั้นเลย”

“เพื่อนที่ทำงานน่ะ เดี๋ยวมานะ”

พอเดินออกมาข้างนอกถึงรู้ว่ามากันหมดเลยไม่เว้นกระทั่งตาคุณเมฆ

“ไหนบอกว่าลงไต้กันไงครับทำไมมาอยู่ที่นี่กัน”

“เคลียร์งานเสร็จไวน่ะ แล้วนี่มากับใครเหรอ?”

คิณที่เป็นคนตอบคำถามให้ก็ถามกลับทันทีเมื่อมองเข้าไปในร้านตรงที่ อิง เดินออกมา

“เพื่อนน่ะครับ พอดีพวกเขาไปเยี่ยมอิง ที่บ้านเลยชวนอิงออกมาเที่ยว”

“นี่ หนุ่มน้อย แล้วหนุ่มน้อยคนนั้นเพื่อนเธอด้วยป่ะ”

“ครับทั้งหมดเลย”

“น่ารักจัง เขามีแฟนยั-”

“ลูกพี่ทำอะไรอยู่นะตอนนี้” อยู่ๆ หยางก็พูดถึงบุคคลต้องห้ามสำหรับสตีเวนขึ้นมา จนผมแอบยิ้มขำกับคนที่หันไปขรึงตาใส่รุ่นน้องทันที

“คนที่นั่งข้างๆ คือสามีมันแหละครับ”

“อ่า ท่าจะหวงมากสินะ”

“ไงอิง มาเที่ยวหรอ” อีธานที่ยืนคุยกับคุณเมฆอยู่ก็เดินมาหาผม ก่อนจะเอ่ยถาม

“ครับ แล้วทุกคนมาทำอะไรหรอครับ”

“ทานข้าวน่ะ”

“อ่อ งั้นสนใจทานด้วยกันไหมครับ”

“ไม่ละพอดีเราจองโต๊ะไปละ...”

“ยกเลิกแล้ว” แล้วคุณเมฆก็พูดขึ้นมาแล้วเดินได้คุยอะไรก็ไม่รู้กับพนักงานก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน

“ยกเลิกตอนไหนวะ”

“ลุงลองเดินเข้าไปถามสิ” ทุกคนพากันทำหน้างง กับคนที่เดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ที่พนักงานได้นำมาต่อเติมให้ใหม่ทันที

“เขาบอกยกเลิกก็ยกเลิกสิ ไป งั้นพวกเรานั่งด้วยนะอิง”

“ห้ามตอนนี้ทันเหรอครับ” คิณและอีธาน ได้แต่ขำให้กับคู่ไม้เบื่อไม้เมา ที่เจอกันที่ไรเป็นต้องจิกตา เลิกคิ้วมองกันทุกที ไม่ได้เห็นใจคนเก็บความลับอย่างพวกเขากันเลย



พอเข้ามานั่งด้านในก็มีการแนะนำตัวกันนิดหน่อย ทุกคนตกลงกันว่าจะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษจะได้คุยกันรู้เรื่องไปเลย

การนั่งก็จะเป็น วรรณ นาวา ดิน หยิน สตีฟ ด้านขวาก็จะเป็น ผม คุณเมฆ อีธาน คิณ หยาง

ทุกคนเหมือนจะชอบ ยกเว้นคนข้างๆ ผมที่ เอาแต่มองอาหารเหมือนครั้งแรกที่เจอกันเลย จนผมอดไม่ได้เลยเป็นคนย่างให้เค้าทาน มีหันมามองผมนิดหน่อย แต่ผมทำเป็นไม่สนใจเขายังทานของตัวเองต่อไป ดูแค่ว่าเขาใกล้หมดยังค่อยคีบไปไว้ในจานให้

ทานเยอะจนรู้สึกปวดเบาเลยขอตัวเข้าห้องน้ำโดยมีอีธานและคิณขอไปด้วย



หลังอิงเดินออกไป



คาล์ล ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองทานตัวไหนได้บ้างก็ทานแต่ที่ อิง คีบมาวางไว้ให้เท่านั้นโดยไม่กล้าแม้จะตักน้ำซุปทาน

วรรณที่เห็นว่าในจานของ คุณเมฆเนื้อใกล้หมดแล้วเลยใจดีตักให้ สองสามชิ้นแรกก็ยังเป็นเนื้ออยู่ จนมาถึงชิ้นที่สี่ มันเป็นลูกกลมๆ ขาวๆ เหมือนซาลาเปาลูกจิ๋ว มองแล้วก็ไม่น่ามีอะไรจนตัดสินใจกัดเข้าคำแรก แล้วมีน้ำช่ำหวานอร่อยไหลออกมา แล้วรู้สึกว่ามันอร่อยดีจนอยากลองอีก

วรรณที่มองดูอยู่เห็นแบบนั้นก็ตักให้อีกสองลูก คาล์ลก็รับไว้ด้วยใจที่ชอบไปแล้วจนกระทั้งคำสุดท้ายที่กำลังเอาเข้าปาก เป็นตอนที่ อิง และทุกคนเดินกลับมาที่โต๊ะ

อิงที่มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างตะเกียบสองอันเป็นต้องเบิกตากว้าง พุ่งตัวมาปัดตะเกียบในมือ คาล์ล ออกทันที

เพล้ง!!!

“ทำบ้าอะไรของคุณอยากตายหรือไง!!” เสียงตะคอกต่อว่า

“เป็นบ้าอะไรของเธอ!”

อิงไม่ได้ตอบแต่ใช้มือประกบใบหน้าของคาล์ล ก่อนจะหันซ้ายขวาเพื่อดู แล้วก็ต้องเบิกตาอีกครั้งเมื่อพบว่าข้างๆ มุมปากของไอ้คุณเมฆเริ่มมีผื่นเม็ดเล็กผุดขึ้นมาแล้ว

“คุณพกยามาด้วยไหม?”

“อิง เกิดอะไรขึ้น?”

“คุณเมฆแพ้กุ้ง ใครเอาเปาจิ๋วให้เขาทาน” เท่านั้นแหละเหล่าบอดี้การ์ดก็พากันลุกพรึบกันทุกคน ก่อนที่อีธานจะบอกให้คิณไปเตรียมรถ

“ฉะ..ฉันเอง ฉันไม่รู้ว่าคุณเขาแพ้ ฉันขอโทษ” วรรณที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบสารภาพทันทีว่าตนเป็นคนเอาให้ทาน แต่ด้วยความที่อิง รีบร้อนจะพา คาล์ลไปโรงพยาบาลเลยไม่ได้ตอบหรืต่อว่าอะไรกับเพื่อน เป็นอีธานที่ยื่นบัตรไปให้วา เพื่อบอกว่าอาหารมื้อนี้เขาจะเป็นคนจ่ายแล้วค่อยเอาฝาก อิง มาคืนวันหลัง



พอเดินออกจากร้านมาได้ ทุกคนก็รีบมุ่งตรงไปที่ทางออก หยินและหยางเอารสมากันเองเลยขอตัวไปเอารถก่อนแล้วจะตามไปทีหลังสตีฟวิ่งนำหน้าเปิดทางให้การเดินไปที่รถสะดวกมากขึ้น

“เป็นไงบ้างคุณ ยังหายใจออกไหม?” คาล์ลได้แต่พยักหน้าแล้วหันมองเสี้ยวหน้าคนที่ดูร้อนรนเหมือนตนเป็นเองด้านข้าง ก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆ ก่อนมันจะหายไปเพราะคำพูดของอิง

“จะตายอยู่แล้วยังจะยิ้มอีก รู้ว่าตัวเองแพ้กุ้งก็น่าจะถามก่อน ว่ามีกุ้งไหม แล้วกินเข้าไปกี่ลูก

“สาม อันที่สี่เธอปัดมันทิ้ง”

“ยังจะเสียดายอีกนะคุณ!!” เขาไม่ได้เถียงแค่เดินไวๆ ตามแรงจูงคนด้านข้างที่ใบหน้าเคร่งเครียดเหลือเกิน

การบ่นของอีกคน ไม่ได้ทำให้คาล์ลโกรธหรือต่อว่ากลับเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับรู้สึกดีซะนี่ สงสัยเขาคงเป็นโรคจิต (ชอบให้ด่า)

“กินยาก่อนครับ” พอมาถึงรถก็เป็นคิณที่รีบยื่นยาที่เตรียมไว้ให้ทาน ถึงจะแทบไม่เคยได้ใช้เลยก็ตามที

“นายติดต่อโรงพยาบาลไว้ยัง”

“เรียบร้อย เอาที่ใกล้ที่สุด” อีธานพอได้ยินแบบนั้นก็เปิดประตูรถให้ คาล์ลและอิงขึ้นไปนั่งด้านหลัง ก่อนตัวเองจะมานั่งข้างคิณด้านหน้า สตีเวนขอไปคันหลัง กับหยินแทน พอทุกคนขึ้นรถเสร็จรถก็ออกตัวไปทันที โดยที่อิงลืมสังเกตว่ารถที่ต้นนั่งอยู่นี้คือรถที่ตัวเองใช้ประจำ



ณ โรงพยาบาล



“ปลอดภัยแล้วครับ ดีนะครับที่ทานยาแก้ไว้ทัน ยังไม่ถึงกับหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องล้างท้องอยู่ดีเพราะทานเข้าไปค้อนข้างเยอะ”

“ครับ แล้วแบบนี้ต้องแอดมิดไหมครับคุณหมอ?”

“ครับ ยังไงก็ต้องนอนพัก ดูอาการสักสองวันถ้าดีขึ้นค่อยว่ากันอีกที ยังไงหมอขอตัวก่อนนะครับ อีกห้านาทีพยาบาลจะพาคนไข้ไปที่ห้องที่จองไว้”

“ขอบคุณครับหมอ” ทุกคนที่ยืนออกันที่ห้องฉุกเฉินเป็นต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนคนนั่งเป็นพี่ใหญ่สุดจะโดนด่าเสียงเข้ม ด้วยภาษาที่อิงฟัง ไมค่อยจะออกเท่าไหร่

“แกก็นั่งอยู่ทำไมไม่ดู?”

“ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นนี่ นายจะหัวเสียทำไมเขาผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ปลอดภัยแล้วไง!”

“เหอะ ปัดความรับผิดชอบได้ดีมากสตีฟ อ้อ เตรียมตัวไว้ด้วยนะ”

“เตรียมตัวอะไร!”

“ที่รักนายกำลังนั่งเครื่องมาเมื่อ15นาทีที่แล้ว”

“ที่รัก!!...ห๊ะไม่จริงใช่ไหม? อย่าบอกนะว่านายบอกนิกซ์ ให้ตายเถอะอีฟ นายมัน..มันอำมหิตเลือดเย็น แล้วพวกแกรู้หรือยัง” สตีเวนหันไปมองสองแฝดก่อนจะได้รับคำตอบโดย ไม่ต้องตอบคำถาม นั่งกุมขมับขนาดนั้น สรุปง่ายๆ ว่ารู้แล้ว

“สวรรค์ของฉัน ให้ตาย!! หมดสนุกแล้วสิ๊” ได้แต่วัยอาลัยให้ตัวเอง ใครก็รู้ว่า ฟีนิกซ์เด็ดขาดแค่ไหน ขนาดบางเรื่อง บอสยังต้องขอคำปรึกษาเลย

“จิมนายว่าเราจะโดนอะไรบ้าง” หยินถามหยาง

“เดาใจลูกพี่ไม่ได้เลย ยิ่งปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นฉันยิ่งไม่อยากคิด”

“ตาย ตายสถานเดียว” สตีเวน

“ลุงแก่สุด รับคนเดียวไปเลยไม่ได้หรอ?” หยาง

“ไอ้เด็กเวร แก่แล้วไม่ใช่คนเร๊อะ!! หัวหน้าพวกแกเบามือที่ไหน”

อิงที่มองดูสถานการณ์ก็ได้แต่งง! ว่าทุกคนพูดคุยอะไรกัน จนเห็นคุณพยาบาลเข็นเตียงของเมฆออกมา ถึงดีดตัวรุกขึ้นแล้วเดินไปหาคนที่หน้าซีดเซียวนอนอยู่บนเตียง ด้วยตาปรือๆ

“คุณโอเคไหม?”

“อืม”

“ยังคันอยู่หรือเปล่า”

“อืม”

ระหว่างเดินตามรถเข็นมา อิง ก็พยายามคุยกับคนที่ทำท่าจะหลับตลอดเวลาจนเข้ามาถึงห้อง ย้ายขึ้นเตียงใหม่ที่อยู่ในห้องที่ใหญ่กว่าที่เข็นเขาเข้ามา



ตาปรือปรอยมองใบหน้าที่เริ่มเลือนรางก่อนจะเอ่ยคำคำนั้นออกมา แล้วหมดสติไป

“อยู่กับฉันนะ”

ทิ้งคำไว้แล้วหลับไปแบบนี้มันได้ที่ไหนกัน ไม่เห็นใจคนฟังบ้างหรือไง ว่าจะเข้าใจผิดหรือเปล่า

“ให้มันได้แบบนี้สิ ตาบ้า”





TBC.

อะ อาเฮียก็พูดไม่เคลีย อะเนอะ

ลูกอีชั้นคิดไปเองจะทำไง

สตีฟเกรียมตัวไว้เลยนะ ทำบอสเข้า รพ.แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน

สุดท้ายฝากเม้น ฝากไลค์ ฝากใจ ให้เราด้วยนะ

กำลังใจมากก็มีแรงพิมพ์ที่มหาศาล

@Nuamok415

https://www.facebook.com/Nuamok415/

ทวิต:    nuamok1[/pre][/center]
[/size][/font]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-11-2021 23:37:03
ตอนที่ 5 ความจริง



19:35 น.

เพี้ยะ!!

เพี้้ยะ!!

ผั๊วะ!!

อึก

“นิกซ์..ทำไมของฉันเป็นต่อยล่ะ..อัก! แค่กๆ”

พูดยังไม่ทันขาดคำก็เจอเข้ากลับหมัดหลุนๆ อัดเข้าหน้าท้องแกร่งที่ยังไม่ได้เกร็งตัวทันที



หยินและหยางที่โดนตบกันไปคนละทีถึงกับซี๊ดปาก เมื่อเห็นสตีเวนลงไปนอนกุมท้องอยู่ที่พื้น

“ลุกขึ้นมา” เสียงเย็นชาไม่มีผ่อนปรนแรงลงเลยแม้แต่นิดเดียว

ความเจ็บครั้งนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับที่ทั้งสามปล่อยให้นายใหญ่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเรื่องที่บอดี้การ์ดทุกคน ย่อมรู้อยู่แล้วว่าบอสแพ้กุ้งมากแค่ไหน จากการรายงานของอีธานคือ เขากับคิณขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็เกิดเรื่องทั้งๆ ที่ สตีฟนั่งอยู่ใกล้ๆ แท้ๆ มันสมควรแล้วที่ต้องโดน เขาไม่เอากระสุนเจาะหัวก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“เคยบอกไปแล้วใช่ไหม” (เสียงเหี้ยม)

ผั๊วะ!!

“อย่าให้บอสได้รับบาดเจ็บ”

อัก ตุบ อึก

แฮ่ก!! อึก!! แฮ่กๆ ถุ่ย!!

“ละ..ลูกพี่พอก่อนเถอะครับ เดี๋ยวตาแก่มันจะตายก่อนนะ” สายตาเย็นชา มาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือเมื่อตอนที่ ฟีนิกซ์ค่อยๆ เบนสายตากลับมามองสองแฝด

“หรือพวกแกจะรับแทน!!”

กึก

ไม่มีคำตอบของคำถามนี้ ฟีนิกซ์จึงหันกลับไปลงทัน สตีเวนต่อแบบไม่ลดแรงลงเลยแม้แต่มิลเดียว

“สงสารลุงว่ะ เจอเมียเล่นงานเหมือนเป็นคนอื่นเลย” หยางที่ได้แต่ยืนมองเหตุการณ์กล่าวขึ้น

“เพราะลูกพี่เด็ดขาดแบบนี้ไม่ใช่เหรอเราถึงยอมรับเาน่ะ”



กว่าฟีนิกซ์จะใจเย็นลงได้ สตีเวนก็แถบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย ใบหน้าที่บวมเป่งทั้งเลือดเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ไหนจะรอยตามตัวที่สองแฝดแทบไม่อยากจะนับ หมดสภาพหนุ่มเจ้าสำรานอารมณ์ดีไปเลย





21:00 น.

ณ โรงพยาบาล



แกร๊ก

คนที่อาสานอนเฝ้าไข้ให้ งัวเงียตื้นขึ้นมาขยี้ตาตัวเองก่อนจะมองไปทางประตูทางเข้าว่าใครมา ตอนแรกนึกว่าเป็นพยาบาลมาตรวจ แต่ไม่ใช่ ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ดูเย็นชาแถมยังรู้สึกน่ากลัวอยู่นัยๆ อีก บุคลิกนิ่งขรึม ท่าทางเหมือนกับคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีผิด

“เธอเป็นใคร?” เมื่อฟีนิกซ์มองเห็นบุคคลที่ไม่คุ้นหน้าแต่สามารถเข้ามาอยู่ร่วมห้องของบอสได้ ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะปกติบอสไม่ให้ใครเข้าใกล้ตัวได้มากขนาดนี้

ใบหน้าขาวใส กลับคำพูดที่เหมือนจะแปลได้แต่ก็ไม่แน่ใจ จึงลองเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกลับไปดู

“คุยกับผมหรือเปล่าครับ”

ฟีนิกซ์พยักหน้าเป็นคำตอบก่อนที่จะสำรวจเด็กที่อยู่ตรงหน้า เขา แน่ใจว่าเด็กกว่าตัวเองแน่ เผลอๆ เด็กกว่าไอ้สองแฝดนั้นเสียอีก

“ผมชื่อแสงตะวันครับ เป็นเลขาฝึกหัด”

“เลขา!!..อ่อเธอคงเป็นคนที่จะมาเป็นเลขาบอสสินะ”

“ครับ”

“ขอบใจเธอมากสำหรับวันนี้ที่ช่วยบอสไว้...”

“บอส!!เหรอครับ? ผมยังไม่เคยเจอบอสเลยสักครั้งครับ หากเป็นไปได้ผมก็จะ..”

“เดี๋ยว...นี่เธอไม่รู้หรือว่าคนที่เธอช่วยไว้วันนี้ แท้จริงแล้วเป็นใคร”

“…? ช่วยวันนี้ คุณเมฆ!! หรือว่า..”

“ใช่ คุณเมฆา สุวรรณเมธีร์ ประทานบริษัท AQT และเป็นเจ้านายของเธอด้วย”

แสงตะวันนิ่งค้างไปตั้งแต่คำว่า’ ใช่’ แล้ว สมองตอนนี้กำลังประมวนผลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกับ เมฆ

“หึ ดีได้นานแค่ไหนกันเชียว”

“อ่ะ...ลืมแนะนำเลย นี่บ...”

“บอดี้การ์ดอีกคนหรอครับ ที่พูดเมื่อกี้หมายถึงผมหรือเปล่า ถ้าใช่อย่าเพิ่งดูถูกกันสิครับให้ผมได้ทำงานก่อน แล้วค่อยมาดูกันที่หน้างานว่าผมจะทำได้ไหม”

“ไม่!! ไม่ชะ...อึก”

“เหรอ งั้นก็ขอให้ทำให้เต็มที่แบบที่ปากพูด ฉันจะรอดู ให้สมกับที่ถูกเลือก”

วันนั้นหากจำไม่ผิด อีธานพยายามบอกเขาแล้ว แต่ด้วยความหมั่นไส้เลยไม่ได้ฟัง แถมยังทำกร่างใส่อีกไหนจะตอนทานข้าว..

“คุณ...จะยึดทุกอย่างไปวางไว้ข้างหน้าคุณทั้งหมดไม่ได้นะ”

“ทำไม ใครมีปัญหา?”

“...”

“ผมเนี่ยมี ผมห่อมาให้ทุกคนได้ทานด้วยกัน แต่พอคุณย้ายไปไว้ตรงหน้าคุณก็ไม่มีใครกล้าหยิบ หรือตักขึ้นมากินกันเลย แล้วก็เลิกปล่อยออกมาสักทีไอ้ไอหวงก้างเนี่ย คุณทำพวกเราอึกอัดอีกแล้วนะ”

“ทำไมเรามันโง่แบบนี้นะ” ได้แต่พึมพำกับตัวเองโทษทั้งความมุทะลุที่ไม่ยอมฟังอะไรให้ดีก่อน ทั้งไม่นึกสงสัยหรือแปลกใจอะไรเลย อันที่จริงเขาสงสัยอยู่ว่าทำไมบอสกับคุณเมฆถึงชอบอะไรเหมือนกัน แพ้อาหารประเภทเดียวกัน แถมที่ควรสงสัยคือทำไมทุกคนถึงดูเกรงใจเขาเป็นพิเศษ หากบอกว่าเป็นบอดี้การ์ดเหมือนกัน

“คะ..เอ่อ!!”

“ฟีนิกซ์ เป็นมือขวาและหัวหน้าบอดี้การ์ดที่เธอน่าจะเคยเห็นทุกตนแล้ว”

“ครับ! คุณจะมาเฝ้าเขา เอ่อ บอสใช่ไหมครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ เอ่ออันนี้กุญแจรถครับ สวัสดีครับ”

ไม่รอให้ใครกล่าวอะไรต่อ แสงตะวันก็เดินออกมาจากห้องทันที ก่อนจะยืนพิงห้องผู้ป่วยที่เพิ่งมารู้ว่าแท้จริงแล้วเขาผู้นั้นคือบอส คือคนที่จ้างตนมาทำงาน คือคนที่ไม่ยอมบอกอะไรกับตัวเองเลยนอกจาก ทะเลาะและเถียงกันเรื่องอาหารการกิน หรือแม้แต่เรื่องการสรุปรายงานที่เขาต้องส่งให้ คุณเมฆอ่าน ซึ่งอีธานบอกว่ามันจำเป็น

“ไอ้อิงนะไอ้อิง จะเอายังไงละทีนี้ ด่าเขาไว้เยอะด้วยสิ” ยืนเอาหัวโขงพนังอยู่นาน ก็คิดได้ว่าต้องกลับไปตั้งหลักก่อนอะไรจะเกิดค่อยให้มันเกิดพรุ่งนี้ วันนี้กลับไปพักเอาแรงก่อนไม่รู้ว่าจะต้องโดนอะไรบ้าง ไม่รู้จะต้องหางานใหม่หรือเปล่า

00:45 น.

กว่าจะถึงบ้านกว่าจะอาบน้ำทำอะไรเสร็จก็เลยเข้าวันใหม่ไปแล้ว

ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ต้องไปที่ไหนก่อนดี ระหว่างบริษัทหรือโรงพยาบาล แต่เราก็ไม่ได้จำเป็นต้องไปเฝ้าเขานี่นา งั้นก็ไปทำงานละกัน

แต่พอจะล้มหัวลงนอนเสียงแจ้งเตือน จากแอพสีเขียวก็ดังขึ้นพร้อมข้อความจากอีธาน

Line

Ethan Ln

พรุ่งนี้เข้ามาที่โรงพยาบาลด้วย

เขาจะทำอะไรได้นอกจาก

อิง อิง

ครับ

ตอบรับข้อความเสร็จก็ล้มตัวลงนอนตามความคิดเดิม เพิ่มเติมคือเสียงถอนหายใจที่คิดไม่ตกกับเช้าที่จะมาถึงนี้ สงสัยต้องหาของไปขอขมากับเรื่องที่แล้วๆ มาซะแล้ว





08:15น.

ตอนนี้ อิง ได้มายืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยที่เมื่อวานเขาคิดที่จะมาเฝ้าไข้จนได้รู้ความจริง เลยตัดสินใจหนีกลับบ้านแทน

ไม่รู้ว่าเข้าไปแล้วจะต้องเอ่ยอะไรก่อน ไม่รู้ว่าจะต้องมองหน้าคนที่ทะเลาะกันทุกวันยังไงให้เหมือนเดิม หรือเขาผู้นั้นจะยังหลับ แต่ปกติคุณเมฆจะเข้าบริษัทเช้ามากเลยนะ! แต่วันนี้เขาป่วยอาจจะยังไม่ฟื้น! หรือว่าจะฟื้นแล้ววะ!

อิง คิดอะไรคนเดียวหน้าทางเข้าประตู บ่นอะไรพึมพำคนเดียวเหมือนกำลังร่ายคาถาอะไรอยู่ จนไม่รู้เลยว่าคิณที่ไปทำเรื่องค่ารักษาพยาบาลของสตีเวนกลับมาแล้ว กำลังยืนจ้องมองดูเด็กน้อยที่พวกเขาพากันเอ็นดูในความใสซื่อ และอัธยาศัยดีกับคนอื่นเขาไปทั่ว แต่พอเป็นเวลาทำงานก็ตั้งใจจนน่าสนใจ

“อิง มายืนบ่นอะไรคนเดียวหน้าประตูทำไมไม่เข้าไป”

“อ่ะ...พี่คิณ คือเอ่อคืออิง อ่ะพี่คิณดี๋ยวสิ” ไม่รอให้เจ้าเด็กน้อยได้พูดอะไรต่อ ก็ดึงแขนลากเข้าไปด้านในทันที



พอเข้ามาด้านในก็ทำเอาตัวแข็งทื่อ กับบรรยากาศน่ากัดลิ้นตัวเองตายแบบนี้ หยินและหยางที่ยืนก้มหน้าเอามือประสานกันไว้ด้านหน้า อีธานที่นั่งกัดเล็บตัวเองอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ กับผู้ชายที่เขาเพิ่งเจอเมื่อวาน ที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียงคนป่วย

“ออกไป” เสียงดุๆ ที่อิงชอบบอกว่ามันดูขี้เก๊ก วันนี้มันช่างน่ากลัวที่สุด พอได้ยินขำไล่มาแบบนั้น เขาก็รีบหันหลังเตรียมเดินออกมาทันที แต่ก็ต้องชะงักเมื่อน้ำเสียงดุๆ ที่เหมือนเจ้าป่านั้นได้เอ่ยขึ้นมาอีกหน

“ไม่ได้หมายถึงเธอ”

คิณเดินไปดึงไอ้สองแฝดออกมาหลังจากเห็นใบหน้าแล้วถึงได้รู้ว่า ทั้งสองคนมีรอยฝ่ามือทาบทับอยู่บนใบหน้าคนละข้าง ซึ่งต่างจากสตีเวนที่ต้องยอดน้ำข้าวต้มไปอีกหลายวัน

พอทุกคนเดินออกไปจนหมดในห้องจึงเหลือเพียง คาล์ล และ อิงเท่านั้น

ไม่มีเสียงพูดคุย อิงยังยืนอยู่ใกล้กับประตูทางออกไม่ไหวติง สวนคาล์ลก็ส่งสายตามาต่อว่าเด็กน้อย ที่ไม่รู้เลยว่าทำให้เขาโกรธมากแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอ แต่กระนั้นก็ไม่อาจบอกความจริงแบบนั้นได้

“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม!”

“...” ไม่มีคำตอบกลับมา มีแต่อาการแปลกๆ ที่ทำให้คนมองอึดอัดไปด้วย

“เดินมานี่”

“...”

อิงยอมเดินไปแต่โดยดี แต่ก็ยังไม่ยอดเงยหน้ามามองกัน ไม่รู้คนที่เป็นห่วงเขาแทบตายเมื่อวานหายไปไหน วันนี้ถึงเหมือนหุ่นยนต์แบตเตอร์รี่หมดแบบนี้

“จิ๊...ต้องให้บอกทุกอย่างเลยหรือไง นั่งลงสิ แล้วนั่นกล่องอะไร?”

“ขอเซ่นไหว้!! เอ้ย!! มะ..ไม่ใช่ครับ”

ระหว่างคิดหาถ่อยคำมาขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา คาล์ลก็ถามขึ้นจนทำให้เด็กน้อยที่คิดอะไรเพลินๆ เผลอพูดความในใจออกไป

“เอ่อคือ...ผมอยากขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา ที่ผมเคยล่วงเกิน เอ่อ บอส ผมเลยทำขนมมาขอโทษครับ”

ได้ยินแบบนั้นก็ทำเอา คนฟังถึงกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่มุมปากก่อนจะกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

“ฉันไม่ใช่เด็กนะ ที่เอาขนมมาง้อแล้วจะหายโกรธ” คนปากแข็งก็ได้แต่วางท่าไปแบบนั้น แต่ตาก็มองดูข้างในกล่องแล้วว่าคืออะไร?

“...” อิงได้แต่ก้มหน้า มือทั้งสองข้างยังเกาะอยู่ที่หูถุงขนมที่วางบนตักไม่ไปไหน

“แต่เห็นถึงความพยายาม ฉันจะรับไว้ก็แล้วกัน” เด็กน้อยได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะยิ้มออกมาให้คาล์ลใจกระตุกเล่น

ช่วงนี้เป็นอะไร อ่อนไหวง่ายเสียจริง

“แล้วก็เป็นเหมือนเดิมเถอะ เธอจะได้ไม่กดดันเวลาทำงาน”

“คุณ เอ้ย บอสไม่ไล่ผมออกเหรอครับ”

“ไล่!! ฉันจะไล่เธอทำไม! ถ้าเรื่องที่แล้วๆ มาถ้าฉันจะไล่เธอไม่ได้มานั่งหน้ามาหมาป่วยต่อหน้าฉันแบบนี้หรอก”

“มากกว่าสิบพยางค์แหนะ”

คนที่เผลอนับคำในใจอยู่ก็อุทานออกมา เป็นครั้งที่สองแล้วมั่งที่เห็นคนคนนี้พูดได้ยาวขนาดนี้

“...”

“ขอโทษครับ”

“แล้ว...จะกินได้ยัง”

“ครับ!อ่อขนมเหรอครับ ถ้าบอสจะทานผมไปจัดใส่จานให้” พูดเสร็จก็เดินอ้อมไปอีกทางของห้องพักฟื้น ก่อนจะนำขนมของโปรดคนป่วยใส่จานพร้อมส้อมอันเล็กติดมาด้วย

“นี่ครับ”

“อืม แล้วก็เรียกฉันแบบเดิมเถอะ”

“มัน...จะดีเหรอครับ”

ไม่มีคำตอบของคำถามเมื่อคนที่บอกให้เขาทำตัวแบบเดิม กินช่อม่วง ของโปรดปรานที่ทำให้การทานข้าวทุกมื้อต้องปวดหัวหากวันไหนไม่มีช่อม่วงมาด้วย







อีกห้องของผู้ป่วย



“นิกซ์ นายทำเกินไปหรือเปล่า!”

อีธานที่เปิดประตูเข้ามาเป็นคนแรกถึงกับช็อคไม่ใช่ว่าพวกเค้าไม่เคยเจอหนักขนาดนี้ บาดเจ็บจากการโดนยิ่งเพราะคุ้มกันนายก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง โดนบอสลงโทษเวลาทำงานพลาดก็ใช่ว่าจะไม่เคย แต่ มันไม่ใช่กับคนที่เป็นคนรักกันแบบนี้

“เข้าใจว่านายห่วงบอส แต่สตีฟมัน..”

“ฉันเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่นายอีฟ”

“แต่นั้นมันผัวไง...มันไม่ใช่แค่ลูกน้องนะนิกซ์”

“ยิ่งเป็นผัว ยิ่งต้องรู้ว่าฉันไว้ใจมันมากแค่ไหน หากเป็นคนอื่นฉันไม่ให้มานอนแบบนี้หรอก”

ปัง!!

พูดจบฟีนิกซ์ก็เดินออกจากห้องไปทันที เพราะเขารู้ว่าตัวเองตอนนี้ยังไม่ปกติ เกิดอยู่ฟิวส์ขาดขึ้นมา อาจต้องมีคนแอดมิดเพิ่ม

“ลุง...พอเถอะ ขืนคุยกับลูกพี่ตอนนี้มันมีแต่แย่นะ” หยินที่นั่งเงียบบนโซฟากับหยางและคิณพูดขึ้น

ลูกพี่น่ะ รักบอสยิ่งกว่าอะไร เขาดูแลของเขามานาน ตั้งแต่ที่พ่อเขามอบหมายให้ดูแลนายน้อย จนนายท่านใหญ่เสีย นายน้อยก็ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่แทน โดยมีท่านอาและลูกพี่ช่วยเหลือมาตลอด ไม่มีใครเข้าใกล้บอสได้หากที่ตรงนั้นมีฟินิกซ์ ฌอว์

ฟินิกซ์เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ให้บอสมาตลอด ด้วยความที่ฟีนิกซ์อายุมากกว่า คาล์ลประมาณห้าปีทำให้บางครั้ง คาล์ลต้องขอคำปรึกษาเรื่องที่ตนไม่รู้จากอีกคน เป็นทุกอย่างที่ อัดฮัม อัจมาน คาล์ล ต้องการให้เป็น

“ฉันเห็นด้วย ที่นิกซ์เป็นแบบนี้ ฉันก็พอเข้าใจ สตีฟคือคนสำคัญคือคนที่นิกซ์มันฝากทุกอย่างได้ แต่บอสสำคัญยิ่งกว่า ฝากคนที่เขาคิดว่าเขาสามารถฝากบุคคลสำคัญแบบนี้ไว้ได้ แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ มันคงยากที่จะห้ามลงมือ”

“นิกซ์...”

“ไง...ตื่นมาก็เรียกหาเลยนะ” อีธานที่ยืนหันหลังให้คนป่วย พอได้ยินเสียงจึงหันกลับไปดูก่อนจะจิกกัดเล็กน้อย โดนเมียกระทืบเอาเกือบตายแต่ก็ไม่วายถามหา ไม่เคยเข็ดหลาบ

“ลูกพี่เดินออกไปเมื่อกี้ ว่าแต่ลุงเหอะอึดสุดๆ อะ เพิ่งเคยเห็นลูกพี่ฟิวส์ขาดขนาดนี้ ถึงปกติจะเลือดเย็นกว่านี้ก็เถอะ”

“มึงอย่ามาพูด อะแค่ก..แค่ก ไอ้เด็กนรก”

“ลุง!! ณ ตอนนั้นใครจะกล้าขัดกันดูลูกพี่สิ ถ้าไม่ใช่ลุงนะ มีตายอ่ะบอกเลย”

สตีเวนได้แต่กัดฟันมองไอ้เด็กเปรตสองตัว ที่แถสุดขีดเพื่อเอาตัวรอด ถึงจะรู้นิสัยยอดยาหยีมากแค่ไหนก็เถอะ

“สรุป...นิกซ์ไปไหน”

“ไม่รู้เพิ่งเดินออกไปก่อนแกจะตื่น10นาที”

ได้แต่พยักหน้าเข้าใจเพราะคงไม่มีใครรู้จริงๆ ฟีนิกซ์เป็นแบบนี้มาตลอด เวลาเครียดมากๆ ชอบหนีไปอยู่คนเดียว แต่ก็แปลกที่เขาจะหาเจอเสมอ แค่คิดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มเศร้าเข้าใจความรู้สึกของ ฟีนิกซ์เป็นอย่างดี คงผิดหวังกับเขามากเลยสิ

“แล้วลุงจะทำไงต่อ ลูกพี่ดูโกรธลุงจริงๆ นะ”

“ยังไม่รู้ ขอแผลหายก่อนค่อยว่ากัน ถ้าไปง้อตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหายโกรธหรือซ้ำรอยเดิม ไม่พร้อมเจ็บบ่อย” เขาพูดขำๆ

“โดนกระสุนฝังไม่รู้กี่ครั้ง ไม่เห็นกลัว..!!”

“มึงกล้าเอาเมียกูไปเปรียบกับปืนเหรอห๊ะ” คนกลัวเมียยิ่งกว่าอะไรแว้ดเสียงใส่สองแฝดที่นั่งขำอยู่บนโซฟา

ไม่รู้ครั้งนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าความรู้สึกของอีกคนมันจะหายหรือดีขึ้น แต่ยังไงก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน





11:30 น.



เอิ่ม...ถ้าการอยู่กับคุณเมฆหรือบอสสองคนเคยอึดอัดแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะรู้สึกอึดอัดเป็นสิบเท่า แถมความรู้สึกที่เพิ่มมาอีกตอนนี้คือ ความเย็นวาบที่แผ่ซ่านไปทั้งห้องทำเอานึกถึงตอนเข้าห้องปกครองตอนม.ต้น เพราะทำผิดครั้งแรก หรือตอนออกไปพีเซ้นต์งานคนเดียวครั้งแรกตอนเข้ามหาฯลัยปีหนึ่งแถมยังเป็นคนแรกอีกต่างหาก



“นิกซ์!!”

“ขอโทษครับบอส”

“อืม” อิงไม่รู้ว่าทั้งคู่ขอโทษเรื่องอะไรกันก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าสตีเวนหายไป



เลยหันไปหาคิณที่นั่งอยู่โซฟาตัวเดียวกัน

“เอ่อ พี่คิณ สตีฟไปไหนเหรอครับ”

“หึ...อยู่แถวนี้แหละ” ถึงจะไม่เข้าใจแต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่กล้าถามอะไรมาก เลยกลับมานั่งอึดอัดตามเดิมถึงจะรู้สึกอุ่นขึ้นมานิดๆ ก็เถอะ

“เรื่องฝึกงานของแสงตะวันฉันตัดสินใจแล้ว เธอไม่ต้องฝึกงานต่อแล้วนะ”

อิงที่ได้ยินที่คุณเมฆพูดออกมาแบบนั้น ก็ได้แต่ตาค้างอาปากผะงาบๆ ก่อนจะหาเสียงเจอ แล้วรีบถามออกไป

“ทะ..ทำไม..ทำไมล่ะครับ ผะ..ผมก็ขอโทษกับเรื่องที่แล้วๆ มาแล้วนิ ทำไมยังจะไล่ผมออกอีกหละ”

“ไล่ออก!!” คาล์ลทำหน้างง!

“คนเขาก็อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำขนมให้ ตอนทานเข้าไปเราก็คิดว่าหายโกรธแล้วแท้ๆ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”

“อิงดะ...”

“ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ ทำไมไม่พูดให้ชัดตั้งแต่แรก ทำมะ...”

“ฉันจะบรรจุเธอเป็นพนักงานประจำ”

“นั่นสิจะบรรจุ...บรรจุ ห๊ะ..”

“ที่ฉันไม่ให้ฝึกต่อ เพราะฉันจะให้เธอรับตำแหน่งเลขาของฉันแบบเต็มตัวแล้วยังไงล่ะ”

อิง ยืนคิดตามคำพูดของคุณเมฆทีละประโยค ไม่ให้ฝึกงานต่อแล้ว เพราะจะบรรจุเขาเป็นพนักงานประจำ แปลว่าเขายังไม่โดนไล่ออกใช่ไหม!

“ผม...ไม่โดนไล่..เอ่อออกใช่ไหมครับ” ถามพาซื่อจนทั้งห้องต้องส่ายหัวให้กับคนคิดไปก่อนหน้า เว้นก็แต่ฟีนิกซ์ที่ฉงนคิดในใจว่าบอสจะรับเด็กคนนี้จริงๆ เหรอ!

“แล้วฉันพูดตอนไหนว่าจะไล่ออก” คนโดนถามกลับได้แต่ก้มหน้าใช้มือลูบท้ายทอยตัวเองแก้เขินไปพราง

“กะ...ก็คุณพูดไม่เคลียร์ตั้งแต่แรก ใครเขาให้เว้นช่วงนานขนาดนั้น”

“ยังจะเถียงอีก”

“ขอโทษครับ” ตอนแรกก็เขินแหละแต่ตอนนี้รู้สึกหงอยแหะ ปกติก็เถียงกันประจำ แต่พอรู้ว่าเป็นบอสแล้วมันก็ไม่กล้าจะเถียงมากไปกว่านี้

“ต่อไปเธอต้องส่งเอกสารให้ฉันโดยตรง และย้ายโต๊ะทำงานเธอมาไว้ที่ห้องฉัน ไม่เข้าใจอะไรต่อไปถามฉัน เข้าใจตามนี้”

“ผมอยู่กับอีธานเหมือนเดิมก็ได้นะครับ เกรงใจคุณ”

“ฉันไม่ได้ถามความคิดเห็น” ถ้าพูดมาขนาดนั้น (แล้วจะพูดอะไรได้ไหม เลือกที่จะไม่ไปได้หรือเปล่า) อื้อ เพลงก็มา

“ครับ”

ตอบเสร็จอิงก็ยอมนั่งลงตามเดิม พร้อมใบหน้าที่หงอยเป็นแมวเซาเลยทีเดียว

แต่ใครจะรู้ว่าที่ คาล์ลทำแบบนี้เพราะอยากให้เด็กน้อยอยู่ในสายตาตนเองตลอด ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เพราะอะไร

ได้แต่บอกตัวเองว่าเพราะเห็นในไหวพริบของเด็กน้อย ไหนจะใส่ใจกับเรื่องของเขาอีก

ไม่แปลกถ้าจะเอาคนแบบนี้มาอยู่ใกล้ตัว อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกหน้าตาดี แต่จิตใจไม่ปกติแบบลูกน้องเขาพวกนั้น ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งปวดหัว

“ก็แค่เรื่องงานเท่านั้นแหละ”









TBC.



เรื่องช่วงนี้ก็จะไปแบบเร็วๆนะคะ เพราะเราทำพล็อตมาคือ คาล์ลมาอยู่ไทยเป็นปีแล้ว ก่อนจะปวดหัวกับคนที่ตัวเองเลือก

ตอนนี้ นู๋อิง ก็จะอ๋องๆ หน่อยนะคะ และก็จะอ๋องหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

สุดท้ายฝากทีมงานบอดี้การ์ดหน้าโหด โหมดรักครอบครัวด้วยนะคะ  เดี๋ยวจะมีความบันเทิงตามมากับพวกเค้าแฝง มากับความร้ายๆตามแบบฉบับมาเฟียกันอะเนาะ

เหนือหมอก

https://www.facebook.com/Nuamok415/







[/center]
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-11-2021 23:42:28
ตอนที่ 6 ทำไม ทำไม ทำไม



2 เดือนผ่านไป



[คาล์ล]



การที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่างถือเป็นบุญอย่างมาก การมีอำนาจที่ไม่มีใครกล้าล้มได้คืออิทธิพลที่ยากจะต้านทาน การที่มีลูกน้องที่เป็นงานคือผลพลอยได้ที่ดีที่สุด แต่...

การที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีอำนาจมากมายจนไม่มีใครกล้าต่อกลอนด้วยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าผมพูดอะไร ทุกอย่างคือสิ่งที่ทุกคนต้องคล้อยตาม หรือแม้แต่การตัดสินใจตัดกำลังคู่ต่อสู้ หรือนักธุรกิจคู่แข่งผมก็คิดมาดีแล้วและทุกความคิดเห็น จะต้องจบลงที่ทำตามที่ผมต้องการและปรารถนาได้เลยยกเว้น...ช่วงนี้

“ทำไมเราต้องยอมจ่ายมากขนาดนั้นครับ!”

“เพราะฉันต้องได้ที่แห่งนั้น”

“แต่ที่อื่นๆ ที่เราได้ดูมา ดีกว่าตรงนี้ก็มีนะครับ”

“แต่ฉัน ต้อง การ ที่ ตรง นี้” ผมพูดบอกพร้อมจิ้มนิ้วมือลงไปที่รูปภาพข้อมูล ที่ปรึกษากันอยู่

“...”

“อีธานไปจัดการตามที่ฉันสั่ง” ผมที่เริ่มจะควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่อต้องมาตอบคำถามให้เจ้าเด็กแสบที่แต่ก่อนว่าน่ารำคาญมากแล้ว ตอนนี้เพิ่มไปเลย10เท่า



เรื่องที่พวกผมกำลังตัดสินใจคือที่ดินทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่เจ้าของเก่าเขาเอามาเสนอราคาให้กับทางบริษัทผมเพื่อโก่งราคาพื้นที่ดินของตัวเองให้มีราคามากขึ้น เพราะผมรู้มาว่าที่ผืนนั่น ทางบริษัท AA สนใจและเสนอราคาไปแล้ว ก่อนที่เจ้าของที่จะเอามาเสนอขายเองกับบริษัทผม ถามว่าทำไมผมถึงเต้นตามเกม เพราะมันสนุกไงล่ะ

เจ้าเด็กแสบนั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองกัน มันยิ่งทำใจผมมันคันยิบๆ ไม่มีใครกล้าต่อล้อต่อเถียงกับผมขนาดนี้ ขนาดว่าฟีนิกซ์ที่เคร่งคัดมากๆ ในเรื่องให้ผมระวังตัว ยังไม่เคยมานั่งเถียงผมคอเป็นเอ็นขนาดนี้

เข้าใจแหละว่า อิงคงกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลัง เพราะบริษัทAA ก็ไม่ใช่กระจอกๆ มีผู้มีอำนาจในประเทศหนุนหลังอยู่มากมาย

“วันนี้ฉันต้องไปไหนอีกไหม?”

“มีคุยงานกับบริษัทออกแบบภายในตอนบ่ายครับ”

“...”

“แล้วก็ตอนห้าโมงเย็นมีทานข้าวกับลูกสาวท่านทศพลครับ”

“ไม่ไป”

“ไม่ได้ครับ ผมโทรจองโต๊ะร้านประจำบอสให้แล้ว”

“...” ถ้าเป็นอีธาน ถ้าผมบอกว่าไม่นั่นคือสิ้นสุดการพูดคุยแต่กับ อิง นายแสงตะวัน ก็...

ผมลุกออกจากโต๊ะทำงานจัดสูทให้เข้าที่เรียบร้อยพร้อมที่จะเดินเตรียมออกจากห้อง แต่ก็ต้องหยุดที่โต๊ะทำงานของเจ้าเด็กที่รู้สึกขยันอะไรขนาดนั้น เดินมาหยุดตรงหน้ายังไม่คิดจะสนใจ

“หยุดงานที่ทำแล้วตามฉันมา”

“ไปไหนครับ?”

“อยากให้ฉันไปก็ไปเตรียมชุดให้ฉัน” มันรู้สึกหงุดหงิดอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งมองหน้าที่ทำเหมือนไม่เข้าใจนั่นไหนจะคิ้วที่ย่นเข้าหากันอย่างกับหมาปั๊ก

“เรื่องชุดที่จะใส่ ผมเตรียมไว้ให้แล้วครับ หรือถ้าบอสต้องการเปลี่ยนก็ได้ แต่ทั้งตู้ชุดบอสมีแต่สีดำนะครับ...”

“...”

ใช้ครับชุดของผมมีแต่สีดำถึงบางตัวจะมีรวดลายบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ดำ นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กแถวนี้เข้าใจผมผิดคิดว่าเป็นบอดี้การ์ดอีกคนมาเนิ่นนาน

“ฉันหมายถึงชุดของเธอ เพราะเธอต้องไปกับฉัน ถ้าอยากให้ฉันไป!”

“ผมใส่ชุดนี้ได้ครับ ยังไงก็แค่ขับรถไปส่งบอสแล้วรอที่รถ”

“แล้วถ้าฉันแพ้อาหา...”

“ผมทำการสั่งออเดอร์ให้บอสแล้วก็คุณ ริสา เรียบร้อยครับรับรองไม่มีกุ้ง อีกอย่างยังไงพี่คิณและสตีฟก็ไปด้วยอยู่แล้วหายห่วงครับ”

เหนื่อย พูดได้คำเดียวว่าเหนื่อย คุยกับคนบ้างานสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกับมา ตอนทำอะไรไม่เข้าท่าก็เถียงคอเป็นเอ็น แต่ถ้าอันไหนที่เป็นงานหรือหน้าที่ ก็ชอบทำตัวเป็นแม่ (หรือเมีย) สั่งเอาๆ

ถามว่าทำตามไหม? หึ แค่ไม่อยากเถียงเด็กอย่างเธอเท่านั้นแหละ





12:05 น.

ตั้งแต่วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมก็ผูกปิ่นโตกับบ้านอิงมาตลอด วันไหนที่ไม่ได้ออกไปคุยงานข้างนอก หรือมีนัดที่ไหนวันนั้นผมจะเห็นกล่องข้าวขนาดใหญ่ตั้งรออยู่ที่โต๊ะทานข้าวในห้องผมเสมอ เพราะอิงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเวลาว่างหรือออกไปคุยงานของผม เพราะเขาต้องคอยรายงานผมตลอดทุกเช้าก่อนเริ่มงาน

และวันนี้ก็เช่นกัน สิ่งแรกที่ผมเปิดดูคือของว่างที่ชื่นชอบมากๆ พอจะตักเข้าปากเท่านั้นแหละ

“ทานข้าวก่อนครับ”

“ฉันจำได้ว่าฉันจ่ายตังซื้อมา”

“...” หน้าหงอยนั่นมันก็เป็นทุกครั้งที่ผมอยากกินขนมก่อนข้าว ซึ่งเอาจริงๆ มันคืออาหารว่างทานเล่นด้วยซ้ำ แต่เจ้าเด็กแสบก็จะทำหน้าไม่พอใจตลอด

“ขอสามชิ้น ... สองก็ได้เอา”

“กินเถอะครับ ผมลืมตัวเองว่าคุณซื้อมา ผมไม่มีสิทธิ ยังไงผมขอตัวออกไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ก่อนนะครับ ถ้าบอสทานเสร็จก็วางไว้แบบนั้นเดี๋ยวผมเข้ามาเก็บให้”

“อย่าเพิ่ง...ถ้าฉันไม่กินตอนนี้เธอจะยอมทานข้าวเป็นเพื่อนฉันไหม?”

“...”

“ก็..ฉันไม่ชอบนั่งทานคนเดียว”

“แล้ว...ตอนก่อนหน้านี้ใครทานด้วยเหรอครับ”

“ถ้าอยู่ที่บ้านจะเป็น นิกซ์ แต่ที่นี่ก็...ทานคนเดียว” ใครจะไปบอกว่าให้อีธานนัดเพื่อนทานข้าว (ที่ไม่ใช่แค่ทานข้าว) ให้

ผมไม่รู้ว่าเด็กนี่คิดอะไรอยู่ คิ้วที่ชอบย่นเข้าหากันเหมือนคิดอะไรไม่ออกก่อนจะเห็น เขาเดินออกไปด้านนอก โดยไม่บอกอะไรผมสักคำ! งงไปดิ

แต่ตอนที่จะเอาข้าวเข้าปากประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมเด็กคนเดิมเพิ่มเติมคือในมือที่มีจานข้าวเดินเข้ามา

“ผมกลัวว่าคุณจะกินไม่อิ่มเลยออกไปเอาข้าวข้างนอกมา”

“ก็..ดีที่คิดได้”

“คุณ!! ผมอุตส่าห์มานั่งทานเป็นเพื่อนนะ”

ผมไม่ได้เถียงอะไรเข้ากลับ แต่รู้สึกว่าที่มุมปากผมมันจะยกขึ้นอีกแล้วสินะ



พอทานข้าวกันเสร็จเด็กแสบก็หายออกไปจากห้องผมนานพอสมควรกว่าจะกลับเข้ามาก็ได้เวลาไปคุยเรื่องออกแบบภายในที่นัดไวพอดี



12:50น.

“ผมนัดทางนั้นไว้ที่ห้องประชุมผู้บริหารนะครับ”

ผมพยักหน้ารับในความรอบคอบ พอลงลิฟต์มาที่ชั้นที่37 ก็จะมีพนักงานหลายแผนกมาที่ผม ก่อนจะลุกขึ้นก้มหน้าไม่กล้าสบตา ในเวลาแบบนี้ผมไม่เคยทำตัวเหมือนตอนอยู่กับเจ้าเด็กแสบ ที่เดินตามหลังระยะห่างจากผมเพียงก้าวเดียว ตามด้วยอีธานและสตีฟ ส่วนอีกสามคนผมให้ไปจัดการธุระบางอย่างที่ไม่สามารถบอก เด็กคนนี้ได้

พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนเดียว จึงแปลกใจหันไปเลิกคิ้วถามเอาความกับคนนัดหมาย

“เรามาเร็วกว่าเวลา10นาทีครับ”

“แต่ฉันก็ไม่ควรต้องมานั่งรอ”

“อีธาน เตรียมหาบริษัทออกแบบลายใหม่ด่วนฉะ...”

“บอสครับ...รออีกนิดเถอะนะครับ เรามาเร็วกว่าเวลาเองไม่ใช่ความผิดของทางนั้นเลย”

“แต่อย่างน้อยเขาควรเผื่อเวลาในการมา...ไม่ใช่ให้คนอื่นมานั่งคอย”

“...” ผมว่าการที่คนเราต้องการได้งานก็ควรที่จะรีบเร่งต่อเวลา เร็วกว่าเวลา ดีกว่าให้ลูกค้ามานั่งรอมันไม่ใช่ และใช่ผมมาก่อนเวลาแต่ผมมาก่อนแค่10นาทีซึ่งมันไม่ได้นานเลย

“จิ๊...ฉันให้เวลาจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ ถ้าหากหลุดไปแม้แต่วินาทีเดียว เปลี่ยนทันทีและจะไม่ใช่แค่ทีมภายใน แต่ทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทนี้เป็นอันต้องยกเลิกทั้งหมด...หยุดเถียง”

เด็กแสบที่แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ พอถูกพูดดักคอก็ทำคอตกหน้าหงอยเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้หัวโต๊ะออกให้ผมนั่ง

ก่อนจะเดินไปกระซิบกระซาบกับสตีฟแล้วเดินออกไปทันที

“อิงไปไหน!!”

“เอ่อ...คืออิงขอตัวไปโทรถามทางนั้นอยู่ครับว่าถึงไหนแล้ว”

“กลัวฉันจะยกเลิกสัญญาทางนั้นมากหรือไง?” อยู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิด ทำไมต้องสนใจอะไรขนาดนั้นก็แค่บริษัทออกแบบที่ดีที่สุดในไทยเท่านั้น ถ้าไม่ได้เรื่องทีมออกแบบต่างประเทศที่ผมใรู้จักมากมายรอให้เรียกใช้งานอีกมากโข

12:59น.



“มาแล้วครับ” เส้นยาแดงผ่าแปดเลยก็ว่าได้ ผมที่ลุกขึ้นเตรียมจะออกไปก็ต้องหยุดและมองเลขาเด็กของตัวเอง กระหืดกระหอบเข้ามาในห้องประชุม คำถามคือไปรอกันที่ไหนมา!

“สวัสดีครับ ทางเราต้องขอโทษนะครับที่ทำให้คุณเมฆาต้องรอนาน พอดีเกิดปัญหาตอนเดินทางมาน่ะครับ เลยทำให้ล่าช้า ผมจะโทรมาแจ้งแล้ว แต่เลขาของคุณเมฆา โทรไปเสียก่อน...”

“เริ่มเถอะ ผมมีเวลาไม่มาก” ถึงจะไม่มีอะไรอีกแล้วจนถึงห้าโมงเย็น ผมก็แทบไม่อยากคุยงานต่อแล้ว อะไรคือมองหน้าเด็กของผมด้วยสายตาพราวขนาดนั้น

“คะ..ครับ”

ผมยอมนั่งลงตรงที่เดิม สตีฟออกไปรอด้านนอก อิงนั่งลงข้างฝั่งซ้ายก่อนจะเป็นอีธานนั่งข้างอิง อีกที



“ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณคุณเมฆานะครับที่ไว้ใจเลือกบริษัทเราในการออกแบบ ผมชื่อ วิศรุจ เป็นหัวหน้าทีมออกแบบภายใน และนี่ อันวา และคาริสา ทีมของผมครับ” ผมมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้วก็ถือว่าดูดีเลยแหละการวางตัวก็ดี มีมารยาท จนมันน่าหมั่นไส้

“แบบที่อยู่ในมือของทุกคนคืองานที่ผมกับทีมออกแบบกันเองครับ ได้แรงบันดานใจมาจากที่ผมไปดูงานที่ฝรั่งเศส นำมาประยุคใหม่ให้เข้ากับประเทศไทยของเรามันก็จะมีความประสมประสารความเป็นไทยเข้าไปด้วยครับ ตัวอย่างห้องนี้ที่คุณเลขาส่งมาให้ผมดู ผมเลยลองแต่งภายในให้ออกมาเป็นแบบนี้ครับ”

โปรเจคเตอร? ด้านหน้าฉายภาพห้องพักห้องหนึ่งขึ้นมา ดูจากภาพแล้วน่าจะเป็นห้องสวีท ภาพแรกเป็นห้องนั่งเล่นที่เดินเข้าไปต้องสะดุดตากับโซฟาขนาดความกว้าง ห้าตัว ยาวเป็นโค้งเหมือนตัวซีหนึ่งตัวและแบบสั้นอีกสีตัว แต่ที่เด่นเห็นจะเป็นรวดลายที่อยู่บนโซฟา รวดลายไทยประยุคมาพร้อมขอบสีทองดูแพง เบื้องหน้าคือชุดโหมเธียเตอร์ จอทีวีขนาด55นิ้วที่ติดกับผนัง

ห่างออกไปอีกสองเมตรก็จะพบกับเคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้หมุนยกสูงอีกสามตัวให้ความคลาสสิคเมื่อได้มอง ก่อนภาพจะมาที่ห้องครัว ตรงนี้ดูแล้วเหมือนเรียบๆ แต่พอแตะภาพเท่านั้นแหละความหฤหรรษ์บังเกิด ตู้เย็นและเตาอบที่ฝังไปกับกำแพงทำให้พื้นที่ในครัวมากขึ้น มาพร้อมกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าสามหัวที่ให้การทำความสะอาดไม่ยุ่งยากอีกต่อไป หันกลับมาด้านหลังก็จะเห็นเคาน์เตอร์ครัวที่สามารถนั่งทานอาหารด้วยได้หรือจะทานที่โต๊ะอาหารด้านข้างก็ได้

จบจากห้องครัวก็เป็นห้องนอนที่ยังคงดูเรียบหรูดูแพงอยู่เหมือนเดิม เปิดมาก็พบกับที่King size ตั้งอยู่กลางห้องเยื่องไปทางระเบียงเล็กน้อย และยังมีโซฟาตัวใหญ่อีกตัวอยู่ที่ปลายเตียง ละอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนจะมาจบที่ห้องน้ำขนาดกว้าง ทุกอย่างก็เหมือนโรงแรมทั่วไป แต่ด้านในยังคงความประยุคไว้เหมือนเดิมกับลวดลายตมฝาพนังที่ทอง มาพร้อมอ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่ที่มีระบบน้ำวนช่วยนวดผ่อนคลายเวลานั่งแช่ในน้ำ...

“มี...ตรงไหนที่อยากเปลี่ยนไหมครับ”

“ก็ดีนะ แต่ขอเปลี่ยนโซฟาปลายเตียงเป็น ที่นอนเล็กๆ ที่ติดกระจกตรงนี้แทน และกระจกในห้องน้ำ ไม่เอาสี่เหลี่ยม มันดูธรรมดาไปสำหรับห้องพักราคาสามแสนต่อคืนแบบนี้ และข้างอ่างอาบน้ำ เพิ่มโต๊ะวางเครื่องดื่มเข้าไปด้วย เอาราวแควนด้านข้างนั่นออกด้วย เปลี่ยนเป็นแบบตะขอยกสูงแท....”

“แต่ผมว่าเป็นราวก็ดีแล้วนะครับบอส เพราะถ้าเป็นตะขอเกาะ เกิดลูกค้าพลาดสะดุดพื้นล้ม อาจจะทำให้ผิวไปเกาะโดนตะขอได้นะ..”

“แบบนั้นก็แปลว่าออกแบบไม่ดี พื้นเลยมีปัญหา”

“ทำไมไม่คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุบ้างล่ะครับ”

“แล้วทำไมไม่คิดว่าตะขอจะดีกว่า!...ตกลงตามนี้ใครมีปัญหา” ผมยื่นคำขาดออกไป ทำให้เจ้าเด็กทำไมทำหน้างอนผมใหญ่เลย

“ถึงมีบอสก็ไม่ฟังหรอก” คนอื่นอาจไม่ได้ยินแต่สำหรับผมที่อยู่ใกล้ ย่อมได้ยินเต็มๆ ผมแต่ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะสั่งให้ทำตามที่ผมบอก



“อีธาน จัดการต่อด้วย”

“ครับ นี่เป็นเอกสารของทางเรานะครับ คุณวิศรุจลองอ่านดูก่อนนะครับ”

อีธานยื่นเอกสารการเซ็นทำสัญญาร่วมกันของทางผม กับบริษัทคู่ค้า

“เอ่อ...ที่บอกว่าให้ออกแบบกับทางบริษัทAQT เท่านั้นคือ..”

“อ่อครับ... ถ้าทางคุณยอมเซ็นสัญญากับทางเราว่าจะออกแบบให้กับ ทางเราเท่านั้น เราก็พร้อมเซ็นทำสัญญาจ้างทางคุณทำงานกับทางเราตลอดไป โดยไม่จำกัดเวลา เพราะเราไม่ชอบออกแบบผลงานเหมือนใคร หากที่คุณบอกเป็นความจริง พวกเรายิ่งยินดีที่จะจ้างทีมคุณ แต่หากว่าระหว่างอยู่ในช่วงสัญญา เราเห็นแบบของคุณไปอยู่โรงแรมหรือบริษัทอื่น สัญญาที่ทำกันไว้เป็นอันยกเลิก พร้อมกับที่คุณต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับทางเราอีก3เท่า”

อีธานที่พูดออกไปพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมาได้เลยสักนิด แถมยังรู้สึกตัวเองเสียเปรียบอีกด้วย

“บอสไม่เห็นบอกผมเรื่องนี้เลย”

“...” ผมมองหน้าเลขาหนุ่มที่ทำหน้า งงงวยกับสิ่งที่ได้ยิน ใช่ผมไม่ได้บอกอิงเรื่องนี้เพราะผมคิดว่าถ้าเขาได้เห็นสัญญาฉบับนี้มันต้องโดนแก้ใหม่อีกเป็นแน่

“ลองคิดดูนะครับ งานที่ทางเราจะส่งให้พวกคุณต่อจากนี้ไม่ใช่แค่งานออกแบบที่ภาคใต้เท่านั้น เพราะเรายังมีโปรเจคที่ภาคเหนืออีก ถ้าคุณตกลงงานนั้นก็จะเป็นของพวกคุณทันที”

อีธานยังเป็นคนที่ใจเย็นเสมอต้นเสมอปลายสำหรับผม เขาคืออีกคนที่นิกซ์ไว้ใจที่สุด ถึงจะมีบางครั้งที่บ้าบอกับไอ้คนนั้น แต่ก็ถือว่ามีสติที่สุดหากไม่รวม คิณ

“แต่เรื่องนี้ผมตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ครับ ผมเป็นแค่รองประธาน ถ้าต้องตัดสินใจอะไรแบบนี้ต้องให้พ่อผมตัดสินใจ” พอได้ยินแบบนั้นอีธานก็หันกลับมาขอคำตอบจากผม

“บอสครับ”

“ผมให้เวลาคุณกลับไปคิด2วันหากตัดสินใจได้แล้ว... (เซ็นสัญญา1ฉบับ) อีกฉบับจะถูกส่งไปให้ทีมของคุณและบริษัทของคุณทันที พร้อมเงินมัดจำก่อนเริ่มงานสิบล้าน”

วิศรุจทำตาโตแล้วหันไปดูทีมตัวเองที่ไม่ต่างกัน ก่อนจะยอมตกลงกับข้อเสนอของผมแล้วขอตัวกลับ

“ทำไมบอส ยอมจ่ายทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะรับงานกับเราล่ะครับ”

“แล้วทำไมพวกนั้นจะไม่รับงานที่ดีขนาดนี้”

“ดีตรงไหนกัน ถ้าเขายอมบอส บริษัทของเขาก็ไม่สามารถรับงานกับที่อื่นได้อีก ไม่เห็นจะคุ้ม”

“แสงตะวัน...เธอคิดว่าโรงแรมที่ฉันจะเปิดในปีนี้มีกี่ที่?”

“ก็มีที่ภาคใต้สองแห่ง แล้วก็กำลังเตรียมการสร้างที่ภาคเหนืออีกสอง...”

“ไปดูมาใหม่...ฉันจ้างเขามาออกแบบภายใน ซึ่งมันไม่ใช่แค่โรงแรมที่จะเปิดหรือที่กำลังเตรียมจะสร้าง”

“ก็แล้ว...”

“เรายังมีหมู่บ้านจัดสรร ที่บอสเป็นคนดูแลอยู่อีกน่ะสิอิง นี่แค่ที่ประเทศไทยนะ” อีธาน

“ทำไม ทำไม ผมไม่เคยรู้ว่าบอสยังมีบ้านจัดสรรอีก”

“ฉันต้องรายงานเธอรึไง”

“...” หน้าหงอยเหมือนหมาป่วยมาอีกแล้ว

“เธอยังต้องเรียนรู้กับที่นี้อีกมาก แสงตะวัน”





17:00น.

ตอนนี้ผมได้มานั่งที่ร้านอาหารระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแห่งนี้ ที่ๆ เจ้าเลขาบอกว่าคือร้านประจำของผม ซึ่ง...ผมเพิ่งเคยมาครั้งแรก

บรรยากาศร้านถือว่าดีผมเลยไม่ได้เอ็ดอะไรเขาไป แต่ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ กับอะไรเหรอ!

กับการนั่งรอลูกสาวท่านทศพล ที่โทรมานัดแนะให้ลูกดิบดีว่าอย่างสารสำพันธ์ที่ดีกับทางผม เพื่อการเดินทางหรือการทำธุรกิจของผมจะได้ราบรื่น อยากตอกหน้าไปเหมือนกันนะว่า ไม่มีเขาผมก็สามารถทำงานของผมได้ดีอยู่แล้ว แต่การที่ผมมาที่นี้ผมไม่ได้มากับอำนาจทั้งหมดที่มี แต่เป็นแค่นักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงเท่านั้น เด็กหนุ่มที่มาจากต่างเมืองไม่มีเส้นสายมาจากที่ไหน แต่กลับมีความสามารถทำธุรกิจใหญ่โตได้

สิ่งนี้ทำให้หลายคนจับตามองผมตลอด และก็มีพวกหวังผลประโยชน์โผล่มาแทบทุกวัน

“อิง...”

“คูณริสาออกมานานแล้วครับ แต่รถติดบอส โปรดรอสักคู่”

“ทำไมฉันต้องรอกับคนที่ไม่ตรงต่อเวลา”

“ท่านทศพล เป็นคนมีชื่อเสียงแถมยังรู้จักคนใหญ่คนโตในประเทศอีกหลายท่าน ถ้าบอสทำความรู้จักท่านไว้ ธุรกิจโรงแรมของเราก็จะไม่มีปัญหานะครับ”

“หึ...ฉันสนใจท่านนะ แต่ไม่ใช่ลูกสาว ถ้าฉันต้องหาใครมาช่วยงานฉัน ฉันต้องไปทานข้าวกับลูกสาวของบ้านนั้นทุกคนเลยไหม? อย่าคิดแทนฉันจำไว้”

“แล้วทำไมบอสต้องชอบกดเสียง”

“ยังอีก!!” ผมกดเสียงต่ำกว่าเดิมมากเพื่อปรามเลขาเด็ก ที่ชักจะเริ่มจู้จี้อีกแล้ว

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ สา มาช้าพอดีรถติดมากเลยค่ะ นี่สาก็รีบที่สุดแล้วนะคะกว่าว่าคุณเมฆรอนานเลย คุณเมฆคงหิวแล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“บอสครับ” อิงพอได้ยินคำตอบผม ก็แอบกระซิบปรามผม หึ น่ากลัวตายแหละ

“เอ่อ...งั้นสั่งอาหารเลยไม่คะ”

“ผมทำการสั่งไว้ให้แล้วครับ แต่เครื่องดื่มของคุณริสา ผมยังไม่ได้สั่ง เพราะไม่แน่ใจว่าคุณริสาต้องการเป็นเครื่องดื่มประเภทไหนดี”

“แล้วสั่งอะไรให้ฉันหละ”

“ได้ยินมาว่าคุณ ริสาควบคุมอาหารอยู่ ผมเลยสั่งเป็นสลัดกุ้ง และก็สเต็กปลาแซลมอนย่างครับ”

“ก็รู้นิ ว่าฉันควบคุมน้ำหนัก ก็สั่งเป็นน้ำผลไม้มาสิ”

“ครับ รับเป็นผลไม่ชนิดไหนดีครับ”

“เอ๊ะนายนี่ อะไรก็สั่งมาเถอะ เรื่องมาก”

“ที่คนของผมถามเพราะต้องการสิ่งที่คุณต้องการที่สุดเพื่อจะได้ถูกใจคุณโดยที่สั่งมาแล้ว จะมั่นใจได้ว่าคุณจะดื่มมันมากกว่า สาดใส่หน้าเขา...ก็เท่านั้น”

ผมที่นั่งฟังมานานเริ่มไม่ชอบใจตรงที่เจ้าหล่อนตะคอกเสียงใส่เลขาของผม ขนาดผมยังไม่เคยทำ แล้วหล่อนเป็นใครกัน!

“อุ้ย...สาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ เอาเป็นอโวคาโด่ปั่นไม่ใส่น้ำตาลไม่น้ำแข็งแล้วกันนะ”

“ครับ” คำตอบรับก่อนที่จะเดินไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน ก่อนเดินกลับมายืนข้างหลังผมห่างออกไปประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้

ผมแอบยิ้มเล็กน้อยกับคนที่บอกว่ายังไงก็จะไปรอผมที่รถ และจะไม่ยอมเปลี่ยนชุดใหม่ที่ตอนนี้ยอมเปลี่ยนชุด แถมยังยื่นเฝ้าผมไม่ห่าง เมื่อรู้ว่าแม่สาวเจ้าหล่อน ดันมีอาหารต้องห้ามสำหรับผมอยู่ด้วย ซึ่งตอนแรกที่อิงสั่งไปมันเป็นอาหารที่เจ้าหล่อน แต่เจ้าหล่อนดันอยากไดเอ็ด ทั้งๆ ที่ตัวก็ผอมจะตายอยู่แล้ว

บางทีผมก็ไม่เข้าใจผู้หญิงจริงแหละ

ห้านาทีผ่านไปอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟซึ่งผมแจ้งไปแล้วว่าทานอาหารเท่านั้น ไม่เอาคลอสที่มันทำให้ยืดเยื้อ ทานเสร็จแยกย้ายจบ

“คุณเมฆทำอะไรบ้างเหรอคะ นอกจากโรงแรม”

“ก็มีขายที่ดิน หรืออาจจะซื้อที่บ้างถ้าถูกใจ”

“แหม..แบบนี้คุณเมฆก็มีที่สวยๆ เยอะเลยสิคะ พอจะมีที่แถวภูเก็ตไหมคะ พอดีสาอยากได้น่ะค่ะ” ผมมองสายตาเจ้าหล่อนที่บอกว่าอยากได้ อืม อยากได้จริงๆ

“แล้วคุณริสามีเท่าไหร่หละครับ ผมจะได้แนะนำถูก”

“แหม...คุณเมฆก็...ยังไงเราก็รู้จักกัน ยังต้องมีราคาในการคุยด้วยเหรอคะ”

“ธุรกิจก็คือธุรกิจครับ ถ้าผมสนิทกับใครแล้วต้องให้ที่ดินฟรีๆ แบบนี้ ผมคงโง่มาก”

“อ่ะ...คะ..คือสาก็แค่พูดเล่นน่ะค่ะ ใครจะกล้าขออะไรแบบนั้นหละคะ”

“หึ...ครับ”

ผมไม่สานคำพูดกับเธอต่อเพราะเริ่มรู้เหตุผลของเธอแล้ว ไม่รู้ต้องเรียกเธอว่าอะไรดี เจอกันวันแรกก็ถามหาที่ดินฟรี ต้องมั่นหน้าแค่ไหน หรือคนให้ต้องโง่แค่ไหนถึงจะยอมให้

“คูณเมฆดูทานน้อยนะคะ อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่าคะ”

“อาหารอร่อยครับ แต่ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

“ลองสลัดของสามะ...”

“ไม่ได้ครับ” เสียงดังมาจากด้านหลังผมทันทีเมื่อเจ้าหล่อนดันจะตักสลัดที่มีกุ้งนอนอยู่ในนั้นมาให้ผม

“อะไรของนาย!! เสียมารยาท เจ้านายกำลังคุยกันอยู่ ลูกน้องอย่างนายไม่ควรมายืนตรงนี้ด้วยซ้ำ”

“ผมเป็นคนให้เค้ายืนตรงนี้เอง และอีกอย่างที่อิง เสียงดังใส่คุณเพราะเขาแค่จะบอกว่าผมแพ้กุ้ง”

“ว้ายตายจริง สา ไม่รู้ค่ะ นิ แล้วทำไม่นายไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”

“คุณริสาครับ แสงตะวันเป็นคนของผม อีกอย่างเขาเลือกอาหารให้ผมแล้ว ซึ่งเขาคงไม่คิดว่าคุณจะตักอาหารตัวเองมาให้ผมแบบนี้”

“ฉะนั้นคนของผมไม่ผิดและ...”

“คุณไม่มีสิทธิว่าเค้าได้นอกจากผม”

พอพูดเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดปากก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออก จัดสูทให้ดูเข้าที่สายตากดจ้องมองหน้าเจ้าหล่อนที่เริ่มหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะหันไปคว้ามือ เลขาตัวเองแล้วเอ่ย...

“ถ้าหากทานเสร็จแล้ว ต้องการอะไรเพิ่ม แจ้งกับพนักงานได้เลยนะครับ ผมขอตัว”

หน้าเหวอๆ นั้นไม่ได้ทำให้ผมหันกลับไปอธิบายอะไรเธอเพิ่มอีก ผมไม่ชอบเสียงดัง ผมไม่ชอบคนที่โยนความผิดให้คนอื่น และผมไม่ชอบที่หล่อนกล้ามาว่าคนของผม

“อย่านัดใครมากินข้าวกับฉันอีกนอกจากนาย”







TBC.



มีความไม่พอใจ มีความจิกกัด มีความอวดรวย มีความงก(กับบางคน)

เออ เฮียรวยนะเธอ สนใจเปล่า แต่ไม่ต้องนัดใครให้เฮียแล้วนะเจ้าอิง

เรื่องเริ่มเผยออกมาเรื่อยๆนะคะ สำหรับความมีของเฮีย และจะต้องมีผู้หญิงเข้ามาทำให้เฮียปวดหัวอีกกี่คนรอค่ะ

เหนือหมอก

 เพจ https://www.facebook.com/Nuamok415/
[/center]
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 06-12-2021 00:53:25
พึ่งมาอ่าน ชอบมากครับ
ป.ล.แก้ขนาดตัวให้ทีครับ อ่านยากมากเลย
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 11-12-2021 01:13:37
 :mew4:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 11-12-2021 01:15:16
ตอนที่ 8 ฝึกความอดทน



09:00 น.

“อิง มีของมาส่งลูก”

“อะไรจ๊ะแม่” ผมที่อยู่หลังร้านเอ่ยถามแม่กลับหลังท่านเรียก วันนี้เป็นวันหยุดของผมครับเลยต้องลงมาช่วยแม่ขายข้าว ส่วนน้องสาวไปทำรายงานบ้านเพื่อนตั้งแต่เช้า

“ออกมาดูๆ เยอะมากเลยเนี่ย สั่งอะไรมาเยอะแยะกันเรา”

งงกว่าที่แม่บอกว่าสั่งอะไรเยอะแยะคือ เราไปสั่งอะไรตอนไหนวะ?

พอเดินออกมาเท่านั้นแหละ พระเจ้า!! นี่มันอะไรวะเนี่ย ทั้งกล่องทั้งถุง แบรนด์เนมด้วยนะ แล้วไอ้คนอย่างอิงเนี่ยนะจะสั่งของพวกนี้มาเอง

“อิงอย่าอึนนานมารับของก่อนลูก” พนักงานที่มาส่งของก็ยื่นเอกสารมาให้ผมเซ็นรับก่อนผมจะตาโดเท่าลูกมะพร้าวน้ำหอมหน้าบ้านก็ราคาที่เห็นในนั้นแหละ ไอ้บ้านล้านกว่า มันไม่ใช่แล้ว

“เอ่อขอโทษนะครับ ผมว่าพี่ส่งผิดบ้านแล้วหรือเปล่า ผมว่า...”

“ของอิงแหละ” ก่อนจะได้ปฏิเสธอะไรทางพนักงานส่งของ ก็มีหนุ่มหล่อสัญชาติเยอรมันให้คำตอบกับคำถามในหัวเขาก่อน และยิ่งแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าสิ่งของที่กองพะเนินอยู่ที่พื้นหน้าร้านเป็นของต้นจริงก่อนที่พนักงานจะสมทบอีกแรง

“คุณใช่คุณแสงตะวัน ภูรินนท์ หรือเปล่าครับถ้าใช่ผมก็ส่งถูกบ้านแล้วล่ะครับ รบกวนช่วยเซ็นรับของด้วยครับ” สุดท้ายก็ต้องยอมเซ็นก่อนพนักงานจะขอตัวกลับเมื่อส่งของเสร็จ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรทั้งนั้น แล้วจำนวนเงินที่เห็นใครเป็นคนจ่าย!

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ แล้วคุณมาอยู่ที่นี้ได้ไงอีฟ”

“มีคนสั่งฉันมารับปิ่นโตน่ะ แล้วก็เอาของมาส่งให้อิงด้วยไง”

“คุณสั่งให้ผมเหรอ มันแพงมากเลยนะอีฟ”

“เธอก็คิดได้นะอิง (พูดพร้อมยิ้มขำ) ไม่ใช่ฉันหรอก เป็นบอสน่ะเขาให้เป็นค่าเสียเวลาของเธอเมื่อวาน”



พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ่งอ้าปากค้างสิครับ เขาบ้าไปแล้ว ทำไมใช้เงินเหมือนเป็นเครื่องผลิตเองแบบนี้นะ มันก็ตื่นเต้นดีใจอยู่หรอก แต่ทำแบบนี้มันสิ้นเปลืองเปล่า ๆ



ค่อยดูนะ ถ้าเจอหน้าจะเฉ่งให้ คนอะไรก็ไม่รู้ชอบใช้เงินแก้ปัญหาจนเคยตัว

“อีฟอะ...” จะบอกว่าฝากเอาของกลับคืนไปส่งบอสของคุณทีก็โดน อีธานยกนิ้วแตะปาก ก่อนจะส่ายไปมา พร้อมเสียง จุ๊ ๆ ออกมาจากปาก

“อย่าแม้แต่จะคิดให้ฉันเอาของพวกนี้กลับไป เพราะฉันยังไม่มีครอบครัว อิง อย่าหาเรื่องให้ฉันตายกลางทาง”

“...”

“รับไวเถอะนา คิดในทางที่ดีสิ ว่าเธอจะได้มีชุดสวย ๆ ไว้ใส่เผื่อต้องตามไปออกงานเป็นเพื่อนบอส”

“ใครเขาเดินงานคู่เลขากัน”

“รับไว้เถอะลูก ท่านอุตส่าห์ซื้อให้ ถือเป็นรางวัลที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์แล้วกันนะลูกนะ” สุดท้ายก็ต้องรับไว้ อีธานพอรับข้าวกล่องของคุณเมฆเสร็จก็ขอตัวกลับ บอกยังมีงานที่ต้องไปทำอีก



บางทีเป็นผมก็ดีนะครับยังมีวันหยุด ถึงผมจะเอาเวลามาช่วยแม่มากกว่าจะพักก็เถอะ เพราะกับแก๊งบอดี้การ์ดกลุ่มนี้ไม่มีวันหยุดที่แน่นอนเลยบางเดือนนี่แบบไม่หยุดกันเลยก็มี ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ สตีฟบ่นให้ฟังเป็นประจำแหละครับ

กว่าจะขนของขึ้นไปเก็บบนห้องหมดก็เล่นเอาเหงื่อซึมกันเลยทีเดียวผมแอบเปิดดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นชุดแบบเดียวกันกับที่ผมเลือกให้คุณเมฆดีนะที่ไม่ได้คิดอะไรแผลงๆ ไม่งั้นคงจะได้ใส่เองไปด้วย



สัปดาห์ต่อมา

สุดท้ายที่บอกว่าจะต่อว่าคนที่ใช้เงินเกินกว่าเหตุก็เป็นอันยกเลิก เพราะคุณเมฆมีเหตุต้องเดินทางไปต่างประเทศด่วน และเพิ่งจะได้กลับมาได้สามสี่วันนี่เอง

“ฝ่ายบัญชีทำเอกสารเบิกจ่ายของทีมออกแบบรอบสุดท้ายของโรงแรมที่ใต้มาให้ครับ” เอกสารสองสามแผ่นที่มีเนื้อหาเหมือนกันถูกยื่นมาที่ด้านหน้าก่อนจะวางลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก่อนที่ คาล์ลจะหยิบขึ้นมาอ่าน พร้อมตรวจเช็คยอดเงินที่ต้องจ่ายก่อนจะเซ็นลงบนเอกสารทั้งสามแผ่น พร้อมหยิบสมุดเช็คขึ้นมาเขียนยอดเงินจำนวนหนึ่งแล้วแนบไปกับเอกสาร

“แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง”

“เห็นบอกว่าอีกสองวันทุกอย่างก็เข้าที่แล้วครับ” คาล์ลพยักหน้าเข้าใจแล้วหยิบบุหรี่ราคาแพงขึ้นมาจุด ก่อนจะเจอสายตาตำหนิจากเลขากิตติมศักดิ์ หึ กลัวที่ไหน

สมองคิดไปแบบนั้นแต่มือกลับบี้บุหรี่ในมือลงที่เขี่ย แล้วหันมาคุยงานกับอีธานเหมือนเดิน

“ไปหารายชื่อแขกทั้งหมดที่เราควรจะเชิญเขาไปร่วมงาน อ่ออย่าลืมชวน นายเสกสรร ผู้บริหาร AA กรุ๊ปด้วย”

“บอสเอาอีกแล้ว” อิงที่ได้ยินชื่อที่เขาเอ่ยออกมาก็ทำท่าไม่พอใจ รู้หรอกว่าคิดอะไร

“กลัวจะมีเรื่องหรือไง!”

“หรือบอสไม่กลัวครับ ถึงผมจะศึกษาเกี่ยวกับบริษัทของเราไม่ละเอียดพอแต่คู่แข่งตัวเป้งขนาดนี้ไม่รู้จักก็โง่แล้ว”

“หึ..แสนรู้”



“มันไม่กล้าทำอะไรหรอกเชื่อฉัน คนมากมายเต็มงานถ้ากล้าก็บ้าเกินคน” เมื่อตอบชัดทุกอย่างแล้วก็หันไปส่งซิกบอกอีธานว่าออกไปได้แล้ว

“วันงานเธอต้องไปกับฉันด้วย”

“ผม...”

“เธอเป็นเลขาฉันควรเริ่มที่จะเรียนรู้งานด้านนอกได้แล้ว ไม่ใช่อยู่ติดแต่กับออฟฟิตและพวกบ้านั่น” พวกบ้าที่ว่าก็บอดี้การ์ดเขานั่นแหละ

“ผมแค่กลัวจะทำคุณเสียหน้า”

“จะไม่มีคำนั่นแน่นอน” คำพูดที่เหมือนคำมั่นสัญญาทำให้คนฟังยอมมองหน้าสบตากัน ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นจริงแน่นอน

“ครับ”

“เราต้องลงไปเตรียมงานก่อนสองสัปดาห์ ลาแม่และน้องเธอให้เรียบร้อนส่วนชุด ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น”

ความงงฉายชัดขึ้นบนหน้าจนคนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ปมตรงกลางระหว่างคิ้วสองข้าง

“เธอรู้ไหมเวลาเธอทำหน้าแบบนี้แล้วมันเหมือนอะไร”

ไม่มีคำตอบ แต่ปมที่คิ้วดันย่นเข้าหากันหนักกว่าเดิมไปอีก เลยได้เสียง หึ มาจากคนตัวใหญ่

“เหมือนเลออนที่บ้านฉัน” ยิ่งงงเข้าไปอีกอะไรละนั่นเลออน คงไม่ใช่กิ้งก่าเหมือนรีบอร์นหรอกนะ อีตาบอสบ้านี่

“จะย่นอีกนานไหม? ไปทำงานได้แล้ว ตอนเที่ยงเธอต้องออกไปพบลูกค้ารายใหญ่กับฉัน”

“ปกติเป็นหน้าที่อีธานนี่ครับ”

“ทำไม! ฉันจะให้เธอไปมันมีปัญหาอะไร เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วว่าเธอควรออกไปข้างนอกบ้าง”

แล้วเขาจะเถียงอะไรได้ล่ะ นอกจากครับ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตังเอง

พอนั่งลงตรงที่ตัวเองได้แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดเข้ากลุ่มไลน์ที่มีชื่อว่า ‘เรารักบอส’ ไม่ต้องถามหาคนตั้งเพราะมันหาไม่ได้ยากเลย สตีฟไงคนสร้างกลุ่มสร้างชื่อ

อิง อิง

ทุกคนอิงมีอะไรจะถาม ใครรู้บ้างว่า เลออนของบอสมันคืออะไร

B.1

มีอะไรหรือเปล่าอิง?

B.2

แนบรูปภาพ (สุนักพันธ์ปั๊ก)

อิง อิง

หมาเหรอ! เลออนคือหมาเหรอ!!



Steven FN

ทำไมฉันรู้สึกว่าหนุ่มน้อยกำลังโมโห

ไม่มีการตอบกลับของคู่สนทนาเหมือนว่ารู้คำตอบแล้วก็อัตทานหายไป

B.1

โมโหไหมไม่รู้แต่ที่รู้ๆ บอสเราตัวตัวแปลก

Steven FN

ฉันจะรายงานบอสว่าพวกแกนินทา

B.2

ตาแกอย่าหาเรื่องให้โดนหมู่

.........

“บอส!!”

“อะไรของเธออิงอยู่กันแค่นี้จะตะโกนทำไม?”

“บอสว่าผมเหมือนหมาปั๊กเหรอ!”

“นึกว่าเรื่องอะไร หึ แล้วคิดว่าจริงไหม”

“รอเลิกงานก่อนนะบอสนะ”

“เธอจะทำอะไรฉัน” พูดทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังยิ้มยียวนกวนประสาทเลขาต้นไม่เลิก นาน ๆ ทีจะเห็นคนเป๊ะในเวลางานหลุดอาการขนาดนี้

“จะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย คิดได้ไงมาหาว่าคนอื่นเหมือนหมา”

“หึ ถ้าหาทางกลับไม่ได้ฉันก็จะตามเธอไปทุกแห่งหนเลยเป็นไง”



อิงได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน กับคำพูดของคนแก่นิสัยไม่ดี ใครเขาอยากจะให้ตามไปไหนกัน

ถึงพูดไปแบบนั้นแต่หัวใจกลับเต้น ตึกตัก ผิดจังหวะสะได้ ไหนจะไอ้ไอร้อนที่ขึ้นอยู่บนหน้านี่อีก ไม่ดีเลยไม่เคยดีต่อใจเขาเลย



ณ ภูเก็ต

“ผมว่าหูผมต้องมีปัญหาแน่ ๆ แฝดช่วยบอกทีเมื่อกี้อีธานบอกว่าไงนะ” อิงที่ทำหน้าเหมือนยังไม่ตื่นจากฝันดีพูดขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ อีธานได้กล่าวเมื่อครู่นี้

“ลุงแกบอกว่าบ้านพักที่นี้มีสามห้องนอน ซึ่งเป็นห้องใหญ่สองห้องห้องเล็กหนึ่งห้อง ห้องเล็กเป็นของฉันสองคน ส่วนอีกห้องตาลุงทั้งสามจองเป็นที่เรียบร้อง อีกห้องคงไม่ต้องบอกเนาะ ทีนี้บอสเห็นว่าห้องมันเต็มมากแล้ว เลยจะให้เธอไปนอนกับบอส”

“ไม่เอา!! อีฟ! คุณไปนอนกับบอสแทนอิงที”

“บอสออกปากเองขนาดนั้น ใครจะกล้าขัด”

“อิงไง งั้นเดี๋ยวอิงออกไปพักที่โรงแรมก็ได้”

“ไม่ได้!!” อยู่ ๆ เสียงมีอำนาจก็ดังขึ้นมากลางปล้อง ภาพนี้เหมือนทุกคนเริ่มจะชินตาไปเสียแล้วกับการเถียงกันของคู่นี้ ถ้าเป็นแฟนกันคงมีลูกเต็มบ้านเป็นแน่

“ทำไมไม่ได้”

“ฉันให้เธอมาทำงานไม่ใช่ชวนมาเที่ยว อย่าคิดทำอะไรตามอำเภอใจ แล้วมันทำไมนอนกับฉันมันเป็นอะไร?”

“ก็...”

“เอาของไปเก็บได้แล้ว แล้วอย่าคิดที่จะไปนอนที่โซฟานะ” พูดพร้อมชี้หน้าดักคอคนที่คิดแบบนั้นจริง ๆ บอกแล้วคุณเมฆเก่งเรื่องเดาใจคนอื่นเขาไปทั่ว



พออิงหายไปพ้นสายตาแล้ว รอยยิ้มที่เคยมีอยู่บนใบหน้าของเหล่าบอดี้การ์ดก็ได้หายไปก่อนจะแทนที่ด้วย ความเคร่งเครียดแทน

“สายของผมบอกมาว่าเห็นคนของท่านทศ มาด้อมๆ มองๆ ที่โรงแรมเราครับ”

“หึ คงกะจะมาพังงานฉันเหมือนที่ฉันหักหน้าเขาสินะ” คาล์ล คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยจริง ๆ เรื่องคราวก่อนที่ท่านทศพลส่งลูกสาวมาตีสนิทเขาครั้งนั้น ก็ทำเอาข่าวลือที่ว่าลูกสาวท่านหน้าแหกกลางร้านอาหารดังเมื่อ ถูกชายนิรนามทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

“บอสจะให้จัดการยังไงครับ”

“ส่งแฝดไปจัดการ เอาแค่หลังหักก็พอ”

“แบบนั้นมันจะดีเหรอครับ หากมันแว้งกลับมากัดเราอีกมันจะสาหัดไมคุ้มเสียนะครับ”

“นั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการ การจะเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้อง ให้ใครรู้ว่าเรามีพลังมากแค่ไหน ทำให้มันตายใจ แล้วค่อยเชือดลิงให้ไก่ดู”

“เอ่อ...บอสครับ เชือดไก่ให้ลิงดูครับ” แทนที่จะได้คำขอบใจที่สับเปลี่ยนคำให้กลับได้สายตาอาฆาตมาแทน อะไรสตีฟทำอะไรผิดอีกแล้ว!!

คิณและสองแฝดพากันกลั้นขำแทบไม่อยู่เมื่อเห็นใบหน้าขอความช่วยเหลือของ สตรีเวน ถามว่าใครกล้าช่วยไหม ในเมื่อคนที่มันดันไปสอนเรื่องแบบนี้ดันเป็นถึงมาเฟียใหญ่แห่งดินแดนเงินตรา ช่วยก็โง่เกินไปแล้ว

คนพูดผิดเองก็ไม่ได้รู้สึกหน้าเสียเลยแม้แต่น้อย ถึงท่านแม่จะเป็นคนไทยแต่ เขาเติบโตที่ดูไบ ตั้งแต่เล็กจนโตจำได้ว่าใช่คำพูดไทยแทบนับคำได้ การที่จะไม่รู้สำนวนไทยเลยคงไม่แปลก แต่ที่ช่วงนี้รู้เรื่องพวกนี้เยอะก็เพราะเลขาแสบของเขาไง ชอบหาคำพวกนี้มาว่าเขาอยู่เรื่อย

“มีอีกเรื่องครับ วันก่อนมีคนพยายามเจาะหาข้อมูลเกี่ยวกับบอสครับ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร”

“สืบจนกว่าจะรู้ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเก่งแค่ไหน และถ้ามันได้ข้อมูลฉันไปจริง ๆ นายรู้นะว่านายจะเจอเข้ากับอะไร”

อีธานแค่ก้มหน้ารับคำ แต่คนที่สะดุ้งกลับเป็นสตรีเวนที่อยู่ๆ หน้าเมียรักก็ลอยเข้ามาในความคิดเสียนี่ ตาย ๆ รอบที่แล้วที่โดนไปยังเข็ดขยาดไม่หายอย่าเพิ่งต้องเจออะไรแบบนั้นอีกเลย

พอคุยและแบ่งงานเสร็จทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา สองแฝดหายออกไปจาบ้านพร้อมกับคิณที่ต้องออกไปซื้อของสด เนื่องจากบ้านพักหลังนี้เป็นของคาล์ล ที่มาซื้อไว้ตั้งแต่ที่ลงมาดูงานรอบแรก และก่อนมาก็จ้างแม่บ้านมาทำงานแต่ไม่ได้สั่งให้ซื้อของสดมาไว้ให้เพราะกลัวว่าสิ่งที่ซื้อมามันจะไม่ปลอดภัย เซฟได้ก็อยากเซฟไว้ก่อนอะไรก็เกิดขึ้นได้ศัตรูมาได้หลายรูปแบบ ส่วนสตรีเวนก็เดินสำรวจบ้านตามคำสั่งของอีธานก่อนเจ้าตัวจะไปหมกตัวอยู่ในห้องเพื่อทำงานสำคัญ นั้นคือป้องกันข้อมูลของบอสห้ามให้รั่วไหล



ด้านอิงที่เอากระเป๋าเข้ามาเก็บ ก็ได้ลื่อกระเป๋านำเสื้อผ้าออกทาแขวนขึ้นราวไวกันยับเพราะเขาต้องอยู่ที่นี้อีกหลายวัย พอเสร็จก็หยิบมือถือมากดโทรบอกแม่ว่ามาถึงแล้ว ก่อนจะได้พร ว่าให้งานสำเร็จไปด้วยดี ก่อนวางก็บอกให้เขาตั้งใจทำงาน

วางสายจากแม่แล้ว ก็เก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปทางด้านหลังถึงได้รู้ว่าที่บ้านพักแห่งนี้มีสระวายน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้วย อิงนั่งยอง ๆ ลงตรงขอบสระก่อนที่จะใช้มือกวักน้ำในสระเล่น

“ก็ทำได้แค่นี้แหละ อิง”

“ทำอะไร”

“อ๊ะ” นั่งคิดอะไรเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงของเมฆที่ไม่รู้ว่ามาตอนไหนจนทำให้ อิงสะดุ้งสุดตัว แถมตอนที่ลุกขึ้นเอี้ยวหน้าไปมองขายังขัดกัน จนทำให้เขาเกือบตกน้ำ แค่คิดว่ายังไงก็ต้องตกแน่ ๆ หน้าเขาก็รู้สึกเสียขึ้นมาทันที แต่แล้วแขนแกร่งของคุณเมฆก่อนสอดรั้งช่วงเอวเขาเข้าหาตัว ก่อนที่ฉากต่อไปจะเป็นเขาเองที่เผลอยกมือล็อกคอคุณเมฆไว้แล้วซุกหน้าไปที่ซอกคอของคุณเมฆ น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามันไหลทำไมก็ไหลออกมาไม่หยุด แต่ดันไม่มีเสียงสะอื้นไห้ของอิงเลย

เมฆที่ยังไม่ได้ปล่อยเลขาตัวแสบ ก็ยังกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยต่อว่าเล่น ๆ แต่พอกล่าวออกไปแล้วก็อยากตีปากตัวเอง

“ซุ่มซ่าม แค่ลุกขึ้นแค่นี้ก็มีปัญหานะเธอนิ” พูดพร้อมผละออก

“ร้องไห้ทำไม หรือโกธรที่ฉันว่า!”

“ผมแค่ตกใจ ขอโทษ”

“อืม” มือที่คล่องที่คอค่อยปล่อยออก แต่แขนที่รัดรอบเอวบางไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยแม้แต่นิด

“คุณ ปล่อยผมได้แล้ว”

“แน่ใจว่าถ้าปล่อยแล้วเธอจะหยุดร้อง” คำพยักหน้าคือคำตอบ สุดท้ายก็ยอมปล่อยอิง ออกจากอกถึงจะรู้สึกเสียดาย! เสียดายอะไร?

ผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ คิณก็กลับมาพร้อมอาหารสดและเครื่องดื่มเต็มไม้เต็มมือ อิงเห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาช่วย แอบงอนคิณเล็กน้อยที่ไม่ชวนตัวไปด้วย แต่พอบอกว่าจะไถ่โทษด้วยการทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน อิงก็ต้องตาโตดีใจเพราะรู้มานานแล้วว่าคิณทำอาหารอร่อยมาก และก็ไม่ลืมของเป็นลูกมือ

ก่อนที่จะลงมือทำอาหาร คาล์ล ก็ได้บอกว่าของตัวเองให้อิงรับผิดชอบไป คนโดนสั่งก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าคุณเมฆเรื่องมาก แต่พอนึกถึงความปลอดภัยแล้ว เขาก็ไม่อยากเสี่ยงถึงคิณจะทำงานมาก่อนแต่การทำอาหารให้คุณเมฆทานเขาเชื่อว่าคงไม่เคย สุดท้ายก็ต้องลงมือทำเอง

และมื้อนี้ก็เหลือผู้ร่วมโต๊ะเพียงสี่คน สองแฝดออกไปทำงานที่คุณเมฆสั่ง ส่วนอีธานบอกทานก่อนเลยยังไม่หิวแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องไม่ออกมาอีกเลย พอจะเอาของว่างเข้าไปให้ พี่คิณก็บอกเดี๋ยวเอาเข้าไปให้เอง ทำตัวมีพิรุธกันจัง แต่ก็นั่นแหละ เรื่องอะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว

“คุณ!! ทำไมไม่แต่งตัวก่อนออกมา!!” เสียงโวยวายของเลขาตัวแสบไม่ได้ทำให้ บอสสะทกสะท้านเลยแม้แต่นอน ยังเดินทั่วห้องด้วยผ้าผืนเดียวที่มันทำท่าจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ไหนจะท่าก้ม ๆ เงย ๆ นั้นอีก ผ้าผืนยาวมากมั่ง โว้ย ๆ

“ทำไม อายหรือไง” พูดพร้อมสวมกางเกงขายาวตัวที่อิงเลือกให้ใส่ก่อนจะดึงผ้าออก อ่ะ อะไรอีกละนั่น ชะ ชี้หน้าแล้วนะ คาล์ลมองตามสายตาของอิง ก่อนจะกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ คนที่นั่งกอดผ้าห่มบนเตียง

“ทะ ทำไมคุณไม่ใส่กางเกงใน”

“มันไม่สบายตัว ปล่อยมันได้ทำตัวตามสบายบ้าง” พูดเสร็จก็ตั้งท่าจะปีนขึ้นเตียง แต่ก็ต้องหยุดการกระทำลง...

“ทำไมไม่เช็ดผมก่อน!”

“นี่...ผมฉันสั้นแทบติดหนังหัวขนาดนี้จะให้เช็ดอะไรอีก” คนที่มีทรงผมสกินเฮดถึงกลับขมวดคิ้วเมื่อคิดว่าผมแค่นี้จำเป็นต้องเช็ดอะไรมันอีกหรือไง

“ละ แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อ เดี๋ยวก็ไม่สบายนะคุณ”

“เป็นห่วงฉันหรือเขิน เอาให้แน่แสงตะวัน” พูดพร้อมปีนขึ้นไปบนเตียงตามความคิดแรก ดีแค่ไหนแล้วที่วันนี้ได้นอนเร็วบางวันนี่แทบถึงเช้า แต่พอจะได้นอนก็ต้องมาเจอเจ้าหนูจำไมอีก

แทนที่จะได้ทำตอบกลับเห็นใบหน้าที่แดงแจ๋แทน หึ อยู่ ๆ ความคิดดี ๆ อะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ไม่รอช้ารีบทำตามความคิดของตัวเองทันที

นั้นคือการรวบตัวเจ้าหนูจำไมแล้วล้มตัวลงนอนในท่าที่อิงนอนหันหลังขัดขืนเขาอยู่ แต่ก็ไม่สามารถปลดพันธนาการจากเขาได้

“อย่าดิ้น! นอน” แทนที่จะหยุดตามที่เขาสั่งกลับเป็นการดิ้นที่รุนแรงมากขึ้น จนอะไร ๆ บางอย่างมันสัมผัสกัน เจ้าหนูถึงได้หยุดลงพร้อมกับตัวที่แข็งทื่อ

“คะ คุณ อะ อะไรมันทิ่มผม!”

“หึ คิดว่าอะไรล่ะ เลิกดิ้นแล้วนอน” พูดไปมือก็รั้งเอวของอิงเข้าหาตัวมากขึ้น ไอนั้นมันก็ยิ่งชิดกันมากกว่าเดิม

“ปะ ปล่อยผมก่อน นะ อ๊ะ!” แล้วตอนที่กะว่าจะหันไปมองหน้าคนที่กวนเขา ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อใบหน้าของอีกคนอยู่ใกล้กันมากมากแบบที่ว่าจมูกชนกันเลยแหละ แต่แทนที่จะรีบดีดตัวออกกลับเป็นการจ้องตาของคนที่อยู่ด้านหลังเสียแล้ว พอรู้ตัวอีกทีก็โดนคนชวยโอกาสจับหันตัวมาหากัน ก่อนจะกดใบหน้าเขาลงไปที่อกอุ่นพร้อมเสียงกระซิบข้างหู

“รีบนอน ก่อนที่จะไม่ได้นอนกัน” ไวกลัวความคิดตาทั้งสองข้างก็รีบหลับลงทันที เหมือนเด็กที่กลัวคำขู่ของผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ใหญ่ที่ว่าจะโคตรเจ้าเล่ห์เลย ผ่านไปเกือบชั่วโมง คาล์ล ถึงรับรู้กับลมหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอ หึ

“ครั้งนี้ฉันแค่แกล้ง แต่หากมีครั้งหน้า อย่าหวังว่าจะรอดเจ้าหนู”

“...”

“ฝันดี แสงตะวัน”







TBC.

อีกนิด อีกนิดอีเฮียก็จะกินลูกเราแล้วจ้า

ทำเป็นใช้ทำอาหารให้ ทำเป็นเดินโชว์กายเปลือย ทำเป็นแกล้งน้องนะ

น้องก็เริ่มจะรู้ๆอะไรบ้างแล้วแหละ แต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่

ยังก็ฝากติดตามด้วยนะจ๊ะ

เหนือหมอก

เพจ https://www.facebook.com/Nuamok415/

ทวิต @Nuamok1

เจอคำผิดเตือนเค้าด้วยน้าาา[/size][/font][/pre]
[/left][/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 11-12-2021 15:19:20
พึ่งมาอ่าน ชอบมากครับ
ป.ล.แก้ขนาดตัวให้ทีครับ อ่านยากมากเลย
ต้องการขนาดเท่าไหร่ดีคับ เราไม่รู้ว่าเว็ปต้อง12 หรือ15 ถึงจะพอดีขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-12-2021 00:33:29
ตอนนี้พอดีแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 12-12-2021 02:00:23
ตอนนี้พอดีแล้วครับ
ขอใ้สนุกกับการอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 14-12-2021 21:52:17
 o13
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 15-12-2021 21:57:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 19-12-2021 14:07:25
ตอนที่ 9 ในความวุ่นวาย ก็ยังมีรอยยิ้ม



07:00 น.

ปกติมันไม่ใช่เวลาตื่นของผมเลย เพราะปกติผมต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ทำอาหารเตรียมขายก่อนจะอาบน้ำเพื่อมาทำงาน

แต่วันนี้มันแปลกไปผมตื่นช้ากว่าปกติแถมยังในที่ที่ไม่คุ้นเคย ก่อนจะประมวลผล แล้วก็ต้องตาโตเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ หันไปดูด้านข้างก็ต้องโล่งใจที่มันว่างเปล่า

เมื่อคืนผมนอนกับคุณเมฆ อ่ะ ไม่ใช่นอนแบบนั้น แค่นอนเฉย ๆ ผมน่ะนอนเฉย ๆ แต่คนที่ร่วมห้องด้วยนี่สิ...

ผมไม่รู้เลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจะทำเอาหัวใจมันเต้นแรงมากขนาดนั้น หรืออาจเป็นตอนที่รู้สึกว่าคุณเมฆไม่ทำอันตรายอะไร หรืออาจตอนที่เริ่มขยับตัวเข้าใกล้เพราะรู้สึกอุ่นแปลก ๆ หรือจะเป็นตอนที่รู้สึกปลอดภัยเหมือนได้กอดกับพ่อ แต่คนแบบคุณเมฆ...อย่าให้พูด คนคนนั้นเป็นพ่อให้ผมไม่ได้หรอก



พอตั้งสติอะไรได้มามากแล้วก็ดึงสังขานตัวเองไปเข้าห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อยแล้วออกมาแต่งตัว เสร็จก็เตรียมเดินจะออกจากห้อง ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันมากมายที่ด้านนอก แอบแปลกใจว่าเสียงใครกัน หรืออาจจะเป็นพวกอีธาน! แต่มันก็ยังดังมากอยู่ดี เพื่อไขข้อข้องใจตัวเองเลยเดินไปเปิดประตูห้องตามความคิดเดิม ก็ต้องชะงักค้างกับเล่าชายชุดดำที่มาพร้อมรังสีหน้าน่ากลัวสุด ๆ แล้วไม่ใช่แค่คนสองคน เพราะมันมากกว่าสิบคน

ผมไม่เคยเห็นคุณเมฆพกลูกน้องหรือเหล่าบอดี้การ์ดมามากมายขนาดนี้ เพราะปกติจะมีแค่สองแฝด พี่คิณ สตีฟ อีธาน แถมยังไม่เคยออกไปไหนพร้อมกันเลยยกเว้นเวลาไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ

แล้วอยู่ๆ ชายชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าเรียบสนิทไม่บอกถึงความรู้สึกอะไรเลย (คุณเมฆปล่อยผมไว้กับใครกันเนี่ย!!)

“บอสสั่งไว้ว่า ถ้าคุณอิงตื่นแล้วให้ทานอาหารก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ” มองซ้ายมองขวาไม่เจอพวกนั่นเลย คงไปด้วยกันสินะ แล้วทำไมไม่ให้ผมไปด้วย!!

“ผมถามได้ไหมครับ ว่าบอสไปไหน”

“บอสสั่งให้บอกว่าไปทำธุระ” นั่นคือการบอกเป็นนัยนัยหรือเปล่าว่าไม่ต้องอยากรู้

ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วกลับเข้าไปในตัวบ้านตามเดิม ก่อนจะไปเปิดตู้ดูว่ามีอะไรทำได้บ้าง ซึ่งมันมากเลยล่ะเหมือนจะมากกว่าเมื่อวานที่พี่คิณไม่ซื้อมาอีก

ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าตู้อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ของที่ต้องการ แต่พอปิดประตูตู้เย็นก็เพิ่งเห็นว่ามีโพสอิตแปะไว้ เมื่อกี้ลืมมองหรือไม่ได้สังเกต ในโพสอิตเขียนเป็นภาษาไทยเดาได้ไม่ยากว่าใคร ก่อนจะอ่านข้อความในนั้น

(พวกพี่ออกมาทำธุระข้างนอกกับบอสนะ อาจกลับช้า แต่บอสสั่งว่าให้อิงทำอาหารเที่ยงไว้รอ (เผื่อพวกพี่ด้วย) ของสดพี่เอามาใส่ไว้ให้แล้ว ต้องการอะไรเพิ่ม บอกพวกข้างนอกได้เลย คิณ)

ข้อความยาวมาก ผมคิดว่าบอสแค่สั่งให้ผมทำแค่ของเขา แต่พี่คิณคงเพิ่มข้อความของตัวเองมาด้วย สุดท้ายผมก็ต้องเปลี่ยนเมนู ทำเพื่อพวกพี่ๆ ข้างนอกด้วยดีกว่า

อีกด้าน

คาล์ล และพวกอีธานได้มาถึงที่โรงแรมเมื่อ เจ็ดโมงเช้า เพราะเมื่อช่วงรุ่งเช้าที่ สตรีเวนได้มาเคาะประตูเรียกเขา จนทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้หงุดหงิดที่ สตรีเวนมาเรียกแต่ที่หงุดหงิดคือ มันเคาะห้องเสียงดังเกินกว่าเหตุ ดีที่เจ้าหนูเหมือนจะหลับลึก เลยไม่รู้สึกตัวอะไร

พอเปิดประตูออกก็ต้องแปลกใจที่มีบอดี้การ์ดอยู่เต็มห้องรับแขก

“เกิดอะไรขึ้น”

“ที่โรงแรมเกิดเรื่องครับ แล้วก็เมื่อตอนตีสี่ สองแฝดรายงานมาว่า งานที่บอสให้ไปจัดการ...เอ่อ...มีคนชิงลงมือก่อนเราครับ

“shit...มันเป็นใคร?” ถามออกไปด้วยแววตาที่เรียบสนิท แต่คนที่อยู่ใกล้บอสมานานอย่างพวกเขาย้อมรู้ดีว่า สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว

“เป็นคนของนายเสกสรรครับ”

“แล้วที่โรงแรม?”

“มีคนปลอมเป็นพนักงานของเราเพื่อเอาระเบิดลมแบบตั้งเวลาเข้าไปติดครับ แต่มีคนเห็นเสียก่อน ตอนนี้สองแฝดกำลังไปที่เกิดเหตุ” เพราะทั้งคู่เก่งเรื่องพวกนี้มาก หน่วยย่องเบาพิเศษที่ถูกฝึกมาอย่างหนัก

“ฉันจะไป เตรียมรถให้พร้อม” สตรีเวนรับคำก่อนจะหันหลังกลับไปสั่งลูกน้องให้ทำตามคำสั่งของบอสทันที คาล์ลเดินเข้าไปด้านในห้องมองเลยไปที่เตียงใหญ่ ที่มีร่างของใครบางคนยังนอนหลับอยู่บนนั้น คาล์ลเปลี่ยนเป้าหมายที่จะไปแต่งตัวเดินกลับมาที่เตียง

คาล์ล นั่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงไปจูบเบาๆ ที่ห่างตาซ้ายพร้อมปัดเส้นผมที่บดบังใบหน้าไปทัดไว้ที่ข้างหูแล้วกระซิบคำเบาที่ข้างหู...

“แล้วฉันจะรีบกลับมา”

พูดเสร็จก็ทำการผละออกจากอิงที่ยังไม่รู้สึกตัวเหมือนว่าเขาคงกำลังฝันดีจนไม่สามารถทำให้ตื่นได้ในเวลานี้ ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำตามเดิม โดยที่ไม่หยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปด้วย เพราะคิดว่าคนที่ร่วมห้องด้วยคงไม่ลุกขึ้นมาเอาในตอนนี้หรอก

ใช้เวลาในห้องน้ำไม่นาน เขาก็เดินออกมาปลายตามองเตียงเล็กน้อยแอบเผลอยิ้มที่มุมปาก ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่จะต้องไปแก้มันรุนแรงแค่ไหน เพราะความคิดที่ว่าหากอิงตื่นมาเจอกันสภาพนี้คงโวยวายกันเหมือนตอนเริ่มนอนแน่ ๆ เลย



“คิณ เขียนโน้ตบอก อิงให้ทำอาหารเที่ยงไว้รอด้วย”

“เราจะกลับมาทันเหรอครับ” คิณถามด้วยความไม่แน่ใจ รู้อยู่ว่า บอสเป็นคนจัดการอะไรรวดเร็วเสมอแต่ครั้งนี้มันค่อนข้างไม่ได้เป็นไปตามที่บอส คาดการไว้ทั้งหมด

“ทำตามที่สั่ง และจัดคนดูแลที่นี้ด้วย” สั่งการเสร็จก่อนเดินขึ้นรถไปทันที ครั้งนี้คนที่ขับรถให้เป็นเพียงลูกน้องที่อีธานเรียกตัวมาเท่านั้น และสตรีเวนที่นั่งข้างคนขับ ส่วนอีธานมุ้งหน้าไปก่อนแล้วเพราะกลัวใจของเจ้าสองแฝดเหลือเกินว่า จะทำให้เหยื่อตายก่อนได้ถามหาคนบงการ



โรงแรมที่กำลังจะเปิดตัวในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าเป็นผลงานชิ้นแรกของ คาล์ล ในฐานะ เมฆา สุวรรณเมธีร์ ผู้ที่ไม่เคยมีประวัติในไทยเลย แต่ดันมีชื่อเป็นไทยแต่ใบหน้ากลับเป็นหนุ่มแขกตาคมขนตางอย ที่มีในดาเป็นประกายที่หน้าหลงใหลมาพร้อมกับความหน้าเกรงขาม แต่พวกที่รู้สึกว่าการปรากฏตัวของเขาสงผลเสียอย่างมาก กับธุรกิจของต้น ก็ชอบคิดทำอะไรโง่ ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ ที่กรุงเทพฯ เขาก็เจอเช่นกัน แต่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น เพราะลูกน้องของเขาเก็บงานดีมาตลอด ไม่เคยหลงเหลือหลักฐานไปถึง ตำรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ครั้งนี้ มันเกิดขึ้นที่โรงแรม ถึงจะยังไม่ได้เปิดให้บริการ แต่การเกิดเหตุแบบนี้ย่อมไปถึงหู ตำรวจอยู่ดี นั้นคือเรื่องหนึ่งที่ สองแฝดและอีธานรีบมาก่อนที่จะรอเขา เพื่อมาทำให้เหลือหลักฐานให้น้อยที่สุด ให้ไม่สามารถติดตามรอยผู้ก่อเหตุตัวจริงได้ ไม่ใช่ว่าช่วย แต่เขาต้องการจัดการเอง คนที่กล้ามากระตุกหนวดราชสีห์มันจะต้องมีจุดจบที่มันไม่สามารถคาดการได้เลย และมันจะไม่มีวันได้แม้แต่จะจำไปจนถึงชาติหน้าเพราะมันจะไม่ได้มีเวลาคิดแบบนั้นเลย

“เป็นไง” คำถามแรกจาก คาล์ล หลังจากเดินเข้ามาจนถึงหน้าร็อบบี้ที่มีทั้งพนักงาน ตำรวจ แต่ไม่ยักเห็นสองแฝด

“เรียบร้อยครับ” คำตอบในที่นี้คือตบตาตำรวจได้ทันเวลา แปลว่าตอนนี้สองแฝดคงอยู่กลับของเล่นชิ้นใหม่หลังจากที่วืด งานเมื่อคืนไป

ในระหว่างที่อีธานรายงานสถานการณ์อยู่นั้นก็มี ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา ดูจากดาวที่อยู่บนบ่าแล้วคงมียศอยู่ไม่ใช่น้อย

“สวัสดีครับ ผมพันตำรวจเอก รณกฤต อัคธรรมกรณ์ หรือเรียก กฤตเฉยก็ได้ครับ”

คาล์ลยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์เพื่อตอบรับ ก่อนจะแจ้งชื่อและอกว่าต้นเป็นใคร เขาฉลาดพอที่จะไม่เดินหนี หรือหอีธานรับหน้าแทน การผูกมิตรกับคนที่มียศสูงก็ถือว่าดีในธุรกิจของเขาไปด้วย

“จากที่ผมได้รายงานจากลูกน้องแล้ว เหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากครับ มันเป็นเพียงนาฬิกาปลุกแบบตั้งเวลานาน ๆ ได้เท่านั้น น่าจะเป็นการแกล้งจากใครสักคนที่อาจมีปัญหากับคุณมาก่อน แต่ตอนนี้ทางเราได้ทำการปลดมันออกทุกที่แล้วครับ แต่ยังไงก็อยากให้ พนักงานที่เห็นเหตุการณ์ไปให้ปากคำต่อที่โรงพักทีนะครับ เพื่อเราจะตามจับคนที่กระทำได้”

“ได้ครับ แต่เรื่องตามจับ ผมว่าปล่อยไปก็แล้วกัน เพราะถือว่ามันไม่ได้ร้ายแรงจนโรงแรมผมดีรับความเสียหายอะไร”

“เอาแบบนั้นเหรอครับ แต่ยังไงผมก็ต้องขอรู้รูปประพันสัณฐานคนร้ายหน่อยก็ดีนะครับเผื่อว่าเกิดเรื่องอีก จะได้รู้ตัวคนทำ” คาล์ลเพียงพยักหน้า และไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะมันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของทาง ตำรวจอยู่แล้ว ก่อนที่จะได้กล่าวเชิญ สารวัตกฤตให้มาร่วมงานเปิดตัวโรงแรมของตนที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ก่อนที่ตำรวจทั้งหมดจะขอตัวกลับพร้อมพนักงานที่เจอคนร้าย

พอทุกอย่างด้านหน้ากลับมาเป็นปกติ คาล์ลก็ไม่รอช้าหันหลังกลับไปขึ้นรถทันทีเส้นทางที่ไปไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านพักของตัวเอง แต่เป็นสุสานคอนเทนเนอร์เก่าที่ห่างจากบริเวรที่ทำกินของชาวบ้านพอสมควร

รถหรูจอดลงหน้าตู้คอนเทนเนอร์เก่าที่มีชายชุดดำสองคนยืนอยู่ด้านหน้า พอเห็นว่าคนที่อยู่บนรถเป็นใครก็รีบทำความเคารพก่อนที่อีธานจะเปิดประตูให้เขาได้ลงมาด้านล่าง แล้วเดินเข้าไปด้านในตัวตู้ทันที แสงที่มีอยู่ในตู้ก็ไม่มากนักเพราะมันเกิดจากตัวตู้ชำรุจมีรูอยู่ด้านบนเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ให้ความรำบากอะไรกับการมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ภาพที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่คิดไว้เลย ภาพที่หยินนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าของไอ้คนที่มันก่อเหตุในมือมีลวดเส้นที่หากไม้สังเกตก็อาจจะมองไม่เห็นตรึงอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางกับการเกี่ยวที่ใบหูของมัน รอยยิ้มที่ได้มองดูลูกน้องคนสนิททำคือความว่างเปล่าที่หน้าอึดอัดสำหรับคนที่ไม่เคยพบเจอ ขนาดหยางที่ยืนกอดอกมองสิ่งที่พี่ชายทำยังต้องหันมองก่อนจะคลายมือที่อกแล้วทำความเคารพ

“ได้เรื่องไหม” เป็นอีธานที่เอ่ยถามออกไปแทนใจของนายที่อยากรู้ แต่คำตอบคือการส่ายหน้าจากหยาง หวัง แทน

“ไม่แน่ใจว่ามันไม่รู้จริง หรือฟันพวกฉันไม่ออก” ตอนแรกที่ถามมันไปเขาใช้เป็นภาษาจีนบ้านเกิด แต่พอนึกขึ้นได้ก็ถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่มันก็ยังไม่ยอมบอก แถมไม่พูดอะไรออกมาเลย หยินเลยขอเป็นคนจัดการเอง

แต่การที่ปล่อยให้พี่ชายได้จัดการนั้น ถือว่าเป็นความซวยของมันแล้วเพราะหยิน หวัง ชอบนักกับการเล่นสนุกกับร่างกายมนุษย์ อาวุตคู่ใจดึงออกมาใช้โดยทันทีพร้อมกับเริ่มจัดการที่นิ้วมือของมัน เข็มที่เคลือบไปด้วยพิษของแมงมุมกล้วย ที่มีพิษมากกว่าแมงมุมแม่ม่ายเป็นไหน ๆ แต่หากที่เขาใช้นั้นเป็นแบบดัดแปลงขึ้นมาเอง มันจึงออกฤทธิ์ช้าแต่ทรมานมากกว่าได้รับแบบตรง ๆ เข็มแรกถูกปักไปที่นิ้วชี้ด้านขวา ก่อนที่อีกเล่มจะปักลงที่ต้นคอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมพูดออกมาจน หยิน หวัง หัวเราะออกมาเหมือนคนขาดสติก่อนเอ่ย...

“ดี ใช่ แบบนั้น ฮ่ะ ๆ แกทำให้ฉันสนุกขึ้นอีกแล้ว อดทนให้สุดนะ” แล้วหลังจากพูดจบก็ถอดเข็มที่ปักอยู่ตากจุดออก แล้วเก็บมาเข้าที่ ก่อนจะหยิบของชิ้นใหม่ออกมาจากกระเป๋าสูทตัวที่ใส่ มันคือลวดเส้นเล็ก ๆ ที่ถ้าหากไม่เพ่งมองดี ๆ ก็อาจจะไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่

“เจ็บใช่ไหม ทรมานแล้วสิ ฮ่า เดี๋ยวฉันช่วยนะ” ประโยกใจดีแต่แฝงความเลือดเย็นมาแบบนั้นทำให้ คนร้ายถึงกับถดตัวหนีพร้อมสะบัดหน้าไปมา แต่มีหรือที่คนที่เริ่มสนุก จะหยุด เขาใช้ช่วงที่มันเอามือบังหน้าส่ายไปมา ทำการตัดนิ้วที่ได้จิ้มพิษลงไปก่อนหน้านี้ทันทีด้วยความไว

“อ๊าก!!!”

“ยังเจ็บอยู่อีกเหรอ! ฉันคงช่วยช้าไปสินะ...ต้องเอามันออกให้หมด” พูดจบก็ตวัดเส้นลวดในมือเพียงแค่นิดเดียว นิ้วที่ไม่รู้ว่าไปเกาะเส้นลวดไว้ตอนไหนก็หลุดออกอีกสองข้อ ทำให้เจ้าของของมันร้องออกมาอย่างทรมาน กว่าที่บอสจะมาถึง นิ้วที่มีอยู่ก็ได้หายไปหมด แต่ไม่ใช่ทั้งข้อ บ้างนิ้วออกแค่สอง บางนิ้วออกแค่หนึ่ง ตามความพอใจของผู้เล่น

“หยิน!!...พอ” คำประกาศิตจากบอสใหญ่ทำให้ทุกอย่างหยุดลง แต่ก็ลืมตัวตวัดสายตาไม่พอใจมามองหน้าอยู่ดี ก่อนที่จะปรับให้เป็นปกติแล้วยืนขึ้น โครงคำนับพร้อมคำขอโทษ

สตรีเวนที่ยืนรอคำสั่งจากด้านหลังพอเห็นบอสส่งสัญญาณ ก็ได้มาดึงตัวหยิน หวังออกไป รู้เลยว่ามันเล่นหนักไปจริง ๆ ถึงไอ้คนร้ายมันอาจจะไม่ได้มีชีวิตต่อจากนี้แล้วก็เถอะ

แต่คำที่เอ่ยถามออกไปกลับทำให้หยิน หวัง ยิ้มแบบที่ว่าหากแสงตะวันมาเห็นคงไม่กล้าเข้าใกล้

“สนุกไหม”

“หึ เหมือนได้ปลดปล่อยเลยล่ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังส่ายหน้าก่อนจะกระชับมือที่พาดที่ไหลเข้า แล้วกระตุกเบา ๆ ให้เดินตามออกไปด้านนอก แล้วก็พอดีกับรถบิ๊กไบท์คันใหญ่คุ้นตาขับเข้ามาในบริเวณ

คิณ ดับเครื่องก่อนถอดหมวกแล้วก้าวขาลงจากรถเดินมาหา ทั้งสองก่อนที่จะขมวดคิ้วกับสภาพของ ไอ้แฝดพี่ที่มีเลือดเต็มตัวแต่หากใบหน้ายังยิ้มได้ แล้วคิ้วคายออกเมื่อรู้เหตุผล

“คงไม่ตายก่อนบอสมาถึงใช่ไหม? ”

“ตัวไม่ตาย แต่ใจไม่แน่” คำตอบจากสตรีเวน คือสิ่งที่ทำให้คิณดูโล่งใจเพราะหากมันตายก่อนที่บอสจะได้ถามอะไรมันไป คนที่จะแย่คือ อาหยิน หวัง

คิณถามจบก็จะเดินเข้าไปหาบอสด้านใน ก็ไม่ลืมบอกให้สตรีเวนพา หยินไปทำความสะอาด เพราะถ้า อิงของพวกเขาเห็นสภาพนี้จากเขาแล้วยังจะกล้าคุยด้วยอีกหรือเปล่า และก็บอกไปว่าบอสให้กับไปทานข้าวที่บ้าน เพราะอิงทำไว้ให้แล้ว แล้วทั้งสองก็ทำตาโตก่อนที่จะรีบขึ้นรถของตัวเองแล้วขับออกไปทันที เพราะคำว่าอาหารฝีมืออิง เป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ และหยินเองก็ไม่อยากให้อิงรู้ถึงตัวต้นด้านนี้ของตัวเองสักเท่าไหร่ มันไม่ดีเลยหากต้องเสียเพื่อนที่ดีไปเพราะเขารับสิ่งพวกนี้ไม่ได้ ถึงในอนาคตยังไงสักวันอิงก็ต้องรู้ แต่ตอนนี้ขอพวกเขาเห็นรอยยิ้มเด็กคนนั้นก่อนดีกว่า



พอรถของทั้งคู่หางออกไปไกล คิณก็เดินเข้าไปหาบอสด้านในที่กำลังยืนสูบบุหรี่ อยู่ตรงนั้น

“เป็นไง”

“ไม่มีใครตามมาครับ พวกสารวัตตรงกลับโรงพักทันทีตามที่บอก”

มันดูโล่งใจ และมันดูง่ายเกินไปกับการที่ทางตำรวจไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรจริงๆ เหรอกับสิ่งที่เขาทิ้งปบไว้ให้ การที่ไม่ให้ตามหาตัวคนทำ มันก็ดูแปลกแล้วไม่ใช่เหรอ หึ

“คิณ ช่วยที” อีธานที่พยายามถามคำถามเดิมๆ กับคนร้ายแล้ว มันก็ไม่ยอมบอก ขนาดว่าเจอหยิน หวังจัดการไปขนาดนี้ยังจะปากแข็ง หยางหวังที่ยืนมองดูอยู่หลบทางให้ คิณเดินเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อเริ่ม ถามคำถามเดิมอีกครั้ง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนไทยมันจึงเริ่มง่ายกับการกล่อมให้มันเชื่อ

“ใครส่งแกมา? ”

“มะไม่รู้...” คิณไม่ได้พูดอะไรต่อแต่เป็นการหยิบมีดพกสั้นออกมา เท่านั้นมันก็ทำท่าเหมือนกลัวอีกครั้ง

“กู..ไม่รู้จริงๆ กะ..กูรับงานผ่านมือถือ ไม่เห็นหน้าคนสั่ง ขะ...เขาแค่โอนเงินมาให้เท่านั้น”

“หยาง มือถือมันอยู่ไหน” เป็นคำถามจากคิณ ก่อนที่ หยาง หวังจะหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ อีธานทันที

พออีธานเช็คเบอร์ที่ติดต่อกลับไม่พบที่มาที่ไป

“มันเป็นเบอร์ที่ไม่ได้อยู่ในสาระบบไทยครับบอส” คำตอนั้นทำให้บุหรี่ที่สูบถูกปล่อยทิ้งไปก่อนจะขยี้มันด้วยรองเท้าหนังราคาแพง

“ส่วนเงินที่โอนเข้ามา...ไม่มีครับ”

“ยังไง”

“ไม่มีเงินในบัญชีที่ให้มา ไม่มี..”

“มะ..ไม่จริง กูเช็คแล้วถึงได้รับงาน เป็นไปไม่ได้” มันโวยวายทันทีที่รู้ว่า จำนวนเงินที่ได้เช็คแล้วว่าได้จริงๆ เมื่อตอนเช้า มันกลับหายไปในตอนนี้

“มึงควรรู้ไว้ข้อหนึ่ง การรับงานแบบมึง ถ้าไม่อยากโง่ อย่าแค่เช็คยอด จำไว้” คิณหันไปบอกกับไอ้คนโง่ทีโดนหลอกใช้งานก่อนโดนปล่อยลอยแพ คนเดียว

“หึ ถือว่ามีฝีมือ อีฟ...ไปสืบให้รู้ว่ามันเป็นใคร ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงไม่ใช่คนที่ฉันคิด”

“บอสคงไม่คิดว่า โจเซฟ จะรู้เรื่องที่เรามาที่นี่ใช่ไหมครับ”

“ความลับไม่มีในโลก และฉันก็ไม่ได้คิดปิดใคร แต่ถ้าหากเป็นมันจริงๆ ก็ดูดีพอที่ฉันจะลงไปเล่นด้วย จริงไหม!” คำตอบที่มาพร้อมคำถาม กับแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้รู้เลยว่า สิ่งที่หยิน หวังทำไปก่อนหน้านี้มันน้อยนิดมากถ้าเทียบกับอารมณ์ของบอสในตอนนี้

โจเซฟ สวีต คือมาเฟียที่เป็นคู่ปรับของบอสมาเนินนาน ตั้งแต่ที่มันได้รับตำแหน่งแทนพ่อของมัน มันก็เริ่มแผ่อำนาจของตนในทางที่ผิด คิดจะล้มบอสอยู่หลายครั้ง ถึงจะล้มเหลวทุกครั้งก็ยังพยายาม ไหนจะมาสร้างกาสิโน ในพื้นที่ดูแลของบอส จับธุรกิจทุกอย่างที่บอสทำ ถึงจะเสียเงินเปล่าๆ ไปไม่รู้กี่ครั้งก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ มันถึงได้กลายเป็นศัตรูที่บอสชอบมากที่สุด เพราะมันดูโง่ที่สุดที่มันยังอยู่จุดนี้ได้เพราะมันมีมือขวาที่ดีและเก่งเท่านั้น ถ้าเทียบกับฟีนิกซ์ กายอาร์ โลวเลน์ส ถือว่าสูสี

“ต่อจากนี้ ส่งคนไปเฝ้าระวังที่บ้านแสงตะวันด้วย” คำบอกกล่าวทำให้ทั้งสามหันมาจ้องที่บอสเป็นตาเดียว

“เขาอยู่ใกล้ฉันที่สุดในเวลานี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเธอ...” ไม่มีคำพูดอื่นออกมาจากปากของบอสอีก ทุกคนก็พอจะรู้ว่า บอสเอ็นดู อิงมากแค่ไหน ถึงจะทะเลาะกันบ่อยก็เหอะ

“แล้วตัวอิงละครับ”

“พวกนายอยู่ใกล้เธออยู่แล้วนี่ หรือหากดูแลไม่ได้ ก็กลับดูไบไปซะ”

ถึงจะอยากกลับบ้านมากแค่ไหน แต่หากกลับไปตอนที่บอสอยู่ที่นี่มีหวังโดนฟีนิกซ์ยำเละอีกเป็นแน่ ทุกคนที่ได้ยินจึงตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายอิงได้ แม้แต่ปลายเส้นผม

“ส่วนมัน...จัดการให้เรียบร้อย” พูดจบก็หันหลังกลับออกไปทันที พร้อมกับทั้งสามคน อีธานเดินไปสั่งงานลูกน้องเสร็จก็เดินมาเปิดประตูให้บอส ก่อนจะหันมาถามคิณว่า ไอ้สองตัวนั้นไปไหน พอบอกว่าไปเตรียมตัวทานข้าว ก็ทำหน้างง คิณเห็นแบบนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ตบหลังอีธานเล็กน้อย ก่อนบอกว่าเดี๋ยวถึงบ้านก็รู้ และหันไปกระซิบอาหยางว่า วันนี้อิงเข้าครัว เท่านั้นแหละน่าที่ขับรถพาบอสกลับบ้านก็ได้กลายเป็นของหยาง หวังทันทีแทนที่จะเป็น ลูกน้องคนเดิม อีธานเข้ามานั้งข้างๆ ก่อนถามว่าดีใจอะไร และคำตอบที่ได้ก็คือ

“ถึงบ้านเดี๋ยวลุงก็รู้เอง” มันอะไรกันนักหนาแค่ตอบมา ไอ้พวกนี้





“ที่นี่เป็นไงบ้าง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ไม่มีสิ่งผิดปกติ” อีธานรับคำ ก่อนแลซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เห็น สตรีเวนและหยิน หวังที่กลับมาก่อน

“แล้วสองคนนั้นไปไหน”

“อยู่ในความกับคุณอิงครับ”

“ครัว!!” ไม่รอให้ความสงสัยอยู่นาน อีธานก็ได้เดินตามบอส และทุกคนเข้าบ้านทันทีก่อนจะได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากในครัว พร้อมเสียงโวยวายของ แสงตะวัน



“สตีฟ!! นั้นมันของคุณเมฆนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกแค่คำเดียวเอง บอสไม่เห็นหรอกนะ”

“หยิน!! อย่า”

“ฮ่าเผ็ด So hot oh!! Ha!!”

“ไปเลยนะ ทั้งคู่เลย ออกไปรอข้างนอกเลยนะ” เสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่เดินเข้ามาใกล้



“เกิดอะไรขึ้น?”

“Boss!!” “คุณเมฆ” ช้อนที่อยู่ในมือผู้ต้องหา หล่นทันทีที่เห็นเจ้าของอาหารที่ตนแอบกินไปเมื่อกี้ ตาย ๆ ไอ้สตีฟชะตาขาดอีกแล้ว

“คะ...คุณกลับมาแล้วเหรอ เนี่ยกับข้าวเสร็จพอดีเลย ไปๆ ทุกคน เดี๋ยวอิงตั้งโต๊ะให้ นะ นะนะ”

แสงตะวันรีบตัดบท และแรงกดดันนี้ทันทีที่ดูแล้วว่าคงไม่ดีแน่ ถ้าเกิดคุณเมฆรู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรกับอาหารจานโปรด

“สตรีเวน โจว ทานข้าวเสร็จแล้วไปพบฉันที่ริมสระด้านนอกด้วย” เสียงที่ดูเหมือนปกติ แต่คนที่ฟังย่อมรู้ดีว่าไม่ปกติเลย แถมชื่อที่มาเต็มนั่นอีก เรื่องนี้ทำไมรู้สึกว่าให้เขารับบทโดนกระทำตลอดเลย

“ครับ”



“ทำไมคุณให้คนอื่นไปทานข้างนอก”

“ทำไม!”

“อะไร ทำไม คืออะไร ปกติก็นั่งด้วยกันได้ งั้นผมไปนั่งกับพวกเขาดีกว่า” ไม่ว่าเปล่ายังเตรียมท่าจะถือจานข้าวออกไปด้านนอกอีกด้วย คนที่ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรถึงกับคิ้วขมวดพร้อมยื่นมือออกไปรั้งแขนของแสงตะวันไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ออกไปด้านนอกจริง ๆ

“นั่งกับฉันสองคนมันทำให้เธออึดอัดหรือไง”

“ใช่! ก็คุณเล่นปล่อยรังสีกดดันออกมาแบบนี้ ใครเขาจะอยากนั่งด้วย” พูดพร้อมทำหน้ามู่ทู้ไม่พอใจ แต่แทนที่จะหน้ากลัว คาล์ลกลับมองเพลินเฉยเลย

“ฉันไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งให้พวกนั้นออกไป แต่มันออกไปกันเอง แล้วเธอก็ยังจะมาทิ้งฉันให้ทานคนเดียว เพื่อออกไปทานกับพวกนั้นอีกเหรอ”



คำแก้ต่างมันดูฟังไม่ค่อยขึ้นเลย แต่ก็นั้นแหละเถียงไปก็ป่วยการ วันนี้ไม่รู้ว่าไปเจออะไรกันมาบ้างถึงพากันทำสีหน้าเหนื่อยจนเห็นได้ชัดขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ปกติแทบจำสังเกตไม่ได้เลย

“ก็ได้ เห็นว่าคุณไม่มีเพื่อนทานหรอกนะ แล้ววันนี้ไปไหนมาทำไมไม่ให้ผมไปด้วย”

“...งานด่วน”

“ด่วนขนาดรอกันไม่ได้เลยเหรอ?” คำพูดเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจนักหนา ออกมาจากปากเล็กนั้นมันช่าง....

“ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำงานหรอก เพราะพรุ่งนี้เธอได้ทำงานหนักแน่”

อิงไม่ตอบกลับเอาแต่ตักข้าวเข้าปาก พอเห็นว่าอิงไม่ถามต่อแล้วก็ลงมือทานข้าวตามเดิม พร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับอาหารในครั้งนี้ เพราะมีแต่ของที่ตัวเองชอบทั้งนั้นแถมยังมีของโปรดสุดมาด้วย

“เธอทำอันนี้ได้ยังไง”

“อะไร? อ่อช่อม่วงเหรอ พี่คิณซื้อแป้งมาไว้ให้น่ะ ผมเห็นว่าสามารถทำได้เลยทำ แต่ไส้มันอาจจะไม่เหมือนเดิมนะ เพราะผมทำเป็นผักรวมหมูสับแทนไส้หวาน แล้วก็มันไม่มีที่จัดดอกผมเลยใช้นิ้วจีบแทนอาจไม่สวยเหมือนที่เคยทานแต่ความอร่อย ไม่แพ้แน่นอน”

“สวย! อร่อย! และทานได้”

“อื้ม อร่อยก็ทานเยอะ ๆ ”

“แต่ที่เธอให้สตีฟทานก่อนฉัน ฉันไม่ลืมหรอกนะ”





TBC.

[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 19-12-2021 14:10:03
ตอนที่10 SOS



(วันงานเปิดตัวโรงแรมใหม่ในเครือ The Cloud Group)

[อิง]

ตอนนี้ในงานดูวุ่นวายมาก ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องแต่เพราะคนในงานเยอะจนตาหลายไปหมด ผมที่ต้องเดินตามคุณเมฆไปทักทายคนใหญ่คนโต อยู่หลายท่านตอนนี้ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว รู้สึกเลยว่าพลังงานหมดไปมากกว่ายืนช่วยแม่ขายข้าวแกงอีก เพราะมันไม่ใช่การเดินไปคุยกับทุกคนด้วยภาษาเพียงภาษาเดียว แต่มันมาแทบจะทุกภาษาที่ผมรู้จักและไม่รู้จักเลยได้แต่ยิ้มรับคำชมที่มอบให้ผมที่เป็นเลขาประจำตัวของคุณเมฆเกี่ยวกับการประสานงานบางตัวที่ผมเป็นคนรับผิดชอบ

“คุณเมฆดีนะครับที่มีเลขาที่สามารถพูดได้หลายภาษาแบบนี้ นี่ถ้าคุณเมฆไม่ต้องการแล้วบอกผมนะครับ” ประโยคแรกพูดกับคุณเมฆก่อนจะหันมาพูดยอกผมเป็นเชิงชวนไปร่วมงานด้วย โดยที่เขาคงไม่ได้สังเกตคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผมเลยว่า นิ่งขึ้นกว่าเดิมมากแค่ไหน

“คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ”

รอยยิ้มที่ผมชอบเห็นเขามอบให้สตีฟอยู่บ่อยถูกนำมาใช้ในตอนนี้แล้วรู้สึกใจคอไม่ดีเลยจะมีปัญหาไหมนะ หรือคนอื่นอาจจะไม่ได้สังเกตเหมือนผมถึงคุยกันต่อได้แบบนั้น

ผมและคุณเมฆอยู่คุยอยู่ตรงนี้อีกนิดหน่อยก็ต้องขอตัวเดินไปดูจุดอื่นในงาน ก่อนที่อีธานจะเดินกลับมาทางเราพร้อมกับแขกที่ผมได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเขามานิดหน่อย คุณวิเชียร จากวิเชียรฟาร์ม เจ้าของฟาร์มแกะพันธุ์เนื้อชั้นดี ที่มีโรงแรมหรือแม้แต่ภัตตาคารหรูหลายแห่งอยากได้ ของจากฟาร์มเขาไปทำอาหารในแบรนด์ตัวเองกันทั้งนั้น แต่คุณวิเชียรเขามีแนวความคิดเลือกลูกค้าเอง เลยมีหลายเจ้าไม่พอใจ แต่ไม่ใช่สำหรับบอส เพราะบอสอยากได้ แต่บอสบอกไม่ต้องทำอะไร คนที่เขามีอีโก้ในสินค้าตัวเองแบบนี้เขาจะเลือกลูกค้าของเขาเอง เราพูดไปถ้าเขาจะไม่ขายมันก็เสียเวลาเปล่า

“บอสครับนี่คุณวิเชียร เจ้าของวิเชียรฟาร์ม”

“สวัสดีครับ เป็นเกียติมากที่คุณวิเชียรมาร่วมงานด้วย” คำทักทายพร้อมการจับมือกันแบบสากล เป็นการผูกมิตรชนิดหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่บทสนทนา

“ครับ อันที่จริงผมแค่แวะมาแสดงความยินดี แล้วก็อยากมาพบคุณด้วย อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะครับ ที่อยากพบเพราะผมได้ยินชื่อของคุณเข้าหูมาก็หลายงาน แต่ไม่ยักจะเห็นคุณในงานไหนเลย หรือคุณไม่เคยออกงานที่ไหนมาก่อน”

“ผมเป็นคนชอบทำงานมากกว่าเดินพบปะใครๆ น่ะครับเลยไม่ค่อยได้ออกงานที่ไหนเป็นพิเศษ แต่ถ้างานไหนที่เป็นงานน่าสนใจ ผมก็ไม่เคยพลาดนะครับ”

“เช่นงานประมูลที่ดินเขตอีสานหรือเปล่าครับ?” ไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นมันน่าหัวเราะตรงไหนคุณเมฆถึง ได้ทำเหมือนชอบใจนัก

“ผมแค่ไปร่วมงานครับ” แล้วเขาทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องที่คุณเมฆยอมเทค โรงแรมนี้ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเดิมทำเจ้งไม่เป็นท่าแถมยังปล่อยให้พื้นที่ตรงนี้ ดูแย่มากในช่วงหนึ่งก่อนที่มันจะดูดีได้ขนาดนี้เพราะบอสของผม

ก่อนที่คุณวิเชียรจะไปเขาก็ให้ลูกน้องสองคนไปนำของบางอย่างมาให้

“นี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อยจากผม” คุณเมฆเลิกคิ้วเป็นคำถามว่าของที่อยู่ในกล่องโฟร์มนี้คืออะไร แต่คงไม่ใช่ของอันตรายเพราะมันสามารถเข้ามาในงานได้โดยมอีธานนำทางมาแบบนี้

“มันคือเนื้อลูกแกะที่ฟาร์มของผมเองครับผมเอามาให้ลอง แล้วถ้าหากถูกใจ จบงานแล้วติดต่อผมได้โดยตรงทุกเวลา” นามบัตรสีดำเส้นสีทองถูกยื่นมาตรงหน้าของคุณเมฆ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหยิบนามบัตรมาดูก่อนหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพงที่ผมเป็นคนเลือกให้

ยังไม่ทันเอ่ยขอบคุณหรือกล่าวอะไรเพิ่มก็มีคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดเดินเข้ามาขัดจังหวะแต่คงไม่ใช่กับเจ้านายของผม ที่ทำท่าเหมือนรอเขาอยู่เลย

“ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับคุณวิเชียร” แทนที่จะทักเจ้าของงานกลับไปทักแขกในงานแบบนี้มันจงใจชัด ๆ

“...ครับ ยังไงอย่าลืมติดต่อมานะครับ” คำแรกตอบแขกอีกคน แล้วก็หันมาย้ำกับบอสก่อนขอตัวออกไป

บอสผมก็เหมือนรอเวลานี้อยู่ก็หยิบนามบัตรที่เพิ่งได้ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนจะแกว่งมันไปมาด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมคำพูดที่เหมือนตีแสกหน้าใครบางคน

“แน่นอนครับเพราะไม่ใช่ใครที่ไหนจะได้เบอร์ติดต่อส่วนตัวคุณวิเชียรแบบนี้ง่ายๆ ผมไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือไปแน่ครับ ขอให้เอ็นจอยกับงานนะครับ หรือหากว่าสนใจห้องไหนแจ้งกับคนของผมได้ทุกเมื่อ” จบคำของบอส คุณวิเชียรก็โครงหัวให้ทีแล้วเดินจากไป เหลือเพียงแขกที่เพิ่งเดินเข้ามา แต่ถูกเมินจากสายตาเหมือนตอนที่เขาได้ทำจนอีกคนต้องรีบปรับอารมณ์ไอเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายิ้มให้คุณเมฆอีกครั้ง แบบแสร้งทำจนจับได้ (รู้จักคนมาคนเมฆเนียนสุดแล้วเรื่องทำหน้าให้นิ่ง)

“ขอแสดงความยินดีกับโรงแรมที่...ได้เปิดใหม่อีกครั้งหลังจากที่เจ้าของเดิมทำพังไม่เป็นท่านะครับ”

“ครับ ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่...คุณเสกสรรยอมมาร่วมงาน”

“หึ...แล้วทำไมผมต้องไม่กล้าล่ะครับ การได้มาดูงานของคนที่ทำงานด้านเดียวกันผมถือว่าเป็นประสบการณ์ครับ เผื่อจะมีจุดไหนที่ผมสนใจหรืออาจไม่ถูกใจจะได้แนะนำคุณได้ ยังไงคุณก็เพิ่งเข้ามาในวงการณ์แบบนี้ คงยังทำอะไรได้ไม่มากจริงไหมครับ”

“นั่นสินะครับ ผมเพิ่ง...จะจับธุรกิจนี้ที่ไทยเป็นครั้งแรก คงต้องขอคำปรึกษาจากผู้ที่เชี่ยว...ชาญมากกว่า” คำที่โต้ตอบกันยังไงผมก็คิดว่าทางบอสผมได้เปรียบกว่ามากเพราะมันจริงอย่างที่เขาพูด เขาเพิ่งเคยทำงานที่ไทยแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เพราะหลังจากคราวก่อนที่ผมรู้ว่าเขายังมีบ้านจัดสรรในเครือแล้ว ยังได้รู้อีกว่า ในหลาย ๆ ประเทศก็ยังมีธุรกิจของบอสอยู่อีกมากมายซึ่งผมก็ไม่แน่ใจ ว่าเป็นงานแบบไหนบ้าง

“แล้วเป็นไงบ้างครับ โรงแรงของผมมีตรงไหนที่ต้องปรับปรุงอีกหรือเปล่า คุณเสกสรรคิดว่ายังไงครับ”

คำถามตีกลับทันทีที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งไป ใบหน้าที่เหมือนพยายามเชิดขึ้นนั้นยิ่งรู้สึกว่าเขาคงไปต่ออีกไม่ไหว แต่ผมคงคิดผิดที่ดูถูกความผยองพองขนของคนคนนี้

“ก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุด ไม่ทราบว่าใช้ทีมออกแบบของที่ไหนเหรอครับ”

“หึ เป็นทีมออกแบบหน้าใหม่น่ะครับ นั้นไงมาพอดี” พูดจบคุณเสกสรรก็หันกลับไปมองด้านหลังตัวเองตามสายตาของคุณเมฆทันที ก่อนจะพบกับทีมของคุณวิศรุจ ที่กำลังเดินเข้ามาหาเรา คุณเสกสรรเบิกตาโพรงเหมือนตกใจ! แปลกใจ! หรืออะไรก็ไม่แน่ใจ

“ผมขอแนะนำนี่คุณ วิศรุจ รองประธาน VK ทีเรีย และลูกทีม”

“รอง...ประธานเหรอครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกคุณวิสุทธิ์ ไม่งั้นคง...”

“ไม่งั้นคงรับงานผมแล้วใช่ไหมครับ จริง ๆ ผมก็ไม่เคยบอกใครนะครับว่าผมเป็นลูกของคุณพ่อเพื่อหาลูกค้าให้ตัวเอง ที่ผมได้ทำงานกับคุณเมฆเพราะเขาเลือกผมที่ผลงานไม่ใช่ที่ว่าผมเป็นลูกใคร แต่ผมไม่ได้ว่าคุณหรอกนะครับ เพราะผมมันก็แค่เด็กจบใหม่ ไร้ประสบการณ์ คงทำงานแบบที่คุณต้องการไม่ได้” เรื่องคุณวิเชียรว่าเจ็บแล้วนะ ผมว่าตอนนี้หน้าเขาคงชาไปแล้วแน่ ๆ ผิดกับบอสผม ที่ยิ้มมุมปากอยู่นั่น อะไรจะชอบขนาดนั้น

“อึฮือ ผมว่า ผมไปเดินดูด้านนู้นก่อนดีกว่าครับ” ว่าจบก็สาวเท้าไปทันทีโดยไม่หันมามองด้านหลังอีกเลย และทางที่เขาเดินไปมันคือทางออกไม่ใช่ส่วนที่เรากำลังจัดงานกันอยู่

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเคยไปเสนองานกับเขามาก่อน”

“มันนานมาแล้วครับ ผมก็แทบลืมไปแล้ว ถ้าไม่เจอเขาผมคงจำไม่ได้ แต่ก็ดีนะครับ เหมือนได้เอาผลงานตัวเองฟาดหน้ากลับยังไงก็ไม่รู้” หัวเราะหน่อย ๆ



ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่นาน คุณรุจเองก็ได้คำชมจากบอสไปเยอะมาก กับงานที่ออกมาดีขนาดนี้ แถมโมเดลที่ทำเป็นสิ่งจำลอง ยังสามารถมองเห็นด้านในได้เหมือนเข้าไปอยู่ในห้องนั้นๆ จริงๆ เสียด้วยเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย

คนในงานก็เริ่มเยอะมากขึ้น ทั้งคนใหญ่คนโต นายตำรวจยศสูงที่มาคอยให้ความสะดวกภายในงาน ทั้งCeleb ดารา นักข่าวหลายสำนัก เพราะการเปิดโรงแรมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดให้คนมาจับจองหรือร่วมประมูลราคาห้อง แต่เป็นการเปิดตัวเจ้าของ The Cloud Group อย่างเป็นทางการหลังจากที่นักข่าวพยายามตามถ่ายภาพหรือแม้แต่ค้นประวัติก็ไม่สามารถทำได้ แถมวันนี้ยังมีการเปิดตัวผู้ร่วมหุ้นรายใหม่ ที่มาจากต่างประเทศที่ถือหุ้นอยู่ถึง20% ถือว่ามากพอสมควร แล้วก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร

แต่สตีฟแอบกระซิบมาว่าเป็นคนสำคัญมาก ๆ เขาเองยังเคารพมากๆ เช่นกันผมเองก็รู้จัก ผมรู้จัก!!...เหรอ!



เวลา เก้าโมงตรงคือช่วงเวลาเปิดงานอย่างเป็นทางการ คุณเมฆขึ้นไปกล่าวขอบคุณแขกและสื่อทุกสำนักพิมพ์ที่มาก่อนจะประกาศเปิดตัวผู้ถือหุ้นรายใหม่ ที่ทำเอาผมตาโตเท่าไข่หาญ ก่อนมองไปเจอสตีฟที่ยืดอกเชิดหน้ายักคิ้วใส่ผมระยะไกล เพราะคนที่ถือหุ้น20%ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ฟีนิกซ์ ฌอซ์ คนที่ผมรู้จักแล้วจริง ๆ แถมยังได้รู้ว่าเขาเป็นคนรักของสตีฟผมยิ่งสงสัย เขาไม่ใช่ว่าเป็นบอดี้การ์ดอีกคนของคุณเมฆหรอกเหรอแล้วทำไม!! เก็บคำถามไว้ในใจก่อนจะปรบมือในตอนที่คุณเมฆเดินลงมาจากบนเวที แล้วส่งหมอบงานต่อไปให้พิธีกร ได้เป็นคนนำเสนอต่อ นั่นคือการประมูลห้องพัก ราคาพิเศษ ในคืนนี้ และสิทธิการเข้าพักฟรี กับเกมที่จัดขึ้นไม่ห่วงขาดทุนของเขา ซึ่งผมทักท้วงอะไรได้ที่ไหน

“ทำหน้าอะไรของเธอ”

“ตอนนี้ทำงานอยู่ครับ”

“เธอนี่มัน”

“แต่ขอนิดหนึ่งก็ได้....ฟีนิกซ์...”

“หน้าม้าน่ะ” ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกไหม แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า หรือผมคิดไปเอง

“ของคุณ...เหรอครับ”

“...หิวหรือยังเดินตามฉันตลอดคงหิว อีธานพาอิงไปหาอะไรทานก่อน” เขาไม่ตอบคำถามของผมแต่กลับ เปลี่ยนเรื่องหนีมันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าใช่เขา แล้วเขาจะให้นิกซ์ทำแบบนั้นทำไม รับเป็นของตัวเองก็จบ ผมยืนจ้องซีกหน้าด้านขวาของเขาอยู่นาน ก่อนที่อีฟจะมาสะกิดให้ผมเดินตาม และพอผมจะเดินตามอีฟไป คุณเมฆก็รั้งแขนผมไว้ก่อนกระซิบเหมือนอยากให้ได้ยินเพียงเรา

“ถึงห้อง...นั้นคือเลิกงานแล้วฉันจะบอก ไปได้แล้ว” ใจมันก็อยากไปอยู่หรอกแต่ขามันไม่ยอมขยับตั้งแต่ที่ปลายจมูกแหลมคมสะกิดโดนแก้มผมแล้ว แล้วไหนจะตอนสุดท้ายที่เหมือนริมฝีปากของเขาเฉียดต้นคออีก

บอกเลยขนอ่อน ขนแข็งในกายนี้ลุกชันหมดแล้วจ้า

อีตาบ้า เลิกงานก่อนนะ เดี๋ยวเถอะนะ

บ่นได้ก็แต่อยู่ในใจเพราะการที่ว่าหรือด่าออกไปมันก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายที่ชื่อเมฆา สุวรรณเมธีร์ สะทกสะท้านอะไรกับเขาหรอก เพราะความหน้ามึนปนหน้าด้านมันมากกว่า ผู้หญิงบางคนเสียอีก ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้สึกไหม

พอพูดอะไรไม่ได้ก็ได้แต่เดินตามอีธาน ที่วันนี้เหมือนจะสวมความเป็นบอดี้การ์ดขึ้นมามากกว่าทุกที รุกที่เห็นประจำคือเขาจะมีความเล่นบ้างถึงจะไม่เท่าสตีเวนหรือสองแฝด แต่โดยรวมแล้วก็ดูสบาย ๆ คุยด้วยได้ ไม่เหมือนตอนนี้ถึงจะมีแอบหลุดบ้างเวลามาคุยกับผมแต่โดยรวมคือเท่สุดๆ



สีหน้าที่ดูแปลกไปกับท่าทางที่ยิ่งนิ่งขึ้นคือสิ่งที่ผมมองเห็นอยู่ตอนนี้ พอเราเดินมาถึงหน้ารอบบี้ก็เจอกับอาหารมากมายที่ถูกเตรียมไว้ให้ อีธานบอกเป็นคำสั่งบอสเพราะไม่รู้ว่างานจะจบลงเมื่อไหร่กลัวว่าผมจะไม่ได้ทานอะไรเลยจัดเตรียมไว้ให้แล้วเผื่อคนที่เหลือด้วย แต่ในระหว่างผมทานอาหาร อีธานที่นั่งทานกับผมก็มีเสียงแจ้งเตือนเข้าที่มือถือก่อนใบหน้าที่พยายามไม่เปลี่ยนไปแต่คิ้วที่เริ่มย่นเข้าหากันนั้นที่ทำให้ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน

“อีฟ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีไรหรอกทานต่อเถอะ”

“...ถ้ามีอะไรสำคัญ คุณไปก่อนก็ได้นะครับผมนั่งทนคนเดีย...”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ อิง เชื่อฉัน” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่สีหน้าเขาก็ยังไม่กลับมาปกติดีอยู่ดี ถึงคนอื่นจะมองไม่ออกแต่ไม่ใช่กับผม ถ้าจะให้ถามเอาคำตอบก็คงไม่ได้อีก เพราะลูกน้องของใครก็ชอบทำตัวเหมือนคนนั้น บางทีผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมยังรู้จักทุกคนไม่ดีพอ ถึงจะสนิทในระดับหนึ่งก็ตาม



ผมที่ทานเสร็จแล้วเตรียมที่จะเข้าไปในงานตามเดิมก็ต้องหยุดความคิดเมื่อเห็นคุณเมฆเดินออกมาด้านนอกตรงมาทางผม แถมยังเห็นทั้งพี่คิณและสองแฝดอีกด้วยทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่เห็น แต่ที่หายไปคือสตีเวน

เกิดอะไรขึ้น!!

“อย่าเพิ่งถามฟังฉันให้ดี กลับไปรอที่บ้านกับคิณและแฝดก่อน ฉันมีธุระต้องทำ...อย่าเพิ่งถามอะไรไปได้แล้ว” เข้าบอกผมตอนที่กำลังจะถามว่าธุระอะไรทำไมดูรีบร้อน ก่อนที่เขาจะหันไปสั่งทั้งสามให้พาผมออกจากงานแบบงง ๆ

ทำไมไม่คิดจะให้ผมรู้อะไรเลย!! หรือเพราะผมเป็นแค่ลูกจ้างเหรอ!

ในเมื่อเขาไม่อยากให้ผมรู้ผมก็จะไม่ถามให้มากความ ยอมเดินตามทั้งสามไปขึ้นรถ ก็ยังดูแปลกอยู่ดีที่ทั้งสามล้อมผมไว้ตรงกลางจนถึงตัวรถ เป็นหยินเข้าไปนั่งก่อน ก่อนที่ผมจะโดนหยางดันให้เข้าไปแล้วตัวเองก็เข้ามาคนสุดท้าย พี่คิณนั่งหน้ากับคนขับรถ ที่ขับมารอก่อนหน้านั้นแล้ว

บรรยากาศในรถมันอึดอัดมาก บอกตรง ๆ ผมไม่คุ้นชินกับทุกคนในบุคลิกนี้เลย

“นี่...เกิดอะไรขึ้นบอกผมได้ไหม” ด้วยความที่นั่งมานาน ไม่มีแม้แต่การคุยกันเกิดขึ้นมันยิ่งทำให้ผมหายใจไม่ออก จนต้องถามคำถามที่ค้างคาออกไป

คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากอีธานเมื่อกี้เลย แต่สองแฝดยังมีรอยยิ้มให้ผมก่อนเบือนหน้าออกไปมองด้านข้างและด้านหลัง

“ไม่อะไรหรอกอิง บอสแค่ต้องไปทำธุระให้เสร็จน่ะ”

“...”

“เฮ้...ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น เชื่อพวกเราสิ ถ้าบอสมาแล้วอยากรู้อะไรค่อยถามบอส ตกลงไหม”

“...ก็ได้ ๆ แต่ให้ผมถามคุณเมฆเนี่ยนะ!” แล้วทุกคนก็ขำกับใบหน้าของผมที่ทำแบบเบื่อหน่ายที่สุด ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าไม่ได้หรอกคำตอบที่ผมอยากได้จากคนคนนั้น

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้



“บอส...ครับบอดี้การ์ดท่านอุซรายงานมาว่าที่คฤหาสน์เกิดเรื่องครับ” คาล์ลมองเห็นสายตาของนิกซ์ตอนที่เดินเข้ามาหา แสงตะวัน ว่ามันต้องมีอะไร ก่อนตัดสินใจให้อีธานพาอีกคนไปทานข้าวแทนที่จะเป็นตัวเอง พอให้หลังฟีนิกซ์ก็เดินเข้ามารายงานเรื่องที่เพิ่งทราบจากทางไกลทันที

“ท่านอาเป็นยังไงบ้าง” เป็นคำถามแรกที่รู้เรื่อง เขาไม่เคยห่วงสิ่งของ หรือแม้แต่คฤหาสน์ที่สร้างด้วยเงินหลายพันล้าน แต่ที่เป็นห่วงที่สุดคือญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

“ท่านอุซปลอดภัยดีครับแต่คฤหาสน์ฝั่งซ้ายถูกไฟเผาทั้งแทบ”

“แปลว่าคนที่ลงมือมันรู้ว่านายไม่อยู่”

“ขอโทษครับบอส ผมคงระวังตัวน้อยไป” ฟีนิกซ์รีบกล่าวขอโทษทันทีที่การมาเมืองไทยในครั้งนี้ทำให้มีคนรู้ว่าเขาไม่ได้ เฝ้าประจำการที่นั้นพวกมันถึงได้กล้าลงมือแบบนี้

“ไม่ใช่ความผิดนาย มันรู้ความเคลื่อนไหวเราแบบนี้แปลว่ามันต้องมีหนอนในบ้านฉัน”

“อาจจะเป็นแบบนั้นครับ เพราะซีเวียร์ไม่พบจุดที่สามารถลักลอบเข้ามาได้ แถมฝั่งนั้นก็เป็นเขตหวงห้ามอยู่แล้ว” ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่เพราะเขาไม่อยู่ ก็ไม่มีใครกล้าลื่อค้นจุดเกิดเหตุได้ทันทีเพราะกลัวหลักฐานสำคัญจะหายไป

แต่ยืนคุยกันได้แป๊บเดียวสายจากทางไกลก็โทรเข้ามาหาฟีนิกซ์อีกครั้ง มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วก็ต้องรีบกดรับทันที เพราะมันคือเบอร์ของซีเวียร์ที่เขาให้อยู่เฝ้าท่านอาของบอสให้ก่อนตอนที่ตนต้องมาเมืองไทย

“รายงาน” คำที่บอกออกไปคือคำที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเมื่อได้ยินแบบนั้นทางฝั่งนั้นก็รีบรายงานทันที ก่อนที่ฟีนิกซ์ จะทำหน้าเครียดเมียงมองนายที่รอรายงานจากเขา เขารีบตัดสายทันทีพยายามหาคำพูดที่ไม่ทำให้บอสคลั่งในเวลานี้ขึ้นมาได้

“นิกซ์!!” เสียงกดต่ำที่ไม่ได้นำมาใช้กับเขาบ่อย ๆ ได้ถูกนำมาใช้ตอนที่เขาไม่แน่ใจ กับการรายงานในครั้งนี้ว่าจะมีใครต้องสังเวยให้กับมันบ้าง

“ท่านอุซ....ถูกวางยาในอาหาร แล้วก็...มีกุ้งเป็นส่วนผสมในครั้งนี้ด้วยครับ”

“เตรียมฮอร์ให้พร้อม ภายในครึ่งชั่วโมงฉันจะต้องได้กลับบ้าน สั่งลูกน้องของนายทุกคนจับคนที่เขาไปวุ่นวายในครัวไม่ใช่แค่วันนี้แต่ทุกวันก่อนหน้านี้ให้หมด หรือแม้แต่คนขัดปืนก็รวบตัวมันไปรอฉันที่โพเดี่ยม” สั่งการพร้อมกับสาวเท้าเดินออกจากงานแบบไม่สนใครว่าจะทักหรืออยากคุยมากแค่ไหน คิณและสองแฝดเห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้ามายืนประกบบอสอย่างรู้งาน ส่วนสตีเวนถูกนิกซ์สั่งให้ไปเตรียมเฮริคอบเตอร์ด่วนโดนไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หากบอสใช้เฮรริคอบเตอร์แบบนี้ มีแค่ที่เดียวที่บอสจะไป นั่นคือดูไบเท่านั้น เอกสารข้ามประเทศพวกเขาเตรียมพร้อมเสมอถึงจะไม่มีใครมาตรวจสอบก็เถอะ

“อย่าเพิ่งถามฟังฉันให้ดี กลับไปรอที่บ้านกับคิณและแฝดก่อน ฉันมีธุระต้องทำ...อย่าเพิ่งถามอะไรไปได้แล้ว”

นั่นคือคำสั่งของเขาที่บอกให้ใครอีกคนไปรอที่บ้าน ถึงที่นี่จะสามารถจอดเครื่องบินได้ถึงสองลำแต่ก็ไม่ใช่กับตอนนี้ที่มีแขกเต็มงานแบบนี้ เขาต้องเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จก่อนที่จะรีบขับรถไปที่บ้านพักเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางแน่นอนว่า แสงตะวันต้องไปด้วย เอกสารทั้งหมดถูกเขาทำให้เรียบร้อยนานแล้วจึงไม่เป็นปัญหาอะไร

คาล์ลเดินตรงเข้าไปหานายตำรวจที่ได้รู้จักกันในวันที่เกิดเรื่อง แจ้งความประสงในครั้งนี้ว่าขอฝากงานของเขาได้ไหมพอดีมีเหตุให้เขาต้องรีบกับบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าบ้านที่จะกลับนั่นคือที่ไหน นายตำรวจก็ถามเป็นเชิงว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เขาก็บอกปัดว่าไม่มีอะไรมากแต่แค่มันสำคัญ จากนั้นก็รีบเดินตรงไปขึ้นรถที่อีธานขับมารอทันที่ ฟีนิกซ์รีบเปิดประตูให้นายอย่างรู้งานก่อนที่ตัวเองจะมานั่งข้างอีธานด้านหน้า

“บอกพวกเขาให้เตรียมพร้อมหรือยัง”

“ครับ ทุกคนเตรียมพร้อมเดินทางยกเว้น...”

“ฉันจัดการเอง” คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อยู่ๆ จะต้องมารู้ว่าตัวเองต้องออกเดินทางแถมยังไม่รู้อีกว่าจะต้องไปที่ไหน ถึงเรื่องในครั้งนี้แสงตะวันไม่จำเป็นต้องไปด้วยเลยก็ตาม แต่เขาก็ห่วงความปลอดภัยของเจ้าหนูอยู่ดี





"คุณเมฆ..จะพาอิงไปไหน"

"..."

"ถ้าไม่บอกแล้วอิงจะรู้ไหม"

"เงียบ"

"เฮ้ยนั้นมันเฮลิคอบเตอร์นิ"

"..."

"เฮ้..ตอบผมก่อนสิ"

"shut up and up"

"ทำไมต้องเสียงดังใส่ผมด้วย"

เมฆไม่ได้ตอบคำถามเลขาหนุ่ม แต่เป็นหันกลับไปอุ้มเจ้าหนูจำไมขึ้นเครื่องแทน อะไรคำถามมันจะเยอะขนาดนั้น หากใช้เครื่องบินรวมคงตกเครื่องแบบไม่ต้องคิด บางทีเค้าว่าให้เด็กนี่อยู่ต่อหน้าผู้บริหารคนอื่นยังจะดีเสียกว่า ต่างกันลิบลับ ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้าเพราะมัวแต่ต้องลากเด็กแสบแบบแสงตะวันไปด้วย



“นั่งอยู่เฉย ๆ ถึงแล้วก็รู้เอง” พูดพร้อมกับทำการล็อคเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนสวมหูฟังเข้าไป และก็ทำให้ตัวเองด้วย เครื่องที่เขาขึ้นมา เขา อิง อีธาน และฟีนิกซ์ที่เป็นคนขับเครื่องในครั้งนี้ อีกลำเป็นสตีเวนที่คุมและทุกคนที่เหลือ

พอเครื่องยกตัวขึ้นสูงคนที่ไม่เคยขึ้นฮอร์มาก่อนก็ถึงกับหลับตาปี๋ มันให้ความเสียววุบวาบในท้องก่อนจะยอมลืมตาเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำมือแต่พอหันไปมองกลับเห็นแต่ใบหน้าที่มีแต่ความกังวลเต็มไปหมด

คำถามที่ค้างในใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้น!

“คุณ...”

“ถ้าทุกอย่างจบ แล้วฉันจะตอบทุกคำถามของเธอเลย แต่ตอนนี้ช่วยอยู่เงียบ ๆ ก่อนได้ไหมอิง” เป็นประโยคที่ยาวแต่ไม่ได้แฝงมาด้วยคำประชดอะไรเหมือนแต่ก่อน ทำให้แสงตะวันยอมหยุดความคิด

แต่พอจะดึงมือออกมันกลับไม่เป็นผล เพราะแรงที่กุมมือเขาไว้มันกลายเปลี่ยนเป็นการประสานมือเข้าด้วยกันแทน

เหมือนคนทำก็ไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

“ช่วยอยู่ตรงนี้ข้างๆ ฉันก็พอ”



TBC.
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 19-12-2021 14:11:39
ตอนที่ 11 ตามล่าหาตัว





[มหานคร ดูไบ]

[อิง]



ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาในการเดินทางมานานแค่ไหน พอเห็นคุณเมฆนั่งหน้าเครียดมาตลอดการเดินทางก็ทำผมนิ่งมาทั้งทางด้วยได้เหมือนกัน แอบเป็นห่วงเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า? แล้วเขากำลังจะพาผมไปไหน!

ตอนนั่งมาก็มัวแต่มองมือที่ถูกดึงไปประสานไว้บนตักแกร่งเลยไม่ได้มองว่าด้านนอกมันผ่านน่านฟ้ามาไกลแค่ไหนแล้ว จนถึงเวลาเครื่องลงจอด ที่ฟีนิกซ์ได้แจ้งผ่านหูฟังที่ให้มา ผมถึงได้มองออกไปนอกเครื่อง แล้วก็ต้องตกใจกับสถานที่ที่เรากำลังจะลง พื้นที่โล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ด้านนอกนั้นมีรถหรูสีดำมากกว่าสิบคันจอดอยู่ (ย้ำว่าสิบคัน) พร้อมกับพวกคุณพี่ชุดดำที่มากจนไม่อยากนับ

“ลงได้แล้ว” แอบสะดุ้งเล็กน้อยตอนคุณเมฆกระตุกมือที่จับกันไว้อยู่ถึงได้รู้ว่า คุณเขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวผมไปเรียบร้อย ก่อนที่จะโดนกระตุกอีกรอบผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินตาม

คุณเมฆลงไปก่อนแล้วก็ส่งมือมารับผม ผมก็ยอมจับมือเขาอีกครั้งเขาพาผมเดินไวๆ ไปที่รถคันหนึ่ง ประตูรถถูกเปิดออกด้วยชายชุดดำ ผมกับคุณเมฆสอดตัวเข้าไปนั่งข้างกัน มีฟีนิกซ์นั่งหน้ากับคนขับ แต่ที่เหลือผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาขึ้นรถขันไหน



แอบกลัวโดนเขาดุอีกรอบ ก็คิดอยู่นานว่าควรถามออกไป แต่คำตอบที่ได้มาก็ทำเอาผมตาเหลือกพูดอะไรไม่ออก จนคุณเขามองหน้า

“ดูไบ”

“อะฮะ ฮ่ะฮ่ะ คุณอำผมใช่ไหม ใครจะบ้าขนาดนั้น (หัวเราะกลบเกลื่อน) ...จะ จริงหรอ!!”

ไม่มีคำตอบที่ผมอยากได้ แต่การที่เงียบมันก็คำตอบที่สยองที่สุดแล้วในตอนนี้ ผมมองออกไปนอกรถ มองซ้ายมีรถประกบ มองขวาก็มีอีกคัน ด้านหน้าอีกสอง ด้านหลังอีกเป็นเบือ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!!

ผมหยิบมือถือขึ้นมา ก็ต้องพบกับสัญญาณที่เป็นศูนย์ ไม่มีแม้แต่ขีดเดียวแล้วจะโทรบอกแม่ยังไงเนี่ย

“ถึงที่พักแล้วฉันจะติดต่อที่บ้านให้”

“แล้วคุณพาผมมาทำอะไรที่นี่!” กระซิบถามกันสองคน

“จบงานแล้วจะบอก..เธอกลัวหรือไง?”

“ใครไม่กลัวบ้าง ถูกลากขึ้นเครื่องมาไม่บอกอะไรสักคำ พอมาถึงที่ดันมาบอกว่าที่นี่คือดูไบ มองออกไปนอกรถ ก็มีรถคันอื่นประกบรอบคันแบบนี้ ให้ผมกลัวเหอะ” คุณเมฆก็ยังเป็นคุณเมฆไม่อธิบาย ประหยัดคำพูดยกเว้นเวลาเหน็บแนมคนนี่ปากไวสุด เขากระชับมือที่จับกันไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนบอกเป็นคำพูดให้ผมเชื่อในตัวเขา ผมก็ไม่พูดบ้างเสตามองออกไปนอกรถ ใช้มืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาเท้าคางกับขอบกระจกรถ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด เงียบไปให้ได้ตลอดนะ



ขับออกมาได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย ไม่รู้วันนี้ทำหน้าเหวอไปกี่ครั้งแล้วแต่ขอเถอะครั้งนี้ขอจริง ๆ

ที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากราชวังเลยแม้แต่นิดเดียว ด้านนอกว่าสวยแล้วนะด้านในยิ่งกว่าคำว่าสวยมันบรรยายไม่ได้ มันสุดแสนวิจิตตระการตา อลังการบ้านยก แม่เจ้า!!ต้องทำงานอีกกี่ชาติถึงจะมีได้แบบนี้ ผมยืนเอ๋ออยู่กลางทางเดินที่มีเจ้าของที่ เขายืนสั่งอะไรไม่รู้กับกลุ่มของอีธานก่อนที่ทุกคนจะเดินออกไป ปล่อยผมเคว้งคว้างอยู่คนเดียว

“ฉันจะพาเธอไปพักก่อน”

“แล้วคุณ...”

“ฉันต้องไปจัดการอะไรนิดหน่อย เธอรออยู่ที่นี่จะปลอดภัยที่สุด”

“ตอนแรกไม่คิดอะไร แต่พอคุณพูดแบบนี้แล้ว...”

“เชื่อฉันเธอจะไม่เป็นอะไร..ตามมา” แล้วเขาก็เอาผมมาปล่อยไว้ห้องห้องหนึ่งที่ใหญ่เท่าบ้านผมทั้งหลังเลย ก่อนออกไปก็บอกให้ผมใช้ของในห้องได้เต็มที่ หากต้องการอะไรเพิ่มให้บอกสาวใช้ที่เดินตามเรามา มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อคุณป้าเอ็มม่า แล้วถ้าหิวห้องด้านซ้ายสามารถไปหาอะไรกินได้ (มีครัวในห้องนอน) ถ้าอยากอาบน้ำด้านขวามีสระ (เขาว่างั้นนะ) มาถึงตรงนี้ผมไม่ถามแล้วว่าที่นี่เป็นบ้านใคร ถ้าไม่ใช่เขา ถึงว่า....ใช้เงินทีเหมือนเสกได้



หลังจากนั้น



คาล์ล รีบเดินไปเลือกรถคันโปรดที่โรงจอดรถ ที่มันมีมากกว่าโชว์รูมบางที่เสียอีก บางคันรุ่นเดียวกันต่างกันก็แค่สี เขาเลือกที่จะใช้ Ducati Desmosedici D16RR NCR M16 คันสีแดง ที่ตัดกับสูทที่ใส่จนดูเด่นสะดุดเพียงแค่ขึ้นคร่อม

เส้นทางที่ไปคือคฤหาสน์ทางฝั่งขวาที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันแต่ห่างออกไปจากเขาประมาณห้ากิโลเมตร ใช้เวลาไม่นานกับเส้นทางที่ราบเรียบเขาก็มาถึงจุดหมายที่มีบอดี้การ์ดคนสนิทยืนคอยอยู่แล้วพร้อมกับซีเวียร์บอดี้การ์ดของท่านอา

“ท่านอาอยู่ที่ไหน?” การที่มาที่คฤหาสน์แทนที่จะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งเป็นอะไรที่ไม่ต้องคิดเยอะ เพราะตระกูลเขามีหมอฝีมือดีที่สืบทอดกันมายาวนานอยู่แล้ว ไว้ใจได้มากกว่าการปล่อยให้ออกไปรักษาที่อื่นที่ไม่รู้เลยว่า ศัตรูสุ่มรออยู่ที่ใด

“ห้องพักครับ” ซีเวียร์เป็นคนตอบ คาล์ล โยนกุญแจให้กับฟีนิกซ์ก่อนจะก้าวไว ๆ เข้าตัวคฤหาสน์โดยไม่ต้องมีใครนำทาง เพราะเขาคุ้นเคยกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ห้องพักชั้นสามถูกเปิดออกโดยไม่เคาะบอกใครให้รู้ด้วยความรีบร้อนใจ แต่ใบหน้ายังคงไว้แค่ความนิ่งเฉยผิดกับนัยน์ตาที่วาวโรจน์เมื่อเห็นสายมากมายเต็มตัวไปหมด

ท่านอาของเขาอายุมากแล้วถึงจะแข็งแรงมากแค่ไหนก็ยังมีโรคประจำตัว สิ่งหนึ่งที่เขาเหมือนอาก็คือการแพ้สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างกุ้ง ที่พ่อแม่เขาก็ไม่มีใครเป็น

“กินเข้าไปไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นกุ้ง”

“ฮืม มันไม่ได้มาเป็นตัวนะ แฮ่ก ถึงจะได้รู้ได้ในทันที”

“กินเข้าไปมากแค่ไหน”

“...ไม่รู้เลย” เสียงหายใจติดขัดทำให้รู้ว่าจำนวนที่ทานเข้าไปคงมากพอควร อาการถึงได้หนักเพียงนี้

“ท่านอัดฮัม ผมได้ให้หมอเช็คอาหารที่ท่านอูซทานทั้งหมดพบว่า....ยาที่ใส่มันมีอยู่ทุกเมนู” ใบหน้าเรียบตึงหันไปสบตากับคนรายงานก่อนจะหันกลับมาหาคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงใหญ่

“หากหลานขอจัดการเอง...”

“อืม หากทำให้เจ้า...เลิกทำสายตา..แบบนั้นใส่อา” คนป่วยมองหน้าหัวหน้าคนปัจจุบันที่ถึงภายนอกจะดูเคร่งขรึม แต่ดวงตาดวงนี้ไม่เคยหลอกเขาได้สักครั้ง คงแค้นใจ เสียใจ และกำลังโทษตัวเองอีกแล้วสินะ อัดฮัม

“หากหลานอยู่ที่นี่...”

“ถึงเจ้าอยู่ แฮ่ก ก็ใช่ว่าจะไม่เกิด หลานไม่ใช่คนผิด อายังอยู่” คำที่หัวหน้าใหญ่กลัวที่สุดคือการที่คนที่รัก จากไป คำที่เขาจะไม่มีวันได้ยินมันอีกจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจริง ๆ ไม่ว่าใครก็ห้ามตายจากเขาอีกเด็ดขาด ไม่แม้แต่คนที่เขากระเตงมาด้วยก็เช่นกัน

อยู่ดูอาการผู้เป็นอาจนวางใจว่าท่านปลอดภัยแล้วจริง ๆ อัดฮัม อัจมาน คาล์ล ก็กลับมาสวมบทความดิบเถื่อนอีกครั้ง

เขาขับรถกลับมาที่คฤหาสน์ของต้นเองพร้อมกับฟีนิกซ์ที่ขับรถสปอร์ตตามมา แต่ที่หมายไม่ใช่ในตัวบ้าน แต่เป็น คอกเด็กที่อยู่ฝั่งขวาสุดของตัวบ้าน ลงจากรถได้ก็เจอสองแฝดยืนพิงทางเข้าเหมือนรอเขาอยู่แล้ว

“บอส เราไปดูที่เกิดเหตุมาแล้ว พบว่าไม่ใช่การวางเพลิง แต่เหมือนมันจะทำเป็นไฟฟ้ารัดวงจร”

“ทำเป็น!! อย่างนั้นเหรอ!!”

“ครับ อาหยางพบ เส้นเอ็นที่เกี่ยวอยู่กับต้นไม้ทางด้านนู้น พร้อมกับเจอแผ่นอาคีลิกที่ยังไหม้ไม่หมดตกอยู่บริเวณเบรกเกอร์ คาดว่าน่าจะใช้วิธีการตัดสายเบรกเกอร์ออกแล้วนำแผ่นอาคีลิกกั้นกลางเพื่อปิดชนวนแล้วยอดน้ำมันก๊าสไว้บริเวณด้านล้าง เพื่อที่ว่าตอนดึงแผ่นออกแล้วไฟมันเกิดสปาร์คกันจนลูกไฟกระเด็นลงไปโดนจุดที่มันเตรียมไว้”

“แล้วมันจะรู้ได้ยังไงว่าวิธีนี้จะสำเร็จ”

“ผมว่ามันไม่ได้คิด เพราะถ้ามันคิดมันไม่ควรทิ้งหลักฐานไว้แบบนี้” เส้นเอ็นถูกหยิบขึ้นมาให้บอสได้ดู พร้อมกับแผ่นพลาสติกหนาที่ไหม้ไม่หมด

“กล้องวงจรปิดหละ”

“ตัวที่เชื่อมกับไฟในอาคารใช้ไม่ได้ครับ แต่ตัวที่ไม่ได้ใช้ไฟ ก็ไม่เห็นตัวคนร้าย เหมือนมันจะรู้จุดหลบซ่อนตัวอย่างดี”

“คนของนายเช็คหมดหรือยังนิกซ์” คำถามถูกยิงไปที่ลูกน้องคนสนิทที่ประจำการที่นี่แทนตน

“เช็คหมดแล้วครับ ทุกคนมีหลักฐานที่อยู่กันทุกคน และไม่มีใครเดินมาเขตนี้เลย” เขาเดินออกจากบ้านที่สภาพยับเยินจนเหมือนบ้านร้าง ก่อนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดดูดเข้าปอดจนสุดลมหายใจพ้นควันมันออกมากระจายทั่วอากาศ

เนื่องจากช่วงนี้เขาแทบจะไม่ได้ใช้งานมันเลยพอได้ดูดที่เลยจัดหนัก ๆ ทำร้ายปอดมันไป

“ฉันให้วันเดียว ไปเช็คกล้องทุกตัวที่อยู่บริเวณรอบไม่ว่าจะตัวไหนก็ตาม หามันให้เจอ อย่าให้รู้ว่าพวกนายไร้ประโยชน์” ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นไม่แม้แต่จะบี้ให้มันดับ คาล์ลก็เดินไปคร่อมรถตัวเองก่อนจะทะยานตัวออกไปด้วยความเร็ว

ที่ต่อไปที่ต้องจัดการ....



เสียงรถที่คุ้นหูทำให้เด็ก ๆ ทั้งสามตัวพากันลุกขึ้นนั่งหูหางกระดิกเหมือนลูกหมา

แอ็ดดดด

โคล่งงง แฮ่ก แฮ่ก เสียงประตูเปิดออกทำให้พี่ใหญ่ในฝูงไม่รอช้ารีบวิ่งหน้าตั้งหวังจะกอดพ่อให้หายคิดถึง แต่ก็ต้องเบรกตัวเองไว้แทบหน้าคะมำ

“ยังไม่ใช่ตอนนี้กิวล์” พูดจบก็ลูบหัวเหมือนเป็นคำขอโทษ แล้วเดินรอดไปอีกฝั่งที่เหมือนโครอตเซี่ยมขนาดเล็กแต่สามารถบรรจุคนได้ถึง100ชีวิต

ด้านในมีลูกน้องตนที่ไม่ค่อยรู้จักอยู่ห้าคนพร้อมสตีเวนและคิณที่อยู่จัดการทางนี้ ที่จัดแบบนี้ถูกแล้วเพราะหากให้สตีฟไปอยู่ใกล้นิกซ์แทนที่งานจะเสร็จทันเวลาอาจจะได้เก็บศพไอ้คนแถวนี้ก่อน ด้านนั้นให้พวกเถื่อนเขาจัดการไป

“ดอนคาล์ล!!” หนึ่งในพ่อครัวที่ทำงานที่บ้านของท่านอุซมี ลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา ใบหน้าที่แฝงด้วยความกังวลตอนนี้ดันซีดเผือด การที่ร้องตกใจเช่นนั้นทำให้ คาล์ลใช้สายตาสั่งให้ลูกน้องไปดึงตัวมันออกมา คนอื่นที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็แหวกทางให้ทันทีเหมือนรู้งาน

อดัม พ่อครัวใหญ่ที่เขารู้จักดีที่สุดก็ถูกเชิญออกมาด้วย

“ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้”

“ผม...ขอโทษครับดอนผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าในเครื่องปรุงมีสารปนอยู่” คาล์ลสูดหายใจเข้า ก่อนที่จะค่อย ๆ พ้นออกเหมือนกำลังจะสงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำร้ายใครก่อนจะจับคนที่กล้าทำร้ายท่านอาของเขา

“ปกติใครเป็นคนปิดครัวคนสุดท้าย” พ่อครัวใหญ่ไม่รอช้ารีบตอบแบบไม่คิดแต่การตอบแบบนั้นทำให้คนที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ่งเหงื่อซึมขึ้นมาทันที

“ปกติจะเป็นผม รีน่าและอันเดรย์ แต่เมื่อวานก่อนทั้งสองคนไปช่วยงานที่โรงแรมเพราะนายท่านสั่งครับ เลยให้ แอนดรู และจอร์น เป็นคนปิดแต่ผมก็อยู่เฝ้า...”

“อีกคนคือใคร...ออกมา!!” เสียงตะโกนออกไปแบบสุดเสียงทำให้แอนดรูรีบลุกขึ้นก่อนที่จะถูกลูกน้องเขาลากตัวออกมาด้านหน้า

แล้วคาล์ลก็สั่งให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวออกไป ไม่รอให้บอกเป็นครั้งที่สองทุกคนก็พากันลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกไปทันทีพร้อมกับลูกน้องทั้งห้าคนของเขาด้วย เพราะมีแค่สองคนนี้ก็เพียงพอแล้ว

“อดัม คุณเป็นคนเก่าแก่ของท่านอาและตระกูลเรา ผมอยากให้คุณพูดความจริงทั้งหมด เมื่อวานมันทั้งสองเก็บบริเวณไหนของครัวบ้าง แล้วคุณเห็นอะไรผิดปกติในตอนนั้นหรือไม่!” คำถามที่ยังเหมือนให้เกียรติทำให้หัวหน้าพ่อครัวใหญ่ดูผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะนึกเหตุการณ์วันนั้นและเรียบเรียงมันก่อนพูดออกไป

“ผมจัดให้ทั้งคู่เองครับ โดยปกติแล้วของทั้งหมดจะถูกเก็บก่อนหน้านี้ประมาณห้าโมงเย็นตอนที่ทำอาหารเย็นให้นายท่านเสร็จ และทุกคนที่เหลือจะช่วยกันกะ...”

“สรุป”

“เอ่อ...พอถึงตอนที่นายท่านทานอาหารเสร็จแล้วท่านไม่รับอะไรเพิ่มพวกผมถึงปิดส่วนที่เหลือ แอนดรูเก็บพวกของสดทั้งหมด และจอร์นเก็บพวกแป้งและเครื่องปรุง อ่อมีตอนที่เขาทำผงเครื่องปรุงหล่นแตก แต่ผมเป็นคนไปเอาขวดใหม่มาให้เขาเอง”

“แปลว่าตอนนั้นคุณ...เดินออกไปที่อื่น!!”

“...ครับ” คำตอบที่ได้ทำให้ทุกอย่างหยุดลง อดัมไม่เล่าต่อ คาล์ลเองก็ไม่ได้ถามเอาความอะไรอีก ก่อนจะหันไปทางคิณ

“ผลตรวจที่ซีเวียร์? นำมาให้มีอะไรบ้าง”

“ครับ ของที่อยู่ในครัวทั้งหมดที่มีสารสกัดจากกุ้งมีที่เครื่องปรุงแทบจะทั้งหมดครับ ยกเว้นพวกที่เป็นน้ำ เหมือนว่าหากโดนน้ำก่อน3ชั่วโมงตัวสารมันจะเบาบางลงแต่ตัวยาที่ผสมมาก็ยังถือว่าแรง หากไม่ผสมสารสกัดมา ท่านอุซก็ยังถือว่าแย้ครับบอส” คำรายงานจากคิณ ทำให้เกิดแรงกดดันมากยิ่งขึ้น สายตาที่มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่แบบนั้นของคาล์ล ทำเอาคนที่ไม่คุ้นเคยถึงกับขาสั่นทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไร มันแค่พยักหน้าเหมือนรับรู้แต่อาการที่ดูนิ่ง ๆ แบบนั้นมันดูไม่ออกจริง ๆ ยกเว้นสตีเวนและคิณที่รู้แล้วว่าในสามคนนี้ต้องมีคนต้องทิ้งลมหายใจไว้ที่นี่แล้วสินะ

“สตีฟ คิณ ไปส่งทั้งสองด้านนอก” ทั้งสองเลิ่กลั่กเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองแต่ก็รีบขอบคุณจนนับครั้งไม่ท้วนออกมา ส่วนคนที่เหมือนรู้แล้วว่าตัวเองจะไม่รอด ก็ได้แต่ก้มหน้าใช้มืออีกข้าแคะเล็บตัวเองเหมือนพยายามกดอารมณ์กลัวไม่ให้เผยออกมา

คาล์ลเดินไปเอาเก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียวมานั่งตรงหน้าของ จอร์น ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบไปอีกมวน พร้อมกับคิดในใจว่าก่อนเข้าบ้านคงต้องล้างตัวก่อนแล้วสิ

“ห้านาที”

“ครับ!”

“ใครเป็นคนสั่งให้แก่ทำ และอย่าโง่ตอบว่าทำเองคนเดียว มันไม่ได้ดูเป็นพระเอกเลย ถึงแกรอดไปได้รู้เหรอว่าคนที่มันจ้างมาจะปล่อยแกไว้”

“ผม...ทำคนเดี...อัก” แรงถีบที่ไม่ใช่เบา ๆ ถูกส่งออกไปทาบหน้าอกด้วยความเร็ว แบบที่คนเจ็บไม่ได้ตั้งตัวอะไรเลย

คาล์ลลุกขึ้นเดินไปดูผลงานตัวเองก่อนจะใช้มือขวาคีบบุหรี่ออกจากปากมืออีกข้างล้วงลงในกระเป๋ากางเกง พ้นควันขึ้นฟ้าก่อนจะมองต่ำลงมาดูคนที่กระถดตัวหนี

เห็นแบบนั้นเท้าที่ว่างอยู่ก็เหยียบเข้าไปที่ข้อเข่าพร้อมกดแรงลงไป

“เพิ่งบอกไปว่าอย่าตอบอะไรโง่ ๆ ”

“อ๊าก!!ท่านอัด ผม ผมผิดไปแล้ว (ผั๊วะ) ...อั๊ก” เท้าที่เหยียบเข่าเปลี่ยนเป้าหมายเป็นปากที่กล้าเอ่ยคำขอโทษออกมา ทั้ง ๆ ที่มันเกือบทำอาของเขาตาย หากไม่ใช่ว่าซีเวียร? เป็นหมอมาก่อน ท่านอาคงไม่มานอนให้เขาไปหาแบบนี้แน่

แรงของรองเท้าหนังที่ด้านในเสริมเหล็กฝาดเข้าเต็มปากทำให้ฟันด้านบนล่วงออกมาสองซี่ แต่คนที่ทำก็ยังคงใบหน้าไว้แบบเดิน ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลง ชะโงกหน้าไปใกล้ ๆ แล้วถามคำถามเดิมออกไป

“ถามอีกครั้งใครสั่งให้แกทำ”

จอร์นใช้มือกุมปากตัวเองพร้อมร้องไห้ออกมาเหมือนคนสติหลุด หารู้ไม่ว่าหากมันยังไม่ยอมตอบคำถามสักทีจะมีคนที่สติหลุดมากกว่ามัน

“จะ..โจเซฟ โจเซฟ นายท่าน มันบอกจะช่วยเมียผมที่ป่วยหากยอมทำที่มันบอก ฮือออ โปรดยกโทษ หะ ให้ผมเถอะ” ชื่อที่เขาคิดไว้ถูกเอ่ยออกมาจากไอ้คนไร้สมอง

“ท่านอาเลี้ยงแกไม่ดีตรงไหน! หากอยากได้เงินจริงทำไมไม่ขอท่าน มีหรือท่านจะไม่ช่วย”

ฉึก!!

อ๊ากกกก

มีดแหลมคมขนาดพกพาถูกแทงลงตรงจุดเดิมที่เขาเหยียบก่อนจะบิดคมมีดไปมาเหมือนปล่อยอารมณ์ไปตามแรงมีด

ความเจ็บปวดแล่นลามไปทั่วทั้งขา จนเหมือนมันจะชาจนขยับไม่ได้

“นายท่านผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตผมด้วย ผมยังต้องดูแลเมีย เขาไม่เหลือใครแล้ว โปรดไว้ชีวิตผมเถอะ” คำขอโทษและคำขอร้องของคนที่ เห็นเงินดีมากกว่าผู้เลี้ยงดู ไม่ได้ทำให้ คาล์ล ลดแรงอาฆาตลงได้เลยกลับกัน เขายิ่งอยากให้มันทรมานมากกว่านี้ มากกว่าที่ท่านอาได้รับ มากกว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้

เสียงร้องโหยหวน เพราะความเจ็บปวดยังดังอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งเขาเองก็ยังไม่หยุดฝากรอยแผลไว้ตามจุดต่าง ๆ

เลือดที่ไหลออกมาไม่ได้ทำให้คนที่เห็นมันมาทั้งชีวิตอย่างเขานึกกลัวมันเลย กลับชอบมันด้วยซ้ำไป

หัวเข่าสองข้าง ทั้งต้นขาและช่วงหัวไหล่ ถูกมีดเล่มเล็กนี้แท่งจนเลือดอาบทั่วทั้งตัว เสียงร้องที่ดูทรมานเมื่อก่อนหน้านี้เริ่มหดหาย คำขอโทษ และขออภัยค่อยๆ ขาดช่วง ก่อนที่สติมันจะดับไป คาล์ลก็ลุกขึ้น ก้มมองดูผลงานตัวเองก่อนเอ่ยคำที่ทำเอาคนเจ็บ เบิกตาโพรง และขอบคุณไม่ลืมที่จะสัญญาว่าจะไม่ทำอีก

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่ฆ่าแกดีกว่า”

“จะ จริงเหรอ!! นายท่านจะปล่อยผมไปแล้วใช่ไหม นายท่าน...”

“หากคิดว่ามีแรงหนีก็ไป” คำกล่าวที่แฝงความนัยในคำมาด้วยไม่ได้ทำให้จอร์นฉุกคิดได้เลย ทำไมเขาถึงยอมปล่อยง่าย เพราะความคิดที่ว่าตัวเองรอดแล้ว แรงเฮือกสุดท้ายที่มีถูกนำมาใช้พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพยายามเดินไปเกาะกำแพงเพื่อช่วยลดแรดทรงตัวให้เบาลง แล้วรีบเดินออกจากที่นี่

แต่เดินหลุดออกไปได้เพียงสองก้าวก็ต้องชะงักเมื่อเขาเจอกับสายตาหกคู่ที่จ้องมองมาทางตนไม่กะพริบเลย แถมตอนนี้เนื้อตัวเขามีแต่เลือดแบบนี้

มาถึงตรงนี้ก็พึงรู้ว่าคำที่ว่าไม่ฆ่าแล้วนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ไม่ฆ่าเอง เพราะถึงยังไงตัวเขาก็ไม่สามารถหนีรอดออกจากที่นี่ได้

กรร กรร กรร

งับ

ไม่แม้แต่ได้ยินเสียงร้องใด ๆ เพราะเขาฝึกลูกเขามาดีทุกตัว ถึงพวกมันจะคุ้นกับคนมากแค่ไหน แต่สัญชาตญาณยังไงมันก็คือสัตว์ล่าเนื้อ แถมคนตรงหน้านี้อาบมาด้วยเลือดแบบนี้ยังไงก็ไม่มีทางปล่อยผ่าน มีเพียง คาล์ล และ ฟีนิกซ์เท่านั้นที่มันจะไม่ทำอันตรายถึงจะอาบเลือดมาแบบเมื่อกี้ก็ตาม ขนาดสองแฝดยังเคยโดนเขาไล่งับตูดเลยตอนที่ไปทำงานให้ท่านพ่อแล้วกลับมาหัวแตกเพราะถูกนิกซ์ฝาดหัว เหมือนซวยแล้วซวยอีก

คาล์ลที่กะเวลาว่าทุกอย่างด้านนอกน่าจะจบลงแล้วก็เดินออกมา เห็นอีธาน (ชื่อสัตว์เลี้ยง) นอนเลียขนให้กีฟเวนอย่างขะมักเขม้น ต่างจากกิวล์ ที่เดินไปอาบน้ำในบ่อที่เขาสร้างไว้ให้เนื่องจากที่นี่อากาศส่วนใหญ่จะร้อน และน้ำในอ่างก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ สองชั่วโมงเพื่อความสะอาด

“ต้องเปลี่ยนน้ำให้อีกแล้วสินะ” คำที่บ่นอยู่คนเดียวทำเอาสองหนุ่มที่นอนเลียขนให้กันหันมามองพ่อ แต่ก็แค่มอง เพราะสายตาของคาล์ลตอนนี้มองไปที่เด็กน้อยที่นอนหันหลังให้เขาในบอเหมือนยังน้อยใจเรื่องก่อนหน้านี้อยู่

คาล์ลตัดสินใจเดินเขาไปหาใกล้ ๆ ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วก้าวลงไปในบ่อ

“อาบให้ไหม!!” เป็นคำถามเชิงง้อ แล้วก็ต้องยิ้มมุมปากเมื่อเด็กน้อยที่หันหลังให้กันกระเทิบตัวเข้าหาตน แล้วเขาก็กวักน้ำใส่ตัวให้เจ้าเด็กขี้งอน พร้อมลูปไปตามเส้นขนสีขาวที่ตอนนี้มีเลือดติดอยู่เล็กน้อย

“เจ้าอ้วนขึ้นหรือเปล่า!!”

กรร โคล่ง!!

คำตอบที่ได้ทำเอาเขาหัวเราะออกมา เหมือนจะไม่ชอบให้พูดว่าอ้วนสินะ

ปรายสายตามามองเหมือนติเตียนผู้เป็นพ่อ

“ข้าใช้คำผิด ข้าจะบอกว่าเจ้าดูตัวใหญ่ขึ้นเป็นหนุ่มแล้วสินะ” เท่านั้นแหละก่อนที่เคยหันหลังให้ก็ลุกขึ้นหันมานั่งตัวตรงเชิดหน้าขึ้นฟ้าเหมือนโชว์ว่าตัวเองหล่อ แต่แบบนี้มันคุ้น ๆ

“เจ้าไปจำท่าทางนี้มาจากสตีฟสินะ” มือก็ยังกวักน้ำล้างช่วงคอออกให้ ก่อนที่อีกสองตัวที่มองอยู่จะเดินเข้ามาหาเมื่อรู้สึกว่าพี่และพ่อดีกันแล้ว

ทั้งสองใช้หัวเบียดแทรกลงมาตรงสีข้างทั้งสองด้านพร้อมกันเหมือนออดอ้อน

“ข้าไม่อยู่ตั้งเกือบปี พวกเจ้าโตขนาดนี้แล้วเหรอ แบบนี้ขาต้องหาเมียให้แล้วหรือไม่!!” พูดกันเหมือนเข้าใจหากคนอื่นที่ไม่สนิทมาเห็นคงคิดว่าเขาบ้า แต่หากสังเกตดีๆ จะรู้ว่าทั้งสามเข้าใจที่เขาพูดจริง ๆ คำเอ่ยแซวของเขาเหมือนจะไม่ถูกใจใครหนึ่งตัว กีฟเวน เดินหนีเขาทันทีที่เขาพูดไปแบบนั้น อีธานที่มองพ่อสลับกับมองพี่รองก่อนจะทำเหมือนเสียงถอนหายใจแล้วเดินไปนัวเนียพี่ชายจนอีกฝ่ายนัวเนียกลับ ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วหัวมาถามพี่ใหญ่

“ข้าตกข่าวเหรอ!! เจ้าอย่ามาทำหน้าเหมือนข้าโง่นะกิวล์!!” มันทำให้คิดถึงใครบางคน คนที่รอเขาอยู่ที่ในตัวบ้าน พอนึกถึงก็ทำให้ยิ้ม ก่อนจะมองจ้องหน้า กิวล์ แล้วเอ่ยประโยคที่ไม่รู้ว่าจะได้คำตอบมาแบบไหน

“ถ้าข้าหาแม่ให้พวกเจ้า พวกเจ้าอยากได้ไหม?”





TBC.
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-12-2021 21:26:02
จะได้คำตอบแบบไหนนะ
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 20-12-2021 22:20:29
คุ้มค้าที่รอคอย
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 20-12-2021 23:55:45

ตอนที่12 ความในใจ (18+)

 

ฟรืด!! กรร โครง

เสียงฟึดฟัดคำลามโคลงไม่พอใจพร้อมสายตาที่ดูดุขึ้นมากหากเทียบกับทุกครั้ง กิวล์ลุกขึ้นก่อนที่จะสะบัดขนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำใส่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าคนที่เขารักมากๆ แต่พอมาถึงจุดนี้ชักจะไม่ชอบละ อะไรคือการจะหาแม่ให้แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็จะถูกลืมบ่อยๆ น่ะสิ ไม่เอาหรอกไม่เอาใครทั้งนั้น

“ไม่ง่ายเลยแหะ” ได้แต่มองไอ้เด็กแสบที่เดินหนีเข้าขึ้นไปนอนไต้ร่มไม้ใหญ่อย่างสบายใจ

 

ออกจากคอกเด็กมาได้ไม่นานเขาก็ขับรถเข้ามาจอดในโรงรถก่อนจะรีบเข้าไปในตัวคฤหาสน์ มันก็เหมือนทุก ๆ ครั้งที่เขากลับมาที่นี่ เหล่าบอดี้การ์ดที่รายล้อมตัวบ้านพอเห็นว่านายท่านกลับมาก็รีบทำความเคารพ ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าทีของตัวเองต่อ

“เขาอยู่ไหน!” พอเดินเข้ามาถึงโถงใหญ่ทางเดินก็เจอเข้ากับคุณแม่บ้านใหญ่พอดี

“คุณเธอไม่ออกมาจากห้องเลยค่ะ” คุณแม่บ้านบอกไปตามความเป็นจริง ตั้งแต่ที่นายท่านออกไป คนที่นายท่านพามา แถมยังกล้าให้เข้าไปอยู่ในห้องพักตัวแบบสนิทใจเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่า บุคคลนี้สำคัญแค่ไหน

พอได้ยินแบบนั้นเขาเองก็ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ คงกลัวน่ะสิ ก็ที่นี่มีบอดี้การ์ดเต็มไปหมดแถมก่อนออกไปเขาก็บอกให้อยู่แต่ด้านใน แต่ไม่คิดว่าจะเข้าใจเป็นด้านในห้องอย่างเดียว

 

แกร็ก

คาล์ลเปิดเข้าไปด้านในห้องแบบเบาที่สุดเผื่อว่าคนที่อยู่ในนั้นจะหลับ แต่พอเปิดเข้ามากลับไม่พบคนที่อาศัยอยู่ด้านในเลย

เขาลองเดินไปดูด้านที่เป็นห้องครัวเล็กๆ ที่อยู่ภายในก็ไม่เจอมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนสายตาจะมองไปที่บานประตูห้องน้ำ

มุมปากกระตุกเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่านี่ก็ดึกมากแล้ว คนที่รอก็คงไปอาบน้ำหรือทำธุระส่วนตัวอยู่ในนั้นแน่ ๆ

ปากที่กำลังจะเอ่ยเรียกกลับเงียบเสียงลงเมื่อคิดอะไรได้ ก่อนจะเดินไปทางห้องเสื้อที่เปิดเป็นแบบWalk-In Closet พื้นที่ด้านในคลุมโทนสีดำ ประตูทุกบานติดกระจกเงาอย่างสวยหรู คาล์ลเดินไปที่ตู้ใบหนึ่งเปิดออกจะเห็นเป็นชุดคลุมสีดำทั้งหมด ก่อนจะถอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้ววางกองไว้แบบนั้น แล้วหยิบเสื้อคลุมออกมาหนึ่งตัว ผูกเชือกไว้หลวม ๆ ก่อนจะเดินยิ้มมุมปากไปที่ประตูอีกบานที่เป็นทางไปห้องน้ำ

แต่พอเข้าไปทุกอย่างกับว่างเปล่า คนที่คิดว่าอยู่ด้านในกลับไม่เห็นแม้แต่เงา คาล์ลค่อย ๆ เดินเข้าไปยังส่วนในสุดของตัวห้องน้ำก่อนจะเจอประตูอีกบานที่เชื่อมต่อกับสระน้ำในตัวบ้านที่มีแค่ห้องของเขาเท่านั้นที่เชื่อมต่อ และความคิดของเขาก็เป็นจริง เมื่อเจอกับชุดคลุมวางพาดอยู่บนเก้าอี้

มุมปากกระตุกเมื่อเจอคนที่ตามหานอนคว่ำใช้แขนลองใบหน้าหลับตาพริ้มแช่อยู่ในน้ำ ไม่ได้รู้เลยว่าภัยใกล้ตัวกำลังคืบคลานเข้าไปหาอีกไม่ช้า

คาล์ลไม่รอช้ารีบปลดเชือกที่มัดหลวมออกก่อนจะปล่อยให้ชุดมันล่วงลงพื้น แล้วก้าวเท้าลงมาในน้ำอย่างเบาที่สุดคอย ๆ เดินเข้าไปช้อนด้านหลังของคนที่ทำตัวสบายเกินเหตุ

“สบายไหม” คำถามที่มาติดยู่ที่ข้างหู

“อืม!! สบายมากเลย” แต่พอพูดจบเจ้าหนูก็ตกใจสะดุ้งสุดตัวจนหัวไปกระแทกที่ปลายคางของคนที่ช้อนอยู่ด้านหลัง

“คุณ!!...เข้ามาได้ไง! เฮ้ย!! ออกไปเลยนะ อย่ามาจับ อื้อ ปล่อย!!!!”

เจ้าตัวโวยวายแบบไม่ยอมฟังเสียงห้ามปรามของผู้ก่อเหตุเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วใครจะไปฟัง ในเมื่อตกใจเรื่องเสียงยังไม่เท่าไหร่ พอหันไปกลับเจอกับร่างกายกำยำเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า แถมยังเอาแขนมาคล่องที่เอวกันอีก ไอ้บอสบ้านี่

“หยุดโวยวายเหมือนผู้หญิงไม่เคยโดนไปได้” คำพูดแหย่เล่นแต่ก็ทำเอารังแตนที่แตกอยู่แล้ว แตกกระจุยยิ่งกว่าเดิม

“คุณหาว่าผมเล่นตัวเหรอ ไอ้แขกบ้านี่ Get out!!”

ถึงจะไล่ไปแบบนั้น แต่คนโดนไล่กลับไม่ยีละอะไร แต่กลับเดินย่างสามขุมเข้าไปหาเจ้าตัวแสบที่กล้าทำเขามีแผลได้

“เธอกล้าทำฉันเป็นรอย...เหรอ!!”

“ก็ใครใช้ให้คุณเข้ามาใกล้แบบนี้ ผะ..ผมแค่ป้องกันตัว”

พรึบ

“อ่ะ คุณเมฆ ปล่อยผมนะ บอกให้ปล่อยไงโว้ย!!”

คาล์ลเข้าไปรวบตัวคนที่บอกว่าเหตุการณ์เมื่อกี้คือการป้องกันตัว ก่อนจะจับให้นั่งลงที่ตักของเขาเอง

“อย่าดิ้น ฉันจะลงโทษเธอ”

“ละ..ลงโทษอะไร อื้อ อึดอัดคุณเมฆ”

“บอกให้อยู่นิ่ง ๆ ไง..” บอกพร้อมออกแรกกระชับวงแขนของตัวเองให้แน่นขึ้น พร้อมฝังใบหน้าลงตรงไหล่ขาวเนียน ก่อนจะกระซิบบอกอะไรไป

“ท่านอาของฉันท่าน...ถูกวางยาในอาหารอาการสาหัส”

อิงได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าจะหันไปมองหน้าคนพูด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะแรงกดที่ไหล่ไหนจะแรงกอดที่มากขึ้นทำให้เขาไม่สามารถหันไปมองหน้าของคนพูดได้ เลยจะยอมเป็นผู้ฟังที่ดี

“ท่าน...เป็นญาติคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่”

“แล้ว...”

“พ่อกับแม่ฉันท่านเสียไปแล้ว ตัวฉันเองก็ไม่ได้มีพี่น้องที่ไหน หรืออาจมีแต่เป็นพวกที่หวังผลประโยชน์ ฉันเลยไม่ถือว่าพวกนั้นเป็นญาติ”

พอพูดจบมือก็เลื้อยลงไปที่หน้าขาของอิง แบบที่เจ้าตัวไม่ได้รู้อะไรเลย ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ก่อนเจ้าตัวจะรู้ตัว

“คุณ...ผมถามได้ไหม”

“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าเลิกงานฉันจะตอบทุกอย่าง” พูดจบก็จูบเบาๆ ไปที่ลาดไหล่สวยก่อนจะใช้คางเกยไหล่หันหน้าเข้าซอกคอขาว

ถ้าวันนี้จะต้องตัวเปื่อย หรือเนื้อตัวแห้งเขาก็ยอมถ้าจะต้องอยู่แบบนี้

“คุณ...เป็นใครกันแน่!” คาล์ลชะงักกับคำถามที่ได้ มันเกินกว่าคำถามที่เขาคิดไว้

“คุณชอบทำตัวแปลก ๆ ทุกคนด้วย ไหนจะตอนที่มาที่นี่ ก็มาด้วยฮอว์ตั้งสองลำ ไหนจะคฤหาสน์หลังนี้อีก พวกพี่ชุดดำด้านนอกด้วย”

มือที่ลูบไล้อยู่ตรงบั้นท้ายหยุดตัวลงพร้อมคายวงแขนอีกข้างที่รัดช่วงเอวอยู่ ใบหน้าที่ซุกที่ซอกคอผละออก จนทำให้คนที่นั่งอยู่บนตักหันหน้ามาสบตากันเพื่อรอฟังคำตอบที่ถามออกไปมากมาย

“ถ้าฉันบอก...เธอจะยังอยู่ตรงนี้ไหม”

“แล้วผมจะไปไหนได้ นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ”

“แปลว่าถ้ากลับไป เธอก็จะไปจากฉัน”

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง เพื่อหนีคำถาม”

คาล์ลกลับไปล็อกเอวของเจ้าหนูไว้อีกครั้ง จนทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ลมหายใจที่เหมือนจะแย่งกันใช้ตอนนี้ทำให้ อิงผละใบหน้าออกเสมองไปทางอื่นก่อนจะอึกอักพูดออกไป

“ถะ..ถ้าไม่อยากบอก ผม..ไม่อยากรู้แล้วก็ได้”

“เธอเคยได้ยินนามสกุล อัจมาน คาล์ล ไหม”

อิงหันกลับมามองหน้าคนพูดก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ คาล์ลเลยเล่าต่อ

“ตระกูลของฉันเป็นมาเฟียกันมาสามรุ่นแล้ว และเราก็ย้ายมาจากหลายประเทศก่อนที่พ่อของฉัน จะพาทุกคนมาตั้งรกรากที่นี่ ฉันเติมโตที่นี่มาพร้อมกับความคาดหวังของหลาย ๆ คนโดยเฉพาะท่านอา”

พอมาถึงตรงนี้ อิงก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยอะไรอยู่

“หึ เธอคงสงสัยว่าทำไมท่านถึงต้องคาดหวังกับฉันแทนที่จะเป็นท่านพ่อฉันสินะ.. เพราะพ่อไม่คิดที่จะให้ฉันเดินตามรอยของท่าน ท่านอยากให้ฉันมีชีวิตที่ไม่เหมือนกับท่านที่ต้องคอยระแวงว่าครอบครัวจะปลอดภัยไหม! จะเป็นอันตรายตอนไหน”

“แต่พอท่านพ่อจากไป ท่านอาก็ไม่ยอมขึ้นรับตำแหน่ง เพราะคำที่ว่ามันยังไม่สินเชื่อสายผู้นำอันดับหนึ่ง นั่นก็คือฉัน และท่านรักฉันมากกว่าอำอาจที่จะได้รับ ท่านยอมเป็นแค่คนที่คอยช่วยพยุงเวลาฉันล้ม เหมือนรากที่คอยยึดกับผืนดินเพื่อให้ลำต้นตั้งสง่าได้อย่างสวยงาม”

“แปลว่าคุณ...ก็ต้องยุ่งกับพวกสิ่งผิดกฎหมาย”

“ไม่ ฉันไม่เคยยุ่งกับสารเสพติด ครอบครัวของฉันเก่งด้านการขยายพื้นที่แบบนักธุรกิจสุจริต”

“แต่คุณเพิ่งบอกว่าคุณเป็นมาเฟีย” คาล์ลขำในลำคอเล็กน้อยกับความคิดของ อิง

“ในความคิดเธอ มาเฟียคืดอะไร?”

“คนที่มีอำนาจ ทำสิ่งผิดกฎหมาย ฆ่าคนอื่นไปทั่วเพียงเพราะเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกใจ”

“เธอดูหนังมากไปหรือเหล่า” กำปั้นหนัก ๆ กดลงที่หน้าผาก อิง จนหน้าหงายไปด้านหลัง ก่อนจะเด้งกลับมาท่าเดิมพร้อมใบหน้าไม่พอใจ

“จริงอยู่ที่ฉันฆ่าคน....”

“เห็นไหมล่ะ สุดท้ายคุณก็ยังทำผิดกฎ...”

“ฟัง ฉันไม่ได้ฆ่าเพียงเพราะพวกมันทำอะไรไม่ถูกใจ แต่เป็นเพราะมันเข้ามาวุ่นวายกับฉัน หรือถ้าเป็นภาษาเธอก็คง...กัดไม่ปล่อย ที่ฉันมีอำนาจก็เป็นความสามารถของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับว่าต้องทำผิดกฎหมาย หรือค้ายา”

อิงได้ฟังแล้วก็พยักหน้าตามเหมือนเข้าใจก่อนจะตั้งคำถามใหม่

“ถามอีกได้ไหม (พยักหน้าเป็นคำตอบ) คุณทำธุรกิจอะไรบ้าง”

“ในนามของฉัน ที่ทุกคนรู้จักคือ เจ้าของกาสิโนใหญ่ที่ มาเก๊า ลาส เวกัส สิงคโปร์ และกำลังคิดว่าจะไปเปิดที่ลอนดอนอีกที่”

“ไหนบอกไม่ผิดกฎหมายไง”

“ฉันมีใบอนุญาตประกอบกิจการ ถือว่าไม่ผิด”

“แล้ว...ที่นี่ล่ะ”

“ที่นี่ถึงจะเป็นบ้านฉันแต่ไม่เคยมีใครรู้จักฉัน ที่นี่ใช้เป็นชื่อของท่านอา ในนามเจ้าของบ่อน้ำมัน”

“คุณพระ!!!”

“...” คาล์ลยังคงใบหน้าเรียบเฉยที่มุมปากยังมีรอยยิ้มเล็กๆ เท่านั้น ท่าทางที่ดูไม่ได้ตกใจ แต่การที่พูดออกมาหน้าตายแบบนั้นมัน!

แค่ที่บอกว่ามีกาสิโน อยู่ในหลายประเทศที่ดัง ๆ มันก็มากพอแล้วไหมกับคำว่าอำนาจ ไหนจะมีบอน้ำมันหรือแหล่งขุดเจาะอีก

“แล้วที่เมืองไทย...”

“ฉันเพิ่งเริ่มทำตอนที่รับเธอเข้ามานั้นแหละ ยังไงดี..ท่านอาฉันได้ที่ดินตรงที่เธอทำงานอยู่มาได้เพราะ เจ้าของเดิมที่รู้จักกับท่านอายืมเงินไปลงทุน เพราะหวังว่ามันจะได้กำไร แต่ทำได้แค่ไม่กี่ปีทุกอย่างก็เริ่มพังลง จากบุคลากรที่เขาดูแลเอง อย่างที่เธอกับอีธานเคยเช็คกันนั่นแหละ”

“ยักยอกเงินส่วนกลาง...เหรอครับ?” คาล์ลพยักหน้าให้กับคำตอบ แถมเสริมเรื่องเสียๆ หายๆ ในบริษัทให้ฟังอีกมากมาย จนอิงเองก็คิดว่าที่พังไปแบบนั้นถูกแล้ว

“คำว่ามัวเมาในอำนาจจนลืมช่องว่างเล็ก ๆ นั่นแหละที่ทำให้เจ้าของเดิมพัง พอเกิดเหตุขึ้นมาแบบนั้นเงินที่ต้องใช้พวกฉันก็ไม่มี ท่านอาเลยขอยึดที่ดินพร้อมกิจการ ถึงตรงนี้เธอคงไม่อยากเดาว่าเขายืมไปเท่าไหร่ถึงสมารถยึดที่เขาได้แบบนั้น”

“ครับ...คงมากจริง ๆ ”

ยิ่งเห็นเจ้าหนูกำลังสนใจในเรื่องราวมากเท่าไหร่คนที่ คิดว่าตนแนบเนียนที่สุดก็เริ่มลูบไล้ลงไปจนถึงบั้นท้ายกลมโตที่บีบแล้วมันเหมือนจะสู้มือเสียด้วย จนลืมตัวเผลอออกแรงมากเกินไป...

“อ่ะ คุณเมฆ ตาแก่บ้ากาม” พูดพร้อมกระเด้งตัวออกจากตักของคนโรคจิต มือทั้งสองข้างรีบกุมแก้มก้นตัวเองไว้อย่างหวงแหนพร้อมระแวง จนลืมไปว่าตนเองได้ลุกขึ้นยืนทั้งที่น้ำตรงที่นั่งกันอยู่ก็มีเพียงแค่ถึงต้นขาเท่านั้น

ส่วนอ่อนไหวโผล่พ้นน้ำมาชี้หน้าตาแก่โรคจิต ส่วนคนที่มองก็ชอบใจในความตกใจครั้งนี้แถมยังเอนกายไปด้านหลังใช้ศอกชันกับขอบสระมองความสวยงามตรงหน้าตาเป็นประกาย สายตาวาววับมองลงจนคนโดนจ้อง ต้องมองตาม ก่อนจะตกใจรีบนั่งลงจนส่วนอ่อนไหวกระแทงกับผืนน้ำ

“อ่ะ จุก”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ให้ฉันช่วยอะไรไหม”

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ผมเลยนะ!!” พูดไปมือก็ปัดน้ำกระเด็นใส่หน้าคนที่ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะตน เจ็บใจนักไม่น่ารีบนั่งลงเลย

แต่ตอนที่ก้มหน้าบ่นอยู่นั้นเขาก็ได้เห็นอะไรที่มันใหญ่แทบจะทิ่มตาตัวเองตั้งโด่อยู่ในน้ำ

เนื่องจากสระนี้เป็นสระเฉพาะ อิงเลยไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาและก็ไม่คิดว่าการที่เข้ามาผ่อนคลายในนี้จะทำให้เขาต้องมาเห็นตัวตนของคนอื่นที่ชี้หน้ากันแบบนี้

พอตั้งตัวได้อิงจะรีบเชิดหน้าขึ้นก่อนจะค่อย ๆ ขยับถอยหลังไปที่ละเล็กทีละน้อย แต่ก็ช้ากว่าคนที่มองอยู่ แถมเมื่อกี้ที่เห็นอะไรๆ น่ารักไป ร่างกายเขามันก็สูบฉีดขึ้นมาซะเหลือเกิน

คาล์ลส่งมือขวาไปคว้าแขนเรียวของเจ้าหนูออกแรกเพียงเสี่ยวเดียวของแรงที่มีก็ทำเอาอิง ขยับมาแนบชิดแผ่นอกกว้างที่มีขนเล็กน้อยทำเอาคนมองแอบขนลุกเกลียวขึ้นมาทันที

‘ทำไมเมื่อกี้ไม่ได้สังเกตนะ’

“จะรีบไปไหน! ช่วยขัดหลังให้หน่อยสิ”

“ผะ..ผมจะ ขะ..ขึ้นแล้ว ลงมานานแล้ว อ๊ะ” อยู่ ๆ มือใหญ่ก็กดสะโพกของเขาเข้าหาตัว ทำให้ยิ่งใกล้กันเข้าไปอีก หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งทำงานหนักจนกลัวว่าคนเบื้องหน้าจะมาได้ยินด้วย

ระยะความห่างแทบไม่เหลือเพราะอิงยังใช้เข่าในการพยุงตัวเองทำให้ความสูงของเขาเหนือกว่า คาล์ลที่นั่งไปกับพื้นสระ

และสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมาทำตัวขายหน้าวันนี้คือการที่อิงน้อยไปกระแทกเข้ากับแผงอกของคนด้านหน้าจนคนที่โดนทิ่ม (?) ถึงกับยกมุมปากขึ้นเหมือนชอบใจ

“คะ..คุณเมฆปล่อยผมก่อน นะ”

“เธอ..มีอารมณ์เหรอ ? ” ความอยากแกล้งก่อนหน้านี้มันหายไปหมดแล้ว มันเหลือเพียงการเอาจริงที่อยากทำให้เด็กตรงหน้าเลิกพยศกับตนสักที

มือที่กดตรงสะโพกยังทำงานอยู่ตลอดจนตอนนี้มันมาหยุดที่ก้อนเยลลี่เด้งดึ๋งจนน่าขย้ำให้ปริ้นตามซอกนิ้วเสียจริง

“อื้อ คุณเมฆก็เลิกจับก้นผมสักที” มือที่ดันไหล่ไว้เปลี่ยนไปพยายามดึงมือของเจ้าของบ้านออก แต่มันไม่ได้มีการขยับตามแรงที่เขาดึงเลยแม้แต่น้อย

‘คอยดูนะกลับไทยเมื่อไหร่จะออกกำลังกลายทุกวันเลย’

“ฉันเห็นว่าเธอนั่งเครื่องมานาน น่าจะเมื่อยเลยอุตส่าห์ใจดีจะนวดให้” บอกพร้อมออกแรงมากขึ้น

“มันจะไม่หายเมื่อยเนี่ยสิ (พูดไทย) ” พูดไปหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าอะไรๆ มันเริ่มก่อตัวมากขึ้น

“เธอพูดว่าอะไรนะ”

อิงมองใบหน้าคมคายสไตล์หนุ่มลาตินที่หล่อเข้มดูดี แถมดวงตายังคมลึกหน้ามองคิ้วที่หนามีรอยแต่งมันเล็กน้อยตรงช่วงท้าย จมูกโด่งเรียวสวยทรงหยุดน้ำเหมือนผู้หญิงแต่พอมาอยู่รวมกันบนใบหน้านี้กับให้ความรู้สึกเข้ากันอย่างลงตัว

“คุณ...ต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่” คำถามที่มันหลุดออกจากความคิดออกไปทำให้อิงเองก็รู้สึกตัวชาขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้เป็นเพราะแช่น้ำนานหรือแววตาที่วาววับเพียงครู่เดียวเมื่อกี้กันแน่

“ถ้าฉันบอกต้องการเธอ...”

“ต้องการแบบไหนกัน เหมือนทุกคนที่คุณให้อีธานไปรับมาให้ หรือมากกว่านั้น”

“เธอ...รู้!!” คาล์ลนึกแปลกใจที่อิงรับรู้เรื่องที่เขาเรียกใช้บริการอะไรพวกนี้ มันอาจจะไม่น่าตกใจหากเป็นคนอื่นแต่สำหรับอิง เด็กที่เขาคิดว่าบริสุทธิ์เกินกว่าจะมารับรู้อะไรแบบนี้จากเขา หรืออาจเป็นความกลัวของเขาเองที่กลัวว่าหากเจ้าหนูรู้แล้ว อาจจะไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่าเจ้านายและลูกน้อง

“ทำไมครับ มันเป็นความลับตรงไหนกันในเมื่อทุกเช้าผมต้องขึ้นไปจัด เสื้อผ้าให้คุณอยู่แล้ว”

“เดี๋ยว ๆ แล้วเธอเห็นอะไร! ฉันไม่เคยพาใครมาที่ห้อง”

“ก็คุณเล่นกองเสื้อผ้าไว้กลางห้องผมก็ต้องเป็นคนเก็บตลอดรอยลิปเอย กลิ่นน้ำหอมที่เปลี่ยนไปไม่ซ้ำเดิมเอย”

“เธอทำตัวเป็นเลออนอีกแล้ว” คาล์ลพูดขำ ๆ เมื่อรู้ที่มาที่ไปเป็นเขาที่เข้าใจผิดคิดว่าแม่บ้านหรืออีธานเป็นคนเก็บให้ไม่คิดว่าจะเป็นอิง แถมยังพูดเหมือนกับจำกลิ่นเขาได้อย่างไรอย่างงั้น

“คุณหาว่าผมเป็นหมาหน้าย่นอีกแล้วนะ!!” พอรู้ว่าโดนว่าอิงก็พยายามดันตัวเองออกอีกหน ก่อนที่คาล์ลจะดึงขาซ้ายลากขาขวาเอาเขามาเกาะที่เอวตัวเองแล้วกดสะโพกให้เข้ามาใกล้ การกระทำแบบนั้นทำให้ส่วนกลางกายเสียดสีกันจนอิงสะดุ้งด้วยความตกใจ

“คุณเมฆ!!”

“ตอนแรกกะจะให้ขัดหลังให้เฉย ๆ ตอนนี้...อยากให้ขัดปืนใหญ่ให้มากกว่า” อิงอาปากค้างกับคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนาย พร้อมคิดในใจว่า เขาหลงเห็นคุณเมฆเป็นคนดีมาได้อย่างไรตั้งนานสองนาน

“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ ปล่อยผมเลยนะ ผมไม่เล่นนะคุณเมฆ” คาล์ลชะงัก ก่อนใบหน้าจะดูจิงจังมากยิ่งขึ้น

“ฉันไม่เคยเล่น ที่เธอถามฉันว่าต้องการเธอแบบไหน ถ้าฉันบอกต้องการให้เธออยู่ข้า...”

“มันเป็นไปไม่ได้ ผมกับคุณ เหอะ แค่คุยกันดี ๆ เกินห้านาทีก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณยังคิดจะให้ผมไปอยู่ตรงนั้น ผมกับคุณไม่ได้ฆ่ากันตายก่อนหรือไงถึงจะรักกัน...”

“ตอนนี้ก็รักแล้ว!!” เสียงใหญ่ดุดันพูดโผงออกไปแบบไม่รอให้อิงได้พูดจบ

“...อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้นะคุณ” อยู่ ๆ ในตามันก็ร้อนผ่าวไม่รู้มันตกใจ ซึ้งใจ หรือกำลังเสียใจอะไรบ้างอย่าง

“อิง...”

“อย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาทำแบบนี้ เพียงเพราะความสุขส่วนตัวของคุณ อย่าใช่คำว่ารักเพียงเพราะอยาก”

“คิดไปไกลแล้วเจ้าหนู...ฉันไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นกับเธอ อ่า จะว่าทั้งหมดก็ไม่ใช่ แต่ฉันไม่เคยเอาคำว่ารักมาพูดเล่นเพื่อหวังจะได้ครอบครองใคร นอกจากคนในครอบครัวฉัน ฉันไม่เคยมอบคำนี้ให้ใคร อิง...อย่ามองฉันในแง่ร้าย”

“...” อิงไม่พูดอะไรอีกแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนกันแล้วใบหน้าที่เสมองไปทางอื่นขึ้นสีมาพอให้รู้ว่าคนบนตัก ยังรับรู้ทุกอย่างที่ตนพูดเลยเริ่มพูดต่อ พร้อมดึงให้อิงเข้ามาซบที่ไหล่ แถมยังเนียนลูบแผ่นหลังเนียนสวยไปด้วยอีกต่างหาก

“ที่ฉันพาเธอมาที่นี่มันยังไม่พอกับคำตอบที่ได้ยินหรือไงหื้อ ฉันไม่ได้ใจดีขนาดพาใครมาด้วยทั้งๆ ที่ฉันต้องรีบกลับหรอกนะ ฉันสามารถซื้อตั๋วให้เธอกลับกรุงเทพฯไปก่อนก็ได้ แต่ฉันก็ไม่ทำ”

“จะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไงในเมื่อมือคุณยังไม่เลิกลูบแผ่นหลังผมแบบนี้”

“ก็เห็นว่าเป็นเวลาที่ควรตักตวง หึหึ ถ้าเธอไม่พร้อมหรือยังไม่แน่ใจในตัวฉันฉันรอได้”

พูดพร้อมผละออกเพื่อดูใบหน้าเจ้าหนูที่ตอนนี้แดงลามไปทั่วใบหน้าและลำคอแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าเขินคงคิดว่ากำลังแพ้อะไรอยู่แน่ ๆ

“แล้วถ้าผมไม่พร้อม ไม่มั่นใจ ไม่ตกลงล่ะ”

“อยากลองวัดความอดทนฉันก็เอา แต่บอกก่อนนะว่ามันมีน้อยกว่าเมล็ดถั่วเขียวเสียอีก”

“แบบนั้นตอบว่าไม่มีง่ายกว่าไหมคุณ”

คาล์ลขำกับใบหน้ายับย่นของอิง เลยเผลอเอามือไปนาบที่ใบหน้าก่อนจะสบตากันครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในวันนี้

“ถ้าฉันขอแค่จูบ..เธอจะให้มันได้ไหม”

“ไหนบอกจะรอ”

“รอเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้ขอก่อนมัดจำไง”

อิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ ถ้าไม่ให้วันนี้อาจจะไม่ได้ขึ้นจากน้ำก็เป็นได้ แถมไอ้ที่เสียดสีอยู่ในน้ำนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรถ้ายังประวิงเวลาอยู่แบบนี้

“แค่จูบนะ” ประกายวาววับที่มาให้เห็นเพียงแว็บ ๆ ก็ทำให้รู้สึกอยากเปลี่ยนคำเสียแล้ว

เหมือนเดินเข้าปากเจ้าป่าเองเลยเรา

คาล์ลพยักหน้าตกลงก่อนจะนาบมืออีกข้างไปที่ใบหน้าอีกซีกค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปหา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่มันจะถูกหยุดลงตอนที่ริมฝีปากของคาล์ลแตะเข้ากับของตน

จากจูบแบบแนบชิดเฉย ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการบดขยี้เบา ๆ เป็นการขอ ก่อนที่เลียวลิ้นจะค่อย ๆ แทรกเข้ามาด้านใน

คาล์ลไม่ได้ทำเหมือนบังคับแต่เป็นการสอดแทรกเข้ามาเพื่อให้เขาเป็นคนนำ ถึงจะไม่เคยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในการนำเกมนี้ มันดูเงอะงะสำหรับอิง แต่กับคาล์ลมันคือความน่าหลงใหล ไม่ใช่เพราะได้เป็นจูบแรก แต่เพราะเป็นคนที่อิงยอมที่จะจูบด้วยต่างหาก

ผู้ชายแบบเขา ผู้ชายที่น่ากลัวไม่เคยรียกร้องหาความรักจากใคร แต่มาวันนี้เขาอยากได้ อยากได้ทุกอย่างที่เป็นอิง ทุกอย่างที่เป็น แสงตะวัน ภูรินนท์

“อ่ะ คุณเมฆ จะไปไหนปล่อยผมลง ไหนบอกแค่จูบไง”

“อืม แค่จูบแต่ตรงนี้มันหนาว ไปจูบต่อในห้องดีกว่า”

 



 

 

 

TBC.

 


[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 20-12-2021 23:57:49
 :mew3:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 20-12-2021 23:59:36
 :-[
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-12-2021 00:34:57
 :hao6:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 22-12-2021 01:38:25
ตอนที่13 คิดไม่ตก



คาล์ล อุ้มเจ้าหนูขึ้นมาจนถึงห้องนอนก่อนจะวางเจ้าหนูลงบนเตียงอย่างเบามือ แล้วก็ไม่รอให้อีกคนได้ตั้งสติได้ก็คร่อมตัวกักอีกคนไว้ทันที

“คะ คุณพอแล้วไหม”

“อีกนิด สัญญาจะหยุด” ไม่รอคำอนุญาต เจ้าตัวก้มหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากบางอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดูดดื่ม

อิงตัวสั้นเล็กน้อยตอนที่ความเย็นมากระทบกับผิวกายที่ไม่มีแม้แต่ผ้ากั้นสักผืน คาล์ลรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าหนูของเขาคงจะหนาวเป็นแน่ เลยเบียดช่วงล่างเข้าหาหวังว่ามันจะช่วยในอุ่นขึ้นมาได้บ้าง

“เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอหายหนาวเอง” มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนกดริมฝีปากลงไปแนบชิดกับคนด้านล่าง จูบเบา ๆ เป็นเชิงขออนุญาตแล้วจึงกัดริมฝีปากล่างเมื่อคนด้านล่างไม่ให้ความร่วมมือ

อิงที่ตกใจจากการกระทำของคุณเมฆก็เผลออาปากจนทำให้ลิ้นร้ายเข้ามาภายในได้สำเร็จ คาล์ลค่อยๆ ชักนำในการใช้ลิ้นตัวเองหยอกล้อลิ้นเล็กไปมาก่อนจะแอบกัดแล้วดูดเบา ๆ เหมือนการปลอบใจ

การจูบยาวนานจนความหนาวในคลาแรกเปลี่ยนเป็นความอุ่นร้อนขึ้นมาโดยเฉพาะตรงช่วงกลางกายที่มันทั้งร้อนและดูดุดัน สัมผัสได้จากการที่มันทิ่มหน้าขาเขาไม่ยอมหยุด อยากบอกให้คุณเขาเอามันออกไป ก็อายเกินกว่าจะเอ่ย แต่พอจะเอ่ยริมฝีปากก็ไม่ว่างเสียแล้ว

“อ๊ะ!!”

จุ๊บ

หลายครั้งที่เจ้าตัวยอมปล่อยให้หายใจแต่ก็ได้ไม่นานก็กลับมาจูบใหม่ แถมยังกัดปากเขาจนมันรู้สึกชาหนึบไปหมดแต่ก็เหมือนยั้งมือเพราะเขาไม่ได้กลิ่นเลือดหรือรสชาติแปลก ๆ เลย

คาล์ลที่เห็นว่าเจ้าหนูของเขาเริ่มเคลิ้มตามแล้ว จึงเลื่อนมือที่วางนาบด้านข้างไปลูบไล้ตามสีข้างก่อนจะเลื่อนลงไปบีบบั้นท้ายเด้งดึ๋งอย่างหลงใหล

“อ่ะ คุณเมฆ หยุดอื้อ ไหนบอกแค่จูบไง” อิงสะดุ้งตกใจที่อยู่ ๆ มือหนาก็บีบก้นตัวเองเสียแรงเหมือนหมั่นเขี้ยวอย่างไรอย่างงั้น

“ขอโทษ...มันลืมตัว จุ๊บ เฮ้อ@!!” จูบย้ำที่ริมฝีปากบางเป็นการขอโทษก่อนจะซบหน้าลงกับแผ่นอกขาวใสจนอยากฝากรอยไว้ แต่ก็นั่นแหละเขายังไม่อยากให้เจ้าหนูตื่นกลัวหรือคิดว่าเขาเป็นตาแก่ไม่รักษาสัญญา

แต่คาล์ลก็ยังแอบจูบหนัก ๆ ลงแผ่นอกขาวจนขึ้นรอยแต่ไม่ถึงกลับห้อเลือด ก่อนจะพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ ลากช่วงเอวบางเข้าหาตัว กดจูบที่ลาดไหล่อีกครั้งเมื่อจมูกสัมผัสโดนเหมือนไม่อยากห่างไปไกล

“จะนอนหรือจะไปแต่งตัวก่อน?”

“แฮ่ก..แต่งตัวก่อนสิ” อิงแกะมือปลาหมึกออกจากเอวก่อนกระเด้งตัวลงข้างเตียงพร้อมดึงผ้าห่มผืนใหญ่ติดตัวไปด้วย โดยที่ไม่ได้หันมามองเลยว่าคนบนเตียงเปลือยเปล่าทั้งตัวแค่ไหน แถมช่วงกลางกายยังขยายตัวซะเต็มที่เลย

“ถึงวันนั้นเมื่อไหร่...ไม่หยุดให้แบบนี้หรอกนะ”





[อิง]



ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายผม มันทำไมถึงยอมให้เขาเข้าใกล้ขอบเขตการป้องกันตัวได้ขนาดนี้ ผมใช้มือแตะลงที่ริมฝีปากที่มันยังหลงเหลือความอุ่นวาบและความเจ็บเล็กน้อยจากการดูดดึงของคุณเขา

คำที่เขาบอกผมที่สระมันคืออะไร! คือความจริงหรือแค่หลอกให้ตายใจ หรือแค่แกล้งเล่น ๆ เท่านั้น แต่ทว่าแกล้งเขาก็ไม่น่ามาจูบผมจริงแบบนี้นี่ แถมยังอุ้มผมเดินโทงเทงทั่วห้องอีก

“อิงจะเชื่อคุณได้มากแค่ไหน!” ไม่รู้เลย ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะจริงแค่ไหน ขนาดว่าความชอบผมตั้งแต่เมื่อไหร่ผมยังเดาไม่ออกเลย ทุกวัน...ไม่สิ ตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมาไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่กัดกันเหมือนลูกแมวตัวน้อยกับราชสีห์ขี้เก๊ก

ผมสะบัดความคิดในหัวออกก่อนจะเดินไปเลือกเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ แค่ใช้มือแตะเบาๆ บานประตูก็เปิดออกแบบอัตโนมัติ โคตรเจ๋ง แต่พอเปิดออกแล้วก็รู้เลยว่าผมคงจะใส่ไม่ได้ ถึงใส่ได้ก็คงเหมือนเอาเสื้อพ่อมาใส่ ด้วยรูปร่างของคุณเมฆที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ไม่รู้เป็นชาติไหนกันแน่ แต่ถ้าไม่ใส่ผมก็คงไม่กล้าเดินออกเช่นกัน

ผมยอมหยิบเสื้อยืดแขนยาวคอกลมออกมาหนึ่งตัวพร้อมกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ดีหน่อยที่มันมีสายให้รัดไม่งั้นเดินไปคงหลุด พอใส่เสร็จก็มองดูตัวเองในกระจกแอบเผลอหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเสื้อตัวที่ใส่ยาวเลยเข่าลงไปอีก ถ้าไม่อายนี่ใส่แค่เสื้อผมว่าก็คงได้



“ช้า..”

“คุณ!!!” ตกใจกับความเปิดเผยของคุณเขาจนแทบลืมหายใจ กับภาพตรงหน้าที่ดูจะสบายคุณเขาเหลือเกิน การนอนที่เอามือทั้งสองข้างลองที่ท้ายทอย เหยียดขายาวพาดทับกัน แต่เข้าใจไหมว่ามันไม่ได้ทับไอ้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาเลยแม้แต่น้อย

ผมรีบหันหลังเลยไม่ได้เห็นว่าคุณเขาทำสีหน้าแบบไหน รู้แค่ว่ามีการเดินเข้ามาใกล้จากเสียงเท้าที่กระทบกับพื้นกระเบื้อง

“อายทำไม...เดี๋ยวก็ชิน..จุ๊บ”

“อื้อ” การจูบที่หลังคอทำเอาขนในกายลุกชัน เลือดลมเหมือนเหมือนจากติดขัด การหายใจสะดุด ใบหน้าเริ่มร้อนจนต้องเอามือมาแนบกดเบาๆ เพื่อคลายความประหม่า

แต่ไอ้คนทำกลับเดินโทง ๆ สะบัดตูดเข้าห้องแต่งตัวไปแล้ว หน้าอายที่สุด ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วยนะ ฮื้อ!! แล้วเรายอมไปจูบกับคนแบบนี้ได้ยังไง



20:10น.

เนื่องจากเวลาที่นี่ช้ากว่าไทยประมาณสามชั่วโมงเลยทำให้มันเพิ่งจะสองทุ่ม แต่ตาผมนี่สิจะปิดเอาให้ได้ พอหันไปมองคนร่วมเตียงคุณเขายังกดอะไรก็ไม่รู้ใน ipad เครื่องหรูใบหน้าที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ทำผมเผลอมองอยู่นานจนคนที่ทำงานอยู่ หันมามอง

“ง่วงก็นอน” เขาพูดพร้อมกับมือที่เช็ดหางตาให้ผม สงสัยตอนที่หาวเมื่อกี้จะมีน้ำตาติดอยู่

“คุณยังไม่นอน!”

“ไม่ใช่เวลานอนของฉัน”

“แต่ที่ไทยก็ห้าทุ่มแล้วนะ!!”

“ฉันต้องเคลียร์งานกับหลายประเทศนอนไม่เป็นเวลาหรอก อีกอย่างอีกสิบนาทีฉันต้องเข้าประชุม” ตาผมเบิกกว้างยกมือถือตัวเองที่ไม่มีสัญญาณขึ้นมาดูเวลามันจะเที่ยงคืนแล้วใครเขาจะมาประชุมกัน!!

“ถึงที่นี่จะสองทุ่ม แต่มันก็ดึกแล้วนะคุณ! คุณจะประชุมกับใคร?” ถามออกไปเพราะความสงสัยทั้งนั้น ก่อนที่มือข้างที่เกลี่ยน้ำตาให้เมื่อกี้จะมาคลายปมที่หัวคิ้วให้ผม

“เลออน ไม่ใช่สิ!! อิง..ฉันมีประชุมสิบโมงกับผู้บริหารที่ซานฟรานฯ ถึงที่นี่จะสองทุ่มแต่ที่นั้นอีกยี่สิบนาทีจะสิบโมง”

“ซานฟราน! ตอนที่ถามไม่เห็นบอกว่ามีงานที่นั่นด้วย” คุณเขาหัวเราะในลำคอก่อนจะวางipad ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วมาดึงผมเข้าไปหาเอ่ยคำที่ผมแอบเบะปากเล็กน้อย

“ธุรกิจฉันมันมีแทบทุกที่แหละ แต่มันก็มีที่ไม่เอ่ยนามฉัน ฉันมีมากพอเลี้ยงเธอได้ก็แล้วกัน”

“ใครสนเรื่องนั้นกันคุณ! ร้านข้าวแกงแม่ผมก็เลี้ยงผมได้เหมือนกัน”

“แต่ฉันสามารถเนรมิตทุกอย่างที่เธออยากได้”

“เกลียดคนขิง”

“ขิงคืออะไร!” ผมไม่ตอบแต่ดันเขาออกพร้อมกับล้มตัวลงนอนต่อ รู้แล้วว่าถ้าผมยังรอคืนนี้คงไม่ได้นอนแน่ ๆ

ล้มตัวลงได้ไม่นานรอบตัวผมก็รู้สึกมืดสนิทก่อนที่สติจะดับหายไป



01:33

“จัดการตามที่สั่ง...หวังว่าครั้งหน้าผมจะได้ยินข่าวดี” ว่าจบวีดีโอคอลกลุ่มทางไกลก็ถูกตัดไปทันที

แต่ก่อนที่จะได้ออกจากห้องทำงาน ฟีนิกซ์ก็เดินเข้ามาขัดเสียก่อน

“มีอะไร?”

“รู้ตัวคนวางเพลิงแล้วครับ”

“มันเป็นใคร!!”

“คนของโจเซฟครับ...แต่ตอนที่เรากำลังลากตัวมันกลับจากการหลบหนี มันก็ถูกฆ่าปิดปากเสียก่อนครับ” ฟีนิกซ์รายงานทั้งที่หน้ายังนิ่งอยู่เช่นเดิม

“...รู้ได้ยังไงว่าเป็นของทางนั้น!” คาล์ลถามออกไปอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดคลางแคลงใจในฝีมือของลูกน้องคนสนิทอย่างฟีนิกซ์

“รอยสักครับ สองแฝดบอกจำได้เมื่อครั้งมีเรื่องกันเมื่อหลายปีก่อน”

เขาจำเหตุการณ์นั่นได้ขึ้นใจ การเจอกันครั้งแรกของหัวหน้ามาเฟียฝั่งยุโรปคนใหม่ที่บุกเข้าถิ่นของเขาเพื่อกว้านซื้อที่แทบทำมาหากิน ใกล้กับเขา เพื่อข่มอำนาจในมือของ อัดฮัม อัจมาน คาล์ล แต่สุดท้ายก็พ่ายกลับไปเพราะตัวเอง การที่คิดว่ามีอำนาจในมือแล้วจะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ศึกษาถิ่นฐานที่ตนอยากได้ ว่ามีเจ้าถิ่นอยู่หรือไม่นั่นคือเหตุผลที่ โจเซฟ แค้นเขาหนักมาจนถึงทุกวันนี้ จากการถูกหักหน้าหรือมันใช้คำอื่นที่คิดว่าใช่กว่าก็คงเป็น โง่

“มันจะกัดฉันไม่ปล่อยเลยใช่ไหม”

“...”

“ไปเช็กมาว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร! ไมสิ! ไปสืบมาให้หมดว่าตอนนี้มันทำอะไรอยู่อยู่ที่ไหนบ้าง ส่งคนของเราเข้าไปอยู่กับพวกมัน อย่าให้มันรู้ตัว จ้างพวกไร้สังกัดไม่กลัวตายเข้าไป”

“ครับนายท่าน” หากคิดที่จะไม่ยอมปล่อย เขาก็จะทำให้มันรู้เองว่ามันเล่นผิดคน การที่ยังคิดว่าตัวมันจะล้มเขาได้เพราะมีอำนาจในมือคงเป็นความคิดของเด็กที่ยังเห็นโลกไม่มากพอ มัวเมาในอำนาจจนมันทำให้ชีวิตดูสั้นลง



ฟีนิกซ์ออกไปแล้ว แต่คาล์ลก็ยังไม่คิดจะกลับเข้าไปยังห้องนอนตอนนี้ เขาหยิบบุหรี่ราคาแพงขึ้นมาก่อนจะใช้ซิปโป้จุดไฟดูดเอาสารเข้าสู่ลำคอแกร่งก่อนจะพ่นมันออกมาช้า ๆ

นั่งคิดอะไรมากมายอยู่ในห้องทำงานที่กว้างขวางจนมันรู้สึกอ่างว้างแปลก ๆ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของผู้เป็นบิดาที่บัดนี้ไม่ได้อยู่กับตนแล้ว

“อัดฮัม เจ้าจงจำไว้นะ...การจะมีใครสักคนเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้า อย่าเลือกเพราะพอใจ อย่าเลือกเพราะผลประโยชน์ เจ้าจงเลือกเธอตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถปกป้องเขาได้แล้ว”

“....”

“อย่าทำให้การเลือกของเจ้าต้องทำให้คนที่จะมาอยู่ข้างเจ้าต้องเป็นอันตราย...แบบพ่อ”

“ท่านพ่อ พูดเหมือนไม่รักแม่!” ตอนนั้นเขาเพิ่งจะสิบขวบเอง การที่คนเป็นพ่อพูดออกมาแบบนั้นถึงกับทำให้เขาคิดไปว่าผู้เป็นพ่อไม่ได้มีใจให้แม่ของตน

“รักสิ รักมากจนลืมคิดทุกอย่าง ลืมไปว่าตัวเองอยู่ในจุดไหน เธอจะปลอดภัยไหม เธอจะหลับได้หรือเปล่า ...หึ แต่แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ๆ เธอไม่กลัวอันตรายอะไรเลย เธอเป็นเหมือนทุกอย่างในชีวิตของมาเฟียคนหนึ่งที่มีแต่ภัยรอบตัว เธอคือบ้านของพ่อเจ้า แล้วเจ้าคือสิ่งที่พ่ออยากรักษาไว้”

“...”

“จงเดินตามทางของเจ้าเถอะ อัดฮัม อำนาจมันไม่ได้หอมหวานอย่างเช่นที่ใครเขาพูดกันหรอก”

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในคำพูดของผู้เป็นบิดา แต่หากเขาไม่ขึ้นรับตำแหน่ง ท่านอาก็ไม่ยอมเช่นกัน และในตอนนั้นก็ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เขาจึงจำยอมต้องรับมันมาไว้บนบ่าดูแลทุกอย่างที่บรรพบุรุตสร้างไว้ให้ และเขาก็สามารถมาต่อยอดมันให้กระจายไปทั่วทุกที่ที่เขาไป ทุกที่ที่ก้อนเงินสูง

เขาทำมันได้เขาดูแลทุกอย่างและสร้างมันเพิ่มขึ้นมาได้จากการมี Backup และคน Supportที่ดีอย่างท่านอาคนที่เป็นเหมือนพ่ออีกคนของเขา

แต่มาตอนนี้เขากลับคิดว่า อำนาจที่มีกำลังจะทำให้ชีวิตธรรมดา ของใครคนหนึ่งกำลังวุ่นวาย เพราะเขา!

“เธอจะไม่มีวันเป็นอะไร” ถึงความสัมพันธ์จะยังไม่เข้าที่เข้าทาง เขาก็เชื่อหมดใจแล้วว่า เด็กคนนั้นคือคนที่จะมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา จะมาเป็นบ้านให้เขาได้กลับมาพักผ่อนจากการทำงานหนัก แต่ก็คงเป็นบ้านที่มีสีสันมาก ๆ หากถูกเจ้าหนูบ่นทุกวัน หึ

บุหรี่ในมือหมดลง คาล์ลก็ทำการบี้ส่วนที่เหลือเข้ากับจานเขี่ยรูปทรงสวยงาม ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนที่ตอนนี้ด้านขวามือของเตียงได้ถูกจองไปแล้วเรียบร้อย

คนบนเตียงคงหลับลึกมากพอสมควรถึงไม่รู้เลยว่าเขาได้กลับเข้ามาในห้องแล้ว

ดวงตากลมโตที่เวลาปกติชอบมีแววสงสัยทุกอย่างหรืออาจจะทำการถลึงตาใส่เขาหากว่าพูดอะไรไม่ถูกใจ บัดนี้มันได้ปิดสนิทเห็นเพียงเปลือกตาสีมุกกับดวงหน้าที่หน้ามอง

คาล์ลยืนมองคนหลับอยู่นานก่อนจะเอนตัวลงไปนั่งข้างๆ ปลายนิ้วมือ ถือวิสาสะปัดปอยผมที่ล่วงมาปิดดวงหน้าใส ก่อนจะกระทำการอุกอาจก้มลงไปจูบที่ข้างขมับ ถึงในใจอยากจะครอบครองริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นมากกว่าก็เถอะ

“ยังมีเวลาอีกมาก...ฉันไม่รีบ”

“...”



“แต่อย่านานจนถึงปีล่ะ เพราะความอดทนคนเรามันมีขีดจำกัด”

พูดจบก็ขยับใบหน้าออกก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนานุ่มขึ้นมาห่มให้จนถึงช่วงคอ แล้วค่อยเดินอ้อมไปขึ้นเตียงอีด้านแทน ไม่ลืมที่จะสอดลำแขนแกร่งพาดผ่านช่วงเอวก่อนจะกระชับเข้าหาตัวเบา ๆ จนแนบอก สูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพู ความคิดที่อยากตื่นมาแล้วเจอเด็กคนนี้ทุกวัน หรือแม้ยามหลับก็อยากกอดให้จมหายเข้าไปในอก

“Goodnight, Baby”



07:30 น.



หากเป็นที่บ้านตื่นเวลานี้อิงคิดว่าตนเองคงไปทำงานสายเป็นแน่ คงเป็นเพราะที่นี่มันเงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีแสงแยงตาเพราะม่านผืนใหญ่ถูกปิดไว้สนิทไม่มีแม้แต่แสงบยามเช้าเล็ดลอดเข้ามาได้

แต่การตื่นมาแล้วเหมือนโดนผีอำนี่ก็ทำให้คนอย่างแสงตะวัน ที่ปกติเวลาอยู่คนเดียวก็ชอบคุยกับตายาย ที่เสียไปแล้วในอากาศถึงกลับขนลุก

“ตาจ๋ายายจ๋า อะ..อิงมาทำงานเฉยๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว” พึมพำพูดคนเดียวแต่เปลือกตาก็ไม่ยอมเปิดขึ้นมาดู

แต่พูดอะไรไปแรงกดทับที่ช่วงเอวก็ไม่ได้หาย เลยเริ่มสงสัย

‘ไม่ใช่ตายาย! แล้วอะไร!’ คำถามในความคิดถูกไขกระจ่างเมื่ออิงค่อยๆ ผินหน้าหันไปมองที่ด้านหลังของต้น

ถึงได้รู้ว่าแรงที่เอวมาจากใคร

แต่พอจะปลุกก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืน คุณเขามีประชุมซึ่งไม่รู้เลยว่าเสร็จไปตอนไหน หากปลุกตอนนี้มีหวังโดนฆ่าแน่ ๆ เรา

อิงมองใบหน้าของคนหลับนิ่งๆ ก่อนจะสำรวจใบหน้านั้นอีกครั้งอย่างหลงใหล ใบหน้าแบบแขก คิ้วหนา ขนตายาวงอนสวยเหมือนผู้หญิง จมูกโด่งคมสันรับกับรูปปากที่เขาเองก็เคยสัมผัส ใบหน้าคมคายมีเคราสวยงามจากการตัดแต่ง ทำให้ดูไม่รกแต่ให้ความมีเสน่ห์ชวนให้มอง แต่พอจะเอื้อมมือไปจับ ดวงตาที่ปิดสนิทกลับเปิดขึ้นจนเขาเองสะดุ้ง กะจะชักมือกลับก็โดนจับไว้เสียก่อน

“จะจับก็จับ”

“...เปล่าสักหน่อย ปล่อยได้แล้วผมจะไปอาบน้ำ”

“Kiss ก่อน”

“อะ..อะไรไม่ทำอื้อ...” อิง ร้องท้วงเมื่อเรียวปากบางถูกคาล์ล กดจูบลงไปแต่ไม่ได้รุกล่ำแต่อย่างใด

“Morning Kiss” พูดไปมุมปากก็ยกยิ้มไป

ส่วนอีกคนพอเป็นอิสระก็รีบลุกวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที ก่อนจะเห็นเดินอ่ำอึ่งออกมาอีกครั้ง

“!!!”

“ผะ..ผมลืมผ้าเช็ดตัว” ว่าแล้วก็รีบไปอีกห้องแล้วคว้าหยิบผ้าที่เตรียมไว้เต็มตู้มาหนึ่งผืนก่อนจะก้มหน้ารีบเดินไปทางห้องน้ำดีหน่อยที่มันมีช่องที่ทะลุถึงกัน เลยไม่ต้องผ่านไปทางห้องนอนให้ได้เห็นใครตอนนี้ (ตอนแรกก็ลืม)

ให้หลังอิงไปคาล์ลก็ได้แต่ส่ายหัวให้กลับคนเก่งแต่อยู่หน้างานแต่พออยู่กับเขาทีไร อิงเหมือนจะดูผ่อนคลายมากขึ้นจนกล้าแสดงอาการแปลกๆ ออกมาให้เห็นบ่อย ๆ อย่างเช่นการเขินเมื่อตะกี้นี้

“หึ...น่ารัก”

อิงใช้เวลาในห้องน้ำค่อนข้างนาน อันที่จริงก็เสร็จนานแล้วแหละ แต่แค่ยังตั้งตัวไม่ถูกหากต้องออกมาเจอคนที่จูบตัวเองไปเมื่อกี้

แต่พอออกมาในห้องกลับว่างเปล่า ก่อนจะมีสาวใช้เดินเข้ามาขอทำความสะอาดซึ่งเขาก็ได้แต่พยักหน้าเหมือนเข้าใจแหละ แต่จริง ๆ แล้วเดาเอาจากอุปกรณ์พี่ ๆ เขาถือมาทั้งนั้น จะถามหาอีกคนก็กลัวว่าเขาจะฟังไม่รู้เรื่องก่อนที่คุณเอ็มม่าจะเดินเข้ามา แล้วบอกว่านายท่านรอที่โต๊ะอาหารแล้ว ซึ่งนายท่านที่ว่าก็น่าจะเป็นคุณเมฆ อิงขอบคุณก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วลงไปด้านล่างซึ่งพอลงมาถึงก็เอ๋อแดกอยู่ที่ราวบันไดทันที

“แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ถามนะว่าห้องทานข้าวไปทางไหน” ก็ได้แต่บ่นตัวเองก่อนจะมองซ้ายขวาชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกทางไหนดีแต่ก่อนจะได้เลือก ก็เหมือนสวรรค์สงสารเลยส่งผู้นำทางทั้งสี่มาให้

“ทำไมทำลับๆ ล่อๆ แบบนั้นอิง?” (สะดุ้ง)

“พี่คิณ!!!!” อิงดีใจจนปิดอาการไม่มิดก่อนจะรีบเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่คุ้นเคยกันดีอย่างเหล่าบอดี้การ์ดชุดนี้

“คืออิงหาห้องอาหาร...แต่มันกว้างเกินไป อิงเลยไม่แน่ใจว่าต้องไปทางไหน”

“อ่อ ไอ้ที่ทำเหมือนแอบเข้าบ้านเขาอ่ะนะ” หยิน หวัง เอ่ยแซวกับอาการที่เห็นก่อนหน้านี้ กับการจับราวบันไดก้มต่ำเล็กน้อยชะโงกหน้ามองซ้ายทีขวาทีจนหน้าสงสัย ว่าหากไม่ใช่พวกเขาที่เข้ามาเจอ เจ้าตัวจะโดนบอดี้การ์ดกลุ่มอื่นจับไปเค้นแล้วหรือเปล่า

“นี่!!..” พูดพร้อมทำหน้ามุ่ย

“โธ่!! หนุ่มน้อย เธอคงหิวแล้วใช่ไหมล่ะ ไปๆ ฉันจะนำทางเธอเองที่รัก” เอามือพาดไหล่

“ลุง พูดอะไรระวังด้วยเกิดลูกพี่มาได้ยิ...”

“ฉันแค่แซวเล่น!! ทำไมชอบเอาสุดที่รักของฉันมาขู่ตลอด”



กว่าจะเดินมาถึงห้องอาหารก็เกือบได้ดูมวยสดเมื่อสองแฝดชอบไปแหย่สตีเวนให้อารมณ์ขึ้น



“ช้า..” มาถึงก็เจอกลับสายตานิ่งๆ ที่เหมือนไม่รับแขกก่อนจะกวาดตามองลูกน้องตนทุกคน

“ก็ผมหาทางมาไม่เจอ ดีนะได้พวกพี่เขาช่วย”

“แล้วทำไมไม่ถามเอ็มม่า!” ปากพูดกับอิงแต่สายตากลับมองบอดี้การ์ดคนสนิททั้งหลาย

แล้วมันเหมือนมีคำถามยิ่งใส่หน้าว่าจะยืนกันอีกนานไหม!

“...”

“เอ่อ....อิงงั้นไว้เจอกันนะทานให้อร่อยล่ะ”

“ทุกคนไม่อยู่ทานด้วยกันเหรอครับ” ใจสตีเวนอยากบอกเหลือเกินว่า หากอยู่นานอีกหน่อยคงได้ไปทานกับเจ้าสามแสบแทน แต่จะให้เอ้ยไปแบบนั้นมันก็คงไม่ได้เลยตอบไปว่า...

“พวกเราทานเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะไปทำงาน” ว่าจบก็บอกลาอิงอีกเล็กน้อยกับเจ้าหนูที่ทำหน้าหง่อยเมื่อเพื่อน ๆ ต้องไปกันแล้ว

“ทานกับฉันสองคนมันจะเป็นอะไรนักหนา!!”

“...” อิงไม่ตอบแต่กลับก้มหน้าหันไส้กรอกเข้าปากแทน ถึงมันจะอร่อยแต่มันก็ไม่ได้อยู่ท้องเหมือนกับข้าวที่บ้านเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากถอนหายใจยาว ๆ

คนที่มองดูเหตุการณ์เหมือนเริ่มหมดอารมณ์ในการทานมื้อเช้าแล้วเหมือนกัน อะไรคือการทานข้าวกับเขาแล้วทำหน้าเหมือนโดนบังคับแบบนั้น

“ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน!!”

“ไม่ใช่ไม่อยาก...แคคิดถึงกับข้าวที่ไทย” คาล์ลที่ตอนแรกอารมณ์เหมือนจะขึ้นก็ดูจะผ่อนคลายลง คิดว่าสาเหตุมาจากตนที่ไหนได้ เด็กคิดถึงบ้าน

เห็นใบหน้าหง่อย ๆ แบบนั้นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ตอนมาก็ไม่ได้บอกอะไร ตอนจะกลับก็ยังไม่มีกำหนด คงแย่มากสำหรับคนที่ไม่เคยห่างบ้านอย่าง แสงตะวัน

“พรุ่งนี้ฉันมีไปดูงานแทนท่านอาที่ Dubai Mall ถ้าเธออยากจะไป” ที่นั่นเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของเมือง ที่ต้องจัดสรรเวลามาเยือน เพราะนอกจากร้านแบรนด์เนมชื่อดังจากทั่วโลกแล้ว ความงดงามที่ต้องหยิบกล้องมาบันทึก คือ น้ำพุเต้นระบำที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากคุยงานเสร็จไวอาจพาเจ้าหนูเดินชมสักหน่อย และหากเป็นคนอื่นคงตกลงไปแล้วแต่ไม่ใช่กับเด็กคนนี้

“มันจะไม่รบกวนเวลาคุณเหรอผมว่า...ผมอยู่ที่นี่ดีกว่า หากคุณจะอนุญาตผมขอเดินเล่นรอบคฤหาสน์ได้ไหม?” มันไม่ใช่งานที่เขาจะเข้าไปยุ่งได้เพราะมันคืองานนอกเหนือจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่ การที่จะต้องไปด้วยกลัวจะไปทำให้อีกคนทำงานไม่เต็มที่ ถึงจะรู้ว่าคุณเมฆเก่งเรื่องแยกระบบประสาทก็เถอะ

การพยักหน้าทำคนที่ขอเผลอยิ้มตอบไปด้วยความดีใจ

“ฉันจะให้คิณอยู่เป็นเพื่อนเธอ..ห้ามขัด”

“...ครับ” ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ตัวเองจะไปทำเก่งอะไรได้ ตอบตกลงเลยเป็นคำตอบที่ดีที่สุด



พอทานข้าวเสร็จคนที่เดินลงมาก่อนทั้งที่ยังไม่อาบน้ำก็ได้ปลีกตัวเดินขึ้นห้องไป ก่อนจะบอกคิณที่ยืนเฝ้าที่ทางออกห้องอาหารให้อยู่ดูแลเจ้าหนูให้ดีอย่าเพิ่งพาไปทางคอกเด็ก คิณเองก็รับทราบทันที

“หวังว่าจะเชื่อฟังกันนะ”





TBC.
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 22-12-2021 01:41:47
ตอนที่ 14 คนของอัจมาน คาล์ล



[อิง]



คุณเขาออกไปแล้วกับเหล่าบอดีการ์ดทั้งหลายรวมถึงพวกสตีเวนและสองแฝดด้วย แต่ไม่ยักกะเห็นคุณอีธานและฟินิกซ์เลย ตอนที่ลงมาจากห้องยังเห็นอีธานอยู่กับพวกนั้นอยู่เลยแท้ ๆ แต่เห็นใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้า ผมเลยไม่ได้ทักมีแต่เขาที่ยิ้มบางๆ มาให้ถึงจะดูแสร้งทำแต่ไม่ได้หมายความว่าเกลียดผมนะ มันเหมือนการยิ้มเพื่อให้ผมสบายใจมากกว่า

ตอนนี้ผมอยู่กับพี่คิณกับการเดินชมคฤหาสน์สุดตระการณ์ตาแห่งนี้



“ส่วนตรงนี้จะเป็นที่สำหรับคนงานไว้พักผ่อน”

“มีที่พักให้ด้วยเหรอครับ”

“อืม...ส่วนใหญ่คนที่ทำงานอยู่นี่ไม่อยู่ตัวคนเดียวก็พวกไม่มีบ้าน”

พี่คิณพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติเหมือนเจอมาบ่อยกับตัวอย่างนั้น การที่คนคนหนึ่งจะรับคนงานจากการที่เขาไม่มีที่อยู่!ไม่มีครอบครัว! ใจของคุณเขาจะต้องยิ่งใหญ่แค่ไหนกันนะ

“บอสเขาให้เหตุผลว่า การรับคนแบบนี้มันดีกว่าเพราะถ้ารับพวกที่มีครอบครัวมันต้องวุ่นวายทีหลังแน่ แบบ...ถ้าเป็นคนไทยเราพูดแบบบ้านเราก็คงจับกลุ่มเป็นก้อน ญาติฉัน ญาตินาย หรืออาจมีเรื่องชู้สาว ทุกคนที่ทำงานที่นี่เลยมีกฎ ห้ามคบกันในเชิงชู้สาว หรือหากจะมีบอสก็ไม่ว่าแต่ต้องสิ้นสุดการทำงานที่นี่ทันที”

“แล้ว...”

“มีคนทำไหมน่ะเหรอ!..มีสิพวกเขาก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เลือกอะนะ จะมียกเว้นก็แต่คู่ของสตีฟและนิกซ์” พูดไปพี่คิณก็ยิ้มขำไปเหมือนในความรักของทั้งคู่คงมีอะไรที่ทำให้คนรอบกายหัวเราะได้แบบนี้ สตีฟผมไม่ติดหรอกแต่ฟีนิกซ์นี่สิ! คิดไม่ออกจริง ๆ

แล้วพี่คิณก็พาผมเดินลัดผ่านที่พักคนงานไปอีกฝั่งที่น่าจะเป็นหลังคฤหาสน์ ด้านหลังตรงที่ผมโผล่ออกมานี้ มีส่วนดอกไม้นานาชนิดแบบที่ว่าสวยมาก ๆ สวนเหมือนสวนที่ไว้ปลูกขายเลยแต่จะแตกต่างก็ตรงที่ว่าที่นี่มีการเล่นเฉดสีของดอกไม้การจัดวางการปลูกคือสวยมาก สวยจริง ๆ



“สวนแห่งนี้ได้แบบมาจาก มิราเคิล การ์เด้น เป็นสวนแบบจำลองที่นายท่านใหญ่ใช้เงินในการขอซื้อแบบจำลองตัวนี้มามากอยู่ทีเดียว”

“...หมายถึงคุณอาของคุณเมฆเหรอครับ”

“หึ...ไม่ใช่หรอกหมายถึงคุณพ่อของบอสต่างหาก ท่านทำสวนนี้ขึ้นมาเพราะนายหญิงท่านเป็นคนชอบดอกไม้มาก แต่พอมาอยู่ที่นี่อะไร ๆ มันก็เหมือนจะลำบากในการจะลงมือทำ ท่านเลยไม่คิดจะทำแต่พอนายท่านใหญ่รู้เข้า หากจำไม่ผิดสตีฟบอกว่าใช้เวลาไม่ถึงสิบชั่วโมงในการวางแปลนลงปลูก แต่กว่าที่ดอกไม้จะแข็งแรงก็เกือบจะไม่เซอร์ไพรส์แล้ว เพราะนายหญิงเป็นคนชอบดินตรวจรอบบ้านแต่อยู่ ๆ ก็ถูกห้ามไม่ให้มาทางนี้ เลยเกิดอาการอยากรู้ สตีฟยังเล่าอีกว่าตอนนั้นกว่าที่นายท่านใหญ่จะกล่อมได้สำเร็จก็ต้องพาท่านออกไปทำงานด้วยทุกวัน”

“สุดท้ายเป็นไงบ้างครับ” ผมยิ้มตามกับเรื่องเล่าของคู่รักทั้งสองต้องรักแค่ไหนถึงอยากจะทำทุกอย่างให้ขนาดนี้

“กว่าที่ดอกไม้จะคงที่ไม่เฉาก็ใช้เวลาสี่ห้าวันเนื่องจากที่นี่อากาศมันร้อนเกินไป แต่จะให้สร้างเรือนกระจกนายท่านก็กลัวว่ามันจะไม่ธรรมชาติ กลัวมันไม่เป็นอย่างใจนายหญิง แล้ววันที่เหมาะสมก็มาถึง แต่....ไม่มีใครรู้เลยว่าวันนั้นนายหญิงทำหน้าแบบไหนตอนที่เห็นมัน”

“อ่าว...ทำไมล่ะครับ?”

“หึหึ...เพราะทุกคนถูกห้ามเข้าไปบริเวณนั้นยังไงล่ะ แต่เช้าอีกวันก็เห็นรอยยิ้มนายหญิงที่ดูสดใสมาก สาวใช้ทั้งหลายเลยพากันลงความคิดเห็นว่าคงถูกใจไม่น้อย”

“โรแมนติกจังนะครับ”



แต่อยู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่คิณก็หายไป



“ใช้โรแมนติก...หลังจากวันนั้นมาประมาณสองปีนายหญิงก็เสียเพราะป่วยหนักไม่ยอมบอกใคร จนสุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยได้ทัน สตีฟบอกว่าตอนนั้นเองที่บอสเริ่มเปลี่ยนไปจากเด็กที่ร่าเริง คุยสนุก ก็เริ่มเก็บตัว ไม่ยอมคุยกับใคร โทษตัวเองว่าทำไมไม่ดูและแม่ให้ดีกว่านี้ ตอนนั้นเหมือนบอสเพิ่งจะเรียนจบจากที่ไหนสักที่ว่าจะกลับมาเซอร์ไพรส์ทุกคน แต่กลับเป็นตนที่ต้องมาเจอเรื่องที่...”

แล้วเรื่องในวัยหนุ่มของคุณเขาก็ถูกเล่าให้ผมฟังจนเกือบจะทุกเรื่องที่พี่คิณแกรู้มาจากสตีเวนอีกที พอถามว่าทำไมสตีเวนถึงรู้เยอะจังก็ได้คำตอบว่า สตีเวนก็รู้มาจากฟีนิกซ์อีกที ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คบหากับฟีนิกซ์เลยด้วยซ้ำแถมยังเป็นคนที่ถือว่าเป็นคนที่ติดตามคุณเขาไปแทบทุกที่อีกด้วย

ตอนนั้นเองที่เพื่อนร่วมงานกลายมาเป็นคนรู้ใจแล้วจบที่คนรักแบบที่ทุกคนในตอนนั้นช็อคมาก สตีฟยังเคยบอกอีกว่า บอสเดาว่าคนที่รุกคงหนีไม่พ้นฟีนิกซ์ แต่พอรู้ความจริงบอสก็หันไปมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างนิกซ์ทันที ตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าคนที่คุณเขาเคยบอกเป็นใคร เพื่อนที่อยู่ข้างกัน

“ชักรู้สึกจะเม้าท์เรื่องนายเพลิน”

“ฮ่ะๆ อิงก็เพิ่งรู้ว่าพี่คิณพูดเก่งขนาดนี้”

“ปกติเคยทันไอ้แฝดนรกมันเสียที่ไหนกันล่ะ!” มันก็จริงไม่มีใครพูดทันทั้งสองหรอกขนาดสตีเวนที่ว่าชอบมาหยอกล้อผมเล่น ยังต้องยอมแพ้เรื่องชวนคุยเลยถ้าเทียบสองคนนั้น

“เอ้อ!!ว่าจะถามอีธานไปไหนเหรอครับ?” ผมถามระหว่างที่เรากำลังเดินออกจากสวนก่อนจะมาเจอขั้นบันไดยกระดับประมาณห้าขั้นก่อนจะเจอสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่มีโดรมคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ แถมมีมุมให้นั่งเล่นอยู่อีกด้วย

“ไปจัดการธุระให้บอสน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกรายนั้นเขาเก่งไม่งั้นฟีนิกซ์คงไม่ไว้ใจนำทีมแทนทั้งที่ควรจะเป็นเจ้าบ้าสตีฟ หึ เข้าข้างในไหม!นี้ก็จะเที่ยงแล้ว”

“ตายละหว่า เดินเพลินเลยแต่...ยังไม่ได้ไปอีกฝั่งเลย!”

คิดดูว่าใหญ่แค่ไหนเดินเล่นกับพี่คิณตั้งแต่สิบโมงเช้าจนตอนนี้จะเที่ยงเข้าไปแล้วสองชั่วโมงยังเดินไม่รอบเลยด้วยซ้ำ ของเขาใหญ่จริง!

“ยังต้องอยู่อีกหลายวัน ไว้ค่อยให้บอสพาเดินชมต่อหากยังสนใจอยู่”

“เป็นพี่คิณหรือคนอื่นไม่ได้เหรอครับ!”

ผมทำท่ากระเง้ากระหงอดก่อนจะช้อนตาขึ้นถามพี่เขาออกไป เห็นอยู่ว่าพี่คิณมีเสียอาการเล็กน้อย แต่ก็กระแอมไอแทนการอ้ำอึ้ง ถึงค่อยตอบผม



“อิงต้องไม่ขอบอสเองแล้วแหละ”



แล้วแกก็พาผมเดินลัดเลาะแยกที่มันเยอะเหลือเกินกว่าจะมาโผล่ที่ทางเดินไปห้องอาหารที่เมื่อเช้าผมได้มาแล้ว

อาหารหลายอย่างถูกจัดวางไว้เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะเดินมา ซึ้งจากที่มองต้องเพิ่งยกออกมาแน่เพราะจากอาหารจำพวกของร้อนยังมีไอความร้อนลอยออกมาให้ได้เห็น

โต๊ะอาหารที่ผมนั่งอยู่เป็นแบบเก้าที่นั่ง ที่พี่คิณยังกระซิบอีกว่าแต่ก่อนมันเป็นอีกตัวที่มีสิบห้าที่นั่งแต่พอบอสต้องนั่งทานข้าวคนเดียวเลยให้ลดลง และถึงกลับจะปิดโซนนี้ด้วยซ้ำแต่ท่านอุซที่เป็นอาของคุณเขาเบรกไว้ก่อน



“ผมนึกว่าจะต้องเสิร์ฟแบบที่ละอย่างซะแล้ว”

“บอสไม่ชอบความพิธีรีตองอะไรมาก แกว่าเสียเวลานำออกมาทั้งหมดอยากทานอะไรก็แค่ตักไม่อยากอะไรก็แค่ปล่อยผ่านง่ายนิดเดียว” ก็คงจะจริงแต่ก็มีครั้งหนึ่งที่คุณเขายอมเสียเวลาเพื่อทานข้าวกับผมด้วยอาหารแบบคลอสโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เรียกว่าพิเศษได้ไหมนะ!



“แล้วพี่คิณไม่ทานกับผมเหรอ!”

“ไม่ได้หรอกส่วนตรงนี้ถ้าบอสไม่สั่งพวกพี่ก็ไม่สามารถร่วมโต๊ะดะ...”



อยู่ ๆ เสียงมือถือของพี่เขาก็ดังขึ้นมาแบบพอดีเป๊ะก่อนที่พี่คิณจะรีบรับ คุยกับปลายสายไปก็เหล่มองผมไปจนนึกสงสัยว่าจะเป็นคุณเขาหรือเปล่า แล้วความคิดของผมก็ถูกไขกระจ่างเมื่อมือถือรุ่นดังใหม่ล่าสุดถูกส่งมาให้ผม

“บอสน่ะ...” พี่คิณพูดแค่นั้นผมก็เข้าใจก่อนจะรับมาแนบหูยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปคุณเขาก็ยิงคำถามมาทันที

[ก่อเรื่องหรือเปล่า?] นั่นมันคือคำถามที่เขาอยากรู้คำตอบจริง ๆ ...เหรอ!”

“ที่นี่เขาทักกันแบบนี้เหรอหลังจากขอสายกัน!”

[แล้วทำไมยังไม่ทานข้าว] แล้วคุณเขาก็เปลี่ยนเรื่องเองจนอยากจะกลอกตาจนกลับหลัง

“เดินเพลินไปหน่อยเลยลืมดูเวลา”

[หากเป็นที่ไทยตอนนี้มันบ่ายสามแล้วนะมันต้องเพลินขนาดไหนแสงตะวัน] อะ...ชื่อจริงก็มา เป็นอะไรของเขาละนั่น!

“แล้วคุณอะทานข้าวยัง” พาเปลี่ยนเรื่องดีนักเปลี่ยนบางจะเป็นไร ก่อนจะได้ยินเสียงคุณเขาถอนหายใจเหมือนเบื่อหน่าย! เหอะเบื่อตัวเองหรือไง!

[ยัง...เพิ่งคุยงานเสร็จกำลังจะกลับ]

“อ่อ...จะให้ผมรอไหม” ถึงจะเริ่มหิวแล้วก็ตามแต่ก็รอได้ไหน ๆ คุณเขาก็เจ้าบ้านทานก่อนเจ้าบ้านแม่รู้โดนด่าแน่ ๆ

[ไม่ต้อง!กว่าฉันจะถึงก็อีกนานเลย เธอควรทานได้แล้ว]

“งั้น....ผมขอให้พี่คิณนั่งด้วยได้ไหม? ผมทานคนเดียว อีกอย่างอาหารที่เตรียมมาให้ก็เยอะมาก ๆ เลยด้วยผมทานไม่หมดหรอก”

เสี่ยงถามออกไปเพราะผมก็ไม่อยากทานคนเดียวนิ โต๊ะก็ออกจะกว้างให้นั่งทานคนเดียว ผมคงเป็นกดไหลย้อนแน่ ๆ เครียดจัด

ได้ยินเสียงคุณเขาสบถเป็นภาษาที่ผมฟังไม่ออกก่อนจะตกลง และสายก็ตัดไป แล้วก็โทรกลับมาอีกครั้งแต่ไม่ได้จะคุยกับผมแต่เป็นคุยกับพี่คิณ ก่อนที่สายจะตัดไปอีกครั้ง

“พี่จะนั่งทานเป็นเพื่อนละกัน” แค่นั้นผมก็ยิ้มหน้าบานเลยแหละ อย่างน้อยก็ไม่เหงานั่งทานคนเดียวแล้ว

พอมาถึงตรงนี้แล้วแบบ! แต่ก่อนคุณเขาต้องนั่งทานแบบนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ!

มันเป็นความหดหู่ใจสุด ๆ

“ปกติพวกพี่ทานกันที่ไหนเหรอครับ”

“อืม!! แล้วแต่ที่อะนะ เพราะถ้าอยู่ที่นี่พวกเราไม่ได้ทำงานแค่จุดเดียวเหมือนที่อิงเห็นหรอก ออกไปที่อื่นเป็นส่วนใหญ่”

“อิงคิดว่าบอดีการ์ดต้องอยู่ข้างกายตลอดซะอีก”

ผมถามระหว่างนำข้าว ไม่สิอาหารที่อยู่ตรงหน้านี้เข้าปาก เห็นสายตาสาวใช้บางคนทำเหมือนผมกำลังทำอะไรแปลกประหลาดเกินไป

แต่พอมาคิด ๆ ดูก็คงจะแปลก สงสัยปกติเวลาทานอาหารที่นี่เข้าไม่คุยกันละมั่ง

“ไม่หรอก คำนั้นก็มีไว้เรียกให้ดูเท่ก็เท่านั้น (พูดยิ้มๆ) แต่งานจริง ๆ ของพวกเรามันแทบจะทุกอย่าง”

อยู่ๆ มือมันก็หยุดชะงัก ทุกอย่าง!เหรอ?

“รวมถึง...ฆ่าคน...”

“...มันก็!!! เรากลัวหรือเปล่า” พี่คิณละไว้เท่านั้นผมก็คิดเองต่อได้แล้ว

คำถามที่พี่คิณถามมาผมก็ไม่ได้ตอบออกไปเป็นเสียงหรอก แค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพยายามก้มหน้าทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้หมดก็รู้สึกยากเกินทน ทั้ง ๆ ที่หิวมาก ๆ แต่พอรู้เรื่องแบบนี้แล้วก็อยากตีปากตัวเอง ไม่น่าถามอะไรแบบนั้นเลย





การทานมื้อเที่ยงของผมจบลงด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่คุยกัน แต่เป็นความรู้สึกของผมต่อจากนี้มากกว่า

ที่ที่คุณเขาจะให้ผมอยู่มันคู่ควรกับผมแล้วจริงเหรอ! ผมช่วยงานเขาได้ก็จริงแต่ผม...ผมปกป้องเขาไม่ได้ถ้าเกิดวันหนึ่งคุณเขามีอันตรายผมในตอนนั้น คงเหมือนภาระชิ้นโต หรือตัวถ่วงเขาแน่ ๆ แค่คิดก็ไม่ดีแล้ว

ผมควรทำยังไงดี!

“คิดอะไร?”

“อ่ะ..คุณ!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“สักพักแล้ว...แล้วเธอเป็นอะไรฉันเดินเข้าห้องมาก็ยังไม่รู้ตัว”

“ปะ..เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“คิด...เรื่องอะไร?” ผมเม้มปากคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกดีไหม สุดท้ายแล้วก็คิดว่าไม่บอกดีกว่า

“เรื่อยเปลือยน่ะครับไม่มีอะไร”



พอพูดไปแบบนั้นคุณเขาก็ทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ถือว่าดีเลยเพราะผมก็ยังไม่พร้อมจะพูดอะไรตอนนี้เช่นกัน

ผมเลยเปลี่ยนเป็นไปถามเขาว่าทานข้าวหรือยังแทน แต่คุณเขาบอกเรียบร้อยแล้วแปลว่ากลับมานานแล้วจริง ๆ

ก่อนที่จะเดินเข้าห้องแต่งตัวเตรียมจะอาบน้ำแต่ก็ยังไม่วายหันมาแหย่กันให้หน้าร้อนเล่น



“อาบด้วยกันไหมJ”

“ไม่!!” เสียงหัวเราะในลำคอคือสิ่งสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่เขาจะหายเข้าไปในห้องน้ำ



พอคุณเขาอาบน้ำเสร็จผมที่อยู่บ้านทั้งวันก็เลยขอตัวไปอาบบ้าง พอเดินกลับออกมาก็เห็นภาพเดิมเหมือนเมื่อวานที่คุณเขานั่งจ้องจอipadคิ้วขมวดเหมือนเรื่องที่ทำหรือสิ่งที่เห็นมันกำลังเกิดปัญหา

ผมเดินเข้าไปสอดตัวใต้ผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนตะแคลงหันหน้าไปทางคุณเมฆจ้องมองเขาทำงานในใจก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเองกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว

“เป็นอะไร” สายตาหยิ่งๆ ที่พยายามทำให้มันอ่อนโยนที่สุดหันมามองผมจนตัวสะดุ้ง

“ห๊ะ...อะเอ่อ ปะ..เปล่าครับ”

“แต่หน้าเธอแดง หรือวันนี้เดินตากแดดมากไปเลยป่วย!” ไม่พูดเปล่าคุณเขายังเอามือมาว่างทับบนหน้าผากผมก่อนจะลูปไปตามกรอบหน้า บอกเลยว่าแทนที่มันจะหายผมกลับรู้สึกว่ามันร้อนเห่อขึ้นมายิ่งกว่าเดิม จึงตัดสินใจไปจับมือคุณเขาออก

“คะ..คงใช่มั่งครับแต่สนุกดีนะครับ”

“ไปที่ไหนกันมาบ้างล่ะ”

“พี่คิณพาไปดูที่พักคนงาน แล้วก็สวนดอกไม้...” แล้วผมก็นึกถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังจากพี่คิณมา ถ้าคิดว่าคนที่ได้รับสิ่งเหล่านั้นเป็นผมหัวใจมันก็ฟูฟ่องขึ้นมาได้แล้ว

“ฉันต้องคิดอะไรไหมกับใบหน้าของเธอตอนนี้!”

“ครับ!”

“อะไรมันทำให้เธอดูมีความสุขขนาดนั้นเพียงแค่เดินรอบบ้านฉัน”

“...สวนดอกไม้ครับ เรื่องราว ที่มาที่ไปของที่นั้น”

“อ่อ...เธอชอบแบบนั้น!”

คำถามของคุณเขาทำผมพยักหน้าพร้อมยิ้มรับ การที่มีคนทำอะไรเพื่อเรามันต้องดีและชอบอยู่แล้ว

“นายชอบสวนดอกไม้มากไหม”

“ก็ไม่นะ ผมชอบน้ำมากกว่า...ผมชอบสัตว์ทะเลน่ะน่ารักดี”

“อืม”

แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับผมพรุ่งนี้ต่างหาก









TBC.



[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-12-2021 23:55:30
 o13
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 25-12-2021 12:45:13
 :o12: :serius2:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-12-2021 01:25:42

ตอนที่ 15 แมว...ที่ไหนล่ะ

 

การที่ได้รู้จักคุณเมฆมาเกือบๆปีก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่าอย่าได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไปถ้ายังไม่ได้คิดไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินมาให้ดีเสียก่อนไม่งั้นคุณอาจจะเจอสถานการณ์เดียวกับผมตอนนี้

ย้อนกับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่ผมตื่นนอนและทำธุระในห้องน้ำเรียบร้อย

วันนี้ดีหน่อยที่มีชุดสำหรับผมโผล่มาให้ได้ใส่ไม่ต้องทนใส่ชุดตัวใหญ่เหมือนขโมยชุดลุงข้างบ้านมา

พอลงมาด้านล่างก็เจอกับคุณเขาที่นั่งรออยู่แล้วที่เดิม ก็แอบเกรงใจอยู่เหมือนกันที่มาอยู่บ้านเขาแต่ดันตื่นสายกว่าเจ้าของบ้านทุกวันเลย! เป็นเศร้า

แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับก็ที่ห้องนอนคุณเขาแอร์เย็นสบายมากแถมผ้าห่มก็นุ่มที่นอนก็นอนสบายเหมือนจะยุบหายเข้าไปได้เลย อะ...นอกเรื่องไปไกลเลย กลับมา ๆ พอผมลงมาเจอคุณเขาแล้วก็รีบเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารเพื่อทานมื้อเช้าด้วยกัน ซึ่งวันนี้ก็ทานกันสองคนตามเคย

“ทานเสร็จแล้วฉันมีของจะให้” คุณเขาพูดออกมาแบบนั้น แต่ผมที่มีไข่อยู่ในปากเลยยังไม่ตอบอะไรรีบเคี้ยวก็ไม่ได้ สาวใช้มองกันเต็มเลยกลัวเสียมารยาทเลยได้แต่ทำหน้างึกงังให้รู้ว่าทราบแล้ว

 

 

“เป็นไง...ถูกใจไหม?”

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ คุณคิดว่าผมจะตอบอะไรเขาเมื่อผมเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ถูกใจมากครับ! ผมชอบมาก ๆ เลยคุณทำให้ผมเหรอ! ไม่! มันไม่ใช่คำพวกนั้นแน่นอน

“คุณทำอะไรเนี่ย!!!”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมคล้ายว่าจะเป็นอควาเรียมแต่ไม่ใช่มันดูไม่ใช่ มันคือสระวายน้ำที่ผมเดินผ่านเมื่อวานที่มีโดมใหญ่เป็นหลังคากันแสงที่ยามกลางคือสามารถเปิดปิดได้ตามต้องการ หากคิดภาพไม่ออกกให้นึกถึงซันลูปของรถหรู ๆ ราคาแพง แต่ที่ที่ผมยืนอยู่มันไม่ใช่ส่วนข้างบนที่ผมเดินเมื่อวาน แต่เป็นชั้นล่างใต้ดินที่เป็นเหมือนห้องพักผ่อน ด้านในห้องปกคลุมด้วยโทนสีดำ พื้นพรมเป็นสีแดงเข้มซึ่งคุณเขาให้ถอดรองเท้าเดินเข้ามาทำให้รู้ว่า พรมนุ่มมากแทบอยากจะล้มตัวลงนอน มุมซ้ายเป็นเหมือนบาร์เล็ก ๆ ที่มีขวดเหล้าหลายยี่ห้อที่ผมไม่ค่อยคุ้นตา แก้วสวยหลายรูปทรงห้อยระย่าลงมาอย่างสวยงาม มีแสงไฟเล็กน้อยปะปรายตามมุมห้อง ส่วนด้านขวามีเปียโนตัวสีขาวตั้งอยู่ (เอามาไว้ด้านล่างแบบนี้ไม่กลัวความชื้นหรือไงนะ) แต่ผมคงคิดดังไปคุณเมฆเลยชี้ให้ดูเครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดความชื้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขาดออกซิเจนในที่นี้ ดูจากภายในแล้วคุณเขาก็อินดี้ได้อีกนะ หรือแบบไม่ชอบสุงสิงกับใครเลยสร้างห้องนี้ขึ้นมากัน

แต่ที่ทำให้ผมอาปากค้างคือสิ่งที่คุณเขาเพิ่งบอกผมไปเมื่อกี้

“ห้องนี้ฉันทำให้เธอ” พอพูดจบอี่ม่านสีดำที่อยู่พนังเบื้องหน้าผมก็ค่อย ๆ เปิดออก ตอนแรกกำลังจะบอกว่า ว้าว!! สวยจังเลยคุณ แต่พอม่านเปิดออกจนสุดผมก็ต้องตาค้างกับสิ่งที่เห็นและสิ่งที่คุณเขาพูดออกมาด้วยใบหน้าตาย ๆ ของเขา

ฉลาม!

“นี่เพิ่งจับมาได้ตอนรุ่งเช้า ฉันก็ให้แฝดเอามาลงให้เลย น้ำก็ยังไม่ได้ปรับ”

“!!!”

“แต่เดี๋ยวจะมีมาอีกตอนสายๆ...เป็นไงถูกใจไหม”

กลับมายังปัจจุบัน

“คุณทำอะไรเนี่ย!!”

“อะไร? ก็เธอบอกชอบสัตว์ทะเล ฉันก็ให้คนของฉันไปจับมาให้แล้วนี่ไง”

“...”

“หรือเธอไม่ชอบฉลาม ปีรันย่าไหม แต่แทบนี้ไม่มีถ้าต้องการเธอต้องรอหน่อย...”

“ผมไม่เอา!!!...คุณเอามันไปปล่อยเลยนะ! คุณบ้าไปแล้วคุณเมฆนั่นมัน ฉลามนะ! ฉลามอ่ะ! มันกินเนื้อ โอเคผมชอบสัตว์ทะเล แต่ผมแค่ชอบ ชอบที่ได้มองแต่ไม่ใช่เอามาดูแลแบบนี้ คุณ!!! คุณจะเอาฉลามมาให้ผมเลี้ยงเนี่ยนะ” ผมทำท่าผายมือไปที่กระจกใสด้านหน้าที่มีเจ้าตัวปัญหาลอยเล่นอยู่ด้านใน

“มันแปลกตรงไหน!”

คุณเขาเอามือล่วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักไหล่เบะปากเล็กน้อยแล้วถามผมหน้าตาย

ผมมองไปที่สัตว์น้ำตัวเกือบเท่าๆกับผมก่อนจะมองคุณเขาแล้วใช้มือสองข้างลูบหน้าตัวเองแรง ๆ

“สำหรับที่นี่อาจไม่แปลกแต่สำหรับตัวผม...มันแปลก อีกอย่างผมสงสารมัน ตัวมันเท่านี้เองคุณถ้าแม่มันหามันไม่เจอล่ะ คุณพากลูกพากแม่เขาเลยนะ”

“...แค่อยากทำให้เธอยิ้ม เหมือนที่รู้เรื่องของพ่อแม่ฉันบ้าง”

“คุณเมฆ...คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ หรือถ้าอยากทำเพื่อผม พาผมไปเดินดูที่อควาเรียมของที่นี่ก็ได้นิครับ”

“มันไม่เหมือนกันที่นั้น คนมันเยอะ แต่ถ้าฉันทำให้เธอ เธอสามารถลงมาดูพวกมันได้ตลอด...”

“แต่สิ่งที่คุณหามามันดูแลยาก....อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอด เดี๋ยวก็ต้องกลับไทยแล้ว ใครจะดูแลมันครับ” พูดมากถึงตรงนี้ก็เหมือนคุณเขาเพิ่งนึกเรื่องสำคัญอะไรออก ก่อนที่ใบหน้านั้นจะดูผิดหวังให้ได้เห็นเพียงเสี้ยววินาทีและกลับมาเป็นสีหน้าแบบเดิม

“เอากลับไปด้วยก็ได้”

“คุณเมฆ!!!” ผมเรียกเขาด้วยเสียงอ่อน บางทีผมก็คิดว่าผมสามารถคุยกับเขาได้โดยไม่ต้องมีปากเสียงกันนะแต่ไม่เลย ทุกครั้งคุณเขาจะพยายามเอาชนะผมให้ได้ เหมือนม้าที่พยายามหนีการบังคับของแส้ที่ตีท้ายเพื่อให้ไปในทิศทางที่ต้องการ

“...อืม ไม่เอาก็ไม่เอา” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปให้ผมยืนมองหลังเขาค่อยๆหายขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ ผมหันมามองกระจกเบื้องหน้าที่เป็นสระว่ายน้ำก่อนจะเอามือไปแตะที่กระจก มองสิ่งมีชีวิตที่ลอยอยู่ในนั้นเพียงตัวเดียว ก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ มุมปากยกยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล ผมรู้แค่ว่ามันหุบลงมาไม่ได้เลย

“ขอบคุณนะครับอ๊ะ...” แรงกอดจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตัวแข็งทื่อขึ้นมาเมื่อไรหนวดของคนด้านหลังกดลงตรงซอกคอผม กลิ่นตัวที่ผมเริ่มคุ้นเคยทำให้รู้ว่าเป็นใคร

“สรุปว่าเธอชอบมัน?” มันเป็นคำถามที่เหมือนคนถามก็ไม่ได้คิดอยากได้คำตอบอะไรกับเรื่องที่อยากทำให้ผม

คุณเขาแค่กดหน้าไว้ตรงนั้นไม่ได้ห่างไปไหน แอบจั๊กกระจี๋ขนลุกนิด ๆ แต่มันคงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้คนคนนี้หายเฟลกับเรื่องที่อุตส่าห์ทำให้ผม

ถามว่าผมชอบไหมเหรอ! ถ้าตรงหน้านี้ไม่ใช่เจ้าฉลาม ผมอาจจะยิ้มตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตอนที่ม่านกำลังจะเปิดออก ถึงคุณเขาจะบอกว่าจะมีมาอีก ผมก็คิดดีไม่ได้แล้วว่า ตัวที่มาส่งมันจะเป็นสัตว์จำพวกไหน เพราะที่คุณคิดให้มีแต่ตัวอันตรายทั้งนั้น

“งั้นฉันไม่ทิ้งมันหรอกนะ จะทำให้เสร็จ และไม่ต้องห่วงว่าเธอจะไม่ได้มาเห็นมันอีก เพราะฉันจะพาเธอมาทุกอาทิตย์”

“คุณกำลังเอาแต่ใจ”

“อืม เพราะเธอ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย!!” (ลากเสียงยาว)

สุดท้ายคุณเขาก็ไม่ยอมเอามันไปปล่อยแถมยังบอกจะสั่งให้ลูกน้องเขาออกไปตามหาแม่มันอีก พอผมทักว่ามันมาอยู่ในที่แคบ ๆ แบบนี้ไม่ได้ ก็เหมือนไปจุดประกายคนมีเงินเข้า สั่งให้ให้อีธานเรียกสธาปนิกมาดูที่ เพื่อออกแบบอควาเรียมที่ใหญ่กว่า ที่ไหนในโลกนี้ซึ่งผมก็ห้ามหัวชนฝา

อยากจะบ้าตายนาที ต่อนาที

ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณเขาจะดื้อได้ขนาดนี้ เขาชอบบอกว่าผม วุ่นวาย ขี้สงสัย ชอบทำตัวเงอะงะ

เหอะถ้าต้องเป็นแบบเขาผมก็ไม่เอาเหมือนกัน

จอมสั่ง ขี้อวด เอาแต่ใจ บ้าอำนาจที่ไม่ใช่เรื่องที่แย่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร

“คุณเมฆ!...ขอล่ะนะผมยอมให้คุณทำตรงนี้ก็ได้ แต่ไม่ต้องไม่ตามหาแม่มันแล้วแล้วก็เอาเจ้าตัวนี้ไปปล่อยด้วย อควาเรียมก็ไม่เอา สระตรงนี้ถ้ามองจากห้องเมื่อกี้ก็สวยแล้วครับ ผมชอบสัตว์ทะเล น่ารัก ๆ ไม่ใช่ พวกที่น่ากลัวแบบนี้ ถ้าจะทำให้จริงๆขอแบบที่ดูแลง่าย สามารถลงไปเล่นด้วยได้โดยไม่ต้องกลัวว่า เอ๊ะ!! หัวผมยังอยู่ไหม!หรือขาผมหายไปแล้วหรือเปล่า!”

“อีธาน...ได้ยินแล้วใช่ไหม” ผมมองไปดูทุกคนก็ได้แต่ขอโทษในใจ อีธานดูโล่งใจที่ไม่ต้องพาใครไปมุดน้ำเพื่อหาฉลามขาวมาให้นายตนเองอีก

 

 

พอจบเรื่องการสร้างอควาเรียมผมก็ถูกคุณเขาลากตัวออกไปข้างนอกด้วย บอกวันนี้มีคุยงานข้างนอกอีกแต่เป็นงานส่วนที่ผมสามารถเข้าไปฟังด้วยได้

มันเป็นการคุยกันเรื่องที่ดินที่ไหนสักแห่งในฝรั่งเศสที่มีคนเข้ามาขอซื้อในราคาน้อยกว่าราคาที่ทางคุณเมฆได้ตั้งไว้ พร้อมให้เหตุผลว่ามันเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบ หากสร้างเป็นร้านอาหารหรืออพาร์ทเมนต์ก็คงไม่ค่อยมีลูกค้า แต่ถ้าคุณเมฆยอมขายให้เขาในราคาที่เขาเสนอมา รับรองว่าคุณเมฆจะไม่เสียพื้นที่ทิ้งร้างไว้แบบนี้แน่นอน

ผมแค่ได้ยินว่าราคาที่เค้าเสนอมามันเท่าไหร่ก็ตาลุกวาว แต่ร่างกายยังต้องนิ่งเพื่อไม่ให้เสียอาการเกินไป คุณเมฆหันมามองหน้าผมเหมือนอยากให้ผมพูดอะไรแต่ ผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้แต่ถลึงตาใส่คุณเขากลับ

“เธอว่าที่ตรงนี้เป็นไง มันอยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองมากพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ถึงกับกันดาน เธอคิดว่าราคาที่ทางนั้นเสนอมา สมเหตุสมผลพอที่จะขายออกไปไหม”

ผมที่ยังไม่เข้าใจเลยมองดูภาพถ่ายที่มาจากการถ่ายเองและจากดาวเทียมถึงได้รู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นมันติดไปทางลำธารทะเลสาบและป่าเขา แต่โดยรวมมันก็สวยดีนะ

“ผมว่าพื้นที่มันสวยดีนะครับ อาจจะดูไกลจากผู้คนแต่มันก็เหมาะกับคนที่รักสงบดี ถ้าถามถึงราคาผมก็บอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ถึงจะเหมาะแต่ผมว่า ถ้าสมมุติว่า สร้างเป็นพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้คนที่ชอบอะไรแบบนี้มันก็ดูเหมาะ หรืออาจจะมีราคามากเลยนะครับ ทุกวันนี้อะไร ๆ มันก็ไม่ไกลเกินสมาร์ทโฟน” ผมตอบยิ้ม ๆ ไปให้คุณเมฆ ก่อนจะเห็นคุณเขาพยักหน้าแล้วหันไปคุยภาษาที่ผมไม่เข้าใจกันอีกเล็กน้อย ทางฝั่งนั้นหันมามองผมก่อนจะก้มลงเก็บเอกสาร แล้วลุกขึ้น กล่าวคำลากันแล้วก็ขอตัวออกไปซึ่งผมก็ไม่ได้รู้เลยว่ามันจะยังไงต่อไปดี

คุณเมฆพาผมออกจากร้านที่เราคุยงานกันเมื่อกี้แล้วพาผมลงไปชั้นล่างสุดลากผมไปโซนที่ดูแล้วก็น่าจะรู้ทันทีว่าคืออะไร

“ไหนบอกว่าคนเยอะไงครับ” ผมถามเย้าแหย่คุณเขาออกไปก่อนจะได้หางตามาเป็นคำตอบ

“คุณจะให้ทุกคนเดินเข้าไปด้วยจริง ๆ เหรอ”

คุณเมฆหยุดชะงักแล้วหันไปสั่งให้ทุกคนรออยู่ด้านนอก หรือจะพากันไปไหนก็ไปก่อนจะบอกว่าเดียวเขาจะพาผมกลับเอง

ฟินิกซ์ยื่นกุญแจรถมาให้ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ โดยที่ไม่ได้ห่วงความปลอดภัยอะไรเลย

“ที่นี่ถิ่นฉัน” นั่นคือคำตอบของทุกอย่าง

พอเข้ามาด้านในผมก็ต้องตื่นเต้นกันสัตว์น้ำมากมายที่ลอยว่ายกันอยู่ด้านในนั้น มีทั้งสัตว์ตัวเล็ก และสัตว์ตัวใหญ่ที่ให้ความตื่นตาตื่นใจสำหรับผมมาก ๆ สมัยผมเด็ก ๆ ยังไม่มีหรอกอะไรแบบนี้น่ะ อยากดูต้องไปพิพิธภัณฑ์ หรือสัตว์สตาร์บในห้องแลปของมหาลัยซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปดูได้ตลอด และมันก็ให้ความรู้สึกต่างกันกับแบบนี้มาก

 

พวกเราอยู่ในนั้นนานมากจนรู้สึกว่าหิวคุณเมฆเลยพาผมไปทานขนมที่ถือว่าอร่อยมาก ๆ เลยที่เดียวก่อนจะมีสายเข้าจากมือถือคุณเขา

“อืม...อีกสิบนาที”

“...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันต้องไปทำธุระต่อแต่เดี๋ยวฉันไปส่งเธอก่อน”

“ครับ” อยากถามนะครับว่างานอะไรทำไมผมไปไม่ได้ แต่ก็นั้นแหละแค่เขาพาออกมาด้านนอกด้วยขนาดนี้ก็ดีแล้ว ยังไม่อยากเซ้าซี้อะไรมากความ

 

 

“อย่าดื้อ รอฉันที่นี่แล้วจะรีบกลับ”

“เหมือนผมจะไปที่ไหนได้งั้นแหละ” ได้ยินเสียงหึ มาจากที่นั่งด้านคนขับก่อนฝ่ามือหนัก ๆ จนมาวางบนหัวผมแล้วขยี้แรงจนรู้สึกว่าผมของตัวเองตอนนี้คงดูไม่จืดแน่ ๆ

“ฮื้อ!!”

“เข้าบ้านไปได้แล้วแสงตะวัน ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว”

ไม่ถามแล้วว่าทนอะไร เปิดประตูรถได้ก็เด้งตัวออกมาทันทีก่อนจะปิดรถหรูกระแทกหน้าคนหื่นด้านใน

รถหรูสีดำแล่นออกไปแล้ว ผมที่ยืนอยู่ทางขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปด้านในเลยมองซ้ายมองขวาก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ เพราะไม่เจอคนที่ผมรู้จักเลย

ผมยอมเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ มีสาวใช้หลายคนที่รู้จักผมแล้วก็มียิ้มให้นิดหน่อย บางคนที่ผมเพิ่งจะเคยเห็นหน้าก็ทำหน้าสงสัย คงคิดว่าไอ้บ้าหัวฟูนี่เป็นใคร คนบ้าหรือเปล่า!

เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงทางเข้าห้องครัวผมก็เจอเข้ากับคนที่คุ้นตา คุณหัวหน้าแม่บ้าน

“สวัสดีครับคุณเอ็มม่า” เธอยิ้มน้อย ๆ ให้ผมก่อนจะถามว่าผมต้องการอะไรหรือเปล่า

“อยากได้อะไรหรือเปล่าคะ จะได้ให้เด็กจัดการให้”

“ไม่ล่ะครับ ผมแค่ไม่รู้จะไปไหนดี ไม่ชอบอยู่ในห้อง มัน...เงียบเกินไป”

“ไปเดินชมสวนไหมคะ เดี๋ยวให้เด็กไปเป็นเพื่อน” ผมส่ายหน้าก่อนจะมองเลยเข้าไปด้านในห้องครัว ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าอยากจะทำอะไร

“กำลังทำอาหารเย็นกันอยู่เหรอครับ”

“ค่ะ หรือคุณหิวแล้ว จะดะ...”

“ยังครับ” ผมรีบแย่งทันทีก่อนจะได้เห็นสำรับมาเสิร์ฟ ผมยิ้มขำกับท่าทางของคุณแม่บ้านที่พยายามอยากช่วยเหลือผมเหลือเกิน ผมจึงเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ

“ผมขอใช้ครัวได้ไหมครับ จะรบกวนหรือเปล่า”

“...คุณทำอาหารเป็นเหรอคะ!” เธอด้วยความแปลกใจ

“ครับ...มันแปลกเหรอ?”

“ถ้าเป็นคนที่อื่นก็ไม่ค่อยแปลกหรอกค่ะ แต่เพราะคุณเป็นคนไทยแถมยังเป็นผู้ชาย ฉันเคยได้ยินมาว่าส่วนมากที่นั้นเขาให้ผู้หญิงทำเป็นส่วนใหญ่”

“สงสัยผมเป็นคนส่วนน้อยที่ทำเป็นก็ได้นะครับ” ผมเอ่ยตอบแบบติดตลกออกไปก่อนจะเห็นเอ็มม่ายิ้มแล้วก็ชวนผมเข้าไปด้านใน

ผมมองหาวัตถุดิบที่ต้องการก่อนจะมองหากระทะทองเหลืองแต่มันไม่มี เลยใช้เป็นตัวเทปล่อนแทน แป้งที่ได้มาก็ใช้แบบที่ใช้แทนกันไดไปก่อนเพราะถ้าจะไปให้หาแป้งท้าวยายม่อมวันนี้คงไม่ได้ทำ

พอหาของในครัวจนครบแล้ว ผมก็ขอตัวออกมาด้านนอกแป็บหนึ่ง แล้วก็ฝากให้เอ็มม่าทำไส้ด้านในไว้ให้ก่อน โดยการบอกสิ่งที่ต้องใช้ทั้งหมด ก่อนจะรีบวิ่งออกมาทางที่มากับพี่คิณเมื่อวาน แล้วมาหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง มองหาสิ่งที่ต้องการแต่มันไม่มี เลยคิดว่าวันนี้คงต้องเปลี่ยนสูตรเล็กน้อย

ผมเก็บเป็นดอกกุหลาบมาแทน ดอกอัญชันที่ไม่มีอยู่ในสวน แต่ดันมีดอกมะลิ ที่บานสวยมากผมเลยเก็บมาด้วย ดีนะที่ถือชามสแตนเลสมาด้วย

พอเข้ามาด้านในครัว เอ็มม่าก็เดินเข้ามาดูสิ่งที่ผมได้มาก่อนจะถามว่าให้ช่วยไหม ผมเลยให้เอาดอกมะลิไปล้างน้ำก่อนจะให้นำใส่ภาชนะแช่ในตู้เย็น15นาที ส่วนกุหลาบให้เด็ดกลีบออกจากกันล้างน้ำสักสองครั้งแล้วตั้งน้ำพอเดือดจึงใส่กลีบกุหลาบลงไป ต้มจนได้สีน้ำที่ถูกใจก็นำลงมาพักไว้ให้เย็น แล้วหันไปตวงแป้งแทน พอตวงเสร็จค่อยหันไปดูไส้ที่ฝากให้เอ็มม่าทำไว้รอที่กำลังงวดให้มันแห้งกว่านี้

ผมบอกพ่อครัวที่อาสาช่วยว่าให้คนต่อไปจนมันจะแห้งจับตัว ค่อยนำลงมาพักให้เย็นแล้วหันกลับมาดูน้ำกลีบกุหลาบที่น็อคน้ำเย็นจนได้ที่ ผมก็ทำการเทน้ำกลีบกุหลาบลงไปผสมแป้งก่อนจะคนให้เข้ากันแล้วเปิดไฟอ่อนเพื่อนวดให้แป้งจับตัวเป็นก้อน และนำลงมาพักไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย ก็ทำการเริ่มห่อไส้ ที่นี่ไม่มีแหนบแบบที่ใช้ที่บ้านแต่ก็ยังดีกว่าตอนที่อยู่ภูเก็ต เพราะมันยังมีอุปกรณ์เบเกอรี่ที่สามารถใช้หนีบกลีบได้ มันเลยดูสวยน่าทานขึ้นมาหน่อย

เอ็มม่าชมใหญ่เลยว่าสวยมากปกติขนมไทยแบบนี้ต้องยกให้นายหญิงแม่ของคุณเมฆเพราะท่านชอบทำมันมาก ถ้ารู้ว่าผมจะทำขนมไทยคงเตรียมอุปกรณ์ให้ดีกว่านี้

ผมนี่แบบ ฮ่า ฮ่า น่าจะถามตั้งแต่แรก ของที่ผมอยากได้ในตอนแรกมีหมดเลยครับทั้งกระทะ ทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ

พ่อครัวหลายคนเดินเข้ามาดูสิงที่ผมทำ ก่อนที่จะขอช่วยเพราะงานที่ทำอยู่เสร็จแล้วดี หน่อยที่มีเอ็มม่าค่อยช่วยแปลภาษาของบางคนให้ ผมเลยยิ้มได้บ้างเวลาพวกเขาชม แอบเขินนิดๆที่เขาบอกผมใจเย็นกว่าผู้หญิงบางกลุ่มเสียอีก

กว่าจะนึ่งเสร็จก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันหน้าตาออกมาน่าทานเลยทีเดียวแต่ไม่มีใครกล้าขอชิมเลย เมื่อรู้ว่าผมทำไว้ให้คุณเมฆจนผมต้องบอกว่ามันเยอะมากเลยนะคุณเขาคงทานไม่หมดหรอก สามซึ้งใหญ่ทำไปได้ไงคิดดู!!

 

พอเสร็จจากทำขนมผมก็ว่างขึ้นมาอีกไม่รู้แล้วว่าจะต้องไปที่ไหน ขึ้นห้องไปตอนนี้ก็ยังไม่อยากขึ้นไป เลยเดินเรื่อย ๆ จนมาโผล่ฝั่งขวาของคฤหาสน์ที่จำได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้เดินมา

เลยถือโอกาสนี้เดินชมเลยแล้วกัน แต่แปลกฝั่งนี้ไม่มีแม้เงาของชายชุดดำสักคน เงียบเกิน!

แต่..เอ๊ะ นั่น

ผมเดินเข้าไปหาสิ่งขาวๆที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่เบื้องหน้าทันที ด้วยการเดินย่องอย่างเบาที่สุด

เจ้าตัวสีขาวสามตัวนอนก่ายกันไปมาอยู่บนผืนหญ้า

"น่ารักจังเจ้าแมวน้อย เอ๊ะ!หรือลูกหมา!"

"คุณเมฆเห็นมืดมนแบบนั้นก็มีมุมมุ้งมิ้งเหมือนกันนะเนี่ย"

เจ้าตัวขาวขนปุยเมื่อได้ยินเสียงและกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็พากันลืมตาขึ้นมาทีละตัว ๆ จนได้เจอกับแสงตะวันที่นั่งยอง ๆ มองพวกมันอย่างชื่นชอบ เจ้าเด็กสามตัวพอเจอของเล่นชิ้นใหม่ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก พวกมันพากันลุกขึ้นแล้วก้มหน้าลงต่ำสายตาก็มองที่ของเล่นไม่วางตา แต่แสงตะวันตอนแรกออกจะชอบแต่พอเห็นตอนมันลุกขึ้นก็รู้สึกแปลก ๆ

"ทำไมพวกนายตัว ยะ..ใหญ่กันจัง"

"!!!"

"ละ..แล้วแล้วจะแยกเขี้ยวใส่เราทำไม?"

พอเห็นท่าไม่ดี แสงตะวันก็ลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะ ค่อย ๆ เดินถอยหลังช้า ๆ แต่ตอนนั้นเองเขาถึงได้สำรวจเจ้าแมวสามตัวใหม่อีกที พอรู้ว่าไอ้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แมวอย่างที่คิดขามันก็กลับหลังหันวิ่งสุดขีดซะแล้ว

"อ๊าค!!!...คุณเมฆทำไมไม่บอกอิงว่าเลี้ยงสิงโตไว้ในบ้านว่ะ!!"

ขณะที่แสงตะวันวิ่งหนีสุดชีวิตเจ้าเด็กแสบสามตัวก็ยิ่งคิดว่าเล่นกับมัน มันก็ยิ่งวิ่งไล่ตามจนหนึ่งในสามตัวตัดสินใจกระโดดตะครุบร่างของแสงตะวันจนกลิ้งกันไปตามทาง อีกสองตัวพอเห็นว่าพี่ใหญ่จับได้แล้วก็ยิ่งกระโดดเข้าไปทับเพิ่มอีก และก็พากันคำรามออกมาพร้อมกันอย่างผู้ชนะ แต่ตอนนั้นเองที่มีชายตัวใหญ่ที่เพิ่งกลับเข้ามาบ้านอีกครั้งหลังจากออกไปทำธุระข้างนอก ปล่อยให้เด็กแสบได้พักแต่ใครจะคิดว่าจะมาพักไกลถึงคอกสิงโตลูกของเขาได้

" Guile Given Ethan stop now"

 

 

 

TBC.


[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-12-2021 01:27:31
ตอนที่ 17 แบบนั้นเขารียก...พาล



[อิง]



“คุณเมฆจะพาอิงไปไหน!!”

“เดี๋ยวก็รู้” ไอ้การถูกดึงให้เดินตามแบบนี้ มันเหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้ แต่ทางที่คุณเขาพาผมมานี่สิทำเอาอยากจะหยุดเสียมันซะตรงนี้เลย

“แล้วทำไมต้องเดินมาฝั่งนี้ คุณเมฆ!!!”



ย้อนกลับไปช่วงทานมื้อเช้ากันครับ ผมกับคุณเมฆวันนี้เราลงมาพร้อมกันเพราะเมื่อคืนผมได้นอนเร็วแถมก่อนหน้านั่นก็ได้พักสายตา (สลบ) ไปนานสามชั่วโมงเลยทำให้วันนี้ตื่นเช้าได้ตามปกติ

พอลงมาถึงผมและเขาทำการนั่งทานข้าวเหมือนปกติของทุกวันก่อนที่คุณเขาจะเอ่ยบอกถึงเรื่องงานที่เราได้คุยกันไว้เมื่อคืน ซึ่งมาถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่างานที่จะได้คืองานอะไร แต่จะให้นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน

“ทานเสร็จเดี๋ยวตามฉันไปทำงาน”

“...ผมต้องเปลี่ยนชุดไหมครับ”

ที่ถามแบบนั้นเพราะชุดที่ผมใส่อยู่มันเป็นชุดใส่สบาย สำหรับอยู่บ้านไม่เหมาะหากจะใส่ชุดนี้ออกไปเจอใครเท่าไหร่

“ชุดนี้แหละดีแล้ว”



พอทานเสร็จต้นแขนผมก็ถูกคุณเขาดึงให้ลุกขึ้นและเดินตามคุณเขาออกจากคฤหาสน์ทันที

และคิ้วผมก็กระตุก ขาจะเริ่มสั่น เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ข้างขมับเมื่อเห็นเส้นทางที่คุณเขาพาเดินมา ยิ่งมาแบบไปเลี้ยวเข้าซอยไหน ตรงมาเรื่อย ๆ จนเห็นรั่วกั้นไกล ๆ นั้นแหละผมถึงเริ่มรู้แล้วว่าคุณเขาจะพาผมไปไหน

“คุณคิดจะทำอะไร!! คุณเมฆ!! ปล่อยมืออิงนะ อื้อ!! อิงไม่ไปตรงนั่นนะ” ผมดึงแขนตัวเองกลับทันทีแต่มันไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ด้วยสัดส่วนร่างกายเราไม่มีความเท่ากันเลยสักนิด ทำให้การยื้อแย่งลำแขนตัวเองกลับ ไม่มีผลต่อคุณเขาเลยสักนิดแถมยังกระชับมือให้แน่นขึ้นไปอีก

“คุณเมฆ!! นี่โกรธกันเรื่องเมื่อวานถึงกลับจะเอาอิงมาให้สิงโตกินเลยเหรอ คุณเมฆ ร..เรา เราคุยกันก่อนได้นะ อิงขอโทษต่อไปคุณจะทานแต่ขนมอิงก็จะไม่ว่าไม่บังคับอะไรเลย แต่อย่าเอาอิงไปเป็นอาหารเจ้าพวกนั้นเลยนะครับ”

ผมร่ายยาวเป็นหางว่าว เสียงตะกุกตะกักบ้าง แต่นาทีนี้ชีวิตผมสำคัญที่สุด แต่อยู่ ๆ คนที่ลากผมมาก็หยุดตัวลงก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงถาม

“เธอพูดอะไรของเธอ อาหารใคร! อะไร!”

“นี่ไงคุณเมฆจะจับอิงไปให้เจ้าพวกนั้น คุณเมฆ ผมยังมีแม่มีน้องที่ต้องดูแลนะ น้องผมเพิ่ง 18 ถ้าผมตายไปตอนนี้แม่ก็ต้องหาเงินส่งน้องผมคนเดียว ท่านก็อายุมากแล้ว ไหนจะงานที่ผมทำไว้ยังไม่เสร็จอีก คุณเมฆช่วยไตร่ตรองใหม่เถอะนะ เนี่ย ๆ ด..เดี๋ยววันนี้อิงทำขนมให้ทานใหม่ เอาให้เยอะกว่าเมื่อวานเลยก็ได้ นะ ๆ คุณเมฆนะ ปล่อยผมไปเถอะนะ”

“แสงตะวัน ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอเพ้อได้ขนาดนี้” คุณเขายืนกอดอกยิ้มขำกับท่าทางผมแถบยังส่ายหัวให้กันอีก

อะไร! คนรักชีวิตตัวเองมันผิดหรือไง!! ยัง ยังจะมากรอกตาใส่อีก

“ก็คุณพาผมเดินมาทางนี้ทำไมเล่า”

“บอกแล้วว่าพามาทำงาน แล้วใครจะเอาเธอไปให้พวกนั่นกิน”

“...ก็”

“เลิกเพ้อแล้วเดินตามมา ฉันไม่ได้พาเธอมาฆ่า ตามมา อ้อ เลิกโวยวายถ้าไม่อยากโดนแบบเมื่อวาน”



แล้วคุณเขาก็เดินลากผม ใช่ครับ ‘ลาก’ ไม่ใช่จูง ไปทางที่ผมเดินเข้าไปเมื่อวานก่อนจะเจอกับเจ้าพวกตัวขาวขนฟูหน่อย

อืม สามตัวเลย อา ประสานสายตากันด้วยเป็นไง

ย..อย่าเลียปากแบบนั่นสิ!!

ผมยืนกลืนน้ำลายอยู่ด้านหลังของคุณเขา มือที่คุณเขาจับมาตลอดทางอยู่ๆ มันก็หลุดออกจนผมที่ตกใจรีบ ตะครุบต้นแขนคุณเขาไว้แถมยังเกาะแน่นเลยแหละ

“อย่าคิดจะทิ้งกันไว้แบบนี้นะ” ผมกัดฟันพูดกับคนที่หันหน้ามามองกัน เหมือนสงสัยว่าผมจะจับเขาไวทำไม ก่อนที่ผมจะบอกออกไป

แล้วดูหน้าคุณเขาสิ ทีงี้แล้วยิ้มบ่อย เวลาปกติล่ะขรึมตลอด หึ้ย!!

“ถ้าเธอเกาะฉันอยู่แบบนี้ งานที่จะทำมันก็จะทำไม่ได้ แล้วเธอก็ต้องอยู่กับลูกฉันอีกนาน”

“...”

“เลือกเอานะ”

“ล..แล้วงานที่จะทำคืออะไร”

“...ฉันยังไม่บอกเธอเหรอว่ามาอาบน้ำให้พวกมัน” เหมือนภาพหนังเรื่องหนึ่งที่ผมดูตอนที่ตัวร้ายกำลังจะหนีแล้วมีสิงโตตัวใหญ่กระโดดกันหัวเขาจนขาด มันวิ่งเข้ามาในโสนประมาททุกส่วนในตอนที่คุณเขาบอกออกมาแบบนั้น

ว่าเดินเข้ามาในนี้อีกครั้งก็ว่าเกร็งจะแย่ นี่ต้องมาอาบน้ำให้กันเนี่ยนะ

“คุณเมฆฆ่าผมเลยก็ได้ แต่อิงไม่อาบนะ ไม่อาบให้เด็ดขา_อ๊ะ”

แล้วอยู่ๆ ตูดผมก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรมาดุนอยู่ก้นน้อย ๆ ของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมอง อ่า!!เราประสานสายตากันอีกแล้ว ตาย!! ตายแน่วันนี้ ไอ้อิงตายแน่ ๆ

“อย่าเกร็ง ปล่อยตัวตามสบายมันแค่สนใจเธอ”

“แล้วมันจะสบายได้ไงในเมื่อ เจ้านี่ยังไม่เลิกดมก้นผม”

“เมื่อเช้าเธอลืมล้างก้นหรือเปล่า!”

“คุณเมฆ!!” แทนที่จะช่วยคุณเขากลับชอบใจเสียขนาดนั้น แล้วยังไม่พอนะ หมายถึงไอ้พวกนี้นี่ยังไม่พอ ตัวเดียวยังไม่พอ มากันหมดเลยคราวนี้

ขาผมนี่อ่อนจนไม่รู้จะอ่อนยังไงแล้ว แต่ดีนะที่มือผมยังมีแรงเกาะแขนคุณเมฆเอาไว้แน่น แล้วคิดไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยเลยเด็ดขาด

อ่า!!..ข้างหลังไม่พอ ว..วนมาดมข้างหน้าด้วยเป็นไง ชอบอะไรกัน!!! ขาสั่นหมดแล้ว!!

“ลองลูบหัวมันดูสิ”

คุณเมฆไม่ได้คิดจะให้ผมตัดสินใจอะไรเลยเขาก็ดึงมือผมออกไปด้านหน้า ผ่านการดมกลิ่นจากเจ้าตัวสีขาวที่ดูขนาดแล้วน่าจะเป็นพี่ไม่งั้นก็คงกินเยอะเกินไป กินเยอะ!! โอ้ อย่ากินเรานะเธอ!!

ผมหลับตาปี๋แล้วตอนนี้ ในเมื่อชักมือกลับก็ไม่ได้หลับตาน่าจะดีที่สุด ถ้ารู้สึกว่ามือที่ยื่นออกไปนั้นขาดค่อยว่ากัน..

ซะที่ไหน!!

สิ่งแรกที่สัมผัสคือขนที่แข็งกว่าขนสุนัก แต่ก็ยังมีความนุ่มฟูอยู่บ้าง ก่อนที่มือผมจะเลื่อนลงมาตรง สันกรามก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรเปียกมาสัมผัสที่มือ

ผมลืมตาขึ้นมองก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวขาวด้านหน้ามันกำลังเลียหลังมือของผม ก่อนจะดุนฝ่ามือผมให้กลับไปลูบบนหัวแล้วย่อตัวลงจนนั่งติดกลับพื้น เหมือนชอบใจกับสิ่งที่ผมทำให้ (ถูกบังคับ)

ผมหันกลับไปหาคุณเมฆที่ยิ้มมุมปากมองผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะผละมือที่จับผมไว้ ผมมองตามจนไปดูที่มือตัวเองที่อยู่บนหูของเจ้าตัวขาวด้านหน้า

“กิวล์ คือชื่อของมัน”

“กิวล์!!”

“อือ ส่วนเจ้านี่กีฟเวน นั่นอีธาน”

“อีธาน!! เหรอครับ คุณเอาชื่อลูกน้องมาตั้งชื่อเขาเหรอ”

“เปล่าชื่อพวกนี้แม่ฉันเลือกไว้ให้ มันเป็นชื่อที่ดี และมันมีชื่อนี้มาก่อนที่ฉันจะรับอีธานเข้ามาในทีม”

ผมพยักหน้ารับแล้วหันกลับมาให้ความสนใจเจ้าตัวขาวที่ชื่อว่ากิวล์ที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะล้มตัวลงนอนข้างเท้าของผมหน้าตาเฉย

“มันชอบเธอ”

“รู้ได้ไงครับ เขาอาจจะทำให้ผมตายใจแล้วแอบกินผมทีหลังก็ได้”

“วางความเพ้อเจ้อของเธอลงก่อน แสงตะวัน”

“เอ้า!! ผมไม่ได้เพ้อสักหน่อยเมื่อวานก็ยังเห็นอยู่ว่าพวกมันจ้องจะกินผม”

“ฉันก็บอกไปแล้วว่ามันแค่สนใจเธอ แถมตัวเธอก็มีกลิ่นของฉันมันไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“ใครจะรู้”

“ฉันนี่ไง รู้”

“ผมคุยคนเดียว”

“แต่ฉันได้ยิน”

กรร

“อ่ะ..คุณเขาเสียงดังเหรอ จะเงียบให้เดี๋ยวนี้แหละ นอน ๆ ”

“หึ เมื่อกี้ยังกลัวอยู่เลย ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว!!”

ผมไม่ตอบแต่นั่งลงไปกับผืนหญ้าตรงนั่นแทน แล้วก็ลูบขนให้เจ้าตัวเล็กที่ใหญ่มาก อยู่แบบนั้นก่อนจะเลื่อนมือลงไปตามสันหลังและลำตัว ก่อนจะต้องตกใจเมื่อคุณเมฆพูดเสียงดังขึ้นมา”

“กิวล์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้จะหลับ ลุก ต้องอาบน้ำแล้ว”

เสียงฟึดฟัดไม่ชอบใจ ก่อนที่เจ้าตัวขาวชื่อกิวล์จะลุกจากพื้นแล้วมานวยนาดล้มตัวลงทับผมแถมยังเอาหัวมาถูสีข้างผมเอาซะกลั้นขำไม่ได้เลย

“เจ้าคิดว่ามีพวกแล้วจะรอดเหรอ!!” คุณเมฆพูดออกมา ยืนกอดอกมองเจ้ากิวล์ที่ไม่ยอมลุกออกจากตัวผม แถมยังพยายามเบียดตัวเข้าหาจนผมหงายหลังดีนะที่คนที่กอดอกมองไม่ปล่อยให้ผมล้มลงไป

“เจ้าชอบเธอเหรอ! เธอชื่อแสงตะวัน ...งั้นถ้าเป็นเขา เจ้าจะยอมอาบน้ำไหม”

ฟังการไกล่เกลี่ยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ กิวล์จะยอมลุกออกจากตัวผมแล้วนำทางผมไปทางบ่อน้ำ ด้วยการดุนหลังให้ผมลุก แล้วยังดุนเรื่อย ๆ ให้เดินตามมันไป อีกสองตัวพอเห็นว่าพี่เดินไปแล้วก็เดินนวยนาดมาอยู่ข้าง ๆ ผมแถมยังไม่เลิกดมกลิ่นกันอีก ก่อนที่จะเอาหัวมาดุนฝ่ามือผมให้ไปแปะอยู่ที่กลางหัว คุณเมฆบอกว่ามันคือการอนุญาตอย่างหนึ่งหากมันยอมให้ลูบหัวแปลว่ามันเชื่อใจผมแล้ว ต่อไปหากใครทำอะไรผม พวกมันจะปกป้องผมเหมือนเป็นเจ้านายอีกคน



คุณเคยอาบน้ำให้หมาไหม! ครับ ไม่ต้องเอาพันธ์อื่นนะต้องเป็นโกเด้นฯ เท่านั้น

ใช่ ตอนนี้ผมเจอสถานการณ์แบบนั้นเลย อยู่ไม่นิ่ง นั่งไม่เป็น แถมยังโวยวายอีกต่างหาก

ทั้งที่คุณเมฆบอกว่าปกติพวกมันชอบแช่น้ำกันมาก ๆ แต่เวลาอาบน้ำมันก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเหมือนกัน

โครง โครง กรร

เสียงเจ้าอีธานที่ถูกคุณเมฆจับให้นั่งลงไปในน้ำโวยวายใหญ่ ก่อนจะสะบัดตัวแรงให้หลุดออกจากการล็อกตัว แต่ก็ออกไม่ได้ เลยได้แต่โวยวายแทน ที่เห็นจะนิ่งสุดคงจะเป็นเจ้ากิวล์ ที่ยืนสง่าในน้ำให้ผมขัดตัวให้ โดยที่คุณเมฆบอกมาแล้วว่าตรงไหนบ้างที่ห้ามจับหรือแตะต้อง หากมันไม่เชื้อเชิญห้ามแตะเด็ดขาด นั่นคือหาง ใต้ท้องช่วงขาหลัง อวัยวะ (ซึ่งผมก็ไม่คิดจับอยู่แล้วไหม)



ไม่คิดว่าการอาบน้ำให้สิงโตสามตัวจะต้องใช้เวลามากขนาดนี้นี่ยังไม่รวมต้องเอาไปเช็ดอีกนะ แต่ไม่ต้องเป่าขน คุณเมฆบอกที่นี่ร้อนอยู่แล้วเดี๋ยวไม่นานมันจะแห้งเอง

ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่หน้าตามันเหมือนโคลอตเซี่ยมขนาดเล็ก มีอัฐจันทร์ให้นั่งประมาณด้วยตาน่าจะร้อยที่ได้ แต่มีแค่ด้านเดียว

ภายในห้องโล่งมาก ๆ มีเก้าอี้อยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น

“เดี๋ยวให้คนเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เสร็จก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ครับ”

ผมตอบรับคำคุณเมฆก่อนที่จะก้มลงไปเช็ดขนให้เจ้าเด็กตัวใหญ่ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่กิวล์ที่ติดผม แต่ทุกตัวมานอนกองกันรอบตัวผม คุณเมฆบอกพวกมันงอนเขาที่ทำมันแรงตอนอาบน้ำเลยคิดจะหาพวก

ผมหัวเราะให้กลับการได้รับรู้ก่อนจะลองคุยกับพวกมันด้วยภาษาอังกฤษ

“ไง สบายตัวกันไหม” คำตอบคือการหลับตาเอาหัวมาถูกัน คุณเมฆตอบให้แทนว่ามัน ‘ชอบ’ พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปคุยกับคนที่นั่งบนเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียว

“คุณรู้ได้ไงครับว่าเขาตอบอะไร”

“...ความรู้สึกมั่ง”

“คุณคงรักพวกมันมาก”

“มันคือสิงเดียวที่แม่ฉันทิ้งไว้ให้ฉัน เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุด...แต่ถ้าจะพูดแบบนั้นทั้งหมดก็ไม่ถูกเพราะที่แม่ให้มามันมีแค่ตัวเดียว”

“ตัวเดียว! กิวล์เหรอครับ” ผมมองจากขนาดตัวแล้วคิดว่าน่าจะใช่เพราะกิวล์ดูใหญ่กลัวอีกสองตัวมาก

“แม่ของพวกมันต่างหาก แม่ฉันไปได้มันมาตอนที่พ่อพาไปทำงานด้วยที่ยุโรปแถวโบลิเวีย แม่เจ้าพวกนี้อยู่ ๆ ก็กระโดดใส่หน้ารถที่พ่อกับแม่ฉันนั่งอยู่ ตอนนั้นมันบาดเจ็บหนักไม่รู้ว่าไปเจออะไรมา แม่ฉันเห็นว่ามันเริ่มไม่ไหวแล้วเลยขอให้พ่อพามันไปรักษาตัว พ่อฉันที่รักเมียยิ่งกว่าอะไรพอแม่ขอไปแบบนั้นก็ให้ลูกน้องอุ้มมันขึ้นรถทันที เพราะตอนนั้นมันสลบไปแล้ว”

“เขาท้องเหรอครับ”

“ตอนนั้นยังไม่รู้ เพราะหมอที่เรียกมาดูอาการตอนนั้นก็เป็นหมอประจำตระกูลที่เป็นหมอคน ตอนนั้นแม่แค่คิดว่าจะช่วยมัน ให้ที่พักมันจนมันหายดี แล้วถึงจะปล่อยไป แต่วันที่จะปล่อยมันไปมันกลับไม่ยอมไป แล้วก็ทำแบบที่กิวล์ทำกับเธอ คือเอาหัวดันมือแม่ฉันไปไว้บนหัวก่อนจะนั่งลงแล้วหมอบลงไปเหมือนการเคารพ”

“แล้ว...”

“อีกสองวันท่านต้องกลับมาที่นี่ แม่คิดหนักมากว่าจะทำยังไง มันไม่ยอมห่างแม่ มันเดินตามทุกครั้งที่แม่ฉันเริ่มก้าวเท้า สุดท้ายเป็นพ่อที่ตัดสินให้เอามันกลับมาด้วย เพราะตรวจจับโลหะหรือสิ่งแปลกปลอมในตัวมันไม่ได้เลยคิดว่าคงไม่ใช่สัตว์ที่หลุดออกมาจากกรงของใคร ทานเลยเอามันกลับมา ตอนนั้นฉันถึงได้เจอกับลีอา สิงโตตัวเมียขนสีขาวสะอาดเดินเคียงข้างกับแม่ลงมาจากเครื่องบินเรา ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากถ้าจำไม่ผิด มันเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะทำต่างออกไปจากที่ทำกับแม่ คือมันกระโดดใส่ฉันแล้วเลียเข้าที่หน้าฉันจนชุ่มไปหมด มันพยายามจะบอกเรื่องลูกมันกับฉัน ด้วยการที่พยายามให้ฉันไปลูบที่ช่วงท้องมันที่เหมือนจะอ้วนแปลกตา สัมผัสแรกที่ฉันได้คือแรงกระตุก ของหน้าท้อง ตอนนั้นฉันลนลานมาก ตื่นเต้นด้วย ฉันบอกแม่ว่าท้องมันกระตุกได้ ก่อนที่รอยยิ้มแม่จะหายไป แล้วสั่งให้ การ์ดคนหนึ่งไปตามหาสัตว์แพทย์ มาที่บ้านทันที ถึงได้รู้ว่ามันกำลังตังครรภ์ ไม่มีใครรู้เลยว่าในท้องของลีอาจะมีเจ้าพวกนี้อยู่”

คุณเมฆ พูดยาวมาก ไม่ใช่สิหลงประเด็นแล้ว เอาใหม่ ๆ

คุณเมฆพูดไปใบหน้าก็เปื้อนยิ้มไปด้วย ก่อนจะเล่าต่อถึงเรื่องของเจ้าพวกนี้ต่อว่า แม่ของพวกมันได้เกิดโรคแทรกซ้อนจากแผลที่คิดว่ารักษาไปดีแล้ว แต่เปล่าเลยมันหายแค่แผลภายนอกแต่ภายในมันสาหัสมาก หมอบอกว่ามันเก่งมากที่มันทนได้เป็นเดือน ๆ แบบนี้ ทั้งลูกในท้องก็แข็งแรง จนวันที่มันคลอดเจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้เห็นแม้กระทั้งแม่ของตัวเอง เพราะมันตายหลังจากที่คลอดอีธานออกมา ตั้งแต่วันนั้นคุณเมฆก็สัญญาว่าจะเป็นพ่อให้พวกมัน จะดูแลพวกมันให้ดีที่สุด และทุกวันนี้ที่ผมเห็นกับตา ผมเชื่อแล้วว่าคุณเมฆทำตามที่พูดจริง ๆ



การเล่าเรื่องของเจ้าพวกนี้ยาวนานมาจนเกือบเที่ยงคุณเมฆก็ชวนผมกลับ แต่ไม่ได้กลับแค่พวกผมกรอกครับ เมื่อมีเด็กตัวใหญ่สามตัวไม่ยอมให้พวกผมกลับกันเอง จะเดินตามมาด้วยจนคุณเมฆต้องยอม

“เดินกันดี ๆ เดี๋ยวอิงจะล้ม” เสียงคุณเขาดุ เจ้าเด็กแสบที่เดินนวยตามเกาะแข้งเกาะขา มุดใต้แขนเดินมากันด้านหน้าเหมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว

“ไม่เป็นไรครับผมโอเค อ๊ะ”

“ไง โอเค ถ้ารับไม่ทันหัวแตกเลยนะอิง” คุณเขาบ่นผมตอนที่ผมเดินสะดุดขาของกีฟเวนจนหน้าเกือบหงาย

“คุณ!! ผมก็ไม่ล้มแล้วไง อย่าดุสิ”

“เธอนี่มัน...ฟอด”

“ฮื้อ!!! คุณเมฆทำอะไรเนี่ย” เหมือนตัวเองมีสปลิงในตัว ดีดออกจากตัวคุณเขาได้เหมือนเจอของร้อนก่อนจะแหวกทางให้เจ้าเด็กหลบไปแล้วรีบเดินไว ๆ ขึ้นบันไดทางเข้าบ้านทันที ก่อนจะมีเด็กสามตัวเดินตามมาติดเข้าไปในบ้าน

มีสาวใช้หลายคนตื่นตัว พากันขึ้นไปหลบบนบันไดบ้าง หลังแจกันใหญ่บ้าง จะมีก็แต่เอ็มม่าที่เดินเข้ามาหาแบบไม่กลัวแถมมาพร้อมกลับรอยยิ้มบนใบหน้าตามเคย

“ดูพวกเขาจะชอบคุณ” คำทักท้ายแรกที่เอ็มม่าทักก่อนจะส่งมือไปลูบหัวของอีธานที่เดินเข้าไปอ้อนเหมือนว่าจะขออาหารจากใครได้

“ไง อาบน้ำกันแล้วสินะ กวนคุณเขาหรือเปล่า!” คำตอบที่ได้คือการเดินกลับมาหาผมก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ แล้วมองผมขึ้นมาเหมือนประมาณว่า ‘ตอบสิว่าผมเป็นเด็กดี’ มันทะลุออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“ไม่ครับ ทุกตัวน่ารักกว่าที่ผมคิด”

“ค่ะ เห็นนายท่านบอกว่าคุณอยากเจอเลออน”

“อ่อ ครับ”

“แน่ใจนะคะ?” มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมนึกถึงคำบอกเล่าของคุณเมฆเมื่อคืน

‘หึ...บางทีฉันก็อยากบอกเธอนะว่าอย่าตัดสินอะไรแค่ภายนอก แต่เผอิญลูกฉันคงทำเธอตกใจ จะให้เปิดใจเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด เธอก็คงไม่ฟัง’

ผมก้มลงมองเจ้าเด็กแสบสามตัว ก่อนทำเป็นเอ่ยถามกับพวกมันถึงเพื่อนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ปฏิกิริยาที่ได้ทำเอาผมรู้สึกเย็นหลังยังไงก็ไม่รู้

“พวกนายรู้จัก เลออน กันไหม” จากที่ตอนแรกอีธานยังทำตัวออดอ้อนคุณเอ็มม่าอยู่ดี ๆ มีอันต้องหยุดแถมยังต้องลุกขึ้นเหมือนเตรียมตัว ก่อนจะมองซ้ายมองขวา กิวล์กับกีฟเวนเองก็เดินเข้ามานาบด้านข้างผมแถมยังเบียดตัวเข้าหาอีกแหนะ

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมยังอยากเจอเจ้า เลออน อยู่หรือเปล่านะ

สมองเริ่มตีกันก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ คุณเมฆที่เดินรั้งท้ายเพราะผมวิ่งหนีมาก็มาถึงพร้อมถามว่าเป็นอะไรกัน ก่อนที่เอ็มม่าจะบอกว่าผมถามถึง เลออน คุณเมฆได้ยินแบบนั้นก็หันมามองผมก่อนจะถามออกมา

“เธอยังอยากจะเจอมันเหรอ!”

“...ก็ถ้าได้เจอก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอคุณ ขนากเจ้าสามตัวนี้คุณยังพาผมไปทำความรู้จักเลย ผมก็อยากเจอเจ้า เลออน บ้าง อยากรู้จะร้ายแค่ไหนกัน”

“จะไม่เสียใจภายหลัง!”

“อย่าพูดให้ขวัญเสียสิคุณ!!”

สุดท้ายคุณมฆก็ตกลง แต่ก่อนจะไปหา เลออน เจ้าสุนักพันธ์ปั๊ก คุณเมฆบอกไปเติมพลังก่อนเดี๋ยวถ้าต้องได้วิ่งจะได้มีแรง

เชื่อเขาเลย

เจ้าสามตัวไม่เข้ามาวุ่นวายในห้องอาหารด้วยแต่ก็ไม่ยอมไปไหนนั่งเฝ้าทางเข้าพร้อมกับเนื้อปลาแซลมอนคนละชิ้น (ใหญ่)



เราใช้เวลาไม่นานในการทานอาหารก่อนทุกอย่างจะจบลง

คุณเมฆพาผมเดินขึ้นชั้นบนโดยยังมีเจ้าสามตัวเดินนวยนาดอยู่ข้างผมเหมือนจะอ้อน จนโดนคุณเขางอนใส่ หาว่ามีเพื่อนใหม่ตัวเองก็ไม่มีความหมายเลย อะไรอีกไม่รู้หลายอย่าง ถามว่าพวกมันสนใจไหม! ก็ไม่ ยังเดินข้างผมไปเรื่อยจนมาถึงห้องๆ หนึ่งที่อยู่ติดกับห้องคุณเมฆ เจ้าเด็กแสบสามตัวก็พากันหยุดเดินแบบพร้อมกัน แถมยังมีการขู่คำรามออกมาไม่หยุด

“ไม่ต้องกลัวนะ เราอยู่กับพวกนาย โอเคไหม”

ผมใช้มือลูบหัวพี่ใหญ่อย่างกิวล์ทำให้เขาดูสงบลงก่อนอีกสองตัวจะผ่อนคลายตามนี่สินะ พลังความเป็นผู้นำ พี่ว่าไง น้องว่าตาม เมื่อวานเลยไล่ผมกันสนุกเลย

“พร้อมหรือยัง” ดูคำถามคุณเขาเถอะ

“พร้อมครับ” สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมันออกมา

คุณเมฆเดินไปเคาะประตู (มารยาทดี) ก่อนจะเปิดเข้าไปด้านใน ด้านในเป็นห้องกว้างมีของเล่นสัตว์มากมายแต่ทุกชิ้น ไม่ได้อยู่ในรูปแบบปกติสักชิ้นเดียว ลูกบอลขาดบ้าง ตุ๊กตาฉีก บางตัวถึงกลับหัวขาด

รอบ ๆ ยังมีของเล่นอีกมากมายอยู่ในนี้ แต่อย่างที่บอก ไม่มีแบบสภาพดีสักอัน

มองไปรอบห้องก็เจอแต่สิ่งของ ไม่เห็นเจอสิงที่ผมต้องการเจอเลย อ้อ เจ้าสามแสบไม่เข้ามานะครับ นั่งรอตรงหน้าห้องคุณเมฆนู้น คุณเมฆบอกว่าพวกมันไม่ถูกกัน นี่เป็นสาเหตุที่ไม่เห็นเจ้า เลออน ภายนอก

แต่อยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกุกกัก อยู่ตรงด้านหลังบ้านเต้นหลังใหญ่ ก่อนจะเห็นเจ้าของห้องตัวสีขาวหน้ามีลายดำเหมือนในรูปแต่จากในรูปน่าจะตอนเด็กกว่านี้ ตอนนี้ดูตัวใหญ่ขึ้น ปากเบะ หน้าย่น หูพับคือสิ่งที่โดดเด่นสำหรับสุนักพันธ์นี้ ก็ดูน่ารักดีนี่ ไม่เห็นจะดูมีผิดตรงไหน คุณเมฆยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพิงกับขอบประตู พยักพเยิดหน้าให้ผมเข้าไปด้านใน

ตอนที่ผมจะเดินเข้าไป เจ้าเลออนมันกลับหยุดเดิน ก่อนจะค่อย ๆ เดินใหม่อีกรอบ ด้วยความระแวดระวัง ค่อย ๆ เข้ามาดมกลิ่นผม เดินวนรอบตัวผมเหมือนเจ้าพวกด้านนอกก่อนจะนั่งแล้วเงยหน้ากระดิกหางที่ไม่มีของตัวเอง ทำท่าดีใจใหญ่ แล้วค่อย ๆ เอาเท้าเล็ก ๆ มาเขี่ยเท้าผมแล้วเงยหน้ามาอ้อนกันอีก

“เลออน ใช่ไหม” เหมือนมันจะรู้ว่าเรียกชื่อมันมันถึงลุกขึ้นเดินม้วนตัวเองไปมาก่อนจะเขี่ยเท้าผมอีกรอบ

คุณเมฆเห็นแบบนั้นก็เลิกคิ้วมอง เหมือนเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก่อนจะเอามือขึ้นมากอดอกแทน

ผมหันกลับมาสนใจเจ้าตัวที่เรียกร้องความสนใจด้านล่างก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เอื้อมมือออกไปเหมือนขอเช็คแฮนด์แล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือเท้าหน้าทั้งสองข้าง พร้อมการยิ้มปล่อยลิ้นออกมาด้านข้างเหมือนดีใจมาก ๆ

“ทีกับฉัน มีแต่ไล่งับ” คุณเมฆบ่นงึมงำด้านหลัง

ผมไม่ได้สนใจเขาแล้วเพราะตอนนี้เจ้า เลออนเรียกความสนใจผมไปหมด โดยการเดินมาข้างหน้าใช้เท้าหน้ากระโดดมาเกาะตรงเข่าผม ผมยื่นหน้าเข้าไปหา ได้ยินคุณเขาบอกว่าระวังมันกัดแก้ม แต่สิ่งที่ผมได้คือการเลียหน้าผม ก่อนที่มันจะเห่าออกมาสามที

“แกมันหมาเจ้าเล่ห์ เลออน”

“น่ารักจังเลย”

“จิ๊ พอแล้วแยก ๆ ”

แง่ง!! กรร!!

“คุณ!! คุณทำมันกลัว โอ๋ไม่เป็นไรนะ เราไม่ให้เขาทำอะไรหรอกนะ”

ผมว่าคุณเมฆไปตอนที่เขาเดินเข้ามาปัดเท้าเล็กๆ นั่นออกจากเข่าผม แล้วเจ้าเลออนก็คงตกใจ เล็กแยกเขี้ยวใส่คุณเขาไปที

กว่าจะคุยกับคนกับหมาเข้าใจ ผมรู้สึกเลยว่าข้าวที่ทานไปมีประโยชน์ไม่เสียเปล่าจริง ๆ



“เย็นนี้งดอาหารไปเลย”

ว่าจบไปแบบนั้นคุณเมฆก็เดินออกไปทันที ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกให้เจ้าสามแสบเดินตามแต่คงไม่เป็นผล ถึงได้ยินประโยกคล้าย ๆ เดิมออกมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าก็งดเนื้อแกะไปเลยนะคืนนี้”

กรร กรร

“งดมันทั้งคนทั้งสัตว์นั่นแหละ”

อ่า!!...เหมือนคืนนี้ผมจะถูกงดมื้อเย็นไปด้วยแล้วสิ อีหยังวะ!!
[/font][/size]











TBC

หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-12-2021 01:37:53
ตอนที่ 16 ขนมเป็นเหตุสังเกตได้



กายบางที่นอนอยู่บนที่นอนหลังใหญ่ขยับพลิกตัวไปมาเมื่อรู้สึกว่าที่ที่ต้นนอนนั้นไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ แต่พอหันไปด้านที่คิดว่าตัวเองถนัดที่สุดกลับพบว่าพื้นที่ด้านข้าง มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้วย

เจ้าตัวค่อย ๆ ใช้มือลูบไล้ตั้งแต่ช่วงบนที่แข็งๆ ลงไปเรื่อย ๆ ก่อนจะกดมือลงตรงที่มันนิ่มขึ้นมาหน่อย แล้วกะว่าจะเลื่อนลงไปอีกก็ถูกมือของใครบางคนจับเอาไว้เสียก่อน

อิง ยังคิดว่าตัวเองนั้นคงกำลังฝันอะไรอยู่แน่ ก่อนความคิดก่อนหน้านี้จะผุดเข้ามาในหัว

ภาพของสัตว์ขนสีขาวที่พยายามไล่กินตนนั้น ทำให้ความคิดใหม่เกิดขึ้น

แล้วไอ้ที่เขาลูบไปนี่อะไรกัน คน! สัตว์!หรือเจ้าตัวนั้น

อิงลองใช้มือข้างเดิมลองลูบสิ่งที่แข็งอยู่ด้านหน้าตนใหม่อีกครั้งลูบขึ้น ก่อนจะลูบลง

“ถ้าต่ำอีกนิด แล้วถ้ามันตื่นเธอต้องรับผิดชอบนะ”

เสียงคนคุ้นเคยทำให้ อิงยอมเปิดเปลือกตาแล้วก็ต้องตาโตเมื่อมือของตัวเองนั้นไปวางอยู่เหนือเป้ากางเกงเพียงนิดเดียว

“คุณเมฆ!! เสือ ไม่สิสิงโต สิงโตมันจะกินอิง” อิงรองโวยวายใหญ่เดียวพูดไทยเดียว จีน เดี๋ยวอังกฤษ จนคนฟังต้องเอานิ้วแตะปากคนสติแตกให้หยุด

“ชูว...เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เธอปลอดภัยดี”

“ละ..แล้วๆ คุณเลี้ยงพวกมันไว้ทำไม ไม่กลัวหรือไงกัน”

“ไม่...มานี่มา” คาล์ลดึงคนตัวเล็กที่ยังไม่หายสั่นจากอาการตกใจให้ขึ้นมานั่งเกยตัก ก่อนจะกอดให้แน่นแล้วโยกไปมาเหมือนปลอบเด็ก

“พวกมันไม่ทำอะไรเธอหรอก มันก็แค่สนใจเธอเท่านั้น เหมือนฉันไง”

“อิงมีอะไรให้สนใจ เนื้ออิงไม่อร่อยหรอกนะ” คนที่ตัวสั่นกลัวเริ่มแว้ดเสียงออกมาอีกครั้งเมื่อเจ้าของเจ้าพวกตัวน่ารักแต่ไม่น่าเข้าใกล้เอ่ยบอกออกมาแบบนั้น

สนใจอะไร! เห็นๆ อยู่ว่าจะกินกัน สนใจไปเป็นอาหารน่ะสิ

“เธอกลัวเกินไป—”

“คุณ!! พวกมันวิ่งไล่อิงเลยนะ วิ่งเลยนะ!! แบบนี้ไม่เรียกว่ากลัวเกินไป แต่มันควรจะกลัว!”

น้ำเสียงที่ไม่สู้ดี แต่ก็ยังพยายามจะเถียงจนคนปลอบ คนที่คอยลูบหลังให้ใจเย็นต้องหยุดอธิบาย

คาล์ลเอาแต่กอด ละคอยลูบหลังให้กับแสงตะวันไปเรื่อย ๆ จนเจ้าตัวเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนได้ขึ้นมานั่งบนตักเขานั่นแหละ ถึงได้พยายามจะผละออกจากกัน ก่อนจะลงไปนั่งข้าง ๆ ตามเดินพร้อมลูบหน้าลูบไปมาให้เข้าที กระแอมไอออกมาทีเพื่อกลบความอายของตนเมื่อกี้ แต่ถามว่าทันไหม! ไม่เลย ไม่ทันตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้วโวยวายนั่นแหละ

“ไปกินข้าวกัน”

แสงตะวันหันมามองคนพูดก่อนคิ้วจะขมวดมองเวลาที่นาฬิกาที่ตั้งตรงโต๊ะหัวเตียงก่อนจะเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าตัวเองสลบยาวนานถึงสามชั่วโมง

พอรู้แบบนั้นก็รีบลุกออกจากเตียงแล้วหันกลับมามองคนที่นั่งเฝ้าตน

“ผมลงไปทานคนเดียวก็ได้ คุณไปอาบน้ำเถอะทำงานมาเหนื่อยยังต้องมานั่งเฝ้าผมอีก”

“อาบน้ำ! เธอคงไม่คิดว่าฉันจะทานข้าวแล้วหรอกนะ”

“เอ้า! แล้วยังไม่ทานเหรอครับ” ความเงียบคือคำตอบทำให้แสงตะวันรนรานหนักกว่าเก่ารีบดึงมือคนที่ยังนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียงแล้วอยากทุบให้

จะสองทุ่มแล้วทำไมไม่กินไปก่อน

“ไปเลยครับ ทำไมคุณไม่ทานก่อน อย่าบอกว่ารอผมนะ! โถคุณเมฆ”





พอลงมาถึงก็ใช้เวลาจัดเตรียมอาหารใหม่เพียงไม่นานทุกอย่างก็ดูพร้อมทาน

เนื่องจากว่าตอนมาถึงที่บ้านก็ดันเกิดเรื่องเสียก่อน แถมคนที่ได้เรื่องกลับมาสลบไป เจ้าบ้านเลยบอกให้เก็บทุกอย่างก่อนรอจนกว่าเจ้าหนูจะตื่นแล้วค่อยเตรียม เลยทำให้การทานมื้อค่ำมันค่ำจริงๆ มืดสนิท สาวใช้ที่เคยเดินวนกันทั่วในบ้านก็เหลือแค่ไม่กี่คน เพื่อรอให้พวกเขาเรียกใช้งาน นำทีมมาด้วยคุณเอ็มม่าและสาวใช้อีกสามคน

คาล์ลนั่งทานไปเงียบ ๆ โดยมีเจ้าหนูคอยส่งอาหารมาให้ เจ้าตัวนั่งทานด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามเดิมแต่ใครจะรู้ว่าในใจเขามันฟูฟ่องขนาดไหน

แล้วยิ่งฟูเข้าไปอีกเมื่อเห็นของทานเล่นของวันนี้ แต่ก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อสีมันไม่เหมือนเดิม

คิ้วที่ย่นเข้าหากันเล็กน้อยคนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่คนที่นั่งข้าง ๆ ทานข้าวด้วยกันแอบมองอยู่ตลอดเลยทำการไขข้อข้องใจให้ในทันที

“พอดีที่สวนมันไม่มีดอกอัญชัน ผมเลยใช้ดอกกุหลากแทน แต่รับลองว่าอร่อยไม่แพ้กันเลย”

“เธอทำ!”

“ครับ แต่ไส้ด้านในอาจไม่เหมือนเดิมนะครับเพราะของที่ต้องใช้มันไม่ค่อยมี ผมเลยเอาตัวที่สามารถใช้แทนได้มาใช้อย่างถั่วลิสง ก็เอาเป็นอัลมอนคั่วใส่แทน รสชาติมันอาจจะมันๆ กว่านิดหน่อย”

อิงบอกเล่าถึงเครื่องครัวที่ไม่ครบตามสูตรของที่บ้านโดยละเอียด แต่คนที่มองขนมตรงหน้าไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น เขาเพียงรับรู้ว่าต่อไปนี้ถ้าเขาต้องการจะทานไอ้ขนมตัวนี้ มันจะไม่ยากอีกต่อไปแค่เขามีอิง มีแสงตะวันคนนี้อยู่ข้าง ๆ จะทำอะไรสูตรไหนก็ทานได้หมดขอแค่ให้เป็นรสมือของเจ้าหนูก็พอ

คาล์ลไม่รอช้ารวบช้อนที่ทานข้าวไปได้แค่สามสี่คำทันทีก่อนจะลากจานขนมมาไว้ตรงหน้า จนสาวใช้ที่มองอยู่ถึงกลับมองกันตาค้าง

ใช่อยู่ว่าปกตินายของพวกเขาไม่ใช่คนที่มีพิธีอะไรมากมายในการทานอาหาร แต่การดึงจานอาหารที่เป็นจานใหญ่มาไว้ตรงหน้าแทนที่จะใช้จานแบ่งนี่มันก็เกินไป แถมยังทำท่าทางถูกอกถูกใจเสียขนาดนั้น มันทำให้พลอยยิ้มตามไม่ได้แต่ก็พากันยิ้มได้แค่นิดเดียวก็ต้องรีบหุบทันทีเมื่อนายท่านมองมาด้วยสายตาแข็งเชียว

“มีใครแอบกินไปหรือยัง”

คำถามนี้ทำเอาเหล่าสาวใช้นิ่งค้างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะได้ตอบอะไรออกมาก็เป็นแสงตะวันเองที่เป็นคนเอ่ยตอบคำถามออกไป

“คุณ!!ผมให้ทุคนแบ่งไปทานเอง ผมทำไว้เยอะ คุณทานไม่—”

“หมด ทำไมจะไม่หมด แล้วทำไมมีเสิร์ฟมาแค่นี้” คนเอาแต่ใจเอ่ยถาม

“คุณหวงของกินตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ คุณเมฆา”

“ทำไมมีแค่นี้” แทนที่จะตอบคำถามกันกลับหันไปถามเอ็มม่าที่ยังยืนยิ้มให้อย่างเป็นมิตรอยู่ตรงมุมนั้น แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวให้สาวใช้ไปเอามาให้เพิ่มหากนายท่านทานหมด

แต่คำที่สวนออกไปกลับทำให้สาวใช้รีบทำตามทันที

“ไปยกมาให้หมด อย่าให้รู้ว่าแอบเก็บไว้”

แสงตะวันที่เห็นท่าไม่ดีเลยทำหน้าขรึมใส่ แล้วเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่รู้สึกไม่ได้น่ากลัวเลย แถมยังน่าฟัดอีกต่างหาก

“คุณเมฆรบกวนช่วยทานข้าวในจานให้หมดก่อนครับ”

“อิ่มแล้ว”

“อิ่มแล้ว! งั้นขนมที่จะทานก็ทานไม่ได้แล้วสิครับ”

“มันไม่เหมือนกัน”

“ยังไงครับ! ช่วยตอบคำถามที่ทำให้จานข้าวของคุณต้องทิ้งไปทีครับ ขอแบบน่าฟังนะครับ ไม่เอาแบบตอบตามใจตัวเอง”

“...”

“เร็วครับผมรอฟังอยู่”

คาล์ลจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะดันจานขนมเอาไว้ด้านข้าง แต่สายตายังทำเป็นอาลัยอาวอนจนคนที่คิดจะแกล้งแอบกั้นขำเอาไว้ แต่จะให้อ่อนให้ก็ไม่ใช่เรื่อง มีอย่างที่ไหนทิ้งข้าวมาทานขนม

ถึงจะแอบดีใจก็เถอะ

ก็มันเป็นขนมที่เขาทำให้เลยนะ ใจฟูเลยแหละ แต่ต้องเก๊กขรึมไว้ก่อนให้รู้ไม่ได้เดี๋ยวได้ใจกันพอดี

แต่ใครจะรู้ว่า คาล์ลมองออกตั้งนานแล้วว่าเด็กข้าง ๆ ดีใจแค่ไหน ก็ริ้วรอยแดงบนใบหน้ากับหูนั่นไง คำตอบ

โป๊ะแล้วยังไม่รู้ตัว

“ถ้าฉันทานหมด ขนมทุกชิ้นต้องเป็นของฉัน”

“...ถ้าหากนะครับ”

คนฟังยักไหล่ประมาณว่าสบายมากก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้าต่ออย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

แต่ใครจะคิดว่าที่บอกว่าหมดของ อิง นั้นหมายถึงหมดทั้งโต๊ะ ซึ่งมันมีมากกว่าห้ารายการ

ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าหนู ฉันทดไว้ในใจหมดแล้ว แล้วเราจะได้เห็นดีกัน





กว่าจะทานอาหารกันหมดก็ปาไปเกือบสามทุ่มใช้เวลาทานเกือบหนึ่งชั่วโมง กับการเห็น อัจมาน คาล์ลทำหน้าปูเลี่ยนใส่อาหารตรงหน้าก่อนจะมีคำสั่งออกจากปากอย่างเด็ดขาด

“ต่อไปเวลาตั้งโต๊ะ ทำออกมาแค่พอเหมาะไม่ต้องเยอะเวอร์แบบนี้” ช่วงท้ายมีการกดเสียงด้วยเล็กน้อยพร้อมปรายตาดุคนด้านข้างที่ไม่ได้ยีระกับสิ่งที่ได้ยิน แถมยังหันมายิ้มหน้าแป้นแล่นใส่อีก

“แล้วขนมที่เตรียมไว้จะทำยังไงดีครับ”

คาล์ลเริ่มรู้สึกว่าเขาโดนหยามหน้าอย่างมาก แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อตอนนี้เข้าอิ่มจนจุกไปหมดถึงจะอยากกินขนมนี่ให้ได้มากกว่านี้ก็เถอะ

“จะเอาไปไหนก็เอาไป”

“ไม่ทานต่อแล้วเหรอครับ”

“แสงตะวัน ฉัน อิ่ม ท้อง มัน รับ ไม่ ไหว แล้ว!!”

อิงแทบจะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำตอบชัดถ้อยชัดคำที่เน้นย้ำทุกประโยกเหมือนโกรธกันเหลือเกิน ก่อนที่เอ็มม่าจะสั่งให้สาวใช้ยกจานชามทุกอย่างเข้าไปเก็บ อัจมาน คาล์ลผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่ยอมลุกออกจากห้องอาหารเสียที ใบหน้ายังคงนิ่งแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกันมาเกือบปีย้อมรู้ดีว่า ใบหน้านิ่งๆ นั้นมันไม่ได้นิ่งเลย

เมื่อมุมปากซ้ายแอบกระตุก คิ้วหนาย่นเข้าหากันเล็กน้อยหากไม่สังเกตก็อาจจะไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร

อิงหันไปถามกับหัวหน้าแม่บ้านทันทีถึงยาลดกรด ก่อนที่เอ็มม่าจะรีบให้สาวใช้ไปหามาให้แล้วเธอก็เดินเข้ามาดูอาการนายน้อย ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นนายท่านใหญ่ของคฤหาสน์นี้ไปแล้ว

“ไหวไหมค่ะนายน้อย”

“...เหยียบให้มิดเลยนะ ห้ามให้ใครอื่นรู้นอกจากคนตรงนี้” คนกลัวเสียหน้ากับเหล่าลูกน้องรีบบอกกับหัวหน้าแม่บ้านทันที ก่อนจะมองคนด้านข้างที่เหมือนไม่สนใจกัน แต่แอบสังเกตกันตลอดสินะ หึ ถือว่าครั้งนี้เขาไม่เอาเรื่องก็แล้วกัน ถือว่ายังมีบุญอยู่บ้าง

คืนนี้จะปล่อยไปก่อน (ไม่ใช่ว่าจุกหรอกเหรอเฮีย..อิอิ



[อิง]



กว่าจะอาบทำอะไรเสร็จก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ออกจากห้องน้ำมาก็ยังเห็นคุณเขานั่งทำงานตามเคย อยากช่วยนะแต่ผมก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ขนาดตัวเขาเองยังไม่สั่งให้ผมทำเลย ไม่ได้น้อยใจนะ แค่รู้สึกว่าการที่ให้ผมมาด้วยมันก็ควรมีอะไรให้ผมทำบ้าง ไม่ใช่ให้เฝ้าแต่คฤหาสน์อยู่แบบนี้นาน ๆ มันก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเหมือนเจ้าเลออนอะไรนั่นเข้าไปทุกที

แต่พูดถึงตั้งแต่มาที่นี่ผมยังไม่เจอเจ้าสุนักที่ว่าเลยสักครั้ง มันยังมีที่ที่ผมยังไม่ไปเดินดูอีกเหรอ แต่ถ้าจะให้ไปเดินเองก็ไม่ไปแล้วนะ กลัวเจอกับเจ้าสามตัวนั้นอีก ยังไม่พร้อมเป็นอาหารใคร



“คุณ...สุนักที่คุณเคยพูดถึงอยู่ไหนเหรอตั้งแต่มาผมยังไม่เคยเจอเลย”

“อยากเจอ!”

“อื้ม เห็นในรูปมันก็น่ารักดี น่าจะดีกว่าเจ้าสามตัวเมื่อเย็นอยู่มั่ง”

“หึ...บางทีฉันก็อยากบอกเธอนะว่าอย่าตัดสินอะไรแค่ภายนอก แต่เผอิญลูกฉันคงทำเธอตกใจ จะให้เปิดใจเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเธอก็คงไม่ฟัง”

“...คุณกำลังจะบอกว่าเจ้าหมาตัวนั้น ดุกว่า ลูกสิงโตที่ผมเจอเหรอ! มันเกินจะเชื่อได้นะคุณ”

“พรุ่งนี้ไปพิสูจน์กันไหม!”

“ยังไงครับ?” คุณเขาไม่พูดอะไรอีกเอาแต่ยิ้มมุมปากแล้วหันไปให้ความสนใจเนื้องานในipadตามเคย

ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรเลยหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา อ้อคุณเขาซื้อซิมการ์ดของที่นี่มาให้ผมแล้วนะครับ แต่ผมก็ยังไม่ได้ใส่เขาไปในตัวเครื่อง ผมใช้วิธีเล่นเน็ตในคฤหาสน์แทน แรงกว่าเยอะเลย อีกอย่างเวลาโทรคุยกับแม่ผมก็โทรไลน์ได้ เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็สบายเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตกับตัว อ้อต้องมีแบตเตอรี่ในตัวเครื่องด้วยนะครับ ถ้าไม่มีแบตฯ เน็ตที่มีก็หมดความหมาย

ผมเข้าไปในกลุ่มแชทของบริษัทใหญ่ถึงได้รู้ว่า โรงแรมที่ผมกับคุณเขาเพิ่งไปเปิดตัวกันมาเมื่อสามวันก่อนตอนนี้ยอดจองเต็มจนถึงปีหน้าแถมยังเป็นยอดจองที่เป็นยอดเต็มไม่ใช่จัดโปรโมชั่นอีกต่างหาก

ผมหันไปมองคนที่ยังทำงานหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เลยทั้ง ๆ ที่ยอดทางโรงแรมดีขนาดนี้

“คุณเห็นยอดจองของโรงแรมที่ภูเก็ตยังครับ”

“อืม”

“แล้วทำไมยังหน้าเครียดอยู่อีกล่ะ”

“งานอื่นน่ะ อีกอย่างยอดที่เธอเห็นใช่ว่ามันจะอยู่แบบนั้นตลอด อย่าเพิ่งดีใจไป”

“แล้วคุณเครียดงานไหนครับ”

“...ง่วงหรือยังนอนก่อนไหม?” คุณเขาไม่ตอบแถมยังเปลี่ยนเรื่องหนีผมไปอีกต่างหาก แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ

ผมอยากช่วยงานคุณเขาได้มากกว่านี้นะ แต่ก็เข้าใจเขาแหละว่างานบางงานมันละเอียดอ่อน ผมก็ถือว่าเป็นคนนอกในงานหลายตัวของคุณเขาที่ช่วยได้ตอนนี้ก็แค่ทำหน้าที่เลขาทางฝั่งบริษัทที่ไทย ช่วยประสานงานให้เขาก็เท่านั้น แต่ตั้งแต่มาที่นี่ ทางนู้นก็ไม่ติดต่อหรือรายงานอะไรผมมาเลยขนาดยอดสรุปงานของเดือนนี้ หรือแม้แต่ยอดสรุปค่าใช้จ่ายในวันงานผมก็ยังไม่ได้รับเมลเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าทุกอย่างผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

ผมยอมละความสนใจจากคนที่เอาแต่ทำงานหน้าเครียดล้มตัวลงนอนหันหลังให้คุณเขาทันที ไม่อยากเรื่องมากด้วย ตอนนี้ในใจคิดแค่ว่าขอให้ได้กลับบ้านเร็ว ๆ จะได้ทำงานเสียที อยู่แบบนี้แล้วไม่ชินเลย เพราะทั้งชีวิตผมก็ทำงานมาโดยตลอด ไม่งานนอกบ้านก็ช่วยแม่ขายข้าวแกง ไม่ได้มามีเวลานั่งว่างเดินชมคฤหาสน์หรูแบบนี้หรอก

แต่ตอนที่หนังตาผมเริ่มจะทนทานต่อความง่วงไม่ไหวผมก็รู้สึกถึงแรงกอดจากทางด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งตัวตื่นเต็มตา ก่อนจะหันไปมองคนด้านหลัง

“ค..คุณมากอดผมทำไม”

“เธอโกรธฉัน”

“ไม่ได้โกรธอะไรเลยครับ แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

“เธอโกรธ...ขอเวลาฉันหน่อย ขอให้ทุกอย่างมันลงตัวแล้วฉันจะให้เธอรู้ทุกอย่าง” ผมหันตัวกลับไม่เผชิญหน้ากับคุณเมฆทันทีที่เขาพูดแบบนั้น

เห็นอิงเป็นคนยังไงกัน!

“ผมไม่ได้อยากเข้าไปวุ่นวายงานของคุณนะครับ...โอเคผมอาจจะถามมากไป แต่ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ ผมแค่ว่างงานอะไรคุณก็ไม่ให้ผมทำ งานที่บริษัทก็ไม่เห็นส่งอะไรมาให้ผมตรวจเช็กเลย—”

“...ไม่ดีเหรอ”

“ไม่ครับ ผมมาทำงานก็ควรได้ทำงานไม่ใช่มาเดินเล่นรอบคฤหาสน์ของคุณเหมือนเจ้าบ้านแบบนี้”

“เดี๋ยวก็ได้เป็น”

“คุณ!!”

“ok..okฉันยอมเธอแล้วพรุ่งนี้ฉันมีงานให้เธอทำ แต่ว่าตอนนี้นอน ฉันง่วงแล้ว” พูดเสร็จคุณเขาก็ดึงหัวผมเข้าไปซุกที่แผ่นอกของเขา ลืมไปหรือเปล่าว่ามันไม่เนียนเอาเสียเลย

“คุณเมฆ!! ขนหน้าอกคุณแหยจมูกผมแล้ว”

แทนที่เขาจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระกลับกอดผมแน่นขึ้น หัวเราะ หึหึ ในลำคอจนอยากเอามีดมาปาดดูว่ามีอะไรติดอยู่หรือเปล่า ผมดิ้นอยู่นานจนรู้สึกว่าถ้ายังดิ้นอยู่แบบนี้ผมคงไม่ได้นอนต่อแน่ ๆ เลยหยุดทุกการกระทำนอนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ให้คนหน้ามึนเขากอดผมไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินไปมากกว่านี้

“หมดแรงแล้วเหรอ”

“...”

“Good Night Babe”

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขาก่อนที่ทุกอย่างจนค่อยๆ เลือนลางก่อนที่ภาพทุกอย่างจะหายไป



โดยไม่ได้รู้เลยว่างานที่คุณเขาจะให้ผมทำพรุ่งนี้ มันมีคำว่าชีวิตที่เหลือของผมห้อยอยู่ด้วย





TBC
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 28-12-2021 01:39:09
ตอนที่ 17 แบบนั้นเขารียก...พาล



[อิง]



“คุณเมฆจะพาอิงไปไหน!!”

“เดี๋ยวก็รู้” ไอ้การถูกดึงให้เดินตามแบบนี้ มันเหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้ แต่ทางที่คุณเขาพาผมมานี่สิทำเอาอยากจะหยุดเสียมันซะตรงนี้เลย

“แล้วทำไมต้องเดินมาฝั่งนี้ คุณเมฆ!!!”



ย้อนกลับไปช่วงทานมื้อเช้ากันครับ ผมกับคุณเมฆวันนี้เราลงมาพร้อมกันเพราะเมื่อคืนผมได้นอนเร็วแถมก่อนหน้านั่นก็ได้พักสายตา (สลบ) ไปนานสามชั่วโมงเลยทำให้วันนี้ตื่นเช้าได้ตามปกติ

พอลงมาถึงผมและเขาทำการนั่งทานข้าวเหมือนปกติของทุกวันก่อนที่คุณเขาจะเอ่ยบอกถึงเรื่องงานที่เราได้คุยกันไว้เมื่อคืน ซึ่งมาถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่างานที่จะได้คืองานอะไร แต่จะให้นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน

“ทานเสร็จเดี๋ยวตามฉันไปทำงาน”

“...ผมต้องเปลี่ยนชุดไหมครับ”

ที่ถามแบบนั้นเพราะชุดที่ผมใส่อยู่มันเป็นชุดใส่สบาย สำหรับอยู่บ้านไม่เหมาะหากจะใส่ชุดนี้ออกไปเจอใครเท่าไหร่

“ชุดนี้แหละดีแล้ว”



พอทานเสร็จต้นแขนผมก็ถูกคุณเขาดึงให้ลุกขึ้นและเดินตามคุณเขาออกจากคฤหาสน์ทันที

และคิ้วผมก็กระตุก ขาจะเริ่มสั่น เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ข้างขมับเมื่อเห็นเส้นทางที่คุณเขาพาเดินมา ยิ่งมาแบบไปเลี้ยวเข้าซอยไหน ตรงมาเรื่อย ๆ จนเห็นรั่วกั้นไกล ๆ นั้นแหละผมถึงเริ่มรู้แล้วว่าคุณเขาจะพาผมไปไหน

“คุณคิดจะทำอะไร!! คุณเมฆ!! ปล่อยมืออิงนะ อื้อ!! อิงไม่ไปตรงนั่นนะ” ผมดึงแขนตัวเองกลับทันทีแต่มันไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ด้วยสัดส่วนร่างกายเราไม่มีความเท่ากันเลยสักนิด ทำให้การยื้อแย่งลำแขนตัวเองกลับ ไม่มีผลต่อคุณเขาเลยสักนิดแถมยังกระชับมือให้แน่นขึ้นไปอีก

“คุณเมฆ!! นี่โกรธกันเรื่องเมื่อวานถึงกลับจะเอาอิงมาให้สิงโตกินเลยเหรอ คุณเมฆ ร..เรา เราคุยกันก่อนได้นะ อิงขอโทษต่อไปคุณจะทานแต่ขนมอิงก็จะไม่ว่าไม่บังคับอะไรเลย แต่อย่าเอาอิงไปเป็นอาหารเจ้าพวกนั้นเลยนะครับ”

ผมร่ายยาวเป็นหางว่าว เสียงตะกุกตะกักบ้าง แต่นาทีนี้ชีวิตผมสำคัญที่สุด แต่อยู่ ๆ คนที่ลากผมมาก็หยุดตัวลงก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงถาม

“เธอพูดอะไรของเธอ อาหารใคร! อะไร!”

“นี่ไงคุณเมฆจะจับอิงไปให้เจ้าพวกนั้น คุณเมฆ ผมยังมีแม่มีน้องที่ต้องดูแลนะ น้องผมเพิ่ง 18 ถ้าผมตายไปตอนนี้แม่ก็ต้องหาเงินส่งน้องผมคนเดียว ท่านก็อายุมากแล้ว ไหนจะงานที่ผมทำไว้ยังไม่เสร็จอีก คุณเมฆช่วยไตร่ตรองใหม่เถอะนะ เนี่ย ๆ ด..เดี๋ยววันนี้อิงทำขนมให้ทานใหม่ เอาให้เยอะกว่าเมื่อวานเลยก็ได้ นะ ๆ คุณเมฆนะ ปล่อยผมไปเถอะนะ”

“แสงตะวัน ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอเพ้อได้ขนาดนี้” คุณเขายืนกอดอกยิ้มขำกับท่าทางผมแถบยังส่ายหัวให้กันอีก

อะไร! คนรักชีวิตตัวเองมันผิดหรือไง!! ยัง ยังจะมากรอกตาใส่อีก

“ก็คุณพาผมเดินมาทางนี้ทำไมเล่า”

“บอกแล้วว่าพามาทำงาน แล้วใครจะเอาเธอไปให้พวกนั่นกิน”

“...ก็”

“เลิกเพ้อแล้วเดินตามมา ฉันไม่ได้พาเธอมาฆ่า ตามมา อ้อ เลิกโวยวายถ้าไม่อยากโดนแบบเมื่อวาน”



แล้วคุณเขาก็เดินลากผม ใช่ครับ ‘ลาก’ ไม่ใช่จูง ไปทางที่ผมเดินเข้าไปเมื่อวานก่อนจะเจอกับเจ้าพวกตัวขาวขนฟูหน่อย

อืม สามตัวเลย อา ประสานสายตากันด้วยเป็นไง

ย..อย่าเลียปากแบบนั่นสิ!!

ผมยืนกลืนน้ำลายอยู่ด้านหลังของคุณเขา มือที่คุณเขาจับมาตลอดทางอยู่ๆ มันก็หลุดออกจนผมที่ตกใจรีบ ตะครุบต้นแขนคุณเขาไว้แถมยังเกาะแน่นเลยแหละ

“อย่าคิดจะทิ้งกันไว้แบบนี้นะ” ผมกัดฟันพูดกับคนที่หันหน้ามามองกัน เหมือนสงสัยว่าผมจะจับเขาไวทำไม ก่อนที่ผมจะบอกออกไป

แล้วดูหน้าคุณเขาสิ ทีงี้แล้วยิ้มบ่อย เวลาปกติล่ะขรึมตลอด หึ้ย!!

“ถ้าเธอเกาะฉันอยู่แบบนี้ งานที่จะทำมันก็จะทำไม่ได้ แล้วเธอก็ต้องอยู่กับลูกฉันอีกนาน”

“...”

“เลือกเอานะ”

“ล..แล้วงานที่จะทำคืออะไร”

“...ฉันยังไม่บอกเธอเหรอว่ามาอาบน้ำให้พวกมัน” เหมือนภาพหนังเรื่องหนึ่งที่ผมดูตอนที่ตัวร้ายกำลังจะหนีแล้วมีสิงโตตัวใหญ่กระโดดกันหัวเขาจนขาด มันวิ่งเข้ามาในโสนประมาททุกส่วนในตอนที่คุณเขาบอกออกมาแบบนั้น

ว่าเดินเข้ามาในนี้อีกครั้งก็ว่าเกร็งจะแย่ นี่ต้องมาอาบน้ำให้กันเนี่ยนะ

“คุณเมฆฆ่าผมเลยก็ได้ แต่อิงไม่อาบนะ ไม่อาบให้เด็ดขา_อ๊ะ”

แล้วอยู่ๆ ตูดผมก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรมาดุนอยู่ก้นน้อย ๆ ของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมอง อ่า!!เราประสานสายตากันอีกแล้ว ตาย!! ตายแน่วันนี้ ไอ้อิงตายแน่ ๆ

“อย่าเกร็ง ปล่อยตัวตามสบายมันแค่สนใจเธอ”

“แล้วมันจะสบายได้ไงในเมื่อ เจ้านี่ยังไม่เลิกดมก้นผม”

“เมื่อเช้าเธอลืมล้างก้นหรือเปล่า!”

“คุณเมฆ!!” แทนที่จะช่วยคุณเขากลับชอบใจเสียขนาดนั้น แล้วยังไม่พอนะ หมายถึงไอ้พวกนี้นี่ยังไม่พอ ตัวเดียวยังไม่พอ มากันหมดเลยคราวนี้

ขาผมนี่อ่อนจนไม่รู้จะอ่อนยังไงแล้ว แต่ดีนะที่มือผมยังมีแรงเกาะแขนคุณเมฆเอาไว้แน่น แล้วคิดไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยเลยเด็ดขาด

อ่า!!..ข้างหลังไม่พอ ว..วนมาดมข้างหน้าด้วยเป็นไง ชอบอะไรกัน!!! ขาสั่นหมดแล้ว!!

“ลองลูบหัวมันดูสิ”

คุณเมฆไม่ได้คิดจะให้ผมตัดสินใจอะไรเลยเขาก็ดึงมือผมออกไปด้านหน้า ผ่านการดมกลิ่นจากเจ้าตัวสีขาวที่ดูขนาดแล้วน่าจะเป็นพี่ไม่งั้นก็คงกินเยอะเกินไป กินเยอะ!! โอ้ อย่ากินเรานะเธอ!!

ผมหลับตาปี๋แล้วตอนนี้ ในเมื่อชักมือกลับก็ไม่ได้หลับตาน่าจะดีที่สุด ถ้ารู้สึกว่ามือที่ยื่นออกไปนั้นขาดค่อยว่ากัน..

ซะที่ไหน!!

สิ่งแรกที่สัมผัสคือขนที่แข็งกว่าขนสุนัก แต่ก็ยังมีความนุ่มฟูอยู่บ้าง ก่อนที่มือผมจะเลื่อนลงมาตรง สันกรามก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรเปียกมาสัมผัสที่มือ

ผมลืมตาขึ้นมองก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวขาวด้านหน้ามันกำลังเลียหลังมือของผม ก่อนจะดุนฝ่ามือผมให้กลับไปลูบบนหัวแล้วย่อตัวลงจนนั่งติดกลับพื้น เหมือนชอบใจกับสิ่งที่ผมทำให้ (ถูกบังคับ)

ผมหันกลับไปหาคุณเมฆที่ยิ้มมุมปากมองผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะผละมือที่จับผมไว้ ผมมองตามจนไปดูที่มือตัวเองที่อยู่บนหูของเจ้าตัวขาวด้านหน้า

“กิวล์ คือชื่อของมัน”

“กิวล์!!”

“อือ ส่วนเจ้านี่กีฟเวน นั่นอีธาน”

“อีธาน!! เหรอครับ คุณเอาชื่อลูกน้องมาตั้งชื่อเขาเหรอ”

“เปล่าชื่อพวกนี้แม่ฉันเลือกไว้ให้ มันเป็นชื่อที่ดี และมันมีชื่อนี้มาก่อนที่ฉันจะรับอีธานเข้ามาในทีม”

ผมพยักหน้ารับแล้วหันกลับมาให้ความสนใจเจ้าตัวขาวที่ชื่อว่ากิวล์ที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะล้มตัวลงนอนข้างเท้าของผมหน้าตาเฉย

“มันชอบเธอ”

“รู้ได้ไงครับ เขาอาจจะทำให้ผมตายใจแล้วแอบกินผมทีหลังก็ได้”

“วางความเพ้อเจ้อของเธอลงก่อน แสงตะวัน”

“เอ้า!! ผมไม่ได้เพ้อสักหน่อยเมื่อวานก็ยังเห็นอยู่ว่าพวกมันจ้องจะกินผม”

“ฉันก็บอกไปแล้วว่ามันแค่สนใจเธอ แถมตัวเธอก็มีกลิ่นของฉันมันไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“ใครจะรู้”

“ฉันนี่ไง รู้”

“ผมคุยคนเดียว”

“แต่ฉันได้ยิน”

กรร

“อ่ะ..คุณเขาเสียงดังเหรอ จะเงียบให้เดี๋ยวนี้แหละ นอน ๆ ”

“หึ เมื่อกี้ยังกลัวอยู่เลย ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว!!”

ผมไม่ตอบแต่นั่งลงไปกับผืนหญ้าตรงนั่นแทน แล้วก็ลูบขนให้เจ้าตัวเล็กที่ใหญ่มาก อยู่แบบนั้นก่อนจะเลื่อนมือลงไปตามสันหลังและลำตัว ก่อนจะต้องตกใจเมื่อคุณเมฆพูดเสียงดังขึ้นมา”

“กิวล์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้จะหลับ ลุก ต้องอาบน้ำแล้ว”

เสียงฟึดฟัดไม่ชอบใจ ก่อนที่เจ้าตัวขาวชื่อกิวล์จะลุกจากพื้นแล้วมานวยนาดล้มตัวลงทับผมแถมยังเอาหัวมาถูสีข้างผมเอาซะกลั้นขำไม่ได้เลย

“เจ้าคิดว่ามีพวกแล้วจะรอดเหรอ!!” คุณเมฆพูดออกมา ยืนกอดอกมองเจ้ากิวล์ที่ไม่ยอมลุกออกจากตัวผม แถมยังพยายามเบียดตัวเข้าหาจนผมหงายหลังดีนะที่คนที่กอดอกมองไม่ปล่อยให้ผมล้มลงไป

“เจ้าชอบเธอเหรอ! เธอชื่อแสงตะวัน ...งั้นถ้าเป็นเขา เจ้าจะยอมอาบน้ำไหม”

ฟังการไกล่เกลี่ยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ กิวล์จะยอมลุกออกจากตัวผมแล้วนำทางผมไปทางบ่อน้ำ ด้วยการดุนหลังให้ผมลุก แล้วยังดุนเรื่อย ๆ ให้เดินตามมันไป อีกสองตัวพอเห็นว่าพี่เดินไปแล้วก็เดินนวยนาดมาอยู่ข้าง ๆ ผมแถมยังไม่เลิกดมกลิ่นกันอีก ก่อนที่จะเอาหัวมาดุนฝ่ามือผมให้ไปแปะอยู่ที่กลางหัว คุณเมฆบอกว่ามันคือการอนุญาตอย่างหนึ่งหากมันยอมให้ลูบหัวแปลว่ามันเชื่อใจผมแล้ว ต่อไปหากใครทำอะไรผม พวกมันจะปกป้องผมเหมือนเป็นเจ้านายอีกคน



คุณเคยอาบน้ำให้หมาไหม! ครับ ไม่ต้องเอาพันธ์อื่นนะต้องเป็นโกเด้นฯ เท่านั้น

ใช่ ตอนนี้ผมเจอสถานการณ์แบบนั้นเลย อยู่ไม่นิ่ง นั่งไม่เป็น แถมยังโวยวายอีกต่างหาก

ทั้งที่คุณเมฆบอกว่าปกติพวกมันชอบแช่น้ำกันมาก ๆ แต่เวลาอาบน้ำมันก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเหมือนกัน

โครง โครง กรร

เสียงเจ้าอีธานที่ถูกคุณเมฆจับให้นั่งลงไปในน้ำโวยวายใหญ่ ก่อนจะสะบัดตัวแรงให้หลุดออกจากการล็อกตัว แต่ก็ออกไม่ได้ เลยได้แต่โวยวายแทน ที่เห็นจะนิ่งสุดคงจะเป็นเจ้ากิวล์ ที่ยืนสง่าในน้ำให้ผมขัดตัวให้ โดยที่คุณเมฆบอกมาแล้วว่าตรงไหนบ้างที่ห้ามจับหรือแตะต้อง หากมันไม่เชื้อเชิญห้ามแตะเด็ดขาด นั่นคือหาง ใต้ท้องช่วงขาหลัง อวัยวะ (ซึ่งผมก็ไม่คิดจับอยู่แล้วไหม)



ไม่คิดว่าการอาบน้ำให้สิงโตสามตัวจะต้องใช้เวลามากขนาดนี้นี่ยังไม่รวมต้องเอาไปเช็ดอีกนะ แต่ไม่ต้องเป่าขน คุณเมฆบอกที่นี่ร้อนอยู่แล้วเดี๋ยวไม่นานมันจะแห้งเอง

ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่หน้าตามันเหมือนโคลอตเซี่ยมขนาดเล็ก มีอัฐจันทร์ให้นั่งประมาณด้วยตาน่าจะร้อยที่ได้ แต่มีแค่ด้านเดียว

ภายในห้องโล่งมาก ๆ มีเก้าอี้อยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น

“เดี๋ยวให้คนเปลี่ยนน้ำในบ่อให้เสร็จก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ครับ”

ผมตอบรับคำคุณเมฆก่อนที่จะก้มลงไปเช็ดขนให้เจ้าเด็กตัวใหญ่ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่กิวล์ที่ติดผม แต่ทุกตัวมานอนกองกันรอบตัวผม คุณเมฆบอกพวกมันงอนเขาที่ทำมันแรงตอนอาบน้ำเลยคิดจะหาพวก

ผมหัวเราะให้กลับการได้รับรู้ก่อนจะลองคุยกับพวกมันด้วยภาษาอังกฤษ

“ไง สบายตัวกันไหม” คำตอบคือการหลับตาเอาหัวมาถูกัน คุณเมฆตอบให้แทนว่ามัน ‘ชอบ’ พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมาทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปคุยกับคนที่นั่งบนเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียว

“คุณรู้ได้ไงครับว่าเขาตอบอะไร”

“...ความรู้สึกมั่ง”

“คุณคงรักพวกมันมาก”

“มันคือสิงเดียวที่แม่ฉันทิ้งไว้ให้ฉัน เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุด...แต่ถ้าจะพูดแบบนั้นทั้งหมดก็ไม่ถูกเพราะที่แม่ให้มามันมีแค่ตัวเดียว”

“ตัวเดียว! กิวล์เหรอครับ” ผมมองจากขนาดตัวแล้วคิดว่าน่าจะใช่เพราะกิวล์ดูใหญ่กลัวอีกสองตัวมาก

“แม่ของพวกมันต่างหาก แม่ฉันไปได้มันมาตอนที่พ่อพาไปทำงานด้วยที่ยุโรปแถวโบลิเวีย แม่เจ้าพวกนี้อยู่ ๆ ก็กระโดดใส่หน้ารถที่พ่อกับแม่ฉันนั่งอยู่ ตอนนั้นมันบาดเจ็บหนักไม่รู้ว่าไปเจออะไรมา แม่ฉันเห็นว่ามันเริ่มไม่ไหวแล้วเลยขอให้พ่อพามันไปรักษาตัว พ่อฉันที่รักเมียยิ่งกว่าอะไรพอแม่ขอไปแบบนั้นก็ให้ลูกน้องอุ้มมันขึ้นรถทันที เพราะตอนนั้นมันสลบไปแล้ว”

“เขาท้องเหรอครับ”

“ตอนนั้นยังไม่รู้ เพราะหมอที่เรียกมาดูอาการตอนนั้นก็เป็นหมอประจำตระกูลที่เป็นหมอคน ตอนนั้นแม่แค่คิดว่าจะช่วยมัน ให้ที่พักมันจนมันหายดี แล้วถึงจะปล่อยไป แต่วันที่จะปล่อยมันไปมันกลับไม่ยอมไป แล้วก็ทำแบบที่กิวล์ทำกับเธอ คือเอาหัวดันมือแม่ฉันไปไว้บนหัวก่อนจะนั่งลงแล้วหมอบลงไปเหมือนการเคารพ”

“แล้ว...”

“อีกสองวันท่านต้องกลับมาที่นี่ แม่คิดหนักมากว่าจะทำยังไง มันไม่ยอมห่างแม่ มันเดินตามทุกครั้งที่แม่ฉันเริ่มก้าวเท้า สุดท้ายเป็นพ่อที่ตัดสินให้เอามันกลับมาด้วย เพราะตรวจจับโลหะหรือสิ่งแปลกปลอมในตัวมันไม่ได้เลยคิดว่าคงไม่ใช่สัตว์ที่หลุดออกมาจากกรงของใคร ทานเลยเอามันกลับมา ตอนนั้นฉันถึงได้เจอกับลีอา สิงโตตัวเมียขนสีขาวสะอาดเดินเคียงข้างกับแม่ลงมาจากเครื่องบินเรา ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากถ้าจำไม่ผิด มันเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะทำต่างออกไปจากที่ทำกับแม่ คือมันกระโดดใส่ฉันแล้วเลียเข้าที่หน้าฉันจนชุ่มไปหมด มันพยายามจะบอกเรื่องลูกมันกับฉัน ด้วยการที่พยายามให้ฉันไปลูบที่ช่วงท้องมันที่เหมือนจะอ้วนแปลกตา สัมผัสแรกที่ฉันได้คือแรงกระตุก ของหน้าท้อง ตอนนั้นฉันลนลานมาก ตื่นเต้นด้วย ฉันบอกแม่ว่าท้องมันกระตุกได้ ก่อนที่รอยยิ้มแม่จะหายไป แล้วสั่งให้ การ์ดคนหนึ่งไปตามหาสัตว์แพทย์ มาที่บ้านทันที ถึงได้รู้ว่ามันกำลังตังครรภ์ ไม่มีใครรู้เลยว่าในท้องของลีอาจะมีเจ้าพวกนี้อยู่”

คุณเมฆ พูดยาวมาก ไม่ใช่สิหลงประเด็นแล้ว เอาใหม่ ๆ

คุณเมฆพูดไปใบหน้าก็เปื้อนยิ้มไปด้วย ก่อนจะเล่าต่อถึงเรื่องของเจ้าพวกนี้ต่อว่า แม่ของพวกมันได้เกิดโรคแทรกซ้อนจากแผลที่คิดว่ารักษาไปดีแล้ว แต่เปล่าเลยมันหายแค่แผลภายนอกแต่ภายในมันสาหัสมาก หมอบอกว่ามันเก่งมากที่มันทนได้เป็นเดือน ๆ แบบนี้ ทั้งลูกในท้องก็แข็งแรง จนวันที่มันคลอดเจ้าพวกนี้ก็ไม่ได้เห็นแม้กระทั้งแม่ของตัวเอง เพราะมันตายหลังจากที่คลอดอีธานออกมา ตั้งแต่วันนั้นคุณเมฆก็สัญญาว่าจะเป็นพ่อให้พวกมัน จะดูแลพวกมันให้ดีที่สุด และทุกวันนี้ที่ผมเห็นกับตา ผมเชื่อแล้วว่าคุณเมฆทำตามที่พูดจริง ๆ



การเล่าเรื่องของเจ้าพวกนี้ยาวนานมาจนเกือบเที่ยงคุณเมฆก็ชวนผมกลับ แต่ไม่ได้กลับแค่พวกผมกรอกครับ เมื่อมีเด็กตัวใหญ่สามตัวไม่ยอมให้พวกผมกลับกันเอง จะเดินตามมาด้วยจนคุณเมฆต้องยอม

“เดินกันดี ๆ เดี๋ยวอิงจะล้ม” เสียงคุณเขาดุ เจ้าเด็กแสบที่เดินนวยตามเกาะแข้งเกาะขา มุดใต้แขนเดินมากันด้านหน้าเหมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว

“ไม่เป็นไรครับผมโอเค อ๊ะ”

“ไง โอเค ถ้ารับไม่ทันหัวแตกเลยนะอิง” คุณเขาบ่นผมตอนที่ผมเดินสะดุดขาของกีฟเวนจนหน้าเกือบหงาย

“คุณ!! ผมก็ไม่ล้มแล้วไง อย่าดุสิ”

“เธอนี่มัน...ฟอด”

“ฮื้อ!!! คุณเมฆทำอะไรเนี่ย” เหมือนตัวเองมีสปลิงในตัว ดีดออกจากตัวคุณเขาได้เหมือนเจอของร้อนก่อนจะแหวกทางให้เจ้าเด็กหลบไปแล้วรีบเดินไว ๆ ขึ้นบันไดทางเข้าบ้านทันที ก่อนจะมีเด็กสามตัวเดินตามมาติดเข้าไปในบ้าน

มีสาวใช้หลายคนตื่นตัว พากันขึ้นไปหลบบนบันไดบ้าง หลังแจกันใหญ่บ้าง จะมีก็แต่เอ็มม่าที่เดินเข้ามาหาแบบไม่กลัวแถมมาพร้อมกลับรอยยิ้มบนใบหน้าตามเคย

“ดูพวกเขาจะชอบคุณ” คำทักท้ายแรกที่เอ็มม่าทักก่อนจะส่งมือไปลูบหัวของอีธานที่เดินเข้าไปอ้อนเหมือนว่าจะขออาหารจากใครได้

“ไง อาบน้ำกันแล้วสินะ กวนคุณเขาหรือเปล่า!” คำตอบที่ได้คือการเดินกลับมาหาผมก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ แล้วมองผมขึ้นมาเหมือนประมาณว่า ‘ตอบสิว่าผมเป็นเด็กดี’ มันทะลุออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“ไม่ครับ ทุกตัวน่ารักกว่าที่ผมคิด”

“ค่ะ เห็นนายท่านบอกว่าคุณอยากเจอเลออน”

“อ่อ ครับ”

“แน่ใจนะคะ?” มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมนึกถึงคำบอกเล่าของคุณเมฆเมื่อคืน

‘หึ...บางทีฉันก็อยากบอกเธอนะว่าอย่าตัดสินอะไรแค่ภายนอก แต่เผอิญลูกฉันคงทำเธอตกใจ จะให้เปิดใจเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด เธอก็คงไม่ฟัง’

ผมก้มลงมองเจ้าเด็กแสบสามตัว ก่อนทำเป็นเอ่ยถามกับพวกมันถึงเพื่อนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ปฏิกิริยาที่ได้ทำเอาผมรู้สึกเย็นหลังยังไงก็ไม่รู้

“พวกนายรู้จัก เลออน กันไหม” จากที่ตอนแรกอีธานยังทำตัวออดอ้อนคุณเอ็มม่าอยู่ดี ๆ มีอันต้องหยุดแถมยังต้องลุกขึ้นเหมือนเตรียมตัว ก่อนจะมองซ้ายมองขวา กิวล์กับกีฟเวนเองก็เดินเข้ามานาบด้านข้างผมแถมยังเบียดตัวเข้าหาอีกแหนะ

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมยังอยากเจอเจ้า เลออน อยู่หรือเปล่านะ

สมองเริ่มตีกันก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ คุณเมฆที่เดินรั้งท้ายเพราะผมวิ่งหนีมาก็มาถึงพร้อมถามว่าเป็นอะไรกัน ก่อนที่เอ็มม่าจะบอกว่าผมถามถึง เลออน คุณเมฆได้ยินแบบนั้นก็หันมามองผมก่อนจะถามออกมา

“เธอยังอยากจะเจอมันเหรอ!”

“...ก็ถ้าได้เจอก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอคุณ ขนากเจ้าสามตัวนี้คุณยังพาผมไปทำความรู้จักเลย ผมก็อยากเจอเจ้า เลออน บ้าง อยากรู้จะร้ายแค่ไหนกัน”

“จะไม่เสียใจภายหลัง!”

“อย่าพูดให้ขวัญเสียสิคุณ!!”

สุดท้ายคุณมฆก็ตกลง แต่ก่อนจะไปหา เลออน เจ้าสุนักพันธ์ปั๊ก คุณเมฆบอกไปเติมพลังก่อนเดี๋ยวถ้าต้องได้วิ่งจะได้มีแรง

เชื่อเขาเลย

เจ้าสามตัวไม่เข้ามาวุ่นวายในห้องอาหารด้วยแต่ก็ไม่ยอมไปไหนนั่งเฝ้าทางเข้าพร้อมกับเนื้อปลาแซลมอนคนละชิ้น (ใหญ่)



เราใช้เวลาไม่นานในการทานอาหารก่อนทุกอย่างจะจบลง

คุณเมฆพาผมเดินขึ้นชั้นบนโดยยังมีเจ้าสามตัวเดินนวยนาดอยู่ข้างผมเหมือนจะอ้อน จนโดนคุณเขางอนใส่ หาว่ามีเพื่อนใหม่ตัวเองก็ไม่มีความหมายเลย อะไรอีกไม่รู้หลายอย่าง ถามว่าพวกมันสนใจไหม! ก็ไม่ ยังเดินข้างผมไปเรื่อยจนมาถึงห้องๆ หนึ่งที่อยู่ติดกับห้องคุณเมฆ เจ้าเด็กแสบสามตัวก็พากันหยุดเดินแบบพร้อมกัน แถมยังมีการขู่คำรามออกมาไม่หยุด

“ไม่ต้องกลัวนะ เราอยู่กับพวกนาย โอเคไหม”

ผมใช้มือลูบหัวพี่ใหญ่อย่างกิวล์ทำให้เขาดูสงบลงก่อนอีกสองตัวจะผ่อนคลายตามนี่สินะ พลังความเป็นผู้นำ พี่ว่าไง น้องว่าตาม เมื่อวานเลยไล่ผมกันสนุกเลย

“พร้อมหรือยัง” ดูคำถามคุณเขาเถอะ

“พร้อมครับ” สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมันออกมา

คุณเมฆเดินไปเคาะประตู (มารยาทดี) ก่อนจะเปิดเข้าไปด้านใน ด้านในเป็นห้องกว้างมีของเล่นสัตว์มากมายแต่ทุกชิ้น ไม่ได้อยู่ในรูปแบบปกติสักชิ้นเดียว ลูกบอลขาดบ้าง ตุ๊กตาฉีก บางตัวถึงกลับหัวขาด

รอบ ๆ ยังมีของเล่นอีกมากมายอยู่ในนี้ แต่อย่างที่บอก ไม่มีแบบสภาพดีสักอัน

มองไปรอบห้องก็เจอแต่สิ่งของ ไม่เห็นเจอสิงที่ผมต้องการเจอเลย อ้อ เจ้าสามแสบไม่เข้ามานะครับ นั่งรอตรงหน้าห้องคุณเมฆนู้น คุณเมฆบอกว่าพวกมันไม่ถูกกัน นี่เป็นสาเหตุที่ไม่เห็นเจ้า เลออน ภายนอก

แต่อยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกุกกัก อยู่ตรงด้านหลังบ้านเต้นหลังใหญ่ ก่อนจะเห็นเจ้าของห้องตัวสีขาวหน้ามีลายดำเหมือนในรูปแต่จากในรูปน่าจะตอนเด็กกว่านี้ ตอนนี้ดูตัวใหญ่ขึ้น ปากเบะ หน้าย่น หูพับคือสิ่งที่โดดเด่นสำหรับสุนักพันธ์นี้ ก็ดูน่ารักดีนี่ ไม่เห็นจะดูมีผิดตรงไหน คุณเมฆยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพิงกับขอบประตู พยักพเยิดหน้าให้ผมเข้าไปด้านใน

ตอนที่ผมจะเดินเข้าไป เจ้าเลออนมันกลับหยุดเดิน ก่อนจะค่อย ๆ เดินใหม่อีกรอบ ด้วยความระแวดระวัง ค่อย ๆ เข้ามาดมกลิ่นผม เดินวนรอบตัวผมเหมือนเจ้าพวกด้านนอกก่อนจะนั่งแล้วเงยหน้ากระดิกหางที่ไม่มีของตัวเอง ทำท่าดีใจใหญ่ แล้วค่อย ๆ เอาเท้าเล็ก ๆ มาเขี่ยเท้าผมแล้วเงยหน้ามาอ้อนกันอีก

“เลออน ใช่ไหม” เหมือนมันจะรู้ว่าเรียกชื่อมันมันถึงลุกขึ้นเดินม้วนตัวเองไปมาก่อนจะเขี่ยเท้าผมอีกรอบ

คุณเมฆเห็นแบบนั้นก็เลิกคิ้วมอง เหมือนเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก่อนจะเอามือขึ้นมากอดอกแทน

ผมหันกลับมาสนใจเจ้าตัวที่เรียกร้องความสนใจด้านล่างก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เอื้อมมือออกไปเหมือนขอเช็คแฮนด์แล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือเท้าหน้าทั้งสองข้าง พร้อมการยิ้มปล่อยลิ้นออกมาด้านข้างเหมือนดีใจมาก ๆ

“ทีกับฉัน มีแต่ไล่งับ” คุณเมฆบ่นงึมงำด้านหลัง

ผมไม่ได้สนใจเขาแล้วเพราะตอนนี้เจ้า เลออนเรียกความสนใจผมไปหมด โดยการเดินมาข้างหน้าใช้เท้าหน้ากระโดดมาเกาะตรงเข่าผม ผมยื่นหน้าเข้าไปหา ได้ยินคุณเขาบอกว่าระวังมันกัดแก้ม แต่สิ่งที่ผมได้คือการเลียหน้าผม ก่อนที่มันจะเห่าออกมาสามที

“แกมันหมาเจ้าเล่ห์ เลออน”

“น่ารักจังเลย”

“จิ๊ พอแล้วแยก ๆ ”

แง่ง!! กรร!!

“คุณ!! คุณทำมันกลัว โอ๋ไม่เป็นไรนะ เราไม่ให้เขาทำอะไรหรอกนะ”

ผมว่าคุณเมฆไปตอนที่เขาเดินเข้ามาปัดเท้าเล็กๆ นั่นออกจากเข่าผม แล้วเจ้าเลออนก็คงตกใจ เล็กแยกเขี้ยวใส่คุณเขาไปที

กว่าจะคุยกับคนกับหมาเข้าใจ ผมรู้สึกเลยว่าข้าวที่ทานไปมีประโยชน์ไม่เสียเปล่าจริง ๆ



“เย็นนี้งดอาหารไปเลย”

ว่าจบไปแบบนั้นคุณเมฆก็เดินออกไปทันที ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกให้เจ้าสามแสบเดินตามแต่คงไม่เป็นผล ถึงได้ยินประโยกคล้าย ๆ เดิมออกมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าก็งดเนื้อแกะไปเลยนะคืนนี้”

กรร กรร

“งดมันทั้งคนทั้งสัตว์นั่นแหละ”

อ่า!!...เหมือนคืนนี้ผมจะถูกงดมื้อเย็นไปด้วยแล้วสิ อีหยังวะ!!











TBC

[/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 31-12-2021 01:24:07
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ" จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 01-01-2022 16:40:39
ตอนที่ 18 ข้อแลกเปลี่ยน (18+)



[อิง]



ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง

วันนี้ผมจะได้กลับไทยแล้วครับหลังจากทำตัวเป็นคนรวยมาหลายวัน แต่ก็รู้สึกใจหวิวเหมือนกันนะ อยู่ไทยผมคงคิดถึงเจ้าสามแสบ หนึ่งนางไม่ได้เลยที่ตอนนี้ผมให้คุณเมฆปล่อยให้ เลออนออกมาเดินเล่นด้านล่างได้โดยที่มีผมคอยดูแล เผื่อว่าเจ้าตัวจะก่อเรื่องอีก ซึ่งตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมานี้ ก็สามวันแล้วน้องน่ารักกับผมมาก แต่เมื่อไหร่ที่เห็นหน้าคุณเมฆหรือแม้แต่กลุ่มบอดี้การ์ดอย่าง สตีเวน หยิน หยาง จะเจอบ่อยกับความน่ากลัวของนาง เพราะทุกคนที่พูดมาไม่ชอบสุนักสักคน

อ่อลืมบอกอีกเรื่องไป วันนั้นที่พวกเราเหล่าเมินเจ้าบ้าน ได้ทานอาหารกันอยู่นะครับ เพราะผมแอบไปหยอดลูกอ้อนกับคุณเขามา นึกมาถึงตรงนี้แล้วเปลืองตัวยังไงก็ไม่รู้

“คุณเมฆ!! ผมไปอ่านเจอมาว่า ถ้าสิ่งโตโมโหหิวแล้วเขาจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แล้วเขาจะอาละวาด คุณอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ?”

ผมพยายามหาคำมาอธิบายให้คุณเขาเข้าใจ พอถึงชื่อเลออน ก็ บอกถึงเหตุผลที่ว่ามันอายุมากแล้วถ้าหากมันทานอาหารไม่ครบหมู่หรือไม่เพียงพอต่อวันมันอาจจะป่วยได้นะ

“แล้วไง”

“แล้วมันก็ต้องลำบากคุณพาไปรักษาอีก”

“หึ แล้วเธอล่ะ ทำไมฉันถึงต้องยอมให้เธอทานมื้อค่ำ”

“จะได้มีแรงมาต่อปาก เอ้ย!! ไม่ใช่จะได้ไม่เดือดร้อนคุณถ้าโรคกระเพาะผมกำเริบ”

“เธอเป็นโรคกระเพาะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนจะถามว่าเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเขาไม่รู้

“เปล่า ก..ก็เผื่อไงคุณ คุณไม่ห่วงผมเหรอ! ไหนว่าชอบ ไหนว่ารักไง” เอาวะเพื่อปากท้องเอาให้สุดแล้วค่อยไปอายเอาทีหลัง

“..เธอนี่มัน...ได้ แต่ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน”

“แลกเปลี่ยน! กับอะไรครับ!” ผมเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วตอนที่จ้องตาคมคู่นั้น มันมีเสน่ห์ แต่ใครจะรู้ว่าความมีเสน่ห์ของมันในตอนที่เขายิ้มมันจะดูเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น

“เดี๋ยวคืนนี้เธอก็รู้เอง” ผมมั่นใจแล้วว่าผมเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของเขามาก ๆ ไม่อยากรู้เลยว่าคืนนี้ผมต้องเจอกับอะไร



แต่สิ่งที่ผมอยากให้เป็นมันไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะเมื่อผมอาบน้ำเสร็จแทนที่ออกมาจากห้องน้ำจะได้เห็นคุณเมฆนั่งหน้าเครียดกับจอสีเหลี่ยมที่ตอนนี้มันนอนอยู่บนตู้เล็กข้างหัวเตียง

แถมไอ้คุณเมฆยังไม่ยอมใส่ชุดคลุมเหมือนก่อนหน้านี้อีก ใส่เพียงกางเกงวอร์มใส่นอนเพียงตัวเดียวเผยให้เห็นแผ่นอกล่ำ ๆ กับขนช่วงหน้าอกที่ดูแล้วทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลายเลยทีเดียว

บอกก่อนว่าใจผมมันก็ไม่ได้แข็งเท่าหินผา ถึงจะถึกทนทานขนาดมองแล้วใจจะไม่เหลว ผมก็LBGQคนหนึ่งนะ ถึงแต่ก่อนจะไม่ได้หวังอะไรกับคุณเขา แต่พอวันที่คุณเขาบอกว่าชอบพอผม อยู่ ๆ ใจผมก็แทบไม่ปกติแล้ว มันเริ่มไม่ค่อยเชื่อฟังสมองของผมเท่าไหร่ แถมตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมก็โดนคุณเขานอนกอดทุกคืน ...ใจไม่พังให้รู้ไปสิ



ไม่รู้ว่าผมยืนเอ๋ออยู่หน้าห้องแต่งตัวนานแค่ไหนถึงไม่รู้เลยว่าไอ้คนที่นอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียงตอนนี้เดินเข้ามาหาผมแล้ว มารู้อีกทีก็ตอนที่โดนรวบเอวเข้าชิดตัว ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ทันที

“ค..คุณเมฆ ปล่อยผมเลยนะ จะทำอะไรเนี่ย!!”

“ฉันก็จะมารับของแลกเปลี่ยนจากเธอไง”

“...”

“เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันนะ เพราะเธอและเจ้าแสบพวกนั้นได้ทานมื้อค่ำกันแล้ว ถือว่าฉันก็ต้องได้ของแลกเปลี่ยนแล้วเหมือนกัน”

“อะไร! ค..คุณอยากได้อะไร! ช่อม่วงไหม! เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมรีบลงไปทำให้”

“หึ...เจ้าหนูฉันเดินเข้ามาหาเธอในสภาพนี้ เธอคงไม่ซื่อจนไม่รู้จริง ๆ ใช่ไหม!!”

ค้างสิครับ หาเสียงตัวเองก็ไม่เจอได้แต่มองหน้าคุณเขาแล้วทำปากพะงาบ ๆ



มือที่วางอยู่บนต้นแขนคุณเมฆเผลอกำเขาจนรู้สึกได้ว่าลำแขนคุณเขาช่างดูแน่นเสียจริง ถ้าได้กัดสักทีคง...ไม่ใช่แล้ว!!

ไม่อิง!! เราต้องมีสติ!! อย่ามาหลุดตอนนี้ อย่าทำตัวเองเสียหน้าสิ

“คิดอะไร...ฉันไม่ทำถึงขั้นนั่นหรอก”

“ผมจะเชื่อใจคุณได้แค่ไหน..คนอย่างคุณมันเจ้าเล่ห์นัก”

“สามคืนที่นอนกับฉันนอกจากกอดเธอ ฉันทำอะไรอย่างอื่นไหม?”

“ทำ..ค..คุณจูบท้ายทอยผม”

“หึ นึกว่าหลับไปแล้ว แต่ก็แค่นั้น” คุณเขาพูดอ่อนลงไม่ได้ดูเหมือนถูกข่มขู่หรือคุกคาม เลยพลอยให้ใจผมมันอ่อนลงไปด้วยอาการที่เกร็งก็เริ่มผ่อนตัว ก่อนที่จะยอมสบตาคุณเขาอีกครั้ง

แววตาต้องการชวนให้หลุมหลงมันไม่ใช่สายตาของพวกนักล่าที่ค่อยแต่จะจ้องกินเหยื่อเท่านั้น มันแฝงความเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวเขาอยู่ในแววตาคู่นั้นด้วย

“แล้ว..คุณต้องการแค่ไหน”

“เท่าที่เธออนุญาต ฉันจะทำเท่านั้น”

ผมนิ่งเงียบไปเสหน้าไปทางอื่นครุ่นคิดกับตัวเองอยู่นานผมก็ยังไม่มีคำตอบให้คุณเขา ผมไม่รู้! ไม่รู้จริง ๆ ว่าผมสามารถให้เขาได้แค่ไหน แค่จูบ กอด หรือลึกซึ้งมากกว่านั้น ที่ไม่ใช่การสอดใส่ ผมไม่รู้เลยจริง



“ผมไม่รู้”

“...แสงตะวัน เอาแบบนี้ไหม ฉันสัญญาด้วยเกียรติของตระกูล คาล์ล ฉันจะไม่สอดใส่หรือทำให้เธอคิดว่าถูกคุกคาม เมื่อไหร่ที่เธอรู้สึกว่าอยากจะหยุดหรือพอ ให้บอกฉัน ฉันจะหยุด”

“คุณ..จะทนได้เหรอ!”

“พิสูจน์สิ” ว่าจบคุณเมฆก็ใช้ฝ่ามืออุ่น ๆ ทั้งสองข้างขึ้นมากอบกุมใบหน้าผมไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงมา จนรับรู้ถึงลมหายใจและจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่แนบเบา ๆ ลงมาก่อนจะจูบผม มันเบาจนใจหวิว นุ่มนวลชวนให้หลงใหล สัมผัสที่แผ่วเบาค่อย ๆ เพิ่มแรงกดมากขึ้น ลิ้นร้อนที่ตอนแรกเพียงเลียกลีบปากผมตอนนี้มันพยายามดันเข้ามาด้านใน แต่ไม่ใช่การบังคับ เป็นการอ้อนขอแบบนิ่มนวลค่อย ๆ จูบซับเรียวปากผมก่อนที่ผมจะยอมเปิดปากให้ลิ้นคุณเขาเข้ามาด้านใน ก่อนจะลองส่งลิ้นตัวเองไปหาอีกฝ่าย

ได้ยินเสียงครางแบบพอใจตอนผมตอบรับลิ้นอุ่นของคุณเขาแอบดูดลิ้นคุณเขาไว้ตอนที่เขาทำเหมือนจะถอนมันออกไปจากโพรงปากผม

“ขาเธอสั่นแล้ว ฉันแค่จะพาเปลี่ยนที่” ว่าจบคุณเมฆก็ช้อนตัวผมขึ้นในท่าอุ้มกระเตงไว้ด้านหน้า แขนผมทำหน้าที่อย่างรวดเร็วด้วยการครองคอคุณเขาไว้ สัมผัสสาก ๆ จากเคราทำเอาผมขนลุกตอนที่เขาหันหน้าไปจูบที่ต้นแขนด้านในของผมก่อนจะงับเบา ๆ ทำเอาใจสั่นเดินเขาพาผมออกเดินกลับไปยังเตียงนอนหลังใหญ่ที่ทุกอย่างด้านบนนั้นเป็นสีดำทั้งหมด ทั้งพาปูเตียง หมอนหรือแม้แต่ผ้าห่ม หัวเตียงเป็นลายฉลุลวดลายคือสิงโตเพศผู้สองตัวที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมตะคลุบเหยื่อ แววตามุ่งมั่นของมันเหมือนเจ้าของเตียงในเวลานี้มาก ผิดกันตรงที่ของคุณเมฆแฝงความอ่อนโยนอยู่ในนั้นด้วย

พอวางผมลงได้เสื้อที่เคยอยู่บนตัวที่เพิ่งใส่ออกมาเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่แล้วก็ถูกถอดออกก่อนจะถูกโยนลงข้างเตรียง คุณเมฆคลานขึ้นมาบนเตียงตามผมก่อนจะดันให้ผมเอนตัวลงไปกับที่นอน แววตาสำรวจร่างกายผมทำเอารู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่พอคิดจะเอามือขึ้นมาปิดหน้าคุณเมฆก็จับ ล็อคข้อมือผมไว้แล้วดึงมันไปพาดที่ลำคอตนเอง ถึงโน้มตัวลงมาแนบชิดผมอีกครั้ง

เขามองกรอบหน้าผมอย่างหลงใหลชอบใจ ร้อยยิ้มมุมปากคือหลักฐานว่าเขาพอใจมากแค่ไหนกับตัวผมในเวลานี้ มือที่ว่างอีกข้างของเขายกขึ้นมาเกลี่ยปอยผมที่บดบังดวงตาผมออกไปอยู่ด้านข้างแล้วกดริมฝีปากลงที่หน้าเน้น ๆ เลื่อนลงมาที่ดวงตา จมูก ก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากของผม

ใบหน้าคมคายเอียงให้ได้องศาที่พอเหมาะก่อนจะกดจูบลงมา มันไม่เหมือนครั้งแรกที่อ่อนโยน มันดุดันมากกว่านั้นเขาส่งลิ้นมาหยอกล้อเหมือนเพื่อให้ผมยอมเปิดปากก่อนจะเข้ามาสำรวจในโพรงปากผมอย่างพึงพอใจ เสียงครางฮึม ๆ คือสิ่งเดียวที่ผมได้ยิน การรับรู้ของผมถูกคนด้านบนกลืนกินไปแทบจะหมด เสียงเฉอะแฉะของน้ำลายที่ไหลย้อนออกมาตรงมุม ทำเอาผมเขินอายขึ้นมา แต่จะให้หยุดผมก็ทำไม่ได้ ผมจิกเล็บไปบนผิวแทนสีน้ำผึ้งของคุณเมฆที่ตอนนี้มันมีความเงางามของเหงื่อที่สะท้อนแสงไฟ ทำให้ดูมีเสน่ห์เหลือล้นจนเกินจะต้านทาน ความวูบวาบแพร่ซ่านไปทั้งตัว ตอนที่คุณเขาบีบเข้าที่สะโพกมนของผม ยิ่งบีบแรงเท่าไหร่ การจูบของเราก็หนักหน่วงขึ้นเท่านั้น

ก่อนที่ผมจะเริ่มหายใจไม่ออกและทุบไปที่หัวไหล่ที่ผมเพิ่งจิกเล็บลงไป คุณเมฆถอนปากออกอย่างอ้อยอิ่งกดย้ำหลายครั้งแล้วยอมผละออกแต่โดนดีเขามองหน้าผมอยู่นานที่ตอนนี้มันน่าจะขึ้นสีอย่างไม่ต้องสงสัย สัมผัสได้การความร้อนบนใบหน้า

เขามองหน้าผมอยู่นานก่อนจะกดจูบที่ปลายคางของผมสูดดมตรงช่วงลำคอสวย กดจูบแรงอีกทีตรงไหปลาร้า แล้วเงยหน้ามองผลงานตนรอยยิ้มพอใจนั่นทำผมต้องเสหน้ามองทางอื่น มันเขินอายกับแววตาเขา

ความสากของหนวดเคราไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเคืองเลย แต่มันทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัวมากกว่ายิ่งตอนที่เขาซุกไซ้ซอกคอของผมนะ ความเสียวนี่แล่นไปรวมตัวกันที่อิงน้อยของผมทำเอาเกือบจะเสร็จให้ได้เลย

คุณเก่งเกินไปแล้ว

“เธอในตอนนี้สวยมาก รู้ตัวไหม”

“อ๊ะ!!”

คุณเขาเงยหน้ามาพูดอยู่ตรงแผ่นอกของผมก่อนจะก้มลงไปใช้ลิ้น เลียไปที่ติ่งไตเม็ดเล็ก ได้ยินเสียงคุณเขาพึมพำว่า ‘เชอรี่’ ผมก็ยิ่งเขินยิ่งตอนที่คุณเขาดูดมันเข้าไปในปากใช้ฟันกัดไว้แล้วใช้ลิ้นเลียละเลงอย่างหมั่นเขี้ยว ผมยิ่งเสียวเข้าไปอีก เสียวจนแอ่นอกรับการปรนนิบัดอย่างถึงใจ

ความเย็นจากต้นขาทำให้รู้ว่าตอนนี้กางเกงคงไม่อยู่บนตัวผมแล้ว แต่พอจะหนีบขาเข้าหากันคุณเมฆก็จับมันไว้ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาแทนทั้ง ๆ ที่ใบหน้าก็ยังไม่เงยขึ้นมาจากหัวนมผมเลย

มือไม้ผมก็เริ่มอยู่ไม่สุขเมื่อความเสียวมันมากขึ้นกว่าเดิมเพราะคุณเมฆเล่นไปกอบกุม อิงน้อยของผมไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ชักมันให้แบบช้า ๆ แอบมีกดตรงรอยจีบให้ผมกระตุกเสียววูบมาเป็นพัก ๆ ริมฝีปากก็ไม่ยอมลดละดูดตุ่มไตของผมสลับซ้ายขวาจนมันรู้สึกถึงความชาตรงส่วนปลาย

ผมเลยขอระบายความเสียวของตัวเองโดยการเลื่อนมือที่อยู่ตรงหัวไหล่ขึ้นมาจิกอยู่บนหนังหัวที่มันมีผมสั้นเตียนทรงสกินเฮด

ยิ่งคุณเมฆเร่งมือที่ส่วนกลางกายของผม ผมยิ่งออกแรงจิกมากเท่าตัวก่อนมันจะเริ่มไม่ไหวถึงกระชากหัวคุณเขาที่ยังไม่ยอมหยุดจากจุดตรงนั้นขึ้นมามองกัน

เสียงหายใจของผมแทบจะไม่เป็นจังหวะ คุณเมฆเองแววตาดูคัดใจมากกับสิ่งที่ผมทำจนได้ยินสิ่งที่ผมขอ รอยยิ้มตรงมุมปากถึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง

“จูบ..จูบผม...” มันเป็นคำขอที่คงไปกระตุ้นอะไรคุณเมฆเข้าสักอย่างถึงได้สบถออกมายาวขนาดนั้น จับใจความได้แค่ ‘เธอมันยั่ว’

“ถ้าฉันควบคุมไม่ได้ต้องโทษตัวเธอเองนะ แสงตะวัน”

ว่าจบก็ไม่รอให้ผมได้ถาม ว่าผมทำอะไร คุณเขาก็พุ่งเข้ามาประกบปากผมอย่างแรงจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือด แล้วความเค็มประแหล่มที่สัมผัสกับลิ้นก่อนที่คุณเมฆจะดูดมันเหมือนคนกระหายน้ำจนผมคิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ปากผมต้องบวมเจ่อแน่ พอได้จูบอย่างสมใจ แถมมือคุณเขาก็ยังไม่เลิกรากับอิงน้อยของผมจนมันรู้สึกว่าอีกไม่นานมันคงพ่นน้ำออกมาเลอะมือคุณเมฆแน่ ๆ

“อ๊ะ..คุณ หยุด อ่ะ อื้อ หยุดก่อน”

“จะเสร็จเหรอ! ปล่อยออกมาสิ”

คำถามมาพร้อมกับคำสั่งแถมตอนนี้ผมก็ทนแทบจะไม่ไหวแล้ว ก่อนร่างกายจะกระตุกและฉีดพ่นทุกหยาดหยดออกมาเลอะหน้าท้องตัวเองและฝ่ามือหนาของคนทำ พอปลดปล่อยแล้วทุกอย่างมันก็เหมือนโล่งไปหมดตาที่หลับอยู่ก็ลืมขึ้นก่อนจะแข็งค้างเมื่อเห็นคุณเมฆใช้เรียวลิ้นเลียไปตามซอกนิ้วของตัวเองด้วยใบหน้าหื่นกามเล้าอารมณ์คนมองยิ่งนัก

“ค..คุณ!! มันสกปรกนะ”

คุณเมฆมองที่ผมด้วยแววตาวาววับ จนช่วงท้องของผมมันวูบวาบตามสายตานั้นไปด้วย

เขาโน้มตัวไปข้างหัวเตียงก่อนเปิดลิ้นชักหยิบอะไรบางอย่างออกมา แต่พอเห็นมันชัด ๆ ผมก็รีบลุกตัวเองขึ้นก่อนจะกระถดตัวไปอยู่ติดกับหัวเตียง คุณเมฆทำหน้าใคร่สงสัยว่าผมเป็นอะไรก่อนที่เขาจะมองตามสายตาผมไปที่สิ่งของที่เขาถือมันอยู่

ถึงมันจะเป็นของต่างประเทศ แต่บรรจุภัณฑ์มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับของไทยเลย มองป๊าดเดียวก็รู้เลยว่า ‘เจลหล่อลื่น’ และผมก็ไม่ได้ไก่อ่อนขนาดไม่รู้ว่ามันเอาไว้ทำอะไร

คุณเมฆดูจะขบขันกับอาการร้อนรนของผม เขาจึงรีบบอกเหตุผลที่เอามันออกมา

“บอกแล้วว่าไม่ทำ”

“แล้วคุณเอามันออกมาทำไม!!” ผมสวนกลับทันที

“ก็เผื่อว่าต้องใช่ทำภายนอก...หรือถ้าเธอไม่ฉันก็จะเก็บมันตกลงไหม?”

เขาค่อย ๆ คลานเข้ามาหาก่อนที่จะเอาขาขวาผมพาดผ่านไปทางช่วงเอวดึงให้ผมเข้าไปชิดก่อนจะมอบจูบอ่อนนุ่มให้ผมอีกครั้ง

“ถ้าเธอจะอนุญาต ฉันขอแค่ตรงนี้ก็พอ” ฝ่ามือหนาที่มีความสากบีบลงตรงก้อนกลมสองลูกด้านหลังทำเอาขนอ่อนลุกชันจนผวากอดคุณเขาไป

“สัญญาว่าแค่นี้...นะ”

“มันจะแสบนะคุณ” เสียงเบาหวิวออกจากปากของผม แทนที่มันจะเป็นคำปฏิเสธแต่กลับเป็นการบอกเล่าถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แทน

“ฉันถึงต้องเอาตัวนี้ออกมาไง เธอจะไม่เจ็บ เชื่อใจฉันนะ” ผมกอดเขาแน่นก่อนจะซุกหน้าตัวเองเข้ากับลาดไหล่หนา แอบกัดเบา ๆ เป็นคำอนุญาต คุณเมฆหัวเราะ หึ ออกมาก่อนจะบอกว่าผม ‘น่ารัก’ ก่อนจะช้อนขาอีกข้างมาทำเหมือนกันแล้วออกแรกอุ้มผมขึ้นก่อนจะหันตัวมาวางผมลงที่กลางเตียงหัวผมเลยหันไปทางปลายเตียงโดยปริยาย

เขาเริ่มกดจมูกลงที่ข้อเท้าไล้จูบขึ้นมาเรื่อยจนถึงหน้าแข่ง หัวเข่าทั้งสองข้างก่อนจะเปลี่ยนมากัดเบาๆ ตรงขาอ่อนด้านใน จนผมสะดุ้งตกใจกับการกระทำสายตาของเขาไม่ได้หันไปมองทางอื่นเลยนอกจากใบหน้าของผม แววตาดูชอบใจ กับปฏิกิริยาของผม ที่บิดเล้าร่างกายไปตามการสัมผัสทุกท้วงท่า มันหวิวเมื่อตอนจูบ มันเสียวตอนถูกขบกัดเพียงเบา ๆ ไม่ได้เป็นรอยแต่อย่างใดเหมือนพยายามอ่อนโยนกับผมให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ผมจะหวีดร้องเพราะกลางกายของผมโดนดูดดึงแบบไม่ทันตั้งตัวเพราะมัวแต่เสียวซ่านจนเผลอหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับมัน แต่พอถูกดูดไปแบบนั้นขาที่ถูกยกขึ้นสูงของผมก็ล็อคเข้าที่ลำคอใหญ่ของคุณเมฆทันที่พร้อมกับมือที่ดันหน้าผากคุณเขาออก

มันดูย้อนแย่งกันว่าไหมครับทั้ง ๆ ที่ขาล็อคแต่มือผมกลับอยากผลักเขาออก

“สกปรก คุณ!!”

จุ๊บ

“อ๊ะ คุณเมฆ อ๊า ร..เร็วไปแล้ว!!” ความเสียวแล่นพล่านไปทั่วร่างตอนที่คุณเมฆรูดรั้งขึ้นลงอย่างรัวเร็วก่อนที่มันจะถูกหยุดชะงักลงกลางอารมณ์ที่ค้างเติ่ง

“...”

อยู่ๆ คุณเมฆก็ปล่อยอิงน้อยของผมออกมาให้เป็นอิสระ แต่พอจะถามถึงเหตุผลร่างกายก็ถูกจับคว่ำหน้าลงกับหมอนหนุนทันที สะโพกถูกดึงรั้งให้สูงขึ้นแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อความเย็นลื่นสัมผัสลงตรงรอยจีบด้านหลัง คุณเขากระซิบบอกที่ด้านหลังว่า ‘อย่ากลัว’ แล้วรู้สึกเหมือนด้านหลังมีการเคลื่อนไหวพอหันกลับไปก็ต้องรีบหันกลับมาทันทีเมื่อเห็นว่าตอนนี้คุณเมฆได้ถอดกางเกงชิ้นเดียวบนร่างกายออกไปแล้ว

“ฉันเริ่มแล้วนะ” ผมที่กดหน้าอยู่กับหมอนตอบรับด้วยการพยักหน้ารัวๆ กลัวก็กลัว กลัวคุณเขาทำมากกว่าที่ขอ แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าให้เชื่อใจ แต่การที่คุณเขาทาเจลให้ตรงนี้ก็ทำให้ผมคิดไปเอง แต่การที่คุณเขาไม่สอดนิ้วเข้ามาก่อนก็น่าจะเชื่อแล้วไหมว่าคุณเมฆไม่ได้คิดจะสอดเข้ามาจริง

หรือจะดันทุลัง!!

จุ๊บ จุ๊บ

เสียงจูบบั้นท้ายผมทั้งสองฝั่งเหมือนการเรียกขวัญที่มันกระเจิงให้กลับเข้าร่าง และได้รับรู้ถึงสิ่งแปลกใหม่ที่มีความแข็งค่อนข้างมากวางอยู่ร่องสวาทของตัวเอง คุณเมฆใช้ฝ่ามือทั้งสองบีบให้ก้นของผมรัดเจ้าแท่งร้อนของเขาไว้ ก่อนจะเริ่มขยับ

ผมเพิ่งรู้ว่าการทำแบบนี้ก็วูบวาบดีเหมือนกัน แรงที่เขาใช้ค่อนข้างเนิบนาบเพราะเก็บทุกสัมผัสก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เปลี่ยนที่มาเป็นตรงช่วงต้นขาอ่อนด้านในของผม

“ชิดกันอีกนิด นั่นแหละอืม!!” เขาให้ผมขยับขาเข้าหากันอีกก่อนจะสอดเจ้าแท่งร้อนใหญ่เขื่องผ่านช่องแคบเล็ก ๆ เข้ามาแต่พอมันพ่นมาข้างหน้าผมกลับก้มมองลงไปพอดี

กลางกายสีคล้ำแท่งใหญ่ที่ผ่านช่องแคบระหว่างขาโผล่มาด้านหน้ามันดันมาโดนกับเจ้าอิงน้อยของผมจนมันชูชันขึ้นมาอีกครั้ง ความเสียวซ่าน วูบวาบ มีมาต่อเนื่องเมื่อคุณเขาเริ่มเร่งจังหวะ มือซ้ายที่เคยกดสะโพกยื่นมารับคางของผมให้หันกลับไปหาเขา แรงกดจูบลงมาบ่งบอกอารมณ์ของคนด้านหลังเป็นอย่างดี คุณเมฆไม่ปราณีผมเลยทั้งเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาหยอกล้อกันกับเรียวลิ้นของผม ไหนจะสะโพกแข็งที่ดันกระแทกเข้ามาถี่รัวจนผมร้องไม่ได้ศัพท์

“อ๊ะ เบา ค..คุณ บ..เบา อึ๊”

“ไม่..หยุดไม่ได้”

“ต..แต่—..”

“อีกนิดอิง ฮืม” เสียงคำรามแบบพอใจยิ่งทำให้แรงที่เร็วอยู่แล้วเร็วขึ้นไปอีกก่อนที่เขาจะจับผมนอนหงายรวบกลางกายเราเข้าหากัน และเริ่มชักขึ้นลงอย่างมีจังหวะ เสียงเฉอะแฉะหยาบโลน ดังสะท้อนอยู่ในหู เสียงคำรามต่ำตอนที่น้ำรักของผมและเขาถูกปล่อยออกมาเต็มไปหมดแถมมันยังกระเด็นมาโดนมุมปากของผมอีก

คุณเมฆล้มตัวลงมาทับผมทันทีเหมือนปลดปล่อยออกมาจนหมดแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกไปยังคงรูดรั้งมันอยู่แบบนั้น

เสียงหัวใจที่เต้นทีรัวไม่ต่างทำให้รู้ว่าเขายังไม่สงบดี ผมปล่อยให้เขาอยู่แบบนั้น อยู่ ๆ คุณเมฆก็ช้อนตัวผมขึ้นไปนอนบนตัวเขาแทนเรามองหน้ากัน และเขาก็กดท้ายทอยผมเข้าหา ก่อนหัวใจผมจะหยุดเต้นตอนที่เขาส่งลิ้นร้ายมาเลียมุมปากผมที่มันมีคราบน้ำรักอยู่ซึ่งไม่รู้เลยว่าของใคร เห็นแบบนั้นผมก็ฟุบหน้าลงกับอกกว้างที่วันนี้มันไม่ได้มีไรขนเหมือนวันนั้นแล้วแต่ก็ใช่มาจะไม่มี เขากอดผมอยู่นาน เราสองคนอยู่กันแบบนั้นนานมาก คุณเมฆคอยลูบแผ่นหลังผมไปเบา ๆ มืออีกข้างก็กอดช่วงหัวผมไว้ กดจูบผมซ้ำ ๆ ที่ขมับ

“ไปอาบน้ำกันไหม” ผมตอบได้แค่อือ

คุณเมหก็ลุกอุ้มผมเข้าห้องน้ำไปเลย



นั้นแหละครับข้อแลกเปลี่ยน กับการได้ทานมื้อค่ำของทุกตัว เจ้าแสบทั้งสามจะรู้ไหมว่าผมจะเจอกับอะไรบ้าง พูดมาแล้วแก้มทั้งสองข้างก็เริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

“คิดอะไรอยู่”

“อ๊ะ ครับ!!”

“ฉันถามว่าคิดอะไรอยู่ทำไมเหม่อ”

“ป..เปล่าครับ”

“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าเธอโกหกได้แย่มาก”

“เรื่องของผมไหมเล่า”

“หน้าแดงแบบนี้ คิดอะไรลามกอยู่ล่ะสิ!”

แล้วดูแววตาที่เขาใช้มองผม มันก็ช่างไปปิดความหื่นเลยเสียจริง ตั้งแต่วันนั้นผมก็โดนคุณเขา เล็มตรงนั้นที ตรงนี้ที บอกติดสัมผัสผม แถมยังบอกอีกด้วยว่ารอวันที่ผมพร้อมเมื่อไหร่ เข้าจะทำให้ผมรู้ถึงสักยาภาพของเขาทั้งคืน

ไม่มีคนดีที่ไหน เขาพูดเรื่องพวกนี้ได้หน้าตายเท่าเขาอีกแล้ว

คุณอะไรนะ เมฆ! ไม่สิ!

อัดฮัม อัดมาน คาล์ล อัดหำสิไม่ว่า!!



“ฮื้อ!! ไม่ใช่เรื่องของคุณ นอนไปเลยนะถึงไทยแล้วผมจะปลุก”

“หึ เรื่องของเธอก็คือเรื่องของฉัน และเธอเองก็ควรจะนอน ไม่ใช่นั่งเครื่อง กรุงเทพภูเก็ต ที่ใช่เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง นอน!!”

เสียงกดต่ำสื่อให้รู้ว่าห้ามขัดใจเด็ดขาด และเดี๋ยวนี้เขามีมาตรการใหม่

ขัดใจหนึ่งทีเท่ากับจูบหนึ่งครั้งไม่มีกำหนดหยุด

ต้องหื่นแค่ไหนคิดเอา

สุดท้ายผมก็ยอมปรับที่นั่งให้เป็นเตียงขนาดสามฟุตก่อนจะล้มตัวลงนอน มองคนที่บังคับผมนอนก็ทำแบบเดียวกัน

เกิดเป็นคนรวยดีแบบนี้นี่เอง มีเครื่องบินส่วนตัวว่าเท่แล้ว แต่ยังสามารถปรับให้มันเป็นเตียงได้นี่ต้องรวยเบอร์ไหน

โซนที่เราอยู่เป็นเหมือนห้องพักส่วนตัว ด้านหลังเป็นพวกอีธานที่นั่งอยู่ในโซนห้องอาหาร ด้านหน้าก่อนถึงห้องกับตันเป็นพี่คิณที่พักผ่อนอยู่ในนั้น ส่วนคนขับเครื่องวันนี้เป็นสตีเวน เจ้าหน้าที่ทหารอากาศกลองหน่วยรบพิเศษที่ยอมทิ้งอนาคตตัวเองมาอยู่กับคุณเขา เพียงเพราะไม่ชอบผู้บังคับบัญชาคนใหม่ เนื่องจากเป็นหน่วยรบพิเศษการลาออกแล้วเดินออกมามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เลยยอมปล่อยเครื่องคู่ใจชนกับเกาะกลางน้ำโดยที่ไม่รู้เลยว่า วันนั้นเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว ครอบครัวเพื่อนสนิทต่างเสียใจกับการจากไปของเขา การที่เครื่องมันเกิดที่เกาะกลางน้ำทำให้การค้นหาร่างของเขาต้องยุติในวันที่สิบของการจากไป

ผมได้รู้เรื่องนี้เมื่อวันก่อนที่คุณเขานึกคิดอะไรไม่รู้เล่าให้ผมฟังตอนที่ผมกำลังจะล้มตัวลงนอน

แค่สตีเวนยังมีที่มาที่น่าสนใจ ผมก็เริ่มคิดแล้วว่า คนที่อยู่รอบตัวผมตอนนี้เป็นใคร มีที่มาแบบไหน ผมจะยังเชื่อใจพวกเขาเหล่านี้ไดหรือเปล่า

มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองในคืนนั้น แต่พอเจอกับรอยยิ้มของทุกคน ผมก็ลืมทุกอย่างไปหมด

อะไรจะเกิดก็เกิด ขออย่างเดียว อย่ายุ่งกับแม่ละน้องของผม เพราะถ้าถึงตอนนั้นแล้ว ผมคงไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีก

“คุณ”

“นอน”

“รักคุณนะ” เสียงรอบข้างดูเงียบงันได้ยินเพียงตังเองเคี้ยวหมากฝรั่งแก่หูอื้อ

แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง ผมถึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นมาดู ถึงได้เห็นสายตาเป็นประกายวาบวับ เพียงแค่เสี่ยววินาที ก่อนที่มันจะแสดงออกมาเหมือนจะดุ

“อยากทำบนเครื่อง ฉันก็ไม่ติดนะ!”

“คุณ!!!!!”

หมดกันความโรแมนติก







TBC.




[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 01-01-2022 16:42:22
ตอนที่ 19 รักต้องห่าง

[อิง]



ตั้งแต่ที่กลับมาจากดูไบนี่ก็ผ่านมาแล้วสองสัปดาห์ ช่วงเวลาที่ผ่านไปทำให้ผมรู้จักหัวหน้าตัวเองมากขึ้นแต่มันก็ยังเหมือนเรายังไม่ได้รู้จักกันดีพออยู่ดี เพราะทุกวันนี้พวกเขาก็ยังทำตัวลึกลับกันเหมือนเดิมเพิ่มเติมมาคือผมไม่ได้รับอนุญาตออกไปคุยงานนอกสถานที่กับใคร ซึ่งคุณเมฆก็ไม่มีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมให้ผมเลยนอกจากคำว่า ‘ไม่อยากให้ผมเหนื่อย’ ฮ่ะ ๆ ผมเริ่มไม่รู้แล้วว่าที่ได้งานนี้หรือที่ยอมเปิดใจให้เขามันคือสิ่งที่ดีสำหรับผม

ยิ่งอยู่ทำงานที่นี่ผมยิ่งรู้สึกว่ามันสบายจนเริ่มเบื่อหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ ไม่อีธาน ก็จะเป็นคนอื่น ๆ ที่มาแย่งหน้าที่ผมหรือถ้าได้ทำก็จะเป็นงานที่ไม่ได้หนักอะไรมาก อย่างการตรวจทานเอกสารก่อนส่งให้คุณเมฆเซ็น ซึ่งมันไม่ได้มากอะไรเลยเพราะบางงานอีธานก็ยังเป็นคนรับหน้าที่นั้นอยู่ นี่แหละที่ผมบอกว่าผมยังเข้าไม่ถึงหรือยังไม่รู้จักทุกคนดีพอ

งานของผมวันนี้ก็จะมีตรวจยอดสรุปรายได้ของเดือนนี้ก่อนส่งให้คุณเมฆเซ็น นั่งรอรับสายจากบริษัทคู่ค้าหรือบริษัทที่จะนำสินค้ามาเสนอ จำพวกเฟอร์นิเจอร์ เพราะเราไม่ได้ผูกมัดที่ไหนเป็นหลัก คุณเมฆให้เหตุผลว่าอยากลองดูสินค้าหลาย ๆ ที่ก่อนก่อนที่จะตัดสินใจผูกขาดจะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง



“อ้าว น้องอิงไม่ได้ออกไปข้างนอกกับบอสอีกแล้วเหรอคะ”

“ไม่ได้ไปครับ พอดีต้องรอรับสายลูกค้าที่จะเข้ามาตอนเย็นน่ะครับ”

“อ๋อ พี่ก็ว่าตั้งแต่กลับมาจากภูเก็ตก็เห็นแต่บอสออกไปพบลูกค้ากับคุณอีธานตลอดไม่ค่อยเห็นน้องอิงไปด้วยเลย”

“...ครับ” ผมตอบพี่สาวที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แค่นั้นก่อนจะรีบเดินมาขึ้นลิฟต์ตัวประจำที่ขึ้นมาได้จะปีครึ่งแล้ว

ใช่ครับผมทำงานกับคุณเมฆมากได้จะครบสองปีในอีกหกเดือนข้างหน้าความรู้ความสามารถก็มีมากขึ้นคนในออฟฟิตก็รู้จักกันดีเกือบจะทุกแผนก เพราะตำแหน่งเลขาท่านประทานใหญ่ของที่นี่ ผมต้องคุยงานกับฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งหรือแม้แต่พนักงานบางคนผมก็ต้องรู้จัก การที่พี่สาวประชาสัมพันธ์ถามผมถึงเรื่องการออกไปทำธุระหรือคุยงานด้านนอกกับบอสใหญ่มันเลยดูหน้าแปลกใจสำหรับคนที่อยู่ตำแหน่งที่น้อยทำให้ไม่รู้ถึงการบริหารอะไรมากกว่าที่ควรจะรู้ มันเลยเกิดเป็นคำถามปากต่อปากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเลขาอย่างผมหรือปล่า หรือมีอะไรผิดปกติทำให้ท่านประทานไม่ไว้ใจให้ออกไปไหนมาไหนด้วยหรือผมอาจจะถูกย้ายตำแหน่งแล้ว บลา ๆ

“อิง บอสเรียกหาน่ะ”

“พี่คิณ! บอสกลับมาแล้วเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นเลย” เพราะทุกคนไม่อยู่ผมเลยลงไปทานข้าวที่ด้านล่างแทนถึงจะห่ออาหารมาเยอะมากเลยเถอะ สุดท้ายก็แจกจ่ายให้กับพนักงาที่รู้จักกันไปแทนเพราะตอนแรกผมเตรียมมาให้เหล่าบอดี้การ์ดพวกนี้

“กลับมาได้สักพักแล้ว มาถึงก็ถามหาเราเลย”

“อิงไปทานข้าวข้างล่างมาครับ”

“เหงาแย่เลย พวกพี่ไม่อยู่”

“รู้ด้วยเหรอครับ...” ผมแกล้งงอนทำหน้าบึ้งใส่พี่คิณก่อนจะได้ร้อยยิ้มเอ็นดูกลับมา

“อิงคงต้องไปคุยกับบอสแล้วแหละว่า เลิกสั่งงานพวกพี่ออกไปปฏิบัติงานข้างนอกได้แล้ว”

“ได้ที่ไหนล่ะพี่คิณก็”

ยู่หน้าตอบกลับทันทีที่ได้ยินมาแบบนั้นถึงผมกับคุณเขาจะมีใจให้กันแต่งานก็คืองานผมแยกแยะได้นะครับ แต่ถ้าถามว่ากล้าไปพูดไหมก็...ฮ่ะๆ ไม่เสี่ยงดีกว่าไม่รู้ว่าจะได้อะไรกลับมาอีก ยิ่งมีบอสซึน ๆ อยู่ แทนที่พวกพี่ ๆ จะได้ทำงานที่ตึกอาจถูกส่งไปไกลกว่าเดิมก็ได้ใครจะรู้

“อิง..อิงมัวคิดอะไรอยู่เข้าไปได้แล้วเดี๋ยวอารมณ์แปรปรวนอีก”

ผมสะดุ้งตกใจก่อนจะออกจากภวังค์ของตัวเองไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ผู้ชายคนนั่นชอบมาทำให้สมองผมทำงานไม่ค่อยปกติทุกครั้งเวลาที่นึกถึงเขา

ผมแยกออกจากพี่คิณ เคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้าไป ถึงตัวเองจะสามารถเดินเข้ามาเลยได้ก็เถอะ แต่เพราะมีเขาอยู่ด้านในเลยต้องปฏิบัติตามเดิมก่อนที่อะไร ๆ มันจะเปลี่ยนไป

“ไปไหนมา”

“ทานข้าวครับ”

“ช้า...ช่างเถอะมานี่สิ”

คุณเมฆคลายแรงกดดันลงก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วเรียกผมเข้าไปหา แต่การที่เขาทำแบบนั้นมันก็ยังรู้สึกว่าเขายังไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่ควรจะเป็นเลยเพราะหัวคิ้วของเขายังชนกันอยู่ ถึงจะแค่นิดเดียวก่อนที่มันจะกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิมก็เถอะ

ผมเดินผ่านโต๊ะทำงานตัวเองเข้าไปหาคุณเมฆกะจะนั่งเก้าอี้ตรงหน้าเข้า แต่คุณเขาก็ใช้สายตากดดันให้ผมต้องเดินเข้าไปใกล้เขาอยู่ดี

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ดูคุณกังวนนะ”

“เหนื่อยไหม?”

“...คุณต้องการคำตอบแบบไหนครับ ในเมื่อคุณแทบไม่ให้ผมจับอะไรเลย”

“อยากพักไหม?”

“...”

“สักสามเดือน...”

“เกิดอะไรขึ้น..คุณเมฆถ้าอยากให้ผมเปิดใจกับคุณคุณควรอธิบายอะไรๆ ให้ผมรู้บ้างได้ไหม”

“...”

“เชื่อใจกันหน่อยสิ” ผมมองหน้าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สั่งทำพิเศษเพื่อเขา แววตาดุดันที่ผมเริ่มหลงใหลตอนนี้มันที่แววบางอย่างไหววูบผ่านแววตา มันคือความกังวล ห่วงใย อยากปกป้อง ผมรู้เพราะเขาใช้มันมองผมมาตลอดตั้งแต่เขาบอกรักผม

“อื้อ”

อยู่ ๆ ก็โดนเขารวบตัวไปนั่งทับที่ต้นขาแกร่งของเขาซุกหน้าสูดดมที่หน้าอกผม ผมที่ตกใจในตอนแรกพอตั้งสติได้ถึงยอมใช้แขนคล่องที่คอคุณเมฆก่อนจะกดให้เขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม เพราะรู้ว่าเวลาแบบนี้จะไม่มีใครเข้ามาเด็ดขาดหรือถึงจะเข้าก็คงเข้าไม่ได้เพราะห้องนี้ประตูทางเข้าเป็นระบบไฟฟ้าสามารถล็อคห้องได้โดยไม่ต้องเดินไปกดที่หน้าประตู

“ถ้าฉันบอกเธอว่าแค่อยากชวนเธอไปเที่ยวเธอจะเชื่อไหม!”

“ถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อผมก็จะเชื่อ แต่ถ้ามันมีมากกว่านั้นแล้วผมมารู้ทีหลังผมคงดูโง่มากจริง ๆ ”

“เธอประชดเก่งขึ้นหรือเปล่า”

“ใช่เรื่องที่ต้องมาถามตอนนี้ไหมครับ อัดฮัม อัจมาน คาล์ล”

“เธอเรียกชื่อเต็มของฉันเป็นครั้งแรก”

“คุณกำลังพยายามเปลี่ยนเรื่อง” ผมดันใบหน้าคมออกจากแผ่นอกตัวเองก่อนจะจ้องมองแววตาคมดวงนั้น คุณเมฆกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะใช้มือของตัวเองมาแนบตามฝ่ามือของผมที่ยังวางไวบนแก้มสากที่รู้สึกว่าหนวดเคราจะยาวขึ้นอีกแล้ว

“มีใครบางคนกำลังจับตาดูฉันอยู่ และถ้ามันรู้ว่าเธอเป็นอะไรกับฉันเธอจะไม่ปลอดภัย”

“คุณจะบอกว่าคุณปกป้องผมไม่ได้..”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันปกป้องเธอได้แน่นอนแต่ไม่ใช่ตอนที่ไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นมันซ้อนตัวที่มุมไหน มันทำให้เธออันตรายมากกว่าที่รู้ว่ามันเป็นใคร เพราะเธอคือคนสำคัญของฉัน”

“แต่การที่คุณทิ้งผมไว้ห่างตัว จะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะปลอดภัย แน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีใครรู้เรื่องของเรา”

“แสงตะวัน เธอฟังฉันนะ ช่วงเวลานี้จะไม่มีใครรู้เด็ดขาดว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกันหรือมีความสำคัญกันแบบไหน ตอนนี้ที่ทุกคนรู้คือเธอเป็นพนักงานคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตำแหน่งเลขาของฉันด้วยซ้ำ ที่จริงฉันสั่งให้อีธานลบเธอออกจากประวัติพนักงานแต่ อีธานไม่ทำเพราะมันดูแปลกเกินไป”

“คุณจะไล่ผมออก”

“ใจฉันอยากทำมาก”

ได้แต่อ้าปากค้างกับความคิดของเขา เขาคิดว่าการที่ทำให้ผมออกห่างจากที่นี่ จากตัวเขาแล้วผมจะปลอดภัยคนอื่นจะไม่รู้สถานะของเราแต่การทำแบบนั้นมันเหมือนการทิ้งผมไปแล้วไม่ใช่เหรอ

“เชื่อใจฉันนะคนดี เธออยู่ห่างฉันแค่ที่นี่เท่านั้น ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนจำไว้ฉันอยู่ข้างเธอเสมอ”

“เห็นแก่ตัวที่สุด”

“ฉันรักเธอมากต่างหาก”

ผมมองจ้องหน้าเขาอยู่นานคุณเมฆก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเอาแต่ลูบสะโพกผมไปมาจ้องเข้ามาที่ดวงตาของผมเหมือนขอคำตอบหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้เขาสบายใจถึงคำตอบนั่นผมจะต้องอยู่ห่างออกไปอีกก็คงไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับเขา

ผมสูดลมหายใจสุดสายก่อนจะปล่อยมันออกมาแบบไม่ให้เกียรติคนเบื้องหน้าแล้วลุกขึ้นจัดสูทที่ใส่ให้เข้าที่มองใบหน้าคมคายที่ผมคิดว่ามันดูมีเสน่ห์ทุกครั้งที่มอง พยายามจดจำใบหน้าเขาให้ได้มากที่สุดก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ผมคิดว่าเขาคงพอใจ

“การที่ผมห่างคุณมันจะดีกับคุณใช่ไหม”

“อิง...”

“ครับ...ตกลงผมขอลาออก”

“เธอเข้า...อิง แสงตะวัน”

ผมไม่ได้ฟังคำที่เขาพยายามเรียกชื่อผมแล้วมุ่งหน้าตรงไปทางออกก่อนจะพบว่ามันยังล็อคตัวระบบออโต้อยู่

“คุณอัจมาน คาล์ล รบกวนช่วยปลดล็อคประตูให้ด้วยครับ”

“ไม่..เธอไม่เข้าใจฉัน..”

“เปิดครับ” รู้แหละว่าเสียงของผมไม่ได้ทำให้คนที่กำลังเดินตามผมมากลัวได้เลยแต่ก็สามารถทำให้เขาหยุดฝีเท้าเอาไว้ได้เช่นกัน

และเขาก็ยอมหยิบรีโหมดบังคับออกมาปลดล็อคทำให้ประตูกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมไม่ได้ยืนรอให้เขาเปลี่ยนใจรีบดันประตูเปิดออกก่อนจะเดินตรงไปหน้าลิฟต์โดยไม่ฟังคำทักท้วงจากสองแฝดเลย รู้ว่าเสียมารยาทแต่อารมณ์ผมตอนนี้มันไม่เหมาะกับการยืนคุยกับพวกเขาได้เลย

กดลิฟต์ได้ไม่นานลิฟต์ก็ขึ้นมาพร้อมกับอีธาน เขาทักผมเหมือนทุกครั้งแต่ผมได้แค่ยิ้มให้เขาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปอย่าง ผมเรียกอีธานไว้ก่อนที่ลิฟต์จะปิดตัวลงแล้วยื่นรีโหมดรถยนต์คันที่ผมใช่ขับมาทำงานคืนให้เขา

“ฝากคืนเขาด้วยนะครับ ลาก่อน” ยื่นกุญแจรถพร้อมรีโหมดให้อีธานเสร็จผมก็สั่งให้พี่รปภ.คุมลิฟต์กดปิดเพื่อเลื่อนชั้นลงไปด้านล่างเป้าหมายของผมคือที่ทำงานเพื่อนสนิทไม่รู้ว่าจะอยู่กันทั้งคู่ไหมแต่ผมตอนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้จริง ๆ จะให้กลับบ้านก็ยังไม่กล้าไม่รู้ต้องเริ่มต้นบอกแม่ยังไงเรื่องที่ผมลาออก ขอไปตั้งหลักก่อนก็แล้วกัน

ส่วนเรื่องของคุณเมฆผู้ชายคนนั่น...ผมจะพยายามเข้าใจความรู้สึกเขาก็แล้วกันอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดตอนนี้ผมแค่ยอมทำตามที่เขาคิดว่าสมควรแล้วก็พอ

หากการที่ผมเดินออกมามันทำให้เขาสบายใจ ผมยินดีถึงใจตัวเองจะรู้สึกหน่วงหน่อย ๆ ก็เถอะ

“บ้าจริงอิงหยุดคิดเรื่องคุณไม่ได้เลย”

“อะไรนะครับ” แอบสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ รปภ.ทักกลับมาเลยได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วทำเหมือนมันไม่มีอะไร ผมไม่เคยหลุดความในใจออกไปเลย

ติ้ง!!

พอลิฟต์เปิดออกผมก็หันไปขอบคุณพี่ รปภ.ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยสารมุ่งหน้าตรงไปทางด้านหน้าบริษัท เจอพนักงานที่คุ้นเคยกันบ้างทักทายผมก็ได้แต่ยิ้มรับ ก่อนจะมาถึงด้านหน้าบอกกับ รปภ.อีกคนที่คุมหน้าประตูทางออกว่าผมต้องการแท็กซี่สักคัน แต่ยังไม่ได้กดเรียกแท็กซี่ บิ๊กไบท์คันใหญ่สีดำที่หลัง ๆ มานี่ผมเริ่มคุ้นตาขับมาจอดเทียบข้างผม

“จะไปไหนอิง”

“พี่คิณ”

“ขึ้นมาสิพี่ไปส่ง” อยากปฏิเสธแต่ก็คงไม่เป็นผลเลยพยักหน้าตกลงก่อนจะได้หมวกกันน็อกแบบเต็มใบมาถือและสวมลงที่ศีรษะตัวเอง

ขึ้นคร่อมรถได้ก็บอกพิกัดที่ตนจะไปให้กับสารถีจำเป็นแปลกที่พี่คิณไม่ถามอะไรเลยแต่จะว่าไปมันควรรู้สึกได้แล้วว่าที่รถพี่เขามาจอดตรงหน้าเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ขับออกมาจากตัวบริษัทได้ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่ผมต้องการจะมาหาเพื่อน นั่นคือห้างสัพสินค้าชื่อดังที่ครอบครัวของดินถือหุ่นอยู่และเพื่อนผมยังทำงานที่นี่อีกด้วย

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

“ให้พี่อยู่ด้วยไหม”

“เขาสั่งมาเหรอครับ”

“หึ..บอสเป็นห่วงอิงนะ”

“อิงรู้...อิงงี่เง่าไหมพี่คิณที่ตัดสินใจแบบนี้”

“พี่ตอบแทนตัวเราไม่ได้หรอก คนเราคิดไม่เหมือนกันบอสเองก็คิดในแบบของบอสซึ่งมันอาจไม่ถูกใจอิง ส่วนอิงก็คงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้...ใช่ไหม!ให้เวลาบอสหน่อยนะ อิงเป็นคนแรกที่บอสเป็นห่วงเหมือนท่านอุซ”

ผมยืนก้มหน้าไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับพี่คิณก่อนจะขอตัวไปหาเพื่อน



หลังจากที่แสงตะวันเดินเข้าไปทางเข้าห้างเรียบร้อยแล้วสายจากบอสใหญ่ก็เข้ามาเหมือนล่วงรู้ว่าเขาได้แยกกับคนของตัวเองไปแล้ว

[เป็นไง]

“ผมขับมาส่งที่ห้างใกล้ ๆ ครับเหมือนจะนัดใครไว้”

[ตามต่อไปอย่าให้เธอจับได้]

“ครับ...บอสครับมันดีแล้วจริง ๆ เหรอครับกับทางออกนี้”

[…จะพูดอะไรอนาคิณ]

“ผมแค่ไม่อยากเห็นบอสกังวลทีหลังถ้าปล่อยให้อิงอยู่ห่างตัว”

[ฉันไม่เคยคิดจะห่างกับแสงตะวัน แต่เธอฟังฉันซะที่ไหนตอนนี้ที่ฉันทำได้ก็แค่ดูแลเขาอยู่ห่าง ๆ พวกนายก็เหมือนกันเรื่องเท่านี้นายทำได้ไหม]

“ครับ”

[รายงายฉันทุกสิบนาที] คิณได้ยินแบบนั้นก็เกือบจะกรองตามองบนถ้าจะให้รายงานถี่ขนาดนั้นไม่จับเจ้าอิงไปขังไว้เลยล่ะ แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อบอสตนเป็นพวกคิดเรื่องงานได้ดีและยอดเยี่ยมเว้นแต่เรื่องของการใช้หัวใจคิดมันช้ากว่าชาวบ้านเขาไปมากโขจะเตือนก็ไม่ได้จะให้คำปรึกษาก็กลัวจะหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง สุดท้ายพวกเขาก็ต้องมาพากันช่วยเป็นหูเป็นตาคอยดูแลน้องเล็กอยู่ห่าง ๆ แบบนี้

จะมีสบายก็เห็นจะเป็นอีธานและสตีเวนที่คอยดูแลผ่านทางออนไลน์ กล้องทุกตัวที่อิงเดินผ่านจะถูกบอกต่อผ่านคิณสู่อีธานเพื่อแฮ็คเข้าระบบโดยไม่ต้องเข้ามาติดตั้งหรือขออนุญาตใครแถมไม่เคยทิ้งรอยให้ใครตามเจอได้แน่นอน

ศึกครั้งนี้หากคิดว่าหนักมันก็หนักแต่หากมีแต่ คาล์ล คนเดียวทุกอย่างมันจะไม่วุ่นวายแบบนี้เลยมันอาจจะจบไปตั้งแต่ที่สายข่าวเขาบอกว่า โจเซฟ มันมาเหยียบที่ไทยก่อนเขาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนแล้ว หากไม่ใช่ห่วงความปลอดภัยของน้องเล็กคนนี้ แต่จะทำยังไงได้เด็กคนนั้นกลายมาเป็นจุดอ่อนของบอสไม่สิของกลุ่มพวกเขาไปแล้ว



“ไง ไม่ทำงานหรือไงวันนี้ถึงมาหากันถึงที่ อึก...อิง”

“ลาออกแล้ว”

“ลาออก!! ออกยังไงทำไมอะไรไหนพูด”

“วา” เสียงของดินดังแทรกขึ้นเมื่อวาพยายามที่จะถามถึงที่มาที่ว่าลาออก การที่โทรมาเล่าให้เพื่อนฟังถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับประธานบริษัท พูดถึงเขาคนนั่นในทุกแง่ที่ไม่มีใครเคยเห็น แล้วตอนนี้มาบอกว่าลาออกแล้วอันที่จริงที่ได้ยินตอนแรกคิดว่าคุณบอสเพื่อนคงไม่อยากให้คนที่ตัวเองมีใจทำงานหนักเลยอาจจะให้ลาออกเพื่อเตรียมไปเป็นคุณนายแต่มันก็ไม่ใช่ในเมื่อเพื่อนของเขามันซึมลงขนาดนี้แถมแรงที่กอด ความชื้นที่อกเสื้อบ่งบอกว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ แต่อยากรู้แค่ไหนก็คงต้องรอก่อนได้แต่มองสบตาคนรักอย่างดินเพื่อขอความเห็นก่อนจะได้การส่ายหน้ามาเป็นคำตอบ

“ใจเย็นมึง พวกกูอยู่ตรงนี้”

“เหนื่อยจัง”

“เหนื่อยก็พัก ดินเข้าประชุมคนเดียวได้ไหม”

“อืม”

“กูมารบกวนหรือเปล่า”

“คิดอะไรแบบนั้น ไม่มาหาพวกกูแล้วมึงจะไปไหนอย่าคิดแบบนั้นอีกนะ” วากอดปลอบเพื่อนรักด้วยความห่วงใย เกิดอะไรกับเพื่อนเขากันไอ้คนที่ทำงานหามรุ้งหามค่ำก็ไม่เคยปริปากบ่น จบมาหางานไม่ได้ก็ไม่เคยท้อถอยวันนี้กลับต้องการอ้อมกอดจากเขาแถมยังร้องไห้เสียน้ำตาอีก มันผิดปกติไปหมด

กว่าพายุความเศร้าจะจบลงก็ตอนที่แสงตะวันเผลอหลับไป ดินที่เข้าประชุมวางแผนการเปิดสินค้าตัวใหม่กลับมาเพื่อนตนก็ยังไม่ตื่นมองเวลาก็เกือบจะเลิกงานแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งข้างคนรักก่อนจะเอ่ยถาม

“จะบอกวรรณไหม”

“ดินคิดว่าไง”

“บอกเถอะ”

พอได้ยินแบบนั้นวาก็หยิบมือถือต่อสายหาเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้คงติดลูกค้าที่หน้าร้านเป็นแน่ แต่พอโทรไปเล่าอาการของแสงตะวันให้ฟัง วรรณก็ไม่ต้องคิดอะไรมากฝากงานกับเลขาตัวเองแล้วรีบขับรถจากห้างกลางเมืองตรงมาหาเพื่อนอีกห้างทันที

เวลานี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่ควรขับรถออกไปไหนเพราะเป็นเวลาที่หลายบริษัทเลิกงานกันวรรณที่ปกติจะทำงานกลับดึกเพราะเบื่อจราจรยังจำทนนั่งรอไฟแดงบนรถกลางสี่แยกใหญ่ ใจก็คิดเป็นห่วงเพื่อนเหลือเกิน ถึงเขาจะบอกว่าที่คบกับอิงเพราะฝีมือการทำอาหารของมันอร่อยแต่ถ้ามันไม่รักหรือมีใจเป็นเพื่อนกันจริง ๆ จะคบกันได้นานขนาดนี้เหรอ กับไอ้คนที่โดนคนอื่นดูถูกเรื่องฐานะทางบ้านยังไม่เคยสะทกสะท้านผิวหนัง วันนี้กลับมาได้ยินว่าเพื่อนกำลังร้องไห้มันต้องหนักขนาดไหนกัน

“บ้าเอ้ย อยากมีโดเรม่อนเป็นของตัวเองอี่บ้าจะติดไปถึงไหนเนี่ย”



กว่าจะมาถึงห้างที่เพื่อนบริหารอยู่ก็ใช้เวลาไปมากโข มาถึงเลยเจอกับแววตาเศร้าปนตกใจของเพื่อนรักที่ตอนนี้ใบหน้าที่เคยสดใสหม่นหมองมากกว่าที่เคยจะเป็น วรรณเห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรก่อนจะนั่งลงตรงข้างเพื่อนบนโซฟาตัวเดียวกัน ใช้มือเรียวลูบปลอบที่ไหล่บางของเพื่อนเพื่อสื่อให้รู้มันไม่ได้อยู่คนเดียว แสงตะวันที่ตั้งแต่ตื่นมาก็ยังไม่พูดไม่จาก็ได้แต่มองเพื่อนทุกคนแล้วก้มหน้าลงมองตักตนเอง ในหัวก็พยายามเรียบเรียงคำพูดที่มันจะทำให้เพื่อนเข้าใจกับสาเหตุที่ตนเป็นในตอนนี้

“มากันหมดเลยเหรอ”

“ดินมันเรียกให้มา ฉันไม่ได้อยากจะมาหรอกนะ” ใครจะรู้เท่าตัวเขาเอง ว่าพอได้ยินเรื่องของเพื่อนจากเพื่อนอย่างดินเขาก็แทบจะทิ้งทุกอย่างให้เลขาส่วนตัวทันที แต่ไม่พูดออกไปหรอกเดี๋ยวจะได้ใจกันไปเปล่า ๆ

“พร้อมจะเล่าให้พวกกูฟังยัง? ”

“กู...ลาออกจากงานแล้ว” เขาเว้นคำมองหน้าเพื่อนก่อนจะเริ่มเล่าอีกครั้ง “อันที่จริงกูก็ไม่ได้อยากจะลาออกหรอกแค่..แค่ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกนอกจากการทำแบบนี้...”

“เขาทำอะไรมึง”

“เขาไม่ได้...ไม่ได้ทำ (พูดเสียงเบา) เข้าแค่อยากให้กูหายออกไปจากระบบของบริษัท”

“เพราะ!”

“วรรณ” เสียงปรามดังมาจากดินที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ข้างคนรัก

“ก็ฉันอยากรู้นิไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะที่จะเห็นอี่อิงเป็นแบบนี้ หรือพวกแกไม่คิด” ทุกคนเงียบกับความคิดของเพื่อนสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจเจ้าของเหตุการณ์การรวมตัวกันครั้งนี้

“เหมือนว่าเขาจะมีปัญหากับใครสักคนที่น่าจะเก่งหรือจะร้ายกาจพอสมควร...เขาไม่อยากให้กูอยู่ในอันตรายถ้าเกิดว่าคนพวกนั่นรู้...” เสียงของการเล่าเรื่องค่อย ๆ เบาลงเมื่อมาถึงเรื่องที่เขาเองก็ยังไม่ได้บอกใครแม้แต่แม่และน้องสาวของเขาเองก็ยังไม่ได้บอก

มันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ สินะ

เป็นไงเป็นกัน

“รู้ว่าอะไร ฉันว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยนะกับการให้เลขาอยู่ห่างตัวเพียงเพราะมีปัญหา ยกเว้นก็แต่แก่เป็นแฟนเค้าอะนะมันถึงจะเขาที...หรือว่าแก!!!”

“...อือ”

“อืออะไร! ยังไงอิงแกมีแฟนแล้วไม่บอกพวกฉันเหรอ! แล้วแฟนแกก็เป็นเจ้านายแกด้วย อะไรมันจะนิยายขนาดนี้เพื่อนฉัน”

“ยัง..ไม่ได้เป็นแฟนก็แค่...รู้สึกดีเวลาอยู่กับเขา”

“อิง!!”

“วามึงอย่าทำหน้าแบบนั้นจะได้ไหม” ใบหน้าที่บ่งบอกว่าตกใจถึงขีดสุดกับเรื่องที่เพิ่งจะได้รับรู้จากปากเพื่อนสนิทอย่างแสงตะวัน ไอ้เพื่อนที่คิดแต่จะทำงานตั้งใจเรียนรุ่นพี่ที่คณะตามจีบจนเขาเหนื่อยกันไปเองยังไม่สนใจแต่กับตอนนี้กลับมาบอกว่ามันมีแฟน! What!!

“แล้วยังไง? ถึงขั้นไหน จูบ ลูบ คลำ จับ แตะ หรือโดนไปแล้ว”

“...ตะ..ต้องตอบด้วยเหรอ”

“...”

“คะ..แค่ข้างนอกน่ะ ตะ...แต่ไม่ได้เกินเลยกว่านี้นะจริง ๆ สาบานได้”

“แรด”

“แรงไป”

“กูว่าพวกมึงกำลังออกนอกน่านน้ำไปไกลแล้วนะกลับมาก่อนเรื่องความสัมพันธ์อะไรนั่นเอาไว้ก่อนกูมีเรื่องที่อยากรู้มากกว่านั้น” วาพูดก่อนที่ทุกคนจะเงียบและรอฟังคำถามจากวา

“บอสมึงเขาเป็นใครกันแน่ ฟังจากที่พูดมาคนที่จ้องจะเล่นงานเขาน่าจะมีอิทธิพลมากพอตัวไม่งั้นเขาคงไม่คิดกันมึงออกห่างเพื่อความปล่อยภัยหรอก คงไม่ใช่ว่าเป็นพวกมาเฟียอะไรหรอกนะอิง...เอาจริงดิที่เงียบนี่คือกูทายถูก! ใช่ไหม มีอะไรให้กูช็อคกว่านี้อีกไหมเพื่อน”

ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้เมื่อรองหัวสมองของกลุ่มลองประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วดันถูกทั้งหมดไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงอยากให้เพื่อนเขาออกห่างจากตัวเอง คงเพราะเพื่อปกป้องในแบบของเขาละมั่งแต่เพื่อนตนมันคงน้อยใจเท่านั้นเอง

กว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟังจบก็นานจนห้างเกือบปิดชั้นผู้บริหารทั้งชั้นถูกปิดไฟไปหมดแล้วหลงเหลือเพียงห้องที่พวกเขายังอยู่ สุดท้ายจึงชวนกันออกไปหาอะไรทานข้างนอกเพราะทั้งห้างในเวลานี้เงียบมากเหลือเพียงบางร้านที่ยังเก็บของไม่เสร็จเท่านั้น



“แล้วมึงจะเอาไงต่อ จะบอกแม่น้ำยังไง”

“...คือกูมีเรื่องให้พวกมึงช่วย”

กว่าจะถึงบ้านก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ทั้งบ้านมืดสนิทเหลือไว้เพียงไฟดวงเล็ก ๆ ตรงทางเดินขันบันไดเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่

“เฮ้อ อย่างน้อยวันนี้ก็ยังไม่ต้องตอบคำถามอะไร”

จึงตัดสินใจเข้าห้องตัวเองก่อนที่จะหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าเดินเข้าห้องน้ำไป



ด้านคิณที่ตามมา

“อิงถึงบ้านแล้วครับ”

[จะเที่ยงคืนเพิ่งถึง!]

“ครับ”

[จะคุยกันอะไรขนาดนั้น]

“ผมก็ไม่ทราบครับ”

[ไม่ได้ถาม]

“ขอโทษครับบอส”

[แล้วเป็นไงมีอะไรผิดปกติไหม]

“ตอนนี้ไม่ครับทุกอย่างยังคงปกติ”

[อือ ตามต่อไปถ้ามีอะไรผิดสังเกตรายงานฉันทันที]

อนาคิณรับคำเสร็จก่อนที่สายตัดไปเขามองดูหลังคาบ้านของน้องที่เขาเอ็นดูอีกครั้งก่อนจะสตาร์สบิ๊กไบค์คู่ใจทะยานออกไปสู่ถนนหลัง ปล่อยหน้าที่ดูแลบ้านให้กับสองแฝดจัดการไป

[คาล์ล]

“ฉันไม่ได้อยากห่างกับเธอแบบนี้ แสงตะวัน”



TBC.



[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 01-01-2022 16:45:13
ตอนที่ 20 บุคคลที่หลงทาง



[อิง]



ด้วยความที่ว่าผมตื่นแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาลัยการที่ต้องตื่นมาช่วยแม่เปิดร้านมันเลยเป็นเรื่องปกติของทุกวันของผมไปแล้วแม้แต่ตอนที่ผมเริ่มทำงานผมก็ยังคงตื่นมาทำเรื่องแบบนี้ทุกวันอย่างเคย

วันนี้ก็เช่นกันทุกอย่างมันเลยปกติจนมาถึงช่วงเวลาที่ผมควรออกจากบ้านได้แล้วเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงผมต้องเข้างานแล้ว นั่นคือเรื่องของเมื่อวานไม่ใช่ของวันนี้และอีกหลาย ๆ วันซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะตลอดไปเลยแหละ

ผมยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มบอกแม่ยังไงทางออกที่ดีที่สุดกับตอนนี้ก็คงจะเป็น..

“วันนี้ยังไม่ไปเตรียมตัวอีกเหรอเรา”

“อ่อ จ้ะแม่อิงลืมงั้นอิงขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะ”

“เร็วเลย อ่อแล้วเมื่อคืนไม่ได้คับรถกลับเหรอลูก”

“เอ่อ..พอดีบอสต้องใช้คันนั้นน่ะจ้ะ” แม่แค่พยักหน้ารับเพราะเขาทำแบบนี้ตลอดแต่แปลกแค่ตรงที่ผมไม่ได้นำรถคันอื่นกลับมาด้วยและผมก็ไม่ได้เป็นคนขับรถให้เขาอย่างเคย

ผมขึ้นมาบนห้องก่อนจะถอนหายใจทิ้งไปอย่างหมดแรง ผมไม่รู้ว่าจะปิดแม่ได้นานแค่ไหนแต่ตอนนี้การที่แม่ยังคิดว่าผมยังทำงานอยู่คือสิ่งที่ดีที่สุดผมกลัวแม่จะกังวลกับผมจนไม่เป็นอันทำอะไร

เรื่องความสัมพันธ์ของผมและคุณเมฆก็จะยังเป็นความลับของพวกเราต่อไปเพราะมันอาจจะไม่มีวันที่ได้สานต่อกันอีกแล้วมั่งนะ

ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะทำอะไร จะตื่นหรือยัง อีธานเตรียมชุดไหนให้เขาใส่ในวันนี้

กว่าจะแต่งตัวเสร็จก็เกือบเลยเวลาเดิมผมรีบลงมาจากชั้นสองก่อนจะสวมรองเท้าแล้วเดินออกมาลาแม่หน้าร้านและได้อาหารอีกหลายกล่องติดมือออกมาด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกันทุกเช้าที่ผมจะต้องไปทำงานผมจะมีอาหารพวกนี้ติดมือไปเป็นอาหารมื้อเที่ยงด้วยทุกวันและมันไม่ใช่แค่ของผมคนเดียวแต่เป็นของกลุ่มอีธานอีกด้วย



“ไงมึง”

“ยังรอดอยู่”

“คิดว่าจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่อิง”

“ขอเวลากูหน่อยแล้วกัน กูยังไม่อยากให้แม่เครียดเรื่องของกู”

“ตามใจมึงยังไงที่นี่ก็ต้อนรับมึงเสมอ หรือถ้ามึงสนใจ”

“ไม่ กูไม่อยากให้คนอื่นคิดว่ามึงใช้เส้นสายพากูเข้ามาทำงาน”

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกชวนให้มาทำงานที่นี่หรือจะร้านเพชรของยายวรรณก็เถอะ ผมซึ้งใจกับน้ำใจของเพื่อนทุกคนแต่ผมรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้หยิ่งหรืออะไร แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นมองเพื่อนผมว่าใช่อำนาจในการให้ผมมาทำงาน ถึงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ปากคนห้ามไม่ได้จริง ๆ ตัดปัญหาเลยคือปฏิเสธไปถึงคุณหญิงป้าแม้ของดินจะเคยบังคับผมมาแล้วครั้งหนึ่งแต่สุดท้ายท่านก็เข้าใจและยังฝากความไว้กับผมอีกว่า

“ถ้ามันสุดแล้วจริง ๆ ให้คิดถึงป้า อย่ามองข้ามคนแก่คนนี้เด็ดขาดนะน้องอิง”

“ขอบคุณครับคุณหญิงป้า”

“ป้าไม่ได้ใจดีกับใครง่าย ๆ นะ” คำพูดหยอกล้อกันวันนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอแต่ตอนนี้ผมว่ามันยังไม่ถึงเวลาผมยังมีทางอยู่

“มึงก็เลิกคิดเยอะได้แล้ว ถ้ามึงทำงานดีใครจะมาว่า”

“ไม่เอาหรอก”

“มึงดื้อ”

“ดิน! นั่งเงียบได้ตั้งนานก็เงียบต่อไป”

“มีประชุมตอนสิบโมง”

“อืองั้นไป ส่วนมึงก็นั่งเล่นรอไปก่อนหรือถ้าเบื่อก็ลงไปเดินเล่นในห้างก่อนกูเสร็จงานแล้วเราไปทานข้าวเที่ยงกัน”

วาว่าจบก็จูงมือกลับแฟนหนุ่มออกจากห้องไป

บางที่เขาก็สงสัยว่าไอ้สองคนนี้ใครเป็นประธานใครเป็นเลขากันแน่

“ประธานต้องแจ้งประชุม อือดีจังเลยยังกลัวเมียเหมือนเดินนะดิน”



นั่งเล่นในห้องนานเกือบชั่วโมงเพื่อนก็ยังไม่กลับเข้ามาผมเลยตัดสินใจลงไปเดินเล่นข้างล่างแทน อยู่คนเดียวมาก ๆ มันชอบให้คิดถึงตาบ้าหน้ามึนนั่นอีก



ด้านคาล์ล



เริ่มวันแรกกลับการต้องตื่นเองโดยไม่มีเสียงเล็ก ๆ คอยมาสะกิดให้ตื่นก็ทำให้เขาดูแปลกไปเหมือนกัน การที่เดินออกจากห้องน้ำแต่ไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เตรียมไว้ให้ปลายเตียงยิ่งตอกย้ำกับเขาแล้วว่าเจ้าหนูไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ทั้ง ๆ ที่คาล์ลเองก็ไม่ได้คิดจะให้เป็นแบบนี้เลย

ความคิดของเขาไม่ได้เหมือนที่เจ้าหนูคิดเลยสักนิดไม่เคยจะให้อีกคนออกห่างจากตัวเลย แต่จะให้ฉุดรั้งเอาไว้มีหวังว่าเขาคงได้เสียอีกคนไปแบบย้อนกลับไม่ได้อีกแน่

“บอส”

“อืม”

“วันนี้มีตรวจเช็คที่ดินแทบชานเมืองก่อนส่งให้ลูกค้าครับ”

“นายไปแทนฉันที” อีธานได้แต่รับคำก่อนจะรายงานเรื่องอื่นที่จะต้องทำในวันนี้อีกสองสามอย่าง

“แล้วเรื่องที่ให้จัดการเป็นไง”

“สตีฟบอกว่า มันเข้าพักที่โรงแรมของนายเสกสรร เหมือนว่าจะรู้จักกันดีกว่าที่เราคิดนะครับ”

“ตามมันต่อไป...แล้ว!”

“ส่วนทางคิณและพวกแฝด ปกติครับยังไม่มีอะไรผิดสังเกต จะมีก็แต่ อิงที่ยังแต่งตัวเหมือนออกมาทำงานอยู่เลยครับ”

“ออกไปสมัครงานใหม่หรือเปล่า”

“คิณบอกว่าไม่น่าจะใช่ครับเพราะอิงออกมาตัวเปล่า ไม่ได้มีเป้หรือเอกสารอะไรออกมาด้วย”

“แล้วเขาไปไหน!” การที่แต่งตัวออกมาจากบ้านแต่ไม่ได้คิดจะไปสมัครงาน แล้วเจ้าหนูไปไหน

“เห็นว่าไปที่ห้างที่เพื่อนของอิงบริหารอยู่ครับ”

“...บอกให้ตามต่อไป”

หรืออาจจะไปทำงานกับเพื่อน! แล้วทำไมเพิ่งจะไปทั้ง ๆ ที่ตอนแรกหางานแทบตายก็ไม่ได้งาน ทั้ง ๆ ที่มีเพื่อนเป็นถึงผู้บริหาร แล้วทำไมยังหางานทำเองให้ลำบากอีก

“อิง เธอนี่มีอะไรให้สนใจไปหมดจริง ๆ ”



“ฉันเปลี่ยนใจแล้วฉันจะไปดูที่เอง” อยู่ที่นี่คงไม่ดีต่อสมองแน่ถ้าจะคิดถึงเจ้าหนูตลอดแบบนี้ ออกไปตากแดดบ้างคงดี



[อิง]



ผมเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้แต่ก็ยังไม่มีอะไรน่าสนใจเลยเพราะเสื้อผ้าที่ผมมีอยู่นั่นตอนนี้มันมากเหลือเกินเพราะคุณเมฆเล่นซื้อให้ผมแทบจะทุกเดือน ให้เหตุผลว่าการแต่งตัวที่ดีคือหน้าตาของบริษัท แล้วก็หาเรื่องซื้อตู้เสื้อผ้าให้ผมใหม่ใหญ่กว่าห้องนอนผมจนต้องนำมันมาเก็บไว้ที่ห้องของเขาหลายส่วน

อะ คิดเรื่องเขาอีกแล้ว

ผมสะบัดหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไปในโซนโรงหนัง ยืนจ้องจอที่บ่งบอกเวลาของรอบหนังแต่ละเรื่อง ก้มมองดูเวลาที่ข้อมือหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความส่งเข้ากลุ่มเพื่อนก่อนจะตัดสินใจเลือกหนังสักเรื่อง แล้วเดินไปจ่ายตัง

ใครบอกว่ามาดูหนังคนเดียวไม่ได้ นี่ไงผมกำลังทำอยู่

หนังที่เลือกเป็นอนิเมะแฟนตาซี เกี่ยวกับสาวน้อยคนหนึ่งที่ศรัทธาในพระจันทร์

ระหว่างที่หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยในใจเข้าก็คิดตามหากว่าการขอพรจากพระจันทร์จริงอย่างในการ์ตูนหรือนิยายก็คงดี ผมคงขอให้ตัวเองและคนรอบตัวมีแต่ความสุขผมอาจดูโลภมากแต่ผมไม่อยากเสียใครไปหรือห่างไกลจากใคร

คิดเล่นคนเดียวอยู่นานจนเรื่องที่ดูมาถึงเกือบท้ายเรื่อง หนูน้อยทำสำเร็จเขานำของขวัญมาส่งทันเวลาแต่มันก็เปล่าประโยชน์เมื่อทุกสิ่งไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดินอีกแล้ว เรื่องราวเหมือนจะเลวร้ายแต่สุดท้ายเด็กน้อยคนนั้นก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลับมาดีขึ้นได้

ผมไม่รู้เลยว่าน้ำตาของผมไหลออกมาเมื่อไหร่จนมีผ้าเช็ดหน้าจากมือหนาของใครบางคนส่งมาให้ผม เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ๆ คนหนึ่งเลยขนาดในนี้ยังปิดไฟอยู่ยังรับรู้ได้ว่าเขาดูดีมากแค่ไหน สำเนียงอังกฤษที่ฟังชัดเจนทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนต่างชาติ ก่อนที่ผมจะขอบคุณเขาด้วยเสียงที่เก้อเขินหน่อยๆ

“จบดีนะครับ...คุณว่าไหม” เขาถามผม

“ครับ”

“มาคนเดียวเหรอครับ ขอโทษทีที่ถามผมเห็นคุณเอ่อ นั่งคนเดียว” เขาทำมือชี้ไปด้านข้างที่ว่างเปล่าของผมก่อนที่จะเอ่ยความคิดของต้องออกมา

ผมไม่ได้ตอบเขาเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนที่ไฟทางเดินจะเปิดผมจึงขอตัวกับเขาก่อนจะรีบเดินออกมาจากโรงหนังกะว่าจะเดินขึ้นไปรอเพื่อนที่ห้องตามเดิม แต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อคนที่เจอกันในโรงเมื่อกี้เดินตามผมมา

“เฮ้...เดี๋ยวสิ คือผมเพิ่งเคยมาที่ไทยครั้งแรก แล้วพอดีว่าพลัดหลงกับเพื่อนแล้วแบบ...หาทางออกไม่ได้”

“ครับ?”

“จะเป็นไรไหมถ้าผมจะขอเดินตามคุณคือจนกว่าคุณจะกลับก็ได้เผื่อระหว่างเดินจะเจอเพื่อนผมด้วย มือถือผมก็แบตหมดจะโทรหาก็ไม่ได้ pless เขาว่ากันว่าคนไทยใจดี” ผมมองคนตรงหน้านิ่ง ๆ ในตอนแรกกะจะบอกไปว่าผมจะกลับแล้วแต่พอเห็นท่าทางของเขาแล้วมันก็อดสงสารไม่ได้ถ้าเกิดหลงกับเพื่อนจนห้างปิดคงแย่แน่ ๆ

“งั้นผมพาคุณไปที่ประชาสัมพันธ์ดีไหม”

“ฮ่าฮ่า มันจะดูดีเหรอ คือแบบ ผมตัวเท่านี้ แล้วยังหลง เขาจะมองผมยังไง” เขาพูดออกมาเขิน ๆ

“งั้นยืมมือถือ...”

“ผมจำเบอร์ใครไม่ได้เลย อย่างที่ผมบอกไปผมเพิ่งมาไทยครั้งแรก”

“งั้นคุณรอเดี๋ยว” ผมหยิบมือถือตัวเองออกมาดูก่อนจะพบว่าเพื่อนผมออกมาจากห้องประชุมแล้วตอนนี้กำลังลงมาร้านที่ผมนัดไว้ ผมมองข้อความก่อนจะเงยหน้ามองฝรั่งตรงหน้าเห้อ

ผมพิมพ์บอกวาไปว่าขอพาคนแปลกหน้าไปทานข้าวด้วยได้ไหม ก่อนที่มันจะโทรกลับมาหาผมแล้วรีบถามผมทันที

[เขาเป็นใครมึง]

“เจอในโรงหนัง เขาหลงกับเพื่อน”

[หลงกับเพื่อน!! ไว้ใจได้แน่นะอิง]

“ก็ดูไม่ได้มีอะไรนะ”

[ไม่ใช่อริบอสมึงหรอกใช่ไหม] ได้ยินแบบนั้นผมก็ขำพรืดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“มึงดูหนังมากไปวา ขนาดคนที่ทำงานยังไม่มีใครรู้เลยแล้วคนนอกแบบนั้นจะรู้ได้ไง คิดมากไปแล้วมึงน่ะ”

[กูคิดมากเพราะเป็นเรื่องของมึงไหม]

“เออๆ ไม่มีไรหรอกแล้วมาถึงไหนแล้ว กูไปรอในร้านนะ”

ว่าจบผมก็ตัดสายทันทีก่อนจะชวนคนที่อยู่ด้วยกันไปที่ร้านอาหารที่นัดเพื่อนไว้

“คุณเอ่อ!!!”

“โจ เรียกผมว่าโจก็ได้ครับ”

“ครับ ผมอิง เอ่อ ไอเอนจี น่ะครับ”

เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามผมไปที่ร้านที่นัดเพื่อนไว้

เรื่องที่เพื่อนถามมาถ้าบอกว่าไม่คิดเลยก็จะหาว่าผมโกหกแต่การทำให้คนที่หน้าสงสัยไหวตัวทันมันก็ไม่ใช่ผมสิอีกอย่างถ้าเขาคิดจะทำอะไรผมจริง ๆ คนที่ตามผมทั้งวันอย่างพี่คิณคงไม่ปล่อยเขาได้แน่นอน

ทำไมผมถึงรู้เหรอ! ก็ตอนจะขึ้นแท็กซี่ออกมาจากบ้านผมเห็นรถของพี่เขาจอดอยู่หลังรถเก๋งของบ้านหลังข้าง ๆ พอดี จะตามกันทั้งทีดันใช้รถคันที่ผมรู้จักคุ้นเคยใครมันจะไม่รู้ แต่การที่ผมไม่กระโตกกระตากก็เพราะว่ามันรู้สึกอุ่นใจนิด ๆ ที่รู้ว่าตาบอสบ้านั่นยังห่วงผมอยู่

“มึงสั่งอะไรยัง”

เสียงของวาเรียกให้ผมออกจากการจับจ้องใครบางคนที่อยู่อีกฝั่งทางเดินของห้างกับการมองพี่คิณขมวดคิ้วแปลก ๆ ก่อนที่เขาจะกดอะไรบางอย่างในมือถือ

“คงรายงานนายสินะ”

“สั่งไปแล้ว นี่คุณโจที่เจอในโรงหนัง คุณโจนี่เพื่อนผมครับ นี่วา นั่นดินแฟนของวา”

“ยินดีที่ได้พบนะครับ ผมคิดว่าที่ไทยจะไม่ชอบเรื่องแบบนี้เสียอีก”

“อะไรเหรอครับ”

“ก็แบบ..รักเพศเดียวกันน่ะ ผมคิดว่าผมจะดูแปลกซะอีกเมื่อมาที่นี่”

“โลกเปลี่ยนไปแล้วครับ ส่วนใครที่รับไม่ได้เราก็แค่ปล่อยผ่านเขาไป อย่าเก็บเอาคำพูดเขามาทำให้ชีวิตเราเดินหน้าต่อไม่ได้จะดีกว่า แต่เมื่อกี้คุณว่าแบบคุณ! คุณเป็นเกย์เหรอครับ?”

เป็นวาที่ตอบคำถามของเขาจนครบทุกอย่าง

“ก็ประมาณนั้นครับ”

“แล้วที่มาไทยนี่คือ...?”

“หึผมมาทำธุระครับ มันสำคัญมากผมถึงได้มาด้วยตัวเอง” สายตาและคำพูดของเขาถ้าไม่ใช่คนชอบจับผิดอะไรมันก็เหมือนการบอกเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับแสงตะวันที่อยู่คลุกคลีกับพวกความลับเยอะอย่างเหล่าบอดี้การ์ดของเมฆาแล้วนั่น คำเมื่อกี้มันแฝงไปด้วยความเล่ห์เหลี่ยมมีเลศนัยในคำพูดไหนจะสายตาที่มองมาที่เขาเหมือนกับว่า สิ่งที่คนตรงนี้นี่ว่าสำคัญมันจะต้องเกิดกับเขาอย่างแน่นอน

“แล้วแฟนคุณ...เอ่อผมถามได้หรือเปล่าครับ”

“ฮ่าๆ ถึงผมจะรู้รสนิยมของตัวเองแต่เรื่องมีแฟนผมยังไม่คิดครับ ตอนนี้ก็โฟกัสเรื่องงานไปก่อนเรื่องอื่นขอให้เป็นเรื่องในอนาคตดีกว่าครับ”

“คำตอบคุณอย่างกับจำบทดารามาพูดเลยนะครับ เหมือนเป๊ะเลย”

“สั่งอาหารเถอะ เขารอนานแล้ว” ดินที่เริ่มหัวเสียกับการที่สุดที่รักตนพูดกับชายอื่นข้ามหน้าข้ามตาไหนจะรู้ว่าผู้ชายตรงหน้ามีรสนิยมแบบเดียวกันอีก

ไม่ชอบหน้าเลยจริง ๆ



พอทานข้าวเสร็จเดินออกจากร้านมาได้ไม่นานก็มีชายชุดดำร่างใหญ่สองคนเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาก่อนจะได้รู้ว่าเป็นเพื่อนของคุณโจ แต่แปลกที่คิดว่าเพื่อนของคนคนนี้จะเป็นคนไทย แต่กลับไม่ใช่แถมการคุยภาษากันก็เป็นภาษาที่แสงตะวันฟังไม่ออก เขาจำได้ว่าภาษาแบบนี้เคยได้ยินคุณเมฆเคยใช้ในการวีดิโอทางไกล ซึ่งตอนนั้นตัวเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เห็นผู้ชายตรงหน้าใช้พูดแถมยังปรายตามามองตนยิ่งรู้สึกว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ให้เมฆาสอนภาษานี้ให้นะ

“เอ่อ เพื่อนผมมาแล้วยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีโอกาสหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก”

โจทิ้งคำพูดไว้เท่านี้ก่อนจะขอตัวออกไปกับคนอีกสองคนที่มองยังไงก็ไม่น่าใช่เพื่อน ดูจากการเดินรั้งท้าย แถมยังมองซ้ายขวาเหมือนระวังภัยยิ่งคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากบอดี้การ์ด

“ฉันว่าเขาดูไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่หลงทางอย่างปากว่าเลย”

อิงมองดินที่พูดยาวกว่าปกติก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย และเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ จึงหยิบมือถือโทรหาอีธาน และได้คำตอบว่าจะให้คิณมาหาให้รออยู่ตรงนี้

รอไม่ได้นานเลย อนาคิณก็มาโผล่ที่หน้าของทั้งสามคน

“พี่คิณ”

“ไงเรา”

“ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้เสมอ ยกเว้นเป็นแฟนอิงอ่ะนะ” พูดยิ้มๆ

“อิงซีเรียสอยู่นะครับ...พี่คิณช่วยพาอิงไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ทีครับ” ดินและวาแปลกใจกับสิ่งที่แสงตะวันเพื่อนรักเอ่ยขอจากผู้ชายหน้าเข้มคนนี้มารู้อีกทีว่าเป็นคนของใครเขาก็อ๋อไปตาม ๆ กัน

แต่เรื่องซื้อเสื้อผ้า!!

“นึกคึกอะไรอิงจะมาอยากซื้ออะไรตอนนี้”

“กูมีเหตุผลแล้วกัน” คนที่ถูกไหววานให้พาไปซื้อของใหม่ไม่ได้ถามอะไรออกไปเลยแม้แต่นิดเดียวเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร

ผู้ชายคนนั้นเข้าหาคนของนายตนแบบอุกอาจมาก เหมือนมันไม่ได้เกรงกลัวบอสเลยกล้ามากที่มาเล่นกับ อัจมาน คาล์ล แต่ที่แปลกใจกว่านั่นที่คำบอกเล่าจากเพื่อนอย่างอีธานที่แสงตะวันโทรหาก่อนจะโทรมาบอกเขาอีกที

“เรื่องนี้อิงบอกอย่าเพิ่งบอกบอส”

“คิดว่าปิดได้งั้นเหรอ”

“หึ อิงเขาอยากทำอะไรเอง ฉันก็ไม่อยากขัด”

“ไม่ห่วงเธอหรือไง”

“อิงไม่ได้เบาะบางขนาดนั้น นั่นพี่ของเลออนเชียวนะ” พอคำนี้ออกมาพวกเขาก็ได้แต่หัวเราะผ่านสาย ใช่สิน้องเล็กของกลุ่มเขาเป็นถึงพี่ชายของเจ้าสัตว์สี่เท้าที่เข้ากับใครก็ไม่ได้ เหลี่ยมเยอะเป็นที่หนึ่งดุกว่าตัวที่ควรดุไม่เหมือนใครเลยนี่นะ เขาก็ได้แต่คอยเฝ้าอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ



“ฝากพี่คิณเอาไปตรวจให้ทีนะครับ”

เสื้อผ้าชุดเดิมที่ขอถุงกระดาษจากทางร้านมาใส่ถูกยื่นไปที่หน้าของอนาคิณทันที เขารับคำก่อนจะยื่นมือไปรับมาถือไว้แอบเปิดดูด้านในก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูงมองหน้าหวานของน้องเล็ก ก่อนจะเอ่ยถามแบบตะกุกตะกัก

“นี่...ถึงกลับเปลี่ยนชั้นในด้วยเหรออิง”

“กันไว้ดีกว่าแก้ทีหลัง อิงไม่อยากเป็นภาระคุณเมฆหากเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้”

“บอสไม่เคยคิดว่าเราเป็นภาระเลย”

“ช่างเถอะครับ การที่พี่คิณมาหาอิงไวขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะเขากลัวอิงจะสร้างปัญหาให้ไม่ใช่เหรอครับ ยังไงก็ฝากเรื่องชุดด้วยนะครับ แล้วก็ฝากบอกแฝดด้วยว่าเข้าไปทานข้าวที่บ้านก็ได้ หรือจะเข้าไปพักในบ้านก็ได้ตอนกลางคืนยุงมันเยอะอีกอย่างอากาศมันก็เย็นด้วย”

“นี่เรารู้หมดเลยเหรอ”

“ไม่รู้ครับ แค่คิดว่า...” ใบหน้าที่ติดกวนนั้นสื่อให้รู้เลยว่า เจ้าน้องเล็กรู้มาตลอดว่าพวกเขาเฝ้าเธอเสมอ

“บอสต้องด่าแน่ ๆ ถ้ารู้เรื่องพวกนี้”

“อิงไม่พูด พี่คิณไม่พูดใครจะรู้ครับ อีกอย่างอิงไม่ใช่เด็กช่างฟ้องสักหน่อย”

อาการหน้ายู่ยิ่งทำอนาคิณเอ็นดูเข้าไปอีก เด็กคนนี้มีอะไรที่พวกเขาไม่รู้อีกมากเลยจริง ๆ การสู้ชีวิตมาตลอกกับช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ทำให้การมองคนออกเพียงแค่วันเดียวถือว่าเป็นไหวพริบที่ดีเลยทีเดียว

พอแยกกับอนาคิณที่หน้าห้องลองเสื้อแสงตะวันก็ขึ้นมาชั้นบนสุดทันที เพราะเวลานี้ปกติแล้วเขายังทำงานอยู่ จึงต้องมาอาศัยห้องทำงานเพื่อนอยู่แบบนี้ไปก่อนอีกชั่วโมงค่อยกลับบ้าน ส่วนเรื่องรถค่อยหาวิธีตอบให้ไม่ผิดสังเกตเอาแล้วกัน



อีกด้าน

สายตาที่มองผู้ชายตัวสูงเรียวผิวขาวดวงตากลมโต ให้ความรู้สึกน่าหลงใหลผิดแค่ว่าถ้าเขาต้องการจริง ๆ คงต้องใช้วิธีที่เด็กคนนั้นคงจะเกลียดเขาไปตลอดชีวิต

นี่สินะ มันถึงได้ห่วงเหมือนจ่าฝูงที่กลัวโดนแย่งตำแหน่งแบบนั้น หึ การที่ให้คนมาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ทำให้ คนอย่าง โจเซฟ คนนี้กลัวเลยแม้แต่ปลายเล็บยิ่งเห็นว่าเด็กคนนั้นดูนิ่งมากกับการอยู่ใกล้กับเขาทั้ง ๆ ที่เหมือนจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะหลงทางในที่แบบนี้ได้เลย การที่ทำเหมือนวางใจกันยอมพาไปทานข้าวด้วยมันเกือบจะทำให้เขาเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้ซื่อจริง ถ้าไม่ใช่ว่าความติดใจทำให้เขาไม่ยอมเดินออกไปสถานที่แห่งนี้แต่กลับแอบอยู่ใกล้แถว ๆ นั้นรอว่าอีกคนจะไปไหนก่อนจะเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ผิวสีแทนเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มสนิทสนมก่อนจะแยกกันไปเพียงสองคนแล้วขึ้นไปชั้นสองที่เป็นโซนเสื้อผ้าเครื่องประดับ

และสิ่งที่เขาเห็นนั่นยิ่งทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้เก่งมากแค่ไหน ความอิจฉา ยิ่งเพิ่มมากขึ้นที่คนที่ อัดฮัม เลือกให้มาอยู่ข้างกายช่างเพอร์เฟคไม่เหมือนกับใบหน้าติดดื้อนั่นเลยสักนิด

“ฉันเริ่มอยากได้เธอจริง ๆ แล้วสิ...อิง”







TBC





[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 01-01-2022 16:47:34
ตอนที่ 21 กลลวง



5 วันผ่านไป

ทุกอย่างยังคงดูเหมือนปกติตัวอิงเองก็ยังใช้ห้องทำงานของเพื่อนในการหลบแม่ออกมาเพื่อให้คิดว่ายังทำงานอยู่กับเมฆา

ด้านสองแฝดพอตกดึกก็ยังรับหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณแถวบ้านอิง จะมีบ้างบางวันที่ทำเป็นเอาของมาเยี่ยมบ้างในตอนที่อิงกลับมาให้เหมือนว่าเข้ามาพร้อมกันก่อนจะออกไปสำรวจรอบบ้าน แล้วค่อยออกมาประจำจุด

อนาคิณเองก็ยังคอยตามติดชีวิตของน้องเล็กไม่เคยขาด เรื่องที่แสงตะวันฝากไปนั่นเป็นจริงอย่างว่า เมื่ออีธานทำการสแกนเสื้อผ้าของแสงตะวันในวันนั้นพวกเขาก็พบเครื่องติดตามขนาดเล็กหากฝีมือไม่ถึงพอก็ไม่อาจตรวจสอบหรือจับสังเกตได้เลย ขนาดกรมตำรวจเองยังไม่สามารถตรวจสอบได้นับประสาอะไรกับคนปกติ

งานที่ปริษัทนี้ไหนจะงานที่อื่นอีกมากมายทำให้ คาล์ลเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไปดูแลคนของตัวเองได้ แต่ก็มีบ้างที่แอบเข้าไปหายามที่อีกคนหลับแต่ก็ได้แค่นั้นเพราะตอนนี้การที่เขาทำเป็นไม่สนใจแสงตะวันมันคือผลดีกับอีกคนแล้ว คิดว่านะ!



1 สัปดาห์ต่อมา



“บอสครับทางนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วครับ”

“มันจะทำอะไร”

คำถามจากผู้เป็นนายดูร้อนใจและกดดันมากในเวลานี้เพราะตัวเขาเองและบอสไม่ได้อยู่มี่เมืองไทยเพราะคาสิโนที่สิงคโปร์ดันมีปัญหาใหญ่หากถามว่าหุ้นส่วนคนอื่นหรือผู้ดูแลที่นี่ทำเองไม่ได้เหรอมันก็จะมาดูก่อนว่า คนที่มีปัญหาครั้งนี้เป็นลูกค้าระดับไหนใครเซ็นค้ำประกัน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องรีบมาจัดการ เพราะเขาเป็นคนค้ำประกันให้ลูกค้าท่านนี้ผู้ที่ถือแบล็คการ์ดใหญ่ผู้ที่สามารถเล่นพนันในที่นี่ได้ไม่จำกัดวงเงิน แต่หากว่าตอนนี้ธุรกิจที่ทำอยู่เกิดมีปัญหาจึงแอบใช้เงินในแบล็คการ์ดเพื่อนำออกไปใช้แก้ปัญหาแต่พอถึงตอนที่ทางเราเช็คบัตรมันกลับหายไปมากจนเกินไปแถมมีแต่การถอนแต่ไม่มีรายการนำกลับเข้ามาใส่ไว้อย่างเช่นดังเดิมเรื่องถึงได้บานปราย

“สายของเราที่ทำงานให้นายเสกสรรบอกว่ามันกำลังวางแผ่นทำการเซ็นสัญญาเรากับท่านดิรกครับ”

“หึ เหยื่อติดกับแล้ว แจ้งสตีฟไปตามหาหนอนในรังให้เจอแล้วจัดการทันที”

“ครับบอส” คิดว่าเขาจะโง่ขนาดนั้นเลยหรือไงที่ดินไม่ใช่ ไร่สองไร่ ใครจะไปบอกวันจริงที่จะส่งกัน

กว่าจะทำที่แห่งนั้นให้ขายได้เขาต้องกลับหน้าดินไม่รูต้องเท่าไหร่กว่าดินจะกลับมาสวยหน้าลงทุน คงไม่ปล่อยให้พวกสวะมาทำรายง่าย ๆ หรอก หรือถ้ามันอยากจะลองดีกันก็ตราหน้ากันเข้ามา

“แล้วอิงล่ะ”

“คิณรายงานดังเดิมครับคือมาหาเพื่อนหกโมงก็กลับบ้าน”

“แล้วรู้ไหมว่าไปทำอะไร”

“ไม่น่าจะใช่ไปทำงานนะครับ ผมคิดว่าอิงน่าจะไม่ได้บอกทางบ้านเรื่องออกจากงาน”

“ฉันก็ไม่ไดให้ออกนิ”

“ผมหมายถึง...”

“ตามต่อไปอย่าให้หลุดแม้แต่นิดเดียว” ใช่บอสไม่ได้ไล่น้องออกแต่น้องขอออกเอง ส่วนเรื่องความผิดปกตินั่นก็...มีสิงานใหญ่เลยแหละ

จบงานนี้มีคนเจ็บตัวแน่ ๆ

แค่คิดก็ไม่อยากนึกภาพตามเลยใครก็รู้ว่าเวลานายท่านโกรธเป็นยังไง นี่ยังไม่รวมถ้าฟีนิกซ์รู้เรื่องนี้อีกนะตายกันยกก๊วนแน่



บ้านอิง



วันนี้วันอาทิตย์แสงตะวันเลยไม่ต้องระหกระเหินพาตัวเองออกจากบ้านไปไหนเขาเลยออกมาช่วยแม่ขายข้าวแกงตามปกติของสุดสัปดาห์ แต่มันก็จะมีที่แปลกไปหน่อย...ไม่หน่อยอ่ะ

“อิง พี่สั่งแกงเขียวหวานไหงได้พะแนงระเนี่ย”

“อ่ะ อิงขอโทษจ้าพี่”

“อิง พี่สั่งเป็นแยกกับข้าวแล้วทำราดมาแบบนี้ล่ะ”

“ขอโทษจ้า”

“อิง....”

“อิง..”

“อิง..”

“พอ!!หนูจะไม่ทนแล้ว พี่อิงไปนั่งเลยจ้ะ นั่งเลยนั่งตรงนี้นะอย่าไปไหนนะนั่งเฉย ๆ ตรงนี้” กระจิบเด็กที่ร้านรีบเดินจากหลังร้านออกมาดึงแขนพี่อิงให้มานั่งลงที่โต๊ะตัวที่ว่างด้านหลังสุดที่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไรถึงเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะบ้าง ตักกับข้าวผิดบ้างสารพัดของความผิดในวันนี้ดีนะที่มีแต่ลูกค้าประจำที่สนิทกันไม่งั้นคงโดนด่ายับยันป้าน้ำแน่ ๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่าอิง แม่ว่าช่วงนี้เราแปลก ๆ นะ”

“มะ ไม่ ไม่มีอะไรหรอกจ้าแม่สงสัยอิงเบลอน่ะ ขอโทษนะจ๊ะ”

“ที่จริงวันหยุดทั้งทีอิงพักผ่อนบางก็ได้นะลูกออกไปหาเพื่อนบาง ป่านนี้ดิน วา วรรณ คิดถึงเราแย่

“เบื่อแล้วมากกว่า” พึมพำ

“ว่าอะไรนะลูก”

“อ่ะเปล่าจ้าแม่ ช่วงนี้พวกมันไม่ค่อยว่างหรอกใกล้จะสิ้นเดือนแล้วต้องสรุปผลกำไร ยัยวรรณก็เห็นว่าจะไปดูงานเดินแบบที่ต่างจังหวัดด้วย เผื่อว่าจะได้คอนเนคชั่นใหม่ ๆ ”

“เหรอ ไม่งั้นก็เข้าไปพักในบ้านไหมลูก ที่ร้านมีเจ้าสามแสบอยู่ช่วยแล้ว” เขาอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะยอมเชื่อที่แม่บอกแล้วขอเข้าไปพักผ่อนในบ้าน



พอขึ้นมาถึงด้านบนก็ต้องได้ยินเสียงมือถือที่สั่น ครืด ๆ เรียกร้องความสนใจที่โต๊ะข้างเตียงนอน

แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ที่อิงอยากจะไม่รับที่สุด

[JOE SEPH]

ต้องเล่าทาวความไปเมื่อสามสี่วันก่อนที่ตัวเขายังทำตัวเป็นคนว่างงานไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานผู้บริหารใหญ่จนเกิดอาการเบื่อเพราะหยิบจับทำอะไรก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่งานของตน เลยหอบสังขารลงมาเดินเล่นชั้นล่างสุด ชั้นที่เป็นร้านหนังสือร้านเครื่องเขียน ของใช้กระจุกกระจิก

ตอนที่เขาเข้าไปอ่านหนังสือที่ชั้นก็เผอิญเจอเข้ากับบุคคลที่แสงตะวันไม่ควรจะต้องเจออีกถึงจะรู้ว่ายังไง คนคนนี้ก็ต้องมาหาเขาอีกแน่นอนแต่การเจอกันเร็วขนาดนี้ก็เกือบทำเขาตังตัวไม่ทันเลยจริง

ชายคนนั่นทำท่าเหมือนนึกหน้าเขาตอนเจอกันก่อนจะทำเป็นเหมือนว่านึกขึ้นได้แล้วก็เดินเข้ามาหาเขาทันที ใจนี่แบบอยากจะวิ่งหนีมากแต่ขามันไม่ขยับเลยต้องสั่งริมฝีปากให้แย้มยิ้มรับไปเสียก่อน

“เฮ้...อิงใช่ไหมที่ช่วยผมไว้เมื่อคราวที่แล้ว”

“ครับ แต่ครั้งนั้นผมไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ คุณอุตส่าห์ให้คนแปลกหน้าอย่างผมไปร่วมทานอาหารด้วยก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“แล้ววันนี้มาคนเดียวเหรอครับ เพื่อนไม่มาด้วยเหรอ”

“ครับ พอดีว่าพวกเขาติดงาน”

“เหมือนกันเลยผมก็มาคนเดียว ว่าจะมาหาหนังสือ แปลไทยสักหน่อย คุณ...พอจะแนะนำผมได้ไหม”

ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือโกหกว่าอะไรดี แสงตะวันเลยยอมช่วยเหลือเรื่องการเลือกหนังสือ ฮ่าฮ่า

และมันก็ไม่ได้จบแค่ร้านหนังสือ

-ร้านอาหาร/ร้านไอศกรีม/ร้านเสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์ไทยแท้ และอีกหลาย ๆ ร้านกว่าจะจบ

“ขอโทษทีผมลืมตัวพอเจอคนถูกใจผมก็จะเพลินจนลืมดูเวลาเลย”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ผมต้องกลับแล้ว พอดีว่าเพื่อนมารับแล้ว”

“ครับขอให้โชคดี”

“อิง...วันนี้มือถือผมแบตไม่หมด จะเป็นอะไรไหมครับถ้าจะขอช่องทางติดต่อกับคุณ”

“...”

“ผมถูกชะตากับคุณมาก ผมอยากทำความรู้จักไว้”

“ขอบคุณครับ แต่ผมว่า..”

“อย่าปฏิเสธผมเลย ผมเป็นคนเพื่อนน้อยหากเพิ่มคุณเข้าไปอีกคน มันคงดีไม่ใช่น้อยเลย” สายตาที่ดูตัดพ้อแต่แฝงความร้ายกาจไว้ในตาดำนั่นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน เหมือนลูกกรวดที่ดูสวยงามแต่หากนำมันมาทานเข้าไปถึงได้รู้ว่ามันคือยาพิษ ต่างตรงที่เขาไม่ต้องกินผู้ชายตรงหน้าก็รู้ว่าร้ายกาจขนาดไหน

แต่จะทำไงได้ตัดสินใจว่าจะจัดการเองก็ต้องทำให้ได้ ทำให้ใครคนนั้นได้รู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น

“ครับ”

คำตอบในวันนั้นสร้างความรำคาญให้ตนไม่น้อยเมื่อผู้ชายคนนั้น โจเซฟ เล่นโทรหาเขาตลอดเวลาจนเหมือนคนโรคจิตแต่ดีตรงที่เรื่องที่โทรมามันยังพอให้เขาทำใจได้บ้าง

“ครับ”

[ผมโทรมารกกวนคุณหรือเปล่า]

“ไม่ครับผมว่างแล้ว”

[งั้นดีเลยวันนี้ผมโดนเพื่อนทิ้งอีกแล้ว คุณช่วยมาเดินห้างเป็นเพื่อนผมได้หรือเปล่า]

คำถามนั้นทำเอาแสงตะวันเองถึงกับชะงักค้างจนปลายสายต้องเรียกหาซ้ำเพราะคิดว่าไม่ได้ยินกัน

[คุณอิง ฮัลโหลยังอยู่ไหมครับ]

“ครับ ยังอยู่”

[แล้วเรื่องที่ผมถามไปว่ายังไงครับ ตกลงไหม] เดินเกมมาถึงขนาดนี้แล้วจะต้องกลัวอะไรอีก อีกอย่างที่นั้นก็เป็นที่ของเขาเป็นที่ที่ไม่น่าจะสามารถทำอะไรเข้าได้ การออกไปหาก็คงไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลใจหรอกหรือหากว่ามี พี่คิณก็ยังอยู่

“ตกลงครับ”

คุณจะได้รู้ว่าอิงไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น

“อิง ทางนี้ครับ”

เขามองเห็นผู้ชายคนนั้นนานแล้วตั้งแต่ลงมาจากแท็กซี่ เพียงแค่กำลังรวบรวมสติอยู่ไม่อยากให้ไปโป๊ะแตกต่อหน้าให้เสียอาการ

ฟู่ว!!

“ทำได้อิงทำได้ พี่คิณก็อยู่จะต้องไม่มีอะไร ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” เสียงพึมพำเบา ๆ กับตัวเองก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าหา ฝรั่งดวงตาสีน้ำทะเลกับทรงผมอันเดอร์คัด หากไม่ใช่ว่ารู้ว่าคนคนนี้เป็นใครเขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่า โจเซฟมีเสน่ห์มากเพียงใดไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก ความสูงก็ประมาณคุณเมฆแต่อาจจะเรียวกว่า เพราะคุณเมฆตัวใหญ่เนื้อแน่น! ไม่ใช่ละคิดอะไรเนี่ย!!

“วันนี้คุณดูดีมากเลยนะครับ ปกติเห็นแต่ใส่สูท”

“ครับ”

“ไปข้างในดีกว่า ผมวางแพลนไว้ยาวมาก ๆ ”

“ทำอะไรบ้างครับ”

“ก็หลัก ๆ ดูหนัง ทานข้าว เดินเลือกของนิดหน่อยน่ะครับ”

“แล้วเลือกหนังไว้หรือยังครับ”

“เลือกแล้วครับซื้อตั๋วแล้วด้วย” โจเซฟหันมาตอบก่อนจะยื่นตั๋วหนังไปให้แสงตะวันดู ก่อนที่อีกคนจะต้องขมวดคิ้วก้มมองดูใกล้ ๆ เหมือนคนสายตาสั้นแล้วจะหันไปถามคนที่เลือกเรื่องนี้มา

“คุณจะดูเรื่องนี้จริงเหรอ”

“ครับ” ตอบพร้อมยิ้มรับ

“แต่มันเป็น...หนังรัก”

“คุณไม่ชอบหนังแนวนี้เหรอ ผมน่าจะถามคุณก่อน”

“เปล่าหรอกครับแค่แปลกใจ ปกติเห็นแต่คู่รักเขาดูกัน”

“ฮ่า ๆ อิงนี่คิดมากนะครับ ผมว่าเนื้อเรื่องมันน่าสนุกดี อีกอย่างมันเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่ต้องหนังแปลซับ”

สุดท้ายก็ต้องดูจนได้ถึงจะไม่ค่อยได้สนใจเรื่องที่ดูอยู่ก็เถอะ

ไม่รู้เรื่องมันดำเนินไปถึงไหน สุดท้ายแฝดน้องได้แต่งงานกับเจ้าชายหรือเปล่า หรือเจ้าชายแยกออกหรือยังว่าใครเป็นใคร เพราะใจเขาตอนนี้มันคิดแต่ว่าจะต้องนั่งอยู่กับคนคนนี้ในที่มืดอีกนานแค่ไหน

แต่แล้วเรื่องที่แสงตะวันกังวลก็เกิด

“คุณว่าเจ้าชายจะเลือกถูกคนไหมครับ”

“ผมว่าน่าจะนะครับ ความผูกพันอะไรทำนองนั้น”

“คุณไม่คิดว่าแฝดพี่ก็น่าสนใจเหรอครับ”

“แต่การปลอมตัวเป็นคนอื่นผมว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนะครับ”

“หึ ดูคุณจะไม่ชอบการโกหกสินะครับ”

“...”

“แล้วถ้าเกิดว่าอยู่ ๆ มีคนมาทำดีกับคุณเพื่อที่จะหลอกคุณคุณจะโกรธไหมครับ”

“ต้องดูก่อนครับ ว่าเรื่องที่เขาทำอยู่ร้ายแรงแค่ไหน”

โจเซฟทำท่าคิดนั่งขาไขว่ห้าง เอาศอกยันกับที่พักแขนฝ่ามือใหญ่ช้อนใต้คางตัวเองก่อนจะหันมาให้คำตอบกับเด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“กำจัดคนที่เขารัก ร้ายแรงพอไหมครับ”

“แล้วเขาคนนั้นที่คุณว่าเขาอ่อนแอขนาดที่ว่าจะกำจัดได้ง่ายเลยเหรอครับ”

“นั่นสินะครับ เพราะเขาแข็งแกร่งเกินไปจนหาจุดอ่อนไม่ได้เลย”

“แปลว่าคุณก็หลอกเขาไม่สำเร็จ”

“หึ ผมไม่ได้คิดจะหลอกเขา แต่ผมคิดจะทำให้เขาไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป” แสงตะวันชะงักกับสิ่งที่ได้ยินแถมเรื่องที่ว่าสมมุติมันก็เริ่มจะเปลี่ยนไป

“...แน่ใจแล้วเหรอครับว่าใช่”

“ยิ่งกว่าแน่ใจอีกครับ”

ป๊อก เสียงดีดนิ้วจากคนด้านข้างทำให้อิงตกใจแต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อ!!!

“อุ๊บ อื้อ อื้อ..”

“เพราะผมติดตามเขามานานจริง ๆ เอาตัวออกไปอย่าให้มันเห็นได้”

โจเซฟสั่งการลูกน้องสองคนที่นั่งอยู่แถวหลังให้มาพาตัวของแสงตะวันออกไปจากโรงหนังนี้ก่อนที่เขาจะหันไปมองที่จอแล้วพูดขึ้นมาว่า

“จะเลือกทำไมในเมื่อมันมีวิธีอื่นให้ได้มาง่าย ๆ ”



[คิณ]



ผมได้รับสายจากน้องอิงมาประมาณสามชั่งโมงก่อน ความนัยประมาณว่าโจเซฟได้โทรหาน้องและชวนออกมาเดินเล่นที่ห้างด้วยกัน ตอนนั้นผมเองก็อยากบอกให้น้องไม่ต้องมาเพราะหากว่าเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นมาแล้วทุกอย่างที่พวกเราทำมามันจะศูนย์เปล่า แต่ผมก็ลืมไปว่าคนที่พวกผมเอ็นดูอยู่คือน้องอิง เด็กน้อยที่น่ารัก ปากจัด ประชดเก่ง แถมฝีมือการทำอาหารก็ชั้นเลิศ เหมือนจะไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคนที่สามารถทำให้พระยาราชสีห์สยบได้ด้วยช่อม่วงต่างหากคือที่สุดของเด็กคนนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำงานเรื่องวางแผน เธอตัวเล็กแต่พริกขี้หนู

พอผมไม่สามารถรบเล้าให้น้องหยุดได้งานต่อไปคือเรียกกำลังเสริมมาเพิ่มที่ห้างแต่ก็สามารถนำมาได้แค่สามคนแถมอีกคนยังเป็นเด็กใหม่ งานนี้ก็ต้องลุ้นกันไปว่าจะจบที่ตรงไหนแต่ผมก็ขอให้น้องปลอดภัย

ผมเห็นแล้วครับว่าผู้ชายคนนั้นมาเพราะผมก็มาดักรอตั้งแต่ที่รู้ ผมตามมันไปจนเห็นว่ามันเข้าไปเลือกหนังที่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

ตอนนี้ผมไม่เห็นใครเลยมันมาคนเดียวเหมือนที่พูด ก่อนจะเห็นมันไปที่ห้องน้ำผมเลยเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ทำเป็นขอซื้อตั๋วหนังเพิ่มเพราะเพื่อนที่มาซื้อเมื่อกี้ซื้อไม่ครบ แต่สิ่งที่ผมได้ยินกับสีหน้าของพนักงานยิ่งทำผมคิดหนัก

“เอ๋ ถ้าเป็นคุณฝรั่งคนเมื่อกี้ไม่น่าจะขาดนะครับเพราะเขาเหมายกโรง”

“ยกโรง!!!”

“ครับ”

“บ้าเอ้ย!!”

ตอนนั้นก็ได้แต่สบถด่าตัวเองในใจก่อนจะรีบเดินออกมาโทรหาอิงทันที แต่ความซวยเหมือนจะยังไม่หมดเมื่อผมติดต่อน้องไม่ได้

“อิง บ้าเอ้ย!!”

ตู้ด!! ตู้ด!!

[ว่าไง]

“เอาไงดีอีฟ”

[อะไร!! คิณเกิดอะไรขึ้น]

“ยังไม่เกิด แต่ก็ไม่แน่ใจ”

[พูดให้เคลียร์ที] เสียงกดดันแบบนี้ทำเอาใบหน้าของนิกซ์ลอยเข้ามาเลยครับ ถ้านี่เป็นนิกซ์ผมว่าผมคงโดนหนักแน่ ๆ

“มันเริ่มแล้ว โจเซฟ ปล่อยหางออกมาแล้ว”

[มันเกิดขึ้นได้ไง อ่ะบอส/เกิดอะไรขึ้น]

ผมไม่รู้แล้วว่าทางนั่นเกิดอะไรขึ้นแต่เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินทำเอาผมต้องรีบติดต่อประสานงานกับลูกน้องอีกสามคนให้ปิดล้อมทางออกโรงหนังให้หมดถึงมันจะมีแค่ไม่กี่จุดก็เถอะ

ส่วนตัวผมก็วิ่งมานั่งรอที่หน้าทางเข้าเผื่อจะเจออิง แล้วจะได้ส่งซิกได้ และก็เป็นอีกครั้งเมื่อผมหันหน้ากลับมาทางเข้าโรงผมก็เห็นว่าอิงเดินเข้าไปด้านในนั้นแล้ว

เห็นดังนั่นผมก็เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์อีกครั้งก่อนจะของซื้อตั๋วหนังเรื่องอะไรก็ได้ที่จะฉายตอนนี้และเป็นโซนทางขวา

“พี่เตือนเราแล้วอิง”





TBC
[/font][/size]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 02-01-2022 19:27:03
ซวยแล้วน้องอิง
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 16-01-2022 14:48:23
ตอนที่ 22 ลักพาตัว



ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่ที่รู้ ๆ เลยก็คือความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาคือแรงกดมหาศาลที่ศีรษะจนต้องย่นหน้าก่อน แล้วคลายออกเพื่อลืมตาแต่ก็ต้องกลับไปขมวดมันเข้าหากันอีกครั้ง

ที่นี่ที่ไหน?

ทำไมไม่คุ้นเลยสักนิด ก่อนจะประมวลผลเรื่องก่อนหน้านี้

เช้ามาเขาช่วยแม่ขายข้าวแต่เพราะว่ามัวแต่เบลอจนหยิบจับอะไรก็ผิดไปหมดเลยโดนเด็กที่ร้านสั่งให้พัก ก่อนที่แม่จะสั่งให้เขากลับเข้าบ้านไปพักผ่อน

แล้วพอเข้ามาในห้องนอนก็มีสายเข้าเป็นสายของ...

“โจเซฟ!!!”

ใช่ เมื่อวานเขาตัดสินใจออกมาหาผู้ชายคนนั้นก่อนจะเข้าไปดูหนังด้วยกันแล้วพอตอนที่หนังใกล้จบโจเซฟก็มีคำถามมาถามเขาก่อนที่มันจะฟังดูแปลก แล้วเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก

พอคิดได้แบบนั้นแสงตะวันก็เด้งตัวลุกขึ้นจนหน้ามืดเพราะฤทธิ์ยายังไม่หมดดี ก่อนจะมองซ้ายทีขวาที ที่นี่ดูไม่เหมือนในละครไทยที่เขาดูเลยที่พอนางเอกถูกผู้ร้ายจับไปต้องเป็นที่ ๆ อับ ๆ หรืออาจเป็นกระท้อมกลางป่า โกดังล่างที่ไหนสักที่

แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้! แบบที่เขาได้นอนอยู่บนเตียงนมฟูขนาดใหญ่ บริเวณโดยรอบก็ดูเหมือนบ้านพักต่างอากาศมากกว่า ลมแรงที่พัดเอาม้านปลิวไสวบอกให้รู้ว่าที่ที่เขาอยู่ต้องเป็นทะเลที่ไหนสักแห่ง

แต่จะเป็นที่ไหน! ไทย! หรือต่างประเทศ!!!

พอเปิดประตูออกมาก็พบกับทะเลจริง ๆ เป็นทะเลที่สวยมากรอบข้างไม่มีผู้คนหรือแม้แต่บ้านช่องสักหลัง เลยคิดแล้วว่าที่นี่คงเป็นเกาะส่วนตัวแน่ ๆ

“ตื่นแล้วเหรอ? ”

เสียงที่ดังมาจากด้านข้างของบ้านพัก ไม่สิไม่ใช่บ้านสิใหญ่ขนาดนี้ นี่มันคฤหาสน์กลางทะเลหรือไง แต่เอาไว้ก่อนเพราะเขาเจอกลับคนที่จะสามารถตอบคำถามของเขาได้แล้ว

“ที่นี่ที่ไหน แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม”

“หึ...คำถามเบสิคสินะ ที่นี่ที่ไหน? จับมาทำไม? เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ? บลา ๆ ไม่คิดจะถามอะไรที่มันดูแตกต่างกว่านี้หน่อยหรือไงครับ Mr.แสงตะวัน” ในตาที่มีความเจ้าเล่ห์ที่ก่อนหน้านี้เคยซ่อนมันเอาไว้จนรู้สึกเหมือนเป็นคนดีวันนี้มันกลับเปิดเปลือยตัวตนออกมาเสียเห็นแจงแก่ใจแล้วว่า ผมชายตรงหน้าเขานี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ

“ว่ายังไง อ่ะ ผมตอบคำถามคุณก่อนดีกว่า ที่นี่คือที่ของผม ที่ทำไปก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากชวนคุณมาพักผ่อนด้วยกันก็เท่านั้น”

“ด้วยวิธีลักพาตัวผมมาเนี่ยนะ”

“จุ๊ ๆ ไม่ใช่คำนั้นสิมันดูไม่สุขภาพ ผมแค่ไม่อยากให้คุณเมาเรือถ้าต้องขึ้นเพื่อมาที่นี่”

“ฟังขึ้นมาก” แสงตะวันได้แต่กัดฟันกดความหงุดหงิดใจให้หายไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกแล้วเริ่มตั้งสติใหม่แล้วถามออกไป

“ไม่มีคนอื่นเหรอ? ”

“ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายพื้นที่ส่วนตัวของผม หากผมไม่อนุญาต”

“งั้นผมก็...”

“คุณเป็นกรณีพิเศษ อยากอยู่เท่าไหร่ก็ได้ตลอดชีวิตผมก็ไม่ว่า”

“ไม่เคยคิดที่จะอยู่สักนิด”

คำตอบที่แสนเจ็บแสบนั่นไม่ได้ทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของ โจเซฟหายไปจากวงหน้าเลยเพียงแต่แสงที่ไหววูบผ่านดวงตานั้นบ่งบอกให้รู้ว่า แสงตะวันจี้ใจดำเขาเหลือเกิน

ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขาแบบนี้ ยกเว้น....

“คุณช่างเหมือนมันซะผมรู้สึกหมั่นไส้”

“อะไร”

“อัดฮัมไง ไอ้คนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าจะทำอะไรก็ได้ จะเหยียบย้ำศักดิ์ศรีใครตามใจตัวเองยังไงก็ไม่สนใจว่าเขาที่โดนมันจะรู้สึกขายหน้าแค่ไหน หรือแค้นเคืองใจมันมากเพียงไร”

การที่มีคนคนหนึ่งพูดถึงคนที่ตัวเองกำลังศึกษาอยู่มันทำให้เขาอยากรู้อะไรมากกว่านี้อีก เพราะที่ผ่านมาอย่างที่รู้ ๆ กัน เมฆาในชื่อไทยนี้แทบไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองเลย เขาได้มารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมาเฟียก็ตอนที่ไปดูไบด้วยกัน ที่เหลือก็แทบว่างเปล่าทุกคนที่อยู่รอบตัวเมฆาก็มีแต่คนหน้าสงสัยไปหมด แต่เพราะเขายังไม่เป็นอะไร เพราะผู้ชายคนนั้นบอกจะปกป้องเขา แสงตะวันถึงยังไม่คิดจะสืบหรือค้นหาความลึกลับพวกนั้น

“คนที่คิดว่าตัวเองอยู่สูงจนไม่คิดว่าจะมีคนมาถีบมันตก หึหึ อีกไม่นานมันจะไม่เหลือแม้แต่คนที่มันรัก”

แสงตะวันชะงักไปกับคำที่อีกฝ่ายเหมือนจะพูดคนเดียวมากกว่าจะพูดกับเขาก็ได้แต่มองหน้าผู้ชายคนนี้แล้วมันก็เกิดคำถาม

“คุณเมฆเขาไปทำอะไรให้คุณ คุณถึงดูจงเกลียดจงชังเขานัก”

“อยากรู้เหรอ อ่ะ ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ไม่ต้องห่วงผมไม่ปล่อยให้คุณคาลาคาซังนานหรอก” ว่าจบโจเซฟก็แทรกตัวเข้าไปในตัวบ้าน อ่า!!คฤหาสน์แต่ก็ไม่วายใช้จมูกสูดดมที่หลังคอเขาทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“คุณจะรู้หรือยังว่าอิงหายไป...คาล์ล”



อีกด้าน



“ฉันถาม!! ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อิง คือ...”

“ตอบ!!!” เสียงตวาดลั่นทำเอาอีธานที่ไม่กล้ารายงานสิ่งที่เพิ่งรับรู้จากคิณเมื่อกี้ให้นายรับรู้ เขาได้แต่ก้มหน้ารับแรงกดดันจาก อัจมาน คาล์ล อย่างล้นหลาม

ก่อนที่เขาจะยอมพูดทุกอย่างที่ปิดบังนายมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

“ก่อนหน้านี่อิงได้พบกับโจเซฟครับ”

“อะไรนะ ทำไมไม่มีในรายงาน”

“...คืออิงขอไว้ครับเธอไม่อยากทำให้บอสไม่สบายใจ”

“คิดอะไรเป็นเด็กอีกแล้ว แล้วพวกนายก็ทำตาม! ใครจ้างพวกแกกัน?”

อีธานก็ได้แต่ยอมรับกับความผิดตัวเองจริง ๆ เพราะความที่ว่าน้องเล็กขอซึ่งตั้งแต่รู้จักกันมาจนความพัฒนาของนายและน้องเล็กเปลี่ยนไปเธอก็ไม่เคยขอรองอะไรเลย

พอมาครั้งนี้ที่ขอแถมเหตุผลยังดูน่าเห็นใจเพราะไม่อยากให้คนที่รักของตนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เลยต้องปิดบังเรื่องที่ใหญ่โตเกินตัว การที่อิงเข้าไปใกล้กับศัตรูของนายท่านขนาดนั้นมันยิ่งทำให้เป็นห่วงแถมตัวอิงเองก็เหมือนตกเป็นเป้าไปแล้วครึ่งตัว พวกเข้ารู้ดีรู้มาตลอดแต่ก็ยังทำเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กมาได้ตั้งอาทิตย์ จนมาวันนี้

“แล้วเกิดอะไรขึ้นคิณรายงานอะไร”

“โจเซฟเหมาโรงหนังเพื่อที่จะเข้าไปด้านในกับอิงแค่สองคนครับ ตอนนี้คิณพยายามตาหาโรงนั้นอยู่”

“หมายความว่าไง? ตามหา! มันปล่อยให้อิงคาดสายตาเหรอ? ห๊ะ”

ก่อนที่อีธานจะได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้ทางสตีเวนก็โทรมาก่อนพอดี แต่รายงานที่ได้รับกลับทำให้อีธานใช้มือกุมขมับในทันที

“แก่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง”

“...”

“เรื่องที่แกพูดมา...ตอนนี้มันไม่สำคัญเท่าไหร่ตอนนี้แกช่วยกับไปกรุงเทพฯโดยด่วนที่เหลือโทรถามที่คิณ”

อีธานวางสายก่อนจะมองหน้านายท่านที่ยืนจ้องกันเหมือนอยากจะฆ่าใครก่อนจะทำใจดีสู้ราชสีห์สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนมันออกมาพร้อม ๆ กับคำพูดที่ทำเอาคนอย่าง คาล์ลไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“ท่านดิลก...หายตัวไปแล้วครับ” เท่านี้มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาตัวต้นเหตุอะไรอีกแล้ว

ได้! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม!!

“มันกะจะเล่นบอส ทุกทางพร้อมกันเลยนะครับ” เหมือนอยากให้เขาเลือกว่าจะต้องช่วยทางไหนก่อนดี

คนหนึ่งก็ลูกค้ารายใหญ่ที่กำลังเซ็นสัญญาซื้อขายมี่ดินราคาหลายพันล้าน

อีกคนก็คนรักคนที่จะต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต คนที่เป็นเหมือนจุดตายในใจเขาตอนนี้

“ฉันต้องการกลับไทยโดยด่วน โทรเรียกฟีนิกซ์ให้ตามไปสมทบ เรียกคาร์เบลล่า มาช่วยด้านซื่อสาร สั่งคนของท่านอา คุมเข้มให้มากกว่าที่ทำอยู่ สั่งคนของเราทุกประเทศที่แทรกซึมอยู่กับมันให้เริ่มทำตามแผนได้เลย เพราะฉันจะเล่นสงครามประสาทกับมัน”

“ครับ นายท่าน”

“อยากสนุกเดี๋ยวฉันจัดให้” เขาอุตส่าห์ปล่อยผ่านมานานหลายปีคิดว่า มันจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแต่มันกลับไม่อยากอยู่แบบสงบสุข งั้นเขาก็จะทำให้มันไม่สามารถนอนหลับตาได้อีกเลย เพราะเรื่องในครั้งนี้จะเป็น ฝันร้ายของมันตลอดไป



แต่แล้วเสียงมือถือเจ้ากรรมเครื่องเดิมก็แผดเสียงขึ้นมาอีก คาล์ลก้มมองมันทันทีต่างจากเจ้าของมันที่กำมันไว้ข้างตัวแน่น กลัวเหลือเกินว่าสายต่อไปจะเป็นของอนาคิณ หากว่าใช่เขาก็ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะดีหรือร้าย นายท่านเดือดขนาดนี้มีหวังเครื่องจักรทำรายล้างได้ทุกจุดติดแน่นอน

“จะรับเองหรือจะให้ฉันรับ” อีธานกลืนน้ำลายลงคอถึงใบหน้าจะยังคงความนิ่งแต่เหงื่อที่ผุดขึ้นมามันดันตรงกันข้ามเหลือเกิน

สุดท้ายเขาก็ต้องกดรับสายและใช่ สายที่โทรเข้ามาเป็นของอนาคิณจริงๆ

“อืม”

“อะ..อืม”

“นายท่านกำลังกลับ”

“รู้พิกัดหรือยัง”

“อืม”

คาล์ลยอมยืนรอเหมือนคนใจเย็นแต่สีหน้าของลูกน้องตนดันไม่เป็นใจให้เชื่อได้เลยว่าเรื่องที่จะรับรู้ต่อจากนี้จะเป็นเรื่องดี

สายถูกวางไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่เลิกจ้องหน้าอีธาน แรงกดดันที่มากอยู่แล้วยิ่งมากเข้าไปอีก

“พูด”

“อิง หายตัวไปครับ คิณหาทั้งห้างแล้วก็ลานจอดรถก็ไม่เจอครับ แต่สัญญาณเครื่องติดตามที่อยู่ที่นาฬิกาของอิงบอกว่าเธอออกไปแล้ว คิดว่าพวกมันน่าจะจับตัวเธอไปแล้วครับ”

“แล้วรู้ไหมว่ามันไปทางไหน”

“ครับ ลูกน้องคิณได้ลองตามไปแล้วพบเพียงนาฬิกาเท่านั้นเหมือนมันจะรู้ครับ”

“อย่าลืมสิ โจเซฟมันก็ถูกฝึกมาที่เดียวกับฉันเรืองที่มีเครื่องติดตามตัวมันย่อมรู้ดีอยู่แล้ว.. แต่ฉันหวังมากว่าลูกน้องฉันจะเก่งมากพอที่จะต้องมีแผนสำรอง”

ใช่โจเซฟเรียนที่เดียวกับเขาถึงจะเป็นรุ่นน้องห้าปีแต่การที่จะผ่านแต่ละด้านได้ก็ต้องเจอกับรุ่นพี่ปีใหญ่ ๆ หรือคนที่ทำคะแนนได้ดีตลอดอย่างเขาอยู่เสมอ

“ครับ สตีฟเห็นว่าเครื่องประดับคงถูกถอดออกแน่ถ้าถูกจับตัวไป มันเลยออกแบบเครื่องติดตามให้อิงโดยเฉพาะครับ”

“ทำไมพอนายบอกว่าไอ้สตีฟทำ ฉันถึงคิดเป็นเรื่องดีไม่ได้เลย คงไม่ใช่ฝังไว้ในกางเกงในเหมือนที่ทำกับนิกซ์หรอกนะ เพราะถ้าใช่...”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ เป็นที่ฟันครับ พอดีอิงเคยจัดฟันมาก่อนแต่น้องไม่ชอบใส่รีเทนเนอร์ สตีฟเลยอาสาออกแบบที่ครอบฟันแบบใสให้ครับ แต่มันพิเศษตรงที่มันแอบติดเครื่องติดตามไว้ด้วย”

“...อืมฉันคงหวังให้คนอย่างมันคิดอะไรดี ๆ แบบคนอื่นไม่ได้จริง ๆ .. แล้วเป็นไง”

“ตอนนี้สตีฟกำลังเช็คอยู่ครับ”

“แล้วถ้าที่มันพาอิงไปในที่ไม่มีสัญญาณล่ะ”

“ใช้ได้ครับเพราะถึงมันจะเล็กจนสามารถอยู่ในปากได้ แต่การเชื่อมต่อคือล้านเปอร์เซ็นครับ”

ได้ยินแบบนั้นตัวเขาเองก็คงใจชื่นขึ้นมานิดหน่อยแต่มันก็โล่งใจไม่ได้หรอกเพราะไอ้คนที่จับตัวแสงตะวันไปมันก็บ้าได้เลือดไม่ใช่น้อย ขนาดว่าตอนเรียนต้องเข้าพบจิตแพทย์แทบทุกวันเพราะว่ามันคิดว่าตัวเองมีคนติดตาม



กว่าเครื่องจะพร้อมบินก็ใช้เวลามากว่าปกติเพราะเส้นทางที่เขาจะไปเจ้าถิ่นค่อนข้างเข้มงวดเกิดบินมั่วเข้าไปเดี๋ยวได้โดนสอยก่อนถึงที่หมายเป็นแน่

“ดื่มอะไรก่อนไหมครับนายท่าน”

“ไม่ อีกนานไหม”

“เราออกมาได้ครึ่งทางแล้วครับ”

“เร่งเครื่องอีก”

“แต่ว่าบอสครับถ้าแรงกว่านี้แล้วตกหลุมอากาศมันจะอันตรายนะครับ”

“จิ๊ วุ่นวาย” ก็ได้แค่อึดอัดในใจเพราะมันเป็นอย่างที่อีธานว่าไว้หากเร็วเกินไปมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเพราะเครื่องที่ใช่เดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เครื่องที่ใช่ประจำ แต่ตอนนี้ตัวเขาโคตรอยากจะมี x-15 เป็นของตัวเองเสียจริง



กว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลามากพอสมควรและเพราะมันไม่ใช้เฮลิคอบเตอร์จึงไม่สามารถลงดาดฟ้าตึกได้เลยต้องเช่าพื้นที่ลงที่สนามบินใกล้ๆ แทน

รถHummer H3 3.7SUV 2 คันมาพร้อมกับ เบนซ์ ซี300 อีกสองและ Maserati Ghibli Hybrid 2020 คันดำเงาสวยจอดรอด้านล่างของสนามบินทันที คิณที่เห็นบอสเดินลงมาจากเครื่องก็รีบเดินเข้าไปรับทันที

“บอสครับ...ผม”

“จบงานแล้วค่อยจัดการขึ้นรถ”

“ครับ” อีธานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้แต่ตบที่ไหล่เพื่อนก่อนจะนำนิ้วหัวแม่มือมาปาดคอตัวเองและยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า

“หัวหน้ากำลังมา”

อนาคิณคิดในใจว่าหากจะปลอบกันให้ตายใจแล้วมาทำแบบนี้วันหลังมึงไม่ต้องทำ!



มาเซตาติถูกจับจองด้วย คาล์ล มีคิณเป็นคนขับอีธานนั่งด้านข้าง พวกเขาได้แต่แอบมองไปด้านหลังแต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะบอสก็มองอยู่เหมือนกัน

ฮัมเมอร์สองคันแรกออกตัวไปแล้วก็จะเป็นรถของพวกเขาและตบท้ายด้วยเบนซ์ปิดท้ายการนำขบวนออกจากสนามปิดแบบนี้ก็ทำให้ผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่สงสัยกันว่าบุคคลที่อยู่ในรถนั่นเป็นใครกันถึงมีคนคอยคุ้มกันเยอะขนาดนี้

“รู้ใช่ไหมว่านายผิด”

“ครับ” คำถามที่ถูกถามออกมาจากคนด้านหลังทำเอาพลขับถึงกับสะอึกในใจ

“ไหนบอกว่าห่วงเธอ ไหนสั่งสอนฉันดิบดีว่าทำแบบนั่นแบบนี้ถูกเหรอ แล้วทำไมพลาดซะเอง” คิณไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ใช่เขารักและเป็นห่วงแสงตะวันเหมือนน้องชายคนหนึ่งเพราะความเป็นลูกคนเดียวพอมาเจอกับเด็กน้อยที่น่ารักพูดเก่งมันเลยเกิดความเอ็นดู จนตามใจในสิ่งที่ไม่ควร

รู้ทั้งรู้ว่าน้องเหยียบเท้าเข้ากองไฟแต่เขากลับไม่คิดจะดึงน้องกลับแถมยังช่วยปิดอีก

“ขอโทษครับบอส”

“ง่ายไปไหมกับสิ่งที่ อิงกำลังเผชิญ ขนาดพวกนายถูกฝึกมาอย่างดียังเสียรู้พวกมัน แล้วอิงล่ะเด็กคนนั้นจะทำอะไรได้”

“...”

เกิดความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถคันดำเงาที่ทั้งตัวรถกันกระสุนหรือแรงระเบิดได้ทั้งคัน มันไม่มีจริง ๆ กับข้อโต้แย้งในเรื่องนี้พวกเขาคิดน้อยไปจริงๆ ชะล่าใจกันเกินไปคิดว่าพวกมันคงไม่กล้าลงมือจนไม่คิดเตรียมกำลังคนไว้ป้องกัน ทุกอย่างเลยยุ้งยากแบบนี้

“แล้วสตีฟว่าไงได้เรื่องหรือยัง”

“ได้แล้วครับบอสดีที่อิงใส่มันไปด้วย สัญญาณมันบอกว่าอิงอยู่ที่แทบภาคใต้ครับ เป็นเกาะส่วนตัวบนนั้นกล้องดาวเทียมเจาะสัญญาณของพื้นที่ไม่ได้คาดว่าน่าจะไม่มีสัญญาณ”

“เป็นเกาะของใคร”

“ไม่ขึ้นชื่อผู้ถือครองครับไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ ไม่มีข่าวและมันเล็กมากถึงอยู่ในแผนที่ ตอนนี้สตีฟกำลังนั่งเครื่องไปที่นั่นครับ”

เครื่อง!! แล้วเมื่อกี้ตัวเขาเองก็ไม่ได้ลงจากเครื่องหรอกเหรอ!!

“แล้วนี่จะไปไหน! ไม่ตามไปเหรอ หรือยังไง!”

“เอ่อ...คือมีเรื่องที่บอสต้องจัดการก่อนครับส่วนเรื่องของ อิง เชื่อใจพวกเรานะครับ”

“ไม่ใช่เพราะเชื่อใจหรอกเหรอ เขาถึงถูกจับตัวไปแบบนี้”

“...”

“ถ้าเรื่องที่นายกำลังพาฉันไปจัดการมันเล็กเท่าเศษเล็บของกิวล์รู้ใช่ไหมว่าพวกแกจะโดนอะไรกัน”

อนาคิณได้แต่ตั้งใจขับรถไปตั้งแต่ คำแรกที่โดนคาล์ลถามแล้วพอมาได้ยินสิ่งนี้ ก็เผลอกำพวงมาลัยแน่นขึ้น เพราะเรื่องที่ต้องไปจัดการก่อนถามว่าบอสจำเป็นต้องไปไหมมันก็ก้ำกึ่งว่ามากน้อยแค่ไหนกันการพาตัวนายดิลกกลับมาก่อนแล้วเริ่มแผนที่เคยวางกันไว้ก่อนหน้านี้

“เราพบที่ที่พวกมันเอาท่านดิลกไปซ่อนไว้แล้วครับ”

“แกจัดการกันไม่ได้? ”

“...เอ่อคือว่า..สตีฟคิดว่าต้องเป็นบอสครับ”

คาล์ลมองอีธานผ่านกระจกมันมีหลายอย่างตีวนกันอยู่ในหัวของเขา ตั้งแต่มีคนเข้ามาเล่นในจิตใจ ชายผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็แทบไม่มีความคิดที่มั่นคงและแน่วแน่อะไรได้อีกแล้ว

“แล้วทำไมยังอยู่ที่กรุงเทพฯ!”

“ท่านดิลกลงมาทำธุระที่นี่ครับก่อนท่านจะกลับแล้วโดนพวกของโจเซฟจับตัวไป”

“สตีฟคิดว่ามันคงวางแผนมาแล้วครับ”

“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

“ผมหมายถึง...มันคิดมาแล้วครับว่าจะจับอิงไปยังไงบอสถึงจะไม่ตามไปในตอนนี้” เขาชะงักกับคำพูดของอีธานก่อนจะคิดตามแล้วสบถออกมาอย่างเสียไม่ได้

มันคิดจะเอาคนรอบตัวเขามาเพื่อกีดกันการค้นหาคนที่เขารักมันคิดว่าพวกของคนอย่างคาล์ลมีเท่าไหร่กันใครมันจะวิ่งตามแผนโง่ ๆ นั่น

“ขอแผนที่ชัดเจนรวดเร็วแล้วรัดกุม อย่าให้เวลาของฉันต้องเสียเปล่ากับเรื่องพันนี้”

“ครับ”

อีธานรับคำก่อนที่เสียงมือถือทางไกลจะเข้ามามันเป็นสายจากทางยุโรปที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเกิดของไอ้คนเด็กอ่อนหัดที่ไม่รู้จักจำความพ่ายแพ้

“บอสครับ สายเรารายงานมาว่าทุกอย่างพร้อมแล้วครับ” วางสายเสร็จอีธานก็รีบรายงานทันทีและก็ไม่ผิดหวังกับการเห็นรอยยิ้มของนายใหญ่ที่เอาจริงๆ ถ้าไม่รู้จักกันมานานคงจะมีผวากันบ้างแหละกับรอยยิ้มแบบนั้น

ใครบอกว่าบอสเขายิ้มไม่เป็น หึ ไม่ควรให้ยิ้มมากกว่ายิ้มทีมีคนฉิบหายตลอดและครั้งนี้คงวอดวายกันเลยทีเดียว

“ดี... ได้เวลาสนุกแล้วสิ อย่าเพิ่งทำอะไร รอจนกว่าจะได้เจอกับคนของฉัน”

“ครับบอส/ครับบอส”













TBC.
[/size][/font]
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 16-01-2022 14:49:40
ตอนที่ 23 แผนซ้อนแผน



[อิง]



สองวันกับการใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้คนที่บ้า ทำตัวเหมือนเด็กทั้ง ๆ ที่ตัวน่าจะอายุมากกว่าอาจจะไม่เท่าคุณเมฆแต่ก็น่าจะมีอายุมากกว่าผม

ทุกอย่างยังปกติดีโจเซฟไม่ได้ทำอะไรผมออกจะดูแลดีด้วยซ้ำไม่เหมือนคนที่อยากจะทำร้ายศัตรูสักนิด แต่ถามว่าผมเชื่อใจเขาไหม บอกเลยว่าไม่มีทางคนดีๆ ที่ไหนเขาจะโปะยาสลบคนอื่นแล้วพามาอยู่แบบนี้ที่ที่ไม่มีผู้คน ขนาดคนของตัวเองก็ยังไม่เห็น เหมือนจะมั่นใจในตัวเองมากว่าคนอื่นจะไม่มีวันตามหาที่นี่เจอ

ที่ผมรู้คือที่นี่คือเกาะส่วนตัวทางใต้ของประเทศซึ่งก็ไม่รู้อีกอยู่ดีว่าประเทศอะไร การที่ผมมาอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่อดตายเพราะมีอาหารชั้นดีมาส่งให้ตลอด แต่ผมก็บอกปัดไม่กินและขอทำเอง มันก็ยอมแถมวันต่อมาตู้เย็นที่มีแต่เครื่องดื่มก็เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ชั้นดีหลายอย่างผักก็สด เครื่องปรุงทุกอย่างใหม่หมดเลย ห้องครัวที่เหมือนสร้างประดับที่นี่เลยถูกเปิดใช้เพราะผม

และที่ผมเบื่อที่สุดตอนนี้คือ...

“คุณนี่ช่างตรงสเปคผมเลยนะ ชอบอาหารรสจัดเหมือนกัน ถึงสิ่งที่คุณทำจะหน้าตาแปลกก็เถอะ”

“...”

“ถ้าคุณมาอยู่กับผมผมจะเปิดร้านอาหารให้คุณดีไหม”

“...”

“เอาเป็นที่ไหนดี ไทย! ออสเตรีย! จีน! หรือลอนดอนดี”

“...”

“ถ้าลอนดอนผมมีที่แทบไบรตัน ติดทะเลเลยนะถ้าเปิดร้านที่นั่นรับรองว่าทำเงินให้คุณได้มากแน่ ๆ ”

แล้วก็บลา ๆ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยที่หูผมจะได้อยู่อย่างสงบสุข

ที่นี่มีทุกอย่าง ถึงจะไม่มีสัญญาณเนตแต่ก็ยังสามารถทำให้ผมได้ดูหนัง นั่งฟังเพลงได้ในเวลาที่เรียกว่าส่วนตัวสองชั่วโมงตอนที่โจเซฟจะชอบหายไป ก่อนที่เวลาที่เหลือทั้งหมดจะโดนผู้ชายคนนั้นคอยมาพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ทุกวัน

ผมอยากออกไปจากที่นี่ ผมคิดถึงแม่ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นยังไงบ้างที่ผมหายไปแต่ให้คิดตอนนี้ผมคงคิดว่าหยินและหยางคงออกรับหน้าแทนไปแล้วคงบอกว่าผมไปทำงานที่ไหนสักแห่งในต่างประเทศที่ที่ไม่มีสัญญาณที่ที่ผมไม่สามารถติดต่อกลับไปหาท่านได้

แล้วตอนนี้อีกคนเขาทำอะไรอยู่นะ

“ทำไมคุณยังไม่มา สองวันแล้วนะ”

“อิงคิดถึงคุณ”

“อยู่กับผมอย่าคิดจะคิดถึงใคร”

“อ๊ะ”

“เฮ้อ..ผมอุตส่าห์หาความสบายมาเสนอแต่คุณกลับไม่สนใจแม้แต่มิลเดียว แต่กลับมานั่งคิดถึงไอ้คนที่ไม่มีวันมาหาคุณ”

“...”

“เหอะ..นู้น!!มันห่วงบ่อเงินบ่อทองของมันนู้นแทนที่มันจะรีบมาช่วยคุณ มันกลับไปช่วยไอ้นักการเมืองกระเป๋าหนัก ลงเครื่องมาได้ก็รีบออกตัวขึ้นเหนือ ไหนล่ะคนที่รักคุณไหนล่ะความห่วงใย”

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร!”

“อย่าทำเหมือนไม่รู้ร้อนอะไร แสงตะวัน คุณรู้อยู่แก่ใจ”

“ผมจะไปเดินเล่น”

“เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว!!!”

เสียงตวาดลั่นเหมือนคนเหลืออดไม่ได้ทำให้ผมกลัวเขาเลยแม้แต่น้อยคนคนนี้ยังอ่อนเกินไปจริง ๆ การพูดและการกระทำของเขาทำให้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณเมฆยังไม่มา

ผมไม่ได้น้อยใจที่เขายังไม่มาเพราะเขาคงมีเหตุผล คุณเมฆที่ผมรู้จักมีเหตุผลมาตลอดถึงบ้างครั้งจะรั่วบ้างเวลาอยู่กับผมแต่ถ้าเป็นเรื่องงานเขาสามารถจัดการได้ไวกว่าใครที่ผมรู้จักอีก

ตอนนี้ก็คงมีแผนอะไรที่คงจะใหญ่พอให้เขาเลือกที่จะไม่มาช่วยผมอยู่เป็นแน่...

“ขอให้เป็นอย่างที่อิงคิดนะ เพราะถ้าไม่ใช่...”

ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แปลว่าทุกอย่างที่เขาเคยพูดกับผมมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงอะไร ผมขอให้อย่าเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากคิดว่าผมเลือกคนผิด

และถึงตอนนั้นผมคงทำใจรักเขาไม่ลง



วันที่สาม

การที่ต้องตื่นมาทำกับข้าวให้ตัวเองเผื่อถึงคนที่ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยหนึ่งที่ ฟังมันพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจว่ามันจะพูดเพื่อ! แต่ก็ยังเงียบผมไม่รู้เลยว่า ไอ้รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรนั้นมันจะปล่อยสารพิษออกมาเมื่อไหร่ ตอนนี้ที่ยังไม่เป็นอะไรผมก็ต้องรักษาร่างกายตัวเองให้ดีก่อน อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ถูกมัดหรืออดอาหาร

การวางแผนจะฆ่าหมอนี่ก็ไม่ได้มีมาในหัวผมสักพักแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ในเวลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบนแผนที่มันทำให้ผมยังเฝ้ารอเวลาการมาช่วยเหลือจากใครคนนั้น

ผมเชื่อมั่นในพี่คิณ อีธาน สตีฟหรือแม้แต่สองแฝด ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมาช่วยนี่ถ้าคุณป้าแม่ไอ้ดินรู้อีกคงมีหวังยกโขยงกันตามหาหนักแน่ ๆ แต่ถ้าถึงตอนนั้นแม่ต้องรู้

ไม่ได้ ๆ ให้รู้ไม่ได้ งั้นตัดแม่ไอ้ดินออก



ช่วงเช้าเหมือนไม่มีอะไรผมยังเจอกับไอ้บ้าโจเซฟคนเดิมที่มีเรื่องมาพล่ามได้ทุกวัน

แต่พอตกเที่ยง...ทุกอย่างดูแปลกไป



สายตาที่เขามองผมมันดูเจ็บปวดยังไงไม่รู้ การที่มันนั่งทานข้าวที่ห่างออกไปจากตัวผมแต่สายตากลับไม่หลบออกจากใบหน้าผมเลยแล้วไหนจะการที่ไม่ยอมตักอาหารเข้าปากนั่นอีก

“คุณชอบฟังเรื่องตื่นเต้นไหม” อยู่ ๆ มันก็ถามขึ้นในตอนที่ผมรวบช้อนยกน้ำขึ้นดื่ม



“เอาเรื่องไหนก่อนดี ฮ่าฮ่า..ทำไมมันดูตื่นเต้นจนผมอยากจะ...ฆ่าใครสักคนจัง” สายตาที่มองมากลับรอยยิ้มเย็นเยือกนั่นมันก็ทำเอาขนต้นคอผมลุกได้เหมือนกัน แววตาที่ใช้มองผมที่เคยดูอ่อนหวานแต่ตอนนี้มันกลับแข็งกร้าวน่ากลัว มือที่ประสานกันวางชันขึ้นใต้ค้างดูผ่อนคลายแต่การที่เห็นเส้นเลือดหลังมือปูดโปนขึ้นมานั่น...

‘ไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด’

“เอ..เรื่องเบา ๆ ก่อนแล้วกัน อัดฮัม มันช่วยไอ้นักการเมืองนั่นได้แล้วแถมยังเป่าหัวคู่อริหรือก็คือหุ้นส่วนทางธุรกิจของผม..ตายคาที” ตัวผมได้แต่นิ่งฟัง

“ตื่นเต้นไหมคุณว่า ยัง..มันยังมีอะไรที่ตื่นเต้นกว่า เพราะเมื่อตอนสายผมเพิ่งได้รับข่าวทางยุโรปว่าโรงงานรถยนต์ของผม กาสิโนสามแห่ง ถูกระเบิดพร้อมกันทีเดียวทั้งสี่แห่ง...” แรงกดในการพูดดูเก็บอารมณ์เป็นใครก็ต้องเดือดแหล่งทำเงินถูกทำรายขนาดนั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า...แต่ที่ทำผมตื่นเต้นที่สุดคืออะไรรู้ไหมแสงตะวัน?”

ครืดดดด

เสียงดันเก้าอี้ออกจากตัวก่อนที่มันจะเดินช้าๆ ตรงมาหาผมและใช้แขนทั้งสองข้างกักตัวผมไว้ มองใบหน้าผมจนทั่วแล้วพูดในสิ่งที่ทำให้ใจผมตื่นเต้นจริงๆ ก็คราวนี้แหละ

“คนของผมพบกองไฟที่หลังเกาะสภาพมันแบบไม่ปกปิดอะไรเลยเหมือนมันจงใจให้ผมเห็น หึ เกาะแห่งนี้ถึงจะอยู่บนแผนที่โลกแต่ก็ไม่เคยมีคนสำรวจไม่แม้แต่จะมีใครกล้าเข้ามา เพราะไอ้คนที่คิดจะเข้ามันก็จะกลายเป็นอาหารปลาทันที คุณว่าแปลกไหม? ที่อยู่ ๆ ก็มีคนเขามาที่นี่โดยที่ผมไม่รู้แถมสัญญาณจับคลื่นใต้น้ำก็ไม่ทำงาน คุณว่ามันแปลกไหม!!”

“...”

มันทำหน้ากวน ๆ ถามผมก่อนจะผละตัวยืนตรงมองผมในระยะที่สูงและดูเหยียดกันเป็นพิเศษ

“ทั้ง ๆ ที่ผมให้คนของผมตรวจร่างกายคุณอย่างระเอียดแล้วว่าไม่มีเครื่องอะไรติดตัวมาให้พวกมันสามารถหาคุณเจอ...แต่ทำไม!! มันถึงหาเจออีก!!”

หมดสิ้นแล้วไอ้คนทำตัวอารมณ์ดี ไอ้คนที่พล่ามอะไรไร้สาระ

ตอนนี้เหลือแต่ไอ้บ้าที่สติแตก เดี๋ยวทำหน้าเหี้ยม เดี๋ยวยิ้มเยือกเย็น เดี๋ยวตวาด ก่อนจะทำตัวสงบ

“วันนี้ผมคงต้องให้ที่พักกับคุณใหม่ซะแล้วสิ เดี๋ยวคุณจะไม่ปลอดภัย”

คำพูดเหมือนห่วงใยไม่ได้ทำให้ผมซึ้งใจเลยสักนิดแต่มันยิ่งทำให้ผมหวาดหวั่นมากกว่า

มีคนมาช่วยผมแล้วและถ้าผมเดาไม่ผิด คนที่มาต้องเป็นสตีฟแน่ ชายที่ดำน้ำได้นานเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะโจมตีกองกำลังศัตรู

‘คุณไม่ได้ทิ้งอิงจริง ๆ คาล์ล’

สิ้นคำพูดของโจเซฟก็มีชายชุดดำเข้ามาในบ้านสองคนก่อนจะพาตัวผมออกไปด้านนอกแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังผมจึงได้เห็นห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่พอเปิดออกแล้วก็รู้สึกฉุนจมูกทันทีคงไม่เคยเปิดใช้งานเลยสินะ

ผมถูกพามานั่งบนเก้าอี้ภายในห้องก่อนจะถูกมัดด้วยเชือกที่ข้อมือและนำมาพันรอบตัว ที่ขาขวามีโซ่เส้นใหญ่ตรวนไว้ด้วยกุญแจที่ดูแปลกตา..

แปลกตรงที่มันไม่มีรูเสียบลูกกุญแจนี่สิ

‘แล้วจะไขยังไงวะเนี่ย!!’

ห้องถูกเปิดไฟแต่ประตูถูกปิดไปแล้วคงเป็นห้องเก็บเสียงพวกมันถึงไม่ปิดปากผม

หรือลืมอันนี้ก็ไม่แน่ใจ

“อิงรอคุณอยู่นะ”

ตอนนี้ที่ผมทำได้ก็คงได้แค่ภาวนาให้เขามาช่วยผมเร็ว ๆ

“อิงคิดถึงกอดของคุณ”





[สตีเวน]



การที่ผมสามารถขึ้นเกาะที่ไม่เคยมีการสำรวจไม่มีประวัติผู้ครอบครองมันไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลยด้วยซ้ำกับการเข้ามาที่นี่ที่ที่ไม่รู้เลยว่ามันจะมีกับดักอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ผมเคยทำงานกับหน่วยรบลับของอังกฤษมานานก่อนจะทำให้ตัวเองหายสาบสูร มันจึงไม่เป็นปัญหากับการลักลอบขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ด้วยการดำน้ำเข้ามา อย่างที่บอกผมเคยเป็นหน่วยรบมาก่อนการฝึกดำน้ำในระยะไกลจึงไม่เป็นผลกับผมมากเท่าไหร่อาจจะมีหูอื้อบ้างแต่ก็ไม่ได้นานเคี้ยวหมากฝรั่งแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย

ผมให้ลูกน้องในสังกัดของผมโดยตรงนั่งเรือมาส่งห่างจากเกาะมาประมาณหนึ่งกิโลเมตรเพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องดักจับสัญญาณและเครื่องวัดคลื่นความถี่ใต้น้ำการจอดเรือออกมาให้ห่างคือทางที่ดีที่สุด ให้มันคิดว่าเป็นแค่ชาวประมงออกหาปลาธรรมดาดีกว่า

มันจะได้ง่ายเวลาขึ้นเกาะ

“สตีฟ..คุณจะไม่เป็นไรแน่เหรอ! ข้างล่างนี้ลึกมากอยู่นะ” ลูกน้องผมถามขึ้น

“ทำไม!..แกสงสัยในความสามารถของฉันหรือไงกัน”

“พวกเราไม่ได้คิดแบบนั้นครับ ก็แค่เป็นห่วง”

“เป็นห่วงฉัน!! งั้นพวกแกมาทำแทนเอาไหม”

“ก็บ้าแล้วครับ...ห่างเกาะขนาดนี้ถ้าออกซิเจนไม่หมดก่อนมีหวังคงได้เป็นอาหารไอ้ตัวอะไรที่อยู่ในน้ำแน่”

“หึ..งั้นดูพี่ไว้นะน้องนะ เดี๋ยวพี่จะโชว์ให้ดู อ่อ แล้วก็นะพอฉันลงไปแล้วพวกแกทุกคนก็ออกจากจุดนี้ไปได้เลยไม่ต้องรอ”

“คุณไม่บอกพวกเราก็ไม่คิดจะอยู่” นั้นคือคำพูดลูกน้องของผมครับ

“บางทีฉันก็คิดนะว่า จะเลี้ยงพวกแกไว้ทำไม” พูดจบก็ดึงแว่นตากันน้ำลงก่อนจะคาบจุกออกซิเจนแล้วหงายหลังลงน้ำไป

ลงมาในน้ำได้สิ่งแรกที่ทำคือปล่อยเครื่องไล่สัตว์น้ำที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นตัวอะไรแต่การได้ยินเสียงนี้จะทำให้มันกลัวและจะไม่มาเข้าใกล้ เครื่องนี้ไม่มีผลต่อการจับคลื่นสัญญาณเลยไม่เป็นปัญหาต่อการเปิดตลอดการว่ายขึ้งฝั่ง

ผมใช้เวลาในการว่ายเข้าหาฝั่งนานอยู่พอสมควรจนทำให้หูผมอื้ออึงขึ้นมาจริงๆ ผมทิ้งชุดที่ไม่จำเป็นแล้วและเครื่องช่วยหายใจทั้งหมดลงไปในน้ำลึกระดับลำคอเพื่อปกปิดการมาถึงของใครบางคนก่อนจะว่ายเข้าฝั่งกับกระเป๋าใบใหญ่ที่มีทุกอย่างที่ผมต้องใช้เพื่ออยู่ที่นี่จนกว่าบอสและคนอื่น ๆ จะตามมา

“ว้าว!!สวยใช้ได้เลยนี่ สงสัยจบงานนี้ต้องชวนสุดที่รักมาฮันนีมูนกันหน่อยแล้ว”

แค่ผมคิดใบหน้านิ่งเรียบของหัวหน้าทีมก็ลอยมาเลยเชียว แค่คิดว่าพอเขารู้แล้วอะไรจะเกิดขึ้นผมก็ตื่นเต้นเป็นบ้าเลย กลับไปดูไบคราวที่แล้วก็ไม่มีเวลาได้สวีทกันเลยมีแต่เรื่องมีแต่งานเต็มไปหมด

“คิดถึงนายเป็นบ้าเลย..นิกซ์”

ผมมองสำรวจโดยรอบจนรู้แล้วว่าจุดนี้ปลอดภัยก็รีบหาจุดพักทันที ต้นไม้ที่นี่มีแต่ต้นที่ใหญ่ ขนาดที่ว่าสามารถขึ้นไปนอนบนกิ่งของมันก็ยังไม่พลิกตก ใช้เวลาเลือกไม่นานก็ได้จุดที่เหมาะทำการวางสำภาระที่แบกมาแล้วหยิบมือถือเครื่องโปรดกดส่งข่าวให้ทางอีธานได้รับรู้ว่าผมมาถึงที่นี่แล้วก่อนจะให้พวกเขาเริ่มแผนต่อไปได้เลย และถ้าผมเจอตัวอิงเมื่อไหร่แผนต่อไปก็จะเริ่มอีกครั้งทันที

สงสัยใช่ไหมว่าผมส่งข้อความได้ยังไงในเมื่อที่นี่ไม่มีสัญญาณอะไรเลย!

ก็อย่างที่บอกผมถูกฝึกมาหนักมาก การที่อยู่ในที่แบบนี้ผมก็ต้องมีตัวช่วยที่ดีเช่น

เครื่องรับส่งสัญญาณขนาดจิ๋วก็เป็นอีธานอีกนั่นแหละที่ทำขึ้นมาให้และมันใช้งานได้ดีเลยทีเดียว

ไม่ต้องจ่ายค่าเนตให้เปลืองเงิน เก็บไว้สร้างความสุขให้ตัวเองดีกว่า



“ขอบคุณถุงถนอมอาหารที่ไม่ทำให้น้ำเข้ามาทำร้ายเบอร์เกอร์อาหารอันมีค่าของฉัน ฉันคิดถึงอาหารฝีมือเธอชะมัดเลยหนูน้อย”

ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงหลังจากทานมื้อเย็นไปผมก็เริ่มเดินสำรวจโดยรอบเกาะจนได้มาเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งโดด ๆ อยู่อีกฟากของเกะแห่งนี้ แต่แปลกตรงที่มันเงียบมากไฟด้านในเปิดอยู่ก็จริงแต่ไม่มีคนของโจเซฟเลยสักคนเดียว หรือมันจะไม่ได้อยู่ที่นี่..!

ถ้ามันอยู่ที่นี่มันก็คงเลินเล่อและสับเพร่าเกินไปถึงไม่คิดระวังภัยที่จะตามมา ตอนที่คิดจะเข้าไปดูด้านในใกล้ ๆ ผมก็ต้องชะงักเมื่อผมเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ที่ชายหาดคนเดียวในเวลามืดค้ำแบบนี้

แล้วพอสังเกตให้ดีรอยยิ้มผมก็กระตุกขึ้น คนที่ทำให้ผมมาที่นี่ตอนนี้กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่คนเดียวบนชายหาดที่ห่างออกจากตัวบ้านพอควร ผมคิดจะเดินข้าไปแต่ไม่ทันได้ก้าวเข้าไปผมก็เห็นใครอีกคนวิ่งเยาะ ๆ มาจากด้านหลังก่อนจะมาเดินใกล้ ๆ แล้วพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้คนเดียว

เหอะทำตัวเหมือนคู่รักมาฮันนีมูนแต่...

“มึงช่วยดูหน้าหนูอิงด้วยไอ้เหี้ย”

พอเห็นแบบนั้นผมเลยต้องถอยทับกลับเพราะถ้าเข้าไปตอนนี้คงไม่ดีต่อตัวหนูอิงแน่ กลับไปรายงานเรื่องนี้ให้บอสฟังดีกว่า

“จุดไฟใส่ราชสีห์สักหน่อยคงมีคนรับเคราะห์หนักเป็นแน่”

แค่คิดผมก็สนุกแล้วสิ ใครก็รู้ว่าบอสผมหวงหนูอิงมากแค่ไหนขนาดผมเองยังโดนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีสถานะที่แน่ชัดแท้ๆ แบบนี้คนไทยเขาเรียกว่าอะไรนะ

อืม! อ่อ!! หมาหวงกุ้ง เอ๊ะ! หรือแก้ว แต่หมามันจะเอาแก้วไปทำไม! ช่างเหอะ ๆ

สรุปงานนี้มีคนรับกรรมเต็ม ๆ เล่นกับใครไม่เล่นหึ..



เช้าวันนี้ที่ผมมาคือวันที่สองแต่สำหรับหนูอิงวันนี้ก็สามแล้วที่ถูกพาตัวมาที่นี่ ช่วงเช้าผมแอบเข้าไปสำรวจใกล้ตัวบ้านแบบชัด ๆ แล้วก็ต้องแปลกใจเหมือนเมื่อคืนเลย

ที่นี่ไม่มีคนอื่น!

ลูกน้องของโจเซฟไม่ได้อยู่บนเกาะนี่สักคนหน้าแปลกที่มันไม่คิดระวังตัวขนาดนี้ ขนาดมือขวาของมันที่เคยเห็นตัวติดกันตลอดผมก็ยังไม่เห็นตอนที่ได้รับรายงานจากอนาคิณครั้งแรกผมก็เช็คกล้องวงจรปิดในห้างเสมอแต่ก็ไม่พบตัวมือขวาอย่าง กายอาร์ โลวเลน์ส ปกตินี่ตัวติดกันอย่างกับแฝดถ้าเทียบสุดที่รักของผมกับบอสแต่ก่อนแล้วล่ะก็ติดกว่าเป็นไหน ๆ อาจจะเป็นเพราะ โจเซฟเป็นคนเลือกคนมากกว่าการรับคนเข้า การที่มีคนสนิทน้อยที่สุดคงทำให้ตัวมันคิดว่าตัวเองจะตายช้าลงกว่าเดิมเพราะจะได้ไม่ต้องถูกหักหลังหรือลักลอบฆ่า

คฤหาสน์กลางเกาะแห่งนี้ดูแปลกนะครับปกติถ้าสร้างไว้ใหญ่ขนาดนี้ห้องอย่างน้องผมว่าที่สามสิบยังน้อยไปเพราะมันใหญ่มากจริง ๆ ถึงจะไม่เท่า คฤหาสน์เก่าแก่ของบอสก็ตามที

ชั้นด้านล่างสุดว่างเปล่าไม่มีห้องพักที่ตายตัวไม่มีห้องรับแขก มีแต่เส้นทางมากมายที่ถ้าไม่คุ้นเคยจริง ๆ มีหวังได้หลงทางแน่ ฝั่งด้านซ้ายเป็นห้องครัวใหญ่ที่จัดให้มีโต๊ะทานข้าวจำนวนสิบเอ็ดที่วางอยู่ด้านใน มีมันและหนูอิงที่ยังนั่งทานอาหารแบบสบายใจเฉิบ

หมายถึงไอ้ โจเซฟ สวีต นะ

มองเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงผมจึงแอบเดินเข้าไปยังตัวบ้านที่แม่งเข้าง่าย ๆ เหมือนบ้านตัวเองจริง ๆ ก่อนจะขึ้นไปบนชั้นสองและสาม ชั้นสองช่วงใกล้กับบันไดทางขึ้นเป็นเหมือนห้องโถงโล่งกว้างที่ไม่มีอะไรเลยนอกจาก มุมเครื่องดนตรีริมระเบียงมองไปทางซ้ายเหมือนเป็นห้องที่น่าจะไม่สำคัญเพราะมันยังเปิดทิ้งไว้อยู่ ผมจึงเดินสำรวจดูด้านขวาที่มีห้องอยู่ประมาณแปดห้องแต่เป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างขวางมาก ๆ ทุกห้องจัดไว้เหมือนกันหมดจะมีแคห้องแรกด้านซ้ายที่เหมือนเปิดใช้งานเพราะมันไม่ได้มีผ้าคลุมเหมือนกับห้องอื่น ๆ คิดว่าน่าจะเป็นห้องของหนูอิงแต่ในห้องไม่มีอะไรที่จะทำไว้ให้หนูอิงรู้ถึงการมาของผมได้เลยอีกอย่างกลัวว่าไม่ใช่แล้วจะแผนแตกก่อนคนอื่นจะมาสมทบมีหวัง...

สตีเวน โจว คงจบสิ้นก็คราวนี้

ส่วนด้านบนคงเป็นพื้นที่ของโจเซฟมัน เพราะทุกห้องถูกใส่กุญแจไว้ทั้งหมดแถม..

“แหม..เล่นแบบนี้เลยเหรอ”

แม่กุญแจที่ใช้เป็นแบบสั่งทำจากจีนใช้กับการล็อคกล่องสมบัตรหรือของสำคัญของมหาเศรษฐีสมัยก่อน

แต่ก็นะการสร้างมันขึ้นมาคนสร้างก็ต้องจดวิธีแก้มันไว้อยู่แล้วหากทำลูกมันหายไป

“และเผอิญว่าฉันเก่งเนี่ยสิ”

แกร็ก

“อ่ะ แต่ก็ลืมไปว่าถอดได้แต่ใส่กลับไม่ได้นี่หว่าไอ้บ้าเอ้ย” สบถด่าตัวเองอยู่นานมือก็เปิดประตูเข้าไปด้านในแล้วจะทำไงได้ลืมคิดเลยครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วก็ขอเข้าไปแล้วนะครับ!!

ในห้องนี้ดูมืดมนมากครับแถมไม่มีหน้าต่างสักบานดีที่ยังมีช่องระบายอากาศถึงจะเป็นแบบใช่งานตอนคนอยู่ก็เถอะ แต่รูแค่นั้นถ้าต้องปีนออกคงตายเพราะมันเล็กมาก ๆ

ระวังตัวอยู่เหมือนกันนี่นา

ทุกอย่างที่สามารถสื่อสารกับภายนอกได้อยู่ในห้องนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หรือคอมพิวเตอร์รุ่นเก่ามาก ที่ก็คงติดรหัสไว้สักสามครั้งกว่าจะเข้าได้ ผมไม่ได้สนใจไอ้เครื่องใช้งานตัวนั้นก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอีกตัวที่น่าจะเป็นโต๊ะทำงานที่แปลกว่าทำไมไม่วางไว้ด้วยกันให้มันจบๆ ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อเจอ Macbookเครื่องบางวางอยู่แล้วก็เหมือนเดิมครับติดรหัสล็อค ผมลองเปิดดูลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานก่อนจะเห็นว่าด้านในนั้นมีอะไรอยู่ก็ถึงกลับขมวดคิ้วเป็นปมทันที

“เป็นไปได้ไง”

มันเป็นภาพถ่ายของคนสองคนที่สถานที่ผมคิดว่ารู้จักเพราะมันคือ อควาเรี่ยมขนาดใหญ่ของดูไบภาพของชายสองคนต่างไซส์ที่ยืนเคียงคู่กันมียิ้มให้กันบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แปลกเท่าไหร่เพราะเขาเห็นจนชินแล้วเพราะคนในนั้นคือ..

นายท่านและ แสงตะวัน

พวกมันรู้จักหนูอิงตั้งแต่กลับไปครั้งนั้นถึงว่ามันถึงเจาะจงมาหาน้องเลยเพราะมันรู้อยู่แล้วนี่เอง

ผมถ่ายภาพทั้งหมดก่อนจะส่งไปให้อีธาน และบอกว่าพบเจอมันที่ไหนก่อนจะได้รับคำสั่งให้เอากลับไปให้หมด และก็ได้รับคำสั่งใหม่อีกครั้งตอนที่ผมกำลังจะหยิบมันเข้ากระเป๋าว่าให้เอาไว้ที่เดิมเดี๋ยวบอสจะมาเอามันไปเองและอย่าให้รู้ว่ามันหายสักแผ่นเดียว

เอากับบอสสิ ไอ้สตีฟอยากตาย



หลังจากที่คนของโจเซฟนำตัวแสงตะวันเข้าไปเก็บไว้ที่ด้านหลังของห้องลับที่มองผิวเผินแล้วไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตรงจุดนั้นมีห้องอยู่แถมยังเป็นห้องเก็บเสียงชั้นดีอีกด้วย

“ไปตามหาตัวมันให้เจอ ไม่ว่ามันเป็นใครเอาตัวมันมาให้ฉัน ไป!!”

เสียงสั่งจากนาย ที่อารมณ์ตอนนี้ดูแล้วคงไม่คงที่แน่นอนหากทำงานที่สั่งไม่สำเร็จงานนี้เห็นทีพวกเขาคงได้เป็นเหยื่อทางอารมณ์ของนายใหญ่แน่ ๆ

“ครับ”

เคร้ง

“บัดซบเอ้ย!! มึงมันลอบกัดไอ้ อัดฮัม” โจเซฟกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงบนพื้นเสียงดังจนบุคคลที่แอบอยู่ด้านบนของบ้านได้ยินและต้องรีบแอบย่องลงมามองดูว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะรู้ว่าหนูอิงไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทานข้าวแล้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมองโจเซฟที่กำลังยืนหัวเสียงอยู่คนเดียวภายในบ้าน

แล้วหนุ่มน้อยเขาไปไหน

ไอ้บ้าเอ้ยเป็นเรื่องแล้วไง บอสรู้เขาตายแน่

สตีเวนเดินกลับขึ้นไปด้านบนสุดก่อนจะหาทางออกเพื่อจะไปส่งข่าวไปทางบอสแต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดลงตรงนั้นเมื่อ...

“ดีจังไม่ต้องตามหาไกล”

“...”

“ที่แท้ก็อยู่ร่วมชายคากันนี่เอง สตีเวน โจว ไม่สิฉันต้องเรียกนายว่า แดนเนียล เบอร์นาร์ด คงจะถูกกว่าจริงไหม”

มันไม่มีอะไรแย่ไปกว่าถูกไอ้บ้านี่จับได้แล้วสินะให้ตาย











TBC.
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 16-01-2022 14:50:58
ตอนที่ 24 คนบ้าหรือจะสู้โรคจิต...



“ดีจังไม่ต้องตามหาไกล”

“...”

“ที่แท้ก็อยู่ร่วมชายคากันนี่เอง สตีเวน โจว ไม่สิฉันต้องเรียกนายว่า แดนเนียล เบอร์นาร์ด คงจะถูกกว่าจริงไหม”

มันไม่มีอะไรแย่ไปกว่าถูกไอ้บ้านี่จับได้แล้วสินะให้ตาย

สตีเวนเปลี่ยนใจจากที่คิดจะเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน เพื่อที่จะหาทางออกทางหน้าต่างก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผนหันกลับมายิ้มให้คู่สนทนาที่ไม่ได้อยากพบปะกับมันเลยแม้แต่นิด

“แหม ๆ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ยังมีคนรู้จักชื่อนั่นอยู่ แต่ก็นะ...มันเป็นชื่อของใครกัน”

รอยยิ้มทีเล่นทีจริงที่ดูเหมือนไม่ทุกร้อนอะไรก็ทำเอาเจ้าบ้านอย่างโจเซฟรู้สึกว่าเส้นเลือดข้ามขมับเต้นตุบ ๆ เลยก็ว่าได้

‘กล้าเข้าบ้านคนอื่นหน้าด้าน ๆ แล้วยังจะทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกเกรงกลัวหรือร้อนลนอะไรได้อีกไอ้พวกสวะ’

แรงกดดันจากโจเซฟไม่ได้ทำผู้มาเยือนสะทกสะท้านเลยสักนิดแถมยังกล้าเดินเข้าหาเขาเหมือนไม่เกรงกลัวอะไรเลย คงเดินรอบบ้านเขาแล้วสินะ

แต่คงไม่รู้สินะว่า...

“นั่นสินะ ไม่ว่าจะแดนเนียลหรือสตีเวน สุดท้าย...ก็ต้องตายอยู่ดี”

ฝีเท้าที่ลงมาจากขั้นบันไดหยุดชะงักมองสายตาที่เคร่งขรึมเมื่อครู่ ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นยิ้มแบบที่...ทำให้นึกถึงยอดยาหยีขึ้นมาเลยทีเดียว

เสียงฝีเท้ามากมายจากชั้นบนสุดทำให้สตีเวนที่ว่าตรวจสอบทุกห้องเป็นต้องชะงักค้างอีกครั้ง

ไม่อยากเชื่อว่าในคฤหาสน์หลังนี้จะมีคนมากขนาดนี้แล้วที่เขาเดินทั่วบ้านล่ะ!

“คิดว่าฉันมาที่นี่คนเดียวจริง ๆ น่ะเหรอ...คิดน้อยไปหรือเปล่า”

“ตายจริงต้อนรับได้น่าประทับใจเสียจริง เฮ้ย!” พูดจบแรงถีบมหาศาลก็ถูกส่งมากระแทกแผ่นหลังของสตีฟอย่างแรงจนเกือบคว้าราวบันไดไว้ไม่ทัน มันคงกะให้ตายจริง ๆ นั่นแหละ

“แรงดีนิสนใจมาเป็นลูกน้องฉันไหม โอ๊ะ อั้ก”

ขนาดโดนรุมทั้งหน้าและหลังตัวเขาก็ยังมีอารมณ์โต้ตอบ และชักจูงให้พวกของเขาไปเป็นพวกอีก ไอ้บ้านี่มันต้องเป็นคนแบบไหนกันแต่แบบนี้แหละที่เขาชอบ

โจเซฟมองการต่อสู้ขนาดย่อมภายในบ้านตัวเองที่รู้สึกว่าลูกน้องที่มีอยู่มันไม่ได้เรื่องสักคน คนสิบคนยังล้มชายคนเดียวไม่ได้แถมตั้งแต่ที่ยืนมองมาสตีเวนถูกต่อยไปแค่สองครั้ง กับการที่คนของเขาลงไปนอนสลบอยู่ที่พื้นแล้วหก

เสียเวลาที่สุด

ปัง

อึก

“หมดเวลาสนุกแล้ว!!...สตีฟฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากคงไม่มีเวลามองการเล่นสนุกของแกอีก”



การพูดคุยเหมือนไม่ทุกร้อนแต่การที่ลั่นไกลใส่กันจนได้แผลที่หัวไหล่ซ้ายแบบนี้คงทำให้ไอ้โรคจิตนี่สติหลุดได้ไม่นอนเลย

ดี..แบบนั้นแหละที่ต้องการให้มันเป็น

“ว้า!!เสียดายจังกำลังสนุกอยู่เลอะ...”

อั้ก!!

แรกกระแทกที่ท้ายทอยทำเอาคนเหลี่ยมเยอะอย่างสตีเวนหมดสติทันที ก่อนจะถูกสั่งให้เอาตัวไปขังไว้ก่อน

“ฉันเกลียดรอยยิ้มของแกที่สุด...เอามันไปขัง”

มือควงปืนก่อนจะเก็บลงที่เดิม เขายืนมองทั่วคฤหาสน์ของตัวเองแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ ที่นี่ถูกสร้างโดยเขามันดูดีได้ขนาดนี้ก็เพราะเขา ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่มันจะได้พบเจอเรื่องน่ารำคาญใจแบบนี้ บ้านที่เขาสร้างเพื่อหนีความวุ่นวายตอนนี้มันกลับนำพาสิ่งวุ่นวายและน่ารำคาญเข้ามา

เป็นเพราะมัน..อัดฮัม อัจมาน คาล์ล



แกร็ก

เสียงที่หน้าประตู้ทางเข้าทำให้แสงตะวันที่นั่งก้มหน้าบนเก้าอี้ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง จึงพบว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร

แสงจากด้านนอกทำให้เขารู้ว่าตอนนี้มันมืดค้ำไปแล้ว เพราะการที่ถูกยึดทุกอย่างไปแถมไม่รู้ด้วยว่าตัวเองโดนจับมานั่งในห้องนี้นานแค่ไหน เพราะมันมืดมากมีก็แค่ไฟดวงเล็กที่ห่อยอยู่บนหัวที่ให้แสงสว่างแค่เพียงนิดเท่านั้น

“เฮ้อ! คุณรู้ไหมว่าผมเกลียดอะไรมากที่สุด? ผมน่ะนะเกลียดพวกแมลงตัวเล็ก ๆ มากเพราะมันทำให้น่ารำคาญเวลามันมาบินรอบตัวเราสร้างความวุ่นวายให้เราจนอยากจะฆ่าทิ้งสักที แต่ก็นะถ้าจะฆ่ามันไปเลยก็น่าเสียดายว่าไหม”

แสงตะวันมองคนที่พล่ามอะไรที่เขาไม่เข้าใจอยู่ได้อะไรก็ไม่รู้แมลง รำคาญ ฆ่าให้ตาย

แต่เอ๊ะ...!! แมลง ฆ่า หรือว่า

ดวงตากลมโตเบิกกว้างเหมือนเข้าใจความหมายทุกอย่างก่อนจะพยายามขยับตัวเพื่อจะลุกไปหาไอ้คนที่พูดอะไรให้ เขากังวล

“คุณพูดถึงอะไรกันแน่ จะฆ่าใคร!” แสงตะวันลนลานถามหาความจริงของความหมายที่เขาได้รับ มันต้องไม่ใช่แค่แมลงอะไรนั่นแน่ ๆ

ขอล่ะอย่าให้ใช่สิ่งที่คิดเลยเถอะนะ

“แหม่ เก่งจริงนะครับที่ทายถูกก็แค่เศษสวะ...ที่มันคิดว่าตัวเองเก่งแต่ดันโชว์โง่ให้ผมเห็นโดยการเดินเข้ามาเหยียบในบ้านผม ถ้ามันอยู่ในป่าความเสี่ยงที่จะรอดเยอะมาก..แต่มันโง่ไงโง่ฮ่าฮ่า!!!”

“ใคร!! บอกมานะใครมาที่นี่” เสียงหัวเราะหยุดชะงักเพราะสียงตะหวาดจากร่างเล็กตรงหน้า ก่อนมือหนาจะกระชากคางมนให้เงยหน้าขึ้นมามองสบตากันแสงตะวันเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแถมยังมองจ้องกลับแบบท้าทายเหลือเกิน

แรงบีบจากมือหนามากขึ้นจนรู้สึกเจ็บ สายตาแข็งกร้าวสันกรามแกร่งถูกขบกัดจนขึ้นสันนูนเด่นแล้วพูดเสียงรอดไรฟันเพื่อคุยกับคนที่ถูกจับมัดตรงหน้า

“อย่าคิดว่าที่ฉันให้เธออยู่อย่างสบายแล้วจะสามารถมาตะคอกเสียงดังแบบนี้ใส่ฉันได้จำไว้” พูดจบก็สะบัดมือแรง ๆ จนใบหน้าสวยต้องหมุนไปตามแรงก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาจ้องตาคนที่ก้มลงมาหาแล้วทำการอุกอาจบ้าเลือดเป็นที่สุด...

ถุ่ย!!

ร่างหนาหลับตาเกือบไม่ทันก่อนจะยืดตัวตรงใช้มือซ้ายปาดน้ำเหนียวที่มาจากปากเล็กออกจากหน้าตัวเองช้า ๆ แล้วลืมตามองแสงตะวันแบบคนที่สติขาดไปแล้ว

เพี้ยะ!!

แรงฟาดสุดแรงจนคนที่หนังอยู่บนเก้าอี้ถึงกลับล้มลงไปกองที่พื้นพร้อมเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ แถมยังรับรู้ถึงความเค็มคาวคละคลุ้งไปทั่วปาก

เขาเจ็บแต่เขาจะไม่มีน้ำตาให้มันแม้แต่หยดเดียว

โจเซฟนั่งลงด้านหน้าก่อนจะกระชากผมหนุ่มขึ้นมา มองคนตัวเล็กที่มีเลือดไหล่ออกมาจากมุมปาก

เห็นดวงตาดูตกใจทำตัวเหมือนเป็นห่วงใช้ผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้แต่เขาก็หันหน้าหนีถึงจะมีมือกำอยู่ที่เส้นผมก็ตาม

“จะ..เจ็บมากไหมครับ เนี่ยเห็นไหม ถ้าคุณทำตัวดี ๆ เรื่องนี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลย” เสียงพูดหนุ่มนวลต่างจากแรงที่ใช้กับเขาเหลือเกินก่อนจะถูกดึงเก้าอี้ขึ้นตามเดิม ทำเป็นปัดเส้นผมออกให้ดูเรียบร้อยถึงจะเบือนหน้าหนีก็จะถูกดึงกลับมาจ้องตากันอยู่ดี

“ถ้าคุณเลือกผม สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณอี...”

“ไปตายซะ”

“เลือกเองนะ แสงตะวัน เธอจะไม่ได้สิทธิ์นั้นเป็นครั้งที่สองแน่” คำพูดกดเสียงตำเหมือนคนระงับอารมณ์ถูกพูดออกมาก่อนโจเซฟจะผละตัวออกมาจากห้องแล้วสั่งให้คนของมันปิดไฟในห้องปิดประตูแล้วออกห่างจากห้องนี้ซะ

และห้องทั้งห้องก็มืดสนิทไม่เห็นแม้แสงจันทร์ด้านนอกเลย

วังเวงเหลือเกิน

“คุณอยู่ไหนแล้วคุณเมฆ”

น้ำตาหยดเล็กร่วงหลนลงภายใต้ความมืดมิดไม่มีแต่เสียงสะอื้นไห้ให้ใครมาได้ยินเพียงแค่ปล่อยน้ำตาให้ไหล และความอ้างว้างอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าใครคนนั้นจะมา

“อิงรอคุณอยู่นะครับ”







โรงแรมของ คาล์ล



“บอสครับสตีฟขาดการติดต่อไปตั้งแต่บ่ายแล้วครับ” คาล์ลรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอีธานรายงานข่าว

ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าสตีฟเท่าไหร่เวลาอยู่ใกล้เจ้าหนู แต่ก็พูดไม่ได้ว่ามันมีฝีมือมากและมันยังเป็นลูกน้องที่ภักดีกับเขามานาน

“รู้เป้าหมายหรือยัง”

“ครับ”

“งั้นไป”

เขาห่วงความปลอดภัยของเจ้าหนูเหลือเกินเพราะเขาเองที่หัวร้อนเกินไปถึงได้สติหลุดสั่งลูกน้องตนระเบิดโรงงานทำรถและคาสิโนมันจนกระจุยไม่เหลือแม้แต่ซาก ให้มันกลับไปกู้เพียงเพราะคำรายงานจากสตีฟเมื่อวานตอนเย็นที่ว่าเห็นไอ้โรคจิตนั่นเดินเคียงคู่กับคนของเขาเหมือนไปฮันนีมูนกันมากกว่าโดนจับ ทั้งที่คนของเขาทำหน้าเหม็นเบื่อเกินทน

ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่การที่มันทำแบบนี้มันหยามกันเกินไป

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วที่สตีฟไม่ส่งข่าวมาหาพวกเขาเลยจนรู้สึกหน้าสงสัยแต่ยังดีที่สัญญาณชีพจรของมันยังทำงานพอให้โล่งอกโล่งใจไปได้บ้างว่าไม่ได้โดนฆ่าหมกป่าไปแล้ว

คาล์ลหันไปมองคนที่เงียบตั้งแต่เดินทางมาถึงก็ไม่พูดอะไรเอาแต่เงียบ จะมีพูดบ้างก็ตอนที่รายงานข่าวฝั่งท่านอาว่ายังปกติทุกอย่างก่อนจะกลับไปเงียบอีกครั้งตอนที่สตีฟขาดการติดต่อไป

“มันไม่เป็นอะไรหรอก ขนาดระเบิดเครื่องบินตัวเองมันยังรอด”

“นายท่าน...ผม”

“เชื่อในตัวมันหน่อยนายคือคนที่มันไม่อยากให้ผิดหวังที่สุด...พี่ชาย” ฟีนิกซ์มองนายใหญ่ที่เขาโตมาด้วยกันจนสามารถพูดคุยในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้กันหลายอย่าง ถึงเรื่องที่นายใหญ่มีใจให้เลขาหนุ่มคนนั้นจะยังไม่เคยคุยกันจริงจังก็เถอะ

แต่การที่เห็นนายหลุดบุคลิกตัวเองแบบนี้มันก็ชี้ชัดแล้วว่าเรื่องที่เขาคิดไว้มันจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก

“ครับ”





“เราต้องนั่งเรือเข้าไปประมาณชั่วโมงกว่าครับนาย ก่อนจะต้องดำน้ำเข้าไปอีกหนึ่งกิโล”

“ทำไมต้องดำน้ำ!”

“คุณสตีฟบอกว่าเผื่อมีเครื่องจับสัญญาณใต้น้ำครับ” คาล์ลฟังที่ลูกน้องที่ตนไม่รู้จักบอกถึงเหตุผลที่ต้องลงน้ำในเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแบบนี้แล้วเอ่ยออกไปว่า..

“ไม่...เอาเรือเทียบฝั่งฉันไม่ได้มาปล้น”

“...”

“ฉันแค่มาเยี่ยมเจ้าบ้าน..ก็เท่านั้น”

สิ้นประโยคที่น่าขนลุกนั้นทุกคนก็รับคำสั่งอีธานมองหน้าหัวหน้าตัวเองหรือเพื่อนสนิทที่ไม่คิดจะห้ามนายท่าน แล้วเขาก็คิดว่าคงคุยกันมาแล้วละมั่ง

คาล์ลสั่งคนของตัวเองทุกคนให้เตรียมความพร้อมให้เต็มที่อย่าได้มีข้อผิดพลาดอะไรให้เห็นเพราะเขาไม่ชอบ

เจ็ท สกี สองคันพร้อมกับเรือสปีดโบ๊ทอีกสามลำที่มีคนคุมคือ คิณ อีธาน และสองแฝด พร้อมชายชุดดำที่ลงเรือลำละห้าคน ส่วนคาล์ลและฟีนิกซืจองเจ็ท คนละคันพร้อมนำหน้าออกตัวไปก่อนไม่กลัวตาย

เพราะปลายทางที่พวกเขาไปต่างก็มีคนสำคัญอยู่เหมือนกัน

“อยากห้ามไหมพี่ชาย ตอนนี้คิดว่ายังทันนะ”

“นายท่านอยากทำอะไรเชิญตามสบายที่เหลือเดี๋ยวเคลียร์ให้เอง”

“หึ...ได้เวลาปิดบัญชีกับมันสักที”



“พวกแกก็เหมือนกันทำงานสบายมาปีกว่าแล้วสนุกให้เต็มที่ งานนี้ฉันอนุญาต” สองแฝดได้ยินแบบนั้นก็หันไปแท็กทีมกันทันทีอะไรมันจะมันไปกว่าการได้ปลดปล่อยให้เต็มที่กัน

“เฮียจะมันเหรอยิงทีได้แค่สองนัด”

“อยากลองไหม ออกเรือได้แล้ว” อนาคิณหันไปตอบลูกน้องตนที่มุมปากมีรอยช้ำม่วงติดอยู่ก่อนที่มันจะหน้าเสียแล้วรีบสตาส์ตเครื่อง รอยก็ไม่ได้มาจากใครหรอกเขาทำมันเอง

“อย่าคิดมากแล้วเจอกัน” อีธานพูดก่อนจะขึ้นเรือของตัวเองเพื่อนำทีมของตนที่เรียกตัวกลับมาด่วนจากสิงคโปร์

เพราะทุกทีมตอนนี้มาจากลูกน้องของแต่ละคนทั้งนั้นเพื่อง่ายในการคุมอย่างของสองแฝดก็บ้าดีเดือดเหมาเครื่องมาจากจีนโดยตรงโดยไม่ยอมเหลือพื้นที่ให้ผู้โดยสารอื่นเลยแต่สุดท้ายก็เอามาใช้งานจริงแค่ห้าคน

บ้าได้ลูกพี่มันกันทั้งนั้น



เจ็ทสกีสองคันจอดเทียบชายฝั่งด้านหน้าของคฤหาสน์อย่างอุกอาจบ้าเลือดโดยไม่มีใครคิดจะห้ามเลยแม้แต่คนเดียว ปืนที่สะพายหลังมาถูกถอดออกนำมาแบกไว้ให้ดูหน้าเกรงขาม

พวกชายชุดดำที่เห็นแบบนั้นก็พากันเล็งปืนใส่เตรียมยิงแต่ก็ช้ากว่าสองแฝดที่ส่งมีดบินออกไปไม่ถึงสิบวินาที พวกมันก็พากันล้มลงไปกองกันบนพื้นทรายระเนนระนาด

หากเป็นช่วงเช้าพื้นที่ตรงนี้คงเป็นสีแดงสดน่าสยดสยองเลยทีเดียว ดีที่มันเป็นตอนกลางคืนแถมเจ้าบ้านแม่งก็ไม่คิดจะเปิดไฟอีกด้วย

อยากประหยัดก็เชิญตามสบาย

แว่นตาอินฟาเรดคุณภาพชั้นเยี่ยมสามารถมองเห็นได้ในที่มืดถูกสวมใส่กันทุกคนก่อนจะเห็นฟีนิกซ์ส่งสัญญาณให้กระจายตัวออกไปแต่ก็ไม่ลืมบอกกล่าว

“อย่าเดินห่างจากตัวบ้านมากนัก สตีฟมันคงไม่มาแค่เล่น ๆ ”

เขารู้นิสัยของคนรักตัวเองดีคนอย่างสตีฟสั่งร้อยทำล้าน สั่งให้มาสังเกตการณ์ก็คงไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเป็นแน่

คงเพาะเมล็ดเม็ดโตไว้ใต้ดินไว้เยอะมากแน่

“ครับหัวหน้า”

“มึงสองตัวไปตามหาสตีฟ” สองแฝดรับคำลูกพี่ก่อนจะรีบพากันเดินออกไปอีกด้าน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลูกพี่ไม่ไปเองเพราะตอนนี้คนที่สำคัญกว่าผัวคือนายท่าน

“อีฟนายไปกับคินนะ”

“อือ ขอให้สนุก”

ทุกคนแยกกันออกไปคนละทิศทางก่อนที่เขาและคาล์ลจะเดินมุ่งหน้าไปทางตัวบ้านที่ใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว



พวกเฝ้าเวรยามเห็นเขาก็รีบส่งสัญญาณทันทีก่อนจะพากันสาดกระสุนมาใส่พวกเขา ถามว่ากลัวไหม มันไม่มีอะไรหน้ากลัวไปกว่านายท่านยังปลอดภัยถ้านายยังเดินบุก ตัวเขาก็จะระวังหลังให้เอง

คาล์ลรัวกระสุนใส่ไม่ยั้งก่อนจะหาที่หลบดี ๆ ตอนที่ลูกมันทำท่าจะหมด ฟีนิกซ์ที่ใช้ปืนสั่นแต่ใช่ความแม่นยำของตัวเองจึงสอยพวกมันลงไปหลายคนก่อนจะหันไปมองนายที่เปลี่ยนปืนในมือแล้ว

การหลบข้างเสาแล้วเล็งปืนแบบนี้ทำให้เป้าหมายถูกต้องเป็นที่สุดก่อนที่เขาจะ

อั้ก

ถูกถีบจากด้านข้างจนล้มตัวลงกับพื้นก่อนที่มันจะทำท่าเข้ามากระทืบซ้ำแต่ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้พกแค่ปืนมา มีดสั่นขนาดพอดีมือถูกปาออกไปปักที่หัวของมันทันทีจนมันล้มตัวลงตายคาที่

“เป็นอะไรไหม!!” เสียงตะโกนถามข้ามเสาทำเอาคนที่นอนแผ่อยู่ที่พื้นรีบดีดตัวขึ้นมาทันที

บ้าจริงแทนที่จะดูแลนายท่านกับต้องมาทำตัวเป็นภาระ

การยิงกันจบลงตอนที่ทุกอย่างเงียบก่อนจะได้ยินเสียง...

แปะ แปะ แปะ

“แหม ๆ ทักทายกันแรงใช้ได้นะ...รุ่นพี่”

คาล์ลได้ยินเสียงที่ทักมาแบบนั้นก็ออกจากเสาทันที ก่อนที่ฟีนิกซ์จะรีบเดินเข้าไปหายืนประจันหน้ากับไอ้บ้าโรคจิตที่น่ารำคาญที่สุด

“ตอนแรงก็กะจะมาดี ๆ แต่เผอิญระหว่างเดินเข้ามามองไม่เห็น ก็แกเล่นปิดไฟแบบนี้อะนะ”

“มึงจะบอกว่าที่ฆ่าคนของกูเพราะมองไม่เห็นหรือไงห๊ะ!!” การพูดที่ค่อย ๆ เร่งเสียงขึ้นทำเอาแขกที่มาเยือนยิ้มเยาะใส่ ยืนไหวไหล่เหมือนจะบอกว่า…

ก็ประมาณนั้น

คาล์ลปรับสีหน้ากลับมาเคร่งขรึมก่อนจะถามถึงสิ่งที่ทำให้เขาถ่อมาถึงที่นี่ ที่ที่เขาไม่คิดจะค้นหาหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน

“คนของฉันอยู่ไหน”

“โอ๊ะ คนไหนดีล่ะ ไอ้ฝรั่งผมทองที่คิดว่าตัวเองเก่งจนโชว์โง่ หรือหนุ่มน้อยผู้น่ารักกลิ่นตัวก็หอมทำอาหารก็อร่อย...นายถามถึงใครล่ะรุ่นพี่”

“มึงคิดว่าตัวเองสามารถเล่นลิ้นกับฉันได้จริง ๆ เหรอ ไอ้คุณสวีต”

“ทำไม!! มึงจะพังที่ไหนของกูอีก แหม ๆ แบบนั้นกูก็ไม่รับประกันคนของมึงนะว่าจะยังมีลมหายใจมาเจอมึงหรือเปล่า”

คาล์ลกัดฟันกรอดกดอารมณ์ไม่ให้พุ่งเข้าไปฆ่ามันตายก่อนจะได้เจอเจ้าหนูหรือไอ้บ้าสตีฟลูกน้องประสาทแดกของตัวเอง

เขามองหน้ามันก่อนจะเก็บปืนเข้าซองไว้เหมือนเดิมแล้วก้าวเดินตรงเข้าไปใกล้ชิดกับไอ้คนที่เอาคนของเขามาขู่อย่างไม่กลัวเกรง

โจเซฟเองก็ไม่ได้หลบหลีกอะไรแถมยังแสยะยิ้มน่าสยดสยองออกมาให้เห็นอีก มันทำเป็นใช้มือปัดฝุ่นออกจากเสื้อให้ก่อนที่แสงไฟในคฤหาสน์จะเปิดสว่างจ้าแล้วพบเข้ากับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินออกมาจากในตัวบ้านพร้อมกับสตีเวน ที่สภาพดูแทบไม่ได้เอาเสียเลย

“สตีฟ!!” เสียงของฟีนิกซ์ดูเดือดมากเมื่อเห็นสภาพของคนรักที่ทั้งสะบักสะบอมแถมที่ไหล่และต้นขายังมีแผลฉกรรจ์ให้เห็นอีก

“ทะ..ที่รัก อึก ฝันเปล่าวะ” ฟีนิกซ์ยกปืนขึ้นหมายจะฆ่าไอ้คนที่เอาปืนเล็งที่หัวสตีเวนแต่ก่อนที่เขาจะลั่นไกปืนออกไปโจเซฟก็พูดดักไว้ก่อน

“อ้ะ ๆ ยิงมากูไม่รับรองความปลอดภัยของอีกคนนะ” คาล์ลยกมือห้ามฟีนิกซ์ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นถ้าแสงตะวันเป็นอะไรไปพวกมันก็จะไม่มีชีวิตรอดเหมือนกันตอนนี้เขาต้องรออีธานก่อน จะผลีผลามตอนนี้ไม่ได้

“นิกซ์..ใจเย็น”

“ดีใจจังแฮะ ได้เห็นพวกแกเป็นห่วงกันด้วย” รอยยิ้มจากปากช้ำนั้นทำเอาหัวหน้าทีมอยากเขากัดริมฝีปากเพื่อกักเก็บแรงอารมณ์ก่อนที่แผนทั้งหมดจะเสีย เขาจะมาพังมันไม่ได้คนของนายท่านก็สำคัญเช่นกัน

“จะตายแล้วยังจะปากดี”

“อ่ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ มันไม่สนุกเลยนะ”

“ต้องการอะไร” คาล์ลถามออกไปอย่างเหลืออดเพราะทนเห็นรอยยิ้มเหนือกว่าของมันไม่ไว้

รออีกหน่อยเถอะมึง

“เอาจริง ๆ ฉันว่านายรู้ดีเลยล่ะว่าฉันต้องการอะไร”

“หึ คนอย่างมึงนี่มัน...ไก่อ่อน”

“จุ๊ ๆ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”

“คิดว่าได้ไปแล้วนายจะอยู่ได้เหรอ อย่าลืมว่าที่นั่นไม่ได้มีแค่ฉัน อีกอย่างเด็กอย่างแกอยู่ได้ไม่นานหรอก โจเซฟ”

ใช่..สิ่งที่มันอยากได้เขารู้ดีว่ามันคืออะไร แหล่งทำเงินมหาศาลของเขาธุรกิจทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมา พื้นที่เขาเป็นผู้ดูแลทั้งหมดในดูไบ เป็นสิ่งที่มันต้องการมาตลอด ขนาดว่าซื้อคนของเขาเพื่อแทรกแซงก็เคยทำมาแล้วโดยไม่รู้เลยว่าคนของเขาอยู่กับมันก็มีแถมใกล้ตัวมันมากเสียด้วย

“มันก็เรื่องของฉันนะ คิดดี ๆ คาล์ลจะมอบมันให้ฉันหรือ...คนรักของแกตาย”

อีกนิดเดียว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

ทำไมอีฟมันช้าอย่างนี้นะ

ฟิ้ววว ฉึก

แต่อยู่ ๆ คนที่ใช้ปืนจี้หัวสตีเวนอยู่ก็ล้มลงกับพื้นก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ

พวกมันแตกตื่นกันยกใหญ่โจเซฟรีบดึงตัวของสตีเวนมาล็อกคอไว้แล้วหยิบมีดที่อยู่บนศพคนของตัวเองมาถือจ่อไว้ที่คอหอยของสตีเวน

“ถือแบบนั้นมันจะดีเหรอจิม!”

“นั่นสิเจมส์ ขนาดเรายังไม่กล้าเลย” เสียงที่ดังออกมาจากในตัวบ้านทำเอาโจเซฟ หันกลับไปมองทันทีก่อนจะตกใจว่าไอ้แฝดนรกมันเข้าบ้านเขามาได้ไง ตั้งแต่เมื่อไหร่

“สงสัยสินะว่าเข้าไปได้ไง พอดีลุงเขาทำเครื่องหมายไว้ให้น่ะ โอ๊ะลุง สภาพดูไม่จืดเลยนะนั่น” หยินที่เฉลยความสงสัยก่อนจะมองดูชายที่เคารพในสภาพที่หนักหนาเอาการ

หนักกว่าโดนลูกพี่ทุบอีก

งานนี้มีคนวอนตายซะแล้ว

“แฝด! ใครให้พวกมึกฆ่ามัน” ฟีนิกซ์เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทพร้อมรอยยิ้มที่เห็นทีไรเหมือนงานจะเข้าทุกที

“ละ..ลูกพี่คือพวกเรา..”

“แล้วฉันจะเอาอารมณ์ที่เหลือไปลงที่ใคร”

ฉิบ หาย แล้ว

สองแฝดอึกอักทันทีเพิ่งมารู้ตัวว่าได้ทำการแย่งเหยื่ออารมณ์ของลูกพี่ไปโดยไม่รู้ตัว

แต่ก่อนที่เขาจะโดนหมายหัวเสียงสวรรค์ผ่านสายก็ดังเข้ามาพอดี

นั่นคือ

“นายท่านเจอตัวอิงแล้วครับ”

“ดี อะไร ๆ ต่อจากนี้จะได้ง่ายขึ้น ฟีนิกซ์ จัดการได้ไหม” คาล์ลหันไปถามกับบอดี้การ์ดคนสนิทก่อนจะได้รับการพยักหน้าเป็นการตอบรับ และสอบถามผ่านสายว่าอยู่ทางไหนกัน

“สตีฟ ถ้ายังทำเล่นอยู่อีกกูจะถีบแล้วนะ”

“เจ็บจริงที่รัก นายดูสิ”

“นั่นมึงจะไปไหน อึก” เสียงโจเซฟเรียกตามหลังของ คาล์ล

เคร้ง พรึบ

“อ้า!! มันเกิดอะไรขึ้น พวกมึงทำอะไร”

“เห่อ ก็ถามไปแล้วว่ากล้าจับได้ไงไอ้นั่นน่ะ” หยางชี้ให้ดูที่มีดที่เพิ่งหล่นไปจากมือเขาเพราะอยู่ ๆ มันก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาทันที ฝามือหนาเกิดเป็นผดผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมดแถมยังแสบร้อนตลอดเวลาอีกด้วย

มันเกิดอะไรขึ้น! ที่มีดมีอะไร!

ในระหว่างที่โจเซฟมัวแต่สนใจมือตัวเองที่มันเริ่มร้อนและพุพองมากขึ้นจนลืมสังเกตบุคคลที่ตัวเองกำลังจับเป็นตัวประกันอยู่

ผลัก!! อั้ก!!

สตีเวนใช้แรงที่เหลืออยู่แทงศอกไปด้านหลังหวังว่ามันจะทำให้โจเซฟจุกจนปล่อยแขนที่ใช้ล็อกคอเขาอยู่ออก แต่มันไม่ได้ผลเมื่อแรงที่รัดคอมันกลับมากขึ้นแถมมันยังมีอาวุธใหม่ที่รู้สึกว่าน่ากลัวกว่ามีดบินของสองแฝดเสียแล้วสิ

มันเอาซ่อนไวตรงไหนวะ

เข็มฉีดยาขนาดเล็กถูกทิ่มเขามาที่ต้นคอของสตีเวนทันที ฟีนิกซ์ที่ตั้งท่าจะเขาไปรับตัวคนรักชะงักค้าง สองแฝดที่ถือมีดพร้อมเสียบก็ต้องหยุดเช่นกัน

“มึงเข้ามาอีกนิดกูจะฉีดสารตัวนี้เข้าตัวมันทันที แล้วกูก็ไม่รับประกันนะว่ามันจะแรงแค่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกคือ...ไม่มียาแก้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ” เสียงหัวเราะเหมือนคนบ้าขาดสติมองรอบตัวเองอย่างท่าทาย จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้จนกว่าคนของเขาอีกพวกจะมาถึงการทำวิธีนี้คือทางรอด





“ถ้าเขาตายมึงก็ตาย”

“กูต้องกลัวด้วยหรือไง นายมึงมันพังทุกอย่างของกู ได้ในสิ่งที่กูอยากได้ กับเรื่องที่ต้องมาตายแค่นี้กูต้องหวั่นใจหรือห๊ะ!!!”

“มึง!!..ทำตัวมึงเองทั้งนั้น!!”

“ไม่!!..ถ้าไม่มีนายมึง พื้นที่ปกครองในดูไบก็ต้องเป็นของกะ...” เสียงโวยวายดังลั่นพื้นที่หน้าทางเข้า ด้วยความเดือดดานของคนที่ไม่ยอมรับความจริง

“มึงดูละครมากไปหรือเปล่าโจเซฟ มึงคิดว่าล้มนายกูได้แล้วคนอย่างมึงจะสามารถครอบครองมันได้เหรอ? มึงคิดว่าที่นั้นมีแค่นายกูหรือไง” ฟีนิกซ์เองก็เริ่มเอือมระอาเต็มทน ไอ้คนที่มันไม่คิดจะรับรู้เรื่องรอบตัวคิดว่าเมื่อมีอำนาจในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้ที่มันต้องการ

ตะกะป่วย ความคิดแบบเด็กป่วย

“แต่ถ้า!!..ถ้าอัดฮัมมันตายทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ปัญหา พวกมึงมันเป็นก้อนเนื้อน่ารำคาญ”

“ลูกพี่ไอ้นี่มันพล่ามอะไร คิดว่าบอสเราเป็นใครที่คิดว่ามันจะล้มเขาได้ง่าย ๆ กัน” หยินแฝดคนพี่ถามยิ่งมองหน้ามันก็ยิ่งรู้สึกอยากเล่นสนุกกับมันเหลือเกิน ใบหน้าที่ระแวงไปรอบข้าง เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวขึงตามใส่กัน ปากก็พล่ามกล่าวโทษคนอื่นถึงสิ่งที่ไม่สามารถเป็นของตัวเองได้

ไอ้คนแบบนี้มันน่าจับมาทดลองพิษตัวใหม่ที่เพิ่งได้มาเหลือเกิน

ฟีนิกซ์มองหน้าลูกน้องที่ถามออกมาแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปก่อนจะหันมามองคนที่เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่อีกแล้ว

สตีเวนในตอนนี้สภาพเหมือนครั้งแรกที่มันทำงานพลาดแล้วบอสให้เขาเป็นคนลงโทษมันจัง

และใช่เขาทำมันได้คนเดียว เขาคนเดียวที่สามารถทำมันปางตายแบบนั้นได้

ส่วนไอ้พวกที่บังอาจทำมันแบบนี้แถมตอนนี้ยังเอายาเหี้ยอะไรไม่รู้มาทิ่มคาไว้ที่คอคนรักเขาแบบนี้ เห็นแล้วรู้สึกว่าความอดทนอดกลั้นกำลังจะหมดไป

“โจเซฟ สา...วีต ฉันว่าแกพล่ามมาพอแล้ว นะแกช่วย....เอามันออกไปจากคอเขาก่อนได้ไหม?” เสียงยานคางเหมือนคนเบื่อโลกถูกเปล่งออกมาจากเรียวปากสวย (หากว่าไม่มีเครารกลุงลังอะนะ) มือก็แกว่งปืนไปมาหยิบบุหรี่ที่ทิ้งมันไว้ในกระเป๋าเสื้อจุดสูบโดยไม่สนใจคนที่มองการกระทำของเขาอยู่

อยู่ ๆ ฟีนิกซ์ก็รู้สึกเปลี่ยนไป ดูเบื่อโรคดูเหนื่อยหน่ายใจ แตกต่างกับสายตาที่ดูเริ่มสนุกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“คิดว่ามึงเป็นใครกันห๊ะ!!” เสียงลนลานพร้อมกระชับแขนให้แน่นมากขึ้น เท้าก็ขยับเดินถอยเข้าในตัวบ้านมือที่จับเข็มก็สั่นตลอดเวลาเพราะมันยังแสบไม่หาย

ผัวะ อึก อั้ก

แค่ก แค่ก

ปลายเท้ายาวที่เดินตามเข้ามาอย่างช้า ๆ ตะหวัดขึ้นเตะมือข้างที่จับเข็มนั่นไว้อย่างแม่นยำแถมสายตายังดูเหี้ยมขึ้น ร้อยยิ้มอันตรายที่สองแฝดเห็นแล้วยังต้องหยุดตัวลงที่กลางห้องโถงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้ลูกพี่ทำ ดีกว่าเข้าไปยุ่งแล้วกลายเป็นเป้าเสียเอง

“งานนี้มีคนศพไม่สวยแน่” หยางกระซิบพี่ชาย

“เผลอ ๆ อาจไม่เหลือซาก” หยินเสริม

“มาเอาตัวลุงแกออกไป” สองแฝดรีบตรงเข้าไปหิ้วปีกสตีเวนออกมาทันทีที่ได้รับคำสั่ง

“ส่วนแก...อยากเล่นอะไรสนุก ๆ กับฉันไหม คุณสวีต”






TBC.
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 16-01-2022 14:52:25
[/size][/font]
ตอนที่ 25 เจอตัว





ตั้งแต่ที่เจอกับโจเซฟไปเมื่อหัวค่ำไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน แล้วก็ ไม่รู้แล้วว่าด้านนอกเป็นไงบ้าง จะมีคนมาช่วยเขาไหมหรือคนที่ขึ้นมาบนเกาะนี่เป็นยังไงบ้าง คำที่เขาได้ยินจากโจเซฟทำให้แสงตะวันกระวนกระวายใจจนไม่กล้าที่จะหลับตา ถึงร่างกายจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าก็ตามที เพราะตั้งแต่ที่ถูกจับมาไว้ที่ห้องนี้ โดนตบไปหนึ่งทีจนเลือดกรบปาก

ยังไม่มีแม้แต่น้ำตกถึงท้องเขาเลยมันประท้วงร้องเรียกไปหลายครั้งแต่ก็ได้แต่อดทนบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวก็จะได้ออกไปแล้วเดี๋ยวก็มีคนมาช่วย เราจะมาตายที่นี่ไม่ได้ยังมีแม่และน้องที่เราต้องกลับไปปกป้องและดูแล ห้ามมาทิ้งชีวิตที่นี่เด็ดขาด

แต่พอความเงียบเข้ามาครอบงำจิตใจความคิดมากมายก็ตีรวนกันไปหมด พอจิตตกน้ำตามันก็ไหลออกมาเองก่อนที่เสียงสะอื้นไห้จะดังเล็ดลอดออกมาจากเรียวปากที่สั่นระริกเพราะกำลังกัดข่มอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเอง

“ฮึ คุณอยู่ที่ไหน อิงจะไม่ไหวแล้วนะ” เสียงร่ำไห้ดังก้องไปทั่วพื้นที่แคบ ๆ ภายในห้องอากาศด้านในเหมือนเริ่มหนาวขึ้นแบบแปลก ๆ เพราะมันไม่ได้เย็นเพราะอากาศแต่เป็นเพราะเครื่องทำความเย็นที่เหมือนจะถูกตั้งไว้ให้เปิดเองอัตโนมัติยิ่งทำให้แสงตะวันดูโดดเดี่ยว

ทำให้คิดถึงเรื่องราวหลายวันที่ผ่านมาถ้าวันนั้นเขายืนฟัง ตั้งใจฟังที่คนหน้านิ่งพูดในวันนั้นหรืออาจจะเป็นตอนที่พี่ชายคนที่เขาเครารพแนะนำให้ล้มเลิกความคิดเขาน่าจะฟัง มันอาจจะดีกว่านี้ดีกว่าตอนที่ไม่มีใครให้มองเห็นมีแค่แสงเหนือศีรษะกับความมืดที่แสงส่องไปไม่ถึงเท่านั้น

ทำไมมันอึดอัดขนาดนี้นะ

ภายนอกหลังจากที่รู้หน้าที่ของตัวเองแล้วทุกคนก็แยกกันไป อีธานและอนาคิณรับหน้าที่ตามหาแสงตะวันแต่ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะได้เจอน้อง

“ไหนสตีฟบอกมันอยู่คนเดียวไง”

“นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้มันขาดการติดต่อเรา”

“ไอ้พวกสวะเอ้ย!!”

ปัง ปัง ปัง

เสียงปืนสนั่นขึ้นเมื่อทั้งสองเดินมาใกล้กับปีกซ้ายของคฤหาสน์ ชายชุดดำนับสิบที่คาดว่าน่าจะได้ยินเสียงมาจากทางฝั่งบอสแน่ ๆ ถึงรีบวิ่งกู่มาทางนี้กันหมดเลย

ปัง

“มันโง่กันหรือเปล่าวะวิ่งใส่ลูกกระสุนแบบนี้” คินที่มองความโง่ของพวกมันที่ไม่คิดจะหลบลูกกระสุนพวกเขาสักนิดมันคิดว่าจะยิงโดนพวกเขาจริงน่ะเหรอ!

คิดน้อยมากไอ้ไก่อ่อน

“แยกกันไปไหมแม่งที่นี่กว้างเกินไปสำหรับเรา”

“เอาสิ นายไปปีกขวาไปตรงนี้ฉันลุยเอง” อนาคิณบอกกับอีธานก่อนจะโผล่ตัวออกไปยิงไอ้พวกที่ไม่คิดจะล้มเลิกความคิดแบบนี้

และก็สอยได้อีกสาม-สี่ หึ

“แบบนั้นดูไม่แฟร์เลยนายกำลังสนุก!”

“เดี๋ยวนายก็สนุกนา!!!” อนาคิณตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะหลบเข้ามาเปลี่ยนกระสุนแล้วกลับไปยิงพวกมดแตกรังต่อ

อีธานยิ้มกลับมาให้ก่อนจะวิ่งออกไปอีกทางเพื่อช่วยกันตรวจอีกด้านของที่นี่

“รอพวกเราก่อนนะอิง”

พออีธานออกไปแล้วก็พอดีกับชายชุดดำที่เหลือตายเกลื่อนทาง อนาคิณเดินออกจากเสาที่หลบอยู่ก่อนจะเดินเข้าไปดูผลงานตัวเองด้านหน้า เห็นมีการเคลื่อนไหวอยู่ก็ไม่รีรอที่จะจ่อที่หัวมันแล้วปล่อยลูกออกผ่านลำกล้องเจาะทะลุหัวทันที

“หึ..รู้สึกดีเป็นบ้า” มองดูผลงานอีกหน่อยพอให้การหายใจที่ดูตื่นเต้นกลับมาเป็นปกติถึงได้ออกค้นหาน้องเล็กของเขาต่อ

ไอ้บ้านบ้านี่ก็เนาะดีที่อีธานส่งภาพคร่าว ๆ มาให้บ้างแล้วจากการถ่ายภาพของสตีเวนมันเลยทำให้การเดินค้นหาง่ายขึ้น หรือเปล่า!!

พอมันโล่งแบบนี้มันยิ่งคิดไม่ได้เลยว่ามันจะเอาคนตัวเล็กแบบนั้นไปไว้ที่ไหน หรือจะเป็นชั้นบน ห้องที่สตีเวนบอกมันถูกล็อคไว้ ใช่ ต้องใช่แน่ ๆ และก่อนที่เขาจะหันตัวกลับไปเสียงสองแฝดก็ดังมาตามสาย

“เจอลุงแล้ว”

“เยี่ยม” เสียงอีธานตอบกลับแต่เราก็ต้องหยุดความคิดเมื่อหยางคนน้องพูดต่อ

“ลุงโดนพวกไอ้บ้าโจเซฟจับตัวอยู่โถงทางเข้า แต่เหมือนพวกมันยังไม่รู้ชะตากรรม” เสียงนั้นไม่ได้ดูเครียดเลยแต่เสียงที่ได้ยินกลับดูสนุกอย่างบอกไม่ถูก

“ยังไง” อนาคิณไขข้อสงสัยด้วยการถามออกไป

“ก็มันดันจับตัวลุงต่อหน้าเมียเขาด้วยสภาพอย่างหมา” คำว่าอย่างหมาของเจ้าแฝดนรกบ่งบอกสภาพร่างกายของสตีเวนได้อย่างดีและพวกเขาที่ได้ฟังแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้คนที่ทำ...

“ไม่ได้ตายดีแน่มึง/ไม่ได้ตายดีแน่มึง” นี่คือเสียงเขาและอีธานที่คิดไว้เหมือนกันและยิ่งได้ยินเสียงขัดใจที่เล็ดลอดเข้ามาในสายแล้วนั่นเหมือนจะมีคนได้รับกำซะด้วย

“ทางนายเป็นไงบ้างอีฟ” อนาคิณถาม

“เจอมดไม่กี่ตัวจนรู้สึกว่ามันปล่อยทางนี้จนเกินไป มันทำให้น่าสงสัย”

“ยังไง”

“มันดูง่ายไปเมื่อกี้ที่เราอยู่ตรงนั้นมดมาแทบกำจัดไม่ทันแต่ฝั่งนี้คือแบบ..มันไม่ใช่ว่ะ” อีธานตอบความคิดของตัวเองที่เขาคิดว่ามันแปลกมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ปีกซ้ายที่จากมามีคนคุ้มกันมากเกินไปด้วยซ้ำแต่ปีกขวากลับมีแค่ไม่ถึงสิบคน ทำไมมันถึงปล่อยพื้นที่ตรงนี้ไว้โล่งแบบนี้

“ทางนั้นเป็นไง เจออะไรบ้างยัง”

“เงียบฉิบหายไม่น่ารีบจัดการเลยคนของนายเจออะไรบ้างไหม” อนาคิณถามถึงลูกน้องของอีธานที่แยกออกไปเพื่อติดตั้งสัญญาณอะไรสักอย่าง

“ใกล้เสร็จแล้ว ยังไม่เจออะไร สตีฟมันน่าจะติดตั้งไว้ที่อื่น” ใช่พวกเขากำลังช่วยกันตามหาของเล่นของไอ้คนอารมณ์ดีที่แบกมันขึ้นหลังมาด้วยเพราะคิดว่าต้องสนุกก่อนที่มันจะโดนจับตัวไป

“แล้วของนายล่ะ”

“ด้านบนเห็นว่าไม่มีอะไรห้องที่มันล็อคไว้มีแค่เงิน”

“เงิน!!

“อืม ที่นี่คงมีห้องใต้ดินไว้ให้มันใช้ฟอกเงินเล่นแน่ ๆ ” อนาคิณหมายถึงห้องทุกห้องบนชั้นสองที่สตีเวนบอกไว้ว่ามันใช้แม่กุญแจที่สั่งทำพิเศษแต่เวลามันน้อยเลยไม่ได้ลองไขดูว่าข้างในคืออะไร วันนี้พวกเขารู้แล้วว่ามันคืออะไร

“หนีภาษีมาไกลเลยนะ..หึ” แต่ก็คงไม่ได้ใช้แล้วแหละ เขาคิดว่านะ

“เดี๋ยวฉันกำลังจะไปสมทบนายเพราะคิดว่าฝั่งนี้ไม่มีอะไรแน่ ไอ้พวกมดแตกรังนั่นคงเป็นเหยื่อล่อให้เราไขว้เขวแน่”

“ได้” อีธานตอบรับเสร็จก็เดินสำรวจรอบ ๆ อีกครั้งเพราะมันไม่มีใครแล้วแถวนี้ แต่การที่มันเงียบแบบนี้แหละน่ากลัวที่สุด

ปัง

และความคิดของเขาไม่ได้ผิดอย่างที่คิดเลยสักนิด เมื่ออยู่ ๆ ก็มีกระสุนเฉียดแก้มเขาไปเพียงนิดทำให้กลิ่นคาวคลุ้งติดจมูกก่อนจะรู้สึกเย็นชื่นที่แก้มขวาเพราะลมพัดผ่าน

เขารีบหลบเข้ามุมทันทีก่อนจะใช้มือปาดน้ำสีแดงออกจากใบ้หน้ารอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นมาทันที คนที่ทำเขาเป็นแผลได้ต้องเก่งมาก ๆ ขนาดว่ามันอยู่แถวนี้เขายังไม่รู้สึกตัวกันเลย

“โว้ว ๆ ๆ เก่งใช่ได้เลยนี่ คิณระวังตัวด้วยเรามีแขกรับเชิญฝีมือดี”

“หืม..ต้องดีมากแน่นายถึงกล้าชมขนาดนี้” คิณได้ยินแบบนั้นจากตอนแรกแค่เดินไวไวกลายเป็นออกแรงวิ่งแทน

“ก็ดีขนาดที่ว่าเกือบทำหน้าฉันทะลุได้”

“ฝีมือไม่เบาจริง ๆ ” ต้องเท้าเบาแค่ไหนถึงเขาใกล้เพื่อนเขาได้มากขนาดนั้นกัน เก่งขนาดนี้เขาคิดเป็นใครอื่นไม่ได้เลยจริง ๆ นอกจาก

“ฉันคิดว่านายเจอแม่เสือน้อยเข้าให้แล้วล่ะอีฟ”

“ให้ตาย!!ฉันไม่ไดเตรียมใจจะเจอเธอเลย คิณวันนี้ฉันดูเป็นไง”

“โว้ยลุง!!..จะโดนยิงแสกหน้าอยู่แล้วยังจะห่วงอะไรอีก” หยินที่ฟังตาลุงแล้วเหมือนจะหัวร้อนขึ้นมาทันทีอะไรคือเกือบโดนยิงตายแล้วยังห่วงหล่อ แม่ง! มันน่านัก

“แกไม่รู้อะไร เขามีความหลังกันมาก่อนไง”

“มันต้องเป็นความหลังแบบไหนห๊ะตาแก่บ้า”

“ก็เกือบหาป้าสะใภ้ให้แกได้ก็แล้วกัน”

“ว้าว! ใช่เวลาไหมวะ” เสียงโวยวายจากสองแฝดทำเอาอีธานกลั้นขำไม่ได้ไอ้เด็กพวกนี้ลืมตัวอีกแล้วสินะถึงไม่รู้ตัวว่าเผยความห่วงใยมาให้กันได้ขนาดนี้ แต่เขาจะไม่พูดหรอกแบบนี้มันก็ดีอีกแบบ ดีกว่าโดนพวกมันยียวนกวนอารมณ์เป็นไหน ๆ

แต่ตอนนี้ขอตามหาตัวแม่เสือน้อยของเขาก่อนดีกว่า

“ไงคนสวย ไม่คิดจะออกมาเจอกันหน่อยเหรอ”

“...”

“คิดถึงกันบ้างไหมที่รัก”

ปัง

“โอ๊ะ คงคิดถึงกันมากเลยสินะ” เสียงหัวเราะชอบใจกับการตอบรับจากอีกคนที่ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แล้วกระซิบคุยกับอนาคิณผ่านสาย

“ถึงยังคิณ”

“ฉันอยู่หลังนาย ไม่ต้องหันมาฉันจะอ้อมไปอีกทาง”

“ไม่คิดจะออกมาเจอกันจริง ๆ เหรอ กายอาร์ โลวเลน์ส”

ฟิ้ว!! ฉึก

“อ่ะ รู้แล้ว นี่กะจะทำหน้าฉันเสียหายจริง ๆ สินะ”

“คิณทางขวาเก้านาฬิกา เบา ๆ นะเดี๋ยวผิวช้ำ”

“หึ จัดให้” อนาคิณรับคำก่อนจะใช้ฝีมือการย้องเบาของตัวเองแอบไปด้านหลังของแม่เสือน้อยที่ปามีดออกมาเมื่อครู่นี้ เกือบเสียเพื่อนแล้วไหม แต่คุ้มจริง ๆ

แกร็ก

“อย่าขัดขืนดีกว่ากายอาร์ ฉันไม่อยากทำเธอเจ็บจริง ๆ” ปืนที่จ่อทายทอยไม่ได้ทำให้เจ็บใจเท่ากับการที่อนาคิณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเขาไม่รู้ตัว

เพราะมัวแต่เล็งเป้าไปที่อีธานเลยทำให้ลืมระวังหลังสินะ

“ฉันไม่ชอบฟังคำสั่งใครนอกจากบอสเสียด้วยสิ” ว่าจบก็ใช้ความพลิ้วไหวของตัวเองหันไปจับข้อมือของอนาคิณก่อนจะทุบเข้าข้างฝาเป็นเหตุให้ปืนลั่น อีธานที่รอฟังผลได้ยินก็รู้แล้วว่าคงไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาสินะ ก็นี่มันมือขวาของโจเซฟเลยนะคนที่มีค่าหัวและค่าตัวพอ ๆ กับเจ้าแฝดนรกรวมกันอีก

“เฮ้!!คิณ เอาอยู่ไหมตอบด้วย”

อึก ปัง

“อ่า! เอาอยู่นา!” เสียงตื่นเต้นผ่านมาทางปลายสายก่อนจะเป็นการบอกให้เขาไปตามหา แสงตะวันก่อนเพราะคิดแล้วว่าแถวนี้ต้องมีที่ ๆ ทำให้พวกเขามองข้ามก็เป็นได้

“คิณอย่าฆ่าเธอนะ ขอร้อง”

“นายก็รู้ว่าไม่มีวันนั้นแน่นอน” ก็พวกเขาหมายปองคนคนนี้มานานพอ ๆ กันนี่จะให้ฆ่าได้ไงแต่ตอนนี้ขอใช้กำลังสยบแม่เสือน้อยก่อนแล้วค่อยมาว่ากันทีหลัง

“อย่าคิดจะฮุบไว้คนเดียวด้วย”

“ไปได้แล้ว อุกน่ารำคาญ” เสียงที่ผ่านเข้ามาในสายทำให้เขายิ้มได้จริง ๆ เหมือนได้กำลังใจยังไงก็ไม่รู้ บ้าจริง รู้สึกเลือดลมสูบฉีดขึ้นมาเลยที่เดียว

“ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ฉัน”

“ลุงว่าอะไรนะ” อารมณ์สีชมพูหยุดลงเพราะเสียงจากไอ้เด็กนรกที่ขัดจังวะก่อนจะถอดหูฟังออกแล้วเดินสำรวจต่อ



“เหลือเราสองคนแล้วนะ”

“แล้วไง ต้องดีใจไหม”

“ไม่รู้สิ แค่หวังว่าจะเห็นเธอเขินสักครั้ง” การพูดคุยกันเหมือนวัยรุ่นเริ่มมีรักต่างจากสถานการณ์ชกต่อยกันมันช่างไม่ลงตัว ขัดแย้งกันสุด ๆ

“ตายก่อนสิ”

“ได้ไงฉันยังไม่ได้เห็นแก้มก้นเธอเลยนะ” อนาคิณยียวนจน กายอาร์ที่ฝึกความอดทนมาพอตัวก็รู้สึกว่ามันเริ่มจะหมดไป

จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นคนของโจเซฟแต่เขาไม่ได้มีอารมณ์ความคิดแบบนั้น แบบที่เหมือนเอ่อ...คนบ้า

“ฉันจะตัดลิ้นนายให้ตายเถอะ” พูดจบกายอาร์ก็พุ่งตัวเขาใส่ตวัดมือนิดหน่อยเพื่อส่งมีดที่ซ่อนไว้ออกมา สายตาเล็งไปที่ลำคอหนาแต่ก็ต้องพลาดท่าเมื่ออนาคิณปัดป้องได้ทัน

“ฝีมือตกหรือเปล่านะ” อนาคิณพูดขึ้นตอนที่จับข้อมืออีกคนได้แล้วบิดไปไขว้ไว้ด้านหลังแอบสูดดมกลิ่นข้างลำคอที่ดูหอมแบบชายแท้เหลือเกิน

อืม กลิ่นที่น่าลิ้มลอง

จับได้ไม่นานก็ต้องปล่อยออกเมื่อกายอาร์ใช้ช่วงที่ถูกดันติดเสายันเท้าแรงเพื่อม้วนตัวเป็นคนจับอนาคิณไว้แทนและไม่ลืมที่จะเตะข้อพับขาจนตัวเขาเสียหลักลงไปคุกเข่าด้านหน้าแถมยังรู้สึกว่ามีอะไรมาจ่อที่คอหอยอีก

“เร้าใจดีจริง”

“ไอ้โรคจิต”

“รักฉันขึ้นมาบ้างหรือยัง อึก” พูดยังไม่จบดีก็ต้องหยุดเพราะคนที่จ่อมีดไว้ดันมีดเข้ามาใกล้มากขึ้นถึงกับรู้สึกแสบ ๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว ก่อนที่กายอาร์จะเปลี่ยนใจสับศอกลงไปที่คอของอนาคิน

“พวกแกมันโรคจิต ทำไมฉันต้องมาพัวพันกับคนแบบนี้ด้วยนะ” ไม่เว้นแม้กระทั้งนายตัวเอง พวกที่คิดทำอะไรแล้วเดาทางไม่ได้เลยสักที

แต่ระหว่างที่กายอาร์ชะล่าใจที่คิดว่าทำอนาคิณหลับไปแล้ว เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เครียด

กริ๊ง

เสียงซิปโป้ดังขึ้นข้างหูมือที่ควานหาไฟแช็คของตัวเองต้องหยุดลงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ฉันน่าจะฆ่านายซะ”

“นั่นสิ..ปึก” อนาคิณสับมือลงท้ายทอยกายอาร์ก่อนจะยื่นแขนออกไปรับร่างที่อ่อนตัวลงเพราะโดนสับสวิตซ์ให้หลับกลางอากาศ

“ตอนหลับช่างยั่วนัก แต่ฉันชอบตอนที่เธอตื่นมากกว่านะ” อนาคิณจับแม่เสือน้อยไปมัดไว้ที่เสาก่อนจะหยิบเทปดำออกมาจากไหนไม่รู้เขาใช้มันพันไว้รอบกำปั้นของกายอาร์ เพื่อกันแม่เสือน้อยแอบช่วยตัวเองแล้วหนีไป เจอก็ยากเข้าใกล้ยิ่งเลิกคิดเจอตัวขนาดนี้ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ แน่ อย่างน้อย ๆ ต้องได้พูดคุยกันให้เข้าใจเสียก่อน

“เอาไว้แบบนี้หวังว่าตื่นมาแล้วจะไม่หัวร้อนหรอกนะ”

อนาคิณเดินออกจาจุดที่เขามัดอีกคนไว้ก่อนจะเดินตามหาน้องเล็กอีกครั้งและครั้งนี้เขาก็เจอเบาะแสใหม่เมื่อเจอกับรีโหมดอะไรสักอย่างที่วางแหมะอยู่ตรงหน้านี้

“หวังว่าจะไม่ใช่ระเบิดนะ อีธานได้ยินฉันไหมฉันเจอรีโหมดอะไรบางอย่างตกอยู่”

“มันเป็นแบบไหน”

“เหมือนรีโหมดรถ หรือที่จุดระเบิดไม่แน่ใจ”

“อย่ากดนะคิณ” อีธานบอก

“ไม่คิดทำอยู่แล้ว แต่มันทำให้ฉันคิดว่าแถวนี้อาจมีห้องอะไรซ่อนอยู่ เรียกคนของนายกลับมาฉันว่ามันต้องอยู่แถวนี้แน่ ๆ ”

“ได้ ฉันจะกลับไปหานะ”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะตามกำแพงบ้านไม่ได้ทำให้คนด้านในรู้ได้เลยว่าด้านนอกตอนนี้กำลังมีคนมาช่วยเขามากมายแค่ไหน

“ตรงนี้ฉันว่ามันดูบาง ๆ ไปนะ”

“ถอยสิ๊ ก๊อง ๆ อืมบางไปจริง ๆ ” อนาคิณว่าขึ้นเมื่อลองใช้นิ้วเคาะลงที่เดียวกันกับอีธาน

“เอาไง จะลองกดหรือหาทางเอง”

“เราเสียเวลามามากแล้ว...กดเลย” อีธานเอยออกมาเมื่อมันใช้เวลามากเกินไปแล้วจริง ๆ ถึงจะหวั่นใจอยู่มากก็เถอะ ถ้ารีโหมดนี้เป็นปุ่มกดระเบิดละก็...แล้วถ้ามันติดอยู่ที่ตัวน้องน้อยอีก!

อนาคิณมองหน้าเพื่อนอีกครั้งก่อนจะได้แรงพยักหน้าย้ำกับคำตอบเขาสูดลมหายใจอีกครั้งพากันถอยออกจากกำแพงที่ยืนกันอยู่ก่อนจะยอมกดรีโหมด ในใจก็คิดแล้วว่าหากมันจะเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เขาก็อยากวิ่งกลับไปเสาที่สามตรงนั้นที่มีใครอีกคนถูกมัดอยู่

แกร็ก ครืดดดด

แต่เสียงที่เหมือนประตูเปิดก็ทำเอาทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้มองหน้ากันก่อนจะมองไปที่กำแพง อิฐฝาพนังด้านนอกเปิดออกก่อนจะเห็นประตู้อีกบานที่น่าจะหนาพอตัวเลย

“มันไม่ใช่ระเบิด” อีธานพูดยิ้ม ๆ แล้วพากันเดินเข้าไปใกล้กับจุดนั้นและเหมือนเขาจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

ฮึก ฮึก

อีธานมองหน้าอนาคิณที่ตอนนี้เหมือนจะมีรอยยิ้มขึ้นมานิด ๆ ก่อนจะช่วยกันเปิดประตูที่เจอออก เขาและอนาคิณตั้งกระบอกปืนขึ้นเตรียมยิงหากว่าด้านในไม่ได้มีแค่แสงตะวันจะได้ไม่พลาดท่าเสียทีทีหลัง ลูกน้องของอีธานที่ทำหน้าที่เปิดรหัสประตูก็หันมาบอกว่าเปิดได้แล้ว

“หึ ก็ไม่เท่าไหร่นี่” รหัสทางเข้าขนาดลูกน้องเขายังเปิดได้พวกมันไม่ได้คิดจะตั้งไว้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำมั่ง เพราะคงคิดว่าไม่มีใครจะหาที่นี่เจอ

แอ๊ด!!!

เสียงบานประตูเปิดออกพร้อมกับแสงไฟจากกระบอกไฟฉายทำให้คนที่นั่งติดอยู่กับเก้าอี้ถึงกับต้องหยี่ตาหลบเพราะมันแยงตาเหลือเกิน จึงไม่ได้เห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาแต่ที่รู้แน่ ๆ เลยคือ...

มากกว่าหนึ่งคน

“อิง”

“พระเจ้า!!มันทำอะไรเธอเนี่ย” อีธานอุทานออกมาเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน เขามองภาพเด็กน้อยที่เขาเป็นคนสัมภาษณ์งานเองกับมือกับสภาพตอนนี้เสือผ้าเปื้อนฝุ่นดวงหน้าเต็มไปด้วยคาบน้ำตาจนไม่น่ามองไหนจะมุมปากนั่นอีก

“พี่คิณ! อีธาน!! ฮือ!!” แสงตะวันปล่อยโฮออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นของใครหมดแล้วความเข้มแข็งที่ฝืนทนมาเนิ่นนาน

“แจ้งบอสเร็วเราพบอิงแล้ว” อีธานรีบรายงานบอกคาล์ลทันทีเมื่อช่วยแก้มัดให้เจ้าเด็กน้อยได้ น่าสงสารเกินไปแล้วอิง

แสงตะวันพอหลุดออกจากพันธนาการก็โผตัวเข้าใส่พี่ชายที่เครารพอย่างอนาคิณทันที

“พี่ขอโทษอิง พี่ขอโทษ” อนาคิณที่เห็นสภาพน้องน้อยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง

“ฮือ!!อิงกลัวพี่คิณอิงกลัว ฮึก” เสียงร้องไห้เหมือนเด็กน้อยวัยสามขวบทำเอาคนพี่ทั้งสองปวดแปล๊บไปถึงทรวงอกกันไปหมด

ตั้งแต่รู้จักเด็กคนนี้มาไม่มีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะได้เห็นแสงตะวันอ่อนแอแบบนี้ ขนาดโดนด่าเรื่องงานยังไม่เคยร้องมีแต่ฮึดสู้ มันต้องหนักหนาแค่ไหนกันนะกับเด็กคนนี้

รอไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบเหมือนคนวิ่งก็ตรงมาทางนี้พร้อมเสียงเรียกหาเจ้าหนูน้อยของเขา

“อิง!! อิง!!” คาล์ลเรียกเสียงสั้นเครือก่อนที่ใจจะกระตุกเมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยสภาพแย่แค่ไหน

ไหนไอ้สตีฟมันบอกอยู่ดีกินดี แล้วนี่มันคืออะไร!

“คุณเมฆ ฮึก ฮือ!! นึกว่าจะไม่ได้เจอแล้ว”

“ไม่มีวันนั้นซะหรอก ชูว!!ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันอยู่ตรงนี้” คาล์ลกอดปลอบแสงตะวันอย่างอ่อนโยนทั้งที่จิตใจเขาตอนนี้มันช่างร้อนเป็นไฟอยากจะฆ่าไอ้คนที่ไม่ทำคนของเขาเป็นแบบนี้เหลือเกิน

อีธานและอนาคิณมองหน้ากันก่อนจะนำทีมออกจากห้องนี้เพื่อช่วยกันตรวจเช็คอย่างอื่นต่อ พอเรียบร้อยก็พากันกลับไปรอที่เรือ ขากลับเขาคงได้ขี่เจ็ทสกีกลับกับคิณแทนแล้วแหละ

ไม่สิพวกเขายังต้องเอาของขวัญกลับด้วย คงไปเจ็ทสกีไม่ได้แล้ว



“อิงขอโทษ ฮึก อิงน่าจะฟังคุณ”

“ฉันก็ขอโทษที่ปล่อยให้เธอเดินออกจากห้องไปวันนั้น ถ้าฉันคิดรั้งเธอไว้...” เขากัดฟันตัวเองแน่นจนได้ยินเสียงครูดเกิดขึ้นภายในปาก ถ้าวันนั้นเขาทำตัวเอาแต่ใจกว่านี้อิงก็คงยังปลอดภัยไม่เจ็บตัวแบบนี้ ยิ่งเห็นมุมปากเล็ก ๆ นั่นแล้วยิ่งอยากจับไอ้คนที่ทำไปเป็นอาหารลูกเขาเสียจริง โทษฐานที่บังอาจมาทำแม่มันเจ็บตัว

“กลับบ้านกันนะ กลับบ้านของเรา” เด็กน้อยพยักหน้างึกงักระรัว ๆ พร้อมกับกระชับมือบางที่กำเสื้อของคนตัวโตให้แน่นขึ้น

“ต่อจากนี้จะไม่มีใครทำเธอเจ็บตัวแม้แต่ปลายเล็บ” พูดจบคาล์ลก็ชอนตัวเจ้าหนูของเขาขึ้นมาแนบอกในท่าเจ้าสาวเดินออกจากห้องแคบ ๆ นี้

ภายในใจก็คิดหลายอย่างไว้ในหัวว่าจะทำยังไงต่อดีก่อนจะพูดขึ้นผ่านสายหูฟังที่ยังคาอยู่ที่หู

“นิกซ์ อย่าเพิ่งเล่นคนเดียวจนมันตาย”

“แต่นายท่า—”

“ฉันก็อยากเล่นกับมันบ้าง เอาตัวมันกลับด้วย” นั่นคือคำขอสุดท้ายจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่านาย เพื่อน และน้องชายที่เขาต้องปกป้อง ก่อนจะมองดูคนที่นอนจมกลองเลือดจากการที่เขาได้เล่นไปด้วยหลายอย่างแต่ต่อจากนี้คงต้องพอแล้วแหละ ก็นายท่านสั่งมาขนาดนั้นถ้าขืนขัดใจต้องมีคนได้รับกรรมแน่ ๆ

“แฝด เช็กสิ๊มันตายหรือยังช่วยทำให้มันฟื้นที และถ้ามันคิดจะใจเสาะลาโลกไปก่อน ก็ต้องทำทุกทางให้มันตื่นขึ้นมาหายใจให้ได้” การสั่งแบบทีเล่นทีจริงแต่สายตาช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

“เพราะนายท่านต้องการตัวมันเป็น ๆ ”



หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 18-01-2022 20:18:15
ปลอดภัยแล้วนะน้องอิง
แต่คนที่ซวยคงเป็นโจเซฟ
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:42:46
ตอนที่ 26 ถูกขอ..แต่งงาน..เหรอ



ตอนที่คาล์ลอุ้มแสงตะวันมาขึ้นเรือ เจ้าตัวก็หลับไปแล้วด้วยความเพลียที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่หลังบ่าย อกอุ่น ๆ กลิ่นที่คุ้นเคยที่เขาโหยหามาหลายวันที่ผ่านมา มันเลยไม่ยากกับการหลับทั้ง ๆ ที่เรือยังแล่นด้วยความเร็วอยู่แบบนี้

ตอนมาคาล์ลขับเจ็ทสกีมาคนละคันกับฟีนิกซ์แต่ขากลับเขาเลือกจะขึ้นเรือแทนเพราะต้องคอยดูแลเจ้าหนู สวนฟีนิกซ์ก็มีควายตัวใหญ่พิงไหล่นั่งฝั่งตรงข้ามเขา ถึงจะดูไม่ใส่ใจแต่การที่ใช้มือสอดประสานกันไว้แบบนั้น มันคงเป็นความรักในแบบนิกซ์ เพราะคำว่าหัวหน้าทีมมันจึงยากที่จะทำตัวอ่อนแอหรืออ่อนโยนให้ใครเห็นที่เห็นก็คงจะมีไอ้คนที่นั่งหลับอยู่ตรงนั้นแหละดีหน่อยที่แผลถูกยิงของมันถูกประถมพยาบาลเบื้องต้นไปแล้ว ไม่ต้องมาหวั่นว่ามันจะมาตายบนเรือที่เขาโดยสารอยู่

“จะเอายังไงต่อครับ” นั่งเงียบกันมานานฟีนิกซ์ก็เอ่ยถามขึ้นก่อนจะหันไปมองคนด้านข้าง

คาล์ลที่มองคนบนตักอยู่ตลอดเวลาแหงนหน้ามองคนถามแว๊บเดียวก่อนจะกลับมาโฟกัสที่เดิม

เขาอยากพาเจ้าหนูไปในที่ที่เขาคิดว่ามันปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ ส่วนเรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง หรือถ้าเจ้าหนูตื่นแล้วโวยวายเขาก็พร้อมจะอธิบายให้มากขึ้นจะไม่ยอม ให้เรื่องที่แล้วมาต้องเกิดซ้ำเป็นรอบสองอีกแน่เพราะหากเกิดขึ้นอีกบอกเลยว่าเขาจะไม่ใจเย็นกับใครแบบนี้อีก

“กลับบ้านกัน สตีฟเองมันก็คงอยากพัก”

“...”

“ถ้าเรื่องนี้จบแล้วจริง ๆ ฉันจะอนุมัติให้พวกนายพักยาว ๆ”

“บอส!”

“ฉันแค่อยากให้พวกมันได้พัก ทุกคนมีเรื่องส่วนตัวกันทั้งนั้น นายเองก็เหมือนกัน..นิกซ์”

“ครับ” จบบทสนทนาทุกอย่างก็กลับมาเงียบอีกครั้งมีเพียงเสียงเครื่อง ที่แล่นอยู่กลางทะเล แต่มันไม่ได้สร้างความอึดอัดให้กับคนที่อยู่ในเรือเลยทีเดียว

หยินและหยางที่รับหน้าที่ขับเจ็ทกลับก็ขับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นสัญญาณมือจากลูกพี่ที่รักจากตอนแรกพวกเขาขับรั้งท้ายเพราะอยากระวังหลังให้

“พวกแกขับขึ้นฝั่งไปก่อนไป บอกคาเมลาร์ด้วยว่าพวกเราต้องใช้เครื่องบินเจ็ท ขอแบบเครื่องพร้อมใช้งานทันทีหลังเรือเทียบท่า และขอหมอที่ไว้ใจได้ด้วย” รับคำเสร็จพวกเขาก็บิดเครื่องทยานออกไปเลยโดยไม่ต้องคิดหาคำตอบใด ๆ และไม่คิดถามเลยด้วยว่าจะไปที่ไหน ก็แค่เตรียมเครื่องแต่ไอ้ที่ให้เตรียมหมอที่ไว้ใจได้เนี่ยนะ ลูกพี่! นี่ไม่ใช่ดูไบนะ แต่คำสั่งต้องเป็นคำสั่งคงต้องไปเชิญคุณหมอฝีมือดีที่ไหนสักแห่งในแทบนี่แล้วหละเขาว่า

สองพี่น้องนรกแตกขับเจ็ทสกีออกไปไกลแล้ว คนที่ไม่ได้สติมานานก็ฟื้นขึ้นมา พร้อมกับวาจาปากที่น่าทำให้หลับอีกสักรอบ

“ยังไว้ชีวิตฉันแบบนี้ไม่กลัวกันเลยนะ”

“นายท่าน!”

“ไงกาย แค่ก แค่ก ขนาดนายยังพลาดท่าพวกเวรนี่ด้วยเหรอ!”

“ขอโทษครับ”

“ไม่ ไม่ ไม่ นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” คำพูดดูดีเหมือนไม่คิดจะต่อว่าแต่สายตากลับข่มซะจนคิณที่มองอยู่ต้องดึงตัวกายอาร์ ให้ออกจากจุดนั้นเพราะตอนนี้แม่เสือน้อยของเขากำลังน่าสงสาร อีธานที่เห็นว่าคิณดึงกายอาร์ออกไปแล้วก็นั่งลงต่อหน้าคนที่ถูกมัดติดไว้กับเรือก่อนจะพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“อย่าใช้คำพูดดูดีของมึงมาทำให้คนอื่นดูแย่ ถ้ามึงรู้จักประมาณตัวเรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิดเผลอ ๆ มึงอาจจะได้ในสิ่งที่มึงอยากได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรด้วยซ้ำ” ใช่ถ้ามันเข้าหานายเขาให้ดีกว่านี้ ครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกกับมันคือมันใช้เงินกว้านซื้อพื้นที่ที่ไม่สามารถซื้อขายได้เพราะมันขึ้นทะเบียนเป็นที่ของนายเขา มันก็เล่นสกปกเอาของสกปกอย่างยาเสพติดเข้ามาในถิ่นที่นายเขาดูแล คาสิโนที่ใหญ่ที่สุดแต่ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่ในครั้งนั้นนายของเขาก็ยอมปล่อยมันไปเพราะคิดว่ามันยังเด็กยังหลงในอำนาจที่เพิ่งได้รับ จึงไม่สนใจในคำเตือนจากบิดาสุดท้ายก็ถลำลึกขึ้นทุกวัน ๆ ยิ่งเห็นว่า อัจมาน คาล์ล มีอำนาจมากขึ้นความอิจฉายิ่งทวีมากขึ้นไปด้วย

“ถุ่ย พวกมึงก็แค่ขี้ข้า ไม่ต่างอะไรจากมันมีสิทธิ์อะไรมาสอนคนอย่างกูห๊ะ!!” โจเซฟทำท่าจะจู่โจมเข้าหาอีธานแต่ดีที่ว่ามือของมันถูกมัดไว้อยู่ แต่การที่มาถ่มน้ำลายใส่คนที่ไม่ได้ถูกพันธนาการแบบนี้...

เพี้ยะ

“ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทเลยหรือไง”

“อย่าทำเขา!! ขอร้อง” เสียงแข็งที่ปนไปด้วยความอ่อนไหวทำให้อีธานหันไปจ้องหน้าบุคคลนั้น กายอาร์เองก็มองกลับมาไม่ลดละ แววตาไหววูบแต่ภายนอกกลับดูเย้อหยิ่งไม่ได้เหมือนข้างในเลย

และเขาก็ต้องเป็นคนแพ้ยอมละสายตาออกจากการจ้องกันก่อนจะลุกแล้วเดินไปนั่งด้านข้างอีกฝั่งของเรือที่มีโจเซฟถูกมัดอยู่

“ทำไมยังซื่อสัตย์กับมัน นายมีทางเลือกที่ดี--”

“ฉันเลือกแล้ว ก็เหมือนพวกนายที่ยังคงซื่อสัตย์กับเขา” กายอาร์มองชายตาน้ำข้าวที่เขาไม่เคยชอบหน้าเลยก่อนจะหันมามองที่อีกคนด้านข้างที่มีความแตกต่างกันเหลือเกินอีธานเป็นชายตัวสูงขาวแต่จะดูบางกว่าถ้าเทียบกับอนาคิณที่มีรูปร่างใหญ่บึกบึนผิวสีแทนน้ำผึ้ง แต่ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันนั่นคือเขาไม่ชอบหน้า

“แต่เราหวังนะ ว่าสักวันพวกเราจะได้เป็นตัวเลือกของนายบ้าง” อนาคิณพูดจบก่อนจะขำออกมานิด ๆ

ตลกตัวเองที่ปากขำแต่ใจเจ็บแปล๊บกับการไม่เคยถูกมองหรืออยู่ในสายตาคนคนนี้เลย ครั้งแรกที่เขาเจอกายอาร์เป็นวันที่ฝนตกตอนนั้นคิณเป็นแค่พนักงานร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งในอังกฤษเป็นช่วงลูกค้าเริ่มซาบวกกับฝนตกหนักเขาเลยขอตัวออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก แต่ใครจะคิดว่ามันจะเจอเรื่องไม่คาดคิด เขาเจอกายอาร์นอนจบกองเลือดอยู่ข้างร้านที่เขาทำงานด้วยสภาพยับเยินทั้งตัว ตอนนั้นบอกเลยว่าเขาคิดอะไรไม่ออกเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุ19ปีที่พยายามหาเงินให้ได้มมากเพื่อส่งตัวเองเรียนและรักษาชีวิตตัวเองก่อนกลับไปยังประเทศของตัวเอง

แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันมากกว่าสิ่งที่เขาอยากเจอแต่จะทิ้งไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดไต่ตรองอยู่นานมองคนที่นอนอยู่กับพื้นมองเข้าไปในร้านที่ทำงานยกนาฬิกาที่ใส่อยู่ขึ้นมาดูก่อนจะตัดสินใจยั่นลงพยุงคนที่คิดว่าสลบขึ้นมานั่ง และเขาก็ต้องตัวเย็นวาบเมื่อมีปืนจ่อมาที่ปลายคางแล้วคนที่ทำมันแบบนั้นก็คือคนที่เขาคิดจะช่วย

“เฮ้ ผมแค่อยากช่วย” กายอาร์มองคนตรงหน้าก่อนจะลดปืนลงแล้วกลับไปหลับดังเดิม

หน้าตาไม่น่ามีพิษอะไร ตัวก็แค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เพราะในตอนนั้นอนาคิณตัวเล็กมากจริง ๆ หากเทียบกับปัจจุบันใครจะเชื่อว่าไอ้ผอมแห้งแรงน้อยที่แบกเขาขึ้นหลังยังจะไม่ได้จะกลายมาเป็นไอ้ควายถึกขนาดนี้

หรืออาจเป็นเพราะหลังจากนั้นก็ได้มั่ง

กายอาร์ในวัย17ปีที่ไม่ชอบมีปัญหาแต่ความที่เขานิ่งจนเกินไปทำให้มันเป็นเป้าสายตาให้กลับพวกอันธพาล เขาถูกแกล้งทุกครั้งที่ออกมาเรียน และก็ไม่มีใครเอาผิดพวกมันได้เพราะเขาไม่มีผู้ปกครองมาช่วยเอาผิด ใช่เขาเป็นเด็กกำพร้าจำความได้เขาก็อยู่กับซิสเตอร์แอลลี่แล้ว พออายุครบกำหนดที่ทางบ้านตั้งไว้แล้วไม่มีใครรับไป เขาก็ต้องออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ ตอนเช้าเขามอบเวลาให้การเรียน ตกเย็นคือเวลาหาเงินด้วยความที่เก่งไอที เขาจึงรับงานพวกนี้บ่อยครั้งบางงานก็ง่ายแต่บางงานมันก็ขึ้นอยู่กับชีวิตเหมือนครั้งที่เขาได้เจอกับคิณ คือวันที่เขาถูกจ้างให้ค้นหาข้อมูลลับภายในแก๊งมาเฟียใหญ่แต่ในตอนที่เขาเจาะเข้าไปได้ไม่ถึงสิบนาทีหน้าจอเขาก็ภูกรบกวนจากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่มันบอกว่ามันชื่ออีธาน แถมมันยังบอกอีกว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่อยากได้ข้อมูลพวกนี้

เข้าไม่ได้ตอบแต่ปัดจอของมันออกไปก่อนจะเริ่มการแฮ็คอีกครั้ง และก็เป็นเหมือนเดิมเมื่อตอนที่ใกล้จะเข้าได้ ไอ้บ้านั่นก็จะโผล่เข้ามา แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยแต่มันพิมพ์มาว่า...

“จ๊ะเอ๋ เราเจอเธอแล้วแม่เสือน้อย”

ตอนแรกเขาก็งงว่ามันหมายความว่ายังไงแต่ก็ไม่นาน ไม่นานเลยจริง ๆ หลังประตูห้องของเขาถูกเปิดออก เรียกเปิดได้ไหมนะ! แล้วก็มีชายชุดดำสองคนเข้ามาในห้องของเขาเดินตรงเข้ามาไม่พูดอะไร อีกคนเดินเข้ามาหาเขาที่ลุกออกจากที่ไปหยุดที่หน้าต่างห้องพักก่อนจะมองอีกคนที่เดินเข้าไปยุ่งที่หน้าจอคอมของเขา

“แกจะทำอะไรคอมฉัน”

“...”

“เฮ้!!อย่าเข้ามั่วเหมือนเป็นของตัวเองสิวะ” กายอาร์กำลังจะวิ่งเข้าไปดึงชายคนนั้นให้ออกห่างจากเครื่องมือทำมาหากินของตัวเองที่มันมีข้อมูลอีกมากมายอยู่ในนั้น แต่ก็ไม่ทันเพราะเขาโดนชายอีกคนชกเข้าที่ท้องอย่างแรกจนล้มลงไปนอนกองกับพื้นมองพวกมันที่พยายามทำอะไรก็ไม่รู้กับเครื่องของเขา

“ใครจ้างแก่ค้นประวัติ”

“อะไร! ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น อั้ก” แรงเตะเข้าที่ท้องไม่เบาเลยเขาตัวเล็กนิดเดียวพวกมันต้องการอะไรจากเขากัน ก็แค่คนคนหนึ่งที่ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง

และทุกครั้งที่มันถามแล้วเขาไม่ตอบสิ่งที่ได้ก็จะเป็นแรงตบ ต่อย เตะ อยู่ทุกครั้งจนเขาได้ยินเสียงของใครอีกคนดังมาจากด้านหน้า แต่เขามองไม่เห็นแล้วตาเขาบวมจนปิดไปหมด

“ใครให้พวกแกทำร้ายเขาห๊ะ”

“แต่มันไม่ยอมบอกว่าใครจ้างมันมา”

“งานแบบนี้ใครมันจะมานั่งบอกกันว่าใครจะจ้าง ให้เดาก็คงรับงานผ่านเมล์หรือไม่ก็มือถือ”

“หึ อย่าคิดว่าเป็นเพื่อนฟีนิกซ์แล้วจะพูดอะไรก็ได้นะ” เสียงชายคนก่อนหน้าพูดขึ้นเพราะมันไม่พอใจที่คนมาใหม่ด่ามัน

“แล้วจะทำไมฉัน พวกแกคิดว่าจะทำอะไรฉันได้อย่าคิดอะไรแค่สั้น ๆ อย่าทำตัวเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก” คนที่เข้ามาใหม่ปากคอก็ไม่ได้เบาเลยฟังจากเสียงแล้วคงจะอายุไม่ได้มากบวกกับคำพูดเมื่อกี้คงเด็กกว่าไอ้สองคนที่เข้ามาก่อน

“ขอโทษทีนะที่มาช้าเผอิญว่าฉันออกมาจากบ้านก็ตรงมาเลยไม่น่าให้ตาลุงพวกนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ” เสียงอ่อนหวานที่ฟังแล้วรู้สึกขนลุกเป็นบ้าไหนจะมือที่ลากมาตรงหน้าเขาอีก

“เสียดายที่ไม่ได้เจอกันในสภาพที่ดีกว่านี้ แต่หวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก ฉันชื่ออีธาน จำไว้ให้ขึ้นใจส่วนชื่อของนายไว้ได้เจอกันอีกครั้งฉันจะถามนายเองเพราะฉันจะจำนายไว้ให้ขึ้นใจเลย และอีกเรื่องคนที่นายกำลังตามสืบเรื่องของเขาอยู่เลิกซะถ้ายังอยากมีชีวิต และทางที่ดีออกจากห้องนี้ด้วยเพราะพวกที่จ้างเธอมันก็คงไม่คิดปล่อยเธอไว้แน่” มันพูดจบก็เหมือนมีอะไรบางอย่างวางลงที่มือก่อนที่มันจะกระซิบข้างหูของเขา

“ใช้สิ่งนี้ไปหาคนที่ชื่อ อนาคิณเขาทำงานที่ร้านขนมตรงหัวมุมเอาสิ่งนี้ให้เขาแล้วเขาจะช่วยนายถือว่าเป็นการขอโทษที่มาช้าไป” มันพูดไว้แบบนั้นก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคนที่มาก่อนหน้านี้

อะไรวะ! ถาม ต่อย ทุบ เตะ สุดท้ายทิ้งปืนกับอะไรก็ไม่รู้เอาไว้ให้แล้วก็เดินจากไปแถมยังบอกให้เขาหนีไปหาใครก็ไม่รู้แต่เรื่องที่ว่าคนที่จ้างจะตามมาเก็บนั่นเขาเชื่อนะ เพราะขนาดไอ้พวกไม่จ้างยังขนาดนี้เลยแล้วจะอยู่ให้โง่เหรอ

กว่าจะลุกกว่าจะเก็บของที่คิดว่าสำคัญที่สุดอย่างข้อมูลในเครื่องกว่าจะเซฟมันหมดก็ใช้เวลาไปมากแล้วถ้าจะเก็บเสื้อผ้าอีกเดาว่าไม่ทันการแต่ขอทำอะไรก่อนออกไปหน่อยแล้วกันเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

กายอาร์เจาะเข้าระบบกล้องวงจรปิดแทบนี้ทั้งหมดทั้งของหลวงหรือตามบ้านช่องเพื่อปิดการใช้งานมันสักหนึ่งชั่วโมงหวังว่ามันจะทันนะ พอเสร็จก็ตั้งเวลาทำลายเครื่องทั้งหมดถึงจะเสียดายมากแค่ไหนแต่ถ้าเขาตายก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี ทำเสร็จก็ออกจากห้องมาด้วยสภาพยับเยินดีหน่อยที่ตึกที่เขาอยู่ไม่ค่อยมีคนมากนักแต่ความซวยของเขาในวันนี้เหมือนมันจะยังไม่หมดเพราะเดินไปได้แค่ครึ่งทางฝนก็ดันมาตกแผลที่แตกพอโดนน้ำฝนเหมือนมันจะแสบขึ้นไปอีกสิบเท่ามันทรมานมากจริง เขาถามกับตัวเองตลอดการเดินไปที่ร้านขนมร้านที่ว่า ว่าเขาผิดมากนักเหรอกับแค่ต้องการหาเงินใช้ด้วยวิธีนี้ถึงใจลึก ๆ จะรู้ว่าการที่ขโมยข้อมูลคนอื่นมันไม่ดี แต่จะทำยังไงได้มันจำเป็นนิ

“แค่ก ๆ บ้าชิบอีกแค่นิดเดียวกาย อึก” แต่ตอนที่จะถึงหัวมุมร้านที่ตามหา เขากลับลื่นล้มลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นเพราะถนนมันลื่นจากน้ำฝน เขากัดฟันพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะยันกำแพงแล้วค่อย ๆ เดินต่อไป แต่เดี๋ยวก่อนนะ...

“แล้วไอ้คิณที่ว่ามันหน้าตายังไงวะ” ตอนนี้เขาอยู่ที่หลังร้านขนมที่ว่าแล้ว แต่ด้วยสภาพที่ไม่พร้อมและไม่กล้าไปด้านในทำให้กายอาร์ยังอยู่ตรงนี้ฝนก็ยังตกหนักอาการเจ็บปวดก็มากขึ้น แรงที่เหลือเริ่มไม่เหลืออีกแล้วจากที่ยืนอยู่ก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงหลังร้านมือซ้ายกำปืนไว้แน่นแต่บอกเลยว่าใช้ไม่เป็น! กับอีกข้างที่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรก่อนที่สติจะค่อย ๆ หายไปและเหมือนเขาได้คุยกับใครสักคน...

และนั้นคือครั้งแรกของพวกเขาที่รู้จักกันก่อนที่มันจะพัฒนาอะไรมากมายในหลายปีต่อมาและการแตกหักจากเรื่องนั้นก็เข้ามากลั้นพวกเราออกจากกัน



พอมาถึงท่าเรือก็มีกลุ่มชายชุดดำอีกมากรอรับพวกเขาอยู่ที่ฝั่งในตอนที่เครื่องดับเจ้าหนูก็ตื่นขึ้นมาพอดี แต่คาล์ลก็ไม่ยอมให้เขาเดินเองยอมอุ้มแสงตะวันไปขึ้นรถที่มีคนคอยขับให้น่าจะเป็นคนของคุณเมฆเขาแหละทุกคนที่ไปที่เกาะต่างแยกกันขึ้นรถซึ่งเขาไม่รู้ว่าใครไปกับใครบ้างเพราะแต่สบที่อกอุ่นนี่ แต่คุณเมฆบอกเขาแล้วว่าทุกคนจะไปรวมตัวกันที่เครื่องบินที่เตรียมไว้สำหรับเดินทางทำให้เขาคิดว่าที่นี่คงไม่ใช่เมืองไทยหรือถ้าใช้ก็คงไกลจากกรุงเทพมาก

แต่พอรถออกตัวเขาถึงได้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองไทยแน่นอน ตึกรามบ้านช่องดูแปลกตาไปหมดผู้คนบางตาดูเงียบทั้ง ๆ ที่เป็นจุดที่ใกล้กับชายฝั่งที่ควรเกิดการซื้อขายอาหารทะเลแท้ ๆ แปลกใจไม่น้อยที่ทุกคนตามหาเขาเจอ คิดอะไรเพลิน ๆ ก็ต้องสะดุ้งหันกลับมามองคนที่นั่งข้างกันที่จับมือเขาอยู่

“คิดอะไร ยังเจ็บอยู่ไหม?”

“ไม่เจ็บแล้วครับ แค่กำลังแปลกใจว่าทุกคนตามอิงเจอได้ยังไง” เด็กน้อยถามทั้งที่ใบหน้าดูอ่อนเพลียเหลือเกิน แต่ก็ยังอยากพูดคุยกับอีกคนให้มากกว่านี้อยากทดแทนเวลาที่ไม่ได้คุยกันและเพราะไม่อยากกลับไม่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“หึ...เอาเป็นว่าถึงที่พักแล้วจะบอกทุกอย่างคุยทุกเรื่องเท่าที่เธออยากรู้เลย แต่ตอนนี้พักผ่อนก่อนนะฉันอยู่กับเธอตรงนี้เธอไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหน อยากคุยกับอีกคนเท่าไหร่แต่เรี่ยวแรงที่มีมันก็ไม่เอื้ออำนวยเหลือเกิน เขาจึงยอมพยักหน้าก่อนจะขยับเข้าไปแอบอิงไหล่หนาตามแรงกระชับมือของอีกคน แต่อยู่ ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เขาจึงดีดตัวลุกขึ้นทันที

“คุณเมฆ!แล้วแม่ล่ะครับแม่รู้เรื่องไหม?”

“ไม่ ฉันไปบอกท่านแล้วว่าขอยืมตัวเธอไปหลายวันมีค่าเสียเวลาค่าทำงานล่วงเลยให้ไม่ต้องห่วง”

“ค..คุณไปบอกเองเลยเหรอ!”

“อืม พักเถอะเดี๋ยวค่อยคุย” เขายอมกลับไปอิงไหลตามเดิมก่อนจะรู้สึกว่ามีแรงกดหนัก ๆ ลงมาที่กลางศีรษะมันทำให้ใจเต้นแรงแต่มันก็ให้ความอบอุ่นด้วยเช่นกัน เมื่อร่างกายได้รับพื้นที่ที่ปลอดภัยมันก็ค่อย ๆ Shutdownตัวเองลงทันที

หวังว่าตื่นมาแล้วอิงยังจะเห็นคุณนะครับ



08:45 น.

“อืม!!” เสียงเจ้าหนูที่หลับไปนานตั้งแต่ห้าทุ่มของเมือวานขนาดว่าเขาอุ้มขึ้นเครื่องก็ยังไม่ตื่นแถมยังจับเสื้อเขาไม่ปล่อยอีกนี่เขาจะน่ารักไปไหนกันนะ

เสียงสวบสาบจากคนด้านข้างที่ยังคงนอนกอดเขาอยู่พลอยรู้สึกตัวไปด้วย คาล์ลที่เห็นแบบนั้นจึงรั้งเจ้าหนูเข้ามาหาตัวก่อนจะสูดดมไปที่ซอกคอขาวที่เขาอนุญาตตัวเองทำความสะอาดให้ตั้งแต่มาถึง เพราะไม่อยากปลุกคนที่กำลังหลับอย่างสบายใจดูได้จากริมฝีปากที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาแถมยังต้องทำให้เขาต้องหากรรไกมาตัดเสื้อที่ใส่อยู่เพราะเจ้าหนูน้อยเล่นกำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พอจะแกะมือคิ้วสวยก็มุ่นเข้าหากันจนต้องยอมให้จับอยู่แบบนั้นแทน

“ตื่นแล้วเหรอหื้ม”

“คุณเมฆ!” สียงที่ใช้ไม่ใช่การตกใจแต่มันเหมือนดีใจที่เขายังอยู่จนอดใจไม่ไหวต้องก้มหน้าลงกดจูบที่เรียวปากบางที่มีแผลเล็กน้อยที่มุมปากเมื่อตอนมาถึงเขาได้ทายาให้ไปแล้วและคิดไว้ในใจแล้วว่าไอ้คนที่มันทำต้องเจออะไรต่อจากนี้

คาล์ลจูบค้างไว้เนิ่นนานก่อนจะผละออกมามองหน้าเจ้าหนูของเขาที่ตอนนี้ใบหน้ามีสีเลือดฝาดขึ้นเต็มไปหมดก่อนจะเอ่ยคำถามที่ยิ่งทำให้เจ้าตัวเขินหนักไปอีก

“แบบนี้ช่วยให้เธอเชื่อได้ไหมว่าที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ความฝัน” เด็กน้อยก้มหน้างุดก่อนจะผงกหัวงึกงักเป็นคำตอบ คาล์ลเห็นแบบนั้นยิ่งได้ใจกระชับอ้อมกอดให้มากขึ้นแล้วเอ่ยย้ำคำเดิม

“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ!”

“อื้อ! เชื่อแล้ว ๆ ป..ปล่อยก่อนนะหายใจไม่ออก”

“ให้ฉันช่วยผายปลอดไหมหื้มหนูอิง” แสงตะวันรีบมุดหน้าหนีคนขี้แกล้งก่อนจะตอบตะกุกตะกัก

“ม..ไม่!!แค่ปล่อยอิงก่อน” คาล์ลยอมปล่อยก่อนจะลุกขึ้นพยุงคนด้านข้างให้ลุกมานั่งข้างกันทั้ง ๆ ที่เขาสามารถลุกขึ้นเองก็ได้ ไม่ได้เจ็บหนักอะไรขนาดนั้น

“จะอาบน้ำก่อนหรือทานมื้อเช้าก่อนดี” เขาถามเด็กน้อยที่มองไปมาในห้องก่อนจะเห็นคิ้วเล็กนั่นขมวดเข้าหากัน

และเขาก็ได้คำตอบทันทีที่เด็กน้อยเอ่ยปากถาม

“นะ..นี่ดูไบ” คาล์ลพยักหน้ารับ และเหมือนจะมีอะไรอีกเยอะเลยที่เจ้าหนูอยากจะพูด

แต่ตอนนี้เขาอยากให้เด็กน้อยได้ทานอาหารก่อนเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ออกจะไอ้เกาะบ้านั่น

“คุณเม-”

“ทานข้าวอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเราค่อยมานั่งคุยกันดีไหม แสงตะวัน” พูดจบเขาก็ไม่คิดรอคำตอบช้อนตัวแสงตะวันขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำทันที

“อ๊ะ ปล่อยอิงลง คุณเมฆอิงอาบเองได้ ฮื้อ!!” เอาอีกแล้วตาแก่หื่นกามเขาเพิ่งกลับมาจากถูกจับตัวไปนะ!

ผู้ชายพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด! ทำไมชอบพาไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกันสักคำหึ้ย! อย่าให้รวยบ้างนะ



หลังทานอาหารกันเสร็จเราก็ออกมาเดินย่อยกันที่นอกคฤหาสน์และขอไปหาเจ้าเด็กน้อยของเขาไม่รู้ว่ายังจำกันได้อยู่ไหม แต่เพิ่งผ่านมาแค่สองอาทิตย์กว่า ๆ เองน่าจะยังไม่ลืมกัน มั้งนะ!

โฮกกก!!

เสียงคำรามดังทักตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาด้านในเหมือนว่ารู้ได้ทันที่ว่ามีคนมา กิวล์มองคนที่เดินเข้ามาในพื้นที่บ้านของตัวเองด้วยความตื่นตา นั่นมันมาม้านี่ใช่ จริง ๆ ด้วย ไม่รอช้าเมื่อลุกได้เจ้าเด็กตัวขาวที่ไม่ได้เด็กเลยก็วิ่งเข้าไปหาทันที แสงตะวันเห็นแบบนั้นก็ยิ้มใส่ก่อนจะตั้งท่ารับเหมือนกับครั้งก่อนที่มาแล้วคาล์ลสอนไว้ แต่จู่ ๆ คาล์ลก็เดินเข้ามาขวางบดบังการมองเห็นของเขากับกิวล์ กิวล์ที่วิ่งมาสุดแรงเกิดถึงกลับต้องเบรคตัวลงมองพ่อที่เดินมาบังมาม้าไว้ก็ทำเสียงไม่พอใจ ร้องโครม คราม เสียงดังเรียกอีกสองตัวให้ขึ้นมาจากสระ

“ไม่กิวล์ม้าของเจ็บอยู่” การพูดคุยที่อิงฟังแล้วไม่เข้าใจแต่ก็สามารถทำให้เจ้าเด็กตัวใหญ่หยุดคำรามใส่พ่อมันได้ในทันที ก่อนจะหันไปสื่อสารกับน้องอีกสองตัวที่เปียกปอนทั้งคู่

ทั้งสามตัวเดินเข้ามาหาเขาอย่างสุภาพผิดแผกจากเดิมที่ต้องรุนแรงใส่กันแถมยังเดินมานวยข้าง ๆ ดุนดันกันไปมาเหมือนอ้อนหรืออะไรเจ้าแมวยักษ์ กิฟเวนเดินเข้ามาใกล้คลอเคลียไปมาที่ลำคอก่อนจะเลียไปที่แผลตรงมุมปาก แสงตะวันนิ่งค้างมองหน้าอีกคนที่นั่งลงมาลูบขนเจ้าเด็กใกล้ ๆ กัน

“มันคือการช่วยเหลือในแบบของเขา” แสงตะวันฟังแล้วถึงได้กลับมายิ้มแก้มปริตามเดิมเอ่ยขอบคุณเจ้าเด็กขนขาวน้องเล็กก่อนจะดึงทั้งหมดเข้ามากอดให้เต็มรักและเขาก็ยังไม่ลืมว่าจบจากตรงนี้ต้องไปหาน้องสาวเขาหน่อยไม่รู้ว่าเรียนมารยาทไปถึงไหนแล้ว

“คุณเมฆ..ขอบคุณนะครับ” คาล์ลมองหน้าเจ้าหนูที่อยู่ ๆ ก็พูดออกมาก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหารั้งท้ายทอยน้องเข้ามาจูบแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะเจ็บ แต่พอคิดว่าจะขอจูบอีกครั้งอุ้งเท้าของเจ้ากิวล์ตัวพี่ก็เข้ามาดันเขาออกแล้วมันยังไม่หนำใจมีการเดินมาแทรกกลางระหว่างเขากับอีกคนจนได้

“หึ้ย!ฝากไว้ก่อนนะกิวล์”

“ช่วยพูดซักภาษาที่ผมฟังออกด้วยเถอะมันรู้สึกไม่ดีนะคุณที่ต้องเจอแบบนี้บ่อย ๆ ” คาล์ลมองหน้าเจ้าหนูที่ตอนนี้หน้ามุ่ยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฟังภาษาละตินที่เขาพูดไม่ออกใจอยากสอนแต่กลัวว่าวันหนึ่งถ้ารู้แล้วเขาจะแอบทำอะไรยากขึ้นไปอีก

“ฉันบอกเด็กพวกนี้ว่า...”

“ว่า!...”

“ฉันจะขอเธอแต่งงาน” พูดเพียงเท่านั้นก็ทำเอาคนที่ตั้งใจฟังหูดับได้เหมือนกัน

เมื่อกี้คุณเมฆพูดว่าอะไรนะ? ขอใครแต่งงานนะ! แต่งงาน! เธอที่แปลว่าเรา!!

ขอเราแต่งงาน!!!!!!!

เด็กน้อยตาเบิกกว้างเมื่อประติดประต่อคำได้สำเร็จแต่พอจะถามออกไปปากมันก็เอาแต่พะงาบ ๆ ไม่พูดสักที ใจนี่ก็เต้นจนเจ็บอกไปหมด ตาย!! แต่เท่านั้นมันคงไม่สาแก่ใจคนหน้านิ่งถึงได้เอ่ยย้ำคำเดิมแต่เปลี่ยนการพูดนิดหน่อยให้ใจเขาช้ำหนัก..ไม่ได้ช้ำเพราะอกหัก

“เธอจะยอมแต่งกับเฮียไหม แสงตะวัน”

...แต่มันช้ำเพราะมันเต้นแรงไม่หยุดเลยนี่ไง เป็นแบบนี้บ่อย ๆ มีหวังซี้แหงแก๋

“ถ้าการที่ฉันรั้งเธอไว้ไม่ได้ในวันนั้นเพราะเรายังไม่เป็นอะไรกัน งั้นเธอช่วยมาเป็นนายอีกคนของบ้านหลังนี้ มาเป็นแม่ของเจ้าสามตัวนี่ เป็นเจ้าชีวิตฉันจะได้ไหม”

ไม่เจอกันสามวันคุณไปฝึกพูดเยอะขนาดนี้มาจากไหนกัน ไม่ดีต่อความดัน และการสูบฉีดของเลือดเลย

ในกายร้อนไปหมดแล้ว!!

แสงตะวันได้แต่มองผู้ชายตรงหน้าแบบอึ้ง ๆ นึกจำวันแรกที่รู้จักจดจำทุกครั้งที่เจอหน้า ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่ทะเลาะกันแต่มาวันนี้วันที่เขาเปิดใจกลับเป็นผู้ชายคนเดิมใบหน้าเดิมที่เหมือนว่าหนวดเคราจะเยอะขึ้นคนนี้ อยากจะรักกับเขา รักในแบบที่จะต้องอยู่กัน...ไปตลอดชีวิต

โฮกกก!!

เสียงอีธานปลุกให้เขาออกจาภวังค์มองหน้าคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะถามให้แน่ใจ

“คิดดีแล้วใช่ไหมว่าเป็นอิง”

“ต้องเป็นเธอ” คาล์ลตอบแบบไม่ต้องคิด

“สัญญาณจะไม่ทิ้งอิงไปไหน”

“จะไม่มีวันนั้นแน่นอน คนดี” ไม่รู้ว่าน้ำตาเจ้ากรรมนั่นไหลลงมาตอนไหนมารู้ทีก็ตอนที่มือหนาช่วยเช็ดมันออกให้

“ง..งั้น..แต่งก็ได้ อื้อ” เรียวปากสวยโดนชกทันทีที่คำว่า’ แต่ง’ หลุดออกมาไม่ต้องรอให้คำอื่นได้ปล่อยเขาก็ปิดมันทันที ความอ่อนโยนที่กลัวอีกคนเจ็บไม่เหลือแล้ว ใครใช้ให้น่ารักกัน ต้องเจอแบบนี้ถึงจะสาสมกับคำตอบที่เขาได้รับกิวล์ที่ตอนแรกขวางอยู่ก็ยังยอมผละออก แถมดีใจเหมือนรู้ว่าจะได้ใครอีกคนมาเป็นครอบครัวอย่างสมบูรณ์แล้ว

และต่อจากนี้ใครที่คิดจะทำร้ายมาม้าของพวกเขาไม่แขนก็ขาของมันได้มาเป็นของเล่นพวกเขาแน่



TBC.



เรื่องของสามหนุ่มเรากำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไง

แต่เรื่องของพี่นิกซ์ป๋าสตีเวนเราว่าเราจะลงในเรื่องนี้เลย

และ และ 

ในที่สุด เฮียก็ขอลูกอีชั้นแต่งงานสักที!!! แอบจิ้มอล็กจิ้มน้อยมากเยอะ

ต่อจากนี้เราว่าไม่เอาอะไรเครียดๆแล้ว แต่ยากฮ่าฮ่า

ส่วนในเรื่องขอวโจเซฟนั่นเรามีตอนจบให้อี่คนที่กล้ามาตบลูกเราจนล้ม!!



พูดคุยกัน!!

สัวสดีฮับทุกคนที่จริงเราแต่งตอนที่ 25 เสร็จแล้วนะแต่พอดีว่าเช้ามาเราต้องไปฉีดวัคซีนเข็มสอง อาการจบด้วยป่วยค่ะปวดระบมที่แขนข้างฉีดในวันแรกวันที่สองมาคือ!! เจ็บทั้งตัวเหมือนรถล้มไม่มีผิด(คนที่เคยจะรู้) ตอนนี้หายป่วยแล้วค่ะ เย้! เย้! เหลือแค่เจ็บต้นแขนข้างที่ฉีด

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่รอนะคะ 

แล้วเจอกันตอนหน้า

เหนือหมอก

หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:46:32
ตอนที่ 27 ตามใจเธอต้องการ...


“จ้ะแม่”

[อย่าจ้ะอย่างเดียวนะอิง!] เสียงปลายสายดูดุนิดหน่อยหลังได้คุยกับลูกชายคนโต

“อิงขอโทษ!!! คราวหลังอิงจะไม่หายไปแบบนี้แล้ว” เพราะว่าอิงจะไม่คิดอะไรเป็นเด็ก ๆ อีกแล้ว

[เฮ้อ! แค่ได้ยินเสียงแม่ก็เบาใจ ตอนที่คุณเจ้านายเรามาที่บ้าน แม่นี่หัวใจแทบวาย] แสงตะวันยิ้มขำในคำพูดของมารดา

[..คิดไปแล้วว่าอิงไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าเขาถึงได้มาด้วยตัวเอง]

“อิงขอโทษนะจ๊ะแม่ อิงสะเพร่าเอง”

[แม่เข้าใจ!! แล้วนี่งานจะเสร็จเมื่อไหร่ล่ะลูก?] แสงตะวันหันมองกระจกเงาเบื้องหน้าก่อนจะให้คำตอบผู้เป็นมารดา..

“สักสองสามวันก็น่าจะหา-..สะ..เสร็จจ้ะ” พาวนาให้แม่ไม่จับพิรุธได้

[อ๋อ!เอออิงเท่านี้ก่อนนะลูกแม่ไปดูหน้าร้านก่อนวันนี้เท่งมาคนเดียว กระจิบไม่สบาย]

“ครับแม่ แม่! อิงรักแม่นะ”

[มาแปลกนะเรา จ้ะแม่ก็รักเราทั้งคู่แหละ ไปแล้วนะ] สายตัดไปแล้วสุดท้ายเขาก็ยังไม่กล้าบอกเรื่องเมื่อวันก่อนอยู่ดี

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกเขินขึ้นมาหน่อย ๆ แฮะ

นั่นคือก่อนที่เขาจะมานั่งสางขนให้เจ้าเด็กยักษ์สามตัวที่ไม่ยอมอยู่กรงขึ้นมาปลุกเขาตั้งแต่เช้าเพิ่งมีเวลาว่างก็ตอนที่ได้มือถือมาใหม่เขาจึงขอโทรหาแม่ด้วยความคิดถึงและกลัวคนทางบ้านจะเป็นห่วง และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แม่เป็นห่วงเขามากทั้งกังวลว่าเขาหายไปไหน ถึงคุณเมฆจะไปบอกกล่าวด้วยตัวเองแต่การที่ไม่เห็นเขากลับไปที่บ้านด้วยมันยิ่งน่าสงสัย แต่แม่ก็คือแม่เขาพยายามเขาใจเราทุกอย่างไม่ว่าจะตัวเขาหรือน้องสาวอย่างน้องอร



“รู้สึกว่าเธอจะให้เวลากับเจ้าพวกนี้มากเกินไปแล้วนะ”

ฮืม!!

“คุณ!!มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” คุณเมฆไปคุยงานที่อีกห้องด่วน ทิ้งเขาอยู่กับเจ้าเด็กพวกนี้เองแท้ ๆ จะมาบอกว่าสนใจมากว่าได้ไง

ใส่ร้ายกันชัด ๆ

“มาได้สักพักแล้ว แล้วไม่คิดจะออกไปข้างนอกบ้างเหรอ?” คาล์ลนั่งลงด้านข้างก่อนจะดึงเจ้าหนูขึ้นมานั่งตักมีหกสายตาที่ทำเอือมละอาใส่ผู้เป็นพ่อเหลือทน หากว่ามันพูดแล้วฟังเข้าใจมันคงว่า...

พอเปิดตัวขอแต่งงานก็เอาใหญ่เลยนะ!

“คิดครับแต่รอคุณคุยธุระเสร็จก่อนจะได้ไปด้วยกัน” คนฟังยิ้มบางก่อนจะซุกหน้าเข้าที่ซอกคอหอมและสูดดมมันเข้าปอดให้ชื่นใจ

การทำงานมาเหนื่อยแล้วมาเจอแบบนี้มันก็ดีนะ ดีกว่าทำงานไปวัน ๆ ไม่มีใครค่อยให้กำลังใจ

“มีเธอแล้วมันดีจริง ๆ ”

“ครับ!”

“อยากไปที่ไหนล่ะ” คาล์ลเฉไฉในคำถามก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน และมันก็ได้ผลเมื่อแสงตะวันเองก็ไม่ได้คิดจะตื้อเอาคำตอบอยู่แล้ว

จึงเลือกที่จะลุกออกจากอ้อมกอดคนโตก่อนจะหันมายื่นมือให้กับคาล์ล เพื่อช่วยดึงให้เขาลุกขึ้นรอยยิ้มของราชสีห์ที่หาดูได้ยากมันชอบปรากฏให้เห็นอยู่ทุกครั้งเมื่ออยู่กับเขา แทบอยากจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแล้วนำไปขายให้พวกพี่ ๆ เสียจริงคงได้หลายตัง





พวกเขาพากันเดินเล่นตรงสวนดอกไม้โดยมีองครักษ์รักษาการณ์เป็นเจ้าลูกชายสามตัวที่คอยหยอกล้อกันข้าง ๆ ให้ได้ยิ้มตาม แสงตะวันมองเด็ก ๆ ที่ตอนนี้อายุเกือบจะห้าปีแล้วด้วยความพินิจพิจารณาก่อนจะหันไปขอความคิดเห็นจากว่าที่สามี (ทำไมเขิน) ด้านข้าง

“คุณว่าเด็ก ๆ ตัวโตขึ้นหรือเปล่า!”

“คิดว่าไง”

“อิงคิดว่าใหญ่ขึ้นนะ รอบที่แล้วที่มาตัวอืม..เล็กกว่านี้นิดหน่อย”

“หึ ถ้าเธอว่าโตขึ้นมันก็โตขึ้นนั่นแหละ” คาล์ลตอบพร้อมมองไปที่เจ้าลูกชายทั้งสามตัวของเขา ก็เท่าเดิมหรือเปล่า แต่เขาจะไม่พูดออกไปหรอกยังไม่พร้อมเปิดศึกกับแม่สิงห์ตอนนี้ อาการเพิ่งหายดี

“แบบนั้นไม่ได้สิ แต่ช่างเถอะจากการที่โดนอีธานนอนทับขาทั้งวันแล้วชา ก็คงใหญ่ขึ้นนั่นแหละ” แสงตะวันเอ่ย แต่คาล์ลกลับหัวเราะออกมาจนเจ้าสามตัวหันกลับมามองว่าพ่อเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า หรือการที่คนมีความรักแล้วอาการจะเป็นแบบนี้!

“อย่าไปพูดให้พวกนั้นได้ยินเชียว”

“…!”

“พวกเขาไม่ชอบให้ใครไปว่าเขาอ้วนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายว่าไม่หล่อ” คิ้วเล็กมุ่นเข้าหากันอย่าง งง ๆ

“อิงว่าตอนไหน ไม่เหอะคุณเมฆมั่ว”

“เธอบอกอีธานนอนทับขาจนชา”

“มันก็...อ่า!อิงจะไม่พูด หึหึ” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกครั้งเจ้าเด็กที่อยู่ไกลไม่เข้าใจพ่อกับว่าที่แม่เป็นอะไรก็พากันวิ่งเข้ามาหาใช้หัวโต ๆ ที่เริ่มมีขนยาวขึ้นรอบคอคลอเคลียไปมาที่มือบางมีพี่ใหญ่อย่างกิวล์เดินข้างพ่อมองการกระทำน้อง ๆ เท่านั้น

เขาไม่ทำหรอกแบบนั้นมันไม่เท่

“กลับไทยครั้งนี้ฉันต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนจะส่งมอบให้คนอื่นดูแล” คาล์ลพูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังทานมื้อเที่ยงกันอยู่สองคนเจ้าแสบไปเข้าคอกแล้วคงหิวด้วยแหละคุณเมฆว่ามาน่ะนะ

“เคลียร์งาน!เหรอครับ” แสงตะวันถามทวนคำเสียงแผ่ว ทำไมรู้สึกโหวง ๆ แปลก ๆ แปลว่าคุณเมฆก็จะไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยแล้วงั้นเหรอ! แล้วเรื่องที่ว่าจะแต่งงานกันล่ะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจ!

เด็กน้อยผู้คิดมากก้มหน้าลงเขี่ยข้าวในจานไปมาจนคาล์ลที่มองอยู่กระตุกยิ้ม สงสัยคงคิดอะไรไปไกลแล้วแน่ ๆ

“เป็นอะไร! ที่ฉันบอกว่าต้องเคลียร์ให้คนอื่นมาดูแลเพราะฉันยังมีงานที่สำคัญกว่านั้นต้องจัดการ”

“ครับ!” เจ้าหนูเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อฟังเรื่องสำคัญที่ว่า

“เพราะฉันจะต้องไปคุยกับแม่เธอเรื่องของเราไหนจะต้องเตรียมงานแต่ง ไหนจะต้องบินไปจดทะเบียน ไหนจะพาเธอเที่ยวฮันนีมูล ไหนจะ-”

“พะ..พอ!พอแล้วครับ...ขะ..ขอแม่ให้ได้ก่อน”

“พูดแบบนี้คิดว่าฉันจะแพ้แม่เธอเหรอ! ถึงฉันจะไม่เก่งพูดไทยแต่ฉันก็พูดขอเธอกับแม่เธอได้ก็แล้วกัน”

“ทานข้าวเถอะครับ อีกหลายวันกว่าจะกลับ”

“ใครบอก เราจะกลับกันพรุ่งนี้เช้า”

“หา!!!” ไหนบอกว่าต้องเคลียร์งานที่นี่อีกหลายวันแผลเขาก็ยังไม่หายดีแล้วทำไมรีบกลับ! แล้วจะบอกเรื่องแผลตามตัวกับแม่ยังไงยังไม่ได้คิดเลยนะ



“ทะ..ทำไมมันเร็วแบบนี้ล่ะครับ”

“ก็ฉันอยากจะอยู่กับเธอแล้วไง รอนานกว่านี้ฉันไม่คืนเธอให้ครอบครัวแล้วนะ” คนฟังยู่หน้าทั้ง ๆ ที่ใบหน้าเห่อร้อนจนแดงระเรื่อ

“พูดอะไรไร้สาระ”

“แต่ก็ทำเธอเขินได้นะ”

“คะ..ใครเขาเขินคุณกัน ผมอิ่มแล้วขอตัวไปหาเลออนก่อน” พูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะทานข้าววิ่งออกทางประตูเพื่อที่จะขึ้นชั้นบน

คาล์ลที่มองตามได้แต่ยกยิ้มในใจและไม่ได้บ่นเรื่องเจ้าหนูทำเสียมารยาทถือว่าให้อภัย แลกกับได้เห็นเจ้าหนูเสียอาการสักที

น่ารักแบบนี้ใครมันจะทิ้งลง





แล้ววันที่เขารู้สึกตื่นเต้นที่สุดก็มาถึง ภายในรถยนต์เบนท์ลี่ย์คอนติเนนทัล2014สีดำเงางามที่มีพลขับเป็นชายหนุ่มตาคมเข้มคนตางอนยาวที่วันนี้ดูแปลกตาตรงที่ใบหน้าเขาดูเกลี้ยงเกลากว่าทุกที เพราะเจ้าตัวลุกขึ้นมาโกนหนวดเองตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้เราเรื่องที่จะต้องไปทำกัน นั่นคือ!

ไปพบแม่ของเขาเอง อันที่จริงเรามาถึงเมืองไทยกันได้สองสามวันแล้วแต้เพราะคุณเมฆบอกว่าอยากให้เขาเตรียมใจให้พร้อมกว่านี้ก่อน เขาเลยไม่ได้บอกที่บ้านว่ากลับมาถึงแล้วแต่ใช้การมาอาศัยนอนที่ชั้นบนสุดของตึกที่เขาทำงานแทน ซึ่งมันเป็นที่พักของเจ้านายและว่าที่สามีในอนาคต แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วเขาว่าการที่บอกว่าให้เวลาเขาเตรียมใจจะไม่ใช่ปัญหาหลัก ที่จริงน่าจะเพราะอยากอยู่กับเขามากกว่าเพราะตั้งแต่มาถึง คุณเมฆก็ไม่ยอมลงไปทำงานเอาแต่บอกว่าอีธานก็ทำได้ คิณก็อยู่ หรือหากใครมีปัญหาก็ให้สองแฝดจัดการไป อ่ออีกเรื่อง...กลับมาคราวนี้เราขาดพี่ใหญ่ไปอีกหนึ่งคนคือสตีเวน เห็นคุณเมฆบอกว่าให้เวลา...

“ให้เวลามันอยู่กับนิกซ์สักหน่อย เดี๋ยวจะมาว่าฉันได้ว่ามีความสุขแค่คนเดียว” และวันนั้นเขาก็ยิ้มขำคนที่เป็นห่วงลูกน้องแต่ทำเก๊กท่าหน้าขรึมทั้งวัน

คุณเมฆก็เป็นซะแบบนี้ ลูกน้องที่ไหนจะไม่รัก...เขาแล้วหนึ่ง

“ยังไม่หายตื่นเต้นอีกหรือไง” คนที่ขับรถอยู่หันมามองเขาแว็บนึงก่อนจะส่งมือหนามากอบกุมมือที่เย็นเฉียบของเขา

“ทำไมคุณยังนิ่งได้อยู่ ไม่ตื่นเต้นบ้างเหรอ!”

“หึ...เด็กน้อย!ฉันจะไปขอเมียนะ มันต้องตื่นเต้นอยู่แล้วสิ”

“แล้วทำไม!...” เขาทำหน้าสงสัยกับคนที่บอกว่าตื่นเต้นแต่ใบหน้ายังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือนิ่งสงบ เขามองคนที่ขับรถอย่างเพลินตารอคำตอบที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากนั้น ก่อที่ใบหน้าเขาจะรู้สึกตึงเพราะริมฝีปากที่ฉีกยิ้มกว้าง

“ถ้าฉันมัวแต่ตื่นเต้น แล้วพูดอะไรตะกุกตะกัก แม่เธอเห็นแบบนั้นแล้วเขาจะยกลูกชายให้ฉันไหมล่ะ ฉันไม่ยอมเอาความตื่นเต้นจนใจเจ็บมาทำวันนี้พังหรอกนะ”

“คุณเมฆ!” เสียงเอ่ยอย่างคนเหม่อลอย มองเสี่ยวหน้าแบบนี้ยิ่งรู้ว่าคุณเมฆขนตาสวยแค่ไหน แถมสันกรามนั่นอีก...

สุดท้ายมือเจ้ากรรมก็เผลอยื่นออกไปลูบที่สันกรามไร้เคราหนวดอย่างหลงใหล

พอนึกถึงเรื่องเก่าแล้วก็ยิ่งไม่น่าเชื่อ คนที่กัดกันทุกเรื่องขนาดเรื่องกับข้าวก็ไม่เว้น เอาเวลาที่ไหนไปหลงรักกันนะ! นั่นสิ ตอนไหนกันนะ!

“คุณ!..รักอิงตอนไหน”

“ไม่รอเข้าหอก่อนแล้วค่อยถาม หืม!” มือใหญ่ที่กุมกันไว้เปลี่ยนมาบีบจมูกเขาเหมือนมันเคี้ยวหนักหนาก่อนจะปล่อยออกแล้ว เหล่มามองผลงานตัวเองที่เขาคิดว่าคงแดงน่าดู

“บอกหน่อย อื้อ พอแล้ว!!!”

“หึ...เพราะเป็นเธอมั้ง ไม่รู้สิตอนแรกแค่รู้สึกว่าเธอมันน่าเอาชนะดี เด็กอะไรอวดเก่ง”

“คุณ!!”

“แถมยังเอาเปรียบคนอื่นไม่เป็นอีก มีอย่างที่ไหนขอลดเงินเดือน เขามีแต่จะขอเพิ่มกัน”

“ก็อิงได้มาเยอะแล้ว” เขาตอบอย่างจิงจัง เงินเดือนที่คุยกันก่อนเริ่มงานของเขาอยู่ที่สองหมื่นซึ่งยังไม่รวมสวัสดิการหรือค่าทำงานล่วงเวลา ซึ่งพอรวมแล้วมันมีที่ไหนได้เงินเดือนห้าหมื่น! OTนาทีละพันหรือยังไง!

“ก็เธอสมควรได้รับ” คาล์ลสวนกลับทันทีกับเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยพูดกันในเรื่องนี้ แต่พูดกันบ่อยมาก ถามว่าสุดท้ายใครชนะ หึ เขาไงเรื่องนี้เขายอมไม่ได้หรอก



สุดท้ายเขาก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่าคุณเมฆรักเขาตอนไหนเพราะเรื่องที่เล่ามาเขาก็รู้กันอยู่แล้วจะมีตอนที่เคยบอกรักเขาที่ห้องอาบน้ำสุดหรูในคฤหาสน์หรือจะเป็นตอนลงทุนไปจับฉลามมาให้เขาเลี้ยงเพราะเขาบอกชอบสัตว์ทะเล ตอนนั้นจำได้ว่าทะเลาะกันนิดหน่อยด้วย คนบ้าที่ไหนคิดจะเอาฉลามมาให้คนที่ตัวเองบอกรักเลี้ยง! วันดีคืนดีคงได้เป็นเหยื่อมันน่ะสิ



“พร้อมไหมครับ” แสงตะวันเอ่ยถามเมื่อรถขับมาจอดข้างรั่วบ้านได้พักหนึ่ง

“ถามฉันหรือถามตัวเองกันแน่หืม” ใบหน้าคมหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยไหนจะแววตามีความสุขนั่นอีก

“...แม่จะโอเคไหมครับ” ไม่ใช่ว่าแม่เขาเป็นคนใจแคบหรอกนะ เพราะที่เขาชอบพอกับผู้ชายแม่เขารับรู้มาตลอดแถมยังถามตลอดว่ามีคนที่ถูกใจแล้วหรือยัง! ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่มีใครไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามา แต่เพราะว่าเขาสนใจแค่เรื่องงานและเรื่องเรียนคนที่เขามาเลยค่อย ๆ หายไปทีละคน ทีละคนจนสุดท้ายก็ไม่มีใครเข้ามาอีก บ้างก็ว่าหยิ่ง บ้างก็ว่าเรื่องเยอะ สวนตัวเขาก็ปล่อยผ่านใครอยากพูดหรือว่าอะไรเขาก็ไม่สนใจหรอก เขารู้ตัวเขาเองดีที่สุด

“เด็กน้อย..ฉันอยู่ตรงนี้”

“แล้วถ้าแม่!—”

“อย่าเพิ่งคิดอะไรก่อนเหตุการณ์จะเกิดดีกว่านะ” สุดท้ายก็เป็นคาล์ลที่ลงจากรถมาก่อน

สายตามากมายจากบุคคลที่มาต่อแถวสั่งข้าวที่ร้านหันมามองกันหมด เห็นแค่รถก็ว่าหรูแล้วนะแต่คนที่ลงมากลับดูคมเข้ม น่าเกรงขามเสียจริง

แต่แล้วในตอนที่คาล์ลเดินไปฝั่งข้างคนขับ คนที่อยู่บนรถลงมาเสียงฮือฮาก็ดังมาให้เขาได้ยิน ถึงจะยืนห่างจากตัวร้านพอสมควรก็ตาม

“นั่นมันเจ้าอิงลูกพี่น้ำนิ มากับใครล่ะนั่น!”

“นั้นสิดูดีโคตร ๆ แต่ดูหยิ่งไปหน่อย”

“หรือจะเป็นแฟน!”

และอีกมากมายที่เขาได้ยินจนแทบอยากจะมุดหัวกลับเข้าไปนั่งในรถตามเดิมถ้าไม่ติดว่าต้นแขนถูกคนที่หน้านิ่ง ๆ นี้จับไว้แน่น พร้อมสายตาที่สื่อความหมายว่าให้เขาเชื่อในตัวของตน

“กลัวอะไรขนาดนั้นเราไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ผมแค่ไม่อยากให้ใครเอาไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ ยิ่งถ้าเป็นคุณแล้วก็...”

“ฉันไม่ได้รู้จักพวกเขา ทำไมฉันต้องสนใจคำพูดพวกนั้น ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” มือที่จับที่ต้นแขนเลื่อนลงมากอบกุมกันไว้จน ใจมันกลับมาเต้นตุบ ๆ เหมือนจะหลุดออกอย่างไรอย่างนั้น

มันก็จริงนะ ถ้าเรามัวแต่สนใจคำพูดคนรอบข้าง เราคงไม่ได้คบกันขนาดเมื่อก่อนเรายังทำได้เลย แค่ปล่อยวาง

คนที่เราต้องสนใจ คือผู้ชายที่เดินเคียงข้างเราตอนนี้ต่างหาก

พอคิดได้แบบนั้นเหมือนว่าใจเขาจะเต้นเบาลงจนคงที่ ร่างกายรู้สึกอุ่นวาบเมื่อตอนที่ฝ่ามือใหญ่บีบเข้าหากัน ทำให้รู้ว่าการเดินเข้าบ้านในวันนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว

และถ้าทุกอย่างลงตัว เขาก็จะมีมือคู่นี้ไปกับเขาทุกที่เช่นกัน





“ดื่มน้ำกันก่อนนะลูก กลับมาแล้วก็ไม่คิดจะบอกแม่แม่จะได้เตรียมกับข้าวไว้รอ แล้วดูสินี่กับข้าวที่ร้านหมดเกลี้ยงเลย”

“แม่จ๊ะ..”

“หรือจะให้แม่ทำให้ใหม่ คุณท่านประทานมีอะไรอยากรับประทานเป็นพิเศษไหมคะ! จริงสิคุณเขาฟังแม่ออก—”

“แม่!! ใจเย็นนะจ๊ะ หายใจเข้า หายใจออก อ่า!” คนเป็นแม่เห็นแบบนั้นก็รีบทำตามที่ลูกบอกก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรแปลก ๆ ต่อหน้าแขกลูก ก็หันไปเอ็ดลูกชายเบา ๆ

แสงตะวันที่เห็นว่าแม่ดูผ่อนคลายขึ้นจึงหันไปมองคนที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะพยักหน้าว่าพร้อมแล้ว

“รอบที่แล้วที่มาผมยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลย ผม เมฆา สุวรรณเมธีร์ เป็นประธานบริษัทที่แสงตะวันทำงานอยู่ครับ” คนที่อยู่ด้านข้างเบิกตากว้างเมื่อผู้ชายที่ตัวเองทำงานมาตั้งนานแทบจะไม่เคยเห็นใช้ภาษาไทยคุยกับเขา แต่ทำไมตอนนี้ถึง...พูดคล้องป๋อขนาดนี้กัน

ไปฝึกมาตอนไหน!

“สวัสดีจ้ะคุณ ตายจริงน้าเห็นตอนแรกนึกว่าจะพูดไทยไม่ได้ มารอบที่แล้วยังให้คิณคุยแทนอยู่เลย ส่วนน้าชื่อน้ำ เรียกน้าน้ำก็ได้นะคะ ถ้าไม่ถือสาคนแก่ เป็นแม่เจ้าอิงแล้วน้องอรลูกสาวอีกคน” แม่น้ำพูดยิ้ม ๆ แกอาการเคอะเขินที่มีชายหนุ่มหล่อมานั่งตรงหน้าแบบนี้

คาล์ลเมื่อได้ยินสรรพนามที่ผู้ใหญ่จะให้ใช้เรียกก็แอบน้อยใจนิดนึง เพราะที่เขารู้มาไอ้พวกแฝดได้เรียกแม่เลยนะ แล้วเขาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขย..!

ทำไมได้เป็น ‘อ๊านท์’ (ป้า/น้า)



“...ครับ อันที่จริงที่มาวันนี้ผมมีเรื่องมาคุยกับ...คุณน้า” ทำไมมันรู้สึกคำนี้มันไม่ได้เลยนะ

“เรื่องอะไรเหรอคะคุณ หรืออิงไปทำเรื่องอะไรให้เดือดร้อนหรือเปล่า” แม่น้ำพูดกับคุณพี่แต่สายตาส่งไปตำนิลูกตัวเองหน่อย ๆ ถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่การที่เจ้านายใหญ่มาถึงที่บ้านแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ

“แม่!! อิงไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นนะจ๊ะ”

“เรื่องที่ผมจะมาคุยเป็นเรื่องของผมกับลูกชายคุณน้าเองครับ” คาล์ลรีบพูดแทรกก่อนที่อิงจะโดนแม่ดุไปมากกว่านี้

“เรื่องของลูกน้า...กับคุณ!”

“ครับ อันที่จริงเราสองคนเริ่มคุยกันมาสักพักแล้วครับ แต่ตอนนั้นมีหลายเรื่องที่ผมต้องจัดการ เลยยังไม่ได้เข้ามาแนะนำตัวหรือขอในเรื่องนี้”

“คะ..คุยกัน บะ..แบบแฟนเหรอคะ!” แม่น้ำมองคนพูดก่อนจะหัน

ไปมองลูกชายแล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าน้อย ๆ แบบเขิน ๆ

“อ่า!! ที่จริงน้าก็ไม่ได้ว่านะคะถ้าจะคบกัน แต่มันจะดีจริง ๆ เหรอคะ อิงเองก็ทำงานกับคุณแถมคุณยังเป็นเจ้านายน้องอีก คนอื่นจะมอ—”

“ผมจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องครับขอแค่คุณน้ายอมรับ เรื่องอื่นไม่ใช่ปัญหา” คาล์ลที่ฟังผู้เป็นแม่ยายพูดมาแบบนั้นก็เข้าใจดีเลยว่าท่านคงเป็นห่วงภาพลักษณ์ของเขาแน่

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนที่บริษัทรู้ว่าเลขาหนุ่มคบกับเจ้านายตัวเอง มันคงมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีตามมาแน่ เผลอ ๆ คนที่ถูกนินทามากสุดก็คงจะเป็นอิงเอง เพราะเป็นแค่ลูกน้องเขา คนคงมองว่าเจ้าหนูมาจับเขาเป็นแน่

“อย่างที่น้าบอก น้าไม่มีปัญหาอะไรขอแค่เจ้าอิงมีความสุข แล้วอิงล่ะลูก ตัดสินใจดีแล้วใช้ไหมกับเหตุการณ์ต่อจากนี้ มันอาจจะไม่สวยงามเหมือนอย่างฝันหรอกนะลูก จะยอมรับคำพูดดูแคลนของคนอื่นได้ไหม”

“อิง..ขอแค่แม่กับน้องอรยอมรับได้ ไม่รังเกลียดอิงเท่านี้อิงก็พอใจแล้ว”

“พูดอะไรแบบนั้นเด็กคนนี้นี่ เห็นแม่เป็นยังไงเรื่องที่เราชอบเพศเดียวกันแม่ก็รับรู้มาตลอด วันนี้ที่ลูกได้เจอคนที่ถูกใจและเขาพร้อมจะดูแลลูกของแม่ ทำไมแม่จะต้องขัดขวางด้วยหืม” มือบางที่มีความหยาบกร้านจากการทำงานหนักมานานจับมือเขาไปลูบปลอบใจให้เขารู้สึกดี และรับรู้ได้ในคำพูดของท่านว่า ท่านพูดจริงทุกประโยคที่กล่าวออกมา

รอยยิ้มพิมพ์ใจคือคำตอบที่ดีที่สุด แสงตะวันมองผู้เป็นแม่ด้วยความรักและตื้นตันใจแววตาไหววูบก่อนจะมีหยดน้ำเล็ก ๆ หลนลงมาข้างแก้ม แม่น้ำยิ้มเอ็นดูลูกชายของตนช่วยเช็ดหยดน้ำที่ข้างแก้มให้อย่างเบามือก่อนจะเอ่ยย้ำคำตอบของตัวเองอย่างหนักแน่น

“ทำตามใจลูกเถอะ แม่จะอยู่ตรงนี้เสมอไม่ทิ้งให้อิงรับมือกับสิ่งที่จะเกิดในวันข้างหน้าคนเดียวแน่นอน”

“ขอบคุณนะจ๊ะแม่ อิงรักแม่ที่สุด” แสงตะวันนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นแม่ก่อนจะโผเข้ากอดเอวบางไว้แน่น มือที่ลูบผมเขาทำให้รู้ว่าแม่รักเขามากแค่ไหน

คาล์ลที่มองภาพนี้ก็รู้สึกว่ามันดีจริง ๆ นะ กับการที่มีแม่อยู่ด้วยคอยดูเราอยู่แบบนี้ พอคิดได้แบบนั้นคนที่มารดาจากไปนานแล้วอย่างเขาก็ถึงกับต้องหันหน้าหนีไปมาทางอื่น กลบเกลื่อนน้ำตาที่มันแอบไหลออกมาโดยไม่คาดคิด

“น้า ไม่สิคงต้องเรียกแม่แล้วใช้ไหมคะ หึ แม่ยินดีนะคะที่ลูกจะคบกัน แล้วคุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ ที่จริงที่มาวันนี้ผมมาเพราะ จะมาขออิงแต่งงาน”

“แม่ยินดี...คะ!! เมื่อกี้บอกว่าอะไรนะคะ” คำที่จะยอมตกลงให้คบกันหยุดกระทันหันเมื่อคำที่ คาล์ลขอออกมาไม่ใช่การของคบลูกชายเขาในฐานะแฟนแต่เป็น....

“แต่งงานครับ” แม่น้ำตาโตกับคำตอบที่ฟังดูชัดเจนกว่าครั้งแรกที่เขาไม่ค่อยจะได้ยินสักเท่าไร ก่อนจะทำเป็นหัวเราะแห้ง ๆ ทำตัวไม่ถูก ท่านกระแอมไอเล็กน้อยยืดตัวตรง มองเด็กสองคนที่อายุน่าจะห่างกันมากอยู่ แล้วยิ้มแก่น ๆ ให้ลูกชาย แล้วพูดในใจกับตัวเองว่า

ลูกชายบ้านนี้ขายออกแล้วเด้อ!!!

“ฮ่ะ ๆ ตั้งตัวอะไรไม่ทันเลยวัยรุ่นสมัยนี้ไม่คิดจะให้ผู้ใหญ่เตรียมตัวกันเลยนะคะ ฮึอื้อ เรื่องนี้แม่ว่ามันเรื่องใหญ่อยู่นะคะ คุณคิดดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม ลูกแม่คนนี้ค้อนข้างจะดื้อเงียบคุณจะรับมือได้แน่เหรอคะ” ตอนที่รู้ว่าจะคบกันตัวเขาก็คิดว่าคงให้ศึกษาดูใจกันไปก่อนถ้าไม่ได้ยังไงมันก็ยังแก้ไขได้ทัน แต่พอรู้ว่าชายหนุ่มตาคมคนนี้มาเพื่อขอลูกชายตนแต่งงาน มันก็รู้สึกโหวง ๆ ในใจได้เหมือนกันนะ

“ผมทราบดีครับ และผมคิดว่าผมเจอเขามาทุกรูปแบบแล้ว ถ้าคุณแม่กลัวว่าผมจะทนน้องไม่ไหว วันที่จดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินที่เป็นของผมทั้งหมดผมจะเซ็นยกให้อิงทั้งหมดเลยครับ เพื่อเป็นหลักค้ำประกันในวันข้างหน้าว่าถ้าเกิดผมเปลี่ยนใจจากเขา เขาจะไม่เสียใจเปล่าแน่นอน”

“ใครเขาอยากได้สมบัติคุณกัน อย่าคิดว่าอิงเห็นแก่เงินได้ไหม”

“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”

“อิง ไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ไง แต่ที่อิงพูดมาแม่ว่ามันก็มีส่วนที่ถูกนะคะ แม่เลี้ยงลูกแม่มาถึงจะลำบากหน่อยแต่แม่ไม่เคยสอนให้ลูกเห็นแก่เงิน..” แม่น้ำปรามลูกชายตัวเองก่อนจะหันกลับไปคุยกับคนที่มาขอลูกชาย


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:47:19


“ผมทราบเรื่องนั้นดีครับและตัวผมเองก็เคยเจอมากลับตัวแล้ว ผมรู้ว่าอิงไม่ใช่คนแบบนั้น ผมถึงมั่นใจที่จะยกทุกอย่างให้ มันไม่ใช่การดูถูกนะครับ มันคือการให้เกียรติ แต่ถ้าวันนึงอิงไม่ต้องการมันแล้ว จะเอาไปทำอะไรผมก็ให้สิทธิ์ที่เขาครับ”

“เรื่องนั้นแม่ขอไม่เข้าไปยุ่งนะคะ แม่ให้อิงเป็นคนตัดสินใจ ส่วนเรื่องแต่งงานแม่ก็ตามใจลูกของแม่ ถ้าแต่งกันแล้วคุณจะพาอิงไปอยู่ด้วยเลยหรือเปล่าค่ะ”

“ครับ แต่เรื่องจะไปตอนไหนผมก็แล้วแต่เขาเลยครับผมอยู่ได้ทุกที่ขอแค่มีเขาอยู่ด้วย” แม่น้ำได้ยินแบบนั้น คนแก่แบบเธอก็รู้เขินแทนลูกชายตัวเองเสียแล้วแต่พอก้มลงมองคนที่ยังไม่ยอมลุกไปนั่งดี ๆ ก็ยิ่งกลั้นยิ้มไม่อยู่กับความน่ารักของลูกชายตัวเอง

อยากให้น้องอรมาเห็นหน้าพี่อิงของเธอตอนนี้จัง

“แล้วเราล่ะหื้ม ถ้าแต่งแล้วพี่เขาพาไปอยู่ที่อื่นเราจะอยู่ได้ไหมลูก”

แสงตะวันเงยหน้ามองสบตากับมารดาก่อนจะหันไปสบตากับอีกคนที่รอฟังคำตอบของเขาเช่นกัน ทำไมรู้สึกว่าสายตาคุณเมฆจิงจังมากเกินไปหรือเปล่านะ!

“แม่ไม่อยากให้อิงอยู่ด้วยเหรอจ๊ะ!” เสียงกะเง้ากะงอดเอ่ยออกมาถามมารดา เขาไม่ได้งอนหรอกแค่อยากแหย่ไม่เท่านั้น

“อิง ฟังแม่นะลูกการที่เรามีครอบครัวสักวันเราก็ต้องออกไปสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง ก่อนที่แม่จะกลับมาอยู่กับตายายของเรา แม่ก็ออกไปอยู่กับพ่อเราก่อนที่เขาจะจากไป แม่ถึงกลับมาอยู่ที่นี่ มันไม่มีใครที่จะอยู่กลับพ่อแม่ไปตลอดหรอกนะลูก”

“อิงรู้”

“อีกอย่างนะถ้าคิดถึงก็กลับมาหาแม่กับน้องอรได้เสมอแม่อยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหน” แม่น้ำกล่าวจบก็ลูบหัวลูกชายคนโตที่ตอนนี้เริ่มกลับมาขี้แงอีกแล้ว

และอิงก็ยอมพยักหน้าเขาใจทุกอย่าง แม่น้ำจึงหันไปคุยกับชายหนุ่มที่นั่งรออย่างใจเย็นแถมยังเผลอยิ้มออกมาบ่อยมาก เมื่อมองมาที่ลูกของเธอ

“แล้วได้ฤกษ์ดี ๆ หรือยังค่ะ ให้แม่ไปหาให้ไหม?”

“ที่จริงผมอยากแต่งพรุ่งนี้เลย แต่กลัวคนแถวนี้จะต่อว่าผมได้ ผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นอีกสองเดือนข้างหน้าแล้วกันครับ” คุณเมฆในวันนี้ดูแตกต่างจะทุกครั้งที่เขาเห็น คนที่ชอบทำหน้านิ่ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกใจก็จะทำควันออกหูแล้วลงมือทำเองเพราะความรำคาญ แต่วันนี้ชายคนนั้นหายไปแล้วเหลือไว้เพียงชายผู้ที่ยิ้มเก่ง เขินเก่ง ดูประหม่ากว่าทุกครั้งมาก ที่คุยกันตอนนั่งรถมาไม่ได้เกินจริงเลย

คุณเมฆตื่นเต้นจริง ๆ แต่แปลกดีแฮะ และรู้สึกชอบจัง

“อย่างน้อยก็มีเวลาให้คนแก่เตรียมตัวนะคะ”

“อันที่จริงคุณแม่ไม่ต้องเตรียมอะไรเลยนะครับผมจัดการไว้หมดแล้ว” แสงตะวันหันไปมองคนที่บอกว่าเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าบอกแม่เขาว่าแต่งอีกสองเดือนเหรอ! แล้วอะไรคือเตรียมพร้อมหมดแล้ว

“ดูพร้อมมากเลยนะคะ”

“ผมไม่อยากรอแล้วน่ะครับ”

“แหม!!เอาซะแม่ไปไม่เป็นเลยนะคะคุณ” แม่น้ำอึ้งไปเลยกับคำตอบ พ่อหนุ่มคนนี้ต้องรักลูกเธอมากขนาดไหนกันนะ แต่ก็คงรักมากแหละถึงได้ยอมทุกอย่างขนาดนี้

พอคุยเรื่องงานแต่งกันรู้เรื่องหมดแล้วเราก็ชวนคุยกันเรื่องอื่น และเรื่องที่ทำให้อิงข้องใจที่สุดคือคุณเมฆพูดไทยชัดขนาดนี้ได้ไง!

และเขาก็ได้คำตอบมาว่า “เธออย่าลืมว่าแม่ฉันเป็นคนไทย” นั้นแหละคือคำตอบตลอดเวลาที่รู้จักกันที่เขาไม่พูดเพราะไม่มีใครถามอีกอย่างการที่ไม่พูดมันสามารถเลือกคนคบได้ด้วย พนักงานหลายคนได้ใบเตือนเพราะการนินทาเขาระยะเผาขน เพราะคิดว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าเขาเป็นเหมือนประทานคนอื่น ๆ คงถูกไล่ออกกันไปหมดแล้ว

พอตกเย็นน้องอรที่กลับมาจากเรียนหนังสือพอรู้ข่าวเรื่องพี่ชาย เธอก็ร้องกรี๊ดกร๊าดดีใจใหญ่เลย แถมยังขอถ่ายรูปกับพี่เขยเพื่ออวดเพื่อน ๆ อีกต่างหากว่าพี่ชายกำลังจะได้แต่งงาน กลุ่มสาววายอย่างเธอนี่แทบยืนกันไม่อยู่ (เขินเหมือนโดนขอเสียเอง) คนที่โดนขอพอได้ยินคำเรียกแทนตัวเองไปแบบนั้นก็แทบจะถวายตัวให้น้องสาวแฟนทำอะไรตามใจเลย “อยากเซ็นเช็คให้สักสิบล้าน บ้านอีกสักหลัง”

“ขับกลับดี ๆ นะครับ”

“อืม...เธอเข้าบ้านเถอะ ดึกมากแล้ว”

“ที่จริง...คุณจะค้างก็ได้นะครับ” คนที่ยืนอยู่นอกรั่วบ้านเดินเข้ามาชิดตัวคนที่พูดเชิญชวนกันด้วยใบหน้าแดงก่ำเลยอยากลองแกล้งดู

“ฉันก็อยากอยู่กับเธอนะ แต่ที่นี่ดูท่าไม่น่าเก็บเสียงเท่าไหร่”

“คุณเมฆ!!!!” แสงตะวันฟาดมือลงที่แผงอกซ้ายอย่างแรงแต่คนถูกกระทำกลับยิ้มหน้าระรื่นดูมีความสุขเหลือเกิน

“หึ ฉันไม่อยากให้แม่เธอมองฉันไม่ดี เอาไว้แต่งงานถึงตอนนั้นถึงเธออยากแยกห้องฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ”

“พูดดีจังเลยนะครับ”

“นิสัยฉันก็ดีนะ”

“สาบานก็เสียเปล่าคุณอะ” คาล์ลมองเด็กน้อยที่ทำเหมือนเก่งแต่ยังก้มหน้าไม่ยอมสบตากัน เขาจึงใช้มือเชยคางมนขึ้นมา มองสบตาก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปหา แนบริมฝีปากลงกับสิ่งเดียวกันจูบหนัก ๆ สองสามทีก่อนจะผละออกโดยไม่ได้รุกล้ำภายใน เขามองสบตาเจ้าหนูชั่วครู่ก่อนจะจูบลาที่หน้าผากอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย

“ฝันดีนะเจ้าหนู”

“อื้อ คุณก็ฝันดีนะครับ”

คาล์ลยิ้มให้เขาก่อนจะยอมเดินไปขึ้นรถแล้วก็ขับออกไปทันที คนที่ยืนส่งอยู่มองตามจนเห็นว่ารถคุณเมฆออกถนนใหญ่ไปแล้วก็เลื่อนปิดประตูบ้านล็อคให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าบ้านไป แต่ก็ต้องสะดุ้งตอนที่หันมาแล้วเห็นสายตาบ้องแบ๊วกำลังมองตัวเองด้วยแววตาไม่น่าไว้ใจ

“เมื่อกี้น้องเห็นนะ” จันทร์ฉายฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พี่ชายก่อนจะเดินเข้ามาเกาะที่แขนแล้วเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน

“เป็นเด็กเป็นเล็ก แอบมองพี่เหรอหื้ม” มือเรียวบิดเข้าที่จมูกรั้นของน้องสาวอย่างหยอกล้อ

“อื้อ!! เปล่าสักหน่อยแม่เห็นว่าออกมานานแล้วกลัวว่า ลูกชายจะขึ้นรถไปกับพี่เขยเลยให้น้องมาปิดประตูบ้านเท่านั้นเอง”

“เหรอ!!” เขาลากเสียงยาวทำเป็นไม่ค่อยเชื่อ

สาวน้อยทำหน้างอใส่พี่ชายก่อนมองหน้าเขาแบบจิงจังทั้ง ๆ ที่ยังเดินกันอยู่

“พี่อิง..” สียงเอ่ยสั้น ๆ ทำให้เขาหยุดเดินก่อนจะมองใบหน้าน้องสาวที่ตอนนี้ดวงตากลมโตดวงนั้นกำลังแวววาวเพราะน้ำใสที่เอ่อคลออยู่ในนั้น

“ว่าไง”

“พี่มีความสุขหรือยังคะ”

“น้องอร!!” แสงตะวันมองน้องน้อยของตัวเองก่อนจะรู้สึกตื้อขึ้นมาในใจ

“น้องอยากเห็นพี่มีความสุข น้องรู้นะตอนที่พี่เรียนพี่ทำงานหนักก็เพราะน้อง”

“ก็พี่มีน้องคนเดียว ขอแค่น้องพี่ได้ในสิ่งที่ดี ๆ งานหนักแค่ไหนพี่ก็สู้ไหว” เขาบอกกับน้องสาวที่ตอนนี้น้ำใสไหลรินออกมาแล้ว แต่ยังดีที่ยังมีรอยยิ้มติดอยู่ พอให้รู้ว่าไม่ใช่การร้องไห้เพราะเสียใจ!

“ไม่ร้องแล้วนะเดี๋ยวแม่จะพลอยเป็นห่วงไปด้วย”

“น้องดีใจ ที่วันนี้พี่มีคนที่รักพี่อย่างจิงจัง เขาจะดูแลพี่ของน้องดีใช่ไหมคะ” สาวน้อยถามพี่ชายอย่างเขาถึงบุคคลที่เมื่อตอนเย็นยังเห็นสนิทกันแล้วเลย

“อื้อ เขาดูแลพี่ดีมาก ๆ มากจนพี่รู้สึกว่ามันล้นเลยแหละ”

“ดีแล้ว ๆ พี่อิงของน้องจะได้ยิ้มแบบนี้ได้นาน ๆ ” เจ้าเด็กน้อยที่ร้องไห้เมื่อกี้หายไปแล้วเหลือแต่เจ้าเด็กที่เริ่มทำตัวซนน่ารักทำให้อดขยี้ผมเปียสองแฉกนี่ไม่ได้

พอทำแบบนี้แล้วทำให้คิดถึงเจ้าสามตัวที่อยู่ห่างไกลขึ้นมาเชียว

“หึ เป็นห่วงพี่เหรอเราหื้ม เหมือนกันจังเลยนา!!” จันทร์ฉายมองใบหน้าพี่ชายที่มีความเหมือนกันเกือบจะทุกกระเบียดนิ้ว

“ก็เราเป็นพี่น้องกันก็ต้องเหมือนกันสิ พี่อิงพูดแปลก ๆ ”

“หึหึ พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น อืมถามก่อน น้องอิงชอบสัตว์ไหมแบบแมว หมาอะไรแบบนี้”

“อื้อ ชอบน้องชอบน้องเหมียวอยากเลี้ยงมาก ๆ แต่กลัวดูแลมันไม่ดีพอ”

“...แล้วถ้าเป็นแมวตัวใหญ่ ๆ ล่ะ!” แสงตะวันถามน้องออกไปถึงเรื่องที่เขาจะเล่าต่อจากนี้ แต่ขออ้อมโลกก่อนแล้วกัน

“ดีสิคะคงกอดอุ่นน่าดู” สาวน้อยนึกภาพตามแมวตัวใหญ่เหรอ หูว!!แค่คิดก็ฟินแล้ว

“อืม อุ่นจริงด้วยสินะ อยากดูอะไรไหม” เขาล้วงหยิบมือถือที่เก็บไว้ในกางเกงขึ้นมาก่อนจะเข้าไปในแกลเลอรี่ไม่ต้องเลื่อนให้เสียเวลาเพราะก่อนกลับมาเขาได้เซลฟี่กับสามแสบมามาด ๆ ภาพแรกที่เจอจึงเป็นเจ้าสามตัวที่นอนเล่นอยู่รอบตัวเขามีคุณเมฆเป็นตากล้องจำเป็นที่ทำหน้าเหม็นเบื่อมากในวันนั้น

“ว้าว!!พี่อิง ทำไมน้องตัวใหญ่จังหูย!!! ดูตอนที่นอนสิ น้องอยากนอนข้าง ๆ จังเลย” สาวน้อยทำหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนว่าตนได้เข้าไปนอนข้างกับเจ้าแมวยักษ์ตัวใหญ่ก่อนจะรู้สึกได้ว่า...

“พะ..พี่อิง นะ..นั้นมันไม่ใช่แมวใช่ไหม! น้องเข้าใจถูกไหมนะ..นั่นสิงโต!!” สาวน้อยก้มเข้าไปมองใกล้ ๆ ก่อนจะขยายเข้าออกเพื่อมองให้ชัดกว่าเดิมไปอีก ใช่! ต้องใช่แน่ ๆ สะ..สิงโตแน่ ๆ

“อืม น่ารักไหม นิสัยเหมือนเราเลยนะ”

สาวเจ้าตาโตเบิกกว้างมองพี่ชายทีมองรูปในมือถือไปทีก่อนที่เรียวปากจิ้มลิ้มจะค่อยคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกชมพูสวย

“น่ารัก!!น่ารักมาก ๆ พี่อิง!!น้องทำไมเชื่อง น้องไม่ดุเหรอ”

“อืมก็ดุนะ แต่กลับคนอื่น กับพี่ก็!! แบบที่เห็น”

“น้องอยากเล่นด้วยจัง” จันทร์ฉายดูตื่นเต้นจนคนเป็นพี่ยังต้องยิ้มเพราะความเอ็นดูลูบหัวน้อย ๆ โยกไปมาแล้วเอ่ยคำที่ตัวน้องได้ยินถึงกลับหูผึ่ง

“ถ้าไปคราวหน้าพี่จะขอให้คุณเมฆพาเราไปด้วย ดีไหม”

“จริงนะ น้องจะได้ไปด้วยจริง ๆ นะ”

“แต่ต้องขอคุณเขาก่อน”

“อื้อ ๆ น้องจะรอ ๆ ฮือ!!อยากเจอแล้ว”

ใครจะคิดว่าการพูดกันในวันนั้นจะทำให้น้องสาวของเขากลายเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดได้ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน ได้ไปทุกที่ที่น้องเอ่ยปากขอ โดยมีพี่เลี้ยงเป็นสองแฝดจอมวอแว ใครเข้าใกล้น้องเขาไม่ได้เลย

จะต้องขอบคุณอะไรดีนะที่ทำให้เขาได้เจอกับผู้ชายคนนี้

ขอบคุณที่เดือนนั้นทั้งเดือน ไม่มีบริษัทไหนโทรมาเรียกตัว

ขอบคุณวันนั้นที่เขาไม่ระแวงจนเกินแล้วตัดสินใจผิด

ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ได้รู้จักผู้ชายหน้านิ่งคนนั้น

ขอบคุณตัวเขาเองที่เลือกเขาเข้ามาในชีวิต จากที่ต้องทำงานหนัก ต่อจากนี้เขาจะได้มีความสุขจริง ๆ แล้วสินะ



TBC.
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:50:28
เนื้อหาต่อจากนี้เป็นการสร้างขึ้น ด้วยความเป็นจริงเพียง30%เท่านั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อ่านเพื่อความสนุกเท่านั้นอย่าคิดเยอะให้ปวดเศียรเวียนเกล้ากันเลยนะจ๊ะ

ขอบพระคุณมากจ้ะ



บทส่งท้าย



วันหมั้น

09:09น.

เวลานี้เป็นเวลาฤกษ์งามยามดีที่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวได้ไปหาฤกษ์นี้มาได้ โดยการจัดทำของอนาคิณฝ่ายชายที่รู้เรื่องพวกนี้มากกว่าใคร และศึกษาเรื่องนี้มาแล้วอย่างดีก่อนจะขอความเห็นจากเพื่อนร่วมทีม และบอสที่เป็นเจ้าบ่าวในงานนี้ ตอนแรกคาล์ลปฏิเสธหัวชนฝาว่าจะไม่รับข้อตกลงนี้เด็ดขาด อะไรคือการแยกวันหมั้นกับวันแต่งออกจากันไปตั้งหลายวันขนาดนั้น ไอ้พวกที่ไม่ได้แต่งเองมันก็พอกันพูดได้สิว่า แค่สามวัน แค่เจ็ดวัน แต่เขาคนที่จะไม่ได้เจอหน้าอีกคนหลังจากนี้อีกหลายวัน มันจะต้องดีใจด้วยหรือไง สุดท้ายงานนี้เลยจบที่ผู้ใหญ่ฝ่ายเขาเข้ามาเกลี่ยกล่อมหลานชายตนเอง นั้นแหละถึงได้ยอม เพราะแค่เพียงคำว่า...

“อดเค็มไว้กินของมันนะหลาน เจ้าจะได้กินตามที่เจ้าต้องการหากเจ้ายอมทำตามที่คิณบอก” (อดเปรี้ยวไว้กินหวานหรือเปล่าคะท่านอา)

“เชิญคุณน้าตรวจดูของหมั้นได้เลยครับ” อนาคิณเป็นคนที่สามารถพูดคุยกับทั้งสองฝ่ายได้จึงได้มาเป็นล่ามนั่งข้างครูขวัญที่มาทำพิธีให้ในครั้งนี้

ในขันเงินและขันทอง จะมีของหมั้นดังนี้ หมากดิบ 8 ผล ซึ่งจะต้องตัดให้ติดกันทั้ง 8 ผล หรือตัดเป็นคู่ ๆ ละ 2 ผลก็ได้ ฝานก้นหมากทุกผลแล้วทาก้นหมากด้วยปูนแดงหรือชาดแดง พลู 4 เรียง ๆ ละ 8 ใบ ถั่วเขียว 1 ถุง ข้าวเปลือก 1 ถุง งาดำ 1 ถุง ข้าวตอก 1 ถุง ใบเงิน ใบทอง ใบนาก

ความแตกต่างของพิธีหมั้น และพิธีแต่งคือจะไม่มีจำพวกขนมหวาน ต้นกล้วย ต้นอ้อย หรือแม้แต่การกลั้นประตูก็ไม่มี มันเหมือนการนำญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งมานั่งรับรู้กับสิ่งต่อไปนี้มากกว่า การทำให้ชาวบ้านรับรู้ไปด้วย ในงานถึงได้มีแต่คนที่สนิทเท่านั้น

“อันที่จริง น้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เพราะตอนที่น้าแต่งงาน ก็ มีแค่งานแต่งเล็ก ๆ เท่านั้น ยังไงฉันก็ขอให้ครูดูให้แล้วกันจ้ะ” แม่น้ำพูดยิ้มกับสิ่งของตรงหน้า ตอนที่เธอแต่งก็ไม่ได้หวือหวาอะไรปานนี้ เป็นงานเล็กที่แต่งขึ้นเฉพะคนในบ้านไม่ใช่หันออกไปนอกบ้านจะเห็นชายชุดดำยืนเรียงเต็มทางออกแบบนั้น

ครูขวัญมองสิ่งของในขันอย่างพอใจก่อนจะหันไปให้คำตอบกับทางฝั่งชาย..

“ครบ ๆ ไม่ขาดไม่เกิน การฟานหมากก็ดีการเรียงพลูก็สวย รวม ๆ แล้วดีมาก ๆ ครับ แม่น้ำลองหมากของเขาหน่อยสิ ดีพอจะหมั้นไหม” ครูขวัญบอกก่อนที่จะยิ้มขำกับท่าทางฝ่ายชายที่รอลุ้นกับการเคี้ยวหมากของญาติฝ่ายหญิง

แม่น้ำหยิบจับสิ่งของขึ้นมาห่อพันด้วยใบพลูก่อนจะทำเป็นสงเข้าปากเคี้ยว มีตะกุกตะกักบ้าง เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเคี้ยวหมากมาก่อน แต่เพราะเพื่อลูกชายของเขา แม่คนนี้จะยอมปากพองเพราะปูนกัดสักหน่อยก็แล้วกัน

“ดีจ้ะครู”

“แสดงว่า จะรับขันหมั้นนี่ไว้ใช่ไหมแม่” ครูขวัญเอ่ยถามอย่างยอกล้อ พอให้อีกฝั่งลุ้นตาม แม่น้ำที่คายหมากแล้วก็ยิ้มกริ่ม มองว่าที่ลูกเขยที่ข้างขมับมีเหงื่อผุดขึ้นมาแล้วก็เอ็นดู

“จ้ะ รับไว้จ้ะครู” สิ้นคำตอบทางคาล์ลก็มองหน้าท่านอาของตนทันทีอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นแม่ ที่วันนี้แต่งตัวได้แปลกตาดี แต่น่ารักมากเช่นกัน กับกางเกงสแล็คที่เขาเคยซื้อใช้เสื้อเชิ้ตสีชมพู มีผ้าลายสก็อตพาดเชียงที่ไหล่ซ้าย ก้มหน้าตลอดดูเขินอายจนหน้าแกล้ง แต่เวลานี้เขาห้ามแตะต้องอีกฝ่ายเด็ดขาด

“เป็นอันว่าฝ่ายเราตกลงนะพ่อ แม่น้ำให้เจ้าอิงออกมานั่งด้านหน้าได้ ฝ่ายชายด้วยนะ แล้วยื่นแขนมาให้ครู อ่ะนี่คำพ่อนะ อันนี้คำแม่ เก็บรักษาไว้จนถึงวันแต่ง อย่าให้ชิ้นหมากหรือของในห่อหลุดออกจากกัน” ครูขวัญ ยื่นคำหมากให้อิงและคาล์ลคนละหนึ่งชิ้น ก่อนจะกล่าวเตือนเรื่องการรักษา และให้กลับไปนั่งที่เดิมตรงหน้าของหมั้นทั้งหลาย

“ที่จริงอันนี้มันเป็นพิธีของชาวฝรั่งเขาทำกัน แต่ก็ว่าเถอะนะมันก็มีอยู่มาแบบนี้นานแล้ว นั่นคือการสวมแหวนหมั้น ฝ่ายชายสวมให้น้องก่อนนะ...แล้วก็เจ้าอิงสวมให้พี่เขา...สวมอย่างเดียวพ่ออย่าจับมือน้องนานอดทนหน่อย ๆ” ครูขวัญเอ่ยแซวตอนที่คาล์ลดึงมือน้องไว้ไม่ยอมปล่อย แต่พอโดนเตือน อนาคินที่เป็นล่ามก็รีบเข้ามาบอกทันที ถึงจะฟังออกแต่ถ้าคนจะทำหูทวนลมก็นะ

ต่อไปคือการให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายผูกแขนรับขวัญทั้งสองคนและจบด้วยการที่เอาขันเงินไปเก็บไว้ในครัวบ้านฝ่ายเจ้าสาวเป็นอันว่าพิธีหมั้นจบ

แต่การกินยังไม่จบ เหล่าชายชุดดำผู้หิวโซรอเวลานี้กันมานานมากแล้ว รีบกู่เข้าหาหม้อข้าวหม้อแกงที่ทาง แม่น้ำเตรียมไว้ให้จากคำบอกเล่าของลูกชายว่าคงมาเยอะกันมาก ๆ และมันก็ไม่ได้เกินจริงไปเลย เพราะสนามหน้าบ้านที่มีน้อยนิดตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่าชายชุดดำ จนดูหน้ากลัวถ้าไม่ใช่ว่ารู้จักกันอยู่แล้วอะนะ

ทางฝั่งในบ้านตอนนี้ก็เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่เหมือนจะดูเข้ากัน ถึงการพูดคุยจะมีอนาคิณเป็นคนแปลให้ก็ตามที

“ดีใจด้วยนะมึง” นาวาพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาแยกตัวกันออกมาตรงครัวในบ้านเพื่อเตรียมอาหารให้ผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน

“ฮึก..ต่อไปคงจะตามตัวยากแล้วสิ” เสียงสะอื้นไห้จากสาวเดียวภายในกลุ่มทำให้ชายหนุ่มทั้งสามหันไปมองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้ร้องไห้จนจมูกแดงไปหมด แสงตะวันที่เห็นแบบนั้นก็วางทัพพีในมือแล้วเดินเข้าไปหา

“ร้องไห้เก่งตั้งแต่เมื่อไหร่” พูดไปก็เช็ดน้ำตาออกให้เพื่อนเบา ๆ ก่อนจะได้สายตางอน ๆ แต่ยังมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้า

“ไม่ได้ร้องย่ะ ฝุ่นมันเข้าตาดูไม่ออกหรือไง” ทั้งสามได้ยินก็พากันขำ ก่อนจะเข้ามากอดวรรณาเข้าหาตัวมี ดินยืนมองภาพตรงหน้านิ่งแต่ใครจะคิดว่าตรงมุมปากนั่นมีรอยยิ้มให้อยู่ ยิ่งเวลาที่มองคนรักอย่างนาวาที่ตอนนี้เป่าปี้ไปอีกคนแล้วยิ่งหน้าเอ็นดู ตอนงานแต่งของเขา พวกมันก็พากันร้องแบบนี้ แต่ก็นะตอนนี้ก็เหลือแค่นางคนเดียวแล้วคงใจหายไม่น้อย

“แกก็เลิกเรื่องมากสักที เผื่อจะเจอคนที่ดีพอ อย่างในงานนี้ดูสิผู้เต็มเลยไม่สนเหรอ!”

“ฉันไม่ได้เลือก!!แต่มันไม่มีใครเข้ามาต่างหากละยะ” เสียงแว้ด ๆ นั่นทำทุกคนขำพรืด แสงตะวันที่เริ่มจะร้องตามเพื่อนก็ถึงกับกลับลำไม่ทันกันเลยทีเดียว

“แต่จะว่าไปฉันชอบคนนั้นน่ะ คนที่เป็นล่าม”

“...พี่คิณเหรอ”

“รสนิยมแกนี่...ล่ำเนอะ คริคริ”

“วา!!” แล้วอยู่ ๆ ดินที่ยืนมองอยู่ก็พูดสวนขึ้นเมื่อ คำที่นาวาพูดออกมามันส่อพิรุธอะไรบางอย่าง

“ก็แซวเพื่อนไหม!! จะดุทำไมดิน” งอนเป็นที่เรียบร้อย!



ในระหว่างที่ในครัวกำลังเกิดสงครามเล็กขึ้นคนที่นั่งร่วมทานอาหารที่พื้นห้องรับแขก ก็เอาแต่ชะเง้อมองหาคนที่หายไปนาน จนผู้เป็นอาที่คุยกับแม่น้ำอยู่สังเกตได้

“อัดฮัม!!หลานต้องให้เวลาน้องได้อยู่กับเพื่อนบางนะ” คนที่โดนอาแซวหันกลับมามองก่อนจะถอนลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียด แม่น้ำที่ฟังอาหลานไม่เข้าใจก็เข้าใจผิดคิดว่าอาหารไม่ถูกปากแขกเสียแล้ว

“อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่าจ๊ะพ่อเมฆ?”

“เปล่าครับ อาหารอร่อยมากครับ” พูดไปสายตาก็เบี่ยงเข้าไปทางด้านหลังของแม่น้ำที่เป็นทางไปห้องครัว แม่น้ำที่เห็นแบบนั้นก็มองตามก่อนจะอมยิ้ม แล้วพูดกับว่าที่ลูกเขย..

“อยากไปหาก็ไปเถอะลูก ไม่ต้องพิธีมากก็ได้” ท่านเอ่ยบอกด้วยความเห็นใจ

“แต่ว่า..”

“ไปเถอะจ้ะ...แม่ไม่ว่าแต่ขอให้สำรวมก็พอถือว่าให้เกียรติน้องด้วยนะลูก แค่เข้าไปพูดคุยกัน ไม่เสียหายอะไรหรอก”

คาล์ลชั่งใจอยู่นานก่อนจะหันไม่หาลูกน้องอย่างอนาคิณเพื่อขอความคิดเห็น

“ไปเถอะครับบอส ผู้ใหญ่อนุญาตเอง ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” อนาคิณยิ้มรับเห็นใจเจ้านายด้วยที่ต้องทำตัวห่างจากคนที่ตัวเองรักแบบนี้ พอคิดมาถึงตรงนี้ จบงานวันนี้ชวนอีฟไปหาใครคนนั้นดีกว่า

คาล์ลขอตัวจากทุกคน หันมากล่าวกับท่านอาอีกนิดหน่อยก่อนจะลุกแล้วเดินไปทางด้านหลังของห้องครัวที่ตอนนี้เพียงแค่เดินมาถึงตรงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุก เขาเองก็เบาใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่คนเดียว

“แต่จะว่าไปนะอิง ว่าที่สาแกอะ เขาดู...น่ากลัวไปหรือเปล่า”

“ยังไงวรรณ เมื่อกี้ยังดีใจกับเพื่อนอยู่เลยแท้ ๆ”

“ก็ดูลูกน้องเขาแต่ละคนสิ เข้าใจนะว่าเป็นมาเฟีย แต่มันจะดีจริง ๆ เหรอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอิงล่ะ”

คาล์ลที่กะจะเข้าไปคุยด้วยจึงชะงักเท้าและยืนแอบฟังข้างประตูอย่างเบาแรง กลัวว่าคนด้านในจะได้ยิน

“นี่คุณวรรณา เป็นห่วงกันเหรอเนี่ย หึหึ..ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เราเชื่อในตัวเขาแล้ว และเราก็ศึกษากันมาพอแล้ว เพื่อนเธอไม่ได้เจอเขาเมื่อวานแล้ววันนี้หมั้นกันสักหน่อย”

“ใครจะรู้..” วรรณาเอ่ย

“เราไงที่รู้ หรือถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงคุณเขาไม่ปล่อยให้เราเป็นอะไรแน่นอน” แสงตะวันบอกกล่าวกับเพื่อน โดยไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อีกด้านของประตู

“เอ้าบอส!!...มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ?” สตีฟที่เดินเข้ามาเอาแก้วน้ำในครัวไปเพิ่มด้านนอก ก็เห็นนายตัวเองยืนยิ้มอยู่ข้างประตูทางเข้าแล้วอดสงสัยไม่ได้เลยเอ่ยเสียงเรียกออกไป และก็ไม่คิดด้วยว่าบอสจะตกใจแรงขนาดนั้น แถมสายตาที่มองกัน....ไอ้สตีฟทำอะไรผิดอีกแล้ว!!!!

ทุกคนที่อยู่ในครัวได้ยินแบบนั้นก็พากันออกมาดู ก่อนจะเห็นคู่หมั้นหมาด ๆ ของเพื่อนยืนอ่ำอึ้งอยู่ที่หน้าประตู และมีชายชุดดำอีกคนยืนอยู่ด้วย

“คุณเมฆ! อยากได้อะไรหรือเปล่าครับ” แสงตะวันที่มองทุกคนแล้วไม่มีใครพูด เขาเลยเป็นคนทำลายบรรยากาศแปลก ๆ นี่ด้วยตัวเองเสียเลย

“เปล่า..แค่จะเข้ามาหาเธอ” ทุกคนที่ได้ยินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่เพื่อนของแสงตะวันจะขอตัวยกขนมออกไปเสิร์ฟให้แขกด้านนอก กะจะปล่อยให้เพื่อนและคู่หมั้นได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน

คาล์ลที่ได้ยินแบบนั้นก็แอบชื่นชมเพื่อนของคนรักไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองลูกน้องตัวเองที่ยังยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ตรงนี้

“สตีฟ!!”

“โอ๊ะ!! ผมมาหาแก้วน้ำครับพอดีว่ามันไม่พอ” เขาบอกในสิ่งที่จะมาเอาก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัวแต่ก็ต้องยืนอึนเพราะไม่รู้ว่าของที่หาอยู่ตรงไหน สุดท้ายก็เป็นแสงตะวันเป็นคนหยิบให้ ก่อนจะไปก็ยังไม่วายแซวนายตัวเองให้โดนสายตาดุ ๆ คู่นั้น คาดโทษไว้อีก

“เชิญสวีตกันตามสบายนะครับ แต่บอสอย่าลืมนะครับ”

“..!!”

“ห้ามแตะแสงตะวันเด็ดขาดนะครับ..บอส” มันเป็นเหมือนไม้หน้าสามขนาดใหญ่ที่ฟาดเข้าหน้าเขาให้ตาสว่าง แต่ก็ยังคาดโทษไอ้คนพูดในใจ จบงานนี้เมื่อไหร่จะส่งมันไปดูงานที่มาเก๊าสักครึ่งปีให้เข็ด ให้มันรู้ว่าไม่ควรมาแหย่รังต่อหัวเสือแบบเขา



ตอนนี้ก็เหลือเพียงตัวเขาและแสงตะวันที่ยืนหลบหน้าเขาอยู่ตรงนี้ ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงไม่ทนให้มาทำหน้าแดงเขินอายโดยที่ไม่ดึงเข้ามาแกล้งแบบนี้ได้หรอก แต่เพราะยังต้องอยู่ในกฎเขาผู้ที่ทำตามกฎมาช้านานจะมาพังเพราะงานสำคัญตัวเองไม่ได้

“ทำไมยังไม่ออกไปทานข้าว?” เพราะไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรจึงถามออกไปในเรื่องที่คิดว่าไม่ดูแปลก จนจับสังเกตอาการของเขาได้

แสงตะวันได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่วันนี้แต่งตัวดูแปลกตา กับชุดบ้าน ๆ ที่ดูมีอันจะกิน ด้วยชุดผ้าไหมสีครีมโจงกระเบนยาวถึงหน้าแข่ง มีผ้าขาวม้าพาดเฉียงเหมือนเขา ทรงผมสกินเฮดที่มีการจัดแต่งให้เข้ากลับกรอบหน้าคมที่วันนี้ไม่มีเคารกตา ที่ติ่งหูมีต่างหูเพชรเม็ดใหญ่แต่ไม่ได้ทำให้ดูเทอะทะหนึ่งข้าง แขนขวามีฝ้ายผูกแขนจากญาติผู้ใหญ่เพียงสองเส้น ด้านซ้ายเป็นของแขกที่มีอายุและเพื่อนของเขาซะส่วนใหญ่ เพราะที่ได้ผูกแขนให้คุณเมฆจริงก็มีแต่ฟีนิกซ์เท่านั้น

“ผมรอขนมสุกก่อนน่ะครับ”

“มีอะไรให้ช่วยไหม?” คาล์ลเอ่ยถามแต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“เสร็จแล้วครับ...คุณจะลองทานก่อนไหมหรือไปทานกับทุกคนดี” แสงตะวันเอ่ยถามเพราะเขาเองก็อยากอยู่กับอีกคนเช่นกันเพราะหลังจากนี้อีกหลายวันกว่าเราจะได้เจอหน้า

“กินกับเธอในนี้ดีกว่า” เขาพูดตาคมก็จับจ้องอีกคนไปด้วย

คนน้องพยักหน้ารับก่อนจะหันไปเปิดกล่องที่บรรจุขนมช่อม่วงของโปรดใครบางคนไว้ในนั้น และที่เห็นนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดด้วยซ้ำ

“หึ..”

“หัวเราะอะไรครับ” แสงตะวันถามเมื่ออยู่ ๆ อีกคนก็แค่นขำในลำคอออกมาคำโต

“ฉันว่าฉันหลงรักเธอตั้งแต่ยังไม่ได้เจอหน้ากันซะอีก” คาล์ลพูด มือก็จิ้มขนมหลายกุหลาบสีม่วงเข้าปากไป ยังอร่อยเหมือนเดิม

“พูดเป็นนิยายไปได้คุณก็..” ถึงจะพูดไปแบบนั้นตัวเขาเองก็รู้สึกว่า ใบหน้ามันเห่อร้อนขึ้นมาแปลก ๆ เหมือนจะมีไข้นิด ๆ

“ครั้งแรกที่ฉันรู้จักเธอ คือตอนที่ฉันเลือกเลขา” คาล์ล กล่าว

“ผมนึกว่า..อีธานเลือกผม”

“อืม..แต่คนที่ตัดสินใจรับเธอคือฉันนะ” เขาบอกถึงความจริงอีกข้อที่แสงตะวันเองก็ไม่เคยรู้ เพราะคนที่เรียกเขามาสัมภาษณ์วันนั้นก็เป็นอีธาน พอรู้แล้วจึงเอ่ยถามในเรื่องที่ข้องใจตัวเองมานานเกือบสองปีที่ผ่านมา

“แล้วทำไมถึงเป็นผมล่ะ..”

“แล้วทำไมจะเป็นเธอไม่ได้” เขาถามกลับ “ฉันไม่ได้เลือกคนที่เรซูเม่ที่ดูดี แต่การทำงานย้ำแย่ หรือพวกเด็กเส้นหรอกนะ ที่ฉันเลือกเธอจริง ๆ มันเกิดจากความสงสัยน่ะ...”

“สงสัย! เรื่องอะไรเหรอครับ”

“เธอคงรู้มาแล้วว่าเราเป็นคนค้นหาข้อมูลของเธอเอง เพราะฉะนั้น ประวัติการสมัครงานของเธอหรือแม้แต่ที่อยู่ฉันก็รู้มาหมด แต่ที่ไม่เข้าใจคือ..เธอที่จบด้วยเกียรตินิยม แต่ไม่มีบริษัทที่ไหนรับเธอเข้าทำงานเลยเป็นเพราะอะไร”

“อ่อ!! เรื่องนั้น...อย่าบอกแม่นะครับ คือในตอนที่ผมฝึกงานอยู่ผมได้เจอกับคนคนหนึ่งที่น่าจะมาจากอีกมหาลัย เราเข้าฝึกงานที่เดียวกันแผนกเดียวกัน เอ่อเราเข้ากันดีมาก”

“เข้ากันดี! นิเธอ-..” คาล์ลสวนขึ้นทันที ที่คำพูดมันดูแปลกไปในความคิดของเขา

“คิดไปถึงไหนครับเนี่ย!! ผมหมายถึงการทำงานร่วมกันของเรามันดีมาก มากจนผมเผลอคิดว่าเขาอาจจะคิดแบบเดียวกัน”

“เธอ..จะบอกว่าเธอตกหลุมรักเด็กฝึกงานคนนั้นเหรอ!”

“กะ..ก็อะไร ๆ มันพาไป”

“เหอะ!!” เสียงแค่นหัวเราะเหมือนประชดทำให้คนเล่าเรื่องทำหน้ามู่ เรื่องก็ผ่านมาแล้วไหมเล่า จะมาหึ หะ อะไรอีก

“แล้วยังไงพวกเธอก็คบกันงี้..เหรอ!” คาล์ลถามต่อ ถึงจะหงุดหงิดแต่มันก็อดไม่ได้ที่อยากจะรู้ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเขาเลย

“...ไม่ได้คบสักหน่อย เย็นวันหนึ่งที่ผมกำลังจะกลับบ้านก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม ในตอนนั้นมันไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ผมเลย..” เล่ามาถึงตรงนี้ก็นึกถึงเรื่องในเย็นวันนั้นเข้ามาอีก

การที่ได้เจอกับคนคนเดียวทำให้การใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปหมด

“เธอคงเป็นคนที่ชื่ออิงสินะ?” หญิงสาวเอ่ยถามเขา แถมสายตาที่มองก็ไม่ได้เป็นมิตรเลยสักนิด

“ครับ มีอะไรกับผมหรือเปล่า”

“ผู้ชายที่เธอคิดจะเกินเลยอยู่ตอนนี้น่ะ เขาเป็นของฉัน”

“ผู้ชาย!...ผมไม่เข้าใจที่คุณกำลังพูดอยู่” เขาถามกลับถึงเรื่องที่หญิงสาวกล่าวหาเขาอยู่

“อย่ามาทำเป็นไขสือ ก็ตั้มไงทีนี้เข้าใจหรือยัง” แสงตะวันชะงักไปกับสิ่งที่เพิ่งรู้ เพื่อนร่วมงานที่ตนแอบชอบมีเจ้าของแล้วแถมดูจากที่เธอมาพูดแบบนี้กับเขา เธอคงมองพวกเรามานานมากแล้วจริง ๆ

“ผมไม่รู้คุณไปรู้มาจากใครนะครับ แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมงานเท่านั้น” เขาพูดเสียงหนักแน่น ถึงในใจจะหน่วงหน่อยก็ตาม เพระในความเป็นจริงเราก็ไม่ได้มีอะไรกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมงานเลยจริง ๆ

“หึ...ให้มันแน่ เพราะถ้าฉันรู้ทีหลังว่านายคิดอะไรวิปริตกับคนของฉันอีกฉันไม่เอาเธอไว้แน่” หญิงสาวพูดออกมาแบบไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด จนแสงตะวันที่คิดจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบก็ถึงกับเดือด เลยเผลอพูดอะไรออกมาแบบไม่ได้คิดให้ถีถ้วนเสียก่อน

“นิคุณ..เราก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวจะพูดอะไรก็ควรให้เกียรติผมบ้าง อีกอย่างนะถ้าผมจะทำไม่ดีกับคนของคุณจริง ๆ แน่ใจเหรอว่าคุณจะรู้? อย่าสำคัญในตัวของคุณมากเกินไปนะ เพราะผมมาทำงานไม่ได้คิดจะมาเล่นสนุกกับเรื่องความสัมพันธ์คนอื่น”

“นิแก่”

“ถ้าพูดดีไม่ได้ผมก็ขอตัว เพราะผมไม่ว่างมาอธิบายอะไรที่คนฟังไม่ได้สนใจจะฟังหรอกนะ”

“แล้วยังไง ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรเธอ”

“เช้าวันต่อมาผมถูกย้ายแผนกไปอยู่ชั้นใช้แรงงานจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยแหละ”

“แล้วเธอก็ยังจะไปทำ!!” เสียงพูดเหมือนขัดใจ ว่าขึ้นแสงตะวันมองหน้าคนแก่กว่าแล้วก็อยากขำนัก คิ้วนั่นเกาะกันหมดแล้ว

“ก็มันเหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวเอง อย่างน้อยผมก็ได้ใบผ่านงานนะ”

“เธอนี่มัน!..สรุปผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ลูกสาวท่านประธานที่แอบชอบตั้มตั้งแต่ที่มหา’ ลัย พอตั้มมาฝึกงานในเครือบ้านตัวเองเลยใช้เส้นสายในการ ส่งข่าวให้เธอรู้”

“แล้วมันเกี่ยวยังไงกับการที่ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ”

“ก็ทุกที่ที่ผมไป แม่สาวเจ้าก็ให้คนตามผมไปทุกที่ไง ตามติดเหมือนเงา ดีที่ว่าเขาไม่ได้ลงมือ แต่คงคิดว่าทำแบบนี้แล้วอิงก็คงหมดอนาคตไปเอง..”

“แต่หล่อนคงไม่คิดว่า จะมีฉันโผล่เข้ามาในชีวิตเธอ” คาล์ลพูด สายตาสื่อความหมายนั้น

“นั้นสินะครับ” เขาพูดยิ้มเมื่อนึกถึง

“ฉันคงต้องให้ฟีนิกซ์ส่งของขวัญไปให้หล่อนสักหน่อยแล้ว” เข้าพูดไป มุมปากก็กระตุกเป็นร้อยยิ้มเล็ก ๆ แต่ดูมีเสน่ห์มาก “ขอบคุณที่หล่อนทำให้เธอไม่มีงานทำก่อนหน้าที่ฉันจะมา”

พอรู้ถึงเหตุผลแสงตะวันก็ก้มหน้าลงทันที ใจรู้สึกวูบวาบใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นตึกตัก คำพูดที่เปล่งออกมามันจึงตะกุกตะกัก เสียนี่กระไร และตอกย้ำเข้าไปอีกด้วยคำพูดหวานหู จนไม่คิดว่าคนที่พูดจะเป็น คุณเมฆ..

“และเพราะหล่อน..เราถึงได้มีวันนี้”

“คุณเมฆ!!”

“ทำให้เราได้รักกัน”



TBC.

หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:53:34


ครอบครัว

 

 

ในวันที่อากาศแจ่มใส เมฆกระจายตัวออกเปิดม่านฟ้าให้ดูโล่ง ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าวันนี้ฝนจะไม่เทลงมา ด้านปีกซ้ายของคฤหาสน์ได้กำลังมีการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้านวลผ่อง ข้างกันนั้นเป็นน้องสาวสุดที่รัก ที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดยิ้มจนคนเป็นพี่ชายถึงกลับต้องยิ้มตาม

“ยิ้มอะไรขนาดนั้นน้องอร” แสงตะวันเอ่ยถามตอนที่ แปรงกำลังลงสีที่แก้มให้อ่อน ๆ

“น้องดีใจ พี่ชายน้องจะมีความสุขแล้ว”

“..อยู่กับเรากับแม่พี่ก็มีความสุข” เขาตอบกลับ

“ไม่เหมือนกันสักหน่อย ตอนนี้พี่มีคนดูแลแล้วนะ ไม่ต้องคอยเหนื่อยหางานพิเศษทำอีกแล้ว” น้องสาวตัวน้อยพูดไป น้ำตามันก็พลันอยากจะไหลออกมา คิดถึงสมัยที่อยู่ประถม พี่ชายเขากลับบ้านดึกทุกวันเพราะอยากหาเงินมาให้ค่าขนมเขาเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องขอแม่บ่อย

แสงตะวันเองพอได้ยินแบบนั้นก็พลอยจะร้องตาม แต่ก็ถูกช่างแต่งหน้าช่วยปลอบและบอกเดี๋ยวเขาจะไม่สวย วันนี้เขาต้องเด่นที่สุดในงาน

 

ใช่วันนี้คืองานแต่งงานของเขาและคุณเมฆ เรามาจัดงานกันที่บ้านของคุณเขาที่ดูไบ เพราะว่าที่นี่มีพร้อมทุกอย่าง ตัวเขาเองก็ไม่ได้ขัดเพราะในตอนที่หมั้น คุณเมฆก็ยอมเขามามากพอแล้ว กับผู้ชายนิ่ง ๆ เอาแต่ใจ ยอมที่จะสงบเพื่อรอวันสำคัญของเราในวันนี้

ชุดของเขาวันนี้มาในตรีมอัญมณีใต้ท้องทะเล เป็นสูทสีขาวอมชมพูมุก ด้านในปลดกระดุมสองเม็ดให้เห็นช่วงคอยาวสวยระหง ทรงผมที่ยาวประบ่าถูกตัดทรงใหม่เป็นทรงคอมม่า ที่พี่ ๆ ช่างแต่งหน้าบอกเข้ากับเขาเหลือเกิน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจันทร์ฉายเสนอตัวไปเปิดให้เพราะเขาแต่งเสร็จไปนานแล้ว ถึงได้รู้ว่าคนที่มาในตอนนี้คือพี่คิณ คนที่เขายอมให้มาเป็นพี่ชายคนโปรดอีกคนของตัวเอง

“สวัสดีค่ะ พี่คิณ”

“ดีจ้ะน้องอร เจ้าบ่าวรองแตงตัวเสร็จยังครับ” จันทร์ฉายยิ้มจนแก้มปริ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้พี่คิณเข้ามาดูเอง พร้อมพูดเสริมให้ได้ยินกันแค่สองคน

“น้องอร ว่าเสร็จนานแล้วแหละค่ะ ขนาดน้องอรแต่งทีหลังยังเสร็จแล้วเลย ไม่รู้เขาจะแต่งให้พี่อิงเป็นเทวดาไปเลยหรือเปล่า”

“หึ..แสบนักนะเรา อิงใกล้ได้เวลาแล้วนะ” เขาพูดกับเด็กน้อยข้าง ๆ ก่อนจะบอกคนที่ยังหลับตาให้ช่างเติมอายแชโดว์ที่ตาเพิ่มให้อีก

“ครับเสร็จแล้วครับ..ว้าววันนี้พี่คิณหล่อจัง”

“อิงก็สวย แต่ทางที่ดีอย่าชมพี่ให้บอสได้ยินนะ รายนั้นยิ่งคนอื่นเด่นกว่าไม่ได้อยู่ สตีฟถูกสั่งเปลี่ยนชุดไปสามรอบแล้ว” ทุกคนรู้ความหมายพวกนี้ดี จึงพากันขำพรืดกับสิ่งที่ได้ยิน

สตีฟคงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เข้าตาบอสเขามากที่สุดนั่นแหละ

“แล้วที่พี่มา คือมาตามพวกเราเท่านั้นเหรอคะ?” จันทร์ฉายถามออกไป

“ไม่ครับ พี่จะเป็นคนเดินไปส่งอิงเอง เพราะเราไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายนิเนอะ” แสงตะวันยิ้มรับ พยักหน้าตกลงก่อนจะโผเข้ากอดพี่ที่เขารักมากอีกคน

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริง ๆ” อนาคิณกอดตอบน้องน้อยที่เขาเห็น นิสัยใจคอกันมานาน เขารู้สึกว่าน้องคนนี้ของเขาเป็นยังไง เขาสิที่เป็นเกียรติได้ทำหน้าที่นี้ และเขารู้สึกดีใจที่ฝั่งที่รอน้องน้อยของเขาคือบอส คนที่เก็บเขาขึ้นมาจากความจน ส่งเสียเขาจนเรียนจบมีงานที่ดีทำ และได้รับใช้เขามาเนิ่นนาน

ดีจริง ๆ ที่ทั้งคู่ได้มาเจอกัน

 

 

ด้านนอกตรงจุดจัดงาน

 

บรรยากาศภายนอกดูคึกคักครื้นเครงกว่าที่เคยเป็น ด้านหน้าแท่นจัดงานมีสามพี่น้องขนสีขาวกำลังยืนเฝ้ารอใครสักคน ต่างจากผู้เป็นพ่อที่เดินไปวนมาอยู่ซุ้มทางเข้าไม่ยอมหยุด

ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไร พี่พี่ไม่เห็นตื่นเต้นสักนิด แต่เมื่อไหร่พี่อิงของพวกเขาจะมานะ

“ทำไมช้ากันแบบนี้” ชายหนุ่มผู้มีความสูง195 ซม. ในชุดทักสิโด้สีฟ้าครีมสั่งตัดเป็นพิเศษ ใบหน้าคมคายตอนนี้มีแว่นตาดำบดบังสายตาทรงเสน่ห์ที่แสงตะวันชอบบอกเขาว่า มันน่ามองแค่ไหนเวลาที่เราทั้งคู่สบตากัน

“ยังไม่ถึงเวลาเลยนายน้อย” ฟีนิกซ์ที่ยืนเคียงข้างผู้เป็นนาย มองดูนาฬิกาแล้วก็เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวอีกคนจะต้องมา จึงบอกกับนายตนเองไปแบบนั้น แต่สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าไม่พอใจซะงั้น

ตอนวันหมั้นก็กว่าจะสงบไม่ขับรถไปหาอีกคนได้พวกเขาก็เหนื่อยกันแทบตาย ไหนจะแอบเรียกฮอร์ส่วนตัวมาเพื่อแอบไปให้เห็นหลังคาบ้านของอีกคนอีก! เห้อ!! ถ้ารู้ว่าการแต่งงาน สักครั้งในชีวิตมันต้องวุ่นวายและลำบากแบบนี้ ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้เห็นงานแต่งของพวกเขาเลย

“ต้องรออีกนานแค่ไหน นี่ก็จะเก้าโมงเข้าแล้วนะ!”

“นายน้อยคาล์ล! วันนี้เป็นวันสำคัญนะ อย่าใจร้อนไปเลย!” อุซมีที่นั่งอยู่แถวนั้น มองหลายและคนดูแลคุยกันหน้าเครียด เขาจึงลองเดินเข้ามาดู แล้วก็ได้ยินสิ่งที่หลายชายเอ่ย

เลือดมันร้อนได้พ่อเจ้าเสียจริง หึหึ!!

“แต่ว่า...”

“ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน หลานย้อมรู้เรื่องนี้ดีนิ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าสิ่งที่หลานรอคอย มันก็จะเป็นของหลานแล้ว และเมื่อได้มาแล้วสิ่งสำคัญที่สุ-..”

“ต้องรักษา และดูแลอย่างดี ข้อนี้หลานรู้” คาล์ลพูดสวนขึ้นเมื่อท่านอาจะพูดถึงเรื่องที่พูดกรอกหูเขามาตลอด จนมันจำขึ้นใจทั้งหมดแล้ว

“บอสครับ คุณพ่อบอกว่าจะได้เวลาแล้วเชิญที่แท่นพิธีได้แล้วครับ” อีธานเดินเขามาบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ชุดที่เขาใส่เป็นเหมือนกับชุดของฟีนิกซ์และสตีเวน คือคลุมโทนสีขาวฟ้า คล้ายเจ้าบ่าว แต่จะไม่ได้ใส่สูท ให้ดูทางการเกินไป แต่จะใส่เป็นสายเอี๊ยมแทน ให้ดูเรียบ แต่หรูแถมยังดูย้อนวัยชายหน้าโหดกันเลยทีเดียว

คาล์ลพยักหน้ารับเดินไปที่แท่นพิธีตามที่ลูกน้องได้บอกทันที ตอนนี้เจ้าสิงห์ขาวสามตัวไม่ได้อยู่ที่หน้าแท่นแล้ว คงไปเตรียมตัวแล้วเช่นกัน เพราะวันนี้ทั้งสามมีหน้าที่สำคัญมาก ๆ แก่พวกเขาสองคนเหลือเกิน ถ้าหายไปงานวันนี้คงล่มไม่เป็นท่าแน่นอน

“เจ้าบ่าวยืนฝั่งซ้ายมือของพ่อได้เลยนะ” คาล์ลเดินไปตรงจุดที่เขาจะต้องยืนตามคำบอกของ บาทหลวงผู้มาทำพิธีให้เขาในวันนี้ ปกติแล้วหากไม่ใช่คาทอลิกทั้งคู่จะไม่สามารถจัดงานข้างนอกแบบนี้ได้ ยิ่งพวกเขาไม่ใช่คู่ชายหญิงด้วยแล้ว อะไร ๆ มันก็ต้องใช้เส้นสายและเงินตราเข้ามาเกี่ยวอยู่ดี เพราะเขาอยากจัดงานที่นี่ ที่แห่งเดียวที่เขาเติมโตมา

 

รอไม่นานเสียงดนตรีคลาสสิกก็ดังขึ้น เขาที่ก้มหน้ามองเวลาจึงต้องเงยขึ้นและมองไปที่ทางเดิน ที่ตอนนี้มีคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

คนแรกที่สะดุดตามากที่สุดคือคนที่เดินนำหน้ามาพร้อมกับอนาคิณที่ได้เกียรติเป็นคนทำหน้าที่สำคัญนี้ คือการส่งอีกคนให้ถึงมือเขาในนามของพี่ชายที่แสงตะวันนับถือ ด้านหลังนั้นคือเจ้าสามแสบที่เดินนวยนาดกันมา กิวล์อยู่ตรงกลางที่ปากมีตะกร้าใส่ของสำคัญอยู่ ส่วนอีธานและกิฟเวน คาบตะกร้าดอกไม้ มีเด็กน้อยลูกของคนงานที่นี่ ที่ชอบไปเล่นกับมันคอยโปรยดอกไม้ด้านใน ที่ดูยังไงก็เหมือนโยนเล่นกันมากกว่า

ฝั่งเพื่อนเจ้าบ่าวรองมีนาวาเดินนำขบวน ต่อด้วย ดินและสองแฝด ด้วยโทนชุดเป็นสีขาวชมพูมุกแล้วมีสายเอี้ยมเช่นกันกับเจ้าบ่าวหลัก ที่นำทีมมาด้วยฟีนิกซ์ อีธาน และสตีเวน ทุกคนในงานต่างลุกขึ้นชื่นชมกับภาพที่เห็นใครจะคิดว่า เหล่าบอดี้การ์ดหน้าโหด พอมาอยู่ในชุดแบบนี้แล้วจะดูดีได้ขนาดนี้

ไม่นานอนาคิณก็พาน้องน้อยมาจนถึงที่หมาย คาล์ลส่งมือออกไปเพื่อรับ อนาคิณวางมือของแสงตะวันลงไปด้วยรอยยิ้มดีใจอย่างสุดซึ้ง

“ผมพาน้องชายมาส่งให้ถึงมือแล้วนะครับ” คำพูดจากพี่ชายที่เครารพทำเอาน้ำตาเจ้าบ่าวรองเอ่อคลอออกมาเลยทีเดียว

“ขอบคุณนะคิณ” คาล์ลเอ่ย

“รักษาเธอไว้ให้ดี ๆ นะครับ”

“ด้วยชีวิตของฉัน” เท่านั้นคนที่มาส่งน้อง ก็ยอมปล่อยมือออกก่อนจะไปนั่งข้าง ๆ กับแม่น้ำที่วันนี้ แต่งตัวสวยมาก ๆ มีจันทร์ฉายนั่งข้าง ๆ กอดแขนพี่ชายคนโปรดไม่ห่าง

คนที่ตามหลังมาก็กับเข้าประจำที่หมดแล้ว สองพี่น้องอีธานและกิฟเวนเดินไปหาเพื่อนคนใหม่ อย่างจันทร์ฉายก่อนจะนั่นลงด้านข้างทั่งคู่มองดูพี่คนโตอย่างกิวล์ที่ยังต้องทำหน้าที่ต่อ

“พ่อขอเริ่มพิธีเลยนะ ข้าพเจ้าในนามของพระเยซู ของเป็นผู้ทำพิธีมงคลสมรสนี้ ... อัดฮัม อัจมาน คาล์ล ลูกจะรับ แสงตะวัน ภูรินนท์คนนี้เป็นคู่ชีวิตลูกหรือไม่”

“รับครับ” ส่งสายตาสื่อความหมาย

“แล้ว แสงตะวัน ภูรินนท์ ลูกจะรับ อัดฮัม อัจมาน คาล์ล เป็นคู่ชีวิตของลูกหรือไม่”

“ครับ..รับครับ” เธอตอบยิ้ม ๆ

“ทั้งคู่ว่าตามพ่อนะ ข้าพเจ้า...” บาทหลวงเอ่ยเมื่อฟังคำยินยอมจบแล้ว ต่อไปคือการปฏิญาณต้นต่อกันและกัน

“อัดฮัม อัจมาน คาล์ล / แสงตะวัน ภูรินนท์”

“ขอรับ อัดฮัม / ขอรับ แสงตะวัน”

“เป็นภรรยา / เป็นสามี”

“และขอสัญญาว่า จะถือซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย” พูดถึงตรงนี้ทั้งคู่ก็เงียบพร้อมกัน สายตาสื่อความหมายรอยยิ้มมากมายผุดขึ้นจนเต็มดวงหน้า ก่อนจะพูดต่อ..

“เพื่อรัก / เพื่อรัก”

“และยกย่องให้เกียรติคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

“ฮึก..จนกว่า..ชีวิตจะหาไม่” แสงตะวันกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไว้จึงเผลอปล่อยมันออกมาตอนที่ใกล้จะจบการปฏิญาณต่อกัน คาล์ลยิ้มด้วยความเอ็นดูช่วยปาด หยดน้ำใส่ที่บดบังความงามตรงหน้าออก ส่งสายตาปลอบโยนกันจน แขกที่มาร่วมงานเห็นแล้วยังต้องซึ้งกับคนทั้งคู่

“ต่อจากนี้จะเป็นการสวมแหวน แต่ก่อนอื่นมีใครในที่นี้จะคัดค้านพิธีสมรสในครั้งนี้หรือไม่” บาทหลวงเอ่ยถามออกไปให้เป็นไปตามกำมวิธี จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครคัดค้าน จึงจะเริ่มพิธีต่อ แต่แล้ว...

“เอ่อ..” อยู่ ๆ สตีเวนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในวันนี้ก็ยกมือขึ้น ก่อนที่บาทหลวงจะได้เสกแหวน

สายตามากมายถูกส่งมาให้เขาที่ยิ้มเจื่อนอยู่ตรงนี้ ยิ่งมองไปที่แท่นทำพิธีเจอสายตาพิโรธของบอส ถึงได้รู้ว่าตัวเองเล่นไม่ถูกเวลา พอหันมามองที่ข้าง ๆ ก้มลงต่ำก็เห็นแท่งกระบอกสีดำจี้อยู่ที่สีข้างของตัวเอง ด้วยฝีมือเมียรัก

“จะคัดค้านเหรอ!” นั่นคือคำถาม ที่ฟังแล้วอยากหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน

“ปะ..เปล่าจ้ะ..แค่จะถามว่าจบงานนี้แล้ว คุณพ่อจะไปไหนต่อหรือปล่าครับ”

โฮก!!!

เสียงคำรามจากกิวล์ที่นั่งรอทำหน้าที่อยู่ยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ควรเล่น ยิ่งได้ยินคำที่บอสเอ่ยออกมายิ่งรู้เลยว่า ไอ้สตีฟซวยแล้ว!!!

“ไปงานศพแก่ไง!!”

“คุณ!!” แสงตะวันรีบห้ามเจ้าบ่าวของตัวเองทันทีที่เห็นว่า คุณเขาจะพุ่งตัวไปหาสตีฟอยู่แล้ว

บาทหลวงผู้ทำหน้าที่รีบ ทำพิธีต่อทันทีเมื่อรู้สึกว่า งานในวันนี้มันกระกลายเป็นงานอื่นแทนงานมงคล

“พ่อขอแหวนหน่อยนะ” บาทหลวงเอ่ยตอนที่เดินมาเอาแหวนในตะกร้า ที่มีเจ้าสิงห์สีขาวคาบอยู่ด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าเพราะความกลัว กิวล์ได้ยินแบบนั้นก็วางของให้แล้วเดินออกไปอยู่กับฟีนิกซ์ สายตาก็จ้องไอ้ตัวปัญหาไม่วางตา

ถ้าคิดจะพังงานต้องผ่านเขาไปให้ได้ก่อน

“คราวนี้สวมแหวนให้กันได้เลย”
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 31-01-2022 19:54:09


คาล์ลมองนิ้วมือเรียวสวยก่อนจะจับมันขึ้นมาค่อย ๆ สวมแหวนเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้าย จูบซับตรงแหวนก่อนจะยื่นมือตัวเองออกไปบ้าง พอสวมเสร็จคาล์ลก็โน้มหน้าเข้าหาอีกคนมอบรสจูบที่แผ่วเบาต่างจากปกติแต่มันดูมีค่ามาก หากเทียบกับที่แล้วมา ก่อนจะถอดริมฝีปากออกกระซิบให้ได้ยินเพียงกันและกัน

“ต่อไปเธอจะไม่ลำบากอีกแล้วนะ”

“แต่ผมขอทำงานเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“ฉันอยากให้เธอดูแลบ้านและเจ้าแสบพวกนั่นก็พอ” คาล์ลเอ่ย มองไปยังเจ้าแสบที่ว่าที่ตอนนี้นั่งอยู่คนละที่

แสงตะวันชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพยักหน้าเป็นอันว่าตกลง

“ฉันรักเธอ”

“ผมก็รักคุณ”

“สวมแหวนเสร็จแล้วเป็นอันว่าพิธีเสร็จสิ้น จบหน้าที่พ่อแล้วพ่อขอตัวก่อน”

“ผมจะให้คนไปส่งนะครับ” บาทหลวงพยักหน้าเดินเข้าไปหาท่านอาของเขา เพื่อพูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ นา ๆ เพราะความที่รู้จักกันอยู่แล้ว

คู่รักใหม่ยืนสบตากันอย่างไม่ลดละ แขกในงานรอจนอึดอัด เป็นตอนนั้นเองที่จันทร์ฉายน้องรักของแสงตะวันตะโกนออกไปถาม

“พวกพี่จะยืนจ้องตากันอีกนานไหมคะ? น้องอรหิวแล้ว” เสียงหัวเราะจากแขกฝั่งของแสงตะวันดูครื้นเครงกันออกรสออกชาติก่อนที่ล่ามอย่าง อนาคิณจะกล่าวบอกให้ทุกคนรับรู้และเสียงหัวเราะทั้งหมดก็ดังขึ้นมาอีก ด้วยความเอ็นดูเด็กน้อยช่างพูดคนนี้

“ขอโทษทีมองหน้าพี่ชายเธอแล้ว มันทำให้ลืมคนรอบข้างไปหมด” ทุกคนโห่ร้องแซวเมื่อได้ยินบอสหน้านิ่งของตัวเองก็มีมุมแบบนี้ด้วย คนที่ได้เกียรติเห็นทุกอย่างจะต้องวิเศษและพิเศษขนาดไหนกันนะ อ่อ...ก็เท่ากับคนที่ยืนข้าง ๆ บอสในยามนี้ไง

ลานกว้างทางปีกซ้ายที่ห่างจากตัวคฤหาสน์ไปประมาณห้าร้อยเมตรคือที่ที่จัดงานในวันนี้ แขกทั้งหมดที่มาร่วมงานส่วนมากเป็นแขกคนสำคัญ ทางฝั่งของแสงตะวันคนที่ได้มาร่วมงานก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนคุ้นเคยกันดีอย่างครอบครัวของดิน นำทีมโดยคุณหญิงแม่ พี่ทัพฟ้า คุณพ่อ ดินและนาวา แล้วก็อีครอบครัวคือครอบครัวของ วรรณาที่มีพ่อและแม่เท่านั้น ส่วนทางของเขามีมากมายหลายพื้นที่ แต่ส่วนมากเป็นคนที่มีผลประโยชน์ต่อกัน

ในห้องพักชั้นสามที่ตอนนี้เงียบสงัดเหมือนไม่มีใครอยู่ แต่ที่ห้องแต่งตัวยังมีชายสองคนที่มีความต่างกันมากกำลังยืนหันหลังให้แก่กัน อีกคนกำลังสวมใส่นาฬิกาเลือนใหม่เพื่อใช้ในงานคืนนี้ อีกคนกำลังมองตัวเองอยู่ภายในกระจกบานใหญ่ ตอนนี้ทั้งตัวของเขามีพร้อมทุกอย่าง ชุดที่สวมใส่มาจากแบรนด์ดังชั้นนำ สั่งตัดทุกชิ้น จากคนคนหนึ่งที่วิ่งเต้นหางานในตอนนั้น เขามีวันนี้ได้ยังไงนะ!

“คิดอะไรอยู่” แรงสวมกอดจากด้านหลังไม่ได้ทำให้เขาตกใจ เมื่อรู้อยู่แล้วว่าใครที่ยืนอยู่ตรงนั้น

แสงตะวันหลับตาซึมซับกับความอบอุ่นของอีกคน รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้ามน ที่วันนี้ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ก่อนจะลืมตาแล้วมองคนด้านหลังผ่านกระจกถึงได้รู้ว่าตอนนี้ คุณเมฆของเขานั้นกำลังมองเขาอยู่

“กำลังคิดว่า...ดีใจที่ผมได้เจอคุณ”

“ฉันก็ขอบคุณที่เราได้เจอกัน” คาล์ล หยอดกลับด้วยสายตาทรงเสน่ห์ ที่มองจ้องผ่านกระจก

“อยู่ ๆ ก็ปากหวาน”

“อยู่ ๆ ก็ไม่อยากลงไปด้านล่างแล้ว..ฟอด!!” เสียงสูดหอมดอมดมข้างซอกคอขาว ที่ตอนนี้เปิดกว้างพอให้สัมผัส

แสงตะวันเอียงหลบเพราะความจั๊กจี้ที่ต้นคอก่อนจะหันไปมองคนรัก หรือสามีหมาด ๆ ของตัวเองด้วยความขัน

“ไม่ได้ครับทุกคนรออยู่” เสียงจิ๊ปากขัดใจ แต่ก็ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

“ไปครับ...ยิ้มหน่อยนะคุณ” แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากฉีกยิ้มแบบมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าประชด

บรรยากาศด้านล่างตอนนี้ดูครื้นเครงน่าตื่นเต้น ด้วยเวลาทุ่มกว่า ๆ แต่เพราะที่นี่ห่างไกลจากบ้านเมืองของผู้คนมันถึงได้เสียงดังไปกับเพลงมากมายที่ฟังแล้ว เหมือนงานปล่อยผีหลังวันเรียนจบก็ไม่ปาน ผู้รับหน้าที่คุมเสียงคือสองแฝด ที่พอเห็นเขาก็ส่งมือทักทายและ...

“เจ้างานมาแล้ว!!!” ตะโกนใส่ไมค์จนทุกคนรู้เลยว่าพวกเขาลงมาแล้ว เห็นสายตาของสตีเวนที่ส่งมาให้ ด้วยท่าทางกรุ่มกริ่มแล้วมันรู้สึกเขินอายเสียจริง แต่ก็ยังต้องขึงตาใส่เพราะรู้ความหมายของสายตานั้นดี

“ไง! ยังไม่หายตื่นเต้นอีกเหรอคะลูก” คุณหญิงแม่ของดินเอ่ยแซว เพื่อนลูกชายที่เธอเอ็นดูมาตลอด

“นิดหน่อยครับ แล้วหญิงแม่ทานอะไรหรือยังครับ”

“ทานแล้วลูก แม่บ้านที่นี่ทำอาหารอร่อยมาก ถึงจะรสอ่อนไปหน่อยก็เถอะ” เขายิ้มขำกับหญิงวัยกลางคนที่ ทานอาหารรสจัดจนติดปากนาวาลูกสะใภ้ได้ยินแบบนั้นก็รีบถามขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วง

“คุณแม่ยังทานของรสจัดอยู่อีกเหรอครับ?”

“น้องวา!!วันนี้วันมงคลลูกไม่บ่นนะคะ” เธอรีบหาข้ออ่างเพื่อจะหนีเสียงบ่นของเพื่อนเขา จนทุกคนที่ยืนอยู่ต้องหัวเราะให้กับความแม่สามีลูกสะใภ้ ที่ไม่ได้เหมือนในนิยายสักนิด เพราะบ้านนี้รักสะใภ้มากกว่าลูกชายทั้งสองของตัวเองเสียอีก

เขายืนคุยกับเพื่อนและแขกของตัวเองไม่นาน คุณเมฆก็พาเขาไปพบกับคนสำคัญที่สุดของเขา..

“อังเคิล!!”

“อ่าวมากันแล้วเหรอ! เป็นยังไงบ้างหลานคนใหม่” ท่านพูดยิ้ม ๆ เอ็นดูเด็กชายคนนี้ที่หลานเขาเลือกมาไว้ข้างกาย

ด้วยคำสอนและการบอกเล่าหลายอย่างที่เขาและพี่ชายได้มอบให้แก่หลานชายคนนี้ ไม่มีข้อกังขาใดให้เขาตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นเด็กคนนี้ คนที่ไม่มีอะไร ไม่มีอำนาจ ไม่มีอะไรที่จะทำให้หลานเขาสามารถนำมาเสริมสร้างบารมีรอบตัว แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กคนนี้มี คือความรัก ความสื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนรอบข้าง รอยยิ้มที่สดใส่สว่างสะไหว เหมือนกับชื่อนั้นแหละคือสิ่งที่หลานชายเขาขาดมันมานาน ซึ่งอาอย่างเขาก็ไม่สามารถให้มันได้มากพอ

“ดีครับ ยังรู้สึกว่ามันเหมือนฝันอยู่เลย” อุซมีได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มขำกับเด็กน้อย

“ต้องชินได้แล้วนะ ต่อไปเจ้าจะได้เดินข้างอัดฮัมไปทุกที่ เจ้าอาจจะเจออุปสรรคมากมาย”

“อังเคิล..” คาล์ลรีบขัดเมื่อท่านอากำลังให้คนรักของตัวเองกลัว แต่ก็ถูกมือเล็กนั้นผสานเข้าที่มือเขาพร้อมกระชับมันให้แน่นขึ้นแล้วพูดตอบออกไป

“ผมจะพยายามให้มากครับ แล้วก็...ถ้าคุณเขายังไม่ปล่อยมือ ผมก็จะไปทุกที่กับเขาแน่นอน” คาล์ลมองสบตาของคนน้องที่หันมามองเขาอยู่พอดี ไม่รู้ว่าวันนี้วันเดียวเขาหัวใจเต้นแรงแบบนี้ไปมากแค่ไหนแล้ว แต่มันก็รู้สึกดี ดีมาก ๆ แค่เพียงมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนี้เขาก็ไม่หวั่นอะไรเช่นกัน

“ฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่นอนเจ้าหนู” รอยยิ้มที่ไม่ได้ปรุงแต่ง มันนานเท่าไหร่นะที่เขาไม่เคยเห็นหลานชายยิ้มได้แบบนี้ ตอนที่พี่ชายเสีย หรือตอนที่หลานชายเรียนจบ แต่ต้องมาพบกับสิ่งสำคัญที่เหลือเพียงชิ้นเดียวจากไปอีกครา

คาล์ลพาคนรักเดินไปพูดคุยกับแขกที่ตนเชิญมาก่อนที่พิธีกรอย่าง สตีเวนจะเรียกเขาให้ไปพูดคุยบนเวที

“ทุกคนอยากรู้อะไรของสองเจ้าบ่าวคู่นี้ดีครับ” เสียงเอ่ยถามผ่านไมค์ ทำให้ผู้คนร้องบอกสิ่งที่ตนอยากรู้มากมายแต่ทั้งหมดนั้น สตีฟไม่ได้เลือก..

“อันที่จริงตอนที่ดอกรักของทั้งคู่เบ่งบาน ผมก็อยู่ด้วยนะ” เสียงโห่ร้องเอ่ยแซวเสียงดัง ก่อนจะมีเสียงหัวเราะปนกันไปหมด

“แต่ที่ผมอยากจะรู้เชื่อว่าทุกคนก็อยากรู้ เริ่มจากบอสก่อนเลยนะครับ” สตีเวนส่งรอยยิ้มสู้สุดใจมาให้คนที่เป็นนาย ก่อนจะได้สายตาเชือดเฉือนกลับมา

“จะถามอะไร”

“บอสตกหลุมรัก อิงเมื่อไหร่ครับ”

วิดวิ้ว!! เสียงร้องเชียร์จากแขกหลายคนก็อยากรู้เช่นเดียวกัน

ตอนแรกคาล์ลจะบอกปัดเพราะเรื่องนี้ เขาคุยกับแสงตะวันไปแล้ว แต่พอมองคนข้าง ๆ แล้ว ใจเขามันก็สั่งให้พูดออกไปเลย เผื่อจะได้เห็นคนเขินจนตัวแดงเป็นพริกหวาน สายตาคมจับจ้องเสี้ยวหน้าของคนรักที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าแดงนั้นหลบเขาอยู่

“จะบอกว่าเป็นความบังเอิญ! หรือเพราะความสงสัยก็ไม่รู้ได้ ครั้งแรกที่เจออิง ผมเจอเขาในแฟ้มประวัติเรซุเม่ ผมอาจต้องขอบคุณที่วันนั้นอีธานยอมทิ้งผมตั้งแต่ลงจากเครื่อง เพราะไม่ตามหาเลขาที่ดีที่สุดให้ผม” ทุกคนหัวเราะ แต่คนที่ถูกเอ่ยชื่อกลับทำตัวลีบลงไปหลายส่วนเมื่อนึกถึงวันนั้น ในตอนที่เขาเอาแฟ้มเข้าไปให้ (วันนั้นเข้าเกือบโดนบอสฆ่าเพราะไปขัดเวลาทานข้าวเย็น)

“เรื่องนี้ผมอาจเคยบอกกับเขาไปแล้วเมื่อวันหมั้น แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ...เมื่อเจ็ดปีก่อนผมได้ไปที่ประเทศไทยเช้าวันนั้นเป็นวันคบรอบวันจากไปของแม่ผม หลังออกจากวัดมาผมได้หนีฟีนิกซ์ออกมา เพื่อหาที่เงียบ ๆ ซึมซับที่นั่นที่ที่เป็นบ้านของแม่ผม แล้วผมก็ได้เจอกับคนทำความสะอาด ที่ตัวเล็กนิดเดียว ครั้งแรกที่เห็นผมคิดว่าเขาเป็นหัวขโมย แต่สิ่งที่ทำให้ผมหยุดความคิดนั้นคือ...หัวขโมยที่ไหนจะคุยกับรูปแม่ผมอย่างกับคนบ้าหึหึ” พอพูดจบคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมยก็เหมือนจะจำได้แต่...

“คุณเป็นลูกคุณป้าเหรอ!” แสงตะวันในวันนั้นเขาจำได้ว่าพี่ที่อยู่แถว ๆ บ้านแกรับงานซ้อนแล้วบ้านอีกหลังก็เร่งงานเขามากจนต้องมาขอร้องให้เขาไปทำความสะอาดบ้านหลังนั้นให้ แต่เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่เขาเห็นรูปหญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวยเลยเดินเข้าไปคุยก่อนจะพูดเป็นตุเป็นตะกับรูปภาพนั้น และเพราะว่าตรงหน้ารูป มีกระถางธูปอันเล็กตั้งอยู่ถึงได้รู้ว่าท่านเสียแล้ว

“ลูกของคุณป้าต้องรักคุณป้ามากเลยนะครับ”

“ดูสิ ตัวเองไม่อยู่ยังส่งคนมาดูแลที่นี่อย่างดีเลย”

“อิงอยากมีคนดูแลแบบนี้บ้างจัง..แต่แบบตอนที่มีชีวิตอยู่นะครับ” แล้วเขาก็ขำกับตัวเอง ไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำของตัวเองมีคนมองเห็นอยู่ตลอด

คาล์ลพยักหน้ารับก่อนจะเล่าเรื่องต่อแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน

“ผมมองเขาอยู่นาน เดินตามไปทั่วบ้านก่อนที่นิกซ์จะหาผมเจอผมจึงตัดใจกลับเพราะเครื่องกำลังรอผมอยู่...ผมเคยคิดอยากจะหาตัวเขาแต่ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง ในเมื่อผมรู้จักแค่ชื่อ..อิง เป็นชื่อที่ผมจำได้ไม่ลืมเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่สามารถยืนคุยและร้องเพลงมั่วภายในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีผู้คน แต่ไม่คิดที่จะหยิบจับอะไรไปเลย”

“เห็นผมเป็นคนยังไง..ฮึก”

“เป็นคนที่น่าค้นหาไง” มือหนาปาดน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบา

“พอได้เจออีกครั้ง บวกกับแปลกใจว่าทำไม เรียนดีขนาดนี้ถึงไม่มีใครรับเข้าทำงาน ในใจมันก็สั่งทันทีโดยไม่ต้องคิด และหลังจากนั่งสามวันเราก็ได้เจอกัน...”

“...แต่วันนั้นคุณไม่ยอมบอกอิงว่าคุณเป็นใคร” เด็กน้อยสูดน้ำมูกก่อนจะพูดในสิ่งที่เขายัง เคือง ๆ อยู่

“วันนั้นอีฟจะบอกเธอแล้ว..” เด็กน้อยมองไปที่ด้านหน้าก็ได้เห็น อีธานพยักหน้ารัว

“พอได้ทำงานด้วยกัน ก็ทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้ฉลาดรู้จักพูด แต่นอกเวลางานจะเป็นอีกคน เป็นเสียงหัวเราะ เป็นที่ระบายของใครหลายคน และเป็นที่พักพิงที่ไม่เปลี่ยน อยากอยู่แบบนั้น อยู่กับเขาดูแลเขาบ้าง รับฟังเรื่องของเธอบาง เป็นครอบครัวให้เธอ...พอคิดมาถึงตรงนี้ผมถึงได้รู้ว่าทุกอย่างที่ผมเป็นหรือต้องการจากเขาผมต้องทำยังไง และวันที่ผมบอกเขาครั้งแรกก็คือที่นี่บ้านหลังใหญ่ที่เงียบเหงาแห่งนี้”

“ฮึก..ฮึก!! เก็บไว้ได้ยังไงกัน ตั้งนานฮือ!!” เสียงโยเยจากอีกคนทำให้เขาส่งไมค์กลับไปให้สตีฟที่ตอนนี้อึ้งไปแล้วไม่รู้ว่าอึ้งเรื่องไหนระหว่างเรื่องที่พวกเขาเจอกัน หรือเรื่องที่บอสตนพูดได้ยาวขนาดนี้

“...มันช่างเป็นความรักที่แปลกใหม่ดีนะครับ ลองมาฟังฝั่งของอีกฝ่ายบ้างดีกว่า” ไมค์ถูกยื่นไปที่หน้าของเด็กน้อยที่พยายามเช็ดน้ำตาตัวเองอยู่ก่อนจะส่งมือออกมารับมันไป

“ผม...อันที่จริงผมไม่รู้เลยว่า รักเขาไปตอนไหน” มองคาล์ล “ตลอดเวลาที่เราทำงานด้วยกันก่อนที่ผมจะรู้ว่าเขาคือเจ้านายของผม เรา..ตีกันแทบทุกวัน”

“ฮ่า ๆ อันนี้ผมเป็นพยานได้” สตีเวนเสริม

“เวลามาทำงานผมจะชอบทำอาหารมาทานด้วย และจะห่อมาเผื่อทุกคน แต่ทุกครั้งที่ผมห่อช่อม่วงไปด้วย คุณเขาจะชอบไม่ยอมแบ่งใคร ส่วนทุกคนก็ไม่กล้าแย่งกิน เพราะใบหน้าแบบนี้”

“อันนี้ผมก็ยืนยันได้..ชะอุย!”

“แต่พอเวลาผ่านไป ผมรู้จักเขาจริง ๆ ในแบบที่ยังจริงไม่หมดผมได้เรียนรู้เขา ได้มองเขา ได้เห็นการทำงานที่แทบไม่มีเวลาพักของเขาแล้วผมก็รู้สึกเป็นห่วง...รู้ตัวอีกทีผมก็เข้าไปวุ่นวายใกล้ ๆ เขาเสมอ จนวันที่เขาบอกรักผมครั้งแรก..” เสียงพูดหายไป แขกที่รอฟังก็พากันยืนเกร็งเพื่อลุ้น กับความรักของทั้งคู่ซึ่งแสงตะวันพยายามพูดข้ามเรื่องที่เขาถูกจับเพื่อ ไม่ให้ครอบครัวเขารับรู้

“พูดได้ไหมนะ แต่คนเนี๊ยบอย่างเขาเลือกบอกรักผมใน..ห้องน้ำ”

โว้ว!! ฮิ้ว!!

เสียงโห่ร้องขำขันแต่พอเห็นสายตาที่มองลงมาทุกคนก็ต้องหยุดชะงัก กระแอมไอตั้งใจฟังทันที สวนเจ้าของสายตาก้มลงมองคนข้าง ๆ ก่อนจะดึงไมค์มาจ่อปากตัวเองแล้วพูดว่า..

“ความรักมันไม่เลือกที่หรอก”

พรูด!!!

“แกมีปัญหาอะไร? ...สตีเวน!” คาล์ลเอ่ยถามไอ้พิธีกรจำเป็นที่ทำบรรยากาศของตนพังหมด

ฉากเมื่อกี้มันต้องได้จูบแล้วไหม!!

“ปะ..เปล่าครับบอสโรแมนติดมากครับ แต่เอ๊ะ บอสเข้าไปบอกรักอิงได้ยังไงครับในห้องน้ำ” เสียงเหมือนผึ้งแตกรังดังหึ่ง เมื่อหัวข้อที่พิธีกรถาม มันน่าสนใจมากแค่ไหน แสงตะวันมองดูเหตุการณ์แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที่ก่อนที่เขาเองจะระเบิดตัวเองลงตรงนี้เสียก่อน

“ซึ่ง!!..ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ตอบเขาไปหรอก แต่เพราะว่าเขา ทำทุกวันของเราอย่างเปิดเผยทุกอย่าง ไม่ได้พูดคำรัก แต่ทุกการกระทำทำให้ผมเชื่อว่า..ผู้ชายคนนี้รักผมจริง ๆ”

“เพราะว่าฉันคิดแบบนั้นมาตลอด มันจึงไม่จำเป็นต้องโกหกหรือหลบซ่อนใคร เพราะฉันอยากดูแลเธอ เป็นคนแรกที่เธอนึกถึง เป็นคนที่จะทำทุกอย่างที่เธอต้องการ ขอแค่เธอมีความสุข ทุกอย่างบนโลกนี้ก็ไม่สำคัญกับฉันอีกแล้ว”

ความเงียบเกิดขึ้นเมื่อบอสใหญ่ของที่นี่พูดจบก่อนจะเป็น อนาคิณและสองแฝดที่ปรบมือขึ้นแล้วทุกคนก็ทำตาม เสียงร้องโห่แซว ดังระงมไปทั่วงาน ที่ตอนนี้มีแต่พวกเขา และเหล่าบอดี้การ์ดทั้งหลาย ที่วันนี้มาเพื่อปล่อยผีกันทั้งนั้น

“โหย!! ผมไม่รู้จะถามอะไรต่อเลยครับ งั้นเจ้าบ่าวทั้งสอ..สอง ไม่ต้องให้บอกเลยวุ้ย!!” เขาก็อุตส่าห์จะบอกให้จูบโชว์เสียหน่อย ทำก่อนซะได้บอสเขาเนี่ยใจร้อนเสียจริง

ฟีนิกซ์ที่มองนายน้อยของตนอยู่เบื้องล่าง เห็นรอยยิ้มนี่แล้วมันช่างดีจริง ๆ นะ ต่อไปนายน้อยจะไม่ต้องเหงาอีกแล้ว เขาที่คอยดูแลคนคนนี้มาตลอดตั้งแต่นายท่านใหญ่ยังอยู่จวบจนตอนนี้ เขาเห็นอะไรมาเยอะ ความเศร้า ความเจ็บปวด การที่ต้องแบกรับสิ่งที่หนักไว้บนบ่ามานาน ตอนนี้เหมือนมันไม่มีผลต่อ เขาคนนั้นแล้ว ทุกอย่างนี้เขาขอยกความดีความชอบให้กับ เด็กคนนั้นที่วันนี้สามารถทำให้ราชสีห์ที่ยิ้มยากมานาน กลับมายิ้มเต็มกรอบหน้าได้อีกครับ เพื่อนอย่างเขา พี่ชายอย่างเขา เห็นเท่านี้มันก็ดีใจมาก ๆ แล้ว ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เขาคนนี้จะปกป้องรอยยิ้มนี้ไว้ตลอดไป

ใครที่คิดว่ากล้ามาทำให้มันหายไปอีกก็เข้ามา

 

 

[ จบ ]

 
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 26-02-2022 13:31:48
 :L1:ซึ้งกับตอนจบเลย
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-02-2022 19:42:15
สนุกมากๆค่า :haun4:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: LOVEJUICE ที่ 01-03-2022 01:43:13
 :-[อ่านแล้วทำไมรู้สึกน่ารักอย่างงี้ ยิ้มค้างเป็นช่วงๆกันเลย
พ่อมาเฟียของเราโหดกว่าปกติเพราะเมียข้าใครอย่ายุ่ง
อิงนิสัยน่ารัก ฉลาด เอาใจใส่  คุณเมฆจะหลงก็ไม่แปลกค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Defeat skittish"ปราบพยศ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pattprorapat ที่ 08-03-2022 00:10:10
:-[อ่านแล้วทำไมรู้สึกน่ารักอย่างงี้ ยิ้มค้างเป็นช่วงๆกันเลย
พ่อมาเฟียของเราโหดกว่าปกติเพราะเมียข้าใครอย่ายุ่ง
อิงนิสัยน่ารัก ฉลาด เอาใจใส่  คุณเมฆจะหลงก็ไม่แปลกค่ะ :กอด1:


ขอบคุณที่ชอบนะคะ