-
สวัสดีคนอ่านทูกๆคน.....
ทั้งคนที่เพิ่งเคยเข้ามาอ่านงานเขียนของผม... หรือแฟนๆนักอ่านคนเก่าๆ ที่เคยอ่านเรื่องเล่าของผม
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของผมครับ...
ต้องบอกก่อนว่างานผมค่อนข้างยุ่ง ไม่ค่อยได้มีเวลาว่างเหลือมากเท่าไหร่นัก
แต่ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ผมก็จะแบ่งเวลาไว้สำหรับการพิมพ์เรื่องให้ได้อ่านกัน
สำหรับแฟนๆที่รอกันมานาน.......
วันนี้ผมเอามาลงให้แล้วนะ.....
พิมพ์เก็บไว้ในสต็อกได้ไม่เยอะเท่าไหร่
แต่ก็เอามาลงให้ได้อ่านกันซะก่อน....
กลัวว่าคนอ่านจะรอจนเบื่อ.. แล้วหนีหายกันไปซะก่อน
ถ้าได้เข้ามาอ่านกัน ก็รบกวนรายงานตัวด้วยนะครับ.....
ดีไม่ดีอย่างไร... ติชมกันได้เต็มที่ครับ
ผมยินดีปรับปรุงทุกข้อผิดพลาด......
อ่านกันได้เลยครับ.....
-
ความมหัศจรรย์ของความรู้สึก
คนสองคนนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดียวกัน
หน้าปัดนาฬิกาของคนทั้งคู่บอกเวลา 22.15
หน้าจอมือถือของคนทั้งคู่บอกวันที่ 16 สิงหาคม 2551
แน่นอน...
ทั้งคู่นั่งอยู่ภายในป้ายรถเมล์ป้ายเดียวกัน ในวันและเวลาเดียวกัน
และทั้งคู่ก็นั่งอยู่ข้างกัน....
คุณรู้ไหม???
ความมหัศจรรย์ของความรู้สึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร.......
คนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน.....
คนนึงกำลังร้องไห้เพราะสูญเสียคนที่รัก
แต่อีกคนกำลังยิ้มอิ่มเอมใจเพราะการได้รับรักตอบ......
*********************************
ใครคนนึงใช้ชีวิตอยู่ไกลถึงซีกโลกตะวันตก
คนอีกคนใช้ชีวิตอยู่ทางซีกโลกตะวันออก
ระยะห่างของคนทั้งคู่..... ไกลเกินกว่าจะพบเจอกันง่ายๆ
แต่ทำไมใจของคนทั้งคู่ถึงส่งให้กันได้ตลอด
ความมหัศจรรย์ของความรู้สึกได้เกิดขึ้นอีกแล้ว........
**********************************
ความรู้สึกของคนเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกสิ่งหนึ่งบนโลก
บางครั้งแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้เลย
ความรู้สึกของคนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแปลงปลอมได้
หรือหากคุณจะแปลงปลอม...
นั่นมันก็คือ การทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง
เพราะคนเราก็ไม่สามารถกำหนดความรู้สึกของตัวเองได้
ความรู้สึกที่คนสองคนมีให้กัน...
ไม่ว่าจะด้วยในความสัมพันธ์ไหนๆ
ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ระยะทาง หรือความห่างไกลของคนสองคน
หากอยู่ไกล.. แต่ใจส่งถึงกัน.....
ระยะห่างของความรู้สึกของคนทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม...
หรือบางทีความรู้สึกของคนทั้งคู่อาจจะกำลังกอดกันอยู่ก็ได้
หรือ.......
คนสองคนอยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ... หรืออาจจะกำลังกอดกัน
แต่ภายในใจของคนทั้งคู่ไม่ได้ส่งถึงกัน
ก็เสมือน... ตัวอยู่ใกล้ ... แต่ใจอยู่ไกลกันจนหากันไม่เจอ.....
ระยะห่างของความรู้สึกของคนทั้งคู่.....
คงห่างกันเกินไปที่เค้าทั้งคู่จะรักกันได้
***************************************
คุณลองถามตัวเองอีกสักครั้ง..........
คนที่คุณรัก.... ไม่ว่าตัวเค้าจะอยู่ไกล... หรืออยู่ใกล้กับคุณแค่เอื้อม
ความรู้สึกของคุณกับเค้ามีระยะห่างกันแค่ไหน???
และมันห่างกันเกินกว่าที่คุณสองคนจะรักกันรึป่าว ?
" ระยะห่างของความรู้สึก "
Ostrich
16 สิงหาคม 2551
-
:m4: :m4: :m4: คนแรก :m4: :m4:
-
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
กรกฎาคม 1 ( -_-)*……
“ ครื้นนนน.......................... เปรี้ยงงงงง...................................... ”
“ หน้าฝนนี่มันน่าเบื่อจริงๆเว้ย.... ฝนแม่งก็ตกอยู่ได้ทุกวัน ”
เสียงฟ้าร้องและเสียงโวยวายของใครบางคนดังมาไล่เลี่ยกันจนทำให้ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของผมครับ มันเป็นวันที่ผมตื่นเต้นที่สุดในชีวิตอีกวันนึงก็ว่าได้
เพราะมันเป็นวันที่เราได้เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในชีวิตอีกครั้งนึงหลังจากที่ผมเรียนจบมหาลัย
จากวันนี้ไปผมจะได้เจอคนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ และชีวิตใหม่ๆ....
เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ... คงเพราะความรู้สึกแย่ๆที่มันก่อตัวขึ้นอยู่ภายในใจผสมกับความตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้น กว่าจะหลับได้ก็ดึกเต็มที เกือบจะตื่นไม่ทันแล้วล่ะสิ
ดีนะ... ที่เสียงฟ้าร้องมันดังมากจนทำให้ผมสะดุ้งตื่น.....
อ้อ... คงเป็นเสียงโวยวายๆนั่นด้วย เลยทำให้ผมตื่นอย่างเต็มตา
เพราะเสียงนั้นมันดังมาจากด้านหลังห้องผมนี่แหละ...
หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมก็หางานทำโดยเริ่มจากการสมัครไปที่เอเจนซี่โฆษณาที่นึงซึ่งเป็นที่ที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเรียนว่าอยากทำงานที่นี่มากๆ เพราะเป็นเอเจนซี่โฆษณาที่ค่อนข้างมีชื่อ
ลืมบอกไปว่า..... ผมเรียนจบสายโฆษณามาครับ
วันที่ผมไปสัมภาษณ์งาน ผมตื่นเต้นมากครับ
แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี คงเพราะผมเตรียมตัวมาดีด้วย
ผมเอาแฟ้มรวบรวมผลงานที่ผมเคยทำมารวมทั้งงานใหม่ๆที่ผมคิดและรวบรวมมันไว้มาให้เค้าดู
ก็ถือว่าโชคดีครับ... เพราะผมได้งานทำเลยหลังจากไปสัมภาษณ์
และมันก็เป็นงานที่บ่งบอกความเป็นตัวผมได้ดีที่สุด....... ART DIRECTOR
หรือจะเรียกให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆก็คือ ครีเอทีฟโฆษณา
******************************************
หลังจากที่ผมตื่นนอนผมก็เดินไปที่ระเบียง เอามือยืนออกไปสัมผัสกับเม็ดฝนที่มันกำลังหล่นลงมาจากฟ้าอย่างไม่คิดจะหยุด
แค่เม็ดฝนเม็ดเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผมรู้สึกสดชื่นได้มากขนาดนี้
คงเพราะ.. แม้ฝนแต่ละเม็ดจะเล็กแต่มันก็มีอยู่อย่างมหาศาล.... ต่างก็หล่นลงมาจากฟ้ามากมายจนนับไม่ถ้วน
ไอ้สิ่งเล็กๆนี่แหละ.... ที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้....
ผมชอบฤดูฝนครับ เพราะฤดูฝนเป็นฤดูที่ทำให้ผมรู้สึกชุ่มฉ่ำ
คงเพราะภายในใจของผมมันแห้งเหี่ยวเต็มที แต่ก็ได้ความชุ่มฉ่ำจากฝนนี่แหละที่มันทำให้ความเหี่ยวแห้งภายในใจผมมันลดน้อยลงไปบ้าง
ผมชอบนอนฟังเสียงฝนตก อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ผมเหงาและมันก็ยังทำให้ผมมีหวัง
ฟ้าหลังฝนไงคับ... ที่ผมรอคอย
ถึงแม้ว่าผมก็ไม่รู้ว่าฟ้าหลังฝนของผมมันจะสวยงามเหมือนของคนอื่นๆรึเปล่า
แต่มันก็คงยังดี เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยการมีความหวัง
และผมก็เช่นกัน.....
จากวันนี้ ผมจะเข้มแข็งให้มากกว่าเดิม
ผมคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว... เพราะใจผมมันให้พี่โฟนไปเสียหมดแล้ว
พื้นที่ในใจผมไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครอีก....
ผมคิดอะไรเพลินๆพร้อมกับยื่นมือสัมผัสเม็ดฝนอยู่ที่ระเบียงเพื่อปลุกความสดชื่นในตัวให้ตื่นขึ้นมา
แล้วผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากให้ห้องที่มันอยู่ตรงข้ามกับระเบียงห้องผมดังออกมาอีก
“ ฮัลโหลๆ... เฮ้ยได้ยินยัง!!!.... เออเมิง... วันนี้กูไปสายหน่อยนะ พอดีเพิ่งตื่นว่ะ.... ”
“ ฝนแม่งก็เสือกตกอยู่ได้ทุกวัน... รถคงติดเฮี้ยๆว่ะเมิง... กูคงเข้าสายหน่อย ”
“ กูจะรีบไปแล้วกัน... ”
“ เออ... มาแล้วเมิงก็พาเข้ามาหากูได้เลย ”
“ โอเค.. แค่นี้ๆ ”
ไอ้ห้องที่ระเบียงมันอยู่ตรงข้ามกับห้องผมเนี่ยเป็นคอนโดครับ ท่าทางจะแพงหลายตังค์ ผมไม่มีปัญญาอยู่หรอก
ส่วนห้องผมเป็นแค่อพาร์ทเม้นธรรมดาๆ แต่ก็นับว่าโอเคอยู่เพราะห้องก็กว้างพอสมควร
ประกอบกับมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมในตัว.... แค่นี้ก็หรูแล้วสำหรับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งทำงานมีเงินเดือนอย่างผม แต่ที่มันไม่ค่อยโอเคก็คือระเบียงห้องที่แหละ เพราะมันอยู่ใกล้กับระเบียงคอนโดห้องตรงข้ามมากเหลือเกิน แถมยังอยู่ในระดับเดียวกันอีก ยิ่งทำให้ความเป็นส่วนตัวมันถูกตัดทอนลงไป
หลังจากยืนชิวอยู่สักพักนึงผมก็เข้ามาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวสำหรับการไปทำงานวันแรก
พอออกมาจากห้องน้ำ สายตาผมมันก็มองไปที่รูปถ่ายของพี่โฟนที่ผมแปะเอาไว้แบบสะเปะสะปะเอาไว้ที่ข้างฝาห้องตรงโต๊ะทำงาน
ผ่านมาแล้วกว่าเจ็ดเดือน...
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าพี่โฟนไม่ได้ไปไหน เหมือนว่าเรายังอยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อน
ภาพทุกภาพระหว่างเรายังอยู่ในความทรงจำของผม
มันยังคงชัดเจนเสมอทุกครั้งที่ผมกลับไปนึกถึงมัน
“ พี่โฟนครับ... ผมรักพี่นะครับ... ” ผมพูดกับตัวเองแบบนี้ทุกคืน
แม้ว่ามันอาจจะสายเกินไปที่ผมพูดคำนี้
แต่ผมก็มีความหวังอยู่เล็กๆเสมอว่า….. พี่โฟนจะได้ยินเสียงของผม
ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน... แต่พี่ก็ได้ยินเสียงของผมใช่มั้ยครับ???
หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงมาที่หน้าอพาร์ทเม้นเพื่อจะไปทำงาน
ตอนนั้นฝนยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ถ้าเดินไปขึ้นบีทีเอสที่อยู่ถัดไปประมาณสองป้ายรถเมล์ผมคงต้องเปียกโชกทั้งตัวแน่ๆ ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะนั่งแท็กซี่ไป
ผมยืนรอแท็กซี่อยู่สักพัก พอเห็นว่ามีแท็กซี่มาผมก็เลยเดินออกมาจากชายคาตึกเพื่อจะโบกแท็กซี่
แต่แล้วในตอนนั้นไอ้รถบีเอ็มที่มันวิ่งอยู่หน้าแท็กซี่คันที่ผมกำลังจะโบกมันวิ่งมาค่อนข้างเร็ว
ทำให้ล้อมันกระแทกกับหลุมตรงถนนที่มีน้ำเจิ่งนองอยู่ ทำให้น้ำกระเด็นมาโดนผมแบบเต็มๆ
ทั้งเสื้อยืดทั้งกางเกงยีนส์ตัวโปรดของผมเปียกไปหมด แถมยังเป็นคราบด้วยเพราะน้ำมันโสสุดๆ
คงนึกภาพออกกันนะครับว่าไอ้น้ำที่มันนองอยู่บนถนนเนี่ย.. มันโสขนาดไหน
แค่เวลาเดินยังไม่อยากจะเหยียบเล๊ย....... แต่นี่.. ไอ้น้ำโสๆนั่นมันเปอระเสื้อผ้าผมไปหมด
ผมโมโหสุดๆอ่ะ... หันไปมองไอ้คนขับก็ไม่เห็นหน้ามัน เพราะรถมันติดฟิล์มซะมืดเชียว
จำได้ก็แค่ป้ายทะเบียน....
“ อย่าให้กูเจอตัวเมิงนะ... กูเอาเรื่องเมิงแน่ๆ.... ”
ผมมองดูสภาพตัวเองแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด คนที่ยืนอยู่แถวๆนั้นก็มองผมด้วยความสมเพชเวทนา
บางคนก็ขำกันอย่างไม่คิดจะเกรงใจผมบ้างเลย
ผมก็เลยรีบเดินกลับขึ้นห้องด้วยความเซ็งกับความซวยที่ตัวเองเพิ่งจะได้เจอ
ซวยตั้งแต่เช้าเลยวันนี้... แล้วจะมีอะไรเจี้ยๆ... เกิดกับกรูอีกมั้ยเนี่ย........
ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร็ว.....
ผมมีเวลาเดินทางเหลือแค่ครึ่งชั่วโมงอ่ะ... กังวลสุดๆเพราะผมไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรก
เฮ้อออออออ... เซ็ง โมโหไอ้เจี้ยนั่นด้วย... เจือกขับรถไม่สนใจคนอื่นเล๊ย....
แม่งเจี้ยจริงๆ.... คิดว่ารวยรึไง... ขับรถเจี้ยๆแบบนี้ แม่งไม่สนใจคนธรรมดาเดินถนนเลยรึไงก็ไม่รู้
รวมๆแล้ว... ไอ้นั่นแม่งเจี้ย.....
สรุปแล้ววันแรกของการทำงาน ผมมาสายไปเกือบชั่วโมงเพราะรถติดสุดๆ ฝนก็ตกยังกับฟ้ารั่ว
ผมเดินทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปในออฟฟิตและพยายามมองหาพี่บอส
“ สวัสดีคับพี่บอส ” ผมเดินเข้าไปทักทายพี่บอส
พี่บอสเป็นคนที่สัมภาษณ์ผมเองครับแล้วแกก็เป็นหัวหน้าทีมผมด้วย
พี่บอสแกนิสัยดีมากคับ แกอายุมากกว่าผม 5 ปีเองก็เลยคุยกันได้ไม่ยากนัก
“ สายตั้งแต่วันแรกเลยนะ.... ” พี่บอสพูดด้วยท่าทางที่ไม่ได้ซีเรียสเท่าไหร่
“ คับ... พอดีมีปัญหานิดหน่อยนะคับพี่ เลยมาสาย ” ผมพูดด้วยท่าทีเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรหรอก... จริงๆพอทำงานที่นี่ไปได้สักพัก จะเข้าไม่เข้าออฟฟิตที่นี่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอกถ้างานเสร็จตามเวลา ” พี่บอสพูด
“ คับ ” ผมพูด
“ ไป... พี่จะพาไปที่โต๊ะ แล้วเดี๋ยวจะได้พาไปแนะนำกับคนอื่นๆด้วย ”
พี่บอสพูดแล้วก็พาผมไปที่โต๊ะทำงานของผมที่เค้าจัดไว้ให้
จากนั้นพี่บอสก็พาผมไปพบกับเจ้าของบริษัท
“ เฮ้ย... ยุ่งอยู่ป่าวว้ะ? ” พี่บอสพูดหลังจากที่พาผมเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบริษัท
“ อ้าว... เด็กใหม่เมิงมาแล้วเหรอ? ” คนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของบริษัทพูดทักทายกลับมา
ผมมองเค้าเต็มๆตาก็ตกใจเล็กน้อย เพราะเค้ายังหนุ่มอยู่เลยและดูท่าจะเป็นเพื่อนกับพี่บอสด้วย
เพราะสองคนนี้ท่าทางสนิทกันมาก
“ นั่งเลยน้อง ” เจ้าของบริษัทพูดพร้อมกับผายมือไปที่เก้าอี้ให้ผมนั่งลงข้างๆพี่บอส
“ คับ... ” ผมพูดแล้วก็ลงนั่ง
“ ฟรอย... นี่พี่ฉิน เป็นเจ้าของบริษัท ” พี่บอสพูดแนะนำ
“ เจี้ย... เมิงก็พูดซะเวอร์... นี่มันบริษัทพ่อกูเว้ย ไม่มีตังค์กูสักบาท ” พี่ฉินพูดกับพี่บอส
“ ครับ... ผม.. ฟรอย.. ครับ ” ผมพูดด้วยท่าทางเกร็งๆ
“ เฮ้ย... ไม่ต้องเกร็ง สบายๆ... ที่นี่ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ” พี่ฉินพูด
“ เจ็งดีหนิ... หน่วยก้านดี เคยได้รางวัลมาด้วยหนิ ”
พี่ฉินพูดพร้อมกับหยิบแฟ้มผลงานของผมมาเปิดดู
“ ครับ ” ผมพูดด้วยท่าทางถ่อมตัว
“ อยู่ที่นี่ก็สบายๆนะ... แต่ขอให้งานเจ็งอย่างเดียวก็พอ ” พี่ฉินพูด
“ เมิงพูดแบบนั้นน้องก็ยิ่งเกร็งกันพอดี ” พี่บอสพูด
“ ก็มันจริงนี่หว่า.... ” พี่ฉินพูด
“ เออๆ งั้นกูออกไปเคลียร์งานก่อนนะ... ” พี่บอสพูดแล้วก็เดินออกไปทิ้งผมไว้กับพี่ฉิน
“ เออ.... ส่วน.. นาย... ก็เต็มที่แล้วกัน ปกติผมไม่ค่อยรับเด็กจบใหม่เท่าไหร่ บริษัทผมเป็นไงคุณก็น่าจะรู้ดี ”
พี่ฉินพูด ใช่ครับผมรู้... ว่าบริษัทนี้มีชื่อเสียงอยู่มากทีเดียว ติดท็อปเท็นของเอเจนซี่โฆษณาในเมืองไทยด้วย
เอเจนซี่นี้ พ่อพี่ฉินเป็นคนสร้างมันขึ้นมาครับ
จากเป็นเอเจนซี่เล็กๆโนเนมจนกลายมาเป็นเอเจนซี่ใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับจากในประเทศและต่างประเทศ
เพราะผลงานของที่นี่คว้ามาหลายรางวัลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับโลก
และพ่อพี่ฉินก็เพิ่งให้พี่ฉินเข้ามาดูแลบริษัทอย่างเต็มตัว แต่ท่านก็ยังคงไม่ทิ้งไปซะทีเดียว
เพราะท่านก็ยังคอยดูแลและเป็นที่ปรึกษาของพี่ฉินอยู่
“ ครับ... ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ ” ผมพูด
“ ไม่ใช่จะทำ... แต่นายต้องทำให้ดีที่สุดต่างหาก สิ่งที่คุณสมควรจะรู้ก็คือเวลาเรียนกับเวลาที่ทำงานจริงหนะมันต่างกัน เพราะแบบนี้แหละผมถึงไม่ค่อยอยากรับเด็กจบใหม่ แต่นายดูท่าหน่วยก้านดี แล้วไอ้บอสมันก็พอใจ ก็เลยตกลงรับนายเข้ามา ” พี่ฉินพูด
“ ครับ... ผมจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังครับ ” ผมพูด
“ ก็หวังว่านายจะทำได้.. ” พี่ฉินพูด
“ ครับ ” ผมพูด
“ เห็นไอ้บอสบอกว่านายเป็นเกย์เหรอ? ” พี่ฉินถามขึ้นมาหน้านิ่งๆ ผมก็ไม่ได้เป็นคนมีความลับอะไรมากมายแต่ก็ไม่ถึงป่าวประกาศให้ใครรู้ว่าผมเป็นเกย์
“ ครับ ” ผมพูด
“ เปิดเผยแบบนี้ไม่อายใครเค้ารึไง? ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางสงสัย
“ ก็ไม่นี่ครับ เพราะผมก็ไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ ผมบอกแต่คนที่ผมควรจะบอกก็เท่านั้น อีกอย่างผมเป็นเกย์นะครับ.... ไม่ใช่เป็นฆาตรกรฆ่าคนตายถึงต้องไปอายใครหรือทำตัวหลบๆซ่อนๆ ”
ผมพูดไปตามที่ผมคิด
“ ผมไม่เข้าใจเลยนะว่าทำไมเดี๋ยวนี้เกย์มันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เป็นผู้ชายนี่มันไม่ดีนักรึไง?”
พี่ฉินพูดคล้ายจะเป็นการบ่นกลายๆ
“ เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ” ผมพูด
“ ผมบอกตามตรงนะว่าผมไม่ค่อยจะชอบพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ... อย่าให้มันทำให้งานเสียก็แล้วกัน ระหว่างคุณกับผมก็คงทำงานด้วยกันได้ไม่มีปัญหานะ เพราะผมก็เป็นมืออาชีพพอ แล้วที่นี่เค้าก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้ว ” พี่ฉินพูด
ผมฟังแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ว่าทำไมเค้าต้องมาตั้งแง่กับผมด้วย ถึงเค้าอาจจะไม่ชอบเกย์คงเพราะเคยเจอแบบที่ไม่ดีมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกย์จะไม่ดีเสียทุกคนไปสักหน่อย
“ ครับ... คนเราก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไปแหละครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเพศจะเป็นตัวบอกว่าคนเราดีหรือไม่ดีด้วย ” ผมพูดแบบมีอารมณ์ไม่พอใจปนอยู่บ้าง
“ นายก็พิสูจน์ให้ดูสิ ” พี่ฉินพูดอย่างท้าทาย
“ ก็คอยดูสิครับ ” ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ นายท้าเหรอ.... ก็เอาสิ.. อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นไง ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางนึกสนุก
ภายในแววตานั้นของพี่ฉินมันเจือไปด้วยความน่ากลัวเล็กๆที่ผมก็อดใจสั่นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่ได้
หลังจากจบบทสนทนา พี่ฉินก็พาผมมาที่พี่บอส
“ เดี๋ยวเมิงก็พาน้องค้าไปแนะนำด้วยแล้วกัน เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงนึงจะได้ประชุมเรื่องงานตัวใหม่กัน เพราะลูกค้าจะเข้ามาบรีฟงานกับทางเรา ” พี่ฉินพูดกับพี่บอส
“ โอเค.. ได้ ” พี่บอสพูด จากนั้นพี่ฉินก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
หลังจากนั้นพี่บอสก็พาผมไปแนะนำกับแผนกต่างๆในเอเจนซี่
ซึ่งเยอะจนผมจำใครไม่ได้สักคน มันตีกันไปหมด
แล้วพี่บอสก็เริ่มขอไอเดียผม แล้วก็โยนงานมาให้ผมคิด
ซึ่งก็เป็นงานตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเริ่มวันที่ผมเข้ามาทำงานนี่แหละครับ
***********************************************************
ประเดิมไปก่อนสำหรับตอนแรก....
ของซาวเสียงคนอ่านกันก่อน..
ว่าเป็นไงกันบ้าง
แล้วจะแอบเอามาลงอีกนะครับ... :m23:
-
มาให้กำลังใจกรกับเรื่องใหม่น้า
:L2: :L2: :กอด1: :กอด1:
-
^^
^^
จิ้มอ้อ
มาให้กำลังใจเรื่องใหม่จ้า :L2: :L2:
-
น้องใหม่รายงานตัวครับ :o8:
อิอิ ได้อ่านเรื่องใหม่เย้ :oni2: สู้ๆนะค้าบ
ปล.เรื่องนี้โดนตั้งกะชื่อจิงๆคับ o13
-
มาต้อนรับเรื่องใหม่ :mc4: :mc4:
-
:oni2: นิยายใหม่ใสกิ๊ก
-
:mc4: มาร่วมฉลองเรื่องใหม่ด้วยนะ น้องกร
ถ้าอ่านเรื่องนี้ไปนานๆ แล้วมันจะบีบคั้นอารมณ์เราอีกไม๊เนี่ยะ o2
นิดหน่อยก็พอไหว แต่ถ้ามากไปละก็.....ไม่พ้นต้อง o7 :o12: อีกแน่เลยตรู
:pig4:ขอบคุณครับ :กอด1:ขอกอดทีนึงดิ ฮ่า ฮ่า
***มีความสุขทุกวันนะคร้าบน้องกร
-
:m4:
:L2: :L2: :L2:
-
มาจิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม รายงานตัวววววววววว
เย้ๆๆๆๆมาเขียนแล้ววววววววว
เข้าใจว่างานยุ่งงง อย่าหักโหมมน้า อิอิ :L2:
-
:mc4: :mc4: :mc4: มาฉลองเรืองใหม่ให้ กร ( ปอคนสวย )
ดีใจจัง นึกว่าจะไม่มาเขียนเรื่องใหม่ให้อ่านซะแล้ว :L2:+1 ให้เป็นกำลังใจ
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ ระวังสุขภาพด้วย คนดี :L2: :bye2:
-
ชอบตั้งแต่การออกแบบชื่อกระทู้ครับ ให้ความรู้สึกของ"ระยะห่าง"ได้ดีมาก ๆ แล้วก็บทนำที่น่าสนใจ คนที่อยู่ในกาลอวกาศเดียวกันทำไมถึงแตกต่างกัน เป็นการเน้นและเกริ่นนำที่น่าสนใจดีครับ ถามีเวลาผมจะกลับมาอ่านเนื้อเรื่องอีก แต่ตอนนี้ขอตัวไปเล่นเกมก่อน ฮ่าๆๆๆ
-
มาแว้ววววววววววววววววววววววว
-
มาอ่านด้วยคนครับ
:a4: :a4:
-
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆน้า :L2:
-
เป็นกำลังใจให้นะครับ
:m4:
-
โย่ว รอ คนขับบีเอ็ม ออกตัว
งานนี้มีฉะ แน่ๆ 555
-
ยินดีกับเรื่องใหม่ของคุณกรด้วยนะคะ
:L2:
-
........มาต้อนรับเรื่องใหม่ครับ...... :mc4: :mc4:
-
รู้สึกดีที่ได้อ่านเรื่องใหม่ซ๊าที o13
-
มาต่อเรื่องให้แล้วครับ.....
โทษที่นะครับที่หายไปนานเลย... คนอ่านยังตามอ่านกันอยู่มั๊ยเนี่ย...
ช่วงนี้งานเยอะมากเลยครับ...
ไม่ใช่แค่ช่วงนี้สิ... เพราะงานมันเยอะตลอดนั่นแหละ....
แต่ผมพิมพ์เก็บสต๊อกไว้บ้างแล้วหละครับ....
ส่วนเรื่องตอบคอมเม้นคงต้องขอผลัดไปก่อนนะ...
เพราะยังไม่มีเวลาเลย แต่ยังไงผมก็อ่านทุกเม้นอยู่แล้วครับ...
ขอบคุณนะครับที่เข้ามาอ่านเรื่องของผมกัน
ทั้งคนอ่านหน้าเก่าและหน้าใหม่เลย....
ที่แวะเวียนมาให้กำลังใจกัน...
ขอบคุณมาก... มาก... มาก.... มาก.... มาก.... ม่าก.... ม้าก... ม๊าก... ม๋าก.....
ค๊าบ .............................................
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
กรกฎาคม 1 ( -_-) ……
วันนี้เป็นวันที่ผมตื่นสายครับ ปกติผมไม่ใช่คนตื่นสายเลย ถึงแม้เวลาที่ผมไปเที่ยวกลับมาดึกๆ
แต่ผมก็ไม่เคยตื่นสาย แต่วันนี้ผมดันมาตื่นสายซะได้
เพราะไอ้คนที่ย้ายมาอยู่ใหม่นั่นแหละ ระเบียงห้องมันกับห้องผมก็ดันมาอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน
เมื่อคืนไม่รู้ว่ามันเป็นบ้าอะไรของมัน ไฟในห้องก็ไม่เปิด มีแค่ไฟสลัวๆมาจากในห้องสงสัยคงจะเป็นโคมไฟ
ส่วนตัวมันเองก็ยื่นนิ่งอยู่ที่ระเบียง
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีคนยืนอยู่ เพราะห้องผมก็ปิดไฟจนหมดแล้ว
แต่มันเอามือขึ้นมาลูบที่หน้ามันผมถึงรู้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงที่ระเบียงนั่นด้วย
ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากเพราะว่าง่วงเต็มที
แต่สักพักนี่สิ... ไอ้นั่นมันดันร้องไห้ เสียงสะอื้นมันดังเข้ามาในห้องผมจนผมนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน ผมตั้งข้อสงสัยว่ามันคงจะเลิกกะแฟนมันชัวร์ๆ
ถึงได้มายืนร้องไห้ดึกๆดื่นๆแบบนี้ จริงๆแล้วผมก็ไม่ชอบยุ่งวุ่นวายเรื่องของคนอื่นหรอก
แต่ครั้งนี้นี่มันอดไม่ได้จริงๆ ก็มันดันมายืนร้องไห้รบกวนการนอนของผมซะนี่
กะว่าจะออกไปพูดกับมันซะหน่อยว่าให้เกรงใจกันบ้าง
แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียง มันก็เดินกลับเข้าห้องมันไปซะแล้ว
ดีเหมือนกันผมจะได้นอนซะที....
นอนไปได้สักพักฝนก็ตก
ผมละเกลียดฤดูฝนจริงๆ หน้าฝนทำให้ผมรู้สึกเฉอะแฉะ
และที่สำคัญ... นี่เป็นความลับสุดยอดของผมเลย
ผมเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องครับ..
เหตุผลนี้แหละที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมเป็นคนเกลียดเสียงฤดูฝน
ด้วยความรีบเพราะตื่นสาย ตอนที่ผมขับรถมาทำงานผมก็เลยขับรถเร็วหน่อยเพราะจะไม่ทันไฟเขียวอยู่แล้ว
ช่วงที่รถตกหลุมเลยทำให้น้ำบนถนนกระเด็นไปโดนคนที่ยืนรอรถตรงนั้นพอดี
จริงๆผมก็อยากจะลงไปขอโทษนะแต่มันรีบจริงๆ
ผมก็ได้แต่ขอโทษเค้าไปในใจ....
***************************************
เช้านี้ไอ้บอสพาเด็กใหม่มาทำความรู้จักด้วยครับ
ดูจากแฟ้มผลงานแล้วก็รายละเอียดต่างๆแล้วถือว่าดีทีเดียวครับ
ฝีมือไม่ธรรมดาเลย แต่ผมก็ยังห่วงอยู่บ้างเพราะว่ามันเป็นเด็กจบใหม่
แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจมากในตัวน้องคนนี้ ก็คือ... มันยอมรับว่ามันเป็นเกย์ครับ
ปกติที่ผมเห็นๆมา ส่วนใหญ่เค้าก็ไม่ค่อยเปิดตัวกันนี่ครับ
แต่ไอ้นี่มาแปลก...
พวกเกย์นี่... ผมก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอกครับ
แต่จริงๆก็ไม่ถึงกลับเกลียดครับ.. แต่ก็ไม่เชิง...
ยังไงดีล่ะ... คือผมก็ไม่ได้ขนาดว่ามองเค้าไม่ดี แต่ผมเพียงแค่คิดว่าเค้าสร้างมาให้เป็นผู้ชายคู่กับผู้หญิงดีๆ
ไม่ชอบกันรึไง ถึงต้องหันไปเอาผู้ชายด้วยกันเอง
อีกอย่างผู้หญิงก็ใช่ว่าจะมีน้อยเสียเมื่อไหร่....
แล้วก็มีเพื่อนผมคนนึงครับ.... เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย
แต่จู่ๆมันดันมาบอกชอบผมซะงั้น..
ผมก็เลยเลิกคบกับมันไปเลย... เพราะผมรู้สึกเหมือนว่าผมถูกมันหลอกมาตลอด
ผมละเกลียดจริงๆไอ้พวกโกหกเนี่ย.....
แถมมันดันเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดด้วยสิ
แต่พอมาเจอฟรอย...
มันดันมาบอกกันโต้งๆแบบนี้ว่ามันเป็นเกย์ ผมก็เลยงงอ่ะดิ
ภายนอกมันก็เป็นเหมือนผู้ชายทั่วๆไป หน้าตามันก็ดีซะด้วยสิ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นเกย์
ท่าทางผมยังจะดูสำอางกว่ามันซะอีกมั้ง
ผมยอมรับว่าฟรอยเป็นคนน่าสนใจ
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดกันไปนะครับ... ผมยังไม่ได้เบี่ยงเบนไปเอาผู้ชายด้วยกันหรอกนะ
ผมแค่จะบอกว่า...
การที่เราได้มาเจอคนที่ต่างกับเรามากๆทั้งในเรื่องของความคิดหรือเรื่องของความรู้สึก...
มันก็ทำให้คนคนนั้นเป็นคนที่น่าสนใจสำหรับได้ไม่ยากไม่ใช่เหรอครับ
ส่วนไอ้เรื่องนิสัยที่เหมือนกันก็พอมีอยู่บ้างครับ....
ก็ไอ้นิสัยกล้าบ้าบิ่น... ชอบท้าทายคนอื่นไง...
ที่ผมกับฟรอยมีคล้ายๆกัน.............
นี่ขนาดมาวันแรกก็ท้าทายกับผมซะแล้ว....
ไม่รู้ว่ามันลืมไปรึป่าว?????
ว่าผมเป็นเจ้านายมัน.....
แต่ก็ดีครับ... มีไรให้สนุกให้ลุ้นดี
อย่างนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย......
ทำมาเป็นเก่งดีนัก....
************************************************
เนื่องจากวันนี้มีโปรเจ็คใหม่พอดีครับ ทีมครีเอทีฟคนอื่นก็งานล้นมือกันหมด
ผมกับบอสก็เลยคุยกันว่าจะป้อนงานนี้ให้ฟรอยเป็นคนรับผิดชอบ
แต่ก็ให้ไอ้บอสคอยดูอยู่ด้วย เพราะยังไม่อยากปล่อยซะทีเดียว
กว่าลูกค้าจะบรีฟงานเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองแล้ว หิวจะแย่
ก็เลยรีบลงไปกินข้าวกันแล้วก็ลากไอ้เด็กใหม่ไปด้วยถือซะว่าเลี้ยงต้อนรับก็แล้วกัน
“ กินเต็มที่เลยนะ.. อยากได้อะไรสั่งเลย... ถือซะว่าเลี้ยงต้อนรับ ” ผมพูดกับฟรอย
“ ครับ ” ไอ้เด็กใหม่พูด
“ ตกลงวันนี้พิ้งจะมากินด้วยกันป่ะเนี่ย? ” ไอ้บอสถาม
“ มาดิ... คงกำลังมา เห็นบอกว่าออกไปพบลูกค้า” ผมพูด
“ อ่อ.. มานั่นแล้วไง... ” ไอ้บอสพูดพร้อมกับพยักเพยิดไปทางพิ้งที่กำลังเดินเข้ามา
พิ้งเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนครับ สมัยเรียนกลุ่มผมมีกันอยู่ห้าคนครับ
พอเรียนจบไอ้บอสกับพิ้งก็มาทำงานอยู่ที่บริษัทพ่อผมนี่แหละ
ส่วนอีกสองคนที่เหลือไปต่อโทที่อังกฤษครับ
“ รอนานมั้ย... โทษทีนะที่มาสาย ” พิ้งพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มที่หนุ่มๆเห็นแล้วต้องอดที่จะละสายตา
ออกจากเธอไม่ได้ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ ไม่เป็นไร.. นี่ก็เพิ่งมากันเอง ” ไอ้บอสพูด
“ นี่บริษัทฉินใช้งานพิ้งหนักไปรึป่าว ? ” ผมพูด
“ ไม่หรอกจ้า... ทำงานมันก็หนักทั้งนั้นแหละ คิดอะไรมาก ” พิ้งพูด
“ หนักเกินไปก็บอกกันนะ.. ” ผมพูด
“ จร้า... ” พิ้งพูดพร้อมกับยิ้มตามสไตล์ของเธอ
“ กินไรสั่งเลย.. อ่ะนี่ ” ผมพูดพร้อมกับยื่นเมนูอาหารให้พิ้ง
“ จร้า... แล้วนี่พาหนุ่มที่ไหนมาด้วยเนี่ย ? ” พิ้งรับเมนูไปพร้อมกับถามขึ้นมา
“ เด็กใหม่หนะ... เพิ่งมาทำงานวันนี้เป็นวันแรก... จริงๆต้องถามไอ้บอสโน่น.. เด็กปั้นมัน ”
ผมพูดและพยักเพยิดหน้าไปทางไอ้บอสที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ น้องเค้าชื่อฟรอย.. บอสเห็นว่าหน่วยก้านดีเลยรับเข้ามาทำงาน ” ไอ้บอสพูด
“ฝีมือท่าจะไม่ธรรมดานะเนี่ย.... ถึงถูกใจบอสได้…..” พิ้งพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มกับไอ้เด็กใหม่
“ก็ไม่หรอกครับ... แค่ .... น่าจะพอทำงานได้ ” ฟรอยพูดด้วยความถ่อมตัว
“ถ่อมตัวจังเรา.. แล้วนี่ชื่อไรจ๊ะ” พิ้งพูด
“ฟรอยครับ... ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางขัดเขินเล็กๆ
นี่ถ้ามันไม่บอกว่ามันเป็นเกย์นะ ผมคงฉุนมันไปแล้วแน่ๆ
“พี่... พี่พิ้งนะ... มีไรก็คุยกันได้ พี่ทำในส่วนของA.E.นะ เดี๋ยวทำงานไปคงได้ร่วมงานกัน” พิ้งพูด
“ก็โปรเจ็คใหม่นี่ไง.... ของบริษัท............. ........ ฉินให้ฟรอยดูแลงานนี้” ผมพูด
“ โห... ไม่ใช่ย่อยๆแล้วนะเนี่ย... ได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ ” พิ้งพูด
ไอ้เด็กใหม่ก็ได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก มองดูแล้วก็ตลกดีเฮอะไอ้นี่
“ไม่หรอกมั้งครับ” ไอ้เด็กใหม่พูดอย่างถ่อมตัวอีกครั้ง
“ก็คงยังให้บอสมันช่วยดูด้วย... แต่นายก็น่าจะทำได้อยู่แล้วแหละ.. จริงม่ะ? ”
ผมแกล้งพูดสำทับไอ้เด็กใหม่ดู
“ครับ.... ถ้าพี่เชื่อใจผมขนาดนี้ผมก็จะทำให้ดีที่สุดครับ” ไอ้เด็กใหม่พูดอย่างมั่นใจ...
อย่างนี้สิถึงจะสนุก ผมคิดในใจพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
“ เอ๊ะ... มีการท้าทายอะไรกันรึป่าวเนี่ย?...” พิ้งพูดออกมาตามประสาคนรู้ทันพร้อมกับหันหน้าไปมา
อย่างหาคำตอบ
“อันนี้ก็ต้องถามไอ้ตัวดีเธอดูแล้วหละ... เพราะบอสไม่รู้เรื่อง” ไอ้บอสพูด
“ไม่มีไรหรอก... แค่กิจกรรมรับน้องใหม่หนะ” ผมพูดพร้อมกับจ้องหน้าไอ้เด็กใหม่
ท่าทางงานนี้สนุกแน่ ไอ้เด็กใหม่ก็ไม่มีท่าทีจะหลบสายตาผมซะด้วย
“ระวังว่าจะเสียรู้เด็กนะฉิน... เดี๋ยวจะหาว่าพิ้งไม่เตือน” พิ้งพูดด้วยท่าทางล้อเลียน
“อย่างงี้ยิ่งต้องคอยดู” ผมพูดอย่างท้าทาย
ไอ้เด็กใหม่นี่ท่าจะผยองไม่น้อยเลย มันยังนั่งไม่สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด...
**********************************************
-
.........จะรอต่อเน้อ......... :a2: :a2:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
อ่าครับผม ชอบมากๆเลยครับ
สนุกดีครับผม แล้วเป็นกำลังใจให้ครับ
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
ดีใจจัง มาต่อแล้ว
เราชอบพลอตเรื่องนี้นะคะ
อ่านแล้ว น่าลุ้นดี
แล้วจะรอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆน้า :กอด1:
-
:teach: สนุกแน่ แค่เริ่มต้น มาติดตามกับเรื่องสนุก ๆ ของกรต่อนะ
ไอ้การท้าทายกันในตอนแรก จะกลายเป็น .... ในตอนท้ายหรือเปล่า มาลุ้นกันต่อไปดีกว่า
ไม่ได้คาดเดา เพียงแต่คาดการณ์เอาไว้เฉย ๆ :o8:
เป็นกำลังใจให้กร นะครับ ขอให้สนุกกับงานที่ทำ และรักษาสุขภาพด้วยนะครับ :L2: :bye2:
-
ให้อิมเมจคล้าย ๆ เรื่องผู้หญิงเลี้ยวซ้ายผู้ชายเลี้ยวขวาเลย
-
มาอ่านต่อละครับ ตอนแรกงง
อ้อ คนละคนนั่นเองเหอะๆ
ต่างคนต่างเเรง งานนี้หนุกแน่นอน
-
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ฤดูฝน... รักคนเพศเดียวกัน ( -_-)* ……
มาทำงานวันแรกพี่เค้าก็มอบหมายให้เลย มันเร็วเกินไปมั้ยเนี่ย???
หลังจากออกมาจากออฟฟิศผมก็ออกมานั่งรับลมอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้ๆอพาร์ทเม้นท์ของผม
ก็ยังดีครับที่แถวๆนี้มีสวนสาธารณะให้นั่งรับลมรับอากาศบริสุทธิ์บ้าง
ขอนั่งเล่นสักพักก่อนกลับเข้าห้องก็แล้วกัน เดี๋ยวต้องกลับไปคิดงานอีก
“คิดถึงพี่โฟนจัง... ” ผมบ่นกับตัวเอง
ความอ่อนแอ... อ่อนไหว... และโดดเดี่ยว กัดกร่อนจิตใจผมอีกครั้ง
ถ้าวันนี้มีพี่โฟนอยู่ด้วยก็คงดี ดูๆแล้วชีวิตทำงานในกรุงเทพนี่มันก็เหงาเหมือนกันนะ
เช้าตื่นมาทำงาน เลิกงานก็กลับมาพักผ่อนหรือทำงานที่ค้างอยู่
พอเช้าก็ต้องรีบตื่นไปทำงาน..
ไม่ได้มีโอกาสได้พบเจอเพื่อนเก่าเท่าไหร่นัก ยิ่งเรื่องไปเที่ยวนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“ เหงาจัง..... ถ้าพี่โฟนอยู่ผมคงไม่เหงาแบบนี้ ” ผมพูดพร้อมกับเงยหน้ามองฟ้าที่ไร้แสงดาว
จู่ๆภาพของพี่ฉินก็โผล่ขึ้นมา
ผมก็พอจะเข้าใจเค้าอยู่บ้างหรอกนะว่าพี่เค้าอาจจะเคยเจออะไรไม่ดีเกี่ยวกับเกย์มา
แต่พี่ผมไม่ชอบก็อีตรงที่พี่เค้าเอามาเหมารวมว่าเกย์ไม่ดีไปเสียหมดนี่แหละ
แถมยังมาท้าทายผมอีก อย่างนี้แหละดีจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าไอ้ที่เค้าคิดหนะมันไม่ใช่
ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกได้ว่าละอองฝนหล่นลงมากระทบใบหน้า
เพียงไม่นาน ฝนก็ค่อยๆตกลงมาอย่างหนักยังกับฟ้ารั่ว
ผมก็เลยรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ศาลาใกล้ๆ เพราะกลัวว่าของในกระเป๋าจะเปียกฝนเสียหมด
ช่วงที่วิ่งเข้าไปหลบฝนผมก็เห็นมีคนวิ่งเข้ามาหลบที่นี่เหมือนกันแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมอง
เพราะมัวแต่รีบวิ่งหลบฝนให้ทัน แต่ก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่านี่ก็เกือบสามทุ่มแล้ว
ยังมีคนมาออกกำลังกายอีกเหรอ
ผมเลือกที่จะยืนหลบฝนตรงมุมด้านในและก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัสกับเม็ดฝนด้านนอกศาลา
ทุกครั้งที่ฝนตกผมจะคิดถึงพี่โฟนเสมอ และภาพความทรงจำระหว่างเราก็ค่อยปรากฏในความทรงจำของผม
อีกครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงมารบกวนความคิดของผม
“ฮัลโหล... ว่าไงครับพิ้ง”
“ยังไม่ได้กลับเลย ฉินยังอยู่ที่สวนอยู่เลย... ฝนตกด้วยเนี่ยะ...”
ผมได้ยินประโยคนี้ก็เลยต้องหันไปมองในทันที
พอหันไปก็เห็นพี่ฉินยืนคุยโทรศัพท์อยู่ซึ่งก็น่าจะเป็นพี่พิ้งเพราะผมได้ยินพี่เค้าเรียกชื่อ
ผมแอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เค้ามาวิ่งออกกำลังกายที่สวนนี้
หรือว่าบ้านเค้าคงจะอยู่แถวนี้ ?
พี่ฉินใส่กางเกงผ้าร่มขาสั้นสีน้ำเงินกับเสื้อโปโลสีขาวสะอาด
ทั้งเสื้อและตามตัวรวมถึงใบหน้าปียกชุ่มซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำฝนกันแน่
ผมมองพี่เค้าอยู่สักพักด้วยตั้งใจว่าจะทักทายตามมารยาท แต่พี่เค้าก็ไม่ได้หันมาทางผมเลย
มัวแต่คุยโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนผมอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่าพี่ฉินกับพี่พิ้งเค้ามีความสัมพันธ์กันเกินเพื่อน
รึป่าว?
แต่ผมก็เลิกสนใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม
“คงรอฝนหยุดก่อนแล้วค่อยกลับ... ฉินไม่ชอบเล๊ยหน้าฝนเนี่ย?? ”
ได้ยินประโยคนี้ผมก็แอบคิดในใจ....
คนเรานี่มันต่างกันจริงๆเลยนะ...
เพราะผมนี่หละ... ที่ชอบหน้าฝนมากที่สุด
“ ค๊าบ... ค๊าบ.... แล้วพิ้งล่ะถึงบ้านยัง ?... อ่อ... ค๊าบ... ได้ค๊าบ... ”
หูผมก็ยังได้ยินบทสนทนาเกินเพื่อนระหว่างพี่ฉินกับพี่พิ้งอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่ผมเลิกสนใจพี่ฉินที่ยังคุยโทรศัพท์อย่างยิ้มแย้ม
สักพัก....
“ชอบเล่นน้ำฝนเหรอนายหนะ... ”
เสียงพี่ฉินพูด ซึ่งก็น่าจะพูดกับผมนะเพราะในศาลาก็มีกันอยู่แค่สองคน
ผมก็เลยหันหน้ากลับไปที่พี่เค้าทั้งๆที่มือผมก็ยังยื่นออกไปสัมผัสกับเม็ดฝนที่หล่นลงมาไม่ขาดสาย
“ครับ...” ผมพูดพร้อมกับแฝงรอยยิ้มเล็กๆด้วยรู้ว่าพี่เค้าไม่ชอบหน้าฝน
“ทำตัวเป็นเด็กไปได้” พี่ฉินพูดคล้ายจะหวังตำหนิการกระทำของผม
“มีใครบอกเหรอครับ... ว่าโตแล้วจะเล่นน้ำฝนไม่ได้” ผมพูด
“ก็ไม่มีหรอก... แต่แค่ผู้ใหญ่เค้าไม่ค่อยทำกัน” พี่ฉินพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“งั้นผมก็ไม่ใช่คนแปลก” ผมพูด
“ โอเคๆไม่เถียงแล้ว... แล้วนี่มาทำไรแถวนี้... บ้านอยู่แถวนี้เหรอ?? ” พี่ฉินถามอย่างแปลกใจ
“ อ่อ... ครับ พี่ก็อยู่แถวนี้เหรอ? ” ผมพูดพร้อมกับถามกลับไปตามมารยาท
“ อืม... ใช่ ” พี่ฉินพูด
“เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง.............................................. ”
ฟ้าร้องเสียงดังลั่น...
ทันใดนั้นพี่ฉินก็เขยิบเข้ามายื่นใกล้ๆผมด้วยท่าทางหวั่นๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่เค้ากลัวเสียงฟ้าร้อง
แต่มันก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะพี่เค้าตัวก็ออกจะใหญ่ ท่าทางก็ดูเป็นคนแข็งๆกล้าๆ
ไม่น่าจะกลัวเสียงฟ้าร้อง แต่ก่อนที่ผมจะแกล้งถามพี่เค้าออกไป...
พี่เค้าก็พูดขึ้นมาว่า
“นั่งกันเหอะ... ฝนคงตกอีกนาน”
ผมก็เลยลงนั่งด้านในศาลาส่วนฉินก็นั่งลงข้างๆผม ซึ่งผมก็อดแปลกใจไม่ได้ที่พี่เค้านั่งชิดกับผมเกินไป
เพราะที่มันก็มีตั้งกว้าง
“นั่งชิดจัง... ไหนว่าไม่ชอบเกย์.. พี่ไม่กลัวผมทำไรพี่เหรอ? ” ผมพูดด้วยท่าทางกวนๆ
“พี่รู้ว่านายไม่กล้า...” พี่ฉินพูดอย่างมั่นใจหรือปลอบใจตัวเองก็ไม่ทราบ
“ โห... ทำเป็นท้า... แต่ผมก็ไม่ทำไรพี่หรอก... พี่ไม่ใช่เป็คผมซะหน่อย ” ผมพูดอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าเป็คแล้วนายจะทำรึไง... พวกเกย์นี่แม่งน่ากลัวจริงๆว่ะ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางขยาด
แต่ก็ไม่ได้เขยิบออกห่างผมเลยนะ
“ พี่ก็เวอร์ไป... ผมก็พูดไปงั้นแหละ... พี่คิดว่าเวลาที่เกย์เจอคนถูกใจนี่มันจะจับปล้ำกันเลยรึไง?”
ผมพูดอย่างตั้งใจประชด
“จะไปรู้เหรอ... ไม่ได้เป็นหนิ.. อีกอย่างที่เห็นๆมาก็น่ากลัวทั้งนั้น ” พี่ฉินพูด
“ ไอ้ที่เห็นๆมาหนะ... แบบไหน? ” ผมถามอย่างนึกอยากรู้จริงๆทั้งที่ปกติผมก็ไม่ค่อยชอบอยากรู้เรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่
“ก็สมัยที่พี่เรียนมัธยมปลาย... มีเพื่อนสนิทในกลุ่มพี่อยู่คนนึง มันกับพี่นี่สนิทกันมากเลยนะ เรียกได้ว่ามีอะไรก็คุยกันตลอด.. ไปเที่ยวด้วยกันเรียนพิเศษด้วยกันตลอด... เฮไหนเฮนั่นตลอด จนมาถึงวันที่พวกพี่เรียนจบ...
วันนั้นไปกินเหล้าฉลองกัน.. มันคงเมาหนักด้วยแหละ... มันดันมาบอกพี่ว่ามันอ่ะ..ชอบพี่ ชอบมานานแล้ว ”
พี่ฉินพูด
“ แล้วพี่ทำไงอ่ะ... ” ผมถาม
“ พี่ก็ถามมันว่า... มันเป็นเกย์เหรอถึงมาชอบผู้ชายด้วยกัน มันก็ยอมรับกับพี่ว่ามันเป็น... แต่มันก็ไม่เคยไปยุ่ง
กับใคร เพราะมันรอพี่คนเดียว ตอนแรกพี่ก็สองจิตสองใจว่ายังจะคบกับมันเป็นเพื่อนรึป่าว.... แต่พี่มาหมด
ความลังเลตอนที่มันสารภาพออกมาว่า... มันเคยลักหลับพี่... พี่รู้แบบนั้นนะพี่เลยต่อยมันไปทีนึง.... ” พี่ฉินพูด
“ เฮ้ยพี่... ไมรุนแรงแบบนั้นอ่ะ” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ
“ ก็มันโมโหนี่หว่า.... มันแม่งเฮี้ยอ่ะ.... ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางแข็งกร้าว แต่ผมก็แอบเห็นความสั่นไหวเล็กๆ
ภายในดวงตาของพี่เค้า ผมรู้ว่าพี่เค้าคงรักเพื่อนคนนี้มากถึงได้โมโหมากขนาดนี้
“เป็นเกย์มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรสักหน่อย... คนเราต่างหากที่ไปทำให้มันดูเลวร้าย”
ผมพูด
“นายก็ต้องรู้สึกแบบนี้ดิ... เพราะนายเป็นหนิ” พี่ฉินพูด
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย... เมื่อก่อน.... ผมก็ไม่ได้เป็นเกย์หรอก... ” ผมพูดเสียงแผ่วเบาพร้อมกับมองออกไป
ที่ผืนน้ำด้านหน้า มองเห็นวงน้ำที่มันค่อยๆขยายวง ใหญ่ขึ้น... ใหญ่ขึ้น.... จากแรงตกกระทบของเม็ดฝน
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ... ยังไงอ่ะ... ไม่เข้าใจ.. ”
พี่ฉินพูดพร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยความหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ผมเป็นเกย์ก็เพราะผมมามีแฟนเป็นผู้ชาย..” ผมพูดเสียงเรียบ
ในตอนนั้นใบหน้าพี่โฟนและเรื่องราวของเราก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดของผม
“งั้นก็แสดงว่าก่อนหน้านั้นนายมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อนเหรอ? ” พี่ฉินถามอย่างใคร่รู้
“ ครับ... ” ผมพูด
“ นายนี่ก็แปลกคน... มีแฟนเป็นผู้หญิงดีๆไม่ชอบดันอยากมีแฟนเป็นผู้ชาย ” พี่ฉินพูด
“ พี่ไม่ใช่ผม.. พี่จะมาคิดแทนผมไม่ได้หรอก ถ้าพี่เจอกับตัว.... พี่จะรู้ ” ผมพูดคล้ายจะเป็นการท้าทาย
อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ ไม่มั้ง... เพราะพี่ไม่คิดจะชอบผู้ชายด้วยกันอยู่แล้ว ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางมั่นใจ
“ ฮึ.. ฮึ.. เมื่อก่อนผมก็คิดแบบพี่นี่แหละ .... ” ผมพูดพร้อมกับเดินไปที่ชายคาศาลาเพื่อจะเอามือสัมผัส
กับเม็ดฝน
“ นายนี่ถ้าจะชอบหน้าฝนจริงๆเฮอะ... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆอีกครั้งผมก็เลยหันมายิ้มให้พี่เค้าบ้าง
ก่อนที่จะพูดว่า
“ พี่พูดอย่างกับว่าพี่เกลียดหน้าฝนอย่างงั้นแหละ... ”
“ ก็ใช่อ่ะดิ... หน้าฝนหนะเฉอะแฉะ... จะไปไหนทำอะไรก็ลำบาก.... ” พี่ฉินพูด
“ พี่มองอะไรด้านเดียวรึป่าว?... พี่อย่าลืมนะ.... ว่าทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ.... ” ผมพูด
พี่ฉินก็นิ่งไปคล้ายกำลังนึกถึงสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป
“ แล้วด้านดีของหน้าฝนคืออะไร?? ” พี่ฉินพูดด้วยหน้าฉงน
“ พี่ลองมายืนตรงนี้ดิ.... ” ผมพูด
พี่ฉินก็ลุกขึ้นและเดินมายืนข้างๆผมอย่างว่าง่าย
“ ยังไง?? ” พี่ฉินยังทำหน้างงอยู่
ผมก็เลยเอามือผมที่เปียกน้ำฝนมาเช็ดกับกางเกงก่อนที่เอามือไปบีบๆกดๆดูๆ ที่ต้นคอของพี่ฉิน
พี่ฉินก็มีท่าทางขัดขืนเล็กน้อย ผมก็เลยบอกว่า
“ อยู่นิ่งๆน่า.... ผมไม่ทำไรพี่หรอก... ” พี่แกก็เลยอยู่นิ่งๆพร้อมกับจ้องหน้าผมเขม็งเลย
แกคงงงหละ.. ว่าผมจะทำอะไร
“ โห... เส้นพี่ตึงเชียว ” ผมพูดหลังจากเอามือไปบีบๆกดๆที่ต้นคอและบ่าของพี่ฉินดู
“ แล้วไง?.. ” พี่ฉินยังงงกับสิ่งที่ผมทำ
“ อ่ะ..... ที่นี้พี่หลับตา..... แล้วก็แบมือมา ” ผมพูด
“ นายจะทำไรเนี่ย?? ” พี่ฉินพูดพร้อมกับแสดงท่าทีว่าจะไม่ร่วมมือ
“ เหอะน่า... บอกแล้วไงผมไม่ทำไรพี่หรอก... ” ผมพูดเสียงนุ่ม
พี่ฉินก็เลยทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่ายหรือทำเพราะตัดรำคาญก็ไม่รู้
จากนั้นผมก็เอามือพี่ฉินยื่นออกไปสัมผัสกับเม็ดฝน
พี่ฉินก็ทำตามและยืนหลับตานิ่ง ผมจึงพูดออกมาว่า
“ ทำใจสบายๆนะพี่.... เรื่องงานหนะ.. พักเอาไว้ก่อน ”
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ผมก็เลยเอามือไปบีบๆกดๆตรงต้นคอแล้วก็บ่าของพี่เค้าดู
“ เห็นม่ะ... ผ่อนคลายขึ้นตั้งเยอะ... ” ผมพูดหลังจากเห็นความเปลี่ยนแปลง
“ เออ... จริงด้วย พี่รู้สึกมันโล่งๆพิกล ” พี่ฉินพูดอย่างแปลกใจพร้อมกับรอยยิ้มกว้างหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา
“ เห็นม่ะ... พี่อ่ะชอบมองอะไรด้านเดียว สิ่งดีๆที่อยู่อีกด้านนึงของสิ่งที่พี่เกลียดหนะ...มันยังมีอีกเยอะ...
เปิดใจให้กว้างแล้วลองกลับไปมองมันใหม่... พี่จะเห็นสิ่งดีๆอีกเยอะเลยรู้ป่ะ... ”
ผมพูด
“ อืม..... ” พี่ฉินพูดนิ่งๆคล้ายกับคิดอะไรในใจ
********************************************
“ นี่ก็ดึกแล้วนะ... ยังไม่กลับอีก เดี๋ยวแฟนนายก็รอแย่หรอก ” พี่ฉินพูดขึ้นตอนช่วงที่ฝนเริ่มซาพอดี
“ แฟนผมเค้า.... ไม่ได้... อยู่กับผม ” ผมใจสั่นไหวทุกครั้งที่จะต้องพูดประโยคนี้
พี่ฉินก็คงจับความรู้สึกผมได้ไม่ยาก
“ ทำไมล่ะ??... เลิกกันแล้วเหรอ??.... ” พี่ฉินถามอย่างสงสัย
ผมนิ่งไปเพียงเพราะไม่อยากที่จะตอกย้ำความรู้สึกตัวเองอีกครั้งว่าให้ยอมรับความจริง...
“ คงจะเลิกกันแล้วล่ะสิ... รู้ม่ะ... นี่เป็นอีกอย่างนึงที่ทำให้พี่ไม่ชอบพวกเกย์... รักเร็วรักง่าย...
แถมยังเลิกกันง่ายอีก... ไม่กลัวโรคกันเลยรึไงพวกนี้... ” พี่ฉินพูดหน่ายๆ
“ ฮึ.. ฮึ... นิสัยแบบเนี้ย... ไม่ใช่เป็นแต่เกย์หรอกครับ... ผู้ชายรึผู้หญิงเค้าก็เป็นกัน ”
ผมพูดอย่างนึกโมโห
“ เอ๊า... แล้วอย่างงั้นเพราะอะไรนายถึงเลิกกับแฟนล่ะ ” พี่ฉินพูด
“ เราไม่ได้เลิกกัน.... เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วเท่านั้นเอง ” ผมพูดเสียงดังคล้ายจะเป็นการตอกย้ำ
ตัวเอง... ผมรู้สึกใจหายจัง
พี่ฉินก็ทำหน้างงกับสิ่งที่ได้ยินจากปากผม ผมก็เลยพูดตัดบทออกไปว่า
“ ฝนซาแล้ว... ผมกลับก่อนนะ... ” ผมพูดแล้วก็เดินออกมาจากศาลาโดยที่ไม่สนใจว่าพี่ฉินจะพูดอะไรอีก
“ เฮ้ยเดี๋ยวดิ.... ” พี่ฉินวิ่งตามผมออกมาและหยุดอยู่ตรงหน้าขวางทางผมไว้
“ อะไรอีกล่ะพี่... ” ผมพูดอย่างเริ่มนึกรำคาญ
“ อย่างเพิ่งกลับดิ ” พี่ฉินพูด
“ นี่มันเวลาเลิกงานแล้วนะครับเจ้านาย.... ผมขอเวลาเป็นส่วนตัว ” ผมพูดพร้อมกับทำท่าจะเดินหลบพี่ฉิน
เพื่อจะกลับห้อง เพราะความรู้สึกแย่ๆที่มันอัดอั้นในใจมันใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที
“ เดี๋ยวๆ... ที่นายพูดหมายความว่าไงอ่ะ... เรื่องแฟนนายหนะ ” พี่ฉินพูด
“ พี่จะมาอยากรู้เรื่องผมทำไมเนี่ย... มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานซักหน่อย ” ผมพูด
“ ก็แค่ไม่อยากมองอะไรด้านเดียวเหมือนอย่างที่นายว่าไง?.... ทีนี้จะบอกได้ยังว่าทำไมเลิกกัน ”
พี่ฉินพูด
ผมถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้งก่อนที่จะเอามือชี้ขึ้นไปบนฟ้า... พี่ฉินก็มองตามมือผมที่ชี้ขึ้นไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมจึงพูดว่า
“ แฟนผมเค้าอยู่บนนั้นหนะครับ... เราก็เลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน ”
ทันทีที่ผมพูดจบ ผมเห็นแววตาที่สั่นไหวของพี่ฉินที่มองมาที่ผม
ผมรู้... พี่เค้าคงคิดว่าไม่น่ามาซักไซร้ผมเลย....
ผมก็เลยบอกพี่เค้าไปว่า
“ ไม่เป็นไรหรอกครับพี่.... ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นๆก่อนที่จะเดินออกมาจากพี่เค้า
***********************************************************************
เม็ดฝนที่สร่างซาในตอนแรกกลับโหมกระหน่ำกันร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง
น่าแปลก......
คนทั้งคู่.....
ไม่มีใครคิดจะวิ่งหลบฝน.........
**************************************************
-
^
^
จิ้มคนแต่ง :m4:
ชื่อคุณกรใช่มะคะ
เราชอบเรื่องที่คุณกรแต่งนะคะ
แล้วจะรอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อนะคะ
ปล. ตอนล่าสุดนี่เศร้ามากๆเลย สงสารนายเอกอ่ะ :m15:
-
รอตอนต่อไปเหมือนกันครับ
เศร้าจัง
-
จากกันโดยคนใดคนนึงเสียชีวิต ยังเจ็บปวดน้อยกว่า จากกันโดยที่ทั้งคู่ยังมีชีวิต และวนเวียนอยู่ใกล้ๆๆกัน เจ็บปวดที่สุด
-
เศร้าจัง :sad2:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ครับผม ชอบจังครับเรื่องนี้แต่งดีมากครับ
ชอบๆรออ่านตอนต่อไปครับผม
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
:impress3: จะลื้อฟื้นความหลังให้มันเจ็บปวดทำไมน้า แต่เอทำไมหัวหน้าต้องถามเหมือนอยากรู้
มารอตอนต่อไปดีกว่า รักษาสุขภาพด้วยนะครับ กร (คนหน้ารัก ) :L2: :bye2:
-
ชอบๆ :m4:
มารอด้วยคน :oni2:
-
ชอบค่ะชอบ เรื่องที่ใช้ความจริงใจและความสามารถจริงๆมาพิสูจน์กำแพงที่เกิดจากอคติทำให้คนสองคนเกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน ว่าแต่น่าสงสารนายเอกเราจังน้า หวังว่าหลังจากนี้พระเอกจะเห็นใจนายเอกมากขึ้นนะคะ มาอัพต่อเร็วๆเน้อ :m1:
-
สงสารฟรอย ทำไมฟรอยดู
จมกับความรักจัง ทั้ง ๆ ที่พี่โฟน
ก็จากไปแล้ว หรือว่าพี่โฟนยัง
ไปอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน
เมื่อไหร่ ฟรอยจะมีแฟนใหม่ซะที
ไม่อยากให้ฟรอยเส้า อ่านแล้วเจ็บปวด
5555+
-
ยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลยอ่า......
งานเยอะมากๆ.... ถึงมากที่สุด.. o2
บอกตามตรงว่ามีตอนที่พิมพ์เก็บไว้อีกแค่ตอนเดียวเอง.. :m29:
ไม่คืนนี้ก้พรุ่งนี้อาจจะลงให้อ่านกันนะ :m21:
แต่เราจะพยายามไม่ให้รอกันนานนะ.. แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึป่าว เพราะเวลาที่มีตอนนี้ก็น้อยเหลือเกิน งานมันแน่นไปหมด... :เฮ้อ:
สิวขึ้นด้วยอ่ะ.... ช่วงนี้ :m17: เราไม่มีสิวมาหลายปีแล้วนะ... ทำไมช่วงนี้สิวขึ้นเยอะจัง.. :m15:....
เฮ้อออออออ... หน้าไม่ใสเลย... เซ็ง :m16:
ส่วนคอมเม้นเราไม่มีเวลาได้ตอบเลย.. แต่ก็อย่างที่เคยบอกว่าเราอ่านทุกคอมเม้น
และพยายามจะจำชื่อคนอ่านให้ได้มากที่สุด..ง ทั้งที่มันอ่านไม่ค่อยจะออกอ่ะนะ :m28:
ขอบคุณทุกคำติชมน๊า.....
และขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องของเรากัน
ถ้าบางทีเราอาจจะทำให้ต้องรอกันนานบ้างเราก็ขอโทษด้วยละกัน...
ถ้าเรามาต่อช้าก็อ่านเรื่องอื่นไปก่อนนะ.. ไม่ว่ากัน... แต่ก็อย่าทิ้วกันไปไหนล่ะ... :m13:
อ้อ.... อาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวมาด้วย.....
ไปอตก.มา.... คลายเครียด ไปติดกันสองวันเลย.. ทั้งสูกร์แล้วก็เสาร์
ตอนอยู่ข้างในก็แอบคิดเหมือนกันนะ... ว่าจะมีคนที่อ่านเรื่องเราอยู่ในนั้นบ้างรึป่าว...
ไม่แน่นะ.. เราอาจจะยืนอยู่ติดกัน.. เข้าห้องน้ำห้องข้างๆกัน
หรือเราอาจจะได้คุยกัน... ยิ้มให้กัน...
มันแปลกๆดีเหมือนกันนะ.... ว่าม่ะ? :m18:
เราไปเคลียร์ก่อนละกัน...... เดี๋ยวจะได้นอนไม่พอ... :m23:
ส่วนเรื่องตอนต่อไปเดี๋ยวคงได้อ่านกัน..
ไปแระ... :bye2:
-
รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อค่า~~~ :c5:
-
เรื่องสนุกๆอย่างนี้ ยินดีรอครับ o13
-
:o8: :o8: :o8: :o8:
อร๊ายยยยยย พี่ฉินกะน้อง ฟรอย
กรี๊ซซซซซซซซซซซซซ
อร๊ายยยยยยยยยย
ฝนกะลังตกด้วย
บรรยากาศน่าเสียตัว
อร๊ายยยยยยยยยยยยยย
-
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ฤดูฝน... รักคนเพศเดียวกัน ( -_-) ……
วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกว่า ผมมันไม่เอาไหนซะเลย.......
ผม.... ผมลืม.... “ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ ”
ผมเห็นแก่ตัวเกินไปรึป่าว?... ที่มักจะตัดสินใจอะไรโดยยึดตัวเองเป็นหลัก
เพราะบางที่คนเราอาจมองอะไรกันคนละมุม
ผมคงจะใจแคบเกินไปที่ไม่เคยคิดจะลองมองในมุมที่คนอื่นเค้ามองบ้าง
ผมจึงไม่เคยได้รู้จักมุมมองของความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจซอกเล็กๆของคนอื่นเลย
******************************
หลังจากที่ผมได้ยินประโยคสะเทือนใจประโยคนั้นจากปากฟรอย...
มันเป็นประโยคที่ทำให้ทั้งคนฟังและคนพูดอดที่รู้สึกใจสั่นไม่ได้
ผมรู้..... ว่ามันคงไม่เท่ากัน...
ไม่สิ... มันเทียบกันไม่ได้เลยต่างหาก..
ผมไม่สนใจว่าฝนจะตกหนักแค่ไหน... ไม่แม้แต่คิดจะวิ่งหลบฝน
หวังว่าฝนคงชะล้างความอึดอัดใจของผมลงไปได้บ้าง....
ผมรู้สึกแย่จังครับ ที่ไปอยากรู้อยากเห็นไอ้เรื่องที่มันไม่สมควรจะต้องอยากรู้อยากเห็น
ภาพของฟรอยยังติดตาผมอยู่เลย...
ดวงตาเศร้าๆและเสียงที่สั่นไหวเต็มที.... ตอนพูดเรื่องนั้น
ภายในใจของเด็กคนนี้จะเจ็บและเหงาขนาดไหนกัน
แค่ผมคิด.... ยังอดใจหายไม่ได้เลย
เด็กคนนี้คงแบกรับความรู้สึกบางอย่างไว้โดยไม่มีใครรู้ว่ามันหนักขนาดไหน
หวังว่า....
ฝนคงชะล้างความเปลี่ยวเหงานั้นให้บางเบาลงบ้างนะ
*******************************
ผมนอนไม่หลับครับ....
ใจนึงผมอยากจะคุยกับฟรอยให้รู้เรื่องกันไปเลยในคืนนี้
ผมไม่อยากปล่อยให้มันผ่านเลยไป
ผมอยากให้ฟรอยรู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ... ผมอยากขอโทษเค้า!!!
ทั้งที่ก็รู้ว่า... คำขอโทษของผมคงไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นนัก แต่ผมก็ยังอยากที่จะทำ
ผมไม่มีเบอร์ติดต่อฟรอยครับ... ไอ้บอสก็ดันปิดเครื่องอีก
ผมคงต้องรอวันพรุ่งนี้....
ผมอดที่จะตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า..... ฟรอยจะร้องไห้อยู่รึเปล่า?
ยิ่งคิดยิ่งอึดอัดและรู้สึกแย่....
“ น้ำฝนคงทำให้ผมผ่อนคลายขึ้นบ้างนะ..... ” ผมคิดในใจ
ผมยืนอยู่ริมระเบียงห้อง... ยื่นมือออกไปสัมผัสเม็ดฝน
เสียงของฟรอยดังก้องในโสติประสาทของผมอีกครั้ง.....
“ แฟนผมเค้าอยู่บนนั้นหนะครับ... เราก็เลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน ”
ผมได้แต่ขอโทษในใจ... หวังเล็กๆว่า.... ฟรอยคงจะได้ยิน
ในตอนนั้น.......
สิ่งที่ผมอยากจะลืมก็ปรากฏขึ้นในใจผมอีกครั้ง
หลังจากที่มันตามหลอกหลอนผมมานาน....
และวันนี้ก็เช่นกัน....
คนที่รักเค้า.... คงรู้สึกแย่ไม่ต่างกับที่ฟรอยกำลังเผชิญอยู่
ถ้าเทียบกับความรู้สึกแย่ของผมมันคงเทียบกันไม่ได้.....
ผมเพิ่งรู้.....
วันนี้เอง.......
วันที่ผมได้รู้จักฟรอย...... มากขึ้น.....
ผมเคยเข้าใจว่ามันคงไม่ต่างกัน.......
ความรู้สึกของคนที่สูญเสีย...... กับคนที่ทำให้สูญเสีย......
แต่วันนี้ผมรู้แล้ว.....
มันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ.....
“ ฮือ................... ฮือ...... ฮึก.... ฮือ..... ” เสียงคนกำลังร้องไห้มันดัง.... ผมได้ยิน......
ผมมองหาเจ้าของเสียงสะอื้นนั้น......
ไม่ใช่ใคร..... “คนที่ห้องตรงข้าม”
อีกคืนแล้วสินะ..... ที่เค้าร้องไห้
ภายในห้องปิดไฟมืดสนิท.... มีเพียงแสงสลัวของโคมไฟ
เช่นเดิม.... เหมือนทุกวัน...
ความหวังเค้าจะริบหรี่สลัวแสงเหมือนโคมในห้องนั้นรึป่าวนะ?
น้ำตาที่ไหลออกมา.... เพราะอะไร?
เค้าเป็นอะไร?
คนที่สูญเสีย หรือ คนที่ทำให้มันสูญเสีย.... เช่นผม
***************************************************
เช้านี้ก็เป็นอีกวันนึงที่ฝนตกตั้งแต่เช้าเช่นทุกวัน
แต่น่าแปลก....
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าฝนที่ตกลงมาในเช้าวันนี้ทำให้ผมสดชื่นต่างไปจากทุกวันที่ผมมักจะหงุดหงิด
วันนี้ผมขับรถไม่เร็วเหมือนวันนั้น...
คงเพราะเรื่องเมื่อคืน... ที่เป็นเหมือนชนวนให้ผมระวังตัวเองมากขึ้น
ช่วงที่รถผมติดไฟแดงอยู่... เม็ดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนหล่นลงมากระทบกระจกหน้ารถ
ผมอดไม่ได้ที่จะเลื่อนกระจกรถลงมาเพียงเพื่อพอที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสกับเม็ดฝนได้
ไม่น่าเชื่อ....
ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
มันเป็นเพราะอะไรกัน ???
และแล้วสายตาผมก็มองไปเห็นคนที่ผมอยากจะพูดคำว่า “ ขอโทษ ”
ทันทีที่ไฟเขียวผมจึงรีบตบไฟเลี้ยวเพื่อที่จะเข้าไปเทียบริมฟุตบาทตรงที่ฟรอยเดินอยู่
ผมบีบแตรดังๆติดกันสองครั้ง... ทำให้คนที่เดินอยู่บริเวณนั้นหันมามองกัน
ยกเว้นไอ้คนที่ผมต้องการให้มันหันมามอง ไม่รู้ว่าฟรอยรีบหรือใจลอยไปถึงไหน
เพราะดูท่าเจ้าตัวจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย
เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานรึป่าว?
นั่นคือคำถามที่ผมถามตัวเองในใจ...
ผมจึงตัดสินใจขับเรียบเคียงไปเรื่อยๆและบีบแตรดังๆอีกครั้ง.....
คราวนี้ฟรอยหันมามองแล้วครับ.... ผมเลยลดกระจกลงเพื่อที่ฟรอยจะได้รู้ว่าเป็นผม
“ ขึ้นมาสิ... ไปด้วยกัน ” ผมตะโกนออกไป
ผมเห็นฟรอยมองที่รถผมสักพัก คงจะชั่งใจอยู่... ว่าจะขึ้นรถมากับผมดีรึป่าว??
แต่สุดท้ายฟรอยก็วิ่งฝ่าฝนขึ้นมาบนรถผมจนได้...
“ เดินมาขึ้นบีทีเอสตรงนี้ทุกวันเหรอ...” ผมเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน
“ ครับ.. ” ฟรอยพูด
“ เดินเหม่ออยู่ได้ตั้งนาน.... ไม่สนใจอะไรรอบข้างเลยรึไงหืม.... ” ผมพูดเพื่อพยายามไม่ให้ฟรอยเกร็ง
ซึ่งผมก็จะได้ไม่เกร็งด้วย... ถ้าจะพูดคำว่า “ ขอโทษ ”
“ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหนะครับ ” ฟรอยพูดตอบกลับมาแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
สงสัยคงจะยังโกรธผมเรื่องเมื่อวานอยู่
“ เรื่องเมื่อวาน.... พี่........” ผมยังไม่ทันจะได้พูดคำว่าขอโทษ ฟรอยก็พูแทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ นี่รถพี่เหรอครับ ” ฟรอยพูดด้วยเสียงแข็งๆที่ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าฟรอยคิดอะไรอยู่?
จะใช่เพราะเรื่องเมื่อวานรึป่าว?
“ อะ..... อืม.... ใช่ ” ผมตอบไปแบบไม่เข้าใจในคำถาม ว่าฟรอยต้องการรู้คำตอบไปเพื่ออะไร
“ รู้ตัวรึป่าวครับ.... ว่าเป็นคนขับรถเร็ว ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“ ก็... ครับ... แต่ก็พยายามบังคับตัวเองเหมือนกันว่าให้ขับช้าลง... เพราะ...... ”
ผมพูดยังไม่ทันจบฟรอยก็พูดแทรกขึ้นมาอีกว่า
“ ถึงพี่จะเป็นคนมีกินมีใช้... มีรถขับ.. ไม่ต้องขอใครกิน แต่ก็หัดนึกถึงคนธรรมดาเดินถนนบ้างนะครับ !!! ” ฟรอยพูดแบบใส่อารมณ์สุดๆจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าฟรอยรู้ได้ยังไงว่าผมขับรถเร็ว
“ คือ.... พี่ก็... ระวังอยู่แล้วหละครับ... แต่บางทีมันก็รี... ” ผมพูดยังไม่ทันจบฟรอยก็พูดแทรกขึ้นมาอีกว่า...
“ ฮึ...ฮึ... ระวังแล้ว.... สงสัยคนเดินถนนมันคงโง่เองมั๊งพี่... ที่เดินไม่ระวังเอง ” ฟรอยพูดด้วยท่าทาง
ที่ตั้งใจประชดผมเต็มๆ ส่วนผมก็ไม่เข้าใจว่าฟรอยต้องการจะสื่ออะไรกับผม
“ ฟรอยจะบอกอะไรก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า... อย่าอ้อมค้อม... พี่ไม่เข้าใจหรอกนะ” ผมพูดด้วยอารมณ์
ที่เริ่มจะคุมไม่อยู่แล้ว
“ ช่างเถอะครับ... ทีหลังพี่ขับรถก็หัดระวังหน่อยแล้วกัน... เอาใจเค้ามาใส่ใจเราบ้าง...
ไม่ใช่ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไปซะหมด... ” ฟรอยพูดโดยที่ไม่หันมามองหน้าผม
แต่เสียงที่พูดกระแทกเสียจนผมคิดอะไรไปหลายเรื่อง
“ นายจะพูดอะไรกันแน่!!!.... ” ผมเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีของฟรอยที่ผมไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ฟรอยขึ้นมาบนรถผม ที่แสดงท่าทางแข็งกร้าวตลอด....
นี่ผมชวนฟรอยขึ้นรถมาเพื่อที่จะให้มาทำหน้ายักษ์ใส่ผมรึไงกันเนี่ย?
“ ช่างมันเหอะพี่... เรื่องมันผ่านไปเรอะ... อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บเลย ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางเหมือนจะตัดรำคาญ ผมเลยเริ่มยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“ อะไรของนายเนี่ย... จู่ๆก็พูดเอาๆ พอจะหยุดก็หยุดซะเฉยๆ ” ผมพูดใส่อารมณ์
“ ผมก็แค่อยากจะบอกให้พี่ระวังให้มากหน่อย.. เวลาที่พี่ขับรถ ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางรำคาญที่ผมไม่เข้าใจว่า
เพราะอะไรฟรอยถึงพูดออกมาแบบนี้ ถ้าจะเป็นเพราะความเป็นห่วงผมก็คงจะไม่ใช่แน่ๆ
“ เพราะไร ? ” ผมอดที่จะถามออกมาไม่ได้ เพราะผมไม่เข้าใจว่าฟรอยหมายถึงอะไร มันต้องมีอะไรมากกว่า
การขับรถเร็ว
“ เฮ้ออ................... ” ฟรอยถอนหายใจออกมาอย่างแรง คงเป็นด้วยความโมโหแบบสุดๆ
ด้วยท่าทางที่ฟรอยแสดงออกมามันทำให้ผมไม่เข้าใจก็จริงแต่ผมก็ไม่คิดที่จะถามอะไรออกไปอีก
เพราะถามไปผมก็ไม่ได้คำตอบที่ผมต้องการ
บรรยากาศในรถเริ่มตึงเครียดขึ้น
ไม่น่าเชื่อนะ....
ว่าเวลาที่คนเราเงียบใส่กันสถานการณ์มันตึงเครียดมากกว่าเวลาที่เราเถียงกันซะอีก
ทั้งผมและฟรอยไม่ได้มีบทสนทนากันจนรถผมขับเข้าออฟฟิศ
ฟรอยหันมาพูดกับผมก่อนที่จะลงรถเพื่อเข้าออฟฟิศแค่ประโยคสั้นๆว่า
“ ขอบคุณนะครับ.... ”
แล้วฟรอยก็เดินหน้ามุ่ยเข้าออฟฟิศไปโดยที่ไม่คิดจะรอผมเลย
งงสิครับผม......
นี่ผมไปทำอะไรให้เค้าเนี่ย.....
สุดท้ายผมก็เลยไม่ได้ขอโทษฟรอยเรื่องเมื่อวานเลย......
***********************************************************************
-
^
^
^
จิ้มคนแต่ง :mc4:
"ถ้าลองเปิดใจ ก็จะเห็นสิ่งใหม่ ๆ" ประโยคนี้เหมาะกับฉินเลย
-
รายงานตัวคับ
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครั้งแรกคับ
เขียนดีอ่า...
ชอบ
สะเทือน :c5:มากๆ
-
หรือว่าสุดที่รักของฟรอยจะจากไปเพราะ จุด จุด จุด
นู๋แค่เดาน้า :m22:
-
รออ่านอยู่นะครับ
อยากให้มาต่อทุกวันเลยครับ
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
อออืมครับดูท่าพี่ฟรอยจะโกรธจริงๆนะครับเนี้ย
ถึงขนาดยังจำได้อีก อิอิ
เป็นกำลังใจให้ครับผม
เรื่องน่าติดตามมากครับ สู้ๆๆ+1 ครับผม
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
:try2: เจอกันก็ซัดกันเลยหรือ แล้วยังงี้จะคุยกันดี ๆ เมื่อไหรละครับ o12
มารอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้นะ กร สะสางงานให้เสร็จแล้วอย่าลืมมาต่อนะครับ :L2: :bye2:
-
........เราไม่ได้เลิกกัน.....เพราะเขายังอยู่ในใจเราตลอดมา....... :o12: :o12:
-
ติดตามๆ :m1: :m1:
มาต่อไวๆนะค๊าบบบบ
-
แหะ ๆ หายไปนานเลยป๋ม...กลับมาก็ได้อ่านงานของคุณ OsTrich เลย
กรี๊ด.....ตำนานบทใหม่มาอีกแล้ว...... o4
-
เข้ามาลงชื่อครับ เห็นชื่อคนแต่งปุ๊บ แต่แบบยังอ่านไม่จบเลย แหะๆ
ตอนนี้ยุ่งมากๆ ไม่ได้เข้ามาที่เล้าเลย :serius2:
มาเป็นกำลังใจให้พี่กรนะครับ คิดถึงๆ o13 :L2:
-
มาต่อไวๆนะครับ
วันนี้เอา :L1: :L1: :L1:
มาเป็นกำลังใจให้
-
ลั่นลัลล้า..... :oni1:
วันนี้เข้ามาจิ้มก่อนนะงับ
รออ่านอยู่อิอิ........นายเอกกะพระเอกท่าทา่งกวนทั้งคู่แบบนี้....ชอบบบ
ปล.รักข้ามคอนโดป่าวงับนี้ :o8:
-
:m32:
-
เข้ามารายงานตัวคับ
ชอบชื่อเรื่องจังคับ เหมือนจะเศร้า แต่มีความหมายดีอ่ะ
คราวนี้เขียนสองด้านด้วยนิ o13
ขออนุญาตแนะนำคับ .....พี่กรลองใช้สีแยกตัวพระ กะตัวนายดีมะคับ
อ่านหล่ะ จะได้เห็นชัดๆ ตั้งแต่เริ่มอ่านแต่ละตอนไปเลยงัยคับ
-
:oni2:แวะมาดัน ไว้ เดี๋ยวกรหาไม่เจอ
รักษาสุขภาพด้วย ฝนตกทุกวัน ระวังเป็นหวัดนะครับ กร ( คนน่ารัก น่า :กอด1: ) :L2: :bye2:
-
แวะมา check งับ
รออยู่น้าาา :m1:
-
แวะมาเยี่ยม :m32:
-
เข้ามาขอโทษคนอ่าน...... :m5:
ที่เรา(คนเขียน) หายหน้าหายตาไปเลย.. :m23:
อยากจะบอกว่างานมันเยอะๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กว่าจะออกจากออฟฟิตก็สี่ห้าทุ่ม บางทีออกเที่ยงคืนด้วยซ้ำ :m26:
กลับมายังต้องหอบงานมาทำอีกหรือไม่ก็สลบไปเลย :sad2:
วันหยุดก็เหมือนเป็นแค่วันเปลี่ยนที่ทำงานจากออฟฟิตมาเป็นอพาร์ทเม้น
เฮ้ออออออออออ.....
ตอนใหม่นี่เราพิมค้างไว้เยอะแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาได้พิมต่อจนเสร็จ
เราก็เคยเป็นคนอ่านก็พอจะเข้าใจนะ ว่าไม่ชอบรอนานๆ :m21:
แต่เราไม่มีเวลาจริงๆนะ :m13: ไม่ได้อู้น๊า.... :m13:
หวังว่าคนอ่านจะพอเข้าใจหัวอกคนเขียนอย่างเรานะ... :m15:
ชีวิตตอนนี้มันเหนื่อย......... :m15:
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย...... :m31:
งานๆๆๆๆๆๆๆๆๆ........ :sad5:
-
:o เฮือก!! งานอะไรค้า ไมมันเลิกดึกขนาดน้าน ได้โอทีมั้ยเนี่ย
ดูแลสุขภาพอย่าหักโหมน้า ยังไงคนอ่านก็จะรออ่านต่อไป เมื่อไหร่ที่คนเขียนพร้อมจะเอามาลงจ้า
เป็นกำลังใจให้ค่า :a1:
-
สู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ถ้างาานเรียบร้อยแล้วก็มอย่าลืมมานะงับ :oni3:
-
แวะมาส่งข่าว.......
ตอนแรกตั้งใจว่าคืนนี้จะพิมเรื่องที่ค้างต่อจะได้โพส
อย่างที่เคยบอกว่างานเราเยอะมากๆ(ไม่มีโอทีด้วย... แต่มีโบนัสทุกสามเดือน อิอิ)
ทำให้เราค่อนข้างมีเวลาพักผ่อนน้อยบวกกับช่วงนี้ฝนตกบ่อยอีก
เราก็เลยไม่สบาย.... เฮ้อออออ เซ้ง... เกลียดเวลาที่ตัวเองเป็นหวัดสุดๆ
เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยป่วยเท่าไหร่ถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายเลยก็เหอะ
แต่เป็นทีไรมักจะเป็นมาก
ยังไงเราก็ขอผลัดเป็นพรุ่งนี้ล่ะกัน... ไม่ว่ากันน๊า....
โอ๊ย... รำคาญไอ้น้ำมูกเนี่ย... กินไรก็ไม่หร่อย.. เพราะเจ็บคอ
เซ็งๆๆๆๆๆๆ
งานยิ่งเยอะๆดันมาป่วยอีก
คนอ่านก็รักษาสุขภาพกันด้วยเน้อ..... อย่าปล่อยให้สบายเหมือนเรา
ไปแระ... ขอพักผ่อนก่อน... ปวดหัวมากๆๆ
-
สู้ๆๆกร
ราตรีสวัสดิคร้าบ
เรื่องนี้ใช้ได้ทีเดียว ผมว่ามันคลาสสิคและมาสเตอร์พีซมากเลย
ติดตามนะคร้าบ
รักษาสุขภาพด้วยล่ะ
:man1: :L1:
-
อ่านแล้วก็ชอบ อารมณ์แปรปรวนเหมือนหน้าฝนเลย คริๆ
-
มาต่อให้แล้วจ้า... เพิ่งพิมเสร็จสดๆร้อนๆ
ตอนแรกว่าจะลงให้เมื่อวานใช่ป่ะแต่พอดีเมื่อวานเรานอนซมด้วยพิษไข้ทั้งวันเลย
ลุกไปไหนแทบไม่ไหวเลย.... ดีนะว่าอพาร์มเม้นที่เราอยู่เค้าให้สั่งของกินมาส่งบนห้อง ไม่งั้นเราคงอดตายไปแระ
เพิ่งเข้าใจว่าอยู่คนเดียวนี่มันลำบากเหมือนกันนะ ยิ่งเวลาไม่สบายเนี่ย... เห็นได้ชัดเลย
ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะ......
ไปอ่านเรื่องกันต่อเลยแล้วกันนะ......
*********************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
รับรัก..... ( -_-)*
“ ทำงานที่นี่มาสักพักนึงแล้ว เป็นไงบ้างละเรา? ” พี่บอสพูดหลังจากที่เพิ่งพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก
“ ก็ดีพี่ ” ผมพูด
“ พอมาทำงานจริงๆแล้วชอบมั้ยล่ะ? ” พี่บอสถามอีกอย่างคนเป็นห่วง
“ มันมีก็มีบางอย่างที่ไม่ชอบคับ แต่รวมๆแล้วก็ยังชอบอยู่ดีคับพี่ ” ผมพูด
“ อืม... คับ ” พี่บอสพูด
ผมมาทำงานที่นี่ได้เกือบสองเดือนแล้วคับ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา พี่บอสถือว่าเป็นพี่เลี้ยงของผมได้เลย เพราะว่าพี่บอสจะคอยดูแลผมตลอดทั้งเรื่องงานจนรวมไปถึงเรื่องส่วนตัวบางเรื่องด้วย
วันไหนที่ต้องเลิกงานดึกๆ พี่บอสก็จะขับรถไปส่งผมตลอดเลยทำให้ผมกับพี่บอสค่อนข้างจะสนิทกัน
“ ทำสายโฆษณาหนะงานมันหนัก ถ้ามีแฟนก็คุยกันดีๆนะ เดี๋ยวจะมีปัญหา ” พี่บอสพูด
“ ไม่ต้องกลัวมีปัญหาหรอกคับพี่ เพราะผมไม่มีแฟน ” ผมพูดออกไปด้วยใจที่สั่นเล็กๆ
“ หน้าตาอย่างเราเนี่ยนะไม่มีแฟน พี่ไม่อยากจะเชื่อ ” พี่บอสพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“ จริงสิพี่ ” ผมพูด
“ งั้นดีเลยแบบนี้ ” พี่บอสพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมอดแปลกใจไม่ได้
“ อะไรนะพี่ ” ผมพูด
“ ป่าวๆ.. ก็งานมันเยอะพี่กลัวว่าฟรอยจะมีปัญหาแฟน ถ้าไม่มีแฟนพี่จะได้ใช้งานฟรอยหนักกว่านี้ได้ไง” พี่บอสพูด
“ โห... แค่นี้ก็ทำไม่ทันแล้วคับ ยังจะหนักกว่านี้อีกเหรอ ? ” ผมพูด
“ เฮ้ยไอ้บอส.. มาดูตัว artwork นี่หน่อยดิ๊ ” เสียงพี่ฉินตะโกนเรียกพี่บอส
“ เออๆ.. ” พี่บอสพูดแล้วก็ใช้เท้าขยี้ขี้บุหรี่ที่เพิ่งทิ้งลงพื้น
“ พี่บอสเข้าไปก่อนนะคับ เดี๋ยวผมตามเข้าไป ” ผมพูด
“ รีบๆเข้าไปนะ น้ำค้างมันแรงเดี๋ยวจะไม่สบายเอา ” พี่บอสพูดก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศ
ผมลงนั่งที่พื้นพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มองไม่เห็นดาวเท่าไหร่นัก
“ ใช่สิ.. เรามันคนไม่มีแฟน ” ผมพูดกับตัวเอง
หลายสิ่งหลายอย่างที่พี่บอสทำให้ผม
เป็นห่วงผม..
คอยดูแลผม...
มันทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกดีมากๆ มันเป็นความรู้สึกดีที่จับต้องได้และแน่ใจว่ามันมีตัวตนจริงๆ
ผมเหมือนคนอ่อนไหว เปราะบาง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวในใจ
พี่บอสเปรียบเสมือนพี่ชายที่แสนดีของผม พี่ชายที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
เรื่องราวแบบนี้มันคล้ายเดิมจนทำให้ความทรงจำเก่าๆในอดีตของผมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องราวของเรา... ผมและพี่โฟน
มันเริ่มต้นจากการเป็นพี่ชายที่แสนดีและการถูกรัก
เรื่องความรักของผมกับพี่โฟนเริ่มต้นขึ้นตอนผมอยู่ปีสาม
ตอนปีสามผมต้องเรียนวิชาดีไซน์ ซึ่งวิชานี้จะมีอาจารย์จากคณะศิลปกรรมมาสอนให้
ในส่วนของการสอน อาจารย์เค้าจะเอาเด็กศิลปกรรมมาช่วยสอนด้วยในบางเรื่อง
ทำให้ผมกับพี่โฟนได้เจอกัน แน่นอนคับ.. ว่าเด็กจากคณะศิลปกรรมที่มาสอนคนนั้นคือพี่โฟน
ตอนนั้นพี่แกเรียนอยู่ปีสี่
จากความสัมพันธ์ของอาจารย์กับลูกศิษย์ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่เชิงว่าจะเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ซะทีเดียว
มันเป็นลักษณะของพี่สอนน้องมากกว่า เพราะในคลาสทุกคนก็จะเรียกพี่โฟนว่า “ พี่ ” กันทุกคน
ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเริ่มจากตรงนั้น
พี่โฟนค่อนข้างจะสนิทกับกลุ่มผมเป็นพิเศษ เพราะว่ากลุ่มผมมีแต่คนเฮฮาแล้วก็ตลก ช่างพูดช่างคุย
หลายครั้งเวลากลุ่มพวกผมไปไหนกันก็จะชวนพี่โฟนได้ด้วย ซึ่งแกก็ไม่ค่อยจะปฏิเสธคำชวนของพวกผมเลย
ทำให้ทริปของพวกผมไม่ว่าจะเป็นทริปเล็กหรือทริปใหญ่ ก็จะมีสมาชิกที่ชื่อว่า “พี่โฟน” อยู่ด้วยเสมอ
พี่โฟนกับผมก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ตอนนั้น
ความรักของเราสองคนมันเริ่มตรงที่ความใกล้ชิดนี่แหละคับ
พี่โฟนเป็นคนที่เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอรวมถึงผมด้วย
เค้าจะคอยดูแลเทคแคร์ตลอดทั้งที่ผมเป็นผู้ชาย
ตอนแรกๆเราก็เหมือนเป็นพี่ชายน้องชายกัน
แต่แล้วระยะห่างของความรู้สึกของเราสองคนมันก็ค่อยๆสั้นๆลงเรื่อยๆ
แม้ว่าผมจะพยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอด เพราะพี่โฟนเป็นผู้ชาย
แต่เรื่องของความรู้สึกมันก็เกินจะห้ามได้
ใจผมเปิดรับพี่โฟนโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าในใจผมมีพี่โฟนตั้งแต่เมื่อไหร่
“ นั่งเหม่ออะไรอยู่คนเดียวหืม.... ” เสียงใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น
ผมจึงหยุดความคิดแล้วหันมามอง.... อ่อ.. พี่ฉิน
“ เป็นอะไร.. ทำไมต้องตกใจด้วย ” พี่ฉินพูด
“ ก็พี่มาเงียบๆหนิคับ ” ผมพูด
“ นายนั่นแหละนั่งเหม่ออะไรอยู่ พี่เรียกตั้งหลายรอบแล้ว ” พี่ฉินพูด
“ เหรอคับ.. คิดอะไรเรื่อยเปื่อยหนะคับ ” ผมพูด
“ นายมีอะไรในใจรึป่าว? ทำไมพี่เห็นนายเหม่อๆบ่อยจัง ” พี่ฉินพูด
“ นิดหน่อยคับ ” ผมพูด
“ เอ่อ... เรื่องวันนั้น... พี่.. ขอโทษนะ ” พี่ฉินพูด
“ ไม่เป็นไรหรอกคับ ” ผมพูด
“ เพราะแฟนนายรึป่าว?... นายถึงได้... เอ่อ... ดูเหงาๆแบบนี้ ” พี่ฉินพูด มันเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจผมเต็มๆ ทั้งที่ผมพยายามที่จะเข้มแข็งแต่ผมก็ทำไม่ได้สักที ผมต้องอดกลั้นความเศร้าใจทั้งหมดไว้ภายในใจแต่ผมก็ทำไม่ได้
“ พี่... พี่... ขอโทษๆ.. ” พี่ฉินมีท่าทางอึกอักเมื่อเห็นว่าผมเริ่มที่จะร้องไห้
“ ไม่เป็นไรหรอกคับ.. ผมเองต่างหากที่อ่อนแอเอง... พี่ไม่ผิดหรอก ” ผมพูดไปร้องไห้ไป
พี่ฉินคงเห็นว่าผมอ่อนแอมากเต็มทีแกก็เลยดึงผมเข้าไปกอด
“ ไม่เป็นไรนะ... คนเราไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอดหรอก... ร้องออกมาเหอะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเอามือลูบที่หลังผมเป็นการปลอบโยน
“ ผม... ผมผิดเอง... เรื่องทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้... ” ผมพูดแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะร้องไห้จนตัวโยน
“ อย่าโทษตัวเองสิ.. ” พี่ฉินพูด
“ เพราะผม...มันเป็นเพราะผม ” ผมยังรำพึงรำพันอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“ อยากระบายมั้ย.. พูดกับพี่ได้นะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
“ ถ้าวันนั้นผมทำตามใจตัวเอง เรื่องของผมกับพี่โฟนคงไม่ลงเอยแบบนี้ ” ผมพูด
หลังจากที่พี่ฉินได้ยินที่ผมพูด พี่ฉินก็จับที่ไหล่ผมแล้วผละออกทำให้เราเผชิญหน้ากันอยู่
พร้อมกับพูดว่า
“ บางทีคนเราก็ต้องทำตามใจตัวเองบ้าง... รู้มั้ย ”
“ มาตอนนี้.. ผมรู้แล้วคับ ” ผมพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ นายอย่าโทษตัวเองเลยนะกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วหนะ... เดี๋ยวก็เป็นบ้ากันพอดี ” พี่ฉินพูด
“ แต่มันเป็นเพราะผมจริงๆนี่คับ” ผมพูด
“ ยังไง.. ” พี่ฉินพูด
“ เรื่องของผมกับพี่โฟน.... ผมยอมรับตัวเองไม่ได้ว่าผมรักผู้ชายด้วยกัน..... ตอนนั้นเพื่อนผมในกลุ่มก็มีคนแอบชอบพี่โฟนอยู่ด้วย ผมเลยปฏิเสธใจตัวเองมาตลอด จนถึงวันนั้น..... ” ผมพูดมาถึงตรงนี้น้ำตามันก็ไหลออกมาอีก พี่ฉินจึงเอามือบีบเบาๆที่ไหล่ผมเป็นการให้กำลังใจ
“ วันนั้นเป็นวันที่พี่โฟนบอกรักผม จริงๆผมรู้อยู่แล้วว่าพี่โฟนรักผม เพียงแต่พี่เค้าไม่เคยพูด ความสัมพันธ์ของเรามันเกินคำว่าพี่น้อง.. แต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดแฟนกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่โฟนดีกับผมทุกอย่าง พี่โฟนยอมผมทุกเรื่องและพี่เค้าก็รอผมมาตลอด ผมรู้ดีแก่ใจว่าพี่โฟนรักผมมากแค่ไหน แต่... ผม... ผมกลับบอกปฏิเสธไปเพราะความขี้ขลาด.... แล้ว.... พี่เค้าก็..... ”
ผมปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ พี่ฉินจึงดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ผมไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับใครได้เลย แม้ว่ากับเพื่อนสนิทในกลุ่ม ผมพยายามตีตัวออกห่างจากกลุ่มเพื่อนๆ เพราะผมอดที่จะนึกถึงภาพเก่าๆที่มีพี่โฟนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไม่ได้ ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะกลับไปอยู่ที่เดิมๆที่ทำให้ผมคิดถึงพี่โฟน ผมจึงไม่ติดต่อกับเพื่อนๆคนไหนเลยตั้งแต่เรียนจบ
“ คนเราต้องอยู่กับปัจจุบันนะรู้มั้ย.... อดีตมันเป็นเพียงแค่บทเรียนให้เราเรียนรู้ที่จะไม่ผิดพลาดกับปัจจุบันอีกก็เท่านั้นเอง ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเอามือลูบหัวผม
“ ถ้าผมยอมรับใจตัวเอง.. พี่โฟนคงไม่จากผมไปแบบนี้ ” ผมพูดอย่างสะอึกสะอื้น
“ เฮ้อออ... เรื่องแบบนี้มันก็พูดยากนะ ” พี่ฉินพูด
จากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ผมก็ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของพี่ฉิน
ผมมานึกๆดูมันก็น่าแปลกว่าทำไมผมถึงเล่าเรื่องวันนั้นให้พี่ฉินฟัง ทั้งๆที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ผมเก็บมันไว้ในใจมาตลอด แม้ว่าจะอึดอัดใจแต่ผมก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
แต่ผมกลับเล่าให้พี่ฉินฟังพร้อมกับแสดงความอ่อนแอที่มีออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม
ผมว่าคงเป็นเพราะพี่ฉินเข้ามาในตอนที่ความอดกลั้นของผมมันเต็มพิกัดพอดี
ผมจึงระบายมันออกมาเสียหมดอย่างห้ามไม่อยู่อีกแล้ว
บางทีการที่เราได้ระบายอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันมันก็ให้ความรู้สึกไปอีกแบบนะคับ
“ ทีหลังมีอะไรก็ระบายออกมาบ้างรู้มั้ย.... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเอามือมาเขย่าๆที่หัวผม ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ
“ ดูดิ๊..ตาบวมหมดแล้ว ” พี่ฉินพูด
“ ก็ร้องไห้นี่คับ.. ตาก็ต้องบวมดิ ” ผมพูด
“ ฮึฮึ.... กลับมาเก่งเหมือนเดิมแล้วดิ ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางหมั่นเขี้ยว
“ ผมก็เก่งอยู่ตลอดแหละคับ ” ผมพูดด้วยท่าทางกวนบาทา
“ เออ... เอ็งเก่ง... แล้วเมื่อกี๊ใครว่ะที่มันร้องไห้กอดพี่อยู่เนี่ย.... ” พี่ฉินพูด ผมก็เลยมองค้อนกลับไปแล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า
“ ไปทำงานดีกว่า.. เดี๋ยวเจ้านายเค้าจะหาว่าอู้ ” ผมพูดแล้วก็เดินกลับเข้าไปในออฟฟิศโดยที่ไม่รอพี่ฉิน แต่ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะพี่เค้าตามหลังมา
#########################################################################
-
:m4: กลับมาก็น่ารักเลย อุ่นๆหัวใจดีค่ะบทนี้ ตาฉินก็อ่อนโยนเป็นนิ แล้วพี่บอสนี่แอบคิดอะไรกะฟรอยด้วยปะเนี่ย
ยังไงรักษาสุขภาพด้วยนะจ๊า คนอ่านเป็นห่วง ตอนหน้าค่อยมาลงหลังหายดีแล้วก็ได้เน้อ :L2:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
อ่าครับพี่ฉินแปลกๆไปนะครับ
หรือหันมาสนใจฟรอยของเราแล้ว อิอิอิ
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
น่ารักจริงๆ พี่ฉิน
o13 :m4:
-
อ่า เรื่องนี้น่าสนใจดีจัง รอติดตามอ่านต่อนะครับ แต่เง้อ เศร้าใจจัง ดูเหมือนจะจากกันไปด้วยไม่ดีเท่าไหร่นะนั่น
-
:pig4:
-
ไม่รู้ว่านายเอกของเราจะเศร้าไปถึงไหนก็ไม่รู้
ฟรอยเลิกเศร้าแล้วหันไปคบกับพี่ฉิน
เรื่องมันผ่านก็ไปแล้ว จะเก็บมาคิด มาจดจำอีกทำไม มองไปข้างหน้าดีกว่า
:เฮ้อ: ไม่สบายแล้วยังห่วงคนอ่านอีก :man1:
รักษาตัวให้หายป่วยไวๆ มีคนเค้าเป็นห่วงอยู่หลายคนนะ :L2: :L1:
-
เรื่องแบบนี้ลืมยากนะคับ
ยิ่งเป็นคนคิดมาก ยิ่งลืมยาก
สู้ๆคับ
-
ลืมไม่ได้หรอกเนอะเรื่องแบบนี้
อย่าลืมเขาเลย แต่ก็ต้องทำใจ
และยอมรับให้ได้จะดีกว่า
-
สนุกมากค่ะ :m1: สงสัยพี่บอสจะมาชอบฟรอยรึเปล่าเอ่ย ขอตอนต่อไปเร็วๆน้า
-
พวกพี่ๆทำตัวน่าสงสัย :t2:
-
เย้ๆ กรมาต่อแล้ว
หายเร็วๆน้า อ้อเป็นกำลังใจให้ :L2: :กอด1:
ปล. ชอบพี่ฉินอ่ะ :m1:
:oni1:
-
หายป่วยแล้วเหรอจ๊ะ รักษาสุขภาพด้วยนะอย่าหักโหมงานมากนัก
ตอนต่อไปขอยาวๆนะ อิอิอิอิ (ไม่งก)
-
เปงกำลังใจให้คนแต่ง
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
มาต่อไวๆนะ
-
:L1:เรื่มปรับตัวเข้าหาคนอื่นแบบนี้ อีกไม่นานคงเปิดหัวใจ ให้คนเข้าไปแง้มดูมั่งละ
ตอนนี้ก็เริ่ม :o8: แล้ว แต่คงต้องรอตอนต่อไปว่า อะไรจะเกิดขึ้น ระหว่างเพื่อนรัก 2 คน
ดอกไม้เยี่ยมไข้ :L2: แม้ว่าจะมาไม่ทัน เพราะพึ่งรู้ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
เป็นห่วง และคิดถึงเสมอ :กอด1: ให้หายคิดถึง และจะรอตอนต่อไป นะ กร :bye2:
-
........ถ้าลืมไดง่ายก็คงไม่มีคำว่าอดีต..... :o12: :o12:
-
หวาดเดคราบบบ พี่กร จำได้อะเปล่า ตามมาอ่านทันละ เหอะๆๆ ช่วงนี้สอบด้วยละเลยไม่ค่อยได้เข้ามา เหลืออีกสองตัวก้อปิดเทอมละ ชอบๆๆๆเรื่องนี้จังงง น่ารักดี ยังไงพี่กรก้อดูแลสุขภาพด้วยน้า
-
คนแต่งสู้ ๆ น๊า o13
-
มาต่อแล้วววววววววววววววววววววว
แควนๆๆๆๆๆ.............
ไม่รู้ว่ายังอยู่กันบ้างป่าว.......
กรมาต่อแล้วน๊า.... ทุกๆคน....
จะด่าจะว่า... ก็ตามสบายเลย.....
ยอมรับ.................
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
รับรัก..... ( -_-)
“ ถึงไหนกันแล้วจ๊ะหนุ่มๆ.. มาทานอะไรรองท้องกันหน่อยมา ” พิ้งพูดพร้อมกับหิ้วของกินพะรุพะรังเข้ามา
“ ใกล้จะเสร็จแล้วหละ... รอแค่ Storyboard เสร็จก็เรียบร้อยแล้ว ” ผมเป็นคนหันไปตอบพิ้ง
“ พิ้งซื้อบะหมี่เป็ดเจ้าที่ฉินชอบมาด้วยนะ... มากินก่อนม่ะ ” พิ้งพูดพร้อมกับชูถุงที่หิ้วอยู่ที่มือให้ผมดู
“ แหม... รู้ใจกันดีจังนะ ” ไอ้บอสดันปากดีแซวขึ้นมาทำให้พิ้งถึงกับหน้าแดงเดินไปที่ห้องครัว
“ ปากดีนะเมิง.. เดี๋ยวก็ไม่ต้องแดกเลย ” ผมพูดทีเล่นทีจริงกระแทกมันกลับไป
“ แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลยนะเมิง... ดุเชียว... กัดมั้ยเนี่ย?? ” ไอ้บอสก็ดันยังจะแซวผมกับมาอีก
“ เออกูยอม.. ” ผมหยุดต่อปากต่อคำกับมันแล้วเดินตามพิ้งเข้าไปที่ห้องครัว
ผมเห็นพิ้งกำลังกุรีกุจอกับการจัดแจงของกินอยู่บนโต๊ะเลยเดินเข้าไปช่วย
“ โห... ซื้อมาเยอะจัง ” ผมพูดเมื่อเห็นของกินที่พิ้งซื้อมา
“ ก็มีหมี่เป็ด ขนมหวาน แล้วก็ผลไม้อีกสองสามอย่าง เชื่อพิ้งเหอะ.. เดี๋ยวก็หมด ” พิ้งพูดทั้งที่กำลังล้างผลไม้อยู่ด้วย
“ มาฉินช่วย ” ผมพูดพร้อมกับตรงเข้าไปช่วยพิ้งล้างผลไม้
“ งั้นเดี๋ยวพิ้งปอกผลไม้เลยแล้วกัน ” พิ้งพูด ผมก็เลยยิ้มให้เธอ
ช่วงที่พิ้งปอกผลไม้ผมก็คุยกับพิ้งไปเรื่อยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานเสียมากกว่า
“ เหนื่อยมั้ย.. หน้าฉินดูเหนื่อยมากเลยรู้มั้ย? ” พิ้งพูดขณะที่ผมกำลังเติมเครื่องปรุงลงบนบะหมี่เป็ดตรงหน้า
“ ก็นิดหน่อยหนะ.. งานมัน Date Line แล้วก็เลยต้องเร่งกันหน่อย ” ผมพูดด้วยท่าทางล้าๆ
“ จริงๆฉินกลับไปก่อนก็ได้นะ... บอสก็อยู่ทั้งคน พิ้งว่าไม่น่ามีไรน่าเป็นห่วงนะ ” พิ้งพูด
“ งานนี้มันเป็นงานใหญ่ ฉินเลยต้องลง Detail เยอะหน่อยหนะ.. ” ผมพูด
“ เดี๋ยวพิ้งนวดให้ดีกว่า ” พิ้งพูดพร้อมเริ่มลงมือนวดให้ที่ต้นคอผม ผมอดที่จะปฏิเสธไม่ได้แต่พิ้งก็ไม่ยอม ซึ่งผมก็ยอมรับว่ามันช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายดีจัง
“ ขะ..ขอโทษคับ ” เสียงฟรอยพูดตะกุกตะกัก ผมกับพิ้งจึงหันไปมอง ก็เห็นฟรอยยืนอยู่ด้วยท่าทางเกรงๆ พิ้งก็เลยพูดขึ้นมาว่า
“ มาเอาของไปทานสิฟรอย.. มา.. ช่วยพี่ยกออกข้างนอกหน่อย ”
“ คะ.. คับ ” ฟรอยยังคงพูดด้วยหน้าตาตื่นๆ
เราสามคนก็เลยช่วยกันยกของกินออกมาข้างนอก
“ เห็นมั้ยฉิน... พิ้งบอกแล้วว่ายังไงก็หมด ” พิ้งพูดขณะที่กำลังล้างจานอยู่
“ ก็ตอนแรกฉินเห็นมันเยอะหนิ... ไม่คิดว่าจะกินกันหมด ” ผมพูด
“ จริงๆก็ได้น้องฟรอยนั่นแหละ... ดูท่าทางไม่น่าจะทานเก่ง ” พิ้งพูด
“ สงสัยคงจะหิ้วมากแหละ... ตอนเที่ยงก็เห็นไม่ได้ลงไปกินข้าว ” ผมพูด
“ นี่ฉิน... ใช้งานน้องเบาๆหน่อยนะ เดี๋ยวน้องเค้าก็หนีไปพอดี ” พิ้งพูดแซวผม
“ ไม่หรอกน่า... นิดหน่อยเอง ” ผมพูด
จากนั้นเราก็นั่งเคลียร์งานให้เรียบร้อยกันอีกครั้งก่อนที่จะไปพรีเซ็นต์ลูกค้ากันในวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ ฟรอยกลับกับพี่แล้วกันนะ ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิ ” ผมหันไปพูดกับฟรอยขณะที่เดินออกมาจากออฟฟิศ
“ กูว่าเดี๋ยวกูไปส่งฟรอยเองแล้วกัน เพราะเมิงต้องไปส่งพิ้งอีก ” ไอ้บอสพูด
“ แต่ยังไงบ้านฟรอยก็ทางเดียวกะกูอยู่แล้ว เมิงจะได้ไม่ต้งอ้อมไปอ้อมมา ” ผมพูดไม่รู้ทำไมจู่ๆก็รู้สึกอยากจะเอาชนะมัน
“ ผมว่าผมกลับเองดีกว่าคับ พวกพี่จะได้ไม่ต้องลำบาก ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง ” ไอ้บอสหันไปพูดกับฟรอย
“ คุยอะไรกันอยู่จ๊ะหนุ่มๆ ” พิ้งพูดขึ้นทันทีที่เดินมาถึง หลังจากที่เธอเพิ่งไปเข้าห้องน้ำมา
“ ไม่มีไรหรอกพิ้ง... ไปๆแยกย้ายพรุ่งนี้ต้องมาเจอกันแต่เช้าอีก ” ไอ้บอสรีบพูดรวบรัดตัดตอน
“ พรุ่งนี้เจอกันนะบอส.. น้องฟรอยด้วย” พิ้งพูด
ส่วนผมก็ได้แต่ยืนนิ่งๆพร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กะอีแค่แย่งกันไปส่งฟรอยไม่รู้ทำไมผมถึงต้องเอามาเป็นอารมณ์ด้วย
น่าแปลกนะคับที่บางทีเรายังไม่เข้าใจความรู้สึกตังเองเลย
“ สวัสดีคับพี่ฉิน... พี่พิ้ง ” ฟรอยพูด ก่อนที่จะเดินไปกับไอ้บอส
“ เป็นไรรึป่าวฉิน... กลับกันเถอะจะได้รีบกลับไปพักผ่อน ” พิ้งพูดพร้อมกับเขย่าแขนผมเบาๆ
“ อืม... ” ผมหันมาพูดกับพิ้งก่อนที่จะเดินไปที่รถ
“ พิ้งว่า.... ฟรอยนี่เค้าน่ารักดีนะ ดูท่าทางสาวๆคงจะติดเยอะ ” พิ้งพูดขณะที่อยู่บนรถ
“ หนุ่มๆละสิไม่ว่า... ” ผมพูดด้วยความหมั่นไส้เล็กๆที่กำลังก่อเกิดขึ้นในใจ
“ ว่าไงนะฉิน... ” พิ้งพูดพร้อมกับเอามือเบาเสียงวิทยุที่เปิดอยู่
“ ปล่าวหรอก.. ไม่มีอะไร ” ผมพูด
“ ฟรอยนี่ก็คงรุ่นๆเดียวกับชายเนอะ...” พิ้งพูด
“ อืม.... ” ผมตอบกลับไปด้วยความรู้สึกหวิวๆในใจ
“ เอ่อ... พิ้งขอโทษนะ... ที่พูด ” พิ้งพูด
“ ไม่เป็นไรหรอก... ผมทำใจได้แล้ว ” ผมพูด
“ พิ้งอยากให้ฉินรู้นะ... ว่ายังไงฉินก็ยังมีพิ้งที่ยังคอยเป็นห่วงฉินอยู่ ” พิ้งพูดสื่อความหมายบางอย่างซึ่งผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าพิ้งคิดยังไงกับผม
“ อืม... ฉินรู้.... ” ผมพูด
“ พิ้งอยากดูแลฉินให้ได้มากกว่านี้นะ... ถ้าฉินพูดมาคำเดียวว่า.......... ” ในขณะที่พิ้งกำลังพูด ผมก็พูดขัดขึ้นมาก่อนว่า
“ ยังมีคนที่ดีกว่าฉินอีกเยอะ... พิ้งอย่ารอฉินเลย ” ผมพูดในสิ่งที่ผมคิด ผมยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจรับใคร ผมไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนแต่ผมรู้แต่ว่ามันคงยังไม่ใช่ตอนนี้
“ แต่พิ้งอยากให้ฉินรู้.... ว่ายังไงพิ้งก็คงจะยังไม่เลือกใคร ถ้าคนนั้นไม่ใช่ฉิน ” พิ้งพูด
“ พิ้งอย่ามาเสียเวลากับฉินเลย ” ผมพูดเพียงเพราะไม่อยากให้เธอมารอคอยคนอย่างผม คนที่ไม่รู้ว่าจะรักใครได้อีกรึป่าว?
“ ฉินยังไม่ลืม.. หวาน ใช่มั้ย? ” พิ้งพูดด้วยท่าทางเกรงๆ ผมหันไปมองหน้าเธอ ผมเห็นใบหน้าของพิ้งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ผมก็.... ไม่กล้าพอที่รับรักเธอในขณะที่จิตใจผมมันอ่อนแอขนาดนี้ หรือผมจะรับรักเธอเพียงเพราะความสงสาร
“ ฉินอยากให้พิ้งรู้นะ... ว่ายังไงฉินก็ไม่มีวันลืมหวาน ” ผมพูดเสียงเรียบ
“ แต่หวานเค้าไม่อยู่กับฉินแล้วนะ... ฉินยังต้องมีชีวิต.. ยังต้องเดินไปข้างหน้า พิ้งว่าหวานคงไม่หมดห่วงฉิน ถ้าฉินยังเป็นแบบนี้อยู่” พิ้งพูดเหมือนต้องการจะเตือนสติผม แต่เธอมาพูดในช่วงจังหวะที่มันไม่เหมาะสม
“ ฉินว่าพิ้งคงเข้าใจอะไรผิดแล้วหละ... เพราะฉินคิดกับพิ้งแค่เพื่อน ” ผมพูด ผมรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ดีนักหากเธอได้ยินมันออกจากปากผม แต่ผมคงต้องพูดกับเธอเสียที
“ ทำไมฉิน... พิ้งไม่ดีตรงไหน ” พิ้งพูดด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าที่สวยงามของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“ มันไม่ใช่ว่าพิ้งไม่ดี แต่ฉินยังไม่อยากเปิดใจรับใครต่างหาก สถานะภาพระหว่างเราก็คือเพื่อนกัน ” ผมพูด
“ แต่ก่อนที่หวานกับฉินจะคบกันมันก็เริ่มจากความเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ? ” พิ้งพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“ ฉินว่าเราเริ่มพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ.... ถึงบ้านพิ้งแล้ว... พิ้งกลับไปทบทวนสิ่งที่ฉินพูดแล้วกัน ฉินว่า... พิ้งคงจะเข้าใจฉินมากกว่าตอนนี้ ” ผมพูด
พิ้งไม่พูดอะไร เธอหยิบกระเป๋าของเธอก่อนที่จะเดินลงรถไปเงียบๆ
ใช่... ผมไม่เถียง....
พิ้งเป็นคนสวย... น่ารัก... ทำงานเก่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายหลายคนอยากครอบครอง
มีผู้ชายหลายคนที่ตกหลุมรักเธอจนถอนตัวไม่ขึ้น
แต่สำหรับผม... ในตอนนี้ผมมองเธอเป็นแค่เพื่อนที่น่ารักคนนึงเท่านั้น
ผมกับหวาน... เราคบกันตั้งแต่ตอนที่เราเรียนมหาลัยด้วยกัน
หวานเป็นคนน่ารักคับแล้วก็นิสัยดีมากๆ เธอเป็นคนยิ้มเก่ง
ผมเห็นเธอยิ้มทีไรผมต้องเขินทุกที จนต้องยิ้มตามเธออย่างห้ามไม่ได้
ความรักระหว่างผมกับหวานมันเริ่มจากความเป็นเพื่อน
ตอนแรกที่ผมเห็นหวาน... ผมอดที่จะละสายตาจากเธอไม่ได้เลย
แต่ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมจึงต้องรักษาระยะห่างระหว่างเรา
จนวันนึงของหน้าหนาว..... ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี
กลุ่มไปเที่ยวปายด้วยกัน..
คืนนั้นเป็นคืนที่ดาวเต็มท้องฟ้า.....
ผมและเพื่อนๆนั่งดูด้วยกันรอบๆกองไฟ
บรรยากาศมันดีมากๆคับ...
สุดท้ายในค่ำคืนที่แสนพิเศษนั้น มันก็กลายเป็นค่ำคืนที่พิเศษที่สุด
และผมจะไม่มีวันลืม........
เพราะมันเป็นวันที่หวานเปิดใจบอกรักผม....
ผมแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย.....
ว่าคนที่ผมแอบรักเค้าจะแอบรักผมเหมือนกัน...
ผมจึงไม่สามารถปฏิเสธใจตัวเองได้อีก
ผมจึงรับรักเธอ.... และมอบหัวใจผมให้หวานเป็นคนดูแล
ผมนึกอะไรเพลินๆจนต้องเตือนสติตัวเองให้อยู่กับการขับรถเพราะฝนเริ่มตกหนักอีกแล้ว
นับจากวันนั้นมา
พอฝนตกทีไร.....
ผมต้องนึกถึงฟรอยทุกที
ไม่นึกว่าจะมีคนชอบหน้าฝนขนาดนี้
ช่วงที่คิดถึงฟรอยไปเพลินๆสายตาผมก็เห็นใครคนนึงกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่กลางสายฝน
ในใจก็อดนึกไม่ได้ว่าจะเจอคนแปลกๆที่ชอบเล่นน้ำฝนอย่างฟรอย
มองดูแล้วก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แถมดึกขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนเพี้ยนมากระโดดโลดเต้นอยู่กลางสายฝนแบบนี้
แต่พอขับรถเข้าไปใกล้ๆก็ยิ่งอดแปลกไม่ได้เป็นสองเท่า
เพราะไอ้คนที่กระโดดโลดเต้นอยู่กลางสายฝนหนะ คือ.... ฟรอย
##############################################################
-
^^^^
^^^
^^
^
:mc4:
จิ้มคับ
แล้วฟรอยมาเล่นน้ำฝนทำไมอ่ะ
เอาใจช่วยงาน แล้วมาต่อกันด้วยนะคับ
-
รู้สึกว่าได้อ่าน แต่ไม่อิ่ม
:laugh:
กร.... ทำงานเป็นไงบ้าง ท่าทางหนักเอาการ
ส่วนเรื่องนี้ เราชอบนะ
ว่ามันแฝงๆอารมณ์และวิธีการเขียนที่มีชั้นเชิงมากขึ้นนะ
ฟรอย...................
วันนี้ผมก็เล่นน้ำฝนนะ แต่ไม่ได้เล่นคนเดียว :กอด1:
:L1:
รักษาสุขภาพกายและใจให้ดี เข้มแข็งเข้าไว้นะครับ
สู้ๆๆๆ
-
:o8:ชอบมากเลยอ่ะ
....อูยทำไมแต่ได้ฟิลลิ่งแบบนี้
เราก็ชอบหน้าฝน ชอบมากเลยด้วย อยาดอ่านนิยายที่เกี่ยวกับฤดูฝน ชอบสุดๆ
ปล.ขอแบบยาวๆได้ไหมอ่า ไม่ค่อยจุใจ นานๆทีอัพ
-
น่าติดตามมากขึ้นเรื่อยๆเลย มาต่อเร็วๆน้า
-
ฝนตกเย็นฉ่ำ
รุกล้ำเข้ากาย
แต่ใจไม่วาย
ร้อนรุ่มเกินทน
:pig4:จบตอนได้น่าติดตามดีค้าบ :L1:ฝากให้คนแต่ง :t2:
-
มาแล้วๆ ฟรอยชอบเล่นน้ำฝนจริงๆเลย :m1:
-
:m4: ดีใจจังที่ กร กลับมาต่อให้ แต่ทำไมมันสั้นจังละครับ แต่ก็ดีกว่าหายไปเฉย ๆ ใช่เปล่า
:m23: อย่าโกรธนะ แค่แซวเล่นเฉย ๆ เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 และขอ :กอด1: ให้หายคิดถึง
กลับเข้าเรื่องดีกว่า ฟรอย กำลังสนุกกับการเล่นน้ำฝน แล้วจะรู้ไหมว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง :a4:
มาติดตามตอนต่อไป รักษาสุขภาพด้วยนะกร ระวังเป็นหวัด อย่าไปเล่นน้ำฝนกับฟรอยละ :L1: :bye2:
-
มาลงชื่อว่ารักเรื่องนี้จ้า
-
มาตามๆๆๆๆๆ
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
พี่ฟรอยเป็นไรอ่าครับ อิอิ
แล้วพี่ฉินเป็นไรอ่าครับ ผมว่าเริ่มชอบพี่ฟรอยแล้วนะ
เพียงแต่ไม่รู้ตัวมั้ง
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
........ฝนตกจากฟ้าไม่นานก็หาย.....แต่ฝนตกในใจกว่าจะคลายก็คงนาน....... :jul1:
-
เข้ามาดุนกระทู้ตัวเอง........ :m29:
มันตกไปอยู่หน้าสองแล้วอ่า.................... :m15:
โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง... ที่ไม่ยอมมาต่อ..... :m31:
เดี๋ยวคืนนี้มาต่อให้แระกัน.... แต่ไม่รับปากนะ... เพราะนี่ยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลย.... :เฮ้อ:
-
^
^
^
จิ้มค่ะ
มาต่อเร็วๆนะคะ
ชอบ....
อยากอ่าน... :oni2:
-
อ่านเเล้วอยากเล่นน้ำฝนน่ะค้ะ
น้ำตาคลอ เพราะ เรื่องนี้ให้ความรุ้สึกที่ตรงกับตัวเอง
เขียนไปเรื่อยๆน่ะค้ะ จะติดตาม
:n1: :n1: :n1:
-
มาดันต่อให้ :mc1:แล้วแวะไปดูกระทุ้อื่น
-
มาดันกระทู้คนอื่น.....(ซะที่ไหน) 5555++++
*** :m1: :m20:
-
โทษทีที่มาต่อให้ช้า.... ตามที่บอกไว้
งานเราเยอะมากๆ
ไม่ค่อยมีเวลาได้ตอบเม้นเลย... แต่เราได้อ่านทุกเม้นนะ....
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน... ดีใจที่คนอ่านชอบ
ทุกๆความรู้สึกดีๆที่มอบให้กัน... หวังว่าคุณก็จะได้รับความรู้สึกดีๆแบบนั้นกลับไปเหมือนกันนะ....
วันนี้มาต่อให้สองฝ่ายเลย... ทั้งพี่ฉินและฟรอย.. เพราะมันต่อเนื่องกัน
อ่านกันได้เลยนะ.....
http://media.imeem.com/m/9TquXtWd
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ชะล้าง..... ความเหงา..... ( -_-)*
รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้คับ
ผมว่าความเหงาที่มันโหดร้ายมากๆก็คือ การที่เรารู้สึกเกิดความรู้สึกเหงาทั้งที่มีคนอยู่รอบกายเราเต็มไปหมด
คุณเคยเป็นมั้ยคับ....
ผมกำลังเป็นอยู่.. ผมว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกที่ผมพูดจริงๆก็ต่อเมื่อคุณได้สัมผัสมัน
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกเหงา
เป็นอีกวันที่ผมคิดถึงพี่โฟน....
พี่บอส... เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายของผมก็ว่าได้
เพราะพี่บอสจะคอยห่วงผมตลอด และนั่นแหละที่เหมือนเป็นชนวนให้ผมคิดถึงพี่โฟนมากยิ่งขึ้น
พี่ชายที่แสนดี....
ที่ทำให้ผมรักจนหมดหัวใจ....
คงเป็นเพราะความเหงา.... จิตใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัวแบบนี้แหละ
ที่ทำให้ผม...
“ มาเล่นน้ำฝนทำไมเนี่ย !!!!! ” เสียงใครคนนึงตะโกนมาจนผมต้องหันไปมอง
แค่เห็นรถผมก็จำได้แล้วคับ เพราะผมนั่งรถคันนี้มาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างก็ไอ้รถคันนี้แหละที่มันเคยทำเสื้อผ้าผมเปรอะไปหมดจนต้องไปทำงานสาย
ผมหันไปมองแล้วหันมากระโดดโลดเต้นท่ามกลางสายฝนเหมือนเดิม
หวังว่า.... น้ำฝนเหล่านี้จะช่วยชะล้างความเหงาจากใจผมได้บ้างนะ
“ ถามว่ามาเล่นน้ำฝนทำไม.. เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ” พี่ฉินพูดเสียงดังเหมือนจะเริ่มโมโหพร้อมกับเอาร่มมาคลุมให้ผม
“ ............................ ” ผมหันไปมองโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ทำไมต้องมาเจอพี่ฉินด้วยว่ะเนี่ย......
“ ไม่สบายแล้วจะลำบาก... ไปกลับห้องได้แล้ว ” พี่ฉินพูดพร้อมกับลากผมไปที่รถ
“ พี่... ปล่อยผม... พี่จะมายุ่งอะไรกับผมเนี่ย.... ” ผมพูดไปตามอารมณ์โดยที่ไม่ได้นึกถึงคนฟังเลยว่าจะรู้สึกยังไง ผมมารู้สึกว่าตัวเองพูดแรงเกินไปก็ตอนที่จู่ๆพี่โฟนก็หยุดเดินซะเฉยๆแล้วก็ปล่อยมือที่จับแขนผมอยู่พร้อมกับเอาร่มยัดใส่มือผมก่อนที่พี่เค้าจะเดินตากฝนกลับไปที่รถ
ผมรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้.... อย่างน้อยผมก็ไม่สมควรพูดกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายแรงขนาดนี้
ถึงจะเป็นเวลาเลิกงานแล้วก็เหอะ.....
ผมก็เลยตัดสินใจวางร่มไว้ที่พื้นแล้วก็วิ่งไปที่พี่ฉิน
“ มีไร... ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางฉุนๆทันทีที่ผมวิ่งไปจับมือพี่เค้า
“ ไหนๆพี่ก็เปียกแล้ว... มาเล่นน้ำฝนกับผมดีกว่า ” ผมพูด
พี่ฉินขมวดคิ้วทันทีที่ผมพูด ผมเลยพูดออกไปว่า
“ แน่จริงพี่จับผมให้ได้ดิ....” แล้วผมก็ออกวิ่งเลยคับ ตอนแรกพี่ฉินก็ยังยืนนิ่งอยู่แต่ไม่นานพี่เค้าก็วิ่งไล่จับผม
“ เฮ้ย... ทำไมวิ่งเร็วจังว่ะ ” พี่ฉินด้วยอาการที่เริ่มหอบเหนื่อยๆ
“ ไม่แน่จริงหนิ... ไล่จับผมแค่นี้ก็ไม่ได้ ” ผมพูดท้าทายพี่ฉินอีกรอบ ผมเห็นพี่ฉินหายใจลึกๆสองทีก่อนที่จะออกวิ่งไล่จับผมอีกครั้ง
“ เฮ้ย........ ” พี่ฉินเอามือคว้าที่เสื้อผมได้แล้วดึงผมเข้าหาตัวพี่เค้าอย่างแรง
“ 55555+.... ในที่สุดก็หนีไม่รอด ” พี่ฉินหัวเราะชอบใจในขณะที่ตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่ฉินเต็มๆ
ใจผมทำไมมันเต้นแรงจัง.........
“ เป็นไง.... แน่มั้ยล่ะ.... ” พี่ฉินพูดและยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างคนมีชัย
“ คับๆ ” ผมพูดด้วยท่าทีคะเขิน ผมจะมาเขินที่เค้าทำไมเนี่ย........
ผมก็เลยผลักพี่ฉินออก แล้วก็รีบเดินหนี
“ เฮ้ย... แพ้แล้วพานหนิ... ” พี่ฉินยังไม่วายตะโกนแซวผมอีกจนได้
“ ผมไม่ได้พานซะหน่อย ” ผมหันไปพูดกับพี่ฉิน
พี่ฉินหัวเราะเหอะๆเหมือนผู้ใหญ่ที่หัวเราะกับความไร้เดียงสาของเด็ก ก่อนที่จะวิ่งที่มาผม
“ ทำไมมายืนเล่นน้ำฝนดึกๆดื่นแบบนี้อ่ะ...” พี่ฉินพูดขึ้นหลังจากที่เราเข้ามาหลบฝนที่ชายคาตึก
“ อยากเล่นก็เลยเล่นคับ... ” ผมพูดเสียงห้วน
“ ยังไม่หายงอนอีกเหรอเนี่ย ? ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเอามือมาบีบจมูกผม
“ ไม่ได้งอน... ผมไปงอนพี่ตอนไหน?? ” ผมพูด
“ ค๊าบๆ... ไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอน ” พี่ฉินพูดแล้วก็หัวเราะ
“ เฮ้ออ.... จริงๆเล่นน้ำฝนมันก็หนุกดีนะเนี่ย.... จำไม่ได้แล้วสิว่าเล่นน้ำฝนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ”
พี่ฉินพูดขึ้นมาทำลายความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“ ก็น่าล่ะ... พี่ไม่ชอบหน้าฝนหนิคับ ” ผมพูด
“ พอมาเล่นตอนโตแล้วมันก็หนุกไปอีกแบบนะพี่ว่า ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท
“ ผมว่าเล่นตอนไหนมันก็สนุกคับ... ถ้าใจเรามันอยากเล่นแล้วเราได้เล่น ” ผมพูด
“ เล่นหนะเล่นได้... แต่ระวังจะไม่สบาย ” พี่ฉินอย่างกับผู้ใหญ่ตำหนิเด็ก
“ ผมไม่ป่วยง่ายๆหรอกน่า.... ” ผมพูดเหมือนกับเด็กเถียงผู้ใหญ่
“ เถียงเก่งจัง..... นี่ถ้าเป็นน้องนะ.... จะตีให้ก้นลายเลย ” พี่ฉินพูด
“ ถึงผมเป็นน้องพี่ก็ไม่ยอมให้พี่ตีง่ายๆหรอก ” ผมพูด
“ อ่ะๆ... ไม่เถียงแล้ว แยกย้ายกันกลับเหอะ พี่หนาวจะแย่แล้ว ” พี่ฉินพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ คับ.. พี่กลับเลยคับ ” ผมพูด
“ อ้าว... แล้วทำไมนายไม่กลับล่ะ.... จะมานั่งทนหนาวทำไม ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางสงสัย
“ คือ.... ผมไม่ได้เอากุญแจห้องมาหนะคับ ” ผมพูด
“ อ้าว.... เค้าไม่มีกุญแจสำรองไว้ให้เหรอ ? ” พี่ฉินพูด
“ มีคับ... แต่วันนี้เจ้าของอพาร์ทเม้นเค้าไม่อยู่หนะคับ ก็เลยเข้าห้องไม่ได้ ” ผมพูด
“ เฮ้ออออ... งั้นไปนอนห้องพี่แล้วกัน ” พี่ฉินพูด
“ เอ่อ... ผมว่าผมนั่งแถวนี้ก็ได้คับ ไม่รบกวนดีกว่า ” ผมพูดอย่างเกรงใจ
“ จะมาเกรงใจทำไม... เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก... ไปๆนอนห้องพี่นี่แหละ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเอามือหยิบกระเป๋าเป้ของผมไปถือไว้
“ คับ ” ผมพูดแล้วก็เดินตามพี่ฉินไปเงียบๆ เพราะเอาจริงๆผมก็เริ่มหนาวแล้วล่ะคับ ก็ตัวมันเปียกโชกไปทั้งตัวเลยนี่
#########################################################################
-
ชอบเรื่องนี้ครับ มีทั้งความเหงาปนอบอุ่น
รออ่านตอนต่อไป :m1:
-
อันนี้อีกอันนึงนะ....
ต่อให้สองอันเลย....
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ชะล้าง..... ความเหงา..... ( -_-)
“ อ่ะ... รีบๆไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ” ผมพูดพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวให้ฟรอย
“ ขอบคุณคับ ” ฟรอยพูดแล้วก็รับผ้าเช็ดตัวที่ผมยื่นให้เอาไปเช็ดหัว
“ เข้าไปอาบน้ำเลย... ห้องน้ำอยู่โน่น ” ผมพูดแล้วก็ชี้ไปที่ห้องน้ำด้วยท่าทีดุๆหน่อย
“ แล้วเสื้อผ้าล่ะคับ... ” ฟรอยพูด
“ เดี๋ยวเอาไปให้ นายรีบๆไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเป็นไข้ ” ผมพูดอย่างเป็นห่วง
“ คับ ” ฟรอยพูดแล้วก็เดินไปที่ห้องน้ำ
ก๊อก ๆ ๆ ๆ....
ผมเคาะประตูห้องน้ำเรียกฟรอย เพื่อเอาเสื้อผ้าให้
“ เดี๋ยวคับจะเสร็จแล้ว ” ฟรอยตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ
ผมยืนรอที่หน้าห้องน้ำสักพักฟรอยก็เปิดประตูออกมาโดยที่นุ่งผ้าเช็ดตัว ผมเห็นแล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าใจมันเต้นแปลกๆ ทั้งที่ฟรอยก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมนี่ท่าจะบ้าแล้ว
“ มีไรรึป่าวคับ ” ฟรอยถาม มันคงสงสัยที่เห็นผมยืนมองมันนิ่งๆไม่พูดไม่จา
“ ป่าวๆ.. ไม่มีไร อ่ะนี่เสื้อผ้า เอาไปเปลี่ยนซะ ” ผมพูดตะกุกตะกักพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าให้ฟรอย
“ คับขอบคุณคับ ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางงงๆ แล้วมันก็รับเสื้อผ้าไปเปลี่ยน ส่วนผมก็เดินเข้าห้องน้ำไปเพื่ออาบน้ำบ้าง
พอผมออกมาจากห้องน้ำมองหาฟรอยก็ไม่เห็น ผมเลยรีบไปใส่เสื้อผ้าแล้วเดินหาฟรอย
ปรากฏว่าไปยืนอยู่ที่ระเบียงพร้อมกับเอามือยื่นออกไปเล่นน้ำฝน
“ นี่เมื่อกี๊ยังเล่นไม่พออีกรึไง ” ผมพูดพร้อมกับเดินไปยืนข้างๆฟรอย
“ พี่อยู่ห้องนี้มานานแล้วเหรอคับ ” ฟรอยพูดโดยที่ตามองไปข้างหน้าซึ่งเป็นตึกอพาร์ทเม้น
“ คับ.. ทำไมเหรอ ” ผมพูด
“ ป่าวคับ.. ไม่มีไร ” ฟรอยพูด
“ ไป.. เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายจนได้ ” ผมพูดพร้อมกับเอามือไปดึงมือข้างที่ฟรอยยื่นไปเล่นน้ำฝนให้เข้ามาในห้อง
“ ยังไม่ง่วงเลยพี่ ” ฟรอยพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ นอนได้แล้วหน่า... มันดึกแล้วพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า ” ผมพูดพร้อมกับจูงมือฟรอยให้เดินตามเข้ามาในห้องนอน
“ ผมนอนอีกห้องนึงก็ได้นี่.. ห้องมันว่างไม่ใช่เหรอคับ? ” ฟรอยพูด
สิ่งพี่ฟรอยพูดทำให้ผมรู้สึกใจหาย.. จนผมแทบไม่สามารถควบคุมความอ่อนแอที่ซ่อนตัวภายในใจของผมได้
“ ไม่ได้... ” ผมแสดงท่าทีก้าวร้าวออกไป มันเหมือนเป็นวิธีการปลดเปลื้องความอ่อนแอที่ถาโถมอยู่ภายในใจของผม
ผมตะคอกออกไปเสียงค่อนข้างดัง ทำให้ฟรอยนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ งั้นผมนอนที่โซฟาก็ได้คับ ” เสียงนั้นฟังดูก็รู้ว่าเจ้าตัวตกใจขนาดไหนกับสิ่งที่ผมทำเมื่อครู่
“ เอ่อ.. พี่ขอโทษ แต่นายนอนกับพี่นี่แหละ... เดี๋ยวหนีไปเล่นน้ำฝนอีก ” ผมพูด
“ ผมไม่เล่นแล้ว... ใครจะบ้าเล่นน้ำฝนได้ทั้งคืน ” ฟรอยพูดเหมือนฉุนเล็กๆ
“ นอนโซฟามันนอนไม่สบาย นอนกับพี่นี่แหละ ” ผมพูด
“ งั้นก็ได้คับ.. ผมขี้เกียจเถียงแล้ว ” ฟรอยพูดพร้อมกับดึงมือผมออกแล้วเดินตรงเข้าห้องนอนผมไป
“ ก็แค่เนี๊ย ... ” ผมพูดตามหลังฟรอยไป เจ้าตัวก็หันมาค้อนผมนิดนึงจนผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ อ่ะ..ห่มผ้าซะ ” ผมพูดพร้อมกับเอาผ้าห่มคลุมให้ฟรอยที่นอนหันหลังให้ผมอยู่
“ ไม่เป็นไรคับ ผมนอนได้ ” ฟรอยพูดแบบลักษณะเด็กอวดเก่งพร้อมกับเอามือปัดผ้าห่มออก
“ เหอะน่า... อย่ามัวทำเก่งอยู่เลย พี่รู้ว่านายหนาว ” ผมพูดแล้วเอาผ้าห่มห่มให้ฟรอยอีกรอบ คราวนี้ฟรอยไม่ขัดขืนแล้ว เด็กอะไรก็ไม่รู้ดื้อจริงๆ
“ ไหนพี่บอกว่าไม่ชอบเกย์ไง แล้วพี่ไม่กลัวผมลักหลับพี่เหรอ ” ฟรอยหันมาพูดกับผมหลังจากที่เราทั้งคู่เงียบกันไปสักพัก สงสัยเจ้าตัวคงจะกังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเลยเหมือนว่าจะทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับผมในสถานการณ์แบบนี้
“ ไม่กลัว เพราะพี่รู้ว่านายไม่ทำอะไร หรือว่านายคิด ” ผมแกล้งพูดแซว
“ จะบ้าเหรอพี่ ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางเขินเล็กๆ ไม่รู้ทำไมมันถึงดูน่ารักจัง
“ เขยิบเข้ามานี่มา นอนใกล้ๆกันก็ได้ จะตกเตียงแล้วนายหนะ ” ผมพูดพร้อมกับดึงฟรอยเข้ามาใกล้ๆ ตอนแรกฟรอยก็ขัดขืนเล็กน้อย แต่แล้วก็เขยิบมานอนใกล้ๆผม
“ พี่ไม่กลัวผมจริงๆนะเหรอ ” ฟรอยหันมาพูดกับผมในระยะประชิดตัว
“ อืม... ” ผมพูดพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
“ จริงเหรอคับ.. พี่ไม่กลัวผมทำไรจริงๆเหรอ... ” ฟรอยพูดพร้อมกับเอามือมาลูบแถวๆต้นคอผมไล่ลงไปจนมาหยุดที่หน้าอก
ผม...ผมรู้สึกว่าหายใจติดๆขัดๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกรังเกียจ มันเป็นความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้เข้ามาแทนที่จนผมไม่สามารถจะละสายตาจากฟรอยได้
“ เลิกเล่นได้แล้ว ” ผมพูดตัดบทก่อนที่ผมจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
“ 55555+ ทำไมพี่ใจเต้นแรงจังอ่ะ ” ฟรอยพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ ป่าว... ไม่มีไร ” ผมพูดด้วยท่าทีอายๆแต่อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ พี่ไม่ได้อึดอัดนะพี่ผมมานอนด้วย ” ฟรอยพูดด้วยท่าทางจริงจัง ผมว่าเค้าคงจะยังกังวลเรื่องนี้อยู่
“ ก็บอกแล้วไง... อ่ะ... เชื่อยัง ” ผมพูดพร้อมกับดึงฟรอยเข้ามากอด หวังว่าจะให้เจ้าตัวสบายใจว่าผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลย แต่กลับมีความพึงพอใจเล็กๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา
“ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้งคับ... ผม.... เชื่อแล้วก็ได้…. ” ฟรอยพูดพร้อมกับผลักอกผมออก แต่ท่าทางขัดขืนนั้นกลับยิ่งให้ผมไม่อยากปล่อยฟรอยออกจากอ้อมกอด
“ นอนเฉยๆสิ.... จะดิ้นทำไม นอนแบบนี้อุ่นดีจะตาย” ผมพูด ฟรอยก็เลยนิ่งไปไม่มีท่าทางปฏิเสธใดๆอีก ผมไม่รู้ว่าฟรอยกำลังคิดอะไร แต่ผมถึงรู้สึกว่า.... อบอุ่นจัง
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นฟรอย ผมกลับรู้สึกว่าฟรอยน่ารักและน่าเอ็นดู
มันเป็นความรู้สึกว่า อยากดูแล อยากอยู่ใกล้ๆ
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันก่อตัวขึ้นภายในใจผมตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมพยายามหาเหตุผลว่าเพราะอะไร
ผมตอบตัวเองไม่ได้ ผมจึงพยายามหาเหตุผลมาบอกตัวเองทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามันใช่จริงๆรึป่าว
แต่อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้ผมไม่ฟุ้งซ่านทุกครั้งที่เห็นฟรอย
คงเพราะผมเสียน้องชายไป เมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้น
ผมกับน้องชายสนิทกันมากคับ เราโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกัน มีอะไรก็ช่วยกันดูแลกันมาตลอด
แต่สุดท้าย...
เค้าก็จากไป.........
ผมใช้เวลาทำใจอยู่นาน.... กว่าจะควบคุมความรู้สึกตัวเองได้
แต่ก็ยอมรับคับ ว่ามีหลายครั้งที่ผม... ยากที่จะควบคุมมัน
ตอนที่ผมตะคอกใส่ฟรอย... ก็เป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้
น้องชายผมอายุเท่าฟรอยคับ....
ฉะนั้น...
ผมถึงบอกตัวเองว่า...
ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นทั้งหมด....
คงเพราะผมเห็นฟรอยเป็นเหมือนน้องชายผม...
แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับเริ่มย่างกรายเข้ามาเพื่อคัดค้านเหตุผลที่ผมบอกกับตัวเอง
ผม.... ผมรู้สึกว่า “ฟรอยทำให้ฤดูหนาวที่แสนทรมานภายในใจของผมกลายเป็นฤดูที่อบอุ่น”
ผมคิดอะไรไปเพลินๆ หันไปมองคนที่อยู่ในอ้อมกอดผมที่ตอนนี้หลับสนิทไปแล้ว
ผมเอามือลูบที่หน้าของฟรอยเบาๆ
เอามือบีบที่จมูก...
เจ้าตัวขยับตัวเล็กน้อยแล้วก็หลับต่อ....
ท่าทางทั้งหมดที่ฟรอยทำ... ผมเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้...
ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง....
แต่ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า.... ผมอยากทำอะไร....
ผมไม่สามารถต้านทานความรู้สึกแปลกๆในใจได้อีกแล้วคับ....
ผมค่อยๆ... หอมแก้มฟรอย......
มันเป็นการหอมแก้มที่ยาวนาน... ผมไม่อยากจะหยุดเลย.....
ฟรอยค่อยๆขยับตัว แล้วก็กอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม.....
เสียงฝนที่ตกพรึมพรำอยู่......
ทำไมคืนนี้มันกลับเหมือนเสียงดนตรีนะ
ทำไมมันถึงเพราะจัง....
“ผมเริ่มจะชอบหน้าฝนแล้วสิ.....”
#########################################################################
-
เย่ๆๆๆ ได้อ่านแล้ว ดีใจที่สุดเลย ^o^
ชอบมากมายครับเรื่องนี้ มาต่ออีกไวๆนะ
อ่านๆไปอ่านมา เหมือนจะเกิดศึกระหว่างเพื่อนรักไหมเนี่ย รอตอนต่อไปดีกว่า
ตอนแรกๆเรื่องนี้อ่านแล้วผมงงครับ ต้องอ่านไปซักประมาณ 2-3 บรรทัด ถึงจะพอรู้ว่า
ตอนนี้ที่เขียนมาเนี่ย เป็นบทของใคร กำลังอ่านความคิดของใครอยู่
แต่หลายคนหลายความก็เอามาต่อกันได้ไม่สะดุดดีครับ ชื่นชม
-
ระยะห่างนั้น
ค่อยๆแคบลงมาแล้ว............
ฉิน กับฟรอย
:กอด1:
คิดถึงคุณกรนะคร้าบ :L2: :pig4:
-
........โรแมนติกจัง.....ชอบอ่ะ...... :L2: :L2:
-
ดีใจได้อ่านรวดเลย
.....หน้าฝน....ฤดูของคนอกหัก.....เพราะฝนคือน้ำตา
หน้าหนาว....ฤดูของคนเหงา.....ทนหนาวเหน็บอยู่ลำพัง
....หน้าร้อน....ฤดูของคนเสียแฟน.....ความร้อนใจครุกรุ่น
เฮ้ย......แล้วจะมีหน้าไหนให้สมหวังนิ
-
ถึงมีพี่ ก็ดูเหมือน ไม่มีพี่
เหงาสิ้นดี ชีวิตนี้ สุดจะหงอย
ถึงพี่ฉิน จะใจดี ดูแลฟรอย
ใจเศร้าสร้อย คอยแต่เหงา ไม่เข้าใจ
ไม่มีน้อง แต่เหมือนพี่ จะมีน้อง
ชวนเข้าห้อง ป้องกัน หวัดจากฝน
เอาละหวา ครานี้ฉิน ไม่ต้องทน
ยอมใจตน กอดฟรอยไว้ ไม่เข้าใจ
***สองคนสองความคิด ไม่รู้ว่าเข้าใจตรงกับสองคนนั้นหรือเปล่านะค้าบ แหะแหะ
:pig4: สนุกดีคับน้องกร :loveu: :write-a-letter:
-
สวัสดีค่าน้องกร :L1:
มาให้กำลังใจเรื่องใหม่ของน้องกร น้องกรสู้ๆ :a2:
เนื้อเรื่องน่าร๊ากกก :o8: โรแมนติคจัง
ว่าแต่พี่ฉินเนี่ย....
อยู่ๆมาหอมแก้มฟรอยได้ไง
ทำไมไม่ทำมากกว่านี้หล่ะ :laugh:
มารอลุ้นฉาก :m25: ดีก่า หุๆๆ (อุ๊บ.... พูดอารายออกปาย)
-
ขอบคุณที่มาลงคับ
อบอุ่นดี
:o8:
-
:pig4:มาลงให้ตั้งสองตอน :L2:
-
:m1:ความรู้สึกดี ๆ กำลังเกิดขึ้น หวังว่าความรู้สึกแบบนี้ คงไม่สั้นและจบอย่างรวดเร็วนะ
ใช่ไหม กร :เฮ้อ: อยากรู้และอ่านตอนต่อไป เร็ว ๆ จัง
รักษาสุขภาพด้วยนะ กร อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ลมหนาวกำลังมาเยือน
รักนะ :กอด1: เพื่อความอบอุ่น :bye2:
-
ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ตอนนี้ป๋มก็ยุ่ง ๆ แต่ชอบเรื่องแบบนี้มากเลยงับ แนวไทย ๆ ดี :man1:
-
ระยะห่างที่ว่านั่นมันแคบพอที่จะทอดสะพนข้ามไปอะยัง
ฮิๆๆๆๆ จะไปช่วยสร้างสะพานให้
อ่านแล้วยิ้ม ชอบ.....
-
อ่านเเล้วยิ้มค่ะ
ความรุ้สึกก่อตัวได้จากสิ่งเล็ก
มีอำนาจจริงๆ
ฮิฮิ
:n1: :n1: :oni2: :oni2:
-
งานเยอะ
เงินแยะ รึเปล่าค้าบ :jul3:
:จุ๊บๆ:ไม่ว่ากันนะ น้องกร
-
ดีคะ น้องกร
หลังจากที่อ่านตอนแรกไปก็เพิ่งได้มีโอกาสกลับมาอ่านอีกครั้ง
เนื่องจากหาเวลาอ่านเป็นเรื่องเป็นราวได้น้อยมาก :m23:
อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่ากรเขียนเก่งขึ้นมากเลย
บางประโยคอ่านแล้ว อืม... เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องคิดตามแล้วก็แทงใจจึ๊ก จึ๊ก เลย
เป็นกำลังใจให้น้องนะคะ :L2:
ดูแลรักษาสุขภาพด้วย อย่าโหมงานมากนัก
เป็นห่วงและคิดถึงเสมอ :กอด1:
-
ดีค่า ..เข้ามาฝากตัวด้วยคน :oni2:
เพิ่งเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก..แต่สงสัยจะต้องเสพติดเรื่องนี้ซะแล้ว
ก็แหม..คุณกรช่างวางพล็อตเรื่องได้น่าสนใจ แถมการบรรยายยังทำได้เยี่ยม ส่งความรู้สึกผ่านตัวหนังสือได้เป็นอย่างดีและมีเสน่ห์มากมายในความเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาซะขนาดนี้ ข้าพเจ้าขอยกนิ้วให้ o13
ที่สำคัญคืออ่านแล้วรู้สึกอินไปกับเรื่อง เหมือนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดในเรื่อง จนต้องคอยลุ้นคอยติดตามพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกทั้งคู่ เพราะแค่นี้ก็รู้สึกหลงรักนู๋ฟรอยกับคุณพี่ฉินไปแล้วเต็มห้องหัวใจ(ที่เผอิญมีหลายห้อง 55+) จะคอยติดตามเรื่องนี้จนจบเล้ยย(ต้องลงจนจบน้า..อย่าทำร้ายจิตใจคนอ่านเน้อ........)
ป.ล.1 +1 ให้เป็นกำลังใจคร่า... รออ่านอยู่น้า :m13:
ป.ล.2ยุ่งบ้างเราไม่ว่า อัพช้าเราเข้าใจ ....
แต่อย่าหายไป แบบไม่กลับ เพราะเราคงรับไม่ด้ายย กาซิกๆๆ :o12:
[/b]
-
เย้ เย้ มาอัพแย้วววววว :oni1:
-
ยิ่งคบกัน ไมดูเหมือนยิ่งห่างกัน
อย่าให้เหมือนอย่างผมเลย :m13:
*** No question, no answer.Is it over?
-
มาดันกระทู้ให้นะครับ เดี๋ยวมาลงจะหาไม่เจอ
ว่างเมื่อไหร่ ก็รีบมาต่อนะครับ :กอด1:
-
อบอุ่นอ่ะ เหมือนจะต้อนรับหน้าหนาวเลย
-
พี่ฉิน......นอนกอดฟรอยมาครึ่งเดือนแล้วนะ :jul3:
:a5:ปล่อยฟรอยกลับบ้านเหอะ
***มีความสุขทุกวันนะ น้องกร :จุ๊บๆ:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
อ่าครับผม ชอบจังครับ
เล่าถึงอารมณ์ได้เนียนมากๆ ชอบ
แบบนี้เค้าเรียกว่าเอาใจใส่อารมณ์ของตัวละครทุกตัว อิอิ
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
แวะมาดู และดันกระทู้ให้ ไปละ :bye2:
-
ตามมาดัน ดั๊น ดัน เหอๆๆ ว่าแต่เมื่อไหร่จะมาต่อสักทีอะครับ อยากอ่านต่อแล้วนะ
-
กลับมาดันใหม่ งานยุ่งมากหรือครับ กร หายไปเลย
สงข่าวมั่งก็ยังดี เป็นห่วงนะครับ รักษาสุขภาพด้วย
อากาศกำลังเปลี่ยน เริ่มหนาวแล้ว :กอด1: :bye2:
-
มาดันเรียกเจ้าของกระทู้ :laugh:
-
เจ้าของกระทู้ :sad4: มาทีครับอยากอ่านต่อ
-
ดันด้วย
ลัลล้า :z2: อิอิ
-
พี่กร ค๊าฟฟฟ มาต่อเร้วๆๆๆน้า แวะจากอ่านสิอมาอ่านก่อน ฮ่าๆๆ ดุแลสุขภาพด้วยน้า หนาวบ้าง ร้อนบ้าง
-
ช่วยดันคับ
-
พี่กร
เหมือนผมโดนผีหลอกตอนกลางวันเลยว่ะ..... อึ้งคับอึ้ง o22
สุดยอด เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ผมกะลบทิ้งนะนั่นถึงได้เข้าไปดู
จำไม่ได้ว่ะพี่ นั่งเทียบรูปตั้งนาน กะแกล้งผมด้วยอ่ะดิ ไม่พูด ไม่บอก ไม่ติดต่อมา สำเร็จนะคับ งงเต็กเลยคับ
จากสาวน้อย เป็นหนุ่มน้อย ที่ทำงานไม่งงแย่รึ
add ผมมาีกี่เดือนแล้วอ่ะ ฮ่าๆๆๆ ขำว่ะ
ปล1.หล่อใช้ได้นะคับ ทำงานอย่าลืมพยายามกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย เครียดมากสิวเริ่มขึ้นหล่ะน่ะ
ปล2.สุดหล่อมีแฟนยังคับ :jul3:
-
ผมมาแล้วค๊าบบบบบบบบบบ.............
ขอพูดคับนะ เพราะตอนนี้ชินกับคำนี้ซะแล้วซิ
คงไม่มีคำไหนเหมาะสมเท่ากับคำว่า "ขอโทษคับ"
บอกตรงๆเลยคับว่างานหนักมากๆ ช่วงที่หายไปเวลา 24 ชั่วโมงของเราส่วนใหญ่เสียไปกับการทำงานและนอน
ยอมรับว่าบางช่วงผมก็พอมีเวลาว่างบ้างคับ แต่ด้วยความที่งานมันค่อนข้างหนักและใช้ความคิดเยอะ
วันหยุดก็เลยไม่ได้พิมเรื่องเพราะจะหมดไปกับการนอน และอีกอย่างอารมมันไม่อ่มพอที่จะเขียนเรื่องต่อหนะคับ
ก็เลยกลัวว่าจะทำให้อารมณ์ของเรื่องมันสะดุดและไม่ต่อเนื่อง
แต่ตอนี้ผมกำลังเปลี่ยนงานหรืออาจจะมีการโยกส่วนการทำงานก็เลยพอมีเวลาว่างบ้างแล้วล่ะคับ
แต่บ่มและเติมอารมณ์ให้มันอิ่มก่อนผมจะเอามาลงให้อ่านกันแน่นอนคับ
ขอบคุณสำหรับคนอ่านทั้งเก่าและใหม่ที่ยังแวะเวียนมาดูเรื่องของผมกัน
ทั้งที่อาจจะเม้นและไม่ได้เม้น ผมขอบคุณจริงๆคับ
ขอโทษจริงๆนะคับที่ผมทำให้คุณผิดหวังกันหลายครั้งที่เข้ามาในกระทู้ของผมแล้วเห็นว่าเรื่องมันยังไม่มาต่อ
ผมขอบคุณคนอ่านทุกคนจริงๆคับ จากนี้ผมจะหาเวลามาต่อเรื่องให้นะคับ
จะไม่ปล่อยให้รอกันนานๆแบบนี้อีกแล้วคับ
ถ้าใครที่อยากจะคุยกันเป็นการส่วนตัวก็แมสเสสกันมาแล้วกันคับ รึอาจจะส่งอีเมลมาให้ก็ได้จะได้แอดไว้คุยกันคับ
คนที่ตามกันมาตั้งแต่เรื่องโน้นก็ขอบคุณเหมือนกันคับ
คนอ่านทุกคนอยู่ในใจผมนะคับ
-
ไม่เป็นไรจ้า รอได้ :z10:
-
สวัสดีปีใหม่นะครับ กร
รู้ว่ายังสบายดีอยู่ก็ดีใจแล้วละ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาลงต่อนะครับ
รักษาสุขภาพด้วย อากาศกำลังหนาว เป็นห่วงนะครับ :กอด1:
-
สู้ๆนะคับ รอให้ได้ mood ก่อนก็ได้คับ จะได้อ่านแบบเต็มอรรถรส
o13
-
แอบมารอคร้าบ...
^V^
-
ไม่เป็นไรน้า รอได้จ้า :กอด1: :กอด1:
-
รอตอนต่อไปงับ ผม จะรอนะครับ เห้ออออ
:m31: :m16: :m31: :m16: :m16: :m31: :m16: :m16:
-
สวัสดีคับ.......
ผมมาแล้ววววววววววววววว.....
เอาตอนใหม่มาลงให้แล้วด้วยคับ
เพิ่งพิมเสร็จสดๆร้อนๆเลย.......
อย่าโกรธผมกันนะคับ......................
ผมรู้....... ว่าคนน่ารัก เค้าไม่ใจร้ายกันหรอก.. จริงมั้ยคับ
ไปอ่านกันเลยคับ
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
หนาวกาย... ไม่เท่าหนาว.... ข้างในใจ ( -_-)*
ที่นี่มันคือที่ไหนกัน....
ทำไมผมถึงไม่รู้สึกคุ้นชินกับมันเลย
นี่ผมกำลังหลงทางเหรอ........
ผมรู้สึกโมโหตัวเองจัง.......
ผมหลงทางอีกแล้ว....
ทำไมผมถึงต้องหลงอีกแล้ว........
มันเพราะอะไรกัน.....
หรือเป็นเพราะว่าผมไม่มีคนคอยนำทาง.....
ฮึ ฮึ ..................................... ผมเคยมีคนที่เค้าคอยนำทางให้ผมนะ....
เพียงแต่...............
เพียง............... แต่......... ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน
ผมรู้เพียง.................. ว่า..........
เค้าไม่อยู่กับผมแล้ว
นับจากวันที่เค้าไปจากผม
ผมรู้สึกว่าผมเหมือนคนหลงทาง...............
ผม............
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกหญ้าดอกเล็กๆบนโลกใบนี้ ที่กำลังล่องลอยไร้ทิศทางและไร้จุดหมายในอากาศ กวัดแกว่งไปตามกระแสลมที่จะพัดพาผมไป
เมื่อไม่มีเค้า....
ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินไป มันกว้างเกินกว่าที่คนอย่างผมจะอยู่ได้โดยไม่รู้สึกเหงา
ใช่สิ...... ผมมีความเหงาเป็นเพื่อน
แม้ว่ามันจะไม่เคยพูดอะไรกับผม.... แม้เพียงสักคำ
แต่มันก็ไม่เคยหนีผมไปไหน................
น่าแปลกนะคับ....................
อันที่จริงแล้วผมว่าผมก็ไม่ได้จะอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง
แต่เชื่อมั้ยคับ.....
ผมมองไม่เห็นใครเลยสักคน..........
ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน..... ผมก็มองไม่เห็นใคร
หันไปทางซ้ายหรือขวา
รอบกายของผมก็มีแค่ไอ้ความเหงานี่แหละที่มันอยู่กะผมตลอดเวลา
ผมยังเคยคิดเลยคับ............ ว่า.............
นับจากวันที่เค้าจากไป............
บนโลกใบนี้มันเหลือเพียงแค่ผมกับความเหงา
“ พี่โฟนคับ.... พี่อยู่ไหนคับ ทำไมพี่ใจร้ายกับผมจัง ”
“ ฟรอย...................... ” เสียงตะโกนก้องดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมต้องรีบหันหลังกลับไปมอง แต่แล้วผมก็ไม่เห็นใคร
“ ฟรอย..........................” เสียงที่ผมรู้สึกคุ้นหูดังมาอีกครั้ง ผมรีบหันไปมองหาต้นเสียงนั้นทันที
ใช่...........
ใช่จริงๆด้วย......................
เสียงของเค้า................
เสียงของพี่โฟน...............
แต่ผมกลับมองหาเจ้าของเสียงนั้นไม่เจอ..........................
ผมหูฝาดไปเองเหรอ.............
ไม่นะ... ผมว่าผมได้ยินเสียงพี่เค้าจริงๆ
“ พี่โฟน......... พี่โฟนอยู่ไหนคับ ออกมาหาฟรอยเถอะ.....”
“ พี่โฟน..... อย่าใจร้ายกับผมสิคับ............ พี่โฟน........................”
“ พี่โฟนคับ................. ผมกำลังหลงทางนะ............ พี่ช่วยพาผมออกไปที”
ผมค่อยๆทรุดลงนั่งกับพื้นหญ้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
ความหนาวสุดขั้วหัวใจที่มันเพิ่งเจือจางลงไปนับจากที่ผมได้ยินเสียงเรียกของเค้า กลับทวีความหนาวเย็นขึ้นอีกครั้ง
ผมหนาวจังคับ..............
มันหนาว................................
หนาวที่ข้างในหัวใจ...........................
“ พี่กอดฟรอยอยู่ยังหนาวอีกเหรอคับ............” เสียงที่ผมคุ้นหูพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านภายในใจสู่ร่างกาย ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองวงแขนแกร่งที่โอบกอดรอบกายผมเอาไว้
“ พี่โฟน.................. ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก
“ พี่มาหาผมแล้ว..... พี่หายไปไหนมาคับ.... ทำไมพี่ถึงทิ้งผมไว้คน.... ” ผมพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นก่อนที่พี่โฟนจะใช้ริมฝีปากบางๆของพี่เค้ายุติคำพูดทั้งหมดของผม
มันเป็นจูบที่ผมโหยหาและอยากครอบครองไว้ตลอดไป
“ พี่รักฟรอยนะคับ....... ” พี่โฟนมองตาผมแล้วพูดคำนี้ออกมาทำให้น้ำตาของผมเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง
“ ฟรอยก็รักพี่โฟนคับ......” ผมพูดออกมาทั้งน้ำตาก่อนที่จะกอดพี่โฟนเอาไว้แน่นไม่อยากให้พี่โฟนหายไปไหนอีกแล้ว
“ ในที่สุดพี่ก็ได้ยินคำนี้..........” พี่โฟนพูดด้วยเสียงเป็นปลื้มก่อนที่จะกอดตอบผม
จากนี้ไปผมจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าความหนาว............. หรือความเหงา...............
ผมจะไม่หลงทางแล้ว.......... เพราะคนที่คอยนำทางให้ผมเค้ากลับมาแล้ว
ผมรู้สึกว่าความหนาวข้างในใจได้รับการเยียวยา
กองไฟกองเล็กๆแต่สุดแสนจะอบอุ่นกำลังก่อตัวขึ้นในใจผม
และมันกำลังต่อสู้กับความหนาวภายในใจให้ค่อยๆถอยร่นไป
คงเหลือเพียงความสุขและอบอุ่น
“ ฟรอยคับ.. พี่ต้องไปแล้วหละ” พี่โฟนพูดก่อนที่ผละออกจากอ้อมกอดของเรา
มันเป็นคำพูดที่ผมไม่อยากจะได้ยินและไม่คิดว่าจะได้รับฟังมันอีก
“ พี่โฟนจะไปไหนคับ พี่... พี่กลับมาหาผม... แล้วพี่จะทิ้งผมไปอีกเหรอคับ ” ผมพูดออกมาทั้งน้ำตา
ผมแทบใจจะขาดเมื่อได้ยินคำพูดว่าพี่โฟนจะไปจากผมอีกแล้ว
คราวนี้ผมจะไม่ยอมอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมเสียพี่โฟนไปอีก พี่โฟนจะต้องอยู่กับผม
“ ตัวพี่อาจจะ... ไม่ได้อยู่กับฟรอยอีก..... แต่ใจพี่อยู่กับฟรอยตลอดไปนะ ” พี่โฟนพูดออกมาทั้งที่น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม
ผมค่อยๆใช้มือปาดคราบน้ำตาที่ข้างแก้มของพี่โฟนก่อนที่จะพูดว่า
“ พี่โฟนอย่าไปไหนอีกเลยคับ... ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ ที่ผ่านมาผมขอโทษนะคับ.... พี่โฟนยังโกรธผมเหรอคับถึงจะทิ้งผมไปอีก ”
“ พี่ไม่เคยโกรธฟรอยหรอกคับ..... แต่พี่ต้องไปแล้วจริงๆ.... ” พี่โฟนพูด
จากนั้นร่างของพี่โฟนก็ค่อยๆจางหายไปในอากาศ
“ พี่โฟนคับ.... พี่โฟน.... พี่จะทิ้งผมไปไหน..... พี่โฟนคับ...... ” ผมร้องไห้ฟูมฟายตะโกนเรียกพี่โฟนสุดเสียง แต่พี่โฟนก็ไม่ยอมกลับมา พี่โฟนทิ้งผมไปอีกแล้ว
“ ฟรอย...... ฟรอย....... เป็นอะไรคับ ฟรอย................ ” ใครคนนึงเรียกชื่อผม ผมจึงผวาเข้าไปกอดร่างนั้นไว้อย่างแน่น
“ พี่โฟน.... พี่กลับมาหาผมแล้วใช่มั้ยคับ.....” ผมพูดด้วยเสียงดีใจ
“ ฟรอยคับ..... ฝันร้ายเหรอ.... ไม่ต้องกลัวนะ.... พี่ฉินอยู่นี่แล้ว”
ผมค่อยๆลืมตาที่ฉาบไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา ร่างที่กอดผมอยู่......
ไม่ใช่พี่โฟน
แต่น่าแปลก..................
ร่างที่กำลังกอดผมอยู่..........
ทำให้ความหนาวและอ้างว้างภายในใจของผมค่อยๆจางหายไปอย่างน่าประหลาด
“ ปล่อยผมเถอะคับ... พี่ฉิน ” ผมพูดแล้วค่อยผลักพี่ฉินออกเบาๆพอเป็นมารยาท
“ ฝันร้ายเหรอคับ..... ขวัญเอ้ย...ขวัญมา ” พี่ฉินไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แต่กลับกอดผมให้แน่นขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับใช้มือลูบเบาๆที่หัวผมเป็นการปลอบประโลม
ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านเข้ามาในใจผมอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร..........
แต่รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นถูกก่อตัวขึ้นภายในใจ....................
“ ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะคับ........ ” ผมพูดและพยายามผลักพี่ฉินออกอีกครั้ง คราวนี้พี่ฉินยอมแต่โดยดี
“ หนาวขนาดนี้.... เหงื่อยังซึมเต็มหน้าเลยนะ.... สงสัยจะฝันร้ายมากเหรอ ” พี่ฉินพูดแล้วเอาแขนเสื้อค่อยๆซับเหงื่อบนหน้าผมออกให้
“ คับ..... ” ผมพูดด้วยใจสั่นๆ
“ ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันมั้ย..... ใกล้จะเช้าพอดีเลย ” พี่ฉินพูด
“ คับ... ” ผมตอบรับด้วยท่าทางนิ่งๆคล้ายต้องมนต์สะกด
*****************************************************************************
“ สวยจัง......... ตั้งแต่ทำงานหนักๆก็ไม่เคยได้มีโอกาสเห็นภาพแบบนี้เลย ” พี่ฉินพูดทำลายความเงียบระหว่างเรา
“ คับ ” ผมพูดออกไปเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ลมเย็นๆที่พัดเข้ามากระทบผิวกายคงไม่เท่าความหนาวเย็นในใจของผมตอนนี้
ภาพของพี่โฟนในฝัน ยังชัดเจนในความทรงจำเสมือนมันเป็นเรื่องจริง
“ เงียบเลย.... เป็นอะไรรึป่าว หนาวเหรอ ” พี่ฉินพูดแล้วถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองมาคลุมให้ผม
“ ไม่เป็นไรคับพี่.... พี่ใส่เถอะ... ” ผมพูดด้วยท่าทางเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรหรอก.... พี่ตัวใหญ่กว่านาย.... นายตัวเล็กกว่าพี่เยอะ.. ใส่เถอะ ” พี่ฉินพูด
“ คับ.... ขอบคุณคับ ” ผมพูด
“ เอ่อ.... ฟรอย พี่ขอถามนายได้มั้ย.... นายฝันร้ายว่าอะไร ” พี่ฉินพูดทั้งที่ตายังมองไปที่ขอบฟ้าด้านหน้า
ภาพตรงหน้า... สวยงามเกินกว่าจะห้ามใจไม่ให้หลงชื่นชม
ดวงอาทิตย์ค่อยๆแทรกตัวผ่านเมฆหมอก เคลื่อนตัวสูงขึ้นคล้ายหวังจะตั้งใจทำหน้าที่ส่องแสงสว่างเพื่อปลุกทุกชีวิตให้ตื่นจากการหลับใหล
เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ตกกระทบมวลในอากาศ สะท้อนเป็นแสงสีสวยงามฉาบไปทั่วท้องฟ้าด้านหน้า
สัญญาณเริ่มต้นวันใหม่........... ได้เกิดขึ้นแล้ว
ใช่สิ.... ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเดินไปข้างหน้า แม้ภายในจะเจ็บช้ำแค่ไหน... แต่เราก็ต้องเดินไปต่อไป
“ ถ้านายไม่อยากพูดถึง... ก็ช่างมันเถอะนะ ” พี่ฉินพูดหลังจากที่เห็นผมเงียบไป
“ ขอโทษนะคับ.... ผมยังไม่พร้อมจะพูดตอนนี้ ” ผมพูดอย่างเกรงใจ
“ เฮ้ออ............. อากาศตอนเช้าที่นี่ดีจังนะ.... ไม่เหมือนกรุงเทพเลย” พี่ฉินพูด
“ คับ......... อากาศที่นี่สดชื่นดีคับ” ผมพูดก่อนที่จะสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อที่จะพยายามควบคุมความสั่นไหวในใจเอาไว้
ผมคงต้องยอมรับความจริงเสียที
“ ป่ะ... ไปอาบน้ำอาบท่าเหอะ... เดี๋ยวกองถ่ายก็จะเริ่มแล้ว ” พี่ฉินพูด ก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน
##########################################################################
ลงให้แล้วนัคับ.....
ใครรู้วิธีใส่รูปมั่ง... ไอ้ที่มันอยู่ใต้ชื่อเราอ่ะ
อยากมีรูปกะเค้ามั่งอ่า...............
ใครทำเป็นสอนหน่อยดิคับ...........................
ง่วงแล้ว
ไปนอนก่อนนคับ.....
-
^^
^^
^^
จิ้มกร สวัสดีนะครับ เห็นกลับมาก็ดีใจแล้ว
เป็นไงครับ ปีใหม่ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง สุขสบายดีหรือเปล่า เป็นห่วงนะครับ
รักษาสุขภาพด้วย :กอด1:
-
:z13:จิ้มกรค้าบ
ไปลั้ลลาที่อื่นซะนานเล้ยยยย
-
ใครรู้วิธีใส่รูปมั่ง... ไอ้ที่มันอยู่ใต้ชื่อเราอ่ะ
อยากมีรูปกะเค้ามั่งอ่า...............
ใครทำเป็นสอนหน่อยดิคับ...........................
^
^
^
ขึ้นไปแถบมนูด้านบนใต้หัวบอร์ด คลิกคำว่า "Profile" จากนั้นจะเป็นหน้า account ของเรา ก็ไปที่ "Forum Profile Information" ที่เมนูซ้าย จะมีช่อง Personalized Picture ให้เราอัพโหลดรูปได้ค่ะ รู้สึกขนาดความกว้างของรูปต้องไม่เกิน 200 pixel ไม่งั้นรูปจะออกมาบีบๆนะ หวังว่าจะช่วยได้เน้อ
ปล. ดีใจตอนใหม่มาแล้ว :3123:
-
เห็นว่าเพิ่งลงตอนใหม่เลยเข้ามาทักทาย
ส่วนเรื่องที่ถาม ให้ทำดังนี้นะคะ
๑. เลื่อนจอขึ้นไปบนสุด ด้านบนมันจะมีคำว่า Profile อยู่ ข้างๆ Help และ My Messages หาเจอแล้ว...คลิกเลย!
๒. พอเข้าไปในหน้า Profile ให้สังเกตทางซ้ายมือ จะมีกลุ่มหัวข้อต่างๆ มากมาย รวบรวมไว้เป็น ๓ หัวข้อใหญ่ๆ ดูต้องช่องกลาง ให้หา หัวข้อ Forum Profile Information หาเจอแล้ว.......คลิกเลย!
๓. พอเข้าไปหน้านี้ ก็เลื่อนจอลงมาหน่อยหนึ่ง จะเห็นว่ามีตัวเลือกให้เลือก ๓ ข้อ ก็เลือกที่ I will upload my own picture จากนั้นก็กด Browse หาภาพที่ต้องการมาใส่ได้เลย แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าภาพที่จะใช่นั้นต้องมีขนาดไม่เกินไม่รู้ (จำไม่ได้แล้ว) รู้แต่ว่าห้ามใหญ่มาก
๔. เมื่อเลือกภาพได้แล้ว ก็เลื่อนหน้าจอลงมา กดปุ่มทางขวามือที่เขียนว่า Change profile
เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วคะ อิอิ
อิเจ้ กะเทยบ้านนา :z2:
-
มา :z13:ด้วยคน :laugh:
-
เข้ามาอ่านแล้วนะกร
แต่อ่านเสร็จแล้ว ใจมันโหวงเหวงไงก็ไม่รู้
มันยิ่งกว่าเหงาน่ะ
***กรมานี่เลย หันมาให้ :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ: หน่อย จะได้หายเหงามั่ง หุหุ
-
เหงากว่าเดิมอีกเนี่ย
-
เหงา และหนาว เป็นทวีคูณ
ทรมานหัวใจจริงจริ๊ง!!!!
-
เพิ่งเข้ามาอ่าน
เรื่องนี้เหมือนจะเศร้า แต่ก็ดูจะอบอุ่นดี :กอด1:
-
:z3: :z3: :z3:
มาต่อได้เเล้วววว
-
หวัด-ดี-ปี-ใหม่-ไช-นิส
มีความสุขทุกวันนะ เดะชายกร.... :L1:
-
เหงาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หายไปน๊านนนน...
นึกว่าไม่มาต่อซ๊าหละ
-
แวะมาทักทายกลางดึกคับ....
ขอโทษที่หายไปเลยคับ
พอดีกลับบ้านที่ต่างจังหวัดแล้วก็ไม่สบายด้วยไปนอนโรงบาลมาซะหลายวัน
ไม่ได้เข้ามาดูกระทู้ตัวเองซะนานเลย
เพิ่งเข้ามาเห็นคับ ว่าไอ้น้องตัวดีมันเอารูปมาประจานจิงๆด้วย....
นึกว่ามันพูดเล่นนะเนี่ย... ดันเอาจิง....
เซ็งเลย.... รูปเราประจานไว้ซะเกือบเดือน.......
ใครเข้ามาเห็นบ้างเนี่ย....
(ดันเอารูปที่เราไม่หล่อมาโชว์ซะด้วย...ยิ่งเซ็ง!!!!)
ฮึ่ย..... อยากจะฆ่ามานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน..... ไอ้ตัวดี.....
ผมจะกลับมาอัพเรื่องแล้วคับ...
คราวนี้จะไม่หายไปไหนอีกแล้ว....
ผมจะไม่ทำให้คนอ่านรออีกแล้วค๊าบ....
อย่าโกรธกันนะคับ........
-
^^
^^
^^
จิ้มทักทายกร สบายดีแล้วหรือครับ
ยินดีต้อนรับกลับเข้าบ้าน ( เล้าเป็ด ) นะครับ หลังจากหายไปนานนนนนน........
รักษาสุขภาพด้วยนะครับ อากาศช่วงนี้ร้อนถึง ร้อนที่สุด ระวังจะเป็นหวัดแดดน้า
แล้วก็รอเรื่องต่ออยู่นะครับ คนดี มามะ ขอ :กอด1: ให้หายคิดถึงหน่อย :z2:
-
o22 จะไม่ทำให้คนอ่านรอจริง ๆ แล้วใช่ป่าววว o13
-
แง๊วววว
โดนลบรูปไปซะหล่ะ
ก็ตัวเองบอกให้เอามาลงเองนิคับ กล้าท้าก็กล้าลงหล่ะคับ ฮ่าๆๆๆๆ
รูปหาย แล้วเงี้ยผมจะได้ค่าไถ่มะเนี้ยยยยยย
-
อ่าา เรื่องนี้อยู่ใน Favorites ผมมานานแสนนาน :call:
นึกว่าจะไม่มาต่ออีกแล้ว ผมเกือบลบแล้วหละ แต่เข้ามาแวะเวียนบ่อยๆ
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคับ ไม่ทำให้รอจิงๆน้า o13
-
เค้ามาแจ้งข่าวครับ.....
จากที่เข้ามาทักทายเมื่อคราวที่แล้ว
ผมก็เป็นไข้ครับ...
เป็นไข้อยู่ห้าหกวัน นอนนั้นรู้สึกปวดหัวตัวร้อนแล้วก็เมื่อตัวเป็นอย่างมาก
ก็เข้าใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่
แต่หลังจากหายไข้ประมาณสองวันก็เร่มมีตุ่มขึ้นครับ
ตอนแรกขึ้นที่หน้าก็คิดว่าเป็นสิวเลยไปแกะมัน(ตอนนี้กำลังเป็นแผลอยู่)
จากนั้นก็เริ่มมีตุ่มขึ้นอีกหลายๆทีครับ..
คนรอบข้างเลยบอกว่า................
ผมเป็น.... อีสุกอีใส...................................
เฮ้ย.......................
เซ็งเลยอ่ะ
ตอนนี้ตุ่มกำลังขึ้นเต็มตัวเลย คันมากๆ.....
ตุ่มเริ่มขึ้นมาสามวันแล้วครับ
ขอพักรักษาตัวก่อนนะครับ...
แล้วผมจะมาต่อเรื่องให้..................
ขอโทษจิงๆครับ...............................
-
หายเร็วๆนะรับ :bye2:
-
:L2: ดอกไม้เยี่ยมไข้ อีสุก อีใส รักษาตัวให้หายดี ๆ นะครับ เป็นห่วง
เมื่อแข็งแรงดีแล้ว ก็กลับเข้าบ้าน ( เล้า ) หลังนี้ตามเดิมนะครับ กร
เป็นกำลังใจให้นะ :กอด1:
-
พักเยอะๆ นะ กินยาเขียว (รู้จักมั๊ย) อย่าแกะมาก เดี๋ยวไม่หล่อนะจ๊ะ :L2: :L2: :กอด1:
-
เข้ามาเยี่ยมค่ะ :L2:
หายไวๆนะค่ะ :กอด1:
-
หายเร็ว ๆ นะ .. อย่าไปแกะอ่ะ
เด่วไม่หล่อ
-
ขอให้หายไวไวนะค่ะ
:L2: :L2: :3123:
-
ตอนนี้ผมหายป่วยแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบ..........
รอยแผลเป็นเต็มเลย... :angry2: แต่เริ่มจางลงบ้างแล้วครับ
แต่ที่หน้าเศร้าใจคือ..... :sad4: ที่หน้าผมมีรอยแผลเป็นอันใหญ่เลยอันนึง....
เซ็งอ่า.... :serius2: ช่วยด้วยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอนนี้ก็ทายาแก้แผลเป็นอยู่คับ.....
แต่ที่หน้าอ่ะดิ... ใครรู้วิธีดีๆบอกมั่งนะคร้าบ :impress2:
ส่วนเรื่องตอนนี้กำลังพิมอยู่คับคาดว่าไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้คับจาลงให้อ่านกันนะคับ
โทษทีนะคับที่ปล่อยให้รอกันนานเกิ๊น..................
-
ไปถามที่กระทูนีดูนะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=8868.0
-
ขอให้แผลเป็นหายไวๆนะฮับ
อย่าซีเรียสมากนะ ยิ่งกังวลมากจะหายช้านะฮับ
มีความสุขในสงกรานต์นะ
-
มารออยู่นะครับ กร สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ มีความสุขมาก ๆ นะครับ
ขอให้แผลอีสุก อีใส หาย กลับมาหล่อ ( สวย ) เหมือนเดิมนะครับ
-
มารายงานตัวแล้วคับผม......
หลังจากที่ผ่านโรคภัยและอุปสรรคอีกหลายๆอย่าง
ทำให้ไม่สามารถลงเรื่องได้ตามที่สัญญาไว้เลย...
หลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกว่า... การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ
ช่วงเวลาที่ผมหายไปไม่ได้ต่อเรื่อง.. มีอะไรมากมายเกิดขึ้นในชีวิต
จากผมที่เคยรู้สึกว่าผมเป็นคนที่รู้จักตัวเองดีมากๆ... เรียกได้ว่ามากจนเกินไปด้วยซ้ำ
หลังจากที่คิดทบทวนในหลายๆเรื่อง... ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันนั้น(คนที่เคยอ่านเรื่องเล่าของผมคงจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร)
ตั้งแต่วันที่ผมเปลี่ยนแปลงตัวเอง...
ผมเคยรู้สึกว่าผมเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ภายนอก ซึ่งใครหลายๆคนที่รู้จักผมมาตั้งแต่แรก
ต่างก็บอกกันว่าผมเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย....
ผมเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ.... แทบไม่มีใครรู้... ว่าผมเป็นอย่างไรมาก่อน...
แต่หลังจากมาคิดทบทวน...
ผมถึงรู้สึกว่ามีสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นมาในตัวผม
ผมเข้าใจว่าผมเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ภายนอก....
แต่ท้ายที่สุดมันไม่ใช่....
หลายอย่างที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่า....
ความคิดของผมมันก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเหตุผลนึงก็มาจากการที่ผมเปลี่ยนตัวเองนั้นแหละ
อีกส่วนคงเป็นเพราะผมเห็นอะไรมากขึ้น... ผมโตมากขึ้น ผมอยู่บนโลกนี้นานขึ้น
ความคิดหลายๆอย่างผมจึงได้เปลี่ยนไป...
ผมกำลังตามตัวเองไม่ทัน....
ผมกำลังวิ่งตามตัวของตัวเอง....
ผมรู้สึกว่าผมไม่รู้จักตัวเอง...
ไม่ใช่เพียงแต่ผม.. คนรอบข้างก็เช่นกัน
หลายครั้งผมได้รับคำถามจากคนเหล่านั้น....
ว่าจริงๆผมเป็นคนยังไงกันแน่....
และเค้าเหล่านั้นรู้จักผมจริงๆหรือไม่...
มันเป็นเรื่องน่าเศร้านะครับ...
เพราะเรารู้สึกเหมือนว่าเราไม่มีใคร
ไม่มีใครที่เค้ารู้สึกว่าเค้ารู้จักเรา
และเราก็ยังไม่รู้จักตัวเองอีก...
หลายครั้งผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเงาที่ไม่มีใครมองเห็น และตัวผมเองก็ยังมองไม่เห็นตัวเองเลย...
หลายการกระทำที่ผมทำไปตามความรู้สึก....
มันอาจจะไม่ใช่ว่าผมอยากทำเช่นนั้นซะทีเดียว.... หรือต้องการสิ่งนั้นจริงๆ
แต่ผมทำตามความรู้สึกตัวเอง... ที่มันต้องการสิ่งนั้นในตอนนั้น
ผมทำไปโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรอง
เพราะผมตามตัวเองไม่ทัน... จึงไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูก
สิ่งนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรอง.... นั่นก็คือไม่ได้ผ่านการคิด
ผมหวังว่าคุณคงจะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกวิ่งนำเราเหมือนผมนะครับ...
คนเราต้องใช้ชีวิตโดยใช้ความรู้สึกและความคิดควบคู่กันไป
ชีวิตจึงจะผ่านไปได้และพบความสุขที่แท้จริงที่ชีวิตคุณต้องการ
หากถ้าคุณใช้เพียงความรู้สึกนำทาง
คุณจะพบเพียงความสุขแบบฉาบฉวย... ไม่จีรัง....
คุณอยากได้หรือ....
สิ่งที่ผมพูดไป...
คงมีหลายคนที่ไม่เข้าใจ...
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าใจใจความคิดและความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง
คุณจะเข้าใจ.......
-
ขอบคุณนะครับ...
สำหรับความเป็นห่วง... และคำแนะนำต่างๆ
และขอโทษจริงๆที่ผมทำให้คุณต้องรอเรื่องของผม....
คาดว่าหลายคนคงเลิกอ่านเรื่องผมไปแล้ววววววววววว..............
**คุณ WAN ครับ.... เอาหล่ออย่างเดียวก็พอครับ... "สวย" ไม่เอาครับ....
เอาเป็นว่าไปอ่านเรื่องผมกันต่อก็แล้วกันนะครับ......
*******************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ความรู้สึก...... มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ ( -_-)
“ ไง..ฉิน หลับสบายดีมั้ย? ” พิงค์ทักทายในทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรม
“ ก็ดีครับ... ” ผมตอบอย่างยิ้มแย้มพลางลงนั่งข้างๆเธอ
“ เฮ้ย...ไอ้บอส กองถ่ายเค้าเตรียมพร้อมกันรึยังว้ะ? ” ผมหันไปถามไอ้บอสที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ข้างๆ
“ เริ่มถ่ายกันแล้วว่ะ ” ไอ้บอสพูด
“ ฉินจะทานอะไรจ๊ะ เดี๋ยวพิงค์จัดการให้ ” พิงค์พูด
“ เอาแบบไอ้บอสแล้วกันจ้ะ.... ง่ายๆดี แล้วก็ขอกาแฟด้วยครับ ” ผมหันไปพูดกับเธอ
“ ได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพิงค์จัดการให้ ” พิงค์พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ โอ้โห...... หมั่นไส้พวกมีคนเอาใจว่ะ ” ไอ้บอสพูดด้วยท่าทางกวนตีน
“ พอเลยเมิง... ไม่ต้องมากวนส้นตีนกูเลย ” ผมพูด
“ แหม... แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลยนะเมิง ” ไอ้บอสยังไม่เลิกกวนตีน
“ แดกๆไป ไม่ต้องพูดมาก.... ” ผมพูด
“ เค้าดีกะมึงซะขนาดนี้.... เมิงก็รับรักเค้าซะทีเห๊อะ ” ไอ้บอสพูด
“ กู......... ยังไม่อยากมีใครตอนนี้ว่ะ ” ผมพูด
“ เมิงยังไม่ลืมหวานอีกเหรอว้ะ? ” ไอ้บอสพูด ทำเอาผมซึ่งเป็นคนฟังรู้สึกปวดที่ใจเหมือนว่ามันกำลังโดนบีบอย่างแรง
“ ไม่ว่ายังไงกูก็จะไม่มีทางลืมหวานได้หรอก ” ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะผมรู้ตัวเองดี
ถึงแม้ว่าวันนี้ลมหายใจของเธอจะถูกพรากไปแล้วก็ตาม
แต่เรื่องราวของเราความทรงจำของเรามันจะยังคงอยู่กับผมตลอดไป ไม่มีใครที่จะมาพรากมันไปจากผมได้
“ ชีวิตคนเราต้องอยู่กับปัจจุบันนะมึง... อย่าลืมซะล่ะ ” ไอ้บอสพูดทิ้งท้าย ผมได้ยินแล้วนึกหัวเราะเยาะตัวเอง
เพราะคำพูดนี้เป็นคำพูดที่ผมเคยพูดปลอบฟรอย
...... คนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน
“ แล้วนี่พวกทีมครีเอทีฟไปไหนกันว่ะ... ไม่เห็นมากินอาหารเช้ากันเลย ” ผมพูดพลางมองหาคนที่ผมอยากจะเจอ
“ อยู่กองถ่ายกันหมดแล้ว ” ไอ้บอสพูด
“ ทุกคนเลยเหอ... แล้วนี่มันไม่กินไรกันรึไงว้ะ ” ผมพูด
“ นี่มึงจะถามหาใครเป็นการส่วนตัวรึป่าว? ” ไอ้บอสพูดด้วยท่าทางกวนตีนเหมือนมันจะรู้ทัน
“ ไม่มีไรนี่หว่า.... ” ผมพูดปฏิเสธอย่างคนร้อนตัว
“ นี่กูถามไรหน่อยเหอะ... อย่าหาว่ากูเสือกเลยนะ... ” ไอ้บอสพูด
“ มีไรว้ะ.... ” ผมพูดกลับไป
“ เมิงเป็นเกย์ป่ะว้ะ ” ไอ้บอสถามด้วยหน้าตาและท่าทางทีเล่นทีจริง
ผมพอจะดูออกว่ามันมีแนวโน้มไปในทางว่าถามเอาจิงเอาจัง
“ เมิง... ทำไมถามกูแบบนี้ว้ะ ” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย
“ กูว่าท่าทางเมิงแปลกๆนะ...” ไอ้บอสพูดอย่างใช้ความคิด
“ แปลกยังไงว้ะ ท่าทางกรูเหมือนเกย์เหรอว้ะ????? ” ผมถามด้วยความฉงน
“ ก็ท่าทางเมิงที่มีกับฟรอยไง.... ” ไอ้บอสพูดอย่างจับผิด
“ ก็ไม่มีไรนี่หว่า... คิดมากแล้วเมิง ” ผมพูดอย่างเอาตัวรอดทั้งที่ก็ไม่มั่นใจในตัวเองนัก
“ เออ.. เมิงอย่าให้กูจับได้ก็แล้วกัน ” ไอ้บอสพูดคาดโทษ
“ คุยอะไรกันอยู่จ๊ะหนุ่มๆ ” พิงค์เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้าของผมที่เธอเตรียมมาให้
“ ก็สุดที่รักของเธออ่ะดิ... บอสว่าท่าทางมันจะชอบไม่ป่าเดียวกันนะ ” ไอ้บอสพูดด้วยท่าทางสนุก
“ ไม่หรอกมั้ง... พูดไปเรื่อยน่าบอส ” พิงค์พูดอย่างยิ้มแย้มพร้อมกับวางอาหารเช้าลงตรงหน้าผม
“ พิ้งค์อย่าไปสนใจไอ้บอสมันเลย... มันพูดไร้สาระหนะ ” ผมพูดพร้อมกับทานอาหารตรงหน้า
“ นึกยังไงมาคุยเรื่องนี้กันล่ะ... ” พิงค์นั่งลงข้างๆผมแล้วถามขึ้น
“ ก็สุดที่รักของเธอแอบกุ๊กกิ๊กกะพนักงานใหม่นะสิ ” ไอ้บอสยังไม่เลิกพล่าม
“ น้องฟรอยนะเหรอ.... ” พิ้งพูดไปหัวเราะไป
“ บ้าน่า.... ไม่มีไรหรอก ก็แค่พนักงานใหม่ก็ต้องดูแลทำความรู้จักกันหน่อยก็เท่านั้น ” ผมพูด
“ อยากดูแลมากไปมั้ง 555555+.... ท่าทางมีพิรุธนะเมิงนี่ ” วันนี้ไอ้บอสไม่รู้เป็นอะไรพูดจากวนบาทาผมตลอด
“ พนักงานใหม่กูก็ต้องใส่ใจหน่อยดิว้ะ.... ที่จับผิดกูเนี่ย... เมิงเป็นหมาหวงก้างรึไงว้ะ ” ผมชักเริ่มหงุดหงิด
“ หนุ่มๆจ๊ะ.... พิงค์ว่ารีบทานกันดีกว่ามั้ย... จะได้ลงไปดูกองถ่ายกัน ”
พิงค์พูดยุติสงครามน้ำลายที่กำลังเริ่มรุนแรงมากขึ้น
*****************************************************************
ตอนที่ผมลงไปที่กองถ่าย ทีมงานก็เริ่มถ่ายกันแล้วคับ
ลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่คับและเจ้าของก็เป็นเพื่อนกับคุณพ่อของผมด้วย
ผมก็เลยต้องควบคุมกันในเรื่องของคุณภาพงานเป็นกรณีพิเศษและลงมาดูรายละเอียดในส่วนของการถ่ายทำกันด้วย
อีกทั้งการทำงานครั้งนี้มีเวลาในการทำงานค่อนข้างจำกัดจึงยิ่งต้องดูแลคุณภาพให้โอเคไปในทุกขั้นตอนจะได้ไม่ต้องมาตามแก้กันทีหลังอีก
“ ฉินจ๊ะ... คุณลุงโทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะแวะเข้ามาดูงานด้วยนะ ” พิงค์เดินเข้ามาบอกกับผม
“ คุณพ่อเนี่ยนะจะแวะเข้ามา.... ไม่เชื่อฝีมือกันเลยรึไง ” ผมพูดอย่างนึกแปลกใจ
“ พอดีคุณลุงขึ้นมาทำธุระพอดีหนะ... ก็เลยถือโอกาสแวะมาดูงานด้วย” พิงค์พูด
“ อืม... คงงั้น ” ผมพูดแล้วเดินไปหาคนที่ผมแอบยืนมองเค้ามาสักพัก
ด้วยความเป็นห่วง จากที่เมื่อคืนฟรอยก็คงจะนอนหลับไม่ค่อยสนิทเพราะว่าฝันร้ายนั่น....
นี่ก็สายมากแล้วยังไม่เห็นไปทานอะไรเลย กลัวว่าจะเป็นลมไปซะก่อน
ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไล่ให้ไปกินอะไรรองท้องซะหน่อย
แต่ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงตัวฟรอย ก็เห็นไอ้บอสเดินเข้าไปถึงตัวซะก่อน
ท่าทางไอ้บอสก็คงจะไปบอกให้ฟรอยไปหาอะไรทานเหมือนกัน
ผมก็เลยเดินไปรอที่ห้องอาหารของโรงแรม
“ มากินอะไรรองท้องนี่มา พี่เตรียมไว้ให้แล้ว ” ผมพูดทันทีที่เห็นฟรอยเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“ เอ่อ... ขอบคุณนะครับ ” ฟรอยพูดก่อนที่จะเดินเข้ามาตรงโต๊ะที่ผมเตรียมอาหารไว้ให้
“ อ้าว.. นั่งลงสิ จะยืนกินรึไง ” ผมแกล้งพูดดุ เพราะเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของฟรอย
“ จริงๆผมไม่รบกวนก็ได้นะครับ ผมจัดการตัวเองได้ ” ฟรอยพูดด้วยท่าทีเกรงใจ
“ ช่างเหอะน่า... รีบๆกินเถอะ ” ผมพูดอย่างเอ็นดู
“ ครับ.. ขอบคุณนะครับ ” ฟรอยพูดก่อนที่เริ่มทานอาหารตรงหน้า
“ เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ เช้ามา.... ยังมัวแต่ไปทำงานข้าวปลาก็ไม่กิน... นี่กลัวจะโดนไล่ออกรึไง ”
ผมพูดอย่างหยอกล้อเพื่อลดอาการเกร็งๆของฟรอยที่ผมสังเกตเห็น
“ กลัวงานเสร็จไม่ทันหนะคับ... ” ฟรอยพูด
“ ดูดิ๊... หน้าตามีแต่เหงื่อเต็มไปหมด ” ผมพูดพร้อมกับเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าให้ฟรอยอย่างเอ็นดู
“ ไม่เป็นไรครับ.. ผมเช็ดเองได้ ” ฟรอยพูดพร้อมกับกุลีกุจอดึงกระดาษทิชชูที่มือผมไป
“ อ้าว.. ทำไมล่ะ... ไม่เห็นเป็นไรเลย ” ผมพูดอย่างนึกขำกับท่าทางตื่นๆของฟรอย
“ ฉิน... ฉินจ๊ะ... คุณลุงมาแล้ว ” ทันทีที่เสียงพิงค์ดังขึ้นมาเราสองคนก็แยกออกจากกันโดยเร็ว
“ อ่อ.. เหรอ ” ผมพูดด้วยท่าทางที่ไม่ให้เป็นพิรุธ
“ แล้วทำไมฉินมาอยู่ที่นี่ล่ะ... หิวเหรอ... เอาอะไรมั้ยเดี๋ยวพิงค์จัดการให้ ” พิงค์พูด
“ ไม่ดีกว่า... รีบไปหาคุณพ่อกันเถอะ ” ผมพูดก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องอาหารกับพิงค์
**********************************************************
“ ว่าไงครับพ่อ... ลมอะไรหอบมาถึงนี่ ” ผมพูดทักทายคุณพ่อ
“ ไอ้นี่... แค่แวะมาดูอะไรนิดหน่อยๆ ทำเป็นหงุดหงิดไปได้ ” พ่อพูดอย่างอารมณ์ดี
“ ไม่เชื่อฝีมือกันบ้างรึไงคับพ่อ ” ผมพูด
“ เออ... แกมันเก่ง... พอใจรึยังว้ะ... ” พ่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“ คร้าบ..... ” ผมพูด
“ นี่ถึงไหนกันแล้วล่ะ... อีกเยอะมั้ย ” พ่อถาม
“ ก็อีกพอสมควรคับ.. แต่คาดว่าวันนี้ก็คงจะเรียบร้อยคับ ” ผมพูด
“ อืมดี... เอาให้ทันเวลาก็แล้วกัน ” พ่อพูด
“ ครับพ่อ... ” ผมพูด
“ งานนี้นี่ได้ใครคิด Story Board ล่ะ.... ฝีมือดีนะ ” พ่อพูดทำเอาผมแอบยิ้มไปด้วย
“ พนักงานใหม่นะค่ะคุณลุง... เพิ่งจบมาหมาดๆ ” พิงค์พูด
“ อืม..... แต่ฝีมือไม่ใหม่เลยนะ.... ท่าทางจะมีดีพอตัว ” พ่อพูดอย่างชื่นชม
“ ครับ... เด็กคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดาเลยครับ... นี่ก็เป็นงานแรกของเค้าด้วย ” ผมพูดอย่างนึกภูมิใจ
“ เอ.. ชักจะอยากเห็นหน้าแล้วสิ ” พ่อพูด
“ กำลังทานอาหารอยู่หนะคับ.. ” ผมพูด
“ คุณลุงไปทานอะไรหน่อยมั้ยค๊ะ... จะได้เจอกับฟรอยด้วย ” พิงค์พูด
“ อืม... ก็ดีเหมือนกันนะ ” พ่อผมแสดงท่าทีเห็นด้วย
ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะพ่อผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชมใครหรือถูกใจงานของใครเท่าไหร่
แต่พ่อชอบงานของฟรอย
****************************************************
“ ฟรอยจ้ะ... นี่คุณเอกวินทร์ เป็นคุณพ่อของฉินจ้ะ... ” พิงค์พูดแนะนำหลังจากที่ฟรอยนั่งลงบนสภากาแฟของเรา
“ ครับสวัสดีครับ... ผมธนครับ ” ฟรอยพูดแนะนำตัวด้วยท่าทางเกร็งๆเหมือนจะวางตัวไม่ถูก
“ ฟรอยใช่มั้ยเรา... ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ” พ่อพูดอย่างเป็นกันเอง
“ ครับ... ” ฟรอยพูด
“ เราใช่มั้ยที่เป็นคนคิดงานชิ้นนี้หนะ ” พ่อถาม
“ ใช่ครับ... ” ฟรอยพูด
“ เรานี่ฝีมือใช้ได้เลยนะ... มิน่า... เจ้าฉินถึงให้จับงานใหญ่ขนาดนี้ ” พ่อพูดอย่างชื่นชม
“ ไม่หรอกคับ... ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะคับ ” ฟรอยพูดถ่อมตัว
“ ฝีมือดีก็รับคำชมไปเถอะนะ.. เห็นเจ้าฉินบอกว่านายนี่ได้รางวัลใหญ่ๆมาหลายชิ้นหนิ ” พ่อซักถามประวัติ
“ ก็... ครับ.. พวกการประกวดสมัยเรียนหนะคับ ” ฟรอยพูด
“ อืม... ดี... ฝีมือดีแบบนี้ก็อยู่กันนานๆหน่อยนะ... อย่าเพิ่งให้ใครเค้าดึงตัวไปล่ะ... ” พ่อพูด
“ ครับ ” ฟรอยตอบปากรับคำด้วยท่าทางที่ดูสบายๆมากขึ้น
“ ฉิน... บอส... ดูแลกันดีๆหน่อยนะ... เดี๋ยวจะโดนใครแย่งตัวไปซะก่อน เก่งๆแบบนี้..อีกไม่นานคงมีแต่คนแย่งตัว ”
พ่อหันมาพูดกับผมและไอ้บอส
“ ครับ... ” ผมกับไอ้บอสรับปากพร้อมกัน
“ เรามีปัญหาอะไรก็ค่อยๆคุยกันนะ... แต่ถ้าพอใจจะไปก็ไม่ว่ากัน ” พ่อหันมาพูดกับฟรอย
“ พ่อก็อย่าไปพูดชี้โพรงให้กระรอกแบบนั้นสิครับ... เดี๋ยวเค้าก็ไปจริงๆหรอก ” ผมพูดอย่างเริ่มนึกกังวล
“ เอาเถอะน่า.... เดี๋ยวขอตัวไปพักสักหน่อย.... รู้สึกเมื่อยๆตัว ” พ่อพูด
“ ครับพ่อ... งั้นเดี๋ยวพวกผมขอตัวไปดูงานต่อแล้วกันนะครับ ” ผมพูด
“ พล.. แกก็ไปพักผ่อนตามสบายแล้วกัน มีไรเดี๋ยวจะเรียก ” พ่อหันไปพูดกับพี่พลเลขาส่วนตัวของพ่อ
“ ครับท่าน ” พี่พลพูดก่อนที่จะเดินออกไป
“ พิงค์เดี๋ยวพาลุงขึ้นไปข้างบนหน่อยนะ ” พ่อพูดกับพิงค์
“ เอ่อ... ได้ค่ะคุณลุง ” พิงค์ตอบ
“ ฝากดูแลพ่อด้วยนะ ” ผมพูดกับพิงค์ก่อนที่เธอจะเดินตามพ่อขึ้นไป
“ จ้ะ... ” พิงค์พูด
********************************************************************
การถ่ายทำหนังโฆษณาเสร็จเรียบร้อยตอนประมาณเกือบสามทุ่ม
ตอนนี้กองถ่ายก็กำลังเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อที่จะได้ไปพักผ่อน และเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้
“ เป็นไงมั่งคับคุณฉิน ” ผู้กำกับเดินเข้ามาถามผม
“ ก็โอเคนะครับพี่ต้า แต่คงต้องดูหลังจากตัดต่ออีกที ” ผมพูด
“ ครับ... ตัดไม่เกินสองวันก็น่าจะเสร็จครับ ” พี่ต้าพูด
“ ครับพี่.. ยังไงก็รบกวนหน่อยนะครับ ” ผมพูดด้วยท่าทางเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรครับ.. เข้าใจว่างานด่วน.. ” พี่ต้าพูดอย่างเข้าใจ
“ ขอบคุณนะครับพี่... ที่เข้าใจ ” ผมพูด
“ แล้วนี้คุณพิงค์ไปไหนล่ะครับ... ผมว่าจะให้คุณพิงค์บรีฟดีเทลอีกรอบนึงก่อนตัด ” พี่ต้าพูด
ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ว่าหลังจากที่พิงค์พาคุณพ่อไปพักเธอก็หายไปเลย สงสัยจะไปเตรียมอาหาร
“ สงสัยจะอยู่ที่โรงแรมหนะครับ ” ผมพูด
“ อ่อครับ.. งั้นเดี๋ยวคงเจอกันตอนทานข้าว ” พี่ต้าพูด
“ ครับ.. พี่ต้าถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ” ผมพูดทันทีที่สายตามองไปเห็นฟรอย หลังจากที่สอดส่องสายตามองหามาสักพัก
“ ไปอาบน้ำได้แล้วมั้งครับ.. จะได้ไปทานข้าว ” ผมพูดหลังจากที่เห็นฟรอยกำลังยืนม้วนสายไฟอยู่
“ อีกแปปนึงครับ.. ใกล้จะเสร็จแล้ว ” ฟรอยพูดในขณะที่มือก็กุลีกุจอม้วนสายไฟไปด้วย
“ เดี๋ยวทีมโปรดักชั่นเค้าก็เก็บกันเองล่ะคับ.. ไปเถอะ.... ช่วยเค้ามาทั้งวันแล้ว”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มดุแต่ฟรอยก็ยังดื้อที่จะช่วยงานต่อ
“ ไปอาบน้ำได้แล้ว... จะได้ไปกินข้าว ” ผมพูดแล้วยื่นมือไปดึงแขนฟรอยให้เดินตามมา
“ ปล่อยมือผมได้แล้วมั้งคับ.. เดี๋ยวใครมาเห็นจะมองไม่ดี ” ฟรอยพูดหลังจากที่เดินตามผมมาเงียบๆได้สักพัก
“ ดื้อจริงๆนะเราหนะ... ช่วยคนอื่นหนะช่วยได้ แต่ให้มันอยู่ในความพอดีหน่อย.. ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ........ ” ผมก็ได้โอกาสเทศน์จะยกใหญ่ ฟรอยก็ฟังแต่ก็มีเถียงผมเป็นพักๆ หน้างี้บูดเป็นตูดลิงเลย
“ รู้แล้วครับท่านเจ้านาย.... ” เสียงฟรอยที่พูดอย่างประชดประชัน
“ ทีหลังนะ..... พี่จะ... ” ผมกำลังจะเทศน์ต่อแต่แล้วก็มีเสียงไอ้บอสขัดขึ้นมาซะก่อนว่า
“ เถียงอะไรกันอยู่ว้ะ??? ” เสียงของไอ้บอสทำให้ผมปล่อยมือที่จับแขนฟรอยออกโดยอัตโนมัติ
“ ก็ไม่ได้มีไรมากหรอก ” ผมพูดพร้อมกับทำหน้าไม่ถูก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติด้วย
แต่ด้วยน้ำเสียงและสายตาของไอ้บอสที่มองมายังผมกับฟรอยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
“ แล้วทำไมเมิงมาอยู่นี่ว้ะ... เห็นพิงค์ถามหาเมิงอยู่ที่ห้องอาหารหนะ ” ไอ้บอสพูดด้วยหน้าตากวนบาทา
“ ก็มาดูความเรียบร้อยนิดหน่อย ” ผมพูดโดยพยายามไม่ให้มันเป็นคำพูดของการแก้ตัว
“ กูว่า.... เดี๋ยวนี้เมิงดูเป็นห่วงพนักงานในบริษัทจังนะ ” ไอ้บอสพูดอย่างคนรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่
“ มันก็ดีไม่ใช่เหรอว้ะ... พนักงานจะได้รู้สึกดี... ตั้งใจทำงานมากขึ้น... ไม่ใช่ว่ากูจะมาสั่งๆๆ... ”
ผมพูด ผมเริ่มรู้สึกว่าบทสนทนาของเราทั้งคู่กำลังพยายามที่จะเอาชนะกัน
“ ก็ดี... แต่ระวังจะเสียการปกครองนะเมิง ” ไอ้บอสพูด
“ ขอบใจนะที่เตือน... แต่กูว่าคงไม่หรอกว้ะ... จริงมั้ยฟรอย ”
ผมพูดแล้วหันไปมองฟรอยที่ยืนนิ่งท่ามกลางสงครามน้ำลายของผมกับไอ้บอส
“ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ... ”
ฟรอยพูดแล้วเดินออกไปเงียบๆ ผมไม่รู้ว่าสงครามน้ำลายเมื่อครู่ทำให้ฟรอยรู้สึกยังไง
แต่ดวงตาของฟรอยที่ผมเห็นก่อนที่ฟรอยจะเดินไปทำไมมันถึงดูเศร้าจัง
ผมอยากรู้ว่า........ ฟรอยกำลังคิดอะไรหรือกำลังรู้สึกอะไร ????
“ ฟรอยครับ.. เดี๋ยวพี่ไปด้วย... ” ไอ้บอสพูดก่อนที่จะเดินตามฟรอยไป
###########################################################
-
แหะๆ เจ้าของกระทู้ใช้โปรโมชั่น น้านนาน ละสิ หายไปนานมาก
สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา ขอให้ดีขึ้นไวไวครับ
-
มาลงทะเบียนอ่านด้วยคนครับ
ฝากด้วยนะครับ
โจ้คับ
และขอโฆษณาเรื่องเล่าหน่อยนะครับ
ไม่ว่ากันนะ
[เรื่องเล่า] จากเกลียดกลายเป็นรักได้ไงว่ะ [By เขมคับ] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=9774.0)
ฝากด้วยนะครับ
ไม่ว่ากันนะ แค่อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านเรื่องหนึ่งๆ ที่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะชอบกันนะ
โจ้คับ
-
อืม บางครั้งคนเราโตขึ้น โตเกินกว่าบางสิ่งบางอย่าง สิ่งใดที่เคยชอบ สิ่งใดที่เคยรัก อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว
ขอเพียงเรามีสติ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะโตขึ้นอีกแค่ไหน หรือหยุดโตเมื่อไหร่ เมื่อเรามองย้อนมา เราจะไม่เสียใจกับมันเลย
:bye2: :bye2:
-
นานมาก แต่ก็ยังตามอ่านอยู่....
ไอ้ความรู้สึกแบบนั้น ผมเองก็เป็นครับ...
แต่คนเราต้องใช้เวลาเรียนรู้ตัวเอง
บางอย่างที่รับสักแต่ว่ารับมา ยัดเยียดให้ตัวเองแล้วบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือต้องทำ
บางทีอาจไม่ใช่ก้อได้
นึกดีๆ และคิดทบทวนกับตัวเองดีๆ
ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรสำหรับนายหรอกจริงไหม
ทำใจให้สบายๆครับ
ลุ้นเรื่องฟรอยเหมือนเดิมครับ
-
คนอ่านเรื่องผมหายไปหมดแล้ววววววววว............................... เหรอคับ...
:m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11:
ผมขอโทษนะครับ... ที่มีต่อเรื่องช้าอ่า.....
คนอ่านเลยหายไปกันหมดเลย......
กลับมานะคร้าบ...... :sad4: :o12:
:L3:
-
อ่านะ...ไปสงกรานยาวหรอ อิอิ
-
มาลงทะเบียนอ่านด้วยคน...พึ่งจาได้สมัครสมาชิกนี้แหละ
-
^
^
^
:z13: ขอเจาะไข่น้องใหม่ก่อนนะ กร
+1 ต้อนรับ dui12342537 เข้าเล้าครับ
:จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:กร สุดหล่อ ให้หายคิดถึง
ไม่เจอกันซะนานเลยนะ กลับเข้าเล้าถูกซะด้วย เก่งงงงงงงงงงง ฮ่าฮ่า
:L1:ยังร้าก...กร เหมือนเดิม :L1: :-[
ป้อล่อ...+1 แล้วเข้าเล้ามาบ่อยๆนะกร :z1:
-
เพราะผมตามตัวเองไม่ทัน... จึงไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูก
สิ่งนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรอง.... นั่นก็คือไม่ได้ผ่านการคิด
แน่ใจรึคับ
ขออนุญาตนะคับ
จากที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะพี่ตามตัวเองไม่ทัน แต่เพราะพี่เปลี่ยนแปลงของตัวเองได้
รู้สึกภูมิใจเล็กๆ สนุก-เพลินกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
รู้สึกแปลกใหม่กับสิ่งที่ทำ และผลที่ได้รับทั้งจากตัวเองจากคนที่รู้จักและไม่รู้จัก
พอหันกลับไปมองมัน ชั่วระยะเวลาแค่ไม่นาน กลับกลายเป็นว่าพี่ทำอะไรไปเยอะแยะมากมาย...เท่านั้น...รึป่าว
-
เพราะผมตามตัวเองไม่ทัน... จึงไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูก
สิ่งนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรอง.... นั่นก็คือไม่ได้ผ่านการคิด
แน่ใจรึคับ
ขออนุญาตนะคับ
จากที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะพี่ตามตัวเองไม่ทัน แต่เพราะพี่เปลี่ยนแปลงของตัวเองได้
รู้สึกภูมิใจเล็กๆ สนุก-เพลินกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
รู้สึกแปลกใหม่กับสิ่งที่ทำ และผลที่ได้รับทั้งจากตัวเองจากคนที่รู้จักและไม่รู้จัก
พอหันกลับไปมองมัน ชั่วระยะเวลาแค่ไม่นาน กลับกลายเป็นว่าพี่ทำอะไรไปเยอะแยะมากมาย...เท่านั้น...รึป่าว
^
^
เหอ เหอ :z1: ไปคุยกันตอนไหนอ่ะ งง วุ้ย
:กอด1:กร
-
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจครับ
:L2: :L2: :L2:
:L1: :L1: :L1:
ยังงัยก็อย่าหายไปนานนะครับ
-
ตอนใหม่ยังพิมอยู่นะคร้าบ....
เดี๋ยวพรุ่งนี้ลงต่อให้นะครับ....
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคร้าบ....
ลุงๆ... อยากรู้ไรมาเคลียร์....
ไม่ก็ออนเอ็มเดะ... ซะทีๆ
-
สวัสดีคนอ่านทั้งผู้อ่านเก่าๆและสมาชิกใหม่ทุกๆคนนะคร้าบ........
ดีใจที่ยังพอมีคนตามอ่าน.... อ่าๆ.....
ขอบคุณนะครับ...
วันนี้เอาตอนใหม่มาให้อานกันครับ.....
ไปอ่านกันเลยครับ....
***********************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ความรู้สึก...... มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ ( -_-)*
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
พี่บอสก็เดินมาบอกกับผมว่าได้คุยกับพี่ฉินแล้วมีการเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย
ก็คือจะเดินทางกลับกทม.กันในคืนนี้เลย เพราะว่าทีมโปรดักชั่นจะได้กลับไปตัดต่อหนังในทันตามเวลาที่ลูกค้าต้องการด้วย
ตอนนี้พี่ฉินกำลังประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันจากนั้นแต่ละคนจึงไปเก็บสัมภาระของตัวเอง
เพื่อเตรียมขึ้นรถเดินทางกลับกัน
เรามากันด้วยรถตู้สองคันและรถขนอุปกรณ์การถ่ายทำอีกหนึ่งคัน
รถตู้คนนึงเป็นของทีมโปรดักชั่น ส่วนอีกคันซึ่งเป็นคันที่ผมนั่งเป็นของทีมครีเอทีฟ เออี และส่วนงานอื่นๆ ซึ่งพี่ฉิน พี่บอส และพี่พิงค์ก็นั่งมาในคันเดียวกับที่ผมนั่ง
จากเหตุการณ์ที่พี่ฉินกับพี่บอสประทะคารมกัน ทั้งพี่เค้าทั้งสองคนคงเข้าใจว่าที่ผมมีท่าทีแปลกๆเป็นเพราะว่ารำคาญที่พี่สองคนเค้าเล่นสงครามน้ำลายกัน
แต่อันที่จริงแล้ว... ตัวผมเองยังไม่แน่ใจเลยครับว่าผมเป็นอะไร
ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนผมหงุดหงิดกับท่าทีของพี่ฉิน
อาการที่แสดงต่อผมเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคนลับตาผู้อื่น...
ผมรู้สึกว่าพี่ฉินเป็นคนอ่อนโยนและห่วงใยผมมาก
ผมรู้... ว่าผมไม่ได้กำลังคิดเข้าข้างตัวเอง
แต่ทุกครั้งที่มีใครมาเห็นว่าพี่ฉินอยู่กับผม
พี่ฉินมักจะมีท่าทีแปลกๆ เหมือนว่ากลัวคนอื่นจะรู้ว่าเค้าอยู่กะผม หรือพี่เค้าเป็นห่วงผม
ความรู้สึกของพี่ฉินที่ส่งมายังผม...
เท่าที่ผมสัมผัสได้......
มันไม่ใช่เจ้านาย..... ที่มีให้ลูกน้อง......
เหมือนพี่ชาย....... ที่กระทำกับน้อง แต่บางทีครั้งก็เหมือนจะมากกว่านั้น..
ผมเคยได้ยินป้าแม่บ้านที่ออฟฟิตคุยกันทำให้ผมได้รู้เรื่องราวบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
ก็คือ พี่ฉินมีน้องชายหนึ่งคน ซึ่งทั้งคู่สนิทมาก
แต่ก็มีเรื่องน่าเศร้าใจเกิดขึ้นซึ่งเหตุการณ์แสนเศร้านั้นผ่านมาได้ยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ
น้องชายพี่ฉินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
เรื่องน่าเศร้ายังไม่จบแค่นั้น...
เพราะว่าแฟนพี่ฉินก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งเดียวกันนั้น
ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ.....
พี่ฉิน เป็นคนขับรถคันนั้น
การสูญเสียคนที่เรารัก..... อย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดมันร้ายแรงเกินกว่าที่ใครจะรับไหว
ผมรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน....
เพราะผมก็เคยผ่านมันมา.....
ผมรู้ว่าพี่ฉินคงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าผม หรืออาจจะมากกว่าผมเสียด้วยซ้ำ....
ผมจึงบอกตัวเองเสมอว่า....
ที่พี่ฉินแสดงความอ่อนโยนต่อผม เป็นห่วงผม...
คงเพราะผมคือตัวแทนของคนที่เค้าเคยสูญเสียก็เป็นได้.....
ซึ่งผมก็เต็มใจ... หากผมสามารถเยียวยาแผลร้ายอันนั้นของพี่ฉินได้
เพราะสำหรับผมเอง... พี่ฉินก็เป็นเหมือนตัวแทนความห่วงใยของพี่โฟนเช่นกัน
ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจผมจากสงครามน้ำลายนั้น...
อาจมาจากการที่ผมกำลังได้ใจ.... กับการได้เป็นผู้ถูกกระทำ... เป็นผู้ได้รับความรู้สึกดี
จนแอบรู้สึกพิเศษไปในใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว.....
พอรู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนพิเศษ....
ความรู้สึกแย่ๆนั้นจึงได้ก่อตัวขึ้นในใจ.......
“ หนาวมั้ยพิงค์...... ” เสียงพี่ฉินถามพี่พิงค์ที่ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าผม
“ นิดหน่อยจ้ะ... แต่ไม่เป็นไรหรอก... ” พี่พิงค์ตอบ
สายตาของผมมองออกไปนอกรถที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่
ทำให้ความมืดปกคลุมไปทั่งสองข้างทางรวมถึงในรถ
ฝนกำลังตกพร่ำๆและมีทีท่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ท้องฟ้าก็มืดสนิทมองไม่เห็นดาวสักดวง เมฆหนาปกปิดความสวยความของดวงดาวจนหมด
มองเห็นเพียงสายฟ้าที่คำรามเสียงครืนๆอย่างบ้าคลั่ง
ผมรู้สึกว่าเบาะข้างหน้าผมกระตุกเกือบทุกครั้งที่มีเสียงฟ้าร้อง....
ใครสักคนที่นั่งตรงนั้นคงจะตื่นตระหนกกับเสียงฟ้าร้องอยู่เป็นแน่
ขณะที่สายตาของผมทอดมองออกไปนอกรถท่ามกลางความมืด
ผมรู้สึกว่าคนข้างๆผมซึ่งก็คือพี่บอส ขยับมือมาดึงเสื้อคลุมของผมให้กระชับขึ้น
เพื่อป้องกันความหนาวจากแอร์รถและความเย็นภายนอกที่แผ่ซ่านเข้ามา
“ ขอบคุณครับ... ” ผมตอบเสียงไม่ดังนัก
“ พี่นึกว่าเราหลับซะอีก... ” เสียงพี่บอสพูดอย่างอ่อนโยน
พี่บอสก็เป็นเสมือนตัวแทนความห่วงใยของพี่โฟนอีกคนนึงเช่นกัน
เค้าทำให้ผมรู้สึกว่า....
ในโลกนี้ยังมีคนที่ห่วงผมอีกคน.....
“ ถ้าจะหลับก็เอนมาซบไหล่ผมได้นะ... ” เสียงพี่ฉินบอกกับพี่พิงค์
“ ขอบใจนะ.. ” พี่พิงค์พูดพร้อมกับเอนไปซบไหล่พี่ฉิน
พี่ฉินเป็นคนที่ห่วงคนรอบข้างเสมอ.....
ผมหมดข้อกังขาในตัวพี่ฉิน....
ที่มันเป็นคำถามในใจ...... ว่าผมเป็นคนพิเศษอย่างที่พี่บอสพูดกับพี่ฉินรึป่าว....
ผมเป็นตัวแทนของคนนั้น......
น้องชายที่เสียไปของพี่ฉิน.......
ผมยินดีครับ.....
เพราะเรา.... ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกันรักษาแผล
ผมได้ยินเสียงตบบ่าอยู่ข้างๆก็เลยหันไปมอง... พี่บอสก็พูดขึ้นว่า
“ สนม่ะ..... ”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับเอนหัวลงไปซบที่บ่าของพี่บอส
“ ฝนตกหนักจังนะ..... ”
เสียงพี่ฉินพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบซึ่งคาดว่าตอนนั้นหลายคนคงจะหลับกันแล้ว
“ อืม... ดีนะ... ที่ตอนถ่ายไม่ตก ไม่งั้นงานไม่ทันแน่ ” พี่บอสพูด
“ งานนี้ใครปักตระไคร้ว้ะ.... สงสัยจะบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ ”
พี่ฉินพูดด้วยเสียงที่เจอไปด้วยอารมณ์ขัน
“ น้องก้อยทีมคอสทูมไง ”
พี่บอสตอบพร้อมกับหัวเราะไปด้วยส่วนผมก็แอบหัวเราะตามทันทีที่นึกถึงหน้าของก้อย
คือว่าก้อยจะตัวเตี้ยๆถึกหน่อยหนะคับ แต่ทำงานเก่งมาก
“ เออว่ะ... สมควรเลือกมาปักตระไคร้ ” ทันทีที่พี่ฉินพูดทุกคนที่ยังไม่หลับก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ โคร้ม ๆๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ......................................................... ”
#########################################
-
ว๊ากก
ในที่สุดก้อมาต่อ
ชอบเรื่องนี้มากมาย
ตกลงพี่ฉินรู้สึกยังไงแน่เนี๊ยะ
:serius2: :serius2:
-
อืมมม์....รู้สึกสับสน เอ่อ.....หรือว่าไม่สับสน
ทำไมมันอธิบายความรู้สึกยากจังวุ้ย
กำลัง งงกับตัวเองว่า กำลังสับสน หรือว่า ไม่สับสน กันแน่หว่า :z1:
:pig4:ขอบคุณคร้าบ +1 น้องกร :L1:
ป้อล่อ....แล้วถ้าน้องกร เป็นคนปักตะไคร้ล่ะ ผลจะออกมาเป็นยังไง ฮ่าฮ่า เอิ้กส์ :jul3:
-
เสียงอะไรนะ โครม ๆ ๆ ๆ
อย่าบอกนะว่าเกิดอุบัติเหตุ รีบมาเฉลยด่วนนะครับ กร ผู้รูปหล่อ
อยากได้แบบหล่อ ก็จัดให้สบายอยู่แล้ว ในเมื่อตามใจให้แล้วก็รีบมาต่อเรื่องเลย
ทิ้งเสียงปริศนาไว้นาน ไม่ค่อยดีนะครับ
พักนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ระวังรักษาสุขภาพด้วนนะครับ :กอด1: +1 ให้ด้วยน้า
ปล. ไอ้ความเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก มันคงเป็นเพียงความรู้สึก
ที่เราได้สัมผัสกับมันในเวลาที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งวัยวุฒิที่มีเพิ่มขี้น อย่าไป
รู้สึกว่า ตัวตนของเรา เรายังไม่รู้จัก วางเอาไว้แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
เป็นกำลังใจให้เสมอ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนะครับ กร
-
คือว่า ผมลืมแล้วครับ ต้องอ่านใหม่ตั้งแต่หน้าแรก :serius2:
ตอนนี้ตามทันแล้วครับ
ว่าแต่ "โครม!!!" นั่นอะไรน่ะ??? :m28:
-
โครม ทำไมเนี่ยยย ชอบชื่อตอนนี้อ่ะ
คนแต่งหายไปนานเลยน๊า...
-
ขอเปิดรับเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งในดวงใจชองเรา
เหงา ๆ ซึ้ง ๆ เข้ากับอากาศหนาว ๆ ที่สุดเลย
:sad11:
-
อะไร โครมๆ!!!!
รีบมาต่อด่วนนนนนนนน
มันคาใจ :serius2:
-
ป้อล่อ....แล้วถ้าน้องกร เป็นคนปักตะไคร้ล่ะ ผลจะออกมาเป็นยังไง ฮ่าฮ่า เอิ้กส์ :jul3:
ฝนตก น้ำท่วมหนัก :z2:
-
ให้คนเขียนไปปักตะไคร้ดิ
คริๆๆๆๆๆๆๆ
แต่ตอนจบเสียงอะไร โครมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
แวะมาตอบคอมเม้นครับ...
happy_icekung69 pajaa broke-back ไม่ต้องมาแซวเราเรื่องปักตระไคร้เลย.... เดี๋ยวจะโดน :o
ตัวเองปักก็น้ำท่วมเหมือนกันแหละ :a14:
1st prince ต้อนรับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่นะครับ.... แวะมาอ่านเรื่องผมบ่อยๆนะคร้าบ... :impress2:
OT รอบนี้ไม่หายไปไหนนานๆแล้วจร้า.... :try2:
pickki_a อ่าๆ.. โทษทนะครับที่หายไปนานเลยต้องอ่านใหม่ตั้งแต่แรกเลย.. :o8: แต่จะไม่หายไปไหนแล้วคร้าบ..
wan ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง.. :-[
posh ขอบคุณนะคร้าบ... ที่ยังตามอ่าน o1
@SZA เดี๋ยวผมกลับมาต่อให้นะครับ.. ตอนนี้พิมเสร็จแล้วเดี๋ยวรอตรวจอีกรอบนึงแล้วจะลงให้อ่านนะครับ.... o8
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะครับ... ส่วนคนอื่นๆที่อาจจะไม่ได้แสดงตัวก็ไม่เป็นไรครับ
แต่อย่าลืมตามอ่านกันไปเรื่อยๆนะครับ
อย่าเพิ่งหายไปไหนน๊า.... :dont2:
ส่วนตอนใหม่เดี๋ยวคืนนี้ลงให้ครับ แต่ตอนนี้ขอตัวไปกินข้าวก่อน
:m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:
-
มาต่อแล้วครับ.......
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
การจากลา..... ที่ไม่ได้ลาจาก........ ( -_-)
“ โคร้ม ๆ ๆ ๆ ๆ ....................... ”
เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมาที่หลังคาส่วนท้ายของรถ
“ เอี๊ยดดดดดดดด......................................................................................... ”
เสียงล้อรถตู้ขูดกับพื้นถนนด้วยแรงกระแทกมหาศาล รถไถลไปด้านหน้าแล้วเสียหลักพลิกคว่ำกับพื้นถนน ตัวรถตู้ครูดไปกับพื้นถนนอย่างแรง
เสียงคนในรถร้องระงมจนแสบแก้วหู ในตอนนั้นในใจผมสั่นไหวไปหมด
ผมเป็นห่วงทุกคนที่อยู่ในรถโดยเฉพาะเค้าคนนั้นและรวมถึงตัวเอง....
รถครูดไปกับพื้นถนนเสียงดังสนั่น......
ทันทีที่รถหยุดจากการไถลผมยันตัวเองขึ้นมาจากพื้นเพื่อมองดูผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ภาพที่เห็นทำให้ผมใจสั่นเพราะหลังคาส่วนหลังของรถตู้บุบลงมาอย่างมากจนมองเห็นได้ชัดเจน
ทำให้ผมนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของทุกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน โดยเฉพาะคนที่นั่งส่วนหลังของรถตู้
และหนึ่งในนั้นคือฟรอย.......
ในตอนนั้นใจผมยิ่งสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้
ผมพยายามตั้งสติ หลายคนที่รู้สึกตัวก็พยายามดันตัวเองไปที่ประตูเพื่อออกจากรถ
ลุงสมหมายคนขับดันตัวเองออกจากรถแล้วรีบวิ่งมาดึงประตูออกให้คนในรถค่อยๆพาตัวเองออกมา
“ เป็นอะไรรึป่าวพิงค์ ??? ” ผมถามพิงค์อย่างร้อนรนทันทีที่เห็นเธอยันกายออกมาจากรถ
“ ไม่เป็นไร.... แต่เหมือนข้อศอกจะแตก ”
ทันทีที่พิงค์พูดผมจึงพอเธอไปที่หน้ารถตู้เพื่อที่หวังให้ไฟรถส่องให้เห็นบาดแผลที่เกิดขึ้น
ดูจากบาดแผลก็ไม่เป็นอะไรมากคงเป็นเพราะข้อศอกไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง
และมีบาดแผลเล็กตามแขนคงเพราะจากเศษกระจก
“ ใครที่ออกมาแล้วมารวมกันตรงนี่ก่อนนะ ”
ผมตะโกนบอกให้ทุกคนที่ออกมาจากรถมารวมกันที่หน้ารถ เพราะเป็นจุดเดียวที่มีแสงสว่าง
ผมรีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาโทรเรียกตำรวจและรถพยาบาลโดยด่วน
อีกไม่น่าเกิน 20 นาที ก็น่าจะมาถึง
สายฝนก็ตกลงมาพร่ำๆอย่างไม่คิดจะหยุดหย่อน ผมวิ่งไปดูบาดแผลของแต่ละคนที่ทยอยกันออกมาจากรถ
เพื่อเช็คดูว่ามีใครเป็นอะไรมากรึป่าว ซึ่งบาดแผลส่วนใหญ่ก็เกิดจากเศษกระจกและบาดแผลอันเกิดจากแรงกระแทกกับตัวรถ
เมื่อดูจนทั่วผมพยายามมองหาคนต่อไปที่จะออกมาจากรถ
แต่กลับไม่มี.........
“ ฟรอย..... ฟรอย..... ” ผมมองหาฟรอยอย่างร้อนใจเมื่อไม่เห็นว่าฟรอยออกมาจากรถ
“ บอส.... บอสก็อยู่ในนั้น ” พิงค์วิ่งมาพูดกับผมทันทีที่สำรวจดูสมาชิกที่นั่งมาด้วยกัน
“ ไอ้แมคกับไอ้ฝนก็ติดอยู่ข้างในครับ ” เสียงพนักงานคนอื่นๆร้องตะโกนกันระงม
ในตอนนั้นทุกคนคงใจสั่นกลัวไม่แพ้กัน กลัวว่าคนเหล่านั้นจะเป็นอะไร
บางคนก็ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและความเป็นห่วง
คนเหล่านั้นต้องไม่เป็นอะไร......
ผมจะไม่เสียคนที่ผมรักด้วยเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว......
ผมไม่ยอม....
“ ลุงสมหมาย.... ช่วยผมหน่อย ” ผมหันมาพูดกับลุงสมหมาย พร้อมกับเข้าไปในรถตู้
ผมพยายามควานหาร่างของคนทั้งสี่ว่าสลบอยู่ตรงไหนของรถ ไม่นานผมก็หาเจอ
เพราะรถไม่ได้กว้างมากเพียงแต่มีกระเป๋าเดินทางบ้างเป้บ้างที่กลิ้งระเกะระกะปนกันอยู่
ประกอบกับแสงสว่างสลัวๆจากไฟหน้ารถที่ส่งมาถึงเพียงเล็กน้อย
ทำให้การหาร่างเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก
ผมหยิบเป้และกระเป๋าส่งให้ลุงสมหมายส่งไปข้างนอกอีกที
ช่วยให้การหาร่างคนเจ็บเป็นไปได้ง่ายขึ้น
“ ใครที่มีแผลใหญ่ๆก็หาเสื้อผ้าในกระเป๋าพันซับเลือดไปก่อนนะ ” ผมตะโกนออกไปนอกรถ
ร่างที่ผมจับอยู่ตรงหน้าผมไม่แน่ใจว่าเป็นร่างของใคร
แต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นร่างของไอ้บอส เพราะมันตัวตัวค่อนข้างใหญ่และผมจำได้ว่ามันใส่เสื้อโปโล
ผมจับตัวมันให้หันหน้ามา.... เป็นไอ้บอสอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ
“ ไอ้บอส..... ไอ้บอส.... รู้สึกตัวสิว้ะ.... ”
ผมร้องเรียกพร้อมกับเขย่าที่ตัวมันแรงๆ มันก็ยังดูสลึมสลืออยู่ ผมเลยใช้ฝ่ามือตบที่หน้ามันแรงๆ
เพื่อหวังให้มันรู้สึกตัว ซึ่งได้ผลครับ ไอ้บอสค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“ เมิงเป็นอะไรบ้างว่ะ... เจ็บตรงไหนมั้ย ??? ” ผมถามไอ้บอสอย่างเป็นห่วง
“ โอ๊ย........ ” ไอ้บอสร้องในขณะที่มันกำลังจะยกแขนเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น
“ สงสัยแขนเมิงจะหักว้ะ.... ” ผมพูดพร้อมกับช่วยจับมันลุกขึ้น
“ ฟรอยล่ะ.... ฟรอยเป็นไงบ้าง ” ไอ้บอสถามผมด้วยเสียงร้อนรน
“ เมิงใจเย็นๆก่อนนะ.... ช่วยกันหา ” ผมพูดเสียงสั่น
สายฝนภายนอกเท่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง....
เสียงฟ้าร้องก้องไปทั่ว... เหมือนว่าฟ้ากำลังจะถล่ม.....
บรรยากาศรอบตัวช่างน่ากลัว......
“ ฟรอย...... ” ไอ้บอสตะโกนเสียงดังทำให้ผมรีบหันกลับมาดู
“ เมิงใจเย็นๆก่อนนะ... เอาไอ้แมคออกไปก่อน ” ผมพูด
ภาพที่ผมเห็นคือร่างของฟรอยที่ถูกอัดอยู่ใต้ที่วางเท้าโดยมีร่างของไอ้แมคทับอยู่อีกที
ผมกับไอ้บอสช่วยกันเอาร่างของไอ้แมคออกไปก่อนตามด้วยร่างของฟรอยโดยใช้อย่างระมัดระวังอย่างที่สุด
เพราะไม่แน่ใจว่ากระดูกหักตรงไหนบ้างรึป่าว
สภาพฟรอยที่ผมเห็นทำเอาผมกับไอ้บอสถึงกับน้ำตาร่วง
หัวแตกจนเลือดอาบมาถึงคอ.........
ตามตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผลที่คาดว่าน่าจะโดนกระจกบาด..... คิ้วแตก...
แต่โชคชะตาคงไม่ใจร้ายกับผม.... แม้ว่าฟรอยจะหายใจอ่อนแรงเต็มที
ผมก็ยังให้กำลังใจตัวเอง....
ยังไงฟรอยก็ต้องรอด.....
เหตุการณ์จะไม่เหมือนในเหตุการณ์วันนั้น.....
หลังจากที่เอาร่างของคนเจ็บอีกสี่คนออกมาจากรถได้ก็เหลือเพียงแค่ฟรอยกับฝนที่ยังไม่รู้สึกตัว
รถพยาบาลก็มาถึงพอดี
“ ทางนี้ครับ..... มาทางนี้ก่อน... มีคนยังไม่รู้สึกตัวครับ ” ผมตะโกนเรียกพยาบาลพร้อมทั้งน้ำตา
ตั้งแต่เจอฟรอยจนเอาร่างฟรอยออกมาจากรถ
ผมเรียกฟรอยหลายครั้งฟรอยก็ไม่มีการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น ผมตบหน้าแรงๆก็แล้วแต่ฟรอยก็ไม่รู้สึกตัวเลย....
จนผมเริ่มอ่อนใจ
ความรู้สึกกลัวคืบคลานเข้ามาในใจ.....
ผมกลัว.....
ผมกลัวว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นซ้ำสอง.....
ผมไม่ยอม.........
ความร้อนรนเริ่มก่อตัวขึ้น
ผมกลัว.... กลัวการเสียของที่รัก.....
ผมรู้ว่ามันเจ็บมากแค่ไหน....
ลมหายใจของฟรอยแผ่วเบาเต็มที....
พยาบาลเอาเครื่องช่วยหายใจมาสวมให้ก่อนที่รถพยาบาลจะวิ่งออกไป
“ ฟรอย.... อย่าเป็นอะไรนะ..... ” ผมพูดไปร้องไห้ไป ในตอนนั้นผมควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
“ ใจเย็นๆไอ้ฉิน... เดี๋ยวก็ถึงโรงบาลแล้ว ” ไอ้บอสซึ่งนั่งมาด้วยหันมาปลอบผม
“ เร็วๆหน่อยสิ.... ” ผมหันไปตะคอกเสียงดังกับคนขับอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
“ ใจเย็นๆก่อนนะคะ... พวกเราจะช่วยเหลือคนไข้อย่างถึงที่สุดคะ ” พยาบาลหันมาพูดกับผม
ทันทีที่รถพยาบาลเล่นมาถึงโรงบาล ฟรอยก็ถูกพาตัวเข้าไปที่ห้องฉุกเฉินทันที
ผมเอามือกุมหัวนั่งซบหน้าลงกับหน้าขาตัวเพื่อพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง
น้ำตาผมไหล...
ภาพฝันร้ายครั้งนั้นเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง......
“ หวาน.... หวาน.... อย่าเป็นอะไรนะ.... ”
ผมร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ผมหวังว่าเธอจะไม่เป็นอะไร.......
เธอนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด......
ผมพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดของบาดแผลเพื่อที่จะตะเกียกตะกายไปหาร่างของเธอ
แต่ทันทีที่ผมไปถึงตัวเธอ
ผมกลับพบว่า.... เธอหมดลมหายใจแล้ว.........
ร่างของเธอนอนแน่นิ่งไม่รับรู้ใดๆแล้วทั้งสิ้น
แต่คนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่สิ...
จะอยู่ได้อย่างไร........................
“ ย้ง..... เข้มแข็งไว้นะ....... สู้นะ... ”
ผมภาวนาในใจ.... ไม่ใช่สิ... ผมอ้อนวอนต่างหาก.....
ภาพที่ผมเห็นอยู่ข้างๆ.......
ก็คือภาพที่หมอกำลังใช้เครื่องช่วยหายใจปั้มลงไปที่หน้าอกของย้ง.... น้องชายผม
“ ฟื้นสิ.... แกฟื้นสิ........ ” ผมอ้อนวอนซ้ำในใจ.......
ผมสูญเสียคนที่ผมรักไปหนึ่งคนแล้ว.........
“ แกต้องรอดนะ...... ”
ตาของผมมองไปที่ร่างของย้งสลับกับเครื่องช่วยหายใจ
ผมได้แต่หวังให้กราฟมันวิ่งสูงขึ้น...
เพื่อแสดงว่าย้งยังไม่ตาย......
แต่เสียงนั่น.........
เสียงที่ผมกลัว..........
เสียงหวีดยาวๆ.... นิ่งๆ.......
กราฟที่วิ่งเป็นเส้นตรง......
แม้ว่าจะปั้มหัวใจอีกกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล
ร่างของย้งที่กระแทกด้วยแรงของเครื่องปั้มหัวใจ
เป็นร่างที่ปราศจากวิญญาณ.......
ลมหายใจของย้ง.... ถูกพรากไปแล้ว........
ผมเสียคนที่ผมรักทั้งสองคน..... ในเหตุการณ์ครั้งเดียวกัน......
มันยิ่งกว่าเสียใจ...
มันยิ่งกว่าอ้างว้าง.......
มันยิ่งกว่ารู้สึกผิด..............
มันยิ่งกว่าความเหงาความเจ็บปวดครั้งใดๆที่ผมเคยได้สัมผัส
“ มันจะไม่เป็นแบบนั้น....... มันจะไม่เป็นแบบนั้น...... ”
ผมเริ่มคลุ้มคลั่งอีกครั้งหลังจากที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินมาร่สมชั่วโมง
ผมไม่สามารถควบคุมความกลัวของตัวเองได้....
“ ไอ้ฉิน.... ใจเย็นๆ..... เมิงทำใจสบายๆนะ ” ไอ้บอสพูดพร้อมกับเอามือมาบีบที่ไหล่ผม
“ ใจเย็นๆค่ะคุณ..... ทำใจดีๆนะคะ...... ญาติคุณต้องไม่เป็นอะไรค่ะ.... ”
พยาบาลที่อยู่บริเวณนั้นเดินเข้ามาปลอบผมอีกคน
“ ไปทำแผลกันก่อนดีกว่าค่ะ.... เดี๋ยวจะติดเชื้อ ” พยาบาลอีกคนที่เดินเข้ามาสมทบพูดขึ้น
“ ไม่ไป.... ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะรู้ว่าไม่มีไม่เป็นอะไร ” ผมพูดคล้ายตะคอกเสียงดัง
“ ไอ้ฉิน... เมิงควบคุมอารมณ์ตัวเองก่อนนะ..... เมิงฟังกู.... จะไม่มีอะไรร้ายแรง.. ฟรอยกับฝนต้องไม่เป็นอะไร ”
ไอ้บอสให้กำลังใจทั้งที่ตามันก็แดงๆ
“ ใช่ค่ะ..... ถึงมือหมอแล้ว... อย่ากังวลไปเลยค่ะ... ” พยาบาลพูดขึ้น
“ ไปทำแผลกันก่อนเถอะค่ะ... ” พยาบาลอีกคนพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ คุณเป็นญาติของคนไข้เมื่อครู่ใช่มั้ยครับ..... ” คุณหมอพูดหลังจากเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“ ครับ... ” ผมตอบอย่างร้อนรน
“ หมอต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับ........ คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ......”
############################################################
-
อ่าว ... เล่นทิ้งท้ายไว้แบบนี้เลยหรือครับ กร
รู้ไหมว่ามันหดหู่ แต่จากชื่อตอน ฟรอย คงไม่เป็นไร คงเป็นฝนแน่เลย
เอาเป็นว่าอย่าช้านะครับ รู้ ๆ อยู่ว่ามันอึดอัด รออยู่นะครับ
+1 ให้และเป็นกำลังใจให้เช่นเคย :m1:
-
งง กัเลยที่เดียว
ใจหล่นวูบๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
ไปฝึกปรือมาจากไหน
เด๋วนี้แกล้งคนอ่านบ่อยนะ
ค้างคนเดียวไม่พอ...มาทำให้คนอื่นค้างไปด้วย
มันน่า...........นัก o18
:pig4:ขอบคุณคับ น้องกร หย่อด้วย จ๋วยด้วย ฮ่าฮ่า :pigha2: +1 ที่ทำให้ค้าง.....ไปตามๆกัน หุหุ
-
เฮือกกก !!!
ไม่นะ
ไคเสียชีวิต
ต้องไม่มีไคเปนอะไร
:serius2:
!!!
พีเอส* ค้างเว่อร์ ~
-
ให้เดาว่า คงออกมาบอกผิด
เพราะมันต้องไม่เป็นอย่างที่คิด ... :serius2:...ไม่น้าาา....!!!!!!!......
-
มาต่อให้ล่ะคับ........
มาดึกไปหน่อย..... คงจะมาอ่านกันพรุ่งนี้ล่ะสินะครับ.....
จริงๆผมเริ่มพิมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ.... แต่พิมไม่ออกเพราะอารมณ์มันไม่ได้
มานั่งพิมต่อวันนี้อีกทีตอนสองทุ่ม.... พิมไปดูทีวีไปด้วยไม่ค่อยมีสมาธิเล๊ย....
อารมณ์ก็แกว่งไปแกว่งมา..... เลยแก้ซะหลายรอบเลย
สรุปก็เพิ่งพิมเสร็จหมาดๆเองครับ... แล้วก็เอามาลงให้อ่านกันนี่แหละครับ........
ไปอ่านกันต่อเลยครับ..... ดูซิว่าใครเดาถูกเดาผิดกันบ้าง......
*****************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
หัวใจดวงนี้..... ยังเต้นอยู่เพื่อใคร........ ( -_-)
“ เมิงแน่ใจแล้วนะที่เมิงตัดสินใจแบบนี้..... ”
ไอ้บอสพูดพร้อมกับเอามือตบที่ไหล่ผมเบาๆเป็นการให้กำลังใจ
“ อืม...... ” ผมตอบด้วยท่าทีหนักแน่น
“ เมิงก็ดีๆล่ะกัน... เพราะการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างมันคงตามมา” ไอ้บอสพูดอย่างเป็นห่วง
“ ขอบใจว่ะ ” ผมพูด
“ กูเข้าใจนะ... เพราะถ้ากูทำได้ กูเองก็จะทำ ” ไอ้บอสพูดพร้อมกับก้าวมายืนข้างๆผม
สายตาของเราทั้งคู่มองตรงไปยังกลุ่มควันสีดำเทาที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องเมรุด้วยความหดหู่ใจ
“ ไม่น่าเลยว่ะ.... จู่ๆก็มาจากกันกะทันหันแบบนี้ ” ไอ้บอสพูด
“ อุบัติเหตุก็แบบนี้หละ... ไม่มีการเตือนล่วงหน้า... ไม่มีการลาจาก.... ”
ผมพูดออกมาด้วยใจที่แสนหดหู่
“ ลำบากก็แต่ไอ้คนที่ยังอยู่นี่แหละ.... คงอีกนาน... กว่าจะทำใจรับได้ ” ไอ้บอสพูด
“ สงสารครอบครัวฝนว่ะ.... ต้องมาจากกันกะทันหันแบบนี้ ” ผมพูดพร้อมกับมองไปที่ครอบครัวของฝนที่ทุกคนกำลังร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า แม่ของฝนเอาแต่ร้องไห้ตั้งแต่วันที่รู้ข่าว ข้าวปลาก็แทบจะไม่ได้แตะเลย จิตใจของพวกเค้าตอนนี้คงย่ำแย่มากจนเหมือนหัวใจมันกำลังสลาย
ภาพแบบนี้คงไม่ต่างจากผมเมื่อวันนั้น....
“ เมิงไม่ต้องโทษตัวเองนะ... ไม่ว่าเหตุการณ์จะครั้งนี้... หรือครั้งนั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของเมิง แต่มันคืออุบัติเหตุ ”
ไอ้บอสพูดให้กำลังใจผม
ไอ้บอสรู้ว่าผมกำลังรู้สึกอะไร....
แม้ว่าจะต่างที่... ต่างเวลา.... แต่ต่างก็เกิดการสูญเสีย และสิ่งที่สูญเสีย คือ... ชีวิตคน
จุดร่วมของทั้งสองเหตุการณ์ คือต้นเหตุ และต้นเหตุนั้น.... คือ.. ผม
ใช่.... ผมรู้สึกว่าผมคือต้นเหตุของทั้งสองเหตุการณ์...
เหตุการณ์ครั้งนั้น.... ถ้าผมระวังมากกว่านี้ เรื่องราวร้ายๆก็คงไม่เกิดขึ้น
ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้ ถ้าผมไม่เสนอให้เปลี่ยนแผนเรื่องวันเดินทางกลับ เหตุการณ์ร้ายๆก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“ เมิงเคยได้ยินคำโบราณมั้ย.... ที่เค้าบอกว่าคนถึงคราวหนะ.. ” ไอ้บอสพูด
“ อืม..... แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น.... โชคชะตาทำไมใจร้ายกับกูจังว้ะ... ” ผมพูดตามความรู้สึกที่มี
“ เกิด แก่ เจ็บ ตาย... มันเป็นเรื่องธรรมดานะ อย่างน้อย.. ครั้งนี้เมิงก็ได้ช่วยใครคนนึงไว้ ”
ไอ้บอสพูด สิ่งที่มันพูดช่วยให้ผมยอมรับความจริงได้มากขึ้น เหลือเพียงแต่ความรู้สึกหดหู่ในใจเท่านั้น
ที่ผมหวังว่ามันคงสร่างซาไปช้าๆเมื่อเวลาผ่านพ้นไป
“ ขอบใจว่ะ... ” ผมพูด
ภาพความเศร้าเสียใจของครอบครัวฝน
ทำให้ผมอดสมเพชความคิดตัวเองในวันนั้นไม่ได้
ผมเคยคิดและพยายามจะฆ่าตัวตาย..... เมื่อรู้ว่าคนที่ผมรักทั้งสองคนต้องตาย.... เพราะผม
ตัวผมเองไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่อใคร...
ผมอยากให้หัวใจของผมหยุดเต้น....
โชคดีที่คนรอบข้างผมทั้งครอบครัวและเพื่อนๆที่เข้ามาเตือนสติผม....
ทำให้ผมรู้ว่าผมจะต้องอยู่เพื่อใคร.... ผมจึงหยุดความคิดแย่อันนั้นไว้ได้ทัน
แต่กับฝนเอง......
มีหลายคนอยากให้เธอยังอยู่... อยากให้หัวใจเธอยังเต้น... อยากให้เธอยังมีลมหายใจ........
และผมก็คิดว่าเธอก็คงอยากให้เป็นเช่นนั้น.....
แต่มันกลับเป็นไปไม่ได้...... ไม่ใช่เพราะเธอ........ แต่กลับเป็นเพราะโชคชะตา.....
“ เป็นไงบ้างฉิน.... ” พิงค์พูดขึ้นทันทีที่เดินเข้ามา
“ อ้าวพิงค์..... ก็เรื่อยๆล่ะ ” ผมพูด
“ ใจหายจังนะ... ยังเห็นๆกันอยู่เลย ” พิงค์ด้วยท่าทีหดหู่ใจ
“ อืม... แล้วพิงค์ล่ะ แผลเป็นไงบ้าง ” ผมพูดพร้อมกับเขยิบตัวเข้าไปดูที่แผลเธอใกล้ๆ
“ ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ... ” พิงค์พูด
“ เอ่อ... คุณฉินคับ คุณท่านให้มาบอกว่าจะกลับแล้วนะครับ ” พี่พลเลขาส่วนตัวของพ่อเดินมาบอก
“ อ่อเหรอ..... ” ผมตอบรับคำก่อนที่จะพากันเดินไปหาคุณพ่อ
“ จะกลับแล้วเหรอครับพ่อ ” ผมพูด
“ อืม.... แกล่ะ ” พ่อพูด
“ ก็ว่าจากลับแล้วครับ จะแวะเข้าไปเยี่ยมฟรอยด้วย ” ผมพูด
“ อ่อ... อาการเป็นไงแล้วล่ะ... ออกจากไอซียูรึยัง ” พ่อถามความคืบหน้าอาการอย่างเป็นห่วง
“ ออกเมื่อคืนนี้เองคับ... ตอนนี้พักฟื้นอยู่ ” ผมพูดอย่างเป็นห่วง
“ อุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ.... อย่าโทษตัวเองไปซะทุกอย่างสิว้ะ... ” พ่อพูดพร้อมกับเอามือตบลงที่ไหล่ผม
“ ครับพ่อ ” ทั้งสิ่งที่พ่อพูดและไอ้บอสพูดทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ
บางเรื่องราวบางเหตุการณ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากกระทำของใคร
ไม่มีใครผิด.......
นอกเหนือจากตัวเราและคนรอบข้าง ยังมีอีกหลายสิ่งที่อาจเป็นตัวกำหนดให้มันเกิดขึ้น
โชคชะตา.....
ถึงอย่างไรก็ตาม......
ผมก็ยังอดน้อยใจไม่ได้... ว่าทำไมถึงใจร้ายกับผมจัง
ทำไมถึงต้องพรากคนที่ผมรักไปจากผม......
“ เอ้อบอส.... แขนเป็นไงมั่ง... เอาเฝือกออกได้เมื่อไหร่ล่ะ ” พ่อถามไอ้บอส
“ อีกสองอาทิตย์หนะครับพ่อ ” ไอ้บอสพูด
“ ดูแลกันดีๆนะ..... ” พ่อพูด
“ ครับพ่อ ” ผมพูด
“ งั้นเดี๋ยวไปลาครอบครัวฝนกันซะหน่อย.. จะได้แยกย้ายกันกลับ ” พ่อพูดก่อนที่จะเดินนำพวกเราไปหาครอบครัวของฝน
“ เอ่อพิงค์.... พี่ขอเวลาสักเดี๋ยวสิ ” พี่พลพูดขึ้น พิงค์จึงหันมาพูดกับพวกผมว่า
“ เดี๋ยวพิงค์ตามไปนะ ” ผมพยักหน้าก่อนที่จะรีบเดินตามพ่อกับไอ้บอสไป
ก่อนที่ผมจะขับรถออกมากับไอ้บอส พิงค์ก็เดินมาบอกว่าเดี๋ยวไปเจอกันที่ออฟฟิศเลยเพราะเธอมีธุระ ผมกับไอ้บอสก็เลยรีบตรงไปที่โรงพยาบาลกัน
*******************************************************
“ คนไข้มีการตอบสนองที่ดีนะครับหลังจากการผ่าตัด.... คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ”
หมอพูดกับผมสองคน ช่วยทำให้ผมโล่งใจมากขึ้นหลังจากที่กังวลจนแทบไม่ได้นอนมาหลายวัน
“ แล้วทำไมยังไม่รู้สึกตัวอีกล่ะครับ ” ไอ้บอสพูด
“ เป็นผลจากยาสลบหนะครับ... คงต้องให้คนไข้พักฟื้นสักพัก ” หมอพูด
“ ครับหมอ... ” ผมกับไอ้บอสพูดพร้อมกัน
“ บาดแผลของคุณสองคนก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ ” หมอพูดเชิงถาม
“ ก็เจ็บๆที่แผลนิดหน่อยนะครับ ” ผมพูด
“ ระวังๆเรื่องการเคลื่อนไหวนิดหน่อยนะครับ... เดี๋ยวแผลจะปริ แล้วอย่าให้แผลโดนน้ำนะครับ ” หมอพูด
“ ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพเดี๋ยวผมคงแจงรายละเอียดให้ฟังอีกที ” ครับหมอ ขอบคุณมากครับ ผมกับไอ้บอสพูดพร้อมกัน
หลังจากคุยกับหมอเรียบร้อยแล้วผมกับไอ้บอสก็มาดูฟรอยอีกที
“ ปลอดภัยซะทีนะนาย ” ผมพูดพร้อมกับลูบหัวฟรอยอย่างดีใจ
“ เมิงรู้สีกยังไงกับฟรอยกันแน่ว้ะ... บอกกูได้มั้ย ” ไอ้บอสถามขึ้น
“ กูไม่แน่ใจว่ะ.... แต่ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น มันทำให้กูไม่อยากเสียคนรอบๆตัวกูไปอีก ” ผมพูด
“ แล้วไอ้ที่เมิงอยากดูแลจนออกหน้าออกตานี่มันอะไรว้ะ.. ” ไอ้บอสพูด
“ กูก็แค่อยากจะดีกับทุกๆคนรอบตัวกูเอาไว้.... กูไม่รู้หนิว่าเค้าจะอยู่กะกูไปได้อีกนานแค่ไหน ”
ผมพูดคล้ายคนกำลังแก้ตัวหรือปกปิดอะไรสักอย่าง
“ กูรู้จักเมิงมานานนะ.... ทำไมกูจะดูไม่ออก ไหนว่าเมิงเกลียดเกย์ไง.... ” ไอ้บอสพูด
“ คิดมากไปแล้วเมิง.... ทีเมิงเป็นห่วงฟรอย กูยังไม่เคยด่าว่าเมิงเป็นเกย์เลย ” ผมพูด
“ กูว่าฟรอยเป็นเด็กน่าสงสารนะ.... ตั้งแต่กูรู้จักฟรอยมา กูไม่เคยเห็นฟรอยพูดถึงเพื่อนหรือครอบครัวเลย เคยได้ยินแต่พูดถึงแฟนเก่าที่ตายไปแล้วอยู่คนเดียว เพราะอย่างงี้แหละ... กูถึงสงสาร... อยากจะดูแลฟรอยว่ะ ” ไอ้บอสพูด
“ อืม... ใช่ กูก็อย่างงั้น.... ” ผมพูดด้วยความรู้สึกใจหาย ผมมองฟรอยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร
จริงอย่างที่ไอ้บอสพูดครับ ฟรอยเหมือนคนที่อยู่คนเดียวบนโลก นอกจากเรื่องของคนที่ชื่อโฟน
ผมไม่เคยรู้ว่าฟรอยรู้จักใครบ้าง มีเพื่อนมั้ย?? หรือว่ามี.... แล้วตอนนี้พวกเค้าอยู่ที่ไหนกัน???
ผมไม่เคยเห็นฟรอยนัดเจอเพื่อนคนไหน หรือแม้แต่จะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสักคนก็ไม่มี
ครอบครัวของฟรอยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยได้ยินฟรอยพูดถึงใครสักคนในครอบครัวเลย
ผมกับไอ้บอสพยายามค้นประวัติของฟรอยจากเอกสารที่ฟรอยให้ไว้ตอนที่สมัครงาน
ไม่มีรายชื่อของญาติคนไหนของฟรอยเลยที่เราจะติดต่อได้
ขนาดผมกับไอ้บอสจะส่งข่าวเรื่องอุบัติเหตุกับญาติหรือเพื่อนฟรอยสักคนยังไม่มีเลยครับ
ทำให้ผมกับไอ้บอสอดแปลกใจไม่ได้ว่าในอดีตฟรอยเจออะไรมาบ้าง
หรือฟรอยอยู่อย่างไรก่อนที่จะมาเจอพวกเรา
มันทำให้ผมกับไอ้บอสยิ่งเป็นห่วงฟรอยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ เดี๋ยวรู้สึกตัว... คงต้องคุยกันหน่อยแล้วว่ะ ”
ผมพูดพร้อมกับมองหน้าไอ้บอสซึ่งมันก็มีท่าทีเห็นด้วย
“ เอ้อ... คืนนี้กูจะมาเฝ้าฟรอยนะ ” ไอ้บอสพูด
“ ไม่เป็นไร... เดี๋ยวกูเฝ้าเอง ” ผมพูด
“ เมิงแผลยังไม่หายดี... กลับไปนอนพักเถอะว่ะ ” ไอ้บอสพูด
“ เมิงเองก็ไม่ค่อยได้นอนมาหลายวันแถมแขนก็เข้าเฝือก เมิงกลับไปพักผ่อนเหอะ ” ผมพูด
“ กูไม่รู้ล่ะ... กูจะมา ” ไอ้บอสพูด
“ โอเคๆ... ก็มาเฝ้าด้วยกันนี่แหละ ” ผมพูด
“ งั้นเดี๋ยวก็แวะไปเอาเสื้อผ้ากันก่อนแล้วกัน.... เดี๋ยวเสร็จจากสยามแล้วจะได้มากันเลย ” ไอ้บอสพูด
“ เออใช่.... วันนี้นัดเจอกันที่สยามนี่หว่า งั้นคงไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้ว ” ผมพูดเมื่อนึกขึ้นมาได้
“ ขี้ลืมจริงๆนะเมิง... เพื่อนกลับมาทั้งที ” ไอ้บอสพูดเชิงต่อว่า
“ ก็มันมีหลายเรื่องให้คิดนี่หว่า.... ” ผมพูด
ทันทีที่ผมพูดจบเสียงโทรศัพท์ไอ้บอสก็ดังขึ้นมาพอดี
“ อ้าว.... ถึงกันแล้วเหรอว้ะ ” ไอ้บอสพูดกับปลายสายแสดงว่าเพื่อนของผมสองคนลงจากเครื่องแล้ว
เพื่อนอีกสองคนที่เรานัดเจอกันเป็นเพื่อนสมันเรียนมหาลัยครับ จำได้มั้ยครับว่าผมเคยเล่าว่ากลุ่มของผมมีกันอยู่ 5 คน
คือ ผม ไอ้บอส พิงค์ และหยินกับเคน ซึ่งสองคนนี้ไปต่อโทที่อังกฤษครับ
พอดีว่าสองคนนี้ได้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุก็เลยรีบกลับมาดูพวกผม
จริงๆผมบอกไปแล้วนะว่าพวกผมไม่ได้เป็นอะไรกันมาก แต่พวกมันก็ถือโอกาสกลับมาเยี่ยมญาติๆมันด้วย
หลังจากวางสายจากเคนผมกับไอ้บอสก็กลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วเดี๋ยวไปเจอกันที่สยามโดยมีพิงค์อาสาไปรับหยินกับเคนที่สนามบิน
“ เป็นไงกันบ้างว่ะ... ไหนกูดูดิ๊ ” เคนพูดทันทีที่เดินเข้ามาถึงโต๊ะที่ผมกับไอ้บอสนั่งอยู่
“ ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ.... ไม่ได้เป็นอะไรกันมากรอก ” ผมพูด
“ เข้าเฝือกเลยเหรอว้ะไอ้บอส.... ” เคนลงนั่งข้างๆไอ้บอสแล้วพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ เออดิ.... อีกสักสองอาทิตย์ก็เอาออกแล้ว ” ไอ้บอสพูด
“ เป็นไง... เหนื่อยมั้ย ” ผมถามไอ้เคนกับหยิน
“ นิดหน่อยหนะ.... ” หยินพูด
“ แล้วนี่สั่งอาหารกันรึยังจ๊ะ ” พิงค์พูดหลังจากที่นั่งลงข้างๆผม
“ สั่งไปบ้างแล้วหละ... สั่งเพิ่มกันได้เลยนะ” ผมพูด
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยพวกผมก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องอุบัติเหตุแล้วก็ถามความเคลื่อนไหวของแต่ละคนว่าเป็นยังไงกันบ้าง ตั้งแต่ที่มันสองคนไปต่อโทที่อังกฤษพวกเราก็ไม่ค่อยได้เจอหรือได้คุยกันเท่าไหร่นัก เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งๆกัน
จะมีก็แต่ไอ้เคนกับไอ้บอสที่มันจะติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ เพราะไอ้บอสมักจะวานให้ไอ้เคนซื้อนั่นซื้อนี่ส่งมาให้ตลอด
“ เออ...พิงค์ เมื่อเดือนก่อนได้ไปอังกฤษรึป่าว ” ไอ้เคนถามขึ้น
“ ทำไมเหรอ ” พิงค์พูด
“ ก็หยินอ่ะดิ... มันบอกว่ามันเห็นเธอที่โน้น... นี่เรากะมันพนันกันอยู่นะว่าใช่เธอจิงๆรึป่าว ” ไอ้เคนพูดไปกินไป
“ ไม่มั้ง.... หรือว่าไงพิงค์ ” ผมพูด
“ ก็.... เปล่านิ... เธอคงเห็นผิดคนมั้ง ” พิงค์พูด
“ เห็นมั้ย..... บอกแล้วว่าไม่ใช่ 555555+... จ่ายมาๆ ” ไอ้เคนแสดงอาการดีใจจนเว่อร์ใส่หยิน
“ ไม่ใช่จริงๆเหรอ.... ” หยินพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ จริงสิ.... ถ้าเราไปฉินกับบอสก็ต้องรู้สิ... จริงมั้ยสองหนุ่ม ” พิงค์พูดและหันมาทางผมกับไอ้บอส
“ เออ... ใช่ ” ผมกับไอ้บอสพูดพร้อมกัน
“ อีกอย่างนะ... ถ้าพิงค์ไปก็ต้องแวะไปหาแกสองคนอยู่แล้ว ” ไอ้บอสพูดเสริมอีกที
“ ไม่ต้องเลยๆ..... แพ้ก็ยอมจ่ายมาซะดีๆ ” ไอ้เคนพูดอย่างคนมีชัย
“ เออ.... จ่ายก็จ่าย.... ” หยินพูดอย่างไม่ต้องเต็มใจนัก พวกผมเห็นอาการของหยินก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ถึงแม้ว่าผมจะมีหลายเรื่องที่ผมไม่สบายใจ
มีหลายรอยแผลในใจ แต่ทุกครั้งที่ผมได้อยู่กับเพื่อนๆก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ
ผมยังมีเพื่อน.... มีครอบครัว..... มีคนรอบข้างอีกหลายคนที่คอยเป็นกำลังใจให้ผม....
ให้ผมรู้ว่าหัวใจของผมยังเต้นอยู่เพื่อใคร....
เรื่องราวร้ายๆ... รอยแผลหลายๆแผลในใจ...... ก็ได้รับการเยี่ยวยา...........
แต่ใครกันที่อยู่ข้างๆฟรอย..... ทุกครั้งที่ฟรอยเจอปัญหา.....
หัวใจของฟรอย..... ยังคงเต้นอยู่เพื่อใครกัน...
########################################################
-
ความรู้สึกของคน ทั้งซับซ้อนและลึกซึ้ง
ยากที่เราจะเข้าใจความรู้สึกได้อย่างแท้จริง
ทั้งความรู้สึกของเราเอง และความรู้สึกของคนรอบข้าง
:เฮ้อ:เข้าใจยากซะจริง
:pig4:ขอบคุณคับ น้องกร เด๋วนี้เขียนเรื่องเก่งขึ้นเยอะเลย มี ปั๊ด-ตะ-นา-กาน :z1:
+1 ให้นะ เท่ร้าก :L1: ฮัดเช้ยยยยยยยย
-
ตอนใหม่เดี๋ยวคืนนี้มาต่อตอนใหม่นะคร้าบ....
ตอนนี้กำลังพิมอยู่ครับ
-
ขอบคุณที่มาต่อครับ ^^
จะรออ่าน :pig4:
-
โท ษทีนะครับที่ไม่ได้มาต่อเรื่องให้ตามที่บอก พอดียังพิมไม่เรียบร้อยเลย
ตอนนี้กำลังพิมอยู่ครับ...
-
เข้ามาดันกระทู้ตัวเองคับ
พอดีมันตกไปหน้า2
-
มาต่อแล้วครับ.....
เมื่อคืนพิมจนถึงตีสี่.....ตาจะปิดแล้ว
เลยมาลงให้วันนี้....หลังจากตรวจสอบอีกที.....
เชิญทัศนาครับ.......
ฟังเพลงนี้ประกอบตอนอ่านไปด้วยจะดีมากเลยครับ
http://resources-p3.imeem.com/resources/versioned/6/flash/audio_player_loader.swf?&isEmbed=1&autoStart=true&ak=e7Bg_l7n_N&gatewayUrl=http%3a%2f%2fwww.imeem.com%2famf%2f&as3url=http%3a%2f%2fresources-p3.imeem.com%2fresources%2fversioned%2f167%2fflash%2faudio_player3.swf&as2url=http%3a%2f%2fresources-p2.imeem.com%2fresources%2fversioned%2f35%2fflash%2faudio_player.swf&pm=st&mids=e7Bg_l7n_N
***************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ด้านมืดของพระจันทร์........ ( -_-)*
ผมค่อยเปิดดวงตาขึ้นทีละน้อยทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว แสงแดดจ้าจากภายนอกมากระทบกับม่านตา
ทำให้ผมต้องปรับดวงตาให้ชินกับสภาพรอบๆตัว เมื่อปรับเข้าสู่สภาวะปกติผมก็รู้สึกมึนๆหัว
บรรยากาศรอบตัวเป็นสถานที่ที่ผมไม่คุ้นตา แต่ชุดที่ผมใส่ก็ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล
ผมค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่
เสียงโคร้ม......... นั่น ทำให้รถเสียหลักพลิกค่ำ เสียงคนกรีดร้องยังก้องอยู่ในหูผม
หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย.....
ผมรู้สึกฝืดที่คอและก็รู้สึกกระหายน้ำ ผมค่อยๆใช้ศอกดันตัวเองลุกขึ้นเพื่อจะหยิบน้ำที่หัวเตียงมากิน
“ โอ๊ย......... ” ผมรู้สึกเจ็บที่บริเวณท้องจนต้องร้องออกมา
“ ฟรอย........ ” เสียงชายสองคนที่ผมคุ้นเสียงดีดังขึ้นมาพร้อมกัน
จากนั้นไม่นานร่างของทั้งคู่ก็มายืนอยู่ข้างเตียงนอนที่ผมนอนอยู่ทั้งสองข้าง
“ รู้สึกตัวแล้วเหรอฟรอย..... ” พี่ฉินพูดขึ้นอย่างดีใจซึ่งผมรู้สึกเหมือนว่าอาการนั้นมันดูเว่อร์เกินไป
“ เป็นไงมั่งฟรอย.... เจ็บตรงไหนบ้าง ” พี่บอสก็อีกคนที่พูดด้วยท่าทางที่ดูเว่อร์ไม่แพ้กับพี่ฉิน
นี่ผมเจ็บจนใกล้ตายเลยรึไงทั้งคู่ถึงแสดงอาการดีใจกันขนาดนี้
ในขณะที่ผมกำลังงงกับท่าทีของทั้งคู่ พี่ฉินก็เอามือมาจับที่หน้าผมเบาๆให้หันไปมองหน้าพี่เค้าพร้อมกับชูมือขึ้นสองนิ้วแล้วถามว่า
“ นี่กี่นิ้ว ”
“ สองนิ้วครับ ” ผมตอบไปด้วยท่าทางงงๆ
“ ฟรอย.... จำพี่ได้รึป่าว???? ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางวิตก
“ ไอ้บ้า.... หมอไม่ได้บอกซะหน่อยว่าฟรอยจะความจำเสื่อม..... แล้วพี่ล่ะ.... พี่ชื่ออะไร” พี่บอสพูด
“ งั้นเมิงถามทำไม.... ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางกวนๆ
“ ผมว่าเลิกเถียงกัน.... แล้วพี่ฉินใส่เสื้อให้พี่บอสให้เสร็จก่อนดีมั้ยครับ ”
ผมพูดด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมกับหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของทั้งคู่
“ อ่อ... เออใช่ ” พี่ฉินพูดปนหัวเราะพร้อมกับเดินมาอีกฝั่งเพื่อใส่เสื้อเชิ้ตให้พี่บอสที่ตอนนี้ใส่แขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกเข้าไปในเสื้อเพียงแค่ข้างเดียว
“ เรียบร้อย.... ” พี่ฉินพูด
“ ใจว่ะ... ” พี่บอสพูด
“ ฟรอยเป็นไงบ้างครับ ” พี่ฉินรีบหันมาถามผม
“ มึนๆหัวหนะคับ.... แล้วก็เจ็บๆที่แผล นี่อาการผมหนักมากเหรอครับ ” ผมพูดพร้อมกับเลิกเสื้อขึ้นเพื่อดูแผลตรงที่เป็นรอยเย็บ
“ ก็......... นิดหน่อยหนะครับ.... ” พี่บอสกับพี่ฉินอึกๆอักๆมองหน้ากันก่อนที่พี่ฉินจะตอบกลับมา
ดูจากท่าทางของทั้งคู่ผมก็พอจะรู้ว่าอาการผมก่อนหน้านี้คงจะหนักพอควร
“ ผมหิวน้ำ.... ” ผมพูด
พี่ฉินเลยรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นหลอดมาให้ผมดูด
“ ฟรอยอย่าขยับตัวมากรู้มั้ย.... เดี๋ยวแผลจะปริ ” พี่บอสพูด
“ แขนพี่..... ” ผมพูดเชิงถาม
“ แค่แขนหักหนะคับ.... อาทิตย์กว่าๆก็เอาออกได้แล้วครับ ” พี่บอสพูด
“ ห่วงแต่ไอ้บอสนะ.... ” พี่ฉินพูดเหมือนจะน้อยใจ
“ ก็พี่ฉินไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ครับ... เห็นๆกันอยู่ ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“ เอ้อ.......... ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางน้อยใจเป็นเด็กๆ เห็นแล้วก็ตลกดีครับ
“ น่ารักตายล่ะเมิง.... ” พี่บอสพูดแซวพี่ฉิน
“ แล้วนี่คนอื่นๆเป็นไงมั่งครับ.... ” ผมถามอย่างเป็นห่วง เพราะดูจากท่าทางแล้วคนที่นั่งส่วนหลังของรถดูเหมือนจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่นๆอย่างผมและพี่บอส
“ ก็.................... ” พี่ฉินอึกอักพร้อมกับหันไปสบตากับพี่บอสจนพี่บอสพูดออกมาว่า
“ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก หนักแค่บางคนหนะ..... แต่ตอนนี้ออกโรงบาลกันหมดแล้ว.... ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ”
พี่บอสพูด ผมได้ยินแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจ
“ ใช่.... ก็เหลือแต่ฟรอยเนี่ยแหละ.... รีบๆหาย คนอื่นเค้ากลับไปทำงานกันหมดแล้วนะ ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
“ โห... จะไล่ผมออกมั้ยเนี่ย..... งั้นผมไปทำงานเลยแล้วกัน.... ” ผมพูดแกล้งพี่ฉิน
“ พักผ่อนให้หายก่อนเถอะครับ..... ไม่มีใครว่าไรหรอก..... ฝีมือดีขนาดนี้ใครจะกล้าไล่ออก ” พี่บอสพูด
“ เออ..... เอากันเข้าไป ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางกวนๆ
“ งั้นผมลาออกก็ได้นะครับ... ถ้าผมเอาเปรียบบริษัทเกินไป ” ผมแกล้งหยอกพี่ฉิน
“ ไม่ต้องเลย..... พักไปจนหายดีนั่นแหละ ” พี่ฉินพูด
“ 55555555+……………. ” เสียงพี่บอสหัวเราะออกมาส่วนผมได้แต่ยิ้มเพราะยังเจ็บๆแผล
“ แล้วงานตัวนั้นลูกค้าว่าไงบ้างครับ ” ผมถาม
“ ลูกค้าพอใจมาก แต่ก็ขอโทษขอโพยกันใหญ่เลยเรื่องอุบัติเหตุ เพราะเห็นว่าเราเร่งงานกัน ” พี่ฉินพูด
“ ลูกค้าฝากชมเรามาด้วยนะ.... เห็นว่าจะมาเยี่ยมด้วย ” พี่บอสพูด
“ อ้อครับ... งั้นผมจะรีบหายไวๆแล้วกลับไปทำงานนะครับ ” ผมพูดอย่างมีกำลังใจที่งานชิ้นแรกเป็นที่พอใจ
“ ครับ...... ” พี่ฉินพูด
“ เอ้อฟรอย..... ฟรอยไม่มีเบอร์ติดต่อเพื่อนหรือญาติบ้างเลยเหรอ ” พี่บอสถามขึ้นทำเอาผมแทบกลืนน้ำลายไม่ลง
“ เออใช่.... พี่จะติดต่อบอกพวกเค้าเรื่องอุบัติเหตุก็ติดต่อใครไม่ได้เลย ” พี่ฉินพูด
“ เอ่อ.............. คือ............ ” ผมไม่รู้จะพูดยังไง เรียกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนจะดีกว่า
บรรยากาศในห้องที่ดูเหมือนสนุกสนานในตอนแรกแปรเปลี่ยนไปถนัดตา
“ มีอะไรรึป่าว..... ” พี่ฉินพูด
“ ฟรอยมีอะไรพูดกับพี่สองคนได้นะ..... ” พี่บอสหันไปสบตาพี่ฉินก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเป็นห่วง
“ คือ............. ผม..... ” ผมรู้สึกว่าการจะพูดออกมาแต่ละคำทำไมมันดูยากจัง
“ ทำใจให้สบายๆแล้วค่อยเล่าก็ได้ครับ.... ” พี่ฉินพูด
“ ครับ.......... ” ผมพูดแล้วนิ่งไปสักพักเพื่อทำใจให้เข้มแข็งก่อนที่จะค่อยๆเล่าเรื่องราวในอดีตออกมา
“ ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ...... ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ของผมคือใคร บ้านของผมตั้งแต่ผมจำความได้คือสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า......... ผมโตมาจากที่นั่น โดยมีผู้ใหญ่ใจดีท่านนึงเป็นผู้อุปการะผม..... แต่ท่านก็ไม่ได้รับผมไปอยู่ด้วยนะครับ ผมก็ยังคงอยู่ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าจนผมเรียนจบมัธยม เพียงแต่ท่านจะส่งค่าใช้จ่ายมาให้ผมทุกเดือนจนผมเรียนจบ
พอผมเข้าเรียนมหาลัย.... ค่าใช้จ่ายต่างๆท่านก็เป็นคนออกให้ทั้งหมด....... มาช่วงประมาณปีสองที่ผมเริ่มหางานทำเพราะอยากจะแบ่งเบาเงินที่ท่านส่งมาให้ผม........ พอผมเรียนจบผมก็รีบหางานทำ ไม่แปลกหรอกครับ... ที่พวกพี่จะติดต่อพ่อแม่ของผมไม่ได้ เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยได้ติดต่อ.... อย่าว่าแต่ติดต่อเลยครับ... น่าตาเค้าเป็นยังไงผมเองก็ยังไม่รู้เลย ” ผมพูดออกมาด้วยความรู้สึกหดหู่
“ ท่าน.... ที่ฟรอยพูดถึงหมายถึงใครเหรอ ” พี่บอสถามขึ้น
“ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าท่านคือใคร.... ผมเคยเจอท่านสองครั้ง คือตอนที่ผมสอบเข้ามัธยมกับตอนที่ผมสอบเข้ามหาลัยได้.......... ” ผมพูด
“ ตอนนี้เค้าอยู่ไหนเหรอคับ ” พี่บอสพูด
“ ผมรู้ว่าเค้าสบายดี........ แต่ผมละอายใจที่จะติดต่อกับเค้า...... ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกครับ...... ว่าเพราะอะไร....... ช่วงที่ผมเรียนมหาลัย... ผมได้รู้จักกับพี่โฟน พี่เค้าดีกับผมมาก คอยช่วยเหลือผมทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน เค้าช่วยผมหางานทำช่วงที่เรียน......ความรู้สึกดีที่มีให้กันมันค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจนเกินคำว่าพี่น้องโดยที่ผมไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหนรึเมื่อไหร่ ผมรู้แต่ว่าเมื่อผมรู้ตัวรู้ความรู้สึกตัวเอง.... ผมเลือกที่จะปฏิเสธ.... ในตอนนั้นผมไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ว่าผมรักผู้ชาย.... แล้วพี่โฟนก็เป็นคนดีเกินไปที่จะมาคบกับคนอย่างผม ที่สำคัญคืออะไรรู้มั้ยครับ...... .... ” ผมพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นมองพี่ฉินกับพี่บอสที่กำลังฟังเรื่องราวของผมอย่างตั้งใจ ดวงตาของทั้งคู่ปรึ่มไปด้วยน้ำตา นี่ชีวิตผมมันน่าเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ.......
ใช่สิมันน่าเศร้า.........................
“ คือ..... พี่โฟนเป็นลูกของท่านที่อุปการะผม ผมถึงไม่อยากให้พี่เค้ามาหลงผิดกับคนอย่างผมได้............ ”
ผมพูดด้วยเสียงที่สั่นจนควบคุมไม่ได้
แผลในใจของผมมันเหมือนจะปริออกอีกครั้ง แผลที่เจ็บกว่าแผลไหนๆ...... แผลที่ไม่มีวันหาย.....
แผลที่พร้อมจะปริออกมาได้ทุกเมื่อเพียงแค่มีอะไรไปสะกิดเพียงเบาๆ
“ ผมคิดว่า.... การที่ผมปฏิเสธที่โฟนในวันนั้นจะจบเรื่องทุกอย่างได้... แต่ไม่ใช่เลย.. ผมทำให้พี่โฟนตาย....... ”
ผมร้องไห้ออกมาจนตัวโยนจนพี่ฉินเขยิบเข้ามากอดผมไว้
“ ตอนนี้นายไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีกแล้วนะ....... นายยังมีพี่กับไอ้ฉินนะ ” พี่บอสพูดพร้อมกับเอามือลูบที่หัวผม
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ..... ไม่เป็นไรแล้ว.... มันผ่านไปแล้วครับ ” พี่ฉินพูดปนสะอื้น
“ ขอบคุณพี่สองคนมากนะครับ... ” ผมพูดหลังจากที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว
“ ไม่เป็นไรหรอก...... พี่เต็มใจนะ.... ” พี่ฉินพูด
“ เมิงไม่ต้องเอาหน้า........ ....... ฟรอยครับ... พี่ก็เต็มใจนะครับ ” พี่บอสพูดทำเอาเราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ยามค่ำคืนที่แสงของดวงอาทิตย์ผ่านพ้นไปแลเห็นดวงดาวสุกสว่างเต็มท้องฟ้า
ท่ามกลางแสงดาวสุกสว่างนับหมื่นนับแสน ยังมีดวงจันทร์ที่ทอประกายแสงงดงามเจิดจรัสทั่วฟ้า
แสงสีทองที่ทอประกายดวงใหญ่นั้นส่องสว่างสวยงามจับใจใครหลายคน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด แม้ว่ามุมไหนของโลกต่างก็เห็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน
มองเห็นความงามของดวงจันทร์ได้เหมือนกันต่างกันเพียงคุณยืนอยู่คนละมุมโลกก็เท่านั้น
ไม่แปลก..............
เพราะความงามตรงหน้าในยามค่ำคืนแห่งนี้มันสวยงามจนใครหลายคนหลงใหล
แต่น่าเศร้า............
ที่ใครหลายคนลืมนึกถึงด้านมืดของพระจันทร์
จะมีใครรู้มั้ยว่าแสงจันทร์ด้านนั้นที่หลายคนว่าสวยจับใจ อีกด้านนึงข้างหลังเป็นเช่นไร
ความสวยงามไม่ต้องมองหา...... เพราะว่าไม่มี
มันหนาว....... เหงา............. และว้าเหว่.......................
ชีวิตผมไม่เคยมีใครให้นึกถึง........ เพราะผมไม่มีใคร..................... ผมมีเพียงตัวผม
ช่วงที่ผมเป็นเด็ก...... ผมรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันช่างยาวนาน......
หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อ แม่ ลูก เดินด้วยกัน หยอกล้อกันอย่างมีความสุข
ภาพคู่รัก...... ที่ต่างมอบความรักให้แก่กัน
แต่ทำไมผมถึงมีแต่ตัวผม เพียงคนเดียว..... คนเดียวจริงๆ.......
เราเดินสวนกัน..........
นั่งรถเมล์คันเดียวกัน........
นั่งกินข้าวอยู่ใกล้กัน..................
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมอยู่คนละโลกกับคนอื่น
การอยู่ร่วมโลกใบเดียวกันกับใครอีกหลายคน แต่เรากลับรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตน
เหมือนไม่มีใครมองเห็นเรา เป็นสิ่งซึ่งน่าเศร้าใจมากนะครับ
ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน......
ผมไม่รู้ว่าผมมาจากไหน.....
ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมคือใคร...........
ผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย............
แต่อย่างน้อย....... ก็ยังดี ที่ผมยังรู้วันเกิดของตัวเอง.................
ครั้งนึงผมนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์........... ในเวลาตีสองกว่าๆ
วันนั้นเป็นวันเกิดของผม...................
ไม่มีการเลี้ยงฉลอง.........
ไม่มีของขวัญ.......... หรือคำอวยพร.........
ไม่มีเค้ก....................
จากใคร.........
มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผม เพราะผมเองก็ไม่เคยได้รับมัน
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นได้สักพัก ไม่นาน....... ชายหนุ่มรุ่นราวคาวเดียวกับผมเดินมาหยุดนั่งไม่ไกลจากผม
สองมือเค้าเต็มไปด้วยกล่องของขวัญ........... เค้ากำลังจัดแจงของขวัญเหล่านั้นใส่เป้บ้างใส่ถุงบ้าง
ขยับไปมาเพื่อให้สะดวกต่อการถือมากที่สุด ขณะที่เค้าจัดแจงอยู่นั้น กล่องของขวัญกล่องนึงกลิ้งมาหยุดตรงที่เท้าผม
หน้ากล่องสีสวยนั้นมีการ์ดติดอยู่ ข้อความว่า.....
สุขสันต์วันเกิดนะ......................
ผมมองดูกล่องของขวัญตรงหน้าด้วยใจรื้นๆ
เสียงเปิดประตูทำให้รู้ว่ามีคนเข้ามา..........
“ ยังไม่นอนอีกเหรอ.... ” เสียงพี่ฉินพูดพร้อมกับที่ผมหันไปมองพอดีว่าใครมา
“ ครับ..... พอดีวันนี้นอนทั้งสันแล้วเลยไม่ค่อยง่วงหนะคับ ” ผมพูด
“ คิดมากอะไรอยู่อีกล่ะสิ ” พี่บอสพูดพร้อมกับเดินมาที่ข้างเตียง
“ นิดหน่อยครับ..... ” ผมพูด
“ อ้อฟรอย.... นี่พี่เคน เพื่อนพวกพี่เอง ” พี่บอสพูด
“ สวัสดีครับพี่...... ” ผมกล่าวทักทาย
“ ครับ..... ” พี่เคนพูดตอบด้วยท่าทางใจดี
“ เมิงสองคนกินน้ำก่อน.... อ่ะ ” พี่ฉินเดินถือน้ำมาหลังจากเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำมา
“ ใจว้ะ......... ” พี่เคนพูด
“ กูหิวแล้วว่ะ..... ” พี่บอสพูด
“ เออ.... เดี๋ยวกูไปทำมาให้แดก ” พี่เคนพูดก่อนที่จะหิ้วถุงบะหมี่ที่ซื้อกันมาเข้าไปในห้องเล็กๆข้างห้องน้ำ
“ ใจว้ะ...... ” พี่บอสพูด
“ เผื่อกูด้วยนะ...... ” พี่ฉินตะโกนบอก
“ เป็นไงบ้าง.... อยู่คนเดียวเหงามั้ย ” พี่ฉินเดินมาหาผมที่เตียงแล้วถามขึ้น
“ ไม่หรอกคับ..... ผมอยู่คนเดียวจนชินแล้ว.... ” ผมพูด ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนฟังรู้สึกเช่นไรเพียงแค่ตอบไปตามที่ถามมา แต่ดวงตานั่นทำให้ผมรู้ว่าเค้ารู้สึกเช่นไร
มันเหมือนแววตาที่ใครบางคนเคยมองผม.......
“ หิวมั้ย......... กินผลไม้ป่ะ เดี๋ยวพี่ปลอกให้ ” พี่ฉินพูด
“ ไม่เป็นไรครับ..... พี่กินก่อนเหอะ.... ท่าทางจะหิวกันมา ” ผมพูด
“ ก็นิดหน่อยครับ....... ” พี่ฉินพูด
“ เฮ้ย.... เร็วๆดิ........ หิวนะเว้ย.... ” เสียงพี่บอสที่นั่งรอตรงโซฟาหน้าทีวีตะโกนเร่งพี่เคน
“ เดี๋ยวสิว้ะ..... เดี๋ยวกูก็ไม่ทำให้แดกซะเลย.... ” พี่เคนตะโกนกลับมา
“ เออ..... ถ้ากูไม่ง่อยนะ....กู ไม่ใช้เมิงหรอก ” พี่บอสตะโกนกลับไปทำให้ผมกับพี่ฉินหัวเราะออกมา
“ ยิ้มแบบนี้บ่อยๆสิครับ..... อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นเลย ” พี่ฉินพูด
“ ขอบคุณนะครับพี่.... ที่เป็นห่วง ” ผมพูด
“ อ่ะ..... ได้แล้ว......... ” พี่เคนพูดพร้อมกับยื่นบะหมี่ให้พี่บอส
“ ใจว้ะ...... ” พี่บอสพูด
“ พี่สองคนนี้เค้าตลกกันดีนะครับ ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมากับท่าทางของทั้งคู่
“ ไอ้สองคนนี้มันชอบกัดกัน....... แต่จริงๆแล้วมันสนิทกันมากนะ....... รักกันมากด้วย เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมแล้ว..... ” พี่ฉินพูด
“ ครับ.... ดีจังนะครับ ” ผมพูดพร้อมกับอดนึกถึงเพื่อนๆสมัยมหาลัยไม่ได้
“ แล้วเพื่อนๆฟรอยล่ะ..... ” พี่ฉินถามขึ้น
“ ตั้งแต่พี่โฟนเสีย...... ผมก็ห่างๆจากเพื่อนๆ พอเรียนจบผมก็ไม่ได้ติดต่อใครเลย....... ”
ผมพูดพร้อมกับนึกถึงภาพวันเก่าๆที่ผมและเพื่อนๆมีร่วมกัน ตั้งแต่พี่โฟนก้าวเข้ามา
ผมรู้สึกว่าแสงสว่างของดวงจันทร์ส่องสว่างมาถึงตัวผม ใครหลายคนมองเห็นผม
ผมมีเพื่อน..... มีกลุ่มเพื่อนสนิท จากเดิมที่ผมไม่เคยมี
ผมได้ของขวัญ..... จากเดิมที่ไม่เคยได้
ผมได้รับความห่วงใย.... ได้รับความรัก ได้รับมิตรภาพ ที่มาจากคนรอบข้าง
ไม่ใช่ที่มาจากตัวผมเอง เหมือนแต่ก่อน.....
ผมรู้สึกว่าผมมีตัวตน..........
แต่ผมก็ทิ้งคนเหล่านั้นมา...
“ เพราะ......... คนเหล่านั้นทำให้นึกถึงพี่โฟนใช่มั้ย....... ” พี่ฉินพูด ผมหันมาสบตาพี่ฉินอีกครั้ง
แววตานั้นบอกให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้า......
รู้ในสิ่งที่ผมคิด....
รู้ในสิ่งที่ผมกลัว
เราคงเคยรู้สึกเหมือนกัน......
############################################################
-
ความเหงา...เป็นความรู้สึกของสัตว์สังคม
เหงา...เมื่ออยู่คนเดียว
เหงา...เพราะไม่มีใคร
เหงา...แล้วเปล่าเปลี่ยวใจ
เหงา...ทำไมไม่เข้าใจ...ซักที
เตือนแล้วเตือนอีก ว่าอย่าเล่นกับความรู้สึก :เฮ้อ: เดะดื้อเอ๊ย
:pig4:ขอบคุณขรั่บ น้องกร :L2: +1 ให้กับความเหงาของฟรอย แต่ไม่รู้คนแต่งด้วยเหรอเปล่า
แต่ถ้าใช่ ขอกอด :กอด1: กรแน่นๆๆๆ จะได้คลายเหงา
:L1:ร้ากนะ เดะดื้อ :จุ๊บๆ:
-
ความเหงานี่ช่างโหดร้ายดีเนอะ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครมันไม่เคยปรานีใครเลย
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
ความเหงา มันช่างเศร้า อะไรอย่างงี๊
(จากตอนที่แล้ว สรุปแล้ว ผมเดาผิดครับ.... :serius2:)
-
แวะเอาเพลงมาฝากครับ....
ประกอบการอ่าน......
เพลงด้านมืดของพระจันทร์ครับ....
-
อ่านแล้วสงสารฟรอยจัง ทำไมอดีตช่างโหดร้ายอย่างนี้เนี่ย แต่ยังไงก็อยากให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้อะ มีความสุขกับวันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ อะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็เก็บไว้เตือนใจ แต่อย่าไปจมปลักอยู่กับมัน
คนแต่งก็สู้ๆนะครับผม :L2:
-
เค้ามาดุนกระทู้ตัวเอง.... :o8:
-
เข้ามาช่วยดันอีกแรงค่ะ o13
-
อ่านแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาเลย
ยิ่งฟังเพลงโปรดเจ้าของทู้แล้วก็ยิ่งเศร้า
:L2:ให้น้องกร :กอด1:น้องกร
-
มาช่วยดันกระทู้รอน้องสักนิดนึง
:กอด1:
-
คงกำลังเหนื่อยกับงานใหม่
เคลียร์งาน พักผ่อนหายเหนื่อยแล้ว
มาเล่าความรู้สึกต่อนะคับ น้องกร
:กอด1: น้องกร Hug ทำให้รู้สึกอบอุ่น จิตใจผ่อนคลาย :L1:
-
สวัสดีครับ... คนอ่านทุกคน....
ช่วงนี้หายๆไป... พอดีผมเพิ่งเข้าทำงานที่ใหม่คับ
เลยต้องปรับตัวหลายอย่างเลย ทั้งเรื่องการทำงานเรื่องเวลาเรื่องการพักผ่อน......
ตอนใหม่เลยยังไม่ได้เอามาลงให้อ่านกันสักที แต่ตอนนี้ก็กำลังพิมอยู่คับ....
ถ้าคืนนี้ไม่เสร็จก็เป็นพุ่งนี้นะครับ... ผมจะเอามาลงต่อให้
ขอบคุณพี่ๆที่เข้ามาช่วยกันดันกระทู้นะครับ แล้วก็เม้นของคนอ่านทุกๆคนเลย
เห็นแล้วมีกำลังใจคับ.....
ขอเอ่ยชื่อคุณ pickki_a พอดีเพิ่งได้มีโอกาสอ่านเรื่องของคุณ " รักดั่งเส้นขนาน " หนะคับ.....
อ่านแล้วก็รู้สึกโหว่งๆ......... พอจาเข้าใจความรู้สึกของคุณอยู่พอสมควรเพราะผมเองก็เคยเจออะไรประมาณนี้มา
ยังไงก็ขอให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคับ........
ขอบคุณคนอ่านทุกคนด้วยครับ.....
เดี๋ยวไปพิมเรื่องต่อก่อน
-
เหนื่อยไหมคนดี :กอด1:
:L1:รักจัง เดะดื้อ
-
หายไปนานเลยอ่า
เมื่อไหร่จะมาต่อซักที :o12:
-
รอกันไปก่อนนะ :z1:
หุหุ
-
แวะมาดุนกระทู้ตัวเอง.....
กำลังพิมคับ...
แปปนึงๆนะ
:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
-
จึ้กกกกกกกกกกกก..... :z13: ทีเดียว
ไหวมั้ยอ่ะ น้องกร
:L1:
-
รออยู่นะครับ กร :กอด1:
-
อยากอ่านต่อแร๊วอ่า ~
-
:กอด1: กร Hug อุ่นๆๆๆ นอนดูฝนตก
เขียนใกล้เสร็จเหรอยังคร้าบบบ น้องกร
-
มาไวไปไวคับ....เวลามีน้อยพิมพ์เสร็จดึกมากๆ...
ตอนนี้ยาวมากเลย....
ผมต้องรีบนอนแล้วเดี๋ยวตื่นไปทำงานไม่ทันคับ.... เข้างาน8.30น.
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ใกล้ . . . ไกล . . . อยู่ที่ใจ หรือ ระยะทาง ( -_-)*
ผมใช้เวลาพักฟื้นตัวอยู่สักพักก็สามารถกลับมาทำงานตามปกติได้คับ
ในเรื่องของร่างกาย แม้ว่าหลายๆคนยังคงจะเป็นห่วงผมกันอยู่ แต่ผมว่าผมกลับมาปกติดีแล้วทุกอย่างนะครับ
แต่ในส่วนของจิตใจ.... ผมว่ามันมีบางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
“ จริงๆพักอีกสักอาทิตย์นึงก่อนก็ได้นะ ” พี่ฉินพูดขึ้น
“ ใช่.... พี่ว่าฟรอยพักอีกสักนิดดีกว่านะ ” พี่บอสพูดเสริมอีกคน
“ ผมหายดีแล้วครับ.... แผลก็หายหมดแล้วด้วยนะ ” ผมพูด
“ ไหวแน่นะเรา..... ” พี่ตอยพูดขึ้นอีกคนอย่างเป็นห่วง (พี่ตอยนี่เป็นพี่ที่ออฟฟิศอีกคนนึงคับ)
“ กาแฟค่ะ..... ” ป้าแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับเอากาแฟมาเสิร์ฟให้ทุกๆคน
“ ไหวสิคับ..... ผมพักไปเป็นเดือนๆแล้วนะครับ.... ” ผมพูด
“ อ้าว.... ฟรอย มาทำงานได้แล้วเหรอจ๊ะ ” ป้าแม่ทักผมอย่างเป็นห่วง
“ ครับป้า.... ” ผมพูดแล้วยิ้มออกมา
“ โอเคๆ.... งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ” พี่ฉินพูด
“ ครับ.... ” ผมพูด
ป้าแม่บ้านเปิดประตูออกจากห้องประชุมไปสวนกับพี่พิงค์ที่เดินสวนเข้ามาพอดี
“ เชิญด้านในค่ะ ” พี่พิงค์พูดพร้อมกับมีคนเดินเข้ามาสองคนซึ่งก็คือลูกค้าที่เข้ามาบรีฟงานกันในวันนี้ครับ
“ สวัสดีครับ ” ทุกคนต่างทักทายกันตามมารยาท
“ นี่คุณ........ .................................................. ”
พี่พิงค์พูดแนะนำพวกผมทีละคนว่าแต่ละคนชื่ออะไรดูแลส่วนไหนกันบ้าง
“ ครับ...... ผมคิวครับ ส่วนนี่ เจนคับ.... ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ” ลูกค้าแนะนำตัว
ผมรู้สึกว่าคุณมองมาทางผมด้วยสายตาแปลกๆ และดูเหมือนสายตานั้นจะสื่ออะไรบางอย่าง
“ เชิญนั่งครับ.... จะได้เริ่มบรีฟงานกันเลย ” พี่ฉินพูด ผมว่าพี่ฉินก็น่าที่จะดูออกว่าคุณคิวมองผมแปลกๆ
“ อ่อครับ..... ขอบคุณครับ ” คุณคิวหันไปขอบคุณพี่ฉินก่อนที่จะลงนั่ง
จากนั้นก็เป็นการบรีฟงานกันครับ ว่าลูกค้าต้องการอะไรบ้าง รายละเอียดในส่วนต่างๆเป็นอย่างไร
ก็ประมาณว่าทำให้เข้าใจตรงกันระหว่างลูกค้ากับทางเราหนะคับ จะได้ทำงานออกมาได้ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ
“ โอเคตามนี้นะครับ.... เดี๋ยวผมให้ทางคุณพิงค์ส่งไทม์ไลน์ตามไปให้ทางคุณอีกทีนะครับ ”
พี่ฉินพูดหลังจากที่บรีฟงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ ได้ค่ะ.... ” คุณเจนพูด
“ ถ้ามีอะไรก็ติดต่อทางพิงค์ได้ทุกเรื่องเลยนะคะ ” พี่พิงค์พูด
“ ขอบคุณครับ..... ทุกเรื่องเลยใช่มั้ยครับ ” คุณคิวพูดพร้อมกับมองมาทางผม
ผมเริ่มแน่ใจว่าคุณคิวต้องมีบางสิ่งบางอย่าง...... กะผมแน่ๆ
“ ค่ะ.... ยินดีรับใช้ค่ะ........ ” พี่พิงค์พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ งั้นขอตัวก่อนนะคะ ” คุณเจนพูดพร้อมกับสะกิดคุณคิวที่กำลังมองมาทางผม
“ ค่ะ... เดี๋ยวพิงค์เดินไปส่งนะคะ ” พี่พิงค์พูดก่อนที่จะเดินนำคุณเจนกับคุณคิวออกไป
“ กูว่าท่าทางไอ้คุณคิวนั่นแปลกๆนะ ” พี่บอสพูดขึ้นเมื่อคุณคิวกับคุณเจนเดินออกไปแล้ว
“ กูก็ว่างั้น มองยังกะจะกิน ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางมีอารมณ์
“ คงไม่มีอะไรหรอกมั้งครับ ” ผมพูดขึ้น
“ ห่างๆไว้หน่อยก็ดีนะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเก็บเอกสารบนโต๊ะ
“ ครับ... ” ผมพูดพร้อมกับแสดงท่าทางกังวลเล็กๆ
ผมไม่รู้ว่านับจากนี้มันจะมีอะไรมากกว่านี้รึป่าว แต่ถ้ามี.... ผมคงทำตัวลำบาก เพราะว่าเค้าเป็นลูกค้าของบริษัท
*******************************************************************
หลังจากออกจากห้องประชุมก็แยกย้ายกันไปทำงานครับ
“ น้องฟรอยๆ ” พี่พิงค์เรียกพร้อมกับเดินมาหาผมที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ มีไรคับพี่ ” ผมพูด
“ ท่าทางคุณคิวเค้าจะสนใจฟรอยนะ เห็นถามนั่นถามนี่เกี่ยวกับฟรอยใหญ่เลย ” พี่พิงค์พูด
............เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย
“ อ่อครับ.... ” ผมตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ ว่าไง...... สนมั้ย... ” พี่พิงค์พูดพร้อมกับกระแซะผมอย่างหยอกล้อ ท่าทางพี่พิงค์จะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักซะแล้ว
“ ไม่ดีกว่าครับพี่... ” ผมตอบกลับไปอย่างเกรงใจ
“ นี่...ถ้าชอบเค้าก็บอกพี่ได้นะ ไม่ต้องอาย..ไม่ต้องเกรงใจด้วย ” พี่พิงค์พูด
“ คือผม....ไม่ได้สนใจเค้าหนะคับ ” ผมพูด
“ ทำไมล่ะ... เค้าก็ท่าทางโอเคนะ น่าตาก็ใช้ได้...... หรือว่าเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ” พี่พิงค์พูดอย่างสงสัย
“ เอ่อ.... คือว่า ” ผมพูดไม่ออก... เหมือนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี
“ เอ๊ะ..... อะไรยังไงเนี่ย.... ” พี่พิงค์พูดล้อๆผม
“ ไม่มีอะไรหรอกพี่..... ผมไปทำงานก่อนนะ ” ผมรีบพูดตัดบทแล้วเดินมาทำงานที่โต๊ะ
ผมกลับมานั่งคิดงานที่โต๊ะได้สักพักใหญ่ๆ ก็มีหน้าต่างสนทนาเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ
ขอบอกก่อนครับว่าที่บริษัทผมเค้าจะมีโปรแกรมสนทนาภายในบริษัทครับ ลักษณะการสนทนาก็คล้ายๆกับเอ็มเอสเอ็น
เพียงแต่ไม่ต้องเข้าออนไลน์ด้วยอีเมลล์ครับ ถ้าอยากจะคุยกับใครก็คลิ๊กไปที่ชื่อคนนั้น... หน้าต่างสนทนาก็จะขึ้นมา
คงจะพอนึกภาพกันออกนะครับ
“ ยุ่งอยู่มั้ย ” พี่ฉิน
“ ก็คิดงานอยู่คับ ” ผมพิมพ์ตอบกลับไป
“ งานของว่าที่แฟนนายนะเหรอ ” พี่ฉินพิมพ์กลับมา
“ ว่าที่แฟนอะไรกันคับ ” ผมพิมพ์กลับไปทั้งที่พอรู้ว่าพี่พิงค์คงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฉินฟัง
“ ก็ไอ้คุณคิวของนายไง ” พี่ฉินพิมพ์ตอบมา
“ ของผมที่ไหนล่ะ ไม่ใช่แระ ” ผมพิมพ์กลับไป
“ ก็ได้ข่าวว่าเค้าสนนายหนิ ” พี่ฉินพิมพ์กลับมา
“ ไม่มีไรหรอกพี่ ขำๆมั้ง ” ผมพิมพ์กลับไป
“ นายขำ แต่ฝั่งโน้นเค้าคงไม่ขำด้วยมั้ง ” พี่ฉินพิมพ์กลับมาอีก
“ ไม่ขำก็ช่างเค้าดิคับ ผมไม่เอาด้วยหรอก ” ผมพิมพ์ตอบกลับไป
“ ให้มันแน่ ” พี่ฉินพิมพ์กลับมา
หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่ ตั้งแต่ผมได้มารู้จักกับพี่ฉิน
หลายอย่างที่พี่เค้าปฏิบัติกับผม ที่พี่เค้าทำดีกับผม
ผมก็พอจะเกิดคำถามในใจอยู่บ้างครับ.... ผมไม่ได้โง่ขนาดดูอะไรไม่ออก
และก็ไม่ได้จิตใจตายขนาดที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
เพียงแต่มันเป็นเพียงแค่คำถามก็เท่านั้นครับ
จริงๆแล้วคำถามนี้เกิดขึ้นในใจผมนานแล้วล่ะครับ
เพียงแต่เราจะใช้ใจ..... หรือสมอง..... เป็นตัวตอบคำถามก็เท่านั้น
ครั้งนึงผมเคยให้คำตอบมันว่า...... มันไม่มีอะไร มันเป็นเพียงความรู้สึกที่พี่เป็นห่วงน้องคนนึง
............. เพราะพี่ฉินเสียน้องชายที่สนิทและรักกันมากไป และผมอาจจะเป็นตัวแทนของคนนั้น
............. เพราะพี่ฉินไม่ชอบเกย์ เกลียดเกย์ จากเรื่องเพื่อนของเค้าที่พี่ฉินเคยเล่าให้ผมฟัง
............. เพราะผมอาจจะดูน่าสงสาร น่าสมเพช ก็เป็นได้
............. เพราะดูเหมือนว่าพี่ฉินเค้าจะมีพี่พิงค์อยู่ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าพี่ฉินคิดอะไรกับพี่พิงค์รึป่าว แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นท่าที่ปฏิเสธของพี่ฉินที่มีกับพี่พิงค์เลยสักครั้ง
แต่สายตานั่น...... ทำให้ผมสับสน
สายตาที่พี่ฉินมองผม...... มันเหมือนกับที่พี่โฟนเคยมองมาที่ผม
ตอนที่ผมสลบอยู่........... มันเหมือนกับผมหลุดเข้าไปในห้วงอะไรสักอย่าง
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ผมเจ็บไปทั้งตัว ผมกำลังเดินหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งเป็นที่ที่ผมไม่คุ้นตาเอาซะเลย ตอนที่ผมเคว้งคว้างอยู่นั้น ผมเห็นพี่โฟนครับ.... พี่โฟนเดินเข้ามาหาผม
“ พี่โฟน.... ผมได้อยู่กับพี่แล้วใช่มั้ย ” ผมพูดไปทั้งที่ผมไม่รู้ว่าที่นั่นที่ไหน ผมคิดเพียงแค่ว่าผมคงจะได้อยู่กับพี่โฟนเสียที
พี่โฟนยิ้มให้ผม..... แล้วพูดกับผมว่า
“ ยังไม่ถึงเวลาของฟรอยหรอกคับ..... ” จากนั้นพี่โฟนก็เดินเข้ามากอดผม
“ มีคนให้ชีวิตกับฟรอยแล้วครับ ” พี่โฟนกระซิบที่ข้างหูผม
“ ใครคับ..... ” ผมถามพี่โฟนกลับไปทั้งที่ผมกอดพี่โนเอาไว้แน่น..... อ้อมกอดที่ผมโหยหา
“ สักวันฟรอยจะรู้ครับ...... เค้าจะเป็นคนที่ดูแลฟรอยแทนพี่ ” พี่โฟนจูบผมเบาๆที่ข้างแก้มก่อนจะพูดออกมา
จากนั้นผมก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา........ ประโยคเมื่อครู่ที่พี่โฟนพูดยังก้องอยู่ในหูของผมเลยครับ
“ คนคนนั้นคือใคร.......... ” คำถามที่ผมกำลังหาคำตอบ
และตอนนี้.......... เรื่องคุณคิว และบทสนทนานั่นของพี่ฉิน............
พี่ฉินคือคนคนนั้นเหรอ....... และตอนนี้........ พี่เค้าหึงผม ??????????
การกระทำไวเท่าความคิด
“ ถ้าผมสนใจเค้าแล้วทำไมเหรอคับ ” ผมพิมพ์กลับไป
ข้อความที่ผมพิมพ์กลับไปทำให้พี่ฉินเงียบไปสักพัก ก่อนจะพิมพ์กลับมาว่า
“ นโยบายบริษัทห้ามพนักงานได้กับลูกค้า ” พี่ฉินพิมพ์ตอบกลับมา ทำเอาผมงง
“ มีด้วยเหรอคับ ไม่เห็นพี่นุชเคยบอกผมเลย ” ผมพิมพ์กลับไปอย่างงงๆ (พี่นุชนี่คือพี่ฝ่ายบุคคลคับ)
“ มี ” พี่ฉินพิมพ์กลับมา
“ อ้อ ผมเพิ่งรู้เนี่ย ” ผมพิมพ์กลับไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ มัวแต่คุย งานไม่มีทำรึไง ” พี่ฉินพิมพ์มาอีก ผมยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก ก็ตัวเองเป็นคนเข้ามาคุยกะผมแท้ๆ
“ อ้าว งั้นผมทำงานก่อนนะคับ เดี๋ยวโดนไล่ออก ” ผมพิมพ์กลับไปอย่างฉุนๆก่อนที่ผมจะคิดงานต่อ
****************************************************
ช่วงประมาณเย็นๆ พี่บอสก็เดินมาบอกผมว่า
“ ฟรอย... วันนี้พวกพี่จะไปเที่ยวกัน เราไปด้วยนะ ”
“ ทำไมหละครับ ไม่ไปไม่ได้เหรอ ”
ผมพูดเพราะไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ ไม่อยากไปเจอบรรยากาศอึดอัดๆ
เพราะตั้งแต่จบบทสนทนานั่น พี่ฉินก็ทำหน้าบึ้งใส่ผมทั้งวันเลย
“ ไปด้วยกันสิ ไอ้เคนกะหยินก็ให้ชวนนายไปด้วย ” พี่บอสพูด
“ คือว่า..... ” ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอ้างยังไงดี
“ มีอะไรรึป่าว...... พรุ่งนี้ก็วันหยุดนี่ ” พี่บอสถามอย่างเริ่มสนใจเหตุผลที่ผมไม่ไป
“ เอ่อ... ไม่มีไรหรอกครับ ผมเกรงใจหนะครับเผื่อพวกพี่อยากไปเฉพาะเพื่อนๆกัน”
ผมรีบปฏิเสธ เพราะไม่อยากบอกเหตุผลที่แท้จริงกับพี่บอส
“ ไม่หรอกน่า.... มีแต่คนอยากให้นายไปด้วย ” พี่บอสพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ แน่ใจเหรอครับ ” ผมหลุดปากออกมาเมื่อนึกถึงหน้าพี่ฉิน
“ แน่ใจสิ... ทำไมล่ะ นี่ฟรอยมีอะไรรึป่าวเนี่ย..... ” พี่บอสถามด้วยท่าทางแปลกใจ
“ ไม่มีไรครับ... ไปก็ไป ” ผมพูด
“ โอเค..... งั้นเลิกงานแล้วออกไปพร้อมพี่เลยนะ ไอ้บอสกะพิงค์คงไปเจอที่โน้นเลย ”
พี่บอสพูด เพราะพี่ฉินกับพี่พิงค์ออกไปหาลูกค้าด้วยกันตั้งแต่บ่ายแก่ๆแล้วครับ
“ ครับพี่ ” ผมพูด จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเคลียร์งาน
-
*******************************************************
เสียงเพลงดั่งสนั่นกับผู้คนเต็มร้านจนแน่น ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เพราะคนแน่นเต็มร้านไปหมด แต่ละคนต่างก็อยู่ในอารมณ์สนุกสนานไปกับเพลงที่เปิดกระตุ้นอารมณ์ความสนุกอยู่ตลอดเวลา แต่ผมสิ..... ความอึดอัดกำลังจะเริ่มขึ้น
“ เหนื่อยเหรอฟรอย... หน้าเครียดจัง ”
พี่เคนตะโกนถามผมเสียงดังหลังจากที่เดินไปรับผมกับพี่บอสที่หน้าร้านมาสักพัก
“ ป่าวคับพี่.... ไม่ได้เป็นไร ” ผมพูดกับยิ้มออกมา ไม่อยากทำให้บรรยากาศหมดสนุก
“ ไม่ได้เป็นไรแน่นะ ” พี่บอสก้มมาพูดกับผมใกล้ๆพราะเสียงเพลงดังมาก
“ ครับ ” ผมตอบพี่บอสไป
“ เฮ้ยไอ้ฉิน... เบาๆหน่อยเมิง กินมากไม่ดีนะเว้ย ”
พี่บอสพูดเสียงดังฝ่าเสียงเพลงที่ดังอยู่เพื่อบอกกับพี่ฉิน ผมเองก็เห็นพี่ฉินดื่มหนักตั้งแต่ผมมาถึง
“ ไม่เป็นไรว่ะ... นานๆที ” พี่ฉินพูด
ตั้งแต่ผมมาถึงพี่ฉินไม่พูดกับผมเลย ไม่มองหน้าผมด้วย เอาแต่กินเหล้าๆ
ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกคับว่าที่พี่เค้าดื่มหนักขนาดนี้มันเพราะเรื่องผมรึป่าว
เพราะผมเองก็ไม่ได้แน่ใจอะไรมากนัก แต่ที่แน่ๆที่พี่ฉินไม่พูดกับผมคงเป็นเพราะเรื่องนั้น
“ อ้าว..... มากันแล้วเหรอ ” พี่หยินพูดทักผมกับพี่บอส หลังจากที่เดินมาที่โต๊ะพร้อมกับพี่พิงค์
ซึ่งไปแดนซ์กันมา
“ เป็นไง.... มันส์กันใหญ่เลยนะ ” พี่เคนพูดแซวพี่หยินกับพี่พิงค์
“ ก็นิดหน่อย..... มาปล่อยแก่นี่หว่า ” พี่หยินพูด
“ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ ” ผมพูด
“ ไปคนเดียวได้ป่าว ” พี่บอสพูดกับผม
“ ได้คับพี่... ใกล้ๆเอง ” ผมพูดก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากนั้นผมก็แทรกตัวผ่านคนที่ค่อนข้างจะแน่นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ
พอทำธุระเสร็จผมก็เดินฝ่าคนออกมาเพื่อจะเดินกลับไปที่โต๊ะ
แต่ช่วงที่กำลังเดินกลับไปนั้น เป็นช่วงที่มีคนเดินสวนมาพอดีผมก็เลยพยายามเบี่ยงตัวหลบ
แต่เหมือนคนนั้นก็จงใจเบี่ยงตัวมาทางผมแล้วเบียดตัวเข้าหาผมอย่างจังจนหน้าแทบจะชนกัน
ผมรู้สึกไม่พอใจเล็กๆกับการกระทำของคนตรงหน้าที่ผมไม่แน่ใจว่าบังเอิญหรือจงใจ
แสงไฟสลัวภายในร้านทำให้มองเห็นหน้ากันไม่ชัดนักว่าใครเป็นใคร
“ สวัสดีครับ เราเจอกันอีกแล้วนะครับ ” เสียงคนตรงหน้าพูดกับผม
ผมเพ่งมองคนตรงหน้าชัดๆเพื่อดูว่าเป็นใคร เพราะฟังแค่เสียงผมก็รู้สึกไม่คุ้นเลย
“ คุณคิว ” ผมพูดเมื่อเห็นหน้าชัดๆว่าเป็นใคร
“ ครับ... คุณฟรอย ยินดีจังนะครับที่ได้เจอกันอีก ” คุณคิวพูด
“ อ้อครับ... ” ผมตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ ผมเห็นคุณสักพักแล้วล่ะคับ แต่ไม่ได้เดินไปทัก ” คุณคิวพูด
“ ครับ.... มากับพวกเพื่อนๆพี่ฉินหนะคับ” ผมพูด
“ ครับ.... เหมือนคุณไม่ค่อยสนุกนะ เห็นหน้าบึ้งๆ ” คุณคิวพูดจนผมเริ่มแปลกใจว่าผมทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นเลยเหรอ
“ ไม่มีไรหรอกครับ ” ผมตอบปฏิเสธอย่างมีมารยาท
“ ครับ.... นึกว่าทะเลาะกับแฟนมาซะอีก ” คุณคิวพูด
“ ป่าวคับ ผมไม่มีแฟน ” ผมพูด
“ เหรอคับ ดีจังเลยนะครับ ” คุณคิวพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
ผมเห็นแววตานั่น ผมก็เริ่มแน่ใจได้แล้วคับว่าคุณคิวคิดอะไรอยู่
“ เอ่อ... ผมขอตัวก่อนนะครับ ” ผมพูด
“ ว่าอะไรนะครับ ” คุณคิวพูดพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ๆผมแล้วหอมแก้มผมอย่างจัง
ผมยอมรับว่าตกใจมาก เพราะถึงผมจะดูท่าทางของคุณคิวออกว่าคิดยังไงกับผม
แต่ผมเองก็ไม่คิดว่าเค้าจะกล้าทำขนาดนี้ คงเพราะด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วย
ผมเลยอึ้งไปสักพัก มาได้สติก็ตอนที่รู้สึกว่าโดนกระชากที่แขนอย่างแรง
“ มาอยู่นี่นี่เอง ” พี่ฉินพูดด้วยอารมณ์ที่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ
“ โทษทีนะครับ... พอดีกำลังคุยกันถูกคอ ” คุณคิวหันมาที่พี่ฉินแล้วพูดขึ้น
“ คุณคิวนี่เอง.... มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันเหรอคับ ” พี่ฉินพูดอย่างข่มอารมณ์
“ ใช่ครับ.... กำลังจะเดินไปทักที่โต๊ะพอดี ” คุณคิวพูด
“ ครับ..... บังเอิญจังนะครับที่มาเจอกันที่นี่ ” พี่ฉินพูดอย่างจงใจเน้นคำพูด
“ ที่นี่ร้านประจำพวกผมหนะ ” คุณคิวพูดอย่างจงใจเน้นคำเช่นกัน
“ เหรอคับ... ผมไม่เคยเห็นเจอ นี่ก็ร้านประจำผมเหมือนกัน ” พี่ฉินพูด
ผมเริ่มกังวลใจเพราะท่าทางทั้งคู่ก็กรึ่มๆกัน บทสนทนาเริ่มกลายเป็นสงครามน้ำลาย
“ ผมว่ากลับไปที่โต๊ะกันดีกว่ามั้ยครับ ” ผมพูดเพื่อยุติเหตุการณ์ที่เริ่มตึงๆ
“ ไปดิ.. เห็นพวกนั้นถามหานายกันอยู่ ” ฉินพูด
“ ขอตัวก่อนนะครับคุณคิว ” ผมพูดตามมารยาท
“ ครับ... แล้วเจอกันครับ ” คุณคิวพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินแยกกัน
ตอนที่เดินกลับมาที่โต๊ะ พี่ฉินจับมือผมแล้วบีบแรงๆหลายครั้งมาตลอดทาง
ผมพยายามสะบัดออกเพราะเจ็บแต่พี่ฉินก็ยิ่งบีบมือผมแรงขึ้นทั้งที่ไม่ได้มองหน้าหรือพูดอะไรกับผมเลยสัดคำ
ผมไม่แน่ใจว่าไอ้อาการที่พี่ฉินแสดงอยู่นี้......... เป็นเพราะหึงผมรึป่าว?????????
พอกลับมาถึงที่โต๊ะทุกคนที่เหลือคงสังเกตุได้ว่าระหว่างผมกับพี่ฉินจะต้องมีเรื่องอะไรมาแน่ๆ
“ มีอะไรกันรึป่าว....... ” พี่พิงค์ถามด้วยเสียงที่ดูเหมือนเป็นห่วงหากผมไม่บังเอิญไปเห็นสายตาแบบนั้นของเธอที่มองมาที่มือของพี่ฉินที่จับมือผมอยู่
“ สงสัยฟรยจะมาหนะ..... เห็นยืนปล่อยเนื้อปล่อยตัวอยู่ที่หน้าห้องน้ำหนะ ” พี่ฉินพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ จริงเหรอน้องฟรอย..... กับใครหนะ แหม...ที่ตอนคุณคิวล่ะทำเป็นเล่นตัวนะ..... ”
พี่พิงค์พูดด้วยท่าทางสนุกปากแต่ผมกลับไม่รู้สึกสนุกด้วยสักนิด
“ ก็คุณคิวของฟรอยเค้านั่นแหละ..... ” พี่ฉินพูดอย่างจงใจเน้นเสียงให้ฟังชัดเจน
“ เมิงก็ท่าทางจะเมานะไอ้ฉิน.... พูดจาอะไรเพ้อเจ้ออยู่ได้ ” พี่บอสพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจหลังจากที่เงียบมานาน
“ ก็จริงอย่างที่พี่ฉินพูดล่ะคับ....... กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลยพี่ฉินดันมาขัดซะก่อน ”
ผมพูดออกมาอย่างโมโห ผมไม่สนใจแล้วว่าการกระทำที่พี่ฉินแสดงออกมาอยู่นี้เป็นเพราะหึงผมหรือเพราะอะไรกันแน่ แต่ผมกลับรู้สึกเสียใจเพราะการกระทำนั่นมันทำให้ผมรู้ว่าพี่ฉินทำเหมือนไม่รู้จักผมเลย
“ เอาเหอะน่า.... จะไงก็เหอะ...... มาสนุกกันต่อดีกว่า ” พี่เคนพูดเพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดให้เบาบางลง
“ เอาชนแก้วกันหน่อย ” พี่หยินพูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นตามด้วยพี่เคน พี่บอส พี่พิงค์และผมกับพี่ฉินยกแก้วขึ้นเกือบพร้อมกัน
คงด้วยความหงุดหงิดในใจที่มันเกิดขึ้นตอนนั้นซึ่งผมไม่แน่ใจนัก หรืออาจจะแน่ใจแต่ไม่กล้ายอมรับ หรือเพราะไม่เคยถามตัวเองก็ไม่รู้ ผมรู้แต่เพียงว่าผมรู้สึกเสียใจที่พี่ฉินแสดงอาการแบบนั้นออกมา รู้สึกเสียใจที่พี่ฉินทำเหมือนไม่รู้จักผมเลย......
ผมดื่มเหล้าแก้วนั้นจนหมดแก้วในครั้งเดียว.......
ตามด้วยแก้วที่สอง............
แก้วที่สาม..........................................
แก้วที่สี่............................................................
แก้วที่ห้า.................................................................................
.
..
........
.......................
........................................
ตามมาด้วยแก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้......
ความรู้สึกที่มีรวมทั้งสติค่อยๆลดลงๆๆๆๆ...... ผมกำลังเมา
ผมไม่ได้คิดว่าเหล้าคือทางออกของปัญหา แต่ผมเพียงแค่ใช้เหล้าเป็นเครื่องมือหนีปัญหาก็เท่านั้น
ผมไม่อยากเห็นว่าสายตานั้น...... มองผมด้วยความรู้สึกเช่นไร.......
ผมไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองเสียใจแค่ไหน....... ที่ถูกประเมินค่าเพียงแค่นั้น.....
ผมทนไม่ได้............
“ ไหวมั้ยฟรอย...... ” พี่บอสถามขึ้นอย่างเป็นห่วงขณะกำลังพยุงผมไปที่รถ
“ ผมไม่ได้ทำอะไรกับคุณคิวนะ......... พี่ฟังผมบ้างดิ...... ” ผมพึมพำอย่างอ้อแอ้เต็มที
“ ครับ....พี่รู้แล้วครับ........ ” พี่บอสพูด
“ ทำไมพี่ไม่ถามผมบ้าง....... เห็นผมเป็นคนใจง่ายนักรึไง... ห๊า............. ” ผมเริ่มโวยวายอย่างตัดพ้อ
“ ใจเย็นๆก่อนนะฟรอย....... ” พี่บอสพูดปลอบ
“ ไม่เย็นแล้ว.....เย็นไม่ไหวแล้วพี่.... ” ผมยังโวยวายไม่เลิก
“ ตอนนี้ฟรอยเมาแล้วนะ...... อย่าดื้อดิ...... ” พี่บอสพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างตั้งใจจะปรามผม
“ ปล่อยผม... ผมจะไปคุยกะพี่ฉินให้รู้เรื่อง ” ผมยังคงโวยวายพร้อมกับสะบัดมือพี่บอสที่พยุงร่างผมไว้ให้ออกไป
“ ฟรอย..... เอาไว้ค่อยคุยกันวันอื่นนะ ” พี่บอสพูด
ผมก็ยังคงดื้อที่จะเดินไปคุยกับพี่ฉินให้รู้เรื่อง ตอนนั้นเรากันตรงลานจอดรถผมเห็นพี่ฉินกับพี่พิงค์กำลังเดินไปที่รถด้วยกัน ซึ่งห่างออกไปจากผมอยู่พอสมควร
ผมสะบัดพี่บอสออกจากตัวแล้วผลักจนล้มไปกระแทกกับพื้น จากนั้นผมก็เดินโซเซๆไปที่เป้าหมายข้างหน้า
“ หยุดก่อน.... มาคุยกะผมให้รู้เรื่องก่อน ” ผมตะโกนออกไปเสียงดังได้ผลคับพี่ฉินหยุดเดิน
“ พี่น้องฟรอยกลับไปก่อนดีมั้ย.... น้องฟรอยเมาแล้วนะ ” พี่พิงค์พูด
“ แต่ผมจะคุยวันนี้.... ตอนนี้.... ” ผมพูด
“ แต่พี่ไม่มีอะไรจะคุย ” พี่ฉินหันมาพูดตะคอกผมเสียงดังก่อนที่จะเดินไปที่รถอย่างไม่สนใจผมเลย
“ พี่คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอคับ..... ” ผมพูดออกไปทั้งที่พี่ฉินกำลังเดินหนีผม พี่ฉินหยุดเดินแต่ไม่ได้หันกลับมามองผมและพูดออกมาว่า
“ ก็ไม่รู้สิ.... แต่เกย์เค้าใจง่ายกันไปทั่วไม่ใช่เหอ..... ” พี่ฉินพูดแล้วก็เดินเข้าไปในรถโดยที่ไม่หันมามองผมเลย
“ พี่ว่าพี่เริ่มรู้เหตุผลที่ฟรอยไม่สนใจคุณคิวแล้วนะ... ” พี่พิงค์พูดออกมาด้วยหน้าตาและน้ำเสียงที่ผมอดแปลกใจไม่ได้
“ พี่หมายความว่าไงเหรอคับ.... ” ผมพูดออดมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ อย่าคิดว่าพี่ดูไม่ออกนะว่าเธอคิดอะไรอยู่........ แต่เสียใจด้วยนะ.... ที่ฉินเค้าไม่ใช่พวกเดียวกับเธอ”
พี่พิงค์พูดออกมาด้วยสายตาที่ดูเหยียดหยามผมอย่างเต็มที่ ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะพี่พิงค์ที่ผมรู้จักดูเป็นผู้หญิงที่มี่พิษไม่มีภัย น่ารัก ดูสนุกสนานเป็นมิตร แต่ตัวตนของพี่พิงค์ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มันเหมือนเป็นคนอีกคนนึงเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่ารถของเค้าทั้งคู่จะขับออกไป แต่ผมกลับยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ผมยังคงอึ้งกับคำพูดของคนทั้งคู่......... ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้ยินประโยคเหล่านั้นออกมาจากปากของพวกเค้า โดยเฉพาะพี่ฉิน
“ ก็ไม่รู้สิ.... แต่เกย์เค้าใจง่ายกันไปทั่วไม่ใช่เหอ..... ”
ประโยคนี้ยังก้องอยู่ในหูของผม.......
คิดไปคิดมาก็คงไม่แปลกสินะ........... ก็พี่เค้าไม่เป็นเกย์หนิ จริงอย่างที่พี่พิงค์พูด
และที่สำคัญ.... พี่ฉินก็เกลียดเกย์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว.....
ฮึ.. ฮึ... น่าสมเพชตัวเองชะมัด.......
ในตอนแรกผมยอมรับว่าผมเมา....
แต่จากคำพูดของเค้าทั้งคู่........... ผมได้ฟังแล้วดูเหมือนผมถูกตบที่หน้าเข้าอย่างจัง
ทำเอาผมแทบจะหายเมาเลย ตลอดทางจากผับกลับมาที่หอ ผมเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน
จากเดิมที่โวยวายไม่ฟังใครกลับกลายเป็นซึมเศร้า
บรรยากาศในรถดูอึมครึม พี่บอสที่ขับรถอยู่หรือแม้แต่พี่เคนที่นั่งข้างหน้าคู่กับพี่บอสก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยจนกระทั่งมาถึงอพาร์ทเม้นของผม
ผมไม่รู้ว่าพี่บอสกับพี่เคนกำลังคิดอะไรอยู่.... เค้าจะได้ยินบทสนทนานั่นมั้ย......
อย่าว่าแต่จะรู้หรือเข้าใจความคิดของคนอื่นเลย......
สำหรับตัวผมเอง..... ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผมกำลังรู้สึกอะไร....
มันว่างเปล่า... และรู้สึกโหว่งๆที่ใจยังไงก็ไม่รู้คับ
“ เดินไหวมั้ย..... ” พี่บอสพูดหลังจากที่เดินมาแล้วเปิดประตูให้ผมพร้อมกับทำท่าจะเข้ามาช่วยพยุง
“ ผมเดินเองได้ครับพี่ ” ผมพูดพร้อมกับเดินออกมาจากรถ
“ ไหวแน่นะ... ” พี่เคนถามขึ้นอีกคนอย่างเป็นห่วง
“ ครับ..... พวกพี่ขึ้นไปบนห้องผมกันก่อนมั้ยครับ” ผมพูด
“ ไม่ดีกว่าฟรอยจะได้พักผ่อน ” พี่บอสพูด
“ ขึ้นไปหน่อยดีกว่า..... กูปวดฉี่ว่ะ” พี่เคนพูด
“ งั้นขึ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่าครับ...” ผมพูดพร้อมกับเดินนำพี่บอสกับพี่เคนขึ้นไปบนห้อง
“ ห้องน่าอยู่นะ... ” พี่เคนพูดขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาในห้อง
“ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นหนะคับ ” ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่ห้องน้ำเพื่อบอกกับพี่เคน
“ ขอบคุณครับ... ” พี่เคนพูดพร้อมกับเดินไปเข้าห้องน้ำ
“ ห้องกว้างกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย........ ” พี่บอสพูดพร้อมกับเดินไปทั่วห้อง
“ ครับ.... ก็พี่ไม่ได้ขึ้นมาซะทีอ่ะ.... ” ผมพูด
“ นี่รูปใครเหรอฟรอย... ทำไมมีเยอะจัง ” พี่บอสพูดพร้อมกับมองรูปที่ผมติดไว้สะเปะสะปะที่มุมข้างโต๊ะทำงาน
“ รูปพี่โฟนหนะครับ...... ” ผมพูดด้วยเสียงราบเรียบ ทำให้พี่บอสเงียบไปจนผมคิดแทนว่าพี่บอสคงรู้สึกไม่ดีที่ดันมาถามถึงพี่โฟนแม้จะไม่ได้ตั้งใจ
“ ผมไม่เป็นไรหรอกครับพี่.... ” ผมพูดออกมาเพื่อบอกให้พี่บอสรู้
“ ครับ...... แต่พี่รู้สึกคุ้นหน้าเค้าจัง ” พี่บอสพูดอย่างใช้ความคิด
“ มีอะไ.......................” ผมพูดยังไม่ทันจบพี่เคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ กลับกันเหอะว่ะ.... กูง่วงมากเลย ” เสียงของพี่เคนไม่ได้ทำให้สายตาของพี่บอสหมดความสนใจจากรูปของพี่โฟน
“ เฮ้ย..... ไปกลับกัน ” พี่เคนพูดเร่งพี่บอสด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม
“ เอ้อ... ไปดิ ” พี่บอสพูดแต่สายตาก็ยังคงมองที่รูปของพี่โฟนอย่างใช้ความคิด
“ พวกพี่กลับกันก่อนนะครับ.... ” พี่เคนพูด
“ ไปนะ... อย่าคิดมากล่ะ... ” พี่บอสพูดก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไป
ผมเดินไปเปิดประตูบานเลื่อนที่ระเบียงเพื่อระบายอากาศภายในห้อง
ผมออกไปยืนรับลมที่ระเบียงเพื่อหวังจะผ่อนคลายความรู้สึกและความคิดที่ดูจะเหนื่อยล้าเต็มที
แต่ดูเหมือนลมจะพัดแรงเกินกว่าที่ผมต้องการ แรงลมที่พัดกรรโชกแรงบอกให้รู้ว่าฝนกำลังจะตก
พายุ....... กำลังจะมา
จากนั้นไม่นานสายฝนก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาพร้อมกับแรงลมที่แสนแรงจนดูเหมือนน่ากลัว
ฤดูฝน.................................. ที่แสนบ้าคลั่ง
ผมยืนมือออกไปสัมผัสเม็ดฝนด้วยความต้องการเช่นเดิม.......
หวังว่าสายฝนคงช่วยดับความร้อนรุ่ม....... ความวุ่นวายเหนื่อยล้า ภายในใจของผมได้
ผมหลับตา............ แต่ภาพที่เห็นในห้วงคำนึง........... กลับเป็นภาพของพี่ฉิน....
และเสียงนั่น...... ที่ยังคงก้องหูอยู่...........
ผมอยากจะลืม....... ลืมความรู้สึกนั่น.......... พร้อมๆกับอยากจะรู้ให้แน่..... ว่าความร้อนรุ่มนี่
........................ สาเหตุมาจากอะไร
ครั้งนี้....... สายฝนดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยให้ผมผ่อนคลายอะไรได้เหมือนอย่างเคย
ผมลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยใจ................
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า........ กลับทำให้ความร้อนรุ่มที่มีอยู่ตอนแรกทวีมากยิ่งขึ้น
ห้องตรงข้าม......... ซึ่งเป็นห้องของเค้า...............
ผมเห็นพี่พิงค์นุ่งผ้ากระโจมอกเดินออกมาที่ระเบียง ในมือถือเสื้อผ้าซึ่งเป็นชุดที่อยู่บนเรือนร่างของเธอเมื่อตอนอยู่ที่ผับ..... ผมรีบหันหลังให้ทันทีก่อนที่พี่พิงค์เห็นผม.....
ผมรู้สึกหวามๆในใจ...... พร้อมกับใจที่เต้นแรงขึ้นๆๆๆ
ผมรู้สึกร้อนผ่าวๆที่ดวงตา....... พร้อมกับหยาดน้ำไหลที่ค่อยๆไหลจากตา
ผมแน่ใจแล้ว....... ว่าผมกำลังรู้สึกอะไร
###########################################################
เอาไว้แอบแวะมาทักอีกทีนะคับ
ไปแล้ววววววววววววว......................
-
พี่พิงค์ร้ายกาจมาก
ใช้ช่วงพี่ฉินเมาแล้วปล้ำเขาล่ะสิ
มาต่อเร็ว ๆ เน่อ
หายไปนานละคิดถึง
อิอิ ~
-
โอววววว.....หลากอารมณ์ หลายความรู้สึก
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเยอะแยะ
ฟรอย....ฉิน
ฉิน......พิงค์
พิงค์.....ฟรอย
ฟรอย....บอส
หยิน.....พิงค์
:เฮ้อ: แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว
:L1:ขอบคุณคับ น้องกร +1 กะอีก หนึ่ง Hug :กอด1:
-
เฮ้อ... สงสารฟรอยจัง :monkeysad:
พิงค์ เธอร้ายมากๆเลยนะ :beat:
แล้วบอสคุ้นหน้าโฟนด้วย เคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าครับเนี่ย
-
แรงคราบบบบบบบ คุณพิ้ง
เพราะเมาแท้ๆเลย
-
อารายกันนี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มาเป็นกำลังใจให้สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
ดุนๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
:m32: :m32: :m32: :m32:
:m7: :m7:
-
ดันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
:z2:
พิงค์มันร้ายเนอะ
ไอ้พี่ฉินก็ปากdogจริง
-
ชอบครับ
รอครับ
เมื่อไหร่จะมาต่ออ่ะ
:o8:
-
ความรู้สึกที่กำลังจะตกผลึก กลับถูกกวนให้ขุ่นคลักขึ้นมาอีก
แล้วเมื่อไหร่ จะกลับมาตกผลึกอีกละ
เป็นกำลังใจให้ กร เช่นเดิมนะครับ รักษาสุขภาพด้วย อากาศเปลี่ยนแปลงอีกแล้วนะครับ
+1 ให้อีกเช่นเคย รอตอนต่อไปอยู่นา คนน่ารัก :กอด1:
-
มาแล้วคร้าบ.....
โทษทีนะครับที่มาต่อช้า พอดีว่าโน๊ตบุ้คผมพัดลมระบายอากาศมันเสีย เวลาที่พิมเวิร์ดพอเครื่องร้อนมันจะดับตลอดเลย
ทำให้พิมไม่เสร็จซะที... ต้องพิมพ์ที่ออฟฟิศเวลาเลิกงาน... เลยเสร็จช้ามากๆ
วันนี้เลยเอามาลงให้อ่านกันก่อน..เดี๋ยวคนอ่านจะหายกันหมดพอดี...
ขอบคุณคนอ่านที่มาช่วยดันกระทู้ให้นะครับ.. แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วงด้วย
น่ารักๆๆๆๆๆ...... 555555+
เชิญทัศนาครับ....
************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ใกล้ . . . ไกล . . . อยู่ที่ใจ หรือ ระยะทาง ( -_-)
ผมตื่นนอนเกือบเที่ยงของวันรุ่งขึ้นพร้อมกับความรู้สึกมึนหัวเพราะอาการแฮงค์ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
ผมลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำเพื่อหวังจะเติมความสดชื่นให้กับตัวเอง
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมรู้สึกสดชื่นขึ้นครับ แต่อาการแฮงค์ก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว
เมื่อความสดชื่นถูกเพิ่มเติมเข้ามาในร่างกาย สมองผมก็เริ่มทำงานครับ
เหตุการณ์เมื่อคืน.... ภาพที่ผมเห็น .. เค้าสองคนกำลังจูบกัน......
ผมยอมรับครับ.... ว่าผมรู้สึกแปลกๆกับฟรอย.... แต่ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้
น่าแปลกนะครับ..... ที่บางครั้ง... ตัวเราเองกลับไม่รู้หรือเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย..
ใช่ครับ........ ผมไม่เคยแน่ใจหรือตอบตัวเองได้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วผมรู้สึกยังไงกับฟรอย
รู้....... ว่าเป็นห่วง
รู้......... ว่าอยากดูแล
รู้........... ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ
ทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้ฟรอย ผมรู้สึกว่าเวลามักนะผ่านไปเร็วเสมอ
ใช่ว่าผมจะไม่เคยคิดหรือถามตัวเองนะครับ......
....................... ว่าไอ้ความรู้สึกเหล่านั้นมันเพราะผมตกหลุมรักรอยรึป่าว???
แต่ผมก็เลิกคิดครับ... ก็ผมไม่ใช่เกย์นี่......... แถมยังไม่ค่อยชอบพวกนี้ซะเท่าไหร่ด้วย
ไม่น่าเชื่อครับ...
เมื่อเวลาผ่านไปผมกลับรู้สึกว่า.........
มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวผมโดยที่ผมไม่เคยได้สังเกตตัวเองเลย
ตอนนั้นผมรู้สึกแต่ว่าผมหงุดหงิด....
ทุกครั้งที่ฟรอยอยู่ใกล้ใคร....... โดยเฉพาะผู้ชาย หรือแม้แต่ผู้หญิงสวยๆบางคน
ทุกครั้งที่ฟรอยสนิทสนมทำตัวใกล้ชิดใคร หรือพูดเล่นหยอกล้ออย่างสนุกสนานกับใคร
ทุกครั้งที่มีใครให้ความช่วยเหลือหรือเป็นห่วงฟรอยจนเกินความจำเป็น.....
และอีกหลายๆเหตุการณ์
โดยเฉพาะเวลาที่.... ฟรอยอยู่ใกล้ไอ้บอส
ทั้งที่ผมก็รู้นะว่าไอ้บอสไม่ได้เป็นเกย์ แต่ผมไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของมันนี่ครับ
เชื่อมั้ยครับ ว่าผมไม่เคยถามตัวเองถึงที่มาของความรู้สึกหงุดหงิดหรือโมโหนั่นเลย
จนมาถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่ผมเห็นเค้าสองคนกำลังจูบกัน
ความรู้สึกครั้งนี้มันไม่ใช่แค่หงุดหงิดหรือโมโห มันมากกว่านั้น
ทั้งหึง.... ทั้งหวง....... และใจของผมก็เต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ความรู้สึกของผมตอนนั้นมันมากมายจนผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ผมรู้เพียงว่ามันล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกแย่ และมันก็มากมายจนผมอดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้
และตอนนี้ผมคิดว่าผมรู้ความรู้สึกของตัวเองแล้ว................ " ผมตกหลุกรักฟรอย "
ผมเดินออกมาจากห้องเพื่อหวังจะใช้กาแฟเข้มๆสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแฮงค์
“ กาแฟใช่มั้ย....... พิงค์ชงให้แล้วกำลังจะเอาไปให้พอดี ” พิงค์พูดด้วยท่าทีเกร็งๆ คงเพราะเหตุการณ์เมื่อคืน
“ ขอบใจนะ.... ” ผมตอบออกไปเสียงเรียบเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำเมื่อคืน
“ เอ่อ..... เรื่องเมื่อคืน...... พิงค์ขอโทษนะ คือว่าพิงค์คงดื่มหนักไปหน่อย ” เธอพูดอย่างอึกอัก
ผมยกกาแฟขึ้นจิบก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ ไม่เป็นไรหรอก.... มันไม่ใช่ครั้งแรกหนิ ” เธอได้ฟังถึงกับหน้าถอดสี ผมคิดว่าพิงค์คงไม่คิดว่าผมจะพูดออกมาตรงๆ
“ เอ่อ... คือ..... ฉินก็น่าจะรู้ว่าพิงค์ทำแบบนั้นเพราะอะไร ” พิงค์พูด
“ พิงค์อยากได้แบบอารมณ์ชั่ววูบเหรอ พิงค์ก็รู้ว่าฉินคิดกับพิงค์ยังไง... อย่าพยายามให้เสียแรงเปล่าเลยนะ ”
ผมพยายามพูดอย่างปราณีปรานอม
“ แต่พิงค์รักฉินจริงๆนะ ” พิงค์ยังพูดยืนยันความรู้สึก
“ มันเป็นไปไม่ได้หรอกพิงค์.... เราเป็นแค่เพื่อนกันหนะดีที่สุดแล้ว ” ผมพูด
“ หวานเค้าตายไปแล้วนะฉิน..... ” พิงค์พูดออกมาด้วยหวังจะเตือนสติผม แต่เธอคิดผิด
เรื่องนั้นผมรู้ดีและผมก็ทำใจรับกับมันมาสักระยะแล้ว....
คนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน
“ ฉินว่าเราคุยไม่รู้เรื่องแล้วนะพิงค์ ” ผมพูดอย่างเริ่มมีอารมณ์ส่วนพิงค์ก็ได้แต่นั่งร้องไห้
ผมรู้... ว่าสิ่งที่ผมพูดไปวันนี้เพื่อเตือนสติงเธอไม่ให้มารอคอยคนอย่างผมอาจจะทำให้เธอเสียใจ
แต่ผมคิดว่ามันก็คงดีกว่าจะปล่อยให้อะไรมันเลยเถิดไปกว่านี้
เหตุการณ์แบบเมื่อคืนไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งแรก..... และผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
“ พิงค์พยามยามแล้ว.... แต่พิงค์ทำไม่ได้ ” พิงค์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ สักวันพิงค์จะทำใจได้เอง...... ฉินไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีก มันไม่ดีเลยนะ... พี่พิงค์พยายามทำอะไรแบบนั้น...... ” ผมพูดเพื่อเตือนสติเธอ
“ ฉินไม่รู้หรอกว่ามันทรมานขนาดไหน เวลาที่เราได้แต่แอบมองใครอยู่ห่างๆ เวลาที่เราเห็นเค้าคบกับใคร รักกับใคร เราได้แค่แอบมอง..... แล้วก็เจ็บอยู่ข้างใน..... ฉินไม่เข้าใจหรอก ”
พิงค์พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบทั้งสองแก้มขาวใสของเธอ
เธอคงไม่รู้...... ว่าความรู้สึกแบบที่เธอพูดมา ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
เพราะมันคงไม่ต่างจากความรู้สึกของผมเมื่อคืน.... และมันยังคงเจ็บจนถึงตอนนี้
“ ฉินพอเข้าใจนะ.... ว่ามันโหดร้ายขนาดไหน แต่ฉินคิดแบบนั้นกับพิงค์ไม่ได้จริงๆ ”
ผมพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า..... ฝนกำลังตกลงมาอีกแล้ว
ผมเดินออกไปที่ริมระเบียงสายฝนที่โปรยปรายลงมา พร้อมกับฟ้าผ่าลงมาเป็นระยะราวกับว่าฟ้าจะทะลายลงมา ภายในใจของผมนึกถึงแต่ฟรอย มือของผมยื่นออกไปสัมผัสเม็ดฝนอย่างกับต้องมนต์สะกด ขอให้สายฝนช่วยชะล้างความว้าวุ่นในใจของผมออกไปทีเถอะ........
ผมเข้ามาในห้องหลังจากออกไปที่นอกระเบียงได้พักใหญ่ๆ พิงค์กลับไปแล้ว.....
ผมหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถด้วยตั้งใจจะไปหาคนที่ผมหวังว่าเค้าจะช่วยให้ผมสบายใจขึ้นได้
และผ่านพ้นความว้าวุ่นในใจนี้ออกไปเสียที่
แม่...........................
“ ไงล่ะ....ไอ้พ่อคนเก่ง... นึกยังไงมาหาแม่ได้ล่ะ ” แม่พูดกับผมทันทีที่ผมก้าวลงมาจากรถ
ด้วยน้ำเสียงที่ขี้เล่นและแอบแฝงความน้อยใจเล็กๆนั่นทำให้ผมอดที่จะเข้าไปกอดละหอมแก้มฟอดใหญ่ไม่ได้....
ผู้หญิงคนนี้ล่ะครับที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและสบายใจขึ้นทุกครั้งที่มีเธออยู่ข้างๆ
“ ก็คิดถึงแม่ไงครับ..... ” ผมพูดด้วยเสียงอ้อนๆ
“มีเรื่องอะไรมาอีกล่ะสิ ” แม่ผมพูดอย่างรู้ทัน
“ 55555…… แม่นี่ดูผมออกตลอดเลยจริงๆนะ ” ผมพูดอย่างเด็กที่โดนจับได้เมื่อทำความผิด
“ ก็ฉันเป็นแม่แกหนิ... ” แม่พูด
“ คร้าบ.... ก็คิดถึงแม่ด้วยล่ะครับ ” ผมพูด
“ แล้วนี่กินไรมารึยังล่ะ... ” แม่ถาม
“ ยังเลยครับ... ก็ตั้งใจจะมากินฝีมือแม่ไง ” ผมพูดด้วยท่าทางอ้อนๆ
“ เฮ้ออ.... ไปๆเข้าบ้านก่อน เดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กิน ” แม่พูด
*******************************************************
“ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรจะเล่าก็เล่ามา....” แม่พูดหลังจากที่ผมทานข้าวฝีมือแม่เสร็จ
“ ไม่มีอะไรหรอกครับแม่.... ฉินแค่คิดถึงแม่ก็เลยมาหา ” ผมโกหกออกไปทั้งที่ใจก็อยากจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง เพียงแต่ผมคิดว่ามันคงเร็วเกินไปที่แม่จะรับรู้เรื่องนี้
แม่จะรับได้ไหม.... ถ้ารู้ว่าลูกชายของตัวเอง.... รักผู้ชายด้วยกัน
“ แม่เป็นแม่ฉินนะลูก..... แม่เลี้ยงฉินมา ทำไมแม่จะดูลูกแม่ไม่ออก ” แม่พูดอย่างอ่อนโยน
ใช่ครับ... แม่คือแม่ของผม และแม่รู้.... ว่าผมกำลังมีเรื่องอะไรในใจ
“ ผมไม่แน่ใจครับแม่.... ผมไม่รู้ว่าแม่จะรับได้มั้ย กับสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ” ผมพูดด้วยความกังวลใจ
“ ทำไมคิดแบบนั้นล่ะลูก.... ไม่ว่าลูกจะทำผิดอะไร แม่ก็ไม่มีทางโกรธเกลียดลูกได้หรอก ”
แม่พูดพร้อมกับลูบที่หัวผมอย่างเอ็นดู ผมรู้สึกรักผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมคนนี้ผม
...... แม่ของผมครับ
“ ขอบคุณครับแม่ ” ผมพูดพร้อมกับเข้าสวมกอดแม่
“ มีเรื่องอะไรกันหืม.... ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ ” แม่พูดหลังจากที่คลายอ้อมกอดออกจากผม
“ คือผมรู้สึกว่าผมกำลังมีความรักครับแม่..... ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก
“ ก็ดีสิลูก.... ไปหลงรักสาวที่ไหนเข้าล่ะ ” แม่ยิ้มออกมาตอนที่พูด
“ แม่จะรับได้มั้ยครับ.. ถ้าผมจะบอกว่าคนที่ผมหลงรัก.... เอ่อ.... คือ...... ”
ผมพูดตะกุกตะกักเพราะไม่แน่ใจว่าแม่จะรับในสิ่งที่ผมกำลังจะบอกได้
“ พูดมาสิลูก.... มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ.... ” แม่พูด
“ คือว่า... คนที่ผมหลงรัก... เค้าไม่ใช่... ผู้หญิงครับ.... ”
ผมพูดออกไปอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายผมก็พูดมันออกไปจนได้
ผมไม่กล้าสบตาแม่.... ผมกลัว... กลัวว่าแม่ จะผิดหวังในตัวผม.....
ผมกลัวว่าแม่จะอายใครๆ ที่มีลูกอย่างผม
แม่เงียบครับ... หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นออกไปจากปาก
ในช่วงเวลานั้นผมรู้สึกกดดันและรู้สึกอึดอัดมาก ผมไม่รู้ว่าแม่คิดหรือรู้สึกอะไรอยู่
ถึงแม่บอกว่า.. แม่รับได้ แต่ผมรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจรับกับมันได้ง่ายๆ
“ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันลูก ” แม่พูดด้วยเสียงนิ่งๆแต่ก็ยังเจือปนไปด้วยความห่วงใย
“ สักพักแล้วครับแม่ ” ผมพูดทั้งที่ยังคงไม่กล้าที่จะสบตาแม่
“ เรื่องมันเป็นมายังไงกัน ไหนเล่าให้แม่ฟังซิลูก ” แม่พูดพร้อมกับลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
ผมโน้มตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ผมไม่กล้ามองหน้าหรือสบตาแม่เลย
ผมกลัว... กลัวว่าสายตาของแม่มันจะเป็นสายตาที่ผิดหวัง.... ผิดหวังกับคนอย่างผม
ผมค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง ตั้งแต่วันที่ผมเจอฟรอยวันแรกจวบจนวันที่ความรู้สึกแปลกเริ่มย่างกลายเข้ามาในใจ ผมค่อยๆบรรจงเล่าทุกๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเรา
ไม่น่าเชื่อ......
ผมสามารถจำทุกเรื่องราวทั้งหมดได้จนขึ้นใจ เสมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
“ แม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เกิดจนป่านนี้..... แม่รู้ดี... ว่าลูกของแม่เป็นคนยังไง ” แม่พูด
“ ครับแม่... ” ผมยังคงกอดแม่แน่นเหมือนเด็กๆ ผมไม่กล้าสบตาแม่เลยตั้งแต่ประโยคนั้นหลุดออกจากปากผม
“ เพราะฉะนั่น..... แม่ไม่ว่าอะไรหรอกลูก..... ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นอะไร เพราะแม่รู้ดีว่าลูกของแม่เป็นคนดี ”
แม่พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับลูกหัวของผมไปด้วยอย่างเอ็นดู
ทุกสิ่งที่แม่ทำทุกสิ่งที่แม่พูด ผมฟังแล้วผมรู้สึกซึ้งใจและตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก และผมไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
ผมรักแม่....
ผมรู้สึกว่าแม่คือคนที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของผม... และแม่จะอยู่ข้างๆผมทุกครั้งที่ผมมีปัญหา
ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด.... มันเป็นเรื่องของความรู้สึก.. ความรู้สึกที่เกินจะบรรยายได้
ผมรักแม่ของผมครับ.....
“ สมัยนี้... สังคมมันเปลี่ยนไปเยอะ... อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปเยอะ คนก็เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน.... แม่เข้าใจนะ แต่แม่ก็ยังอดห่วงลูกไม่ได้ ” แม่พูดอย่างเป็นห่วง
“ ผมจะพยายามไม่ทำให้แม่เป็นห่วงนะครับ ” ผมพูดพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตา ผมหอมแก้มแม่ของผมและผมกอดท่านเอาไว้แน่น
“ ทีหลังมีอะไรไม่สบายก็บอกแม่รู้มั้ยลูก.... ” แม่พูดอย่างเป็นห่วง
“ ครับแม่... ” ผมตอบแม่
“ ลูกแน่ใจแล้วนะลูก..... ” แม่สบตาผมพร้อมกับถามผมขึ้นมา
ผมสบตาแม่อย่างมุ่งมันพร้อมตอบออกไปว่า
“ ครับแม่.... ผมแน่ใจแล้ว ”
“ ขึ้นชื่อว่าความรักแล้ว.... ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม ลูกอย่าลืมนะ... ว่ามันมีสองด้านเสมอ ” แม่พูด
“ ครับแม่... อันนี้ผมรู้ดีครับ ” ผมพูด
“ ดีแล้วล่ะลูก ” แม่พูด
“ ผมรักแม่นะครับ... เราน่าจะไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะครับ ” ผมพูดพร้อมกับหวนนึกถึงภาพในอดีต
“ ลูกก็รู้นี่.... ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ” แม่พูด ผมรู้ว่าแม่ของผมเป็นคนเข้มแข็งมากแม้ว่าผมจะแอบเห็นสายตาสั่นไหวนั่นในดวงตาของแม่
“ ครับ... ผมเข้าใจ เพียงแต่ผมแค่อยากให้เรากลับไปอยู่กันเหมือนเดิม ” ผมพูด
“ มันไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมไปตลอดได้หรอกนะลูก ” แม่พูด
“ งั้น... ผมจะมาหาแม่บ่อยๆนะครับ ” ผมพูด
“ ไม่ต้องมาทำปากดีเลย.... เดี๋ยวกลับไปก็ลืมแม่ทุกที.... ” แม่พูดหยอกผมอย่างอารมณ์ดี
“ ก็ผมงานเยอะนี่ครับ.... ” ผมพูด
“ จ้า.... ” แม่พูด
“ แม่หายโกรธพ่อรึยังครับ... ” ผมพูดทั้งที่ก็ไม่แน่ใจว่าสมควรถามออกไปรึป่าว
“ แม่รู้นะ... ว่าลูกคิดอะไรอยู่ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกลูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินแก้แล้ว ”
แม่พูดพร้อมกับมองไปเบื้องหน้า ทุกๆเรื่องราวระหว่างพ่อกับแม่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันคงกำลังพรุ่งพรูออกมาในหัวของแม่
“ ขอโทษนะครับแม่.... ที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ” ผมพูดอย่างรู้สึกผิด
“ ไม่เป็นไรหรอกลูก... คืนนี้จะค้างกับแม่รึป่าวล่ะ ” แม่พูด
“ ก็คิดว่าจะค้างนะครับ แต่ผมว่าเดี๋ยวจะแวะไปเยี่ยมน้อง... กับหวานหน่อยนะครับ ” ผมพูดด้วยใจสั่นๆ
“ อืม... ก็ดีลูก ” แม่พูด
*************************************************************
ผมออกจากบ้านแม่ช่วงเย็นๆ ผมขับรถมุ่งหน้าไปที่ที่หวานและน้องชายของผมอยู่ที่นั่น.....
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มอีกครั้ง..... ทำให้บรรยากาศรอบตัวอึมครึมตามไปด้วยทั้งที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ผมเดินไปตามเส้นทางที่ผมคุ้นเคย ที่ที่ผมมักจะมาเสมอเมื่อผมว่าง ที่ที่..... คนที่ผมรักมากทั้งสองคนนอนหลับอยู่ในนั้น สุสานแทบจะไม่มีคนประกอบกับฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา ผมกางร่มที่ถือติดมือลงมาด้วยเพื่อบังฝน
ความเหงา.... ความเศร้า.... ความน่ากลัวของเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้น ยังฝังอยู่ในใจของผม
สุดท้าย.... ก็เหลือเพียงแต่ผม.... ที่ยังคงมีลมหายใจ พร้อมกับหัวใจแตกสลาย....
ผมรู้สึกใจสั่นทุกครั้งที่ยืนอยู่หน้าหลุมศพของคนทั้งคู่ ผมค่อยๆก้มลงวางดอกลิลลี่สีขาวที่หน้าหลุมศพของคนทั้งคู่
ผมอดปฏิเสธไม่ได้ที่ภาพเก่าๆของเรายังคงวนเวียนอยู่ในใจ และจะไม่มีวันจางหายไป หลายครั้งที่ผมอยากจะให้วันดีๆระหว่างเรากลับมา วันที่มีย้ง มีหวาน อยู่ข้างๆผม
เราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน... เราไปดูหนังด้วยกัน...... ไปกินไอศกรีมกัน....
ไปเดินซื้อของที่สวนด้วยกันในวันอาทิตย์...... ผมกับย้งมักจะทะเลาะกันเสมอเวลาที่เล่นเกมแข่งกัน เมื่อใครแพ้จะโดนอีกฝ่ายเกทับเสมอ แล้วเราก็จะเถียงกันไม่หยุด จนหวานต้องมาห้ามทุกทีเราถึงจะเลิกเถียงกัน
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก
“ หลับให้สบายนะ... ”
“ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรนะ...... ว่างๆจะมาหาบ่อยๆนะ.... ”
“ สักวัน... เราก็จะได้อยู่ด้วยกัน เราจะไปเที่ยวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน.... รอก่อนนะ”
ผมพูดด้วยเสียงสั่นๆ
เมื่อถึงจุดจบ.... คนเรามักจะนึกถึงจุดเริ่มต้น...........
ผมยืนมองที่หลุมศพนั่นอยู่นาน.... ก่อนที่จะตัดใจเดินกลับมาที่รถเพื่อขับกลับไปที่บ้านแม่
ตอนนั้นก็เริ่มมืดแล้ว ฝนก็ทำท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังเพราะทางค่อนข้างลื่น ก่อนที่ผมจะเดินถึงรถ... ผมเห็นใครคนนึงเดินอยู่ตรงหน้าผม น่าแปลกที่เค้าไม่คิดจะวิ่งหลบฝน ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาอยู่นั้นแต่เค้ากลับเดินตากฝนยังกับไม่รู้ตัวว่าฝนกำลังตก ผมรู้สึกแปลกใจกับท่าทางนั่นของเค้า เนื้อตัวของเค้าเปียกปอนไปหมด ตัวเค้าสั่นเทาด้วยความหนาวจากการตากฝน
คงไม่แปลกถ้าใครคนนั้นจะเป็นคนที่ผมไม่คุ้นเคย
แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นแผ่นหลังนั่นจัง... ยิ่งผมเดินเกือบถึงตัวเค้า ผมก็ยิ่งรู้สึกคุ้น.....
“ ฟรอย.... ” ปากผมไวเท่าความคิด
ร่างตรงหน้าหันมามองผม....... ก่อนที่จะออกวิ่งหนีผม
***************************************************************************
-
ขอบคุณที่มาต่อครับ
ยังสนุกเหมือนเดิม ^^
-
ดีใจที่พี่ฉินคิดได้ เข้าใจตัวเองได้ซักที
แต่ที่แน่ ๆ แล้วความรู้สึกของฟรอยล่ะ
โดนทำร้ายขนาดนั้นแล้ว
ฟรอยจะรู้สึกยังงัยนะ
ขอบคุณครับ
ชอบเรื่องนี้มาก
อิอิ
-
เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้แล้ว ก็ดีนะฉิน
แต่อย่าเก็บความเข้าใจนี้ไว้กับตัวคนเดียวล่ะ
ยังไงก็...บอกฟรอยให้เค้ารู้ความรู้สึกนี้ด้วยเน้ออออออ....ฉิน
เก็บความรู้สึกไว้กับตัว...คงไม่มีประโยชน์...ในเรื่องของความรัก
:กอด1: +1 ให้คนดี คนเก่ง กรในร่าง...ฉิน
-
ฉินรู้ใจตัวเองแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ทำยังไง ให้ฟรอยเข้าใจ รับรู้ และรับรักละเนาะ สู้ๆนะฉิน ใจเย็นๆด้วย
+1 ให้ด้วยเช่นกันครับ :L2:
-
ดุน......
ตอนใหม่ยังพิมไม่เสร็จคับ
-
มารอพี่ครับ
อ่านแล้วใจกระตุกทุกที (ไม่ได้เว่อน้าา)
-
มาดันทู้ให้ กร เดี๋ยวหาไม่เจอ :กอด1:
-
สงสัยพี่จะทำงานหนัก
น้องๆๆรออยู่คราบ
-
โย่วๆๆๆๆๆ....................
ยังอยู่กันรึป่าวจ๊ะ...............
มาช้ายังดีกว่าไม่มานะครับ........ 555555+ เป็นการแถเพื่อกลบเกลื่อนความผิด... อ่าๆ
ก่อนอื่นขอทักทายท่านผู้อ่าน... ทั้งที่แสดงตัวและไม่แสดงตัวกันก่อนนะครับ.......
ขอโทษจริงๆผมไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์เรื่องเลยครับ..... ได้แต่แอบมาดูกระทู้ตัวเองบ้างเล็กๆน้อยๆ
ขอบคุณที่รอและตามอ่านกันนะครับ.... อย่าเพิ่งเบื่อผมไปซะก่อนนะครับ
ผมทำอะไรไม่ดีก็บอกกันได้ครับ...
อ้อ... แล้วก็ขอบคุณอ่านที่น่ารักหลายคนที่เข้ามาช่วยดุนๆ กระทู้ให้ผม
ผมไม่ขอเอ่ยชื่อดีกว่า เดี๋ยวจะเกิดการไม่เท่าเทียมกันในความรู้สึก
เอาเป็นว่าคุณคงรู้ตัวหละครับ.... และให้รู้ตัวไว้เลย.... " ว่าคุณเป็นคนน่ารัก...... "
ไปอ่านกันต่อได้เลยครับ.........
*******************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
ใจถึง....... ถึงใจ ( -_-)*
“ ฟรอย ”
ผมได้ยินเสียงใครคนนึงที่ผมคุ้นเคยเรียกชื่อผมออกมา ผมรีบหันกลับไปมองอย่างแปลกใจที่ได้ยินเสียงของเค้าที่นี่
ที่แห่งนี้..... สุสาน
แต่ทันทีที่ผมหันกลับไปเห็นพี่ฉินยืนอยู่ ผมกลับรู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะผมไม่คิดว่าจะเจอพี่ฉินที่นี่ ทางออกเดียวในตอนนั้นคือการหนี ผมขอหนีไปตั้งหลักก่อน ผมเลยตัดสินใจวิ่งหนีสุดแรงเกิด หวังว่าจะหนีพ้นและพี่ฉินคงวิ่งตามผมมาไม่ทัน
“ ฟรอย.... ฟรอย.... รอพี่ก่อน ” เสียงพี่ฉินตะโกนไล่หลังมาขณะที่พี่เค้ากำลังวิ่งตามผม
ผมไม่ตอบและไม่หันกลับไปมอง ผมได้แต่วิ่งหนีอย่างเดียว
“ รอพี่ก่อน... อย่าหนีพี่สิ.... ” พี่ฉินยังคงตะโกนไล่หลังผมมาเรื่อยๆ
ผมพยายามวิ่งให้เร็วขึ้น แต่แล้วผมก็เสียการทรงตัวทำให้ลื่นไถลจนล้มกระแทกกับพื้นปูนอย่างแรง
“ โอ๊ย....... ” ผมร้องออกมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บที่แขน
“ เป็นอะไรรึป่าวฟรอย ” พี่ฉินที่วิ่งตามมาติดๆพูดขึ้นพร้อมกับเข้ามาจับดูที่แขนผม
“ โอ๊ย.... เบาๆพี่ ผมเจ็บ ” ผมร้องออกมาตอนที่พี่ฉินจับดูที่แขนผม
“ ข้อศอกแตกหนะ..... เดี๋ยวพี่พาไปทำแผลนะ ” พี่ฉินพูดและพยุงผมลุกขึ้น
“ ไม่เป็นไรครับพี่... ผมดูแลตัวเองได้ ” ผมพูดเพราะยังไม่อยากจะเผชิญหน้ากับพี่ฉินตอนนี้
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะเคลียร์กับพี่ฉินหรอกนะครับ เพราะผมอยากจะคุยกับพี่ฉินตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพียงแต่ผมแค่ไม่ได้คิดว่าจะเจอพี่ฉินที่นี่.... ตอนนี้....
“ อย่าทำเป็นเก่งได้มั้ย.... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับดึงผมให้เดินตามไปที่รถ
“ พี่ปล่อยผมก่อนได้มั้ยครับ ” ผมพูด
“ อย่าเพิ่งเรื่องมากน่า... ฝนตกอยู่เห็นมั้ย... รีบๆเดินเร็วๆ ” พี่ฉินหันมาพูดแบบตะคอกก่อนที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะฝนกำลังตกอย่างหนักพร้อมกับมีเสียงฟ้าร้องดังมาเรื่อยๆ
ผมรู้สึกว่าพี่ฉินบีบมือผมแรงขึ้นทุกครั้งที่มีเสียงฟ้าร้อง
“ พี่กลัวสียงฟ้าร้องเหรอครับ ” ผมพูด
“ ไม่ต้องถามมากได้มั้ย.... ” พี่ฉินพูดหลังจากนิ่งไปสักพักที่ได้ยินคำถามของผม
“ 55555+…. กลัวก็บอกมาเถอะครับ... ไม่เห็นต้องอายเลย ” ผมอดที่จะแซวพี่ฉินไม่ได้เมื่อได้รู้ความลับของพี่ฉิน แม้ว่าพี่ฉินจะไม่กล้ายอมรับตรงๆแต่ท่าทีแบบนั้นใครดูก็รู้คับ
“ ขำอะไร... คนกลัวฟ้าร้องมันตลกนักรึไง ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทีงอนๆ
“ เปล่าหรอกครับ.... แค่ไม่คิดว่าพี่จะกลัว มันไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกเท่าไหร่ ” ผมพูดทั้งที่ยังนึกขำอยู่
“ เออ..... รีบๆวิ่งไปที่รถกันเหอะ.... เดี๋ยวจะไม่สบาย ” พี่ฉินพูดก่อนที่จะดึงมือผมออกวิ่งไปที่รถ
“ กลัวฟ้าร้องอ่ะดิ.... 55555+.... ” ผมวิ่งตามพี่ฉินแต่ยังอดที่จะแซวไม่ได้ ใครเป็นผมก็ต้องแซว ก็มันตลกดีนี่ครับ
คนตัวใหญ่ๆที่ท่าทางแข็งๆแบบนี้ใครจะคิดว่ากลัวเสียงฟ้าร้อง 555555+
“ แซวอยู่ได้.... เดี๋ยวจะเจอดี... ” พี่ฉินหันมาพูดกับผมพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยท่าทางอายๆ
คราวนี้ไม่ใช่พี่ฉินแต่เป็นผมเองที่กระชับมือที่จับกันไว้ของเราให้แน่นยิ่งขึ้น
******************************************************************
“ อ่ะ.... เช็ดตัวก่อน ตัวเปียกเดี๋ยวไม่สบาย ” พี่ฉินพูดพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวมาให้ผม
“ คนเราหนะน๊า.... มีร่มอยู่ก็ดันโยนทิ้งไปซะ เลยเปียกกันหมดเลยเนี่ย ” ผมพูดแซวพี่ฉินพร้อมกับเช็ดหัวไปด้วย
“ ก็แล้วใครล่ะที่วิ่งหนีพี่ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเช็ดหัวตัวเองเหมือนกัน
“ เอ๊า.... ก็ผมงอนพี่อยู่หนิ แล้วใครจะคิดว่าจะมาเจอพี่ที่นี่ล่ะ ” ผมพูด
“ เออ... ไม่เป็นไร มาเจอที่นี่ก็ดีเหมือนกัน พี่มีหลายเรื่องจะคุยด้วย ” พี่ฉินพูด
“ ครับ.... ” ผมพูด
“ เช็ดไม่ถนัดอ่ะดิ... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับแย่งผ้าที่มือผมไปแล้วก็เช็ดหัวแล้วก็ตามแขนตามตัวให้ผม
“ เลือดยังไม่หยุดไหลเลยอ่ะ ” พี่ฉินพูดแล้วส่งทิชชูมาให้ผมกดไว้ที่แผล
“ ขอบคุณครับ ” ผมพูด
“ แผลไม่ได้ใหญ่มากเดี๋ยวกลับไปทำแผลที่บ้านพี่แล้วกัน ” พี่ฉินพูดก่อนที่จะติดเครื่องรถขับออกมา
“ บ้านพี่.... บ้านที่ไหนครับ ” ผมถาม
“ อ๋อ.... บ้านแม่พี่อยู่ที่นี้หนะ ขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง ” พี่ฉินพูด
“ อ่อครับ... ” ผมพูด
“ หนาวมั้ย.... ” พี่ฉินถาม
“ หนาวดิครับ ” ผมตอบ พี่ฉินจึงปรับแอร์ให้เบาลง
“ แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ.... ” พี่ฉินถามขึ้นมา
“ พี่โฟนเค้าอยู่ที่นี่หนะครับ... ” ผมตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ บังเอิญจังนะ... ” พี่ฉินพูดทั้งที่ไม่ได้หันมามองผม
“ ครับ... บังเอิญจัง ” ผมพูด
“ ทีหลังอย่าไปเดินตากฝนแบบนั้นอีกรู้มั้ย.... ” พี่ฉินพูด
“ ทำไมเหรอครับ..... เย็นสบายดีออก ” ผมพูดด้วยท่าทีที่พยายามจะร่าเริง เพื่อปกปิดเรื่องราวที่ทำให้ผมต้องเดินตากฝน
“ พี่หนาว.... ” พี่ฉินพูด
“ หนาว.... ?????? พี่จะหนาวได้ไง ผมดิที่ต้องหนาว... ”
ผมพูดพร้อมกับหันไปมองพี่ฉินด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งพี่ฉินพูดออกมา
“ ก็เราเป็นคนคนเดียวกัน.... ฟรอยตากฝนพี่ก็หนาวสิ... ” พี่ฉินพูดด้วยหน้านิ่งๆ
“ กล้าพูดเนอะ.... ” ผมพูดทั้งที่ยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับความรู้สึกแปลกใจเพราะที่ผ่านมาพี่ฉินไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจนแบบนี้
“ ยิ้มอยู่นั่นแหละ... เดี๋ยวใครเค้าก็หาว่าบ้าหรอก ” พี่ฉินพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“ หายโกรธผมแล้วเหรอครับ ” ผมพูดเมื่อสมองคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน
“ เดี๋ยวไปคุยกันทีเดียวที่บ้านเลยแล้วกัน ” พี่ฉินพูด
“ ครืด....................... ”
“ เสียงท้องใครร้องอ่ะ... 55555+...... ” พี่ฉินพูดพรร้อมกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียงท้องผมร้อง
“ อย่าขำดิพี่.... ก็ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยหนิ ” ผมพูด
“ เครียดจนกินอะไรไม่ลงเลยเหรอจ๊ะ.... ” พี่ฉินพูด
“ ก็ใครล่ะ... ไม่ยอมเคลียร์กับผม ” ผมพูด
“ ขอโทษครับ.... เดี๋ยวได้เคลียร์สมใจแน่ๆ ” พี่ฉินพูดก่อนที่จะเร่งความรถขึ้นเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน.... บ้านแม่พี่ฉิน
แม้เนื้อตัวจะเปียก................. จนหนาว
แม้แอร์จะเย็น............................... หนาวจนแทบสั่น
แต่ใจของผม................................................... กลับรู้สึกอบอุ่น
******************************************************************************
“ แม่ครับ..... แม่ ” พี่ฉินตะโกนเรียกแม่เมื่อพาผมเข้าไปในบ้าน
“ กลับมาแล้วเหรอลูก ” หญิงคนนึงเดินเข้ามาตรงโซฟาที่ผมกับพี่ฉินนั่งอยู่พูดขึ้น ซึ่งก็คงจะเป็นแม่ของพี่ฉิน แม้ว่าจะอายุมากแล้วแต่แม่ของพี่ฉินก็ยังดูสวยอยู่และที่สำคัญท่าทางใจดีด้วยครับ
“ ครับแม่ อุปกรณ์ทำแผลเก็บอยู่ตรงไหนเหรอครับ ” พี่ฉินพูด
“ ใครเป็นอะไรลูก แล้วนี่ทำไมตัวเปียกกันมาแบบนี้ล่ะ ” แม่พี่ฉินถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับแม่ ” พี่ฉินพูด
“ อุปกรณ์ทำแผลอยู่ในตู้ตรงห้องน้ำนะลูก ” แม่พี่ฉินพูดจากนั้นพี่ฉินก็เลยเดินไปเอาอุปกรณ์ทำแผล
“ เราชื่อฟรอยใช่มั้ยลูก... ” แม่พี่ฉินพูดขึ้นหลังจากที่พี่ฉินเดินออกไป
“ อ่อ... ครับคุณป้า ” ผมพูดด้วยท่าทีนอบน้อม
“ เรียกแม่ก็ได้ลูก ” แม่พี่ฉินพูดด้วยท่าทางอ่อนโยน ผมรู้สึกได้ว่าประโยคนี้มันมีความหมายลึกซึ้งกว่าคำพูดธรรมดา
สายตาของแม่พี่ฉินมองมา เป็นสายตาที่มีทั้งความเอ็นดู.... สงสาร...... เป็นห่วง....
มันเหมือนสายตาที่แม่คนนึงมองลูก สายตาของแม่ที่มองไม่ต่างจากสายตาที่แม่มองพี่ฉิน ความรู้สึกที่ผมรับได้ที่มันแผ่ออกมาจากแม่พี่ฉิน เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้รับ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีจัง
“ ขอบคุณครับ.... ” ผมพูดพร้อมกับมีน้ำตาไหลออกมา คงเป็นเพราะผมเป็นคนเปราะบางกับเรื่องแบบนี้ ผมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมไม่เคยได้รับความรักจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ผมเติบโตมาด้วยความรักที่มาจากตัวผมที่ผมมีให้กับตัวเอง
“ ไม่ต้องร้องไห้หรอกลูก.... ถือซะว่าลูกเป็นลูกแม่อีกคนนึงนะ ” แม่พูดพร้อมกับลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
“ ครับ.... ” ผมพยักหน้าตอบเบาๆ
“ ไหนแม่ดูสิลูก.... แขนไปโดนอะไรมา ” แม่พูดแล้วยกแขนผมขึ้นดูแผลอย่างเบามือ
“ แผลไม่ได้ลึกมากนะ.... แต่คงเจ็บน่าดูเพราะเป็นตรงข้อศอก ” แม่พูด
“ ครับ... มันจะเจ็บๆเวลางอแขน... ยืดแขน ” ผมพูด
“ อ้าว... ร้องไห้ทำไมอ่ะ.... ” พี่ฉินพูดทันทีที่เดินเข้ามาพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล
“ ป่าวครับ... ไม่มีไร ” ผมพูด
“ เจ็บแผลจนร้องไห้เลยเหอ ” พี่ฉินพูดแซวๆผม
“ เรานี่ไปแซวน้อง.... ทำแผลให้น้องเร็ว ” แม่พูดดุพี่ฉิน
“ โอ้โห... ผมไม่อยู่แป๊ปเดียวนี่เป็นพวกกันแล้วเหอ ” พี่ฉินพูดทำเอาผมกับแม่อดยิ้มไม่ได้กับท่าทางของพี่ฉิน
“ โอ๊ย.... แสบพี่ เบาๆหน่อย ” ผมพูดพร้อมกับขยับแขนหนี
“ ทนเอาหน่อยดิ.... ” พี่ฉินพูดดุๆ
“ อย่าไปดุน้องสิ.... มาแม่ทำเอง ” แม่พูดปรามพี่ฉิน
“ เข้าข้างกันจริงนะ ” พี่ฉินพูดแบบน้อยใจ
“ โตแล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กๆอีกนะเรา ” แม่พูดพร้อมกับลงมือทำแผลให้ผมอย่างเบามือ
“ คร้าบ..... คุณนาย ” พี่ฉินพูดแซวแม่อย่างน่ารัก
“ เจ็บมั้ยลูก ” แม่ถามผม
“ ไม่ครับแม่... แม่มือเบาจังครับ ” ผมพูด
“ เวลาทำแผลต้องทำเบาๆแบบนี้.... ดูแม่ทำนี่ เดี๋ยวกลับไปจะได้ทำแผลให้น้องได้ ” แม่พูด
“ เอ่อคือ... ผมกับพี่ฉินไม่ได้อยู่ด้วยกันครับแม่ ” ผมพูด
“ ก็เดี๋ยวต่อไปก็ย้ายมาอยู่กับพี่เค้าสิลูก ” แม่พูด
“ ใช่ๆๆๆๆ ” พี่ฉินรีบพูดเลย
“ เอ่อ... ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจด้วย ” ผมพูด
“ เราก็ตัวคนเดียว อยู่คนเดียวไม่มีใครดูแลนะลูก เวลาเป็นอะไรมันจะลำบาก ” แม่พูดอย่างเป็นห่วง
“ ครับ.... ” ผมตอบด้วยท่าทางนิ่งๆ ไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะจริงๆตอนนั้นผมก็ยังงงๆอยู่ ว่าอะไรมันเป็นมายังไง จู่ๆพี่ฉินก็มาดีกับผมแถมยังแสดงความรู้สึกอะไรของมาชัดเจนแบบนี้ ทั้งที่เมื่อคืนยังไม่ยอมเคลียร์กับผม ได้แต่หนีหน้าผมอย่างเดียว แต่พอวันนี้มันเหมือนคนละเรื่องกันเลย เดี๋ยวเคลียร์กันคงเข้าใจอะไรกันมากขึ้นกว่านี้
“ เสร็จแล้วจ๊ะ...” แม่พูดหลังจากพันผ้าก็อตที่ข้อศอกให้ผมเรียบร้อย
“ ขอบคุณครับแม่ ” ผมพูดพร้อมกับยกมือไหว้
“ ไม่เป็นไรลูก.... ไหว้ทำไมกัน ” แม่พูด
“ ครับแม่ ” ผมพูด
“ ฉินพาน้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนไป... เดี๋ยวเป็นไข้ซะก่อน ” แม่พูด
“ ครับแม่ ” พี่ฉินพูด
“ เสร็จแล้วเดี๋ยวลงมากินข้าวกันนะลูก เดี๋ยวแม่ไปเตรียมกับข้าวก่อน ” แม่พูดแล้วเดินเข้าไปในครัว
“ ปะ... ขึ้นไปอาบน้ำกัน ” พี่ฉินพูดแล้วเดินนำผมขึ้นไปชั้นบน
***************************************************************************
“ อ่ะ... ผ้าเช็ดตัวกะเสื้อผ้า ” พี่ฉินพูดขณะที่ผมกำลังดูของในห้องไปเรื่อยๆ
“ ขอบคุณครับ.... พี่มาที่นี่บ่อยเหรอครับ ของพี่อยู่ที่นี่เยอะเลย ” ผมถามอย่างแปลกใจเพราะห้องนี้มีของพี่ฉินเยอะแยะไปหมดเหมือนเป็นห้องนอนที่พี่ฉินใช้อยู่เป็นประจำ
“ ครับ... จริงๆถ้าว่างพี่มาทุกอาทิตย์แหละครับ แต่ช่วงนี้ยุ่งๆเลยไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ ” พี่ฉินพูด
“ อ่อครับ... ถึงว่า ของเต็มไปหมดเลย ” ผมพูด
“ อย่ามัวแต่คุยอยู่ ไปอาบน้ำได้แล้วไป ” พี่ฉินพูด
“ ครับ... ” ผมพูดแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ
“ ให้พี่ช่วยอาบมั้ย ??? ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์แล้วเดินเข้ามาประชิดตัวผม
“ ไม่ต้องเลย... ผมอาบเองได้ ” ผมพูดแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
“ รีบๆอาบนะ แม่รอกินข้าวอยู่ ถ้าช้าพี่จะเข้าไปช่วยอาบนะ ” พี่ฉินพูดไล่หลังผมมาอย่างอารมณ์ดี
*****************************************************************************
“ อิ่มมั้ยลูก ” แม่ถามขึ้นหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ
“ อิ่มครับแม่.... เกรงใจนะครับผมกินไปเยอะเลย ” ผมพูดอย่างเกรงใจทำเอาทั้งแม่ทั้งพี่ฉินหัวเราะร่วน
“ กินเยอะๆหนะดีแล้วลูก... คนทำเห็นก็ดีใจ ” แม่พูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ แม่ทำกับข้าวอร่อยมากเลยครับ... เฉาก๊วยที่แม่ทำก็อร่อยมาก ผมไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือแม่เลย ” ผมพูด เพราะว่าแม่ทำกับข้าวอร่อยจริงๆครับ เฉาก๊วยที่แม่ก็อร่อยมากๆ
“ แหม... ปากหวานจริงๆนะเรานี่ ” แม่พูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ จริงๆครับแม่... ” ผมพูด
“ อร่อยก็มาบ่อยๆสิลูก ” แม่พูด
ผมหันไปมองพี่ฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่ฉินเลยพยักหน้าแล้วยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดว่า
“ เดี๋ยวผมจะพาฟรอยมาหาแม่บ่อยๆนะครับ ”
“ จ้า... ให้มันจริงอย่างที่พูดเหอะ.. กลับไปเดี๋ยวก็ลืมแม่ ” แม่พูดอย่างเหน็บแนมเล็กๆ
“ โอ๋..... ไม่หรอกครับ... ” พี่ฉินง้อแม่อย่างน่ารัก
“ เออๆ.... อย่างนี้ทุกที.... ไป พาน้องขึ้นไปนอนได้แล้ว กินยาแก้ไข้กันด้วยนะ เผื่อเอาไว้ก่อน ”
แม่พูด
“ ครับแม่ ”
“ ขอกอดหน่อยดิ.... กลัวเสียงฟ้าร้องอ่ะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเขยิบตัวมาประชิดผม
ตอนนั้นเรานอนอยู่บนเตียงเดียวกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันและพี่ฉินกำลังนอนกอดผมอยู่
ผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมทำแล้วผมมีความสุข
ในตอนนี้.........
ผมรู้สึกดีที่ผมมีพี่ฉินอยู่ข้างๆ
ผมรู้สึกอบอุ่นกับอ้อมกอดของพี่ฉิน
ผมรู้สึกถึงการถูกรัก..... และการได้รัก
วันนี้เป็นอีกวัน.... ที่ผมรู้สึกมีความสุข
เพราะว่านานเหลือเกินแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกมีความสุขเช่นนี้
มันนาน... จนผมแทบจำไม่ได้ว่าวันสุดท้ายที่ผมมีความสุขเป็น... คือเมื่อไหร่กัน
“ เรื่องที่ผ่านมา.... หรือแม้แต่เรื่องเมื่อคืน พี่ขอโทษนะ ที่ทำอะไรให้ฟรอยรู้สึกไม่ดี ”
พี่ฉินพูดทั้งที่กำลังกอดผมอยู่
“ พี่จะไม่ถามฟรอยเรื่องคุณคิวอีกแล้ว.... พี่ผิดเองแหละที่คิดไปไหนต่อไหนโดยที่ไม่ฟังฟรอยอธิบายอะไรเลย แต่เรื่องเมื่อคืนมันก็ทำให้พี่ได้รู้อะไรหลายอย่างเลยนะ... พี่ทนไม่ได้ที่เห็นฟรอยทำแบบนั้นกับใคร พี่รู้แล้วว่าพี่ต้องทำยังไง.... ขืนมัวแต่ช้าอยู่คนอื่นได้แย่งฟรอยไปจากพี่พอดี ”
พี่ฉินพูดจบก็จับตัวผมให้หันหน้ามาหาพี่ฉิน แล้วพูดออกมาว่า
“ พี่รักฟรอยนะครับ ” ถึงแม้ว่าจะมืดแต่ผมก็เห็นสายตาที่จริงใจนั้นของพี่ฉินได้ และใจของผมก็สัมผัสได้ว่าความรู้สึกนั้นของพี่ฉินกันลึกซึ้งและมีความหมายมากแค่ไหน
“ ฟรอยล่ะ.... รักพี่บ้างมั้ย ” พี่ฉินถาม
“ ครับ...... รักครับ ” ผมพูดแล้วโผเข้ากอดพี่ฉินเอาไว้แน่น
“ งั้นเราคบกันนะ.... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับกอดผมเอาไว้แน่นเช่นกัน
เราทั้งคู่ไม่มีคำถามซึ่งกันและกันว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่.... ตอนไหน
เรารู้แค่ว่าตอนนี้เรารักกัน.... และเราต่างก็มีความสุข แค่นี้คงเพียงพอแล้ว
อาจมีหลายเรื่องราวที่ผมอยากรู้และพี่ฉินเองก็อยากรู้ ทั้งเรื่องพี่พิงค์กับพี่ฉินเมื่อคืน
หรืออีกหลายๆเรื่องที่ยังคงเป็นคำถามค้างคาในใจ
แต่ตอนนี้มันคงไม่จำเป็นอีกแล้ว.....
กว่าจะมาถึงวันนี้ มีเรื่องราวมากมายที่อาจทำให้เราเข้าใจผิดกัน เข้าใจไม่ตรงกัน
ทำให้ความรู้สึกของเราที่ส่งผ่านกันมันคลาดเคลื่อนไป
แต่ตอนนั้น..... ระยะห่างของความรู้สึกของเราทั้งคู่เดินมาถึงจุดที่ทับซ้อนกันได้พอดี
หลายอย่างจึงอาจดูง่ายดาย
แต่ผมก็รู้สึกคุ้มค่านะครับ...... ที่สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง วันที่ใจของเราตรงกัน
“ จากวันนี้ไปอย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ...... ” พี่ฉินพูดทำเอาผมงงว่าทำอะไร
“ ทำอะไ................................ ”
ผมยังถามไม่ทันจบผมก็ได้คำตอบ มันไม่ใช่คำตอบด้วยภาษาพูดแต่พี่ฉินตอบด้วยภาษากาย
สายฝนที่โปรายปราย.... ไพเราะเหมือนเสียงดนตรี
เสียงฟ้าร้องก้องระงม............ เหมือนเสียงกลองเร่งเร้าให้บทรักเร่าร้อน
ฤดูฝน...........
ฤดูแห่งการแรกรัก..................
“ คนคนนั้นคือพี่ฉินใช่มั้ยครับ......... พี่โฟน ”
#######################################################
ไปทำงานก่อนนะครับ... ไว้จะแวะมาใหม่ครับ
-
โย่ว ๆๆๆๆ แม๋นนนนนน
นักเขียนดีเด่น o13
ขนาดจะไปทำงาน
ยังมีเวลาลงนิยายได้
-
มาไม่ทันจิ้ม กร แต่ไม่เป็นไร ได้อ่านเรื่องต่อก็มีความสุขแล้วครับ
รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ฝนตกทุกวัน กร คงไม่เหมือนฟรอยนะ ที่ชอบตากฝน
ปล. ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขอบคุณ ถ้าไม่ใช่ก็หน้าแตก o22
+1 ให้ด้วยนะครับ กร คนขยัน หรือเปล่า :z2: :กอด1:
-
น่ารักจังเลยอะ ทั้งฟรอย ทั้งพี่ฉิน แล้วก็แม่พี่ฉินด้วย อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขมากๆเลย
:L2:
-
“ พี่รักฟรอยนะครับ ”
:L1:
:กอด1:กร...+1 เดะดื้อ
-
ดันรอคราบ
-
เข้ามาทักทายคับ...
จะบอกว่า.... ตอนนี้งานเยอะมากเลยครับ ไม่ได้หยุดเลย นี่ยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลยคับ
มึนหัวไปหมดแล้วเนี่ย.... ปวดหัวตุบๆ หิวข้าวก็หิว
บอกตามตรงแบบไม่โกหกเลยว่า ตอนใหม่พิมค้างไว้ได้แค่ประมาณครึ่งหน้าเองครับ....
รอกันก่อนนะครับ... อย่าเพิ่งหายไปไหน
-
เข้ามาเป็นกำลังใจให้น้องชาย อิอิ
-
กลับมาอ่านอีกหน หลังจากหายไปนาน ก็ถึงตอน... พอดี :z1:
อิตาพี่ฉินนี่บทจะรุกก็รุกเร็วซะจนคนอ่านตามแทบไม่ทัน กลับไปทำงานหนนี้คงมีคนเซอร์ไพร์สกันหลายคนล่ะ
-
มาให้กำลังใจในการทำงาน สู้ ๆ นะครับ กร
ดันทู้ให้ด้วย ตกหน้า 2 แล้ว :m9:
-
เป็นกำลังใจให้ด้วยคนครับ
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคร้าบบบ :L2:
-
เข้ามาแจ้งข่าวคับ....
ที่ผมหายไปเป็นเพราะว่าโน็ตบุ้คเสียคับ ตอนใหม่เลยยังพิมพ์ไม่เสร็จซะที
เพิ่งไปถอยเครื่องใหม่มา...... เดี๋ยวผมจะพิมพ์เรื่องใ้หมาอ่านกันนะครับ
นิยายที่พิมพ์ๆไว้หายไปหมดเลยอ่า... ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่
ใครที่เซฟเรื่องเล่าของผมไว้ "เรื่องของเค้ากะแก" + "รักของเราสาม" + "รักของเราสามคนฉบับเข้มข้น"
รบกวนPMมาหน่อยคับ ผมจะให้ส่งเมลมาให้หน่อย
ส่วนเรื่องใหม่ถ้าใครเซฟเก็บไว้ก็ PM มาหน่อยนะคับ จะให้ส่งเมลมาให้เหมือนกัน
เซ็งอ่า.... ไฟล์สำคัญๆอยู่ในเครื่องนั้นหมดเลย
ยังไงผมจะรีบพิมแล้วเอามาลงให้อ่านกันนะครับ โทษทีที่หายไปเลย เพราะอยู่ออฟฟิศก็ทำแต่งานเพราะช่วงนี้งานเยอะมากๆๆ
กลับไปห้องคอมก็พัง... เลยไม่ได้เข้าเล้าเลย.....
ขอโทษจิงๆนะครับที่ทำให้รอกัน
อ้อ.... วันที่ 24 มิย. ที่ผ่ายมาวันเกิดผมด้วยครับ......
อวยพรๆให้ผมมั่งดิ ฮ่าๆ....
-
Happy (Belated) Birthday!!
สุขสันต์วันเกิด(ย้อนหลัง) ^^
-
ฮ่า ๆ ถึงจะผ่านมาไกล แต่ยังไง สุขสันต์วันเกิดจ้า :L2:
-
happy birthday ย้อนหลังด้วยคนครับ
:L1:
-
เซ็งคับ... หลังจากที่ถอยโน็ตบุ้คเครื่องใหม่มาก็ดันมีเหตุอีก..... ก็คือ สายเสียบเน็ตเสีย
ตอนนี้ต้องใช้ไวเลสฟรีของกรีน...... ซึ่งช้ามากๆ เซ็งโครต แล้วเค้าก็ไม่ยอมมาซ่อมให้
โดยให้เหตุผลว่า..... ไม่รู้จะให้ใครมาซ่อมให้ กรรมจริงๆ..... แล้วกรูจะรู้มั้ยว่าจะให้ใครมาซ่อม :angry2: ไม่ใช่เจ้าของหอนิ
จริงๆเรื่องพิมเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ....... แต่เน็ตมันช้ามาก โหลดยังไงมันก็ไม่ขึ้นซะทีครับ เลยเพิ่งเอามาลงให้ครับ
ปล.เรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ไม่ได้ผสมแต่งเติมข้อความเพื่อเป็นการแก้ตัวแต่อย่างใด
อ่าๆ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับ.... ทุกท่านๆ
มาอ่านเรื่องกันต่อเลยแล้วกันนะครับ.......
"พายุใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว......"
******************************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
น้ำหลาก.... แรงเหลือ//น้ำนิ่ง.... ไหลลึก ( -_-)
“ อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะเมิง มีไรดีๆเหรอว้ะ ” ไอ้บอสทักทายผมด้วยท่าทางที่ผมรู้ว่ามันกำลังหมั่นไส้ผม
5555+ ...... ถ้าเมิงได้รู้ว่ากูกะฟรอยคบกันแล้วเมิงต้องหมั่นไส้กูแน่ๆ..........
และที่สำคัญ..... ถ้าเมิงรู้ว่ากูกะฟรอย................. อะจิ๋ยๆกันแล้ว เมิงจะทำหน้ายังไงว้ะ....
ผมคิดในใจ
“ ขอโทษนะ... มันมีความสุขจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่ะ ” ผมตอบไปโดยตั้งใจให้มันยิ่งหมั่นไส้ผมมากขึ้น
“ แหม.... ดีใจยังกะได้เมียนะเมิง ” ไอ้บอสแซวอย่างทีเล่นทีจริง.....
แต่เมิงคงไม่เชื่อซะทีเดียวสินะ... ว่าไอ้ที่เมิงคิดนั่นแหละ.........
คือเรื่องที่ทำให้กูอารมณ์ดีได้ขนาดนี้............. ผมคิดในใจ
“ ฉลาดนะเมิงเนี่ย...... ” ผมพูดทิ้งระเบิดไว้แล้วรีบชิ่งหนีมันครับ ให้มันฟุ้งไปเอง 5555+
“ หมายความว่าไงว้ะ..... ” ไอ้บอสตะโกนเสียงดังไล่หลังผมที่กำลังเดินหนีเข้าไปในห้องทำงาน
“ เฮ้ย.... เอาดีๆดิ๊ ” ไอ้บอสยังคงโวยวายเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบคำถามของมัน
“ อารมณ์ดีอะไรมาจ๊ะวันนี้..... ” พิงค์เดินเข้ามาทักทายผมในห้องทำงาน
ผมสบตาเธอเล็กน้อย ในหัวสมองก็พาลไปคิดถึงเรื่องวันนั้น
“ อ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ฉินแกล้งไอ้บอสมันหนะ ” ผมตอบไปแบบเลี่ยงๆ
“ นึกว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรซะอีก ” พิงค์พูด
“ เอ่อ... คือ.. เรื่องนั้น พิงค์โอเคแล้วใช่มั้ย ”
ผมถามออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะก็กลัวว่าจะไปสะกิดบาดแผลในใจของเธอเข้าอีก
“ พิงค์บอกตามตรงนะ.... ว่าพิงค์คงยังทำใจไม่ได้ตอนนี้หรอก คงต้องใช้เวลาสักพัก ” พิงค์พูดด้วยวาวตาที่ดูเศร้าหมอง
“ ฉินดีใจนะ.... ที่พิงค์เข้าใจฉิน เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมนะ ” ผมพูด
“ อืม.... ฉินให้เวลาพิงค์หน่อยนะ แล้วพิงค์จะกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีของฉิน ” พิงค์พูดพร้อมกับยิ้มออกมา แม้ว่าสายตาของเธอจะยังคงดูเศร้าหมองอยู่ แต่ผมเชื่อว่า... เวลาจะช่วยเยียวยาให้อะไรๆมันดีขึ้น
“ ขอบใจนะพิงค์ ” ผมพูดพร้อมกับความรู้สึกสบายใจ
ผมเข้าใจความรู้สึกพิงค์ดี ผมรู้ว่าเธอรู้สึกอะไร แต่ผมไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกของเธอได้
ผมหวังแต่เพียงให้เธอเข้าใจ..... และเรากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ถึงแม้วันนี้เธออาจจะยังทำมันไม่ได้..... แต่สักวันเธอก็จะทำได้
เรื่องราวระหว่างผมกับฟรอยจะได้ง่ายขึ้น ผมไม่อยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยน้ำตา
หรือแม้จะมีใครเสียน้ำตา ก็ขอให้เป็นน้ำตาที่มาจากความเข้าใจ
“ แล้วนี่พิงค์มีอะไรรึป่าว?? ” ผมถามถึงเหตุที่เธอต้องเดินมาหาผมที่ห้องทำงาน
“ พิงค์ก็จะมาแซวฉินนั่นแหละ เห็นอารมณ์ดีจังวันนี้ แล้วก็เอา Story Board ของคุณดิวมาให้ดูหนะ ” พิงค์พูด
ผมได้ยินชื่อไอ้คุณคิวนี่ก็รู้สึกอารมณ์เสียเล็กๆเมื่อพาลไปนึกถึงเรื่องคืนนั้น ถ้าหลังจากนี้มันยังมายุ่งกะผมของผมได้เป็นเรื่องแน่ ลูกค้าก็ลูกค้าเถอะ
“ เป็นไรรึป่าวฉิน... คิ้วขมวดเลย ” พิงค์ถามอย่างแปลกใจกับท่าทีของผม
“ ป่าวหรอก.... พอดีฉินกำลังนึกไทม์ไลน์หนะ ว่าจะทันรึป่าว ” ผมพูด
“ ไม่ต้องกังวลหรอก.... ยังทันอยู่จ้ะ พิงค์นั่งไล่ดูแล้ว ” พิงค์พูด
“ งั้นก็ดี... พิงค์ก็ดำเนินการต่อเลยแล้วกันนะ ” ผมพูด
“ จ้ะ... งั้นพิงค์ขอตัวก่อนนะ ” พิงค์พูดก่อนที่จะเดินออกไป
ไอ้คุณคิวทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดแล้วก็กลัวเล็กๆ เพราะนายนั่นท่าทางจะเอาเรื่องซะด้วย แต่ก็พยายามห้ามความคิดตัวเอง เพราะตอนนี้มันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา ผมเองก็ไม่อยากกลัวไปซะก่อน ยังไงตอนนี้ทั้งตัวและใจของฟรอยก็เป็นของผม พูดถึงฟรอยขึ้นมา ผมอยากจะบอกว่าตั้งแต่ที่เราปรับความเข้าใจกันและเราก็......... กัน
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองคิดถึงฟรอยตลอดเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมอยากจะนอนกอดอยากจะหอมทั้งวันเลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหื่นเกินไปรึป่าว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆฟรอย ผมจะนึกถึงเรื่องนั้นเกือบตลอดเวลา น้องชายของผมก็ตื่นตัวเกือบตลอดเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆฟรอย ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าผมจะไม่ได้มีอะไรกับใครเลยนะครับ เวลาที่ผมไปเที่ยวก็มีมาบ้างเพียงแต่ไม่บ่อยก็เท่านั้นเอง พูดแล้วก็คิดถึงฟรอยจัง
“ อยู่รึป่าวครับ ” ผมทักไปในmsnของบริษัท
“ ครับ ” ฟรอยตอบกลับมา
“ คิดถึงจัง ” ผมพิมพ์ไป
“ เมื่อวานก็อยู่ด้วยกันเกือบทั้งวัน ” ฟรอยพิมพ์กลับมา
“ ก็มันคิดถึงจริงๆนี่ครับ ” ผมพิมพ์ไป
“ ครับ ก็ไม่ได้ว่าไม่จริง ” ฟรอยพิมพ์กลับมา
“ ทำไรอยู่ ” ผมพิมพ์กลับไป
“ ทำงานครับ ” ฟรอยพิมพ์มา
“ ขยันจัง ” ผมพิมพ์ไป
“ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนไล่ออก ” ฟรอยพิมพ์กลับมา
“ เป็นเมียเจ้าของยังจะกลัวอีกเหอ ” ผมพิมพ์กลับไปด้วยตั้งใจจะหยอกล้อ แต่ฟรอยเงียบไปไม่ตอบอะไรกลับมา
สงสัยจะอาย 55555+….. เมื่อวานผมแซวฟรอยเรื่องนี้ทีไรหน้าแดงทุกที น่ารักดีครับ
“ ว่างรึไง มาชวนคนอื่นเค้าคุยเนี่ย ” ฟรอยพิมพ์กลับมา
“ งานก็เรื่อยๆครับ แต่ใจไม่ว่างแล้ว ” ผมพิมพ์หยอกฟรอยกลับไป
“ *-* ” ฟรอยพิมพ์กลับมา
“ เดี๋ยวเดินไปหาที่โต๊ะนะ ” ผมพิมพ์กลับไป ไม่ไหวแล้วครับ อยากเห็นหน้า
ผมกับฟรอยคุยกันไว้แล้วครับ ว่าถึงเราจะคบกันแต่เรื่องงานก็คือเรื่องงาน ฟรอยจะไม่รับสิทธิพิเศษใดๆนอกเหนือจากนักงานคนอื่นเด็ดขาด ที่มากกว่าคนอื่นขอให้เป็นแค่เรื่องความสนิทสนมที่เราทั้งคู่แสดงออกมาให้มันอยู่ในขอบเขตและไม่น่าเกลียดจนเกินไปเวลาที่เราอยู่ที่ทำงาน ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะทำได้รึป่าว
ไม่รู้ว่าคุณเคยเป็นกันรึป่าว เวลาที่เป็นแฟนกะใครก็อยากให้คนอื่นรู้ จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกะแฟนของเรา
ในออฟฟิศผมถึงแม้จะมีบางคนที่ไม่ได้แสดงตัวว่าชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ผมก็พอดูออกนะว่าหลายคนก็เล็งๆฟรอยอยู่
นี่หละที่จะทำให้ผมไม่สามารถรักษาข้อตกลงได้
“ มีไรว้ะ... เดินมานี่ ” ไอ้บอสทักทายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ ทำไมกูมาไม่ได้เหอ ทำยังกับว่ากูจะมาขโมยอะไรงั้นแหละ ” ผมพูดอย่างตั้งใจจะกวนประสาทไอ้บอส
“ คงไม่ต้องขโมยแล้วมั้ง ไหนๆเมิงก็เป็นเจ้าของแล้วนี่ ” ไอ้บอสพูดพร้อมกับมองไปทางฟรอย
ตอนแรกผมก็งงๆกับสิ่งที่มันพูด มันทำยังกับว่ามันรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับฟรอยแล้ว
แต่พอผมมองไปที่ฟรอยก็เห็นรอยดูดแดงๆที่คอสองสามรอยที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อถึงจะไม่ชัดมากนัก
แต่ถ้าเพ่งมองดีๆก็เห็นได้ชัดเจน
“ คือกู............... ” พอเจอแบบนี้ผมก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้บอสมันคิดยังไงกับฟรอย เพราะมันก็ไม่ได้มีท่าทีจะชอบผู้ชายด้วยกัน เพียงแต่มันชอบกันท่าผมเรื่องฟรอยจนผมต้องหงุดหงิดกับท่าทางของมันในหลายๆครั้ง
“ ช่างมันเหอะ...... ไว้ค่อยคุยกัน แล้วนี่เมิงมีไรรึป่าว ” ไอ้บอสพูด
“ อ่อ.... กูจะมาดูงานของไอ้คุณคิวอ่ะ เห็นพิงค์บอกว่าเสร็จแล้ว ” ผมพูด
“ ไฟล์อยู่ในเครื่องฟรอยอ่ะ เมิงไปดูเองแล้วกัน ” ไอ้บอสพูด
“ เออ ” ผมพูด
“ ดูดีๆล่ะเมิง ” ไอ้บอสพูดยิ้มๆก่อนจะเดินไปทำงานของมัน
“ เออ.... ขอบใจ ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ
ผมค้อมตัวลงและชะโงกหน้าไปใกล้ๆฟรอยที่นั่งจ้องอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ และพูดออกมาว่า
“ ทำอะไรอยู่ครับ ” จังหวะที่ฟรอยหันมาที่ผมจมูกของฟรอยก็โดนที่แก้มผมพอดีตามที่ผมคาดเอาไว้ ฮ่าๆ.......
“ ฮุ๊ย...... โดยแอบหอมแก้ม ” ผมแกล้งพูดพร้อมกับแสร้งทำหน้าว่ากำลังโดนล่วงเกิน
“ ผมป่าวนะ..... ก็พี่ยื่นหน้ามาใกล้เองหนิ ” ฟรอยพูดพร้อมกับอากายอายเล็กๆ ดูแล้วน่ารักดีครับ
“ อยากหอมแก้มพี่ก็บอกตรงๆได้ครับ ” ผมพูดและยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ ไม่ต้องมาเนียนเลย ผมรู้ว่าพี่ตั้งใจ ” ฟรอยพูดอย่างรู้ทัน
“ ครับๆ...... ยอมแล้ว แต่ทำแบบนี้กับแฟนคงไม่ผิดอะไรมั้ง ” ผมพูด
“ ครับ...... แต่อย่างประเจิดประเจ้อนักสิครับ ใครมาเห็นมันจะไม่ดี ” ฟรอยพูด
“ ใครเห็นแล้วจะทำไม ” ผมพูดแล้วหอมแก้มฟรอยอีกสองสามทีจนพอใจ
“ อย่างดื้อสิครับ..... ” ฟรอยพูดและพยายามหันหน้าหนี แต่ก็ไม่รอดมือผมหรอกครับ 55555+
“ ไหนเอางานไอ้คุณคิวให้พี่ดูหน่อยซิ ” ผมพูด
“ นี่ครับ.... ” ฟรอยพูดหลังจากที่เปิดไฟล์นั้นให้ผมดู
“ อืม.... ก็โอเคนะ ” ผมพูดหลังจากเห็นงาน
“ แล้วนี้พิงค์เค้าบอกรึป่าวว่านัดไอ้คุณคิวมาดูงานวันไหน ” ผมพูด
“ ยังเลยครับ สงสัยคงกำลังจะนัดหนะครับ ” ฟรอยพูด
“ อ่อเหรอ.... แล้วพิงค์บอกมั้ยว่าจะเอาเราไปด้วยรึป่าว ” ผมพูด
“ น่าจะเอาไปด้วยนะครับ เห็นถามผมว่าพรุ่งนี้ว่างรึป่าว ” ฟรอยพูด
“ แล้วฟรอยตอบไปว่าไง ” ถึงผมจะรู้ว่าฟรอยไม่มีทางสนใจไอ้คุณคิวนั่นแน่ๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้ฟรอยเจอมันเลย
“ ก็บอกพี่เค้าไปว่าว่าง ” ฟรอยพูด
“ ทำไมตอบไปแบบนั้นอ่ะ อยากเจอมันเหรอ ” ผมพูดอย่างไม่พอใจเล็กๆ ก็คนมันหวงนี่ครับ
“ ผมก็ไม่ได้อยากไปหรอกครับ แต่พี่พิงค์เค้าอยากให้ไปด้วย อะไรๆจะได้คุยกันง่ายขึ้น ” ฟรอยพูด มันก็จริงของพิงค์ครับ แต่คงต้องให้ฟรอยระวังตัวหน่อย เพราะไอ้คิวนั่นท่าทางไม่น่าไว้ใจและมันก็ท่าทางเอาเรื่องด้วย
“ งั้นก็ระวังมันหน่อยนะ ” ผมพูด
“ ทำไม.... หวงผมเหรอ ” ฟรอยพูดพร้อมกับยิ้มออกมาท่าทางกวนๆ
“ หวงดิ.... แฟนทั้งคน ไม่หวงได้ไง ” ผมพูดพร้อมกับขโมยหอมแก้มฟรอยอีกฟอด
“ พอเลยๆ ไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นด้วย ” ฟรอยพูด
“ ทำไมอ่ะ.... พี่อยากอยู่ใกล้ๆฟรอยทั้งวันเลยนะ ” ผมพูดและกอดเอวฟรอยไม่ยอมไป
“ ดื้อจริงๆเลย ” ฟรอยบ่นเหมือนไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนที่ผมกำลังกอดฟรอยอยู่
“ ฟรอยจ๊ะ ” เสียงพิงค์ดังขึ้นมาทำให้ผมผละออกจากฟรอยทันที
“ อ้าวฉิน..... ” พิงค์ด้วยท่าทางตกใจเล็กๆที่เห็นผม
“ มีอะไรรึป่าวครับพี่พิงค์ ” ฟรอยพูดขึ้นมา
“ คือพี่จะมาบอกว่า พี่นัดคุณคิวเข้ามาวันพรุ่งนี้นะ ประมาณบ่ายสามบ่ายสี่ ” พิงค์พูด
“ ได้ครับ ” ฟรอยพูด
“ แล้วฉินมาทำไรตรงนี้เหรอ ” พิงค์พูดด้วยท่าทางสงสัย
“ ฉินมาขอดูงานของไอ้คุณคิวหนะ ” ผมพูด
“ ก็พิงค์เดินเอาไปให้เมื่อตอนเช้าแล้วไง ” พิงค์ด้วยพยายามจะจับผิดอะไรบางอย่างจากผม
“ พอดีภาพมันไม่ค่อยชัดหนะ ฉินก็เลยเดินมาขอดูไฟล์ ” ผมพูด
“ อ้อ.... นึกว่ามีอะไรซะอีก ” พิงค์พูด
“ ไม่มีอะไรหรอก งานก็โอเคดีแล้ว ” ผมพูด
“ นี่ฟรอย...... พรุ่งนี้แต่งตัวหล่อหน่อยนะ ” พิงค์พูด
“ ทำไมเหรอครับ ” ฟรอยพูด
“ ก็ที่นัดคุณคิวไง เผื่อว่าเค้าจะชวนไปไหนต่อด้วย ” พิงค์พูด
“ จะไปไหนกันเหรอ ” ผมพูดแทรกขึ้นมาทันทีด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ
“ อาจจะไปทานข้าวต่อมั้ง พิงค์ก็ยังไม่แน่ใจ ” พิงค์พูด
“ ฉินว่าพิงค์ดูจะตามใจลูกค้าคนนี้เกินไปหน่อยมั้ง ” ผมพูด
“ ก็ลูกค้าหนะฉิน เป็นเรื่องธรรมดานะ ฉินน่าจะเข้าใจดี ” พิงค์พูด
“ แต่ฉินว่ามันก็น่าจะมีขอบเขตบ้างนะ ” ผมพูดเชิงห้ามปราม
“ เป็นอะไรไปรึป่าวฉิน พิงค์ว่าฉินแปลกๆกะคุณคิวนะ ” พิงค์พูด
“ ฉินได้ข่าวว่าเค้าจะจีบฟรอยหนิ แล้วฟรอยก็ท่าทางจะไม่เล่นด้วย ”
ผมพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าฟรอยที่กำลังมองมาที่ผม
“ ฟรอยก็ยังโสดหนิ แล้วคุณคิวเค้าก็โอเคอยู่นะ ” พิงค์พูดด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
“ แต่ฉินว่ามันเกินไปหน่อยนะ ยังไงนั่นมันก็เรื่องส่วนตัวของฟรอย ฉินว่าพิงค์อย่าไปยุ่งดีกว่า อะไรที่ฟรอยพอจะช่วยให้การประสานงานระหว่างทางเรากับคุณคิวมันง่ายขึ้นก็ให้ฟรอยเป็นธุระไป แต่อะไรที่มันเกินเลยหรือนอกเหนือจากนั้น ฉินว่าพิงค์อย่าเข้าไปยุ่งดีกว่านะ ”
ผมพูดออกมาด้วยความไม่พอใจกับการวางตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักของพิงค์
“ โอเค..... งั้นพิงค์ต้องขอโทษด้วยนะ แล้วก็ขอโทษฟรอยด้วยที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัว ”
พิงค์พูดด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ
“ เอ่อ.... ไม่เป็นไรครับพี่พิงค์ ” ฟรอยพูดอึกอักอย่างคนเกรงใจ
“ งั้นพิงค์ขอตัวก่อนแล้วกันนะ ” พิงค์พูดด้วยรอยยิ้มที่เธอแสร้งทำออกมาก่อนที่จะเดินไป
“ เราหนะขี้เกรงใจ ทีหลังหัดเด็ดขาดบ้างนะ ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่หรือว่าเราไม่ชอบก็หัดปฏิเสธคนอื่นบ้างรู้มั้ย ” ผมพูด
“ ก็มันไม่มีอะไรนี่ครับ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรกับเค้ามันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ” ฟรอยพูด
“ พี่เข้าใจ...... แต่ไอ้นั่นมันจะไม่คิดแบบฟรอยนะสิ คราวก่อนก็ทีนึงแล้ว ” ผมพูด
“ ครับ ผมจะระวังก็แล้วกันนะ ” ฟรอยพูด
“ มีอะไรต้องบอกพี่นะ... รู้มั้ย ” ผมพูด
“ ครับ ” ฟรอยพูด
“ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปด้วย เดี๋ยวจะไปเป็นก้างมันเอง ” ผมพูด
“ ก็ดีครับ ” ฟรอยพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
ผมเคยเสียคนที่ผมรักมาแล้ว ผมรู้ว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน
ครั้งนั้น..... สิ่งที่พรากคนที่ผมรักไปจากผมไม่ใช่ใคร
แต่มันคือ.................. ความตาย ซึ่งไม่มีใครที่ห้ามโชคชะตาได้
ครั้งนี้................ ก็เช่นกัน
ถึงผมจะยอมรับว่า ผมเองก็ยังไม่ได้รักฟรอยได้มากมายเท่ากับที่ผมรักหวาน
เพียงเพราะมันเพิ่งเริ่มต้น และสักวันซึ่งคงอีกไม่นานนับจากวันนี้
ผมคงจะรักฟรอยมาก รักมาก เพราะผมกำลังรักฟรอยมากขึ้นทุกวินาที
สิ่งเดียวที่จะพรากฟรอยไปจากผมได้................... คือความตาย เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
**************************************************************************
“ โอเค.... งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะคะ... ” เสียงพิงค์พูดเป็นจังหวะที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมพอดี
“ จะไม่รอผมหน่อยเหรอครับ ” ผมพูดเมื่อเปิดประตูเดินเข้าไป พิงค์หันมามองผมด้วยท่าทางตกใจเล็กๆ ส่วนไอ้คุณคิวหันมามองที่ผมพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กๆอย่างท้าทาย
“ พิงค์ไม่คิดว่าฉินจะเข้าด้วย ” พิงค์รีบพูดอย่างละล่ำละลัก
“ ฟรอยไม่ได้บอกเหรอว่าผมจะเข้าด้วย ” ผมพูดพร้อมกับลงนั่งข้างๆฟรอย
“ ผมบอกแล้วครับ แต่............... ” ในขณะที่ฟรอยพูดพิงค์ก็รีบแทรกขึ้นมาว่า
“ พอดีพิงค์ลืมหนะ..... กลัวคุณคิวเค้าจะรอนานด้วย ”
“ จริงๆผมรอได้นะครับ ยิ่งรู้ว่าคุณฉินจะเข้ายิ่งอยากจะรอ ” ไอ้คุณคิวพูดด้วยท่าทางกวนตีน
“ อ้อครับ... ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ ” ผมพูดพร้อมกับมองด้วยสายตาท้าทายกลับไป
“ คุณพิงค์นำเสนอต่อได้เลยค่ะ ” คุณเจนที่มากับไอ้คิวพูดขึ้น
“ ค่ะ.... อันนี้ก็จะเป็นหน้าตาของ Story Board นะคะ เดี๋ยวให้น้องฟรอยอธิบายนะคะ ” พิงค์พูด
“ ตามที่ผมได้บรีฟมา จุดประสงค์ก็คืออยากให้กลุ่มเป้าหมายสามารถจดจำแบรนด์ได้ ผมก็เลยนำเสนอออกมาในแบบที่ง่ายๆน่าสนใจและย้ำแบรนด์ให้เกิดการจดจำ โดยที่เรื่องราวของหนังโฆษณาจะเริ่มจาก ................................................................. บลา ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ สุดยอดเลยครับ ตรงใจผมเลย ” ไอ้คุณคิวพูดพร้อมกับมองไปที่ฟรอยอย่างจงใจ
“ ขอบคุณครับ ” ฟรอยพูด
“ ถ้าโอเคตามนี้ผมจะได้เริ่มถ่ายทำกันเลยนะครับ ” ผมพูดแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กๆ
“ ค่ะคุณฉิน เริ่มถ่ายได้เลยค่ะ ” คุณเจนพูดขึ้น
“ เลิกแล้วเราไปหาอะไรทานด้วยกันมั้ยครับ ” ไอ้คุณคิวพูดขึ้นพร้อมกับกวาดสายตาไปที่ทุกคนและมาหยุดที่ฟรอย
“ เอ่อคือ.... วันนี้ ” ฟรอยอ้ำอึ้งๆจนผมต้องออกมาว่า
“ ผมกับฟรอยคงต้องขอตัวนะครับ เพราะว่าวันนี้มีธุระ ”
“ ฟรอยมีธุระเหรอ... งั้นให้ผมไปส่งมั้ย ” ไอ้คุณคิวรีบเสนอตัว
“ คงไม่ต้องหรอกครับ เพราะว่าเราไปด้วยกัน ” ผมพูดพร้มกับทำหน้ากวนตีนใส่ไอ้คุณคิว
“ ฉินกับฟรอยมีนัดไปไหนกันเหรอจ๊ะ ” พิงค์พูดขึ้นด้วยท่าทางอยากรู้
“ พอดีแม่มาตรวจสุขภาพหนะ ก็เลยจะแวะมาหา ” ผมพูด
“ แล้วฟรอย...... ” พิงค์พูดด้วยหน้าตางงๆ ประมาณว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับฟรอย
“ แม่เค้าอยากอยากเจอฟรอยหนะ ” ผมพูด
“ อ้าว... แม่ฉินเคยเจอฟรอยด้วยเหรอ ” พิงค์พูดด้วยท่าทางแปลกใจ
“ ใช่ครับ.... ” ฟรอยพูดด้วยหน้าตาดีใจ เพราะฟรอยเองก็เพิ่งรู้เพราะแม่เพิ่งจะโทรมาบอกผมก่อนที่ผมจะเข้ามาห้องประชุมนี่เอง
“ นี่ถึงขนาดพาไปแนะนำแล้วเหรอครับเนี่ย ” ไอ้คุณคิวพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ ใช่ครับ ” ผมหันไปพูดด้วยท่าทางกวนตีนไม่แพ้มัน
“ คุณคิวค่ะ... งั้นวันนี้พิงค์ขอบายด้วยคนนะค่ะ จะไปเจอแม่ฉินด้วย ” พิงค์พูด
“ ไม่เป็นไรหรอกพิงค์ วันนี้พิงค์ไปกะคุณคิวแล้วกัน ส่วนแม่เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ” ผมพูด
“ แต่ว่า................. ” ผมรีบพูดแทรกพิงคืออกไปว่า
“ ปฏิเสธคำชวนลูกค้ากันหมดคงไม่ดีมั้ง ” ผมพูด
“ โอเค.... งั้นเดี๋ยวเราไปทานข้าวด้วยกันนะคะคุณคิวคุณเจน ” พิงค์พูด
“ค่ะ... เสียดายจังนะคะ น้องฟรอยกับคุณฉินไม่ได้ไปด้วยกัน ” คุณเจนพูดส่วนไอ้คุณคิวก็แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน เห็นหน้ามันตอนนั้นแล้วสะใจดีครับ
“ ครับ.... เอาไว้โอกาสหน้านะครับคุณเจน ” ผมพูด
“ ค่ะ... ไม่เป็นไรค่ะ ” คุณเจนพูด
“ โอเค... งั้นเดี๋ยวเราไปกันเลยนะค่ะ พิงค์ขอเก็บไปของแปปนึง ” พิงค์พูดก่อนที่จะเดินออกไป
“ ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ ” ฟรอยพูดก่อนที่จะเดินออกไปเช่นกัน
“ แล้วนี่นัดเจอคุณแม่ที่ไหนค่ะเนี่ย ” คุณเจนถามขึ้นส่วนไอ้คุณคิวตอนนั้นยืนหน้าบูดอยู่
“ นัดเจอกันที่คอนโดผมหนะครับ ตอนนี้แม่คงเตรียมทำอาหารอยู่ ” ผมพูด
“ ดีจังนะคะ ท่าทางอบอุ่นกันดี ” คุณเจนพูด
“ ครับ.... แล้วนี่จะไปแถวไหนกันล่ะครับ ” ผมพูด
“ ยังไม่รู้เลยค่ะ เดี๋ยวคงตกลงกันอีกที ” คุณเจนพูด
“ อ่อครับ ” ผมพูด
“ แล้วนี่คอนโดคุณฉินอยู่แถวไหนคะ ” คุณเจนพูด
“ แถวสุขุมวิทครับ ” ผมพูด
“ เหรอค่ะ เหมือนเจนเลย คุณฉินอยู่ช่วงไหนค่ะเนี่ย ” คุณเจนพูด
ในขณะที่ผมกำลังจะตอบพิงค์ก็เปิดประตูเข้ามาพอดีพร้อมกับพูดว่า
“ ไปกันเลยมั้ยค่ะ พิงค์เรียบร้อยแล้ว ”
“ ก็ดีค่ะ ” คุณเจนหันไปพูดกับพิงค์
“ คุณคิวค่ะ.. ว่าไง ” พิงค์พูด
“ ไปครับ ” ไอ้คุณคิวพูด
“ ขอตัวก่อนนะคะคุณฉิน ”
คุณเจนพูดก่อนที่จะเดินตามพิงค์ออกไป ส่วนไอ้คุณคิวมันเดินมาที่ผมพร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทางท้าทายผมว่า
“ กันท่าผมให้ได้ตลอดนะครับ.... แต่ผมว่าคุณคงเสียท่าผมเข้าสักวัน ”
“ คงไม่หรอกครับ อย่างน้อยๆตบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดัง ” ผมพูด
“ คนอย่างผมไม่ตบมือข้างเดียวอยู่แล้ว รอดูสิครับว่าคนของคุณเค้าจะอยู่กับคุณได้ตลอดรึป่าว ” ไอ้คุณคิวพูดอย่างท้าทาย
“ คงไม่มีทางหรอกครับ ” ผมพูดอย่างพยายามระงับอารมณ์
“ ฮึฮึ... ช่วงนี้รีบเก็บเกี่ยวความสุขไว้นะครับ เพราะอีกไม่นานมันก็คง....... ” ไอ้คุณคิวยังพยายามใช้คำพูดกวนประสาทผมจนผมทนไม่ได้เลยตอกมันกลับไปทันทีว่า
“ ถ้าคุณมีความคิดชั่วๆ สงสัยเราคงร่วมงานกันไม่ได้แล้วล่ะครับ ”
“ จุ๊ๆ.... อย่าเอาเรื่องส่วนตัวไปปนกับเรื่องงานสิครับ.... มืออาชีพเค้าไม่ทำกันนะ ” ไอ้คุณคิวพูด
“ งั้นลองดูกันสักตั้งแล้วกัน.... ผมรับรองว่าฟรอยไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับคุณแน่ ” ผมพูดอย่างท้าทาย
“ ไม่ต้องท้าหรอกครับ เพราะยังไงเกมนี้... ผมก็ตั้งใจจะลงแข่งอยู่แล้ว ไปนะครับ.... โชคดี ”
ไอ้คุณคิวพูดก่อนที่จะเดินออกไป
#########################################################
ตอนต่อจากนี้พิมได้ครึ่งนึงแล้วครับ แล้วจะรีบมาต่อให้อีกนะครับ........
อย่าลืมไปทำบุญกันด้วยนะครับ......... วันพระใหญ่
ขออนุโมทนาบุญแก่ทุกท่านด้วยนะครับ
ไปแระ..... ทำงานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
อ๊ากกกกกกกก รอมานาน
รอคราบ
-
ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังก็จริง แต่ลูกแกะน้อยอย่างฟรอยจะตามหมาป่าทันเร้อ
ป.ล. ดูท่างานนี้หนุ่มฉินจะถูกใจสาวเจนแฮะ
-
เริ่มมันส์แล้วว่ะ
ฮ่าฮ่า
ดูเหมือนว่าฉิน...จะเจอคิวเปิดศึกรบสองด้าน ตีขนาบเข้ามาทั้งคู่
สาวเจน....กระหน่ำเข้าด้านฉิน
หนุ่มคิว....เข้าซ้ำด้านฟรอย
ไหนจะพิงค์...กองหนุนเข้าไปอีก
เอิ้ก เอิ้ก แค่คิดก็หนุกแล้ว หุหุ
:pig4: ขอบคุณครับ น้องกร +1 ฮี่ฮี่ o22
-
เอาแล้ว
เริ่มมีการแย่งชิง
-
ดูท่าแล้ว เรื่องยุ่งๆกำลังจะตามมาอีกแน่ๆเลย หนักแน่นไว้นะ ทั้ง ฉิน แล้วก็ ฟรอย
:กอด1:
-
ดุน
-
^^
^^
^^
จิ้ม กร ไม่ได้ทักทายกันนานเลยเนอะ สบายดีหรือเปล่าครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ระวัง
ไข้หวัด 2009 หน่อยก็ดีนะ และก็อวยพร วันเกิดย้อนหลัง
คงไม่สายเกินไปนะครับ สุขสันต์วันเกิดนะครับ กร ขอให้สุขภาพ
แข็งแรง อยู่ที่ไหนมีแต่คนรักคนเมตตา การงานขอให้ราบรื่นอย่าได้ติดขัด
เจ้านายรัก แต่ไม่ต้องหลง ไปดีกว่า ฟิ้วววววว.....
ปล. +1 เป็นกำลังใจให้อีกแล้วรีบมาต่อนะครับ
-
:กอด1:อวยพรวันเกิดย้อนหลังครับ ขอให้มีความสุขและสมหวังในสิ่งที่ปราถนา ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยต่างมารบกวน :กอด1:
:L2:งานนี้ทั้งฟรอยและฉินต้องมั่นคงในกันและกันอย่าหวั่นไหวกับคนรอบข้างที่จะเข้ามาทำให้แตกแยก :L2:
-
หายไปอีกแล้ว
ป่วยหรืองานยุ่งครับ
มาดันไว้ :กอด1:
-
หายไปเกือบสองเดือน
กลับมาอีกที เข้มข้นขึ้นเยอะ คิดว่าต่อไปคงไม่ง่ายแน่ๆ
ลุ้นต่อไปน่ะครับ
ปล. ขอบคุณที่ไปอ่านเรื่องของผมนะครับ มันเป็นเรื่องเล่าอ่ะครับ :mc4:
-
มาต่อแล้วครับ.... หลังจากที่หายไปนาน
งานยุ่งครับช่วงนี้ พิมพ์ค้างไว้ได้เพิ่งมานั่งพิมพ์ต่อเมื่อคืน....
อ้อ... ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับ......
ปีนี้เป็นอีกปีที่ไม่มีของขวัญจากใคร แต่ได้คำอวยพรจากพ่อก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว
แล้วก็ถอยนาฬิกาให้ตัวเองเป็นของขวัญไปหนึ่งเรือน และโน็ตบุ้ค และโทรศัพท์
ฮ่าๆ ถอยของขวัญให้ตัวเองเยอะไปหน่อยเล่นเอาซะจนเลย ฮ่าๆ.... แทบไม่มีจะกินแล้ววววววววว....
และก็ขอบคุณที่ยังตามอ่านกันอยู่นะครับ ผมมีเวลาค่อนข้างน้อย แต่ก็จะพยายามพิมพ์เรื่องให้อ่านกันนะครับ
เพราะงานเขียน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรักและชอบมาก
และผมก็ดีใจที่ยังคงมีคนอ่านเรื่องของผม
เรื่องของผมอาจจะไม่ได้มีเนื้อเรื่องหรือตัวละครที่เป็นแนวตลาดที่เค้านิยมกัน
แต่ผมเชื่อว่าผมเองก็มีแนวทางของผม มีวิธีเล่าเรื่องของผม
ให้ถือซะว่าเรื่องราวของผมเป็นบทนึงในชีวิตก็แล้วกันครับ มันไม่ได้มีอะไรที่ดีและสวยงามไปได้ตลอดหรอก
หวังว่าเรื่องราวของผมคงจะให้อะไรกับคนอ่านบ้างนะครับ
ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามกัน.......
Ostrich
************************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
น้ำหลาก.... แรงเหลือ//น้ำนิ่ง.... ไหลลึก ( -_-)*[/b]
ตอนที่อยู่ในห้องประชุมผมรู้สึกว่าคุณคิวมักจะส่งสายตาหรือมองมาที่ผมตลอด ซึ่งตัวผมเองก็ใช่ว่าจะไร้เดียงขนาดมองไม่ออกว่าสายตานั้นมองมาด้วยความรู้สึกเช่นไร และแน่นอนว่าคุณคิวก็รู้เช่นกัน ว่าตัวผมเองนั้นรู้ว่าเค้ารู้สึกเช่นไรกับผม แต่ใจผมตอนนี้ผมมอบมีนให้กับพี่ฉินไปแล้ว และในส่วนลึกๆของหัวใจผมก็ยังคงมีพี่โฟนอยู่ ผมรู้ว่าไม่ว่าใครก็ตามหรือแม้แต่พี่ฉินคงไม่ชอบใจนักที่คนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแฟนไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ทั้งๆที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าเค้ารู้สึกเช่นไรกับเรา
ผมพยายามที่จะระวังตัวเองตลอดตามที่พี่ฉินบอก ผมไม่อยากให้พี่ฉินไม่สบายใจเรื่องคุณคิว เพราะลำพังแค่เรื่องงานมันก็มีเรื่องราวอะไรมากมายปัญหาเยอะแยะให้ต้องคอยแก้ไขอยู่ตลอด
ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องประชุมผมก็พยายามระวังตัวอยู่ตลอดเหมือนกัน พอเสร็จจากการประชุมผมก็รีบชิ่งออกมาโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำและผมก้หลบหน้าคุณคิวออกไปเลย แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่ฉินเป็นอะไรหรือโกระอะไรผมรึป่าว เพราะตั้งแต่ออกมาจากห้องประชุมพี่ฉินแทบจะไม่คุยกับผมเลยจนผมรู้สึกอึดอัด ยิ่งอยู่ในรถด้วยกันโดยที่ไม่พูดจากันเลยผมยิ่งอึดอัด มันรู้สึกว่าตัวเรากำลังอยู่ท่ามกลางความอึดอัดบางอย่าง
“ พี่ฉิน... โกรธอะไรผมรึป่าวครับ ” ผมตัดสินใจถามออกไปเพราะคงไม่มีทางออกไหนดีกว่าการพูดกันตรงๆ
“ เฮ้อออ...... ไม่มีอะไรหรอก ” พี่ฉินถอนหายใจยาวก่อนที่จะพูดออกมาด้วยคิ้วที่ยังขมวดเป็นปม
“ ทำเสียงแบบนี้ผมคงเชื่อหรอกนะว่าไม่มีอะไร ” ผมพูด
“ พี่มีเรื่องกังวลใจนิดหน่อยหนะ ” พี่ฉินพูด
“ ผมรู้... มันคงไม่นิดหน่อยหรอกมั้งครับ ผมทำอะไรให้พี่ไม่สบายรึป่าวครับ มีอะไรก็บอกผมสิ ”
ผมพูด
“ ฟรอยไม่ได้ทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจหรอกครับ แต่คนอื่นหนะสิ ” พี่ฉินพูด
“ หมายถึงใครเหรอครับ คุณคิวเหรอ ” ผมพูด
“ ก็ใช่หนะสิ ท่าทางมันจะเอาเรื่องน่าดูถึงกล้าท้าทายพี่ขนาดนั้น ” พี่ฉินพูด
“ เค้าท้าทายอะไรพี่เหรอครับ ” ผมถาม
“ มันบอกว่ามันจะแย่งฟรอยไปจากพี่ให้ได้หนะสิ ” พี่ฉินพูด ผมเองแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคุณคิวพูดแบบนั้นจริงๆ เพราะผมกับเค้าก็เพิ่งจะเจอกันเค้าไม่น่าจะต้องมาทำอะไรขนาดนี้
“ พี่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะยังไงผมก็ชอบเค้าหรอก ” ผมพูดตามที่รู้สึกและก็หวังจะให้พี่ฉินสบายใจด้วย
“ สัญญากับพี่นะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับจับมือผมสายตาของพี่ฉินที่มองมาเป็นสายตาที่หวาดกลัวกับการจากลา ถึงแม้ว่าผมจะทำให้พี่ฉินเชื่อใจขนาดไหน แต่สายตานั้นก็ยังคงหวาดกลัว มันไม่แปลกกับคนที่เคยสูญเสียถึงมีสายตาที่หวาดกลัวได้ขนาดนี้
ผมบีบมือพี่ฉินไว้แน่นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ ครับ.... พี่ไม่ต้องกลัวนะ อย่าเอาเรื่องคุณคิวมาทำให้รู้สึกแย่เลยครับ เพราะยังไงตอนนี้ผมก้อยู่ข้างๆพี่นะ ”
“ ขอบคุณนะ.... ” พี่ฉินพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ รีบกลับบ้านกันเถอะครับแม่รออยู่ ” ผมพูด
“ ครับ ” พี่ฉินรับคำพร้อมกับรอยยิ้ม
************************************************************************
“ เป็นไงมั่งครับแม่ ” พี่ฉินพูขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าห้อง
“ กลับมากันแล้วเหรอลูก.... ฟรอยล่ะ ” เสียงแม่ดังมาจากห้องครัวคงจะเตรียมทำข้าวเย็นให้เราอยู่
“ มาแล้วครับแม่ ” ผมพูดก่อนที่จะรีบเดินไปหาแม่ในห้องครัว
“ โอโห้... ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วเหรอเนี่ย ” พี่ฉินแกล้งทำเป็นพูดน้อยใจ
“ ไอ้เด็กขี้อิจฉา... เงียบไปเลย ” แม่พูดแกล้งพี่ฉิน.... 55555 หยอกกันน่ารักดีครับ
“ คิดถึงจังครับแม่... ” ผมพูดพร้อมกับเข้าไปสวมกอดแม่
“ ขี้อ้อนเหมือนกันนะเรา ” แม่พูดด้วยเสียงเอ็นดู
“ ก็ผมมีแม่ให้อ้อนแล้วนี่ครับ ” ผมพูดพร้อมกับรู้สึกโหวงๆในใจ
“ ถึงแม่จะไม่ใช่แม้แท้ๆของฟรอย แต่แม่ก็รักหนูเหมือนลุกแม่อีกคนนึงนะ อดีตที่มันผ่านมา... อะไรที่มันไม่ดีก็ไม่ต้องไปจำมันนะลูก แม่เชื่อว่าทุกคนย่อมต้องมีเหตุผล... แม้แต่พ่อกับแม่ของฟรอยเค้าก้คงมีเหตุผลของเค้าเหมือนกัน ไม่ต้องเอามาเป็นปมด้อยรู้มั้ยลูก ” แม่หันมาพูดกับผม สายตาแม่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูที่ผมเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ
“ ขอบคุณครับแม่ ” ผมพูดพร้อมกับน้ำตาเอ่อ
“ รักกันจังนะ... ผมชักจะเริ่มอิจฉาจริงๆล่ะนะ ” พี่ฉินพูดขณะเดินเข้ามาในครัว
“ เฮ้อออ... จริงๆเลยน๊า....... ” แม่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ แม่มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ ” ผมพูด
“ ดีเลยๆ.... งั้นช่วยแม่หันผักหน่อยนะ ” แม่พูด
“ ผักอยู่ในตู้เย็นใช่มั้ยครับ ” ผมพูด
“ จ้ะ... ” แม่พูด
“ ดีนะ.... ที่มีฟรอยมาช่วยเป็นลูกมือ ไอ้ลูกชายแม่นะ... มันไม่เคยช่วยแม่หรอก คอยกินอย่างเดียว”
แม่พูดติดตลก
“ โห.... เอาใหญ่เลยนะ ก็ผมทำไม่เป็นนี่ครับ ” พี่ฉินรีบพูดแก้ตัว
“ แกหนะ... มันสบายจนเคยตัว งานบ้านงานเรือนไม่ได้เรื่องสักอย่าง ” แม่พูด
“ ก็นี่ผมก็หาคนมาทำให้แล้วไงครับ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับหันมายิ้มกรุ้มกริ่มกับผมที่กำลังหั่นผักอยู่
“ ฟรอยก้อย่าไปยอมพี่เค้ามากนักรู้มั้ย ” แม่หันมาพูดกับผม
“ โอ้โห.... เหลือใครเป็นพวกผมมั่งเนี่ย เอ้ออ.... ผมมันไม่ดี ” พี่ฉินพูดน้อยใจ
“ ไม่ต้องมาน้อยอกน้อยใจเลยแก.... ไปอาบน้ำอาบท่าไป ” แม่พูด
“ ฟรอยครับ.... ไปอาบน้ำกับพี่มั้ย ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
“ ไม่ต้องเลย.... ฟรอยเค้าจะอยู่ช่วยแม่ ไปๆมัวพูดมากอยู่ได้ ” แม่พูด ผมหันไปมองพี่ฉินแล้วก็อดยิ้มไปกับท่าทางไม่ค่อยพอใจของพี่ฉินไม่ได้
“ ครับ.... คุณนาย สั่งจริง.... ไปก็ได้ ” พี่ฉินพูดก่อนที่จะเดินออกไป
“ เป็นไงมั่งฟรอย ทำงานกับพี่ฉิน เค้าใช้งานเราหนักไปมั้ย ” แม่พูด
“ ไม่หรอกครับแม่ ผมก็ทำไปตามหน้าที่ที่จะต้องทำล่ะครับ ” ผมพูด
“ ถ้าพี่ฉินเค้าใช้งานเราหนักไปก็มาบอกแม่นะลูก เจ้านี่เค้าบ้างาน... ” แม่พูด
“ ครับแม่ ” ผมพูดรับคำ
“ แล้วพี่บอสละลูก ” แม่พูด
“ พี่บอสก็ดีครับแม่ พี่เค้าคอยดูแลผมตลอดเลย เมื่อก่อนผมมีปัญหาอะไรพี่บอสก็คอยช่วยตลอด ”
ผมพูด
“ ดีจ้ะ... บอสเค้าน่ารักนะนิสัยก็ดี ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดี ไม่รู้ว่ามาสนิทกับลูกชายแม่ได้ยังไง” แม่พูดและหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ ครับ ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มไปกับคำพูดของแม่
“ ฉินเอ้ย.... เดี๋ยวโทรชวนบอสมากินข้าวด้วยกันสิลูก ” แม่ตะโกนบอกพี่ฉิน
“ ครับแม่ ” พี่ฉินตะโกนกลับมา
“ แล้วนี่พี่บอสเค้ารู้เรื่องลูกกะพี่ฉินรึยัง ” แม่พูด
“ ผมสองคนก็ยังไม่ได้บอกใครนะครับ แต่ผมว่าพี่บอสเค้าน่าจะพอดูออก ” ผมพูด
“ อืม.... แม่ก็กังวลว่าบอสเค้าจะคิดยังไงรึป่าว ” แม่พูดออกมาด้วยท่าทางกังวลเล็กๆ
“ ครับ.. ” ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่ายังไงก็เลยตอบออกไปแค่... ครับ
“ แต่แม่ว่า... บอสคงไม่มีอะไรหรอก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ” แม่พูด
“ ครับแม่ ” ผมพูด
“ ส่วนตัวแม่... แม่ไม่ว่าอะไรหรอกนะลูก เพราะแม่รู้ดีว่าเราสองคนเป็นคนยังไง เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรือทำให้ใครเดือดร้อน แต่ต่างคนก็ต่างความคิด เราไม่รู้ว่าเค้าจะมองยังไงหรือคิดยังไงกับเรา ลูกก็ต้องระวังๆตัวกันหน่อยรู้มั้ยลุก แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดว่าแคร์คนอื่นเกินไปจนมันมากกว่าคนที่เราควรจะแคร์ ” แม่พูดอย่างเป็นห่วง
“ ขอบคุณครับแม่ ” ผมพูด
“ เดี๋ยวแม่ทำแกงส้มเพิ่มอีกอยางดีกว่า เพราะบอสเค้าชอบกิน ส่วนแกงเขียวหวานนี่ให้ฉินมัน ”
แม่พูดพร้อมกับเดินไปที่ตู้เย็น
“ พี่ฉินชอบกินแกงเขียวหวานเหรอครับ ” ผมพูด
“ ใช่จ้ะ.... แกงเขียวหวานไก่นี่ของโปรดเค้าเลยหละ ” แม่พูด
“ ส่วนของโปรดฟรอย.... น้ำพริกกะปิ เดี๋ยวแม่ตำให้สุดฝีมือเลยนะ ” แม่พูด
“ แม่นี่รู้ใจทุกคนเลยนะครับ ” ผมพูด
“ ต้องรู้สิจ้ะ.... จะได้ทำให้กินถูก.... จะได้เจริญๆอาหารกัน ” แม่พูด
“ ฟรอย... เดี๋ยวลูกทยอยๆยกกับข้าวไปตั้งโต๊ะป่ะ ” แม่พูด
“ ครับแม่ ” ผมพูดและทยอยยกกับข้าวไปตั้งโต๊ะ ซึ่งตอนนั้นพี่ฉินก็เดินเข้ามาพอดี
“ หอมจัง.... มีไรกินมั่งเนี่ย ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเดินมาที่โต๊ะกินข้าว
“ เยอะแยะเลยครับ มีแกงเขียวหวานของโปรดพี่ด้วย ” ผมพูด
“ รู้ได้ไงเนี่ย... แม่บอกเหรอ ” ผมฉินพูดอย่างรู้ทัน
“ ใช่ครับ..... ” ผมพูด
“ กินข้าวเยอะแน่เลยวันนี้ เดี๋ยวได้อ้วนกันพอดี ” พี่ฉินบ่นๆ
“ ไม่ต้องบ่น มาช่วยผมจัดโต๊ะเลย.... ” ผมพูด
“ ครับๆ.... ” พี่ฉินพูด
“ ก็อกๆๆๆ ” เสียงแคะประตูห้อง
“ สงสัยไอ้บอสจะมาแล้ว ” พี่ฉินพูด
“ งั้นเดี๋ยวผมไปเปิดให้นะ ” ผมพูดแล้วเดินไปเปิดประตู
“ พี่มาช้าไปรึป่าวเนี่ย ” พี่บอสพูดด้วยท่าทางเกรงใจ
“ ไม่หรอกครับ... เพิ่งจัดโต๊ะเองครับ ” ผมพูด
“ อ่อครับ..... แล้วแม่ล่ะ ” พี่บอสพูด
“ อยู่ในครัวครับ...ง มาผมช่วยถือ ” ผมพูดพร้อมกับดึงถุงผลไม้ที่พี่บอสหิ้วมา
“ ครับ ” พี่บอสพูด
พอผมกับพี่บอสเดินเข้าไปที่โต๊ะกินข้าว พี่ฉินก็ตะโกนเสียงดังว่า
“ แม่.... ลูกรักแม่อีกคนนึงมาแล้วนะ ” พี่บอสยิ้มก่อนที่จะพูดว่า
“ ไอ้ขี้อิจฉา ” ผมก็แอบอมยิ้มไปกับท่าทางหยอกกันของทั้งคู่
“ มาแล้วเหรอลูก ” แม่พูดพร้อมกับยกกับข้าวที่เหลือออกมา
“ ครับแม่... ผมเอาผลไม้ติดมาด้วยครับ จะได้เอาไว้ล้างปากกัน ”
พี่บอสพูดพร้อมกับเดินเข้าไปแย่งถาดกับข้าวที่แม่ถือเข้ามา
“ น่ารักจริงๆเรา ” แม่พูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ นี่แม่ทำแกงส้มของโปรดเราด้วยนะ ” แม่พูด
“ ขอบคุณครับแม่... ผมไม่ได้กินแกงส้มฝีมือแม่นานแล้ว ”
พี่บอสพูดพร้อมกับยกกับข้าววางลงบนโต๊ะกินข้าว
“ ฟรอยเอาผลไม้ไปล้างนะลูก เดี๋ยวแม่จัดการเอง ” แม่หันมาพูดกับผม
“ ไม่ต้องหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมจัดการเอง แม่กับฟรอยๆไปอาบน้ำกันเถอะครับ ”
พี่บอสพูด
“ เอางั้นก็ได้ลูก ” แม่พูด
“ ฟรอยเอาวางไว้นี่แหละ... เดี๋ยวพี่จัดการเอง ” พี่บอสหันมาพูดกับผม
“ ครับ ” ผมพูด
“ ไอ้ตัวดี... ช่วยบอสเค้าด้วยนะ ” แม่หันไปทำเสียงดุใส่พี่ฉินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
“ ครับ..... จริงๆเรียกผมว่าหมาหัวเน่าก็ได้นะ ”
พี่ฉินพูดแบบน้อยใจเล็กๆทำเอาทุกคนหัวเราะกันออกมา
***************************************************************************
“ คืนนี้นอนกับพี่นะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง
“ ผมไม่ได้ติดเสื้อผ้ามาเลย ” ผมพูดขณะที่สายตามองออกไปที่ห้องของตัวเองจากระเบียงห้องพี่ฉิน
“ เอาเสื้อผ้าพี่ไง..... พรุ่งนี้จะได้ไปส่งแม่ด้วยกันแต่เช้า ” พี่ฉินพูดแล้วหอมแก้มผม
“ เออใช่.... พรุ่งนี้ต้องไปส่งแม่ด้วยกัน ” ผมพูดออกมาเพื่อทวนความจำตัวเอง
“ ถ้างั้นคืนนี้นอนด้วยกันนะ ฟรอยจะได้ไม่ต้องไปๆมาๆ ”
พี่ฉินพูดพร้อมกับบดเบียดแก่นกายของพี่ฉินที่เริ่มขยายตัวขึ้นแนบทับกับก้นผม
“ เป็นห่วงผมหรือเป็นห่วงตัวเองกันแน่เนี่ย.... ” ผมพูดพร้อมกับหันมายิ้มให้พี่ฉิน
“ ฮ่าๆๆๆๆ..... ก็ทั้งสองอย่างหละครับ ” พี่ฉินพูด
“ จริงๆแล้วห้องผมก็ไม่ได้อยู่ไกลห้องพี่เลยนะ ” ผมพูดพร้อมกับมองไปที่ห้องตัวเอง
“ เหรอครับ... พี่ก็ไม่เคยไปห้องฟรอยซะที เคยแต่ไปรับที่หน้าปากซอย ” พี่ฉินพูด
“ ผมอยู่ใกล้พี่กว่าที่พี่คิดอีก ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ ยังไงเหรอครับ... ” พี่ฉินพูด
“ พี่คิดว่าอพาร์ทเม้นผมอยู่ตรงไหนล่ะ” ผมพูด
“ ก็เข้าซอยตรงใกล้ๆบีทีเอส แล้วก็........... เข้าไปในซอยนั้นไง ” พี่ฉินพูด
“ ฮ่าๆ.... พี่ฉินมองไปข้างหน้าดิ พี่เห็นห้องฝั่งตรงข้ามนั่นป่ะ ” ผมพูด
“ ครับ.... ทำไมเหรอครับ ” พี่ฉินพูด
“ นั่นแหละ.... ห้องผม ” ผมพูด
“ จริงดิ...... อำพี่รึป่าวเนี่ย ” พี่ฉินพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
“ จริงครับ ” ผมพูด
“ ทำไมอยู่ใกล้กันขนาดนี้อ่ะ พี่ไม่เคยเห็นรู้เลย ” พี่ฉินพูด
“ ก็พี่ไม่ได้สนใจจะรู้นี่ครับ ” ผมแกล้งพูดตัดพ้อ
“ ใครว่าไม่สนใจ พี่จะไปรับไปส่งตั้งนานแล้ว ฟรอยก็ไม่ยอม.... ให้แต่ไอ้บอสไปรับไปส่ง ”
พี่ฉินพูดน้อยใจมั่ง
“ ก็ผมเห็นว่าพี่ต้องไปส่งพี่พิงค์บ่อยๆ ก็เลยอยากกวนนี่ครับ ” ผมพูด
“ แล้วฟรอยรู้นานรึยังว่าเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ ” พี่ฉินพูด
“ รู้ตั้งนานแล้วล่ะครับ ” ผมพูด
“ ตลกจังเลยเนอะ.... ว่าเราอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง ทางเข้าข้างหน้าคนละทางแต่ด้านหลังกลับหันชนกันใกล้ๆแค่นี้ ” พี่ฉินพูด
“ ครับ.... บางทีคนเราได้แต่มองไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันมามองข้างสักครั้ง บางที... ใครบางคนเค้าอาจจะมองหรือวิ่งตามเราอยู่ได้ ” ผมพูด เพราะในความคิดกลับนึกไปถึงพี่โฟน
“ เรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้วเราก็ยอมรับมันซะเถอะนะ เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำคอยสอนเราก็แล้วกัน ” พี่ฉินพูดพร้อมกับกอดผมแน่นขึ้น พี่ฉินคงรู้ว่าผมคงกำลังนึกถึงเรื่องในอดีตบางเรื่อง
“ อยู่นี่กันนี่เอง ” พี่บอสเดินเข้ามา ทำให้ผมกับพี่ฉินผละออกจากกัน
“ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ ” พี่บอสพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ เออ... ว่าไงว้ะ ” พี่ฉินพูด
“ พอดีกูมีไรจะคุยกะเมิงหน่อย... แต่เอาไว้ก่อนก็ได้ ” พี่บอสมองหน้าผมก่อนที่จะพูดออกมา
“ พวกพี่คุยกันตามสบายเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปห้องแม่ ” ผมพูดพร้อมกับเดินออกมา
“ งั้นพี่ขอเวลาสักเดี๋ยวนะ ” พี่บอสหันมาพูดกับผมก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากห้อง
“ ครับ... ไม่เป็นไรครับพี่บอส ตามสบายครับ ” ผมพูดแล้วเดินออกไป
**********************************************************************
“ เป็นอะไรรึป่าวครับพี่ฉิน ” ผมพูดขณะที่ร่างกายของเราทั้งคู่เปลือยเปล่าหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ
“ ไม่มีอะไรหรอกครับ ” พี่ฉินพูดทั้งที่ยังนอนเอามือก่ายหน้าผาก
“ เหนื่อยเหรอครับ ” ผมพูด
“ ก็นิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ” พี่ฉินพูด
ผมรู้สึกว่าพี่ฉินเริ่มแปลกๆไปหลังจากที่คุยกับพี่บอส พี่ฉินดูครุ่นคิดอะไรอยู่เกือบตลอดเวลา
เรื่องที่พี่บอสมาคุยกับพี่ฉินคงเป็นเรื่องที่ทำให้พี่ฉินเป็นแบบนี้ มันคงเป็นเรื่องซีเรียสเรื่องนึง
ซึ่งผมไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไร ในส่วนของผมเอง ผมก็ไม่ได้อยากรู้หรอกครับแต่ผมแค่ไม่อยากเห็นพี่ฉินเครียดๆหรือมีท่าทีไม่สบายใจแบบนี้ อย่างน้อยก็ระบายหรือปรึกษาพูดคุยกับผมบ้างก็ยังดี
“ จริงเหรอครับ.... ผมว่าพี่น่าจะเรื่องไม่สบายใจนะครับ ” ผมพูด
“ ก็ใช่นะ.... แต่พี่ไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ เอาไว้พี่เล่าให้ฟังนะ ” พี่ฉินพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอด
“ ครับ.... ผมก็ไม่ได้อยากรู้มุกเรื่องหรอกครับ แต่ผมเป็นห่วง ” ผมพูด
“ ขอบคุณนะครับ...... ที่อยู่ข้างๆพี่ ” พี่ฉินพูดและหอมที่ขมับผม
“ ผมก็ชอบคุณนะครับที่พี่อยู่ข้างๆผม ” ผมพุดแล้วหอมแก้มพี่ฉิน
“ ไม่ว่าจะยังไงอย่าทิ้งพี่ไปไหนนะครับ ” พี่ฉินพูด เสียงนั้นเจือปนไปด้วยความกลัว
มันเป็นความกลัวของคนที่เคยสูญเสีย
“ ครับ... ผมไม่ทิ้งพี่ไปไหนหรอกครับ....... ” ผมพูด
หากแต่คืนนี้ เป็นอีกคืนอันแสนอบอุ่นและมีความสุขอีกวันในชีวิต
คนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ว่าจะ.....................................................................
รวยหรือจน สวยหรือหล่อ หรือแม้จะขี้เหร่ ไม่ว่าใครทั้งนั้น ก็หวังที่จะมีความสุข
และตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากว่าผมกำลังมีความสุข
“ สุขที่ได้รักและมีคนรักอยู่ข้างกาย ”
สายฝนภายนอกโปรยปรายบางเบาคล้ายปุยนุ่น เหมือนเป็นกาลแห่งการสั่งลาฤดูกาล
เวลาดำเนินผ่านพ้นไป............ จากปลายฝนย่างกรายสู่ต้นหนาว
.......... ฤดูกาลแห่งความเหงาและหว้าเหว่ หากขาดไออุ่นรักจากคนข้างกาย
................. แต่กลับสุดแสนอบอุ่น หากได้คลอเคล้ากอดก่ายแลกรับไออุ่นจากคนข้างกาย
ฤดูหนาวที่กำลังเคลื่อนตัวมาถึง จะพัดพาสิ่งใดมาบ้าง
......................................... การพบพาน หรือ พลัดพราก .........................................
ติดตามตอนหน้า
########################################################
-
ดูเป็นลางยังไม่รู้ :เฮ้อ:
-
มาจองก่อนเดี่ยวตามไปอ่าน
อิอิ
-
เป็นอะไรกันป่าวเนี่ย
ดุเครียดๆๆ
-
ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆแน่เลยอะ ฉินถึงเครียดขนาดนี้
-
อะไรจะเกิดก็ช่าง ถ้าสองคนมีความเข้าใจ
และไว้ใจซึ่งกันและกัน
เป็นกำลังใจให้นะครับ กร ยังไงก็ติดตามอยู่เสมอ
+1 ให้ด้วยน้า :กอด1:
-
กดดัน...อีกแล้ว
ความรู้สึก....ซัดกระหน่ำ....ซ้ำเติม
ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน
ฤดูร้อน....เศร้า
ฤดูฝน.....เหงา
ฤดูหนาว....ทั้งเหงา ทั้งเศร้า
แล้วมันยังจะเหลือฤดูไหน ไว้ให้เราเหงา เศร้าอีกล่ะ
เฮ้อ.....ฤดู กับ ความเหงา เศร้าด้วย
:กอด1: ขอบคุณครับ น้องกร จ๊วบบบบบบบบบ หุหุ
-
ต้องเกี่ยวกับอุบัติเหตุของพี่ฉินกับพี่โฟนแน่เลยอะ
-
ทิ้งประเด็นไว้คิดอีกแล้ว
:serius2:
ลุ้นกันจริงๆ
-
แวะมาทักทายครับ.....
เหนื่อยครับ เหนื่อยมากๆๆ ช่วงที่หาบไปจวบจนตอนนี้งานเยอะมากๆเลยครับ
ขอโทษจริงๆที่ไท่ได้ลงเรื่องให้อ่านกัน ผมยังพิมพ์ค้างไว้อยู่เลยครับ
แล้วจะรีบเคลียเอามาลงให้อ่านกันนะครับ
ขอบคุณสำหรับคนที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะครับ
-
^^
จิ้มกร สบายดีหรือเปล่า งานเยอะมาก ๆ
ก็ระวัง รักษาสุขภาพบ้างนะครับ เป็นห่วง
ว่างเมื่อไหร่ก็มาต่อนะครับ รอได้ :กอด1:
-
มีงาน....ก็มีเงิน
อย่ามัวเพลิน...จนลืมคนอ่านล่ะ
:กอด1: น้องกร สู้ๆๆๆๆๆๆ --- คงจะผอมลงเยอะล่ะซิ เราน่ะ :L2:
-
สู้ๆนะครับผม เป็นกำลังใจให้ครับ :L2:
-
สู้ๆๆๆๆๆนะคับ
-
รออยู่นะครับ
:oo1:
มาเร็วๆเน้อ!!!!!
-
มาแล้วววววววววววววววว...
มาแล้วววววววววววววววววววววววววว คร้าบ....
มาพร้อมกะตอนใหม่ครับ พิมเสร็จตั้งกะเมื่อคืนตอนตี 2 แฮ่ ๆ.... วันนี้เลยมาทำงานสายเลยอ่า :serius2:
ขอบคุณที่ยังติดตามและรออ่านเรื่องของ นักเขียนล่องหนอย่างผม ที่มาๆหายๆ ขอบคุณจริงๆครับ
เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยแล้วกันครับ.......
PART II : ความโหดร้ายของฤดูหนาว....
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
เค้าว่า... โลกนี้มันกลม ( -_-)
นับจากที่เราใช้คำว่าแฟน....... ผมบอกได้เลยครับว่าผมมีความสุขมาก และคนที่ผมรักก็รักฟรอยด้วย
ผมรู้สึกว่าแต่ละวัน แต่ละวินาทีของผม มีความหมายมากกว่าทุกวัน
แม้ภายในใจของผมจะมีความกังวลเล็กๆอยู่กับเรื่องนั้น.............................
“ เรื่องที่ไอ้บอสมาคุยกะผมเรื่องฟรอย ”
แต่ในเมื่อผมยังไม่รู้ว่ามันจริงรึป่าว?? ผมก็ยังไม่อยากจะตีตนไปก่อนไข้ คงต้องรอให้ไอ้บอสช่วยสืบให้แน่ใจอีกที ตอนนี้มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน
แต่ผมก็ยังอดที่จะกลัวไม่ได้... ผมกลัว..... กลัวว่าผมจะเสียคนที่ผมรักไปอีก
ผมไม่อยากเสียฟรอยไป.................... ใจของผมไม่เข้มแข็งพอที่จะเสียคนที่ผมนักได้อีกแล้ว
ในตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผมก็จะขอใช้เวลาทุกนาทีของเราให้มีความหมายมากที่สุด และก้ได้แต่หวัง..... ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
“ มันอาจจะเป็นเพียงที่น่าตาคล้ายกัน ”
การที่เราได้เห็นคนที่เรารักก่อนหลับตานอน และตื่นขึ้นมาลืมตามองเห็นเค้าเป็นคนแรก
ได้รับไออุ่นจากเค้ายามที่เราหลับ
หากคุณเคยได้รับ.........
คุณจะรู้เอง................. ว่ามันมีความความสุขมากแค่ไหน
“ ตื่นได้แล้วครับ.... เด็กขี้เซา ” ผมปลุกคนข้างๆให้รู้สึกตัว
“ หนาวจังครับ.... ไม่อยากลุกจากที่นอนเลย ” ฟรอยบิดตัวนิดหน่อยก่อนที่จะสวมกอดผมแน่นขึ้น
“ ขี้เซาจริงๆเลย ไปเหนื่อยอะไรมาเนี่ย ” ผมแกล้งพูดแซวฟรอยแล้วหอมที่ที่ข้างแก้ม
“ ก็เพราะใครล่ะ.... ” ฟรอยพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ ก็มันอดไม่ได้นี่คร้าบ...... ” ผมพูดอย่างเอ็นดูคนที่อยู่ในอ้อมกอด
“ อย่างงี้ทุกทีเลย.... ” ฟรอยพูดบ่นๆ
“ งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ..... เดี๋ยวสาย ” ผมพูดก่อนที่จะลุกขึ้นไปอาบน้ำ
“ อาบเสร็จมาปลุกผมนะครับ ” ฟรอยพูดแล้วก็ม้วนตัวเองเข้าไปผ้าห่ม
ลมหนาวภายนอกพัดมาทำให้กระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ระเบียงดังด้วยเสียงที่ฟังแล้วรู้ลึกลื่นหู
อากาศสบายๆแบบนี้ก็ช่วยให้รู้สึกดีไปอีกแบบ ดูเหมือนว่าหน้าหนาวคราวนี้ กรุงเทพจะหนาวกว่าปีก่อนๆ ทำให้ค่อยได้รู้สึกถึงความเป็นฤดูหนาวหน่อย
หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลากกระเป๋าของผมกับฟรอยออกมาเตรียมไปที่หน้าประตูก่อนที่จะเดินไปปลุกฟรอยที่เตียง
“ ตื่นได้แล้วครับ เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะคอยนะ ” ฟรอยบิดขี้เกียจสองสามทีหลังจากลุกขึ้นแล้วก็เดินเข้าไปอาบน้ำแต่โดยดี
ผมยุ่งๆกับหน้ายับๆเวลาตื่นนั่น มองแล้วก็ดูน่ารักดีครับ.....................
“ มาถึงนานรึยังว้ะ......... ” ผมทักไอ้บอสที่กำลังเดินดูของอยู่เรื่อยเปื่อย
“ สักพักว่ะ ” ไอ้บอสหันมาพูด
วันนี้เราจะไปถ่ายทำหนังโฆษณากันครับ ก็งานของไอ้คิวนั่นแหละครับ Location ที่จะใช้ถ่ายทำก็เป็นทุ่งดอกไม้ที่เชียงใหม่แล้วก็แม่ฮ่องสอนครับ แล้วก็อาศัยทิวทัศน์ที่นั่นเป็นวิวในการถ่ายทำครับ
“ กินอะไรมารึยังว้ะ ” ไอ้บอสถามขึ้น
“ ยังเลยว่ะ... เมิงล่ะ ” ผมพูด
“ เหมือนกันว่ะ.... ตื่นก็รีบมาเลย ” ไอ้บอสพูด
“ ไอ้คิวกะคุณเจนยังไม่ถึงเหรอว้ะ ” ผมพูดพลางมองนาฬิกาที่ข้อมือ
“ ยังว่ะ... กูว่างั้นไปหาอะไรกินรองท้องกันหน่อยดีกว่าว่ะ ” ไอ้บอสพูดเสนอความคิด
“ ฟรอย... หิวมั้ย ” ผมหันไปถามฟรอยที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ ก็เริ่มๆหิวแล้วครับ ” ฟรอยพูด
“ งั้นไปหาอะไรกินกันป่ะ ” ผมพูด
“ ฟรอยอยากกินไร ” ไอ้บอสพูดขึ้น
“ อะไรก็ได้ครับพี่ ” ฟรอยตอบ
“ เอาใจแฟนกูจังนะ ” ผมพูดหยอกไอ้บอส
“ ไอ้เฮี้ยเอ๊ย...... อุตส่าจะคิดนะเมิง คนที่เมิงน่าจะหึงนะ มาโน้นแล้ว ” ไอ้บอสพูดพลางพยักเพยิดไปที่ไอ้คิวกับคุณเจนที่กำลังเดินมา
“ ตัวมารกูมาแล้ว ” ผมพูดอย่างรู้สึกเซ็งๆ
“ คิดมากนี่พี่ฉิน ไม่มีอะไรหรอก ” ฟรอยพูด
“ โทษทีนะค๊ะที่มาช้า เจนสายเองหนะค่ะ ” คุณเจนพูดอย่างเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมก็เพิ่งถึงกัน ” ผมพูด
“ รอนิดรอหน่อยก็คงไม่ตายหรอกมั้งครับ ไหนๆผมก็เป็นลูกค้า” ไอ้คิวพูดอย่างกวนตีน
“ ครับ... คุณลูกค้า งั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณลูกค้าไปทานอาหารเช้านะครับ ” ผมจงใจพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ ดีครับ.... เชิญเลย ” ไอ้คิวพูดพร้อมกับผายมือให้ผมออกเดินนำหน้า
“ ทานอะไรกันดีครับคุณเจน ” ผมหันมาถามคุณเจน
“ เจนทานอะไรก็ได้ค่ะ แต่ขอเป็นมื้อเบาๆก็พอ ” คุณเจนพูด
“ ผมว่านั่งร้านกาแฟดีกว่าครับ สบายๆดี ” จู่ๆไอ้คิวก็พูดเสนอความคิดขึ้นมาครับ ไม่ใช่สิไม่ใช่การเสนอความคิด เป็นการบังคับมากกว่าเพราะมันเดินนำลิ่วไปในร้านแล้ว
“ ทานได้มั้ยฟรอย ” ผมหันมาถามฟรอยที่ยืนงงๆอยู่
“ ได้ครับ ผมกินง่ายอยู่แล้ว ” ฟรอยพูด
ผมไม่รู้ว่าคิดมากไปรึป่าว แต่ผมรู้สสึกว่าฟรอยดูเงียบๆไป เหมือนจะคิดอะไรในใจ
“ ไอ้บอส......... เดี๋ยวเมิงตามคุณเจนกับไอ้คิวเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวกูกับฟรอยจะไปเข้าห้องน้ำก่อน ”
“ เออ... ได้ๆ ฟรอยระวังตัวนะ เดี๋ยวไอ้ฉินมันจะลากฟรอยเข้าไปทำอะไรในส้วม ” ไอ้บอสพูดแซว
“ ไอ้เฮี้ยนี่.... ปากวอนตีนจริงนะเมิง ” ผมด่าไอ้บอสขำๆ
“ เอ๊า.... ก็เห็นเมิงหื่นๆ ” ไอ้บอสพูดทั้งที่ยังหัวเราะอยู่
“ กูไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มหันไปทางฟรอย
หลังจากที่เราเดินออกมาไอ้บอสผมก็พูดขึ้นว่า
“ เป็นอะไรรึป่าว ”
“ ไม่นี่ครับ ทำไมเหรอครับ ” ฟรอยตีหน้านิ่งพร้อมกับพูดออกมา
“ เหรอ.... แต่พี่ดูเหมือนว่าฟรอยมีอะไรนะ คิดอะไรอยู่เหรอครับ ” ผมถามออกมาด้วยความรู้สึกกลัวๆ ผมกลัวว่าฟรอยจะรู้ว่าผมกลัวอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งมันก็คือเรื่องนั้น เรื่องที่ไอ้บอสคุยกับผม
“ ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าพี่คิดอะไรอยู่ ” ฟรอยถามกลับมาด้วยความสงสัย
“ ไม่มีอะไรนี่ ” ผมแสร้งพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
“ พี่ไม่บอกผมก็ไม่เป็นไรครับ ” ฟรอยพูดด้วยหน้านิ่งๆแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป
การกระทำนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ไม่ชอบการที่ตัวเองโดนใครเดินหนี
มันเหมือนว่าเราเป็นน่ารังเกียจ มันเหมือนการถูกทิ้ง แต่จะให้ผมทำยังไงได้ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันเทท็จจริงยังไง หรือเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ หรือถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
ผมเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่าผมจะกล้ายอมรับความผิดนี้กับฟรอยได้มั้ย
“ เป็นอะไรกันว้ะ ฟรอยไม่ยอมเมิงเหรอ ” ไอ้บอสถามขึ้นหลังจากที่ผมกับฟรอยเดินมาที่โต๊ะ
“ ไอ้เฮี้ยนี่.... ยังจะกวนตีนอีกนะ ” ผมพูดออกไป
“ ทำไมเหรอว้ะ ทะเลาะอะไรกัน ” ไอ้บอสพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าผมกับฟรอยสลับกันไปมา
“ ไม่มีอะไรหรอกครับพี่บอส ” ฟรอยจงใจพูดกระแทกทั้งผมทั้งไอ้บอส
“ ฟรอยโกรธไอ้ฉินเหรอ ” ไอ้บอสมองหน้าผมก่อนจะพูดออกมา
“ ป่าวหรอกครับ ผมคงอยากรู้อะไรมากไปมั้ง เลยหงุดหงิดนิดหน่อย ” ฟรอยพูด
“ เรื่องบางเรื่องรู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ บางทีรู้แล้วยังมานึกเสียใจเลยที่ได้มารับรู้อะไรที่มันไม่ควรจะรู้ ” ไอ้บอสพูด ทำเอาฟรอยเงียบไปพักใหญ่
ถ้าผมเป็นฟรอยผมก็คงอยากรู้ เพราะผมยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กวนใจผมตลอดตั้งแต่วันที่ไอ้บอสมาคุยกับผม ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่อยากรับรู้เรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันยังจะไม่แน่ชัด แต่ความกลัวนี่แหละครับที่ทำให้ใจว๊าวุ่นและหวาดระแวง
กลัว..... ว่าคนคนนั้นจะเป็นเดียวกัน
“ ถ้าผมบังคับใจตัวเองไม่ให้อยากรู้ได้ ผมคงไม่เป็นแบบนี้หรอกครับ ” ฟรอยพูด
“ สักวันที่จะบอกฟรอยเองนะครับ ” ผมพูดเพื่อพยุงความรู้สึกของฟรอยเอาไว้ ไม่ว่าเรื่องนี้มันจะจริงหรือแค่บังเอิญ ผมก็ไม่อยากให้มันมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“ แต่ผม............................... ” ก่อนที่ฟรอยจะพูดอะไรออกมาเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“ ว่าไงครับคุณนาย ” ผมเอ่ยทักทายแม่
“ คุณฉินเหรอค่ะ ” เสียงสาวใช้ของแม่พูดขึ้นด้วยเสียงที่ร้อนรน
“ ว่าไงน้อย... มีอะไรรึป่าว ” ผมถามกลับไปด้วยความตื่นใจ
“ คุณหยกค่ะ.... ตอนนี้คุณหยกอยู่โรงพยาบาลค่ะ ” น้อยพูด
“ แม่เป็นอะไรน้อย ” ผมถามกลับไปด้วยความตกใจ ทำเอาไอ้บอสกับฟรอยหันมามองที่ผมอย่างสนใจ
“ คุณหยกแน่นหน้าอกค่ะ หายใจไม่ออก น้อยก็เลยรีบพามาที่โรงพยาบาล ” น้อยพูด
“ งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้อยู่โรงบาลไหน ” ผมพูด
“ โรงบาลชลค่ะ คุณฉินรีบมาเลยนะค๊ะ ” น้อยพูด
“ ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ” ผมพูดก่อนที่จะวางสาย
“ มีไรว้ะไอ้ฉิน ” ไอ้บอสถามขึ้น
“ แม่กูอยู่โรงบาลว่ะ” ผมพูดออกมาอย่างร้อนใจ
“ แม่เป็นอะไรพี่ ” ฟรอยพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ แม่แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก น้อยก้เลยรีบพาไปโรงบาล ” ผมพูด
“ งั้นเมิงรีบไปดูแม่เมิงเหอะ ทางนี้กูดูแลเอง ” ไอ้บอสพูด
“ ขอบใจว้ะ ” ผมพูดก่อนที่จะออกเดินมาแต่ฟรอยก็ดึงแขนผมไว้ก่อน
“ พี่ฉินผมไปด้วย ” ฟรอยพูด
“ ฟรอยไปกับไอ้บอสดีกว่า จะได้คอยช่วยมัน เรื่องแม่ไม่ต้องเป็นห่วง แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ”
ผมพูด
“ แต่ผมเป็นห่วงแม่ ” ฟรอยพูดด้วยแววตารื้นๆน้ำตาจะไหล
“ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวแม่ก็หาย ฟรอยไปทำงานนะ แล้วพี่จะตามขึ้นไป ” ผมพูดพร้อมกับจับมือฟรอยไว้แน่น คำพูดที่ออกไปเป็นการพูดปลอบใจผมเช่นกัน ผมรู้ว่าอาการโรคหัวใจของแม่หนักขึ้นเต็มที เพราะหลังๆมานี้แม่ต้องขึ้นมากทม.เพื่อหาหมอบ่อยขึ้น แต่แม่ก้ยังไม่ยอมที่จะผ่าตัด
“ ถ้าพี่ไปถึงโรงบาลแล้วโทรหาผมด้วยนะ ” ฟรอยพูด
“ ครับ... เดินทางดีๆนะ ” พบพูดพร้อมกับเอามือลูบหัวฟรอย
“ ครับ... พี่ก็ระวังๆนะ ” ฟรอยพูดก่อนที่ผมจะรีบวิ่งออกมาเรียกแท็กซี่
****************************************************************************
เค้าว่า... โลกนี้มันกลม ( -_-)*
“ มีเรื่องอะไรกันเหรอค่ะ เห็นคุณฉินวิ่งออกไป ” คุณเจนพูดขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาที่โต๊ะพร้อมกับคุณคิว
“ พอดีแม่มันเข้าโรงบาลกระทันหันหนะครับ มันเลยต้องรีบไปดู ” พี่บอสพูด
“ อุ๊ย... แล้วเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ” คุรเจนถามขึ้นด้วยท่าทางเป็นห่วง
“ แม่มันเป็นโรคหัวใจหนะครับ ” พี่บอสพูด
“ หวังว่าคงไม่เป็นอะไรมากนะค๊ะ ” คุณเจนพูดขึ้น
“ ครับ... พวกเราก็หวังอย่างนั้น ” พี่บอสพูดขึ้น
หลังจากพนักงานเอากาแฟกับของว่างที่สั่งไปมาเสิร์ฟเราก็คุยกันเรื่องงาน แต่ผมก้ไม่ค่อยได้สนใจบทสนทนานั้นเท่าไหร่ เพราะในใจเป็นแต่แม่และพี่ฉิน ผมอยากไปอยู่ข้างๆพี่ฉินในสถานการณืแบบนี้และอยากจะไปดูแม่ ผมอยากไปเห็นกับตาว่าแม่จะไปเป็นอะไร
“ ฟรอย... ทานหน่อยสิครับ ” คุณคิวพูดขึ้นหลังจากที่เห็นว่าผมนั่งเงียบๆไม่ค่อยทานอะไร
“ ผมทานไม่ค่อยลงหนะครับ ” ผมพูด
“ ทานอะไรหน่อยสิฟรอย ถึงมือหมอแล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ” พี่บอสพูด
“ ใช่ค่ะ.... ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ” คุณเจนช่วยพูดอีกคน
“ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ” ผมพูด
“ นี่ถ้างานเจนไม่เร่งนะ เจนคงบอกให้เลื่อนวันเดินทางแล้ว ” คุณเจนพูด
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ งานก็คืองาน ” พี่บอสพูด
หลังจากเรานั่งทานกันไปสักพักก้ได้เวลาขึ้นเครื่องครับ ตลอดเวลาคุณคิวจะแสดงท่าทางเป็นห่วงผมอยู่ตลอด แต่ในใจผมก็คิดถึงแต่แม่กับพี่ฉิน
พอเราเดินทางถึงเชียงใหม่ในช่วงบ่ายๆ เราก็เดินทางไปดูสถานที่ถ่ายทำกัน ซึ่งพวกทีมงานก็เดินทางมาเตรียมงานกันก่อนหน้านี้หลายวันแล้วเพื่อให้สามารถถ่ายทำได้ในวันที่พวกผมเดินทางมาถึง พี่บอสเองก็ต้องรับภาระหนักขึ้นเพราะว่าไม่มีพี่ฉินมาช่วย ผมเองก็ต้องพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อที่จะช่วยงานพี่บอสให้ได้มากขึ้น
“ พี่บอสคครับ ตรงนี้เดี๋ยวผมช่วยดูให้ครับ พี่ไปดูพวกสต๊าฟเถอะครับ ” ผมเดินเข้าไปหาพี่บอสที่กำลังคุยกับพี่กอล์ฟช่างกล้องเรื่องมุมที่ใช้ถ่าย
“ โอเคๆดีเลย กอล์ฟเดี๋ยวคุยกับน้องเค้านะ เจ้าของงานมาเองน่าจะคุยกันเข้าใจกว่า ” พี่บอสพูด
“ ได้พี่ ” พี่กอล์ฟพูด
ผมกับพี่กอล์ฟก็ช่วยกันดูในเรื่องของมุมก้องมาจะให้ออกมาเป็นยังไง พี่กอล์ฟเก่งมากเลยครับประสบการณ์โชกโชน พี่แกก็เลยเสนอความคิดมากมายมาให้ผมลองพิจารณาดูว่าชอบมั้ย เอาอันไหน ผมก็เลยพลอยได้ความรู้อะไรๆใหม่ๆไปใช้กับการคิดงานได้อีกเยอะเลยครับ
“ พี่กอล์ฟเก่งจังนะครับ ผมได้ความรู้เพิ่มอีกเพียบเลย ” ผมพูด
“ ไม่ขนาดนั้นหรอก ทำมาหลายปี.. ลองผิดลองถูกมาเยอะก็พอรู้อะไรบ้างก็เท่านั้นเอง ” พี่กอล์ฟพูดถ่อมตัว
“ ไม่พอรู้บ้างหรอกพี่ รู้เยอะเลยแหละ ” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างชื่นชม
“ มาชมอะไรกันแบบนี้ว้ะ ทำหน้าไม่ถูก ” พี่กอล์ฟพูด
หลังจากที่ผมสรุปเรื่องมุมกล้องกับพี่กอล์ฟเสร็จเรียบร้อยก็นึกถึงเรื่องแม่กับพี่ฉินขึ้นมาอีกครับ
เพราะพี่ฉินยังไม่โทรหาผมเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันมั่ง
ตอนนั้นก็เริ่มมืดแล้วครับ อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นครับคงเป็นเพราะว่าเรามาถ่ายทำกันบนเขาด้วย
ลมที่โกรกๆเย็นสบายเมื่อตอนบ่ายๆก็เริ่มเจือปนไปด้วยความหนาวเย็น จนทำให้ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน ผมเดินไปที่พื้นหินตรงริมผานั่งมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า
“ เป็นห่วงแม่กับพี่ฉินจัง...................... ” ผมคิดในใจ
“ เจ้านั่นยังไม่โทรมาอีกเหรอครับ ” เสียงคุณคิวพูดขึ้นด้านหลังผม ทำให้ผมต้องหันไปมองเจ้าของเสียงนั่นที่กำลังเดินเข้ามาแล้วลงนั่งข้างๆผม
“ ครับ ไม่รู้ว่าแม่อาการเป็นไงมั่ง ” ผมพูด
“ คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ อย่าเป็นห่วงไปเลย ” คุณคิวพูดอย่างเป็นห่วง แม้ว่าแสงจะสลัวใกล้มืด แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่เป็นห่วงนั่นของคุณคิว
“ ขอบคุณครับ ผมก็หวังอย่างนั้น ” ผมพูด
“ คงจะมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งกันสินะ ถึงได้เป็นห่วงมากขนาดนี้ ” คุณคิวพูดขึ้นทั้งที่สายตามองไปเบื้องหน้า
“ ครับ ” ผมพูด ภาพในสมองก็นึกไปถึงเรื่องราวต่างๆระหว่างผมกับแม่ แววตานั้นที่แม่มองผม ความรู้สึกที่แม่มอบให้ผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่มอบให้ผมล้วนแล้วแต่เข้ามาทดแทนในสิ่งที่ผมเคยขาดไป มันทำให้ผมเป็นคนที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ชีวิตผมไม่เคยได้มีคำว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของผมคือใคร แล้วเค้าอยู่ที่ไหน
ผมไม่เคยรู้ว่าความรักที่แม่มอบให้ลูก หรือความรักที่บูกมีให้แม่ มันเป็นอย่างไร
และแม่ ทำให้ผมรู้จักความรู้สึกเหล่านั้น
“ ไม่ต้องกังวลหรือกลัวไปหรอกนะ แม่เค้ารู้ว่าฟรอยรักเค้า เค้าไม่ทิ้งฟรอยไปไหนหรอก ” คุณคิวพูด คำพูดประโยคนี้ทำให้ผมนึกถึงพี่โฟน ใจผมมันแปล็บๆอีกครั้ง ความรู้สึกของการสูญเสียกลับมาทักทายหัวใจคล้ายกลัวว่าผมจะลืมว่าความรู้สึกนั้นเจ็บปวดแค่ไหน
“ ไม่เสมอไปมั้งครับ บางคนทั้งที่เค้ารู้ว่าเรารักเค้ามากขนาดไหน เค้ายังทิ้งเราไปได้เลย ” ผมพูด
“ เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเป็นเพราะความประมาทของไอ้นั่นต่างหาก ” คุณคิวพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์
คำพูดและท่าทางนั่นทำให้ผมตกใจ มันเป็นการแสดงความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
ซึ่งมันเป็นการสูญเสียที่ผมรู้จักดี ผมหันไปมองคุณคิวอย่างประหลาดใจ
“ เพราะมัน เพราะมันคนเดียว ” คุณคิวพูดอย่างอาฆาตแค้น
“ มัน............ คือใครเหรอครับ ” ผมพูดออกมาอย่างแปลกใจ
“ ฟรอยอย่ารู้เลย..... สักวันฟรอยก็จะรู้เอง ” คุณคิวพูดอย่างเป็นปริศนา
“ คุณพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก ” ผมพูด
“ ฮึฮึ...... แล้วนายก็จะรู้เอง ” คุณคิวหันมามองหน้าผมก่อนที่จะละสายตาไปเบื้องหน้า
“ คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ แล้วคนที่ผมรู้จักไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุณพูด ผมงงไปหมดแล้ว ” ผมพูดด้วยความไม่เข้าใจ
“ อย่าเพิ่งงงไปเลย หลังจากนี้ยังมีเรื่องไม่คาดฝันรอนายอยู่อีกเยอะ ” คุณคิวพูดยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ
“ คุณเป็นใครกันแน่ แล้วคุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ” ผมพูดขึ้นอย่างเริ่มโมโห ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตุ๊กตาหรือหมากสักตัวในกระดานที่มีการเดิมพันด้วยความรู้สึก..........ของการสูญเสีย
“ ไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ พี่ทำอะไรฟรอยหรอก ” คุณคิวพูด ผมยิ่งไดฟังยิ่งไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตรงหน้า
“ คุณต้องการอะไรกันแน่ ” ผมพูด
“ ถามหน่อยสิ ฟรอยกับเจ้านั่นคบกันนานรึยัง ” คุณคิวพูด
“ สักพักล่ะครับ ” ผมอตบไปอย่างชั่งใจ
“ แต่ท่าทางจะผูกพันกันมากนะ ลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้วเหรอ ” คุณคิวพูดพร้อมกับตั้งใจมองหน้าผมอย่างต้องการจะรับรู้ความรู้สึกอะไรบางอย่างภายในใจผม
“ คุณเป็นใคร ” ผมพูดอย่างกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ผมเริ่มไม่เข้าใจและเริ่มรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่คนทั่วไปที่เราเพิ่งรู้จักกัน จากสิ่งที่เค้าพูด เค้าจงใจแสดงออกให้ผมรู้ว่าเค้ารู้จักผมมาก่อนทั้งที่ผมไม่เคยรู้จักเค้า
“ อย่าเพิ่งตั้งคำถามอะไรในตัวพี่เลย รู้ไว้อย่างเดียวก็พอ ว่าพี่ไม่ได้มาร้าย ” คุณคิวยื่นมาใกล้ผมจนจมูกของเราแทบจะชนกัน ผมยอมรับว่าเค้าทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ แล้วคุณต้องการอะไร ” ผมพูด
“ ก็แค่มาทำให้อะไรๆมันถูกต้อง” คุณคิวพูด ทุกอย่างที่ผมถามไปมันเหมือนกับว่าผมไม่ได้รับคำตอบ ตอนนี้ผมกำลังงงไปหมดว่าคนตรงหน้าคือใคร
“ แต่ผมอยากรู้ว่าพี่เป็นใคร พี่รู้จักผมมาก่อนเหรอ ” ผมถามออกไปอย่างอยากรู้คำตอบ
“ ฮึฮึ.... อยากจังนะเจ๊หวี อีกไม่นานก้ได้รู้จักพี่เองหละครับ ” ทันทีที่ผมได้ยินผมหันไปมองหน้าคุณคิวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
เจ๊หวี........ คือฉายาในคณะของผม ซึ่งเป็นชื่อที่รุ่นพี่จะตั้งให้กับทุกคน
“ พี่คือ........................ ” ผมอ้ำอึ้งจนคุณคิวพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ เจ๊หวีนี่ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งน่ารักนะ มิน่าไอ้โฟนถึงหลงเจ๊หวีจัง.............. ”
ติดตามตอนหน้า.....................
###########################################################
-
^
^
จิ้มๆๆ
คิวเป็นใครเนี่ย ทำไมถึงรู้เรื่องของฟรอยด้วย
-
คุณคิวเป็นใคร
-
:serius2:
เหมือนจะเปิด....แต่ไม่เปิด
เหมือนจะปิด....แต่ก็ไม่ปิด
ตกลงจะเปิด หรือจะปิด เอาให้แน่ ไอ่พี่คิว
ตรูคนอ่าน ลุ้นจนตัวโก่งงงงงงงงง
:กอด1: กอดที่รัก ซักที ซักที ฮ่าฮ่า +1 ให้น้องกร ด๊วบบบบบ!!!!
-
เอาแล้วสิ.....
(ไม่มีคำบรรยายหรือข้อคิดเห็นใดๆ)
มาต่อ(เร็วๆก็ดี)ด้วยครับ ลุ้นสุดยอดเลย o13
-
อารายกันเนี่ยะ
ค้างง่ะ
ปมจะถูกคลายแล้วววว
-
มาต่อให้อ่านกันแล้วครับ......
สำหรับใครที่รู้สึกค้างคา หวังว่าตอนนี้จะช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้างนะ
ไปอ่านกันเลยนะครับ
********************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
[/b]
เส้นผม... บังภูเขา ( -_-)*
บทสนทนาเมื่อค่ำที่หน้าผานั่นยังก้องอยู่ในหัวของผม พร้อมกับคำถามมากมายตามมา
“ คุณคิว.... คุณคือใครกันแน่ ”
“ คุณมาที่นี่เพื่อต้องการอะไร ”
คำพูดของคุณคิวทำเอาผมใจหายอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังคำถามที่ตามมาอีกมากมาย จนทำให้ผมนอนไม่หลับ
อีกใจก็ยังคงเป็นห่วงแม่ เพราะพี่ฉินยังไม่มีการติดต่อใดๆกลับมา ผมโทรเข้ามือถือก็ติดต่อพี่ฉินไม่ได้เลย
ตื๊ด ๆๆ ๆๆ ตื๊ด ๆๆ ๆๆ ๆๆ
เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมรีบวิ่งไปดูที่โทรศัพท์ด้วยความร้อนใจหวังว่าคนที่โทรมาจะเป็นคนที่ผมรอคอยอยู่
“ พี่ฉิน... แม่เป็นไงบ้างครับ ” นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดออกไป ด้วยเพราะว่าเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาเป็น 02
“ แม่ปลอดภัยแล้วนะ ” พี่ฉินพูดด้วยเสียงรื้นๆและดูเหนื่อยอ่อน
“ เฮ้อออ.... ผมค่อยโล่งใจหน่อย ผมใจไม่ดีเลย โทรหาพี่ก็ติดต่อไม่ได้ ” ผมพูดอย่างคลายกังวล
“ โทรศัพท์พี่แบตหมดหนะครับ ” พี่ฉินพูด
“ เสียงพี่ดูเหนื่อยจัง กินอะไรบ้างรึยังครับ ” พูดถามฝ่ายตรงข้าม อันที่จริงตัวผมเองก็กินอะไรแทบไม่ลงเลย ทั้งเป็นห่วงแม่ห่วงพี่ฉิน แล้วก็เรื่องที่คุณคิวพูด
“ ยังเลยครับ... พี่กังวลจนกินอะไรไม่ลงเลย แล้วฟรอยล่ะครับ ” พี่ฉินพูด
“ กินไปหน่อยเดียวเอง ผมก็ทานอะไรไม่ค่อยลงครับ ” ผมพูดแล้วสมองก็พาลไปนึกถึงเรื่องคุณคิว
“ ต้องฝืนกินหน่อยนะ เดี๋ยวไม่มีแรงช่วยงานไอ้บอสนะ.... ” พี่ฉินพูดแซวผม
“ โอ้โห..... ไอ้เราก็อุตส่าเป็นห่วง ” ผมพูด
“ ว่าไงนะ..... พี่ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย ” พี่ฉินพูด
“ โห.... เราก็อุตส่าเป็นห่วง ” ผมพูด
“ อะไรนะ... ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย ” พี่ฉินพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะลำคอ
“ แกล้งกันนี่หว่า ” ผมพูด
“ ฮ่าๆ ๆ.... คิดถึงจังครับ อยากกอด................... ” พี่ฉินพูด
ผมยอมรับครับว่าประโยคที่ผมได้ยินทำให้ผมอายจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไป เพราะตัวผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับพี่ฉิน
“ แล้วฟรอยคิดถึงพี่บ้างมั้ย ” พี่ฉินพูด
“ คิดถึงสิครับ ” ผมพูดออกไปตามที่ใจผมรู้สึก
“ อากาศที่นั่นคงจะหนาวมากนะ ยิ่งตอนกลางคืนด้วย... นอนห่มผ้าหนาๆนะเดี๋ยวไม่สบาย ” พี่ฉินพูด
“ ครับ..... เป็นห่วงมากก็มากอดผมดิ ” ผมได้ที่หยอกพี่ฉินคืนบ้าง
“ โอ้โห.... เดี๋ยวนี้ปากดีนะ ฮ่าๆ ” พี่ฉินพูดอย่างอารมณ์ดี
“ ก็ผมไม่อยากให้พี่เครียดนี่..... ทั้งเป็นห่วงแม่เป็นห่วงผม พี่เองก้อย่าลืมห่วงตัวเองนะครับ ” ผมพูด
“ คร้าบ.... ที่รัก ” พี่ฉินพูด
“ เสร็จจากนี่แล้วผมจะรีบไปเยี่ยมแม่นะครับ ” ผมพูด
“ ครับ... ฟรอยเองก็ไม่ต้องกังวลอะไรนะ แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ” พี่ฉินพูด
“ ครับ ” ผมพูด
“ แล้วนี่ไอ้คิวมันมายุ่งอะไรกับฟรอยบ้างรึป่าว ” พี่ฉินพูด ผมเอาผมใจกระตุก ทั้งที่คุณคิวก็ไม่ได้ฉวยโอกาสหรือเกาะแกะอะไรกับผมมากนัก จะมีก็แต่เพียงเป็นห่วงนั่นนี่บ้าง แล้วใจผมก็พาลไปนึกถึงบทสนทนาที่หน้าผานั่น
ความกังวลบางอย่างก่อตัวขึ้นมาในใจอีกครั้ง พร้อมๆกับคำถามที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้
“ ฟรอย... เป็นอะไรรึป่าว เงียบเลย หรือว่าไอ้นั่นมันมายุ่งอะไร ” พี่ฉินพูดอย่างเป็นห่วง
“ ปะ.... ป่าวครับ ไม่มีไร ” ผมรีบพูดปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้พี่ฉินเป็นกังวล แม้ว่าในใจผมอยากจะปรึกษากับพี่ฉินอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าตอนนี้คงไม่เหมาะ เพราะพี่ฉินเองคงกังวลหลายๆเรื่องอยู่ กลับไปแล้วค่อยคุยกันและผมเองก็ตั้งใจว่า ก่อนที่จะกลับไปกรุงเทพผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าเค้าต้องการอะไร
“ แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร ” พี่ฉินพูด
“ ไม่มีอะไรจริงๆครับ ” ผมพูด
“ แต่เสียงฟรอยแปลกๆนะ ” พี่ฉินพูด
“ ผมหนาวหนะ ออกมาคุยที่ระเบียง ” ผมพูด
“ อ้าว... งั้นเข้าไปในห้องเลย อากาศมันเย็น เดี๋ยวไม่สบาย ” พี่ฉิยพูด
“ ครับๆ ” ผมพูดก่อนที่จะรีบเดินเข้ามาในห้อง เพราะอากาศข้างนอกค่อนข้างจะเย็นจริงๆ
“ เดี๋ยวรีบนอนได้แล้วนะ ห่มผ้าหนาๆด้วยนะ ” พี่ฉินพูดอย่างเป็นห่วง
“ ครับ พี่ก็หาไรกินด้วยนะ แล้วก็พักผ่อนด้วย ” ผมพูด
“ ครับ.... ” พี่ฉินพูด
“ งั้นเดี๋ยวผมจะนอนแล้วนะ ” ผมพูด
“ อ้อ... พี่ลืมบอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าไอ้เคนจะขึ้นไปช่วยนะ มันแวะมาเยี่ยมแม่เพิ่งกลับไปเมื่อกี๊นี้เอง ” พี่ฉินพูด
“ ครับ เห็นพี่บอสบ่นๆหาอยู่ ” ผมพูด
“ สงสัยจะเหงาปากอ่ะดิ ไม่มีคนให้ทะเลาะด้วย ฮ่าๆ ๆ” พี่ฉินพูดทำเอาผมหัวเราะไปด้วย เพราะสองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรก็เถียงกันเกือบตลอด
“ สงสัย ” ผมพูด
“ ไปนอนได้แล้วครับ คิดถึงนะ ” พี่ฉินพูด
“ คิดถึงเหมือนกันครับ ” ผมพูด
“ ฟรอยระวังๆไอ้คิวด้วยนะ ไอ้นี่มันไม่น่าไว้ใจ อย่าลืมล็อคห้องดีๆนะครับ ” พี่ฉินพูด
“ คร้าบ.... ไม่มีอะไรหรอก พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ” ผมพูดทั้งที่ในใจก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูดไปนัก
“ จ้า.... งั้นแค่นี้นะ ” พี่ฉินพูดก่อนที่จะวางสายไป
หลังจากวางสายกับพี่ฉินไป ในหัวของผมก็เริ่มคิดเรื่องคุณคิวอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ผมคิดแล้วคิดอีกย้อนไปย้อนมาอย่างไม่คิดจะหยุดหากไม่ได้รับคำตอบ
“ ออกมายืนตากลมอะไรตรงนี้เหรอครับ ” เสียงคนที่ผมกำลังนึกถึงดังขึ้นจากระเบียงห้องข้างๆ
“ มีเรื่องคิดนิดหน่อยหนะครับ ” ผมหันไปมองคุณคิวก่อนที่จะละสายตากลับมา
“ เรื่องที่ผมพูดเมื่อเย็นรึป่าวครับ ” คุณคิวพูด
“ ครับ... ผมอยากเข้าใจในสิ่งที่คุรพูดมากกว่านี้ ” ผมพูดพร้อมกับหันไปมองเค้าเต็มๆตา
“ อยากรู้เหรอครับ ” คุณพูด
“ ครับ... ผมอยากรู้ ” ผมพูด
“ ถ้าเจ๊หวีรู้แล้ว.... อาจจะไม่อยากรุ้ก้ได้นะครับ ” คุณคิวพูด
“ ทำไมคุณรู้ชื่อนี้ของผม ” ผมพูดขึ้นในทันทีหลังจากที่เค้าพูดจบ
“ ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้าสิ สงสัยจะอยากรู้มาก ” คุณคิวพูดเยาะจนผมเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีของเค้า
“ คุณคงสนุกมากสินะครับ ที่ทำแบบนี้ ” ผมพูดอย่างเริ่มไม่สบอารมณ์ คุณคิวหน้าสลดลงไปพร้อมกับไม่พูดอะไรออกมา สายตาของเค้ามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย สายตานั้น มันเป็นสายตาของคนที่รู้สึกเจ็บปวด
“ หน้าผมอาจจะดูเหมือนว่าผมสนุก แต่คงไม่มีใครรู้.. ว่าใจผมเจ็บแค่ไหน ”
คุณคิวพูด มันยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
“ คุณก็บอกมาสิครับ ว่าตกลงสิ่งที่คุณพูดมันหมายความว่าอะไรกันแน่ ” ผมพูด
“ นายจำคำพูดนายวันนี้ไว้นะ ว่านายเป็นคนอยากจะรู้เอง ” คุณคิวหันมาสบตาผมและพูดด้วยหน้านิ่งๆ
“ ครับ ” ผมตอบออกไปพร้อมกับเริ่มรู้สึกหวาดกลัวในใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะได้รู้
“ งั้นขอไปคุยกันห้องนายได้มั้ย ตรงนี้มันหนาว ” คุณคิวพูด
“ มาสิครับ ” ผมตอบออกไปพร้อมกับความรู้สึกลังเลเล็กๆ
“ งั้นเดี๋ยวเปิดประตูให้ด้วยนะ ” คุณคิวพูดพร้อมกับเดินเข้าห้องตัวเองไป
สักพักก็มีเสียงเคาะประตูที่ห้องผม
“ ตกลงเรื่องที่คุณพูดมันหมายความว่าอะไรกันแน่ คุณรู้จักผมมาก่อนเหรอ ”
ผมเริ่มบทสนทนาหลังจากที่นั่งลงบนโซฟา
“ ท่าทางจะอยากรู้มากจริงๆนะเนี่ย ” คุณคิวพูดอย่างจงใจจะแซวแต่ผมกลับเริ่มขำไม่ออก
“ ใช่ครับ รู้แล้วก็บอกผมซะทีสิครับ ” ผมพูด
“ ทำไมอยู่ในห้องแล้วยังหนาวอีกเนี่ย ไปนอนห่มผ้าดีกว่า ” คุณคิวพูดด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมกับแสดงท่าทางว่าหนาวมาก ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันหนาวมากขนาดนั้น
จากนั้นคุณคิวก็เดินเข้าไปในห้องนอนอย่างถือวิสาสะ ผมเองก้เดินตามไปอย่างขัดไม่ได้
“อย่าแกล้งผมนักเลย ผมไม่สนุกนักหรอกนะ” ผมพูด
“อ่ะๆ อยากอะไรก็ถามมาสิ เอ้อ... ค่อยอุ่นหน่อย” คุณคิวพูดพร้อมกับนอนห่มผ้าปนเตียงผม
“คุณรู้จักผมมาก่อนเหรอครับ” ผมพูดพร้อมกับลงนั่งบนเตียงข้างกับคุณคิวที่นอนอยู่
“ ใช่ ” คุณคิวพูดออกมาสั้นๆ
“ รู้จักได้ยังไง คุณเล่ามาให้หมดสิ ” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย
“ โอเคๆ ”
“ เฮ้ยไอ้โฟน พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลยว่ะ แอบไปติดเด็กที่ไหนรึป่าวว้ะ ” ผมแซว
“ ป่าว... ไม่มีไร ก็ช่วงนี้จารจุ๊บเค้าให้กูไปช่วยสอนเด้กโฆษณาไง กูเลยยุ่งๆ ” ไอ้โพนพูด
ผมไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่มันพูดเท่าไหร่ ผมกะมันสนิทกันมาตั้งแต่สมัยที่เรียนมัธยมจนมาถึงวันนี้ก็จะสิบปีแล้วครับ แค่ผมมองตามันผมก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรปิดบังผมอยู่
“ แอบไปติดใจเด็กนิเทศป่ะว้ะ ไปสอนตึกนั้นมีเด็กสวยๆ ” ผมพูด
“ พอเลย กูไม่ใช่เมิงนะไอ้คิว ไอ้หน้าหม้อ ” ไอ้โฟนพูด
“ เมิงก็ได้แต่ว่ากูหน้าหม้อ ไม่เคยจะมองกูดีๆเล๊ย ” ผมพูดอย่างแอบน้อยใจเล็กๆ
“ งอนกูเหอ... โอ๋ๆ อย่างอนกูเลยนะ ไหนมาให้กูถีบทีดิ๊ ” ไอ้โฟนพูดพร้อมกับวิ่งไล่ถีบผม ผมก็หนีสิครับไอ้นี่แรงไม่ใช่น้อยๆ
แม้ว่าไอ้โฟนมันจะไม่เคยบอกผมว่ามันกำลังปิดบังอะไรผมอยู่ แต่ไม่นานผมก็รู้เข้าจนได้
วันนั้นผมนั่งทำงานอยู่ที่ตึกคณะชั้นสองครับ ช่วงนั้นเป็นหน้าฝน ผมรู้สึกเมื่อยมากหลังจากที่นั่งวาดภาพมาพักใหญ่ ผมก็เลยลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าตากขณะที่ฝนกำลังตกหนักมาก ท้องฟ้าตอนนั้นมืดครึ้มทำเอาช่วงเย็นของวันนั้นมืดเร็วไปถนัดตา เสียงฟ้าคำรามดังมาเป็นระยะๆ ด้วยความที่เป็นตอนค่ำแล้ว เด็กในคณะหลายคนจึงทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมด และฟ้าก็มืดมาตั้งแต่เย็นแล้ว หลายคนจึงกลับบ้านกันไปเกือบหมดเหลืออยู่ในคณะไม่น่าเกินยี่สิบคน
ผมทอดสายตามองไปยังสายฝนเบื้องหน้าพลางกับสูดบุหรี่เข้าปอด แล้วสายตาผมก็มองไปเห็นชายสองคนวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ศาลาตรงหน้าคณะ หนึ่งคนในนั้นคือไอ้โฟน ผมจำมันได้ดี ส่วนอีกคนเป็นใครก็ไม่รู้เพราะผมไม่รู้จัก ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าทำเอาใจของผมสั่นไปหมดอย่างห้ามไม่ได้ ไอ้โฟนหยิบผ้าจากกระเป๋าของมันเช็ดตามตัวให้กับผู้ชายอีกคนที่วิ่งเข้ามาหลบฝนพร้อมกับมัน ถึงแม้ว่ามันจะไกลเกินกว่าที่ผมจะได้เห็นสายตาของมัน แต่ด้วยท่าทางที่มันแสดงออกมาที่ผมเห็นได้จากตรงนี้ ก็คือ ผู้ชายคนนั้นคงเป็นใครที่มีความสำคัญกับมันมาก คงไม่ได้ญาติที่ไหน เพราะถ้าใช่ผมคงรู้จัก ใจผมในตอนนั้นไม่อยากตัดสินว่ามันกับผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกัน เพราะผมกลัวคำตอบ
ก่อนหน้านี้ผมเคยกลัวคำตอบว่ามันจะปฏิเสธผม เพราะว่ามันไม่ใช่...... มันเป็นผู้ชาย
แต่มาตอนนี้ ผมกลับกลัว กลัวว่ามันจะเป็น......................
ภาพในวันนั้นติดตาผมมาตลอดจนถึงวันนี้ นับวันมันยิ่งดูห่างๆผมไป เราไม่ค่อยมีเวลาได้ไปไหนมาไหนกันเหมือนแต่ก่อน บางครั้งมันก็ไม่กลับมานอนที่คอนโด แรกๆผมรู้สึกว่า......... ใจมันเท่านั้นที่ค่อยๆห่างจากผมไป แต่ไม่นานผมก็รู้ว่าตัวมันเองก้ค่อยๆห่าง........ ห่าง........... จากผมไปเรื่อยๆ
มันเจ็บนะครับ ที่เราเห็นคนที่เรากำลังรักค่อยๆห่างออกจากเราไป มันเหมือนว่าเรากำลังหมดความสำคัญ
หรือใครบางคนกำลังมีความสำคัญมากกว่าเรา
ผมกับมันเจอหน้าหรือได้พูดคุยกันน้อยครั้ง จะมีบ้างเวลาที่เจอกันที่คณะ และดูเหมือนว่ามันจะรีบไปไหนสักที่ตลอดเวลา ผมพยายามสืบว่าไอ้คนคนนั้นมันคือใคร
แล้วผมก็ได้รู้ว่าคนคนนั้น ก็คือ “ ฟรอย ”
ผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนคนนั้นเป็นฟรอย เพราะตอนที่ผมเห็นฟรอย ผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กคนนี้น่ารัก ฟรอยเป็นคนที่ตาเศร้ามาก ขนาดผมเห็นผมยังรู้สึกว่าอยากดูแลเด็กคนนี้อยากช่วยอะไรได้บ้าง
แม้ว่าผมจะมองว่าฟรอยน่ารักเหมาะสมกับไอ้โฟน แต่ผมก็อดที่จะรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่ได้
ผมพยายามสะกดเก็บบาดแผลในใจเอาไว้ ไม่มีแม้สักครั้งที่ผมจะแสดงออกมาให้ไอ้โฟนรู้
บาดแผลนั้นมันใหญ่มากมันอักเสบจนผมชักไม่แน่ใจว่ามันจะรักษาให้หายได้รึป่าว
ตลอดเวลาสิบปีที่ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมา ผมปกปิดความรู้สึกเกินเพื่อนนี้เอาไว้ตลอด
เพียงเพราะผมกลัวว่ามันจะรังเกียจและตีตัวออกห่างจากผมไป ผมจึงยอมที่จะปกปิดความรู้สึกนี้เอาไว้เพียงแพราะหวังจะได้อยู่ใกล้ๆกับมัน แต่ยิ่งใกล้มันก็เหมือนยิ่งไกลล่ะครับ
ผมเลยรู้สึกเจ็บปวดมาก ยิ่งพอได้มาเห็นมารู้แบบนี้ ว่ามันเองก็ชอบผู้ชาย
ผมถึงรู้สึกเจ็บใจ เจ็บปวด และทรมานแบบนี้ ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้ามัน ผมต้องทำเป็นหน้าชื่นอกตรมเอาไว้ตลอด
จนกระทั่งมาถึงตอนวันเลี้ยงฉลองรับปริญญา ผมก้ได้รู้ในสิ่งที่ผมไม่เคยได้รู้มาก่อน
คืนนั้นไอ้โฟนเมามาก ผมเองก็รู้สึกแปลกที่เห็นมันดื่มหนักจนเมามายขนาดนี้ เพราะจากที่ผมรู้จักมันมาเป็นสิบๆปี มีไม่กี่ครั้งที่มันจะดื่มจนเมามายแทบไม่มีสติแบบวันนี้
“ เมิงเมามากแล้วนะ พอเหอะ ” ผมพูดเตือนมัน
“ เมิงไม่ต้องมายุ่งกะกู ” ไอ้โฟนพูดตะคอกผมแล้วยกเหล้าเข้าปาก
“ เมิงเป็นอะไรรึป่ะว้ะ มีไรเมิงบอกกูได้นะ ” ผมพูด
“ เค้าไม่รักกู ”
ไอ้โฟนพูดแล้วก็ร้องไห้ออกมา จนผมต้องรีบพยุงมันออกมาจากโต๊ะเพราะกลัวเพื่อนๆจะสงสัย
พอผมลากมันออกมาตรงที่ลานจอดรถไอ้โฟนก็โผเข้ามากอดผมพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“ ไม่มีใครกูแล้ว ไม่มีใครรักกูเลย ” ไอ้โฟนรำพันพร้อมกับกอดผมไว้แน่น
“ ใครเค้าไม่รักเมิง เมิงไม่ต้องไปสนใจนะ ” ผมพูดพร้อมกับลูบที่หลังมันแรงๆเป็นการปลอบใจ
ผมรู้สึกเจ็บที่เห็นคนที่ผมรักเจ็บเพราะความรัก
“ แต่กูรักเค้า กูอยากดูแลเค้า กูอยากอยู่กะเค้า ” ไอ้โฟนยังรำพันพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“ เดี๋ยวก็ดีเองนะเมิง เมิงทำใจดีๆก่อนนะ ” ผมพูดทั้งที่ยังกอดมันเอาไว้แน่น ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนั้นผมรู้สึกสงสารมันมากจนผมเองก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาที่เห็นมันเป็นแบบนี้
“ กูอยากรู้.... กูอยากรู้ว่าทำไมเค้าไม่รับรักกูซะที กูมันไม่มีใครรัก” ไอ้โฟนพูดในสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนออกมา
ผมเข้าใจมาตลอดว่าที่ผ่านมาไอ้โฟนกับฟรอยเป็นคนรักกัน แต่ที่ผมได้ยินจากปากมันวันนี้
ผมถึงได้รู้........ ว่าฟรอยยังไม่ได้รับรักไอ้โฟน
ในตอนนั้นผมเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ทันที
เพราะผมเองก็ไม่ได้ต่างจากมัน ได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก แต่เรากลับไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจของเค้าเลย
ผมเองเจ็บ ที่อยู่ใกล้แต่เหมือนอยู่ไกล แต่มันก็เข้าใจได้เพราะมันไม่รู้ว่าผมรักมัน
แต่ในเคสของมัน คงเจ็บมากเกินจะทน เพราะมันแสดงออกให้ฟรอยเห็นชัดเจนว่ามันรักฟรอยมากแค่ไหน ผมจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าฟรอยมีเหตุผลอะไรถึงไม่รับรักไอ้โฟน
“ ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยก็มีกูนะที่รักเมิง กูรักเมิงนะ ” ผมพูดแล้วกอดมันไว้แน่น
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่า “รัก” กับมันในความหมายที่ไม่ใช่ คำว่ารัก แบบเพื่อน
แม้ว่าสติมันจะไม่เต็มร้อยและมันอาจจะจำไม่ได้ว่าผมเคยพูดคำนี้ ในความหมายนี้กับมัน
แต่ผมก็ดีใจที่ได้พูดมันออกไป
ในตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าฟรอยเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อของไอ้โฟนอุปากระอยู่ ก่อนหน้านี้ไอ้โฟนเคยเล่าให้ผมฟังว่าพ่อมันได้อุปการะเด็กกำพร้าไว้หนึ่งคน แต่มันเองก็ยังไม่เคยเจอเพราะพ่อมันก็ได้แต่ส่งเสียเงินไปให้เพียงอย่างเดียว มันกับเด็กคนนั้นยังไม่เคยได้เจอกัน
และตัวมันเองก็ได้มารู้ว่าฟรอยเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อมันอุปการะได้หลังจากที่มันไปเคลียกับฟรอยในคืนที่สุดจะเลวร้ายคืนนั้น
“ คืนที่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตมัน ” เสียงคุณคิวพูดมันดังก้องอยู่ในหูของผม
“ ไม่ต้องร้องนะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ” คุณคิวพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอด
“ เพราะผม.... มันเป็นเพราะผม ” ผมพูดพร้อมกับร้องไห้จนตัวโยน
“ ไม่เป็นไรนะ มันยังอยู่ในใจของพวกเรา ” คุณคิวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ทั้งที่คุณคิวกอดผมเอาไว้แน่นอย่างตั้งใจจะปลอบผม แต่ตัวคุณคิวเองกลับสั่นเทาจนผมต้องกอดรัดคุณคิวเอาไว้แน่นเพื่อปลอบใจเค้าเช่นกัน
“ ถ้าผมไม่ปฏิเสธพี่โฟนในวันนั้น พี่โฟนคงไม่จากเราไปแบบนี้” ผมพูด
แผลในใจของผมถูกสะกิดอีกครั้ง แผลที่มันยังไม่หายดีและคงไม่มีวันหายสนิทได้
“ ฟรอยอย่าคิดแบบนี้นะ ไอ้โฟนมันได้ยินเดี๋ยวมันจะเสียใจ ยังไงมันก็ยังอยู่ในใจของเรานะ ”
คุณคิวพูด
“ ผมขอโทษนะครับพี่ ผมขอโทษที่ดูแลพี่โฟนไม่ดี พี่โฟนไม่น่ามาเจอคนอย่างผมเลย ” ผมพูด
“ ไม่เป็นไรครับ ฟรอยคือคนที่ไอ้โฟนมันเลือกนะ ” คุณคิวพูดด้วยน้ำเสียงและดวงตาที่สั่นไหว
ผมรู้........ คำพูดนี้คงทำให้คุณคิวรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
“ แต่ผมกลับเป็นคนที่ทำให้พี่โฟน............ ” ผมไม่สามารถหลุดปากพูดคำนั้นออกมาได้
“ มันไม่ใช่เพราะโฟนหรอกครับ แต่เป็นเพราะไอ้นั่นมากกว่า ” คุณคิวพูด จนผมต้องหันไปสบตาหมายความของคำพูดนั้น
“ ไอ้นั่น..... ใครครับ ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ ก็ไอ้คนที่มันขับรถชนไอ้โฟนไง ” คุณคิวพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ เหตุการณ์คืนนั้นมันเพราะผมไม่ใช่เหรอครับที่ปฏิเสธพี่โฟน จนพี่โฟนต้องตัดสินใจทำแบบนั้น ”
ผมพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ ไม่ใช่ .......... ไอ้นั่นต่างหากที่เป็นคนชนไอ้โฟน คนอย่างไอ้โฟนไม่มีทางทำอะไรโง่ๆแบบนั้น ”
คุณคิวพูด
“ พี่หมายความว่าไง ” ผมพูดออกมาด้วยความสับสน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ในคืนนั้นอีกครั้งกับสิ่งที่คุณคิวพูดออกมา ผมเริ่มสับสนว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ ไอ้โฟนไม่ได้ฆ่าตัวตายไอ้นั่น... เพราะความประมาทของไอ้นั่น มันขับรถชนไอ้โฟน ”
คุณคิวพูดด้วยสายตาเจ็บปวด
“ พี่รู้ได้ไง ” ผมถามออกไปอย่างอยากรู้คำตอบ
“ จะไม่รู้ได้ไง เพราะพี่เห็นกับตา ” คุณคิวพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอาบสองแก้ม
“ แล้วทำไมพี่ไม่บอกตำรวจ ” ผมพูด
“ เหตุผลบางทีก็สู้เงินไม่ได้หรอกนะ ” คุณคิวพูดก่อนที่จะก้มหน้าลงเพื่อระงับความเจ็บปวดในใจ
“ คนนั้นคือใครเหรอครับ ” ผมพูด
“ วันครบรอบปีที่ไอ้โฟนจากพวกเราไป ถ้ามันมีจิตสำนึกพอฟรอยคงได้เจอมัน ” คุณคิวพูด
“ เดือนหน้าสินะครับ ” ผมพูดออกมาเบาๆ
นี่มันเรื่องอะไรกัน...................
เรื่องราวทั้งหมดแท้จริงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วไอ้นั่นมันคือใคร......................
ผมสับสนนไปหมดแล้ว.............................
หวังว่าเราจะได้เจอกันนะ................................
….
………
……………
………………………
…………………………………
………………………………………………..
ติดตามตอนหน้า
###########################################################################
ขอบคุณคนอ่านทุกคนครับที่ยังติดตาม
รักพวกคุณนะครับ.........
-
อะไรจะดูยุ่งเหยิงอย่างนี้เนี่ย
คุณน้อง
-
อย่าบอกนะว่าเป็นฉินน่ะ โลกกลมเกินไปแล้ว
-
อูย... หวั่นใจเหมือนกัน ว่าจะเป็นฉิน เฮ้อ...
-
เอาแล้วไง ทำไมต้องเป็นอย่างนี้นะ กร ช่วยอธิบายเหตุผลซิ
แล้วเดือนหน้า ฟรอยจะต้องจัดการกับปัญหานี้ แล้วความเจ็บปวดก็จะกลับมาอีกครั้ง
+ 1 และเป็นกำลังใจให้ กรนะครับ รักษาสุขภาพด้วย อากาศกำลังจะเปลี่ยนอีกแล้ว
ว่างเมื่อไหร่ก็มาต่อนะครับ :กอด1:
-
ผมว่้่าต้อง........แน่ๆเลย (เดา)
มาต่อเร็วๆก็ดีนะคับ :serius2:
-
:L2:
ความผิดในอดีตกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับ
ว่าแต่....อย่าทำผิดซ้ำซากอีกในปัจจุบันก็แล้วกัน
เพราะมันยากเกินที่จะให้อภัยกันได้
:pig4: ไอ่ปลากรอบของ???ครายก็ไม่รู้ ฮ่าฮ่า
+1 ให้นะ....เจ้าแห้ง(กินข้าวเยอะๆดิ)หุหุ :L1:
-
แวะมาทักทายคร้าบบบบบบบ.....
จะบอกว่าช่วงนี้งานยุ่งมากๆครับ แล้วก็ผมเป็นไข้ด้วย เสียยังไม่ได้พิมพ์เรื่องเลยครับ
ไม่ต้องตกใจกันไปนะครับ เรื่องนี้ผมยังเล่าต่อแน่นอนไม่ได้หายไปไหนครับ
รู้ว่าตอนที่แล้วทิ้งระเบิดก้อนใหญ่ไว้ให้ฮ่าๆๆๆๆ
รอกันหน่อยนะคร้าบ.... อย่าเพิ่งหายไปไหนกันนะครับ
:call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
-
:z1:
เออ.......ไอ่ปลากรอบ
:m11:
-
ดีค่าพี่กร เป็นไข้นี่หายรึยังอ่ะคะ(อย่าลืมทานยานะคะ เดี๋ยวเป็นหนักเน้อ)
ยิ่งช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่า+เป็นห่วง(อย่างห่างๆ)นะคะ ^o^
Ps.ย่องออกจากกระทู้.....ฟิ้ววววว~
-
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ด้วยคนครับ :L2:
-
หายป่วยไวๆนะคะ
:L2: :L2: :L2: :L2: ^^
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ :o8:
-
เป็นงัยบ้างงงงง..ต่อไว ๆ นะ
-
:serius2: :serius2: ซีเครียดและๆ
กรี๊ดๆๆๆ ในที่สุดก็ได้เม้น 555+
ตามพี่กรมาจากเรื่องที่แล้ว
รักพี่มากเลย (เฮ้ยย อีนี่ยังไง) เป็นแฟนคลับ 555+
คิดถึงๆ
สนุกมากๆเลย เรื่องนี้แบบ ทั้งPlot เรื่อง ปม มันแบบ โดน
พี่เขียนดีอ่ะค่ะ ชอบภาษาเขียนพี่
อ่านแล้วได้อะไรจากมันเยอะ พี่เก่ง o13
อืม ก็หวังไว้นะ ว่าเรื่องนี้จะจบแบบแฮปปี้
ไม่รู้สิ รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นได้ 555+ (อีนี่คิดไปถึงตอนจบ)
คิดถึงพี่กรนะคะ
-
สวัสดีปีใหม่ครับ
ว่างแล้วอย่าลืมมาต่อด้วยนะครับ :L2:
-
ชะแว๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แอบมาทักทายคร้าบ แล้วก็มาสวัสดีปีใหม่ด้วยเลยครับ
อาจจะช้าไปหน่อยนะ แต่อย่าว่ากันเลยครับ อย่างน้อยผมก็มาด้วยใจและอวยพรจากใจจริง
ปีใหม่นี้ไปไหนกันมาบ้างครับ แวะมาทักทายบอกเล่ากันหน่อยนะ.... รอเวลาผมพิมเรื่องใหม่กัน.....
ปีใหม่นี้ อยากได้ไรกันบ้่างครับ แต่สงสัยจะหลายความหวังแฮะ
เอางี้ละกัน......
ใครอยากได้ไร หลับตานะครับ แล้วนึกถึงสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
และ..............................
------------------------------------------ สมหวังนะคร้าบ ----------------------------------------------------
ปีใหม่แล้ว ตั้งใจว่าจะไม่ดองเรื่องอีกแล้วครับ เพราะดูเหมือนมีเรื่องใหม่จะมาเล่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
อย่าเพิงเบื่อหรือรำคาญกันนะคร้าบ เพราะดูเหมือนว่าผมจะเข้ามาบอกหลายทีแระว่าจะไม่ดองเรื่องไว้อีก แต่สุดท้ายก็เห็นดองทุกที ฮ่าๆๆๆ
คราวนี้เอาจริงแล้วครับ
รับรองว่าคุนอ่านจะได้รับรู้ทุกรส........... อย่างที่มันควรจะเป็น
Enjoy .... ครับ
Ostrich..
6/01/53
-
เป็นกำลังใจให้ไร้ท์เตอร์ค่า ดองได้ แต่อย่าเค็มมากนะคะ อิอิ
-
:z2:
:L1:ไอ่แห้ง
หึหึ
-
:z13: พี่กร..
เพิ่งรู้ว่ามีเรื่องนี้อ่ะ มัวแต่ไปอ่านเรื่องในห้องนู้นอยู่ 555
ลางเศร้าลอยมาแต่ไกล พี่อย่าทำให้นู๋น้ำตาร่วงอีกนะ
ม่ายหวายยยจะเคลียยยยร์ :laugh:
รออ่านตอนต่อไปนะคร้า :L1:
-
สวัสดีปีใหม่ครับ มีความสุขมาก ๆ
สัญญาแล้วน่ะครับ ว่าจะขยัน ๆ มากกว่าปีที่ผ่านมา
เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ สุขภาพแข็งแรง อย่าเจ็บ อย่าจน ครับ กรคนดี :กอด1:
-
เข้ามาเป็นกำลังใจอีกรอบครับ
:L2:
-
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
รอ
-
ทักทายทุกคนนะครับ.....
เอาเรื่องมาต่อให้ครับตามคำสัญญา ตอนนี้ผมจะมีให้อ่านทั้งสองภาคนะครับ คือภาคของฉินและภาคของฟรอย
ภาคของฉินผมเพิ่งพิมพ์เสร็จสดๆร้อนๆเลยครับ อ่านกันไปก่อนนะ ส่วนภาคของฟรอยกำลังจะพิมพ์ต่อครับ
เชิญทัศนาครับ......................
*****************************************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
หนึ่งปี.... ที่มาถึง ( -_-)
ผมนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันแล้วครับ ผมรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร แม้เหตุการณ์เลวร้ายนั่นจะผ่านมาเกือบปีแล้ว ที่ผ่านมาสภาพจิตใจผมดีขึ้นเยอะครับ แต่มันก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว
หลายคนมักพูดกับผมว่า เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว ผมเป็นคนที่ยังอยู่ ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป
ดังนั้นผมควรเข้มแข็ง แล้วสักวันความรู้สึกแย่ๆนี้ก็จะเจือจางไปเอง
เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกผมมันดีขึ้น ผมเข้มแข็งและยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น
แต่แล้ว.... ความรู้สึกแย่ๆนั่นก็กลับมาอีกครั้งครับ ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้น มันค่อยๆกลับมาในห้วงความคิดผมอีกครั้ง
มันกลับมาอย่างห้ามไม่ได้ จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นครับ เพราะคงไม่มีใครหนีใจของตัวเองพ้น
คงไม่แปลก... ที่ภาพและความรู้สึกเหล่านั้นจะกลับมา
พรุ่งนี้แล้วสินะ.............. ครบหนึ่งปี ของเหตุการณ์คืนนั้น
จิตใจผมอยู่ไม่สุขจนไม่สามารถข่มตานอนเพื่อผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ ผมเอื้อมไปเปิดโคมไฟที่ข้างหัวเตียงและยันกายลุกขึ้นมา
ผมควานหากุญแจดอกที่ผมแทบจะไม่เคยหยิบมันมาเป็นเวลาเกือบปี
ผมปัดฝุ่นออกจากกุญแจดอกนั้นก่อนที่จะค่อยๆไขประตูห้องนอนที่ผมไม่เคยเข้ามานับจากวันนั้นผมมองดูรอบๆห้องอย่างพินิจ ทุกอย่างยังคงเดิมเหมือนตอนที่ฉายยังอยู่
หลังจากวันที่ฉายจากไป ผมมักจะเข้ามาในห้องนี้เป็นประจำ ตอนนั้นผมหลอกตัวเองว่าฉายไปเที่ยวในที่ไกลแสนไกล และไม่นานฉายก็จะกลับมา แต่ความจริงก็ย้ำเตือนไม่ให้ผมหลอกตัวเองได้อีก ผมจึงตัดสินใจไม่เข้ามาในห้องนี้อีก
ผมหยุดยืนที่หน้าชั้นวางหนังสือพร้อมกับมองไปที่รูปตรงหน้า
“ หนึ่งปีแล้วนะ.... ที่นายจากพี่ไป ”
ผมรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ต้องยอมรับกับความจริงว่า “ ฉาย ” ไม่อยู่กับเราแล้ว
“ มันเป็นเพราะพี่เอง พี่.... ขะ...ขอโทษนะ ” ผมพูดพร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
ผมทรุดกายลงกับพื้น ผมไม่สามารถเผชิญกับสายตาของฉายได้ สายตาที่เต็มไปด้วยความฝัน
สายตาที่ขี้เล่นและอิ่มเอมไปด้วยความสุข ฉายฝันว่าอยากเป็นนักบิน ฉายเป็นเด็กช่างฝันคนนึง
ฉายชอบเล่นบาส ผนังในห้องของฉายเต็มไปด้วยภาพเครื่องบิน ภาพของนักบาส หรือแม้แต่แป้นบาส ฉายเอามาตั้งไว้ในห้อง ผมหยิบลูกบาสที่เรามักจะใช้เล่นด้วยกันมาถือไว้ในมือ สภาพของมันยับเยินไม่น้อยจากการใช้งาน ผิวโดยรอบเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนของเศษกระจกจากเหตุการณ์คืนนั้นที่กลับมาจากการเล่นบาสด้วยกัน
ร่างกายของผมสั่นเทา.........................................
“ ฉาย.... พี่ขอโทษ ”
น้ำตาของผมไหลอาบสองแก้ม จิตใจของผมไม่ได้เข้มแข็ง ผมยังคงอ่อนแอ
ทำไมถึงไม่เป็นผมที่จากไป แม้ผมจะยังมีลมหายใจแต่ผมก็เหมือนกับคนที่ตายทั้งเป็น
ทั้งหวาน.... ทั้งฉาย......... คนที่ผมรักมากทั้งสองคนต้องจากไปเพราะความประมาทของผม
ผมไม่เพียงพรากลมหายใจของคนที่ผมรัก แต่ผมได้ทำลายความฝันของพวกเค้าด้วย
หวานฝันว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตต......... ฝันนั้นกำลังจะเป็นจริง
แต่ผมก็ทำลายมันสียจนหมดสิ้น................
ผมไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีก ผมปล่อยมันออกมาทั้งหมด
ทั้งความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดที่มันเกาะแน่นอยู่ในใจของผม
ผมพูดคำว่า “ ขอโทษ ” นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่ไม่รู้ว่าเค้าทั้งสองคนได้ยินรึป่าว....................
ท้องฟ้าในค่ำคืนของฤดูหนาวสว่างโล่งไม่มีเมฆมาบดบังความสวยงามของดวงดาวนับล้านที่ส่องสว่างรายล้อมดวงจันทร์กลมโตสีเหลืองทอง
เมื่อไหร่กันนะ..... ที่จิตใจของผมจะไร้ความขุ่นมัวเหมือนกับท้องฟ้าในคืนนี้บ้าง
ผมเอามือปาดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนหน้า ท้องฟ้าที่สายตาของผมกำลังเพ่งมองอยู่นั้นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของฟรอยในวันนั้น วันที่ผมถามถึงคนรักของฟรอย ฟรอยเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าและชี้ขึ้นไปบนนั้นพร้อมกับพูดว่า
“ คนรักของผมเข้าอยู่บนนั้นครับ เราเลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน ”
ความรู้สึกที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คงไม่ได้ต่างไปจากความรู้สึกของฟรอย
ความรู้สึกของความสูญเสีย.................
แต่คงต่างกันตรงที่ ความรู้สึกสูญเสียของผมที่เกิดขึ้นนี้ มันเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวผมเอง
ผมปล่อยใจตัวเองให้ล่องลอยไปตามที่มันอยากจะไป ขณะนั้นผมเหมือนกับไม่รู้สึกถึงสิ่งต่างๆรอบตัว เสียงสะอื้นที่ดังอยู่ไม่ไกลคงดังมาได้สักพัก เพียงแต่ผมเพิ่งจะสติรับรู้ถึงสิ่งรอบตัว
สายตาผมมองไปยังต้นเสียงสะอื้นนั่น เสียงนั้นดังมาจากห้องฝั่งตรงข้าม
ฟรอย..............................
เสียงสะอื้นนั่นเป็นเสียงของฟรอย ในตอนนั้นผมรู้สึกตกใจว่าทำไมฟรอยถึงร้องไห้ และใครเป็นคนทำให้ฟรอยเสียน้ำตา เสียงสะอื้นนั่นมันต้องมาจากความเจ็บปวดที่แสนสาหัส
ใครเป็นคนทำให้ฟรอยเสียใจขนาดนั้น
“ ฟรอย........... เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรฟรอย ????? ” ผมตะโกนไปยังห้องตรงข้ามด้วยความตกใจและว้าวุ่น
สิ้นเสียงตะโกนของผมไปสักพักก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา ผมเพ่งมองหาฟรอยที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้แสงไฟสลัวจากโคมไฟภายในห้อง ผมเห็นร่างของฟรอยนั่งคุดคู้อยู่ที่ตรงมุมมืดริมระเบียง
ร่างกายของฟรอยสั่นด้วยแรงสะอื้น
................ ฟรอยเป็นอะไรกัน ทำไมถึงร้องไห้หนักขนาดนั้น .........................
“ ฟรอย........ ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะ ฟรอยเป็นอะไร ทำไมร้องไห้ ” ผมตะโกนออกไปอย่างร้อนรน
แม้ผมจะตะโกนอะไรไปก็ไม่มีคำพูดสักคำตอบกลับมา มีเพียงแต่เสียงสะอื้นที่ดังออกมาเท่านั้น
ผมเก็บความร้อนรนเอาไว้ไม่ไหว จนต้องตะโกนกลับไปอีกครั้งว่า
“ งั้นเดี๋ยวไปหาที่ห้องนะ ”
ผมพูดแล้วรีบหันหลังจะเดินเข้าห้อง ฟรอยก็ตะโกนตอบกลับมาด้วยเสียงปนสะอื้นว่า
“ ผมไม่เป็นไร.... พี่ไม่ต้องมานะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ” ฟรอยพูดก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง
ผมชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี จะไปหาคืนนี้เลยหรือว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอย่างที่ฟรอยบอก
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนตัวเอง พยายามข่มตานอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำบุญแต่เช้า ฟรอยคงไม่อยากจะคุยอะไรในตอนนี้
ความรู้สึกของผมตอนนี้ก็ไม่ได้เอื้ออำนวยที่จะรับรู้อะไรเท่าไหร่นัก
แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าฟรอยเป็นอะไร.......... มีอะไรเกิดขึ้นกับฟรอย.......
แล้วทำไมผมถึงไม่รู้................ มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่..............................
หลังจากที่ฟรอยกลับมาจากเหนือครั้งนั้น ผมรู้สึกได้ว่าฟรอยแปลกๆไป ฟรอยไม่ค่อยมาอยู่กะผม
บางครั้งเหมือนฟรอยพยายามจะเลี่ยงๆหรืออยู่ห่างๆผม ผมพยายามรบเร้าถามฟรอยหลายครั้ง
แต่ฟรอยก็จะบอกว่าไม่มีอะไร ทุกครั้งหลังจากที่ผมถามไปแบบนั้น ฟรอยก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งดูภายนอกก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรจริงๆ แต่ทุกครั้งที่ผมมองสายตาฟรอย ผมรู้และแน่ใจว่าฟรอยต้องมีอะไรในใจ ฟรอยดูเหมือนเป็นคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น ไม่รู้ว่าไอ้คิวมันทำอะไรหรือพูดอะไรรึป่าว แต่มาคิดอีกทีก็คิดว่าคงไม่ใช่ เพราะฟรอยก็ดูจะระวังตัวเองจากไอ้นั่น แล้วตกลงฟรอยเป็นอะไรไปกันแน่
ที่ผ่านมาผมพยายามเก็บความสงสัยเอาไว้ เพราะไม่อยากเซ้าซี้ฟรอย พยายามบอกตัวเองว่า สักวันฟรอยคงพูดมันออกมาเอง
แต่มาตอนนี้.... ผมคิดว่ามันน่าที่จะมีอะไรมากมายแน่ๆ เสียงสะอื้นนั่นของฟรอยยังก้องอยู่ในหูผม
พรุ่งนี้ผมจะต้องคุยกับฟรอยให้รู้เรื่องซะที.......................
ผมเผลอหลับไปทั้งๆในใจยังคงมีความขุ่นมัวและสับสน......
###########################################################################
-
ทักทายไรทเตอร์ก่อน สวัสดีค่ะ เพิ่งเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก
ชอบเรื่องนี้มาเลย ทั้งโครงเรื่องและสำนวน
ตัวละครน่ารักโดยเฉพาะนายฟรอยด์ ทั้งน่ารักน่าสงสาร
ลงชื่อติดตามเรื่องนี้ด้วยคนน๊า
-
อ่านตอนนี้แล้ว ขอให้น้องฟรอยกับพี่ฉินก้าวผ่านอุปสรรคของปมในอดีตไปด้วยกันได้ทีเถิด
ยินดีที่มาต่อนะคะ
-
แวะมาทักทายครับ....
สำหรับภาคของฟรอย จริงๆว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืน แต่เห็นว่ายังไม่ค่อยมีคนได้อ่านภาคของฉินเลย
ผมก็เลยเก็บไว้ก่อนครับ.........
เมื่อไหร่ ที่คุณ broke-back กับคุณ wan เข้ามาอ่านแล้วเม้นเมื่อไหร่
ผมค่อยลงต่อ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ล้นเล่นนะ.... จริงๆผมยังพิมพ์ไม่เสร็จครับ ตอนนี้ท่าทางจะยาวหน่อย.... พิมพ์ซะจนปวดหัวเลยครับ
รีบๆมาอ่านแล้วเม้นด้วยนะ
Enjoy....
-
ฟรอยรู้แล้วสิ...เรื่องมันเศร้า
-
สงสารฟรอย :m15:
-
เอาเรื่องมาลงให้อ่านต่อครับ
เพิ่งพิมพ์เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้เป็นอีกตอนที่พิมพ์ด้วยความรู้สึกอึดอัดๆ
จะยังไง......
เชิญทัศนาครับ..............
***************************************************************************
( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
หนึ่งปี.... ที่มาถึง ( -_-)*
ข่มตานอนยังไงมันก็ไม่ยอมหลับ.....
จะหลับได้ยังไง..... เมื่อใจมันว้าวุ่นขนาดนี้.............
“ หนึ่งปีแล้วนะครับ......... ที่เราจากกัน...........”
“ หลายเดือนที่ผ่านมา ในใจผมอาจจะมีใครอยู่อีกคน... แต่พี่ยังอยู่ในใจผมเสมอนะ ”
ผมพูดกับรูปภาพตรงหน้าซึ่งเป็นภาพของคนที่เป็นรักแรกของผม
แม้ว่าวันนี้เค้าจะไม่ได้อยู่กับผมแล้ว แต่สายตาในรูปนั่นที่มองมายังผม ผมรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงและความรักที่เค้ามีต่อผม
และวันพรุ่งนี้...
“ หนึ่งปีที่ลมหายใจของเราพรากจากกัน ”
สามร้อยหกสิบห้าวันที่ไม่มีลมหายใจนั้นพรมรดที่หน้าผาก..... ที่ข้างแก้ม.... ที่ปลายจมูก
ของผม...............
แต่ในใจ...... เราก็ยังคงจะมีกันตลอดไป
ลมหายใจและกายของเราอาจพรากจากกัน แต่ความรู้สึกที่ส่งถึงกัน ไม่มีใครมาพรากได้
ใช่มั้ยครับ...... พี่โฟน
“ ผมคิดถึงพี่จัง ”
เสียงสั่นเครือของผมที่ดังออกมาพร้อมกับใจที่สั่นไหวและดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา
“ พี่ก็คิดถึงผมเหมือนกันใช่มั้ย ??? ”
“ ใช่มั้ยครับ ???? ”
คนนึงถาม....................... ถาม.................................................
แต่ไม่มีเสียงตอบ
มันบอกให้รู้ว่าเค้าไม่ได้อยู่ตรงหน้า.......................
บางครั้งความจริงก็เป็นเหมือนมืดแหลมคมที่ถูกความรู้สึกของตัวเราเองหยิบมันมาแทงลงที่กลางอก ปักคาอยู่อย่างนั้นจนเลือดไหลจนแทบจะหมดกาย
“ ผมเจ็บครับ ”
ผมพูดพร้อมกับหันร่างที่สั่นเทาออกจากรูปของคนตรงหน้า
ผมเคยคิดที่อยากจะเป็นคนที่ความจำเสื่อม ผมไม่อยากจำเรื่องราวอะไรได้อีก ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บ
ความรู้สึกของคนเราก็เหมือนดาบสองคม...............
บางครั้งมันก็ทำให้เราสุข... สุขสูงสุด สุขแบบที่ไม่มีอะไรจะมาเปรียบได้
แต่บางครั้งมันก็ทำให้เราทุกข์.... และทุกข์สูงสุดเช่นกัน ทุกข์อย่างที่ไม่คิดว่าครั้งนึงเราจะทุกข์ได้มากขนาดนี้
ทุกครั้งที่ผมทุกข์..... ทุกข์เพราะความรู้สึก ผมจะปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา
น้ำตา... อาจไม่ได้ช่วยคลีคลายอะไร แต่มันเป็นตัวปลดปล่อยความรู้สึกทุกข์ของผม
เมื่อความรู้สึกมันถูกปลดปล่อยออกมา สติก็จะเข้ามามากขึ้น และเราก็จะผ่านเรื่องราวร้ายๆไปได้เอง
แต่ตอนนี้สติของผมคงยังไม่มีมากพอ ผมถึงรู้สึกเสียใจได้มากมายขนาดนี้ ร่างกายและจิตใจของผมกำลังอยู่เหนือการควบคุม
ผมกำลังโหยหาคนที่เค้าจากผมไปแล้ว
มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว...... ที่เราจะได้เจอกัน
ผมปล่อยให้ร่างกายสั่นเทาด้วยความเสียใจ ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างที่มันอยากจะไหล
ภาพพี่โฟนที่นอนนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว...... และไร้ซึ่งลมหายใจ
ร่างกายพี่โฟนเต็มไปด้วยบาดแผล พี่โฟนคงเจ็บ... คงทรมานมาก........
มากเสียจนพี่โฟนไม่มีแรงที่จะหายใจ
ร่างที่ซืดเซียวอันไร้ซึ่งลมหายใจบนเตียงสีขาว เป็นภาพสุดท้ายของพี่โฟนที่ผมได้เห็น
ผมพยายามจะลืมภาพนั้น เพราะมันเป็นภาพที่เตือนให้ผมรู้และยอมรับความจริงว่าพี่โฟนไม่มีลมหายใจแล้ว
ผมอยากจะลืม...................... ลืม................................................
ผมอยากจะจดจำภาพสุดท้ายเป็นภาพที่เรามีความสุขกัน
.............................. ภาพของรอยยิ้ม
................................... ภาพสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใย
.................................................... ความอบอุ่นของกายที่เคยสัมผัสกัน
.............................................................. แรงสัมผัสของลมหายใจที่เคยรินรดบนใบหน้าของผม
ขอเพียงเท่านี้ที่ผมอยากจะจดจำไว้นึกถึงเมื่อยามที่เราจากกัน ไม่ใช่แบบนี้.....
เดิมทีผมแค่อยากให้เราจากกันแค่กาย..... ด้วยเหตุผลที่ผมไม่สามารถมองข้ามไปได้
แต่ไม่ใช่ให้เราพรากจากกันทั้งกายและลมหายใจแบบที่เป็นอยู่นี้
จิตใจของผมล่องลอยไร้ที่ยึดเหนี่ยวไปไกลแสนไกล ผมทรุดกายลงที่ริมระเบียงและปล่อยความรู้สึกเสียใจทั้งหมดออกมา ผมไม่สามารถห้ามเสียงสะอื้นของตัวเองไว้ได้ จนพี่ฉินออกมาได้ยิน เสียงที่ตะโกนอยู่นั่นมันเต็มไปด้วยความร้อนรนและเป็นห่วง
ผมรู้.......................................
เพียงแต่ผมยังไม่อยากจะอธิบายอะไรตอนนี้
หลังจากที่ผมกลับมาจากภาคเหนือครั้งนั้น จิตใจผมวุ่นวายไปหมด สิ่งที่พี่คิวเล่าให้ผมฟังคืนนั้น มันเหมือนจะทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมามากมาย
คำถามที่ผมรู้ว่ามันมีคำตอบ แต่มันยังไม่ถึงวันที่คำตอบนั้นจะเผยตัวออกมา
ผมพยายามคาดเดา คิด และวิเคราะห์ไปต่างๆนานา ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมตอบออกมามันถูกต้องรึป่าว
เพราะคนที่รู้คำตอบก็ไม่เฉลย บอกเพียงให้รอเวลา
รอวันที่คำถามนี้จะถูกเฉลยออกมาเอง
พรุ่งนี้แล้วสินะครับ..............
ที่ผมจะรู้ซะที........................................
ผมส่องกระจกดูตัวเองก่อนออกจากห้อง ตาของผมบวมมาก ถ้าพี่ฉินเห็นคงต้องถามผมยกใหญ่แน่ๆ สงสัยวันนี้คงต้องคุยกันอีกยาว
วันนี้ที่บ้านพี่ฉินก็จะทำบุญให้น้องชายและแฟนเก่าของพี่ฉินด้วยเหมือนกัน ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ว่าคนรักของเราทั้งคู่เสียชีวิตในวันเดียวกัน บังเอิญดีนะครับ แต่ผมก็ไม่ได้บอกให้พี่ฉินรู้หรอกครับว่ามันเป็นแบบนั้น ผมแทบจะไม่เคยเล่าเรื่องพี่โฟนให้พี่ฉินฟังเลยครับ
พี่ฉินพยายามรบเร้าให้ผมไปทำบุญกับพี่ฉินด้วย เพราะว่าพี่ๆที่บริษัทหลายๆคนที่สนิทสนมกับพี่ฉินก็ไปร่วมงานกันทั้งนั้น พี่ฉินเลยอยากให้ผมไปแล้วก็จะได้ไปเจอแม่ด้วย ถ้าผมไม่ไปเดี๋ยวแม่ก็ต้องถามหา ผมก็จนใจครับแล้วก็ไม่รู้ว่าจะบอกออกไปว่ายังไง ผมก็เลยตกลงรับปากไป พี่ฉินจะได้หยุดรบเร้าผม แต่ผมตั้งใจว่าคงจะไม่ไปหรอกครับเพราะคงไปไม่ทัน พี่ฉินจะว่ายังไงเดี๋ยวค่อยมาเคลียกันอีกที เพราะแค่เหตุการณ์เมื่อคืน พี่ฉินก็คงมีอะไรซักไซร้ผมเยอะอยู่แล้ว
ผมรีบออกจากห้องแต่เช้าเพื่อนั่งรถไปชลบุรีเพื่อไปไหว้ที่อัฐิของพี่โฟนที่นั่น
ระหว่างที่นั่งรถ..... ผมก็คิดถึงเรื่องราวของผมกับพี่ฉิน ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันที่แสนโหดร้ายของเราทั้งคู่ เพราะมันเป็นวันที่พรากลมหายใจของคนที่เรารักไป
ผมเองก็พอรู้มาก่อนว่าพี่ฉินสูญเสียน้องชายและคนรักพร้อมๆกันทั้งสองคนจากอุบัติเหตุ แต่ผมก็ไม่เคยถามพี่ฉิน ผมไม่อยากเอาความอยากรู้ของผมไปสะกิดรอยแผลของใครและโดยเฉพาะพี่ฉิน
กับตัวผมเอง ถ้าใครมาถามถึงเรื่องพี่โฟน ผมก็คงลำบากใจที่จะพูดหรือเล่ามันออกมา เพราะการพูดออกมามันก็เป็นเหมือนการย้ำเตือนหรือการขยี้แรงๆลงไปที่รอยแผลที่มันเคยสาหัส ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ถาม เพราะคงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมีแต่จะทำให้จิตใจย่ำแย่ลงไปอีก
ผมรู้... และเข้าใจมันดี ว่าความรู้สึกนั้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน
ผมเดินทางไปถึงวัดเป็นเวลาเกือบสิบโมง ผมมองเห็นที่ศาลามีรถจอดอยู่มากมาย ผมเดินเข้าไปใกล้ๆศาลาวัด ภายในมีคนจำนวนนับร้อย แล้วสายตาของผมก็มองไปเห็นพ่อกับแม่ของพี่โฟน
ผมรีบก้มลงหลบที่ข้างตุ่มน้ำข้างศาลาแล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ริมท่าน้ำของวัด
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเนรคุณทุกครั้งที่ต้องหลบหน้าพ่อกับแม่ของพี่โฟน แท้ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ของพี่โฟนเป็นคนใจดีมาก แค่มองจากภายนอก ท่านทั้งสองก็ดูเป็นคนสูงอายุที่มีท่าทางใจดี เพราะแบบนี้แหละครับ ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเนรคุณ ท่านทั้งสองอุตส่าอุปการะผมจนผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านอุปากระผมจนผมเรียนจบมีงานมีการทำ ถ้าไม่ได้ท่านทั้งสองคน ไม่แน่ป่านนี้ผมอาจจะเป็นขอทานอยู่ที่ไหนสักที่ก็ได้
จากที่ผมมีวันนี้ได้เพราะพวกท่าน อันที่จริง ผมน่าจะได้ตอบแทนอะไรท่านได้มากกว่านี้
ตั้งแต่วันที่ท่านทั้งสองเรียกผมเข้าไปหาที่บ้านวันนั้น มันเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เจอกับท่านอย่างเป็นทางการ วันนั้นเป็นวันที่ท่านทั้งสองเรียกผมเข้าไปเพื่อคุยเรื่องพี่โฟน
เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่รู้มาก่อนว่าท่านทั้งสองเป็นพ่อแม่ของพี่โฟน จนกระทั่งท่านได้มารู้เรื่องของผมกับพี่โฟน จากภาพวาดของผมในห้องพี่โฟน พี่โฟนเคยวาดรูปผมหลายต่อหลายครั้งในหลายๆอิริยาบถ พี่โฟนจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้วาดรูปผม พี่โฟนเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในห้องของพี่โฟน มีเพียงแค่สองภาพที่ผมเก็บไว้ เพราะพี่โฟนให้ตอนวันเกิดและวันวาเลนไทน์
หลังจากที่ท่านรู้ว่าคนในรูปนั่นคือผม ท่านก็เลยเรียกผมเข้าไปพบ แล้วก็ขอให้ผมเลิกกับพี่โฟน พี่โฟนเป็นลูกคนเดียวครับ คงไม่แปลกที่จะเป็นศูนย์รวมความหวังของพ่อแม่ ผมรำลึกถึงพระคุณของท่านทั้งสองดีครับ ผมก็เลยต้องตัดสินใจปฏิเสธพี่โฟนตามที่พ่อกับแม่พี่โฟนขอ
ผมรู้สึกเจ็บปวดนะครับ ที่ต้องปฏิเสธคนที่เรารัก ทั้งที่เรารู้ว่าเค้ารักเราและกำลังรอคอยความรักจากเรา
จากที่ผมตัดสินใจเลิกยุ่งกับพี่โฟนเพราะอยากตอบแทนพ่อกับแม่พี่โฟนที่มีพระคุณกับผม ท่านจะได้คลายความไม่สบายใจออกไป แต่แล้วการตัดสินใจของผมกลับเป็นการทำให้พี่โฟนจากพ่อและแม่อันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เพราะเหตุนี้เอง ผมถึงไม่กล้าสู้หน้าท่านอีก ภาพของท่านทั้งคู่ที่ผมเห็นในวันนี้ ท่านดูแก่ขึ้นมาก
ดวงตาของทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจ ดวงตาของแม่พี่โฟนคลอไปด้วยน้ำตา
เพราะผมแท้ๆที่ทำให้มันเป็นแบบนี้.................
ผมพยายามแอบมองเข้าไปที่ศาลาวัด เมื่อนึกถึงสิ่งที่พี่คิวพูด ผมพยายามมองหาคนที่พี่คิวพูดถึงทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร ในศาลาวัดนั่น ผมรู้จักเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ก็คือพ่อกับแม่พี่โฟน จะมีก็อีกห้าหกคนที่ผมคุ้นหน้า คงเป็นเพื่อนพี่โฟนที่ผมเคยเห็นที่มหาลัย นอกจากนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้จักใครเลย แม่แต่พี่คิว...... ผมก็มองไม่เห็นเจอ
ผมยืนมองสักพัก.... ผมก็เข้าไปไหว้พระที่ศาลาริมน้ำที่ถูกสร้างไว้สำหรับการทำทานและการถวายสังฆทาน
หลังจากที่ผมถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อย ผมก็ไปทำทานกับสัตว์ ผมปล่อยนก ปล่อยปลา เต่า ปลาไหล หอย ผมปล่อยสัตว์ทุกอย่างที่เค้ามีให้ปล่อย
การได้มาวัดทำบุญแบบนี้ช่วยทำให้จิตใจของผมสงบขึ้นเยอะเลย ผมรู้สึกว่าผมมีสติมากขึ้น
หลังจากทำบุญทำทานเสร็จเรียบร้อย ผมก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้พี่โฟน
หวังว่าพี่จะได้รับนะครับ.........................
ผมนั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำพร้อมกับบิขนมปังในมือโยนไปให้ปลาที่ลอยคอรออาหารจากผู้ใจบุญ
ปลาที่นี่ตัวใหญ่มากครับแล้วก็มีเยอะด้วย การมาในวัดครั้งนี้ผมยอมรับว่าผมมาด้วยใจที่ว้าวุ่น
วันนี้เป็นวันที่ผมรอคอย....
ผมรอคอยคนที่พี่คิวพูดถึง........... ทั้งที่ผมไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร
เค้าอาจเป็นคนใกล้ตัวที่ผมคาดไม่ถึง..........
หรืออาจเป็นคนที่ผมรู้จักเพียงผิวเผิน...............
และก็อาจจะเป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จักเลยสักนิด.......................
สรุป.... ผมไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร..............................
แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมต้องรอเค้า เพราะอาจเป็นคนที่ไขข้อข้องใจในสิ่งที่พี่คิวพูดกับผมในคืนนั้น
นี่ผมกำลังรอคอยคนที่ผมไม่รู้ว่าเค้าเป็นใครเหรอเนี่ย.........................
หากเค้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม.................... ผมจะรู้มั้ยว่าคือเค้า..........................
ผมเริ่มสับสนอีกครั้ง เหมือนที่ผมสับสนคิดวกวนไปมาเช่นนี้มาเป็นเดือนๆ
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมรอคอยวันนี้ด้วยใจจดจ่อ หลายครั้งผมดูออกว่าพี่ฉินรู้สึกว่าในใจผมเหมือนนึกถึงหรือคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ใช่ครับ...... ผมเองก็รู้ตัวเองดี ผมรู้ด้วยว่าพี่ฉินอยากรู้ว่าผมเป็นอะไรหรือกำลังคิดอะไรอยู่ แต่พี่ฉินคงไม่กล้าถาม พี่ฉินคงรอว่าสักวันผมคงจะพูดมันออกมาเอง
ดีแล้วละครับที่พี่ฉินไม่เอ่ยปากถามออกมา
ถ้าพี่ฉินถาม...... ผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มพูดหรืออธิบายที่ตรงไหน เพราะผมเองก็ยังสับสน
ผมนั่งอยู่ที่ริมท่าน้ำด้วยใจที่สับสน แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวจะมีลมพัดเย็นๆ พร้อมกับมีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องมา ถ้าจิตใจของผมไม่ว้าวุ่นแบบนี้ วันนี้คงเป็นอีกวันที่ผมต้องรู้สึกอิ่มเอมไปกับบรรยากาศรอบตัวแน่ๆ แต่นี่ผมกลับวกวนสับสนอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างห้ามไม่ได้จนไม่ได้ซึมซับบรรยากาศรอบตัวได้เต็มที่นัก
ทำไมผมถึงรู้สึกกระวนกระวายจัง....................
ผมนั่งเล่นอีกสักพักก่อนที่ตัดสินใจจะเดินไปหาพี่โฟน ผมแวะยืนมองเข้าไปที่ศาลาวัดอีกครั้งด้วยเพราะเป็นทางผ่าน ผมมองเข้าไปด้านใน..... ก็ยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมยังมองไม่เห็นพี่คิว
ผมได้ยินเสียงพระสวดดังออกมาจากศาลาวัด เสียงพระสวดทำให้ผมรู้สึกหดหู่
ผมเริ่มถอดใจกับการรอคอยใครคนนั้น.....
ผมเดินตรงไปที่โกฐิของพี่โฟน ผมเอาช่อดอกกุหลาบสีขาววางไว้ที่ตรงหน้าโกฐิของพี่โฟน
ภาพของพี่โฟนที่หน้าโกฐิยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่แสดงออกมาทางริมฝีปาก
แต่มันเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาของพี่โฟน
“ คิดถึงนะครับพี่โฟน ”
“ พี่อยู่ที่โน้น........ พี่สบายดีใช่มั้ยครับ ???? ”
ผมร้องไห้อีกแล้วล่ะครับ เหมือนผมจะขี้แย่เลยเนอะ
แต่ถ้าหากคุณเคยสูญเสียคนที่คุณรัก.... คุณจะเข้าใจครับ ว่ามันโหดร้ายมาแค่ไหน
ผมยืนมองรูปพี่โฟนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น สายลมพัดผ่านผิวกายของผมแรงๆสองสามครั้ง
เหมือนสายลมกำลังพยายามจะโอบกอดร่างของผมเอาไว้
สายลมนั้น............. คือพี่ใช่มั้ย ??????
ผมรู้สึกได้....................
มองหันมองไปรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครสักคนที่ผมรอคอย
แต่ก็ไม่มี.......................
ผมนั่งลงตรงที่ด้านหลังโกฐิของพี่โฟน ผมอยากอยู่ใกล้ๆพี่........
อยากกอดพี่นะครับ ผมพูดพร้อมกับเอามือสัมผัสที่โกฐิเบาๆ............
ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ผมก็ทำใจไม่ได้สักทีนะ..........
ผมเหนื่อยจังครับพี่โฟน..............
คนที่พี่คิวพูด.... เค้าคือใครเหรอคับ
ผมอยากจะเจอเค้า ผมมีเรื่องที่อยากจะถาม...............
และอยากจะให้เค้าตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้ด้วยปากของเค้าเอง...
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นจนผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีด้วยความรู้สึกงัวเงีย บรรยากาศรอบๆตัวดูเปลี่ยนไป
แสงแดดอ่อนๆยามบ่ายหายไป.......... คงเหลือเพียงแสงสว่างรำไร
ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมบรรยากาศรอบๆตัว เพราะเป็นเวลาพลบค่ำ
ช่างเป็นบรรยากาศที่ดูน่ากลัว..... ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันทีที่รู้สึกตัว
ผมบิดตัวสองสามรอบเพื่อคลายความรู้สึกเมื่อยและขับไล่ความขี้เกียจออกไป
นี่ผมเผลอหลับไปหลายชั่วโมงเลยนะเนี่ย..... ผมนึกในใจ
สงสัยคนที่ผมรอคอยเค้าจะไม่มาแล้ว......... หรือว่าเค้าอาจจะมา แต่ผมไม่รู้สึกตัว
ผมรู้สึกโมโหตัวเองที่ปล่อยให้วันเวลาที่ผมรอคอย ผ่านเลยไปจนผมพลาดโอกาสสำคัญที่รอคอยมานานนับเดือน
ผมถอดใจและกำลังจะลุกขึ้น แต่ผมกลับได้ยินเสียงใครบางคนที่ผมรู้สึกคุ้นกับเสียงนั่นมาก
ดังขึ้นมาว่า..........
“ หนึ่งปีแล้วนะ............. หนึ่งปีมาแล้ว.. ที่ผมทำความผิดใหญ่หลวงกับนาย ”
เสียงนั่น........... เสียงที่ผมคุ้นเคย ผมรู้ได้ทันทีว่านั่น.... คือเสียงใคร
“ นายไม่ต้องยกโทษให้ผมหรอกนะ.... เพราะผมเองยังไม่ยกโทษให้ตัวเองเลย ”
เสียงนั่นดูสั่นๆ มันเป็นเสียงของคนที่เก็บเอาความทุกข์ไว้ในอกอย่างมหาศาล
“ ผมกำลังรู้สึกเจ็บปวด และกำลังทรมาน มันเป็นบทลงโทษที่ผมควรได้รับใช่มั้ย ”
เจ้าของเสียงนั่นกำลังร้องไห้
ผมสับสน อึดอัด เค้ามาทำอะไรที่นี่ มายืนพูดอะไรอยู่ที่นี่ ตอนนี้.............
ผมกลัว...... กลัวมากครับ กลัวแม้แต่ที่จะหันหน้าไปมองให้แน่ใจ......
ผมกลัวกลับสิ่งที่ผมกำลังจะได้เห็น................
ความจริง..........
“ ผมคือคนที่ทำให้ใครหลายคนเจ็บปวดและทรมานกับการสูญเสีย... รวมถึงตัวผมด้วย ”
“ ไม่ว่าจะคนอยู่........... หรือคนที่จากไป ทุกคนกำลังเจ็บปวด เพราะผมเอง..... ผมขอโทษ ”
“ ผมคือผู้ทำลาย........... และถูกทำลาย.............. ผมขอโทษ................ ”
เสียงนั่นกำลังสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกผิด
น้ำตาผมค่อยๆไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ผมเจ็บปวด.............. เจ็บปวดไม่แพ้กับใครที่กำลังรู้สึกสูญเสีย
และแม้แต่คนที่กำลังยืนพูดอยู่...........
ผมยันกายอันแทบไร้เรี่ยวแรงเดินพ้นออกมาจากหลังโกฐินั่น............................
“ พี่ฉิน................ ” เสียงผมที่เอ่ยออกไปเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ ฟรอย......................................................... นาย........... มา.......... ทำอะไร......... ที่นี่ ”
พี่ฉินพูดด้วยท่าทีตกใจแววตานั่นสั่นไหวและหวาดกลัว
“ ไอ้เลว !!!!! ” ผมตะคอกออกไปดังลั่น ก่อนที่จะต่อยเข้าที่หน้าของพี่ฉินจนล้มลงไปกองกับพื้น
ผมวิ่งออกมาจากตรงนั้นในทันที.........
นี่มันอะไรกัน ??????
ทำไม ?????????????
ทำไมต้องเป็นพี่ฉิน???????????
นี่ใครกำลังเล่นตลกกับชีวิตผม ???????????
ผมวิ่งออกมาด้วยความรู้สึกสับสน.......
พี่ฉินพยายามตะโกนเรียกผม เสียงฝีเท้ากำลังวิ่งตามผมมา ขาของผมแทบจะไร้เรี่ยวแรงจนผมสะดุดผมลงไปกับพื้น พี่ฉินรีบเข้ามาพยุงผมลุกขึ้นแต่ผมศอกกระแทกเข้าไปที่หน้าพี่ฉินทำให้พี่ฉินหงายหลังไปกระแทกกับพื้น ผมรีบลุกขึ้นยืนด้วยแรงของตัวเองเท่าที่เหลืออยู่ ผมไม่อยากหันหน้าไปมองพี่ฉินอีก ผมได้ยินเสียงฝีเท้าใครอีกคนวิ่งเข้ามาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ร้อนรนว่า
“ ไอ้ฉิน... มึงใจเย็นๆก่อน ” เสียงพี่บอสเองครับ
“ ไม่ได้.......... ฟรอย ฟรอยฟังพี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีพี่ไป ” พี่ฉินพูดด้วยเสียงที่ร้อนรน
“ หยุด........ หุบปาก ไม่ต้องพูดอะไรอีก แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าตามผมมาอีก ”
ผมพูดออกมาทั้งที่ไม่ได้หันหน้ากลับไป น้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ แต่ฟรอยต้องฟังพี่นะ ” พี่ฉินพูด
“ ผมบอกให้หุบปาก ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ” ผมตะคอกออกไปพร้อมกับเอามืออุดหูไว้แน่น
ตัวของผมสั่นสะท้าน ผมเจ็บ... เจ็บที่ใจ ผมทรมาน
ผมวิ่งออกมาจากตรงนั้น........ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังจะวิ่งไปไหน
แต่ผมอยากไปวิ่งไปให้ไกล.............. ให้ไกลที่สุด.................. ให้พ้นจากตรงนี้.................
ตรงที่มันเรียกว่า................. ความจริง
Ostrich
############################################################################
-
เจิมๆๆๆ
ไฮ~~~
-
ในที่สุดก็ถึงวันที่ฟรอยรู้ความจริง
เศร้ากว่านี้มีอีกมั้ยคะ :m15:
จัดมาเลยค่ะ :z3:
+1 ขอบคุณที่มาต่อคร้า
-
แวะมาเป็นกำลังใจให้น้องกร ไม่มาต่อซะนานเลย
-
:m29:
อืมม..ม์ ความจริง
.
.
.
ใครๆ ก็ต้องการและเรียกร้องหา..แต่ความจริง
.
.
ซึ่งบางครั้ง..เราหลงลืมไปว่า
.
.
สิ่งที่เรียกว่า..ความจริง
ถ้าไม่เตรียมตัว เตรียมใจ
พร้อมรับมือกับมันให้ดี
.
.
ความจริง..มันก็สามารถทำให้เรา
เจ็บหนัก แสนสาหัส ปางตายได้เหมือนกัน
.
.
แต่มันก็ยังดีกว่าการหลอกลวง หักหลังกัน เป็นไหนๆ
เจ็บหนักกก ทีเดียว..ดีกว่า..เจ็บนานนนน ไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่เหรอ ????
:L1:รักนะ..ตะเอง
จ๊วบบบบๆๆ..กร :จุ๊บๆ: +1 แล้วมาต่อเรื่องอีกนะ ที่รัก ฮ่าฮ่า
-
ยังไม่ได้อ่านหรอกครับ เห็นเข้ามาโพสต่อ เลยเข้ามาทักทายก่อน :กอด1:
เอาไว้อ่านพรุ่งนี้ เพราะง่วงมากเลยครับ :m23:
-
ความจริงเจ็บปวดเป็นบ้า
ไม่รู้จะสงสารคัยดีอ่ะตอนนี้
สงสารตัวเองดีกว่า จะร้องไห้อีกแล้วอ่ะ :o12:
-
อืม . . . ระเบิดลง
เหมือนจะเป็นเรื่องไม่ยาวมาก แต่ชอบครับ เนื้อหากระชับ พูดถึงบทพรหมลิขิตที่ชอบเล่นตลกกับชีวิตคนได้เสมอๆ
มาต่อไงๆนะครับ นั่งรอแล้วล่ะ o1
-
มันช่างเป็นความจริงที่ปวดใจเหลือเกินอะครับ
เฮ้อ...
:sad4:
-
แวะมากระทุ้งคร้าบ.......
ตอนใหม่ยังพิมพ์ไม่เสร็จเลย..... คาดว่าพรุ่งนี้คงลงต่อให้ครับ
สวัสดีนักอ่านหน้าใหม่ด้วยครับ...... แล้วก็ไม่ลืมสวัสดีนักอ่านหหน้าเก่าด้วยครับ
จะเก่าจะใหม่ก็น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
ไปแระ :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:
ไปดู KPN ต่อ เชียร์ปลาทองอ่ะ....... ใครดูเชียร์ใครกันมั่งเนี่ย ??
:m27: :m27:
-
โอ้
กว่าจะหาเจอมันมาอยุ่หน้าสุดท้าย
ในที่สุดก็ได้อ่าน
ตามหาตั้งนาน
ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยแล้ว
ฟรอยจะทำยังไงต่อไป
จะรับได้ใหม?
แล้วไรเตอร์จะกลับมาใหม
หรายเดือนแล้ว
มาต่อเร็วๆนะ
รอๆด้วยใจอันมุ่งมั้น
-
ลุ้นๆมาต่อเร็วๆน๊า
-
พึ่งได้อ่านเรืองนี้ อยากบอกพีคนเเเต่งว่า พีเเต่งได้ดีมากๆๆ
เป็นอีกเรืองที่เรียกน้ำตา เเล้วเสียงหัวเราะ ของผม
ยังไงพีมาต่ออีกนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ
เเล้ว ผมจะรอนะคับ
-
เวลาผ่านไปเร็วมากๆ
ยาวนานเป็นปี ที่ผมไม่ได้เข้าเล้าแห่งนี้เลย
ก่อนอื่นคงต้องขอโทษสำหรับคนที่รออ่านเรื่องของผม ทั้งที่ผมบอกว่าจะมาต่อๆ แต่ก็ผิดคำพูดตลอด
ีวิตที่
ต้องขอโทษจริงๆครับ แล้วก็ขอบคุณ ผู้ดูบอร์ด ที่ยังไม่ลบเรื่องของผมออก เป็นความกรุณาจริงๆครับ
ผมเป็นคนนึงที่เวลา 24 ชั่วโมง ของแต่ละวัน ไม่เพียงพอสำหรับการทำทุกอย่างอย่างที่ตั้งใจไว้
การเขียนเรื่อง เป็นอีกสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ผมชอบ แต่ด้วยความจำกัดของเวลา ผมอาจจะต้องทำสิ่งที่ต้องทำก่อน
จนต้องทิ้งสิ่งที่ชอบบางอย่างไป อย่างเช่นการเขียนนิยาย
เรื่องนี้คงค้างคาผู้เขียน และคงขัดใจผู้อ่าน หากมันยังไม่จบ
ผมจึงขอรบกวน ผู้ดูแลบอร์ด ในการขอพื้นที่ในการต่อนิยายเรื่องนี้ให้จบนะครับ
ขอบคุณมากครับ
Ostrich
1 ก.พ. 54
-
:mc4:
-
อ่า
จะรอเสมอครับ
หาตั้งนานเนะว่ามันอยู่ไหน
ที่แท้มาอยุ๋ในหมวดนี้(ตอนแรกหาไม่เจอหาไป6รอบ 1-8ปวดตาเลยอะ)
ยังไงก็ดีใจที่ไรเตอร์
ยังมาบอกส่งข่าวว่ายังจะพยายามแต่งเรื่องนี้ไห้จบ o13
ไงก้เป้นกำลังใจไห้
มาต่อเร็วๆเน้อ
รอยู่เสมอครับ
:bye2:
-
รออ่านนะคะ
-
ยังรออยุ๋เสมอนะ
-
โห เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ สุดยอดมากเลยค่ะ กินอารมณ์มาก คนเขียนแต่งดีมาก
อยากให้เขียนต่อให้จบมาก จะนั่งรอ ภาวนาขอให้คนเขียนมาต่อให้ได้นะคะ o1 :oni3: :amen: :m2: