***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
Memorable “เธอ ที่ รัก”
รักเหมือนรูปถ่าย วิดิโอ กระดาษ
เหมือนรูปถ่ายที่เป็นความทรงจำที่สวยงาม
เหมือนวิดิโอตรงที่แม้มันจะเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่มันก็มีชีวิตอยู่แค่ในอดีต
เหมือนกระดาษที่แม้ว่าจะพยายามลบเท่าไหร่ มันก็ไม่มีวันเป็นกระดาษสีขาวเหมือนเดิม
รักทั้งหมดนั้นที่ผมพูดมา
หมายถึง คุณ
#5
คุณคือสมบัติล้ำค่าของผม
กาลครั้งหนึ่ง องครักษ์ผู้ต้อยต่ำได้หลงรักผู้สูงศักดิ์องค์หนึ่ง
คงไม่เคยได้ยินกันล่ะสิ? เพราะที่ผ่านมานิทานแสนหวานมักจะเริ่มต้นด้วยความรักของคนสองคนที่ต่างตกหลุมรักกันและกัน ก่อนจะจบด้วยความสุขชั่วนิรนดร์ ปิดเรื่องราวไปอย่างสวยงาม หล่อหลอมให้ใจคนคาดหวังว่าสักวันหนึ่ง ชีวิตของตนจะจบลงอย่างสวยงามเช่นในนิทาน
ในความเป็นจริงมันเคยมีเรื่องเช่นนั้นที่ไหน?
มีใครคนไหนบนโลกบ้างที่พบแต่ความสุข ไม่เคยพบความเจ็บปวด?
มีใครบนโลกที่ยิ้มหัวเราะท่ามกลางทุ่งดอกไม้และท้องฟ้าอันแสนงดงาม โดยไม่เคยค้นพบความหนาวเหน็บของสายฝนและรสชาติขมปร่าของหยาดน้ำตาที่อาบแก้ม
มีใครบ้างหรือ? ที่จะไม่เคยพบกับสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวด
ในนิทานเรื่องนั้นที่มีองครักษ์เป็นตัวเอก สุดท้ายมันก็จบลงตรงที่องครักษ์ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองแผ่นหลังคนที่รักเข้าพิธีวิวาห์กับใครอีกคนที่ตรงใจและสูงศักดิ์เทียบเท่าเป็นคราสุดท้าย ก่อนจะออกศึกและไม่ได้กลับมาอีกเลย
นิทานเศร้าๆ ที่คนไม่ชอบ นิทานที่จบลงอย่างผิดหวัง ไม่ตราตรึงใจเช่นรักแสนหวานที่เจ้าชายและเจ้าหญิงครองคู่กันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์
แต่ใครเล่าจะรู้...ว่าเพราะความเศร้าไม่ใช่หรือ? ที่ทำให้คนเรารู้คุณค่าของรักที่คว้าได้ในฝ่ามือและทะนุถนอมมันให้ได้ดีที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้
ใครจะรู้ว่า เพราะมีคนผิดหวัง มันจึงได้มีคนอีกสองคนสุขสมหวัง
ใครเล่าจะรู้ว่าเบื้องหลังความสุขของใครบางคน ล้วนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความทุกข์ของใครคนที่เต็มใจจะหลั่งมัน เพื่อปูเส้นทางที่งดงามเพื่อคนในใจให้ก้าวเดินสู่ความสุขที่เฝ้าคอยตลอดมา...
สิ่งที่ยากที่สุดคือการปิดสิ่งที่อยากจะพูดและแสดงออกในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ
ใครมันอยากจะฝืนตัวเองแบบนั้น...หากไม่ได้หวาดกลัวอะไรสักอย่าง
เขาเองก็เป็นเช่นนั้น
เขาเพียงหวาดกลัวว่าจะสูญเสีย...จนทำให้สูญเสียโอกาสที่จะพูดความจริงไปในที่สุด
“...ไม่เป็นไร” ตามเงียบไปครู่หนึ่งกับคำตอบที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นของเทียนที่ย้ำหลายต่อหลายครั้งว่า สุดท้ายแล้วพยายามไปเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะตัดใจจากผู้ชายคนนั้นได้
คงเพราะมันสำคัญจนเกินไป คงเพราะวันเวลามันยาวนานเกินไป มันนานจนมันไม่ใช่แค่ความผูกพัน...มันเป็นสิ่งที่เข้มแข็งกว่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างเปราะบางเสียจนหากไม่ระวัง วันหนึ่งมันจะพังทลายในคราเดียว
“ไม่เป็นไร ตัดใจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
“ฮืออ...”
“พอแล้วเทียน หยุดร้องไห้นะ”
“...” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาส่ายไปมากับอกของเขา มันน่ารัก...แต่ตามกลับยิ้มไม่ออกเอาเสียเลย
ถ้าหากเป็นไปได้
หากแลกกันได้...เขาก็อยากจะเจ็บแทนและเป็นฝ่ายร้องไห้แทนอีกคนยังจะดีกว่า
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ตามจึงได้หลุดปากออกไป ...หลุดในสิ่งที่เขาอุตส่าห์เก็บงำท่าทีตลอดมาเพราะความหวาดกลัว
ราวกับหากเขาไม่พูดตอนนี้ เขาจะไม่มีวันได้พูดอีกต่อไป
“เลิกร้องเถอะเทียน กูจะขาดใจแล้ว”
“...”
“กูไม่ชอบเห็นมึงร้องไห้แบบนี้เลย ต่อให้มึงจะร้องไห้แค่เฉพาะต่อหน้ากูเท่านั้นก็เถอะ”
“...”
ตามประคองใบหน้าของเทียน ใช้นิ้วไล้ปาดน้ำตาไปตามใต้ตาแดงช้ำ ก่อนจะวกมาบีบจมูกรั้นที่แดงเรื่อเบาๆ มองใบหน้าเศร้าหมองด้วยความสงสาร เอ็นดูและรักใคร่
“มึงไม่เคยรู้หรอกว่าเวลาที่มึงร้องไห้เพราะคนอื่น ใจกูมันเจ็บมากแค่ไหน”
“...ตาม”
“โดยเฉพาะเวลาที่มึงร้องไห้เพราะผู้ชายคนนั้น กูเกลียดมากที่สุด เพราะมึงจะร้องไห้ไม่หยุดจนตาบวม บางครั้งก็ร้องจนไม่สบาย มึงไม่รู้เลยว่ากูโกรธตัวเองแค่ไหนที่ได้แต่คอยดูแลมึงในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่กลับไม่สามารถทำให้มึงเลิกเพราะไอ้เวรนั่นได้สักที”
“...”
“มึงไม่เคยรู้...” ตามมองใบหน้าที่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ตัวเองไม่อาจละสายตาออกห่าง ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่...ที่เขาพูดได้เต็มปากว่านี่ คือคนสำคัญของเขา คือคนที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งคนที่รักหมดหัวใจ “...ว่าไม่ได้มีแค่มึง ที่รอให้ใครคนนั้นมองกลับมา”
“ไม่ได้...ล้อกันเล่นใช่ไหม”
“มาถึงขนาดนี้จะล้อเล่นทำไมล่ะ” แม้จะพยายามให้มันดูไม่หนักจนเกินไปสำหรับเทียนที่เพิ่งร้องไห้ แต่ตามก็ไม่อาจเล่นมากจนอีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงความจริงจังในความรู้สึกที่เขาได้พูดออกไป
“กูชอบมึงจริงๆ”
“...”
“ชอบเหมือนที่มึงชอบมองผู้ชายคนนั้น มีความสุขเวลาที่เห็นมึงยิ้ม รู้สึกทรมานจนเหมือนจะตายตอนที่เห็นมึงร้องไห้ แถมวันๆ หนึ่งกูแทบจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วน เพราะมึงไม่เคยมีความสุขจริงๆ เลยนับตั้งแต่เรารู้จักกันมา”
“...”
“แม้กระทั่งตอนนี้ที่มึงได้เป็นแฟนกับคนที่มึงรอมานาน มึงก็ยังไม่พ้นต้องเสียใจเพราะเขา คนที่ชอบมึงอย่างกู ก็ทรมานใจตามไปด้วย เวลาที่มึงถูกเขาทำร้ายจิตใจกลับมา”
“...”
“ดังนั้นที่ผ่านมาสิ่งที่กูภาวนาไม่ใช่ให้มึงหันมามองกู เพราะคงหวังสูงเกินไป กูแค่หวัง...ให้มึงมีความสุขเพิ่มสักวันหนึ่งก็ยังดี ร้องไห้น้อยลง ยิ้มที่ยิ้มเพราะมีความสุขมากขึ้นก็พอ”
“...”
“แต่เวลาที่ผ่านมาทั้งหมด จนกระทั่งวันนี้มันทำให้กูรู้ว่า สิ่งที่กูภาวนามันโคตรจะไร้สาระและไม่มีวันเป็นจริง”
“...”
“มึงยังต้องเสียใจเพราะผู้ชายคนนั้น มึงยังยิ้มมีความสุขตอนที่เขาอยู่กับมึงแล้วแอบร้องไห้อยู่คนเดียว มึงทำแบบนั้นจนเหมือนกับ...มันกลายเป็นสิ่งที่มึงต้องทำ ทั้งที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น”
“...” เทียนมองมือของตามที่ยังคงอุ่นเหมือนครั้งที่เขายังไม่รู้ว่าเจ้าของมือนี้ฝากความรู้สึกของตัวเองมาทุกครั้งที่วางมันบนไหล่ยามปลอบใจ ยามที่จับมือเขาข้ามถนนด้วยความเป็นห่วง ทุกครั้ง...ที่จับมือของเขาเอาไว้ในวันที่เขารู้สึกเหมือนตัวคนเดียว
ในช่วงเวลาที่ความสุขบางครั้งเขาก็หลงลืมความอบอุ่นจากมือคู่นี้ แต่ในวันที่เขาเจ็บปวดเช่นในวันเช่นนี้ ความอบอุ่นจากมือของตามกลับคอยกุมมือของเขาอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่มองไปข้างหน้าแล้วเห็นเพียงแผ่นหลังที่เย็นชาของพี่สิงห์ เมื่อเขาหันกลับมา ก็จะพบกับตามที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาและส่งยิ้มใจดีให้เสมอ ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ความเจ็บปวดที่มีจางลง
จางลง
และหายไปในที่สุด
“ชื่อของกูคือตามตะวัน แต่ตะวันของกูไม่ใหญ่ดวงใหญ่หรืองดงามเหมือนตะวันของคนอื่นๆ”
“...”
“เป็นแค่แสงเทียนเล็กๆ ที่คนเขาต้องการแค่วันที่ไฟฟ้าดับ เป็นแค่ของสำรองที่คนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับสองเสมอ”
“...”
“แต่สำหรับกู แสงเล็กๆ แสงนั้นคือทั้งหมดที่กูต้องการ”
“...”
“เทียน นับตั้งแต่วันที่รู้ใจตัวเอง ชื่อของกูมันก็มีไว้หมายถึงมึงเสมอ”
จำไม่ได้แล้วว่าคำแรกที่ทักกันคือคำว่าอะไร
แต่ตอนนี้คำที่เขาพูดมากที่สุด เห็นจะเป็นคำว่า
‘ไม่เป็นไร’
‘อย่าร้องไห้’
‘มึงยังมีกูอยู่เสมอ’
ทั้งๆ ที่เกลียดแสนเกลียดยามที่ต้องพูดประโยคเหล่านี้ แต่ทุกครั้งที่เทียนร้องไห้และทำเหมือนโลกนี้มันกว้างคนอยู่ได้เพียงแค่คนเดียว เขาก็อดพูดคำที่เกลียดเหล่านี้ไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาลืมไปว่ายิ้มที่มีความสุขของเทียนเป็นแบบนั้น
ตอนนี้เขาจำได้แค่รอยยิ้มแกนๆ รอยยิ้มเหงาๆ รอยยิ้มแสนเศร้าที่คล้ายหมายถึงใครคนหนึ่งเสมอ
รอยยิ้มที่เขาเกลียด เกลียดพอๆ กับคนที่ทำให้เทียนต้องยิ้มออกมาแบบนั้น แม้จะไม่เคยพบกันแม้แต่ครั้งเดียวก็ตาม
เทียนหลับไปแล้ว หลับไปพร้อมกับความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ร้องไห้ติดต่อกันนานเกินไป ส่วนตัวเขาในตอนนี้กลับยืนอยู่หน้าบ้านของใครบางคน ใครที่เขาคิดว่าเทียนคงไม่อยากให้เขาเจอ
บ้านของคนที่ชื่อสิงห์
เขาเหลือบมองเบอร์โทรศัพท์ที่แอบเอามาจากเครื่องของเทียน แล้วกดโทรออก รอไม่นานเสียงทุ้มที่ทำให้นึกเกลียดตั้งแต่แรกได้ยินก็ดังขึ้น มันตอกย้ำภาพที่เทียนร้องไห้ในสมองของเขา จนมือที่กำเข้าหากันกำแน่นจนปวดไปหมด
แต่มันคงไม่เท่าใจของเทียน
(ครับ?)
“คุณคือสิงห์ พี่สิงห์ของเทียนใช่ไหม?”
(...ใครครับ)
“ผมเป็นเพื่อนของเทียน ผมคิดว่า...คุณควรลงมาพบผมเพื่อคุยกันหน่อย”
(...)
“เรื่องของเทียน”
ไม่นาน ผู้ชายคนที่เขาไม่คิดจะมีวันที่ต้องมายืนคุยกันสองต่อสองก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านอีกฝ่ายด้วยชุดที่บ่งบอกได้ว่าเขากำลังมากวนเวลาพักผ่อนของอีกคน แต่ใครสนใจกันล่ะ หมอนี่เป็นแค่คนที่เขารู้จักชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรสำคัญไปมากกว่านั้น หากมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทียน เขาไม่มีวันมาเจอหน้าหรอก
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดมาตลอด แม้จะไม่เคยได้เจอกันแต่ตามก็มักจะจินตนาการภาพของสิงห์ในสมองเสมอ เวลาที่เทียนพร่ำเพ้อหาถึงและเมื่อมาพบต่อหน้า เขาถึงได้รู้ว่าไอ้สิ่งที่เคยคิดมันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับคนตัวจริงๆ ตรงหน้า ไม่แปลกแล้วว่าทำไมเทียนถึงไม่เคยตัดใจได้เลย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“วันนี้ทำไมคุณถึงไม่ไปตามนัด”
“...ฉันคิดว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของนาย”
“แต่ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ถาม”
“...”
“ผมได้ยินมาจากเทียน ว่าคุณไปหาแฟนของเพื่อนคุณ จริงหรือเปล่า?”
“เขาประสบอุบัติเหตุ เพื่อนฉันไม่ว่างไปดูแล เลยให้ฉันไปดูแลก่อน ก็เท่านั้น”
“สำหรับคุณมันอาจจะแค่นั้น” ตามเงียบไปครู่หนึ่ง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกราวกับภาพที่เทียนร้องไห้มันยาวนานจนเกินไปแล้ว และเขาไม่ต้องการเห็นมันอีกต่อไป “แต่สำหรับเทียนมันไม่ใช่”
“...”
“คุณรู้บ้างไหมว่ากี่ครั้งแล้วที่มันเป็นแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่เทียนต้องรอคุณแล้วมันจบลงที่ต้องร้องไห้”
“...”
“มันยืนรอคุณเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่งที่ห้าง เพียงแค่หวังว่าคุณจะมา ไม่ได้หวังว่าคุณจะทำตามสัญญา เทียนมันแค่อยากเห็นว่าคุณมา...แค่คุณมาเท่านั้น”
“...”
“แต่คุณก็ไม่มา”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัดกับเทียน”
“แต่คุณก็ทำไปแล้ว!”
สิงห์อึดอัดใจไม่น้อยกับคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ออกตัวว่าเป็นเพื่อนของเทียน แม้ว่าจะไม่เคยเห็นตัวจริงๆ มาก่อน แต่จากรูปถ่ายที่เทียนเคยถ่าย เขาก็พอจำได้ว่ามีเด็กคนนี้อยู่และมักเป็นคนที่คอยยืนข้างๆ เทียนเสมอ ใบหน้าของเด็กตรงหน้าตอนนี้เย็นชาและมองออกว่ามันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กคนนี้อยากจะวิ่งโร่มาเคลียร์กับเขาอย่างนี้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ครั้งเดียวที่เขาทำให้เทียนเสียใจ...
“เพื่อนของผม...ที่ผ่านมาก็มีแค่คุณ กี่ครั้งที่คุณรำคาญ กี่ครั้งที่คุณทำเหมือนไม่เห็นความรู้สึกของเขา กี่ครั้งที่คุณลืม คุณไม่รู้หรอกว่าเทียนมันเสียใจแค่ไหน”
“...”
“คุณที่มีครอบครัว มีเพื่อนฝูง มีคนที่รักมากมาย แต่กับเทียนนอกจากคุณที่มันรักที่สุด เพื่อนมันก็มีแค่ผม...แล้วคุณจะให้เทียนมันทำยังไง ในเมื่อคุณเป็นแค่คนเดียวที่มันอยากจะแชร์ทุกความสุขด้วย”
“...”
“ผมรู้ว่าสิ่งที่เทียนขอจากคุณมันโง่มากๆ กับการที่อยากจะลองให้คนที่ไม่คิดอะไรเลยกับตัวเองให้มองในฐานะคนๆ หนึ่ง แต่เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะมันชอบคุณมากจริงๆ มันก็แค่นั้น ถ้าคุณรักมันไม่ได้ ก็ช่วยถนอมใจหน่อยได้ไหมวะ!”
“...”
“ถ้ามันหมดทางแล้วจริงๆ ที่คุณจะเปลี่ยนใจไปชอบเทียน คุณก็ช่วยบอกมันทีว่าครั้งนี้ อย่ากลับมารักคุณอีก ผมไม่อยากเห็นมันร้องไห้แล้ว”
“...เธอดู เป็นห่วงเทียนมากเลยนะ”
ตามเบือนสายหนีหลบอาการรู้ทันของคนอายุมากกว่า กระนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ อีกอย่าง เขาในตอนนี้ก็สารภาพความจริงกับเทียนไปหมดแล้ว หากมันจะมีคนอื่นรู้เพิ่มมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรอีก ตอนนี้เขาขอเทียนมันมีเรื่องที่ต้องเสียใจน้อยลงก็พอ
เรื่องของเขากับเทียนจะสามารถเป็นไปได้ไหมนั้น เขาไม่หวัง...และหมดหวังไปนานแล้ว
จะให้เป็นเพื่อน เขาก็จะเป็นเพื่อน
หากอยากให้ดูแลในยามที่เสียใจ เขาก็จะทำ
หรือหากอยากให้เขาหายไป เขาก็จะไป
มันน่าขำเหมือนกันที่ในสายตาคนอื่น การกระทำของเทียนดูน่าตลกที่พยายามจนเหมือนคนบ้า แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำลงไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางทีคนที่โง่ที่สุดคงเป็นเขา...
เขาที่หลงรักเพื่อนตัวเอง
เขาที่ไม่คิดจะฝืนใจตัวเองให้มองแค่เพื่อนและปล่อยให้มันเลยเถิด กัดกินมิตรภาพของเราทั้งสองคน จนมันเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งนั้นได้กลายเป็นความรักที่ไม่มีทางสมหวังไปแล้ว
“ผมรู้ว่าคุณจะถามว่าอะไร ใช่ ผมชอบเทียนและผมไม่ได้ต้องการที่แย่งเทียนจากคุณ เพราะผมรู้ดีว่าเทียนไม่มีวันชอบผม ในใจของเขามีแต่คุณมาตลอด”
“ถ้าเธอชอบเทียนจริงๆ ทำไมถึงไม่เคยอยากจะคบเด็กคนนั้น มันตลกเกินที่จะบอกว่าเธอไม่เคยหวังอะไรกับความรักครั้งนี้เลย”
“ผมหวัง ผมเคยหวังมาตลอดว่ามันจะมองมาที่ผมบ้าง”
“...”
“ผมหวังว่าสักวันในดวงตาของมันจะสะท้อนภาพของผมแทนคุณและยิ้มเพราะผมเป็นต้นเหตุสักครั้ง”
“...”
“ผมหวังให้คนที่มันคิดแทบเป็นแทบตายในวันเกิดว่าจะซื้ออะไรให้คือผม หวังให้คนที่มันยอมอดหลับอดนอนไปเฝ้าไข้เป็นผมบ้าง หวังเหมือนคนโง่ให้มันเข้าใจว่าทั้งหมดที่ผมทำอยู่เพราะผมรัก...ไม่ใช่เพราะมันเป็นเพื่อนผม”
“...”
“แต่เพราะเทียนมีความสุขเหลือเกินกับการรักคุณอย่างไม่มีจุดหมาย ต่อให้ต้องร้องไห้ ต่อให้ต้องรอนานแค่ไหนหรือต่อให้สุดท้ายจะต้องเสียใจ มันก็ยังยืนยันว่าต้องเป็นคุณ หลังจากนั้นความหวังของผมก็เปลี่ยนไป”
“...”
“ผมหวังให้มันมีความสุข”
“...”
“หากการที่คุณรักทำให้มันมีความสุขผมจะทำ หากว่าการช่วยให้มันสมหวังคือสิ่งที่ทำให้มันยิ้มได้ ผมจะทำทุกวิถีทางให้คุณหันมามองมันสักครั้ง แต่ทุกอย่างมันพังไปหมด เพราะในวันนี้คุณได้ชื่อว่าแฟนมันแท้ๆ แต่ก็กลับยังทำให้มันต้องร้องไห้ เพราะแบบนั้น...ผมถึงได้มาพูดกับคุณในวันนี้”
“...”
“ถ้าหากสุดท้ายแล้วคุณจะปฏิเสธ ก็ขอให้ปฏิเสธไปซะตั้งแต่วันนี้เถอะครับ”
“...”
“เพื่อนของผม...คนที่ผมรัก เจ็บเพราะคุณมามากเกินพอแล้วจริงๆ”
รู้สึกเหมือนตอนนี้จะมีแต่บทสนทนาแฮะ 5555 น่า ให้ตามเขาบ่นหน่อย พี่สิงห์ใจร้ายเอ้อออ
เจอกันตอนหน้าค่ะ รักเสมอออ ฝากติดตามด้วยนะคะ ^^
NAVY
คุณคือคลื่นที่พัดทำลายหัวใจที่วาดบนพื้นทรายของผมเสมอ
“เป็นอะไรอีก มึงมาหมกตัวอยู่บ้านกูทุกวันจนคิงมันห่วงแล้วนะ”
“...” สิงห์ไม่พูดอะไรเลย แม้จะได้ยินชื่อคนที่อยู่ในใจมาตลอดคนนั้น ยังคงยกแก้วที่บรรจุน้ำเมาเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งให้เพื่อนสนิทมองตามการกระทำที่ไม่มีแม้แต่คำอธิบายให้กับตัวเขานั่นด้วยความเป็นห่วง
จู่ๆ สิงห์ก็แวะมาหาเขากลางดึกคืนหนึ่ง ท่าทางของเพื่อนสนิทปกติหมดทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่ เมื่อทิ้งตัวนั่งในบ้านเขาได้ไม่ทันครบนาที คำแรกที่มันพูดขึ้นมาคือ บ้านมึงมีเหล้าไหม?
พอเขาตอบว่ามีแล้วยกมาให้ มันก็ดื่มอยู่อย่างนั้นจนเช้า ออกไปทำงาน เย็นกลับมาก็มาดื่มต่อ วนเวียนอย่างนี้มาร่วมสัปดาห์ หนึ่งสัปดาห์ที่เขาทำได้แค่คอยจิบเหล้าอยู่ข้างเพื่อนโดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรที่ทำให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“กูเดาได้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”
“...”
“น้องเทียนเหรอ”
“...ไม่ใช่”
“อ้าว ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับน้องเขา แล้วจะมีเรื่องอะไรอีกวะ เรื่องที่ทำงานมึงก็ไม่ใช่”
“อาจจะเป็นเรื่องของคิงก็ได้”
“อ่ะ อันนี้เรียกวอนตีน” สิงห์ยกยิ้มมุมปากเหมือนขำ แต่เพจรู้ว่ามันไม่ได้ขำอะไรด้วยเลย มันก็แค่ยิ้มไม่ให้เขารู้ว่ามันไม่โอเคและไม่โอเคมากๆ อย่างที่เขาเดาว่าเป็นเพราะอะไร ทว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้
“บอกกูมาก็ได้ มึงจะมีเพื่อนไว้เป็นหัวหลักหัวตอเฉยๆ เหรอวะ ใช้งานกูบ้างก็ได้”
“กลัวจะได้แต่คำตอบไร้สาระ”
“ไอ้เชี่ยนี่ ยังไม่ได้ทดลองใช้ก็ดูถูกประสิทธิภาพ”
“...เพจ”
“อะไร”
“กูไม่ได้ชอบน้อง”
“เออ กูรู้”
“แต่ทำไมตอนที่เห็นน้องมันร้องไห้กับคนอื่นที่ไม่ใช่กู ทำไมกูรู้สึกแย่แบบนี้วะ”
“...”
“โดยเฉพาะคนที่ทำให้น้องร้องไห้คือตัวกูเองด้วย ทำไมมันเจ็บแบบนี้วะ”
“...สิงห์”
“กูเคยบอกน้องไปแล้วนะเว้ย ว่ามาชอบกูก็มีแต่เสียใจ น้องแม่งต้องร้องไห้แน่ๆ ที่มาชอบกู แต่ทำไมพอน้องเขาเสียใจจริงๆ ร้องไห้แบบนั้น กูถึงได้อยากต่อยตัวเองแบบนี้วะ”
“...”
“กูไม่ชอบความรู้สึกตัวเองตอนนี้เลยว่ะ”
“มึง...ชอบน้องเขาหรือเปล่า”
“...”
“สิงห์”
“...เปล่า”
“มึงตอบช้า” เพจวางแก้วเหล้าในมือลงกับโต๊ะ แน่นอนมันคว้าแก้วในมือของเขาไปด้วย เพราะมันก็คงรู้ดีว่าแก้วเหล้าที่อยู่ในมือของเราทั้งคู่ไม่ได้ช่วยอะไรให้เขาผ่านช่วงเวลาที่น่าสับสนนี่ไปได้เลย นอกจากจะทำให้เขาปวดหัวตอนเช้าไปเท่านั้น “ปกติมึงตอบไวมาก มากเสียจนกูก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นความเคยชินของมึงไหมที่ต้องตอบว่าไม่รัก”
“...”
“แต่ครั้งนี้มึงกลับลังเลที่จะตอบ นั่นเพราะมันไม่เหมือนเดิมแล้วหรือเปล่า”
“กูไม่รู้”
“...”
สิงห์หลับตาลง ทั้งที่กำลังคิดใคร่ครวญกับความรู้สึกตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไม มันกลับเหมือนเขากำลังคิดถึงใครบางคนมากกว่า ใคร...คนที่เขาไม่เคยคิดว่าแค่หลับตา ภาพใบหน้าที่มีแค่รอยยิ้มนั้นจะโผล่ขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่มันก็เป็นไปแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เราต่างไม่พบเจอกันเลยตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา
เหมือนเรื่องที่พวกเขาสองคนคบกันมันเป็นแค่ข้อตกลงเพียงสั้นๆ
เหมือนเป็นแค่ฝันที่รอวันตื่นและตอนนี้เขาก็ตื่นมาพบกับความจริงแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
เขาดูแลเด็กคนนั้นได้ไม่ดีพอจะได้รับความรักเลยจริงๆ
“แล้วถ้าเผลอไปชอบแล้วจริงๆ มันจะมีทางเอาน้องกลับมาไหมวะ”
“มึงพูดอย่างกับน้องมันจะหนีไปไหน”
“...”
“หนีจริงเหรอวะ” สีหน้าไม่สู้ดีของสิงห์ทำให้เพจนึกอยากจะตบปากตัวเองขึ้นมาที่ปากไวไม่เข้าท่า แต่เขาไม่รู้นี่หว่า คนไม่รู้ก็ต้องไม่ผิดดิ แต่พอนึกถึงเทียน...เด็กที่ชอบวิ่งตามเพื่อนเขาต้อยๆ คนนั้นกำลังจะวิ่งตามคนอื่น เขาก็อดใจหายแทนเพื่อนตัวเองไม่ได้
“กูเคยบอกมึงแล้ว”
“...”
“ไม่ได้จะด่าหรือซ้ำเติมอะไรนะ แต่ถ้าน้องเขาเลือกหนีมึงไปจริงๆ นั่นหมายถึงมันสายไปแล้วป่ะวะ”
“แต่กับคิงมึงก็ยังพาน้องกลับมาได้”
“อย่าบอกนะว่ามึงมองน้องเหมือนคิง”
“...”
เพจหลุดถอนหายใจเสียงดัง “สิงห์ กูยอมรับนะเว้ยว่าน้องมันมีอะไรหลายอย่างที่เหมือนคิง...ทั้งเรื่องดื้อ เรื่องที่เอาแต่อดทนนู่นนี่ เอาแต่คิดว่าไม่เป็นไร สารพัด แต่มีอย่างเดียวที่ไม่เหมือนเลยคือ น้องมันไม่ใช่คิง”
“...”
“มึงตอบกูได้ไหม ว่าที่มึงนึกถึงเขาตอนที่เขาจะไป ไม่ใช่เพราะว่าเสียดายน้องที่เหมือนคิงจริงๆ”
“...”
“แต่ถ้ามึงเสียดายเพราะน้องเหมือนคิงจริงๆ กูว่ามึงปล่อยน้องไปดีกว่า”
“...”
“กูชักจะสงสารน้องขึ้นมาจริงๆ แล้วที่มาชอบมึง”
“กินข้าว”
“อืม”
“เทียน”
“อื้ม! เดี๋ยวกิน”
ตามถอนหายใจและเดินหายไปจากด้านหลังของเขา เทียนคิดว่าอีกคนจะเข้าใจว่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าและไม่มารบกวน แต่เปล่าเลย เสียงฝีเท้ากลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงลากเก้าอี้มาอยู่ข้างกาย กลิ่นข้าวผัดหอมๆ จ่ออยู่ตรงหน้าที่เขาทำได้แค่มอง
“ตาม เดี๋ยวกูไปกินเอง”
“อ้าปาก”
“ตาม”
“มึงบอกกูแบบนี้เลยเมื่อวาน แต่มึงก็ไม่กิน จะให้กูทำยังไงในเมื่อกูบังคับมึงไม่ได้ ก็ต้องตื้อแบบนี้ป่ะ มึงถึงจะไม่ดื้อ”
“...”
“อ้าปาก” เสียงของตามไม่ได้ดุเลย ซ้ำร้ายมันกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่สามารถง้างปากคนดื้อได้อย่างง่ายดาย เทียนอ้าปากรับข้าวอุ่นๆ ฝีมือเพื่อนรักเข้าปากคำแล้วคำเล่า สลับกับก้มหน้าก้มตาเขียนงานที่ดองมาทั้งสัปดาห์เพื่อมาทำเอาตอนวันหยุดไปเรื่อยๆ จนเมื่อเขาจรดปากกาลงที่บรรทัดสุดท้าย ข้าวในชามก็หมดลงพอดี
“จะอ้วก” เทียนบ่นเรื่อยเปื่อยแล้วเอนศีรษะพิงหน้าอกตามเบาๆ ซึ่งเจ้าของก็ลูบหัวเบาๆ ไม่ได้ผลักออกแต่อย่างใด
“ข้าวนิดเดียวเถอะ”
“เยอะ”
“อะไรเยอะ”
เทียนเงยหน้าย่นจมูกใส่คนที่เอาแต่ยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างตาม “มึงอ่ะ เยอะ อย่างกับพ่อ”
“ถ้ามีลูกดื้อๆ แบบมึง กูคงหนักใจตายเข้าสักวัน”
“เว่อร์”
“ไม่ได้เว่อร์...เทียน” ท้ายเสียงที่เรียกเข้มขึ้นจนคนที่เล่นพิงอกยอมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ตามไม่มีรอยยิ้มแล้ว แต่ยังคงอ่อนโยนเสมอในสายตาของเขา มือของตามที่วางบนเส้นผมย้ายลงมาที่มือของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำหมึก อีกฝ่ายหยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดคราบเหล่านั้ช้าๆ ทะนุถนอมราวกับมือของเขาเป็นแก้วล้ำค่าที่แสนเปราะบาง
“อะไร”
“มึงโอเคแล้วหรือยัง”
“โอเคอะไร”
“ชอบเฉไฉนะเราอ่ะ”
“ไม่ได้เฉไฉ แต่สงสัยจริงๆ ว่ามึงหมายถึงเรื่องอะไรไง”
“เรื่องพี่สิงห์”
“...”
“มึงโอเคแล้วหรือยัง”
“...โอเค”
“แล้วทำไมต้องร้องไห้ แอบกูด้วยแน่ะ”
“รู้ได้ไง กูว่ากูแอบดีแล้วนะ”
ตามยกมือข้างที่ว่างไล้ตามใต้ดวงตาที่ช้ำบวม ดวงตาที่มองมาทำให้เทียนไม่อาจละห่างออกไปได้ มันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เจ็บปวดและจนปัญญา จนเขาได้แค่จับมือข้างนั้นของตามแนบแก้มแทนคำขอโทษ
“ตามึงบวมแบบนี้ตั้งแต่วันที่หนีมาค้างบ้านกู แล้วจะไม่ให้กูรู้ได้ยังไง”
“ก็ทำเป็นไม่รู้ต่อไป”
“เทียน เรื่องของมึงสำคัญกับกูตลอดแหละ กูจะทำเป็นไม่สนใจได้ยังไง”
“...”
“ยังรักก็บอกมาว่ายังรัก ถ้าอยากกลับไปหาเขาก็พูด เดี๋ยวกูช่วย”
“บางทีฟังมึงพูดแบบนี้กูก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามึงรักกูจริงป่ะเนี่ย”
“จริงดิวะ” ตามหัวเราะเบาๆ กับท่าทางไม่เชื่อของเทียนที่มองมา “ทำไม? ไม่พอใจที่กูยัดเยียดมึงกลับไปหาพี่เขาขนาดนั้นเลย”
“เออ แม่ง เหมือนไม่รักกันเลยอ่ะ”
“แล้วมึงรักกูไหม? ก็ไม่ แล้วกูจะดันทุรังไม่เข้าท่าไปทำไม”
“...”
“ใจมึงอยู่ตรงไหนก็ไปเถอะ ไปไม่ไหวกูก็จะช่วยจนกว่ามึงจะไปได้ นั่นคือสิ่งที่คนรักมึงอย่างกูพอจะทำได้”
“...”
“ขอแค่อย่าโกหกใจตัวเอง ซื้อตรงบ้างเทียน มัวแต่ปากแข็งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยนะ”
“แต่ถ้ากลับไป กูก็มีแต่ต้องเสียใจแบบเดิม อย่างนี้มันคุ้มแล้วเหรอวะ”
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับมึง”
“...”
“ไม่มีหรอกนะในความสัมพันธ์ไหนที่จะดำเนินไปโดยที่ไม่มีใครเสียใจเลย ทุกความสัมพันธ์ ทุกความรักมันต้องมีสักครั้งหรืออาจจะหลายครั้งที่ต้องเสียใจ สิ่งที่มึงต้องทำนอกจากทำใจยอมรับความเสียใจเหล่านั้นและผ่านไปให้ได้ คือมึงต้องตามหาคนที่ทำให้มึงรู้สึกว่า ต่อให้ต้องเสียใจมากกว่านี้ มึงก็ยังอยากจะอยู่กับเขา”
“...”
“เข้าใจไหม”
“...ตาม”
“ครับ?”
เทียนหลุบตามองต่ำนิ่งไปครู่ใหญ่ แต่ตามก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร เขาเพียงแค่นั่งนิ่งให้มือตัวสัมผัสความอบอุ่นบนผิวแก้มของเทียนไปเรื่อยๆ ราวกับช่วงเวลาเงียบงันรอบกายพวกเขาสองคน คือความสุขชิ้นใหญ่ที่นานๆ ทีเขาจะได้รับและเขาก็อยากจะซึมซับความรู้สึกเช่นนี้ไปนานๆ
สุดท้ายเทียนก็ยอมเงยหน้าสบตากับเขา แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่าแววตาที่มองมามันต่างออกไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าต่างตรงไหน แต่มันไม่เหมือนเดิม
“งั้นคนที่ถึงจะทำให้มึงเสียใจ แต่มึงก็ยังอยากอยู่กับเขาคือกูใช่หรือเปล่า”
“...”
“...”
“ใช่ ต่อให้ต้อเสียใจมากกว่านี้ กูก็ยังอยากอยู่กับมึงอยู่ดี”
แทนที่มันจะเศร้า แต่เทียนกลับยิ้มออกมา เขาเองก็เช่นกัน เราต่างคนต่างยิ้มทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าตลก ชั่วพริบตาที่เขากำลังหลงอยู่กับเจ้าของรอยยิ้มอ่อนหวานตรงหน้า พริบตานั้นเขาก็มองไม่เห็นอะไรอีก เมื่อเทียนขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของพวกเขาสองคนสัมผัสกัน
มันไม่ได้งดงามเช่นในนิยายพรรณา ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนในหนังมากมาย มันก็แค่การแตะริมฝีปากของคนสองคนที่ไม่มีแม้แต่คำตอบว่าทำไมต้องทำแบบนี้
เขารู้เพียงแค่วินาทีที่เทียนจูบตอบกลับมา หัวใจของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
แม้จะเพียงศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นของความเปลี่ยนแปลง
เขาก็ยังรับรู้ได้ว่า เรื่องราวหลังจากจูบนี้จบลงไม่มีวันเหมือนเดิม
“...ทำไมจูบเก่ง”
“เอ้า กูก็ผู้ชายไหม”
“กูก็ผู้ชายอ่ะ”
“งั้น...ก็พรสวรรค์”
“หลงตัวเอง”
“ถ้าไม่เชื่อจะลองอีกไหมล่ะ”
เทียนหัวเราะร่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อเขาก้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งราวกับมันไม่มีวันจบลง
แล้ววินาทีนั้นตามก็ไม่อาจกลับไปเป็นคนเดิมที่จะรักได้โดยไม่คาดหวังได้อีก
หัวใจเขาเต้นรัวแรง ร้องดังกว่าทุกครั้งว่าต้องเป็นแค่คนนี้เท่านั้น ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นได้อีก
จงเห็นแก่ตัวและครอบครอง อย่าปล่อยให้คนอื่นได้คว้ามือคู่นี้ไปจากตัวเองอีกเด็ดขาด...
ตามจะไม่ปล่อยแล้วนะ สุดท้ายจะจบที่คู่ไหนน้อออ
หายไปนานอีกแล้ว ขอโทษค่ะ แงงง เปิดเทอมมามีแต่ตัวหนักๆ อยากตัยมั่กๆ โล้ยยยย
หวังว่าทุกคนจะยังรอนะคะ แงง TT
รักเสมอ เพิ่มเติมคือคิดถึงจังเลยยย :):NAVY
คุณคือเส้นชัยที่ผมไม่เคยวิ่งถึง
“...ต่อให้สุดท้ายพี่ไม่มีวันรัก เทียนคงตัดใจไม่ลงอยู่ดี”
คำพูดนั้นที่เด็กคนนั้นเคยพูดให้ฟัง เขายังเชื่อมันได้หรือเปล่านะ?
สิงห์ยืนถอนหายใจอยู่หน้าบ้านของเทียน รู้สึกประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่บ้านหลังนี้เขามาบ่อยกว่าใครด้วยซ้ำ
บ้านที่เขารู้ทั้งหมดของตัวบ้านและทุกอย่างของเจ้าของ ทว่าแท้จริงแล้วเขาเพิ่งมารู้ว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเลยต่างหาก
นิ้วที่ยกเตรียมจะกดออดถูกลดลงมาอยู่ข้างตัวหลายต่อหลายครั้ง ราวกับความกล้าที่เคยมีมาตลอดมันหดหายไปพร้อมกับระยะเวลาที่พวกเขาสองคนไม่ได้พบกัน ตอนนี้ก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว แปลกดีที่เขาร้อนใจมากกว่าจะรู้สึกเฉยๆ เช่นแต่ก่อน อาจเพราะระหว่างพวกเขามันไม่เหมือนเดิม
หรืออาจเพราะเทียนที่เหมือนเดิม แต่เป็นตัวเขาเองที่แปลกไป จึงไม่อาจทำตัวเหมือนเดิมได้อีก
สุดท้ายเขาก็สลัดความลังเลทั้งหมดแล้วกดออดหน้าบ้านเทียนไปในที่สุด แต่ยืนรออยู่นานก็ไม่มีใครออกมา ทั้งบ้านเงียบจนเขาแปลกใจ เพราะปกติวันหยุดเช่นนี้เทียนไม่ค่อยออกไปไหน จะชอบหมกตัวอยู่ที่บ้านนอนเล่นทั้งวันเสมอ
หรือจะเกิดอะไรขึ้น?
เพราะคิดแบบนั้น ในหัวเลยปรากฏเรื่องราวน่ากลัวออกมาเป็นร้อยเป็นพันฉาก จนเขานิ่งนอนใจไม่ไหว ได้แต่ยกโทรศัพท์ต่อสายถึงคนที่เขาคิดว่าน่าจะอยู่ในบ้าน สายแล้วสายเล่าที่จบลงที่ไม่มีคนรับ นานเกินกว่าเขาจะรอ
“พี่สิงห์? ทำอะไรน่ะ”
สุดท้ายสิงห์ก็วางของที่เขาเตรียมเอามาให้อีกคนบนพื้น ถกแขนเสื้อเตรียมจะปีนรั้วบ้านเทียนเข้าไป ถ้าไม่ได้ยินเสียงของเจ้าของบ้านเข้าเสียก่อน
แต่ที่น่าแปลกใจคือเสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากในบ้าน แต่ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
สิงห์หันกลับไปมองพร้อมรอยยิ้มที่เผยขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงที่คิดถึงมาตลอดหลายวันมานี้ แต่แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางลงเมื่อเห็นว่าคนที่เฝ้ารอลงมาจากรถของเด็กคนนั้น ตามตะวันก้าวลงมาจากรถหยุดยืนไม่ห่างจากเพื่อนรักของตัวเองมากนัก ทว่าแม้จะเป็นเด็กคนเดิมที่เคยมาพูดคุยกับเขากลางดึกเรื่องของเทียน แต่แววตาที่ตามมองมากลับทำให้สิงห์รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
เหมือนจะเป็นระฆังร้องเตือนถึงการกระทำที่สายไปของตัวเอง
“ไปไหนมา”
“ไม่ได้ไปไหน”
“แล้วทำไม...”
“ไปอยู่บ้านตามมา เพิ่งกลับ”
เสียงพูดเรียบๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจจะตอบอะไรของเทียนทำให้สิงห์สะอึก ใบหน้าของน้องไร้รอยยิ้ม รวมไปถึงท่าทางที่ดูก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่ามเหิน ไม่เหมือนวินาทีที่เทียนถอยหลังเขยิบเข้าใกล้ตามเหมือนไม่รู้ตัว แสดงออกถึงความไว้วางใจและรู้สึกสบายใจที่ได้ยืนเคียงข้างใครอีกคน
ใครอีกคนที่เคยเป็นเขามาก่อน
“อ่า...เหรอ”
“อืม พี่สิงห์มีอะไรกับเทียนหรือเปล่า”
เขาก้มลงคว้าถุงที่ถือมายื่นไปให้ โชคดีที่เทียนรับไว้ ไม่ได้ปฏิเสธอย่างที่นึกกลัว “แม่ฝากมาให้น่ะ”
“ฝากขอบคุณคุณน้าด้วยนะครับ”
“...”
“...”
“ทำไม...เรียกว่าน้าล่ะ”
เทียนยิ้มบางๆ แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่สิงห์ไม่ชอบเอาเสียเลย “ยังไงสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คุณแม่จริงๆ ของผมนี่ครับ จะตู่เรียกแบบนั้นไปตลอดคงไม่ดี”
“เราก็รู้ว่าแม่พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น”
“แบบนั้นผมก็ต้องยิ่งเกรงใจไม่ใช่เหรอ”
“เทียน”
“...”
“เรา...เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ”
มือของเทียนกำเข้าหากันแน่นจนสั่นไปหมด ซึ่งมันตกอยู่ในสายตาของตามมาตั้งแต่ เขาฉวยโอกาสตอนที่เทียนยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ค่อยๆ จับมือที่กำเข้าหากันแน่นให้คลายออก ใจกลางฝ่ามือขาวมีรอยเล็บจิกจนเขาอดลูบเบาๆ หวังให้มันหายเจ็บไม่ได้ เทียนมองตามการกระทำของเพื่อน ไม่ได้ปฏิเสธเมื่อตามกุมมือข้างนั้นของเขาเอาไว้ ซ้ำร้ายการกระทำเช่นนั้นกลับเรียกรอยยิ้มได้จากเทียน เมื่อมันทำให้เขารู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมความรู้สึกได้ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...ที่เขาหลบหน้ามาจนวันนี้
“เทียนขอบคุณพี่สิงห์กับคุณน้าทั้งสองมากเลยที่คอยดูแลเทียนที่ผ่านมา แต่เทียนว่าพอดีกว่า”
“...”
“เทียนไม่ควรรบกวนอีกต่อไปแล้ว”
“เพราะอะไร”
“...”
“แค่เพราะพี่ชอบเราไม่ได้งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่...”
“งั้นเพราะอะไร? ทำไมถึงเป็นแบบเดิมไม่ได้”
“เทียนจะไปแล้ว”
“...”
“เทียนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศพี่สิงห์”
“...”
“เวลาเล่นพ่อแม่ลูกมันควรจบลงได้แล้ว เรื่องของเราก็เหมือนกัน”
เทียนเลื่อนไปที่นิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนลงหนึ่งมาตลอด แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เขาได้เรียนรู้และพบเจอเรื่องราวมากมาย พบเจอการเปลี่ยนแปลงมาเกินพอแล้ว
“เทียนว่า เราเลิกกันดีกว่า”
“...”
“เลิกเป็นแฟนหลอกๆ ที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยนี่ดีกว่าเนอะ”
แล้วแหวนวงนั้นก็ถูกยื่นมาตรงหน้าสิงห์ เมื่อเห็นว่าสิงห์เอาแต่ยืนเงียบ เทียนจึงคว้ามือของสิงห์มาวางแหวนวงนั้นแล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม...ที่ยืนข้างกายของตาม มองหน้าเฉยเมยที่แสนคุ้นเคยของสิงห์ ใบหน้าที่เขาเฝ้ามองมานานหลายปี แต่ความรู้สึกในวันนี้ต่างออกไปจากเดิมเสียแล้ว
จริงอยู่ที่ยังรัก แต่มันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดที่ต้องร้องไห้จนปวดใจ
ยังคงรู้สึกดีๆ ด้วยเสมอ เช่นเดียวกับที่อยากให้อีกคนมีความสุข แต่มันคงไม่มากเท่าอยากให้ตัวเองยิ้มได้เหมือนตอนนี้แล้ว
“ขอโทษนะ ที่เทียนทำให้พี่ลำบากใจตลอดมา ขอบคุณนะพี่สิงห์ที่ยอมทำตามใจเทียน”
“...”
“อย่างน้อยเทียนก็ได้เคยเป็นแฟนพี่แล้ว ถึงจะแค่สั้นๆ แต่เทียนมีความสุขมากนะ”
“...”
“บ๊ายบาย พี่สิงห์”
กล่าวจบเทียนก็เดินผ่านหน้าสิงห์เข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้ตามยืนมองใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรของสิงห์เพียงลำพัง เขามองคนที่ตอนนี้ก็ยังไม่อาจจะเดาได้ถึงสิ่งที่คิดตรงหน้า ก่อนจะยกมือไหว้แล้วเดินตามเทียนเข้าไปในบ้าน เพียงเสี้ยววินาทีที่คนทั้งสองหายไป ก็คล้ายกับความรู้สึกที่สิงห์เพียรพยายามที่จะซ่อนมันมาตลอดได้ถูกปลดออกมา
ความจริงที่เขามาเขาไม่ได้จะมาแค่เอาของมาให้
ความจริงแล้ว...เขาจะมาขอโทษ
ขอโทษคำพูด การกระทำ ทุกสิ่งอย่างที่ได้ทำให้เด็กคนนั้นเสียใจ
แล้วอยากจะถาม...ว่าจะเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม?
พวกเขาสองคนจะสามารถเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งได้หรือเปล่า?
แล้วถ้าเทียนตอบตกลง เขาก็จะบอกถึงสิ่งที่เขาใช้เวลาทั้งสัปดาห์ในการทบทวนหัวใจตัวเอง บอกเด็กคนนั้นถึงสิ่งที่เด็กคนนั้นเคยร้องขอ
“พี่ก็ชอบเราเหมือนกัน...”
เราก็ยังชอบพี่อยู่...ใช่ไหม?
แต่เหมือนมันคงจะสายไปใช่หรือเปล่า
แล้วเขาก็ได้แค่ยิ้มออกมา หัวเราะเบาๆ ที่เหมือนกับการเยาะหยันตัวเองที่ชอบเป็นแบบนี้ มาพยายามเอาในวันที่มันสายไป แม้มันจะช้าแค่หนึ่งวินาที แต่มันก็ยังสายไปอยู่ดีที่จะแก้ไขเรื่องทั้งหมด
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ไอ้เพจพูดจนได้
ในวันที่เด็กคนนั้นหันกลับไปรักตัวเอง...รักคนที่รักตัวเด็กคนนั้น เหลือเพียงแค่เขาที่พยายามก้าวกลับมา ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างการต่อแก้วที่ร้าว วิ่งตามทั้งที่มันช้าเกินไปแล้ว ก่อนจะหยุดยืนแล้วนึกเสียใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้
ทำไมถึงปล่อยวันเวลากัดกร่อนทุกอย่างจนพังทลายหมดแล้วค่อยนึกเสียใจกัน
สิงห์ถอนหายใจแล้วเดินออกจากหน้าบ้านของเทียน กลับไปยังบ้านของตัวเอง แต่ละก้าวเชื่องช้าเหมือนมีอะไรมาถ่วงเอาไว้ มันค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆ เหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจที่แผ่วลง
แผ่วลง...แผ่วลง
และถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นที่เขาไม่คิดว่าจะต้องได้พบเจอกันอีก
สายไปอีกแล้ว เขาทำลายโอกาสตัวเองไปกับมืออีกแล้ว
เด็กคนนั้นไม่หยุดรอเขาเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
มาสั้นๆ ไปหน่อยนะคะ ฮู้วววว
จะจบไปแบบนี้ไหม ต้องรอลุ้นต่อเนอะ แฮะ
ฝากติดตามเช่นเคย เจอกันตอนหน้าค่ะ :):NAVY
คุณคือเป้าหมายที่กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว
“จะไปจริงๆ เหรอ”
“จริงดิ ในเมื่อจดหมายตอบรับส่งมาแล้ว โอกาสดีๆ แบบนี้ใช่ว่าจะมีบ่อยไม่ใช่หรือไง”
“เทียน”
“กูหมายความอย่างที่พูดจริงๆ นะ”
“...ตามใจมึงแล้วกัน”
เทียนยิ้มกว้าง “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
ตามถอนหายใจใส่คนที่ยังเอาแต่ยิ้มเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้ว่าตามจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างจากตัวของเทียน แต่ใช่ว่ามันจะเปลี่ยนไปซะหมด อย่างน้อยๆ พริบตาหนึ่งที่คงไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่เจ้าตัวเอง แววตาของเทียนก็ยังสะท้อนความรักใคร่ที่มีต่อใครคนนั้นไม่เปลี่ยนไปเลย ต่อให้การกระทำจะตรงข้ามก็ตาม
ตามเลื่อนริมฝีปากจรดเบาๆ ที่หน้าผากของเทียนแล้วผละออกมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยังมีเวลานะ”
“อะไร”
“ตอบปฏิเสธไง”
“...”
“มึงไม่ได้อยากไปสักหน่อย มึงโกหกไม่เก่งหรอกเทียน”
“...”
“ไม่ต้องเอากูไปอ้างด้วย หน้าตามึงฟ้องว่าเรื่องทั้งหมดที่มึงพูดมันโกหก โกหกพี่เขา โกหกทั้งกูแล้วก็ทั้งตัวมึงเองด้วย”
“...”
“มึงยังรักเขามากๆ อยู่”
“...แล้วยังไง”
“ไม่ยังไง แต่จะเอายังไงก็รีบบอกกูรู้ไหม จะได้จัดการให้เรียบร้อย เพราะหลังจากนี้กูอาจจะไม่ได้คอยอยู่ช่วยมึงอีกนานเลย” ตามว่าแล้วลุกขึ้นหมายจะลงไปยังครัว ทำอะไรกินง่ายๆ ให้กับพวกเขาสองคน เทียนมองตามแผ่นหลังกว้างของตามไปจนสุดสายตา นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องของตัวเองพักใหญ่ ก่อนจะเดินลงไปยังชั้นล่าง หยุดยืนมองคนที่หันหลังให้ตัวเอง ทำอาหารอยู่เพียงลำพังคนนั้น
ตามก็ยังเป็นตาม คนที่มั่นคงและเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้อีกคนร้อนใจได้เลย
เขาเดินเข้าไปหาอีกคนที่หันหลังอยู่ ค่อยๆ สวมกอดแนบแก้มของตัวเองเข้าที่แผ่นหลังกว้าง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นดังนั้น ราวกับมันคือเสียงดนตรีที่กล่อมให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสนได้พบกับคำตอบ
“ตาม”
“ว่า?”
“กูไม่ได้โกหกนะ”
“เรื่องอะไร?”
“ที่บอกจะไปเรียนต่อกับมึงอ่ะ ไม่ได้โกหกจริงๆ นะ”
“...เทียน”
“มึงจะว่ากูเห็นแก่ตัว จะว่ากูประชด จะอะไรก็แล้วแต่มึงจะคิด แต่ว่านะตาม...มันไม่ใช่เรื่องโกหกเลยสักนิดในความจริงเรื่องที่ผ่านมา ข้างกูมีมึงมาตลอดและกูคงไม่รู้จะทำยังไงต่อถ้าต่อจากนี้มันไม่มีมึงอีกแล้ว”
“มันเป็นแค่ความเคยชินไง เพราะกูไม่เคยไปไหน มึงเลยชินที่จะมีกู”
“ถ้าเป็นแค่นั้นก็ดีน่ะสิ” มือของเทียนที่ประสานอยู่หน้าท้องของตาม ถูกมืออุ่นของคนที่อาหารวางทาบทับ เช่นที่ผ่านที่อีกคนไม่เคยปล่อยให้เขาเผชิญเรื่องราวไม่ว่าจะร้ายหรือดีเพียงลำพัง
มือของเขา...จะมีมือของตามคอยประคองและจับเอาไว้เสมอ
“ถ้ามันเป็นแค่ความเคยชินจริงๆ ทำไมพอกูลองคิดว่าวันข้างหน้าจะไม่มีมึง วันข้างหน้าจะมีใครสักคนที่มึงดูแลเหมือนที่ทำให้กู วันหน้า...มึงจะรักเขาเหมือนที่รักกูแล้ว มันทรมานแบบนี้ล่ะ”
“...”
“ไม่โกหกหรอกนะ ใช่ กูยังรักพี่สิงห์จริงๆ นั่นแหละ แต่ทำไมไม่รู้ความสำคัญในใจของเขายังไม่เท่ามึงเลย”
“ก็บอกแล้วว่ามึงแค่ชิน...”
“ต่อให้ชินกับการมีใครอยู่ด้วยมากแค่ไหน แต่กูไม่มีทางทำแบบที่ทำกับมึง”
“...”
“กับพี่สิงห์...กูก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้” เทียนหลุบตาลงแล้วปล่อยแขนออกจากร่างอีกคน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพราะกลัวว่าอีกคนจะมองตนเองอยู่ จนทำให้พูดอะไรไม่ออก “กูไม่รู้จะหวังอะไรได้จากเขา สิ่งเดียวที่ได้ตลอดมาคือความผิดหวัง เพราะงั้นการที่ได้รักเขาไปวันๆ มันเลยกลายเป็นสิ่งเดียวที่กูหวังได้จากพี่เขา แต่กับมึงมันไม่ใช่”
“...”
“เวลาอยู่กับมึงกูไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องฝืนทำอะไรที่ไม่อยากทำ ได้ยิ้ม ไอ้หัวเราะ ร้องไห้ ทำทุกอย่างตามใจ ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุดอย่างที่กูเป็นมาตลอด ไม่ต้องกังวลว่าวันพรุ่งนี้มึงจะกลับไปเย็นชาเหมือนเดิมไหมหรือจะพูดอะไรให้กูเสียใจหรือเปล่า เพราะมึงไม่ทำและไม่เคยทำให้กูเสียใจเลย”
“...”
“มันคงเห็นแก่ตัวมากๆ ที่กูพูดคำนี้...แต่ตาม กูรักตัวเองเวลาที่ได้อยู่กับมึงที่สุดเลยนะ”
“...”
“ขอโทษนะตาม ทั้งที่มึงทำอะไรหลายอย่างให้กับกู แต่การมีกูอยู่ในชีวิตมึงกลับไม่ได้ทำให้มึงมีความสุขอะไรเลย นอกจากเป็นเหมือนภาระทำให้เหนื่อยอยู่ทุกวัน กระทั่งมึงจะไปแล้วกูยังมีตื้อไม่เลิกแบบนี้ ขอโทษนะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำตามันมาตอนไหน แต่เทียนก็ไม่ได้คิดจะห้ามมัน เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม สูดน้ำมูกเหมือนเด็ก ในสมองไม่มีคำพูดอะไรอีก มันกลับเหลือแต่ภาพความทรงจำมากมายตั้งแต่พวกเขาสองคนรู้จักกันจนวันนี้ ทุกการกระทำ ทุกสายตาที่มอง ทุกอย่าง...ที่ตามเคยทำให้มันย้อนกลับมาและเหมือนจะตอกย้ำว่า ความพยายามของตามที่ให้เขาคนก่อนหน้านี้ มันไร้ค่าแค่ไหน เมื่อเขาไม่คิดจะมองเห็นมัน
ตามหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วหันกลับไป มองคนที่อยู่ในหัวใจและข้างกายของเขามาตลอด คนที่เขาไม่อาจนึกภาพวันที่ไม่มีอีกคนข้างกายได้แม้สักวัน มองอีกคนยืนสะอื้นเหมือนเด็กๆ ร้องไห้แบบที่เขาเห็นมาจนชิน แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดใจเท่าที่ผ่านมา อาจเพราะว่าต้นเหตุของรอยน้ำตาพวกนั้นไม่หมายถึงใครอีกคนที่ยังอยู่ในใจของเทียน แต่มันหมายถึงเขา...เขาคนนี้ที่ยืนอยู่หน้าเทียนตอนนี้แล้ว
เขาควรจะเสียใจที่ทำให้อีกคนร้องไห้ แต่ด้วยเหตุผลบ้าบออะไรสักอย่าง มุมปากของเขากลับยกยิ้มขึ้นมาเสียได้ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เทียนเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี คนขี้แยทุบลงที่กลางอกของเขาสุดแรง บ่นด้วยเสียงปนสะอื้น
“นิสัยไม่ดี คนเขาร้องไห้ยังจะมาหัวเราะ”
“ก็มีความสุขอ่ะ ทำไม”
“คนบ้าอะไรมีความสุขตอนคนอื่นร้องไห้”
“ก็ครั้งนี้มึงไม่ได้ร้องไห้เพราะคนอื่น แต่ร้องไห้เพราะกูครั้งแรกนี่นา”
“...”
“หยุดร้องได้แล้ว จะไปด้วยกันก็ไป งอแง”
“ไม่ได้งอแงเว้ย!” แม้ปากจะว่าแบบนั้น แต่เมื่อตามรับเขาเข้าไปกอดแน่นๆ น้ำตาที่พยายามห้ามจนเกือบสำเร็จก็ไหลออกมาอีกจนได้ แต่ครั้งนี้มันไหลออกมาเพราะความโล่งใจ เมื่อพบว่าเจ้าของอ้อมกอดที่กำลังโอบประคองเขานั้น ไม่ได้รังเกียจและยังยินดีที่จะเช็ดน้ำตาให้เขาเช่นเดิม
“ขอโทษนะ ขอโทษ”
“ขอโทษอะไร” ตามจรดริมฝีปากลงที่กลุ่มผมนุ่ม ลูบไปมาให้คนในอ้อมแขนคลายสะอื้น
“ขอโทษที่ทำเป็นไม่เห็นหัวใจมึงที่ผ่านมา”
“...”
“ขอโทษนะตาม”
“...”
“...”
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ก็ตอนนี้มึงเห็นแล้วนี่”
“อือ แล้วก็จะไม่ปล่อบให้ไปไหนแล้วด้วย” เทียนสะบัดไปมาที่เสื้อของตาม เช็ดน้ำตาน้ำมูกจนเปรอะเปื้อนแล้วเงยหน้าที่แดงเรื่อเพราะร้องไห้ขึ้นสบตาคนที่กอดตนเอง “ต่อให้ต่อจากนี้มึงรำคาญจนอยากจะสะบัดกูทิ้ง กูก็ไม่ไป!”
“เทียน”
“อะไร ไม่เชื่อเหรอว่ากูทำได้จริงๆ”
“กูจะไม่ปล่อยมึงไปแล้วจริงๆ นะ”
“...”
“ต่อให้มึงยังมีพี่เขาอยู่ในใจ แต่กูจะทำให้มึงหันมามองกูให้ได้สักวัน ไม่ยอมให้กลับไปแล้วจริงๆ นะ”
“...อือ ไม่ไปแล้ว” มือที่โอบรอบเอวสอบกำชายเสื้อตามแน่น ซุกใบหน้ากับอกที่แสนอบอุ่นนั่น ราวกับได้พบกับท่พึ่งพิงสุดท้าย...ที่คิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีวันจากไหนอีกแล้ว “จะอยู่กับมึง”
“พูดแล้วนะ”
“เออ”
“พูดเพราะๆ หน่อยดิ”
เทียนเงยหน้าย่นจมูกใส่ ซึ่งแสนจะน่ารักในสายตาของตาม “ไม่เอา”
“ทำไม”
“เขิน”
“ยังจะมาเขิน มีอะไรให้เขินอีกวะ”
“ไม่รู้ ก็เขินมึงอ่ะ!”
“เขินอะไร ยังปากดีอยู่เลย”
“ตาม!”
“ครับ”
“เดี๋ยวจะโดน...”
“โดนอะไร” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงไปจุ๊บปากที่เอาแต่พูดไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้ จนคนถูกกระทำเบิกตาโต “โดนแบบนี้เหรอ เอาดิ มาเลยรออยู่” ว่าแล้วตามก็แกล้งหลับตาทำปากจู๋ยื่นไปหาคนที่ยังตกใจไม่เลิก จนเทียนดันหน้าอีกคนออกแทบไม่ทัน
“ไม่เอา! อี๋ น่าเกลียดอะตาม”
“อะไร เมื่อวานยังไม่เห็น...โอ๊ย!!”
“หยุดพูดเลยนะ”
“พูดความจริงทำมาเขินแล้วโหดกลบเกลื่อน”
“ตาม!!”
“แต่น่ารัก :)”
“...”
“แล้วก็รักมากๆ เลยครับ”
ตามมมมมม เป็นครั้งแรกที่ปรับโหมดตามมาน่ารักเช่นนี้ พี่สิงห์น้อยใจตายเลย 5555
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ เรื่องเรียนหนักเกิ๊นนน55555
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Rule of Secret Love เรื่องของพี่เพจน้องคิงก็วางแผงแล้วนะคะ อย่าลืมไปจับจ้องกันนะ :)
รักคิดถึงทุกคนนน
ขอโทษล่วงหน้านะคะ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบที่ทุกคนหวัง :NAVY
แต่คุณ...ก็ยังเป็นความเจ็บปวดที่ผมเต็มใจจะรับเสมอ
อีกสามวัน...
เทียนลืมตาขึ้นมองเพดานห้อง ก่อนจะมองไปซ้ายมือตัวเอง มองกระเป๋าใบโตและกล่องทั้งหลายที่วางเรียงกันในห้องที่แทบเรียกได้ว่าว่างเปล่าตรงหน้า ทั้งหมดนั้นสำหรับเขาที่เตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ
ไป...โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีกครั้ง
เมื่อคืนเขาได้ไปบ้านของพี่สิงห์ ไปล่ำลาและขอบคุณพ่อแม่ของพี่สิงห์สำหรับการดูแล ความรักที่มอบให้และทุกๆ อย่าง ซึ่งพวกท่านแม้จะเสียดายและไม่อยากให้เขาไป กระนั้นก็เคารพการตัดสินใจของเขามากพอที่จะไม่คัดค้าน พวกท่านทั้งสองอวยพรให้เขาประสบความสำเร็จและพบแต่ความสุข
แต่ไร้เงาพี่สิงห์ในคืนนั้น
ราวกับว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่งของเขา
ราวกับว่า...การที่เราได้เคยจับมือกันในฐานะอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องมันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของเขาเท่านั้น
วันนี้เขาไม่คิดจะไปไหนนอกเสียจากนอนเล่นไปเรื่อยในห้องตัวเอง ตามเองก็ไม่อยู่ด้วยเพราะต้องไปเยี่ยมญาติและบอกเรื่องที่จะไปเรียนต่อให้คนในครอบครัวทราบ ตามประสาคนในครอบครัวใหญ่และมีคนต้องบอกเยอะแยะ ตอนแรกตามก็ชวนเขาไปเช่นกัน แต่เขากระอักกระอ่วนเกินไปที่จะไปเป็นแขกของครอบครัวอีกคน จึงบอกปัดไป อ้างว่าอยากจะนอนเล่นที่บ้าน ตามจึงยอมตามใจและไม่ตื้ออีก
เทียนถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ไม่รู้สึกว่ามันคือการพักผ่อนอย่างที่พูดไป เขาหลับไม่ลง ได้แต่นอนเบิกตามองเพดาน มองท้องฟ้านอกหน้าต่างไปเรื่อย เหมือนว่าในสมองและหัวใจมีเรื่องให้คิดมากเกินไป สุดท้ายก็ข่มตาหลับไม่ได้
หรือบางที
“เทียน”
เขาคงจะรอใครคนนั้นอยู่
เสียงเรียกจากหน้าบ้าน เรียกให้เขาผุดลุกนั่งบนเตียงได้ตั้งแต่การเรียกครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงเสียงตะโกนไม่ดังมาก แต่ด้วยเขาฟังและจดจำเสียงนี้มาเสมอ เขาจึงรู้ว่าคนที่ยืนอยู่อีกฝากฝั่งของรั้วบ้านคือ...พี่สิงห์
เทียนเดินไปหยุดที่หน้าต่าง มองคนตัวสูงยิ้มและโบกมือเรียกให้ลงไปข้างล่าง พี่สิงห์ก็ยังเป็นพี่สิงห์ แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่อีกคนก็ยังเปล่งประกาย...และงดงามเสมอในสายตาของเขา
“พี่สิงห์มีอะไรหรือเปล่า”
“อยู่บ้านคนเดียวเหรอ เด็กคนนั้นไม่อยู่ด้วยหรือไง”
เทียนส่ายหน้า “ตามกลับบ้าน...ไม่อยู่หรอก”
“งั้นเราก็ว่างใช่ไหม?”
“...”
“ไปเที่ยวกันไหม”
“...? ไปเที่ยว”
“ใช่ เราสองคน” พี่สิงห์ชี้ตัวเองสลับกับเขา ก่อนจะยิ้มกว้างอีกครั้ง “ส่งท้ายก่อนเราไปเรียนต่อไง เราไม่ได้เจอกันเลยนะ อาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะ”
“อ่า...”
“หรือเราไม่สะดวกใจ ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่อยากไป”
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่”
“...”
“ไปก็ได้ แต่ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
“ไม่ต้องหรอก ชุดนี้ดีแล้ว ไปกัน”
“...”
“พี่มีอะไรที่อยากทำเยอะแยะเลยล่ะ”
“หนังเรื่องที่เราอยากดูวันนั้นยังไม่ออกจากโรงเลย ดูกันไหม”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นรอพี่ตรงนี้แปบนึงนะ พี่ไปซื้อตั๋วก่อน” เทียนพยักหน้าหงึกหงัก ขณะคนเป็นพี่ยิ้มแล้วยีหัวเขาหนึ่งที ก่อนเดินไปยังตู้กดตั๋วที่มีพนักงานยืนรอให้ความช่วยเหลืออยู่ ทิ้งให้เขายืนมองแผ่นหลังอีกคนและจับบริเวณที่ถูกสัมผัสครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ไม่ได้พบกันเลยเพียงลำพัง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้ออกมากับพี่สิงห์เช่นนี้และไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี่พี่สิงห์ต้องการจะทำอะไร อยากจะขอโทษ อยากจะไถ่โทษที่วันนั้นไม่ได้มาหรืออะไรกันแน่ แต่กระนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
ทันทีที่เห็นใบหน้า น้ำเสียงและรอยยิ้ม เขาก็ได้แต่เดินตามอีกคนเหมือนที่เคยทำมาตลอด
“ได้แล้ว อีกชั่วโมงนึง เทียนหิวไหม ถ้าหิวพี่จะได้พาไปหาอะไรกินก่อนเข้าโรง”
“ไม่ครับ พี่ล่ะ?”
“พี่ก็ไม่หิว งั้นเราไปเล่นเกมกัน ฆ่าเวลา”
“ได้ครับ”
ตอนนั้นเองที่มือของเขาถูกมือของพี่สิงห์จับและรั้งให้ไปเดินอยู่ข้างกาย มันเป็นเพียงวินาทีสั้นๆ เหมือนแค่พริบตาเดียวเท่านั้น แต่ในสายตาของเขาราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหว
“ขอจับมือหน่อยนะ”
“...”
“แค่วันนี้ก็ยังดี”
“...ครับ”
เขาควรจะปฏิเสธแล้วดึงมือออกมา เดินกับพี่สิงห์ มีระยะห่างระหว่างกันเป็นปกติแบบที่ทำมาตลอด
แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการกระชับมือที่กุมกันให้แน่นขึ้น แน่นจนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่กลางฝ่ามือของพี่สิงห์ ความอบอุ่น...ที่เขาเฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่งเจ้าของมือนี้จะเต็มใจกุมมือของเขาเช่นที่ทำในวันนี้
เคยฝัน จนตอนนี้หลงลืมความฝันนั้นไปแล้ว ทว่าวันนี้ฝันนั้นกลับเป็นจริง
มันทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกปนกันจนมั่วไปหมด แต่ที่เหนือกว่าความรู้สึกอื่นใดคืออยากจะร้องไห้ชะมัด
เทียนพยายามเบนสายตาไปมองอย่างอื่น พยายามไม่มองไปยังพี่สิงห์ที่เดินอยู่ข้าง กลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลอยู่ตลอดเวลาให้ย้อนกลับไป มันก็แค่การเที่ยวเล่นเหมือนที่เคยผ่านมา มันไม่มีตรงไหนที่น่าเศร้าจนเขาต้องร้องไห้เลย แต่ทำไมมันเจ็บปวดอย่างนี้
เขาควรจะดีใจและยิ้มออกมา ไม่ใช่หน่วงที่ใจจนอยากจะร้องไห้เช่นนี้
“อย่าร้องไห้นะ”
“...”
“วันสุดท้ายแล้ว ช่วยยิ้มให้พี่จนถึงที่สุดที”
“...”
พี่สิงห์หันมายิ้มให้เขาที่มองอยู่แล้วเลื่อนมือมาลูบที่ผิวแก้ม การสัมผัสแผ่วจางเหมือนปีกแมลงปอแตะผิวน้ำ แต่กลับส่งผลมหาศาลต่อตัวเขาเช่นนั้น เรียกให้ความอ่อนแอกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ
“ครั้งสุดท้าย...เหรอครับ”
“ก็เราจะไม่อยู่แล้ว พี่แค่อยากทำอะไรที่ยังไม่เคยทำกับเรา อะไรที่เคยผิดสัญญา ทั้งหมดนั่น...พี่อยากทำมันกับเราก่อนที่เราจะไปน่ะ”
“...”
“ได้หรือเปล่า”
“...ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”
“งั้นหยุดร้องไห้นะ แล้วไปเล่นเกมกัน”
“อืม”
พี่สิงห์
“เทียน...จะไม่ร้องแล้ว”
ตั้งแต่วันที่เดินจากพี่มา ไม่มีวันไหนที่เทียนไม่ร้องไห้เลยจริงๆ...
“พี่สิงห์ขี้โกง!”
“ขี้โกงตรงไหน พี่ก็เล่นปกติ”
เทียนทุบเข้าที่ไหล่ของคนข้างกายที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด เมื่อคะแนนปรากฏบนหน้าจอ แสดงให้เห็นว่าเขาแพ้ “ไม่โกงอะไร ตอนเทียนเต้นอยู่ พี่ก็เอาแต่แกล้งจี้เอวเทียนอ่ะ! แล้วงี้เทียนจะเต้นตรงได้ไง”
“เอ้า ไม่มีสมาธิเองแล้วมาโทษคนอื่นว่ะ พาลนี่หว่า”
“ไม่ได้พาล”
สิงห์หัวเราะร่วน จิ้มเข้าที่แก้มพองลมของเทียน “พาลแล้ว แก้มป่องเลย”
“โกรธ” แต่แทนที่จะรู้สึกอย่างที่พูด เทียนกลับรู้สึกเขินมากกว่า จนไม่อาจจะยืนอยู่เพื่อมองรอยยิ้มและฟังเสียงหัวเราะของสิงห์ต่อได้ เขาจึงเลือกเดินหนีหมายจะตรงไปโรงหนัง เพราะอีกไม่กี่นาทีหนังก็จะเริ่มแล้ว หลังจากที่พวกเขามาฆ่าเวลากันอยู่ในโซนเกมเซนเตอร์ร่วมชั่วโมง แต่สิงห์กลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวยังเหลือเหรียญอีกตั้งเยอะนะ”
“ก็เอาไปแลกคืนสิ มาบอกเทียนทำไม”
“คีบตุ๊กตากัน”
“...”
“เทียนเคยอยากได้เจ้าตัวนี้นิ” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังตู้เกมคีบตุ๊กตาที่อยู่ถัดไป ในนั้นมีตุ๊กตาจากซานริโอมากมาย รวมไปถึงชินนาม่อนโรล มาสคอตตัวโปรดของเขาด้วย เทียนไม่ได้ปฏิเสธ เขาเดินไปอยู่ข้างตู้ ยืนมองพี่ชายคนสนิทลงมือคีบตุ๊กตาอยู่ข้างๆ คอยหัวเราะตอนที่ทำพลาด แสดงออกถึงความเสียดายเมื่ออีกคนเกือบคีบได้และยิ้มตะโกนเสียงดัง เมื่อในที่สุด ตุ๊กตาที่เขาชอบก็ถูกคีบได้เสียที
“เย้!! ได้แล้ว”
“เสียเกือบร้อย ได้ตัวเท่าเนี้ย” เจ้าตุ๊กตาตัวปัญหาที่มีขนาดแค่ฝ่ามือของตัวเอง ทำให้สิงห์อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่เมื่อมองใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งยื่นตุ๊กตาไปให้ มองรอยยิ้มและอาการทะนุถนอมของเทียน ในใจก็คิดว่า มันคุ้มแล้ว
ที่จริงเขาแค่อยากเห็นเด็กคนนี้ยิ้มเท่านั้นแหละ
“ป่ะ ใกล้เวลาแล้ว เข้าโรงหนังกัน”
“อื้อ”
“เก็บไว้ดีๆ นะ”
“รู้แล้ว เทียนรักษาของน่า”
“ไม่ หมายถึง...ตอนไปนู่น เอาไปด้วยนะ”
“...”
สิงห์ลูบหัวน้อง “จะได้ไม่ลืมพี่”
“...ใครจะลืม”
“...”
“งั้นเทียนคีบให้พี่อีกตัวไหม เทียนจะได้พูดมั่งว่าอย่าลืมเทียนนะ”
“ไม่ลืมหรอก”
“อ้าว ลอกคำตอบกันนี่”
“ต๊อง” เขาเขกหัวอีกคนเบาๆ แล้วพูดต่อ “จะลืมได้ไง เทียนมีแค่คนเดียวสำหรับพี่นี่”
“...”
“แต่กับเทียนที่กำลังจะไปเจอโลกกว้างที่ไม่ได้มีแค่พี่อีกแล้ว พี่ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยว่าเราจะไม่ลืม”
“...”
“ไม่ได้ดูถูกน้ำใจอะไรของเรานะ มันแค่ความไม่มั่นใจของพี่เท่านั้นแหละ”
“...”
“เพราะพี่ยังอยู่ที่นี่ ยังอยู่บ้านหลังเดิมที่เราเคยนอน เคยมานั่งกินข้าวด้วยกัน อยู่บนถนนสายเดิมที่เคยเดินไปส่งเราที่บ้าน เพราะงั้นพี่ไม่มีวันลืมเราได้แน่นอน”
“...”
“ทุกครั้งที่นอนบนเตียง พี่ก็จะคิดถึงเราที่เคยนอนเล่นคอยกวนพี่เวลาพี่ทำงาน เวลากินข้าวก็จะนึกถึงเสียงเราตอนที่พูดเจื้อยแจ้วเรื่องนู่นนี่ให้พ่อกับแม่พี่ฟัง เวลาเดินกลับบ้าน ก็จะนึกถึงตอนที่เราเดินข้างกัน เล่าเรื่องที่ได้เจอวันนี้ให้กันและกันฟัง”
“...”
“แบบนี้จะให้ลืมได้ยังไงล่ะ”
“เทียนไม่ลืมเหมือนกันน่า” ฟังจบเขากลับไม่มีคำพูดอะไรจะพูดต่อ ได้แต่เดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นตรงไปยังโรงหนังโดยไม่คิดจะรอคนด้านหลัง ทิ้งให้สิงห์มองตามแผ่นหลังของเด็กที่เขาพร่ำบอกเสมอว่าในหัวใจนี้มอบได้แค่น้องคนสนิท ให้แค่นั้นมาตลอด
จนวันนี้ที่รู้ว่าคิดผิดและกำลังจะเสียไป เขาก็ทำได้แค่มอง
เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินใจกลายเป็นเทียนไปแล้ว ไม่ใช่เขาอีกต่อไป
หนังฉายบอกเล่าเรื่องราว เหมือนกับชีวิตของคนเราที่มีเริ่มต้นและจุดจบ แต่มันต่างตรงที่ในชีวิตจริงนั้น ต่อให้มีบทสรุปของเรื่องราวแล้ว เราก็ยังสามารถเริ่มต้นเรื่องราวเรื่องใหม่ได้อีกเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
เทียนจ้องมองจอฉายหนังยักษตรงหน้าที่ค่อยๆ ดับลง พร้อมกับคนมากมายเดินออกจากโรงหนังในเวลาย่ำค่ำ นาฬิกาที่ข้อมือบอกเขาว่าตอนนี้หกโมงกว่าแล้วและเมื่อหนังจบ พวกเขาสองคนก็ควรจะกลับกันเสียที
แต่ระหว่างพวกเขาทั้งคู่กลับไม่มีใครยอมลุดขึ้นมาก่อน ต่างคนต่างเอาแต่มองหน้าจอสีดำสนิทเหมือนครั้งหนังยังฉายบนนั้น เหมือนเอาแต่ระลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วแต่ย้อนกลับไปไม่ได้ ได้แต่จินตนาการเรื่อยไปไม่รู้จบ
สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ลุกขึ้นและคงเดินออกไปแล้ว ถ้าไม่ได้มือของพี่สิงห์มาจับเอาไว้
“ดูเหมือนวันนี้พี่รั้งเราไว้เยอะมากเลยเนอะ”
“...”
“หนังจบแล้ว”
“อือ จบแล้ว”
“แต่พี่อยากให้มันฉายไปเรื่อยๆ ให้พี่นั่งดูแบบนี้ไปตลอดชีวิตยังได้เลย” แม้จะพูดกลั้วเสียงหัวเราะ แต่เทียนไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย เสียงหัวเราะครั้งนี้ของพี่สิงห์มันเศร้าเกินนกว่าจะมองว่ามันคือเสียงหัวเราะแห่งความสุขของคนที่ได้ดูหนังที่ชอบ
“...จะเป็นไปได้ยังไง หนังมันก็ต้องจบสิ ไม่จบมันคงไม่ใช่หนัง”
“นั่นสินะ”
“ถ้ามันไม่มีจุดจบ มันก็คงไม่สวยงามนักหรอก”
“...”
“...”
“เหมือนเรื่องของเราใช่ไหม”
“...”
“ถ้ามันไม่มีจุดจบ ถ้าเราไม่ยอมไป พี่คงไม่รู้ใช่ไหมว่าเราสำคัญกับพี่มากแค่ไหน”
จนตอนนี้พี่สิงห์ก็ยังไม่มองหน้าเขา เอาแต่มองไปข้างหน้า ทิ้งให้เขามองใบหน้าด้านข้างของอีกคนผ่านความมืดสลัวภายในโรงหนัง เขาไม่มคำพูดใดจะพูด ได้แต่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมพวกเขาทั้งคู่ จนพนักงานเดินเข้ามาเตือนนั่นแหละ เขาถึงได้พึมพำตอบรับแล้วรีบเดินออกมา
“พี่สิงห์ ไปเถอะ”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่ตามไป”
“...พี่สิงห์”
“พี่ไม่เป็นไรครับ ไปเถอะ” พิ่สิงห์หันมายิ้มให้เขา เหมือนจะให้เขาวางใจและเดินออกไปแต่โดยดี แล้วเทียนจะทำยังไงได้นอกจากทำตามสิ่งที่อีกคนพูด เขาเดินออกจากโรงหนังไป พริบตาที่เสียงประตูปิดลง คนที่วางท่าเหมือนไม่รู้สึกอะไรเมื่อครู่ก็ได้แต่ซุกใบหน้าตัวเองกับฝ่ามือ ปล่อยให้ไหล่ที่ยืดตรงลู่ลงและสั่นเทา ในความเงียบงันมีเสียงลมหายใจสั่นลอดออกมา พอให้รู้ว่ายังมีคนอยู่เหลืออยู่ในนี้
หากเปรียบโรงหนังนี้เป็นเหมือนสถานที่ฉายความทรงของพวกเขา เทียนก็คงเหมือนคนที่แยกได้ว่าสิ่งที่ฉายมันเป็นเพียงอดีตที่ย้อนกลับไม่ได้ ต่างจากเขาที่ไม่อาจดึงตัวเองออกจากหนังที่ดูได้
ได้แต่เฝ้าหลอกตัวเอง ภาวนาขอให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับมาอีกครั้งเหมือนคนโง่
ต่อให้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังอยากจะให้มันกลับมา
น่าเสียดาย
เวลาไม่เคยย้อนกลับให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ทิ้งโอกาสของตัวเองไปอย่างน่าเสียดายเช่นเขา
เขาเคยนึกว่าการเดินมาจากคนที่รักมากๆ มันยาก จนไม่เคยเลยสักครั้งที่ทำมันสำเร็จ
กระทั่งวันนี้ เขาจึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากเลย แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากเดินจากมามากกว่า
เพราะความจริงแล้วการจากมานั้นง่ายดาย เมื่อเทียบกับการคงอยู่เสมอ
เทียนยืนมองท้ายรถของพี่สิงห์ที่ขับห่างออกไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจที่ได้เจอ มีความสุข เศร้าและใจหาย แปลกดีในความรู้สึกพวกนั้นยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดและความรักอยู่เช่นกัน แต่มันไม่ได้มากมายจนต้องหลั่งน้ำตา ไม่ได้ทำให้คิดถึงจนไม่อยากปล่อยมืออีกแล้ว
ก่อนจะจากกันพี่สิงห์ยิ้มให้เขาอีกครั้ง ลูบหัวเขาเหมือนที่ชอบทำอยู่ตลอดแล้วบอกขอบคุณที่วันนี้เขายอมออกมาเป็นเพื่อนจนเย็น ซึ่งเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรทำได้แต่ยิ้มให้ แม้จะสังเกตเห็นว่าดวงตาของพี่สิงห์บวมช้ำ เขาก็ไม่คิดจะถาม เพราะรู้...ว่าร่องรอยเหล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร
ทำไมจะไม่รู้ ในเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนเราจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ เขาก็เคยมีอาการนั้นเช่นกัน
อดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้ ในวันที่เขาเลิกร้องไห้และเดินไปข้างหน้า พี่สิงห์กลับหยุดยืนตรงนั้นแล้วทำในสิ่งที่เขาเคยทำ เสียใจโดยที่เขาไม่อาจปลอบโยนได้แม้แต่คำเดียว
เขาหันหลังเดินหมายจะเข้าบ้านตัวเอง แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าบ้านที่ควรไร้แสงไฟ กลับปรากฏแสงสว่างเล็กๆ ในมุมหนึ่งในบ้าน
เหมือนกองไฟที่มอบความอบอุ่นให้กับเขา...ที่ไม่เคยมีใครรอคอยการกลับมาที่บ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นแบบนั้นขาทั้งสองของเขาก็ราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบและตื่นเต้น ทั้งที่ตัวเขาเองรู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าคนในนั้นเป็นใคร เพราะมีเพียงไม่กี่คนที่เขายินยอมมอบกุญแจบ้านให้และมีไม่กี่คนที่จะรอเขากลับมา
เทียนทำใจยืนอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดเข้าไปเบาๆ ฟังเสียงโทรทัศน์ที่ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น สูดกลิ่นอาหารที่กรุ่นมาจากห้องครัว ภาพบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ที่เขาไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน ทำเอาเขาไม่อาจหุบยิ้มได้ ยิ่งเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วพบกับแผ่นหลังของคนที่มอบความอบอุ่นทั้งหมดนี้ให้เขา รอยยิ้มก็ยิ่งขยายกว้าง
คนคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวสีดำ ผมถูกเซ็ตเป็นทรงเหมือนกับเพิ่งเดินออกจากงานเลี้ยงสักงานแล้วตรงมาบ้านของเขา ทว่าสิ่งที่ไม่เข้าพวกที่สุดเห็นจะเป็นผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนตลกๆ ที่เขาซื้อมาไว้สำหรับเข้าครัวที่น้อยครั้งเหลือเกินจะทำเอง มีแต่คนคนนี้ที่คอยหยิบมันมาใช้ จนเขาชอบล้อว่ามันคือผ้ากันเปื้อนประจำตัวพ่อบ้านของเขา
ของเขา...เพียงคนเดียว
“ตาม”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ไปไหนมา...!”
ไม่รอให้อีกคนพูดจบ เขาก็โผเข้าไปกอดที่หันกลับมาตัวเองแน่น กอดโดยไร้คำพูด แต่คนที่ยืนให้กอดก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ยอมโอบกอดตอบแน่นเหมือนจะส่งต่อความคิดถึงที่เราไม่ได้พบกับ แม้จะเป็นเวลาสั้นไม่กี่วัน ทว่าก็ยังคิดถึงมากอยู่ดี
เทียนยิ้มกับอกของตาม ขยับริมฝีปากพูดหนึ่งคำที่เขานึกอยากพูดมาตลอดชีวิต
คำพูดที่เหมือนร้องกล่าวว่าเขา...ได้พบกับที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิตแล้ว
บ้านของเขา
“กลับมาแล้ว”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เทียน”
100%
ครบร้อยเปอร์แล้วค่ะ! กี๊ดดดดดดดดดด ตอนหน้าจบแล้วนะคะ เอาจริงๆ มันเหมือนจบมานาแล้ว แต่เหมือนตอนหลังๆ คือการสลับกันระหว่างพี่สิงห์กับเทียนเลย แง้ว
ถ้าหากทุกคนยังจำได้ในตอนพิเศษตอนงานแต่งของทีม (ซึ่งเป็นเรื่องราวหลังจากเรื่องนี้) ทุกคนในกลุ่มก็ยังเข้าใจว่าพี่สิงห์ยังชอบคิงอยู่ เพราะพี่สิงห์จงใจให้มันเป็นแบบนั้น ทำให้คนที่รู้เรื่องว่าพี่สิงห์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ มีเพียงพี่เพจคนเดียวค่ะ
แรกสุดเราอยากจะแต่งให้พี่สิงห์มีคู่บ้าง แต่ไปๆ มาๆ อยากจะลองแต่งแบบ เออ เป็นพระเอกนะ แต่แห้วว่ะ ขึ้นมาซะงั้น แงง
ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพี่สิงห์เลย แต่แบบ ชีวิตจริงคนเราจะมีโมเม้นต์สมหวังสักกี่เปอร์เซ็นกัน ในความเป็นไปได้บนโลกมันไม่มีทางเป็นไปอย่างหวังตลอด เพราะงั้นเลยกลายมาเป็นเช่นนี้ พี่สิงห์คนแห้วค่ะ 55
ไม่ได้แต่งให้รู้ชัดเจนมากมายว่าพี่สิงห์รักเทียน แต่อยากให้รู้เฉยๆ ว่าความคิดที่พี่เขามีต่อเทียนมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเทียบกันกับความรู้สึกที่เทียนมีให้พี่เขา ยังเทียบไม่ติดเลยค่ะ ทว่ามันก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ต่อให้น้อยแค่ไหน พี่เขาก็ไม่ได้มองเทียนเป็นแค่น้องคนสนิทอีกแล้ว แต่มองเป็นฐานะอื่น...ที่สายไปสักหน่อย เพราะน้องเขาไม่อยู่รอแล้ว
น้องเทียนเป็นตัวละครที่เราปวดหัวที่สุด ตอนแรกแต่งง่าย เพราะความรู้สึกมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเออ รักคนนี้ว่ะ แบบเจ็บก็ยอม แต่ตอนกลางเรื่องจนตอนท้ายความรู้สึกที่มีต่อพี่สิงห์ของน้องจะเปลี่ยน จากสมมติว่าชอบ 100 มันจะลดลง อาจจะเหลือ 70 นอกนั้นคือความผูกพัน ความกลัวและความรู้สึกปกป้องตัวเอง จากคนที่ผิดหวังมาตลอด ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนจะมีความรู้สึกแบบนี้อยู่
และนั่นแหละค่ะ ตรงนี้แหละที่มันทำให้เราปวดหัว มันสื่อยากมากเลยอ่ะ กับการที่เราต้องให้ตัวละครแสดงความรู้สึกออกมาแบบนั้นโดยที่คนอ่านไม่งงไปเสียก่อนว่าแบบ เออ มันเป็นไบโบล่าร์ป่ะวะ แป๊บนึงอารมณ์นึง อีกแป๊บอารมณ์นึง แต่งเองก็ปวดหัวเอง เรื่องนี้เลยเป็นเรื่องสั้นๆ ที่ใช้เวลาแต่งนานมาก มัวแต่งมน้องเทียนนี่แหละค่ะ
เพราะงั้นต้องขอโทษมากๆ เลยนะคะ หากอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ที่ยังคงแสดงอารมณ์ความรู้สึกตัวละครไม่โอเคเท่าไหร่
ติชมได้ค่ะ จะไปปรับปรุงตัว แงง
ส่วนน้องตาม นี่ง่ายสุดเลยค่ะ 5555 ฉันรักแก ก็ดูแลแกไป ไม่มีอะไรซับซ้อน คนมันชินอยู่ตรงนั้นมานาน เลยไม่มีความสับสนอะไร เพราะฉะนั้นในตัวละครทั้งสามตัวถ้าเรียงความสับสนความรู้สึก น้องเทียนนี่ที่หนึ่งเลย ตามด้วยพี่สิงห์และตบท้ายด้วยตาม คนที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย รักก็รัก แค่นั้น
ความจริงตอนจบเรื่องนี้คิดเอาไว้เยอะมาก พี่สิงห์เกือบได้โอกาสแก้ตัวและ ถ้าไม่ติดว่าเราอยากให้มันจบแบบไม่สมหวังดู (แบบไม่สมหวังกับพระเอกนะ ไปสมหวังกับพระรอง แฮ่) แต่ความรักครั้งนี้ของพี่สิงห์จะต่างกับครั้งที่พี่เขาชอบคิงนิดหน่อย
ถ้าเทียบง่ายๆ ความรักตอนพี่แกชอบคิง คือความรักแบบเดียวกับที่ตามรักเทียน
ส่วนความรักตอนที่พี่แกชอบน้องเทียน คือความรักแบบเดียวกับที่เทียนเคยรู้สึกกับพี่เขา
ก็...จบแบบนี้แหละค่ะ!
อย่าปารองเท้าใส่เราเลยนะคะ! แงง
เจอกันตอนบทส่งท้ายนะคะ ^_^ บ๊ายบายค่ะ
NAVY
ตอนพิเศษ
It's All Lies - The past of team’ s friend
ผมไม่เคยมีความมั่นใจ แต่ก็ลบคุณออกจากใจไม่ได้
บอกสิว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก บอกสิ
ที่รัก คุณไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังร้องไห้
“จดหมายของลูกแน่ะ”
“ขอบคุณฮะแม่” ผมเดินเข้ามากอดแม่จากด้านหลังก่อนจะฉวยเอาจดหมายไปพร้อมๆ กับหอมแก้มผู้เป็นแม่หนึ่งทีแล้วเดินหนีไปนั่งอยู่บนโซฟา พลางมองจดหมายในมือนิ่ง
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาเตะจมูกทำเอาผมขมวดคิ้วก่อนจะเปิดซองจดหมายออกมา ทันทีที่เห็นตัวอักษรสวยงามและดีไซน์ประณีตผมก็ปิดมันลงพร้อมกับแหงนหน้าพิงพนักโซฟาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
...แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ขมขื่นซะเหลือเกิน
การ์ดแต่งงาน
เพื่อนรักของผมทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกันแล้ว...
ผมควรจะยินดีใช่มั้ย? ผมควรจะโทรไปแสดงความยินดีใช่มั้ย? แต่ผมทำไม่ได้...ทำไม่ได้
จะให้ผมทำได้ยังไง ในเมื่อผมยังรักแฟนเก่าที่กำลังจะแต่งงานอยู่รอมร่อ...ยังรักคุณหมดหัวใจ
จริงๆแล้ว ผมมันก็คนเลวคนหนึ่ง
ผมเป็นผู้ชายที่ดีไม่ได้ ตอนนี้ผมก็ยังเป็นอย่างนั้น
ผมโง่และขี้ขลาดที่ไม่บอกรักคุณซักที
ผมกับคุณเคยเป็นแฟนกันมาก่อนในสมันเรียนมัธยม เริ่มจากความเป็นเพื่อน แน่นอนอีกคนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเขา เพื่อนที่ผมสนิทที่สุด พวกเราในตอนนั้นสนิทกันมากทั้งยังสนิทกับเหล่าครอบครัวของทั้งสามด้วย
และทั้งผมกับเขามีจุดร่วมที่เหมือนกันคือพวกเราแอบรักคุณเหมือนกัน ต่างกันที่เขาเลือกที่จะยอมถอยเพราะรู้ดีว่าคุณรักผม
จากความเป็นเพื่อนแปรเปลี่ยนเป็นคนรัก ทว่าพวกเราก็ยังสนิทกัน ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน ยังคงยิ้มและหัวเราะให้กันได้แม้เพื่อนอีกสองคนจะกลายเป็นแฟนกันไปแล้วก็ตาม
...แล้วตรงไหนคือข้อผิดพลาด? ตรงไหนคือจุดแตกหักงั้นเหรอ? ทำให้ผมกับคุณกลายเป็นแค่ ‘แฟนเก่า’
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองพร้อมกับนั่งลงรื้อข้าวของสมัยเรียนออกมาบางชิ้นเห็นแล้วก็ทำให้หัวเราะ นึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองและเพื่อนอีกสองคนพากันทำอะไรแปลกๆ บางชิ้นก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่ประทับใจ และบางชิ้นก็ทำให้นึกถึงคนบางคน...
มือจับเข้าที่สมุดเล่มบางที่ผมได้บันทึกเรื่องราวผ่านรูปภาพขึ้นมามอง ก่อนจะเปิดมันขึ้น...สิ่งที่เห็นทำให้ผมรู้สึกราวกับตัวเองได้หมุนย้อนคืนไปยังวันเวลาที่ผมยังมีคุณอยู่ข้างกาย และมีเขาคนนั้นคอยให้กำลังใจ...
เวลาที่ผมมีความสุขที่สุด
รูปภาพวันที่พวกเราใส่ชุดนักเรียนแล้วยืนข้างๆ กันสามคน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มรวมไปถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น วันนั้นกลับเป็นวันที่พวกเราทำเรื่องขายหน้ามากที่สุดก็ว่าได้
ผมยังได้ดีถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่พวกเราก่อ ไม่ว่าจะเรื่องที่คุณซุ่มซ่ามจนทำกระถางต้นไม้สุดหวงของผู้อำนวยการตกลงมาแตก เพราะความพิเรณฑ์ที่รั้นอยากจะเตะฟุตบอลให้เข้าโกลด์ให้ได้ หรือเขาที่ทำท่อน้ำแตกเพราะออกแรงบิดผิดพลาดจนวันนั้นเกิดมีผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์นั้นนับไม่ถ้วน และตัวผมเองก็เกือบทำไฟไหม้โรงเรียนในคาบวิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าพวกเราสามคนคือจุดศูนย์รวมของพวกเด็กสร้างปัญหาเลยทีเดียว
นึกแล้วมุมปากของผมก็ยกยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้ากับความที่ยังเด็กของตัวเองในอดีต พร้อมกับพลิกหน้าถัดไปเจอกับรูปถ่ายรูปแล้วรูปเล่า ก่อนจะไปสะดุดกับรูปถ่ายใบหนึ่งที่มีผมและคุณเพียงสองคน
นั่นคือวันวาเลนไทน์ปีที่ผมอยู่ม.ปลายปีสอง ตอนสารภาพรักกับคุณ ผมจำได้ว่าคนที่ถ่ายรูปนี้คือเพื่อนรักของผมเอง...
ใบหน้าของพวกเราสองคนดูสดใสและเต็มไปด้วยความสุข ทว่าผมกลับรู้ดีถึงในช่วงเวลานั้นของเพื่อนตัวเอง ที่ถึงแม้จะยอมถอยให้ผมได้ทำตามใจตัวเอง...แต่ก็คงเจ็บไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะเขารักคุณมาเนิ่นนาน และคอยเคียงข้างคุณมาตั้งแต่เด็กๆ
ทว่าคุณกลับไม่เคยรับรู้ถึงจิตใจของเขา เพื่อนรักตัวสูงของผมจึงต้องเก็บงำความลับนั้นไว้ภายใต้รอยยิ้มเสมอ
ในวันก่อนที่ผมจะสารภาพ เพื่อนรักของผมเคยให้ผมสาบานว่าจะดูแลคุณให้ดีที่สุด...
“ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิอะไรที่จะสั่งนาย แต่ฉันแค่อยากให้นายดูแลกันและกันให้ดีที่สุดได้มั้ย อย่าให้ยัยนั่นร้องไห้ได้ไหม...แค่นี้เท่านั้นที่ฉันขอ”
ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ถึงอนาคตที่ตัวเองต้องเจอ ผมยังคงมั่นใจว่าจะสามารถดูแลอีกคนอย่างที่เพื่อนขอร้อง จึงตอบไปด้วยความมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน
ผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้เป็นอันขาด...
กว่าจะรู้ว่าตัวเองทำลายสัญญานั้นไป...ผมก็ต้องสูญเสียคุณพร้อมกับมิตรภาพที่รักษาไว้มานาหลายปีไปแล้ว
ทั้งที่ได้รับความรักของคุณมาทั้งใจ กลับมาหาผมเถอะนะ ผมขอร้อง
ที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ผมลืมคุณไม่ได้หรอก ผมรู้ดี รู้ว่าคุณดีที่สุด ผมรู้จักคุณดีกว่าใครๆ
วันนั้นผมได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ผู้น่ารัก เธอนั้นแสดงออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากเป็นเพื่อนกับพวกผม จึงไม่ยากเลยที่จะทำความสนิทสนมกับคุณ จนสุดท้ายก็กลายมาเป็นสมาชิกคนที่สี่ของกลุ่ม คุณสนิทและไว้ใจเธอมากๆ กับที่ไว้ใจพวกผมสามคน...ไว้ใจโดยที่ไม่เคยจะรู้ว่าตัวเองจะโดนทำร้าย
ใช่...เพราะความพลั้งเผลอหรือเพราะความตั้งใจของเธอ พวกผมทั้งสองได้แอบคบกันลับหลังคุณ
ทั้งที่เธอเพิ่งตกลงคบกับเพื่อนรักของผมไปแล้ว แม้ว่าจะทำแบบนั้นไปเพราะต้องการให้คุณและผมสบายใจก็เถอะ
ต่อหน้าผมกับเธอก็ยังเป็นเพียงเพื่อนธรรมดา แต่ในช่วงเวลาลับหลังคุณ ผมกับเธอเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ผมพยายาม...ไม่สิ ผมไม่ได้พยายามจะหักห้ามสักนิด ผมคิดถึงแต่ตัวเอง...คิดแค่ว่าแค่แป๊บเดียว
แค่นิดเดียวเท่านั้น แล้วผมจะเลิกยุ่งกับเธอ
ใช่นิดเดียว...ความสัมพันธ์ที่ผมบอกว่านิดเดียวนั้น กลับเป็นเหมือนยาพิษที่ร้ายที่ทำลายทุกอย่าง
คุณได้พบผมในวันหนึ่ง...ภาพที่ผมกับเธอกอดกันในวันนั้นคงประทับอยู่ในความทรงจำของคุณ แต่มันคงเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุด ที่เพื่อนสนิทของตัวเองกับคนรักของตนเองร่วมกันหักหลังได้อย่างหน้าตาเฉย
คุณร้องไห้...ตัดพ้อพร้อมกับวิ่งออกไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจไม่มีวันหาย รวมไปถึงเพื่อนรักของผมที่ตรงดิ่งมาจัดการผมถึงที่ ผมเกือบจะโดนต่อยแล้ว ถ้าหากอีกคนไม่เห็นหญิงสาวที่ยืนข้างผมวันนั้น...
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอของเพื่อนรัก มีแต่ร่องรอยของความไม่เข้าใจทั้งเต็มไปด้วยความโกรธ มือที่กำหมัดแน่นค่อยๆ คลายและลดลงต่ำลงข้างลำตัว...ขาก้าวถอยออกจากพวกผมสองคนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเต็มไปด้วยความเสียใจ ผิดหวัง...
“ถ้ามึงรู้ว่าทำไม่ได้ ทำไมวันนั้นมึงต้องสัญญากับกูวะ”
“กู...ขอโทษ”
“เธอก็เหมือนกัน พวกเราไว้ใจเธอแค่ไหน ทำไมเธอถึงได้ทำแบบนี้กับเพื่อนที่รักเธอกับฉัน...ที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนเธอ” เขาชี้หน้าไปถึงคนที่ยืนร้องไห้เงียบๆ ข้างผม ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับเขา แม้จะเพียงชั่วพริบตาก็ยังไม่กล้า
“เชิญรักกันให้ตายบนความเจ็บปวดของคนอื่นแล้วกัน”
“...”
“ต่อไปนี้ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
วันนั้นเขาจากไปพร้อมกับเหลือทิ้งไว้เพียงความเสียใจและรู้สึกผิดในใจของผม...ไม่เหลือทั้งความรักและมิตรภาพอีกต่อไป
ผม...ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ผมไม่นึกฝันถึงคำว่ารัก จนกระทั่งถึงวันที่เราต้องแยกทาง
และเรารู้ดีว่าทุกอย่าง กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว
เธอหายไปจากชีวิตของผมอีกคน...ได้ยินว่าเธอพบใครอีกคนที่เธออยากจะเริ่มต้นใหม่ ถึงแม้ว่าเรื่องของผมและเธอจะจบไปไม่นาน ซึ่งผมเองก็เข้าใจดี มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ...ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แต่ทำไมกับคุณทำไมความรู้สึกนั้นติดในใจไม่หายสักที
ผมยังคงรัก...ยังคงแอบมองคุณจากมุมหนึ่งของโรงเรียน มองดูใบหน้าเศร้าสร้อยที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นเพราะใครอีกคน...
ทั้งๆ ที่อยากจะกลับไป แต่ขี้ขลาดเกินไป...สุดท้ายก็ได้แต่มองพวกคุณสองคนจากที่ไกลๆ เท่านั้น...
ผม...เอื้อมมือไปไม่ถึงอีกแล้ว
“แม่...ผมไปงานแต่งเพื่อนนะ”
และสุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงที่ไม่ว่าจะพยายามปฏิเสธยังไงก็ไม่พ้น
ผมยังรักคุณไม่เปลี่ยนไป
โกหก คือเรื่องโกหก โกหกทั้งเพ
หากคุณยื่นมือมาให้ผมอีกซักครั้ง ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ผมจะขอรับความปวดร้าวทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่แผลลึกในใจของคุณมาไว้กับตัว
ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ปล่อยคุณไปง่ายๆ
แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณ
“ไม่ได้เจอตั้งนาน หายหน้าไปเลยนะมึงอ่ะ”
“ตั้งแต่เรียนจบทั้งมึงทั้งไอ้บ่าวสาวก็จรลีหนีหาย หน้าเหนอไม่โพล่มาให้เห็นเลยนะ”
ผมอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยอมให้เพื่อนๆ ยีหัวและคุยเล่นหัวอย่างไม่ถือสา ด้วยทั้งคิดถึงสมัยเรียนและส่วนหนึ่งคือไม่รู้จะพูดยังไงดี...ผมยังไม่ได้อยากไปเจอสองคนนั้น
กลัวที่ทั้งสองอาจจะยังโกรธ ส่วนที่กลัวอีกอย่างหนึ่งกลัวทำใจไม่ได้
“ตั้งแต่นายเลิกกัน นี่เหมือนนายเรียบร้อยขึ้นนะ” เพื่อนสาวในชุดหรูหราพูดขึ้นพร้อมกับแววตายิ้มๆ
“ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ”
“คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนแปลงกันบ้าง” ...แต่ก็ต้องมีบ้างอย่างที่ไม่เปลี่ยนไป
“จ้าๆ แล้วเจอสองคนนั้นแล้วหรือยังล่ะ?” ผมส่ายหัวพร้อมกับเสมองไปทางอื่นและก็ต้องเผลอยิ้มออกมาเมื่อหันไปเจอใบหน้าน่ารักที่คุ้นตาข้างๆ ร่างสูงในชุดสูท เธอเหมือนจะสังเกตเห็นว่าผมมองอยู่จึงทักทายด้วยการโบกมือ แต่ไม่ได้เข้ามา...ผมรู้ว่าเพราะอะไร อาจเพราะเจ้าของสายตาเย็นชานั่นก็เป็นได้
“บ่าวสาวมาแล้วโว้ย หล่อจังคร้าบ”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปทักทาย ผมก็ต้องตกใจกับเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆ ...ผมไม่กล้าหันกลับไปยิ่งได้ยินเสียง ยิ่งได้ยินคำอวยพรจากเพื่อนๆ ผมก็ยิ่งกลัว...
“จะไม่หันมาหน่อยเหรอ?”
“ฉันมากกว่าที่ต้องถามเธอว่ายังอยากเห็นหน้าฉันอยู่หรือเปล่า”
เจ้าสาวคนสวยหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปกอดเอวคนตัวสูงที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมหันกลับมาหาเธอ กอดแน่นๆ ซึมซับกลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ที่อีกคนชอบใช้...กลิ่นที่เธอเป็นคนเลือกให้
นับจากวันนั้นก็ราวๆ สิบปีแล้ว...เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ต่อให้ทำร้ายแค่ไหน...แต่การกระทำก็ยังอ่อนโยนกับเธอเหมือนเดิม
“เราไม่โกรธเแล้วนะ...”
“...”
“เลิกหลบหน้าเราได้แล้ว”
“...อืม”
ที่บอกว่าเราจบกัน มันก็แค่เรื่องเหลวไหล
คุณอาจพูดได้ว่า ที่ไม่อยากพบผมอีกเพราะโกรธเคืองผม
ผมไม่มีความมั่นใจอะไรซักอย่าง แต่ก็ยังลบคุณออกจากใจไม่ได้
ที่รัก อย่าไปเลยนะ เรารักกันไม่ใช่เหรอ อย่าไปเลยนะ
คุณคลายอ้อมแขนของตัวเองก่อนจะถอยหลังไปยืนข้างๆ คนตัวสูงที่คอยดูแลตัวเองมาตลอดหลายปีนี้...ผู้ชายที่ใช้ความรักที่มั่นคงคอยประคองจิตใจที่บอบช้ำของคุณเอาไว้ คอยโอบกอด...อดทนจนกระทั่งคุณสามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่ารักเขา ...รักเหลือเกิน
มือของทั้งคู่จับกันเอาไว้แน่น ต่างคนต่างยิ้มและสบตากัน ก่อนจะหันมามองผม ‘เพื่อนรัก’ ที่ยังยืนนิ่งไม่ยอมหันกลับมา แต่พวกเขาก็ไม่ได้เรียก...เพราะรู้
ผมกำลังร้องไห้
ไม่ได้ร้องเพราะต้องสูญเสียคุณ แต่ร้องไห้เพราะสุดท้ายก็ได้สิ่งสำคัญกลับคืนมา...แม้ไม่ใช่ความรักที่เฝ้าคิดถึง แต่คือมิตรภาพที่ยังคงอยู่จากวันนั้น...จนวันนี้
“โอ๋เอ๋ ขี้แยจังเลย เลิกร้องไห้แล้วมาแสดงความยินดีให้พวกเราสองคนได้แล้ว”
“ถ้านายยังไม่หันมาฉันจะใช้กำลังบังคับนะ” เขาพูดเจือแววขันๆ ก่อนที่ผมจะหลุดหัวเราะพร้อมกับหันกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม...
สิ่งที่ผมเห็นก็คือเพื่อนรักของผมทั้งสองคน...กำลังยิ้มให้ผม ยิ้มเหมือนเดิมวันวานที่พวกผมยังเป็นเพื่อนกัน รวมไปถึงมือที่ทั้งคู่มอบให้ราวกับคำให้อภัยที่ไร้เสียงจากทั้งสองคน
แค่นี้...ก็พอแล้วจริงๆ กับคนที่ทำผิดพลาด
ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว...
“ไอ้บ้าเอ๊ย แต่งงานทั้งทีทำไม่เรียกฉันมาใช้งานวะ”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยี้หัวคนตัวเล็กข้างตัว “บอกอยากจะเซอร์ไพรส์นายน่ะสิ เลยไม่ให้ติดต่ออะไรไป”
“แสบนักนะ”
คนน่ารักแลบลิ้นกวนประสาทก่อนจะเปลี่ยนกลับมายิ้ม “ก็...เชิญมาแล้วไง อวยพรสิ ฉันอุตส่าห์รอทั้งวันให้นายอวยพรเราสองคนนะ!”
...
“ขอให้...” ผมหยุดพูดไปก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าของคุณ ...ใบหน้าที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ยังรัก “...มีความสุข ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิอะไรที่จะสั่งนาย แต่ฉันแค่อยากให้นายดูแลกันและกันให้ดีที่สุดได้มั้ย อย่าให้ยัยนั่นร้องไห้ได้ไหม...แค่นี้เท่านั้นที่ฉันขอ ทำได้ไหม ทีม”
ร่างสูงเจ้าของชื่อได้แต่ส่ายหัวด้วยความอ่อนใจก่อนจะเข้าไปกอดผมเหมือนแต่ก่อน
“รู้แล้วเว้ย ฉันทำได้แน่นอน ไม่ต้องให้นายสั่งฉันก็พร้อมจะทำเสมอ”
“...ดีแล้ว อย่าทำผิดพลาดแบบฉันอีก”
“เออน่า อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไปสิวะ มีความสุขได้แล้ว”
ผมยิ้ม...และคิดในใจ
...ถ้าวันนั้นย้อนกลับมาได้ คนที่ยืนอยู่ข้างคุณตอนนี้จะเป็นผมใช่มั้ยนะ?
...ผมจะทำแบบเขาตอนนี้ กอดเพื่อนที่ยังรักแฟนตัวเองแบบนี้มั้ยนะ?
...แต่มันก็แค่ถ้าหาก ผมย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว
และต่อให้ย้อนเวลาผมก็คงทำแบบเดิม...รอยยิ้มของคนที่ผมรักทั้งสองคนมันทำให้ผมรู้สึกดี...ตอนนั้นที่ผมยังคบคุณ เขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ขอบคุณ...ทุกอย่างที่ผ่านมาที่สอนให้ผมรู้ว่าบางทีความผิดพลาดก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
“อื้ม ฉันจะมีความสุข”
โกหก คือเรื่องโกหก โกหกทั้งเพ
“...ฉันจะพยายาม”
อย่าทิ้งผมไปเลยนะ
“ยินดีกับพวกนายทั้งสองคนเลยนะ”
ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ปล่อยคุณไปง่ายๆ
ผมยังรักคุณ
จริงๆ แล้วเป็นตอนพิเศษที่อยากเพิ่มตั้งแต่เรื่องก่อนแล้วค่ะ
ถ้ายังมีคนจำได้เราเคยแทรกเรื่องความรักของทีมแบบเร่งรีบ 55555 เอาไว้ตอนพิเศษช่วงงานแต่งด้วย
สบโอกาสเลยเอาเรื่องราวตรงนั้นมาเขียนเพิ่ม ประจวบเหมาะกับธีมเข้ากับเรื่องพี่สิงห์พอดี คนแห้ว 5555555
คิดถึงทุกคนมากๆ เลย ขอให้มีความสุขกับปีใหม่ไทยที่จะถึงแล้วก็วันสงกรานต์นะคะ :)
NAVY