พิมพ์หน้านี้ - LOVE IS ? เติมรักที่หายไป ตอนที่ 12 {MARK} 10/10/18
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Sailomcc. ที่ 23-05-2018 03:16:36
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
-
LOVE IS ?
เติมรักที่หายไป
INTRO
ในชีวิตของใครเราผมเชื่อว่าจะมีความรักไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งที่เป็นความทรงจำและน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจมาถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับบางคนความรักกลับกลายเป็นเหมือนมีดที่คอยปักอยู่กลางอก คำพูดจากคนที่เรารักมากที่สุดเป็นเหมือนยาพิษที่ทำให้ทนทุกทรมานและมีผลมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อความข้างต้นดังกล่าวไม่ใช่สิ่งผมอยากกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อยนิด
สวัสดีครับผมชื่อ ธีมะ ฉี ครับ ผมใช้นามสกุลของแม่ครับ แม่ผมเป็นคนจีนที่แต่งงานกับพ่อที่เป็นคนไทย ชีวิตของผมตอนนี้ ความรักมันไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะผมมีมันมากพออยู่แล้ว ชีวิตของผมค่อนข้างดี ถ้าคุณเคยเป็นคนที่มีทั้งผู้หญิง
ผู้ชายห้อมล้อม มีของขวัญมาให้ไม่ขาด มีคนเอาขนมที่ชอบมาให้กินในทุกๆวัน คุณก็จะเข้าใจผมว่าผมไม่ได้ต้องการความรักจากใครทั้งนั้น ผมว่าความรักที่บรรดารุ่นน้องมอบให้ผมก็พอแล้ว อ่านมาถึงตรงนี้คุณรู้หรือยังครับว่าผมเป็นใคร ถ้ายังไม่รู้แสดงว่าคุณไม่ใช่เด็กโรงเรียน ติมากรศึกษา เพราะถ้าคุณเป็นเด็กโรงเรียนนี้จริงๆคุณจะรู้จักผม คนที่เป็นทั้งนักกีฬาฟุตบอลของทีมโรงเรียน เป็นประธานสี และเป็นนักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยอันดับที่หนึ่งมาตลอดหกปีที่ผมศึกษาที่นี่ ยังไม่นับเหรียญรางวัลต่างๆจากสถาบันโน่นนี่นั่นนะผมว่าแค่นี่ผมก็เรียกตัวเองว่าเป็น เพอร์เฟคแมนได้แล้วล่ะครับ ชีวิตผมไม่ต้องวิ่งตามจีบใคร อยากได้ก็จะมีคนเข้ามาหาเพราะคนที่มาหาผมส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่อยากโดนผมล่าแต้มทั้งนั้นแหละครับไม่มีใครจริงจังหรอก เพราะพวกเขารู้ดีว่าคนอย่าง
ผมไม่คิดจะหยุดอยู่ที่ใคร แต่ตอนนี้ผมจะขึ้นมอหกแล้วชีวิตของผมต้องเดินไปข้างหน้า พ่อของผมทำธุรกิจเรื่องการท่องเที่ยว สิ่ง
ที่พ่ออยากให้ผมทำมากที่สุดคือการสานต่อธุรกิจท่องเที่ยวของพ่อต่อ ผมเลยต้องตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้าคณะ
ดีๆ มหาวิทยาลัยดังๆเพื่อให้พ่อที่เลี้ยงดูผมมาคนเดียวไม่ผิดหวัง สิ่งที่แปลกที่สุด ช่วงที่ผมต้องอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน มักจะมีโน้ต
เล็กๆมาพร้อมกับชาเขียวเย็นฝากวินมอเตอร์ไซด์มาส่งที่หน้าบ้าน ในโน้ตนั้นมีข้อความให้กำลังใจผมเรื่อยมา ถ้าคุณอ่านเรื่องของ
ผมมาตั้งแต่ต้นมันคงไม่แปลกใช่ไหมครับแต่สำหรับผมมันแปลกครับเพราะบ้านที่ผมมาอ่านหนังสือนั้นเป็นบ้านของแม่ผม ผมอยู่ที่นี่จนอายุเจ็ดขวบหลังจากที่แม่ผมเสียพ่อผมก็มารับไปอยู่ด้วยในตัวเมือง ตัวผมเองจะกลับมาที่นี่เสมอเพราะที่นี่เงียบและเหมาะกับการพักผ่อน พอรู้เช่นนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าที่ผมว่ามันแปลกคืออะไรเพราะที่นี่ผมแทบไม่รู้จักใครแล้วเพราะตอนที่ผมออกไปก็ยังเด็กมากคนที่ผมรู้จักก็มีแต่ยายนุ่มที่ดูแลบ้านหลังนี้ให้อยู่เท่านั้น
“ ยายครับ อันนี้ใครมาส่งครับ” ผมถามอย่างนี้วนไปวนมาตั้งแต่ปิดเทอมอาทิตย์อาทิตย์แรกแล้วจนตอนนี้ผ่านไปจะสามเดือนก็ยังคงไม่ได้คำตอบ
แรกๆผมไม่กล้าชิมแต่เห็นส่งมาทุกวันลองดูคงไม่เสียหาย ชาเขียวเย็นที่ผมได้รับมานั้นถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าดังที่ผมกินประจำแต่รสชาติกลับถูกปากผมอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหมือนคนที่ส่งมาให้ผมจะรู้ว่าผมชอบกินแบบหวานน้อยและทุกครั้งผมก็จะได้กำลังใจจากไอ้แผ่นกระดาษที่มาพร้อมกับแก้วชาเขียวนี้ ยิ่งผมอ่านผมยิ่งอยากเห็นหน้าเจ้าของชาเขียวมากๆ จนผมกล้าที่จะเขียนถามคำถามที่ผมอยากรู้ผ่านข้อความนั้นไป แต่เหมือนกับว่าคนที่ส่งชาเขียวนั้นมาให้ผมไม่ได้อ่านข้อความนั้นเลยเพราะว่าผมไม่ได้คำตอบที่ถามไปแต่โชคดีที่คนคนนั้นยังคอยส่งกำลังใจผมผ่านกระดาษโน้ตกาฟิลด์ตัวสีส้มมาทุกวัน
ผมใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งวันเปิดเทอม วันที่ทุกๆอย่างจะเปลี่ยนไป เพราะตัวผมเอง มีข้อความข้อความนึงส่งมายังโทรศัพท์มือถือของผม เป็นข้อความที่คล้ายกับข้อความใสกระดาษโน้ตกาฟิวล์นั้น และบอกว่าจะมาหาผมวันนี้
ผมนั่งใจจดใจจ่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนๆอีกสามสี่คนตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นจามจุรีโต๊ะประจำของพวกเรา มีเด็กผู้ชายมอปลายคนนึงใส่แว่นหน้าตาเนิร์ดๆเดินกล้าๆกลัวๆเข้ามาหาผมที่กำลังเฮฮา เขายื่นชาเขียวมาให้พร้อมกับกระดาษโน้ตการ์ฟิลด์ที่คุ้นตา เพื่อนของผมที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดผมก่อนจะพูดที่ข้างหูว่า
“ มึงทำให้น้องเขาร้องไห้ได้กูจะยอมกราบมึงเลย”
ผมแอบจับมือกับเพื่อนคนนั้นก่อนจะเดินไปหาน้องเขาที่ยืนอยู่ห่างออกไปจากตรงที่พวกผมนั่งไม่เท่าไหร่นัก ผมพยายามมองหน้าคนที่อยู่ภายใต้แว่นตาทรงกลมนั้นเพราะมันช่างคุ้นตามากเหลือเกิน
“ ของพี่ครับ” เขายื่นแก้วชาเขียวมาให้ผม
“ แค่พี่รับมาก็พอใช่ไหม” ผมตอบกลับไป “ แต่พี่จะบอกเลยนะว่าน้องไม่ใช่คนที่พี่อยากจะรู้จักหรอก แล้วไอ้น้ำเนี่ยพี่ก็ไม่เคยกิน อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่งมาอยู่ได้น่ารำคาน จริงๆน้องน่าดูตัวเองก่อนนะว่าพี่เป็นใครแล้วน้องเป็นใคร”
เด็กคนนั้นน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาสาดชาเขียวแก้วนั้นใส่หน้าผมก่อนจะวิ่งกลับไป เสียงเพื่อนๆของผมหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผมก้มลงไปหยิบกระดาษกาฟิลด์นั้นขึ้นมาอ่าน
ผมชื่อเบียร์ครับ พี่จำผมได้หรือเปล่า ขอบคุณที่ชอบชาเขียวของผมนะครับ
ใครจะไปรู้ว่านั่นเป็นชาเขียวแก้วและกระดาษโน้ตแผ่นสุดท้ายที่ผมได้จากเด็กคนนั้น และผมก็จำได้ทันทีว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้รู้ว่าบ้านของแม่ผมอยู่ที่ไหน
ฝานิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ
-
1
ในชีวิตของใครเราผมเชื่อว่าจะมีความรักไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งที่เป็นความทรงจำและน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจมาถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับบางคนความรักกลับกลายเป็นเหมือนมีดที่คอยปักอยู่กลางอก คำพูดจากคนที่เรารักมากที่สุดเป็นเหมือนยาพิษที่ทำให้ทนทุกทรมานและมีผลมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ การที่ผมต้องแอบทำชาเขียวจากร้านของแม่เพื่อฝากพี่วินขับรถไปให้ไอ้หลงตัวเองนั่น ผมจะไม่มีทางทำเป็นอันขาด มันเป็นเรื่องที่เป็นตราบาปของผมมาจนถึงทุกวันนี้ คนอย่างนั้นมันไม่ควรมีที่ยืนอยู่ในสังคมนี้ พวกที่มันเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น
“ เบียร์ แกดูนี่สิข่าวของพี่ธีมาอีกแล้ว คู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการบันเทิง”
สุ สุพรรณษา เพื่อนสาวร่างอวบชาวไทยเชื้อสายจีนขาเมาท์ที่คบกับผมมาตั้งแต่สมัยมอต้น เธอคนนี้แหละที่รู้เรื่องราวอันน่าสมเพชของผม ยื่นไอแพดที่หุ้มเคสสีชมพูหวานแหววลายคิตตี้มาให้ผม
“ ส่งคลิปมา ฉันจะเอาไปลงเพจ” ผมหันไปสั่งก่อนจะสลับจากเฟซบุ้คที่เป็นของผมเองมาเป็น เพจ แอนตี้ไวรัสธี
ใช่ครับ พี่ธี ทายาทเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ใครๆก็รู้จัก ขอตัวมาเป็นนักแสดงก่อนที่จะไปรับงานธุรกิจต่อจากครอบครัว แต่ดูเหมือนชีวิตของเขาจะมีแต่ข่าวฉาว คาว ไม่ทั่วทั้งวงการ เพราะที่มีที่ยืนอยู่แบบนี้ คงเป็นเพราะมีข่าวกับดาราไม่เว้นแต่ละวัน นางงาม นางเอก นางร้าย ตัวประกอบ หรือแม้กระทั่งการจับคู่จิ้นไปกับผู้ชายที ผู้หญิงที จริงๆแล้วความสามารถของเขาคงไม่ได้โดดเด่นอะไร ผู้กำกับที่ใช้งานเขาบ่อยๆ ก็เป็นเพื่อนของพ่อเขา นี่แหละที่เรียกว่าเด็กเส้น
“ ไม่น่าเชื่อเนอะ คนที่ดังระดับพี่ธี จะมีคนมากดไลค์เพจแกแล้วมาตามด่าเยอะขนาดนี้น่ะ” สุที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้นก่อนจะย้ายมานั่งข้างๆผม
ใช่ครับ ในขณะที่เพจหลักที่บรรดาแฟนคลับของไอ้พี่ธีมีคนตามทั้งในไทยและต่างประเทศมีอยู่ประมาณ เกือบสิบล้านคนทั้งๆที่เพิ่งเข้าวงการได้ไม่ถึงสองปี และเพจของผมที่ผมเป็นเจ้าของมันถูกสร้างขึ้นเมื่อสี่เดือนที่แล้ว มีคนมากดติดตามอยู่เกือบหนึ่งล้านคน ทั้งยังมีคนคอยส่งข่าวมาทางเพจอยู่ตลอดเวลา
“ แน่นอน คนอย่างไอ้พี่ธีมันก็ควรมีคนเกลียดอยู่แล้ว ฉันล่ะอย่างให้คนที่รักนะหันมาเห็นตัวจริงของมันซะที”
“ แก นี่น่ากลัวเนอะ แค้นฝังหุ่นจริงๆ”
“ แน่นอน แกก็รู้ไม่ใช่หรือไง มันเป็นพวกฟันไม่เลือก ใครอ้าขาก็เอาหมด”
“ แต่เขาไม่เอาแกคนเดียวว่างั้น นี่ใช่มะที่แค้น”
“ ตลกละ” ผมดันให้มันออกห่างพร้อมทั้งจับขนมที่อยู่ใกล้มือยัดปากมันไป “ คนอย่างเบียร์ไม่ยอมเป็นเหยื่อคนอย่างมันหรอกจำเอาไว้”
“ อย่าให้ฉันได้พูดถึงตอนนั้นนะ”
“ ตอนนั้นเป็นแค่ข้อผิดพลาดเว้ย” ผมเถียง
“ แกรู้หรือเปล่าถ้าแกทำแบบนี้ไปแล้วโดนจับได้แกมีสิทธิ์โดนพี่บีไล่ออกจากงานได้เลยนะ”
พี่บี ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงมากมายในวงการ เป็นตัวแม่ทั้งด้านแฟชั่นและฝีมือในการทำงาน ผมโชคดีมากที่จบออกมาแล้วพี่บีชวนมาทำงานด้วยเพราะพี่บีเป็นเพื่อนของแม่ผม แต่ในความโชคดียังมีเรื่องโชคร้ายอยู่เพราะพี่บีมีไอ้พี่ธีเป็นดาราในสังกัดและในความโชคร้ายนั้นก็ยังพอมีเรื่องราวดีๆอยู่บ้าง เนื่องจากไอ้พี่ธีเป็นนักแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นตัวสร้างเงินสร้างทองให้กับโมเดลลิ่งพอสมควร คนดูแลก็จะเป็นคนมีประสบการณ์ที่ไม่ใช่ผม
“ อย่าคิดมากเลย ว่าแต่แกเถอะทำงานเป็นไงบ้างวะไหวหรือเปล่า”
สุมันทำงานอยู่บริษัททัวร์ของพ่อไอ้พี่ธีครับ ตอนที่เราเรียนมหาลัยเราอยู่กันคนละคณะแต่ว่าเรายังคงอยู่หอด้วยกัน จบออกมาก็ได้งานสายที่ตัวเองอยากจะทำและช่วยกันเช่าคอนโดอยู่เพื่อให้ใกล้ที่ทำงานของตัวเองให้มากที่สุด เราสองคนโชคดีที่จบมาแล้วได้งานเลยไม่ต้องไปเร่หางานทำ
“ ไหวสิ แกรู้หรือเปล่าว่าพี่ๆที่ทำงานน่ารักทุกคนเลย”
“ อย่าบอกนะว่าแกคิดจะมีแฟนหนีฉันแล้ว”
“ แกจะบ้าหรือไง ฉันอ้วนแบบนี้ใครจะมารัก เพ้อเจ้อ ” สุพูดพร้อมกับเดินดิ่งไปที่ห้องของตัวเอง “ ฉันนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าว่ะ”
“ เออ ฝันดี” ผมตอบพร้อมกับพับโน้ตบุ้คลงหลังจากที่ทำการโพสต์อัพเดตในเพจไปแล้ว
ห้องของผมอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของสุ สไตล์การตกแต่งห้องเป็นแบบเรียบๆ เตียงและผ้าปูที่นอนของผมเป็นสีน้ำตาล แต่มันคงจะตัดกับตุ๊กตาและหมอนข้างกาฟิลด์บนเตียง แต่ไม่เป็นไรสำหรับผมผมว่ามันน่ารักดี
ที่โคมไฟตรงหัวเตียงมีกรอบรูปกรอบรูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปถ่ายวัยเด็กของผมที่ถ่ายคู่กับคนๆหนึ่งไว้ คนที่เคยบอกกับผมว่าเขาจะเป็นพี่ชายที่เป็นฮีโร่คอยปกป้องผม แต่คงไม่ใช่เรื่องจริงอีกแล้วผมเลยอัดกระดาษโน้ตของไอ้พี่ธีมันวางคู่กันไว้เป็นการเตือนใจว่าคำพูดอะไรของผู้ชายคนนี้มันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย
พี่ชอบชาเขียวมากเลยนะ อร่อยมากเลย เรารู้จักกันเหรอมาเจอกันได้หรือเปล่า
ข้อความนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจ ตอกย้ำ และตราบาปที่ผมจะไม่มีวันกลับไปมองผู้ชายคนนี้ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว พอกันทีกับความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้หลังจากนี้ อย่าได้ญาติดีกันอีกเลย ไอ้พี่ธีมะ
“ แค่พี่รับมาก็พอใช่ไหม แต่พี่จะบอกเลยนะว่าน้องไม่ใช่คนที่พี่อยากจะรู้จักหรอก แล้วไอ้น้ำเนี่ยพี่ก็ไม่เคยกิน อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่งมาอยู่ได้น่ารำคาน จริงๆน้องน่าดูตัวเองก่อนนะว่าพี่เป็นใครแล้วน้องเป็นใคร”
“ ไม่!!!!!!!” ผมลืมตาขึ้นทันทีเหงื่อของผมเต็มไปทั่วทั้งร่างกาย ถึงแม้ว่าในห้องจะเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ก็ตาม “ ฝันแบบนี้อีกแล้วเหรอวะ” ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มีงานในตอนเช้าก็ตามแต่ถ้าจะให้นอนต่อก็กลัวว่าจะฝันบ้าๆแบบนั้นอีก
นาฬิกาบนผนังห้องแสดงเวลาแปดโมงครึ่งไอ้สุเพื่อนผมคงออกไปทำงานแล้ว ผมเดินไปหยิบขนมปังมาสองแผ่นก่อนจะทาเนยลงไปก่อนจะนำลงไปปิ้งในเตาหลังจากนั้นก็มาจัดการชงกาแฟสำเร็จรูปง่ายๆเพราะการตื่นเช้าแบบนี้คงต้องพึ่งกาแฟกันสักหน่อยครับเพราะผมมีงานถึงเที่ยงคืน
เสียงเครื่องทำขนมปังส่งสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องนำมันออกจากเตาแล้ว กลิ่นหอมของขนมปังที่ผมชอบลอยอบอวลไปทั่วห้อง แผ่นขนมปังสีน้ำตาลนิดๆถูกนำมาวางคู่กับกาแฟที่ส่งกลิ่นควันหอมแข่งกับกลิ่นไหม้นิดๆของขนมปัง ผมยกมือขึ้นขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะยกมันขึ้นมากัดเข้าปากแต่ยังไม่ทันที่จะกินได้หมดแผ่นโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆมือของผมก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงรูปผู้จัดการดาราชื่อดัง พร้อมกับชื่อของปลายสายที่ปรากฏขึ้น
P’ BEE
“ สวัสดีครับพี่” ผมรีบรับสายทันที
“ เบียร์ ตื่นหรือยังพี่มีเรื่องด่วนให้ช่วยหน่อย” เสียงคนที่อยู่ปลายสายพูดออกมาด้วยความร้อนใจ
“ ตื่นแล้วครับ พี่บีมีอะไรหรือเปล่าครับเสียงไม่ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“ พี่ท้องเสียว่ะแก วันนี้แกไปดูแลธีแทนพี่หน่อยนะ พี่ไว้ใจแกคนเดียว เดี๋ยวพี่ส่งรายละเอียดไปให้ในไลน์นะ ขอบใจจ้ะ”
สายถูกตัดไปก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธหรือตกลงด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเสียงไลน์ก็ดังขึ้นทันที รายละเอียดงานที่พี่บีส่งมาให้ แสดงขึ้นที่หน้าจอ
B B B : วันนี้ธีมีงานถ่ายโฆษณากับเจมส์ ตอนสิบโมง ไม่ต้องไปรับเจอกันที่สตูวายจีเอ็มเลยเตรียมน้ำกับขนมไปให้ธีด้วยขอบคุณจร้า
“ ให้มันได้อย่างนี้สิ” ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะวิ่งเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เพราะจากทีที่ผมอยู่ไปสตูค่อนข้างไกลพอสมควร ในระหว่างที่ผมกำลังใส่คอนแทคเลนส์อยู่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นในทันที “ ใครโทรมาตอนนี้วะ” ผมเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ “ ครับ”
“ ลงมาข้างล่างเดี๋ยวนี้ฉันรออยู่”
ผมยกโทรศัพท์ออกมาดูคนที่โทรมาเมื่อครู่ เป็นไอ้พี่ธีมันโทรมาหาผม “ แล้วมาที่นี่ทำไมล่ะ พี่บีบอกให้ไปเจอกันที่สตูไม่ใช่หรือไง”
“ ก็ฉันผ่านมาทางนี้พอดีเลยแวะมารับ เพราะไม่อยากเห็นคนไปทำงานสาย”
“ แต่”
“ ไม่ต้องแต่ ไม่อย่างนั้นฉันจะบุกขึ้นไปหานายถึงบนห้องแน่”
“ ไม่ต้องเดี๋ยวลงไป”
ผมเก็บคอนแท็กเลนส์เข้าที่เดิมก่อนจะหยิบแว่นกลับเข้ามาใส่แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าและของที่จำเป็นก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปด้านล่างที่ไอ้พระเอกตัวดีกำลังรออยู่
ผมเปิดประตูด้านข้างคนขับอย่างเร่งรีบแต่ทว่ามันกลับมีคนที่นั่งอยู่แล้ว “ เจมส์”
เจมส์ นักแสดงคนใหม่ในสังกัดของพี่บีที่กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากได้เล่นซีรี่ส์เรื่องเดียวกันกับพี่ธีกับฉากจูบอย่างดูดดื่มบนสะพานในตำนาน ทำให้เขาทั้งสองกลายเป็นคู่จิ้นและเหมือนว่าจะเป็นคู่จริงด้วยเพราะเขาทั้งสองคนสนิทกันอย่างน่าสงสัย
“ อ๋อ คนที่พี่ธีบอกว่าจะมาดูแลเราแทนพี่บี เป็นเบียร์นี่เอง” เขาส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร “ เดี๋ยวเราลงให้เบียร์นั่งตรงนี้ก็ได้นะ”
“ ไม่ต้องหรอก ไปนั่งข้างหลัง” ไอ้พี่ธีพูดห้วนๆ
ผมปิดประตูลงก่อนที่จะเดินไปเปิดที่ประตูรถด้านหลังขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลัง ผมยังไม่ทันที่จะปิดประตูสนิทดีรถก็กระชากออกตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ เบียร์ใส่แว่นแล้วก็ดูดีนะเนี่ย ลองเปลี่ยนลุคเหรอ” เจมส์เอี้ยวตัวมาเปิดประโยคการสนทนา
“ เปล่าหรอก ปกติเราใส่คอนแท็กเลนว์น่ะ เราสายตายสั้น ว่าแต่เดี๋ยวไปถึงเจมส์จะกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวเราจะต้องลงไปซื้อของให้ธีอยู่แล้ว
“ พี่ธี” เสียงทุ้มเจือแหบเล็กน้อยเอ่ยขึ้น “ ฉันเป็นพี่นาย นายก็ต้องเรียกฉันว่า พี่ธีเข้าใจมั้ย”
“ อืม”
“ ไม่ใช่อืม แต่ต้องตอบว่าครับ”
“ พี่ธีเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ปกติพี่ไม่ได้เป็นแบบนี้หนิ” เจมส์หันไปถาม
“ เปล่าหรอก แต่พี่แค่อยากให้เด็กนี่มันรู้ว่าพี่เป็นใครแล้วเขาเป็นใคร”
คำพูดนี้ทำให้ผมที่ได้ฟังรู้สึกดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที คำพูดนี้มันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน แต่จะให้มันมาทำร้ายผมแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
“ แล้วนายเป็นใครล่ะ ฮะ ถึงได้มาออกคำสั่ง คนที่ขึ้นตรงกับนายคือพี่บี แล้ววันนี้ฉันมาทำงานแทนพี่บี ก่อนที่นายจะให้คนอื่นให้เกรียตินาย นายควรที่จะให้เกรียติคนอื่นด้วย อ่อ ลืมไปคงทำเป็นสินะ ถ้าทำไม่ได้ก็เชิญเงียบปากไปด้วย”
เอี๊ยด ! รถของพี่ธีหยุดลงอย่างกะทันหันเสียงแตรรถที่ขับตามมาจากด้านหลังบีบไล่ตามมาเป็นระลอกๆ
“ ลงจากรถไป”
“ อะไรนะ” เจมส์ที่นั่งข้างๆเอ่ยมาอย่างทำหน้าไม่ถูก
“ ไปเจอกันที่สตู ห้ามสาย”
“ เออ ได้ “ ผมปิดประตูรถลงดังปั้งก่อนที่รถคันนั้นจะพุ่งตัวออกไป “ นิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสินะ ไอ้ไวรัสธี”
ผมรีบเดินไปยืนที่บริเวณทางเท้าก่อนที่จะโบกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปที่สตูให้เร็วที่สุด โชคดีที่พี่วินขับพาลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เรียกว่าทางลัดถึงแม้ว่าเขาของผมจะไปชนไปเสียดสีกับกิ่งไม้หรือรถที่จอดคู่กันก็ตาม แต่ผมมั่นใจได้ว่าผมไปถึงก่อนเวลาอย่างแน่นอน ไม่นานผมก็มาถึงสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้
“ เท่าไหร่ครับ” ผมถามก่อนจะยื่นหมวกกันน็อคคืนกลับไป
“ สองร้อยห้าสิบบาทครับ”
“ สักครู่นะครับ” ผมเปิดกระเป๋าเป้สีดำขึ้น ปรากฏว่ามันเปิดค้างอยู่อย่าบอกนะว่า
“ ทำหน้าแบบนี้ คลำหาแบบนี้ ชัดเลยจะบอกว่ากระเป๋าตังหายใช่มั้ย หรือว่าลืมเอากระเป๋าตังมาใช่มั้ย อย่าเลยมุกนี้มันซ้ำไปแล้วแต่งตัวก็ดีอย่ามาหากินแบบนี้เลย”
“ กระเป๋าตังผมร่วงที่ไหนไม่รู้ครับ”
“ ไม่รู้ล่ะ เอาอะไรมาก่อนก็ได้ มือถือก็ได้”
“ ลุงจะบ้าเหรอ มือถือแพงกว่าค่าวินลุงอีก”
“ แล้วจะเอายังไง โรงพักมั้ย โรงพักดีมั้ย” ลุงแกเริ่มขึ้นเสียง คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหันมามองผมเป็นสายตาเดียว
“ ค่อยๆพูดสิครับลุง”
“ ทำไม อายเหรอ ถ้าอายก็อย่าทำแบบนี้ เอาเงินมาไม่อย่างนั้นข้าตะโกนแน่ๆว่าแกมันขี้โกง” ลุงแกไม่พูดอย่างเดียว แกเดินลงจากรถพร้อมทั้งเอามือป้องปาก “ ไอ้นี่มันโกงค่ารถผมครับ มันไม่ยอมจ่ายครับ”
“ ลุงเงียบก่อน จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไมเนี่ย” ผมพยายามห้ามแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล “ ลุงเอานี่ไปก่อนก็ได้ ผมยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้ แล้วลุงรอผมตรงนี้นะเดี๋ยวผมไปเอาเงินสดออกมาให้”
“ ไม่ต้อง” เสียงที่ไม่คุ้นหูดังมาจากด้านหลัง
“ มึงเป็นใครอีกวะเนี่ย เขากำลังเคลียกันไม่เห็นหรือไง” ลุงวินมอเตอร์ไซค์แกพูดอย่างหัวเสีย
“ ค่ารถเท่าไหร่” คนที่อยู่ข่างหลังผมถามขึ้น
“ สองร้อยห้าสิบ” แกตอบห้วนๆ
“ เอาไป” คนแปลกหน้าที่ยืนข้างๆผมยัดเงินห้าร้อยบาทลงไปในมือของลุงแก “ ไม่ต้องทอน”
พอได้เงินลุงแกก็บิดรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนอยู่กับคนแปลกหน้าที่มาจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์ให้กับผม เขาตัวสีขาวถึงขาวมากใส่เสื้อสีชมพูที่มีเสื้อแขนยาวสีขาวมันอยู่ที่เอวยืนส่งยิ้มมาที่ผม
“ เดี๋ยวผมเอาเงินให้นะครับ”
“ ไม่ต้องหรอก”
“ ทำไมล่ะ เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ” ผมถามไปอย่างงๆ
“ อ่อขอโทษ พี่ลืมแนะนำตัว พี่ชื่อมาร์ค พี่บีให้พี่มาช่วยเบียร์”
“ เอ่อรู้จักผมด้วยเหรอครับ”
“ รู้สิ เบียร์เป็นผู้ช่วยพี่บี เราเคยเจอกันมาก่อนนะ แต่เบียร์คงจำไม่ได้หรอก ไปดีกว่าตรงนี้ร้อน” เขาพูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปในสตูดิโอ
“ เดี๋ยวผมต้องไปซื้อน้ำให้สองคนนั้น แต่ผม” จะให้บอกยังไงดีล่ะครับ ผมไม่มีเงินอย่างนี้น่ะเหรอ
“ เดี๋ยวพี่ออกเงินให้ ไปซื้อก่อนเถอะ”
เราสองคนพากันเดินไปร้านกาแฟที่ขายอยู่ด้านล่างสตูดิโอ ภายในร้านเป็นร้านสีขาว กลิ่นกาแฟหอมมากครับ มันน่ามานั่งพักนานๆเสียเหลือเกิน
“ เอา ชาเขียวหวานน้อยหนึ่งแก้ว แล้วก็ชาเขียวปกติแก้วนึงครับ แซนวิชทูน่าสองชิ้นครับ” ผมสั่งก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งมีพี่มาร์คนั่งรออยู่
“ เบียร์ไม่สั่งอะไรหน่อยเหรอ”
“ ผมยังไม่หิวครับ” ผมปฏิเสธแต่ท้องของผมมันกลับร้องขึ้นมาอย่างน่าอับอาย เมื่อเช้าผมยังไม่ได้กินอะไรมาเลยเพราะกัดไปแค่ขนมปังนิดเดียวเอง
“ แต่ท้องของน้องไม่บอกอย่างนั้นล่ะสิ”
“ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอาของขึ้นไปให้ธีกับเจมส์ก่อนเดี๋ยวค่อยมาหาอะไรกินก็ได้ครับ เพราะถ้าไปสั่งเพิ่มตอนนี้คิวคงอีกยาว”
“ โอเค ตามใจเดี๋ยวลงมาทานพร้อมกับพี่นะครับ”
“ อ่า”
“ ถ้าไม่ตอบอะไรพี่ถือว่าตกลงนะครับ” เขาส่งยิ้มกลับมาให้พร้อมกับเสียงสัญญาณจากเครื่องส่งสัญญาณคิวดังขึ้นพอดี “ เดี๋ยวพี่ลุกไปเอาให้นะ”
หลังจากที่ซื้อของมาครับเราสองคนก็เดินขึ้นไปที่สตูดิโอที่อยู่บนชั้นที่สิบสอง โชคดีที่เรามาถึงก่อนเวลา และก่อนไอ้พี่ธีไม่อย่างนั้นผมต้องมานั่งฟังเสียงจู้จี้จุกจิกแน่ๆ
“ เบียร์เป็นไงบ้างเป็นห่วงแทบแย่ พี่เห็นกระเป๋าตังค์หล่นไว้บนรถน่ะ แล้วนี่มาได้ยังไงเนี่ย” เจมส์ที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยก่อนจะเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยื่นกระเป๋าคืน
“ พอดีพี่มาร์ค อ่อลืมแนะนำไป นี่พี่มาร์คครับน้องชายพี่บี วันนี้เขาจะมาช่วยเราดูแลเจมส์กับธี”
“ พี่ธี” คนที่เดินตามเข้ามาเอ่ยขึ้น “ นายควรเรียกฉันแบบนั้น”
“ ของนายจะเขียนว่าหวานน้อย ส่วนของเจมส์ไม่ได้เขียนอะไรนะ เดี๋ยวเราไปดูความพร้อมด้านนอกก่อนนะ” ผมพูดตัดบทก่อนจะเดินออกไป แต่มีมือหนามาจับไว้เสียก่อน
“ ขอบใจนะสำหรับชาเขียวหวานน้อย” เขาก้มลงมากระซิบที่ข้างหู
“ ครับ พี่ธี” ผมกระทืบเท้าของเขาไปหนึ่งทีก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เขาจะรู้หรือเปล่านะ ว่าผมคือคนๆนั้นในวันนั้น หวังว่าคงไม่รู้หรอกนะ
จากที่จะได้ลงไปหาอะไรกินด้านล่างหลังจากที่เคลียปัญหาหน้างานต่างๆเสร็จ แต่ไอ้คนที่ผมต้องมาดูแลนั้นมันคอยเรียกผมไปทำโน่น ทำนี่ทั้งๆที่มีทีมงานในกองทำอยู่แล้วโดยให้เหตุผลว่า ผมมาทำหน้าที่ดูแลก็ต้องเป็นคนดูแล
“ มาซับหน้าให้หน่อย หน้ามันหมดแล้วเนี่ย” นั่นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงของคนที่อยู่หน้าเซตก็เรียกผมอีกแล้ว ผมเดินเข้าไปพร้อมกับกระดาษทิชชู่ในมือ “ ยิ้มหน่อยไม่ได้หรือไงทำหน้าอมทุกข์อยู่ได้”
“ แล้วจะยื่นหน้ามาทำไมเนี่ย” ผมถอยหน้าออกห่างทันที
“ จะได้เช็ดง่ายๆไง”
“ เช็ดเองเลยไป” ผมยัดทิชชู่ใส่มือก่อนจะหันหลังไปหาเจมส์ที่กำลังยืนเช็ครูปถ่ายกับพี่ตากล้องอยู่แต่ว่าเหมือนผมจะหมุนตัวเร็วเกินไปเพราะสายตาของผมมันมองทุกอย่างรอบตัวของผมมืดไปหมด ขาของผมไม่มีแรงเอาดื้อๆ สิ่งที่ผมรู้เลยคือผมล้มลงพื้นแน่ๆแต่แปลกทำไมพื้นมันนิ่มจังแฮะ
ถึงผมจะไม่สามารถที่จะลืมตาได้แต่ผมรู้ว่าตัวเองถูกอุ้มให้ไปที่ไหนสักที่ก่อนที่จะมีกลิ่นหอมๆของพิมเสนหรือยาดมอะไรสักอย่างลอยเข้ามาในจมูกของผม ตาของผมค่อยๆกลับมามีแรงอีกครั้งแม้ว่ามันจะลืมตาไม่ได้เต็มที่ก็ตาม ใบหน้ายาวสีขาวดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ เป็นไงบ้าง อย่าเพิ่งลุกนะ” พี่มาร์คขยับตัวไปหยิบน้ำหวานแก้วสีแดงมาให้ผม “ ดื่มน้ำแดงนี่ก่อนจะรู้สึกสดชื่นแล้วเดี๋ยวนั่งทานแซนวิชตรงนี้แหละพี่ให้คนลงไปซื้อมาให้แล้ว”
“ แต่”
“ ไม่ต้องห่วงเรื่องงานนะเดี๋ยวพี่ไปทำแทนเอง เมื่อคืนหลับดึกล่ะสิ แล้วไม่ได้ทานข้าวเช้าด้วยนี่ก็จะเที่ยงแล้วร่างกายคงไม่ไหวแน่ๆ”
“ พี่ผมแข็งแรงจะตายเดี๋ยวผมไปช่วย รำคานไอ้ดาราคนโปรดของพี่บีเดี๋ยวก็มาหาว่าผมอู้งานอีก” ผมเบะปากทันทีที่นึกถึงใบหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างของพี่ธี
“ เขาเข้าใจแหละเมื่อกี้เขาหน้าเสียมากเลยนะตอนที่น้องเบียร์เป็นลมน่ะ”
“ พี่พูดผิดหรือเปล่า เขาสะใจล่ะสิไม่ว่า” ผมเถียงกลับไป
“ถามจริงๆเถอะ เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าทำไมดูมีปัญหากันจัง”
“ เปล่าครับ” ผมหลุบตาต่ำลง
“ โอเคถ้าอย่างนั้นพี่ก็สบายใจ”
“ สบายใจอะไรเหรอครับ”
“ เรานอนพักเถอะเดี๋ยวพี่ไปดูแลเจ้านั่นเอง อ่องานเสร็จแล้วเดี๋ยวไปทานข้าวกันนะ วันนี้งานถ่ายแบบอีกที่เขาขอเลื่อนคิวไปแล้วเพราะเตรียมฉากไม่ทัน”
“ ครับ” ผมตอบกลับ “ พี่แน่ใจนะครับว่าพี่จะทำได้”
“ ได้สิ ทานแซนวิชซะเดี๋ยวงานเสร็จ พี่ขอไปส่งที่บ้านนะ”
พูดจบพี่มาร์คก็เงินออกไปทิ้งให้ผมนั่งดูดน้ำแดงรสหวานจัด แต่มันก็ทำให้ผมสดชื่นอย่างน่าประหลาด ผมหยิบแซนวิชที่วางตรงหน้ามากันทีละคำจนหมด ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด
ทำไมพี่มาร์คดีกับผมขนาดนี้
ทำไมไอ้พี่ธีถึงดีร้ายกับผมแบบนี้
เขาจะจำผมได้หรือเปล่านะ
ฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน้าาาาาาาาาาา ส่วนเรื่องเก่าจะมาลงรวดเดียวหมดเลยกำลังแก้ไขอยู่เด้อออ #ธีเบียร์ #เติมรัก
-
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
-
มาแล้วเรื่องใหม่ หนุกหนานๆ เหมือนเคย o13
-
2
ผมเชื่อว่าหลายคนมักจะมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกันภายในตัวเองครับ ผมเองก็เป็นเช่นนั้นยิ่งการที่ตัวผมพยายามที่จะลืมพี่ธีมากเท่าไหร่ผมยิ่งจดจำตัวพี่เขาได้ดีมากเท่านั้น รอยยิ้มๆนั้นมันทำให้ผมหวนคิดไปถึงรอยยิ้มเดิมๆที่พี่เขาเคยมอบให้มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งในช่วงชีวิตของผมแต่ในทางกลับกันมันก็เป็นความทุกข์ที่สุดสำหรับผมด้วยเพราะว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่สามารถมอบให้ผมด้วยความรู้สึกแบบนั้นได้อีกแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นผมอายุประมาณสี่ห้าขวบบ้านของผมอยู่ในละแวกที่เต็มไปด้วยบ้านผู้คนติดกับริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผมมักจะออกมานั่งริมระเบียงที่ยื่นลงไปที่ตัวแม่น้ำอยู่เสมอๆมองเรือของนักท่องเที่ยวหรือพวกผักน้ำที่ลอยผ่านไปมาอย่างไร้จุดหมาย แม่ของผมไม่ค่อยให้ออกไปไหนไกลเพราะกลัวว่าตัวของผมจะไม่สบายเพราะว่าผมคลอดก่อนกำหนดเนื่องจากครรภ์ของแม่เป็นพิษ ตัวผมเองเลยมีสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงมากเท่าไหร่นัก และการที่ผมเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เพื่อนของผมน้อยลงไปทุกที จะมีก็แต่ พี่ชาย ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอก ผมเรียกใครบางคนคนนั้นว่าพี่ชาย ถึงแม้ว่าผมจะเป็นลูกคนเดียว แต่ผมมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งพี่เขาแก่กว่าผม เขามีรอยยิ้มที่น่าจดจำ ผมชอบนั่งดูรอยยิ้มนั้นที่ยิ้มส่งให้มาอย่างไม่มีเบื่อ พี่เขาหัวเราะง่าย แค่ผมตกใจกลัวเวลาพี่เขาแกล้งทำให้ตกใจพี่เขาก็จะยิ้มออกมา และทุกครั้งที่ยิ้มดวงตารีเล็กของพี่เขาก็จะเล็กลงมาจนเหมือนคนหลับตา
“ เบียร์” เสียงแม่ของผมเรียกมาจากหน้าบ้าน “ แม่จะไปบ้านพี่ธีไปด้วยกันหรือเปล่า”
แค่ผมได้ยินชื่อผมก็แทบจะลุกออกจากเปลยวนที่แขวนอยู่ที่ระเบียงอย่างรวดเร็ว เด็กอย่างผมไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการไปหาพี่ชายของผมแล้ว
เมื่อไปถึงบ้านไม้ที่ทาด้วยสีฟ้าทั้งหลังทรงปั้นหยา ป้านุ่มที่เป็นแม่บ้านของบ้านหลังนี้กำลังวิ่งออกมาด้วยท่าทางตกใจแล้วดึงแขนของแม่ผมให้ตามเข้าไปในบ้าน
“ มีอะไรหรือเปล่าป้านุ่ม” แม่ของผมถาม
“ คุณธีนั่งเงียบและไม่ยอมทานข้าวมาหลายวันแล้วค่ะ”
“ ฉันขอเข้าไปดูหน่อย”
เมื่อเดินเข้าไป พี่ธีก็ได้แต่นั่งเงียบมองไปที่รูปผู้หญิงที่ส่งยิ้มมาให้ผู้ที่มองอย่างมีความสุข แต่คนมองยังคงนั่งเงียบไม่ยอมไปไหน
“ ธี มาทานข้าวก่อนเร็ววันนี้มีไข่ตุ๋นของโปรดของธีด้วยนะ” แม่ของผมยกอาหารที่ป้านุ่มทำเอาไว้พร้อมกับเดินเข้าไปหา
“ ไม่เอา ผมไม่หิวผมจะรอแม่มาทำให้กิน” พี่ชายพูดโดยไม่หันมามองหน้าแม่ผมด้วยซ้ำ
ผมเดินตรงเข้าไปหาทันทีพร้อมกับรับถ้วยไข่ตุ๋นจากมือแม่มาแล้วตักมันยื่นไปให้พี่ธี เขาหันหน้ามามองผมใดวงตานั้นดูอ่อนล้าเต็มที เขาอ้าปากรับมันโดยไม่พูดอะไร
“ พี่ธีร้องไห้ทำไม”
“ พี่ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย” เขาส่งยิ้มมาให้ผมทั้งๆที่น้ำตาของเขาไหลหยดลงมาที่สองแก้ม นั่นเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมได้รับจากพี่เขาเพราะหลังจากวันนั้นพ่อของพี่ธีก็มารับไปอยู่ด้วย จนผมมารู้ว่าพี่เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนในตัวจังหวัด ผมเลยอยากเข้าไปเรียนที่นั่น
“ เหม่อไปไหนเนี่ย” เสียงของพี่มาร์คทำให้ผมหลุดออกจากไอ้ความทรงจำบ้าๆนั่น “ แล้วนี่จะถือไว้อีกนานมั้ยเนี่ย ไม่อร่อยเหรอ”
“ เปล่าครับ” ผมวางแซนวิชในมือลง “ งานเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ ก็ดีนะ เดี๋ยวก็จะเซตสุดท้ายแล้วล่ะ”
“ พี่นั่งพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปทำต่อให้เอง”
“ ไม่เป็นไร พี่ไหว แค่นี้เอง” พี่มาร์คส่งยิ้มมาให้ผม
“ แต่”
“ ถ้าไม่สบายใจ เย็นนี้เลี้ยงข้าวพี่ก็ได้นะ จะได้สบายใจไง”
“ พี่นี่เห็นแก่กินนี่เอง”
“ ไม่ใช่สักหน่อย พี่แค่อยากไปทานข้าวกับเบียร์แค่นั้นเอง” เขาพูดจบก็เดินจากไป
ผมรีบกัดแซนวิชในมือจนหมดแล้วรีบเดินตามกลับเข้าไปในสตู ตอนนี้ทั้งไอ้พี่ธีกับเจมส์อยู่ในชุดสีพาสเทลโดยไอ้พี่ธีเป็นคอนเสปสีฟ้าขาวส่วนเจมส์เป็นสีชมพูขาว ทั้งสองอยู่ท่ามกลางลูกโป่งและกล่องของขวัญที่คุมโทนให้เหมือนทั้งสองคน ทั้งคู่เปลี่ยนท่าไปมาตามผู้กำกับและตากล้องสั่งอย่างมืออาชีพ
“ เดี๋ยวต่อไปเป็นรูปสุดท้ายนะ” คนที่อยู่ด้านหลังกล้องสั่ง “ เดี๋ยวธีเอาหน้าเข้าไปใกล้ลูกโป่งในมือเจมส์ ส่วนเจมส์เอาลูกโป่งขึ้นมาคั่นไว้นะ แบบนั้นแหละ ดีๆ” ทันทีที่ลั่นชัตเตอร์ ลูกโป่งนั่นหลุดออกจากมือของพี่เจมส์ทำให้จมูกของพี่ธีสัมผัสลงใบหน้าของพี่เจมส์ในทันที “ ภาพนี้สวย” ตากล้องลั่นชัตเตอร์ทันที “ ภาพนี้แหละสาววายได้เลือดหมดตัวแน่ ปิดกองครับ ขอบคุณมากๆนะครับทุกคน”
พอเห็นว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมเลยเดินเข้าไปหาตากล้องและทีมงานที่กำลังคุยกันอยู่
“ พี่เล็กครับ” ผมเรียก
“ ว่าไงเบียร์”
“ งานวันนี้ผมขอโทษด้วยนะครับพี่ ตัวผมไม่ค่อยได้มาช่วยดูแลน้องเลย”
“ ไม่เป็นไร ทีมงานของเราพร้อมต้อนรับเด็กในสังกัดของพี่บีเสมอแหละ มีแต่เราดูแลตัวเองบ้างไปเป็นลมที่อื่นจะอันตรายกว่านี้ เมื่อกี้พี่ตกใจแทบแย่ โชคดีนะ ที่ธีเขาอุ้มออกไป พักก่อน”
“ ธีเนี่ยนะอุ้มออกไป” ผมถามย้ำ
“ ใช่สิ ผู้หญิง เก้งกวางในกองพี่นี่กรี้ดกันยกใหญ่เชียวล่ะ” พี่เล็กพูดพร้อมกับหยิบกล้องให้พี่ดู “ นี่ไงเห็นหรือเปล่า พอดีตอนนั้นพี่กำลังลองแสงพอดี พี่เลยถ่ายไว้ เดี๋ยวพี่ส่งให้ในไลน์นะ” พี่แกหัวเราะก่อนจะเดินออกไป
“ ยังไม่ตายเหรอ” เสียงคุ้นหูของผมดังมาจากด้านหลัง
“ ยัง ตายยากซะด้วยสิ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วไป เดี๋ยวผมจะไปรับเงินส่วนที่เหลือมาให้นะครับ จะให้โอนเข้าบัญชีหรือว่า
เอาไปขึ้นเช็คเอง”
“ ทำเหมือนที่เคยทำแหละ แล้วนี่กินไรยัง”
“ กินแล้ว”
“ เออกินอะไรบ้าง ฉันไม่ชอบให้คนดูแลฉันอ่อนแอ”
“ อ่อไม่ต้องห่วงไปครับคุณธี งานนี้จะเป็นงานสุดท้ายระหว่างคุณกับผม เพราะหลังจากนี้พี่บีจะกลับมาดูแลคุณตามเดิม เชิญไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วครับ ผมขอแยกกับคุณตรงนี้เลยนะครับ” ผมยิ้มให้แบบส่งๆหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินแยกออกมา
“ อีกห้านาทีนายจะรู้คำตอบ”
หลังจากที่เดินแยกตัวออกมาจากไอ้พี่ธี ผมก็ลงมาหาอะไรกินข้างนอกกับพี่มาร์ค เราสองคนเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นง่ายๆและราคาไม่หนักกระเป๋ามาก
“ สั่งเลยครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“ ไม่ต้อง ตอนนั้นพี่พูดเล่น แต่ที่พี่บอกว่าอยากมาทานข้าวกับเบียร์พี่พูดจริงนะ” เขายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“ แต่ผมเลี้ยงจริงๆครับ พี่ทำงานแทนผมตั้งเยอะ”
“ คิดมากแล้ว คนในกองเขาเป็นทีมที่ดีมากเลยนะ พี่แทบไม่ทำอะไรเลย”
“ เอาน่าให้ผมเลี้ยงนะ”
“ ได้ๆ พี่ทานเยอะนะเลี้ยงไหวเหรอ”
“ ตัวเท่านี้ ผมเลี้ยงไหวอยู่แล้ว” พูดจบเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นในทันที หน้าจอแสดงเบอร์ของสุเพื่อนของผมครับ “ ว่าไง”
“ แก จะมีคิวงานจัดงานทัวร์ระหว่างแฟนคลับของพี่ธีกับพี่ธีอาทิตย์หน้า”
“ แล้วแกโทรมาบอกฉันทำไม”
“ ฉันจับรางวัลของบริษัทได้ไปกับพี่เขาด้วยแหละแก”
“ จะโทรมาบอกแค่นี้เหรอ แล้วแกไปเป็นแฟนคลับกับเขาตอนไหน”
“ ก็ตอนหาข่าวให้แกนั่นแหละ ฉันว่าเรามองเขาในมุมเดียวมากเกินไปเลยไปลองเสพๆข่าวอื่นดูบ้างแล้วฉันก็รู้สึกรักเขาไป
อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”
“ เพ้อแล้ว” ผมตอบกลับแต่ดูเหมือนว่าจะมีคนโทรเขามาหาผมอีกสาย “ เดี๋ยวเจอกันที่คอนโดนะ พี่บีโทรมาว่ะ” ผมกดตัด
สายสุไปทันทีก่อนจะรับสายพี่บี “ ครับพี่”
“ เป็นไงบ้างเห็นคนในกองเขาบอกว่าเบียร์เป็นลมในกองเหรอ”
“ ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ ดีแล้วล่ะ แล้วทำงานกับธีเป็นไงบ้าง โอเคหรือเปล่า”
“ โอเคครับพี่ไม่มีปัญหาอะไร” ผมเลือกที่จะโกหกไปเพราะกลัวว่าพี่บีจะไม่สบายใจ
“ ดีเลย คืออาทิตย์หน้าธีเขามีงานไปพบกับแฟนคลับที่เชียงใหม่ เป็นงานค้างคืนสามวันสองคน พี่อยากให้เบียร์เป็นคนไปดูแลแทนพี่หน่อยพอดีตอนนี้พี่รับเด็กคนใหม่มาว่าจะพาไปโมหน้าใหม่ที่ร้านประจำที่เกาหลีเสียหน่อย”
“ ผมเหรอครับ”
“ ใช่จ้ะ ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ เปล่าครับ” ผมตอบกลับไป “ แล้วเจมส์ล่ะครับ ไปด้วยหรือเปล่า”
“ เจมส์ไม่ได้ไปจ้ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ มาร์คจะเป็นคนดูแลเจมส์เอง อ่อ เจอมาร์คแล้วใช่หรือเปล่าพี่ฝากสอนงานเขาด้วยนะ ยังไงไปเตรียมเคลียคิวตัวเองแล้วโทรหาพี่นะ ขอบคุณจ้า”
เหมือนกับโดนหมัดของบัวขาวซัดเข้าที่หน้าผมเลยครับตอนนี้ มันมึกมันงงไปหมด ทั้งๆที่ผมคิดว่าทุกอย่างมันควรจะจบตั้งแต่วันนี้ ผมยังต้องไปเข้าใกล้ไอ้พี่ธีอีกครั้งเหรอเนี่ย
“ อาหารได้แล้วครับ” เสียงของพนักงานทำให้ผมออกมาจากความคิดของตัวเอง
“ เบียร์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่มาร์คส่งยิ้มมาให้พร้อมกับคีบเกี๊ยวซ่ามาให้ผม “ หรือว่าพี่บีใช้งานอะไรของเบียร์หนักอีก
พี่ไปจัดการให้ไหมครับ”
“ ไม่เป็นไรพี่ พี่เขาแค่โทรมาบอกงานด่วนน่ะครับ” ผมคีบเกี๋ยวซ่าเข้าปากไปคำโต รสชาติของมันอร่อยมากหรือว่าผมหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่รู้แค่ว่ามันทำให้ผมหยุดคิดเรื่องรกสมองไปได้บ้าง
“ น้องเบียร์ ชอบทานอาหารญี่ปุ่นเหรอครับ”
“ เปล่าครับ ปกติผมชอบกินอาหารพวกแซ่บๆ ส้มตำอะไรพวกนี้น่ะครับ”
“ อ้าวแล้วทำไมถึงได้พาพี่มาทานอาหารญี่ปุ่นล่ะครับ”
“ อ่อ คืออย่างนี้ครับพี่ผมว่าพี่คงไม่เหมาะกับอาหารที่ผมชอบหรอกครับพี่น่าจะชอบอะไรแนวๆนี้มากกว่า” ผมส่งยิ้มไปให้พร้อมกับคีบซาชิมิตรงหน้าไปให้พี่มาร์ค “ พี่ชอบใช่ไหมล่ะครับ”
“ ชอบครับ แต่ถ้ามื้อหน้าพี่ขอพาเบียร์ไปเลี้ยงร้านที่เบียร์ชอบได้หรือเปล่าครับ”
“ ได้สิครับ แต่อย่างพี่มาร์คจะกินได้เร้อ อาหารเผ็ดๆรสจัดๆแบบนั้น”
“ ได้สิครับ เบียร์ชอบแสดงว่ามันก็ต้องอร่อยแน่ๆ” พี่เขายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“ ลืมถามไปเลย ผมอยากถามพี่ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ ดูๆแล้วผมคุ้นหน้าพี่มากเลย แล้ววันนี้พี่ก็เข้ามาช่วยผมด้วย เราเคยรู้จักกันมาก่อนด้วยเหรอครับ”
คำถามนี้พี่มาร์คหุบยิ้มลงในทันที มีเพียงเสียงเพลงในร้านเท่านั้นที่เข้ามาแทนคำตอบ ไม่นานพี่แกก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับหยิบแก้วชาเขียวมาดื่ม
“ ใช่ครับ เราเคยเจอกันมาก่อน เบียร์คงจำพี่ไม่ได้หรอก แต่พี่จำเบียร์ได้นะ”
“ ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมผมต้องจำพี่ไม่ได้ด้วย ผมนี่แย่จริงๆ” ผมหัวเราะแก้เขิน “ แต่พี่บอกผมหน่อยได้หรือเปล่าว่าเราเคยเจอกันที่ไหนน่ะ”
“ ไม่ได้หรอก พี่อยากให้เรานึกออกเองมากกว่า” พี่เขาหัวเราะออกมา “ แกล้งเรานี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“ กินเข้าไปเลย ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก” ผมคีบซูชิยัดเข้าปากคนที่กำลังยิ้มอยู่
เราสองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆพร้อมทั้งตัวผมเองก็คอยสอนวิธีการทำงานให้กับพี่มาร์ค พี่เขาดูตั้งใจทำงานนี้มากจนกระทั่งพี่เขามาส่งที่คอนโดผม
“ ฝันดีครับ” พี่มาร์คส่งยิ้มมาให้
“ ฝันดีอะไรพี่ ผมยังไม่นอนซะหน่อย”
“ บอกไว้ก่อนไง พี่ไม่มีช่องทางติดต่อกับเราซักหน่อย”
“ นั่นน่ะสิ” ผมว่า “ ถ้าพี่มีอะไรสงสัยหรือเรื่องงานถ้าไม่กล้าถามพี่บีพี่ถามผมได้นะครับ นี่ไลน์ผมนะครับ”
“ นึกว่าจะไม่ได้ซะแล้ว”
“ ให้สิครับ พี่เป็นพี่ที่ใจดีของผมมากเลย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ผมส่งยิ้มไปให้ก่อนจะปิดประตูลงจากรถไป
ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้องกลิ่นบางอย่างที่ผมคุ้นชินลอยเข้ามาในจมูกของผมทันที ผู้หญิงร่างท้วมผมยาวประบ่าใส่ชุดสีชมพูแปร๋นหันหลังอยู่ที่บริเวณห้องครัว บนโต๊ะไม้สีขาวด้านหลังมีจานส้มตำวางอยู่กับสะโพกไก่ย่างสองไม้กับจานใส่ผักวางอยู่
“ หอมปลาร้าไปถึงหน้าประตูเลยเนี่ย”
“ วันนี้วันดีก็ต้องฉลองกันหน่อย” เธอหันมาพร้อมกับวางจานใส่ลาบหมูกับต้มแซบซี่โครงอ่อนลงบนโต๊ะ “ นั่งลงสิ นี่ส้มตำ
ปลาร้าพริกสองเม็ดของแก ส่วนนี่ตำไทนพริกยกสวนของฉัน” เธอหัวเราะพร้อมกับจัดแจงข้าวของบนโต๊ะ
“ นี่แกเป็นอะไรวะวันนี้ตั้งแต่แกโทรไปหาฉันแล้วนะเว้ย แกเป็นกบฏ”
“ กบฏอะไรพูดดีๆ ฉันไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นแอนตี้แฟนของพี่ธีซะหน่อย แกน่ะคิดเองเออเองทั้งนั้น”
“ แกเป็นคนเอาข้อมูลมาให้ฉัน” ผมเถียง
“ แล้วแต่แกจะคิดแล้วกัน ขี้เกียจเถียงแล้วว่ะ” เธอฉีกอกไก่วางลงใส่จานหลังจากปั้นข้าวเหนียวรอไว้แล้ว “ แต่ตอนนี้ฉันจะฉลอง แกจะกินมั้ย ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องกิน” สุดึงจานส้มตำของโปรดของผมมาหาตัวเอง
“ ไม่กินก็บ้าแล้ว แกซื้อมาแล้วเสียของหมดนี่ขนาดฉันกินข้าวมาแล้วนะเนี่ย”
“ จ้า” เธอรับคำก่อนที่จะเริ่มบทสนทนาต่อ “ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันว่าจะไปดูเสื้อผ้าใหม่ จะได้มีชุดสวยๆใส่ไปเชียงใหม่ให้พี่ธีดู แกว่าดีไหม”
“ ก็ดีนะ”
“ แกก็ควรจะไปซื้อด้วยนะ”
“ แกรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปด้วย” ผมถามหลังจากที่ไก่ในมือผมร่วงลงบนจาน
“ พี่บีโทรมาหาฉันตั้งแต่ฝ่ายพีอาร์ของบริษัทฉันโทรไปถามคิวพี่ธีแล้วย่ะ แกเองเถอะไหวหรือเปล่าวะ เห็นว่าต้องตามไปดูแลพี่แกอีก อยู่ใกล้กันตั้งสามวันจะไม่หวั่นไหวเหรอ”
“ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหวั่นไหวหรอก แกควรกลัวว่าฉันจะไปฆ่าพี่มันดีกว่า แค่วันนี้ฉันก็อยากจะฆ่ามันแล้ว”
“ ให้มันน้อยๆหน่อย แกเคยได้ยินคำนี้หรือเปล่า เกลียดยังไงได้อย่างนั้นน่ะ เอ๊ะแต่อย่างแกเนี่ยคงใช้ทฤษฏีนี้ไม่ได้หรอกเพราะแกแค่โกรธไม่ได้เกลียด”
“ ตลกละ”
“ แต่แกรู้หรือเปล่าว่างานนี้มีคู่จิ้นของพี่ธีไปด้วยนะ”
“ ใคร เจมส์ไม่ได้ไปงานนี้ด้วยนะ” ผมเถียงกลับไป
“ แสดงว่าแกจำคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เหรอ คู่จิ้นผู้หญิงคนเดียวของพี่ธีไง”
“ โบวี่”
โบวี่เป็นนางแบบที่เรียกได้ว่าเป็นเซ็กซี่สตาร์ในยุคนี้ เธอได้ลองผันตัวเองมารับเล่นภาพยนตร์โดยทางค่ายของโบวี่ให้ธีไปช่วยเป็นป๋าดันให้เข้าสู่วงการนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการเสียด้วยเพราะภาพยนตร์เรื่องรักต้องซ่อนได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มแฟนคลับจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศเป็นอย่างดีเมื่อต้นปีจึงเกิดกระแสธีโบวี่ไป แต่กระแสนั้นก็ถูกกลบไปเพราะธีมารับเล่นซีรี่เรื่องใหม่กับเจมส์ซึ่งพี่บีวางการตลาดไว้แล้วว่าต้องดัง จึงพยายามป้อนงานคู่ให้เรื่อยๆกระแสของธีเจมส์จึงได้รับการตอบรับดีกว่าโบวี่
“ นั่นแหละที่ฉันเป็นห่วง ตอนที่เล่นหนังกับยายนี่นะ แกเอ๊ยนางทำตัวเหมือนไม้เลื้อยพยายามอ่อยพี่เขาจนคนเขาเอือมไปทั้งกอง”
“ แกพูดเหมือนแกอยู่ในกองนั้นเลยเนอะ” ผมตอบกลับ “ ถ้าแกไม่กินฉันขอนะ”
“ ได้ไงวะ นี่มันส่วนอร่อยเลยนะเว้ย” เธอทำหน้าบึ้งตึงทันทีที่ผมเอาหนังไก่ใส่เข้าไปในปาก”
“ ก็แกมัวแต่พูดถึงเรื่องไร้สาระอยู่ได้” ผมกลืนของอร่อยของสุลงท้องก่อนจะพูดต่อ “ แกฟังฉันนะเพื่อนรัก ของแบบนี้ปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกเว้ย”
“ เหมือนแกน่ะเหรอที่อยากปรบมือกับพี่เขาแล้วพี่เขาไม่ปรบด้วย” ผมมองสายตาพิฆาตไปทางเพื่อนของผมอย่างรวดเร็วมันหลบตาต่ำหลบผมทันที “ ก็มันจริงนี่หว่า ลองลดๆอคติลงหรือทำอะไรๆให้มันลืมๆไปก็ได้นะถ้าตัวแดอยากจะลืมพี่เขาจริงๆ การที่แกบอกว่าไม่อยากจดจำพี่เขาแล้วแกมาทำเพจแอนตี้ ชาตินี้ทั้งชาติมันก็ลืมเข้าไม่ได้หรอก อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ ฉันรู้ว่าลึกๆแล้วว่าตัวแกก็หวัง”
“ ช่างมันเถอะ แกอิ่มแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวฉันล้างเอง” ผมลุกออกจากเก้าอี้ทันที
“ นี่แกจะทำอะไร ฉันยังไม่อิ่มนะเว้ย” สุร้องเสียงหลงเมื่อผมเดินไปหยิบถุงดำในลิ้นชักออกมา
“ ก็นึกว่าแกอิ่มแล้วเห็นแกเอาแต่ชวนคุยอยู่ได้”
“ ขอโทษวันหลังจะไม่พูดแทงใจดำอีกแล้ว มานั่งก่อนมา” เธอกวักมือเรียก
“ จะคุยอะไรอีกล่ะ”
“ เออ เปลี่ยนเรื่องคุยแล้ว แต่ฉันจะบอกว่าหลังจากนี้ฉันขอถอนตัวออกจากแหล่งข่าวแกแล้วนะ เดี๋ยวกลุ่มบ้านพี่ธีรู้เข้าฉันตายแน่ๆ”
“ เออรู้แล้ว”
ไลน์ ! เสียงมือถือผมที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นพร้อมกับปรากฏข้อความ
มาร์ค : สวัสดีครับ
ตาหนูเบียร์ : ครับ
ผมตบตอบตกลงการเพิ่มเพื่อนก่อนที่จะตอบกลับไป
“ ใครวะ มาดูหน่อยดิ้” สุคว้าโทรศัพท์ไปจากมือผมในทันทีก่อนทีตาตี่ๆของเธอจะเบิกกว้างราวกับว่าเธอถูกหวย
“ อะไรมีอะไร”
“ นี่แกจำพี่มาร์คไม่ได้หรือไงฮะ”
“ แกรู้จักด้วยเหรอ” ผมถามอย่างตกใจว่าทำไมมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่จำอะไรไม่ได้เลย
“ เออ พี่รหัสแกไง ขนาดฉันโง่ๆยังจำได้เลย แต่ก่อนเขาอ้วนแล้วก็ใส่แว่นหนาๆไง พี่รหัสปีสี่แกอ่า”
“ อ๋อจำได้แล้ว ตอนนั้นที่ฉันหาพี่รหัสปีสี่ ในป้ายนั้นเขียนว่าหมูแว่น” ผมพยายามนึกก็นึกออกแต่ก็ยังคงลังเลอยู่เพราะพี่
มาร์คตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันค่อนข้างมาก
ตาหนูเบียร์ : พี่หมูแว่นหรือเปล่าครับ”
ผมนั่งรอข้อความนั้นตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อจนกระทั่งข้อความของผมที่ส่งไปนั้นขึ้นว่า อ่านแล้ว
มาร์ค : จำพี่ได้แล้วเหรอ
ตาหนูเบียร์ : ในที่สุดผมก็จำพี่ได้ซะที
ผมส่งสติ้เกอร์หัวเราะกลับไป
ตาหนูเบียร์ : พี่น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก
มาร์ค : บอกเร็วก็ไม่สนุกดิ
ตาหนูเบียร์ : แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วนะ ไม่เกรงใจแล้วอย่าลืมเลี้ยงส้มตำผมด้วยนะพี่รหัส
มาร์ค : ต่อให้จำไม่ได้ก็อยากจะเลี้ยงอยู่แล้วครับ
ตาหนูเบียร์ : ขอบคุณครับ
ผมตอบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์และทันทีที่สบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมก็รู้เลยว่าผมคงต้องนั่งกินส้มตำอย่างนี้ไปพัก
ใหญ่ๆแน่ๆ
“ เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้”
“ เล่าอะไร”
“ อย่ามาทำเฉไฉ แกไปเจอพี่มาร์คได้ยังไง แกรู้หรือเปล่าว่าตอนสมัยปีหนึ่งพี่แกแอบมองแกตลอดเลยนะเว้ย” สุพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังใบหน้าอมชมพูขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ พี่แกต้องลดน้ำหนักมาเพื่อจีบแกแน่ๆเลย”
“ แกจะบ้าเหรอ พี่แกเป็นน้องพี่บี พี่บีให้ฉันช่วยสอนงาน แล้วฉันก็เพิ่งเจอเขาวันนี้ จบนะง่วงนอนแล้ว” ผมทำท่าจะลุกออกไปจากเก้าอี้แต่มือของเพื่อนของผมคว้าเอาไว้เสียก่อน “ มีอะไรอีก”
“ แกไม่ได้คิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่มาร์คไม่ได้คิดเหมือนกับแกนี่หว่า”
“ แกสิคิดมาก”
ผมพูดเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้องตอนแรกว่าจะช่วยล้างจานตอนนี้คงต้องปล่อยให้มันล้างเองแล้วล่ะ ถามเยอะดีนัก ผมทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วมองเพดานที่ว่างเปล่า ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมผ่านหลายๆอย่างมามากมายเหลือเกิน พรุ่งนี้มันต้องดีกว่านี้ ผมจะต้องพยายามไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานให้ได้ ผมจะลองทำตามที่สุมันบอก ว่าให้ทำทุกอย่างปกติจะช่วยให้ผมลืมได้ง่ายขึ้น
ใช่ครับ ผมยังรักและรอรอยยิ้มของพี่ธีอยู่
ต่อแล้วน้าาาาาาาาาาาาา ฝากไวในอ้อมใจด้วยเด้อ #ธีเบียร์
-
แอบปลื้มกันเป็นทอด ๆ เลย :mew4:
-
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
ขอบคุณค่าาาา ฝากติดตามด้วยนะคะ
-
มาแล้วเรื่องใหม่ หนุกหนานๆ เหมือนเคย o13
ขอบคุณที่ยังจำกันได้นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
-
3
{THEEMA PART}
ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่อยู่ข้างกัน
ขอบคุณความสัมพันธ์ที่ทำให้ฉันได้มีวันนี้
ขอบคุณในความรัก ขอบคุณความหวังดี
และฉันขอบคุณวันนี้ ขอบคุณที่มีเธอ..
“ เอาล่ะครับจบไปแล้วกับเพลงขอบคุณที่มีเธอจากผลงานการร้องเพลงครั้งแรกของหนุ่มธีของเรานี่เอง และตอนนี้น้องธีเองก็ได้นั่งอยู่ด้านข้างเราแล้ว เรามาพูดคุยกับน้องเขากันเลยดีกว่า สวัสดีครับน้องธี” ดีเจหนุ่มผมทองทรงดอกเห็ดส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรมาทางผมและส่งสัญญานว่าให้ผ่อนคลายเพราะตอนนี้ผมเองที่อยู่ร่วมกับเขาในห้องส่งตัวสั่นไปด้วยความตื่นเต้น เพราะถึงแม้ว่าผมจะแสดงละคร ภาพยนตร์มาเยอะ แต่นี่ก็เป็นการออกรายการวิทยุที่ได้ฟังเสียงร้องของตัวเองครั้งแรกหลังจากอัดเสร็จ
“ สวัสดีครับพี่ดีเจเป้ สวัสดีคุณผู้ฟังทางบ้านแล้วก็ไลฟ์สดด้วยนะครับ” ผมโบกมือทักทายไปทางกล้องที่กำลังไลฟ์สด
“ เป็นยังไงบ้างครับ วันนี้ตื่นเต้นหรือเปล่าครับ”
“ นิดหน่อยครับ แต่พอได้เห็นหน้าพี่ ความตื่นเต้นผมก็หายไปเลยครับ เหลือแต่คำว่าเขิน”
“น้องธีก็” ดีเจหนุ่มบิดซ้ายบิดขวาด้วยความขวยเขินหลังจากตั้งสติได้เธอก็เริ่มถามตามที่สคริปในมือของตนเองเขียน
“จริงหรือเปล่าครับน้องธีที่เพลงนี้น้องเป็นคนแต่งเอง ยังไม่ต้องตอบนะครับเพราะพี่ยังถามไม่จบ และแต่งเพลงนี้ให้ใครครับ”
ธีมะนิ่งไปสักพักก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูสดใส “ครับเพลงนี้ผมแต่งเองครับ ผมแต่งให้คนๆนึงที่คอยเป็นแรงผลักดันตัวของผมมาโดยตลอด คนที่อยู่ข้างๆผมในยามที่ผมเศร้าหรือมีความสุข และเขาเป็นคนที่เข้ามาเปิดโลกแห่งความรักและเจอกับสิ่งที่สวยงามอีกครั้งครับ”
“น่าอิจฉานะครับ” ดีเจฝีปากกล้าพูดก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก “ แล้วมีอะไรจะบอกกับน้องคนนั้นหรือเปล่าครับ”
“ มีครับผมอยากจะบอกเขาว่า ผมขอโทษครับ”
{BEER PART}
“ เสื้อตัวนี้สวยหรือเปล่า” สุหันมาชูเสื้อแขนยาวสีชมพูที่เธอชอบมาทางผม “ หรือจะตัวนี้ดี”
“ มันต่างกันตรงไหน ก็สีชมพูเหมือนกัน” ผมถามพร้อมกับชูถุงกระดาษสามสี่ถุงในมือซึ่งล้วนเป็นของสุทั้งหมด ของผมเองยังไม่ได้ซื้อเลยแม้แต่ตัวเดียว “ ทำไมแกไม่ลองใส่สีที่มันดูทึบๆบ้างอย่างบนสีเทาหรือสีกรมอะไรพวกนี้ มันจะช่วยพรางหุ่นแกนะ”
“ นี่แกว่าฉันอ้วนเหรอ”
“ เออ”
“ ใจร้าย” เธอทำหน้างอ “ ฉันบอกเลยว่าที่ฉันไม่ผอมเนี่ยฉันกลัวมีแฟนก่อนแก แกต้องขอบคุณฉันนะ”
“ เออขอบคุณมากกกกก” ผมตอบกลับก่อนที่เพื่อนของผมจะยื่นเสื้อสองตัวไปทางพนักงาน “ แกเอาสองตัวเลยเหรอ แล้วจะให้ฉันเลือกทำไมวะ”
“ เออน่า เลือกไม่ได้ก็เอาทั้งสองเลย แกล่ะเลือกยัง จะเอาใคร รักครั้งเก่าหรือเริ่มรักครั้งใหม่ดี”
“ พูดอะไรของแกเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ละ”
“ ว่าแล้วว่าเสียงใครคุ้นๆ” เสียงของใครบางคนจากดังมาด้านหลังของผม
“ พี่มาร์คสวัสดีค่ะ” สุยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว
คนที่มาใหม่ใส่เสื้อสีชมพูตัดกับผิวขาวๆยืนส่งยิ้มมาให้ผมทั้งสองคนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาส่งยิ้มไปให้คนที่ยกมือไหวก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างๆผม
“ ไม่ได้เจอกันตั้งนานยังจำพี่ได้ด้วยเหรอ”
“ จำได้สิคะ แต่ก่อนพี่เทียวไปเทียวมาหาเบียร์อยู่บ่อยๆเหมือนมาจีบเพื่อนหนูเลย”
เธอพูดทีเล่นทีจริงจนหน้าพี่มาร์คแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนผมต้องยกมือมาห้ามเพื่อนของผมที่มันพูดมากเกินความเป็นจริงไปแล้ว
“ พอๆ แกนี่พูดจาไร้สาระตลอด” ผมพูดก่อนจะหันมาทางพี่มาร์ค “ พี่อย่าไปถือสาเพื่อนผมเลยนะครับมันเป็นอย่างนี้แหละ ปากมันเสีย” ผมพูดจบหน้าของเพื่อนผมที่กล่าวถึงก็ยับยู่ยี่ทันที
“ ไม่เป็นไรครับ สุยังไงก็คือสุ” พี่มาร์คหัวเราะออกมา
“ แล้วมันดีใช่หรือเปล่าเนี่ย”
บรรยากาศที่สุทำท่าทางตลกทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมรู้สึกโหวงๆแปลกๆที่พี่มาร์คหน้าแดงตอนที่สุล้อว่าชอบผม จะให้คิดเข้าข้างตัวเองก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พี่เขาก็แค่ขี้อาย แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงผมคงแย่มากที่รู้สึกบางอย่างกับอีกคนทั้งๆที่ยังมีอีกคนในความทรงจำ
เสียงจอแจและเสียงดนตรีอีสานดังคลอไปทั่วทั้งร้าน กลิ่นส้มตำและข้าวคั่วหอมกลุ่นลอยเข้ามาในทุกอณูของอากาศน้ำลายในปากของผมหลั่งออกมาอย่างห้ามไม่ได้ นั่นไม่รวมเสียงท้องที่มันร้องเรียกให้อาหารพวกนี้ลงมาอยู่ในท้องของผมซะ
และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผมที่ดูจะมีความสุขในการเดินเข้ามาในร้านเพื่อนของผมเองก็หยุดสนใจที่เพิ่งซื้อมาใหม่มาสนใจเมนูที่อยู่ตรงหน้า
ถึงแม้ว่าการที่มาหาอาหารอีสานกินในห้างมันจะไม่ได้อรรถรสเหมือนไปกินตามข้างทางหรือร้านที่เป็นอีสานแท้ๆที่ราคาย่อมเยากว่าก็เถอะ แต่ของฟรีมักจะอร่อยเสมอจริงไหมครับ
“ สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” เสียงพนักงานที่อยู่ในชุดสีขาวแต่ผู้ด้วยผ้าขาวม้าที่เอวและมีเข็มกลัดกระติ้บข้าวเหนียวกลัดอยู่ที่อกเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ เอาส้มตำปลาร้าพริกสองเม็ดครับ แล้วก็ตำไทยไม่เผ็ดครับ ลาบหมูไม่ต้องเผ็ดมากครับ เอาต้มแซ่บไม่ต้องเผ็ดมากครับ แล้วก็ไก่ย่างเอาเป็นน่องนะครับ สี่น่อง ” ผมสั่ง
“ นี่แกสั่งเผื่อพี่มาร์คใช่มั้ยเนี่ย” สุเงยหน้าจากเมนูขึ้นมาถามเพราะปกติผมจกชอบให้มันมีรสเผ็ดๆบ้าง
“ ใช่ดิ จะให้เจ้ามือกินไม่ได้หรือไง” ผมตอบสุพร้อมกับส่งยิ้มไปให้พี่มาร์คที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ จริงไหมครับพี่มาร์ค ผมจำได้ว่าพี่ไม่ค่อยชอบเผ็ด เพราะตอนนั้นเพื่อนพี่สั่งผัดกระเพราไม่ใส่พริกให้พี่แต่แม่ค้าลืมพี่นั่งกินไปน้ำตาไหลไปเลยนี่ครับ”
“ น้องเบียร์จำได้ด้วยเหรอครับ” พี่เขาตอบผมพร้อมกับหลุบตาต่ำ ผมสังเกตได้ว่าพี่เขาค่อนข้างหน้าแดง
“ หรือว่าพี่พัฒนาการกินเผ็ดแล้วครับ”
“ จริงๆแล้วน้องทั้งสองคนสั่งแบบที่เคยทานกันก็ได้นะครับพี่ยังไงก็ได้”
“ พี่ไม่ไหวหรอกค่ะ” สุหัวเราะออกมา “ หนูค่อนข้างชอบรสเผ็ด พี่จะทรมานเปล่าๆ เรามาเจอกันคนละครึ่งทางแบบนี้แหละดีแล้วค่ะ”
“ โอเคครับ” พี่มาร์คยิ้มอีกครั้งแต่ไม่ยอมสบตากับผม
ใครจะไปรู้ว่าระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะเพื่อนของผมจะเปิดประโยคสนทนาที่ไม่น่าฟังสำหรับผมขึ้นมา
“ เนี่ยนะ เมื่อวานถ้าหนูไม่ทักว่าคนที่ทักไลน์มาคือพี่นะ คนโง่ๆอย่างเพื่อนหนูคงไม่รู้แน่ๆเลย” ผมเอื้อมมือพยายามจะไปปิดปากมัน “ อะไรของแกเนี่ยฉันยังเล่าไม่จบเลย ตอนสมัยเรียนนะ นอกจากคนที่มันแอบชอบแล้วก็มีแต่เรื่องพี่นี่แหละที่มันชอบมาเล่าให้หนูฟัง ทั้งบอกว่าพี่ใจดีอย่างนั้น พี่ใจดีอย่างนี้ พี่เป็นเหมือนพี่ชายมันอีกคนเลย”
“ เหรอครับ แต่ก็จำพี่ไม่ได้” พี่มาร์คหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่เล่นผอมลงขนาดนี้ใครจะไปจำได้ ถ้าเทียบกับตอนนั้นพี่นี่เหมือโครงกระดูกเลยนะเนี่ย”
“ ไม่เกี่ยวหรอกค่ะว่าพี่จะผอมลงหรืออ้วนขึ้น เพื่อนหนูมันไม่ฉลาดเองหนูเห็นพี่ครั้งแรกยังจำได้เลย หนูจำได้ว่าหนูชอบรอยยิ้มของพี่มาก” สุลากยาวคำว่ามากจนแทบจะสุดลม “ ที่สำคัญเรื่องของพี่ก็เป็นอีกเรื่องเหมือนนิทานก่อนนอนที่เบียร์มันเล่าให้ฟังบ่อยๆนอกจากนินทาเรื่องอีกคน”
“ นินทาเรื่องอีกคน นินทาใครเหรอครับ พี่ไม่เคยโดนนินทาใช่ไหมครับ” พี่มาร์คพูดติดตลก
“ นินทาธีไงล่ะคะ พี่มาร์คก็รู้จักไม่ใช่เหรอ”
“ อ๋อ มิน่าล่ะ ไม่ถูกกันมาก่อนนี่เอง” พี่มาร์คพูดอย่างเข้าใจ
“ อย่าไปฟังสุมันเลยพี่ ไขมันมันไปจุกต่อมสมองแล้วมันพูดเพ้อเจ้อ”
“ ไหนเล่าต่อสิ พี่อยากฟัง” พี่มาร์คหันไปทางสุ
“ อาหารมาแล้วค่ะ” เสียงใสๆจากพนักงานเหมือนเป็นระฆังพักยกระหว่างผม สุ และพี่มาร์ค และเมื่ออาหารมาวางบนโต๊ะเสร็จเพื่อนของผมก็เงียบไปอย่างง่ายดายโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรเลย
พี่มาร์คมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะในทุกๆจานถึงแม้ว่าจะถูกสั่งมาให้ใส่พริกเล็กน้อยแล้วแต่ยังคงมีพริกสีแดงๆแซมอยู่เป็นที่ๆจนทำให้คนที่ไม่ค่อยจะกินเผ็ดถึงกับเหงื่อออกทั้งที่ยังไม่ได้กิน
“ กินได้ไหมครับ” ผมถามพร้อมกับส่งยิ้มไปให้
“ ได้สิ อันนี้ก็ไม่ได้ใส่พริกนี่” พี่มาร์คตักจานส้มตำด้านหน้าเข้าปากไปให้ดู แต่ใครจะรู้ว่าที่ตักเข้าไปนั้นเป็นส้มตำของผมที่ใส่พริกสองเม็ด ถึงแม้ว่ามันจะไม่เผ็ดสำหรับผมแต่มันทำให้คนที่ตักเข้าปากไปเมื่อสักครู่น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ใบหน้าสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เจ่ออกมาเป็นสีแดง
“ พี่ดื่มนี่ก่อนครับ” ผมรินน้ำอัดลมตรงหน้ายื่นไปให้พี่เขาแก้วแล้วแก้วเล่า และดูเหมือนว่ามันจะค่อยๆดีขึ้นใบหน้าสีแดงค่อยๆลดระดับลงมาเว้นแต่ริมฝีปากที่ยังคงแดงชัดเจนอยู่ “ ของพี่จานนี้ครับ” ผมดันจานส้มตำไทยไปทางพี่มาร์ค”
“ พี่ไม่ทันมอง” พี่มาร์คหัวเราะออกมา “ นี่ถูกจานแน่ๆใช่หรือเปล่า” พี่เขาถามย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง
“ ผมไม่แกล้งพี่หรอกน่า”
“ อิจฉาคนที่กินเผ็ดได้เนอะ แต่เขากินกันไปได้ยังไงกันเนี่ยทรมานจะตาย” พี่เขาทำหน้าเหยเก
“ เขาเรียกว่ารสชาติของชีวิตค่ะพี่ มันเป็นการเพิ่มอรรถรสในการกินอย่างหนึ่ง” สุพูดหลังจาดที่วางมือจากน่องไก่ของตัวเอง
“ แต่พี่ไม่ต้องมากินเผ็ดก็ได้นะ พี่เป็นพี่แบบนี้แหละดีแล้วครับ”
“ แหม่ๆๆๆๆ เบียร์น้อยของเราพูดหยอดอะไรเนี่ย”
“ หยอดอะไรเล่า ฉันพูดความจริงคนเราถ้ามาชอบอะไรเหมือนกันหรือพยายามทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นตัวตนของเรานั้นก็จะหายไปเลยนะ”
“ แกจะมาจริงจังไรเนี่ย” สุถอนหายใจออกมา “ ขอนะ”
“ ได้ไงอ่ะ” ผมพยายามที่จะคว้าน่องไก่ของผมออกมาจากจานของสุ
“ เอาของพี่ก็ไปก็ได้ เบียร์สั่งมาให้พี่ตั้งสองน่อง” พี่มาร์คที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามตักไก่ย่างมาวางไว้ที่จานของผม
“ แล้วพี่ล่ะ”
“ พี่มีส้มตำไทยนี่ไง ไม่มีพริกปลอดภัยหายห่วง” เขาส่งยิ้มมาให้ “ แต่จริงๆแล้วพี่ก็อยากทานเผ็ดได้เหมือนกันนะ มันเป็นการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ อยากลองทำในแบบที่คนที่เราชอบ”
“ พี่พูดเหมือนจะจีบเพื่อนหนูเลยนะคะ” สุวางมือจากของกินตรงหน้าขึ้นมาพูด
“ ครับพี่จะจีบเบียร์ จีบเองโดยที่ไม่ต้องผ่านสุอีกแล้ว” เขาส่งยิ้มมาให้ ใจของผมมันเต้นแรงๆแบบแปลกๆทั้งที่ไม่เคยเป็น
กับคนอื่นนอกจากไอ้พี่ธีคนเดียว แววตาของพี่มาร์คเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ทำไมภาพตรงหน้านั้นมันมีใบหน้าของพี่ธีเข้ามารบกวนระบบความคิดของผมอีกล่ะ
“ อะไรกัน พี่ยังชอบมันอยู่อีกเหรอ” สุถามซ้ำอย่างตกใจ “นี่เพื่อนหนูมันมีอะไรดีเนี่ยพี่ถึงได้ชอบมันข้ามปีแบบนี้”
“ เยอะครับ”
“ ผมว่าเรากินกันต่อดีกว่านะครับ” ผมตักส้มตำเข้าปากโดยที่ไม่คิดจะสบตาใครบนโต๊ะทั้งนั้น
ไลน์! เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ บนหน้าจอเป็นห้องสนทนาใหม่ที่ผมไม่เคยคุยมาก่อน มันเขียนว่า THEEMA
THEEMA : พี่บีบอกว่านายต้องเป็นคนไปดูแลฉันที่เชียงใหม่ เพราะฉะนั้นตอนนี้นายต้องพาฉันไปหาซื้อเสื้อผ้า
“ ใครเหรอครับทำไมทำหน้าแบบนั้น” พี่มาร์คที่นั่งอยู่ตรงหน้าถามขึ้น
“ ธีน่ะครับ เขาให้ผมไปช่วยจัดการเรื่องเสื้อผ้า”
“ ว้าวๆๆๆ” สุส่งเสียงแซว”
THEEMA : การอ่านแล้วไม่ตอบไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของนายเลย เดินออกมาจากร้านเดี๋ยวนี้
ตาหนูเบียร์ : อะไรกัน นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน
THEEMA : ไม่ต้องรู้หรอกน่า เร็วๆฉันไม่ชอบการรอนานๆเสียเวลา
ตาหนูเบียร์ : เออ
ผมตอบไปสั้นๆก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปทางเพื่อนของตัวเองที่กำลังนั่งทำหน้างงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ เดี๋ยวฉันไปทำงานก่อนนะ”
“ ผมขอโทษนะครับ พี่มาร์คพอดีผมมีงานด่วนน่ะครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนที่จะรีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้ามีคนใส่หมวกสีดำกับแว่นตากันแดดแต่ก็คงกันอะไรไม่ได้หรอกครับเมื่อบรรดาแฟนคลับคนหนึ่งเห็นอีกคนก็วิ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ ขอโทษนะครับ ขอโทษนะครับ” ผมแหวกคนที่กำลังรุมพ่อดาราตัวดีตรงหน้าไม่นานก็เข้าไปถึงตัวจนได้ เขาส่งยิ้มให้กับบรรดาแฟนคลับอย่างเป็นมิตร
“ ผู้จัดการผมมาแล้ว เดี๋ยวเราไปทำงานกันก่อนนะครับ” เขาทำท่ามินิฮาร์ทส่งไปให้ซึ่งเรียกเสียงกรี้ดได้ไม่น้อย และเมื่อสถานการณ์ปกติดีผมก็สะบัดมือของตัวเองออกจากมือของพี่ธีทันที
“ ทำไมทำแบบนี้เห็นหรือเปล่าว่ามันวุ่นวายไปกันหมด ทำไมไม่สั่งให้ทางร้านเอาไปให้ดูเหมือนทุกที”
“ วุ่นวายไปหมด นี่รวมถึงวุ่นวายชีวิตของนายด้วยหรือเปล่า และเวลาพูดกับฉันพูดดีๆฉันเป็นพี่นายนะ” เขาเสียงดังใส่ผมก่อนที่จะลดเสียงลง “ หรือว่าฉันไปรบกวนเวลานายกับน้องชายพี่บี”
“ ฉัน”
“ พูดใหม่”
“ อย่าเอาพี่มาร์คมาเกี่ยวกับเรื่องนี้” ผมเถียงกลับ “ เอาอย่างนี้พี่ธีอยากได้เสื้อผ้ายังไงครับ แบรนด์ไหน เดี๋ยวผมจะได้พาไปซื้อถูก”
“ ก็แค่นี้” เขายิ้มเหมือนกับว่าตัวเองชนะก่อนจะเดินนำหน้าผมไป
{THEEMA PART}
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้เป็นความรู้สึกอะไร ความรู้สึกผิดที่มีต่อน้องหรือว่าผมแค่ต้องการน้องอยู่ข้างๆกายกันแน่
เรื่องนี้ผมอาจจะผิดเองที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าเด็กน้อยที่อยู่ข้างผมในเวลาที่ผมเศร้าหรือเด็กน้อยที่ทำให้ผมยิ้มได้เวลาที่ผมเศร้า เด็กน้อยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าหลังจากที่แม่ของผมได้เสียชีวิตไป เด็กน้อยที่เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของผม แต่ผมกลับทำให้เขาเสียใจเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ถ้าผมจำน้องเขาได้สักนิดผมคงไม่ต้องเสียน้องไป
“ ของพี่ครับ” เขายื่นแก้วชาเขียวมาให้ผม
“ แค่พี่รับมาก็พอใช่ไหม” ผมตอบกลับไป “ แต่พี่จะบอกเลยนะว่าน้องไม่ใช่คนที่พี่อยากจะรู้จักหรอก แล้วไอ้น้ำเนี่ยพี่ก็ไม่เคยกิน อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่งมาอยู่ได้น่ารำคาน จริงๆน้องน่าดูตัวเองก่อนนะว่าพี่เป็นใครแล้วน้องเป็นใคร”
เด็กคนนั้นน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาสาดชาเขียวแก้วนั้นใส่หน้าผมก่อนจะวิ่งกลับไป เสียงเพื่อนๆของผมหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผมก้มลงไปหยิบกระดาษกาฟิลด์นั้นขึ้นมาอ่าน
ผมชื่อเบียร์ครับ พี่จำผมได้หรือเปล่า ขอบคุณที่ชอบชาเขียวของผมนะครับ
เสียงหัวเราะมีความสุขของเพื่อนผมในตอนนั้นดังก้องในหัวผมไปหมดราวกับว่าเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันกับความโง่เง่าของตัวผมเองเพราะหลังจากวันนั้น เบียร์ก็หายไปจากชีวิตผม เขาหลบหน้า ถึงแม้จะเดินสวนกันตรงๆเขาก็ทำเหมือนว่าผมเป็นแค่อากาศสำหรับตัวเขาไปแล้ว
ยิ่งพอผมจบจากโรงเรียนมา การที่ผมจะได้เจอน้องอีกครั้งมันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากสำหรับผม อีกทั้งพ่อผมยังมาขอให้ผมเข้าวงการเพื่อให้คนรู้จักบริษัททัวร์ของท่านมากขึ้นทำให้เวลาของผมมีน้อยลงมากกว่าเดิมจนกระทั่งวันนั้น
“ นี่วันนี้ร้านของเพื่อนพี่มาเปิดสาขาใหม่ใกล้ๆเลยนะ ใครอยากกินกาแฟอะไรสั่งมาได้เลยพี่เลี้ยงเอง” พี่บีตะโกนถามทุกคนในกองถ่ายอย่างตื่นเต้น “ แต่ถ้าอร่อยก็บอกต่อหรือแวะไปกินกันเองได้เลยนะ”
ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะทำให้ผมเจอกับน้องเขาอีกครั้งหนึ่ง รอยยิ้มที่สดใสเดินเข้ามาในกองถ่ายพร้อมกับถุงกาแฟและบรรดาเครื่องดื่มอื่นๆ ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นยิ้มพูดคุยทักทายทุกคนอย่างมีความสุข
“ ชาเขียวหวานน้อยครับ” เขาหยิบแก้วชาเขียวนั้นส่งให้พี่บีที่กำลังยืนคุยอย่างออกรสกับช่างแต่งหน้า
“ เบียร์ช่วยเอาไปให้ธีทีนะนั่งอยู่ตรงโน้นน่ะ” ทันทีที่พี่บีชี้มาทางผมผมก็ยกบทขึ้นมาปิดหน้าอย่างรวดเร็ว เด็กคนนั้นเดินมาทางผม
“ ชาเขียวหวานน้อยครับ”
“ วางไว้ตรงนั้นแหละ” ผมตอบไปส่งๆเพราะว่าไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า
“ หยิ่ง” เขาพูดกับตัวเองเบาๆแต่ผมดันได้ยิน ซึ่งมันทำให้ตัวผมรู้สึกว่าการกระทำของผมในวันนั้นมันยังติดอยู่ในหัวของเขาไปหมดจนลบความทรงจำดีๆของเราสองคนในวัยเด็กไปจนหมดแล้ว
“ คิดอะไรอยู่ ถามทำไมไม่ตอบ” เสียงของคนที่เดินหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ “ ถ้าจะมาทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายเฉยๆก็กลับไปเถอะ ตกลงจะไปร้านไหนครับ”
“ พูดดีๆกับพี่สักครั้งเลยไม่ได้หรือไง”
“ อะไรนะ” เขาถามกลับอย่างตะกุกตะกัก “ กินยาไม่เขย่าขวดหรือไงฮะ”
“ เปล่า ก็แค่อยากจะพูดดีๆด้วยบ้าง” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้
“ นี่จะมาไม้ไหนเนี่ย”
“ ก็ไม่ได้มาไม้ไหน ฉันเองก็อยากรู้ว่าทำไมนายถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้”
“ หึ” เขามองผมอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินนำหน้าไป
เราสองคนมาหยุดที่ร้านซึ่งเรามาซื้อเป็นประจำ ร้านนี้มีเสื้อผ้ามากมายหลายแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นร้านที่เป็นเพื่อนของพี่บีอีกด้วย
“ สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีน้ำเงินรัดรูปเดินตรงมาทางผม “ ทำไมวันนี้น้องธีถึงได้มาซื้อที่ร้านเลยล่ะคะ จริงๆสั่งทางโทรศัพท์ก็ได้นะคะทางร้านพร้องส่งไปให้เสมออยู่แล้วค่ะ”
“ ผมก็อยากมาลองดูว่าเจ้าของจะใจดีจริงๆอย่างที่คุยในโทรศัพท์หรือเปล่าน่ะสิครับ” ผมส่งยิ้มไปให้เธอ แต่ไอ้คนที่ยืนข้างๆผมแอบเบะปากเป็นรูประฆังคว่ำอย่างไม่เกรงใจผมเลย
“ น้องธีก็ พูดแบบนี้พี่ก็เขินแย่เลยสิคะ” พี่ดาหัวเราะชอบใจ “ ว่าแต่มีอะไรให้พี่ช่วยไหมคะ”
“ พอดีผมจะไปทำงานที่เชียงใหม่สักหน่อยนะครับ เลยอยากได้ชุดจากร้านพี่ไปเชียงใหม่ด้วย ผมขอแบบเรียบๆสักสามสี่ชุด แล้วก็เอาของผู้จัดการผมด้วยนะครับ”
“ ฮะ” เบียร์มันหันหน้ามาทางผม
“ นายจะไปดูแลฉันนายเองก็ต้องแต่งตัวให้มันดูดีหน่อย ดูอย่างพี่บีเป็นตัวอย่างสิ”
“ แต่”
“ ไม่ต้องปฏิเสธพี่บีให้เงินฉันมาแล้ว ส่วนนายมีหน้าที่เลือกแล้วรับเอาของกลับไปจัดใส่กระเป๋าซะ” เขาสงบลงทันทีเมื่อผมอ้างถึงพี่บี
ตัวเล็กของผมมันเป็นคนที่ขี้เกรงใจครับ ที่มันมาทำงานกับพี่บี ผมเองนี่แหละที่เป็นคนขอร้องให้พี่บีไปชวนมาพี่บีแกเลยไปเข้าทางแม่แล้วได้ตัวมาเลย หลังจากนั้นผมเลยไปขอเอาตัวน้องมันมาอยู่ข้างๆผมแบบเนียนๆ
“ ได้ค่ะ น้องชอบแบบไหนเลือกได้เลยนะคะ ส่วนของน้องธี ทุกอย่างขนาดเท่าเดิมนะคะ ไม่มีอะไรเล็กอะไรใหญ่ไปมากกว่าเดิมนะคะ”
“ มีครับ ช่วงนี้ผมว่าพุงของผมเริ่มใหญ่ขึ้นแล้วล่ะครับ”
“ แหม่ๆ พี่เห็นถ่ายขึ้นปก ละติจูดไปเมื่อต้นเดือนยังนาน ยังเฟิร์มอยู่เลยนี่คะ”
“ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ พี่เขารีทัชช่วยแทบแย่เหมือนกัน”
“ ถ้าอย่างนั้นต้องลองๆใส่ดูนะคะเดี๋ยวพี่จัดมาให้น้องเดินๆดูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะเอาชุดที่คิดว่าเข้ากับน้องธีมาให้นะคะ”
“ ครับ” ผมตอบสั้นๆพร้อมส่งยิ้มไปให้
“ อ่อย”
“ อ่อยอะไร เขาเรียกว่ามนุษย์สัมพันธ์ดี” ผมยิ้มตอบกลับไป “ ยังไม่ตอบฉันเลยว่าทำไมถึงไม่ชอบขี้หน้าฉันขนาดนี้เหรอ หรือว่าเรื่องชาเขียววันนั้น”
“ จำได้ด้วยเหรอ” เขาพูดพร้อมกับจ้องหน้ามาที่ผมอย่างเอาจริงเอาจัง
“ จำได้สิ”
“ จำได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาถามอีกว่าทำไมไม่พูดดีด้วย เพราะมันจะไม่มีวันที่ฉันจะต้องพูดดีๆกับนาย” เขาพูดพร้อมกับทำท่าจะเดินหนี
“ ขี้ขลาด”
“ ขี้เขลาดอะไร”
“ ก็ชอบเดินหนี อย่างนี้เขาเรียกว่าขี้ขลาด”
“ ก็แค่ไม่อยากคุยด้วย”
“ แล้วทำไมต้องไม่อยากคุยด้วย เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ตอนนั้นฉันก็ยังเด็ก” ผมถามกลับ แต่เบียร์ดูนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด “ ขอโทษแล้วกัน”
“ ถ้ามันไม่อยากขอโทษก็ไม่ต้องขอโทษก็ได้นะ” เสียงของเขาเริ่มสั่น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะพยายามข่มมันเอาไว้
“ เบียร์ พี่ขอโทษ”
“ ก็บอกว่าไม่ต้องไง ถ้าอยากขอโทษจริงๆทำไมไม่ขอโทษตั้งแต่วันนั้น ปล่อยให้มันผ่านมานานแบบนี้ทำไม และจำเอาไว้เลยนะว่า ฉัน เกลียด นาย”
“ มีอะไรกันหรือเปล่าจ้ะ” พี่ดาที่เดินออกมาจากหลังร้านถาม
“ อ๋อไม่มีอะไรครับ พอดีผู้จัดการผมเขาซ้อมบทละครน่ะครับ”
“ ใช่ครับ บทละครน้ำเน่าด้วย”
“ ขยันกันจังเลยนะคะ” เธอหัวเราะออกมา “ มานี่ ดูชุดที่พี่เลือกหน่อยซิว่าชอบหรือเปล่า”
“ อะไรที่พี่ดาเลือกมาผมก็ว่าดีนะครับ” ผมยิ้มตอบกลับไป
“ ส่วนของน้อง เบียร์” เธอทำท่าทางใช้ความคิด “ พี่ว่าเอาเซตนี้ไปไหม” เธอชี้ไปทางราวเสื้อผ้าที่ค่อนข้างมีสีสัน “ น้องผิวขาว ใส่สีพวกนี้น่าจะขึ้น”
“ แล้วแต่พี่เลยครับ” ตัวเล็กมันตอบก่อนที่จะมีเสียงๆหนึ่งดังมาจากประตูหน้าร้าน
“ สวัสดีครับพี่ดา” น้องชายของพี่บีเดินยิ้มมาตั้งแต่หน้าร้าน ท่าทางสุขุมของหมอนี่มันทำให้ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่ ยิ่งมันชอบมาอยู่ใกล้ตัวเล็กของผมอีก
“ พี่มาร์ค” เบียร์มันเรียก “ พี่มาที่นี่ได้ไงครับ”
“ แค่เดินตามเสียงกรี้ดมาก็เจอแล้วมั้ย” หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น “ พี่ธีคะ จำหนูได้หรือเปล่าหนูเป็นเพื่อนของเบียร์ตอนเรียนมัธยม แต่คงจำไม่ได้หรอกเนอะเพราะว่า”
“ อ่อจำได้ครับ” ผมพูดตัดบทก่อนที่น้องแกจะพูดออกมามากกว่านี้
“ ดีใจจัง ถ้าอย่างนั้นหนูขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้หรือเปล่าคะ หนูเป็นบิ้กแฟนของพี่เลยนะคะ”
“ ได้ครับ” ผมรับโทรศัพท์มาพร้อมกับถ่ายเซลฟี่ให้ “ ขอบคุณนะครับ”
เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปประกบข้างตัวของเบียร์ที่ยืนมองเพื่อนอย่างไม่พอใจ “ เป็นไรแก”
“ ไม่มีอะไร”
“ ดีแล้วล่ะ” เธอส่งยิ้มให้เพื่อน “ พี่มาร์คเขาห่วงแกเลยออกมาดู น่ารักเนอะ”
คำพูดของสุมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กๆทิ่มตรงกลางออก ในตัวของผมร้อนรุ่มราวกับไฟ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่อยู่ๆผมก็เกลียดขี้หน้าของคนที่ยืนยิ้มตรงหน้าได้มากขนาดนี้ รอยยิ้มนั้นเหมือนกับว่าเขากำลังเยาะเย้ยผมอยู่
ผมขยับตัวเข้าไปหาเบียร์ที่อยู่ด้านข้างแต่เขากลับเดินหนีผมตรงไปยังไอ้พี่มาร์คที่ยืนนิ่งอยู่ เขาสิ่งยิ้มไปให้ผู้ชายคนนั้นเหมือนกับที่เคยส่งยิ้มให้ผมในวัยเด็ก
“ ผมไม่เป็นไรหรอกพี่ งานมันด่วนน่ะ พี่กลับไปก่อนก็ได้นะครับ” สมน้ำหน้า ทำดีมากเจ้าตัวเล็ก
“ ไม่เป็นไรครับ พี่บอกกับสุไปแล้วว่าพี่จะไปส่งเราสองคนที่คอนโด”
“ ใช่ แกให้พี่เขาไปส่งเถอะนะ” ผู้หญิงที่ชื่อสุส่งสายตาอ้อนวอนมาทางตัวเล็ก
ไม่นะปฏิเสธไปสิ จะตอบตกลงไม่ได้นะ
“ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“ ไม่ได้” ผมโพล่งขัดออกไป
“ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“ ผมต้องไปอีกหลายที่ และในฐานะที่เบียร์เป็นคนดูแลผม ดังนั้นเขาต้องไปกับผมด้วย”
“ ได้ครับ แล้วคุณจะไปไหนต่อครับ”
ผลเกลียดไอ้รอยยิ้มนี้เสียเหลือเกิน ทำไมผมรู้สึกว่าตัวผมเองกำลังโดนดูหมิ่นดูแคลน ประณามหยามเหยียดและเย้ยหยันได้ขนาดนี้ แล้วการถามคำถามผมแบบนี้ผมจะทำอย่างไรต่อดีล่ะครับ
“ งานที่เขานัดไว้แคลเซิลแล้วล่ะ” เสียงของเจมส์ที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาเหมือนระฆังช่วยชีวิต “ เขาเพิ่งโทรมาบอกผมก่อนเดินเข้ามานี่เอง”
“ อ้าวแย่จริง” ผมเล่นตามน้ำ “ แล้วนี่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“ พี่บีบอกว่าให้ผมมาตามพี่ไปคุยเรื่องไปเชียงใหม่น่ะครับ”
“ แต่นายไม่ได้ไปกับเราไม่ใช่เหรอ”
“ แต่พี่บีอยากคุยกับพี่น่ะครับ” เขาพยายามส่งสัญญาณให้ผม
“ อ่อเข้าใจแล้ว” ผมตอบก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนรอคำตอบอยู่ “ วันนี้พอแค่นี้แหละขอบคุณที่มาซื้อของเป็นเพื่อน ส่วนของของนายก็เอากลับไปเลยนะ”
“ อือ”
ผมมองหน้าพี่มาร์คทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมา ครั้งนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วก็อย่าหวังว่าจะมีครั้งหน้าเลย ผมไม่ยอมให้ตัวเล็กของผมหลุดมีเป็นครั้งที่สองแน่
มาต่อกันเลยน้าาาาาาาาาาาา ช่วงนี้อัพถี่ๆหน่อยเพราะพิมพ์ไว้เยอะแล้วมาอ่านกันน้า #ธีเบียร์ #เติมรัก
-
เอาล่ะซิ จะง้ออย่างไรดี ในเมื่ออีกคนแค้นฝังหุ่นซะขนาดนั้น :hao3:
-
4
ใครจะไปรู้ว่าวันนี้มันจะวุ่นวายได้ขนาดนี้ทั้งๆที่ควรจะเป็นวันสบายๆพักผ่อนของผมแท้ๆ ถ้าไม่เป็นเพราะออกไปซื้อของกับสุแล้วไปเจอไอ้พี่ธีมันก็คงจะดี
ผมยอมรับครับว่าคำพูดบางคำพูดของพี่เขายังก้องอยู่ในหัว เขาเอาคำว่าเขายังเด็กมาเป็นข้ออ้าง ตอนที่ได้ยินผมอยากจะพุ่งตัวไปกระชากเข้ามาต่อยสักหมัดสองหมัด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้ออ้างของคนที่ไม่รู้สำนึกน่ะสิ
หลังจากแยกออกมาจากร้านพี่มาร์คมาส่งผมกับสุที่คอนโดอย่างที่พี่เขาต้องการ ตลอดเส้นทางพี่เขาพยายามชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่มันไม่ได้เข้าหัวผมเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ผมกำลังสงสัยและพอคิดเรื่องนี้ทีไรเป็นอันเหมือนมีอะไรมาทิ่มที่หน้าอก
พี่ธี กับ เจมส์ เป็นอะไรกัน
ผมพยายามที่จะสะบัดความคิดบ้าๆนั้นออกไปจากหัวแต่ก็ทำไม่ได้ จนคนบนรถหยุดการสนทนากันแล้วมุ่งความสนใจมาที่ผมแทน
“ แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะดูไม่ร่าเริงเลย” มือของสุวางลงมาที่ไหล่ผมก่อนจะยื่นหน้ามาจากข้างหลัง “ หรือว่าแกยังกินไม่อิ่ม” เธอหัวเราะออกมา “ ต้องใช่แน่ๆ แกกินไปได้นิดเดียวก็โดนพี่ธีเอาตัวออกไป แกกินไม่อิ่มใช่ไหมล่ะ”
“ คงงั้นมั้ง” ผมตอบไปส่งๆ
“ ให้พี่แวะหาอะไรทานก่อนดีไหมครับ” พี่มาร์คที่กำลังขับรถอยู่หันมายิ้มให้อีกแล้ว “ หรือถ้าหิวมากพี่มีช็อคโกแลตติดรถไว้นะเอาหรือเปล่า”
“ ไม่เป็นไรครับพี่”
“ โอเคครับ” พี่มาร์คไม่ถามต่อแต่พี่เขากลับนิ่งไปเสียเฉยๆในรถเต็มไปด้วยความเงียบและความอึดอัด
“ มาเปิดเพลงฟังกันดีกว่า” สุเอื้อมมือมาจากด้านหลังไปเปิดเครื่องเล่นเพลงด้านหน้า
วันที่ฉันเหนื่อยล้า วันที่ฉันทุกข์ใจ มีเพียงรอยยิ้มที่เธอมีให้
ทำให้ตัวฉันสุขใจในวันนี้ หากฉัน ทำเธอเหนื่อยใจ ทำเธอต้องเสียใจ
ฉันอยากให้รู้ไว้
ขอให้เธอแค่อยู่ตรงนี้ ขอแค่อยู่ข้างกัน
ขอแค่อย่าโกรธกัน ให้ต้องทุกข์ใจขนาดนี้
แค่อยากให้เธอรู้ ว่าทั้งหัวใจที่ฉันมี
ฉันอยากบอกเธอตรงนี้ ฉันอยากอยู่ข้างๆเธอ
วันนั้น วันที่เธอไม่เหินห่าง วันที่เธอเคียงข้าง
ฉันนั้นอยากขอบคุณเธอเสมอ
ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่อยู่ข้างกัน
ขอบคุณความสัมพันธ์ที่ทำให้ฉันได้มีวันนี้
ขอบคุณในความรัก ขอบคุณความหวังดี
และฉันขอบคุณวันนี้ ขอบคุณที่มีเธอ..
วันนั้น วันที่เธอไม่เหินห่าง วันที่เธอเคียงข้าง
ฉันนั้นอยากขอบคุณเธอเสมอ
ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่อยู่ข้างกัน
ขอบคุณความสัมพันธ์ที่ทำให้ฉันได้มีวันนี้
ขอบคุณในความรัก ขอบคุณความหวังดี
และฉันขอโทษตรงนี้ ขอโทษที่ทำร้ายเธอ
ฉันอยากบอกเธอวันนี้ ฉันเองก็รักเธอ
“ และนี่ก็เป็นเพลงของหนุ่มธีที่ตั้งใจแต่งและร้องให้ใครบางคนนะครับ และไม่รู้เหมือนกันว่าใครคนนั้นเป็นใคร แต่ถ้าคุณรู้ตัวคุณคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดนะครับ” เสียงดีเจพูดจบหน้าของเพื่อนผมที่นั่งอยู่เบาะหลังยิ้มจนแทบแก้มปริ
“ เพราะดีแกว่ามั้ย” เธอคงเก็บความรู้สึกไม่เป็นเลยพูดออกมา ตอนที่เพลงเปิดตอนแรกผมเห็นว่ามือของพี่มาร์คกระตุกอยากเอื้อมมาปิดอยู่
“ พี่ว่าก็เฉยๆนะ” พี่มาร์คว่า
“ เฉยๆอะไรกันพี่ เพราะจะตายแต่ใครกันนะจะเป็นผู้โชคดีคนนั้น”
“ จะใครกันล่ะ นางเอกในเรื่องน่ะสิ แกรู้ไว้ด้วยเขาก็โปรโมทเกินจริงเรียกกระแสเพลงแล้วก็กระแสหนังไปอย่างนั้นแหละ”
“ พูดแบบนี้แกอิจฉาคนนั้นใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ แกหุบปากบ้างก็ได้นะ” ผมเอื้อมมือไปปิดวิทยุลง “ เดี๋ยวจอดตรงนี้ก็ได้ครับ”
“ แกไม่คิดจะชวนพี่เขาลงไปดื่มน้ำดื่มท่าหน่อยเหรอวะพี่เขาอุตส่าห์มาส่ง”
“ ไม่เป็นไรครับ แค่ให้พี่มาส่งพี่ก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว” พี่มาร์คส่งยิ้มมาให้ก่อนที่เราสองคนจะเดินลงมาที่หน้าคอนโด”
รถของพี่มาร์คขับออกไปจนสุดสายตาก่อนที่ผมจะหันมาทางเพื่อนจอมชงคนนี้ มันยืนยิ้มเหมือนกับว่าทำภารกิจสำเร็จ
“ ดี๊ดีเนอะ”
“ ดีอะไรของแก”
“ พี่มาร์คเขาหึงแกด้วยว่ะ”
“ แกพูดเพ้ออะไรของแกเนี่ย”
“ อย่าบอกนะว่าแกไม่เห็นตอนที่ฉันเปิดเพลงของพี่ธีพี่แกนี่หน้าตึงเชียว แต่พี่เขาก็เก่งนะ ปรับสีหน้าได้เร็วเชียว ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร”
“ แล้วแกจะให้เขามารู้สึกอะไรล่ะ”
“ แกยอมรับความจริงได้แล้วและก็เตรียมพร้อมได้เลย พี่มาร์คเขาไปปล่อยแกแน่”
“ แกพูดอะไรของแกวะ” ผมถามกลับเพราะเพื่อนผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มากเกินไปแล้ว
“ ก็ตอนที่แกเดินออกมาจากร้านพี่มาร์คเขาถามฉันว่า แกกับพี่ธีเป็นอะไรกันหรือเปล่า”
“ แล้วแกตอบไปว่าอะไร” มันทำหน้านิ่งราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ “ ถ้าไม่เล่าให้ฟังก็ไม่ต้องเล่า” ผมทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในคอนโด
“ ฉันบอกไปว่าแกเคยอกหักจากพี่ธีแล้วก็ยังลืมพี่เขาไม่ได้”
คำพูดของสุทำให้ตัวผมชาไปทั้งตัว ขาของผมก้าวไปข้างหน้าไม่ออกที่ท้องของผมเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยบินว่อนเต็มไปหมดก่อนที่ทุกอย่างจะมาแทนที่ด้วยอารมณ์โกรธ
“ แกไปบอกพี่เขาแบบนั้นทำไมวะ” ผมหันว่าต่อว่าด้วยความโกรธจนผู้คนแถวนั้นหันมามอง
“ แกจะโกรธทำไมวะ แบบนี้ดีแล้วพี่เขาจะได้จีบแกอย่างเต็มที่สักที อีกอย่างฉันไม่อยากให้แกจมอยู่กับอดีตที่ทำให้ตัวแกเจ็บปวด ฉันอยากให้แกเปิดใจให้คนใหม่ซักที”
คำพูดของสุทำให้ผมต้องกลับมานอนก่ายหน้าผากมองเพดานที่ว่างเปล่ากับความรู้สึกที่เรียกได้ว่าสับสน ผมสับสนว่าที่ผมแก้แค้นพี่ธีอยู่ตอนนี้ผมมีความสุขจริงๆหรือเปล่า การที่ที่เขามาขอโทษผมในวันนี้ การที่เขาพยายามทำดีกับผมผมอยากรู้ว่าพี่เขาต้องการอะไรกันแน่
และความรู้สึกที่พี่มาร์คมีให้กับผมอีก ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกครับ ถ้าย้อนกลับไปตอนสมัยที่ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมจะเห็นผู้ชายผิวขาว กับรูปร่างที่ใหญ่โตคอยตามดูแลผมจนมีคนมาบอกกับผมว่าพี่เขาตามจีบผมอยู่ วันนั้นผมเลยถามพี่เขาไปตรงๆว่า
พี่จีบผมเหรอ
ไม่รู้ว่าการที่ผมถามไปแบบนั้น ผมทำอะไรให้พี่เขาโกรธอะไรผมหรือเปล่า แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เจอกับพี่มาร์คอีกเลย หรือถ้าเจอพี่แกก็จะพยายามที่จะเลี่ยงไม่เดินมาหาผมตรงๆและตอนนั้นผมเองก็กำลังวุ่นๆเรื่องที่บ้านเพราะแม่จะมาเปิดร้านที่ในเมือง เลยทำให้ผมปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไป แต่มาวันนี้พี่มาร์คกลับเข้ามาในชีวิต ผมยอมรับนะครับว่าผมรู้สึกดีช่วงเวลาที่อยู่กับพี่มาร์คบางครั้งมันทำให้ผมลืม ลืมไปเลยว่าผมเคยรักพี่ธี
ผมถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยก่อนจะเอื้อมไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คที่วางอยู่ตรงโคมไฟที่หัวเตียงขึ้นมาก่อนจะเปิดมันขึ้น ผมเปิดเข้าไปที่เพจที่ผมสร้างไว้
แอนตี้ไวรัสธี
ในเพจวันนี้มีคนส่งภาพตัวผมเองที่ไปซื้อของ ในรูปคือเหตุการณ์ในวันนี้ และใต้โพสต์ที่ผมเคยพิมพ์ค้างไว้ว่า
ใครเจออะไรเด็ดๆมาเล่าได้นะ
มีคนเมาท์กันให้สนั่นเลยว่า ผมคือแฟนใหม่ของพี่ธีและคนก็ทำการขุดรูปเก่าๆของผมขึ้นมาและวิจารณ์อย่างสนุกปาก
สุภาพ มีสุข : เนี่ยน่ะเหรอแฟนใหม่ของไอ้หน้าลิง อี๋ หน้าตาก็อย่างงั้นๆ วันก่อนนะฉันเห็นอีเด็กเนี่ยไปคั่วผู้ชายแถวสีลมแล้วรูดๆๆๆๆๆเธอจ๋า พูดแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมได้ไอ้หน้าลิงคนนี้
วนิดา นาเวียร่า : จริงเหรอ @สุภาพ มีสุข ว่าแล้วเชียวผีเน่ากับโลงผุแท้ๆ
Chatchario : ถ้าเป็นตามที่เม้นบนพูดจริงๆ แสดงว่าเจมส์ของก็เป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ล่ะสิ
ผมนั่งไล่อ่านๆๆและอ่านต่อไปเรื่อยๆมีแต่คนเม้นด่าผม ราวกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากเม้นแรกเป็นเรื่องจริง บ้างบอกผมว่าเป็นเด็กขาย บ้างบอกว่าผมโดนพี่ธีเก็บแต้ม นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ผมเป็นเหยื่อที่กำลังโดนลูกเพจตัวเองขย้ำอย่างนั้นเหรอ
แอนตี้ไวรัสธี : มาตอบครับ คนในรูปเป็นผู้ช่วยของพี่บีและเป็นคนดูแลไวรัสธีชั่วคราว อย่าลากเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยครับ
วนิดา นาเวียร่า :เย้ๆๆๆมาตอบแล้ว อันนี้ข่าวชัวร์หรือมั่วนิ่มคะ แล้วที่ @สุภาพ มีสุข บอกนี่เรื่องจริงหรือเปล่าคะ
สุภาพ มีสุข : มาตอบสักที นึกว่าจะหายไปละ แต่การมาตอบครั้งนี้แปลกๆจังทำไมดูเข้าข้างคนในรูปจังเลย ช่างมันเถอะแต่ฉันยังยืนยันคำเดิมค่ะว่า เด็กในรูปมันมั่วมากกกกกอไก่ล้านตัวไปเลย
Chatchario : อย่างที่ @สุภาพ มีสุข ว่าเลยค่ะ ไม่มีมูลหมาไม่ขี้หรอกเรื่องแบบนี้ อาจจะเป็นผู้ช่วยของพี่บีจริง แต่นางต้องใช้วิธีอะไรสักอย่างให้ได้มาดูแล อ๋อคิดออกแล้วหรือว่าไอ้ไวรัสธีจะเนรคุณฉีกสัญญากับพี่บีแล้วไปให้เด็กนี่ดูแลเอง
สุภาพ มีสุข : เป็นไปได้สูงมาก
เท่านั้นแหละครับใครจะไปรู้ว่าการที่ผมเข้าไปคอมเม้นแก้ข่าวให้กับตัวเองมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งแบบนี้ คอมเม้นแท็กเรียกเพื่อนของตัวเองให้เข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเลือกที่ปิดเสียงการแจ้งเตือนลงแล้วเอาคอมกลับไปวางเก็บที่เดิม
ไลน์
ไลน์
เสียงจากโทรศัพท์มือถือของผมดังสองครั้ง ใครกันนะที่ส่งข้อความมาหาผม เพราะปกติคนที่จะติดต่อกับผมทางไลน์มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเพราะส่วนใหญ่ผมจะชอบติดต่อโดยการโทรหาโดยตรงเท่านั้น
THEEMA
มาร์ค
คนที่ส่งข้อความมาคือสองคนนี้ครับ ผมนั่งจ้องมันอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจกดเข้าไปอ่าน
THEEMA : ขอโทษนะที่วันนี้ทำให้เดือดร้อน
ตาหนูเบียร์ : เรื่องไร
ผมตอบกลับพี่ธีกลับไปก่อนจะกดย้อนกลับไปอ่านข้อความที่พี่มาร์คส่งมา
มาร์ค : ทำอะไรอยู่ครับ
ตาหนูเบียร์ : กำลังจะอาบน้ำครับ
พอผมตอบกลับพี่มาร์คไปโทรศัพท์ผมก็แจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา พี่ธีส่งรูปที่แคปมาจากเพจแอนตี้ไวรัสธีของผม
THEEMA : อย่าไปคิดมากนะ มีแต่เรารู้ตัวเรามากที่สุด
ตาหนูเบียร์ : เออ จะพูดแค่นี้ใช่มั้ย
เสียงไลน์จากอีกช่องแชทหนึ่งตอบกลับมาแต่ผมกลับสนใจในช่องแชทนี้มากกว่า
ตาหนูเบียร์ : ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะไม่ต้องทักมาอีก
ถึงแม้ว่าตัวผมจะพิมพ์ไปอย่างนั้นแต่สายตาของผมก็จับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของตน พอข้อความที่ผมส่งไปขึ้นแสดงว่าอ่านแล้ว ผมก็ได้แต่รอ รอ และรอว่าเขาจะตอบกลับมา แต่ก็ไม่มีข้อความใดๆส่งกลับมา ผมเลยเลือกที่จะกลับไปดูอีกช่องแชทหนึ่งส่งกลับมา
มาร์ค: ถ้าสระผมก็อย่าลืมเช็ดผมให้แห้งนะ พี่ไม่กวนแล้ว ฝันดีครับ
ข้อความนั้นทำให้ผมรู้สึกสำนึกขึ้นมาในทันที ผมควรจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้เพราะว่า ผมจะมารักคนที่ไม่รักผมและให้ความหวังคนที่รักผมไม่ได้อีกแล้ว
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลผ่านล้างกาย ความเย็นของน้ำและเสียงเมื่อน้ำกระทบพื้นมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง ผมใช้เวลายืนอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้ๆค่าน้ำเดือนนี้ขึ้นแน่ๆ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จลง เสียงประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมก้าวไปเปิดอย่างรวดเร็ว สุที่ยืนอยู่ในชุดสีชมพูลายแมวสีขาวยืนใส่แว่นจ้องมองมาที่ผม
“ เป็นไงบ้างพี่ธีหรือพี่มาร์คทักแกมาบ้างหรือเปล่า”
“ แกรู้ได้ยังไง”
“ ก็ ฉันแคปรูปจากในเพจส่งไปให้ทั้งสองคนดู” เธอตอบพร้อมกับหลบตาต่ำลง “ แกอย่าโกรธฉันนะฉันแค่อยากให้แก
เลือกคนที่เหมาะกับแกที่สุด และถ้าให้เดานะคนที่ทักแกมาก่อนคือพี่มาร์คใช่หรือเปล่า”
“ อือ” ผมพยักหน้าเป็นตอบ “ เข้ามานั่งข้างในก่อนมาดูแล้วเราจะได้คุยกันเรื่องนี้อีกยาว”
สุเดินตามผมเข้ามาในห้องอย่างว่าง่าย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสำนึกผิดแต่ก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างมีความสุขในความผิดที่ตัวเองได้ทำ ผมเก่งไหมล่ะครับ เรียนการแสดงมาก็งี้แหละ
“ คือฉัน”
“ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเหมือนกัน แต่บอกตรงๆฉันไม่ชอบวิธีที่แกทำเท่าไหร่เลยว่ะ แกทำแบบนี้มันกำลังทำให้เรื่องมันแย่ลงหรือเปล่าวะ มันเหมือนแกกำลังพยายามเอาตัวฉันยัดเข้าไปในชีวิตของใครก็ไม่รู้ ฉันกลัวว่าการที่แกทำแบบนี้มันจะเป็นการให้ความหวังพี่มาร์คหรือเปล่า”
“ แกพูดแบบนี้แสดงว่าแกจะเลือกพี่ธี” สุพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ แกจะเลือกคนที่ทำร้ายแก ไม่สนใจแก และเลือกคนที่แกพยายามลืมเนี่ยนะ ฉันพูดตรงๆเลยนะมันไม่แฟร์ว่ะ ฉันเชียร์พี่มาร์ค ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นแฟนคลับพี่ธีก็เถอะแต่เรื่องส่วนตัวแกฉันจะ
ขออยู่ทีมพี่มาร์ค”
“ มันไม่ใช่แบบนั้น ใช่ฉันยอมรับว่าฉันยังรักพี่ธีอยู่ถึงแม้ว่ามันจะลดลงทุกที แต่ยังไงล่ะ แกจะให้ฉันไปคบพี่มาร์คเพื่อลืมพี่ธีเนี่ยนะ มันไม่แฟร์สำหรับพี่มาร์คเลย”
“ แกมัวแต่ห่วงว่ามันจะแฟร์ไม่แฟร์อยู่นั่นแหละ แกควรให้โอกาสหัวใจตัวเองเปิดใจให้กับคนที่เขารักเราบ้างนะเผื่อเขาจะเข้ามาช่วยแกรักษาแผลเก่าได้บ้าง แกดูสิฉันส่งข้อความไปหาทั้งสองคนคนที่ส่งข้อความกลับมาหาแกมีแต่พี่มาร์คคนเดียว”
“ พี่ธีก็ส่งมา”
“ ว่าไงนะ” เธอทำตาโตด้วยความตกใจ
“ พี่มาร์คไม่พูดถึงเรื่องในเพจเลยด้วยซ้ำแต่พี่ธีเขาส่งข้อความมาขอโทษ” ผมยกโทรศัพท์ให้สุดู “ ฉันไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่ห่วงฉัน ข้อความมันไม่สามารถบอกอารมณ์ได้หรอกนะเว้ย”
“ แกจะเอายังไง แกจะเลือกใครล่ะ เลือกคนที่แกแอบรักมานานหรือเลือกคนที่กำลังรักแก และทำดีกับแก” สุสร้างทางเลือกให้
“ เอาอย่างนี้ ฉันจะลองทำดีกับพี่ธี ตามที่พี่เขาขอและหลังจากกลับมาจากเชียงใหม่ฉันจะให้คำตอบ” ผมตอบกลับไป “ และช่วงนี้ฉันคงต้องห่างๆจากพี่มาร์ค”
“ ไม่แฟร์เลย ทำไมแกเปิดใจให้พี่ธีมากกว่าพี่มาร์ค”
“ แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”
“ ฉันอยากให้แกลองสนิทกับพี่มาร์คจนกว่าแกจะไปเชียงใหม่กับพี่ธี แกจะได้รู้สักทีว่าพี่เขารักแก แล้วฉันเชื่อว่าแกจะรักพี่เขาเหมือนกัน”
“ ทำไมการรักใครสักคนมันยากจังวะ ยากทั้งจะทำให้รักยากทั้งทำให้ลืม”
“ อย่าคิดมาก ฉันไปนอนแล้ว”
สุโบกมือล่ำลาก่อนที่จะเดือนออกจากห้องไปแถมยังปิดไฟให้ผมเตรียมนอนอีก ผมได้แต่นอนมองรูปที่วางอยู่ตรงหัวเตียง ผมจะทำยังไง ผมไม่มีความรู้สึกรักจะมาเติมให้พี่ธีแล้ว ผมเหนื่อย หรือผมจะเลือกที่จะเทความรักของพี่ธีทิ้งแล้วเติมความรักครั้งใหม่ของพี่มาร์คลงไปดี
มาต่อกันนะ #loveis #เติมรัก
-
ทำไมสุชอบบังคับจังเลย เบียร์ยังไม่อยากคบกับใคร หรือมีเบื้องหลังที่เบียร์ยังไม่รู้ :hao4:
-
5
{THEEMA PART}
หลังจากเดินออกมาจากร้านผมพยายามที่จะหันไปมองแต่คนที่เดินนำหน้าผมไปคว้ามือของผมเดินไปอย่างรวดเร็วเจมส์ไม่แม้ที่จะหันกลับมามองด้านหลังเลย เขาเดินฝ่าผู้คนไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาหยุดลงที่หน้าลิฟท์ที่เป็นลิฟท์เฉพาะเจ้าหน้าที่ของทางห้างซึ่งมียามยืนรออยู่ ผมลืมไปว่าห้างนี้พ่อของเจมส์เป็นหุ้นส่วนอยู่ได้ ไม่แปลกที่เขาจะได้รับการช่วยเหลือเรื่องทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี
เมื่อลิฟท์เปิดออกรถมินิคูเปอร์สีขาวก็มาจอดเทียบทันที คนขับรถหน้าตาดุดันเอากุญแจมาส่งให้กับเจมส์ เขาเดินไปเปิดประตูขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ทำตาม เพราะผมได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์มาจากด้านหลังของเสาไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง
เมื่อขับรถพ้นเขตห้างสรรพสินค้าออกมาผมถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมทั้งเอื้อมมือไปเร่งแอร์ที่อยู่ด้านหน้าให้มีความเย็นมากขึ้น
เจมส์ขับรถเลี่ยงออกไปนอกเมือง ซึ่งไม่ใช่ทางที่จะพาผมกลับไปที่บ้าน เขาขับไปโดยไม่พูดอะไรผมเองก็เช่นกันจนกระทั่งรถมาจอดตรงบริเวณทุ่งหญ้ากว้างๆแต่มีรถขับไปมาอย่างไม่ขาด ใบหน้านิ่งๆของเขาหันมาทางผม
“ พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย” ผมถามด้วยเสียงนิ่งๆ “ ผมบอกพี่แล้วใช่หรือเปล่าว่าถ้าพี่จะกลับไปคืนดีกับเบียร์ พี่ควรใจเย็นกว่านี้ไม่ใช่ทำลุ่มล่าม ถ้าเป็นข่าวออกไปจะทำยังไง”
“ คือฉัน” ผมพยายามจะเถียงกลับแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อใบหน้านิ่งๆนั้นมองมาทางผม “ ฉันขอโทษ แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไง”
เขาก้มลงไปกดโทรศัพท์แล้วยื่นมันมาทางผม ในนั้นมีภาพรถของผมที่ขับมาที่ห้างแห่งนี้ และเป็นภาพของเบียร์ที่เดินออกมาจากร้านอาหาร
“ มีคนกำลังจับตามองพี่อยู่” เจมส์เตือน “ พี่จะทำอะไรพี่ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ ยิ่งตอนนี้พี่กำลังจะมีหนังใหม่ พี่เองก็น่าจะรู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ”
“ ขอบคุณแกมากนะเว้ยที่วันนี้มาช่วยฉันทันไม่อย่างนั้น”
“ ไม่อย่างนั้นพี่คงเละแน่ เพราะดูแล้วเบียร์ยังคงเกลียดพี่เข้าไส้จริงๆแล้วล่ะ อีกอย่างคู่แข่งพี่เองก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น ใบหน้าที่ยิ้มๆของพี่มาร์คผมว่ามันน่ากลัวแปลกๆ”
“ แต่เบียร์ก็แพ้รอยยิ้มนั้น”
“ อะไรกัน พี่ชายผมจะมาถอดใจแบบนี้ได้ยังไง ใครกันนะที่กลับมาจากโรงเรียนวันนั้นก็แวะมาหาผมที่บ้านก่อน แล้วบอกว่า
เสียใจสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ แกเงียบไปเลย” ผมยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้า
ใช่ครับ พ่อของผมกับเจมส์สนิทกันถึงแม้ว่าเราจะอายุต่างกันไม่มากแต่ผมเป็นลูกคนเดียว หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่กับพ่อเจมส์ก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมจนผมคิดว่าเขาเป็นน้องชายอีกคนเสียแล้ว มันจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้เรื่องของผมมากกว่าคนอื่น
“ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเวลาที่พี่เจอหน้าเบียร์ พี่จะพูดดีๆไม่ได้เลยเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกซีรี่ส์ที่เล่นอยู่หรือไงที่จะคิดว่าการเรียกร้องความสนใจแบบนี้จะทำให้เขากลับมาสนใจน่ะ”
“ ก็คนมัน”
“ ก็คนมันกลัวเสียฟอร์มใช่มั้ยล่ะ” เจมส์พูด
“ เออๆจะอะไรก็ช่าง แล้วแกขับรถพาฉันมาที่นี่ทำไม” ผมถามเพราะตรงจุดที่เราจอดเป็นบริเวณชานเมืองที่ดูแล้วเราสองคนไม่น่าจะต้องมีธุระอะไรแถวนี้ จะมาทำงานก็ไม่ใช่เพราะวันนี้คิวผมกับเจมส์ว่างเพราะมีโฆษณาเลื่อนถ่ายออกไป
“ ผมให้คนของพ่อขับรถพี่ไปที่อื่นให้นักข่าวตามไปก่อน ส่วนพี่ผมแค่อยากให้ออกมาดูอากาศนอกเมืองบ้างจะได้ใจเย็นๆมีความคิดดีๆบ้างไม่ใช่บุ่มบ่ามอย่างวันนี้”
“ มากไปละ”
“ ไม่มากไปหรอก ยิ่งพี่ทำอย่างวันนี้พี่กำลังตัดแต้มตัวเองอยู่ และพี่กำลังเพิ่มแต้มให้กับคู่แข่งของพี่ เชื่อผมสิผมมองเกมส์นี้ออก พี่แพ้ชัวร์” มันยักคิ้วให้ผมสองที
“ ปากดีจังวะ ทำไมไม่พูดดีๆนิ่งๆเหมือนคุยกับคนอื่นบ้าง”
“ แล้วพี่ทำไมไม่ทำตัวเท่ๆกับผมเหมือนเวลาอยู่กับคนอื่นบ้างล่ะ ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ไงผมเลยต้องมาเป็นกามเทพให้พี่”
“ เก่งเหลือเกินนะ เก่งแต่ไม่มีแฟน”
“ ผมว่าความรักของผมแค่มองคนที่ผมรักมีความสุขก็พอแล้ว” มันส่งยิ้มมา “ ไงหล่อใช่ไหมล่ะ”
“ เออ แล้วจะกลับยัง” ผมยังไม่ทันที่จะพูดจบเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
สุแสนสน
ไลน์ของเพื่อนเบียร์ส่งรูปบางอย่างมาให้ผม พอผมกดเข้าไปดูก็พบว่าในรูปเป็นรูปในเพจแอนตี้ไวรัสธี ซึ่งผมไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่ครั้งนี้คงไม่ใส่ใจไม่ได้เพราะเบียร์กำลังกลายเป็นเหยื่อให้ลูกเพจนี้รุมจิกัดอยู่ ข้อความสาดเสียเทเสียมุ่งด่ามาที่น้องมันคนเดียว ถึงแม้ว่าเจ้าของเพจจะออกมาแก้ต่างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
“ มีอะไรหรือเปล่าพี่” ผมยื่นโทรศัพท์กลับไปให้เจมส์ดูเป็นคำตอบ “ เดี๋ยวเรื่องก็เงียบพี่ ถ้าเราหาคนที่เป็นเจ้าของเพจเจอ เราจะขอให้เขาปิดเพจนี้ไปซะ”
“ อืม ฉันว่าฉันใจเย็นมามากพอแล้ว”
ผมถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจพิมข้อความกลับไปหาเบียร์ เพราะผมเชื่อว่าถ้าเพื่อนของเบียร์รู้เจ้าตัวก็ต้องรู้แล้วอย่างแน่นอน นิสัยเด็กคนนั้นยิ่งเหมือนเด็กอยู่ป่านนี้คงนอยด์หรือหัวร้อนอยู่แล้วล่ะมั้ง
THEEMA : ขอโทษนะที่วันนี้ทำให้เดือดร้อน
ผมตัดสินใจส่งไปพร้อมกับหลับตาปี๋ แล้วค่อยๆเปิดตาออกว่าคนที่ผมส่งถึงอ่านหรือยังและทันทีที่ขึ้นว่าอ่านแล้ว หีวใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นเพราะว่าลุ้นเสียเหลือเกินว่าเขาจะตอบกลับมาไหม
ตาหนูเบียร์ : เรื่องไร
ผมกระโดดลอยจากเบาะ จนรถของเจมส์สั่นไปทั้งคน ที่ท้องผมเหมือนมีผีเสื้อนับพันตัวมันมาบินเล่นอยู่
“ ต้องดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ” ไม่พูดเปล่าจินยิงดึงมือถือของผมไปจากมือเพื่ออ่านข้อความ พอเขาเห็นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกโต “ ตอบแค่นี้ มันตอบตามมารยาทป่ะ”
“ ยุ่งน่า” ผมดึงมันกลับมาผมกดส่งรูปที่สุส่งมาให้ผมส่งกลับไปหาเบียร์ๆ
THEEMA : อย่าไปคิดมากนะ มีแต่เรารู้ตัวเรามากที่สุด
จริงๆผมอยากใส่สติ้กเก้อแบ้วๆไปให้กกลัวโดนด่าว่าไม่จริงใจ ผมเลยเลือกที่จะกดส่งไปแค่เท่านี้
ตาหนูเบียร์ : เออ จะพูดแค่นี้ใช่มั้ย
ตาหนูเบียร์ : ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะไม่ต้องทักมาอีก
การที่ตัวเล็กของผมพิมพ์ตอบกลับมาแบบนี้ ทำให้ผมไม่กล้าที่จะพิมพ์ตอบกลับไปแล้วล่ะครับ ผมกลัวว่าเขาจะรำคานและบล็อกผมไปเสียก่อน
“ ไงหงอยเลย ไปไหนๆก็ว่าแล้วไปหายอะไรเย็นๆดื่นกันค่อยกลับแล้วกันพรุ่งนี้มีถ่ายงานตั้งเที่ยง” เจมส์พูดพร้อมกับขับรถออกไปจากจุดที่จอดอยู่ เป็นเวลาเดียวกันกับแสงอาทิตย์ลาลับไปจากขอบฟ้าและมีความมืดเข้ามาแทนที่แล้ว
{BEER PART}
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงของผมดังปลุกก็เป็นเวลาเกือบสิบโมง วันนี้ผมต้องไปดูแลพี่ธีกับเจมส์ถ่ายงานโฆษณาเพราะพี่บียังไม่กลับจากการพาเด็กใหม่ไปทำหน้าที่เกาหลี ซึ่งคนที่มารับผมวันนี้คือพี่มาร์ค เหตุผลนี้มันยิ่งทำให้ผมไม่อยากที่จะลุกออกจากเตียงเลย แต่ทำยังไงได้ผมไม่มีทางที่จะหนีความจริงพ้นไปได้หรอกยังไงผมก็ต้องเจอพี่เขาอยู่ดี รวมถึงพี่ธีด้วย
วันนี้ผมเลือกใส่เสื้อผ้าสีทำทั้งชุดเป็นการไว้อาลัยให้กับเรื่องราวความซวยในชีวิตของผม มีอย่างเดียวในร่างกายที่มีสีสันคือตาของผมที่แดงอย่างเห็นได้ชัดผมไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับผมแค่นอนน้อยแล้วตามันแห้งเลยแดงเหมือนจะอักเสบ ผมเลยเลือกที่จะใส่แว่นสีชากันแดดเพื่อปกปิดมันเอาไว้
ผมใช้เวลาจัดการตัวเองนานพอสมควร จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น พี่มาร์คส่งข้อความมาว่าตอนนี้ใกล้จะถึงแล้วให้รีบลงมารอเลย
และทันทีที่ผมก้าวพ้นจากประตูด้านหน้าคอนโดนรถสีขาวก็มาจอดเทียบอย่างรวดเร็ว ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งพี่มาร์คส่งยิ้มมาให้ พี่เขาใส่เสื้อสีขาวกางเกงสีครีมที่คลุมด้วยสีเขียวพาสเทลอย่างเข้ากันดีและคุมโทน
“ ทานอะไรหรือยัง พี่มีแซนวิชกับนมนะ เดี๋ยวเป็นลมแบบวันนั้นอีกนะ”
“ ขอบคุณครับ” ผมเอื้อมไปหยิบขนมที่วางอยู่ด้านหลังมางับเข้าปากอย่างว่าง่าย วันนี้ผมจะลองเปิดใจให้กับพี่มาร์คอย่างเต็มที่อย่างที่สุแนะนำ “ อร่อยจังพี่ซื้อมาจากที่ไหนเหรอครับ”
“ พี่ทำเอง ซอสที่ใช้ทาพี่ก็ทำเองนะ อร่อยเหรอเดี๋ยววันหลังพี่ทำมาให้อีก” เขาทำท่าทางดีใจ
“ อร่อยครับ แต่วันหลังอย่าเลยรบกวนพี่เปล่าๆ เดี๋ยวผมจะลองทำมาให้พี่ชิมบ้างดีกว่า” ผมส่งยิ้มตอบกลับไปก่อนจะกอดแซนวิชเข้าปากไปจนคำโต
“ เบียร์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”
“ ทำได้บ้างครับ เมนูง่ายๆ แม่ของผมสอนไว้ แต่ไม่รู้จะอร่อยสำหรับคนอื่นหรือเปล่า แต่สำหรับผมมันใช้กินกันตายได้เลยล่ะ”
“ พูดแบบนี้พี่ชักอยากจะลองแล้วล่ะสิ”
“ ได้ครับวันหลังก่อนเดี๋ยวผมจะลองทำมาให้ชิมนะครับ”
“ ไม่ท้องเสียนะ” พี่เขาหัวเราะออกมาจนทำให้ผมรู้สึกยิ้มตามไปในทันที
“ ต้องลองครับ”
เราสองคนหัวเราะกันแล้วคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ พี่มาร์คไม่เอยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวานเลยแม้แต่น้อยนั้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกดีขึ้นมามากพอสมควร พี่เขาชวนผมคุยแล้วพาให้ผมมีความสุข ไปได้จนถึงสตูดิโอ พี่มาร์คเอาชาเขียวหวานน้อยที่ผมต้องเอาไปให้พี่ธีมาทางผม
“ อ่ะ เอาไปให้หมอนั่นจะได้ไม่มากวนใจเราแต่เช้า เดี๋ยวพี่ไปดูเจมส์เอง”
“ แล้วทำไมพี่ไม่เอาไปให้พี่ธีล่ะครับ” ผมถามอย่างงงๆเพราะเราสองคนมาช่วยกันดูและทั้งเจมส์และพี่ธี
“ ไม่ดีกว่าดูแล้วหมอนั่นคงไม่ชอบพี่เท่าไหร่ ไม่อยากทำให้เบียร์ไม่สบายใจ พี่ไปก่อนนะ” พี่มาร์คพูดจบก็ส่งยิ้มมาให้ก่อน
จะเดินออกไปดูพี่เจมส์ที่กำลังยินบรีฟงานอยู่
ผมเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของพี่ธี พี่เขากำลังนั่งคุยกับช่างแต่งหน้าอย่างอารมณ์ดี ผู้ชายในชุดสีดำที่แต่งหน้าจนเข้มทำให้เขาดูดีขึ้นมาไม่น้อย แล้วก็เหมาะกับคาแร็กเตอร์ของพี่เขาดี เพราะดูเลวอย่างเห็นได้ชัด ผมหัวเราะกับความคิดตัวเองก่อนจะเดินเอาชาเขียวไปวางบนโต๊ะหน้ากระจก
“ ชาเขียวหวานน้อย ครับ”
“ เป็นไงบ้าง” เขาพยักหน้าให้กับช่างแต่งหน้าที่กำลังมองผมที่กำลังเข้ามาใหม่ก่อนที่พี่ช่างแต่งหน้าจะเดินออกไปจากห้อง
“ สบายดี” ผมตอบไปพร้อมกับหยิบตารางงานออกมา “ เดี๋ยวถ่ายแบบเซตนี้เสร็จประมาณเที่ยง ซึ่งดูแล้วน่าจะเสร็จเร็วกว่าปกติ เรามีเวลาสองชั่วโมง กับการไปเตรียมงานเดินแบบที่เซ็นทรัลเวิลด์ งานนี้พี่จะต้องให้สัมภาษณ์เรื่องหนังแต่พี่บีบอกว่าเรื่องส่วนตัวห้ามตอบ เพราะว่าเขาอยากให้หนังดังและมีคนสนใจเรื่องหนังก่อนเท่านั้น ส่วนเรื่องข่าวให้พี่ไปสัมภาษณ์งานเย็นที่เป็นงานเปิดตัวโทรศัพท์มือถือ อ่อแล้วอาหารผมสั่งให้แล้วนะครับ ทุกอย่างไม่ใส่พริก ส่วนมื้อเย็นจะให้สั่งให้เลยหรือเปล่า แต่พี่ต้องคุมน้ำหนัก ซึ่งพี่บีอนุญาตให้เป็นพวกสลัดหรืออะไรเบาๆเท่านั้น งานกลางคืนไม่มีครับ”
“ อืม ฉันรู้บ้างแล้วล่ะ มีอะไรที่เบียร์ทำเองบ้างหรือเปล่า หรือพี่บีสั่งมาหมด”
“ ครับ เอ่อ”
“ เราพูดกันดีๆได้แล้วใช่หรือเปล่า” พี่เขาขยับตัวมาใกล้ผม
“ ไม่อยากมาชวนทะเลาะให้เสียงาน เพราะฉะนั้นเราควรคุยกันเรื่องงานนะครับ” ผมตอบกลับพร้อมทั้งขยับถอยหลังจนหลังไปชนกับโต๊ะที่ใช้แต่งหน้า “ พี่เองก็ควรอยู่ในพื้นที่ของพี่ด้วย” จะมาหน้าแดงอะไรตอนนี้เนี่ย ผมพยายามไม่จ้องหน้าคนที่กำลังยิ้มร่าตรงหน้า
“ ครับ” พี่ธียอมถอยออกไป “ มื้อเย็นพี่ขอเป็นสลัดก็ได้ แต่ขอใส่ชีสนิดนึงได้หรือเปล่า พี่ห่างหายชีสไปนอนแล้วนะ”
“ ได้ครับ แต่พี่ต้องไปวิ่งสักสองสามชั่วโมงก่อนกลับไปนอนนะครับ”
“ อืมไม่ใส่แล้วกัน” พี่ธีลุกจากเก้าอี้ไปอย่างอ่อนใจ “ แต่ผมสั่งผักโขมอบชีสให้ตอนกลางวันนะครับ เพราะเห็นว่าทำงานหนักน่าจะเผาผลาญได้หมด”
“ จริงเหรอ” พี่เขาส่งยิ้มมาให้เหมือนกับว่าเป็นเด็กได้ของเล่น “ ขอบคุณนะ” เขาพูดสั้นๆก่อนจะเดินออกไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พี่มาร์คเดินสวนเข้ามา
“ มีอะไรหรือเปล่า”
“ ไม่มีครับ ว่าแต่งานเป็นไงบ้างครับ”
“ ดีนะ เห็นว่าน่าจะเสร็จเร็วเพราะรูปเดี่ยวของเจมส์เก็บเสร็จเกือบหมดแล้ว สองคนนั้นมาถึงไวกว่าเราอีกนะ” พี่มาร์คพูด
พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ “ ถ้าพี่บีรู้ว่าเรามาสายกว่าละก็” พี่แกทำหน้าเหมือนโดนมีดแทง
“ เอาน่าพี่ เรามาตามนัดนะ ไม่ได้สายสักหน่อย” ผมปลอบเพราะรู้ว่าพี่มาร์คกลัวพี่บีมาก “ เดี๋ยวเสร็จงานนี้พี่จะกินไรดีครับ ผมสั่งของสองคนนั้นไปแล้ว”
“ พี่เอาเหมือนเบียร์ก็ได้”
“ แน่ใจนะ ไม่ใช่มาสั่งเหมือนผมแล้วกินไม่ได้ล่ะก็”
“ พี่ทานได้หมดแหละครับ” พี่แกส่งยิ้มมาให้เหมือนอย่างเคย “ แต่ขอไม่ใช่อะไรเผ็ดๆมากก็พอครับส้มตำเมื่อวานยังเข็ดไม่หายเลย”
“ ครับ” ผมหัวเราะกับใบหน้าของพี่มาร์คที่ดูจะเข็ดกับอาหารโปรดของผม “ อย่างนั้นเอาเป็นสปาเกตตี้ผัดขี้เมาทะเลไม่เผ็ดนะครับ”
“ โอเค”
เราสองคนพูดคุยกันสักพักก่อนจะเดินไปหาพี่ทีมงานเพื่อคุยเรื่องเวลา และตรวจสอบชุดและรูปถ่ายว่าตรงกับที่บรีฟกับเราไว้หรือเปล่า มีอะไรที่เกินเลยมากเกินไปหรือไม่ ก่อนจะพาสองคนนั้นกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวเพื่อกลับเป็นชุดเดิม
คนขับรถของพี่เจมส์เป็นคนเอารถกลับไปแล้วสองคนนั้นก็มาขึ้นรถไปพร้อมกับเราสองคน ผมจัดการแบ่งอาหารให้กับทั้งสองคน ของพี่เจมส์เป็นคาโบนาร่า ของพี่ธีเป็นผักโขมอบชีสอย่างที่ผมบอกพี่เขาไป สองคนนั้นจัดการอาหารอย่างรวดเร็วและชินชำนาญเพราะการกินอาหารบนรถกับคนที่คิวงานเยอะเป็นอะไรที่คู่กันอยู่แล้ว พี่มาร์คขับรถตรงไปยังจุดนัดพบซึ่งใช้เวลาเยอะพอสมควร บนรถหลังจากที่ทั้งสองด้านหลังจัดการอาหารเสร็จแล้ว ก็เงียบลงทันทีเพราะเขาสองคนต่างซบไหล่ของกันและกันหลับกันไปอย่าง่ายดาย
ดูเหมาะสมดีแฮะ
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากที่มองผ่านกระจกไป พี่มาร์คยังคงขับรถไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเราจำเป็นจะต้องหยุดรถกะทันหัน
ทำให้สองคนที่อยู่ด้านหลัง ที่กำลังหลับหน้าทิ่มลงมา
“ ขอโทษที รถมันมาตัดหน้าน่ะ” พี่มาร์คพูดพร้อมกับบีบแตรรถใส่รถคันสีดำที่เพิ่งตัดหน้าเราไปเมื่อสักครู่
“ ใจเย็นๆนะพี่” ผมดึงมือของพี่มาร์คที่บีบที่พวงมาลัยแน่น นี่แหละนะที่เขาว่าคนเราจะมีร่างที่สองเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย
“ นั่นมันรถผู้จัดการโบวี่หนิ” เสียงเจมส์โพล่งออกมา “ ผมจำได้ ป้ายทะเบียน บว 11 นั่น ผมเคยประมูลแข่งกับเธออยู่”
“ แล้ว โบวี่จะมาทำกับเราแบบนี้ทำไมล่ะ” คำพูดของพี่มาร์คทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะหลังถึงกับหน้าเจื่อน
“ ไม่มีใครเป็นไรก็ช่างมันเถอะครับ รีบไปให้ถึงงานก่อนเวลาก่อนดีกว่าครับ ถ้าไปช้าป้าตู่ที่เป็นคนจัดงานได้ด่าพวกเราหูชาแน่ ผมไม่อยากให้มีข่าวเสียๆอีกครับ”
ไม่นานพี่มาร์คก็ขับรถเข้ามาถึงบริเวณเซนทรัลเวิร์ลซึ่งเรามาถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งทันทีที่จอดรถก็มีคนดูแลจากทางงานเข้ามากันตัวและเดินไปขึ้นลิฟท์ที่จัดเตรียมไว้ให้ซึ่งแน่นอน เสียงบรรดาแฟนกลับที่แอบเห็นก็ส่งเสียงกรี้ดกันดังสนั่นบริเวณ และเมื่อผมเดินตามไปกันคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งมาทางพี่ธี เสียงโห่ไล่ก็ดังออกมาแทน เสียงพวกนั้นวิจารณ์ต่างๆนาๆ ไม่นานเราก็ฝ่าเข้าไปในลิฟท์ได้ ผมพยายามที่จะตั้งสติจนมีคนโทรเข้า
“ สวัสดีครับพี่ตู่” ผมกรอกสายกลับไป
“ พี่จะโทรมาขอเลื่อนเวลานัดน่ะ พอมีเวลาก่อนสักครึ่งชั่วโมงหรือเปล่า พอดีว่าพี่จำเป็นต้องเปลี่ยนนางแบบฟินนาเล่คนใหม่น่ะจ้ะ”
“ ได้ครับ ตอนนี้ผมกำลังขึ้นลิฟท์ไป แล้วนางแบบคนใหม่ใครเหรอครับ” ผมถามกลับไปเพราะสัญชาตญาณของผมบอกว่าคงไม่ใช่เรื่องแน่ๆ
“ โบวี่น่ะ ไม่มีปัญหาอะไรกันเนอะ เคยร่วมงานกันมาแล้วใช่มั้ย”
“ ครับ ไม่มีปัญหาอะไรครับ” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสที่สุด ก่อนจะกดวางสายไป ก่อนที่ลิฟท์ด้านหน้าจะเปิดขึ้น “ เดี๋ยวจะมีการเปลี่ยนตัวคนเดินปิดท้ายกับพี่นะ” ผมเดินตามไปพร้อมกับบรีฟงานให้พี่ธี “ เป็นโบวี่นะ พี่โอเคใช่หรือเปล่า”
“ อืม สบายมาก” พี่ธีส่งยิ้มมาให้
“ ดี” ผมตอบกลับไป พร้อมกับหันไปทางพี่เจมส์ “ ส่วนคิวของพี่เหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะครับ เดี๋ยวพี่ไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะครับ”
เราทังสี่คนแยกกันออกไปโดยพี่เจมส์ไปกับพี่มาร์ค สองคนนั้นไปนั่งรอในห้องแต่งตัว ส่วนผมกับพี่ธีกลับเข้าไปหาพี่ตู่ที่กำลังยืนมองเวทีเพื่อเตรียมงาน โชคดีที่งานนี้เป็นงานที่จัดในฮอลจึงทำให้เราสามรถมาลองเดินและบรีฟงานได้
“ มานี่เลย” เกย์สาวที่คล่องหวอดในวงการ แต่งตัวเหมือนกับตู้เพชรเคลื่อนที่โบกไม้โบกมือมาทางพวกผมที่กำลังเดินเข้ามา “ ว่าแล้วว่าเด็กของพี่บีจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง พี่ขอโทษจริงๆนะ นางแบบคนเก่าเขาท้องเสียเข้าโรงพยาบาลน่ะ” พี่เขาพูดพร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นมามอง “ แล้วทำไมยายโบวี่ยังไม่มาอีกเนี่ย”
“ มาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะคุณแม่” เสียงแหลมๆดังมาจากด้านหลัง เธอแต่งหน้าจัดเต็มมาด้วยสีปากสีแดงเพลิงที่มาพร้อมกับชุดสีแดงที่เป็นผ้าพริ้วซึ่งโกยสิ่งที่แม่ให้มามากองรวมกันจนมันทะลักออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ ถ้าสายกว่านี้ฉันโทรด่าเธอแน่” เจ๊ตู่แกถอนหายใจก่อนจะมองไปที่การแต่งกายของนางเอกสาว “ เดี๋ยวต้องไปลบหน้าใหม่ด้วยนะ งานฉันขายเครื่องประดับต้องการความแพงไม่ใช่มาดูราคาถูกแบบนี้”
รอยยิ้มที่สดใสเมื่อครู่หายวับไปกับตาก่อนที่เธอจะพยายามที่จะปั้นหน้าใหม่อีกรอบแล้วส่งยิ้มปลอมๆมายังทุกคน เธอยกมือไหว้ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณ
“ พอดีน้องเพิ่งไปออกงานมาน่ะค่ะ เจ๊ตู่อย่าถือสาเลยนะคะ” เจ๊แตงกวาที่เดินมาด้วยส่งยิ้มมาให้ “ เดี๋ยวน้องจะจัดการให้เลยนะคะ”
“ จ่ะ เข้าใจว่างานด่วน” เจ๊ตู่แกก้มรับ “ ขึ้นไปลองเดิน ลองไฟ ลองบล็อกกิ้งได้แล้ว “ เธอโบกไม้โบกมือ”
ตอนนี้ผมกังวลเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากที่โดนขับรถปาดหน้าเมื่อก่อนมาถึง ผมเดาได้เลยว่าวันนี้คงไม่เกิดเรื่องราวดีๆขึ้นแน่ๆ ใครก็รู้ว่าถ้าโบวี่เดินแบบงานไหนก็ต้องขึ้นหน้าหนึงด้วยการที่เดินนอกสคริปและการตอบคำถามออกสื่อ นั่นคงทำให้ใครต่อใครที่อยากเอาเธอมาออกงานอีเวนท์ เจ๊ตู่เองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าใครๆก็ต่างเอือมระอากับความเยอะและปลอมของเธอก็ตาม
“ ดูเข้ากันมากเลยนะคะ” เจ๊แตงกวาแกหัวเราะแล้วมองไปบนจอมอนิเตอร์ที่กำลังจับภาพอยู่ แต่เจ๊ตู่แกกลับนิ่งและพูดผ่านไมค์เพื่อปรับบล็อกกิ้ง
“ เข้าไปชิดๆกันหน่อยนะ พี่อยากให้มือของธีลูบผ่านสร้อยเพชรสีแดงที่คอของโบวี่แบบประมาณว่า สร้อยเส้นนี้ทำให้ผมเร่าร้อน แล้วพี่ขอสายตาโบวี่ ดูเป็นนางพญานะ อย่าคล้อยตามไปกับอารมณ์ของธี ธีดีมาก โบวี่ ฉันบอกไม่ได้ยินเหรอว่าให้นิ่งๆ ไม่ต้องไปทำหน้ากระเส่าตามธี เราคือตัวแม่ เราคือตัวแม่ท่องไว้ เราควบควมทุกอย่างได้” เจ๊แกเสียงดังขึ้นจนผมตกใจ “ โอเค ดี รักษาระดับไว้ ตอนนี้คิวกล้องจับฉาบที่ใบหน้าของทั้งสองคน ให้สร้อยอยู่ตรงกลางแบบนี้นะ แล้วก็ให้เปลี่ยนภาพด้านหลังเป็นเหมือนไฟไหม้แล้วชื่อแบรนด์ขึ้นมาเลย ทิ้งไว้แบบนี้ให้ช่างภาพถ่ายรูปสักสิบวินาที ผละออกจากกันแล้วเดินกลับนะ”
หลังจากทำการซักซ้อมกันอย่างดี พวกเราก็แยกตัวออกมา ธีมงานวันนี้เป็นธีมธรรมชาติสู่ความทันสมัยโดยจะแบ่งเป็น ธีมย่อย ตามอัญมณีแต่ละสี โดยจะมี เพอริโด อัญมณีสีเขียว ที่แสดงความเป็นป่าไม้ อะความารีน ซึ่งเป็นสีฟ้า พี่เจมส์ได้เดินแบบชุดนี้ แบล็คสปิเนล เป็นสัญลักษณ์ของดิน และสีแดงเพลิงที่เป็นชุดเด่นของงาน ที่ทำมาจากทับทิมสยาม
ไม่นานงานก็เริ่มดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เสียงเพลงและจังวะการเดินก็แตกต่างกันออกไป เสียงกรี้ดและเสียงฮือฮาจากคนที่เข้ามาชม มาเป็นจังหวะๆ งานนี้ปล่อยให้กลุ่มแฟนคลับเข้ามาแต่งดใช้ป้ายไปและอยู่ในเขตที่ทางงานล้อมไว้เท่านั้น เหล่าบรรดาคนดังและคนมีเงินก็จะนั่งอยู่แถวหน้าหรือด้านข้างของเวที ผมเองก็นั่งอยู่กับพี่มาร์คและเจ๊แตงกวาแถวหน้าเหมือนกัน แสงแฟลชพลัดกันถ่ายคนที่เดินอยู่บนเวทีสลับไปมากับแสงไฟจนผมเริ่มมึนหัว แต่ต้องยอมรับว่า เจ๊ตู่แกดึงความเป็นเครื่องประดับแต่ละสีออกมาอย่างได้น่ามอง ทั้งชุด ซาวด์และแสงบนเวที
พี่เจมส์ที่เดินออกมาปิดท้ายชุดของอะความารีน เขาถอดเสื้อเผยให้เห็นกล้ามลอนน้อยๆ ทั่วตัวเต็มไปด้วยกากเพชรที่ชโลม มาพร้อมกับหญิงสาวที่เหมือนเป็นชาวเรือซึ่งสวมชุดประดับ สีฟ้าที่ต้องไฟจนดูมีราคา เพราะความเชื่อเกี่ยวกับอะความารีนคือนำพาเรื่องโชคดีและเป็นความเชื่อของชาวเรือ
ไม่นานแสงไฟก็ดับวูบลงแล้วแสงสีแดงก็ค่อยๆเผยขึ้นพร้อมกับเปลวไปด้านข้างเวที โบวี่ที่อยู่ในชุดเหมือนชาวอียิปนั่งอยู่บนบัลลังก์สวมใส่สร้อยคอสีแดงจ้องมองมายังคนดู ทหารที่ยืนถอดเสื้ออยู่ด้านข้างคือพี่ธี เขายื่นมือมารับโบวี่ลงจากบัลลังก์ แสงสีแดงเปลี่ยนเป็นสีขาวเพื่อให้ทับทิมสยามที่คอเด่นชัดขึ้นมาเมื่อทั้งสองไปยืนที่ปลายเวที พี่ธีมองไปยังทับทิมราวกับว่าโดนมนต์สะกดตามสคลิป โบวี่เองก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อพี่ธีเอื้อมมือไปลูบไล้ตรงสร้อยคอตามคิวที่วางไว้โบวี่กลับดึงมมือของพี่ธี ไปที่หน้าออกของตนเอง ทำให้ผ้าที่พันไว้หลุดลงมากองกับพื้น จนเหลือแต่ชั้นใน เสียงฮือฮาภายในงานดังไปทั่วทั้งฮอล นักข่าวลั่นชัตเตอร์กันอย่างสนุกมือ ผมเหลือบไปมองเจ๊แตงกวาที่อยู่ข้างๆที่ควรจะห่วงเด็กตัวเองแต่กลับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
พี่ธีที่อยู่บนเวที สวมกอดแล้วเอาผ้าคลุมของตัวเองคลุมให้ก่อนจะหันมายิ้มให้กับกล้องพร้อมกับไฟที่ดับไป หลายๆคนคงคิดว่ามันเป็นสคลิปเพราะว่าทุกอย่างดูลงตัว และมันควรจะเป็นอย่างนั้น
หลังจากกงานจบนักข่าวก็เริ่มมารวมกันที่จุดที่ให้สัมภาษณ์ซึ่งด้านหลังก็จะเป็นแบรนด์สินค้า เจ๊ตู่กำลังยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปพร้อมทั้งพี่ธีและโบวี่ โดยที่ผมยืนคุมสถานการณ์อยู่ด้านข้าง
“ พอใจกับผลงานตัวเองหรือเปล่าคะวันนี้” เสียงนักข่าวถามมาจากด้านหน้า
“ พอใจมากค่ะเห็นน้องๆเต็มที่พี่ก็ดีใจ”
“ แล้วฉากจบเมื่อสักครู่นี่เป็นสคลิปที่เขียนไว้หรือว่าเป็นอุบัติเหตุคะ”
“ เป็น” เจ๊ตู่แกกำลังจะตอบแต่ว่ามีเสียงขัดขึ้นมาก่อน
“ เป็นอุบัติเหตุค่ะ แต่ว่าโบวี่ไม่โทษเจ๊ตู่หรอกนะคะ เพราะเจ๊ตู่แกดูแลโบวี่ดีมากๆเลย โบวี่โชคร้ายเองที่ลืมติดเข็มกลัดตามที่พี่คอสตูมบอก เลยเกิดอุบัติเหตุ โชคดีนะคะที่พี่ธีมาช่วยไว้ได้ทัน”
“ แล้วอย่างนี้ ลูกค้าว่ายังไงบ้างคะ”
“ โบวี่ได้ขอโทษทางลูกค้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ โบวี่อยากขอร้องให้ลบภาพนั้นออกทีนะคะ” ผมได้แต่มองละครออน
แอสดแล้วถอนหายใจ บางคนทำให้ตัวเองเด่นในทางที่ผิดแต่ขอให้มีพื้นที่สื่อ
“ แล้วน้องธีล่ะคะ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ คือผมตกใจครับแต่ว่า ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้น้องเขาเซฟที่สุด” พี่ธีส่งยิ้มให้นักข่าว “ เรามาโฟกัสที่งานวันนี้ดีกว่านะครับ ถ้าไม่ถามถึงเจ้าของงาน งานหน้าผมกลัวไม่มีใครจ้างครับ” พี่แกพูดติดตลกจนทำให้เจ๊ตู่ที่กำลังเครียดๆยิ้มออกมา นักข่าวก็เช่นกันแต่ดูเหมือนเจ๊แตงกวาแกกลับไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
หลังจากเรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปแต่งตัวเพราะว่าต้องมีงานที่จะไปต่อ ระหว่างเก็บของ โบวี่ก็เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว
“ ขอบคุณพี่ธีมากนะคะที่ช่วยโบวี่ไว้ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ๆเลย”
“ ครับ” พี่ธีตอบสั้นๆก่อนจะใส่รองเท้าของตัวเองแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
“ ไม่ต้องหนีโบวี่หรอกค่ะ เรายังต้องไปใช้ชีวิตด้วยกันที่เชียงใหม่อีกสองสามวัน เดี๋ยวโบวี่จะช่วยรื้อฟื้นความหลังให้นะคะ” พูดจบเธอก็เดินออกไปทิ้งให้ห้องที่กำลังวุ่นวายเงียบลงไปได้ครู่หนึ่ง
นี่ผมต้องไปเป็นไม้กันหมา หรือกอขอคอที่เชียงใหม่อีกอย่างนั้นน่ะเหรอ
ต่อกันน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
-
ขอบคุณค่ะสนุกมาก
-
มั่นหน้าจริงนะ นังชะนี :hao3:
-
ุ6
ฉาว นางแบบดัง ผ้าหลุด พระเอกป้อง
แฟนคลับลุกเฮพระเอกหนุ่มช่วยปิดนม
กระแสแรงดับอีเวนท์พระเอกป้องคลุมผ้าปิดอกสวยคู่จิ้น
อีเว้นเดือดข่าวดับ นมตู้ม
โปรโมทหนัง ดับอีเว้นท์ ผ้าหลุดกลางงาน
….
พาดหัวข่าวสื่อในประเทศไทยนี่มันแรงชัดจัดเต็มมากครับ เพราะตั้งแต่วันงานอีเว้นท์วันนั้นผมก็นั่งช่วยพี่บีรับโทรศัพท์แทบจะไม่ไหวเพราะมีหลายรายการที่ต้องการที่จะติดต่อไปออกรายการร่วม ซึ่งทางพี่บีเองก็ปฏิเสธไป อีกทั้งพี่บีแกก็โดนคนจัดงานว่าเพราะตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะช่วยกันโปรโมทหนัง แต่กลับไม่มีการพูดถึงหนังเลย
ตรงหน้าผมมีโทรศัพท์ประมาณห้าเครื่อง ทั้งของบริษัทและของผมเอง ข้อความในกลุ่มแอนตี้ไวรัสธีก็เดือดไม่แพ้กัน และตอนนี้กลุ่มของผมก็กำลังลุกเป็นไฟเมื่อแฟนคลับของโบวี่กำลังมาช่วยกันรุมด่าพี่ธี
BV FC. : พี่โบวี่ไม่น่าไปรู้จักกับไอ้ไวรัสจั๋นนี่เลยเนอะ ฉันว่าจริงๆแล้วที่ผ้าหลุดวันนั้นเป็นเพราะไอ้ไวรัสนั่นไปดึงผ้าออกแน่ๆเลย เห็นช่วงนี้มีแต่ข่าวฉาวคงอยากได้พื้นที่ข่าวอีกล่ะสิถึงได้ต้องทำแบบนี้ หน้าตัวเมียชัดๆ
ข้อความนี้ถูกแชร์ไปจนทั่ว คนที่ต้องมามีส่วนผิดกลับกลายเป็นพี่ธี ไปเสียอย่างนั้นทั้งๆที่นางเอกดีแวนดีของพวกน้องๆเขาเป็นคนดึงผ้านั่นออกเองแท้ๆ แต่ผมจะมาสนใจทำไมล่ะ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ผมตั้งเพจนี้มาก็เพราะอยากให้คนเกลียดพี่ธีไม่ใช่หรือไง
ผมวางโทรศัพท์ตัวเองลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตรงหน้าขึ้นมาพูดคำพูดเดิมๆที่พูดมาตั้งแต่เช้า คิวเต็มแล้วครับ ไม่สะดวกครับ ขอโทษด้วยนะครับ หรือไม่ก็ พี่ธีโอเคครับ ไม่มีปัญหาอะไรตอนนี้ยังไม่สะดวกคุยครับ จนผมกำลังกลายเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติไปแล้ว
สิ่งที่แย่ที่สุดต้อนนี้คือ ผมต้องมากองรวมกับพี่มาร์ค พี่บี พี่ธีแล้วก็พี่เจมส์ที่บ้านของพี่บี ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังทำหน้าที่ของตนเองอยู่คือ กำลังตอบคำถามของสื่อผ่านโทรศัพท์ เว้นแต่พี่ธีกับพี่เจมส์ที่ถูกสั่งให้ปิดสื่อทุกชนิดรวมถึงโลกออนไลน์ด้วย
“ อย่าไปคิดมากเลยนะ เดี๋ยวเรื่องมันก็ผ่านไป” พี่บีหันไปตอบพี่ธีที่กำลังทำน่าเคร่งเครียดอยู่บนโซฟาสีขาวของพี่บี
“ เมื่อไหร่เราจะเอาโบวี่ออกไปซะทีครับพี่ ตั้งแต่รู้จักกันมามีแต่เรื่อง” พี่เจมส์เสริม “ เดี๋ยวพี่ธีต้องไปเชียงใหม่ด้วยอีก ตาย
แน่ๆ พี่ไปคุยกับพ่อพี่ไม่ได้เหรอว่าขอไม่เอาพี่โบวี่ไปด้วย”
“ ไม่ได้หรอก พ่อฉันสั่งมาแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนได้หรอก ทริปคนก็จองเต็มไปแล้วถ้าขืนเปลี่ยนตัวโดนฟ้องแน่ๆ” พี่ธีตอบอย่างเหนื่อยใจ “ ทนๆไปเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ”
“ เอาน่าอย่าเพิ่งหน้าบึ้งหน้าบูดกันไป ถึงม้พี่จะไม่ได้ไปก็อย่าลืมสิเรามีไม้กันหมาไปด้วยนะ พี่เชื่อว่าเบียร์จะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” พี่บีพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เหมือนภูมิใจในตัวผมมา
“ ครับ” ผมหัวเราะแห้งๆตอบกลับไป “ ผมจะพยายามครับ”
“ ดีมากจ้ะ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ถ้าไม่ใช่แผนโปรโมทหนัง เราจะไม่รับงานคู่กับโบวี่ถ้าไม่จำเป็น หรือเงินเท่าไหร่ก็ตามเพราะพี่เชื่อว่า ยัยแตงกวามันไม่ยอมให้กระแสเงียบง่ายๆแน่ ยิ่งตอนนี้มันอยากอัพค่าตัวลูกสาวคนโปรดมันอยู่ด้วย”
“ ให้ผมไปช่วยเบียร์อีกแรงเถอะครับ” พี่มาร์คที่เพิ่งวางสายจากโทรศัพท์หันมาพูดซึ่งทำให้พี่บีหน้านิ่วทันที
“ พี่บอกแล้วไงว่าแกต้องเป็นคนดูแลเจมส์อยู่ที่นี่ พี่ต้องพาเด็กใหม่ไปโมหน้าที่เกาหลีก่อน”
“ จริงๆแล้ว” พี่เจมส์กำลังจะพูดแต่มีอีกเสียงขัดไว้ก่อน
“ ตามนี้นะคะทุกคน แล้วพรุ่งนี้เตรียมตัวกันให้พร้อมเราจะไปให้สัมภาษณ์ที่บริษัททัวร์ของพ่อธีกัน พร้อมทั้งไปแสดงความยินดีกับคนที่ได้ไปเที่ยวกับทริปนี้ด้วย”
“ ไหนพี่บีบอกว่างดงานกับโบววี่ไง ทำไมถึง” อันนี้ผมถามครับ
“ คือว่ามิสเตอร์ เจ พ่อของธีเพิ่งโทรมาหาพี่เมื่อเช้าน่ะ” แกหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตาพี่ธี
“ ตามนั้นครับ” พี่แกถอนหายใจเฮือกโตก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ “ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมขับรถไปเองนะครับ วันนี้ผมกลับก่อนแล้วกันพี่”
“ ไปส่งน้องด้วยสิ” พี่บีชี้มาที่ผม
“ เดี๋ยวผมไปส่งเอง” พี่มาร์คพูดขัดขึ้น”
“ แกอยู่ช่วยฉันเคลียเรื่องบิล เรื่องเช็คก่อนเลย ธีไปส่งน้องด้วยนะ” พี่บีหันมาทางผม “ ไปสิ เดี๋ยวพี่เขารอนาน ส่วนเจมส์เดี๋ยวอยู่คุยเรื่องคิวงานถ่ายก่อนนะจ้ะ”
“ ครับ”
หลังจากแยกย้ายกันออกมานั่งบนรถ พี่ธีไม่พูดอะไรได้แต่นั่งเงียบและขับรถไปอย่างช้าๆ ความรู้สึกของผมตอนนี้มันทำให้หวนย้อนกลับไปถึงในวัยเด็ก พี่ธีโตมาสองคนคนในพื้นที่แถวนั้นบอกว่า ที่พ่อแม่พี่เขาต้องแต่งงานกันเพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ แต่แม่ของพี่ธีกับพี่พี่เขาไม่ได้รักกันสุดท้ายแม่ของพี่เขาเลยย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเดียวกับผม ผมไม่เคยเจอหน้าพ่อพี่เขาเลยจนวันที่แม่ของพี่เขาเสีย
“ โอเคป่าว” ผมตัดสินใจถามไปซึ่งในใจก็กลัวหน่อยๆว่าจะโดนหาว่าสอใส่เกือก หรือยุ่งเรื่องของพี่เขา
“ ห่วงพี่เหรอ” เขายิ้ม
“ ป่าว เห็นเงียบๆเลยถาม”
“ นึกว่าเป็นห่วง พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจพ่อก็คือพ่อ”
“ อืม” ผมหันหลังหลบ
“ หันหลังหนีทำไมเขินเหรอ”
“ ขับรถไปเลยไป ถ้ายังพูดมากอีก จอดรถเลยเดี๋ยวลงตรงนี้แหละ” ผมพูดโดยไม่หันหลังกลับ ไปมองแต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆรถมันจะหักเข้าข้างทางแล้วจอดลงล่ะครับ
เหมือนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของพี่ธีเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ตัวของเขาเข้ามาโดนที่ด้านหลังผม ผมว่าพี่แกคงต้องเปิดประตูแล้วเตะผมลงจากรถแน่ๆ
ครืด!
เสียงนี้เป็นคำตอบครับ สายเข็มขัดนิรภัยและสัมผัสของมันเป็นเหมือนการตบหัวว่า มึงหยุดมโน ผมได้ยินเสียงแกร้ก ของสลักของมันเข้ากับตัวล็อค
“ คาดเข็มขัดด้วยอันตราย แล้วก็นั่งดีๆ นั่งแบบนี้ตำรวจจะเรียกหาว่าพี่ลักพาตัวมาหรอก ช่วงนี้ยิ่งข่าวเยอะๆอยู่ มีแต่คนมอง
พี่ไม่ดีแล้วมั้งเนี่ย”
“ แล้วจะไปสนความรู้สึกคนอื่นทำไม สนแค่ตัวเองหรือคนที่แคร์เราก็พอแล้ว หยุดคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวให้กินชีสเลยไม่บอกพี่บีด้วย” ผมพูดจบก็รู้สึกชาทันที คำพูดพวกนี้มันเหมือนแดจาวู ผมเคยพูดแบบนี้กับพี่เขาบ่อยๆตอนเด็กๆ
“ ไม่ได้ยินคำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
“ จะกินป่าวชีสน่ะ เดี๋ยวแวะซุปเปอร์ข้างหน้าซื้อเลยหรือกินดิปดีหรือเปล่า”
“ ไม่ใช่ชีส ถ้าให้แลกคำพูดนี้อีกครั้ง กับชีสเป็นโลพี่ยอมแลกนะ มันหายจริงๆอย่างน้อยมันเหมือนมีคนอยู่ข้างๆ” พี่แกยิ้มออกมา
ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่าพี่เขาไม่เปลี่ยนไปเลย ทำไมไอ้ความรู้สึกแย่ที่เคยมีต่อพี่เขาถึงได้หายไปจนหมดแบบนี้ ทำไมความรู้สึกตอนนี้ผมได้พี่ธีคนเดิมคืนมา มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ
เบียร์ แกยังจำวันนั้นไม่ได้เหรอ วันที่แกเสียใจเพราะคนคนนี้น่ะ แกนึกถึงวันนั้นสิ นึกไว้ๆ
ความคิดในหัวของผมมันตีกันจนมั่วไปหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันอะไรกัน หรือว่าพี่เขาคิดจะทำอะไรอีก ใครก็ได้บอกผมทีเถอะ ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว
“ จอดรถได้หรือเปล่า” ทันทีที่ลงจากทางด่วนผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะผมทนความอึดอัดแบบนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
“ มีอะไรหรือเปล่า อีกนิดเดียวก็จะถึงคอนโดแล้วนะ” เขาหันมาถามอย่างงงๆ
“ เพิ่งคิดได้ว่าต้องซื้อของเข้าห้อง” ผมตอบทันทีที่คิดมันออก
“ ของอะไรล่ะ เดี๋ยวแวะไปซื้อก่อนก็ได้”
“ ไม่เป็นไรช่วงนี้พี่มีแต่ข่าวไม่ดี แล้วเรื่องนั้นก็ยังไม่เคลียเลย” ใบหน้าของพี่ธีที่ผมมองผ่านภาพสะท้อนในกระจกดูเจื่อน
ไปอย่างเห็นได้ชัด พี่เขาเลี้ยวรถมาจอดส่งผมตรงป้ายรถข้างหน้าก่อนจะขับรถออกไปโดยไม่พูดอะไร
ผมทำดีที่สุดแล้วใช่ไหม ? ผมทำถูกแล้วใช่หรือเปล่า ?
รถของพี่ธีออกไปไม่นานผมก็โบกแท็กซี่กลับไปยังคอนโดทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าพี่แกมานั่งรอผมที่หน้าทางเข้าโดยมีผู้คนกำลังรุมขอถ่ายรูปอยู่ ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจเมื่อสายตาที่กำลังรุมยินดีกับพี่ธีกลับหันมามองผมด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
“ พอดีผู้จัดการพี่มาแล้ว ต้องขึ้นไปคุยงานแล้วนะครับ ขอตัวก่อนนะครับ” พี่แกโค้งตัวให้ก่อนจะโบกมือลาพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินมาหาผม
“ มีอะไรให้พี่ช่วยถือหรือเปล่า”
“ ผมลงไปจ่ายบิลค่าโทรศัพท์มา ไม่มีของหรอกครับ” ผมตบไปอย่างตะกุกตะกัก “ แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย คนเขามองกันหมดแล้วแค่นี้เป็นข่าวไม่พอหรือยังไง”
“ ถ้าคุยอยู่อย่างนี้เป็นข่าวใหญ่แน่” พี่แกกระซิบ
“ ตามมา” ผมถอนหายใจก่อนจะเดินนำทางไป เราสองคนเดินเข้าไปขึ้นลิฟท์ “ มีอะไรอีก”
“ ก็ใครบอกว่าจะอนุญาตให้พี่กินชีสล่ะวันนี้”
“ พี่ก็ไปกินที่บ้านพี่สิจะมาที่นี่ทำไม” ผมถามออกไปอย่างเหนื่อยใจ เหนื่อยใจจริงๆครับใจผมเต้นแรงทุกครั้ง ที่ได้อยู่ใกล้พี่เขา ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับที่จะอยู่ใกล้คนที่เคยแอบรักและพยายามที่จะเกลียดมานานแล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว พี่เครียด พี่เหนื่อยกลับไปก็ไปเจอพ่อ พี่ไม่อยากเจอท่านตอนนี้เบียร์ก็รู้ว่าพ่อพี่ไม่เหมือนคนอื่น ท่านรักพี่บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่แกทำหน้าเศร้าๆจนผมอยากเข้าไปปลอบ แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าพี่แกเป็นนักแสดง ผมจำไม่หลงกลง่ายๆแน่
“ อย่ามาโกหก พี่อยู่คอนโด” ผมตอบย้อนกลับไปพร้อมกับไฟลิฟท์ที่อยู่ๆก็ดับลง ลิฟท์สั่นไปทั่วทั้งอาคาร
“ กลัวเหรอ” มือของผมเกาะเข้าที่แขนของพี่เขาแน่น ผมไม่ค่อยชอบความมืดและที่แคบๆแบบนี้เท่าไหร่ ผมอึดอัด ผลกลัว “ เบียร์ ไม่ต้องกลัวนะพี่ชายอยู่ตรงนี้” เขาเอามือลูบผมของผมก่อนจะเอื้อมมือไปที่กดสัญญาณต่อสายไปด้านล่าง “ ขอโทษครับมีคนอยู่ในลิฟท์ครับ”
“ ครับๆ เดี๋ยวทางเราจะเปิดลิฟท์ให้ครับ” ปลายทางตอบกลับมาก่อนจะบ่นชุดใหญ่วาทำไมไม่ยอมอ่านป้ายที่หน้าลิฟท์ก่อนว่าจะมีการซ่อมบำรุง
ไม่นานไฟฟ้าก็กลับมาสว่างปกติประตูลิฟท์เปิดออก โชคดีที่เดินขึ้นไปแค่อีกสองชั้นก็จะถึงห้องของผมแล้ว แต่สองชั้นนี้มันยาวนานเหลือเกินเพราะไอ้คนที่มาด้วยมันเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ออกมาจากลิฟท์แล้ว ไม่รู้เหรอวะมันอึดอัดนะเว้ย
ไม่นานเราสองคนก็มาหยุดยืนตรงหน้าห้องของผม ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้สุมันกลับบ้านมาเร็วๆ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องอยู่ลำพังคนเดียวกับไอ้พี่ธีที่เหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว รอยยิ้มนั้นมันดูมีความสุขเกินไปแล้วนะ
“ พี่เสพยาเหรอ” ผมถามไปหลังจากปิดประตูห้อง รอยยิ้มนั้นหุบไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ พูดไรของเบียร์เนี่ย”
“ ก็ยิ้มอยู่นั่นแหละนึกว่าไปเสพอะไรมา”
“ อ่อเสพ”
“ เห้ย ทำไมเป็นคนแบบนี้ ไม่รักตัวเองบ้างหรือไงฮะ” ผมตะวาดกลับเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้เป็นคำตอบ
“ เสพติดเบียร์ไง พี่ได้อยู่ใกล้เบียร์แล้วมีความสุขเป็นกองเลย เรื่องเครียดๆมันหายไปหมดแล้วจะยิ้มก็ไม่เห็นแปลก”
“ ตลกเหรอ” ผมหันหน้ากลับไปจ้องตรงๆ
“ ตลกอะไร”
“ พี่ตลกมากหรือเปล่าที่เล่นกับความรู้สึกของผมแบบนี้ ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะ ผมขอร้องล่ะพี่อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ เรายังต้องทำงานด้วยกันอีก ผมอึดอัด ผม ผม ฮึก …” ไอ้น้ำตาบ้านี่มันจะไหลมาทำไมตอนนี้วะ พี่ธียืนนิ่งไม่พูดอะไร น้ำตาของผมยิ่งไหลออกมาอีก ผมไม่สามารถกลั้นมันได้เลย ทุกความทรงจำมันเหมือนย้อนกลับมาทำให้ผมกลัว วันนั้นพี่เขาก็ดีกับผมแบบนี้แล้วก็ทำทุกอย่างพังหมดอย่างไม่ใยดี
“ เบียร์พี่” พี่แกทำท่าจะเดินเข้ามา
“ อย่า อย่าเข้ามาใกล้ผม ผมว่าวันนี้พี่สนุกพอแล้วล่ะพี่กลับไปเถอะ ผมขอร้อง” ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และเหมือนเสียงสวรรค์ที่ประตูหน้าห้องของผมเปิดขึ้น
“ พี่ธี” เสียงของสุเอ่ยทักพี่เขาก่อนจะมองมาทางผม “ เบียร์ พี่ทำไรเพื่อนหนูคะ” เธอถามก่อนจะเดินเข้ามาหาผม และใคร
จะรู้ว่ามีอีกคนที่เดินตามสุเข้ามาด้วย
“ บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำเด็กคนนี้ร้องไห้อีก” พี่มาร์คพูดก่อนจะเดินกระแทกไหล่พี่ธีแล้วเดินมาหาผม “ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ ไม่มีอะไรครับ เราสองคนกำลังซ้อมบทอยู่น่ะครับ อย่าเพิ่งไปว่าพี่ธีเขาเลยนะครับ” ผมแก้ต่างไปก่อนทุกอย่างมันจะแย่ลงไปมากกว่านี้ “ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ พี่กลับไปได้แล้วล่ะครับ”
พี่ธีเดินออกประตูไปอย่างรวดเร็ว ผมเอามือขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนจะฉีกยิ้มใส่ทุกคน “ ฉันแสดงเก่งเนอะเดี๋ยววันหลังจะลองไปแคสงานดูบ้างดีมะ ว่าแต่พี่มาร์คมาได้ไงครับเนี่ย”
“ อ่อ พี่ไปส่งเจมส์มา เมื่อเช้าเบียร์บอกว่าจะทำอาหารให้พี่ลองชิม พี่เลยมาทวงสัญญา” พี่เขาส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนทุกครั้ง “ อย่าบอกนะว่าลืม”
“ ไม่ลืมครับ แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ผมยังไม่ได้เตรียมของเลย”
“ เดี๋ยวนะคะทุกคน พี่มาร์คจะให้เบียร์มันทำอาหาร พี่มาร์คจองโรงพยาบาลหรือยังคะ สุขอเตือนด้วยความหวังดีเลยนะคะ ซื้อข้างนอกมาดีที่สุด”
“ แกมาดิสเครดิตฉันทำไมวะ พี่มาร์คอย่าไปฟังมันนะครับ เดี๋ยวผมจะทำให้พี่มาร์คชิมเอง”
ผมพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด รอยยิ้มของพี่มาร์คทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเยอะ จนผมคิดว่าบางครั้งการเริ่มอะไรใหม่ๆมันคงจะดี
สำหรับผมไม่น้อยเลย
มาแล้วนะก่อนอื่อนขอฝากเบียร์กับธีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจบรรดาแม่ยกทั้งหลาย ใครทีมใครบ้าง ทีมพี่มาร์คหรือพี่ธีดี มีอะไรพิมพ์บอกกันได้น้าาาาาาาาาา #เติมรัก
-
เหมือนจะเกิดศึกชิงนาย งั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหา เบียร์ไปอยู่กับเจมส์ดีกว่า :serius2:
-
จริงๆค่ะ
-
ขอบคุณค่ะ
-
7
{THEEMA PART}
บางครั้งผมก็นั่งถามกับตัวเองตลอดเลยนะครับว่า ผมคงเป็นคนที่เหี้ยมากในสายตาของเบียร์ สายตาที่แสนอบอุ่นของน้องชาย รอยยิ้มที่เคยสร้างกำลังใจ มือนิ่มๆที่คอยจับมือผมผ่านหลายๆอย่างมา ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว หายไปเพราะความคึกคะนองของผมเพียงแค่ครั้งเดียว ที่ผมทำครั้งนั้นเพราะคิดว่าผมจะมีโอกาสได้อธิบายเหตุผลที่ผมทำ แต่ไม่เลยเบียร์กลับไม่ยอมเปิดใจให้ผมได้พูดมันเลย เขาไม่เชื่อด้วยซ้ำกับคำขอโทษหรือการกระทำของผม ผมอยากบอกความจริงของเขาในวันนั้นถึงเหตุผลที่เขาไม่เคยรู้เพราะนอกจากที่เพื่อนผมจะท้าแล้วยังมีอีกหนึ่งเหตุผล เหตุผลจริงๆที่ผมยังรู้สึกเกลียดตัวเองในวันนั้น แต่ผมยังบอกกับน้องไม่ได้ตราบใดที่ผมยังไม่จัดการเรื่องของผมก่อน แต่ตอนนี้ผมก็ได้แค่หวังว่า ขอเป็นคนที่ยืนข้างๆน้องไปแบบนี้ ขอแค่น้องมีสายตาห่วงใจมองมาที่ผม ขอแค่มีรอยยิ้มเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากที่เคยได้ก็พอ การไปเชียงใหม่ครั้งนี้มันสำคัญกับผมมาก เพราะผมจะได้อยู่ใกล้น้องมากที่สุด โดยที่ไม่มีมารผจญอย่างพี่มาร์คมากวนใจเหลือแต่สุเพื่อนของเบียร์นี่แหละที่ดูจะไม่ชอบผมเอาเสียเลยและดูจะเชียร์พี่มาร์คจนผมแอบกังวลใจ
“ แกอยู่ไหน” เสียงของพ่อดังผ่านโทรศัพท์เข้ามาหลังจากที่พยายามโทรหาผมกว่าสิบสาย
“ กำลังจะถึงครับ ผมไม่เบี้ยวงานพ่อหรอก” ผมตอบกลับไปขณะที่กำลังเลี้ยวเข้าบริษัทนำเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และการไปเชียงใหม่ครั้งนี้มันสำคัญกับเขามากเขากรอกหูผมตลอดว่าราคาทัวร์และกำไรครั้งนี้มากกว่าทุกๆครั้งเพราะราคาที่ไปสองวันสามคืนเกือบเทียบเท่ากับไปทัวร์ที่ต่างประเทศ พ่อเอาผมและโบวี่มาเสริมราคา และถ้าสื่อจะไปด้วยก็จะคิดราคาสูงกว่าเดิม จึงทำให้งานครั้งนี้พ่อผมจะพลาดไม่ได้ ผมเองก็เช่นกันผมไม่สามารถไว้ใจใครได้เลยนอกจากเบียร์ นี่คือสาเหตุที่ผมอยากเอาน้องไปด้วย แต่อีกใจก็กลัวเหลือเกินว่าน้องจะเป็นหมากอีกตัวที่พ่อของผมใช้เดินในเกมส์ธุรกิจนี้
“ รู้ตัวก็ดี รีบๆมาได้แล้วหนูโบวี่เขาโทรมาหาพ่อว่าจะถึงแล้วฉันอยากให้แกควงกับน้องเขาเข้ามาในบริษัท” คำสั่งแรกเริ่มออกมาแล้ว “ ถ้าแกอยากจะใช้ชีวิตของแกเร็วๆก็ทำตามคำสั่งของฉันซะ”
“ ครับ” ผมกัดฟันตอบไปก่อนจะกดวางสาย อีกไม่นานชีวิตของผมก็จะเป็นอิสระเสียที อีกไม่นานหรอก
ผมจอดรถบริเวณพื้นที่ของผู้บริหาร ไม่นานโบวี่ก็ลงจากรถของตัวเองเดินมาหาผม ผมเดาว่าเธอคงได้รับคำสั่งเดียวกับผมอย่างแน่นอน ผิวขาของเธอดูขับให้ชุดสีชมพูสีพาสเทลดูโดดเด่น การแต่งหน้าใสๆแบบนี้ยิ่งทำให้เธอน่าสนใจมากขึ้นสำหรับสื่อแต่ไม่ใช่สำหรับผม
“ โบวี่มารอนานมาแล้วนะคะ ทำไมพี่ธีถึงได้มาช้านักล่ะ” เธอเดินมาควงแขนของผมอย่างรวดเร็ว
“ แล้วทำไมไม่เข้าไปก่อนล่ะครับ”
“ แหมอย่าทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลย” โบวี่ยิ้มพร้อมกับทำตาปริบๆเหมือนนางเอกในละครที่แสนใสซื่อ “ เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ เห็นว่าคนอื่นๆก็มาถึงกันแล้ว”
ผมไม่ตอบอะไรได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆ ผมอยากให้เรื่องนี้มันจบเร็วๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ผมจะจบเรื่องนี้ทันที
ผมเดินเข้าไปในบริษัทซึ่งจำเป็นต้องเดินขึ้นไปทางหนีไฟ เพราะนักข่าวอยู่ด้านล่างเต็มไปหมด ส่วนโบวี่เองก็เกาะข้างผมจนเหมือนเป็นเงาตามตัว และทันทีที่ประตูเปิดออก พี่บี เบียร์ก็มายืนรอผมอยู่แล้ว
“ สวัสดีค่ะพี่บี ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” โบวี่เดินเข้าไปกอดพี่บีที่กำลังยืนมองบนอยู่ เป็นภาพที่ผมมองแล้วเรียกรอยยิ้มได้แต่เช้า
“ แล้วผู้จัดการน้องไม่มาเหรอคะ”
“ อ๋อ พี่เขาบินไปรอที่เชียงใหม่แล้วน่ะค่ะ”
“ อ่อเหรอจ้ะ เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อนนะคะ” พี่บีผละตัวออกจากโบวี่แล้วเดินมาทางผม “ พร้อมแล้วใช่หรือเปล่า ไปสามวันเนี่ยเคลียให้จบ แล้วยอมรับในผลที่จะตามมาพี่ขอให้แกโชคดี”
“ ครับ ขอบคุณที่เขาใจผมนะครับ” ผมกอดพี่บีกลับไปเบาๆ
“ เราร่วมหัวจมท้ายกันมานาน ถ้าครั้งนี้มันจะหนัก แกเองคงต้องหนักกว่าพี่แน่ๆ”
“ พรุ่งนี้พี่จะไม่มาส่งผมที่สนามบินจริงๆเหรอครับ”
“ ก็อยากมานะ แต่ไม่ว่างไง แกก็อย่าลืมไปรับน้องมันล่ะ” พี่เขาชี้ไปทางเบียร์ที่กำลังยืนบรีฟงานอยู่กับหัวหน้าทัวร์ของผมอยู่
“ ครับ แน่นอนครับ” ผมส่งยิ้มกลับไปหาพี่บี ถึงแม้ว่าพี่แกจะตามใจผมในทุกเรื่องจนผมไว้ใจได้แต่แกก็ใจอ่อนและกลัวพ่อ
ของผมเป็นที่สุด ผมเลยเลือกเบียร์ไงล่ะครับ อีกอย่างพี่แกกำลังช่วยผมอีกเรื่องอยู่ด้วย
“ นี่เป็นคำถามครับ มีอะไรจะตัดออกอีกหรือเปล่าครับ” เบียร์ยื่นกระดาษมาให้ผม
“ เมื่อวานพี่กินชีสด้วย อร่อยมากเลยขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าอ่าน “ เบียร์ว่าอันนี้โอเคหรือเปล่า”
“ เดี๋ยวผมไปดูเวลาทริปกับพี่เขาตรงโน้นก่อนนะครับ” เบียร์ทำท่าจะเดินออกไปแต่มือของผมไวกว่าเลยคว้าเอาไว้ได้
“ พี่ว่าตรงนี้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ พี่อยากปรับ”
“ ครับ เข้าใจแล้วครับ แต่พี่ปล่อยมือผมก่อนได้ไหมครับ คนอื่นมองกันหมดแล้ว”
“ ขอโทษครับ ขอโทษแบบจริงๆน่ะ” ผมยิ้ม “ พี่อยากเอาคำถามเรื่องการสานต่อธุรกิจของพ่อพี่ออกได้หรือเปล่า”
“ แล้วทำไมต้องเอาออกล่ะธี” เสียงเข้มๆดังมาจากด้านหลัง ไอ้ตัวเล็กยกมือไหว้ลกๆก่อนจะเดินมาอยู่ด้านหลังผมเหมือนที่ทำตอนเด็กๆ “ คำถามนี้เป็นคำถามที่แกควรตอบมากที่สุดไม่ใช่หรือยังไง”
“ แต่ผมว่ามันยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ นี่คงเป็นเบียร์ใช่หรือเปล่า เด็กคนที่แก”
“ โอเคครับ ผมจะตอบคำถามนี้ ส่วนเบียร์ ไปช่วยพี่บีเถอะตรงนี้เดี๋ยวพี่คุยกับพ่อเอง” ผมดันตัวเบียร์ออกห่างจากตัวในทันที “ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้อง อย่าเอาเบียร์มาขู่กับผมอีก ไม่อย่างนั้น”
“ ไม่อย่างนั้นแกจะทำไม แกจะทำอะไรฉันได้ ในเมื่อพ่อจริงๆของแกยังไม่กล้าออกมาสู้กับฉันเลย”
“ ถ้าชีวิตของผมพัง ชีวิตของคนที่ผมรักพัง บริษัทที่คุณสร้างก็จะพังเหมือนกัน” ผมยิ้มกลับไปก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นแต่ว่าเสียงเข้มพูดตามหลังผมมา
“ แกโตขึ้นมากเลยนะ” เสียงนั้นมันเหมือนพยายามกดอารมณ์โกรธไว้จนผมเองยังมีความรู้สึกกลัว
“ ขอบคุณครับ” ผมหันไปยิ้มตอบก่อนจะเดินออกมา
“ เดี๋ยว” เสียงจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลังท้วงขึ้น “ แกต้องเดินเข้างานไปพร้อมกับฉัน”
{BEER}
ตอนนี้นักข่าวเริ่มมากันเป็นจำนวนมากจริงๆความสนใจของนักข่าวในวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ทริปเชียงใหม่นี้เท่าไหร่หรอก พวกเขาคงสนใจแต่ว่าวันนี้จะเอาข่าวอะไรไปเขียนเท่านั้นแหละ
ไม่นานพ่อของพี่ธีก็เดินยิ้มกอดคอมากับลูกชายของตน ทั้งสองโบกมือทักทายนักข่าวอย่างอารมณ์ดีสื่อที่เคยอยู่นิ่งเมื่อครู่รัวชัตเตอร์เก็บรูปถ่ายเอาไว้เพราะปกติแล้วพี่ธีไม่ค่อยออกงานคู่กับพ่อเขาเท่าไหร่นัก แสงแฟลชปรากฏมาตามทางเดินจนกระทั่งมาจุถึงจุดแถลงข่าว ไมโครโฟนนับสิบคู่จ่อมายังทั้งสามคน (โบวี่เดินตามมาสบทบทีหลังน่ะครับ)
“ สวัสดีค่ะ สวัสดีพี่ๆทุกคนเลยนะคะ น้องโบวี่ค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วกับใบหนาที่แสนหวานยิ้มร่าทักทายนักข่าวก่อนจะหันไปหาพี่ธี
“ สวัสดีครับผมธีครับ”
“ น้องสองคนไปทริปครั้งนี้ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ได้ข่าวว่ากำลังเกาเหลากันอยู่” เสียงผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าถามขึ้น
“ ถ้าจะให้ตอบตรงนี้พี่ๆคงไม่เชื่อ โบวี่อยากให้พวกพี่ๆเปิดใจและเปิดรับพวกเราตอนไปทริปดีกว่า เพราะโบวี่เชื่อว่าถ้าอยู่ด้วยกันสามวันสองคืนแบบนั้นถ้าจะให้แสดงตลอดก็คงไม่ไหวนะคะ”
“ น้องโบวี่ขายของเก่งนะคะ แล้วบิ้กบอสของบริษัทอย่างคุณพิชัยว่ายังไงคะ”
“ ครับ สำหรับผมแล้ว ถ้าลูกชายผมชอบอะไรผมมักจะชอบด้วยอยู่แล้วครับ” พ่อของพี่ธียิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร “ จริงๆผมก็ไม่อยากให้โฟกัสเรื่องกุ้กๆกิ้กของหนุ่มสาวหรอกครับ แต่ผมอยากให้โฟกัสที่แพลนการท่องเที่ยวของเราและกิจกรรมที่เราจัดขึ้นดีกว่าครับ เพราะเงินส่วนหนึ่งเราจะเอาไปเข้าการกุศลครับ และตอนนี้ยังเหลือพื้นที่สำหรับสื่ออยู่นะครับ”
“ แหมคุณพิชัยขายของเก่งนะคะ” นักข่าวหญิงคนเดิมพูดติดตลก
“ กลัวมีคนว่าหรือเปล่าคะว่าเอากระแสกลูกชายมาหากิน” เสียงผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังถามขึ้น
“ ผมไม่อยากให้มองอย่างนั้นนะครับ ผมอยากให้มองว่าเราไปเที่ยวกับคนที่เรารักกัน ตอนนี้เชียงใหม่ก็อากาศดีผมอยากให้ทุกคนไปเจออากาศบริสุทธิ์ครับ”
“ น้องธีจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ”
“ ผมอยากให้ทุกคนลองเปิดใจนะครับ ผมขออนุญาตเป็นผู้นำเที่ยวให้กับทุกคนนะครับ” พี่ธีส่งยิ้มให้ก่อนจะหันมาทาทางโบวี่ “ ส่วนเรื่องส่วนตัวผมอยากให้ทุกคนมองข้ามไปก่อนนะครับ ยังไงพรุ่งนี้เรามาเจอกันนะครับ”
“ พรุ่งนี้เดินทางแล้วมีอะไรพิเศษให้กับผู้ร่วมทริปหรือเปล่าครับ”
“ ต้องคอยติดตามครับ แต่ถ้าคนที่เตรียมกระเป๋าไปพร้อมกันวันพรุ่งนี้คงจะรู้แล้วว่าเรามีกิจกรรมสุดพิเศษกัน รับรองว่าคนที่ไม่ได้ไปต้องเสียใจอย่างแน่นอน เพราะเราปิดรีสอร์ทที่ดีที่สุดของเชียงใหม่รอรับทุกคนอยู่ครับ” คุณพ่อของพี่ธีหันไปทางพนักงานสาวที่ยืนอยู่ข้างๆให้เดินแจกใบปลิว
ไม่นานกิจกรรมทุกอย่างก็สิ้นสุดลง ผมแยกตัวออกมากับพี่บีและพี่ธี เราสองคนนั่งกันอยู่ในห้องรับรองของทางบริษัทซึ่งรอให้นักข่าวด้านล่างกลับให้หมดก่อน
“ พี่ว่างานนี้ไม่หมูเลยนะ จะทำยังไงดีไม่ให้ยายโบวี่มันมายุ่งกับธีเนี่ย” พี่บีเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด “ แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไปด้วย”
“ พี่บี” เสียงพี่ธีตะโกนขึ้น
“ พี่บีไม่ว่างไม่ใช่เหรอครับ” อันนี้ผมถามครับ เพราะผมจำได้ว่าพี่บีแกต้องพาเด็กในสังกัดไปทำหน้าที่เกาหลี
“ เอ่อ นั่นน่ะสิ ถ้าพี่แคลเซิลงานได้พี่แคนเซิลแล้ว งานนี้ต้องเป็นแกคนเดียวแล้วล่ะเบียร์” พี่บีหันมาทางผมที่กำลังนั่งไถโทรศัพท์มือถืออยู่
สร้างกระแสแล้ว คู่นี้ฉาวเวอร์
เพจแอนตี้ไวรัสธีของผมเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกแล้วล่ะครับ ตอนนี้มีแต่คนจับตามองคู่นี้ จากแต่ก่อนมีแต่คนมองว่าโบวี่ขายข่าวฉาว ตอนนี้กลับถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยขึ้น แต่ในทางกลับกันพี่ธีกำลังถูกโจมตีอย่างหนักว่าเกาะโบวี่ดังเพราะตัวเองกำลังจะดับ
“ เบียร์” เสียงพี่บีทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ ครับ”
“ นี่แกเหม่อไปไหนเนี่ย” พี่บีเดินมาทางผม “ แล้วโทรศัพท์เครื่องนี้มีอะไรทำไมชอบมองมันเครียดๆตลอดเลย”
“ ไม่มีอะไรครับ” ผมรีบเก็บโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องใส่ลงกระเป๋า “ ช่วงนี้ติดเกมส์น่ะพี่ ขอโทษครับที่ไม่โฟกัสกับงานครับ”
“ อืม แต่ไปเชียงใหม่ครั้งนี้แกจะมาติดโทรศัพท์มือถือแบบนี้ไม่ได้นะ ยิ่งผู้จัดการของยายนางเอกนั่นยิ่งไม่น่าไว้ใจเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องพวกแอนตี้แฟนที่จะแฝงตัวไปกับทริปนี้ด้วยอีกนะ”
“ อ้าวไหนบอกว่ามีการสกรีนแล้วไงพี่”
“ มันมีคนไปขายบัตรต่อกัน บางคนเราไม่สามารถตรวจสอบได้จริงๆ” พี่บีถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “ เพื่อนน้องไปเป็นคนนำ
เที่ยวด้วยใช่หรือเปล่า”
“ ใช่ครับ สุไปด้วย”
“ พี่อย่าพาเบียร์จิตตกเลย” พี่ธีที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น “ คนไปตั้งเยอะแยะ ไม่มีอะไรหรอกครับ ส่วนเรื่องพวกแอนตี้แฟน พี่ไม่ต้องห่วงผมจะไม่รับอะไรที่คนแลปกหน้าให้แน่ๆ”
“ แกมันก็อย่างนี้ประมาทตลอด จำไม่ได้หรือไงที่สนามบิน แกเองก็เกือบโดนมีดแทง ครั้งนั้นก็ไข่ปาหน้าอีก” พี่บีท้วง ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า พี่ธีกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ก็ผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน เพราะแอนตี้แฟนบางคนก็น่ากลัวรวมทั้งแฟนคลับของพี่แกเองที่คอยสะกดรอยตาม และยิ่งช่วงหลังๆที่จิ้นกับพี่เจมส์ พี่เจมส์เองก็โดนทำร้ายไปด้วย
“ พี่ฟังพี่บีบ้างก็ดีนะ ระวังตัวบ้างอย่าประมาท” ผมพูดไปตรงๆ คนที่นั่งหงอยเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มมาให้ผม “ ยิ้มอะไร”
“ นี่เบียร์ ห่วงพี่ด้วยเหรอ”
“ ไม่ได้ห่วงพี่ แต่ห่วงตัวเองเพราะถ้าพี่ดูแลตัวเองดีผมเองก็จะได้ไม่เหนื่อย”
“ เอาล่ะๆ เราสองคนก็อย่าทะเลาะกันที่โน่นแล้วกัน” พี่บีพูดย้ำ “ ไปๆได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะให้มาร์คไปรับนะเบียร์ส่วนธี
เจอกันที่สนามบินเลยใช่หรือเปล่า”
“ เดี๋ยวผมไปรับเบียร์เองครับ สุด้วยเจอกันเจ็ดโมงเช้านะ” พี่ธีท้วงขึ้น “ พี่มาร์คจะได้ไม่ต้องลำบากครับ”
“ ตามนั้น” พี่บีตอบก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์มือถือตัวเองใส่กระเป๋า “ วันนี้ไปส่งเบียร์ด้วยนะเดี๋ยวพี่ไปเตรียมงานต่อก่อน”
“ ครับ” พี่ธีตอบก่อนจะหันมาทางผม “ เราไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านไหม”
“ ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธ
“ อืม” พี่ธีดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยเนอะ”
“ เป็นไรหรือเปล่า” ผมถามกลับด้วยความเป็นห่วงเพราะปกติแล้วพี่ธีจะไม่ค่อยแสดงออกตอนที่ตัวเองเป็นอะไรครั้งนี้คงหนักมากจริงๆ “ มีอะไรบอกได้นะ”
“ เบียร์เกลียดพี่มากเลยเหรอ พี่อยากให้เบียร์เชื่อในตัวพี่ได้หรือเปล่า เชื่อว่าทุกอย่างที่พี่ทำทั้งในอดีตและตอนนี้ พี่มีเหตุผล มันเป็นเหตุผลที่พี่บอกเบียร์ไม่ได้”
“ เรื่องอดีตช่างมันเถอะ แล้วตอนนี้เป็นอะไร”
“ พี่กลัว” พี่ธีเอื้อมมือมาจับมือผม
“ กลัวที่จะโดนแอนตี้แฟนทำร้ายน่ะเหรอ”
“ เปล่า” พี่แกปฏิเสธพร้อมทั้งจับมือผมแน่นแล้วจ้องตาผม “ พี่กลัวเสียเบียร์ไป แบบวันนั้น พี่กลัวว่าพี่จะปกป้องเบียร์ไม่ได้”
“ พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย กินยาไม่เขย่าขวดหรือไง” ผมเริ่มสับสนกับสายตาและท่าทางจริงจังของพี่ธีมาก พี่แกหน้าแดงตาแดงเหมือนพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไว้
“ ตอนนี้พี่ไม่ขออะไรจากเบียร์แล้ว พี่ขอแค่อย่าเกลียดพี่หรือไล่พี่เลยนะ”
“ อืม” ผมลูบมือพี่เขากลับ “ ถ้าเกลียดคงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้หรอก แต่อย่าพูดถึงเรื่องตอนนั้นอีกได้หรือเปล่า ผมไม่อยากนึกถึงมันแล้ว เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยววันนี้ผมจะทำกับข้าวให้พี่กินเองเอาป่าว”
“ ทำเป็นเหรอ” พี่ธีทำตาโต
“ เป็นบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่านะ” ผมยิ้มให้ ผมก็อยากที่จะผลักพี่เขาไปไกลๆแต่ทำไมตอนนี้ผมเองก็ทำไม่ได้ ผมรู้สึกว่าผมแค่อยากอยู่ข้างๆเขาเวลาพี่เขาอ่อนแอ ผมขอแค่นี้ก่อนก็ได้ แต่ถ้าเมื่อวันใดพี่เขาไม่ต้องการผมแล้ว ผมจะเดินออกมาเอง เรื่องในอดีตมันทำให้ผมดูแข็งแกร่งทั้งๆที่มันอ่อนแอมาก ผมไม่ได้เกลียดพี่เขาแต่ผมต้องพยายามเกลียดเพื่อซ่อนความอ่อนแอ แต่ครั้งนี้ผมเลือกแล้ว ผมขออยู่ข้างๆพี่เขาก่อน
“ อืม” พี่ธียิ้มออกมา
เราสองคนพากันมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้านโดยที่เราจดรายการอาหารในมือของผมแล้วผมเองที่ลงไปซื้อโดยให้พี่ธีนั่งรออยู่ในรถ ไม่นานผมก็กลับมาที่รถพร้อมกับข้าวของที่พะรุงพะรัง
“ มาพี่ช่วย” พี่ธีรับของไปเก็บท้ายรถ “ อยากไปเดินซื้อของด้วยบ้างจัง พี่ไม่อยากเป็นธีของหลายๆคนแล้ว”
“ พูดเหมือนจะออกจากวงการเลย”
“ ถ้าพี่ออกจากวงการ เบียร์จะยังอยู่ข้างพี่หรือเปล่า ถ้าพี่ไม่ใช่ธีเด็กในสังกัดพี่บี แต่เป็นพี่ธีของเบียร์ได้หรือเปล่า”
“ พูดไรก็ไม่รู้สงสัยหิวแน่ๆ”
ไม่นานรถของเราก็มาจอดที่คอนโดของผม โชคดีที่สุจะกลับช้าเพราะต้องเตรียมงานในวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงโดนว่าเป็นคนหลายใจแน่ๆเพราะเมื่อวานผมเพิ่งพาพี่มาร์คมาที่ห้องเอง
“ นั่งรอก่อนนะเดี๋ยวจะรีบๆทำ” ผมวางของไว้ที่โต๊ะก่อนจะหยิบเครื่องครัวออกมาจากลิ้นชัก
“ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
“ ไม่ต้องหรอกนั่งเฉยๆเถอะ ถ้าพี่มาช่วยมันจะเสร็จช้าเปล่าๆ” ผมพูดพร้อมกับหยิบผักออกมาหั่นเพื่อทำสลัดเป็นเครื่องเคียงกับสเต็กเนื้อ “ โอ้ย” ด้วยความรีบมีดที่ควรจะหั่นผักมันกลับมาโดนที่ปลายนิ้วของผม
“ เป็นไรหรือเปล่า” พี่ธีลุกออกจากเก้าอี้อย่างเร็วพุ่งมาทางผม “ เนี่ย พี่บอกแล้วว่าจะช่วย ไปนั่งอยู่เฉยๆเลย”
พี่ธีหยิบชุดทำแผลออกมาทำแผลให้ผมเสร็จก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวผมออกไป แล้วพี่แกก็ลงมือหันผักหมักเนื้อด้วยตัวของพี่แกเอง
“ ทำไมทำเป็นล่ะ”
“ อย่าลืมสิ พี่อยู่คนเดียวมาตั้งนาน พี่ก็ต้องทำเป็นสิ” พี่แกส่งยิ้มมาให้ “ พี่เห็นเบียร์ทำก็รู้แล้วว่ายังไงก็ต้องโดยมีดบาดแน่ๆ”
“ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” ผมฟึดฟัดใส่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เอาอีกแล้วค่ะ ธีคาบผู้จัดการขึ้นคอนโดอีกแล้ว กินตับกันแน่ๆ
ผู้จัดการนี่ก็ไม่เบาเลยนะ วันนั้นก็เห็นมีผู้ชายอีกคนที่เป็นน้องพี่บีมาเหมือนกัน
ในเพจของผมเริ่มคุกรุ่นอีกครั้ง ผมควรทำอย่างไรกับมันดี ผมตัดสินใจกดเข้าไปที่ตั้งค่าเพื่อหวังว่าจะลบ แต่มีใจหนึ่งมันดันบอกว่า แอนตี้แฟนบางคนที่ตามพี่ธีอยู่ อยู่ในกลุ่มนี้เพราะฉะนั้นมันยังมีประโยชน์ ซึ่งถ้าพี่ธีจะโดนทำร้ายมันจะต้องมีการบอกในนี้ก่อนแน่ๆ ผมตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ลง และเมื่อกลับจากเชียงใหม่ ผมจะเป็นคนลบมันเอง
“ ทำอะไร นั่งหน้ามุ่ยเชียว”
“ อ่อเล่นเกมส์”
“ เกมส์ไรอ่า ว่างๆชวนพี่เล่นบ้างสิ” พี่ธีที่จัดจานสลัดเสร็จแล้วเดินมาหาผม “ ไหนเกมส์ไร”
“ ไม่เอา ผมเล่นคนเดียวดีกว่า” ผมเก็บอีกเครื่องที่อยู่ในมือลงกระเป๋า “ พี่ไม่รีบทำล่ะ หิวไม่ใช่เหรอ”
“ พี่อยากอยู่กับเบียร์นานๆไม่ได้เหรอ”
“ ตลกละ ไปเลยรีบๆไป เดี๋ยวผมต้องรีบเก็บของใส่กระเป๋าอีก พรุ่งนี้มีงานเช้านะ”
“ ครับ” พี่แกตอบก่อนจะเดินกลับไปจัดการเอาเนื้อลงไปในกระทะ กลิ่นหอมของเนื้อลอยฟุ้งจนผมเองยังอดใจไม่ได้ ผมลุกออกจากเก้าอี้ไปมองเนื้อที่อยู่ในกระทะ “ หิวล่ะสิ”
“ รีบๆทำสิ” ผมเร่งไฟ
“ อย่าเร่งไฟ เดี๋ยวเนื้อข้างนอกมันแข็งหมด ไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวจะเสร็จแล้ว”
ไม่นานอาหารทุกอย่างก็ถูกเอามาวางลงบนโต๊ะ การแต่งจานของพี่ธีไม่ได้ดูแย่เลยนะครับมันเหมือนร้านอาหารมากครับ ส่วนรสชาตมันอร่อยมาก ผมพยายามเก็บความทรงจำทั้งหมดไว้ในหัว เพื่อจำว่า ถ้าวันหนึ่งผมหมดหน้าที่ที่จะอยู่ข้างๆเวลาที่พี่เขาท้อแล้ว ผมยังคงยิ้มได้เมื่อนึกถึงมัน และผมว่ามันคงอีกไม่นานเพราะผมรู้สึกว่าผมคงเป็นได้แค่ทิชชู่ ที่จะมีประโยชน์เมื่อเขาต้องการ และเมื่อมีใครใช้ทิชชู่แล้วก็แค่ทิ้งไปก็เท่านั้น เหมือนกับตอนนี้พี่เขาต้องการแค่ใครสักคนอยู่ข้างๆ แต่ไม่ใช่ต้องการใครสักคนที่เข้ามาใช้ชีวิตด้วย ผมคงเป็นได้แค่คนข้างๆแล้วล่ะ
มาต่อกันน้า ไม่รู้จะชอบกันหรือเปล่า แต่เรามาช่วยกันลุ้นดีกว่าว่าใครจะเป็นคนที่เติมเต็มความรักที่หายไปในอดีตให้กับเบียร์
-
จะโดนอะไรอีกมากน้อยเนี่ย เจ้าของเพจโดนซะเองแบบนี้ :hao4:
-
8
“ นี่แกทำอาหารเหรอ” เสียงของสุมันดังเข้ามาในห้องหลังจากพี่ธีกลับไปได้ไม่นาน ในมือของมันเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังทั้งถุงเสื้อผ้าเอกสารต่างๆ
“ เออ รู้ว่าต้องยังไม่ได้กินอะไรมา เอาของมานี่” ผมเดินไปหยิบข้าวของจากมือของมันมาวงเรียงที่ข้างโต๊ะ “ กินข้าวก่อนแล้วไปอาบน้ำนอน”
“ ช่วงนี้แกดูแปลกๆนะ” มันตักชิ้นเนื้อที่พี่ธีเป็นคนทำเผื่อไว้เข้าปาก
“ แปลกอะไร” ผมนั่งจ้องมันกลับ
“ แปลกดิ อยู่ดีๆก็ลุกมาทำอาหาร แล้วเนี่ยแน่ใจนะว่าทำเอง ทำไมอร่อยจังวะ” เธอเขี่ยๆเนื้อในจานก่อนจะเอื้อมไปดูที่จานสลัด “ นี่อีก หันผักซะสวยเชียวไม่เห็นเหมือนตอนที่ทำให้พี่มาร์ควันนั้นเลย”
“ แกถามแบบนี้จะไม่กินใช่มั้ย” ผมทำท่าจะดึงจานกลับ สุใช้มีดหั่นสเต็กตีมาที่หลังมือผม “ เจ็บนะโว้ย”
“ เจ็บสิดีจะได้รู้ว่าอย่ามาขัดจังหวะการกินฉันอีก” พูดจบเธอก็ตักเข้าปากไปอีกครั้ง “ แกยังไม่ตอบฉันเลยว่าทำไมช่วงนี้ดูแปลกๆ แกดูยิ้มง่ายๆ หน้าตาสดใส อินเลิฟเหรอ กับใคร พี่มาร์คอ่อ”
“ แกจะบ้าหรือไง ถ้าปากว่างมากก็รีบๆกิน ฉันจะไปนอนแล้ว” ใจของผมจะเต้นทำไมกันวะเนี่ย
“ เดี๋ยว” เสียงนั้นฟังดูนิ่งๆแปลกๆ “ ถ้าไม่ใช่พี่มาร์ค แสดงว่าเป็นพี่ธี เพราะยามที่คอนโดบอกกับฉันว่าวันนี้แกพาเพื่อนมาที่ห้อง”
“ อะ อะไร” ผมกลืนน้ำลายลงคอเหมือนกับว่ากลัวความผิดกำลังจะถูกเปิดโปง “ มั่วแล้ว”
“ ไม่มั่ว แกพาคนมาที่ห้องใช่ไหมแล้วอาหารนี่แกก็ไม่ได้เป็นคนทำ”
“ นี่แกเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือเป็นนักสืบโคนันวะ จะมาจับผิดอะไร” ผมเถียงกลับ
“ ฉันแค่สงสารพี่มาร์ค ถ้าแกจะเลือกใครแกก็ควรชัดเจน อีกอย่างฉันกลัวแกกลับไปเจ็บอีกว่ะ” คำพูดของสุพรรณษาทำให้ผมต้องทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง “ มันจะคุ้มใช่ไหมที่แกจะกลับไปรู้สึกกับพี่ชายของแกอีก”
“ แกคิดมากไปละ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ โอเค ถ้าแกจะโกหกฉันไม่เป็นไร แกอย่าโกหกตัวเองพอ ถ้าแกจะเลือกพี่ธีฉันไม่ได้ว่าอะไรแกเลยจริงๆนะ แต่ฉันอยากให้แกจบเรื่องของพี่มาร์คด้วย แกไม่ควรไปให้ความหวังพี่เขาแบบนั้น คนโดนให้ความหวังมันเจ็บนะเว้ย” สุมันวางส้อมที่จิ้มเนื้ออยู่แล้วลุกมานั่งข้างผม “ ฉันรู้ว่าแกผ่านอะไรมา ฉันรู้ว่าแกยังรักและยังไม่ลืมพี่ชายแสนดีของแก ฉันเป็นเพื่อนแกนะเบียร์ ฉันอยู่ข้างแกนะโว้ย ฉันจะไม่ห้ามแกที่แกเข้าไปใกล้กับพี่ธีและรู้สึกดีๆด้วย แต่ฉันแค่อยากบอกแกว่า ถ้าครั้งนี้แกเสียใจฉันก็จะอยู่ข้างแก เหมือนตอนที่แกอยู่ข้างฉันมาตลอด”
“ สุ” ผมกอดมันแล้วร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ต้องทำยังไงดี ฉันรักพี่เขา ฉันลืมพี่เขาไม่ได้ ภาพ
ตอนเด็กๆมันยังวนอยู่ในหัวฉันอยู่เลย ฉันจะทำยังไงดี ฮึก ฮือ เรื่องพี่มาร์คอีก ฉันจะจบเรื่องนี้โดยไม่ให้พี่เขาเสียใจยังไงดี ฉันไม่น่าเริ่มมันเลย”
“ มันไม่มีทางที่จะไม่มีใครเสียใจ แต่แกต้องทำยังไงก็ได้ ให้คนที่เสียใจ เสียใจน้อยที่สุด” สุปลอบผม “ ฉันจำพี่อ้อยพี่ฉอดมา” มันหัวเราะออกมาอย่างภูมิใจ
“ จริงจังหน่อยดิวะ”
“ จริงจังอะไร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาแล้ว เรามีหน้าที่ยอมรับในสิ่งที่เราทำมาเพราะฉะนั้น เดินหน้าไปอย่าถอย ถ้าแกเลือกพี่ธี แกก็ต้องเตรียมใจยอมรับไว้อย่างนะว่า ถ้าทุกอย่างมันจะวนกลับมาเหมือนเดิม เสียใจเหมือนเดิมแกเป็นคนเลือกเอง”
“ อืม”
“ เพราะฉะนั้นสู้นะ ฉันจะเปิดทางให้แกเองตอนไปเชียงใหม่” มันตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะเดินกลับไปนั่งกินสเต็กเหมือนเดิม “ พี่ธีทำอร่อยเนอะ”
“ กะ แก”
“ เออ รู้สิ ฝีมือแก หมาจะกินหรือเปล่าก็ไม่รู้” มันหัวเราะพร้อมกับเคี้ยวอาหารตุ้ยๆอย่างมีความสุข ผมเองก็มองมันอย่างมีความสุขเช่นกัน ผมมีแม่ที่ดี มีเพื่อนที่ดี แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เหรอ ผมยังอยากมีแฟนที่ดีด้วยนะ หุหุ
ตอนเช้าเราสองคนเรียกแท็กซี่มารับที่คอนโด เพราะไม่อยากรบกวนใคร เนื่องจากสุมันต้องไปเตรียมงานเตรียมสถานที่ที่สนามบินแต่เช้า พอไปถึงสนามบินมันก็ขอแยกตัวไปจัดแจงเรื่องเอกสารที่ต้องใช้สถานที่บางส่วนเพื่อนัดบรรดาแฟนคลับและสายข่าวที่จะตามไปร่วมทริปนี้ด้วย
ผมเองก็มานั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ โดยสั่งกาแฟกับแซนวิชอบร้อนมานั่งรอ จู่ๆก็มีคนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มใส่หวกปิดหน้ากับแว่นตาดำมานั่งร่วมโต๊ะกับผมด้วย
“ มานั่งอะไรคนเดียวตรงนี้”
“ มาได้ไง” ผมทักกลับอย่างรวดเร็ว เพราะมันไม่ใช่เวลาที่พี่ธีจะต้องมาถึงสนามบิน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้า เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตัวใหญ่กว่าขนาดตัวปลดกระดุมเม็ดที่สองเผยให้เห็นกล้ามอกขาวนิดๆ นี่ผมมองไรเนี่ย
“ สุส่งข้อความไปบอกพี่แต่เช้าแล้ว” พี่ธีตอบพร้อมกับส่งยิ้มมาทางผม
อะไรกันวันนั้นยังทีมพี่มาร์คอยู่เลย วันนี้มันเปลี่ยนสีเร็วมาก
“ เอาชาเขียวร้อนไหม” ผมถามพร้อมกับเรียกพนักงานที่กำลังยืนรอรับออเดอร์อยู่มาทางพวกเรา “ เอาชาเขียวร้อนลาเต้ หวานน้อยครับ แล้วก็แซนวิชแฮมชีส ไม่อบที่นึงครับ” พนักงานจดทุกอย่างลงสมุดก่อนจะเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์
“ จำได้ด้วยเหรอ” พี่แกถอดแว่นวางไว้ที่โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มตรงหน้าพร้อมกับจ้องมาที่ผม สายตานั้นมันทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วอย่างบอกไม่ถูก
“ ของกินง่ายๆที่พี่บี่สั่งให้ทุกวันใครจะจำไม่ได้” ผมกัดแซนวิชเข้าปากไปคำโตพร้อมทั้งพยายามที่จะไม่จ้องตากลับ เพราะถ้าจ้องไปพูดไปคงเป็นการสนทนาที่ไม่รู้เรื่องแน่ๆ “ แล้วจะรีบมาทำไม”
“ ก็อยากมาเจอเบียร์ก่อน สุบอกว่าเบียร์จะต้องนั่งรอคนเดียวเลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ นี่จะจ้องอะไรนักหนา” ผมบอกปัดเพราะพี่เขาจ้องผมมากเกินไปแล้ว “ แล้วเสื้อน่ะใส่ดีๆไม่ได้หรือไง ปลดลงมาแบบนี้ก็ถอดเลยมั้ย” ผมหันข้างหลบอีกครั้งไม่สบตา ไม่มองหน้า คนผ่านไปผ่านมาคงด่าว่าผมเป็นบ้าเพราะภาพตอนนี้มันเหมือนกับว่าผมคุยกับตุ๊กตาช้างไทยที่วางอยู่บนโซฟาที่ตัวเองนั่ง
“ มาติดให้พี่ดิ” พี่ธีทำท่าจะลุกมานั่งข้างๆผม
“ พอเลย ถ้ายังไม่หยุดทำแบบนี้จะลุกไปนั่งที่อื่นแล้วนะ” ผมพยายามพูดเสียงแข็งเพื่อกลบความประหม่าของตัวเอง นี่ขนาดตรงนี้เป็นจุดที่แอร์ตกนะเนี่ย ทำไมเหงี่ยของผมต้องไหลออกมาด้วย
“ โอเคครับ” พี่แกดูสงบลง
ไม่นานของที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ พวกเราเงียบ ไม่มีบทสนทนาใดๆบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะมีก็มีแต่เสียงหัวใจของผมที่เต้นกับสายตาของพี่ธีที่มันจ้องมาทางผมนี่แหละ
“ มานั่งกันตรงนี้นี่เอง” เสียงแหลมๆปนแบ้วที่คุ้นหูเอ่ยทักจากหน้าร้าน ผมหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งคนในร้านสองสามคนก็เช่นกัน
“ โบวี่” พี่ธีร้องออกมาอย่างตกใจ
ไม่ต้องรอให้เชิญคุณโบวี่ก็นั่งลงที่โซฟาด้านข้างผมก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอย่างไม่เนียน รอยยิ้มนั้นมันดูเป็นการแสดงอย่างเห็นได้ชัด
“ ทำไมทำหน้าตกใจแบบนั้นล่ะคะ” โบวี่ถามพี่ธีที่กำลังนั่งจ้องด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“ มาได้ยังไง” พี่ธีถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ ก็โบวี่ตื่นเต้น แล้วเห็นคนที่ร้านถ่ายรูปพี่ธีไปลงในเพจนี้” โบวี่ยกโทรศัพท์ขึ้นมา มันคือเพจของแอนตี้ไวรัสธี “ เนี่ยมีคนโพสว่าผู้จัดการส่วนตัวพาพี่ธีมาฟาดที่ร้านกาแฟ โบวี่กลัวว่าพี่จะเสียหาย เบียร์ด้วย เลยคิดว่ามานั่งเป็นเพื่อนดีกว่า”
“ ขอบคุณนะ” ผมเอ่ยออกไป ซึ่งเป็นคำขอบคุณจริงจังจริงๆครับ ผมรู้สึกว่าลูกเพจของผมเป็นสโตร์กเกอร์แน่ๆ เพราะผมรู้สึกว่าเขาตามพี่ธีตลอด และถ้ามาอยู่สนามบินแบบนี้ มันต้องไปทริปครั้งนี้กับเราด้วยแน่
ไม่นานคนประมาณสามสิบคนก็เริ่มมารวมตัวกันที่บริเวณนัดหมาย สุมันยืนชูป้ายสีชมพูหวานแหววอยู่ข้างๆ สแตนดี้ของพี่ธีที่ใส่ทักสิโด้ซึ่งด้านข้างเป็นสแตนดี้ของโบวี่ที่ถือลูกอมรูปหัวใจ ผู้เข้าร่วมทริปทยอยเดินมาลงทะเบียนและถ่ายรูปคู่กับแสตนดี้ที่วางอยู่
ผมกับพี่ธีรวมถึงโบวี่ยังคงนั่งมองออกไปจากร้านกาแฟ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เราต้องไปรวมกลุ่มกัน รายละเอียดของงานวันนี้เท่าที่ผมทราบ เราจะไปถึงเชียงใหม่กันประมาณสิบโมง ในวันแรกจะมีการพาขึ้นไปสักการะครูบาศรีวิชัย ไล่ขึ้นไปพระธาตุดอยสุเทพ หมู่บานแม้วที่ดอยปุย และไปถ่ายรูปกับดอกซากุระเมืองไทยหรือดอกนางพญาเสือโคร่งที่ขุนช่างเคี่ยน ซึ่งตลอดการเดินทางจะมีการทำกิจกรรมถ่ายภาพกับศิลปินด้วย
ผมนั่งนึกถึงคิวงานวันนี้ก็เตรียมเหนื่อยเลยแหละครับ เพราะนอกจากตัวผมที่ต้องคอยดูแลพี่ธีจากผู้หญิงที่นั่งข้างๆแล้ว ยังต้องมาคอยหาพวกสโตกเกอร์ที่ยืนอยู่ในสามสิบคนที่มาลงทะเบียนนี่ด้วย มันไม่ง่ายเลยสำหรับผมและมันก็ไม่ปลอดภัยเลยสำหรับพี่ธี ผมพยายามที่จะมองคนที่ยืนต่อแถว ก็ไม่มีใครที่จะมีแววเป็นพวกคลั่งไคล้หรือแอนตี้เลย เพราะทุกคนมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนใหญ่คนที่มาจะเป็นวัยมหายลัย บางกลุ่มเป็นวัยทำงาน มีสามสี่คนที่เป็นกลุ่มของป้าๆ แต่ก็ดูไม่มีภัย แล้วใครกันนะที่เป็น เจ้าของแอคเคาท์ สตอมมี่
ผมเปิดแอคเคาท์ไปอีกครั้ง ภาพเด็กผู้หญิงที่เป็นรูปการ์ตูนผมสีชมพูกระโปงสีขาว มาตั้งคอมเม้นใต้คอมเม้นปักหมุดของผมอีกครั้ง
สตอมมี่ : ชีวิตฉันพังเพราะไอ้ไวรัสจั๋น แกเตรียมโดนเอาคืนเลย
ผมอ่านข้อความก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องราวที่ดีเท่าไหร่นัก ในหัวของผมมันยิ่งพยายามจ้องไปที่พวกนั้นมากขึ้น ผมจะไม่ประมาท เพราะนอกจากพวกชอบแอบถ่าย ยังมีคนที่ไม่หวังดีอีกด้วย
“ จ้องอะไรขนาดนั้น อยากไปช่วยสุเหรอ” พี่ธีที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามถาม
“ อ่า ครับ พี่นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปช่วยสุก่อน” ผมทำท่าจะลุก ซึ่งพี่ธีเองก็เช่นกัน “ พี่จะไปไหนครับ”
“ ก็ไปช่วยไง” พี่แกตอบด้วยใบหน้าปกติ “ แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“ พี่นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ ไปตอนนี้มันจะวุ่นวาย” ผมท้วงแต่พี่ธีกลับพยายามเหล่มองไปทางโบวี่ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไม่สนโลก
“ นะๆ”
“ อืม” ผมพยักหน้าแล้วค่อยๆเดินออกไปก่อนที่เสียงของคนที่พี่ธีกำลังจะหนีดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ คิดว่าโบวี่โง่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ผมกับพี่ธีมองหน้ากันพร้อมกับหยุดนิ่งกันราวกับหุ่น “ ไปกันเถอะค่ะโบวี่ยังไม่อยากไปยืนยิ้มแต่เช้า ขอนั่งอยู่ก่อน” เธอพูดก่อนจะกดโทรศัพท์เล่นต่ออย่างไม่สนใจใดๆ
ผมกับพี่ธีเดินมาสมทบกับสุที่กำลังดูวุ่นๆกับการเช็คชื่อ และเมื่อไปถึงผมเองก็ไม่รู้ว่าพาพี่ธีมาเพิ่มงานให้คนอื่นหรือเปล่าเพราะ
เมื่อมาถึง คนที่ควรจะเป็นระเบียบกับแตกแถวพพุ่งมายังพี่ธี พี่แกยิ้มให้อย่างจริงใจก่อนจะยกมือห้าม
“ อย่าเสียงดังนะครับ ยังไงพวกเราก็ได้ไปเที่ยวด้วยกันอยู่แล้ว ตอนน้ผมอยากให้ทุกคนให้ความร่วมมือกับทางทีมงานของเราเพื่อการลงทะเบียนและการแจ้งกำหนดการนะครับ เดี๋ยวผมจะยืนรอด้านหลังจุดลงทะเบียน ใครเสร็จแล้วมาเซลฟี่กับผมได้เลยครับ”
พี่ธีพูดเสร็จทุกคนก็กลับเข้ามาเป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว คนที่กำลังอืดอาดเล่นโทรศัพท์หรือพูดคุยไม่เข้าแถวก็กลับมาเข้าแถว
อย่างไม่อิดออด สุเองที่อยู่ตรงทีมงานหันมาโค้งตัวขอบคุณพี่ธีพร้อมกับส่งยิ้มให้ พี่ธีส่งยิ้มกลับพร้อมกับเดินไปตรงจุดท้ายสุดและถ่ายรูปกับทุกคนตามสัญญา
มานานก็ได้เวลา คือประมาณแปดมงเช้าโบวี่ที่เพิ่งมาถึง ( ผมหมายความว่าเพิ่งเดินออกมาจากร้านกาแฟ) ก็เดินมาสมทบพวกเราพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนสดใส ธีมงานวันนี้เป็นสีชมพูครับ สุเองก็แจกเสื้อให้กับลูกทัวร์ทุกคน รวมทั้งผมและพี่ธี พวกเราจะต้องเปลี่ยนเมื่อไปถึงที่พักแล้ว
เมื่อถึงเวลาพวกเราก็ต่างทยอยเข้าไปในเกตของสนามบิน พวกเราทุกคนถูกจัดที่นั่งไว้แล้ว พ่อของพี่ธีเป็นหุ้นส่วนกับสายการบินนี้ ด้วยราคาที่สงของทัวร์ที่เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศทำให้การเหมาลำไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อขึ้นไปบนเครื่อง ผมกับพี่ธีรวมถึงทีมงานจะนั่งอยู่บริเวณด้านหน้าตัวเครื่อง
“ โบวี่ไม่นั่งคนเดียวไม่ได้เหรอคะ” โบวี่หันไปถามสุที่เดินตามหลังมา
“ ทำไมล่ะคะ” สุพยายามยิ้มให้กับเธอ
“ ก็โบวี่กลัว โบวี่ขอไปนั่งข้างๆพี่ธีได้ไหมคะ” เธอส่งยิ้มไปเพื่อนของผม ซึ่งคนที่นั่งข้างๆพี่ธีอยู่ตอนนี้ก็คือผม สุมองผมกับโบวี่สลับไปมา
“ เกรงว่าจะไม่ได้นะคะ เพราะการวางที่นั่งบนเครื่องนี้ถูกวางมาเพื่อความสมดุลและความปลอดภัยแล้ว ขอให้คุณโบวี่นั่งตรงนี้น่าจะดีกว่า หรือถ้าเหงาจริงๆ ให้ฉันนั่งเป็นเพื่อนไหมคะ” สุส่งยิ้มไปให้แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะกินเนื้อโบวี่เหลือเกิน
“ ฉันนั่งคนเดียวก็ได้ค่ะ” พูดจบเธอก็นั่งลงชิดกับหน้าต่างก่อนจะหยิบที่ปิดตขึ้นมาตัดขาดจากโลกภายนอก
“ สวัสดีครับ ผมกัปตัน ธราธร ยินดีต้อนรับคณะลูกทัวร์ของเจเอสกรุ๊ป นะครับ ตลอดการบินครั้งนี้ผมจะเป็นคนควบคุมการ
บินพร้อมกับนักบินผู้ช่วย สามารถ ถ้ามีอะไรสามารถเรียกลูกเรือของเราได้ตลอดเลยนะครับ ขอให้สนุกไปกับการเดินทางหนึ่งชัวโมงหลังจากเครื่องขึ้น เพราะเรามีอาหารในเครือเจเอสมามอบให้ครับ"
ไม่นานลูกเรือหรือพนักงานบริการบนเครื่องก็มาสาธิตการถอดใส่เข็มขัดและการใส่เสื้อและการแก้ไขปัญหาในเวลาฉุกเฉินพร้อมกับเครื่องบินก็ค่อยเคลื่อนตัวไปตามรันเวย์ก่อนที่มันจะเพิ่มคามเร็วขึ้นไปเรื่อยๆมือของคนที่นั่งข้างๆผมจับแขนผมแน่น เขาหลับตาพร้อมกับขบกรามแน่น
“ กลัวเหรอ” ผมเอียงตัวเข้าไปถาม
“ อืม แก้ไม่หายสักทีทั้งๆที่เดินทางก็บ่อย” พี่แกตอบทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาก่อนจะเอียงตัวมาซบที่ไหล่ผม “ แต่วันนี้กลัวน้อยกว่าทุกวันนะครับ”
“ ให้มันน้อยๆหน่อย” ผมดันให้พี่เขากลับไปนั่งที่เดิม “ เครื่องปกติแล้ว”
“ ใจร้ายจัง” พี่แกทำหน้าบึ้งก่อนจะหันไปปิดหน้าต่างด้านข้างลง “ พี่อยากมีเบียร์อยู่อย่างนี้นานๆจัง”
“ ข้ามศพสุไปก่อนเถอะ” คนที่นั่งอยู่เบาะหลัง โผล่หน้ามาระหว่างช่องว่างของเก้าอี้ “ ที่นี่ที่สาธารณะนะคะทำอะไรระวังตัวกันด้วย อย่าลืมสิบนนี้ไม่ได้มีแค่สองคนนะ”
“ แกพูดอะไรเนี่ย” ผมหันไปเถียง
“ หน้าแกแดงกว่าสีปากฉันแล้วเนี่ย” มันยิ้มก่อนจะเดินไปรวมกับพนักงานบนเครื่องเพื่อทำการขอไมโครโฟน “ เอาล่ะค่ะ อีกไม่นานอาหารที่ท่านได้เลือกไว้ตอนลงทะเบียนจะถูกนำมาเสิร์ฟแล้วนะคะ หาไม่เพียงพอให้แจ้งทางเราได้ในทันที แต่อย่าลืมนะคะ ว่านี่แค่รองท้องเพราะเมื่อไปถึงที่พักเรามีอาหารมือหลักต้อนฮับแขกบ้านแขกเมืองอีกนะเจ้า” เธอพูดติดตลก ก่อนจะวางไมค์ไว้ที่เดิมแล้วเดินกลับมานั่งรวมกับพวกเรา
“ พี่ธีคะ อาหารค่ะ” สุยืนอาหารที่หุ้มฟรอยเอาไว้มาให้พี่ธี ผมเองก็ได้แต่อมยิ้มเพราะผมดันลืมว่าพี่ธีไม่ถูกกับพริก
“ ทำไมเป็นผัดขี้เมาแบบนี้ล่ะ”
“ ผมสั่งผิดน่ะครับ” ผมยิ้มแห้งๆให้พี่ธี
“ มีอย่างอื่นอีกใช่ไหมวะ” อาหารจืดหมดแล้ว ลูกค้าทานเผ็ดได้กันเกือบทุกคน
“ ทานของหนูได้นะคะ” เด็กหญิงผมสั้นที่เดินมาจากกลุ่มผู้โดยสารด้านหลัง ยื่นคาโบนาร่ามาให้ เธอขยับแว่นเล็กน้อยพร้อมทั้งหลบสายตาของพี่ธีที่กำลังมองอยู่ “ ถ้าพี่ไม่รังเกียจนะคะ คือหนูยังไม่ได้กินเลยนะคะ”
“ ขอบคุณครับ น้อง”
“ หนูชื่อ เรนค่ะ” เธอแนะนำตัวเองก่อนที่จะหยิบกล่องข้าวในมือผมออกไป “ ทานให้อร่อยนะคะ” พูดจบเธอก็เดินกลับไปด้านหลังเพื่อไปรวมกับคนอื่น
“ เอ็กตร้าชีสด้วย น้องเขารู้ใจจริงๆ” พี่ธียิ้มอย่างมีความสุข
“ เดี๋ยว” ผมยกมือห้าม “ ผมเปิดฝากล่องก่อนแล้วทำการคลุกเส้นกับซอสให้เข้ากัน “ ผมชิมก่อน ถ้าพี่เป็นอะไรไปพี่บีฆ่าผมแน่”
“ คิดมากน่า” พี่ธีตักเส้นเข้าปาก ไม่นานพี่เขาก็นิ่งไปแล้วหายใจติดๆขัดตัวของผมชาไปทั้งตัว ผมพยายามเรียกให้เบาที่สุดเพราะกลัวคนอื่นจะแตกตื่น
“ ยายเรน” ผมลุกออกจากเก้าอี้เพื่อจะตรงไปหาคนที่นั่งอยู่ตรงมุมหลังสุด แต่มือหนาคว้าผมเอาไว้เสียก่อน
“ เป็นห่วงขนาดนี้เลยเหรอ” เขาดูดเส้นที่มุมปากเข้าไป “ ดีใจจัง”
“ ตลกมากเลยหรือไง” ผมกระแทกตัวเองลงบนเก้าอี้
ไม่นานมื้ออาหารก็ปผ่านไป สุย้ำเรื่องกฎอีกครั้งก่อนที่เครื่องจะแลนดิ้งลงที่สนามบินเชียงใหม่ และทันทีที่เขาสู่ตัวสนามบิน ผมก็
ทำการเปิดโทรศัพท์ป็นโหมดปกติ
ครืด เสียงสั่นของสัญญาณเตือนในแอพลิเคชั่นขอความของเฟสบุ้คของผมเตือน มันไม่ใช่แชทของผมแต่มันเป็นแชทของแอนตี้ไวรัสธี และคนที่ทักมาคือสตอมมี
สตอมมี่ : สวัสดีเบียร์ แกเป็นแอดมินใช่หรือเปล่า เนียนเลยนะถ้าไม่อยากให้ไอ้ไวรัสจั๋นของแกเดือดร้อนมาเจอกันที่ถนนคนเดินวันนี้
ผมรีบหยิบกำหนดการออกมาดู ก็พบว่าสุดท้ายของทริปวันนี้ก็คือ การเดินถนนคนเดินเนื่องจากว่าเป็นวันอาทิตย์พอดีแล้วมีถนนคนเดิน
แอนตี้ไวรัสธี : พูดบ้าอะไร
สตอมมี่ : นี่ไง
รูปภาพที่ผมกำลังกดโทรศัพท์ถูกส่งมา ด้านข้างของผมคือพี่ธี ใช่แล้วมันคือภาพถ่ายตอนนี้ ผมหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง
“ มีอะไรหรือเปล่า” พี่ธีถาม
“ เปล่าครับ”
“ ไม่มีอะไรก็ไปรวมกับคนอื่นได้แล้ว” พี่ธีเดินนำหน้าไปสมทบกับทุกคน
แอนตี้ไวรัสธี : แกต้องการอะไร
สตอมมี : อยากรู้ก็มาเจอกัน ฉันสัญญาว่าวันนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ชายของแก
สตอมมี : แล้วเจอกันถ้าไม่มา ไม่เอาไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวก็รู้เอง
-
เขาคือใครหนอ :katai1:
-
ต่อ
ไม่นาน เราก็ออกมาจากสนามบิน ตลอดเส้นทางของผมได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จริงๆแล้วที่เชียงใหม่ในตัวเมืองไม่ได้ต่างจากในกรุงเทพนัก ตึกราบ้านช่องรวมทั้งการจราจรยังคงติดขัดแต่ไม่มากนัก สิ่งที่แตกต่างกว่าที่กรุงเทพคือ เส้นทางการเข้าไปในตัวเมือง คือจะมีซากโบราณสถานหรืออะไรสักอย่าง ที่เป็นตัวกั้นอยู่กับคลองเล็กๆในคั่นระหว่างถนนสองฝั่ง หรือคนที่นี่เรียกว่าคูเมืองครับ คนที่นี่ค่อนข้างสโลวไลฟ์ครับ อย่างเรื่องไฟแดง คนที่นี่จะออกตัวค่อนข้างช้าพอสมควรครับ หรือผมคิดไปเอง
ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้ามาถึงรีสอร์ทที่ทางกรุ้ปทัวร์ได้จองเอาไว้ ทด้านหน้าเป็นกำแพงสีขาว ที่ด้านบนประดับด้วยดวงไปทรงกลม มันดูขลังๆ ที่กำแพงสีขาวแต่งแต้มเป็นภาพวาดของการใช้ชีวิตของชาวเหนือ ด้านหน้าทางเข้าปูด้วยหญ้าญี่ปุ่น มีน้ำตกเล็กๆที่ไหลลงจากแผ่นหินสีขาว ที่ล้อมรอบด้วยก้อนอิฐ ด้านหน้าของน้ำตกมีร่มสีแดงวางเรียงรายไว้ดูสวยงาม และมีแผ่นป้ายเล็กๆเขียนว่า ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน
ทันทีที่รถตู้จอด พนักงานยกกระเป๋าก็เดินมาต้อนรับอยู่ในชุดพื้นเมืองสีขาวครีมกับกางเกงสะดอสีน้ำตาล พวกเขายกมือไหวและยิ้มรับอย่างเป็นมิตร พวกเราเดินเข้าไปด้านในมีเสียงดนตรีพื้นเมือง เปิดต้อนรับ ตรงกลางห้องมีเสื่อสีแดงพร้อมกับสำรับอาหารวางไว้อยู่ ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ขันโตกตอนฮับแขกบ้านแขกเมือง
สุมันประกาศให้ทุกคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับเข้ามานั่งที่ตามรายชื่อที่เขียนไว้บนขันโตก ผมได้นั่งกับโบวี่และพี่ธี อาหารภายในขันโตก มีอาหารที่มีแผ่นฟิล์มใสครอบอยู่ ซึ่งมีรายการอาหารแปะอยู่ มันมีแกงฮังเล ซึ่งในนั้นมีมันหมูที่อยู่ในหซอสสีออกน้ำตาล มีน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ที่ใส่เนื้อล้อบเตอร์ลงไปด้วย อละมีแค้บหมู รวมทั้งมีข้าวเหนียว
ไม่นานทุกคนก็มานั่งที่นั่งจนครบ สุที่อยู่ในเสื้อสีชมพูสดใสก็ขึ้นไปบนเวทีด้านหน้า
“ สวัสดีเจ้า ปี้ๆน้องๆทุกๆคน มาที่เชียงใหม่ก็ต้องสวัสดีเป็นภาษาเมืองนะคะ สุเพิ่งฝึกมาเท่านี้ค่ะ” เสียงหัวเราะครืนดังไปทั่วทั้งห้อง กับความโก๊ะๆกังๆของเพื่อนผม “ ตอนนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับนะคะ เดี๋ยวสักครู่จะมีโชว์บนเวที และถ้าหากใครทานข้าวเสร็จแล้ว มารับกุญแจห้องไปเตรียมสัมภาระ เพื่อเตรียมตะลุยเชียงใหม่กันวันนี้เลย”
เหมือนทุกคนจะหิวกันเพราะทุกคนต่างเงียบกับการรับประทานอาหารของตัวเองไปสักพัก แต่แล้วความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงดนตรีพื้นเมืองกับหญิงสาวสีคนที่กำลังร่ายรำหรือทางเหนือเรียกว่าฟ้อนอยู่บนเวที ท่าทางอ่อนช้อย ในมือของทุกคนมีพานที่บรรจุดอกดาวเรืองอยู่ แล้วค่อยๆโปรยลงเวที บรรดาลูกทัวร์ต่างยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายกันอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มของลูกทัวร์ทำให้เพื่อนของผมที่อยู่ด้านข้างเวทีอดยิ้มตามไม่ได้เลย
มานานโชว์แรกบนเวทีก็จบลง การแสดงชุดถัดมาเป็นผู้หญิงสี่คนแต่เป็นชุดใหม่ ผ้าม่านในห้องปิดลงมาอัตโนมัติ ทำให้ห้องมืดทึบราวกับว่าเป็นเวลากลางคืน แสงไฟด้านข้างห้องที่ติดอยู่ตามผนังค่อยๆสว่างสีส้มขึ้นมาเหมือนกับจุดเทียย บนเวทีมีนางรำหรือช่างฟ้อนชุดใหม่กำลังร่ายรำโดยมีเทียนอยู่ในมือ ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาได้มากทีเดียว และเมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือก็ดังลั่นไปทั่วทั้งห้อง
“ เอาล่ะค่ะ ในเมื่อทริปนี้มันพิเศษ มันก็มีเพลงจากคนพิเศษมามอบให้ด้วยนะคะ ขอเสียงปรบมือให้กับ ธีและน้องโบวี่ค่ะ” เสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งห้องอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกรี้ดกร้าดจากบรรดาแฟนคลับ ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ไมโครโฟนจากทีมงานถูกส่งต่อ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมไม่เจอพี่ธีที่พี่เขาจับกีตาร์ ถึงแม้มันจะเป็นกีตาร์ตัวเล็กก็ตาม ภาพความทรงจำในวัยเด็กของผมมันก็ย้อมเข้ามาในหัวอยู่ดี ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ อาจจะตื่นเต้นกับเพลงบนเวที แต่สำหรับผมแล้วผมนึกถึงวันวันนั้น
ที่ระเบียงสีขาของบ้านริมแม่น้ำของผม มันเป็นที่ที่ผมมักจะมานั่งปรับทุกกับตัวเอง เพราะตรงนี้มันทำให้ผมมองเห็นอะไรสบายๆตาหลายอย่าง เรือที่เคลื่อนที่บ้านบ้านไป หรือแม้กระทั่งแสงสว่างของอีกฟากฝั่ง ที่ค่อยๆสว่างขึ้นมาเพราะแสงไฟ วันนี้ก็เช่นกัน ผมโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเพราะว่าไม่ยอมให้ลอกการบ้าน ผมโดนล้อเพราะไอ้เพื่อนพวกนี้มันเอาเรื่องเลวๆที่ผมไม่ได้ทำไปบอกกับคนอื่น เรื่องๆนั้นก็คือมันบอกกับคนอ่านว่าผมเป็นเมียพี่ธี มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมและพี่ชายเป็นผู้ชายกันทั้งคู่
ลมจากแม่น้ำไหลเข้ามากกระทบใบหน้ามันเป็นอะไรที่สบายใจสำหรับผมมากๆ ผมชอบการที่ลมมันตีหน้า ถ้าโตขึ้นผมก็อยากลองขับรถเปิดกระจกหรือการขี่มอเตอร์ไซค์ให้ลมตีหน้าให้มันหายเครียด
“ แม่บอกว่าไม่ยอมกินข้าวเหรอ” เสียงไม้กระดานด้านหลังลั่นพร้อมกับเสียงของคนที่ผมไม่อยากเจอ “ เป็นไรเด็กดื้อพี่พูดด้วยทำไมไม่พูดล่ะ”
“ พี่ชายอายหรือเปล่า” ผมถามโดยที่ผมได้แต่ก้มมองแผ่นกระดาน
“ อาย ?”
“ ครับ อายหรือเปล่าที่สนิทกับผม อายหรือเปล่าที่มีคนมาพูดว่าเอ่อ “
“ อ๋อ เรื่องที่เขาพูดกันที่โรงเรียนอ่านะ” พี่ธีขำออกมาอย่างอารมณ์ดี “ การที่โดนล้อว่าเป็นแฟนพี่มันน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ ผมไม่ได้อายครับ ผมกลัวพี่อาย ผมกลัวว่า”
“ อย่าคิดอะไรแทนพี่อีกเข้าใจหรือป่าว” พี่แกยกมือขึ้นมายีผมของผม “ เอาอย่างนี้ พี่กำลังเริ่มเรียนกีตาร์มา ช่วยลองฟังหน่อยได้หรือเปล่า”
“ ได้สิ”
“ ห้ามหัวเราะนะถ้าเล่นไม่เก่ง”
ผมจำวันนั้นได้อย่างดี ถึงดนตรีนั้นไม่ได้เพราะเทียบเท่ากับตอนนี้ แต่เสียงกีตาร์ในวันนั้นมันเป็นน้ำที่คอยชโลมชีวิตของผมได้เป็นอย่างดี วันนั้นพี่ปกป้องผม และพี่ก็เป็นคนที่ทำให้ผมเจ็บที่สุด ผมเองก็อยากรู้เหตุผลของพี่เหมือนกัน และวันนี้ผมเลือกแล้วว่าผมจะปกป้องคนที่ผมรัก ผมจะไปหา สตอมมี่
“ เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวเรามาถ่ายรูปรวมกันดีกว่านะคะ” สุโบกมือให้กับคนที่อยู่ในงาน ทุกคนต่างวิ่งกันออกไปเพื่อให้ใกล้กับศิลปินคนโปรดของตัวเองมากที่สุด
หลังจากถ่ายณุปและงานขันโตกของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามห้องพัก ซึ่งผมนอนอยู่ชั้นเจ็ดครับ ทั้งชั้นเป็นของทีมงาน และด้านล่างทั้งชั้นหกและห้าจะเป็นของคนที่มาทริปกับพวกเรา สุซึ่งป็นทีมงานจึงต้องไปนอนห้องกับเพื่อนที่บริษัท โบวี่ นอนกับผู้จัดการที่ล่วงหน้ามาก่อน ผมนอนกับพี่ธี
ห้องกว้างมากครับ มุมที่เป็นกระจกเมื่อเปิดออกจะเป็นวิวของภูเขา หรือดอยสุเทพ ด้านล่างเป็นความเจริญของเมืองซึ่งมันเหมือนขัดกันมากๆแต่มันโคตรลงตัว นี่คงเป็นสเน่ของเชียงใหม่สินะ
“ เบียร์ นอนเตียงด้านในนะ เดี๋ยวพี่นอนฝั่งนี้เอง กลัวผีใช่หรือเปล่า” พี่ธีหันมาถามผมพร้อมกับวางลงบนเตียงตัวเอง
ในห้องมีเตียงขนาดคิงไซส์สองเตียงครับ ใช่ครับมันใหญ่มาก แต่ผมเป็นคนไม่ชอบนอนติดหน้าต่าง เพราะกลัวผี ซึ่งพี่ธีรู้ดีกว่าใครๆ ถ้าเขาจำได้นะและก็จำได้จริงๆ
“ ครับ” ผมพูดเสร็จก็เริ่มเอาของออกจากกระเปา พร้อมทั้งหยิบเป้ที่มีอยู่มาใส่กระเป๋าเงิน สมุดคิวงาน ไอแพด ที่ชาร์ตแบตำรองและหูฟังลงในกระเป๋า และยังไม่ลืมที่จะหยิบกล้องที่วางอยู่มาห้อยคอ
“ ถุงนั้นถุงอะไรอ่ะ” พี่ธีชี้ไปที่ถุงซึ่งผมวางไว้ข้างกระเป๋า
“ อ๋อ ถุงพยาบาลขนดพกพาครับ เกือบลืมเลย” ผมหยิบถุงนั้นลงใส่กระเป๋า
“ ต้องพกขนาดนี้เลยเหรอ”
“ พี่ก็รู้ว่าผมซุ่มซ่าม เผื่อมีแผลจะได้ทำเองเลย”
“ นั่นน่ะสิ ซุ่มซ่าม เด็กดื้อ” พอได้ยินคำนี้หัวใจของผมรู้สึกหวามๆอย่างบอกไม่ถูกเพราะไม่ค่อยได้ยินคำนี้มานานแล้ว
“ ใครเด็ก ผมโตแล้ว สูงจะเท่าพี่แล้วเนี่ย”
“ ไหลลองเทียบซิ” พี่ธี เดินเข้ามาใกล้ผม ยิ่งพี่เขาเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นมากเท่านั้น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆมันลอยเข้ามาในจมูกผม เสียงลมหายใจของคนที่ยืนข้างหลังมันทำให้ผมต้องหลับตาสนิท มันใกล้เกินไปแล้ว “ สูงจะเท่าพี่แล้วจริงๆด้วยสินะ”
“ เออ ออกไปได้แล้วจะเก็บของต่อ” ผมพูดโดยไม่หันกลับไปหาคนที่ยืนด้านหลังเลนแม้แต่น้อย
“ ครับ” แต่คำตอบรับของพี่เขาเขายิ่งขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ขยับจนผมติดกับเตียง
“ เชี่ย” ผมหน้าทิ่มลงไปนอนบนเตียงเพราะว่าขยับหนีพี่ธี และมันจะดีมากถ้าไม่มีอีกคนที่ล้มทับตามมา ร่างของพี่ธีทับผมอยู่ด้นบน ใบหน้าสีขาวเกยอยู่บนไหล่ของผม เสียงลมหายใจของพี่เขาแสดงให้เห็นว่าพี่เขาคงตกใจไม่น้อย แต่ทำไมไม่ยอมลุกสักทีล่ะ “ ลุกขึ้นได้แล้ว”
“ ลุกไม่ไหวปวดหลัง” พี่ธีทำเสียงโอดครวญ
“ ตลกแล้ว ลุกไปเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาทำนิสัยแบบนี้กับผมนะ” ผมพลิกตัว เทคนที่ทับอยู่ให้ร่วงไปอีกฝั่งก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง
“ รังเกียจพี่เหรอ” เค้าคว้าตัวผมไว้แล้วกระชับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่น อ้อมกอดที่ผมถวิลหา “ เบียร์ ไม่รักพี่ชายคนนี้แล้วเหรอ”
“ ถ้าไม่รักจะแคร์เหรอ จะโกรธทำไมที่ลืมกัน” ผมอ้อมแอ้มตอบไป เงาในกระจกตรงหน้าผมทำให้ผมรู้ว่าหลงกล ใบหน้าข้างหลังยิ้มแป้นราวกับได้ของถูกใจ “ ปล่อยได้แล้ว ถ้าไม่ปล่อยจะโกรธแล้วนะ”
“ โกรธก็ง้อ พี่ง้อเก่งนะ”
“ พี่ทำแบบนี้ทำไม วันนั้นพี่ยังปฏิเสธผมอยู่เลย”
“ วันหนึ่งเบียร์จะรู้ ว่าสิ่งที่พี่ทำอยู่ พี่กำลังปกป้องคนที่พี่รัก” พี่ธีพูดเสียงเบาลง แล้วซบมาที่หลังของผม “ เบียร์เชื่อใจพี่นะ อยู่ข้างๆพี่ก่อนนะ อย่าทิ้งพี่ไปไหนอีกนะ”
“ คะ ครับ” ผมตอบไปอย่างงงๆ เพราะผมไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ธีพูดเท่าไหร่นัก แต่สายตาของพี่เขาที่มันสะท้อนอยู่ในกระจกมันอ่อนแอเหลือเกิน
“ เบียร์เชื่อใจพี่นะ และจำไว้ว่า คนสุดท้ายตอนนี้ที่พี่จะเกลียดและทำร้ายคือเบียร์”
“ ครับ”
ผมไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่เราสองคนกอดกันอยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้น ภาพความทรงจำในอดีตมันลบทุกอย่างที่ผมอคติติอตัวพี่ธีไปจนหมด ผมมองคนที่หลับตาอย่างอ่อนแรงผ่านกระจก ผมจะปกป้องพี่เองครับ และถ้าวันที่ผมปกป้องพี่เสร็จ ความจริงที่ผมทำร้ายพี่มาตลอดมันปรากฏ มันจะยังได้ยืนข้างๆพี่อยู่หรือเปล่า
-
รอดูสถานการณ์ต่อไป :hao4:
-
ตอนพิเศษ
“ แม่สอนผมทำขนมหน่อย” ผมเดินเข้าไปในร้าน ซึ่งตอนนี้เราย้ายมาอยู่ในเมืองและมีร้านเป็นของตัวเองแล้วและพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปี และเป็นวันวาเลนไทน์ด้วย ผมต้องมีอะไรพิเศษๆให้กับคุณแฟนอันเป็นที่รักของผม อิจฉาล่ะสิ วันวาเลนไทน์ครั้งแรกนี่มันตื่นเต้นอย่างนี้นี่เอง แต่อย่าอิจฉามากนะ กว่ามันจะผ่านมาครบปีแบบนี้เราผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน ( ไปเร่งไรท์กันเอาเองนะ หุหุ) มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้ผมลางานจากพี่บี โดยบอกเหตุผลว่าไม่สบาย แต่จริงๆพี่แกรู้แหละ แล้วปล่อยผมมา ผมเลยปรี่มาที่ร้านเพื่อมาหาแม่ พี่ธีชอบกินชีส ชาเขียว จะเอาสองอย่างนี้มารวมกันได้ยังไงเนี่ย
“ ผีเข้าหรือไงตัวแสบถึงได้มาขอทำขนม”
“ ผมอยากทำให้พี่ธีอ่า นะๆๆสอนทำหน่อย” ผมกอดเอวแม่แสนน่ารักที่กำลังทำหน้าเหมือนว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยกำลังจะเกิดขึ้น
“ นี่จะไม่มาพังร้านแม่ถูกมั้ย” เธอหัวเราะเบาๆ “ แล้วจะเอาวันไหนล่ะ”
“ วันนี้ครับ” ผมตอบไปโดยไม่สบตา
“ มันน่านัก ไม่เตรียมอะไรล่วงหน้าเลยใช่ไหม เอาที่แม่ทำไปก่อนเลย”
“ ไม่ได้ครับ” ผมท้วงทำเอาคนในร้านหันมามอง “ ผมอยากทำด้ยตัวเอง”
“ ตายจริง ลูกเขยฉันจะรอดไหมเนี่ย”
“ ลูกเขยอะไรเล่า”
“ แหมๆ แล้วหวนในมือนี่ล่ะ” แม่ช้ไปที่แหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม “ เอาล่ะๆ มัวแต่เขินบิดไปมาอย่างนี้ วันนี้ทำไม่ทันกันพอดี แล้วนี่จะทำอะไรล่ะ”
“ อยากทำชีสเค้กชาเขียว กับชาเขียวปั่นครับ”
“ มา เริ่ม”
ผมพยายามไม่ให้แม่มาวุ่นกับการทำขอผมมากเพราะผมอยากทำอะไรด้วยตัวของผมเองให้มากที่สุด ผมทำแป้งเสียทิ้งไปสองรอบเพราะตื่นเต้น รีบแล้วใส่ส่วนผสมสลับไปมาจนมั่ว วันนี้เหมือนผมมาพังร้านของแม่เลยครับ และนี่ผมหวังว่ามันจะเป็นรอบสุดท้าย ผมร่อนแป้ง อเนกประสงค์ ผสมกับผงฟูน้ำตาลเกลือ ผมไม่มีสิทธิ์พลาดแล้วเพราะพี่ธีกำลังมาหาผมที่ร้าน พี่บีโทรมาบอกเมื่อกี้นี้เอง
ผมเร่งทำทุกอย่างตามสูตรที่แม่เขียนไว้ ก่อนจะนำมันเข้าตู้อบ แล้วตัวผมเองก็มาตีเตรียมทำหน้าปั่นรอ พี่ธีชอบแบบหวานน้อยผมเลยใส่ชาเขียวลงไปมากกว่าปกติเพราะคิดว่ามันน่าจะตัดรสหวานๆของชีสเค้กได้ ไม่นานเค้กในเตาอบมันก็มีสัญญาณเตือนให้นำออก รอบนี้หน้าตาสวยงามไม่ไหม้ และสุกสวยงามหวังว่ารสชาติมันคงจะดีตามหน้าตานะ
ผมเก็บทุกอย่างใส่กล่องก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปที่หน้าร้าน ซึ่งมีรถแท็กซี่จอดอยู่ แม่ของผมที่กำลังเก็บร้านอยู่เลยถามแบบงงๆ
“ จะไปไหน ธีจะมารับที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ ถ้าพี่ธีมาที่นี่ แม่บอกดึงเวลาให้ผมสักครึ่งชั่วโมงนะ ผมจะไปที่บ้านเก่าเรา แล้วก็ผมขออนุญาตนอนที่นั่นเลยนะ” ผม
ยกมือไหว้แม่ก่อนจะขึ้นรถไป
ไม่นานผมก็มาถึงที่หมาย ข้าวของทุกอย่างที่ผมนำมาจากร้านและ ดอกไม้บางส่วนที่ผมแวะซื้อระหว่างทาง ถูกจัดวางใส่แจกันสีขาวง่ายๆซึ่งมันตัดกันได้ดีกับสีแดง ผมยกโต๊ะสีขาวไปวางที่ระเบียงริมน้ำ วันนี้มันสงบมาก ความเจริญของอีกฟากฝั่งของเมืองมันช่างสวยงาม แสงไฟระยิบระยับจากเรือที่ล่องในแม่น้ำยิ่งทำให้ชวนมอง ผมไปหยิบเชิงเทียน ออกมาวางบนโต๊ะก่อนจะเดินเอาเทียนหอมไปจุดวางบนระเบียงสีขาว แล้วนำอาหารที่ซื้อมาไปเข้าไมโครเมฟแล้วเอามาวางบนโต๊ะจัดจานเพื่อรอใครบางคนมา
จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของผมก็สั่น เตือนว่ามีคนโทรเข้า พี่ธีโทรมาครับ ผมกดรับสายทันทีและพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุดถึงแม้ว่ามันจะตื่นเต้นก็ตาม
“ เบียร์ พี่ไม่กลับบ้านแล้วนะวันนี้พอดีพี่มีธุรด่วนน่ะ”
“ ธุระอะไรครับ” ผมถามกลับไปด้วยความตกใจ
“ ไปงานเลี้ยงปิดกองน่ะ วันนี้พี่บีแกให้พี่กินเต็มที่เลยนะ นอนได้เลยไม่ต้องรอพี่” พี่ธีพูดจบก็ตัดสายไปเลยทิ้งให้ผมนั่งตัวสั่นด้วยความโกรธ แล้วไอ้น้ำตาบ้านี่ก็จะไหลออกมาทำไมก็ไม่รู้ ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาสิ ผมเดินไปดับเทียนทุกดวงก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอน ซึ่งผมก็จัดไว้อย่างดี วันนี้พี่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมนอนที่นี่ ช่างมันเถอะหลับๆไปพรุ่งนี้เดี๋ยวก็เช้า
ผมไม่รู้ว่าผมร้องไห้และหลับไปได้นานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เหมือนมีใครบางคนมานอนข้างๆเพราะเตียงด้านข้างมันยุบ หรือว่าผี ผีบ้านผีเรือนเหรอ มาอยู่เป็นเพื่อนเหรอ ไม่เอา ผมอยู่คนเดียวได้
“ สุขสันต์วันครบรอบครับ” เสียงแผ่วเบากระซิบข้างหูพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย
“ ไหนว่าไปงานเลี้ยง” ผมขยับตัวออกทันทีแต่มือหน้าคว้าตัวของผมเข้าไปในอ้อมกอดเสียก่อน “ ปล่อยเลยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย “ ผมไม่รู้ว่าไอ้น้ำตาบ้านี่จะไหลออกมาทำไม
“ พี่ขอโทษนะ อย่าร้องไห้สิ” พี่ธีจับผมพลิกตัวเข้ามาหา “ แม่บอกกับพี่ว่าเบียร์มีของให้พี่ แต่พี่มัวแต่ยุ่งทำงานเลยไม่ได้เตรียมอะไรเลย พี่แค่กะจะพาไปหาอะไรกิน แต่พอเบียร์มาที่นี่พี่เลยคิดว่าอยากหาอะไรที่พิเศษให้เบียร์บ้างพี่เลยมาช้า พี่ขอโทษนะครับ”
“ อืม” ผมพูดอะไรไม่ออก น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจนะครับ พี่ธีพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอาผ้ามาผูกตาเอาไว้ก่อนจะพาผมเดินมาหยุดที่ไหนสักที่และผมเดาว่ามันน่าจะเป็นระเบียง เพราะมันมีลมเบาๆตีหน้าอยู่ตลอด
“ ชอบหรือเปล่า” พี่เขาถามหลังจากที่ถอดผ้าปิดตาออก ตรงหน้าเป็นแสงเทียนี่วางอยู่รอบระเบียงมันส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ไปทั่วบริเวณ บนโต๊ะมีอาหารและเทียนจุดอยู่
“ ขี้โกง นี่มันของที่ผมทำเอาไว้อยู่แล้วนี่”
“ แต่พี่เป็นคนเอามาสานต่อนะ” พี่ธียกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงกับลำโพงที่เชื่อมบลูทูธเอาไว้ มันเป็นเพลงคลอเบาๆแต่โคตรโรแมนติก
“ ก็ได้” ผมยิ้ม “ ขอบคุณนะ”
“ เชิญตัวเล็กของผมไปนั่งได้เลยครับ” พี่ธีผายมือไปยังเก้าอี้สีขาวที่วางอยู่ เข้เดินมาดึงเก้าอี้ออกเพื่อให้ผมนั่งได้อย่างสบายๆ “ อาหารนี่พี่เอาไปอุ่นให้ใหม่หมดแล้ว”
“ มันคงไม่อร่อยแล้วแน่ๆเลย”
“พี่ไม่สนแล้วว่าอาหารตรงหน้าอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มื้อนี้มันพิเศษมากเลยนะ มันพิเศษตรงที่เราได้กลับมาเริ่มในที่ที่เราเริ่มทุกอย่างไว้ มันกลับมาที่ที่เคยมีเราในตอนนั้น มันกลับมาเติมเต็มในส่วนที่มันหายไปนาน”
“ แหวะ ละครจัง” ผมแกล้งพูดดักความเขินของตัวเอง
“ ครับพี่เข้าใจ พี่มันเป็นนักแสดงนี่เลยติดประโยคน้ำเน่าๆแบบนี้” พี่แกดึงมือของผมไปหาตัวเองพร้อมกับดึงแหวนในมือของผมออก
“ พี่จะทำอะไรอ่า นี่มันแหวนที่พี่ซื้อให้ตอนผมเป็นแฟนกันนะ” ผมแย้งแต่ไม่ทันแล้ว เพราะพี่ธีถอดมันกลับ หรือว่าพี่แกโกรธที่ผมว่าแกน้ำเน่ากันนะ
“ มาทานข้าวกัน” พี่ธีทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราสองคนต่างเงียบจนมื้ออาหารผ่านไป ผมเลยได้เวลาง้อเพราะผมเตรียมขนมหวานและชาเขียวเอาไว้ในตู้เย็น
“ เดี๋ยวมานะ” ผมลุกออกจากเก้าอี้ไป ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็น ผมมองมันอย่างชั่งใจเพราะกลัวรสชาติมันจะออกมาไม่ถูกปากคนกินเท่าไหร่แต่มันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องเอาไปให้แหละวะ ผมเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับขนมในมือและชาเขียว “ อยู่ด้วยกันมาปีนึงแล้วอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ”
“ ไม่เบื่อหรอก พี่ธีดึงเค้กไปวางตรงหน้าตัวเอง “ น่ากินจัง”
“ เบียร์ทำเองเลยนะ ทั้งสองอย่างเลย” ผมยิ้มอย่างภูมิใจ “ พี่จะคืนแหวนให้ผมได้หรือยัง”
“ เอามือมาสิ” ผมยื่นมือข้างซ้ายออกไป
“ แต่งงานกับพี่นะ พี่จะออกจากวงการ มาสานต่องานของพ่อ เบียร์มาอยู่กับพี่นะ พี่พร้อมแล้ว” ใครจะไปรู้ว่าแหวนวงใหม่มันใหญ่กว่าเดิม สายตาของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ดูจริงจังมาก “ อย่าเพิ่งตอบนะเอาใหม่ๆ” พี่ธีลุกจากเก้าอี้ออกมานั่งคุกเข่ากับพื้น “ ตอบเลย”
“ ครับ ผมสัญญากับพี่แล้วนิว่าเราจะอยู่ด้วยกัน” ผมพูดจบแหวนนั้น ก็ถูกสวมเข้ามาที่นิ้วนางของผม
“ เป็นของพี่แล้วนะ”พี่แกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ ชิมขนมผมก่อนเลย” ผมดันจานขนมไปหาพี่เขา “ ผมทำเองเลย”
“ รู้แล้วว่าทำเอง พี่จะกินให้หมดเลย” พี่ธี ตักขนมเข้าปากคำโต หน้าพี่แกเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เหมือนพี่เขาอยากคายมันออกมาเสียอย่างนั้น
“ ไม่อร่อยเหรอ”
“ อร่อยสิ” พี่เขาพูดจบพร้อมกับหยิบชาเขียวตรงหน้ามาดูด แล้วกลืนทุกอย่างลงไปอย่างทรมาน
“ ไหนชิมหน่อย”
“ ไม่เอา” พี่เขาเลื่อนจานหนี “ เบียร์ทำให้พี่แล้วเบียร์จะมาแย่งทำไม”
“ เอามาชิมหน่อย” ผมยกช้อมที่อยู่ตรงหน้าแล้วตักลงบนเค้กก่อนจะนำเข้ามาก รสชาติที่ควรจะหวานมันกลับเค็มจนไม่สามารถเคี้ยวต่อไปได้ ผมหยิบชาเขียวมาดูด มันขมจนไม่มีรสชาตอื่นเลย “ ทิ้งเถอะ”
“ ได้ไงล่ะ เบียร์อุตส่าทำให้พี่”
“ แต่ถ้าพี่กิน พี่บีฆ่าผมแน่เพราะทำเด็กพี่เขาป่วย”
“ แล้วจะเอาอะไรทดแทนดีล่ะ” ใบหน้าเจ้าเล่ห์มันกลับมาอีกแล้ว “ ของหวานพี่ยังไม่ได้กินเลยนะ”
“ แล้วแต่เลย พี่อยากได้อะไรล่ะ”
“ พี่อยากได้เบียร์อีก”
“ บ้า”
“ จริงจัง เพราะขนมหวานอย่างเบียร์ พี่กินกี่ทีก็ไม่เคยพอ”
-
ตอนครบรอบนี้หวานจังเลย แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่หวานเลย คุยแบบดี ๆ ยังยากเลย :hao3:
-
9
เสียงโทรศัพท์ในห้องทำให้ผมกับไอ้พี่ธีที่ทำตัวเหมือนเด็กน้อยนอนกอดผมไปนานเท่าไหร่แต่รู้อย่างเดียวว่ามันทำให้ผมหยุดคิดเรื่องบ้าๆไปได้อย่างหมดสิ้น ผมชักชอบอ้อมกอดนี้มากขึ้นไปทุกทีแล้วล่ะสิ และตอนนี้ผมเหมือนได้รับพลังงานบางอย่าง พลังงานที่อยากทำให้ผมอยากไปเจอสตอมมีเร็วๆ เพราะหลังจากที่ผมมารวมกับทุกคนด้านล่างผมรู้สึกว่ามีสายตาบางอย่างมองผมอยู่ตลอดเวลา แต่ผมอาจจะคิดมากไป
“ ขอโทษค่ะ” เสียงผู้หญิงเล็กเอ่ยขอโทษหลังจากที่เธอวิ่งชนผมกับพี่ธีอย่างจังเพราะสุเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ด้านข้างของรถบัส ผมจำเธอได้เธอคือผู้หญิงบนเครื่องที่เอาคาโบนาร่ามาให้พี่ธี เธอชื่อ เรน และคนนี้แหละที่ผมจะตามติด
เมื่อทุกคนเดินมารวมตัวกันแล้ว ทางทีมงานก็จัดให้ทุกคนขึ้นไปบนรถตามที่นั่งที่กำหนดไว้ บนรถ พี่ธีและโบวี่เป็นเหมือนแอร์ฮอสเตสและไกด์ไปในตัวเพราะพวกเขาจะเดินไปหาทุกคนบนรถและคอยให้ความสนุกสนานไม่ว่าจะเป็นการเดินไปถ่ายรูป และการร้องเพลงให้กับผู้ร่วมทริปฟัง ใบหน้าของทุกคนต่างยิ้มแย้มที่ดีรับความเป็นกันเอง เว้นเสียแต่คนที่นั่งเบาะหลังสุดริมหน้าต่าง เรนได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าไม่สุนทรีย์กับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ และเมื่อด้านข้างของเธอมีที่ว่างผมเลยตัดสินใจที่จะเดินไปนั่งข้างๆ
“ ไม่สนุกเหรอ” ผมเอ่ย เธอหันหน้ากลับมาจากหน้าต่างด้วยใบหน้าซีดเซียว “ เป็นไรหรือเปล่า”
“ หนูเมารถค่ะ” เธอตอบมาอย่างไม่เต็มเสียง
“ สุ” ผมโบกมือเรียกเพื่อนมา และไม่นานเพื่อนของผมก็มาหยุดอยู่ด้านข้าง
“ มีไรแก”
“ เด็กมันบอกว่าเมารถว่ะ แกย้ายที่นั่งให้น้องดีไหมเพราะด้านหลังมันจะเหวี่ยงกว่าข้างหน้านะ” ผมแนะนำ
“ เออได้ๆ” สุโบกไม้โบกมือเรียกทีมงานมาช่วยประคองเรนไปนั่งด้านหน้า
เด็กผู้หญิงตัวเท่านี้จะมีพิษสงอะไรได้นะ ผมคงคิดมากไป เองหรือเปล่า แล้วใครล่ะคือสตรอมมี่ ใครคนนั้นอยู่บนรถคันนี้แน่ๆ
ไม่นาน รถของพวกเราก็มาจอดเทียบบริเวณอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นจุดแวะไหว้ของคนที่จะขึ้นไปยังดอยสุเทพอยู่แล้ว ครูบาศรีวิชัยป็นคนที่ถางทางขึ้นยอดดอยสุเทพ จึงเป็นที่สักการะของคนพื้นที่ครับ ในแผ่นพับบอกไว้น่ะครับ และเมื่อลงจากรถไปทางทีมงานก็ไปซื้อของสักการะ มาแจกจ่ายให้กับลูกทัวร์ทุกคน เสียงเจื้อยแจ้วจากแม่ค้าและรอยยิ้มพร้อมกับยื่นดอกไม้มาทางพวกเราทำให้ผมรู้สึกว่า เที่ยวที่เมืองไทยมันดูอบอุ่น ชุดการไหว้สักการะ ก็จะมีดอกดาวเรืองที่ร้อยเป็นพวงมาลัย ธูป เทียนและแผ่นปิดทอง
“ มานี่” พี่ธีเดินมาสะกิดผมให้เดินตาม เราเดินอ้อมทุกคนมายืนที่มุมด้านหลังของอนุสาวรีย์ซึ่งจุดๆนั้นจะมีตะเกียงไว้จุดธูป ด้วยมันเป็นมุมอับเลยไม่ค่อยมีใครเข้ามา เพราะคนส่วนใหญ่จะไหว้ตรงกระถางธูปด้านหน้า
“ มาทำไรตรงนี้เนี่ย”
“ มันไม่ค่อยมีคน พี่อยากไหว้กับเบียร์” พี่ธีตอบอย่างไม่ยี่หระก่อนที่จะยกมือไหว้อย่างๆยิ้มๆแล้วเอาธูปเดินไปปักที่ด้านหน้า แล้วผมก็เดินตามไป “ เบียร์อธิฐานอะไร”
“ ใครจะบอกล่ะ” ผมตอบเสร็จก็เดินไปรวมกับคนอื่นๆที่กำลังยืนรอเพื่อให้ทุกคนมาเก็บรูปถ่ายเป็นที่ระลึกกัน รวมถึงโบวี่ที่พยายามฉีกยิ้มท่ามกลางแววตาที่ไม่ได้ยิ้มด้วยเลย ผมเข้าใจครับ แดดมันคงร้อนอีกอย่างผู้จัดการส่วนตัวของเธอดันท้องเสียต้องนอนที่โรงแรมมาด้วยไม่ได้
“ พี่ธีคะ” โบวี่ที่เห็นพี่ธีเดินมาข้างหลังผล เธอเลยวิ่งตรงดิ่งมาห ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนหันมาตามเสียงใสๆของเธอ “ โบวี่ร้อนจัง” และเมื่อเธอรับรู้ว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอ “ แต่โบวี่มีความสู้กมีความสุขที่ได้มาอยู่ตรงนี้กับพี่และทุกคนนะคะ”
หลังจากที่ทุกคนถ่ายรูปเสร็จพวกเราก็ขึ้นไปบนรถเพื่อที่จะไปที่ปลายทางด้านหน้าคือ พระธาตุดอยสุเทพ และเมื่อรถออกไปสักพักโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
สตอมมี่: คุณได้รับรูปภาพ ผมรอโหลดไม่นาน รูปที่ขึ้นมาคือรูปที่ผมกำลังยืนไหว้ที่อนุสาวรีย์กับพี่ธี
สตอมมี : ดูมีความสุขดีนะ
สตอมมี่ : สบายใจจังเนอะ
แอนตี้ไวรัสธี : ต้องการอะไร เป็นโรคจิตเหรอ
ผมตอบเสร็จกูลุกขึ้นยืนในทันที เพราะผมอยากรู้ว่าใครกันที่กำลังเล่นสงครามประสาทกับผมอยู่ ผมไม่สนุกเลย ผมกลัว ไม่รู้สิครับผมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย
“ มีอะไรหรือเปล่า” พี่ธีที่นอนซบไหล่ผมเมื่อกี้ตื่นขึ้นมาถาม
“ ไม่มีไรครับ แค่อยากแกล้งเฉยๆ” ผมส่งยิ้มไปให้ พี่แกเขกหัวผมมาทีนึง เรื่องนี้ผมจะให้พี่ธีรู้ไม่ได้ เพราะยิ่งถ้าคนรู้เยอะสตรอมมี่ก็จะไม่อยากเผยตัว
สตอมมี่ : มองหาฉันอยู่เหรอ
สตอมมี่ : กลัวฉันเหรอ
แอนตี้ไวรัสธี : .ใครเขากลัวกันเก่งจริง ก็เผยตัวออกมาดิวะ แฟร์ๆดิ
สตอมมี่ : จุ๊ๆๆๆๆๆ ใจเย็นๆสิจ้ะ อย่าเพิ่งโมโหจนออกแตกตายไปสิ
แอนนตี้ไวรัสธี : นี่มึงกวนตีนเหรอ
สตอมมี : ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้เจอกันแล้ว
สตอมมี่ : เอ้ะ หรือว่า จะไม่กล้ามาน้า
แอนตี้ไวรัสธี : นัดมาแล้วกัน แล้วหยุดเล่นอะไรบ้าๆแบบนี้สักที
สตอมมี่ : คุณได้รับรูปภาพ
รูปภาพที่สตอมมส่งมาให้ผมคือรูประหว่างเบาะซึ่งมันเห็นว่าพี่ธีกำลังซบลงมาที่ไหล่ของผมอยู่ สตอมมี่ต้องเป็นคนที่นั่งด้านหลังเบาะและนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมแน่ๆ
“ สุ” ผมเรียกเพื่อนของผมเบาๆ
“ มีอะไร” เธอเงยหน้าขึ้นมาจากสคริปในมือของตัวเธอ
“ ฉันรายชื่อของคนที่นั่งฝั่งฉันหน่อย”
“ แกจะเอาไปทำอะไร” เธอถามด้วยใบหน้าที่งงๆ
“ เออน่า”
“ ถ้าแกไม่บอกฉัน ฉันก็เอาให้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าแกจะเป็นเพื่อนก็เถอะ” มันทำหน้าจริงจังใส่ผมครับ
“ เออๆ” ผมแคปภาพการสนทนาระหว่างผมกับสตอมมี่ส่งไปให้สุ มันตาโตราวกับไข่ห่าน ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ผมปรามเอาไว้ได้ทัน มันเกือบทำไก่ผมตื่นแล้วล่ะ
“ นี่” เธอส่งผังที่นั่งมาพร้อมกับขนมเพื่อความเนียน ผมนั่งไล่ชื่อไปเรื่อยๆ เรน คนที่ผมสงสัยดันนั่งอยู่ด้านหลังผมเสียด้วยสิ ผมคงเลิกสนใจน้องคนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ
“ มีไรหรือเปล่านั่งเครียดเชียว” พี่ธีที่เพิ่งตื่นถาม
“ ไม่มีไรหรอก” ผมส่งยิ้มไปให้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้ผมต้องหาตัวสตอมมีให้เจอให้ได้ และพี่ธีจะต้องไม่รู้เรื่องนี้
รถบัสมาจอดที่จุดจอดรถซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระธาตุดอยสุเทพเท่าไหร่นัก เราเดินผ่านร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายต่อหล่ยร้านจนมาหยุดที่บริเวณบันไดทางขึ้น ทางทัวร์ของเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ถ้าใครขึ้นบันไดไหวก็จะเดินขึ้นและถ้าหากว่าใครไปไม่ไหวหรือกลัวเหนื่อยก็ไปขึ้นลิฟท์โดยค่าบริการทั้งหมดทางทัวร์จะเป็คนออกให้ ผมกับพี่ธีและลูกค้าบางกลุ่มเลือกที่จะเดินชึ้นบันได
เมื่อเดินมาถึงที่บันได้ ผมเองก็อยากจะวิ่งกลับไปขึ้นลิฟท์เสียจริงๆเพราะว่าด้านหน้ามีบันไดทีมีนาคทั้งสองอยู่ด้านขึ้น สูงขึ้นไปเป็นร้อยขั้นแน่ๆ แต่ไหนๆก็มาแล้วก็ต้องเดินต่อไป ตรงบริเวณบันได้มีน้องๆตัวเล็กๆแต่กายชุดประจำเผ่าตัวเอง ที่นี่เขาเรียกกันว่า แม้ว ม้ง หรืออะไรก็ไม่แน่ใจ เราสามารถที่จะถ่ายรูปแล้วให้เงินกับน้องๆได้ ทางกลุ่มของเราเลยแวะถ่ายรูปก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบน ระหว่างทางจะมีกลุ่มนักศึกษาที่มาขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปทำค่ายอาสา หรือไปจัดงานเลี้ยงเด็กหรือคนชราตลอดทาง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ามันดีมาก ที่พวกเขาเห็นความสำคัญของเพื่อนร่วมโลก
ถึงแม้ว่าระยะทางมันจะค่อนข้างเยอะ แต่อากาศมันไม่ได้ร้อนอย่างที่คิดเพราะยิ่งขึ้นมันยิ่งทำให้รู้สึกเย็นแม้ว่าจะหายใจลำบากๆไปบ้างก็ตาม แต่พี่ธีนี่สิเดินไปข้างหน้าเหมือนกับว่าเดินอยู่บนทางปกติ ผมยกกล้องในมือขึ้นมาถ่ายด้านหลังไว้ แต่ใครจะรู้ว่าไอ้พี่บ้ามันจะหันกลับล่ะ หน้าของพี่แกในรูปมันดูเป็นธรรมชาติมากเลยครับ ดูเหวอๆจะพูดอะไรสักอย่างแต่มันมีรอยยิ้มบางอย่างแฝงไว้ด้วย
“ แอบถ่ายเหรอ”
“ เปล่า” ผมปฏิเสธ “ คนอื่นเขาก็ถ่ายกันทั้งนั้นแหละ ผมเองก็แค่จะลองแสงแค่นั้นเอง”
“ จริงๆ ใครจะถ่ายรูปกับผมถ่ายได้เลยนะครับ ไม่ต้องแอบถ่าย” พี่ธีพูดเสียงดังๆ ซึ่งดังพอให้คนหลังสุดได้ยิน “ แต่ว่าผมขออย่างเดียว เราจะไม่วุ่นวาย หรือเสียงดังที่นี่นะครับ” พี่แกขยิบตาหนึ่งครั้งก่อนจะยิ้มให้ ซึ่งคนข้างๆผมที่เป็นคุณป้าผมบ็อบ แก้กันฟัด อมยิ้มและจิกมือแน่น สงสัยไวรัสจั๋นมันคงเข้าไปสิงร่างคุณป้าแล้วล่ะ
เราเดินพ้นเขตบันได ก็มารอตรงจุดซื้อดอกไม้ธูปเทียน เพราะคนที่ขึ้นลิฟท์มาบางส่วนยังไม่ขึ้นมาด้านบนครับ แต่ก็รอไม่นานพวกเราก็มารวมตัวกันครับ ซึ่งพอดีกับการแจกดอกไม้ธูปเทียน
หลังจากนั้นเราก็เดินกันผ่านประตูเข้าไปสู่ตัวพระธาตุ เมื่อไปถึง องค์พระธาตุสีทองที่ต้องกับแสงอาทิตย์ก็ส่งอประกายสีสดน่ามองมาทางเรา ทุกคนต่างกดชัตเตอร์เพื่อเก็บความทรงจะไว้ทันที ซึ่งมันสวยมากเมื่อประกอบกับท้องฟ้าที่เปิดโล่ง มีสีฟ้าเกือบทั้งหมดและมีก้อนเมฆขาวๆมาแต่งแต้มเท่านั้น เมื่อเข้าไปแล้วต่างคนต่างเดินตามสถานที่ที่ตัวเองอยากไป ซึ่งจะมีให้เวียนเทียนรอบพระธาตุ มีการบริจาคสร้างบุญต่างๆหรือการเสี่ยงเซียมซี
ผมกับพี่ธีเลือกที่จะเดินออกไปด้านนอกหลังจากที่เดินเวียนเทียนเสร็จแล้ว ตรงระเบียงที่มีรั้วปูนสีขาวกั้นเป็นจุดชมวิว ที่มองลงไปจะเห็นเมืองเชียงใหม่เป็นจุดเล็กๆ อากาศตรงนี้ค่อนข้างบริสุทธ์ มากกว่าที่กรุงเทพแน่ๆ
“ เบียร์” ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับพี่ธีที่ยิ้มกับกล้องมือถือตัวเอง
“ เห้ยเอามาดูเลย” ผมพยายามที่จะคว้ามือถือ
“ ไม่เอา”
“ พี่ชายอ่า”
“ เรียกพี่ว่าไรนะ” พี่แกดูชะงักไปนิดนึง
“ พี่ชาย ผมขอดูรูปหน่อยนะ”
“ เจ้าเล่ห์จังเลยนะ แต่ไม่มีทาง” พี่แกยิ้มให้ก่อนที่จะยื่นหน้าจอมาทางผม “ รูปผมที่เป็นหน้าเผลอๆที่ถ่ายรูปคู่กับพี่เขาที่แม่งโคตรหล่อ กลายเป็นภาพหน้าจอไม่แล้ว
“ ไอ้พี่บ้า”
“ น่ารักออก”
“ ขออยู่ด้วยนะคะ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง โบวี่ยืนทำหน้ามุ่ยพร้อมกับโบกพัดในมือไปมา เธอแยกกับบเราตอนเลือกที่จะขึ้นลิฟท์มาแล้วหายไปเลย จนผมลืมไปว่าเธอนับถือศาสนาคริสต์ เลยไม่ค่อยอินหรือเปล่า
“ ได้สิ มาถ่ายรูปกันไหม” ผมยิ้มชวนเพราะไม่อยากให้หน้านิ่วแบบนี้
“ อืมดี แก้เซ็ง” เธอเดินไปควงแขนพี่ธี ใบหน้าที่ไม่บอกบุญเมื่อครู่หายไปทันที
“ แกนั่นพี่ธีกับพี่โบวี่หนิ” เสียงดังๆดังมาจากด้านหลังผม ไม่นานผู้คนก็แห่กันมากองอยู่ตรงนี้
พี่ธีแก้ไขสถานการณ์โดยการให้ผมถ่ายรูปหมู่ให้กับแฟนคลับคนอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมทริป เพื่อให้สถานการณ์เงียบที่สุดเพราะตรงนี้เป็นสถานที่สงบ
“ ว่าไง” ผมตอบกลับไปหลังจากรับสายโทรศัพท์ “ ได้ๆ โอเคๆ”
“ มีอะไรหรือเปล่า” พี่ธีถาม
“ ตอนนี้เขาไปรวมตัวกันที่พระธาตุแล้วครับ เดี๋ยวไปถ่ายรูปต่อ”
“ อืม”พี่แกพยักหน้า
เราสามคนเดินมารวมกับทุกคนที่กำลังจัดที่ทางเพื่อรอพวกเราไปถึง ฉากหลังของรูปนี้คือพระธาตุดอยสุเทพ ทุกคนอยู่ในท่าทางที่ค่อนข้างสงบ แต่ก็ไม่ได้ดูนิ่งไปเสียหมด
หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่รถ ซึ่งมีบางคนอาจแวะไปซื้อของฝากก่อนรวถึงไอ้พี่ธีด้วยที่อยู่ๆก็หายตัวไปแล้วกลับมาพร้อมกับถุงเสื้อผ้าในมือ ผมขอดูก็ไม่ให้ดู และเมื่ออกจาก พระธาตุดอยสุเทพมาแล้ว เราก็มาหยุดที่ ตำหนักดอยปุยซึ่งเป็นสถานที่แสดงดอกไม้นานาพันธุ์ให้ได้ชมกัน ทุกคนแยกตัวออกไป บางคนที่ใส่กางเกงสั้นๆมาต้องไปเปลี่ยนใส่กางเกงขายาวหรือผ้าถุงซึงที่นี่มีบริการมากมาย ผมเดินตามทุกคนไปอย่างช้าๆ และเดนถ่ายดอกไม้เก็บไว้ในกล้อง อย่างเพลิดเพลินถ้าไม่มีเสียงผึ้งหึ่งๆจากพี่ธีที่คอยกวนอยู่ตลอดเวลา
“ พี่ธี ทำไมไม่ไปเดินกับพวกเขาล่ะ”
“ พี่ว่าพี่คงกลายเป็นแค่พร็อพประกอบไปแล้วล่ะ ตอนนี้ทุกคนสนใจถ่ายรูปกับตัวเองแล้วก็ครอบครัวมากกว่าพี่อีก ดูอย่างเบียร์ดิ สนใจดอกไม้มากกว่าพี่อีก”
“ ผมจะสนใจพี่ทำไมล่ะเจอกันอยู่ทุกวัน”
“ เหรอ แรงจังเสียใจนะ”
“ ผมเคยเสียใจมากกว่าพี่อีก” ผมพูดไปทั้งๆที่มือยังลั่นชัตเตอร์ถ่ายดอกกุหลาบสีขาวด้านหน้าที่กำลังมีน้ำค้างหยด
“ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว” พี่แกพูดเสียงแข็ง
“ ก็พูดเรื่องจริง”
“ พี่ธีคะ ถ่ายรูปด้วยหน่อยได้ไหมคะ” เสียงของเด็กสาวจากกลุ่มด้านหน้าโบกมือเรียกทำให้พี่ธียังไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ผม พี่แกเดินยิ้มร่าเข้าไปหาอย่างอารมณ์ดี
ครืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นมา
สตอมมี่ : หวานเชียวนะ
สตอมมี : คุณได้รับรูปภาพ
ภาพที่สตอมมส่งมาให้คือมาจากด้านหลังของพวกผม ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งหมดเดินนำหน้าผมไปหมดแล้ว ผมหันกลับไปก็ไม่พบใคร พบเพียงจุดที่เป็นซุ้มของไม้เมืองเหนือซึ่งด้านในไม่มีใครแล้ว หรือว่ามันจะหลบในนั้น
ผมวิ่งย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะนอกจากตรงนั้นก็ไม่มีที่อื่นแล้วล่ะ ยิ่งเข้าใกล้ใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นๆ ผมสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ อีกแค่นิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น
“ เบียร์ “ เสียงของพี่ธีดังมาจากข้างหลังทำให้ผมสะดุ้งราวกับว่าโจรถูกตำรวจเรียก
“ คะ ครับ”
“ จะไปไหนน่ะ เขารวมกันแล้ว” พี่ธีคว้ามือผมวิ่งตามกลุ่มทุกคนไป ผมได้เต่เหลียวหลังกลับไปมองที่ที่ผมกำลังไป ใครกันที่อยู่ในนั้น
เมื่อมารวมตัวกันสิ่งที่ทำเหมือนเดิมคือการรวมตัวถ่ายรูป และด้วยสถานที่ที่นี่เป็นเขตของเชื้อพระวงศ์จึงไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมอื่นได้เหมือนกับพระธาตุ แต่เราได้ทำการแบ่งทีมออกเป็นสองทีม ทีมสีชมพูเป็นทีมของโบวีและแฟนคลับครึ่งหนึ่ง ส่วนแฟนคลับอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับพี่ธี ซึ่งกิจกรรมของพวกเราอยู่ที่จุดสุดท้าย นั่นคือบ้านม้ง
และด้วยคนที่เยอะเกินไปทำให้ผมไม่สามารถที่จะตามหาคนที่หายไปได้เลย คนที่ผมสงสัยอย่างเรนก็ยังคงก้มหน้าอยู่ในกลุ่มท้ายๆ
ฝากไว้ก่อนเถอะสตอมมี่
เราเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายของวันแรกกัน นั่นก็คือ หมู่บนม้งดอยปุย ซึ่งพี่ธี กับโบวี่ถูกทีมงานสั่งให้เปลี่ยนชุดเป็นชุดของม้งที่นี่ ซึ่งผมเองก็โดนด้วยเช่นกัน ส่วนลูกทัวร์คนไหนสนใจ ทุกคนก็สามารถเปลี่ยนได้ แต่บางคนเขินอายก็แค่ไม่ใส่ ทุกคนเดินออกมาต่างชี้กัน หัวเราะกันเพราะมันไม่ชินตา ผมเองก็เหมือนกัน ชุดมันสวยมากครับ แต่สีชมพูผมไม่ค่อยถูกกับมันเม่าไหร่อีกทั้งมันยังหนักกว่าปกติ
พี่ธีเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ทำเอาสาวๆรอบๆกรี้ดกันเป็นแถว รวมถึงนักท่องเที่ยวหรือแม่ค้าแถวนั้นได้ ต่อให้รู้จักหรือไม่รู้จัก ออร่าของพี่ธีก็ออกมาดีไม่น้อย
“ เอาล่ะค่ะทุกคน ภายในน้ำตกที่เราจะเข้าไปด้านใน เรามีคำต่างๆซ่อนอยู่ หาคำมาให้ครบ แล้วถอดรหัสของกล่องสมบัติ
ในนั้นจะมีภารกิจกับเมนของพวกเรา” สุตะโกนบอกพร้อมกับแจกบัตรเข้าด้านในให้ ซึ่งทางเราได้ทำการเหมาเอาไว้เพื่อทำภารกิจ แต่ไม่ใช่จู่ๆมาเหมานะครับเราได้ทำการแจ้งล่วงหน้าไว้แล้ว
กลุ่มของผมได้คำว่า พระราชกรณียกิจ
“ คืออะไรคะ” เสียงของเรนครับถามขึ้น
“ สิ่งที่ในหลวงทำ” ผมตอบไปส่งๆ
“ ใช่แล้ว” หญิงสาวที่อยู่ตรงกันข้าม ที่ป้ายชื่อเธอเขียนว่า นิว เอ่ย “ นี่ที่เป็นเมืองเหนือ และอยู่บนดอยแบบนี้พระราชกรณียกิจก็คือ การช่วยชาวบ้านไม่ให้เกิดการปลูกฝิ่น ดอกฝิ่น”
“ ในน้ำตกนี้มีดอกฝิ่นปลูกอยู่”
“ ดีเลยครับ เราชนะ แน่” พี่ธีพูดปลุกใจก่อนที่ทุกคนจะร้องเสียงเฮแล้วพุ่งตรงไปยัง ดอกฝิ่นที่มีรั้วไม้กั้นเอาไว้อยู่ ตรงกลางนั่นมีแผ่นกระดาษวางอยู่ พวกเราพยายามเอื้อมมือจากด้านบนลงไป แต่ทำไม่ได้
“ เอานี่ไหมคะ” เรนยื่นไม้เซลฟี่มาให้ ผมรับไม้นั้นมาแล้วเอื้อมหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา ในกระดาษเขียนว่า “ มองข่างบนนาฬิกา”
“ ข่าวเหรอ” ทุกคนทวน
“ วิ่งไปที่น้ำตกก่อนดีกว่า เผื่อจะได้รู้ว่าต้องทำอะไร” คนที่ชื่อนิวเสนอ
พวกเรารีบวิ่งไปยังจุดหมายเดียวกันแต่ว่าเหมือนมีบางอย่าง ขัดขาผมไว้ ขาของผมกระแทกลงบนหินอย่างจาก มันแสบจนชา เลือดไหลออกมาเล็กน้อย
“ เป็นไรหรือเปล่า” พี่ธีวิ่งตรงมาหาผมทันที
“ ขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ” เรนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนทุกคนต้องเข้ามาโอ๋
“ ไม่เป็นไรหรอกแผลนิดเดียว เราไปเอาคำตอบกันเถอะ” ผมส่งยิ้มไปให้ แล้วปล่อยให้ทุกคนวิ่งนำไป พี่ธีหันมามองผมครู่หนึ่ง ผมโบกมือให้พี่เขาทำหน้าที่ก่อน ส่วนตัวผมได้แต่เดินตามหลังไปสมทบ ละเมื่อเดินไปถึงทุกคนก็มีสีหน้าที่เครียดกันพอสมควร
“ รหัสมีทั้งหมดห้าตัว “ พี่ธีหันมาบอกผมพร้อมกับประคองเข้าไปล้อมไอ้กล่องตรงหน้า “ เรากำลังหารหัสน่ะ ตอนนี้ยังหาไม่ได้เลย ทีมโน้นก็กำลังวิ่งมา ไม่สิๆ ฉันต้องห่วงนายมากกว่าเกมส์ นายเป็นไงมั่ง”
“ ผมสบายมาก” ผมชูแขนกับถกขากางเกงให้ดู
“ เดี๋ยวนะ” พี่ธีจับที่ข้อมือผม “ ขาวบนนาฬิกา ข่าวภาษาอังกฤษเขียนว่า เอ็น อี ดับเบิ้ลยู เอส มาจากชื่อย่อของแต่ละทิศ เอ็น เหนือ เลขคือ หนึ่งสอง อี ตะวันออก เลขสาม ดับเบิลยู ตะวันตก เลขเก้าและ เอส ทิศใต้ เลขหก รวมแล้ว หนึ่ง สอง สาม เก้า หก”
คนที่อยู่ตรงกล่องกดรหัสอย่างรวกเร็ว แล้วมันก็ขึ้นว่า สำเร็จ กล่องเปิดออก ในนั้นเขียนว่า จงมอบความรักผ่านรูปถ่ายให้กับที่รักของคุณ ซึ่งน่าจะหมายถึงพี่ธี
“ เอาอย่างนี้ให้ทุกคน กอดต่อๆกันดีไหมแล้วให้คนที่อยู่ตรงกลางกอดพี่ธีไว้” คนชื่อนิวเสนอ
“ แล้วใครล่ะ จะกอดใกล้ที่สุด” เสียงเรนถามขึ้น
“ พี่แล้วกันพี่ผู้จัดการน่าจะสนิทสุด” นิวเสนอ
“ เร็วเข้าสิ” พี่ธีหัวเราะ ตอนนี้เรากอดต่อกันเป็นสายยาว โดยที่ผมกอดพี่ธีไว้ แล้วนิวกอดผม เรนกอดนิวแล้วตามด้วยคน
อื่นๆ เราให้ความหมายภาพนี้ว่า ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหน กอดของพี่ธีก็ส่งไปถึง
และการแข่งขันครั้งนี้ก็เป็นไปตามคาด ทีมของผมชนะ แต่ไม่มีใครรู้ว่ารางวัลครั้งนี้คืออะไร รู้แค่ว่า เย็นนี้เราจะได้ไปถนนคนเดินกัน และผมก็รู้อีกอย่างนึงคือ ผมจะต้องไปตามหาตัว สตอมมี่ให้เจอ
มาอ่านกันน้าาาาาาาาาา มีอะไรมาบอกกันนะงื้อออออออออ
-
หรือสตอมมี่คือ เรน ใช่ หรือ ไม่ใช่ :hao4:
-
10
หลังจากที่กลับมาจากการทำกิจกรรม พวกเราแยกย้ายกันกลับมาอาบน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะตะลุยถนนคนเดิน ซึ่งเป็นกิจกรรมไม่บังคับครับ เพราะว่าทางทริปประกาศว่า จะมีคนดูแลอยู่ทั้งสองจุดและมีอาหารสำหรับคนที่อยู่ที่โรงแรม เช่นเดียวกันกับกลุ่มศิลปิน โบววี่เลือกที่จะอยู่ที่โรงแรมเพราะต้องอยู่กับเจ๊ผู้จัดการ แต่จริงๆแล้วเธอขี้เกียจและคนที่ไปถนนคนเดินก็ต้องเป็นได้คนที่เดินถอดเสื้อเดินไปเดินมาอยู่ในห้องกับกางเกงขาสั้นสีขาวที่สั้นมากอย่างไม่รู้จักอาย
“ พี่ว่าเบียร์อยู่ห้องเหอะ ขาน่ะไหวหรือเปล่า” เขาชี้มาที่แผลตรงหัวเข่าของผมที่ล้มเมื่อตอนกลางวัน มันคงไปกระแทกหินซึ่งตอนกลางวันผมใส่ขานาวเลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ พอเห็นแผลเท่านั้นแหละก็แสบขึ้นมาทันที และส่วนคนที่ทำแผลให้แทนที่จะเป็นพยาบาลกลับเป็นไอ้พี่มือหนักที่เดินสบายใจอยู่เสียนี่สิ
“ ก็ผมอยากไปนี่ ผมมาที่นี่เพื่อดูแลพี่” ผมอยากไปมาก สตอมมีมันรอผมอยู่แน่ๆ
“ พี่โอเค เบียร์ไม่ต้องไปหรอก สังขารไม่ไหวแล้วเนี่ย เดินมาอักเสบ ติดเชื้อทำไง เดี๋ยวได้ตัดขาหรอก”
“ เกินไปละ แค่แผลถลอกเองพี่ ผมเองก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายก็ต้องมีบาดแผลบ้างดิ”
“ ไม่ได้ ถ้าเบียร์มีแผลก็แสดงว่าพี่ดูแลเบียร์ไม่ดี” พี่ธีทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงที่ผมนอนอยู่
“ ตลกละ ลุกไปเลย ไปใส่เสื้อด้วย” ผมยกผ้าขึ้นมาคลุมตัวคลุมหน้าไว้ ผมไม่ชอบการจู่จอมของไอ้พี่ธีนี่เลย ผมหัวใจเต้นเร็วแปลกๆ หน้าของผมดันแดงอีกต่างหาก พี่จะมีผลต่อร่างกายผมมากไปแล้วนะ
“ เขินเหรอ”
“ เขินก็ผ้าแล้ว น่าเกลียด เดินถอดเสื้อไปมาไม่อายบ้างหรือไงฮะ” ผมตะโกนผ่านผ้าห่มที่ห่อตัวออกไป
“ อายทำไมก็ผู้ชายด้วยกัน” พี่มันพูดจบก็กระโดดมานอนกอดผมอยู่ข้างๆ มันจะมากไปแล้วนะ
“ อ่อย อ๋ม เอี๋ยวอี้ อ้ะ” ผ้าห่มมันอุดปากผมเต็มๆเลยครับแล้วไอ้คนที่อยู่ข้างนอกมันก็ยังหัวเราะสนุก ชอบใจ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยผม ได้เลย “ โอ้ย”
“ เบียร์” พี่ธีผละออกจากผมไปอย่างรวดเร็วผมดีดตัวออกตามไปอย่างรวดเร็ว พี่ธีมองมาทางผมอย่างไม่สามารถคาดเดาได้สายตานั้นมันดูเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่ค่อยๆยิ้มออกมาเหมือนจะตะครุบเหยื่อ ให้ตายสิ ผมมายืนชิดกำแพงตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย “
แสบมากนะ”
“ พี่ชาย”
“ ไม่ต้องมาทำอ้อนเลยมันจะไม่มีครั้งที่สอง” พี่ธีเดินมาชิดผม มือขาวทั้งสองข้างดันเข้ากับกำแพง แผงอกเปลือยเปล่าของพี่แกแทบจะนาบลงมาชิดที่ตัวของผม “ แผนสูงนักเหรอฮะ” เสียงแหบซ่านเบาๆกระซิบที่ข้างหู มันเหมือนมีแค่ลมซึ่งมันทำให้ขนของผมลุกไปทั่วทั้งตา “ เขินพี่เหรอ หน้าแดองอีกแล้ว”
“ เออ เขิน พอได้แล้ว ผมไม่เล่นแล้ว”
“ ใครว่าพี่เล่นล่ะ” พี่ธีทำท่าโน้มตัวลงมาหาผมโชคดีที่เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นเสียก่อน ผมใช้จังหวะเผลวิ่งไปหยิบโทรศัพท์
“พี่มาร์ค” ผมอุทานออกมาเบาๆ พี่ธีวิ่งมาหาผมอย่างรวดเร็ว แล้วดึงตัวของผมข้าไปดูดจนคอผมเป็นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัด
“ รับสิ” พี่แกยิ้มอย่างมีชัยชนะก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงตัวเอง “ รับสิ เขาอุตส่าวีดีโอคอลมา”
“ สวัสดีครับ” ผมกดรับพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดไว้ที่ต้นคอ
“ เบียร์ ทำไมเงียบไปเลยล่ะ” เสียงของพี่มาร์คส่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้มกินใจ “ แล้วคอเป็นไร”
“ ไม่มี ไม่เป็นไร” ผมตะโกนออกไปอย่างลืมตัวพร้อมกับโบกมือไปมา เสียงไอ้คนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างหลังหัวเราะดังเยาะเย้ยมา
“ คอไปโดนอะไรมาเหรอครับ” พี่มาร์คชี้ไปที่รอยแดงที่คอของผม
“ อ๋อ ยุงกัดน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ผมยิ้มตอบไป “ พี่นั่นแหละดูแลพี่เจมส์เป็นไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า”
“ ไม่เหนื่อยหรอก แต่ถ้ามีเบียร์อยู่ก็คงจะดี” พี่แกทำแก้มพองๆแล้วกระพริบตาสองสามทีเหมือนเด็กอ้อนขอนม แล้วพี่แกก็หัวเราะออกมา “ แบบนี้น่ารักไหม”
“ เบียร์ สุให้มาตาม ไปเตรียมตัวไปถนนคนเดิน” เสียงพี่ธีตะโกนมาจากกด้านหลัง
“ นี่เบียร์นอนกับธีเหรอ”
“ เออ แค่นี้นะพี่ พวกผมยุ่ง” พี่ธีเดินถอดเสื้อมาแย่งมือถือไปจากมือของผมก่อนจะกดวางสายไป “ ไปนอนพักก่อนไป ถ้าสุตามแล้วจะปลุก”
“ อ้าวแล้มเมื่อกี้” ผมทำท่าเถียงแต่ไอ้สายตาแบบนี้มันกลับมาอีกแล้ว สายตาที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายและหัวใจของผม
“ พี่ไม่ชอบให้เราไปอยู่ใกล้ๆคนอื่น พี่หวง”
“ แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะถึงได้มาบอกว่าหวงกัน” ผมกลั้นใจถามไป พี่ธีชะงักไปครู่นึง ก่อนจะขยับตัวผมเดินเข้าไปหา
“ รอยที่คอก็น่าจะบอกแล้วนะ พี่เป็นเจ้าของเบียร์”
“ ขี้ตู่ รอยนี่มันก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นแหละ”
“ ไม่หรอก” พี่ธีโน้มตัวลงมาที่ริมฝีปากของผม สัมผัสนุ่มๆทำให้ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรง ลิ้นอ่อนละมุนกระตุ้นให้ริมฝีปากของผมเปิดรับสัมผัสที่เพิ่มขึ้น กลิ่นมินท์ที่พี่ธีชอบอมอวลไปทั่วทั้งปากของผม เสียงลมหายใจของเราสองคนเริ่มเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่พี่ธีจะยกมือมาประคองใบหน้าของผม ขึ้นมาสบตากับตัวเอง แล้วลดใบหน้าของเขามาที่ต้นคอของผมแล้วดูดย้ำที่รอยเดิม จนผมรู้สึกเจ็บ “ แล้วนี่ล่ะ ชั่ววูบหรือเปล่า พี่เข้าถาม”
“ อือ”
“ เป็นแฟนกับพี่นะ”
“ คะ คือว่า”
“ ทำไมล่ะ ในเมื่อเราก็รักกัน “
“ ผมขอเวลาจัดการทุกอย่างก่อนได้หรือเปล่าครับ” ใจของผมตอนนั้นมันเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ถึงผมอยากจะเป็นแฟนกบพี่ธีใจจะขาด แต่ผมต้องจบกับเรื่องบ้าๆที่ผมเคยทำร้ายพี่ธีก่อน และมันน่าจะจบวันนี้แหละ
“ เรื่องอะไรเหรอ” พี่ธีถามอย่างสงสัยก่อนที่จะนอนลงข้างๆผม
“ วันหนึ่งพี่จะรู้เอง และถึงวันนั้นพี่จะยังอยากได้คำตอบผมหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้” ผมพูดอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ผมคือคนที่คอยทำร้ายเขามาโดยตลอด
“ อยากได้สิ เบียร์พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง พี่งงไปหมดแล้ว” พี่ธีกระชับตัวผมเข้าไปในอ้อมกอด “ ไม่มีอะไรครับ” ผมตอบ “ แต่พี่กอดผมแบบตอนนี้นานๆได้ไหมครับ” ผมบอกไปตรงๆเพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ สัมผัสแบบนี้จะมีอีกหรือเปล่า หากว่ามันไม่มีมันก็คงมาจากตัวของผมเอง
ผมไม่รู้ว่าผมกับพี่ธีกอดกันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่รู้แค่เพียงว่ามันผ่านไปเร็วมาก ถึงแม้ว่าแสงด้านนอกมันจะลดหายไปมากแล้วก็ตาม ตอนี้ผมมายืนอยู่ด้านข้างรถแดง ซึ่งเป็นรถประจำทางของที่เชียงใหม่เป็นสัญลักษณ์และผู้ชำนาญทาง ส่วนที่คอผม พี่ธีเอาผ้าพันคอของพี่แกพันมาให้อย่างดี
“ นี่แกหนาวขนาดนี้เลยเหรอ” สุที่เดินมาจากข้างหลังถามขึ้น
“ อืม สงสัยจะเป็นงั้น”
“ หน้าแดงด้วย แกไม่ต้องไปดีหรือเปล่า แกอาจจะแผลอักเสบ”
“ แกไปสนใจลูกทัวร์แกเหอะ” ผมดันตัวสุออกไปให้พ้นจากตัวเองไม่อย่างนั้นมันได้ถามซักไซ้จนผมหลุดคงามจริงไปแน่ๆว่าผมกำลังปิดรอยอะไรอยู่
“ เออ” มันทำท่าจะเดินออกไปต่ผมนึกบางอย่างออกเลยดึงมือมันไว้แล้วเดินไปที่ด้านหลังรถ
“ แกช่วยกันพี่ธีให้ฉันทีดิ”
“ ทำไมวะ”
“ ฉันจะไปหาสตอมมี่” ผมชูรูปในโทรศัพท์ที่สตอมมี่เพิ่งส่งให้ผมก่อนที่จะมารวมตัวกันให้สุดู “ มันให้ฉันไปคนเดียว”
“ แต่” สุท้วงใบหน้ามันเต็มไปด้วยความรนลานและตื่นกลัว
“ แกไม่ต้องห่วงถนนคนเดินคนเยอะจะตาย มันไม่ทำอะไรหรอก แค่ไปเจอก็น่าจะจบแล้ว”
รถที่ผมนั่งไปถนนคนเดินเป็นรถที่มีทีมงานบางส่วนนั่งมาด้วย และเป็นไปตามที่ทุกคนในทีมคาดไว้ นั่นคือรถติดครับ ตลอดเส้นทางที่จะเดินทางไปถนนคนเดินท่าแพนั้นเต็มไปด้วยรถ ทั้งรถประจำทาง รถส่วนตัวหรือแม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์ พี่ธีเองก็นั่งหลับเอาหัวอิงผมมาได้สักพัก ผมได้แต่มองใบหน้าลิงนั้นเพื่อเป็นกำลังใจในการไปหาสตอมมี
สตอมมี : แผลเป็นไงบ้างล่ะไม่น่าหาเรื่องให้เจ็บตัวเลยนะ
สตอมมี : คุณได้รับรูปภาพจากสตอมมี
ในรูปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผม แสดงเป็นด้านหลังของผมตอนที่ผมล้มลงไปอยู่กับพื้น ตอนนั้นพี่ธีกำลังเดินไปทำกิจกรรมต่อกับแฟนคลับ
สตอมมี่ : ไอ้หน้าตัวเมียนั่นมันยังไม่สนใจแกเลย แกยังจะปกป้องมันอีกเหรอ แอดมินคนที่เคยเกลียดธีมันหายไปไหนแล้วฮะ หรือว่าเพจนี้มันเป็นแค่เพจสร้างกระแสให้ไอ้ไวรัสจั๋นนั่นด้วยฮะ
แอนตี้ไวรัสธี : ฉันแค่หยุดแล้ว แกก็ควรจะหยุดเรื่องนี้ได้แล้วนะ พอสักทีเถอะ
สตอมมี่ : วันนี้ก็มาเจอฉันสิฉันจะส่งสถานที่นัดหมายไปให้ ถ้าไม่มาตามที่ฉันกำหนด ไวรัสจั๋นแกเหลือแต่ชื่อแน่ มาคนเดียวล่ะ
แอนตี้ไวรัสธี : แล้วเจอกันที่ไหนล่ะ
ผมนั่งรอข้อความมันมานานแล้วครับ มันยังไม่ยอมนัดสถานที่มาเสียที ใจของผมเต้นแรงขึ้นเมื่อมีคนบนรถบอกว่าให้พี่ธีเตรียมตัวเพราะเราใกล้จะถึงถนนคนเดินแล้ว เรามาเริ่มเดินกันที่หน้าวัดพระสิงห์ โดยที่ขากลับรถจะไปจอดรับที่ประตูเมืองท่าแพ ทันทีที่ลงรถพี่ธีก็สวมหมวกมาที่หัวของผม มันเป็นหมวกแก็ปที่พี่แกใส่อยู่
“ ใส่ไว้ น้ำค้างมันลงเดี๋ยวไม่สบาย” พี่แกจับมือผมแล้วเดินไปข้างหน้า ผมเลือกที่จะดึงมือออกเพราะถ้าตัวติดกับพี่ธีตลอดแบบนี้ผมคงไม่ได้ไปหาสตอมมี่แน่ “ มีอะไรหรือเปล่า”
“ มันน่าเกลียดครับ เดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดีเอา” ผมแก้ตัวไป “ เดี๋ยวผมขอไปเดินกับสุนะครับ”
“ เดี๋ยว”
“ มะ…มีไรคับ”
“ ขาไหวเหรอ” พี่แกก้มลงไปดูแผล “ พี่ว่า”
“ ผมไหวครับ พี่ไปทำงานเถอะ ถ้าทำแบบนี้ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงนะ” ผมตีหน้าเครียดใส่พี่ธียิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจ “ ผมโตแล้วนะ”
“ รู้ว่าโตแล้ว” พี่แกถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “ มีอะไรโทรหาพี่ทันทีเลยนะ”
“ ครับ”
หลังจากแยกตัวออกมาจากพี่ธีผมก็ได้แต่รอข้อความจากไอ้สตอมมี่จนไม่เป็นสุข ผู้คนมากมายหลายตาที่เดินซื้อของ เสียงดนตรีทางเหนือดังคลอ ถ้าใครได้มาเที่ยวก็คงต้องหลงรัก เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังเซงแซ่ กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างเดินยิ้มแย้มกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนี้ ตลอดเส้นทางของผมมีอาหารและของประดับตกแต่งและของฝากที่ทำมือหรือแฮนด์เมดมากมาย แต่มันไม่ได้ดึงดูดสายตาของผมเลยแม้แต่น้อยเพราะผมกำลังพยายามหาคนคนหนึ่งอยู่
ไม่นานเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ส่งสัญญาณเตือนมาจากคนที่ผมรออยู่ เขาส่งรูปถ่ายมาให้มันเป็นรูปที่มีเป้ายิงปืน ซึ่งอยู่ในวัด ผมพยายามเดินไปตามทางและถามคนไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่สถานที่ที่มันนัดหมายผมไว้และผมก็ไม่ลืมที่จะส่งจุดหมายนี้ให้สุด้วยเพราะหากว่าผมหายไปหรือเป็นอะไรไปสุจะได้มาตามหาถูก ตรงมุมสุดด้านในของวัดนั้นมีใครบางคนสวมฮู้ดสีดำยืนอยู่ ผมเดินตรงเข้าไปหาแต่ทว่ามีมือของบางคนมาฉุดผมเอาไว้เสียก่อน ผมหันกลับไป ใบหน้าของพี่ธีเต็มไปด้วยเหงื่อ และ คิ้วของเขาชนกัน ดูแล้วพี่แกคงอารมณ์เสียพอสมควร ใจของผมร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่จะให้ทำไงได้ผมต้องไปตามหาไอ้สตอมมีให้เจอก่อน
ผมเลือกที่จะสะบัดมือของพี่ธีออกแล้ววิ่งตามสตอมมี่ที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้น มือถือของผมสั่นอีกครั้งพร้อมกับข้อความที่ได้รับใหม่
สตอมมี่ : ฉันเตือนแกแล้ว แกผิดสัญญา แกเตรียมตัวได้เลย เบียร์
{PART’S THEEMA}
ผมมีความรู้สึกว่าเบียร์แปลกไป เขาดูใจจดใจจ่ออยู่กับโทรศัพท์แล้วทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ผมเลยลองโทรกลับไปถามพี่บีว่าทางนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วคำตอบที่ได้มาคือ ผมบ้าไปหรือเปล่า เพราะพี่แกสั่งงานเบียร์ให้มาที่นี่อย่างเดียว แล้วใครกันคือคู่สนทนาของเบียร์ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือกันแน่
จนกระทั่งตอนที่ผมกับน้องลงมารวมกันที่รถตู้ ซึ่งจู่ๆไอ้ตัวเล็กของผมมันก็ห่างออกไปจากผม ผมห่วงว่าจะไปไข้ขึ้นหรือล้มตรงไหนหรือเปล่า เลยเดินหาดู
“ แกช่วยกันพี่ธีให้ฉันทีดิ” เสียงของเบียร์ๆดังมาจากด้านหลังของรถแดง ซึ่งคนที่ยืนคุยอยู่คือเพื่อนสนิทของเขาเองนั่นแหละ
“ ทำไมวะ” เออนั่นดิ เป็นคำถามที่ผมอยากถามอยู่พอดี สุได้ถามแทนผมเป็นที่เรียบร้อยเล้ว
“ ฉันจะไปหาสตอมมี่” สตอมมี่ไหนวะ ไอ้นี่เป็นใคร มันคือใครแฟน กิ้ก พี่ชายของเบียร์เหรอ ผมกำหมัดแน่น พยายามไม่พุ่งออกไปตอนนี้เพราะถ้าผมบุ่มบ่ามเข้าไปจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย “ มันให้ฉันไปคนเดียว” ทำไมคนรักหรือคนสนิทต้องเรียกว่ามันเลยล่ะ
“ แต่” สุท้วงใบหน้าเต็มไปด้วยความรนลานและตื่นกลัวผมว่าเรื่องราวครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องราวดีๆแน่
“ แกไม่ต้องห่วงถนนคนเดินคนเยอะจะตาย มันไม่ทำอะไรหรอก แค่ไปเจอก็น่าจะจบแล้ว”
“ น้องธีครับ ขึ้นรถครับ” เสียงพี่ทีมงานดังมาจากด้านหลัง ผมหยิบหมวกสีดำในกระเป๋าขึ้นมาสวมให้ตัวเองหลังจากถอดสีแดงใบเดิมออก
ระหว่างที่นั่งรถไปถนนคนเดินผมพยายามนอนซบ อิงซบเปลี่ยนท่าทุกๆนาทีเห็นจะได้เพื่อที่จะมองโทรศัพท์ของเบียร์ชัด แต่มันมองไม่เห็น ผมชักเกลียดไอ้ฟิล์มกันคนอื่นมองเห็นที่ติดโทรศัพท์อยู่แล้วล่ะครับ
พอลงไปจากรถ ผมก็ต้องทำงาน แล้วน้องมันก็ทำท่าทางตื่นๆอย่างเห็นได้ชัดผมเลยตัดสินใจเดินไปดึงมือน้องมันมาจับไว้พร้อมกับใส่หมวกสีแดงให้อย่างน้อยถ้าคลาดกันก็น่าจะเป็นจุดสังเกตได้ง่าย
“ ใส่ไว้ น้ำค้างมันลงเดี๋ยวไม่สบาย” น้องมันสะบัดมือของผมออกครับ ท่าทางน้องมันแสดงชัดมากว่าอยากออกไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน “ มีอะไรหรือเปล่า”
“ มันน่าเกลียดครับ เดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดีเอา” หึหึ แก้ตัวไม่เนียนเลยนะตัวเล็ก “ เดี๋ยวผมขอไปเดินกับสุนะครับ”
“ เดี๋ยว” ผมเรียกไว้ แต่ก็ไม่อยากให้น้องมันสงสัยหรือหาว่าผมยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่เสียงผมทำให้ตัวของน้องมันเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
“ มะ…มีไรคับ”
“ ขาไหวเหรอ” ผมก้มลงไปดูแผล “ พี่ว่า”
“ ผมไหวครับ พี่ไปทำงานเถอะ ถ้าทำแบบนี้ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงนะ” น้องมันทำหน้าจริงจังจนผมถึงกับปรับอารมณ์ไม่ทัน ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อเพราะกลัวว่าน้องมันจะโกรธ “ ผมโตแล้วนะ”
“ รู้ว่าโตแล้ว” ผมถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “ มีอะไรโทรหาพี่ทันทีเลยนะ”
“ ครับ”
ผมแยกกับเบียร์มาได้สักพัก ก็มาเจอกับสุที่ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก และผมรู้ดีว่าสุเป็นคนโกหกไม่เก่งผมหวังว่าจะหลอกถามได้ง่ายๆนะเพราะว่าเบียร์ที่บอกจะอยู่กับสุก็ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว ผมเองก็ร้อนใจแต่ต้องแสดงละครหน่อยแล้ว
“ สุ” ผมพยายามกดเสียงต่ำให้ดูน่าเกรงขาม
“ ค่ะ คะ” เธอตัวนิ่งไม่ต่างจากเบียร์เมื่อครู่เลย “ พี่ธีมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ เบียร์ไปไหน”
“ บะ เบียร์ อ๋อ มันไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็มาแล้วค่ะ” เธอทำตัวร่าเริงพร้อมกับชี้มือไปมา ปากของเธอยิ้มกว้างแต่ตาของเธอไม่ยอมสบตากับผม
“ สุ”
“ คะ”
“ สตอมมี่เป็นใคร” ผมถามไปตรงๆ หน้าของสุถอดสีทันที
“ พี่ธี ระ รู้ได้ไงคะ”
“ สุ สตอมมี่คือใคร แล้วทำไมเบียร์ต้องไปหา สุรู้หรือเปล่าว่าเบียร์ไม่สบายอาจจะไปเป็นลมเอาได้นะ” ผมขู่ออกไป “ สุบอกพี่มาเถอะพี่รู้เรื่องมาบ้างแล้วแต่พี่อย่างรู้เพิ่มจากสุ”
“ พี่ธี คือ”
“ สุ บอกพี่มา เดี๋ยว นี้”
“ สตอมมี่คือคนที่จะทำร้ายพี่ค่ะ มันเป็นคนในเพจที่เบียร์สร้างไว้ค่ะ เนี่ยค่ะ” สุส่งโทรศัพท์ให้ผม ตัวของผมชาไปหมด เบียร์คือเจ้าของเพจที่โจมตีผมมาโดยตลอด เขาทำร้ายผมมาตลอด เพจแอนตี้ไวรัสธี คือฝีมือเบียร์
“ แอนตี้ไวรัสธี”
“ เชี่ย” สุดึงมือถือของตัวเองกลับไป “ คะ คือว่า”
“ เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกัน แล้วมีเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่แจ้งความ ทำไมปล่อยให้เพื่อนไปคนเดียว”
“ ก็เบียร์บอกว่า ไม่อยากให้พี่เป็นอันตรายนี่ มันเลยเลือกไปคนเดียวเรื่องมันจะได้จบ”
“ เอาโทรศัพท์มานี่ แล้วเช็คลูกทัวร์ให้ทีว่าใครหายไป คนนั้นแหละคนที่น่าสงสัย”
ผมมองสุอย่างหงุดหงิดก่อนจะวิ่งแยกแออกไปจากบริเวณนั้นแล้วดูโทรศัพท์ที่เบียร์ส่งสถานที่มา ยิ่งใกล้ถึงเบียร์มากเท่าไหร่ ผมควรรู้สึกอะไรก่อนดี โกรธ เสียใจ หรือเกลียดในการกระทำลับหลังที่เบียร์แทงข้างหลังผมแบบนี้ ผมไม่ชอบการแทงข้างหลังแบบ
นี้เป็นที่สุด โดยเฉพาะจากคนที่ผมรักและไว้ใจ
มาต่อกันแล้วน้าาาาาเปนไงกันบ้างมาเม้นเมาท์มอยกันหน่อยเด้ออออออออออออออออออ
-
เลยไม่รู้เลยว่าสตอมมี่คือใคร นังพี่ธีจะตามมาทำไมฟ่ะ หงุดหงิด ๆ :katai1:
-
11
สะบัดมือจากพี่ธีก่อนจะวิ่งตาสตอมมี่ไปอย่างไม่คิดชีวิตใครจะรู้ว่าคนที่จับมือผมเมื่อครู่จะวิ่งตามมาได้ทัน ตอนนี้เราอยู่ที่ซอยด้นข้างถนนคนเดิน มีรถขับผ่านบ้างแต่น้อยมาก มันทำให้เราเหมือนหลุดมาอีกโลกที่คึกคักเมื่อครู่เลยครับ ผมหยุดยืนนิ่งเพราะตรงหน้ามีกลุ่มคนกำลังยืนดักอยู่สามสี่คน ทุกคนดูจากภายนอกก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีและดูแล้วไม่ใช่มาดีแน่ๆเพราะพวกมันเดินตรงมาทางผม ผมถอยหลังโดยอัตโนมัติจนไปชนแผงอกแน่นของอีกคนที่อยู่ข้างหลัง สายตาว่างเปล่ามองมาที่ผมโดยไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกใดๆได้
“ คือ”
“ สนใจข้างหน้าก่อนเราได้เคลียกันแน่” พี่เขาดันผมไปอยู่ด้านหลัง แต่พี่แกคงไม่รู้หรือเปล่าว่านอกนากไอ้สี่คนข้างหน้าแล้วยังมีอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วย
“ เราวิ่งกลับเข้าซอยไปดีหรือเปล่า ถ้าวิ่งกลับเข้าไป ก็ถึงถนนคนเดินแล้วนะ” ผมเสนอแต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะไอ้คนที่อยู่ภายใต้เสื้อฮู้ดสีดำกำลังเดินออกมาจากซอยนั้น เสียงหัวเราะของมันดังออกมาอย่างน่าขนลุก
“ ไม่ต้องซ่อนตัวหรอก เต” พี่ธีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ แค่ฉันเห็นหลังนายกูรู้แล้ว เด็กเสเพลที่ชอบเดินตามเจมส์ กับสตอมมี่ ชื่อหมาที่เคยซื้อให้เจมส์ ทำไมฉันไม่เอะใจตั้งแต่แรกนะ”
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ หุบปาก” เสียงแข็งกร้าวตะโกนมาจากใต้ฮู้ดที่คลุมหน้าเอาไว้ “ จัดการมัน เอาให้มันเจ็บและจำ”
สิ้นคำสั่งของเสียงนั้นทุกคนก็วิ่งเข้ามาหาพวกผม พี่ธีใช้ความแข็งแรงที่เป็นนักกีฬาเก่าจัดการกับพวกมันจนล้มไปทีละคนสอง จนกระทั่งไอ้คนที่มันยืนอยู่ด้านหลังมันวิ่งพุ่งมาพร้อมกับบางอย่างในมือ มันคือมีดพกขนาดเล็ก แต่ดูจากการที่มันสะท้อนกับแสงไฟนั้นมันคมมาทีเดียว
“ ระวัง” ผมกระโดดผลักพี่ธีให้หลบให้พ้นจากรัศมีมีดนั้น เราทั้งสองคนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
“ เก่งมากเหรอมึง” ผมหลับตาปี๋เพราะคิดว่ายังไงมันโดนผมแน่ๆเพราะผมนอนทับพี่ธีอยู่แต่ทว่า มันกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใดๆ แต่มันมีน้ำบางอย่างไหลหยดลงมาที่ใบหน้าของผม มันทำให้ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งใบหน้าที่แข็งกร้าวอยู่ชิดกับใบหน้าผม ดวงตาที่ดูเจ็บปวดจ้องมาหาผมอย่างไม่ลดละ
“ ทำอะไรกันน่ะ” เสียงคนที่วิ่งออกมาจากซอยตะโกนขึ้น พร้อมกับเสียงนกหวีด ใช่ครับ ตำรวจมาตอนจบเสมอ พวกที่มาดักผมกับพี่ธีเมื่อครู่วิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง “ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นี่คุณธีหรือเปล่าครับ”
“ ครับผมธีครับ ผมไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยครับ” พี่ธีลุกขึ้นมาจากพื้น
“ แล้วพวกคุณไปรู้จักกับพวกนั้นได้ยังไงครับ พวกนั้นมันเป็นเด็กติดยาที่พวกเรากำลังตามตัวอยู่น่ะครับ ถ้าจะเอาความเดี๋ยวไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนได้นะครับ” คุณตำรวจยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอาความอะไรครับ เพราะเขาคงไม่ได้ตั้งใจทำพวกผมหรอก คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” พี่ธีตอบด้วยน้ำ
เสียงนิ่งเรียบพร้อมกับยกมือขึ้นมากกุมแผลที่ไหล่ของตัวเองไว้
“ ไม่ได้ตั้งใจอะไรล่ะ มันกะจะฆ่าพวกเราด้วยซ้ำ” ผมโพล่งออกไปด้วยความโมโห
“ อะไรนะครับ” คุณตำรวจมองผมกับพี่ธีกลับไปมา “ ตกลงมันยังไงกันครับ”
“ ผู้จัดการส่วนตัวผมเขาตกใจน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอกครับคุณตำรวจ” พี่ธีพูดจบก็ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในถนนคนเดินราวกับว่าทุกอย่างปกติ
พี่แกแวะซื้อเสื้อพื้นเมืองมาคลุมไหล่เอาไว้แล้วเดินไปสมทบกับบรรดาแฟนคลับที่กำลังชะเง้อรอชายหนุ่มในฝันของพวกเขากลับไปหา ผมเองก็เดินหน้าหงอยๆกลับไปรวมตัวกับคนอื่น สุที่ยืนอยู่ตรงหัวแถวเดินมาหาผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับพลิกและหมุนตัวผมไปมา
“ แกไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่าฉันห่วงแกแทบแย่” ดวงตาของเธอมันมีน้ำตาเอ่อเหมือนจะร้องไห้
“ ไม่เป็นไร” ผมฝืนยิ้มออกไปให้เพื่อนสบายใจที่สุดก่อนจะดึงเพื่อนมากอด “ พี่ธีโดนมีดที่ไหล่ แล้วเขาก็รู้ความจริงเองเพจแล้ว” ผมกระซิบบอก “ แต่”
“ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” สุตบที่ไหล่ผมเบาๆ “ ฉันขอโทษเรื่องที่เป็นสาเหตุด้วยนะ”
“ ไม่เป็นไร”
“ เอาล่ะค่ะ วันนี้เดี๋ยวทางเราต้องพาพี่ธีกลับไปก่อนนะคะ เพราะเรามีเซอไพรส์ใหญ่ในวันพรุ่งนี้ หวังว่าทุกคนจะอิ่มเอมกับบรรยากาศ ถ้าใครอยากกลับแล้วสามารถกลับพร้อมเราได้แต่หากใครยังไม่จุใจเรามีทีมงานอยู่ต่อเพื่อดูแลทุกคนที่นี่นะคะ” สุส่งเสียงเจื้อยแจ้ว มีบางคนกลับพร้อมกับพวกเราและมีบางส่วนอยู่ที่นี่ต่อ
ผมกับพี่ธีถูกนั่งแยกมากับรถตู้ที่ทีมงานเอามาดักรอไว้เพื่อที่จะแยกพวกเราออกมาจากแฟนคลับสักครู่ บนรถตู้มีผม พี่ธีและคนขับรถเท่านั้น พี่ธีนั่งอยู่เบาะหลังสุดไม่พูดอะไรตั้งแต่ขึ้นมาอยู่บนรถ
“ พะ พี่”
“ ช่วยเงียบเสียงหน่อย” พี่ธีพูดขัดผมทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ
“ พี่ต้องแวะไปทำแผลนะครับ” ผมตัดสินใจพยายามพูดเสียงเชิงขอร้องกลับไป
“ ไม่จำเป็นแผลนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย” พี่เขาพูดพร้อมกับยกผ้าขึ้นมาคลุม ที่หน้าแล้วเงียบเสียงไปซึ่งมันเงียบแบบนี้มาอย่างนี้จนกระทั่งเราถึงที่พักแล้วเข้าไปอยู่ในห้อง
ผมรู้สึกว่ามันอึอัดมาก มากพอที่ผมจะไม่อยากอยู่ห้องนี้หรือพร้อมเคลียทุกอย่างกับพี่ธีให้ผมจบที่นี่เวลานี้ ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
“ พี่มีอะไรพูดตรงๆมาเลยดีกว่าอย่าเงียบแบบนี้ดิ”
“ หึ”
“ หึ อะไร พูดมาสิ”
“ จริงๆเบียร์ไม่ควรมาโมโหใส่พี่นะ”
“ ผมไม่ได้โมโห ผมอึดอัด พี่อยากจะด่า อยากจะต่อย อยากจะโกรธ อยากจะทำอะไรกับผมก็พูดมาเลย ใช่ผมเป็นเจ้าของเพจแอนตี้พี่เอง ผมนี่แหละเป็นคนทำร้ายพี่มาตลอด ผมนี่แหละเป็นคนที่เอาคนที่เกลียดพี่มาไว้ด้วยกันเพื่อโจมตีพี่ พอใจหรือยัง จะต่อยจะโกรธจะด่าอะไรก็พูดมาดิวะ อย่าเงียบแบบนี้ แล้วก็ทำแผลด้วย”
“ ก็แค่นี้” พี่แกส่งยิ้มมาให้
“ ก็แค่นี้อะไร”
“ คิดว่าพี่จะโกรธใช่ไหม” ผมพยักหน้าตอบ “ ใช่พี่รู้ตอนแรกพี่โกรธมาก” คิดว่าพี่จะด่าใช่ไหม ใช่อยากด่ามาก แต่โกรธไปแล้วได้อะไร ด่าไปแล้วได้อะไร เรื่องมันเกิดไปแล้ว อีกอย่าง ถ้าพี่จะโกรธ พี่ก็โกรธแค่เบียร์ทำอะไรไม่คิดนี่แหละ” พี่แกยกมือขึ้นมาสองข้างขึ้นมา “ มานี่สิ” ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับดวงตาที่ร้อนผ่าว “ เราผ่านเรื่องราวที่โกรธกันมานานพอแล้ว พี่จะไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องแบบนี้หรอก” พูดจบพี่เขาก็ดึงผมเข้าไปกอด “ แต่พี่โกรธมากที่เบียร์เอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้น”
“ แต่ถ้าผมไม่ไป พี่ก็จะเป็นอันตราย”
“ ตะหนูของพี่ห่วงพี่เหรอครับ”
“ ห่วงสิ ห่วงมากด้วย ฮึก ฮือ” ผมร้องไห้ออกมาทันทีอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งพี่ธีกอดผมเท่าไหร่ พี่ธีไม่โกรธผมเท่าไหร่มันยิ่งทำให้ผมร้องไห้ไม่หยุด
“ โอ้ย” พี่ธีร้องออกมาคงเป็นเพราะมือของผมไปโดนแผลของพี่แกเข้า
“ ไปหาหมอเถอะ” ผมทำหน้าขอร้องแต่ดูแล้วก็ไม่เป็นผล
“ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ มันส่งผลหลายอย่าง” พี่แกทำหน้าตาจริงจังจนน่ากลัว “ แผลแค่นี้เองอย่าคิดมาก แค่เบียร์ทำให้ก็หายดีแล้ว”
“ เวอร์”
ก็อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นทำให้เราสองคนหยุดการสนทนาลง ผมเดินไปส่องทางตาแมว เพื่อนของผมยืนใบหน้าเจื่อนอยู่หน้าห้อง ผมรีบเปิดประตูรับสุในทันที
“ พี่ธีคะ เบียร์ไม่ผิดนะคะ หรือถ้าผิดหนูก็ผิดด้วยเพราะหนูก็รู้เห็นเรื่องนี้ด้วย”
“ เดี๋ยวๆๆใจเย็นๆน้องสุ” พี่ธียกมือห้าม “ เราเคลียกันแล้วล่ะ ขอบบคุณสุมากที่จะมาช่วยเคลียนะ”
“ เหรอ ก็หนูโทรเข้ามือถือเบียร์ตั้งหลายครั้ง แต่มันไม่รับสาย” สุหันหน้ามาคาดโทษที่ผม
“ แกโทรมาตอนไหน ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”
“ เดี๋ยวนะ สุยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู” พร้อมกับใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “ ฉันถูกเตะออกจากกลุ่มแอนตี้ไวรัสธีว่ะ” สุส่งโทรศัพท์มา
ทางผมและคนที่เอาสุออกจากกลุ่มคือผมเอง
“ พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง” พี่ธีพูดหลังจากเอาโทรศัพท์จากมือผมไปดู
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมเดินเข้าห้องน้ำปล่อยให้น้ำที่เย็นเฉียบไหลผ่านร่างกายเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา วันนี้ผมผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน แต่ก็มีอย่างนึงแหละนะที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจและโล่งใจ คือผมไม่ต้องปิดบังเรื่องเพจบ้าๆนั่นอีกแล้ว แต่สิ่งที่ผมกังวนมากที่สุดตอนนี้คือสตอมมี่ มันจะหยุดเรื่องนี้หรือยัง
ผมเดินออกจากห้องน้ำมามองคนที่กำลังนั่งทำแผลอย่างทุลักทุเล อยู่บนเตียง แต่ไม่เข้าใจจริงๆว่าแค่โดนตรงแขนนี่มันจำเป็นต้องถอดเสื้อออกขนาดนี้เลยเหรอ
“ ผมบอกว่าให้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเดี๋ยวผมทำแผลให้ แล้วนี่จะมาทำเองทำไมล่ะ มองเห็นหรือไง” ผมบ่นพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพร้อมกับเช็ดผมที่เพิ่งสะไปเมื่อกี้
“ ก็เบียร์มือหนัก พี่ไม่เอาด้วยหรอกไม่ไว้ใจ”
“ รู้ได้ไงว่ามือหนัก”
“ รู้สิไม่ใช่แค่มือนะ ตัวหนักด้วย” พี่แกหัวเราะออกมา
“ งั้นตามใจ ไปอาบน้ำ ทำแผลเอง ปิดไฟ ด้วยนะ ผมจะนอนแล้ว” พูดจบผมก็เดินไปที่เตียงแล้วนั่งเช็ดผมโดยแอบชำเลืองมองพี่ชายจอมดื้ออย่างเป็นระยะ ผมไม่ชอบความขาวแบบนี้เลย “ มาทำไม” ผมพูดขึ้นหลังจากที่พี่ธีมานั่งข้างๆ
“ ทำแผลให้หน่อย”
“ อะไรกัน เป็นไบโพล่าเหรอ เมื่อกี้นี้ยังอยากจะทำเองอยู่เลย”
“ ก็ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วอ่า”
“ ไม่ต้องมายิ้มเลย”
ผมเอื้อมมือไปหยิบน้ำเกลือมาเช็ดแผลอย่างเบามือ พี่ธีนั่งซีดซาดหลับตาปี๋ตั้งตั้งแต่ผมยื่นสำลีจะไปวางที่แผลแล้ว เหมือนเด็กจริงๆ
“ นี่เช็ดมาก่อนแล้ว ยังสกปรกอยู่เลย น่าจะปล่อยให้ติดเชื้อตาย”
“ ถ้าตายจะมีคนเสียใจ”
“ แฟนคลับพี่หรือโบวี่ล่ะ”
“ ก็” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนจะเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม “ โอ้ยยย” เขาร้องลั่นเมื่อผมกดลงไปที่แผล “ เล่นแรงไปแล้วนะ”
“ ผมตกใจน่ะ” ผมยิ้มไปให้ก่อนจะเปลี่ยนสำลีไปชุบแอลกอฮลมาเช็ดเพื่อฆ่าเชื้อ พี่ธีเห็นถึงกับตาโตเป็นไข่ห่าน
“ ไม่เช็ดแอลกอฮอล์ไม่ได้เหรอ”
“ ไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีดมันเชือดหมามาบ้างหรือเปล่า”
“ แต่”
“ อยู่นิ่งๆเลยไม่อย่างนั้นจะเอาแอลกอฮอล์เนี่ยแหละราดลงไปเลย”
“ ใจร้าย”
“ ไม่เคยบอกว่าใจดี” ผมยื่นมือไปที่แผลของคนตรงหน้า “ อยู่เฉยๆอย่าขยับสิ”
“ อ่า โอ้ย ซี้ด”
“ พี่ธี ร้องอะไรแบบนี้เล่า ถ้าข้างนอกได้ยินเขาจะคิดยังไง”
“ คิดยังไง คิดอะไร พี่แค่เจ็บแผล แล้วเบียร์คิดอะไร คิดอะไรเหรอค้าบบบบ”
“ เสร็จแล้วไปเลย กลับเตียงไปได้แล้ว ถ้าไม่อาบน้ำก็ปิดไฟเถอะวันนี้เราเหนื่อยมามากแล้ว” ผมพูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนโดยหันหน้าเข้าหากำแพงแล้วปล่อยให้แสงไฟในห้องค่อยๆมืดลงไป
ผมไม่รู้ว่ามันนานเท่าไหร่แล้ว ผมรู้แค่ว่าเสียงของพี่ธีเงียบไปแล้วสงสัยหลับไปแล้ว แต่อยู่ๆก็เหมือนมีบางอย่างกำลังเดินอยู่ในห้อง ผมกำผ้าห่มแน่นเมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาขึ้นทุกที หรือว่าผีเจ้าของห้อง ผมนอนทับที่เขาหรือเปล่านะ เสียงนั้นหยุดลง ข้างเตียงของผมยุบตัวลงผมหลับตาปี๋ มือหนาของเขาสอดเข้ามาในผ้าห่มผม กลิ่นน้ำหอมจางๆลอยเข้ามาเตะจมูกผม ไม่ใช่ผีที่ไหนแล้วล่ะ
“ ทำไมไม่ไปนอนที่เตียงตัวเอง” ผมพลิกตัวหันกลับไปถามอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่อยู่ท่ามกลางความมืดยิ้มรับผมอย่างรวดเร็ว
“ แล้วทำไมยังไม่หลับ คิดอะไรอยู่เด็กน้อย”
“ เปล่า”
“ คิดมากเรื่องอะไรบอกพี่ได้นะ เราเป็นแฟนกันนะ”
“ เดี๋ยวนะ ผมยังไม่ได้ตกลงเลย”
“ แล้วจะตกลงยังอ่า”
“ พี่ไม่โกรธผมจริงๆเหรอ” ผมถามพี่ธีทำหน้านิ่ว
“ ถ้าถามอีกจะโกรธจริงๆแล้วนะ” พี่แกกระชับตัวผมเข้าไปกอด ไอ้พี่บ้านี่ก็ถอดถอดเสื้ออีก แผงอกอุ่นนั่นทำให้ผมสบายใจ
ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกและมันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนยกภูเขาออกจาก
อก มันเป็นความรู้สึกที่ผมถวิลหามันมานานแสนนาน ผมกำลังได้พี่ชายคนเดิมของผมกลับคืนมาอีกครั้งแล้ว พี่ชายที่พร้อมจะปกป้องผม “ ร้องไห้ทำไม”
“ ผมรักพี่นะ”
“ แล้วร้องไห้ทำไมล่ะ”
“ กะ ก็ ฮึก ฮือ”
“ ขอบคุณครับ รู้แล้วครับ” มือหน้าที่กอดอยู่เปลี่ยนมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแทน “ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตาบวมนะ”
“ เรื่องของสตอมมี่”
“ พี่บอกแล้วว่าพี่จะเป็นคนที่จัดการเรื่องนี้เอง ไม่ต้องห่วงนะ แล้วไม่ต้องเรียกสตอมมี่แล้ว คนคนนั้นชื่อยูคยม เป็นน้องชาย
ของเจมส์ เรื่องนี้มันจะจบ”
“ แต่”
“ นอนเถอะดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เราต้องไปทำอะไรอีกเยอะนะ”
“ พี่ก็กลับที่ไปดิ”
“ เรื่องไรล่ะ ขอกอดอย่างนี้นะ”
“ อืม ผมนอนดิ้นนะ”
“ นี่ก็ไม่ใช่การกอดครั้งแรกของพี่สักหน่อย”
“ อืมนอนได้แล้ว”
“ เบียร์เองเถอะนอนได้แล้ว”
“ แล้วจะนอนได้ยังไง มีคนจ้องแบบนี้”
“ ก็พลิกตัวไปนอนดีๆสิจะได้มองไม่เห็นว่าใครจ้องอยู่” พี่ธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนทำให้ผมต้องถอยไปจนสุดติดกำแพง “ จะหนีไปไหน”
“ พี่น่ะจะทำอะไร”
“ ก็แค่อยากนอนด้วย เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ นอนกอดกันอย่างนี้อีกนานแค่ไหน” พี่ธียิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ‘
“ ต้องให้พูดอะไรอีกล่ะ นอนอยู่ด้วยขนาดนี้แล้ว”
“ พูดมาดิ”
ผมไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้ผมเลือกที่จะทำมากกว่าพูด ผมโน้มตัวลงไปทาบริมฝีปาก พี่ธีผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มร่าแล้วดึงผมกลับ
ลงไปหาอีกครั้ง แล้วพี่ธีกลับประกบริมฝีปากนุ่มลงมา ในตอนนั้นร่างกายทุกอย่างมันตอบสนองไปหมดแล้วทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็น บาดแผลตามร่างกายถูกรักษาขึ้นมาได้โดยบัดดล มันไม่เจ็บแสบแม้หยาดเหงื่อที่ไหลออกมาจากบทเพลงอันร้อนแรงบนเตียงนั้น ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหลังจากนี้ ผมจะรักพี่ธีได้มากกว่านี้หรือเปล่า เพราะวันนี้ผมได้มอบทุกอย่างไปให้พี่เขาอีกครั้งแล้ว ร่องรอยบนตัวของผมมันสะท้อนทุกอย่างออกมาได้ดี เสียงกระหืดกระหอบของเราประสานเป็นหนึ่งเดียว สัมผัสของอบอุ่นของพี่ธีมอบเข้ามาในร่างกายของผมเป็นอย่างดี ลมหายใจที่อยู่ที่กกหูเป็นเหมือนเสียงดนตรีชั้นดีที่กำลังบรรเลงเพลงรักอันแสนโรแมนติก สายตาของเราสองคนประสานกันในความมืด แม้มันไม่ได้ชัดเจนมาก แต่ดวงตาที่อ่อนโยนนั้นกลับส่งความรู้สึกมาให้ผมได้เป็นอย่างดี
หลังบทเพลงรักที่แสนเร่าร้อนจบลง ผมไม่สามารถที่จะขยับได้มากเท่าไหร่ ร่องรอยของพี่ธีตามตัวทั้งที่เป็นรอยฝังสีแดงตามตัวและหลักฐานความรักนั้นพี่เขาก็จัดการอุ้มพาผมไปล้างออกแล้วกลับมาที่บนเตียง ไออุ่นจากร่างกายพี่ธีทำหน้าที่แทนผ้าห่มตลอดทั้งคืน มันอาจเป็นความสุขมากที่สุดของผม แม้ว่าหลังจากนี้จะเจอกับอะไร ผมก็พูดได้เต็มปากเลยว่า ผมรักพี่ธี และมันจะเป็นอย่างนี้ในวันต่อๆไป
มาต่อกันเลยนะ
-
โทรศัพท์เบียร์หายหรอ :hao4:
-
12
{THEEMA}
“ ฝากจัดการคนของนายด้วย ฉันไม่อยากเอาเรื่องแต่ถ้ายังมายุ่งเรื่องของฉันฉันก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน” ผมพยายามกดอารมณ์ไม่ให้ใส่ไปกับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเจมส์ แต่เห็นอย่างนี้เจมส์มันก็มีวิธีจัดการในแบบของมันแหละครับ
“ ครับพี่ ผมขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ” เจมส์พูดด้วยเสียงอ่อนใจก่อนจะวางสายไป
ผมยืนที่ระเบียงสักครู่ จริงๆแล้วเชียงใหม่ยามค่ำคืนก็ไม่ได้ต่างไปจากกรุงเทพมากมายเท่าไหร่ ยังคงมีรถวิ่ง แสงไฟที่เป็นจุดเล็กระยิบระยับในเมืองแสดงให้เห็นว่ามีบางกลุ่มที่ยังไม่หลับใหล ผมสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด ปล่อยให้ลมเย็นๆตีหน้าสักพักก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง คนที่น่าจะเพลียจากสิ่งที่ผมมอบให้ยังคงหลับตาพริ้ม รอยแดงที่ต้นคอที่ผมเผลอทำไปเมื่อครู่มันค่อยๆชัดขึ้น
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วกอดเบียร์เอาไว้ ถึงแม้ว่ามันจะทรมานที่ต้องอดกลั้นในสิ่งที่ร่างกายผมตอบสนอง แต่มันก็มีความสุข ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปตอนไหนแต่รู้ตัวอีกทีไอ้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมมันขยับตัวนี่แหละ ริมฝีปากอมชมพูหน้าอยู่ใกล้หน้าของผมแค่คืน ดวงตารีเล็กค่อยขยับลืมขึ้นมา
“ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“ ตื่นนานแล้วเหรอ” เจ้าตัวเล็กมันถามผมครับ ผมยิ้มแล้วพยักหน้าตอบกลับไป “ เชี่ย”
“ มีอะไร” ผมตกใจกับคำทักทายของเด็กน้อยของผม
“ พี่ไม่เมื่อยแย่เหรอ ผมนอนทับแขนพี่แบบนี้”
“ นึกว่าเรื่องอะไร” น้องมันไม่ได้ด่าผมครับ “ ไม่รู้สิ มันไม่รู้สึกแล้ว มานวดให้เลย” ผมเอาจมูกของผมไปเขี่ยจมูกของคนตรงหน้า “ นะๆนวดให้หน่อย ดูสิแขนข้างนึงก็โดนมีดอีกข้างก็ใช้งานไม่ได้”
“ ขอโทษ” เบียร์รีบลุกจากเตียง “ โอ้ย”
“ เป็นอะไร” ผมตกใจสิครับจู่ๆน้องมันก็ร้องออกมาเสียงหลงมา
“ ตรงนั้นผม มันเจ็บมากเลยครับ” หน้าของเบียร์ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ผมเปิดผ้าห่มที่ห่อพวกเราอยู่ออกอย่างรวดเร็ว ผ้าปูที่นอนสีขาวตรงที่เบียร์นอน เป็นรอยสีแดงดวงใหญ่ปรากฏ ผมทำน้องเลือดครับ
“ เชี่ย” ผมร้องดังกว่าก่อนจะลองแตะที่หน้าผากเบาๆ “ เบียร์ดูมีไข้นะเนี่ย”
“ ผมแค่เจ็บๆน่ะครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ” น้องมันเถียงพร้อมกับพยายามขยับตัวลุกนั่ง แต่มันก็ร้องออกมาอยู่ดี
“ หยุดดื้อได้แล้ว” ผมอุ้มตัวเล็กของผมไปที่ห้องน้ำคราวนี้แหละครับเลือดกลับไหลออกมามากกว่าเดิมและมีบางส่วนที่เป็นส่วนของผมที่คั่งค้างอยู่ด้านในออกมาด้วย “ วันนี้เบียร์ไม่ต้องไปกับพี่หรอกนอนพักอยู่ห้องนี่แหละ ยิ่งวันนี้เป็นแอดเวนเจอร์ ทั้งเอทีวี ทั้งเดินป่า ไม่ไหวหรอก”
“ แต่”
“ อย่าดื้อ” ผมทำหน้าขึงขังใส่ น้องมันดูสงบลงในทันที “ พี่เป็นห่วงนะรู้หรือเปล่า เดี๋ยวพี่จะให้ทีมงานอยู่เป็นเพื่อนที่นี่ ส่วนข้าวพี่จะลงไปสั่งให้แล้วนอนพักผ่อนกินยาซะ”
“ คะ ครับ”
ผมจัดการอาบน้ำให้เบียร์ก่อนจะอุ้มไปใส่เสื้อผ้าแล้วไปนอนที่เตียงของผมที่อยู่ริมหน้าต่าง เพราะที่นอนนั้นคงนอนไม่ได้แล้ว ผมเองก็รู้สึกผิดที่มีความสุขจนลืมว่าเป็นครั้งแรกของน้อง
“ เดี๋ยวเอาโทรศัพท์เครื่องนี้ของพี่ไว้แล้วกัน มีอะไรโทรหาพี่หรือสุก็ได้” ผมวางโทรศัพท์เครื่องสำรองที่ไว้ติดต่องานเวลา
ด่วนตอนพีบีไม่ว่าง “ จำเบอร์สุได้ใช่หรือเปล่า”
“ จำได้ครับ พี่รีบไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
“ ครับ”
ผมตอบกลับก่อนที่จะเดินกลับไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวให้เสร็จเร็วที่สุด เพราะผมเกือบจะสายแล้ว เมื่อผมเดินออกมา สุก็กำลังนั่งอยู่ที่ข้างเตียงของเบียร์ เธอหันมามองผมด้วยใบหน้าที่แดงฉาน
“ คือ” ผมเองก็เขินๆเหมือนกัน
“ ทีมงานให้ขึ้นมาตามค่ะ” สุเป็นคนทำให้บรรยากาศในห้องไม่เงียบและไม่อึดอัด “ เดี๋ยวสุจะให้คนของเราดูแลเบียร์คนนึงค่ะ พร้อมรถหนึ่งคันเผื่อมีปัญหาอะไร”
“ โอเค ดีเลย” ผมส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินตรงไปหาคนที่นอนอยู่ “ พี่ไปก่อนนะ มีอะไรโทรหาเลยนะ”
“ ครับ”
“ อ้อนเก่ง” สุพูดลอยๆขึ้นมาทำเอาเบียร์ของผมหน้าแดงขึ้นมาทันที “ สุว่าสุลงไปรอข้างล่างก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ลุกออกไปแล้วปิดห้องอย่างรวดเร็ว
“ ไปได้แล้ว” เบียร์ดึงผ้าขึ้นมาปิดหน้า
“ อะไรนะ ได้พี่แล้วไล่พี่เหรอ”
“ ไอ้พี่บ้า ไปเลยคนอื่นรอแล้ว” เสียงอู้อี้ดังมาจากใต้ผ้าห่ม
“ยังไปไม่ได้”
“ ทำไมล่ะ”
“ เปิดผ้ามาก่อนสิ”
ผ้าห่มสีข้าวค่อยๆล่นลงให้ผมเห็นดวงตาและใบหน้าสีขาวที่กำลังแดงด้วยความเขินอาย จนกระทั่งริมฝีปากคล้ายเยลลี่สีแดงปรากฏขึ้นมา ผมประทับริมฝีปากลงไปที่นี่นอนอยู่จนเด็กน้อยของผมตาโตมาด้วยความตกใจก่อนที่ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่มันควรเป็น
“ ไอ้บ้า”
“ ครับ ยอมเป็นคนบ้าถ้าได้กินเยลลี่” ผมเอามือเล่นที่ปากของน้อง “ ไปแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะอดใจไม่ไหวเสียก่อน”
ผมพูดจบก็พยายามเดินออกจากห้องให้เร็วที่สุดเพราะกลัวว่าถ้าอยู่นานมันจะไม่ใช่แค่จูบ ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นโรคแล้วล่ะครับ
โรคเบียร์ซินโทรม ผมชักขาดเบียร์ไม่ได้แล้ว แต่ทำยังไงได้เพราะเราต้องไปทำงานนี่เนอะ
วันนี้เป็นอะไรที่ควรสนุกสนาน เพราะเราจะไปที่แม่ริมกัน พอเบียร์ไม่มาผมเลยจำเป็นต้องจำแผนงานทั้งหมดเอง เราจะไปที่ปางช้างก่อนที่จะขึ้นไปลุยกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นรถเอทีวี การเดินป่าผ่านเส้นสลิง หรือการล่องแพต่างๆซึ่งน่าสนุกครับ และโชคดีที่ผมไม่เอาน้องมาทรมานด้วย
พอเราแวะกันที่ปางช้าง เมื่อลูกทัวร์ของผมลงไปกันหมดเราก็ไปถ่ายรูปคู่ด้วย ในกิจกรรมนี้ จะมีการถ่ายรูปกับโพลารอยด์ครู่กับผมและโบวี่พร้อมกับแจกลายเซ็น
“ วันนี้อากาศดีนะคะว่าไหม” โบวี่ที่กำลังยืนเซ็นลายเซ็นถามขึ้น
“ ครับ” ผมตอบสั้นๆก่อนจะเซ็นลายเซ็นแล้วส่งยิ้มให้แฟนคลับของผมตรงหน้า
“ ผู้จัดการเราไม่มาทั้งคู่เลยนะคะ เจ๊แตงกวาแกอยากไปสปาชิลๆ แล้วเด็กของพี่ล่ะคะไปไหน”
“ ไม่สบายน่ะ” ผมตอบก่อนจะเดินเลี่ยงไปโทรหาเบียร์เสียหน่อย แต่ปลายสายกลับเงียบเสียงไม่ยอมรับจนใจของผมร้อนไป
หมด “ ทำไมไม่รับนะ”
ไม่นานหลังจากที่ผมพยายามโทรไปหาพยายามสิบรอบเห็นจะได้เสียงใสๆก็กรอกตอบกลับมา “ ครับ”
“ ทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์”
“ พี่ธีครับ ผมเพิ่งออกจากห้องน้ำมา”
“ โล่งใจหน่อย พี่นึกว่า”
“ พี่ธีครับ ผมโตแล้วนะ อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กสิ”
“ โอเคครับ ยังไงก็นอนแล้วก็กินยานะครับ”
ผมตัดสายทิ้ง ก่อนจะเดินไปรวมกับคนอื่นที่กำลังเดินไปถ่ายรูปช้างและให้อาหารช้าง เราจะต้องไปดูโชว์ต่อครับ แล้วเราก็ต้องไปเตรียมขี่เอทีวีตะลุยด่านต่างๆในสถานีต่อไป
และเมื่อเสร็จกิจกรรมของทางปางช้างเราก็มาหยุดกันที่สนามเอทีวีครับ ที่นี่ไม่เหมือนใคร เพราะมีพื้นที่กว้าง และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด รอบๆมีลวดหนามกั้นระหว่างเส้นทางทำกิจกรรมและส่วนของป่าเอาไว้ ทางทีมงานบอกว่า ในแถบนี้ยังมีป่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่ละห้ามออกนอกเส้นทางเพราะอาจหลงได้ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะกิจกรรมวันนี้หนักมาก ผมต้องไปรับบรีฟงานกับทางทีมงานว่าจะต้องไปรอที่เส้นชัย เพื่อรอคนที่จะทำกิจกรรมสำเร็จไปหาเพื่อให้ผมเป็นคนมอบภารกิจสุดท้าย ฟังเหมือนสบายใช่ไหมครับ แต่ไม่สบายเลยครับ เพราะผมต้องไปยืนอยู่กับโบวี่
“ พี่ธีคะ” สุเดินมาเทียบที่ข้างรถของผมที่กำลังไปยังจุดนัดพบ
“ มีอะไรหรือเปล่าสุ”
“ เบียร์กำลังมาที่นี่ค่ะ ทีมงานของหนูโทรมาบอกว่าเขากำลังขับรถออกมา แล้วยังบอกอีกว่าเบียร์ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ดูเหมือนรีบ
มากๆ สุเลยจะถามว่าพี่เร่งเบียร์มาที่นี่หรือเปล่าคะ”
“ เปล่า” ผมตอบก่อนจะกดโทรศัพท์โทรกลับไปหาเจมส์อีกครั้ง
“ ครับ” ปลายสายตอบกลับมา
“ ฉันขอเบอร์น้องชายแกหน่อย”
“ ผมไม่ได้ยินเลยพี่เสียงเพลงดังมากเลยครับ”
“ ฉัน ขอ เบอร์ ไอ้ เตเดี๋ยวนี้” ผมกัดฟันด้วยความโกรธไม่มีใครอีกแล้วนอกจากมัน เรื่องนี้มึงจะไม่จบใช่ไหม ผมตัดสายจากเจมส์แล้วโทรกลับไปยังไอ้ตัวที่ผมคิดว่าเรื่องนี้เกิดจากมัน
“ เป็นเกียรติจังเลย ที่มีซุป’ตาโทรมาหา” มันตอบมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ แกจะยังไม่จบใช่ไหม”
“ แกนั่นแหละที่ไม่จบ แกเอาพี่ชายฉันมาเกี่ยวทำไม”
“ แกคิดจะทำอะไรฮะ แกหยุดได้แล้วนะเว้ย” ผมตะโกนออกไปทำเอาคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหันมาทางผมเป็นสายตาเดียว ผมพยายามลดเสียงและระดับอารมณ์ให้ได้มากที่สุดแล้วพูดกลับไป “ ถ้าเบียร์เป็นอะไรแกตายแน่”
“ จะหยุดได้ยังไงครับ ผมเพิ่งเริ่ม” มันพูดจบก็ตัดสายไป ผมกำหมัดแน่นและพยายามกดอารมณ์ให้มากที่สุด ผมเดินออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ ติดต่อเบียร์ไม่ได้ ผมควรทำไงดีเนี่ย
-
เบียร์จะไปไหนกันนะ ผู้ใดลวงให้ออกมานะ :katai1:
-
{BEER}
พี่ธีปิดประตูไปไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังตามมาทันที เป็นอาหารเบาๆท้องอย่างโจ๊กที่มีไข่ลวกแยกมาสองฟอง ผมยิ้มให้กับพนักงานก่อนที่จะปิดประตูห้องลง ผมจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหยเพราะเมื่อคืนใช้แรงงานไปค่อนข้างเยอะ แต่ทำไงได้ล่ะ หลงรักเขาไปแล้ว
ผมนั่งนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อคืน อ้อมกอด ลมหายใจและสัมผัสแรกนั้นมันทำให้ริมฝีปากของผมมันยิ้มไม่ยอมหยุด ความสุขทั้งหมดที่มีตอนนี้ มันเหมือนแก้วเครื่องดื่นรสอร่อยที่ถูกเติมจนเต็มและกินต่อได้เรื่อยๆ ผมเดินจากโต๊ะไปห้องน้ำด้วยอาการเจ็บด้านล่างเล็กน้อย
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงดังขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่ผมยังทำธุระไม่เสร็จจะให้ออกไปได้ยังไงล่ะ ผมปล่อยให้มันดังอยู่หลายรอบจึงวิ่งมารับ
“ พี่ธีถึงแล้วแน่เลย” ผมเอื้อมมือไปสายที่กำลังเข้าอยู่ “ ครับ”
“ ทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์” ปลายสายส่งเสียงแข็งกลับมา
“ พี่ธีครับ ผมเพิ่งออกจากห้องน้ำมา”
“ โล่งใจหน่อย พี่นึกว่า” ผมได้แต่ถอนหายใจพี่แกคงคิดว่าผมอายุสองขวบดูดขวดนมอยู่หรือเปล่าเนี่ย
“ พี่ธีครับ ผมโตแล้วนะ อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กสิ”
“ โอเคครับ ยังไงก็นอนแล้วก็กินยานะครับ” เสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เสร็จผมแน่ไวรัสจั๋น
พี่ธีวางสายไปสงสัยด้วยฤทธิ์ยามันเลยทำให้ผมง่วงทั้งๆที่เพิ่งตื่นไป ผมหลับตาหลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่แต่รู้แค่ว่าเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงมันดังไม่ยอมหยุดเสียที
“ ครับ”
“ ไอ้ธีมันคงห่วงแกมากสินะที่ไม่ให้แกออกไปด้วย” เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมา
“ แกเป็นใคร หรือว่า”
“ ถ้าแกไม่อยากให้ธีเดือดร้อน มาหาฉันเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้น ชีวิตคนรักแกพัง”
“ ไอ้สตอ ไม่ใช่สิ แกจะทำอะไรพี่ธีไอ้เต”
“ หึ” มันหัวเราะผ่านโทรศัพท์มา “ แกไม่มีสิทธิ์มาถามฉันนะ ถ้าฉันรอแกนานพี่ชายแก ดับแน่” เสียงของมันตัดขาดหายไป ผมเดินไปมาอย่างใช้ความคิด เพราะถ้าโทรไปบอกพี่ธีพี่แกคงร้อนใจจนเสียการเสียงาน อีกอย่างถ้าพี่ธีมาเรื่องคงไปกันใหญ่แน่ ผมหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์มือถือหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายมันจะเจ็บ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันน่าจะรุนแรงกว่า ผมวิ่งไปเคาะห้องพี่ที่อยู่เป็นเพื่อนและขอให้พี่เขาขับรถออกไป
เราผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าจนกระทั่งมาหยุดที่ปลายทางที่นัดหมาย นั่นคือ บริเวณจุดล่องแก่ง
“ รอตรงนี้นะครับ”
“ เอ่อรอก่อนนะครับ” พี่แกพูอย่างตะกุกตะกัก
“ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ คือผมโทรบอกสุไปแล้วว่าเรากำลังมาที่นี่ครับ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับทีมงานคนนั้นโรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาทันที หน้าจอโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่าเบอร์ของคนที่โทรเข้า
เป็นเบอร์ของผู้ไม่หวังดีเข้ามา
“ ว่าไง”
“ ทำไมเสียงห้วนแบบนั้นล่ะครับ มาถึงแล้วทำไมยังไม่เข้ามาอีกล่ะ ที่นี่ไม่มีใครหรอกฉันสั่งปิดไปหมดแล้ว” มันหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ เร็วๆหน่อยนะ คนของผมที่กำลังรอคำสั่งอยู่พร้อมที่จะลุยในทันที”
“ พี่รอตรงนี้นะ” ผมบอกคนขับรถหลังจากกดตัดสายไป ก่อนที่จะวิ่งห่างออกจากจุดจอดรถเต็มที และทันทีที่ไปถึงจุดนัดหมาย ก็มีป้ายเตือนว่า
อันตราย น้ำไหลแรงงดกิจกรรมทางน้ำ
รอบตัวของผมได้ยินเพียงเสียงน้ำที่ไหลกระทบกับก้อนหินและฝั่ง ไร้ผู้คนอย่างที่คนที่นัดมันมาบอก และพวกมันก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน ผมตัดสินใจที่จะวิ่งกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่เพราะการยืนอยู่ที่นี่คงไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก
“ จะไปไหนล่ะครับ” เสียงของใครบางคนเดินออกมาจากแพด้านล่าง ประมาณสี่ห้าคน ซึ่งเป็นคนที่ผมเคยเจอที่ถนนคนเดิน
วันนั้น “ มึงทำพวกกูไว้แสบมากเลยนะ”
“ ผมไม่ได้มาคนเดียวนะ ถ้าเข้ามาร้องให้คนช่วยจริงๆด้วย” ผมขู่ออกไป
“ จริงเหรอวะ คนที่มึงมาด้วยป่านนี้มันนอนเล่นอยู่ในรถสบายไปแล้ว”
พวกมันเดินตรงมาหาผมแต่ละคนมีรอยช้ำบนใบหน้าเหมือนกับว่าเพิ่งถูกซ้อมมาจากใครบางคน ซึ่งตอนนี้พวกมันโยนความผิดมาให้ผมแล้วผมควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย ในหัวของผมพยายามคิดหาทางหนีทีไล่แต่มันแทบไม่มีเลย ผมลองทำท่าจะวิ่งกลับไปที่รถพวกมันก็วิ่งมาดัก มันไม่มีทางหนีแล้ว ผมติดกับมันเสียแล้วล่ะ
“ พวกพี่ปล่อยผมไปเถอะ มันจ้างพี่มาเท่าไหร่ผมให้สองเท่าเลย”
“ เหรอวะ” คนที่รู้สึกว่าจะเป็นหัวโจกตรงหน้าหัวเราะออกมาเหมือนคำพูดของผมเป็นเรื่องตลก “ ก็ดี มันจ้างพวกกูมาคนละห้าพัน ห้าคนสองหมื่นห้า พร้อมกับตัวมึง ซึ่งกูคิดว่าตอนแรกจะจัดการคนละรอบ แต่ถ้ามึงบอกว่าให้สองเท่าก็คนละสองรอบ ไหวไหมล่ะครับ” พูดจบเสียงหัวเราะพวกมันก็หัวเราะพร้อมกับเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ “ กูขอก่อน” ไอ้ตัวที่น่าจะเป็นหัวหน้าเดินเขามาหา
“ อย่าเข้ามานะเว้ย” ผมตะโกนออกไป
“ ถ้าเข้าแล้วจะทำไม แล้วจะทำไม จะทำไม” พวกมันเดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะที่น่าสะอิดสะเอียน
“ ตัวหอมดีว่ะ” ผมถอยจนไปชนกันไอ้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนที่มันจะรวบเข้ามาที่เอวผม เหงื่อที่ท่วมตัวมันสัมผัสที่แขนของผมจนน่าสะอิดสะเอียน มันรัดเอวของผมแน่นขึ้นจะไม่สามารถที่จะขัดขืนได้ สัมผัสสากๆที่คอของผมทำให้ผมต้องหลับตาเพราะไม่อยากรับรู้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว เสียงหัวเราะที่น่ากลัวดังก้องอยู่ในหัวผม และใกล้เข้ามาทุกที ตัวของผมถูกยกลอยมาอยู่ที่ไหนสักที่ แต่เสียงน้ำไหลมันดังชัดเจนกว่าเมื่อครู่ พวกมันจับผมให้นอนนิ่งอยู่ในแนวราบ ในหัวของผมตอนนี้คือต้องเก็บแรงให้มากที่สุด ผมเปิดตาขึ้นมาก็พบว่าที่ตัวผมอยู่นั้นเป็นแพที่เขานั่งพักริมน้ำ เสียงน้ำที่ไหลแรงทำให้กลบเสียงที่พวกมันคุยกับ ไอ้คนที่กดแขนของผมอยู่โน้มตัวลงมาบดขยี้ที่ปากของผมจนเจ็บไปหมด น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมมองไปที่น้ำไหลเชี่ยวด้านข้างนั้นแล้วมองกลับมามองในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมขอตายดีกว่ามายอมให้มันทำอะไรแบบนี้
“ อร้าก” เสียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ผมกัดปากมันอย่างสุดแรง ก่อนที่ผมจะพลิกตัวเองลงไปในน้ำที่กำลังไหลเชี่ยวนั้น รสชาติของน้ำเข้าไปในปากของผมหลายอึก แล้วภาพทุกอย่างก็ค่อยๆพลันหายไป
ลาก่อนครับ แม่ สุ พี่ธี
{THEEMA}
ผมยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันที่กำลังสนุกสนานเข้มข้น เสียงของกองเชียร์และคนรอบข้างมันดังจนผมรำคาญ ผมอยากออกไปจากบริเวณนี้เหลือเกิน ผมไม่อยากที่จะอยู่ตรงนี้แล้ว ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเบียร์แน่ๆ ถึงแม้สุจะยืนยันกับผมแล้วว่าจะกลับจนกระทั่งทุกอย่างที่ผมคิดมันกำลังคืบคลานเข้ามา
“ เกิดเรื่องแล้วค่ะ” สุดึงผมออกมาจากบริเวณลานกิจกรรมจนกระทั่งมาหยุดตรงบริเวณจุดสตาฟของบริษัทที่กำลังทำรุมทำแผลให้พนักงานคนหนึ่งที่หัวแตก “ นี่คือคนที่มากับเบียร์ค่ะ ตอนนี้เบียร์หายตัวไปค่ะ”
“ เกิดอะไรขึ้น พี่จะไปตามหาเบียร์ “
“ ผมมากับคุณเบียร์ครับ แล้วเขาให้ผมรอที่รถจู่ๆมีคนมาทุบกระจกรถ พอผมได้สติมีผู้ชายคนนึงบอกให้ผมรีบมาที่นี่ครับ”
“ ผู้ชาย ใครกัน” สุถามแล้วหันหน้ามาทางผม
“ ผมจำได้ว่าเขาเคยแสดงละครกับคุณธีครับ”
ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หน้าจอของมันแสดงรายชื่อเป็นคนสนิทของผม เจมส์ ผมกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“ ฮัลโหล”
“ พี่ไม่ต้องห่วงนะครับตอนนี้เราเจอตัวของเบียร์แล้วกำลังพาไปโรงพยาบาลครับ”
“ ฉันจะไปหา”
“ ถ้าพี่มางานพังพ่อพี่ต้องไม่พอใจแน่ๆ ทางนี้ให้ผมจัดการเองนะครับ ถือว่าเรื่องทุกอย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้เป็นการไถ่ความผิดที่น้องผมทำความเดือดร้อน”
“ เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่ง” ผมยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไปสายต้นทางก็ตัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าตัวผมจะอยู่ที่นี่ ใจของผมกลับใจจดใจจ่ออยู่กับคนที่กำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ผมพยายามฝืยยิ้มให้ได้มากที่สุดเพราะคนที่มาเที่ยวกับผมในวันนี้เขาเสียเงินมาเพื่อหาความสุข
และสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึงเมื่อสุที่เรียกรวมทุกคนให้ขึ้นรถกลับไปยังที่พัก ผมจึงค่อยๆแยกตัวออกมาหาทีมงานอีกกลุ่มที่กำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้อยู่
“ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณธี” พนักงานที่กำลังเก็บเชือกใส่ลังถามผม
“ ผมขอยืมรถของทีมงานหน่อยได้ไหมครับ”
“ อ่อ คุณสุสั่งไว้แล้วครับนี่ครับกุญแจ”
ผมรับกุญแจมาก่อนจะตรงไปยังรถกระบะสีดำที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ ผมขับมันออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว โชคดีของผมที่ตอนนี้รถไม่ติดมากเท่าไหร่แต่มันก็ยังเร็วไม่ทันใจของผมอยู่ดี พอเขตป่าไม้เปลี่ยนเป็นตึกราบ้านช่องและสิ่งก่อสร้าง ผมทำการติดต่อไปยังเจมส์อีกครั้งไม่นานปลายสายก็รับ
“ ส่งโลเคชั่นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ผมตัดสายไป ไม่นานข้อความก็เข้ามาในโทรศัพท์ของผมส่งมาพร้อมสถานที่ที่เบียร์อยู่รวมทั้งหมายเลขห้อง ผมหยิบเสื้อคลุมของพนักงงานที่วางไว้ในรถขึ้นมาสวมพร้อมกับผ้าปิดปากในกระเป๋าตัวเองก่อนจะลงจากรถเพื่อตรงเข้าไปโรงพยาบาล
ผู้คนมากมายเดินชุลมุนไปทั่วบริเวณ ส่วนหนึ่งเป็นนักข่าวซึ่งเขาต้องรู้แน่ๆว่าผมจะมาที่นี่แต่โชคดีที่ว่าทางโรงพยาบาลไม่ให้เข้ามาในตัวโรงพยาบาล ผมมองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งเนียนไปกับรถที่กำลังเข็นย้ายผู้ป่วยเข้าไปในลิฟท์ซึ่งตรงนั้นมีนักข่าวกำลังนั่งสอด
ส่องไปมาอยู่
เมื่อเข้ามาในลิฟท์ได้ผมกดไปชั้นที่ผมต้องการไม่นานลิฟท์ก็เปิดออก เจมส์มันยืนรอผมอยู่ที่หน้าลิฟท์ด้วยใบหน้าที่สำนึกผิดมันไม่กล้าที่จะสบตาผมเลยด้วยซ้ำ
“ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นไม่ใช่ความผิดของแกสักหน่อย” ผมตบบ่ามันไปสองสามที “ ไปดูอาการเบียร์ก่อนเถอะ”
ทันทีที่ผมเดินไปถึงภาพตรงหน้าคือคนรักของผมนอนอยู่บนเตียงมีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่บริเวณมือซ้าย อีกมือนึงของเบียมีคนกำลังจับมันไว้แน่น พี่มาร์คกำลังจับมือแล้วมองไปยังคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ที่หัวของน้องมันผ้าก็อซสีขาวพันอยู่ ใบหน้ามีรอยแผลฟกช้ำที่มุมปากและใบหน้า สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือยืนกัดฟันแน่นผมอย่างปล่อยหมัดนี้ใส่หน้าไอ้คนที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้
“ พี่ธี พี่ธี” เสียงของคนที่อยู่บนเตียงร้องขึ้นมาแล้วเงียบหายไป เนื้อตัวของเขาสั่นกลัว
“ พี่มาร์คครับเราออกไปรอข้างนอกดีกว่านะครับ” เจมส์ที่ยืนอยู่ตรงประตูเดินเข้ามาดึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆเบียร์ออกไป
“ เดี๋ยว” ไอ้พี่มาร์คมันดึงแขนของเจมส์เอาไว้ “ ถ้านายทำให้เบียร์เสียใจอีกล่ะก็ผมนี่แหละจะเป็นคนมาเอาเบียร์กลับมาเป็นของผม” ใบหน้าสีขาวนั้นแดงดวงตาของพี่เขาจริงจังมาก
“ ครับ เรื่องวันนี้ผมขอบคุณนะครับ” ผมโค้งตัวให้พี่เข้าอย่างจริงใจเพราะหากว่าวันนี้ไม่มีพี่มาร์คกับเจมส์ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของผมจะเป็นอย่างไรบ้าง “ ผมจะไม่วีวันทำให้เบียร์เสียใจอีกแน่ๆครับ”
ผมมองตามคนที่เดินออกจากประตูไปจนมันปิดลง ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวที่มาร์คนั่งไปเมื่อครู่นี้ ผมสัมผัสที่มือของน้องอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าคนที่หลับอยู่จะเจ็บหรือตื่นขึ้นมา
“ เจ็บไหมครับ” ผมถามออกไป โดยไม่หวังให้คนที่นอนหลับอยู่ตอบหรอกครับแต่อยากทำอะไรได้มากกว่านี้เท่านั้นเองเพราะผมไม่มีโอกาสได้ปกป้องน้องด้วยซ้ำ
กลับมาแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาา หายไปนานมาก555 กว่าจะเคลียงานต่างๆเสร็จ ทำงานแล้วหาเวลาเขียนยากจังไม่เหมือนตอนเรียนเลย
-
ขอที ทนไม่ไหวแล้ว :z6:
-
{PART’S MARK}
“ ฝากจัดการคนของนายด้วย ฉันไม่อยากเอาเรื่องแต่ถ้ายังมายุ่งเรื่องของฉันฉันก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน” ผมที่กำลังเอื้อมแขนถือโทรศัพท์ให้กับเจมส์ซึ่งวุ่นๆอยู่กับการท่องบทตรงเบาะหลังทำให้ผมถึงกับชะงักเพราะเสียงปลายสายดูโมโหมากเลยทีเดียว
“ มีอะไรหรือเปล่าทำไมทำหน้าเครียดจัง” ผมถามไปเพราะตั้งแต่ทำงานกับเขามาเขาแทบไม่เคยโมโหใครหรือทำหน้าเครียดอย่างในตอนนี้เลย
“ พี่ช่วยโทรออกไปเบอร์ของเตให้หน่อย อยู่ในเครื่องน่ะครับ” เขาพูดพร้อมกับวางบทลง
ผมชักสายโทรศัพท์ที่เสียบเชื่อมอยู่กับรถออกแล้วกดเบอร์ที่เขาสั่งก่อนจะยื่นกลับไปใหคนที่นั่งอยู่ด้ายหลัง เขาดูร้อนใจมาก
“ สวัสดีครับ”
เสียงนั้นดังออกลำโพงออกมาเหมือนเสียงของโทรศัพท์ของเจมส์จะดังไปหน่อยทำให้ผมได้ยินไปด้วย และเหมือนเขาจะรู้จึงลดระดับเสียงลง
“ นายทำอะไรของนายฮะ ถ้าเกิดเป็นเรื่องใหญ่จะทำไง หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมไม่รู้ว่าปลายสายตอบอะไรมาแต่คนที่อยู่กับผมตอนนี้ดูหัวเสียไม่น้อยเลย “ เบียร์กับพี่ธีไปเกี่ยวอะไรด้วยฮะ ฮัลโหล ฮัลโหล” เขาปาโทรศัพท์ลงข้างตัวเองก่อนจะหลับตาลงเหมือนเขาพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองลง
“ มีอะไรหรือเปล่า”
“ พรุ่งนี้เรามีงานอะไรบ้าง”
“ มีงานเปิดตัวสินค้าช่วงเช้าอันนี้สำคัญมากเพราะนายเป็นพรีเซนเตอร์ แล้วก็งานบ่ายมีเดินแบบ”
“ หาจองตั๋วบินไปเชียงใหม่ให้ผมหน่อยครับ เอาที่เร็วที่สุดได้ยิ่งดี”
“ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ คือ…” เขาเริ่มอึกอักเมื่อผมถามซึ่งดูรู้เลยว่าเขากำลังคิดเรื่องโกหกอยู่แน่ๆ เพราะหลังจากที่ผมทำงานกับเขามาได้ช่วง
หนึ่งนิสัยของเจมส์ที่น่ารักของเจมส์อย่างหนึ่งก็คือเป็นคนตรงๆแต่รักษาความรู้สึกคนอื่น เขาจะเลี่ยงการโกหก
“ เรื่องของเบียร์ที่ไปเชียงใหม่กับธีร์หรือเปล่า มีปัญหาอะไร”
“ ปะ..เปล่าครับ”
“ พูดตะกุกตะกัก”
“ เปล่าครับ”
“ หลบตา”
“ หลบอะไรเล่าพี่”
“ บอกมา เกิดอะไรขึ้น”
หลังจากนั้นเจมส์ก็เล่าทุกอย่างมาอย่างเสียไม่ได้เพราะผมต้อนเขาเสียจนมุม ไอ้น้องชายของเจมส์กำลังสร้างปัญหาที่เชียงใหม่และผมหวังว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบียร์หรือเปล่านะ
ทันทีที่เหยียบลงบนจังหวัดเชียงใหม่โทรศัพท์ของเจมส์ก็ดังขึ้น เขาดูหัวเสียมากซึ่งผมไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อนหน้าของเขาแดงไปจนถึงใบหูมือกำหมัดแน่น
“ ฉันบอกให้นายหยุดทำไมไม่หยุดฮะ” เขาตะวาดใส่โทรศัพท์ก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าไปยังรถที่เช่าไว้ แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะ
ไม่รู้ว่าใครแจ้งแฟนคลับของเขาให้มารอรับที่สนามบิน เกือบสิบห้านาทีกว่าที่เราจะฝ่าอกมาได้
เจมส์เป็นคนขับรถออกมาจากสนามบิน ผมเองก็ไม่รู้ที่หมายที่จะไปเหมือนกันว่าคือที่ไหน แต่รอบตัวของผมมันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมไม่กล้าที่จะถามเขาด้วยซ้ำเพราะเขาเงียบมาตลอดทางจากพื้นที่เขตเมืองค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นต้นไม้และรีสอร์ท เขาเบรกลง
อย่างกะทันหันเมื่อมีรถคันสีขาวจอดขวางทางเอาไว้ มือที่อยู่บนพวงมาลัยบีบแตรอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด เขาขบฟันจนกรามขึ้นชัด
“ ใจเย็นๆก่อนรถเขาอาจจะเสียก็ได้” ผมบอกแต่ดูเหมือนเจมส์จะไม่ฟังผมเลยเขาเดินตรงไปที่รถคันตรงหน้าพร้อมกับทุบกระจกฝั่งด้านคนขับ “ ใจเย็นๆก่อน” ผมที่เพิ่งวิ่งตามไปคว้าแขนของคนใจร้อนที่กำลังคุมสติตัวเองไม่อยู่
บานกระจกรถที่จอดค่อยๆลดลงคนที่นั่งสวมแว่นดำจ้องมองกลับมายังพวกเราอย่างนิ่งๆที่มุมปากของเขายกยิ้มอย่างไร้ความรู้สึก
“ มาไวกว่าที่ผมคิดนะครับ”
“ นายกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” เจมส์ตะคอก
“ ผมทำอะไรครับ”
“ เต บอกมาเดี๋ยวนี้ว่านายเอาเบียร์ไปไว้ที่ไหน” ผมชะงักไปครู่หนึ่งเพราะมีเบียร์อยู่ในบทสนทนานั้นด้วย
“ นี่มันอะไรกัน” ผมถามเจมส์
“ ไอ้นี่ใคร” เขาชี้มาทางผม พร้อมกับจ้องราวกับว่าผมไปยิงญาติฝ่ายไหนของเขาตาย “ มึงเป็นใครวะ”
“ อย่าหยาบคายกับผู้จัดการของพี่” คำพูดนิ่งๆทำให้คนเสียมารยาทสงบลงได้ “ ตอนนี้จะบอกมาได้หรือยังว่าพาเบียร์ไปไว้ที่ไหน”
“ มันสำคัญกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าเป็นเพราะมันกันแน่ ถามใจพี่เองสิว่าจริงๆแล้วพี่ก็อยากให้มันออกห่างจากคนที่พี่รักใช่หรือเปล่าล่ะ หยุดทำตัวเป็นคนดีได้แล้วมันเคยมองเห็นหัวพี่บ้างหรือเปล่า”
“ หุบปาก” เจมส์กระชากเสื้อของคนที่นั่งอยู่ในรถ “ พาฉันไปหาเบียร์เดี๋ยวนี้”
“ ขี้แพ้”
“ ฉันจะไม่พูดซ้ำ นำไปเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงคำสั่งของคนที่กำลังเดือดดาลรถที่จอดนิ่งอยู่ก็ขับนำไปอย่างเสียไม่ได้ เจมส์เองก็กลับมาที่รถแล้วเหยียบคันเร่งตามไปติดๆผมเองก็ร้อนใจไม่ต่างกับคนขับเท่าไหร่เพราะคนที่มีชื่อในการสนทนาครั้งนี้ด้วยคือเบียร์
เมื่อเราไปถึงมีคนสามสี่คนวิ่งสวนออกมาด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก พวกมันวิ่งโดยไม่คิดจะแวะทักทายผู้มาเยือนด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนไอ้คนที่เดินนำเรามามือมันจะไวกว่า เขาคว้าไว้ที่ข้อมือของหนึ่งในพวกมัน
“ เกิดอะไรขึ้นวะ”
“ ไอ้บ้านั่นมันกระโดดลงน้ำไปแล้วครับ”
“ ว่าไงนะ” เขาคงหน้าตาตื่นไม่แพ้ผมเพราะผมเดาว่าคนที่พวกนั้นกำลังพูดถึงต้องเป็นเบียร์แน่ๆ “ ก็บอกแล้วว่ห้ามทำอะไรไงเล่า”
“ มึงจะอยู่รอพ่อมึงมารับหรือไงวะ” ไอ้คนที่วิ่งนำไปมันหันมากระชากเพื่อนมันกลับไป
“ หยุดนะเว้ย” เจมส์มันร้องห้าม
“ ฉันจะไปดูเบียร์” ผมวิ่งตรงไปที่จุดซึ่งพวกมันวิ่งมา ตรงหน้าเป็นน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว สีของน้ำขุ่นไปด้วยสีของดินแดง “ เบียร์ เบียร์ได้ยินพี่หรือเปล่า”
ผมถอดรองเท้าและกำลังที่จะถอดกางเดงยีนส์ออกเพราะว่ามันคงหนักแน่ๆเวลาลงน้ำ แต่ไม่ทันที่จะได้ลงไปมือหนาของคนที่เพิ่งมาถึงจับเอาไว้เสียก่อน
“ เดี๋ยวก็หายไปอีกคนนึงหรอก เบียร์น่าจะโดนน้ำพัดไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราต้องคนช่วยก่อน ตอนขับรถผ่านมาตรงนั้นมีหมู่บ้านอยู่น่าจะไปขอความช่วยเหลือได้”
“พี่เจมส์ผม”
“ ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดอะไรตอนนี้ ถ้าเบียร์เป็นอะไรนายตายแน่”
ผมรีบใส่รองเท้าและกางเกงก่อนจะรีบวิ่งตามเจมส์ที่กำลังเดินอย่างหัวเสียไปที่รถ เราขับย้อนกลับมาตรงหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นเท่าไรนัก
บ้านตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านกึ่งร้านค้าและมีแพที่ยื่นลงไปในน้ำตอนเมื่อรถของเราไปจอด ก็มีคนวิ่งหน้าตื่นสวนออกมาพร้อมกับมีอีกคนที่โดนแบกขึ้นมาจากด้านหลัง
“ พ่อหนุ่มวันนี้ร้านปิดนะ พวกเราจะรีบไปโรพยาบาล” คนที่เดินมาถึงเราคนแรกเอ่ยด้วยใบหน้าที่ตื่นตรกหนก เนื้อตัวเปียกไปหมดเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ
“ เบียร์” พออีกสองคนที่อุ้มหัวอุ้มท้ายร่างที่กำลังนอนสลบผ่านหน้าไป ผมจำได้ทันที ใบหน้าของเบียร์ซีดเซียว ปากสั่นที่หัวทีเลือดไหลออกมา
“ พ่อหนุ่มรู้จักกันเหรอ”
“ อย่าเสียเวลาคุยเลยครับไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ” เจมส์พูดขัดขึ้น ก่อนที่จะพาเบียร์ขึ้นรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็พุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ผมและเจมส์เป็นคนเดินเรื่อง และเมื่ออาการของเบียร์ดีขึ้นหลังจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วเราจึงทำการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง
“ ขอบคุณคุณลุงมาเลยนะครับ” เจมส์เดินเข้าไปยกมือไหว้ผมก็ยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับส่งยิ้มให้
“ ไปทำอีท่าไหนถึงได้หล่นน้ำกันล่ะ หรือว่าลงเล่นน้ำกัน ป้ายเขาก็มีเตือนไม่ใช่หรือ”
“ อุบัติเหตุครับ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“ นี่” เงินจำนวนหนึ่งยื่นผ่านตรงกลางระหว่างการสนทนาเราออกไป “ จะได้ไม่ต้องขอบคุณกันนาน”
ไอ้นี่มันเสียมารยาทตัวพ่อเลยจริงๆ เบียร์เกือบตายก็เพระมันมันยังมาทำกริยาแบบนี้อีก ผมนี่อยากซัดมันสักที
ผลั้ก! ผมยังไม่ทันที่จะคิดจบ หมัดของเจมส์ก็ซัดเข้าไปที่ใบหน้าของน้องชายอย่างจัง เจมส์หน้าแดงไปด้วยความโกรธแต่ไม่มีสีหน้าใดๆออกมาเลย เขาแววตาว่างเปล่า
“ ขอโทษลุงเขาเดี๋ยวนี้ เรื่องมันเกิดจากแกยังไม่สำนึกอีก”
“ นี่พี่ต่อ…”
“ เดี๋ยวนี้” เสียงเรียบๆนั้นทำเอาผมขนลุกแต่จริงๆผมอยากซ้ำอีกซักทีนึงถ้าไม่เกรงใจเจมส์
“ ขอโทษ” เขายกมือไหว้ลวกๆก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น
“ ผมขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับมันไม่ค่อยมีมารยาท ยังไงผมขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมไปก่อนนะครับ”
เราเดินแยกออกมาที่ด้านนอกโรงพยาบาลเราพาเบียร์มาพักที่โรงพยาบาลในเมือง เจมส์นั่งนิ่งมาตลอดทางและหลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นน้องชายของเขาอีกเลย เขาดูเหมือนพยายามตั้งสติให้สงบก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาใครสักคน
“ ฮัลโหล พี่ไม่ต้องห่วงนะครับตอนนี้เราเจอตัวของเบียร์แล้วกำลังพาไปโรงพยาบาลครับ” หึโทรแจ้งพี่ชายเขาสินะ “ ถ้าพี่มางานพังพ่อพี่ต้องไม่พอใจแน่ๆ ทางนี้ให้ผมจัดการเองนะครับ ถือว่าเรื่องทุกอย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้เป็นการไถ่ความผิดที่น้องผมทำความเดือดร้อน”
“ ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้” ผมยิ้มให้ “ นายไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”
“ ผิดสิครับ ผิดเต็มๆด้วย” เขาฝืนยิ้มออกมาให้กับผม “ เดี๋ยวผมส่งโลเคชั่นให้พี่ธีก่อนดีกว่า เราจะไปโรงพยาบาลนี่ใช่ไหมครับ”
“ อืม”
เมื่อขับรถมาถึงผมมีเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลกับเบียร์ตามลำพังอยู่สักพักเพราะเจมส์ขอออกไปทำธุระด้านนอก ผมนั่งจ้องใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงและทำได้แค่กุมมือเอาไว้ เสียงละเมอของเบียร์ในแต่ละครั้งมันเหมือนมีของคมๆกรีดลงหน้าอกของผม มันไม่มีชื่อผมในนั้นเลย มีเพียงคนที่ผมอิจฉาที่สุดอย่างธี แต่ตอนนี้ผมขอทำหน้าที่ตัวสำรองให้เบียร์ได้กุมมือยามนอนหลับก็คงพอแล้วสำหรับคนอย่างผม ผมอย่างแข่ง อยากสู้กับธีแต่มันคงไม่มีทางเลยเพราะใจของเบียร์ตอนนี้ไม่มีผมเลยด้วยซ้ำ เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับเจมส์และธีที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงคนที่นอนอยู่บนเตียง
“ พี่ธี พี่ธี” เสียงของคนที่อยู่บนเตียงร้องขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณเตือนให้ผมลุกออกจากความฝัน
“ พี่มาร์คครับเราออกไปรอข้างนอกดีกว่านะครับ” เจมส์ที่ยืนอยู่ตรงประตูเดินเข้ามาดึงมือของผมให้เดินตามออกไป
“ เดี๋ยว” ผมดึงแขนนั้นกลับ “ ถ้านายทำให้เบียร์เสียใจอีกล่ะก็ผมนี่แหละจะเป็นคนมาเอาเบียร์กลับมาเป็นของผม” ผมจ้องไปอย่างจริงจังและโกรธมากที่ธีได้เบียร์ไปครองแต่ต้องยอมรับว่าเบียร์ไม่เลือกผม
“ ครับ เรื่องวันนี้ผมขอบคุณนะครับ” ผมงงๆกับท่าทางอ่อนน้อมที่ไม่เคยมีมาก่อนของคนตรงหน้า“ ผมจะไม่มีวันทำให้เบียร์เสียใจอีกแน่ๆครับ”
ผมเดินตามเจมส์ออกไปจากห้องอย่างว่าง่าย ประตู่ที่เปิดกว้างค่อยๆปิดลอง มือที่ผมเคยกุมเมื่อครู่ถูกครอบครองโดยเจ้าของที่แท้จริงแล้ว
มาค่ะ เรื่องนี้พิมจบแล้ว ไม่หายเเล้วน้าาาาาาาาาาาาาาา เคลียงานแล้ว ฝากอีกเรื่องนึงด้วยนะ ขายของในนี้ผิดหรือเปล่าน้าาาาาาาาาา
ใครที่ชอบอ่านนิยายวายสืบสวนชวนจิ้น ไปเรื่องนี้เลย https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67797.0
-
เบียร์ หายไวๆ เด้อ :กอด1:
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
-
เบียร์ หายไวๆ เด้อ :กอด1:
เตรียมน้ำร้อนเลยค่ะ มาม่ามาเเล้ววววววววววววว