พิมพ์หน้านี้ - ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: กล้วยไม้ ที่ 28-06-2016 16:51:48

หัวข้อ: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 28-06-2016 16:51:48
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






ธรณีครวญ



…เรื่องราวชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างใครๆ

เส้นทางแห่งชีวิตที่แม้แต่ผืนดินยังต้องร่ำไห้ให้กับเขา...




คำเตือน

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการแต่งขึ้น ตัวละคร สถานที่ ไม่มีอยู่จริง



“…จะเป็นอะไรไหม หากจะฟังเรื่องราวชีวิตของผม เรื่องราวที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้วในชีวิต

มันสุดแสนบัดซบและไม่ได้ดั่งใจผมเลย ด้วยประโยคที่คุ้นติดหู คนเราเลือกเกิดไมได้

แต่ก็ยังดีนะที่อย่างน้อยผมก็ได้ยิ้ม หัวเราะ เศร้าใจไม่ต่างจากคนอื่น

และตอนนี้ผมไม่ต้องทนทุกข์อย่างเดิมอีกแล้ว เพราะที่ผมเป็นอยู่ มันสุดแสนจะสบาย

ไม่ต้องทนความเจ็บปวดในจิตใจอีกต่อไป…”



เรื่องใหม่พลอตเสร็จแล้ว...คราวนี้มาแบบ ดราม่าหนักมาก  ต้องบอกว่าหนักมากจริงๆนะ สำหรับคนชอบแนวนี้ครับ ผู้แต่งกำลังอยู่ในช่วงเศร้าใจ (ไม่ใช่แล้ว) บทนำกำลังมาอีกไม่นาน :katai1: :katai1: :ling1: :ling1:

หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 28-06-2016 17:57:07
บทนำ



10 ปีก่อนหน้านี้…ณ สถานการณ์เลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร



“ไปอยู่กับป้านะลูก!”



           ผมจำคำแรกคำนั้นได้ดี มันเปรียบเหมือนใบเบิกทางให้เด็กตัวเล็กๆได้ก้าวย่างออกสู่โลกภายนอกที่แสนจะสุดโหดร้าย

นั้นรอเขาอยู่ หากย้อนไปได้ผมขอตัดสินใจอยู่ที่นั่นกับเพื่อนๆและคุณครูที่รักและเป็นห่วงผมจริงๆเสียจะดีกว่า



           ตั้งแต่จำความได้ผมก็รับรู้แล้วว่า ครอบครัวของผมคือพี่น้องในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ และมีพ่อแม่เป็นคุณครูแห่ง

ชีวิตที่ได้อุตส่าห์ชุบเลี้ยงและให้คำสอนมากมาย และมากพอที่จะทำให้ผมเป็นคนดีได้ในสังคม



“ครับ!” สุดท้ายแล้ว ตอนนั้นผมก็ตอบรับคำเอ่ยชวนของป้าตรงหน้า


“ป้าชื่อเนตรนะ แล้วหนูชื่ออะไรลูก”


“ชื่อหม่อนครับ”


“ฝากด้วยนะคะ น้องหม่อนเธอน่ารัก ขยันเรียนขยันทำงาน ช่วยงานได้ดีทีเดียว” ครูที่เป็นเหมือนดั่งแม่ของผมเธอเอ่ยบอกกับคุณ

ป้าตรงหน้า



“ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันไม่มีลูก อยากจะได้ไปเลี้ยงสักคน เห็นเด็กคนนี้รู้สึกรักขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”


“อย่าดื้อนะหม่อน” คุณครูผู้แสนใจดีบอกพลางลูบหัวฉัน


             ตอนนั้นผมเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ผิวขาว ดวงตากลมโต ด้วยวัยเพียง 10 ขวบเท่านั้น ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย

นอกจากรั้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ตอนนั้นผมเริ่มคิดหนักที่จะต้องจากเพื่อนๆและคุณครูที่แสนคุ้นเคย แล้วไม่รู้ว่าไปอยู่กับ

หญิงวัยกลางคนคนนี้ จะได้กินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเดิมรึเปล่าเสียด้วยซ้ำ



            การเดินทางของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนับจากนั้นไป แต่ผมจำเรื่องราวได้ทุกฉากทุกตอนไม่มีเลอะเลือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ต่อจากนี้ไป ป้าเนตรพาผมกลับไปยังบ้านของเธอ ด้วยความที่เด็กมาก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหน หมู่บ้านอะไร

ตำบล อำเภอ แม้แต่จังหวัดก็ไม่รู้ เพราะเธอพานั่งรถกลับบ้านจากรถสองแถว เปลี่ยนมาเป็นวินมอเตอร์ไซค์

สักพักก็ถึง บ้านป้าเป็นบ้านไม้สองชั้น ดูอายุแล้วน่าจะนาน รอบข้างบ้านใกล้เรือนเคียงก็มีลักษณะคล้ายๆกันไปหมด




“ป่ะเข้าบ้าน เอาของไปเก็บ ป้าเตรียมที่นอนให้หม่อนแล้วนะ” เธอหันมายิ้มบอกผม



            พอผมเดินตามเข้าบ้านไปเท่านั้นเอง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ดีว่าเป็นกลิ่น

เหล้า จนกระทั่งวันหนึ่งก็เผลอไปเจอเจ้าของที่สร้างกลิ่นนี้เข้าอย่างจัง




“เฮ้ยยยย ครายยวะ มายืนมองหน้า เดี๋ยวปัดเหนี่ยวววเลยยย” เสียงลากยานจนน่ากลัวทำเอาผมหวั่นกลัว



            วันนี้ป้าเนตรแกไม่อยู่ด้วย ออกไปไหนแต่เช้าไม่รู้ ผมตั้งใจจะเดินเข้าห้องน้ำเพราะปวดฉี่มาก แต่กลับเจอร่างของใคร

บางคนอยู่ในนั้น กำลังนั่งเอาหลังพิงผนังอยู่ ผมตกใจมากและไม่คุ้นหน้าคร่าตาชายคนนี้เลย



“ลุง! ลุงเป็นใครครับ เข้ามาในบ้านได้ยังไง?” ผมถามไปอย่างนั้นเพราะคิดอะไรไม่ออก


“กูหรอ? เป็นผัววววววอีเนตรรไง ว่าแต่มึงเถอะ ครายยยวะ?”


“ผมเอ่อ…ผมชื่อหม่อนครับ เป็นลูกบุญธรรมป้าเนตร”


“บ๊ะ! อีเนตรนี่  บ้านก็ยากจนอยู่แล้ว ไปรับเด็กมาเลี้ยงอีกทำไมวะ ”


                ลุงคนนั้นอ้างว่าเป็นสามีของป้าเนตร กำลังมองมาที่ผม ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าป้าแกมีสามีด้วย แต่หลายวันที่ผ่านมาไม่เคย

เห็นและป้าเนตรไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย



แกร๊ก! เสียงเปิดประตูทำให้ผมต้องหันกลับไปดู เผื่อจะเป็นป้าเนตรที่กลับมาจากข้างนอกแล้ว



“หม่อน ไปยืนทำอะไรตรงนั้น” เสียงของป้าเนตรถามขึ้น ผมอุ่นใจขึ้นมาทันทีรีบวิ่งไปหาเธอพร้อมๆกับโผเข้ากอด


“สามีป้าอยู่ในห้องน้ำครับ!” ผมตัดสินใจบอกไป ทั้งๆที่ยังหวั่นใจอยู่ไม่น้อย สีหน้าป้าเนตรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดทีเดียวว่าเธอ

กำลังโกรธ และเดินมุ่งไปที่หน้าประตูห้องน้ำ


“ไอ้สม มึงจะกลับมาเมาค้างที่บ้านแบบนี้ไมได้นะ ออกไปเลย จะไหนมึงก็ไปเลยไป๊!”


          ผมอึ้งอยู่นานทีเดียว ไม่เคยเห็นป้าเนตรแกโมโหขนาดนี้ดูน่ากลัวมากจริงๆ ผมมองดูป้ากับลุงทะเลาะกันอยู่อย่างนั้น และ

ไม่รู้จะช่วยหยุดการทะเลาะวิวาทนี้ยังไง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย  แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงหลังจากวันนั้นผ่านไป 2 ปี ตอนนี้ผม

อายุ 12 ปีแล้ว กำลังเรียนอยู่ชั้นปอหกพอดี


           แต่บุญกรรมของผมกับผู้มีพระคุณอย่างป้าเนตรก็จบลง วันนั้นเลิกเรียนผมก็รีบเดินกลับบ้าน เพราะเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่

ปลอดภัยตามที่ป้าเนตรบอก พอเปิดประตูบ้านเข้าไปได้เท่านั้น ผมกลับเห็นลุงสมแกทำลับๆล่อที่ประเป๋าเงินของป้าเนตร


“ไอ้หม่อน มึงอย่าบอกป้ามึงนะเว้ย ไม่อย่างนั้นกูเอามึงตายแน่”


“ลุงสม อย่าเอาเงินป้าไปเลยนะครับ ผมไหว้ล่ะ ป้าต้องเอาเงินนี้ไปทำทุนแล้วส่งผมเรียน”


“ฮ่าๆๆ ไม่ได้ กูเป็นผัวอีเนตร กูก็ต้องได้ใช่เงินนี่สิวะ แต่มึงล่ะเป็นใคร ลูกก็ไม่ใช่ มาอาศัยบ้านเขาอยู่ น้อยแน่ อายุแค่ 12 ปีหัด

มาทวงเงินเมียกูแล้วหรือ?”


“เปล่านะครับลุง ผมไมได้คิดอย่างนั้น ผมแค่สงสารป้า”


“สงสารมันทำไม มันไมได้บอกนี่นาว่ามันจะไม่ให้กูใช้เงิน ”


“แล้วทำไมลุงไม่ขอป้าดีๆล่ะครับ”


“บ๊ะไอ้นี่ กูขอตบตายคามือจะดีไหม?”


              ลุงสมเดินดุ่มๆเข้ามาหา ผมไม่รู้จะทำยังไงได้แต่ยกกระเป๋าสะพายขึ้นมากันเอาไว้เท่านั้น แต่แล้วโชคก็ยังเข้าข้างผม

อยู่ป้าเนตรแกกลับมาบ้านพอดี



“ทำอะไรของมึงไอ้สม!”


“ป้า สวัสดีครับ”


“เออหวัดดี หม่อน ไอ้สมมันจะทำอะไรลูก?” ป้าเนตรถามอย่างเป็นห่วง


“ลุงสม!  ลุงสมขโมยเงินป้าครับ!” ผมตัดสินใจบอกไปทันที ไม่กลัวคำขู่อะไรของลุงสมแม้แต่น้อย


“จริงหรอไอ้สม!”


“เฮ้ยไม่ใช่แล้วเมียจ๋า ไอ้คนที่ขโมยคือไอ้หม่อนต่างหาก ฉันเห็นมันกำลังขโมยพอดี เลยจะตบสั่งสอนมันเท่านั้น แต่เมียมาแล้ว

ก็จัดการกับมันเองแล้วกัน”


“ไม่จริงนะครับป้า ผมไมได้ขโมย”


“ไม่ได้ขโมยได้ไง นี่เมียจ๋าค้นกระเป๋ากางเกงไอ้หม่อนเลยถ้าไม่เชื่อ” ผมคิดว่าผมบริสุทธิ์ใจ และยอมให้ป้าเนตรเป็นคนค้น

กระเป๋ากางเกงทันทีทั้งสองข้าง


“ป้าค้นเลยครับ ผมไมได้เอาไปจริงๆ”


            สุดท้ายป้าเนตรก็จำใจค้นดูตามที่สามีบอก แต่แล้วก็เจอจริงๆ เงินธรบัตรหลากสีถูกนำออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผม

แทบพูดไม่ออก ลุงสมยัดใส่กระเป๋าเขาตอนไหนกัน?



“นั่นไง เงินจริงๆด้วย ไอ้หม่อนมึงนี่มันเนรคุณจริงๆ!” ลุงสมรีบพูดเอาดีเข้าตัวทันที ผมพลาดเองที่ไม่ทันเหลี่ยมคนอย่างลุงสม


“ไม่จริงนะครับป้า เงินพวกนี้ลุงสมเอามายัดใส่กระเป๋าผมตอนไหนไม่รู้”


“อย่าไปเชื่อมันมากนะอีเนตร กูผัวมึงกูเคยขโมยเงินมึงที่ไหนกัน มึงก็รู้ แต่ไอ้เด็กนี่นับมันยิ่งโตยิ่งนิสัยเสียนะเว้ย”


           ผมมองหน้าป้าเนตร ตอนนี้ป้ากำลังสับสน มันก็จริงอยู่ที่ลุงสมไม่เคยขโมยเงินเลยซักครั้ง จนกระทั่งวันนี้ ไม่รู้เหตุอะไร

ก็ตามที่ทำให้ลุงกล้าตัดสินใจมาขโมยเงินที่ซ่อนเอาไว้ของป้าเนตร แต่ตอนนี้แพะรับบาปเรื่องนี้คือผมยังไงล่ะ



“จริงของมึงไอ้สม มึงไม่เคยขโมยเงินกู” ป้าเนตรเอ่ยประโยคนี้ออกมา


   ตอนนี้ใบหน้าของผมเริ่มร้อนวูบวาบขึ้นมาเสียดื้อ ทั้งโกรธลุงสมและโกรธความไม่เท่าทันเหลี่ยมของลุง ป้าเนตรที่ดูเหมือนจะ

เชื่อสามีมากนั้น กำลังจ้องมองผมด้วยความเกรี้ยวกราด


“กุไม่เลี้ยงมึงแล้ว ไอ้หม่อน เก็บข้าวของออกจากบ้านกูไป ไอ้เด็กเนรคุณ น้อยแน่ เงินแต่ละบาทกว่ากูจะหามาได้ไม่ใช่ง่ายเลย

นะ มึงนี่มันจริงๆเลย ออกไปจากบ้านกูได้แล้วไป๊”



                    และแล้วความน่ากลัวของป้าที่ผมเห็นเมื่อครั้งแรกนั้น บัดนี้ผมกลับถูกด่าและขับไล่ออกจากบ้านแล้ว  ผมทั้ง

น้อยใจและทำอะไรไม่ถูก นอกจากน้ำตาที่มันไหลริน ผมรีบวิ่งขึ้นห้องไปพร้อมกับเก็บเสื้อผ้าตามที่ป้าเนตรบอก


                  ผมออกจากบ้านหลังนั้นมาทั้งๆที่ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว ทำไมคนภายนอกถึงได้ใจร้ายกับผมนัก ผมอยากกลับไปที่

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้งจัง บนฟุตบาททางเดินพอจะมีแสงสว่างจากไฟข้างถนน ข้าวเย็นก็ยังไมได้กิน ท้องไส้ก็หิว เงินก็

ไม่มีเลยสักบาท แล้วนี่เขาจะไปที่ไหนดี?


“น้อง! น่ารักดีนี่ จะไปไหน ให้พี่ไปส่งไหม?”


        เสียงร้องถามจากมุมตรงหน้า ปรากฏเป็นวัยรุ่นสวมชุดดำสามสี่คน ผมเคยจำได้ตอนเรียนที่โรงเรียน คุณครูสอนว่าวัยรุ่น

กลางคืนไว้ใจไม่ได้ เป็นไปได้ให้หลีกหนีจะดีกว่า



“เฮ้ย เด็กวิ่งหนีไปแล้ว ตามไปเร็ว!”


   แย่แล้วแย่แน่ๆ ผมจะวิ่งหนีคนเหล่านี้ยังไงถึงจะพ้น พวกเขานั้นโตแล้ว ขาก็ยาววิ่งมาแป๊บเดียวก็ทันเขาแน่ๆ แค่คิดได้ตอนนั้น

ผมก็เหมือนถูกมือหนาๆของพวกนั้นยกลอยขึ้นเหนือพื้นทันทีอย่างง่ายดาย



“จับได้แล้ว  ไปเว้ยขึ้นรถ!”


“ไม่ไป จะพาผมไปไหน ผมจะกลับบ้าน!”


“เฮ้ยเอาเทปมาปิดปากเด็กนี่ซะ น่ารักแบบนี้เอาไปขายน่าจะได้เงินดี!”


“ผมกลัวแล้วครับ ผมกลัว…..” ตอนนั้นผมพยายามดิ้นหนี แต่สุดท้ายกลับถูกอะไรบางอย่างปิดปากจนได้ ผมจำมันได้เป็นอย่างดี

ทีเดียวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อจากนี้ไป…


...อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน...



******************************


แฮะๆหากยังหวังว่าเด็กชายหม่อนคนนี้ จะได้เป็นเจ้าหญิงสักวัน เรื่องนี้ไม่มีนะครับ เป็นเพียงเรื่องราวที่น่าสงสาร

ของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่ไม่รู้ตัวเองมาก่อนด้วยซ้ำว่าชอบผู้ชายด้วย สปอยได้แค่นี้แหละ ลุ้นตอนต่อไป เข้มข้นกว่าเดิมแน่
  :katai1:


หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทนำ) 28/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 29-06-2016 12:04:48
ธรณีครวญ
บทที่ 1
ความรักครั้งแรกของเด็กชายหม่อน



          มาถึงจุดนี้แล้ว หม่อนเด็กวัยเพียง 12 ขวบคิดอะไรไม่ออกนอกจากนอนดิ้นไปดิ้นมาในรถ นี่สินะคำว่ารถตู้จับเด็ก แล้ว

ทำไม! ทำไมเด็กคนนั้นต้องเป็นเขาด้วย น้ำตาที่ไหลรินไม่หยุด มันสุดแสนจะเจ็บช้ำใจ ลุงสมเป็นคนทำให้เด็กน้อยคนนี้ต้องตก

อยู่ในสภาพนี้ ทำไมป้าเนตรไม่เชื่อใจเขา เพราะอะไรกัน?




            คิดมาก็น่าเศร้าเวทนาตัวเอง หม่อนเองยังไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้จะพาไปไหน เด็กกำพร้าอย่างเขาเกิดมาพ่อแม่เป็นใครก็

ยังไม่รู้ ไหนสวรรค์ยังตามกลั่นแกล้งให้หนักอึ้งเข้าไปอีก นี่จะโดนตัดแขนตัดขาเหมือนในข่าวที่ออกมาบ่อยๆรึเปล่านะ เด็กน้อย

ได้แต่คิดไปเรื่อยตามประสาเด็กที่กำลังกลัว แต่จู่ๆหม่อนก็ดิ้นจนหมดแรงและสลบไปไม่รู้สึกตัวอีกเลยจนกระทั่ง…



ซ่า! ความเย็นจากอะไรบางอย่างกำลังสาดสัดเข้าตัวของหนูน้อยอย่างแรง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆลืมขึ้นอย่างยากลำบาก แทนที่

จะตื่นขึ้นมาแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงฝันร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าหม่อนยังคงอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย

ที่กำลังดำเนินอยู่




          ชายหนุ่มเมื่อคืนทั้งสี่คน ยังคงอยู่ในรัศมีที่ดวงตาดวงเล็กของหม่อน เขามองเห็นพวกคนใจร้ายนั้นยืนอยู่รายล้อมรอบ

ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวดูรกร้างเหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้มาเนิ่นนานยังไงไม่รู้ อีกทั้งยังใส่ชุดสีดำเมื่อคืนนี้อยู่ ที่นี่คือที่ไหนนั้นเด็กน้อยตัว

เล็กๆก็ยากที่จะตอบตัวเองเหมือนกัน ความกลัวนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง  หลังจากพยายามขยับตัว แต่ดิ้นเท่าไหร่กลับไร้ผล ความ

รู้สึกตอนนี้เหมือนทั้งข้อมือและตัวของเขาถูกมัดตรึงเอาไว้กับท่อนเหล็กด้านหลังนั้น



“เฮ้ย ดึงเทปที่ติดปากมันออกสิวะ?” เสียงหนึ่งในวัยรุ่นตรงหน้าพูดขึ้นมา


พรวด! การดึงเทปออกจากปาก ไร้ความปรานี และความเมตตามันเจ็บใช่เล่น น้ำตาของเด็กน้อยเพศชายอย่างหม่อนยังทนไม่

ไหวเลย


“เอ้า กินซะ นี่ข้าวเช้าของมึงนะไอ้หนู!” มันพูดพร้อมกับก้มลงมานั่ง พลางยื่นกล่องข้าวให้


“ผมไม่กิน พี่จ๋า ปล่อยผมกลับบ้านเถอะนะ ฮึก ฮือออ”


“ปล่อยกลับหรอ? ใครจะโง่ขนาดนั้น ป่านนี้พ่อแม่มึงก็คงตามหากันให้ทั่วแล้ว คราวนี้แหละเสร็จแผนแน่!”


               หมายความว่ายังไงกับคำว่าแผน? หม่อนงงกับคำพูดของคนเหล่านี้ พ่อกับแม่กำลังตามหาเขาอย่างนั้นหรอ ป้าเนตร

กับลุงสมหรือเปล่า? หรือพวกเขาหมายถึงใคร พ่อแม่ที่แท้จริงของหม่อนอย่างนั้นหรอ แต่พวกเขาไม่เคยมาให้หม่อนเห็นหน้า

เลยซักครั้งในชีวิตนะ


“พี่จ๋า ผมไม่มีพ่อแม่หรอก พี่ปล่อยผมไปเถอะนะ”


“เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่ โกหกเก่งเหมือนกันเว้ย เด็กตัวแค่นี้จะไม่มีพ่อแม่กันได้ยังไง รีบๆกินข้าวซะ ไม่อย่างนั้นกูจะเทให้หมาแถวนี้กิน

แทน”


“ครับๆ กินเดี๋ยวนี้แหละครับ”


“พี่! มันถูกมัดมืออยู่จะกินได้ยังไงล่ะข้าวกล่องนี้”


“จะยากอะไรมึงก็ป้อนมันสิ ”


“ผมเนี่ยนะ?”


“เออสิวะ หรือมึงมีปัญหาวะฮะ?”


       หม่อนมองดูชายสองคนตรงหน้าเกี่ยงกันป้อนข้าวให้เขา ทั้งตัวของเขาสั่นไปหมดด้วยความกลัว


“เอ้า อ้าปากสิวะ!”


“พี่จ๋า พวกพี่จับผมมาทำไม ผมไม่มีพ่อไม่มีแม่ พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะ”


“พี่! ไอ้เด็กนี่พูดคำเดิมอีกแล้ว มันบอกว่าไม่มีพ่อแม่”


“อย่าไปฟังมันมาก เด็กสมัยนี้หัวมันดี มึงนั่นแหละจะถูกเด็กหลอกเอา  มึงดูสารรูปเด็กนี่สิ ตัวเล็ก ผอมบาง ผิวขาวเนียน น่ารัก

อย่างนี้ ลูกผู้ดีชัวร์”


“อ้าปาก จะป้อนข้าวให้ อย่าอิดออดนะมึง ไม่อย่างนั้นข้าวในกล่องนี้กูจะเอาไปให้หมากินจริงๆด้วย” วัยรุ่นตรงหน้าบอกเขาเสียง

แข็ง แต่ไม่ทันที่ข้าวจะเข้าปาก  แต่แล้วแม่ธรณีก็ไมได้ใจร้ายกับเขาจนเกินไป




หวอออออออออออออออออออออ




“เฮ้ยพี่! นั่นเสียงวอรถตำรวจนี่หว่า!”


“แม่งเอ้ย ชาวบ้านแถวนี้ต้องไปคาบข่าวบอกแน่”


“เอาไงดีพี่ ยังมีเด็กที่เราจับมาอีก 2  3 คนด้วยนะ”


“กูไม่อยากเสี่ยงว่ะ อาวุธอะไรก็ไม่มีไปสู้ ถอยก่อนเถอะ!”


               หม่อนมองดูชายทั้งสี่คนวิ่งออกไปจากประตูด้านหลังที่มีป่ารกทึบนั้น หม่อนยังรู้สึกงงท่ามกลางเสียงหวอรถที่ดังใกล้

เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายความเป็นเด็กของหม่อนก็กระจ่าง เพราะเขาเคยเห็นชุดเครื่องแบบนี้อยู่บ้างในชีวิต  ตำรวจนั่นเอง!


“กระจายกำลังตามหาซิ พวกลักลอบค้ามนุษย์ยังไปไหนได้ไม่ไกลหรอก!” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นตรงหน้าเด็กชาย ที่กำลังร้องไห้ทั้ง

ดีใจและตกใจปนกันไปหมด


“หนู ไม่เป็นไรนะ ลุงมาช่วยแล้ว!” ตำรวจตรงหน้าแทนตัวเองว่าลุง จะว่าไปก็ลุงจริงๆในตอนนั้น เด็กตัวเล็กๆอย่างหม่อนรู้สึกดีใจ

มากที่สุดเลยที่ได้เจอตำรวจ



และคนตรงหน้ากลายเป็นผู้มีพระคุณหาที่เปรียบมิได้ในเวลาต่อมา…






             บ้านปูนสองชั้นครึ่งขนาดใหญ่ อยู่ภายในรั้วเหล็กดัดสีเหลืองทองรายล้อมเอาไว้ หลังจากที่ถูกช่วยผ่านมาได้ไม่นาน

เด็กๆที่ถูกจับมาก่อนหน้า ถูกส่งกลับไปหาพ่อแม่ของเขาหมด ยกเว้นก็แต่เด็กชายตัวเล็กผอมบางผิวขาวคนนี้


              สุดท้ายด้วยความที่หม่อนเองไม่ยอมกลับไปที่บ้านหลังเดิมและไม่เอ่ยชื่อนั้นให้ตำรวจได้ยิน เพราะคิดว่ายังไงป้าเนตร

กับลุงสมก็คงจะไม่คิดรับเลี้ยงเขาต่อไปแล้ว แต่ลุงตำรวจใจดีก็พาเด็กน้องวัย 12 ขวบอย่างเขานั่งรถคันสวย หม่อนเองก็ไม่รู้ว่า

รถคันนี้เขาเรียกกันว่าอะไร  รู้แต่ว่ามันนั่งสบายนุ่มนิ่มดีทีเดียวกลับมาที่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้แทน



     ดวงตากลมโตนั้นกวาดสายตามองบริเวณบ้านอย่างดีใจ และรู้สึกตื่นเต้นดีใจกับความใหญ่โตของสถานที่แห่งนี้ และไม่คิดว่า

จะเรียกบ้านพักอาศัยแม้แต่น้อย



“สวัสดีค่ะท่าน นี่น้ำเย็นค่ะ” หม่อนมองดูผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูยานใหญ่พรอ้มกับแก้วน้ำที่มีน้ำใสๆเกือบเต็มแก้ว

ออกมาด้วย



“ขอบใจเข็ม! แล้วนี่คุณผู้หญิงล่ะ!”


“คุณผู้หญิงออกไปทำผมข้างนอกได้สักพักใหญ่แล้วค่ะ”


“อย่างนั้นหรอ? อืมนี่เข็ม เด็กคนนี้ฉันไปช่วยมาจากคดีเมื่อครู่ ถูกจับตัวไป แต่โชคร้ายหน่อยที่เด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่ สืบสาวถามไถ่

เด็กคนนี้บอกแต่เพียงว่าเคยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”


“นี่คุณท่าน เอาเด็กคนนี้มาด้วย จะชุบเลี้ยงหรอคะ?”


“เป็นคำถามที่ดีนะเข็ม แต่รอคุณผู้หญิงกลับมาก่อน ฉันจะปรึกษากับเธอ จริงๆเราอยู่กันสองคนก็เหงา อีกอย่าง ตาบอร์น ฉันก็ส่ง

ไปเรียนที่เมืองนอกนานได้สองปีแล้ว มีเด็กให้เลี้ยงก็ดีเหมือนกัน ”


“แต่ว่าจะดีหรอคะ?” เข็มทำสีหน้าไม่ค่อยชอบกำพืดของหม่อนเองเสียเท่าไหร่กลัวว่าจะเป็นเด็กลักเล็กขโมยน้อย แต่ด้วยรูปร่าง

ผิวพรรณหน้าตาของเด็กคนนี้นั้นทำให้เธอเปลี่ยนใจและเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อย


“หม่อน นี่เข็มนะ เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของบ้าน ฉันจะรับเลี้ยงเธอเป็นลูกรึเปล่า เดี๋ยวรอคุณหญิงกลับมาก่อนแล้วกัน ตอนนี้

ให้แม่เข็มดูแลเด็กคนนี้ทีนะ”


“สวัสดีครับ ผมชื่อหม่อนครับ”


“ตายจริง น่าเอ็นดูจริงๆนะคะ อายุเท่าไหร่ล่ะเรา”


“ 12 ขวบครับ”


“ป่ะ ไปกับป้า ป้าจะพาไปดูห้องนอนนะ”


“ครับ”


                     หลังจากนั้นชีวิตใหม่ของผมดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นไม่น้อย ได้เจอกับผู้อุปถัมภ์คนใหม่ มันก็ดีไม่น้อย เขาส่งเสีย

เลี้ยงดูผมให้ได้เล่าเรียน มีรถไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็ยังไม่วายถูกตำหนิติเตียนจากเพื่อนร่วม

ห้องเรียนและคุณครูบางคนหาว่าเป็นแค่ลูกบุญธรรม แต่ทำตัวอย่างกับเป็นลูกแท้ๆของพันตำรวจเอกกับคุณหญิงก็มิปาน




                  แต่คำพูดของคนเหล่านั้นทำให้ผมเข้มแข็งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปีที่อยู่บ้านหลังนี้ ผมไม่เคยคิดจะ

สรรหาความสบาย  หลังเลิกเรียนหรือแม้แต่วันหยุดผมก็ช่วยงานป้าเข็มทำงานบ้านไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่แล้วเส้นทางชีวิตผม

กลับเปลี่ยนไปอีกหนในวันนั้นเอง…มันเป็นวันหยุดที่สุดแสนจะสบายทีเดียว แต่กลับเหมือนเป็นโชคชะตา ไม่สิเป็นเวรกรรมของ


หม่อนที่จะต้องเผชิญต่อไปอีก



“ป้าครับ ให้หม่อนช่วยอะไรไหม”  ใบหม่อนเปลี่ยนคำเรียกตัวเองจากผมเป็นชื่อเล่นตามคำแนะนำของคุณหญิงเพราะเธอคิดว่า

ชื่อ หม่อน น่าจะร่ารักฟังลื่นหูกว่าคำว่า ผม


“มีๆ วันนี้ป้าปวดขามากเลย หม่อนช่วย…”


“ช่วยนวดขาหรอป้า!”


“เปล่า ไปทำความสะอาดห้องคุณหนูให้ทีสิ”


“ได้สิครับ ว่าแต่ทำไมต้องทำความสะอาดหรอครับป้า ปกติไม่เคยเห็นป้าคิดจะเข้าไปทำเลยนะครับ”


“ก็คุณหนุบอร์นะสิ เรียนจบปริญญาที่อังกฤษแล้ว กำลังจะกลับเมืองไทยแล้วด้วย เลยกะว่าจะทำความสะอาดเอาไว้รอคุณหนุ

กลับมา”


“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วป้า งั้นหม่อนขอตัวไปทำเลยแล้วกันนะ”


“อืมๆ ทำระวังๆด้วยล่ะ อย่าไปซุ่มซ่ามทำของหล่นแตกนะ”


“เชื่อมือหม่อนเถอะป้า หม่อนเคยทำพลาดซักครั้งที่ไหนกัน”


“อืม ก็เพราะเชื่อในฝีมือนี่แหละ ถึงได้กล้าใช้”


                หม่อนเดินออกจากห้องป้าเข็มขึ้นไปที่ห้องนอนส่วนตัวของคุณหนูทันที มาอยู่บ้านหลังนี้กระทั่ง 2 ปีแล้ว เคยได้ยิน

แต่ชื่อของคุณหนู แต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริงเลยสักครั้ง เรียนจบปริญญาแล้วสินะ เด็กหนุ่มวัยรุ่นตอนต้นอย่างหม่อน พอจะคาด

คะเนอายุของคุณหนูได้ ตอนนี้น่าจะ 22 23 ปีเห็นจะได้



               ในระหว่างที่ดูดหยากไย่อยู่นั้น หม่อนเหลือบหันไปเห็นกรอบรูปมากมายตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นโชว์ของต่างๆ พอเดิน

เข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนจะเป็นรูปของคุณหนูบอร์น แต่นี่ก็รูปเก่าๆตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ก่อนไปเรียนต่างประเทศแน่ๆ เพราะในภาพคุณ

หนูยังดูเด็กมัธยมปลายอยู่เลย แต่ทำไม? ทำไมคุณบอร์นดูหล่อและสูงมากทีเดียว เตะตาต้องใจหม่อนตั้งแต่แรกเห็น


               เด็กหนุ่มวัย 14 ปีอย่างหม่อน ก็โตพอที่จะมีความรัก ความชอบเหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้างแล้ว เสียแต่ว่าความผิดปกติ

ของร่างกายและจิตใจของหม่อนกลับรู้สึกแปลกๆกับรูปภาพของคุณหนู ซึ่งผิดต่างไปจากผู้ชายคนอื่นที่ต้องชอบผู้หญิง


“ไม่ได้ๆๆ  นั่นคุณหนูนะหม่อน แถมเป็นผู้ชายด้วย แกจะมาหวั่นไหวแบบนี้ไม่ได้”


     หม่อนได้แต่พึมพำบอกตัวเอง ตัดสินใจละสายตาและถอยห่างจากกรอบรูปพวกนั้นไปซะ เขาเพียงแต่คิดไปคิดมา ต้องแย่ๆ

แน่ๆ หากตัวจริงของคุณบอร์นกลับมาล่ะ เขาจะทำยังไง เขาจะเก็บอารมณ์และความรู้สึกได้ดีขนาดไหนกันเชียวเมื่ออยู่ต่อหน้า


          แต่ก็นั่นแหละ หลังจากวันนั้น เป็นวันที่ผมรู้สึกเกลียดตัวเองตลอดมา เพราะผมไม่คิดว่าผมจะชอบผู้ชายด้วยกัน มันน่าสม

เพศมากใช่ไหม  ผมได้แต่เก็บความรู้สึกผิดต่างไปจากผู้ชายปกติทั่วไปเอาไว้ เด็กหนุ่มอย่างผมที่โตมากับความไม่เพียบพร้อม

ไม่สมบูรณ์แบบ ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีส่วนหรือไม่มี แต่ที่แน่ๆ คุณบอร์นกำลังจะกลับมาเมืองไทยแล้ว และนี่คือความทรมานใน

หัวใจของผมตลอดมาตั้งแต่อายุ 14 ปีถึง 20 ปี หลังจากนี้เลยทีเดียว




           ในวันที่คุณหนูตัวจริงของบ้านหลังสวยแห่งนี้กลับมา ทุกคนรอต้อนรับกันอย่างเหนียวแน่น ส่วนผมเองก็ได้แต่ก้มหน้าก้ม

ตามองหน้าคุณบอร์นบ้าง ไม่มองบ้างกลัวว่าจะไปทำแก้มแดงใส่คุณเขา



“พ่อครับแม่ครับ สวัสดีครับ”


“ตาบอร์น แม่คิดถึงลูกมากเลยรู้ไหม ขอแม่กอดทีหนึ่ง”


               ร่างสูงโผเข้ากอดคุณหญิง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเผลอสบตาผู้ชายตรงหน้านี้โดยตรง เพราะผมเองยืนอยู่ด้านหลัง

คุณหญิงพอดี ผมจำแววตาครั้งแรกนั้นของคุณบอร์นได้แม่น มีทั้งความแปลกใจและสงสัย  ก่อนจะผละจากอ้อมกอดของคุณ

หญิงแล้วจดจ้องมองมาที่ผม



“แม่ครับ พ่อครับ นี่ใคร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเสียงเรียบปนสงสัย


“นี่น้องหม่อน สองปีก่อน พ่อไปช่วยมาจากคดีลักขโมยเด็ก แต่น้องเขาไม่มีที่ไปพ่อกับแม่เลยรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม บอร์นคง

ไม่ว่าอะไรนะ”


“อ้ออย่างนี้นี่เอง พ่อครับผมจะไปว่าอะไรได้ ชื่อหม่อนหรอเรา?” คุณหนูเดิมเข้ามาถาม


“คะ…ครับ!”


“ฮ่าๆๆ เฮ้ยนี่! ทำน้ำเสียงกลัวอะไรขนาดนั้น ต่อไปนี้นายต้องเรียกพี่ว่าพี่บอร์นแล้วล่ะไอ้น้องชาย”


   บอร์นถือวิสาสะเอื้อมมือหนาสองข้างนั้นจับคางของหม่อนให้เงยหน้าขึ้นมามอง ดีกว่าจะเอาแต่ก้มมองพื้นอย่างเดียว


“ครับ!”


“ฮึ ครับอะไรกัน ไหนลองเรียกว่าพี่บอร์นซิ!”


“พี่บอร์น!”


“ฮ่าๆ นี่ผมมีน้องแล้วหรอครับ น่ารักดี อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา?”


“14 ปีครับ”


“กำลังเข้าช่วงวัยรุ่นสินะ อายุห่างผม 8 ปีเลยหรอเนี่ย พ่อครับแม่ครับแล้วน้องหม่อนพักอยู่ห้องไหนล่ะ”


“กับป้าเข็มนะลูก”


“ทำไมให้น้องไปนอนกับป้าเข็มล่ะครับ เดี๋ยวป้าเข็มอึดอัดแย่ ห้องป้าก็เล็กออกอย่างนั้น”


“พ่อก็บอกแล้ว แต่หม่อนเขาไม่ยอมบอกว่าขอนอนกับป้าเข็ม”


“งั้นตั้งแต่คืนนี้นายไปนอนกับพี่แล้วกันนะ หม่อน!”


                    ผมจำคำเอ่ยชวนนั้นได้ดี มันเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เกินคาด ความใจดีและใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ผมรู้สึกร้อน

วูบวาบไปทั้งตัว จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะบอกว่าผมชอบพี่ชายคนนี้แล้วสิ…



...อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน...


*******************************


มาแล้วมาแล้ว  :hao5: :hao5: :hao5:


หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 1) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 29-06-2016 19:46:20
ธรณีครวญ
ตอนที่ 2
ต้องอดทน



“เอ้า! นี่ สักผ้าให้ฉันด้วย วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอก”


           เสียงแจ้วๆ เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มพร้อมวางตะกร้าผ้าทำจากหวายมีผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในนั้น คนถือมานี้ชื่อ มะกอก

เธอเป็นคนใช้ของคุณหญิงโดยตรง และมาอยู่ก่อนหน้าหม่อนจะเข้ามาบ้านหลังนี้อีก      เธอมีรูปร่างสูงโปร่ง แต่ผิวสีแทน นิสัย

ชอบยกยอปอปั้นเป็นที่สุดไม่ต่างอะไรไปจากสีผิวของเธอเลย



           ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้นอกจากหม่อนกับป้าเข็ม เมื่อไหร่ที่คุณท่านกับคุณบอร์นไม่อยู่ เห็นทีจะต้องคอยรับมือทั้งคุณ

หญิงและคนรับใช้หนักเลยทีเดียว ไม่ต่างจากครั้งนี้ที่ มะกอก กำลังทำอยู่ตรงหน้า



“มองอะไรยะ! ไม่พอใจหรือยังไง นี่คำสั่งคุณหญิงเลยนะ”


“ครับ เดี๋ยวผมซักให้ ขอผมซักเสื้อผ้าผมก่อนนะ”


“ไม่ได้! ต้องซักตอนนี้ เพราะพรุ่งนี้ฉันจะใส่เสื้อผ้าของฉันไปเดินตลาด” เธอพูดพลางนึกฝันไปว่าได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆไปเดินด้าน

นอก แปลกแต่จริงเสื้อผ้าของใครใครก็ต้องซักเอง หรือไม่ก็จ้างซัก ไม่มีใครเขามาฝากคนอื่นทำให้แบบนี้หรอก หม่อนได้แต่คิด

ในใจ



“แหม อีมะกอก คราวนี้จะแกล้งอะไรไอ้หม่อนมันอีกล่ะ เสื้อผ้าของมึง มึงก็ซักเองสิ”


“เรื่องอะไรล่ะป้า คุณหญิงเธอสั่งฉันมาเองว่า มีอะไรแกล้งไอ้กาฝากนี่ ก็ให้ทำๆไปได้เลย ฉันก็แค่สนองปากคุณหญิงทำนะสิ ”

มะกอกพูดลอยหน้าลอยตาไม่คิดเกรงใจป้าเข็ม ทั้งที่มีศักดิ์และอายุมากกว่าเธออีก


“อีขี้ข้าเลียแข้งอย่างมึงนี่ เมื่อไหร่นะที่จะออกจากบ้านนี้ไปซะที” ป้าเข็มแกเหลืออดพลางเดินเข้าไปหามะกอกทันที


“อย่าครับป้าเข็ม! ไม่เป็นไรหรอก หม่อนเองก็ซักให้พี่มะกอกทุกครั้ง ผมไม่เหนื่อยหรอก”


“แกก็เป็นซะอย่างนี้ไง เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณท่านก็สิ้นเรื่อง อย่างคุณหญิงนะคุณท่านพูดอะไร เธอก็ทำตามทั้งนั้น ”


“ป้า! อย่าคิดเสี้ยมไอ้หม่อนมันนักเลย เสียเวลาเปล่า คนโง่ๆอย่างไอ้หม่อนมีหรือจะกล้าต่อกร นี่คงไม่คิดจะเนรคุณคุณหญิง

หรอกนะหม่อนจ๋า” มะกอกยิ้มแสยะให้เด็กหนุ่มอย่างได้ใจ


“มึงจะไปไหน มึงก็ไปเลยไปอีมะกอก ก่อนที่มะกอกในมือกูจะลงหัวมึงเข้าจริงๆ” ป้าเข็มขู่เสียงดัง


“โอ้ย ป้า! จะอะไรกับฉันนักหนาเนี่ย ไปก็ได้เชอะ!”


         หม่อนค่อยๆปล่อยมือออกจากแขนป้าเข็มแล้วกลับมานั่งลงที่ตั่งไม้ ก้มหน้าก้มตาจัดการกับเสื้อผ้าในกะละมังที่เหลือให้

หมด


“ไม่ต้องไปซักให้มันนะ ถ้าขืนแกยอมมันอยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ ที่แกจะสบายซักที”


“ไม่เอาน่าป้า ผมทำได้ เสื้อผ้าพี่มะกอกก็ไมได้เยอะอะไรมากมาย ป้าไปพักผ่อนเถอะนะ ”


“แกนี่นะจริงๆเลยไอ้หม่อน เครื่องซักผ้าก็มีกลับไม่ใช้  แปลกคนจริงๆ”


“หม่อนชินกับการซักมือครับป้า มันสะอาดกว่าแล้วก็ถนอมผ้าด้วย”


“เออๆจะทำอะไรก็ทำ เสร็จแล้วก็รีบๆมากินข้าวเที่ยงด้วย ป้าแบ่งเตรียมไว้ให้ต่างหากแล้ว อยู่ในฝาชีนะ”


“ครับป้า”




                   สิ่งที่โดนกระทำจากบ้านหลังนี้ ยังไม่หมดลงเท่านี้หรอก ผมจะเล่าให้หมดทุกอย่างถึงความเลวร้ายและกระทบ

จิตใจผมมากมายเหลือเกิน ไม่มีใครช่วยผมได้จริงๆ คนอื่นๆที่สงสารก็ทำได้แต่สังเวทและเป็นกำลังใจให้ ป้าเข็มคือผู้ที่ผมเคารพ

และเทิดทูนที่สุดแล้วรองจากคุณท่าน เวลาเสียใจหรือเศร้าใจก็มีแต่ป้าเข็มเท่านั้นที่ปลอบใจ



“ป้าครับ ข้าวของหม่อนป้าเก็บไว้ที่ไหนครับ?”


“อ้าว ไม่อยู่ในฝาชีหรอ?”


“ไม่ครับ มีแต่จานข้าวกับเศษอาหารเหมือนเพิ่งจะกินไปเอง”


“ตายแล้ว! แมวที่ไหนมาแอบกินได้นะ” ป้าเข็มเปรียบเทียบไปอย่างนั้นไม่คิดว่าแมวจะมากินจริงๆหรอก


“มีอะไรกันหรอจ้ะ ป้าหลาน?”อีกครั้งที่หญิงสาวรุ่นพี่คนเดิมเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมท่าทางที่มาก่อกวนอีกตามเคย  แต่กลับ

ไม่มีใครสนใจมะกอกเท่าไหร่นัก


“เดี๋ยวป้าเจียวไข่ให้แกกินก็แล้วกันนะ”


“ขอบคุณครับป้า”


“ตายจริงนี่ไอ้หม่อน มึงยังไมได้กินข้าวเที่ยงหรอวะ น่าสงสารเนอะ!” มะกอกเน้นประโยคสุดท้ายเสียงดังพร้อมจริตสีหน้าแววตา

ตาด้วยแล้ว อดสงสัยไมได้จริงๆว่าจะเป็นมะกอกอีกเช่นเคยที่ทำเรื่องนี้


“ก็ใช่นะสิวะ ผีห่า นรกหลุดมาจากไหนก็ไม่รู้มาแอบกินของของคนอื่น ทั้งๆที่ไมได้จุดธูปเชิญ” ป้าเข็มกำลังตอกไข่อยู่หันมา

พูดจากระแทกจิตใจของมะกอก


“ป้า! นี่ป้าว่าฉันนี่นา?”


“อะไรของมึงอีมะกอก กูก็พูดเดาไปเรื่อย หรือว่าเป็นมึงหรอกหรอที่มาขอส่วนบุญ”


“ป้า!” มะกอกโวยวายไม่ยอมทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหา


“อย่านะพี่มะกอก ถ้าพี่ไมได้ทำพี่ก็อย่ามีปากเสียงกับป้าเข็มเลย ยังไงป้าเข็มแกก็เป็นป้าของพวกเรานะ”


   หม่อนเดินไปขวางหน้าเอาไว้ เขาไม่ยอมให้มะกออกเข้ามาทำอะไรป้าเข็มแน่


“เชอะ! เอาเถอะ ฉันไม่ได้กินข้าวของแกก็แล้วกันไอ้หม่อน กินเสร็จก็ไปล้างจานด้วย กองอยู่ที่อ่างล้างแล้ว”


“อีมะกอก นั่นหน้าที่มึงไม่ใช่หรอวะฮะ” ป้าเข็มโมโหตะโกนด่า


“มันก็ใช่นะจ๊ะป้า แต่วันนี้ไม่ใช่ ฉันไปก่อนนะ”


      ทั้งหม่อนและป้าเข็มมองตามหลังหญิงร่างสูงผิวเข้มไปด้วยความแปลกใจและสงสัย หมายความว่ายังไงวันนี้ไม่ใช่?


“ไม่ต้องไปทำนะหม่อน แกมีหน้าที่กินข้าวเที่ยงแล้วก็ไปตัดแต่งต้นไม้ในสวนหย่อม”


“แต่ว่า…”


“ไม่มีแต่ ถ้าคุณหญิงไม่เห็นแกไปตัดแต่งสวนหย่อม แกนั่นแหละจะแย่เอา”


“ครับป้า”


“นั่งรอเดี๋ยวนะ ไข่เจียวจนจะสุขแล้ว”




                    ป้าเข็มบอกอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ก่อนจะหันไปเจียวไข่ในกระทะต่อ หม่อนรู้สึกหนักใจทุกครั้งไม่เคยชิน

เลยเสียที เวลาคุณท่านกับคุณบอร์นไม่อยู่เป็นต้องเจอเรื่องแบบนี้ตลอด และมาไม่ซ้ำรูปแบบเลย ใจคอของคุณหญิงนั้นหม่อน

ทราบดีมาตลอดว่าอยากให้เขาออกจากบ้านหลังนี้ไปให้เร็วที่สุด เพียงแต่เขาเองไม่รู้ว่าเพราะด้วยเหตุผลอะไรคุณหญิงถึงได้

กีดกันเขานัก




              วันเวลาผ่านไป หม่อนยืนยัดและทนอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป จนกระทั่งอีก 2 ปีผ่านมา รวมอายุได้ 16 ปี หม่อนในปัจจุบัน

สูงขึ้นกว่าเดิม 10 เซนติเมตร แต่นั่นก็เพียง 165 เซนติเมตรเท่านั้น ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเดิม ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าคมคาย

หล่อขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความรู้สึกที่มีต่อคุณบอร์น พี่ชายสมมติในชีวิตจริงของเขา



“นี่หม่อน หยิบหนังสือที่หัวเตียงนอนให้พี่หน่อยสิ”



  เสียงทุ้มไหว้วานจากพี่ชายสุดหล่อบอกทั้งๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด หม่อนมีหรือจะไม่ทำตาม


“เล่มไหนครับพี่บอร์น มันมีสองเล่ม”


“เล่มที่เขียนว่า เที่ยวยุโรปอ่ะ”


“นี่ครับพี่ หนังสือที่พี่ต้องการ”


                มือเล็กๆถือหนังสือเล่มดังกล่าวไปให้ บอร์นรับมันมาและไม่ลืมที่จะเงยหน้าบอกน้องชายของเขา


“ขอบใจนะ นี่ก็เรียนมอ 4 แล้วสิ ไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรอ?”


“แฟนอะไรกันครับพี่บอร์น ผมไม่มีหรอก” หม่อนทำสีหน้าหงอยๆ


“เป็นอะไรอีกล่ะ หรือว่ากำลังจะงอนพี่อีกแล้ว”


“เปล่าครับ แค่ช่วงนี้รู้สึกว่าพี่ชายไปยุโรปบ่อยจังเลยก็เท่านั้น”


“เอาไว้ปิดเทอมเมื่อไหร่พี่จะพาไปเที่ยวแล้วกันนะ แต่ครั้งนี้ที่พี่ไป พี่ไปเรื่องงานแต่งงานของเพื่อนสมัยเรียนที่อังกฤษ พี่ไปแป๊บ

เดียวเดี๋ยวก็กลับ”


“ครับ!” หม่อนตอบสั้นๆ เขาไม่มีสิทธิ์จะห้ามหรือยั้งความคิดของหนุ่มรุ่นพี่ที่บัดนี้อายุปาเข้าไป 24 ปีแล้ว


“หม่อน จบมอปลายแล้วอยากเรียนเกี่ยวกับอะไร?”


“ยังไมได้คิดหรอกครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าอยากจะเป็นอะไรเหมือนกัน ” ร่างบางบอกคนตรงหน้าไป


“อยากไปเรียนต่างประเทศไหม พี่ขอพ่อกับแม่ให้ได้นะ”


“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากไปไหน ผมอยากอยู่ที่ประเทศไทย อยากตอบแทนพระคุณคุณท่านที่คอยช่วยเหลือและเลี้ยงดูผมมา”


“อ้าวแล้วพี่ล่ะ ไม่อยากตอบแทนหรือไง?”


“ก็…ตอบแทนสิครับ แล้วพี่บอร์นอยากให้ผมตอบแทนอะไรดี?”


“ยังคิดไม่ออกหรอก ไว้คิดออกแล้วจะบอก ดึกมากแล้วน้องนอนเถอะ เดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ทันนะ ”


“แล้วพี่บอร์นไม่นอนพร้อมกันหรอครับ”


“พี่ขอดูสถานที่ท่องเที่ยวต่ออีกนิดแล้วกัน น้องไม่ต้องรอพี่หรอก นอนก่อนเลย”


“ครับพี่ฝันดีนะครับ”


“ครับน้องพี่!”



                  ร่างบางช่างน่าสงสารและน่าเห็นใจ คำอวยพรส่งเข้านอนทุกคืนตั้งแต่ 2 ปีก่อนนั้น มันแฝงอะไรไว้ชัดเจน หากแต่

บอร์นไม่คิดที่จะตีความเป็นอื่นเลยแม้แต่น้อย ชีวิตนี้หม่อนคงทำได้แค่นี้สินะ


                 และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่บอร์นเดินทางไปต่างประเทศตามที่เคยเปรยไว้ก่อนหน้านี้ และคุณท่านก็ออกไปทำงาน

ที่สถานีตำรวจเช่นเคย ชีวิตของหม่อนก็วนเวียนเข้าวัฏจักรเดิม นั่นคือชีวิตการเป็นอยู่ที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนรับใช้เลยแม้แต่น้อย

นิด


                 คืนนั้นท้องฟ้าเปิด มองเห็นดาวและดวงจันทร์ส่องประกายอยู่เต็มท้องฟ้า หม่อนปลีกตัวออกมานั่งชันเข่ากับพื้นดิน

ในสวนหย่อมเช่นนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส ดวงตาที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นเพื่ออะไรกัน?  เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ก็ได้แต่มองมัน

อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสายตาของหม่อนจับภาพนั้นทัน ดาวตกอย่างไรล่ะ



“ดาวตก! ขอพรอะไรดีนะ?”



               หนุ่มน้อยทำสีหน้าดีใจ พร้อมกับพนมมือขอพรหนึ่งข้ออยู่ในใจทันที พรข้อนั้นไมได้ขอเพื่อตัวเองแม้แต่น้อย สิ่งที่เขา

ขอครั้งนั้นคือ ขอให้บอร์นเดินทางไปกลับปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ ยิ่งหม่อนอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกที่คิดต่อพี่ชายคนนี้ยิ่ง

มากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเองมั่นใจแล้วว่ามันเป็นความรักของชายรักชาย แต่คนที่เขาแอบรักช่างสูงส่งเหลือเกิน มันไม่มีทางเป็นไป

ได้เลย ถึงแม้เขาจะเกิดเป็นหญิงก็ตาม ไม่มีทางสมหวังเรื่องความรักกับบอร์นได้แน่


“อ้าว! นี่เธอเองหรอกหรอหม่อน ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก” เสียงทักของใครบางคนเดินเข้ามาในสวนหย่อม เด็กหนุ่ม

ตกใจเล็กน้อยพลางหันไปทางต้นเสียงกลับเจอทั้งคุณหญิงและมะกอก ยืนยิ้มเยาะหยันอยู่



“เอ่อ…ผม ผมกำลังจะกลับไปนอนเดี๋ยวนี้แหละครับ”


“เดี๋ยว! ทางกลับห้องไม่ใช่ทางนั้น แกต้องนอนกับป้าเข็มไปจนกว่าลูกชายของฉันจะกลับมา เข้าใจไหม?”


“ครับคุณหญิง” หม่อนขานรับพร้อมๆกับยืนก้มหน้าก้มตา


“ฉันถามจริงๆหน่อยเถอะ ไม่คิดอยากจะไปอยู่ที่ไหนซักที่ ที่เป็นบ้านของเธอเองหรือไง? ฉันมีเงินให้เธอไปตั้งตัวได้ก้อนหนึ่งเลย

นะ”


“ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ ผมอยากเรียนให้จบปริญญาก่อน!”


“ปริญญาหรอ ฮ่าๆๆๆๆ นังมะกอก ได้ยินเหมือนฉันไหม เด็กคนนี้อยากเรียนถึงปริญญา ไม่ฝันหวานไปหน่อยหรอพ่อหนุ่มน้อย”

คุณหญิงกอดอกพูด


“ฉันจะบอกให้นะหม่อน ชีวิตเธอเดินทางมาได้ถึงขนาดนี้ ฉันว่ามันก็ดีมากมายพอแล้ว นี่ก็ส่งเสียให้เรียนฟรีอยู่ฟรีจนถึงมอ 4 ลูก

หลานฉันก็ไม่ใช่ ใครที่ไหนก็ไม่รู้ พื้นหลังประวัติจริงเท็จแค่ไหนนั้นไม่มีใครรู้ ก่อนหน้าจะมาอยู่ที่นี่ เด็กอย่างเธอเองอาจจะทำ

เรื่องไม่ดีมามากพอสมควรเสียด้วยซ้ำ นับวันรอออกจากบ้านฉันได้เลยเถอะ กลับไปคิดดูให้ดี เด็กอายุเท่าเธอ หลายคนเขาเอา

ตัวรอดกันได้ หางานทำ มีเงินมีทองใช้กันได้เยอะแยะ”



“คุณหญิงครับ ผมไหว้นะครับ ขอให้ผมเรียนจบปริญญาก่อน แล้วผมจะไปจากที่นี่นะครับ”


“ไม่ได้ ฉันไม่ไว้ใจแก เชื้อไม่มีแถว แนวไม่มีกอ แบบนี้ฉันไม่ชอบ!”


“จริงค่ะคุณหญิง ” มะกอกอเสริมขึ้นมาทันที


“ไปคิดดูให้ดีนะ เงินที่ฉันจะให้เธอไปตั้งตัวมันมากพอ ที่ชีวิตของเธอไม่มีวันจะได้เห็นอีกแล้วในชีวิตนี้แน่”


“คุณหญิง ผมกราบล่ะครับ เมตตาผมด้วย ผมรับรองว่าผมจะไม่สร้างความลำบากใจ จะทำงานตามที่คุณหญิงบอกทุกอย่างครับ”


“ขอบใจนะหม่อนที่เสนอเงื่อนไขนี้ให้ฉัน ฉันเชื่อแน่นอนว่าเธอทำได้ตามที่เธอบอก แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องการเธอแล้ว ก่อนหน้านี้

ฉันเวทนาเธอหรอกนะ เพราะเห็นเป็นเด็กอยู่เลยรับเลี้ยงไว้ตามที่สามีฉันขอ แต่ตอนนี้เธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว อีกสอง

วันฉันจะให้คนขับรถพาเธอไปที่บ้านหลังใหม่ ฉันเตรียมไว้หมดแล้ว คราวนี้ขึ้นอยู่กับเธอเสียแล้วล่ะนะว่าจะยินยอมและตกลง

หรือไม่ก็ไปเร่ร่อนนอกถนน!”


“คุณหญิง ฮึก ฮือ ได้โปรด อย่าเพิ่งไล่ผมไปไหน ผมไม่ได้ทำผิดอะไร คุณอย่าไล่ผมเลยนะครับ”


“มึงนี่น่ารำคาญจริงๆเลยไอ้หม่อน คุณหญิงคะอย่าไปฟังเลยค่ะ กลับห้องไปนอนดีกว่านะคะ”


“ก็ดี จัดการต่อให้ฉันด้วยนะมะกอก”


“คุณหญิงจะจงเกลียดจงชังผมไปทำไมครับ ผมทำอะไรให้คุณหญิงไม่สบายใจ ผมพร้อมปรับปรุงตัวครับ ฮึก ฮือ ฮือ”


“ไม่มีประโยชน์หรอกหม่อน สิ่งที่เธอเป็นอยู่ เธอไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ อย่าให้ฉันต้องพูดไปตรงๆว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นคือ

อะไร อย่าคิดว่าฉันจะดูเธอไม่ออก”


“คุณหญิงพูดเรื่องอะไรครับ ฮึก! ”


“อย่าซื่อไปหน่อยเลยหม่อน เธอกับบอร์น ลูกชายฉัน  ฉันรับรู้ได้!”


“ฮึก ฮือออออ คุณหญิง คุณหญิงจะทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ฮึก ฮือออ”


             เป็นอย่างไรชีวิตฉากนี้ของผม ผมจำฉากนี้ได้แม่นเลย ผมหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดว่าจะมีคนดูผมออก คุณหญิงรู้

แล้วว่าผมไม่ใช่ผู้ชาย เธอกำลังปกป้องและกีดกันผม เพื่อความปลอดภัยของลูกชายสินะ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมเสียน้ำตาไปเท่า

ไหร่ ต้องถูกยินยอมทั้งๆที่อีกฝ่ายมัดมือชัดอย่างนั้น


             ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ ที่นี่เหมือนครอบครัวผมไปแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนผมจะถูกกระเด็นออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

ชีวิตของผมที่จะไมได้เจอหน้าพี่ชายที่แอบรักและแอบชอบอีกแล้วสินะ ชีวิตของผมมันยังถูกย่ำยีไม่พอหรือยังไง แต่ตอนนี้ผม

ตอบได้เต็มปากว่าเรื่องราวของผมยังไม่หมดแค่นี้หรอก นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ต่อให้ต้องเสียน้ำตาจนขาดใจตาย ผมว่าคงไม่มีใคร

สนใจผมหรอก…


...อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน...



*********************************



:hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 2) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-06-2016 20:15:02
รู้สึกว่าบางทีหม่อนก็ปล่อยให้โชคชะตา (หรือคนอื่น) นำพาชีวิต แทนที่ตัวเองจะเป็นคนกำหนดนะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 2) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-06-2016 20:20:26
โถว~ น้องหม่อน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 1) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-06-2016 21:50:43
ลองตามดู
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 2) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 29-06-2016 22:20:30
ลงชื่อติดตามค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 2) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 30-06-2016 03:53:11
เหมือนโดนพัดไปเรื่อย
หม่อนอยู่ไหนได้ไม่นานจริงๆ
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 2) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 30-06-2016 09:58:02
ธรณีครวญ
ตอนที่ 3
ที่พึ่งทางใจ



               สุดท้ายวันที่ผมต้องไปก็มาถึง…คนที่พอจะช่วยผมได้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ราวกับว่าเป็นแผนการของคุณหญิงที่

ต้องการให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ผมถูกบังคับให้เก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมรับไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้ปล่อยโฮ

แม้แต่ผมเองยังเวทนาให้กับตัวเอง ชีวิตของผมมันเลือกเส้นทางไม่ได้จริงๆ แต่คำพูดของคุณหญิงมีดีอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ สัจจะ

วาจาที่เชื่อถือได้




“ไอ้เมฆ! พามันไปบ้านหลังใหม่ด้วย ตามที่คุณหญิงเธอได้บอกมา อย่าลืมล่ะ!”



             เด็กหนุ่มสังเกตเห็นมะกอกพูดจาแปลกๆพลางยิ้มหวานให้คนขับรถที่ชื่อเมฆ หม่อนดูตาเดียวก็รู้ว่าต้องมีอะไรสักอย่าง

แต่สักอย่างที่ว่ามันคืออะไร เขาจะไม่มีทางรู้เด็ดขาดจนกระทั่งรถตู้ของบ้านพาขับมาส่งที่หมาย






              หลังจากรถแล่นออกมาจากบ้าน ก็กินเวลาไปกว่า 4 ชั่วโมงเห็นจะได้ ทำไมบ้านใหม่ถึงได้ไกลขนาดนี้กันนะ  ร่างบาง

มองดูรอบข้างถนน ที่ไม่เคยได้เห็นหรือเคยมา จากบ้านเมืองหนาแน่นแออัด กลายเป็นทุ่งนา ทุ่งข้าวสีเหลืองทอง หม่อนเองเพิ่ง

จะเคยได้เห็นมันครั้งแรกก็ตอนนี้ ก่อนหน้าเคยเห็นแค่เพียงในหนังสือเรียนเท่านั้น




           จากทุ่งนา เข้าป่าทึบ บนถนนเส้นใหญ่รถราแล่นไปมามากมาย นี่คนขับรถจะพาเขาไปไหนกันนะ สุดท้ายที่สุด หม่อน

เองก็ได้รู้แล้วว่าเขาถูกพามาที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา หลังจากป้ายสีเขียวขนาดใหญ่บอกอำเภอ จังหวัดลอยเหนือ

พื้นถนนนั้น  แล้วเลี้ยวลงข้างทางกลายเป็นถนนเส้นเล็กๆ จนมองเห็นรั้วขนาดใหญ่ มีพื้นที่ราบกว้างใหญ่และมีทิวเขาเป็นฉาก

หลัง




“เอ้า! ลงมา ถึงแล้วบ้านหลังใหม่”


                เมฆรีบดับเครื่องแล้วลงมาเปิดประตูให้เขา เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย เพียงแค่เท้าเรียวๆ

ของเขาถึงพื้น ก็แอบสูดลมหายใจเข้าปอดทันทีอย่างลืมตัว



“ไอ้หม่อน ยืนทำบ้าอะไรอยู่นั่น มานี่ก่อนเร็ว! ” เสียงนายเมฆตะหวาดเรียกอย่างไม่พอใจตามหลัง 


“ครับๆ ”


               เด็กหนุ่มนั่งรออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เย็นเฉียบอยู่นาน จนกระทั่งใครบางคนก็เดินเข้ามา เป็นชายหนุ่มร่างสูงแต่งตัว

ราวกับคาวบอย แบบใบหน้าที่ดุดันเพราะไว้เคราไว้หนวดนั้น หม่อนเองกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาชอบกล ทั้งๆที่ชายหนุ่มตรงหน้านั้นไม่

ได้ขี้เหร่อะไร แต่จัดว่าเป็นชายหนุ่มสไตล์คาวบอยเสียมากกว่า



“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง”


“อืม มาแล้วหรอ? นี่นะหรอ คนที่คุณหญิงคะยั้นคะยอให้ฉันรับเอาไว้ให้มาเป็นคนของฉันที่นี่”


           คนของพ่อเลี้ยง? หม่อนได้ยินเต็มหู เขาถึงกับจุกอกพูดไม่ออก นอกจากคุณหญิงจะให้เงินเขามาใช้เต็มกระเป๋าสะพาย

กับบ้านพักหลังใหม่ตามที่สัญญา กลับไม่ได้บอกว่าจะพามาเป็นคนของพ่อเลี้ยงด้วย? นี่มันเรื่องอะไร


“เอ้าไอ้หม่อน ไหว้พ่อเลี้ยงกรสิวะ”


“สวัสดีครับ”



            หม่อนยกมือไหว้ แอบมองหน้าพ่อเลี้ยงแว๊บแรก แต่ดูเหมือนอีกคนจะจ้องอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นแววตาที่แปลกๆบอกไม่

ถูก เขารู้แต่เพียงว่าพ่อเลี้ยงคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่!



“หมดธุระของนายแล้วใช่ไหม?”


“เอ่อครับ ถ้ายังไงผมกลับกรุงเทพฯเลยก็แล้วกัน ลาแล้วครับพ่อเลี้ยง”


             นายเมฆที่ดูจะหน้าเสียไม่น้อย หลังถูกเจ้าของบ้านขับไล่ไปทางอ้อมแบบนั้น เจ้าตัวแทบลงเดินกลับออกไปที่ไม่ทันที

เดียว  ตอนนี้ก็เหลือแค่เขากับพ่อเลี้ยงสองคนแล้วสิ ร่างสูงเดินไปเดินมาภายในห้อง แอบชำเลืองมองมาที่เด็กหนุ่มเป็นพักๆ

สร้างความอึดอัดให้กับเขาเป็นอย่างมาก



“ชื่ออะไร!” เสียงทุ้มดังขึ้น จนอีกคนสะดุ้งตกใจ


“หม่อนครับ”


“แล้วรู้ไหมว่าฉันชื่ออะไร?”


“ทราบครับ พ่อเลี้ยงชื่อกร” หม่อนตอบไปเท่าที่รู้


“ฮ่าๆๆๆ ดี ฉลาดเก็บข้อมูลได้เร็ว ทั้งๆที่คนขับรถเรียกชื่อแกแล้วครั้งหนึ่ง แต่ฉันกลับจำไมได้ขึ้นมาเสียดื้อๆ”


              พ่อเลี้ยงกร ยังเดินไปเดินมาภายในห้องอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ช่างเป็นอะไรที่อึดอัดของเด็ก

หนุ่มยิ่งนัก


“อายุเท่าไหร่”


“16 ปีครับ”


“ไม่เลว ปีนี้ฉันก็ย่างเข้า 33 ปีแล้ว ยังไม่มีเมียเสียด้วย รู้ไหมว่าทำไมฉันไม่มี!”


“ไม่ทราบครับ” หม่อนตอบอย่างรวดเร็ว เพราะอีกคนชำเลืองมองตลอดเวลา


“ไม่คิดหน่อยหรอว่าที่คุณหญิง พาแกมาส่งที่นี่เพราะอะไร?” พ่อเลี้ยงเอ่ยถามต่อ


“ไม่ทราบครับ”


“อะไรกัน ถามนั่นก็ไม่ทราบ นี่ก็ไม่ทราบ เด็กแบบนี้ทำไมช่างใสซื่อเสียจริง ไอ้นาย!”


          พ่อเลี้ยงตะโกนร้องเรียกเสียงดัง แต่แปลกนะห้องก็ไม่ได้เปิดประตู เปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่เสียงกลับเล็ดลอดออกไปด้าน

นอกได้ สักพักก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าคร่าตาดูกลิ้งกลอกชอบกล แอบชำเลืองมองมาที่เขาด้วยหนึ่งครั้ง



“ครับพ่อเลี้ยง!”


“พาคนของฉันไปที่บ้าน หาห้องว่างให้อยู่ แล้วพาเขากลับมาที่ฟาร์มด้วย ฉันมีอะไรที่ต้องสอนเขาหลายอย่าง”


“พ่อเลี้ยง อย่าบอกนะครับว่าจะ…”


“ไอ้นาย! สั่งอะไรก็ให้ทำสิวะ หรืออยากกินลูกปืนที่เอวกูก่อนฮะ!”


“ครับพ่อเลี้ยงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ เชิญครับคุณ…”


               ชีวิตใหม่ของผมกับฟาร์มกว้างใหญ่ที่ปากช่องนี้ มันก็ดูราบเรียบดีหรอก หากแต่คำว่า คนของพ่อเลี้ยงนั้น ผมชักไม่

เข้าใจดีนัก แต่ไม่มีอะไรเก็บเป็นความลับได้นาน คำตอบนั้นมันก็เฉลยเองอยู่ในตัวของมันแล้ว หลังจากนี้คุณจะได้รู้ความจริงของ

ชีวิตผม จากความเศร้าแต่ดูเหมือนต่อจากนี้ผมเหมือนจะมีความสุขอยู่บ้าง เท่าที่จำได้ กับสถานที่แห่งนี้


“นายแต่งตัวแบบนี้ น่ารักมากเลยนะรู้ไหม?”


“ครับ!”

       

 หม่อนถูกพาออกจากบ้านหลังใหญ่ฟากโน้น มาที่ฟาร์มแห่งนี้แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกที่หนึ่ง เพราะตรงหน้าเขามีแกะขนสีเทา

หลายสิบตัวกำลังเดินไปเดินมาอยู่  กับชุดที่เขาใส่นี่ท่าทางเหมาะแก่การทำงานตรงหน้าเสียจริง



“เห็นคราดนั่นไหม? แล้วนั่นที่กลางแจ้งนั้น กองอึของแกะ ไปกวาดกองๆกันไว้ แล้วหอบใส่ถุงปุ๋ยนี่!”


          พ่อเลี้ยงกรสั่งงานทำหน้าตาเฉย หม่อนรู้ดีว่าพ่อเลี้ยงต้องการจะสื่ออะไร เพราะคำตอบก่อนหน้านี้ พี่นายคนสนิทของพ่อ

เลี้ยงบอกหมดแล้วว่า เขาถูกพามาที่นี่เพื่อมาเป็นคนของพ่อเลี้ยง ที่ก็ไมได้ต่างอะไรไปจากถูกเร่ขายตัวมานั่นแหละ แต่ดีหน่อย

ตรงที่เขาไม่ต้องไปโชว์ตัวในตู้กระจกหรือว่าทำงานกลางคืน เรื่องแบบนี้เขาเองก็หนักใจ แต่จะให้หนีไปเลยตอนนี้เขาบอกเลยว่า

สิ้นคิด เพราะชีวิตของหม่อนตอนนี้เป็นของพ่อเลี้ยง ไม่ใช่คนของคุณท่านพันตำรวจเอกกับคุณบอร์นอีกต่อไปแล้ว





     คิดมาก็น่าเศร้าไม่รู้ป่านนี้คุณท่านกับคุณบอร์นจะถามหาเขาหรือเปล่า คิดจะออกตามหาเขาไหม แต่ก็อย่าไปคิดเลย หม่อน

จำคำหนึ่งของคุณครูเมื่อครั้งยังเด็กและอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ครูที่เขารักและเคารพที่สุดในเวลานี้เขาอยากจะกลับไปที่นั่น

อีกสักครั้ง แม้จะจำไมได้แล้วก็ตามว่าเส้นทางที่จะกลับไปนั้นไปยังไง ครูพูดประโยคหนึ่งจำขึ้นใจว่า…



“เกิดเป็นคนแล้ว ก็ต้องสู้ชีวิต อย่าเอาปมชีวิตที่ด่างพร้อยมาทำให้เราท้อนะหม่อน”


             เด็กหนุ่มกวาดอึแกะ ไปเรื่อยๆพร้อมกับนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่ผ่านมา อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทำไมกันสวรรค์ทำได้แต่กลั้น

แกล้งเขา เขาก็คนคนหนึ่งเหมือนกัน แต่กลับถูกโยกย้ายไปมาราวกับไม่ใช่คน



“นี่ นายร้องไห้? อยู่นิ่งๆนะ เดี๋ยวจะเช็ดน้ำตาไห้!”



             ร่างบางอึ้งเล็กน้อยไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงที่เขาประหม่าว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่กลับทำสิ่งที่อ่อนโยนและมีผลต่อจิตใจเขาอย่าง

มากทีเดียว ขนเกือบจะเขวจากบอร์น พี่ชายที่แสนดีคนนั้นไปเสียแล้ว



“จ้องหน้าฉันทำไม ซึ้งละสิ!” พ่อเลี้ยงกรพูดเปรยขึ้น แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม มีเพียงน้ำเสียงเรียบๆแต่ดูเป็นห่วงเป็นใยเขาเสีย

เหลือเกิน



“ขอบคุณครับ ผมกวาดอึแกะมากองกันหมดแล้ว พ่อเลี้ยงมีอะไรให้ผมทำอีกไหมครับ”


“มีแน่! แต่นายต้องบอกฉันมาก่อนว่านายร้องไห้ทำไม? รังเกียจฉัน หรือว่าไม่อยากอยู่ที่ฟาร์มพ่อเลี้ยงกรแห่งนี้อย่างนั้นหรอ?”


“ปะ…เปล่าครับพ่อเลี้ยง ผมไม่กล้าคิดอย่างนั้นหรอกครับ”


“ไม่กล้าคิด! แต่ถ้ามีโอกาสให้คิดนายก็จะกล้าอย่างนั้นสินะ”


“ผิดแล้วครับ พ่อเลี้ยง ที่ผมเสียใจผมแค่นึกถึงชีวิตของผมที่ผ่านเจออะไรมากมายต่างหากล่ะครับ”


“อ้าว นายไม่ได้เป็นคนของบ้านคุณหญิงเสียแต่แรกหรอกหรอ”


“เปล่าครับ”


“ฉันชักอยากฟังเรื่องของนายแล้วสิ หนุ่มน้อย เล่าให้ฉันฟังได้ไหม?”


“อย่าฟังเลยครับ ชีวิตที่อาบคราบน้ำตาอย่างผม พ่อเลี้ยงอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลย”


“ไม่ได้ นายเป็นคนของฉันแล้วนะ ทำไมฉันจะรู้เรื่องนี้ไมได้” พ่อเลี้ยงยอมอยู่ท่าเดียว


“พ่อเลี้ยงได้โปรด อย่าให้ผมรื้อฟื้นเลยนะ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องเดิมๆ ผมเหมือนถูกเข็มแหลมแทงที่ตรงนี้ทุกครั้ง!”


    หม่อนเริ่มน้ำตาคลอพร้อมกับชี้ลงไปที่อกด้านซ้าย พ่อเลี้ยงรับรู้และเข้าใจดีว่ามันมีผลต่อจิตใจของหม่อนมากทีเดียว  มือหนา

นั้นเอื้อมขึ้นมาปาดน้ำตาที่กำลังจะหยดลงอาบแก้มอย่างละมุนมือ


“อย่าร้อง คนของพ่อเลี้ยงกรต้องเข้มแข็งนะ ”


“ครับ ขอโทษพ่อเลี้ยงอีกครั้งนะครับ”


“เอาเถอะๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันเองก็จะได้ไปธุระในเมืองโคราชด้วย เย็นๆถึงจะกลับ อยู่กับไอ้นายคนของพี่ไปก่อนนะคนดี” พ่อ

เลี้ยงบอกทั้งๆที่สีหน้าแน่นิ่งเช่นเดิม


              หม่อนมองดูแผ่นหลังของพ่อเลี้ยง บุคคลผู้ซึ่งทำตัวและท่าทีน่ากลัวและดูเป็นคนไม่ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ภายในใจ

แล้วกลับผิดคลาดจากที่คิดไว้ ไม่เห็นใครหลายคนที่ดูเป็นคนดีแต่จิตใจกลับร้ายกาจจนแทบไม่คาดฝันเลยทีเดียว


                        ร่างบางวางคราดเหล็กขึ้นพิงผนังในโรงเก็บอุปกรณ์ ก่อนจะเดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ถัดจากฟาร์มแกะได้ไม่ไกล

เสียเท่าไหร่ โดยมีพี่นายเดินตามมาติดๆ และทำสีหน้าสงสัยไม่รู้ว่าร่างบางกำลังจะทำอะไร  หม่อนไม่อายที่จะทรุดตัวคุกเข่าลง

ที่ดินสีดำปกคลุมด้วยสีเขียวจากหญ้า พร้อมกับพนมมือเหมือนกับกำลังไหว้อะไรบางอย่างตามที่เขาต้องการจะทำเมื่อทุกข์ใจ




“ฮึก ฮืออ  แม่ธรณีครับ  ฮืออออ ลูกขอความเมตตาจากแม่ธรณี ลูกมาอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ ฮึก ฮึก ขอแม่ธรณีอุ้มชูดูแลลูกด้วยเถิด

อย่าให้ลูก ฮืออออ ฮึก ต้องจรไปไหนอีกเลย…”




                      ตั้งแต่เล็กจนโต หม่อนมีที่พึงพิงอยู่ทางเดียวคือ แม่ธรณี แม่ผู้ให้กินให้อยู่ ให้มนุษย์อิ่มปากท้อง ให้ความอุ้มชู

และให้บ้านอยู่หลังสุดท้ายสำหรับบั้นปลายชีวิตของมนุษย์ทุกคน ก้อนดินที่มีแต่ประโยชน์ไม่เคยให้โทษใคร ความเมตตาของแม่

ธรณีนี้เองที่หม่อนนั้นซาบซึ้งและเคารพเทิดทูมาตลอด เรื่องไม่สบายใจและเศร้าใจขอเพียงแค่ได้ระบายกับแม่ธรณี น้ำตาแห่ง

ความเสียใจนั้น แม่ธรณี กลับดูดซึมรองรับไว้ราวกับรับรู้และคอยปลอบใจเด็กหนุ่มที่ชื่อใบหม่อนคนนี้มาตลอด



…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป


        อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…




***********************************


ฮืออออออออออออออออ คุณหญิงพามาหาพ่อเลี้ยงกรเพื่อ..... :mew2: :mew2:  :hao5: :hao5: :hao5:


จะบอกผู้อ่านยังไงดีว่านิยายเรื่องนี้ ตอนสุดท้าย ธุลีครวญ จริงๆนะ  ร้องไห้รอแล้วกัน เพราะผู้แต่งรู้ตอนจบอยู่คนเดียว 

หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 3) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 30-06-2016 16:26:38
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 3) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-06-2016 18:11:04
อ้าวๆ ยังไงๆ
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 3) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-06-2016 20:54:23
ตอนแรกนึกว่าพ่อเลี้ยงจะจะจับหม่อนปล้ำเสียอีก เป็นคนดีกว่าที่คิด

อ๊ะหรือว่าคนเจียนจัสับขาหลอกทีหลัง :katai1:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 3) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 30-06-2016 22:22:57
ธรณีครวญ
ตอนที่ 4
ความจริงอันแสนเจ็บปวด




             นับจากผมเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงกร ความคิดถึงคนบ้านนั้นก็ลดจางลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลาที่

อยู่ที่นี่ หลายคนอาจจะคิดว่าผมจิตใจไม่มั่นคง แต่ก็เชื่อว่าบางกลุ่มคนเมื่อจากใครไปนานๆความคิดถึงมักลดน้อยลงไป แต่ความ

ทรงจำกับความระลึกถึงมันไม่เคยลดลงไปแม้แต่น้อย




             นับจากถูกเอามาไว้ที่นี่ ผมก็ไมได้เรียนต่อนั่นหมายถึงผมจบเพียงวุฒิมอต้นเท่านั้น จะทำอะไรได้นอกจากยิ้มให้กับตัว

เอง อยากจะขอพ่อเลี้ยงเรื่องเรียนต่อแต่ผมคงไม่ขอเริ่มปริปากพูดเอง จนกว่าพ่อเลี้ยงจะถามความประสงค์ของผม เพราะผม

ถือว่ามันเป็นมารยาทอย่างหนึ่งเลยทีเดียว และคำพูดของคุณหญิงก็ดังก้องหูผมอยู่ตลอดว่า อย่าได้เรียกร้องทั้งๆที่ตัวก็ไม่ใช่

เลือดเนื้อเชื้อไข




              คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงของคนงานไปจนถึงหัวหงอกหัวดำ พ่อเลี้ยงกรก็ดูเหมือนจะดูแลและให้ความ

สำคัญกับทุกคนพอๆกัน คนสนิทที่ชื่อ ‘นาย’ ผมใช้เวลาคุยและได้อยู่ใกล้ชิดด้วยที่สุดแล้ว


              เวลาก็ผ่านเลยมาถึง 1 ปี สถานะของผมกับพ่อเลี้ยง คนงานที่ฟาร์มแห่งนี้ก็รู้ว่าเป็นเพียงคนงาน มีเพียงพี่นายเท่านั้น

ที่รู้ว่าผมคือคนของพ่อเลี้ยงกร เป็นคน! ที่ส่งมาเพื่อรองรับกามตัณหา ทีแรกผมคิดว่าสิ่งนี้คงจะทำให้คุณหญิงพอใจ  ผมเคย

สงสัยอะไรหลายอย่างในตัวพ่อเลี้ยงกรตั้งแต่นายเมฆ คนขับรถบ้านหลังเก่ามาส่งที่นี่  ไม่ว่าจะเป็นคำว่าคนของพ่อเลี้ยงหรือคน

ถูกส่งมาพิเศษ แต่คำเหล่านั้นในใจของผมก็รู้แน่ชัดว่า คำตอบนั้นก็คือ เมียเก็บ!  ดีๆนี่เอง 



       ไม่สิ เมียเก็บก็ไม่ถูกนัก เพราะบ่อยครั้งที่พ่อเลี้ยงเรียกเข้าไปหาในห้องกลางดึก ผมจำได้ว่าผมกลัวและมักจะร้องไห้บ่าย

เบี่ยง แต่แล้วพอนึกถึงจุดนี้ทีไร ผมแทบอยากกราบหัวใจพ่อเลี้ยงเลยจริงๆถึงพ่อเลี้ยงจะชอบผู้ชายเช่นเดียวกับผม แต่เขาไม่คิด

จะใช้แรงหรือการกระทำข่มขู่เลยสักครั้งเพื่อสนองความต้องการนั้น พ่อเลี้ยงได้แต่รอวันที่ผมจะยินยอมเอง


               พูดมาก็ดูเหมือนชีวิตผมกำลังจะมีทางเลือกให้ตัวเองแล้วจริงๆ ว่าทำไมไม่ตัดสินใจเป็นเมียพ่อเลี้ยงกรไปซะเลย แล้ว

ชีวิตทุกอย่างจะดีขึ้น ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง อาจเป็นเพราะผมมองดูใบหน้าและเรือนร่างของพ่อเลี้ยงแล้วประเมินว่าเป็นบุคคล

ที่ควรค่าแก่การเคารพและเทิดทูนเสียมากกว่าที่จะคิดเอามาเป็นสามี และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมยังรอคอยวันที่จะได้เจอหน้าพี่

ชายที่ชื่อ บอร์น อีกครั้ง แต่ความเป็นจริงมันกลับช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ไม่มีการตามหาและส่งข่าวจากทางนั้น ทุกอย่างมัน

เงียบยิ่งกว่าป่าช้าเสียอีก เมหือนอยู่กันคนละซีกโลกก็ไม่ต่างกัน


              แต่แล้วพ่อเลี้ยงกรผู้แสนดีของผมนั้น ก็ทำให้ผมสะเทือนใจที่สุด ก็วันนั้นเอง…




“วันนี้ นายไปกับฉันนะ” เสียงร้องชวนหม่อน เด็กหนุ่มผู้ใบหน้าน่ารักอ่อนหวานตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าไปในฟาร์ม แต่ดูเหมือนวันนี้เขา

จะบ่ายเบี่ยงไม่ไปพร้อมกับพ่อเลี้ยงไมได้จริงๆเสียแล้ว เพราะเขาผลัดวันไปบ่อยเหลือเกิน



“ครับ แต่ว่าผมไม่กล้าขี่ม้าครับพ่อเลี้ยง”


“ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนควบคุมมัน อีกอย่างมันเชื่องมากเลยนะ นายมีหน้าที่แค่นั่งข้างหน้าฉันเท่านั้น พ่อหนุ่มน้อย”


“ครับ!”


              และแล้วร่างของผมก็ถูกส่งขึ้นไปนั่งตามตำแหน่งที่พ่อเลี้ยงต้องการ ทีแรกร่างบางมีทีท่ายึกยักและคล้ายจะตกจากม้า

พ่อเลี้ยงเลยตัดสินใจเอ่ยปากขออนุญาตผมทั้งๆที่คนอย่างพ่อเลี้ยงไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนและประณีประนอมเขาถึงขนาดนี้ พ่อ

เลี้ยงเปรยความต้องการออกมานั่นคือ ขอโอบเอวของผมเอาไว้   



             บางทีมันก็ให้ความรู้สึกแปลกออกไป การขี่ม้ามันทำให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลา และรู้สึกเขินอายขึ้นมาเสียดื้อๆทั้งๆที่เขา

เองก็พยายามห้ามใจไม่ให้เตลิดไปกับสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำอยู่แล้วเชียว หม่อนได้แต่คิดเอาใจช่วยให้เจ้าม้าสีดำตัวนี้พาวิ่งไปถึงที่

หมายเร็วๆ เพราะเขาไม่อยากจะนั่งอยู่บนหลังของมันนานเท่าไหร่นักประกบกับอยากออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ไปด้วย




“ถึงแล้ว ไร่องุ่น! ” พ่อเลี้ยงเปรยออกมา นั่นเป็นคำพูดที่ตอกย้ำภาพเบื้องหน้าที่เห็นว่าเขาไมได้คิดไปเองว่าจะเห็นไร่องุ่นที่กว้าง

ใหญ่ขนาดนี้



“สวยจัง ผมอยู่ที่นี่มาก็ครบปีหนึ่งแล้ว ทำไมผมไม่เคยรู้ล่ะครับว่าพ่อเลี้ยงมีไร่องุ่นด้วย”


“ยังมีอะไรอีกเยอะที่ฉันยังไม่บอกนาย พ่อหนุ่มน้อย ไปต่อกันเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันจะพานายมาหรอกนะ”


          ความฉงนใจของหม่อนเองนั้นแปลกไป คำพูดของพ่อเลี้ยงจะพาเขาไปไหนอีก นี่ไร่ของเขาใหญ่ไพศาลขนาดนั้นเลย

หรือ แต่แล้วกีบเท้าของม้าก็พามาถึงแหล่งที่สอง เป็นแม่น้ำเล็กๆแต่ดูเหมือนตื้นเขินเพราะฝนทิ้งช่วง อีกฝากหนึ่งไปเป็นต้นไม้

ขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านคล้ายร่มนับไม่ถ้วน ของเองไม่มั่นใจนักว่าภาพที่เห็นนั้นคือต้นอะไร?  แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ทำให้เขาทึ่งมาก

ทีเดียว



“ที่นี่คือไร่ส้มของฉันเอง เพราะมันอยู่ค่อนจ้างไกล นายอาจจะไม่เคยมา”


“แล้วพ่อเลี้ยงดุแลทั่วถึงได้ยังไงครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย


“ก็คนงานของฉันเองนั่นแหละ ปะ! ลงไปข้างล่างกัน น้ำเย็นสบายดีนะ  ”


“ผม…ไม่ชอบน้ำเท่าไหร่ครับ ผมว่ายน้ำไม่เป็น”


“มาเถอะน่าฉันอยู่กับนายทั้งคนนะ ”


“ก็ได้ครับ!”


                เด็กหนุ่มนั่งเล่นน้ำอยู่ริมตลิ่ง ไม่กล้าที่จะลงไปเล่นกับพ่อเลี้ยงกร เรือนร่างชายชาตรีหม่อนเองก็เพิ่งจะได้เห็นวันนี้

พ่อเลี้ยงเป็นหนุ่มวัยรุ่น หุ่นแน่นเพี้ยวอยู่เลย แต่ด้วยถาระหน้าที่และจุดที่ยืนอยู่ทำให้เขาดูสุขุมและเยือกเย็น มากกว่าจะทำให้

ชีวิตดูสีความสุขเกินเหตุที่ควรจะเป็น


            และนี่ก็คือสิ่งสุดท้ายที่พ่อเลี้ยงกรทำให้คนอย่างหม่อนมีความสุข การพาขี่ม้าไปเที่ยววันนี้มันเป็นความทรงจำที่ดีมา

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี เหตุเกิดในคืนวันนั้นเอง…



“แย่แล้ว! แย่แล้ว! ช่วยด้วย”



              เสียงร้องดังเอะอะโวยวายของพี่นาย คนสนิทของพ่อเลี้ยงกร ดังเอะอะลั่นบ้าน และเสียงมันเหมือนจะดังมาจากด้าน

บนที่ห้องของพ่อเลี้ยงด้วย คนงานหลายชีวิตพากันวิ่งขึ้นมาดู แต่ทุกคนก็ต้องทำเสียงโห่ร้องไปตามๆกัน ร่างบางมาช้ากว่าใคร

เพื่อน เพราะกำลังทำงานอยู่ด้านนอก สภาพพ่อเลี้ยงตอนนี้ที่เห็นคือ…



         ดวงตาปิดสนิทเบ้าตาดำคล้ำ ปากซีด หน้าก็ซีดเหมือนไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงเป็นอะไร? หม่อนพยายามนึก

ทบทวนเรื่องราวเมื่อวานก่อน หลังจากพ่อเลี้ยงเล่นน้ำเสร็จก็พาหม่อนกลับมาที่บ้านเลย และพ่อเลี้ยงไม่ได้ไปไหนเลยหลังจาก

เข้าห้อง



“ช่วยฉันที อุ้มพ่อเลี้ยงขึ้นรถ ฉันจะพาไปหาหมอ”


          พี่นายบอกคนงานผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และแล้วร่างนั้นก็ถูกยกจากเตียงไปที่รถอย่างเร่งรีบ เด็กหนุ่มมองตามอย่างเป็น

ห่วง ไม่มีใครรู้ว่าพ่อเลี้ยงเป็นอะไร มือไม้ของหม่อนสั่นไปหมดด้วยความตระหนกและคิดหนัก กังวลและกลัวไปเสียทุกอย่าง






          เด็กหนุ่มวัย 17 ปีวิ่งออกมาจากตัวบ้าน ไปกลางท้องทุ่ง ฝ่าแดดฝ่าลมไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม น้ำตาคลอเบ้าเอ่อล้น

ออกมาไม่รู้จะพูดอะไรดี กลัวเหลือเกินกลัวว่าพ่อเลี้ยงไม่อยู่กับพวกเราต่อไป


สองขาหมดแรงทรุดลงในท่าคุกเข่า สองมือเรียวบางพนมมือประกบอย่างประณีตและตั้งใจ 



“แม่ธรณีครับ ฮึก ฮือออ ได้โปรด ช่วยพ่อเลี้ยงกรด้วย ฮือออออ  พ่อเลี้ยงเป็นคนดี อย่าให้พ่อเลี้ยงต้องเป็นอะไรเลย ฮือออออ

ฮึก ฮึก ฮืออออออ”




        สองมือน้อยๆก้มลงกราบแม่ธรณี แม่ผู้คอบปลอบใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้มาตลอด วันนั้นทั้งวัน

หม่อนไม่เป็นอันจะทำอะไรเลย นอกจากรอฟังข่าวจากพี่นาย คนขับรถ



              คิดมาก็น่าเศร้า หากผมจะเล่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ มันอะไรกันนักหนากับชีวิตของผม ผมรับและเคารพใคร คนคนนั้นก็

ต้องมาจากไป ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายมันก็เจ็บช้ำพอกัน เย็นวันนั้นในขณะที่ผมยังคงรอข่าวนั้นอย่างใจจดจ่อ จำได้แม่นว่า

มาคนงานหนึ่งคนเดินเอาโทรศัพท์มือถือมายื่นให้ผมตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจไม่น้อย



“หม่อน คุยกับไอ้นายมันหน่อย รีบๆรับไปสิ!” หม่อนรีบลุกขึ้นแล้วคว้าเอามือถือนั้นมาแนบหู


“ครับพี่นาย พ่อเลี้ยงกรเป็นยังไงบ…”


“พ่อเลี้ยงเสียแล้ว!”


“อะ…ไร นะ”


“หม่อน พ่อเลี้ยงเสียแล้ว!”


“ไม่จริงใช่ไหมครับ!”


“พี่กำลังจะพาร่างพ่อเลี้ยงกลับไปที่บ้าน น่าจะดึกๆคงจะถึง”


“ไม่จริง ฮืออออออ ไม่ ม่ายยยยยยยยยยย”


       ร่างบางสติหลุดเหลอปล่อยมือถือที่แนบหูตกลงพื้น ร่างกายแทบไม่มีเรี่ยวแรงทรุดอวบลงไปกองที่พื้น แต่โชคดีที่มีคนช่วย

รับร่างไว้ทัน


         ผมเสียใจอยู่นานมากตลอดงานศพที่จัดขึ้นในบ้าน คนสนิทญาติพี่น้องมากันเต็ม ผมไม่ขอเล่าแล้วกันเพราะเรื่องแบบเล่า

ไปมันก็หดหู่จิตใจผมเปล่าๆ ผมเฝ้าศพของพ่อเลี้ยงกรทั้งวันทั้งคืน เพื่อต้องรับแขกไปในตัวด้วย งานจัดขึ้นอย่างเศร้าๆ คนที่อยู่

เคียงข้างผมตลอดในตอนนี้คือ พี่นาย!


              คำพูดของพ่อเลี้ยงยังดังขึ้นในหูผมเสมอ ว่าพ่อเลี้ยงรอผมได้ไม่ว่าจะนานแค่ไหน คำว่ารักพ่อเลี้ยงก็จะรอ  แม้โอกาส

นั้นจะไม่มีเลยก็ตาม  นึกถึงภาพนี้ทีไรน้ำตาผมก็ไหนทุกครั้ง ความเสร้าโศกเสียใจจบลง ผมยืนมองควันที่ออกมาจากปล่องเมรุ

ด้วยความอาลัย ผมเสียใจที่ให้คำตอบนั้นแก่พ่อเลี้ยงไมได้ เพราะอะไรล่ะ เพราะผมยังคงเฝ้ารอ ใครบางคน แม้จะมีโอกาสได้

เจอกันน้อยนิดก็ตามที  แต่เรื่องของผมก็มีใครบางคนเข้ามาในชีวิตแทนที่พ่อเลี้ยงต่อทันที



“หม่อน! มีคนจะขอคุยด้วย รออยู่ที่ใต้ต้นไม้ทางโน้นแหนะ”


“ขอบคุณครับพี่นาย”


           เด็กหนุ่มยังตาบวมแดงเพราะร้องไห้หนักมาตลอดตั้งแต่พ่อเลี้ยงกรเสีย แล้วเดินตามไปยังที่พี่นายบอกมา พอเขาไปถึง

กลับเห็นใครบางคนยืนหันหลังให้ แว็บแรกหม่อนแทบดีใจ ที่เห็นว่าพ่อเลี้ยงกรยังไม่ตาย พร้อมวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว


“พ่อเลี้ยงกร! พ่อเลี้ยงยังไม่ตายจริงๆด้วย”


“เอ่อ! ขอโทษครับ ผมชื่อ กัน เป็นน้องชายพี่กรครับ”


          ชายตรงหน้าหันมาทางร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่พอใบหน้านั้นหันกลับมากลับเป็นคนอื่นไม่ใช่พ่อเลี้ยงกรอ

ย่างที่เขาแนะนำตัวเองเมื่อครู่จริงๆด้วย


“ขอโทษนะครับ ผมแค่…คิดว่าเป็นพ่อเลี้ยงกร” หม่อนก้มหน้าสลดใจอีกครั้ง


“นายเองชื่อหม่อนสินะ ผมได้ยินชื่อของคุณมาพักหนึ่งแล้ว ว่าพี่ชายของผมรักและเอ็นดูคุณมาก ถึงขั้นอยากได้มาเป็นคู่ชีวิต ผม

แปลกใจ ทำไมคุณถึงไม่ตอบรับคำขอร้องของพ่อเลี้ยง ทั้งๆที่มีชายหนุ่มอีกมากมายที่อยากจะเข้ามาเป็นคู่ชีวิตเขาตัวแทบสั่น”


“พ่อเลี้ยงเป็นผู้มีพระคุณ ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขเวลาอยู่ใกล้พ่อเลี้ยงทุกครั้ง ผมคิดเป็นอื่นไมได้จริงๆ ฮึก ฮืออออ”


      พอถึงจุดนี้น้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงลงมาจนได้ สุดท้ายพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้คำตอบจากเขา แล้วยังจะรีบด่วนจากเขาไปอีก


       การตายของพ่อเลี้ยงกร เห็นหมอบอกว่าได้รับเชื้อมาลาเรียสายพันธุ์ใหม่ และด้วยภูมิต้านทานพ่อเลี้ยงไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร

ด้วยแล้ว ทำให้อาการทรุดและหัวใจเฉียบพลันอย่างรวดเร็วเพียงข้ามคืน




“ผมเสียใจด้วยนะ แต่คุณเองก็ไม่ควรร้องไห้ หากพี่ชายผมเขามาเห็นเข้าจะไม่สบายใจนะ”



“ฮึก ฮึก ขอบคุณ ฮึก ครับ”


“ผมจะเข้ามาดูแลที่ฟาร์มแห่งนี้แทนพี่ชาย จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอคุณอยู่ที่นี่ต่อ ”


“ผมคงไม่อยู่ต่อแล้วล่ะครับ หน้าที่ของผมมันจบลงแล้ว ผมว่าจะเดินทางลงกรุงเทพฯอีกครั้ง ขอบคุณนะครับ”


“ไม่หรอกครับ คุณไม่น่าคิดแบบนั้นเลยนะ อยู่ต่อเพื่อช่วยดูแลไร่แห่งนี้ให้พ่อเลี้ยงไม่ดีกว่าหรอครับ”


“ในฐานะอะไรล่ะครับ ผมไมได้เป็นอะไรกับพ่อเลี้ยงเลย นอกจากลูกน้องคนงานคนหนึ่ง ผมว่าให้สายเลือดอย่างคุณกันมาทำตรง

นี้แทนและสานต่อจะดีกว่านะครับ”


“อยู่ที่นี่ต่อเถอะนะ ที่ผมเรียกคุณมาคุยก็เพราะเรื่องนี้แหละ จงอยู่เพื่อไร่แห่งนี้” เสียงทุ้มนั้นสั่งปนขอร้องบอกไม่ถูก หม่อนไม่

สามารถแยกแยะได้


“คุณกันครับ ผมมาที่นี่เพราะมาเป็นคนของพ่อเลี้ยงกร แต่ตอนนี้พ่อเลี้ยงไม่อยู่แล้ว และ…”


    หม่อนพยายามอดกลั้นไม่ร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอีก เขาจำเป็นต้องพูดความจริงเสียแล้วสินะ


“และจริงๆแล้ว ผมให้คำตอบพ่อเลี้ยงกรไม่ได้ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ผมจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหากยังอยู่ต่อที่นี่ ผมจะลืมมันไม่

ได้ คุณกันเข้าใจผมนะครับ”


       เด็กหนุ่มพูดเสร็จกลับเดินหันหลังให้ชายหนุ่มสายเลือดเดียวกับพ่อเลี้ยงกรทันที


“คุณไม่มีทางลืมมันได้หรอก! ผมก็อยากจะบอกคุณไปตรงๆเหมือนกันว่า อยู่ที่นี่ต่อ เพื่อผมจะได้ไหม?”


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

        อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…


********************************



อันดับแรกเลย  คนแต่งขอร้องไห้แป๊บ  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ประกาศ ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อนิยาย จากธุลีครวญ เป็น ธรณีครวญ จะดีกว่านะครับ ขออภัยในความไม่สะดวก

ปล.อันนี้ความจริงคนแต่งร้องไห้ไปยกหนึ่งแล้วกว่าจะแต่งตอนนี้เสร็จ เม้นได้แต่อย่าด่าแรงนะ  คนแต่งกำลังสะเทือนใจหนักมาก

หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 4) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-06-2016 23:09:41
 ฮื้ออออออ คุณกรไม่น่าเลย ทำไมคนดีมักอายุสั้น :hao5:

//ไล่ตีหัวคนเขียนรัวๆ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 4) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-06-2016 23:21:24
จะต้องเปลี่ยนที่อีกละหรา
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 4) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-07-2016 08:52:09
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 4) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 01-07-2016 10:58:06
ธรณีครวญ
ตอนที่ 5
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด




           จากคำทัดทานและขอร้องจากคุณกัน น้องชายของพ่อเลี้ยงกร ผมได้ปฏิเสธไป คุณกันดูเศร้าใจไปมากพอสมควรผมเอง

ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆก่อนออกจากบ้านผมไปอำลาทุกคนที่อยู่ร่วมกันมาตลอด 1 ปีที่ไร่แห่งนี้และไม่ลืมที่จะไปกราบลา

พ่อเลี้ยงกรที่ธาตุในวัด และได้ขอพี่นายเอารูปของพ่อเลี้ยงกรติดกระเป๋าเงินไปด้วย เพื่อเอาไว้ระลึกถึง…



           หลังจากที่ออกมาจากไร่แห่งนั้นได้ 3 เดือน ก็มุ่งหน้าใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ เด็กหนุ่มวัยย่าง 18 ปีอย่างผมก็นับว่าพอจะ

เผชิญอยู่ในโลกภายนอกที่แสนโหดร้ายนี้ได้ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณหญิง เงินสดมากมายหลายแสนนี้ จนถึงขณะนี้ผมยังไม

ได้แตะต้องมันเลย



          ในเมืองที่แสนวุ่นวายนั้น ผมเลือกที่จะซื้อบ้านสักหลัง แต่ก็หาหลังที่ถูกๆไม่มีเลย จนกระทั่งมาหยุดอยู่ท้ายซอยลึกแห่ง

หนึ่ง ตามทำแนะนำของพี่วินมอเตอร์ไซค์ ลักษณะเป็นบ้านปูนชั้นเดียว สีครีมกับหลังคาสีแดงดิฐ ลักษณะบ้านเหมือนถูกใช้งาน

ผ่านมาหนักพอสมควรแต่ก็คงความสวยงามดีทีเดียว  รั้วหน้าบ้านถูกคล้องด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ เศษไม้ใบหญ้าก็พอมีให้เห็น

บ้าง หล่นร่วงไปบนพื้นคอนกรีต และที่นี่ทำไมดูแล้วช่างน่าหลงใหลยากที่ผมจะปฎิเสธไปได้เสียจริง


           จนกระทั่งได้เจอกับเจ้าของบ้านหลังนี้ หลังจากโทรประสานติดต่อกัน จริงสิก่อนหน้านี้ผมตัดสินใจใช้เงินที่มีอยู่ซื้อ

โทรศัพท์เครื่องแรกของชีวิต ก็พอจะใช้เป็นบ้างเพราะเคยขอพี่นายตอนอยู่บ้านไร่เล่นบ่อยๆ และชีวิตของผมมันก็วกวนเข้าวัง

เวียนแห่งความเศร้าอีกครั้งหลังจากนี้เอง


“ที่นี่พี่ไม่ค่อยได้อยู่มาหลายปีแล้ว ทีแรกตัดสินใจว่าจะไม่ขาย แต่ไปๆมาๆ แฟนพี่เขาขอให้ขายไปเพราะว่ายังไงแล้วพวกพี่ก็ไม่

ได้มาพัก รู้ไหมว่าพี่เพิ่งจะตัดสินใจประกาศขายมาได้แค่ 2 สัปดาห์เองนะ”


“ครับ!” ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขานรับตอบแบบง่ายๆ


“น้องมาอยู่คนเดียวหรอ?”


“ใช่ครับ”


“แล้วทำไมถึงมาอยู่แถวนนทบุรีล่ะ มาเรียนหนังสือหรือ”


“เปล่าหรอกครับ คือผมไม่มีบ้าน เลยตั้งใจจะหาบ้านอยู่สักหลัง”


“ว้าแย่จัง น้องหน้าตาดีแถมน่ารักอย่างนี้อีก พี่ลดราคาให้เลยแล้วกัน แต่อย่าบอกแฟนพี่นะถ้าเขามาถาม”


        ประโยคนั้นของเจ้าของบ้านคนนี้ ผมค้างคาใจมาตลอด แฟนทั้งคนแต่ทำไมต้องปกปิดนั่นปกปิดนี่ แล้วยังจะใจดีและชม

ผมอีก จนกระทั่งผมรู้ความจริงเข้าสักวันหนึ่งว่าพี่เขาเป็นเกย์และมีแฟนแล้วด้วยนั่นเอง แต่ชีวิตผมแทนที่จะได้อยู่สงบๆกลับต้อง

คอยรับศึกจากแฟนของพี่ชายคนนี้มาตลอด ตั้งแต่วันที่เข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นาน



“แกใช่ไหม? ที่แฟนฉันมาหาทุกวัน!” น้ำเสียงไม่พอใจยืนตะคอกทั้งด่าปนถามอยู่นอกรั้ว ทีแรกผมเจอหน้าเขากลับไปไม่เป็นเลย

ทีเดียว เพราะผมยังตั้งตัวไม่ได้ด้วย จู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามายืนด่าฉอดๆแบบนี้


“แฟน? ใครหรอครับแฟนพี่”


“ก็ไอ้นนท์ไง กว่าฉันจะรู้ว่ามันออกไปไหนได้ทุกวันๆ วันนี้ก็ตามได้แล้ว มันมาหาแกที่นี่เองสินะ บ้านเก่าของฉันซะด้วย”


           ผมแปลกใจมากก็ไหนบอกว่าที่นี่เป็นบ้านของพี่นนท์ แต่มาตอนนี้แฟนพี่เขากลับพูดว่านี่เป็นบ้านเก่าของพี่เขาที่ติด

จำนองขายไว้ เรื่องมันชุกจะยังไงๆแล้วสิ


“ผมไม่ได้บอกให้แฟนพี่มาหาผมนะ เขามาหาเอง!” คำตอบที่ไมได้คิดอะไรเลยของหม่อน แต่กลับกลายเป็นเหมือนประโยคที่

กำลังต่อว่าคนตรงหน้า ประหนึ่งว่าพี่นนท์ไม่ได้เสน่ห์หาในตัวของชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว


“ปากอย่างมึงกูขอฟาดด้วยมือทีหนึ่งเถอะ”


         และแล้วชายคนดังกล่าวก็กระโดดเข้ามาในรั้วอย่างช่ำชอง พุ่งมาหาเด็กหนุ่มทันที


เพี๊ยะ!


มืออีกฝ่ายพาดลงที่แก้มฉาดใหญ่ หม่อนเทถลาเพราะเสียหลักล้มลงไปที่พื้น คู่กรณีตรงเข้ามาคร่อมจะทำร้ายต่อ ร่างบางกว่าได้

แต่เอามือขึ้นป้องกันตัวเองเท่านั้น


ผัวะ! เพี๊ยะ!


“เฮ้ยแจ้งตำรวจเร็ว มีคนทะเลาะกัน”


           เสียงเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงแล้วพากันเดินมามุงดูหน้ารั้ว แต่นั่นคือผมโชคดีมากที่รอดจากการถูกทำร้ายครั้งนี้ 

คนที่อ้างตัวเป็นแฟนของพี่นนท์รีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากรั้วบ้านผมไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมสิเจ็บไปทั้งตัวพยายาม

ลุกขึ้นแล้วเดินไปล็อคประตูรั้วทันที  จากวันนั้นผมก็ไม่เห็นว่าพี่นนท์จะมาหาผมเลยสักที และแฟนพี่เขาก็ไม่ได้มาตามรังควาน

แล้วด้วย จนกระทั่งอีก 4 เดือนต่อมา…


“พี่นนท์”


            เสียงอุทานเรียกชื่อของหม่อนดังขึ้น เบื้องต้นเป็นชายหนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลาพอจะดูออกว่าเป็นใครแต่สภาพเสื้อผ้า

ชุดเครื่องแต่งกายนั้นกลับยับเยินไม่มีชิ้นดี พี่เขาไปโดนอะไรมา?


“เข้าบ้านก่อนเถอะพี่”


“ขอบใจนะหม่อน!”


             จากนั้นเราก็คุยกันในบ้านสองคน ผมเป็นห่วงพี่นนท์มาก ไม่รู้สิอาจจะเพราะเขากำลังลำบากก็ได้


“พี่นนท์ ว่าอะไรนะครับ?”


“พี่เลิกกับแฟนได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้พี่ไม่มีที่อยู่ จะเป็นอะไรไหมถ้าพี่จะขออยู่กับหม่อน!”


“จริงๆก็ได้อยู่หรอกนะครับ  เพราะหม่อนอยู่คนเดียว ดีเหมือนกันมีพี่นนท์อยู่เป็นเพื่อนก็พอจะคลายเหงาได้ ”


“ขอบใจนะ เอ่อหม่อน! พี่มีเรื่องจะขอรบกวนหม่อนหน่อยได้ไหม?”


“อะไรหรอครับ”


“พี่ไม่มีเงินเลย ขอยืมเงินหม่อนได้รึเปล่า ซักสองหมื่น”


“เงินนะหม่อนก็พอมี แต่พี่นนท์ไม่ต้องรีบใช่คืนนะ มีเมื่อไหร่ก็ค่อยคืนหม่อนแล้วกัน”


              ผมก็เวทนาตัวเองอยู่ไม่ใช่น้อย ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน เห็นใครทุกข์ยากก็รีบช่วยเหลือเพราะคิดว่าจะเป็นผลดี แต่มันไม่

เสมอไปแทนที่สิ่งที่ให้ไปจะกลายเป็นพระเดชพระคุณให้กับอีกฝ่าย แต่กลับกลายว่าคนที่ผมช่วยเหลือวกวนกลับมาทำให้ชีวิตผม

ลำบากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก


“เงินหายไปไหนหมด!”


             วันหนึ่งหลังจกเด็กหนุ่มตื่นนอนอาบน้ำแต่งตัวจะออกไปทำงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอย พอจะเดินไปเปิดเอาเงินที่

ซ่อนเอาไว้ที่เดิมแต่กลับไม่เจอเลยซักแดงเดียว ตอนนั้นเด็กหนุ่มคิดว่าเขาถูกหลอกเสียแล้วสิ เขารีบตรงไปที่ห้องนอนของอีก

คนแต่มันถูกเปิดแง้มเอาไว้อยู่แล้ว ไม่มีพี่นนท์!  หรือว่า? คิดได้ดังนั้นหม่อนก็รีบแต่งตัวแล้วเดินออกไปถามเพื่อนบ้านแถวนี้ทันที


“ป้าครับ เห็นพี่นนท์บ้างรึเปล่า?”


“เอ้า มันไมได้บอกเอ็งหรอว่าไปไหน”


“ไม่นี่ครับ แล้วป้าเห็นเขาไหม?”


“ใจเย็นๆไอ้หม่อน ทำสีหน้าตกใจไปได้ ค่อยๆพูด”


“เงินหม่อนหายไปหมดเลย”


“จริงหรอวะ แย่แล้วสิ นี่ป้านึกว่ามันจะกลับตัวกลับใจได้แล้วเสียอีก”


“ป้าหมายความว่ายังไงครับ?”


“เอ้า! ไม่รู้หรอกหรอว่าไอ้นนท์มันผีพนัน นี่ถูกแฟนเก่าทิ้งไม่มีเงินไปเล่นแทงบอลเลยมาขออยู่กับแกนะสิ เฮ้อ ป้าก็สงสารแกนะ

หม่อน แต่ป้าก็นึกว่าแกจะทันคน ที่ไหนได้ถูกมันหลอกอีกคนแล้วสิ ”


          เด็กหนุ่มอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ใจหนึ่งก็โกรธมาก แต่อีกใจก็อยากจะร้องไห้ มันกรรมเวรอะไรของเขานักหนา ทำไม

ฟ้าไม่เมตตาเขาบ้างสักครั้งเลยหรือ


“ขอบคุณครับป้า!”


              หม่อนไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันชัดเจน เงินตั้งมากมายขนาดนั้นพี่นนท์ยังกล้าเอาไปหมด แล้วเขาจะเอาเงิน

ที่ไหนจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำกันล่ะ เงินที่พอมีอยู่ก็เป็นเงินจากการทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยเท่านั้นเอง


“หม่อน! เงินตั้งมากมายทำไมเอ็งไม่ไปฝากธนาคารไว้ล่ะ เรื่องแบบนี้อย่าไว้ใจใครง่ายๆสิ แล้วนี่จะแจ้งความเลยไหม?”


“เราไม่มีหลักฐานนะครับป้า”


“มันก็ใช่ แต่ป้าว่าป้าคาดคะเนไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้บ้านมันก็ติดจำนองไว้ ก็ดีที่แฟนตุ๊ดคนเก่ามันมาขอซื้อไว้แล้วกลายเป็นว่า

เกาะเขากินเลย สุดท้ายก็เอ็งนั่นแหละที่ซวยไอ้หม่อนเอ้ย!”


              พอกันทีสำหรับบ้านที่ผมอยู่ ผมไม่อยากรู้แล้วว่าสรุปใครเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง แต่ตอนนี้มันเป็นของผมแล้ว   และนี่

เป็นบทเรียนที่ราคาแพง หาซื้อจากไหนไม่ได้อีกแล้วสำหรับผม หลังจากนั้นมาผมก็ได้ข่าวว่าตำรวจบุกจับพวกเล่นการพนันบอล

จากข่าว เห็นพี่นนท์อยู่ในนั้นด้วย ผมเองก็แอบดีใจนิดๆที่เห็นคนขโมยเงินไปนั้นเข้าคุกเข้าตารางไปโดยที่ผมไมได้ทำอะไรเลย


             แต่ต่อจากนี้ไปผมเองก็ลำบากขึ้นกว่าเดิม เพราะรายรับที่ได้มันน้อยกว่ารายจ่ายภายในบ้านมาก ถึงแม้ว่าผมจะประหยัด

ไฟฟ้ามากขนาดไหนก็ตาม


            สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหางานทำใหม่ ผมออกจากบ้านแต่เช้าเร่หางาน เข้าบริษัทนั้นที ห้างโน่นที  แต่ก็คว้าน้ำเหลว

เพียงเพราะวุฒิการศึกษาที่ผมมีตอนนี้มันแทบจะแตะต้องตำแหน่งอะไรได้เลยแม้แต่น้อย


              จนกระทั่งไปเจอร้านเครื่องเขียนร้านหนึ่งเป็นร้านใหญ่น่าดูเลยล่ะ อยู่ในย่านตลาดการค้าใกล้บ้านของผมด้วย มันเป็น

ที่สุดท้ายที่จะเข้ามาถาม หากไม่ได้งานก็คงจะกลับไปช่วยงานเป็นคนเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวที่หน้าปากซอยเช่นเดิม


“สวัสดีครับพี่”


“อ้อครับน้อง!”


“คือผมเห็นพี่ติดป้ายประกาศหาพนักงานเพิ่มหรอครับ”


“อ่อใช่ครับ น้องสนใจใช่ไหม?” คนตรงหน้ายิ้มแก้มปริ ผมเองก็นึกว่าจะเป็นเจ้าของร้านแต่ไม่ใช่เลย เขาคือลูกน้องในร้านอีกคน

ต่างหาก


               พี่ชายคนนี้เดินยิ้มร่านำหน้าผมเข้าไปด้านใน แล้วหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะมีชายคนหนึ่งหน้าตี๋ขาวหล่อกำลังนั่งคิดคำนวณ

อะไรหลายอย่างด้วย ดูท่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้สินะ


“เถ้าแก่ครับ!”


             หม่อนขมวดคิ้ว ที่พี่ชายคนข้างๆเรียกคนตรงหน้าอายุไม่น่าจะถึง 30 ปีว่าเถ้าแก่ สักพักชายคนดังกล่าวก็เงยหน้าขึ้นมา

มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยแววตาต้อนรับ


“ว่าไง หาคนมาแทนนายได้แล้วหรอเอก?”


“เอ้าน้อง ไหว้เถ้าแก่ชัยซะ”


“สวัสดีครับเถ้าแก่ชัย”


“อืม หน้าตาน่าเอ็นดูดีจริง อายุเท่าไหร่”


“18 ปีครับ”

“ไม่เลว ชื่ออะไรล่ะเรา”


“หม่อนครับ”


“เริ่มงานได้วันไหน?”


“ผมได้ตั้งแต่วันนี้เลยครับ”


“อย่างนั้นก็ดี เอาล่ะเอก งานของนายสิ้นสุดลงแล้ว ขอให้นายได้หน้าที่การงานดีๆต่อไปนะ”


“ขอบคุณมากครับเถ้าแก่ งั้นผมลาเถ้าแก่เลยนะครับ”


             ไม่ทันไร คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมเพียงแว๊บเดียว ดูเหมือนจะเป็นคนดีแต่ก็อำลาผมไปเสียแล้ว ทีแรกผมก็งง แต่

พอได้สอบถามจากเถ้าแก่ชัยแล้วกลับรู้ว่า พี่เอกคนเมื่อครู่อยากหางานทำใหม่ เพราะต้องย้ายบ้านไม่สะดวกจะมาทำงานที่ร้านนี้

ได้เหมือนเดิม เลยติดประกาศหาคนงานใหม่มาแทนที่เท่านั้นเอง


“งานที่นี่เลิกดึกหน่อยกว่าจะปิดร้านก็ 4 ทุ่ม เงินที่ได้ก็อยู่ 500 บาทนะ งานก็ทั่วๆไปดูแลลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ให้ข้อมูลเวลาเขา

สอบถาม นายทำได้ใช่ไหม?”


“ทำได้ครับเถ้าแก่ แต่เถ้าแก่ครับทำไมเงินรายวันได้เยอะจังครับ ปกติอยู่ที่ 300 บาทไม่ใช่หรอครับ”


“ก็ใช่ อ้อจริงสิ ขอโทษทีนะที่ลืมบอก งานที่ร้านนี้นอกเหนือจากที่ฉันพูดมา นายต้องดูแลเจ้าหนูให้ฉันด้วย ฉันมีลูกติด อายุ 3

ขวบเองแต่แม่เขาก็ทิ้งฉันไปก่อน”


“ทำไมล่ะครับ”


“มีปากเสียงกัน ไม่ลงรอยกัน ตามประสาปัญหาพ่อแม่ที่ชิงสุกก่อนห่ามกันเร็วไปหน่อย”


“ขอโทษด้วยนะครับที่ถาม”


“ไม่เป็นไรเรื่องมันก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ดูท่านายคงจะรักเด็กมากสินะ”


“ไม่เชิงครับ แต่ก่อนผมเองก็เคยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อน ใครอายุน้อยกว่าผม   ผมก็ทำหน้าที่พี่ดูแลน้องเป็นอย่างดีที

เดียวครับ” ถึงจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ความทรงจำและความภาคภูมิใจในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของหม่อนก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย


“ดีแล้ว ลูกชายของฉันชื่อ เปียงยาง กำลังนอนหลับอยู่ด้านใน”


“ครับ ชื่อน่ารักดีนะครับ”


“อย่างนั้นหรอ แล้วนี่นายพักอยู่ที่ไหนล่ะ”


“ท้ายซอย 15 ครับ ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่”


“อย่างนั้นหรอ แถวนี้ถึงจะมีคนพลุกพล่านแต่พอตกดึกก็ไม่ควรไว้ใจใครเอาเป็นว่าเลิกงานวันนี้ฉันจะไปส่งนายก็แล้วกันนะ”


“ขอบคุณมากครับเถ้าแก่”


“เออจริงสิ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”


“อายุเท่านาย ทำไมไมได้เรียนหนังสือล่ะ?”


“คือผม…ผมไม่มีเงินเรียนหรอกครับ”


“ว้าแย่จริงๆ เอาอย่างนี้ไหม ให้ฉันส่งเรียนดีไหม?”


“จะดีหรอครับเถ้าแก่ แล้วงานที่ร้านล่ะครับ”


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวประกาศหาคนเพิ่มก็ได้”


“ผมว่าไม่ดีกว่าครับ เกรงใจเถ้าแก่ ผมขอทำงานเลี้ยงตัวเองดีกว่า สมัยนี้เท่าที่ผมรู้จบมาไม่มีงานก็ตั้งมากมาย ผมนับว่าโชคดีที่

อย่างน้อยก็หาเลี้ยงตัวเองได้ ขอบคุณเถ้าแก่มากที่เมตตานะครับ”


“ไม่เป็นไร แล้วนายมีแฟนรึเปล่า?”


“ไม่มีครับ ทำไมหรอครับเถ้าแก่?”


“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกชอบนายยังไงไม่รู้หม่อน ชอบตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ”





…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

        อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



*****************************************



 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: เถ้าแก่ชัย เลิฟๆ แต่ไม่รู้หม่อนจะตอบยังไง ตกลงไปเถอะหม่อน ชีวิตจะได้ดีขึ้น



หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 5) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-07-2016 11:27:03
จากบทนำแล้วเนี่ย เดาว่าตอนจบหม่อนต้องตายแน่เลย
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 5) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-07-2016 12:44:11
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 5) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 01-07-2016 14:02:26
เศร้าเกินไปแล้วววววววววววว  :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 5) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-07-2016 19:50:08
หวังว่าคงไม่ตายอีกนะ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 5) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 01-07-2016 22:03:46
ธรณีครวญ
ตอนที่ 6
ความฝัน



          สุดท้าย ณ ตอนนั้นชีวิตของผมก็ลงตัวที่ร้านขายเครื่องเขียนของเถ้าแก่ชัย อยู่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งในตอนนั้นผมอายุครบ

19 ปีเต็ม อยู่เลี้ยงเจ้าตัวเล็กช่วยเถ้าแก่ชัย จนสุดท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเถ้าแก่ก็แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับยังคงละ

ฐานะที่เถ้าแก่อยากให้เป็นอยู่ดี กลัวว่าเด็กจะโตมาแล้วรับรู้เรื่องเหล่านี้ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเด็กหากเด็กจะเข้าใจว่ามีพ่อสองคน




          และที่สำคัญไปกว่านั้นคือผมไม่ได้รักเถ้าแก่ชัย ชีวิตของผมก็เช้าไปดึกกลับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆไม่คิดว่าจะมีอะไรอีก จน

กระทั่งสองทุ่มขณะที่ตลาดยังคงคึกครื้น เพราะใกล้ๆแถวนี้มีตลาดนัดมาเปิดขายประจำวันสุดสัปดาห์ แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้



“เถ้าแก่ครับ คนนอกร้านทำไมดูพลุกพล่านอลหม่านเหมือนวิ่งหนีอะไรกันก็ไม่รู้”



            เด็กหนุ่มวัย 19 ปีหันมาบอกเถ้าแก่ที่นั่งอยู่ด้านใน กำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่น

ตระหนกไปตามๆกัน


“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ!”


“อ้าวเถ้าแก่ ไม่รู้หรอว่ามีไอ้บ้าคลั่งยาเข้ามาในตลาด ตอนนี้เขาหนีกันไปหมดแล้ว เถ้าแก่เองก็รีบๆปิดร้านเร็ว เดี๋ยวจะไม่

ปลอดภัยเอา”


“เถ้าแก่ ปิดร้านเถอะครับ ผมเองก็จะได้รีบกลับบ้าน”


          เด็กหนุ่มหันมาบอกชายหนุ่มวัย 30 ปีด้วยความเป็นห่วง ดูเหมือนเถ้าแก่จะเชื่อและทำตามที่หม่อนบอก อีกทั้งยังอาสาจะ

ไปส่งที่บ้าน แต่หม่อนเองเกรงว่าถ้าเถ้าแก่ทิ้งเปียงยางเอาไว้คนเดียวไม่ดีแน่


“ระวังตัวด้วยนะ รีบกลับเลยนะหม่อน”


“ครับ!”


            แต่พอเอาเข้าจริงๆคำตอบรับว่าครับเมื่อครู่ ผมไม่ได้ทำตามอย่างที่เถ้าแก่บอกเลย จริงอยู่หากผมรีบวิ่งกลับออกไปที่

หน้าถนนหลักในทันทีอาจจะไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อมองจากจุดนี้ ที่กลางตลาดคนบ้า

คลั่งยาที่ว่านั้นคว้าเอาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกันอยู่ หม่อนตัดสินใจเดินตรงเข้าไปที่เกิดเหตุ เห็นคนมุงอยู่เต็มแต่อยู่ห่างๆ

มีเพียงแม่ของเด็กเท่านั้นที่ร้องไห้ขอตัวลูกสาวคืน หม่อนมองดูภาพนั้นแล้วสะเทือนใจที่สุด น้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อม

กอดของคมมีด ช่างเป็นภาพที่ทำให้หวาดหวั่นและลุ้นไปตามๆกัน



“ใจเย็นพ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งทำอะไรเด็กนะ” เสียงพูดกล่อมของทีมตำรวจเอ่ยขึ้น พร้อมกันนี้ทุกคนที่ดูอยู่ห่างๆเอาใจช่วยสุดๆกลัวว่า

เด็กคนนั้นจะเป็นอะไรไป


“อย่าเข้ามานะเว้ย! อย่านะเว้ย!” คนคลั่งตะหวาดไปทั่ว ส่วนมีดในมือกลับจี้อยู่อย่างเดิม


“หนูกลัววววว ฮืออออออ แม่จ๋าแม่ หนูอยากหาแม่ ฮืออออออ”


          แต่แล้วความชำนาญหรือโชคชะตาเข้าข้างเด็กคนนี้อยู่บ้างก็ไม่รู้ สุดท้ายตำรวจก็เข้าช่วยและจับกุมตัวคนคลั่งยานั้นได้

เด็กน้อยเข้าสู่อ้อมออกของแม่ ด้วยความโล่งใจของทุกคนนั้นทำให้แยกย้ายกันไป ส่วนคนร้ายก็ถูกจับกุมขึ้นรถ แต่ว่า...


“เฮ้ย! ทุกคนหนีเร็ว คนร้ายหลุดไปแล้ว” ตำรวจที่กักกุมตะโกนเสียงดัง


            หม่อนที่กำลังเดินอย่างช้าๆเล่นๆไม่คิดว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นหลังจากนี้นั้นกลับเป็นฝ่ายซวยเข้าให้เป็นรายต่อไป คน

คลั่งยาวิ่งมาทางเขาแล้วจับล็อคคอเขาเอาไว้ทันที


“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นกูแทงไอ้นี่ไส้แตกแน่”


“ใจเย็นๆ พ่อหนุ่มนะ อยากได้ยาเดี๋ยวเอาให้” ตำรวจเกลี่ยกล่อม


          ตอนนี้หม่อนรู้ซึ้งแล้วว่าการอยู่ในชะตาของตัวประกันมันทั้งน่ากลัวและหวาดหวั่นใจมาก ปลายมีดแหลมที่คนร้ายถือจิ้ม

แทงเข้ามาเรื่อย อาจจะเพราะไม่รู้ตัวก็ตาม มีดแทงเข้ามาทีละนิดๆพอใจประสาทสัมผัสของหม่อนเจ็บแปล๊บๆเล่น ใบหน้าน่ารัก

นั้นกำลังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก้มมองดูที่ท้องกลับมีเลือดไหลหยดเรื่อยๆ สีหน้าของทีมตำรวจซีดไปตามๆกัน สงสัยจะคิด

หนักว่าจะช่วยเด็กหนุ่มคนนี้ออกมาได้ยังไง


           แต่เชื่อไหมว่าสุดท้ายผมก็รอด เพราะใคร….?


ผลัก ตุ๊บ!  ทันทีที่ผู้กล้าปริศนาปรากฏตัวข้างหลังคนร้ายพร้อมกับแย่งมีดแหลมยาวนั้นออกจากท้องผมได้ เขาก็จัดการตาม

กระบวนท่านักสู้ แต่ตอนนั้นผมทนบาดแผลไม่ไหว จำได้ลางๆว่าผมเห็นใบหน้าคนช่วยผมเอาไว้ได้ทันก่อนที่ทุกอย่างจะกลาย

เป็นสีดำไปหมด




             เวลาผ่านไปเท่าไห่ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าทั่วห้องของผมเป็นสีขาวไปหมด และเดินเท่าไหร่ก็ไม่ทั่วถึงไม่มีที่สิ้นสุดเลยเสียที

แต่แล้วกลับมีเสียงเรียกชื่อผมก้องกังวานไปทั่ว ผมคุ้นเสียงนั้นเหลือเกินคุ้นมาก เหมือนใครคนหนึ่งที่ผมไม่ได้เจอเขามากว่า 2 3

ปีแล้ว และนั่นทำให้ผมยิ้มดีใจที่สุด


“พ่อเลี้ยงกร!”


“จำกันได้ด้วยหรอเด็กน้อยของฉัน”


         พ่อเลี้ยงเดินเข้ามากอดผม ชุดที่เขาใส่ยังเป็นชุดเดิมกับที่พาผมไปเที่ยวทั่วไร่วันนั้น ผมไม่รู้ว่านี่ผมฝันไปหรือว่าเป็นความ

จริงแต่คนมีความสุขมากสำหรับฝันครั้งนั้น


“พ่อเลี้ยง ผมคิดถึงพ่อเลี้ยงนะ ฮึก ฮืออออ”


“ไม่เอาอย่าร้องไห้ คนของฉันต้องเข้มแข็ง ไหนดูสิ นายเองก็โตกว่าเดิมเยอะเลย พ่อเลี้ยงยังรอเธออยู่นะ”


“หมายความว่ายังไงครับ รอผมหรอ?”


“ใช่ แต่ยังไม่ถึงเวลา ฉันจะรอนายอยู่ที่นี่พ่อหนุ่มน้อย”


          จากนั้นร่างของพ่อเลี้ยงกรก็ดูเหมือนจะเลือนรางจางหายไป ไม่ทันที่ผมจะรั้งไว้ได้ทันเลย ผมตะโกนร้องเรียกพ่อเลี้ยง

กรอยู่หลายครั้ง แต่ก็ดุเหมือนพ่อเลี้ยงจะไม่ปรากฏกายให้ผมเห็นอีก แต่แล้วกลับมีอีกเสียงเรียกผมแทน และมันค่อยๆดังขึ้นๆ

และชัดเจนขึ้น









“หม่อน!  หม่อน รู้สึกตัวแล้วหรอ?  พยาบาลครับ คนไข้ฟื้นแล้ว”


         เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น ห้องสี่ขาว เตียงสีเขียว แอร์เย็นเฉียบ ผ่าม่านสีครีม ไม่ผิดแน่ที่นี่คือห้องผู้ป่วย เขาอยู่โรง

พยาบาลสินะ


“หม่อน อย่าเพิ่งขยับแผลที่โดนแทงจะไม่สมานกันดีนะ” เสียงของคนช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อเกิดเหตุดังขึ้น แต่ไม่ทันที่ร่างบางจะได้

เอ่ยพูดอะไร หมอกับพยาบาลก็เข้ามาเสียก่อน


“ไอ้หมอ ดูอาหารให้น้อยชายฉันทีว่าเป็นยังไงบ้าง”


“ใจเย็นสิวะไอ้ชัย ถึงมือฉันแล้วน้องชายคนนี้ไม่เป็นอะไรมากนัก แกหลบไปยืนอยู่ตรงหน้าโทรทัศน์ก่อนไป ฉันจะได้ดูคนไข้

สะดวกขึ้น”


         หมอคนนี้ดุเหมือนจะสนิทกับเถ้าแก่ชัยมาก แถมสรรพนามการเอ่ยชื่อก็ดูไม่ผิดแน่ เขาสองคนต้องเป็นเพื่อนกัน แต่ดูไปดู

มา ชีวิตเขานี่ช่างอยู่ใกล้ชิดและรู้จักแต่หนุ่มที่หน้าตาดีทั้งนั้น บางทีผมก็แอบมีมุมคิดเล่นๆให้ตัวเองขำ ครั้งนี้ผมก็คงอดคิดไม่ได้

ว่าแม่ธรณีคงจะประทานคนดีเหล่านี้ให้มาเจอเขาในชีวิตสินะ


“ไม่มีอะไรมากแล้ว คงต้องนานที่โรงพยาบาลอีก 3  4 วันนะครับ”


          แพทย์หนุ่มบอกพร้อมกับยิ้มให้หม่อน หม่อนไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำขอบคุณที่มีอยู่และใช้ได้ตลอดไม่มีตกยุค


“แกก็เหมือนกันนะเว้ย อย่าให้น้องชายแกขยับไปไหนมาก ยกเว้นเข้าห้องน้ำเท่านั้น”


“เออ รู้แล้วๆ ขอบใจแกมากว่ะ”


       ไม่นานหมอกับพยาบาลก็เดินออกไป ในห้องก็เหลือแต่เด็กหนุ่มกับเถ้าแก่ชัยสองคน


“ยังเจ็บอยู่ไหม หิวรึยังหม่อน หรือว่าอยากดูรายการโทรทัศน์อะไรไหม ”


“เถ้าแก่ครับ ขอบคุณนะครับที่มาช่วย”


“ไม่เป็นไร ก็พี่บอกแล้วไงว่าเพื่อหม่อนแล้วพี่ทำได้ หม่อนอย่าคิดมากเลยนะ”


“จะไม่ใช่คิดมากได้ไงครับ แล้วนี่เถ้าแก่มาเฝ้าผมแบบนี้ร้านก็ไมได้เปิดนะสิ แล้วเปียงยางใครจะดูแลครับ”


“เฮ้ย ไม่ต้องห่วงๆ ช่วงนี้พี่ไม่ได้เปิดร้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก ส่วนลูกชายพี่พี่พามาด้วย”


“หืม? แล้วไหนล่ะครับ ไม่เห็นมีเลย”


“หันไปดูที่โซฟาทางนั้นสิ”


              หม่อนหันไปมองตามที่เถ้าแก่ชี้ทางไป กลับเห็นร่างเล็กๆท้วมๆวัยกำลังกินคนหนึ่งนอนหงายหลับปุ๋ยอยู่อย่างนั้น


“แกนอนอยู่อย่างนั้นจะไปสบายได้ยังไงครับ ผมว่าเถ้าแก่พาเปียงยางกลับไปนอนที่เตียงแล้วเปิดร้านขายของเหมือนเดิมดีกว่า

นะครับ”


“อย่าขัดพี่สิ คราวนี้พี่ไม่ยอมฟังเราแล้วนะหม่อน นายเองต้องฟังพี่บ้างแล้ว วันนั้นก็มัวแต่ไปมุงดูอยู่กับเขาจนสุดท้ายก็ได้เรื่อง

เลยเห็นไหม?”


“ขอโทษครับ ผมคิดแต่เพียงว่าคนร้ายไม่น่าจะหลุดออกมาทั้งๆที่ตำรวจจับกุมไว้อยู่”

“ช่างเถอะ ว่าแต่ก่อนที่หม่อนจะรู้สึกตัว พี่ได้ยินว่าหม่อนละเมอเรียกหาแต่พ่อเลี้ยงกร เขาคือใคร?”


“อ่อ คือผู้มีพระคุณของผมเองครับ ตั้งแต่ผมยังอยู่บ้านไร่ปากช่อง ที่โคราช แต่ตอนนี้พ่อเลี้ยงกรเสียแล้วครับ”


“อย่างนั้นหรอ เสียใจด้วยนะ พี่ไม่น่าถามเลย”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร ผมก็คงจะคิดถึงพ่อเลี้ยงกรก็เท่านั้น”


“เอาเถอะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่านะ พี่ว่าพี่จะพาเจ้าตัวเล็กไปหาข้าวกิน หม่อนอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”


“ไม่มีหรอกครับ แต่เถ้าแก่ครับอย่าเพิ่งปลุกเปียงยางเลยนะครับ น้องเขายังหลับปุ๋ยอยู่เลย”


“จริงด้วย พี่ลืมนึกไป อยากให้พี่เช็ดตัวให้ไหม”


“ก็ดีครับ ผมรูสึกเหนียวตัวยังไงไม่รู้ อ้อจริงสิ ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม?”


“พี่เอง แต่ว่าหม่อนอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ คือพี่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นแต่กางเกงในพี่ไม่กล้า กะว่าจะรอให้หม่อนฟื้นแล้วทำเองจะ

ดีกว่า”  เถ้าแก่ชัยรีบพูดร่ายยาวแก้ตัวกลัวว่าอีกคนจะเข้าใจผิด ที่ไหนได้กลับได้รอยยิ้มปนขำกลับมาจากหม่อนแทน


“ฮ่าๆๆ เถ้าแก่ คิดมากไปนะครับ ถ้าสมมติเถ้าแก่เปลี่ยนให้ผมจริงๆผมก็ไม่โกรธหรอก ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น”


“มันก็ใช่ แต่สำหรับหม่อนพี่เกรงใจ เมื่อไหร่หม่อนจะให้โอกาสพี่ได้เป็นคนรู้ใจของหม่อนล่ะ ถึงตอนนั้นพี่คงจะทำอะไรสะดวก

ขึ้น!”


“เราคุยกันแล้วนะครับเรื่องนี้ ผมสงสารเปียงยาง ไม่อยากให้ลูกชายของเถ้าแก่โตมาพร้อมกับมีพ่อสองคนหรอกนะครับ”


“พี่เข้าใจแต่ว่าพี่…”


“เพื่อลูกชายคนเดียวของเถ้าแก่ เชื่อผมเถอะนะ”


“โอเค พี่ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่านะ หม่อนพักผ่อนหรือไม่ก็เปิดทีวีดูก็ได้รีโมทพี่วางไว้ที่โต๊ะนี่แล้วกัน”


“ครับ แต่น้องหลับอยู่ดูไม่ได้หรอก”


“เออจริงด้วย ฮ่าๆ พี่ไปก่อนดีกว่า แล้วจะรีบกลับมานะ ”


              สุดท้ายก็ถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน จะ 20 ปีแล้ว ความคิดถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านพันตำรวจเอก บ้านไร่ที่

โคราช ก็กลับวกวนเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่ผมไม่กล้าที่จะลืมเลยหลังจากตื่นจากฝันคือวาจาของพ่อเลี้ยงกร   แต่

ในฝันพ่อเลี้ยงกรดูหล่อกว่าเดิมมากเลย คิดไปคิดมาผมก็หันซ้ายแลขวามองหากระเป๋าเงินที่คาดว่าเถ้าแก่ชัยน่าจะวางไว้แถวๆนี้

แล้วก็ใช่จริงๆด้วยเขาวางมันเอาไว้ที่โต๊ะข้างๆนี่เอง ผมเปิดกระเป๋าแล้วดึงรูปของพ่อเลี้ยงกรออกมาดู มันจะเป็นภาพที่เขาคิดถึง

และระลึกหาเสมอ เพราะตอนที่ถูกแทงก่อนสลบไปเถ้าแก่ชัยจะน้อยใจไหมหากเขาจะบอกว่า ผมกลับนึกถึงพ่อเลี้ยงกรขึ้นมาเสีย

ดื้อๆแล้วจากนั้นกลับถูกตัดเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าเถ้าแก่ชัยแทน แล้วผมก็สลบไป…





…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

        อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



************************



พ่อเลี้ยงกรรรรร :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

เอาล่ะ เข้มข้นไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ไม่น่าจะนานก็จะจบแล้ว จบแบบไหนๆๆ  :katai1: :katai1: :katai1: ไม่บอก

แต่ชื่นชมบางคนที่เดาออก แต่ก่อนจะเป็นอย่างที่คิดนี่สิ หม่อนต้องเจออะไรบ้าง คิดแล้วมันแบบ อยากจิกแขนตัวเอง
  :katai4:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 6) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 01-07-2016 23:26:13
เง้อ ที่คนเขียนพูด....หม่อนจะตาย?  :hao5:

มีใครแต๊ดแต๋่งฟิคได้เศร้ากว่านี้เนี่ย!
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 6) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-07-2016 01:25:24
นางคงไปอยู่กับดินในตอนจบ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 6) 1/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 02-07-2016 10:48:05
ธรณีครวญ
ตอนที่ 7
ความหวังที่ดับสูญ




            ผ่านล่วงเลยไป สิ่งหนึ่งที่ผมอยากขอและกล้าเอ่ยปากบอกเถ้าแก่ชัยคือ…ผมอยากกลับไปสถานสงเคราะห์เลี้ยงเด็ก

กำพร้า และวันนั้นความฝันของผมก็เป็นจริง เถ้าแก่พาผมตระเวนไปทุกที่ที่มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในกรุงเทพ ไม่ใช่เรื่องงายแต่ก็

ไม่ยากจนเกินไปเพราะข้อมูลช่วยเหลือจากอินเตอร์เน็ต ทั้งผมและเถ้าแก่ขับรถเดินทางอยู่นานทั้งวัน กว่าจะเจอและคุ้นเคยกับ

สถานที่ที่เขาโตมาแล้วจำความได้ตั้งแต่ยังเล็ก



           รถจอดที่ด้านหน้าทางเข้าสถานสงเคราะห์ ผ่านไป 7 ปีแล้วแต่ที่แห่งนี้ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผมคิดถึงพี่ เพื่อน น้อง ทุก

คนและขาดไม่ได้คุณครูผู้เป็นเหมือนแม่ของผม ครูอัมริน…



“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มเดินไปไหว้ผู้หญิงอีกคนที่กำลังกวาดใบไม้อยู่


“ค่ะ!” เธอชะงักแล้วหันมามองหม่อนอย่างช้าๆ แล้วทำสีหน้างุนงง


“…คือผมมาหาครูอัมรินครับ ไม่ทราบว่าครูอยู่ไหม?”


“ครูอัมรินหรอคะ ไม่เคยได้ยินชื่อนี้นะคะ ขอโทษนะพอดีดิฉันเพิ่งจะมาเป็นครูที่นี่คนใหม่”


“อ้าวอย่างนั้นหรอครับ” หม่อนหน้าสลดเศร้า จนกระทั่งเถ้าแก่ชัยเดินเข้ามาหา


“ได้เรื่องไหม?”


“เธอบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อครูคนนี้ครับ ”


“งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เข้าไปข้างในไปถามครูเก่าๆหรือไม่ก็ใครสักคนที่นายจำได้”


           หม่อนพยักหน้าช้าๆ เดินขนาบคู่กับเถ้าแก่เข้าไปในสถานที่แห่งนั้น หวังไว้ว่าจะเจอลัพบกับคนเก่าๆอยู่บ้าง แต่แล้วความ

จริงที่อยากรู้กลับปรากฏและประจักษ์ต่อการได้ยินในขณะนั้น เมื่อรู้ว่าครูอัมรินเธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว และเหตุผลที่ลาออกไปก็ไม่รู้

ว่าเพาะอะไร…


“จริงหรอครับ แล้วอย่างนี้ผมก็ไม่เจอครูอัมรินอีกนะสิ” หม่อนทำน้ำเสียงผิดหวัง


“ไม่เชิงค่ะ แต่ก็พอรู้ที่อยู่ของครูอัมรินนะคะ เดี๋ยวหาข้อมูลให้นะ”


“ครับ!”


             หม่อนนั่งรออย่างใจจดใจจ่ออยากจะเจอหน้าครูไวๆ แต่แล้วข้อมูลที่อยู่ของครูกลับทำให้การตัดสินใจไปที่หมายต้อง

ชะงัก


“ลำปาง! ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าครูเป็นคนลำปาง?” หม่อนตกใจไม่คิดว่าคำตอบที่ได้จะไกลถึงขนาดนี้ หันไปมองหน้าเถ้าแก่ชัย

กลับยิ้มให้เหมือนกับพร้อมจะพาไปได้ทุกเมื่อ แต่มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเถ้าแก่ชัยที่จะต้องช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้ หม่อน

จึงตัดสินใจว่าจะไม่ไปแล้ว…


             ทั้งสองชีวิตกลับไปที่ร้านอย่างหงอยๆ แต่ก็พอจะมาทันรับเปียงยางกลับบ้านด้วย เด็กน้อยวัย 6 ขวบกำลังเรียนอนุบาล

ชั้นที่ 2 วัยกำลังซุกซนน่ารักน่างชังนั้นมันทำให้หม่อนอดคิดและสงสารไมได้ ที่แม่ต้องมาทิ้งไว้กับพ่อให้เลี้ยงอยู่คนเดียว ถึง

เถ้าแก่ชัยจะรวยมาก แต่ความรวยมันซื้อความอบอุ่นจากครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไม่ได้หรอก เพราะหม่อนรู้ดียังไงล่ะ



“คุณอาหม่อน วันนี้น้องเปียงเขียน กอไก่ถึงฮอนกฮูกได้แล้วนะครับ” น้ำเสียงแจ้วๆของเด็กน้อยร่างท้วม เอ่ยอย่างอารมณ์ดี



“จริงหรอครับ ไหนเขียนให้อาหม่อนดูหน่อยเร็ว” ร่างบางยิ้มให้อย่างเอ็นดู พร้อมกับลูบหัวเล็กๆนั้นอย่างเบามือ


“ได้ครับ”


             แต่ในความใกล้ชิดสนิทสนมของหม่อนกับลูกชาย คนเป็นพ่อแอบดูอยู่ห่างๆ ความคิดเห็นของเขาแตกต่างจากหม่อน

เสมอ เขาคิดว่าถึงยังไงลูกชายของเขาก็คงเข้าใจแน่ หากเขาจะขอหม่อนมาเป็นแฟนของเขา แต่ต้องรอให้เปียงยางโตกว่านี้เขา

จะขอถามความคิดเห็นของลูก



“ดูลูกชอบนายมากนะหม่อน”


“ครับ” หม่อนเห็นด้วยกับคำพูดนั้น


“ที่พี่พูดพี่หมายถึง เราสองคน ไม่คิดจะเป็นครอบครัวเดียวกันหรือไง” เถ้าแก่ชัยแกล้งกอดร่างบางจากด้านหลังอย่างหลวมๆ


“เถ้าแก่ครับ ปล่อยผมเถอะ อายลูกบ้าง อย่าทำอย่างนี้เปียงจะเห็นเอานะ”


“เห็นก็จะเป็นไรไป ไม่ได้เสียหายอะไรซักหน่อย”


“เถ้าแก่ ผมยังไม่พร้อม!”


“โอเค พี่เข้าใจ ขอโทษทีนะที่ทำเรื่องเมื่อกี้”


“ไม่เป็นไรครับ” หม่อนยิ้มให้อ่อนๆ หลังจากร่างสูงกว่าคลายอ้อมกอดจากข้างหลังออก


“เถ้าแก่ครับถ้าผมจะขอลาเถ้าแก่หยุดงาน 2 วันได้ไหมครับ?”


      สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ความคิดถึงอยากกลับไปอีกที่หนึ่งนั้นก็ผุดขึ้นสมองของเขา และเขาต้องไปให้ได้


“ทำไม! หม่อนจะไปไหน ให้พี่ไปด้วยสิ พี่มีรถ เดี๋ยวพาไปได้นะ”


“ผมกลัวว่าถ้ารบกวนเถ้าแก่อีก ร้านเครื่องเขียนจะไมได้เปิดขายของแน่ๆนะครับ”


“บอกแล้วไงว่า ขาดทุนไปสองวันขนหน้าแข้งพี่ไม่ร่วงหรอก ให้พี่ไปด้วยเถอะนะ”เถ้าแก่ชัยออดอ้อนอย่างหนัก


“ผมอยากไปบ้านของพันตำรวจเอกสุพจน์ครับ”


“หม่อนจำทางไปได้ไหม”


“พอได้ครับ แต่ก็ไม่รู้จะไปถูกไหม?”


“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พี่จะพานายไปแล้วกัน ว่าแต่จะไปทำไมหรอ?”


“คือ…เขาเป็นผู้มีพระคุณกับผมอีกคนหนึ่งครับ”


“อ้ออย่างนั้นสินะ โอเคไม่มีปัญหา พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย เปียงยางไม่ต้องไปโรงเรียน”


                   อันที่จริงมีอยู่สองอย่างที่อยากกลับไป แต่หม่อนบอกเถ้าแก่ได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือผู้มีพระคุณแต่สำหรับอีกคน

ที่หม่อนอุดส่าเฝ้ารออยากไปเห็นหน้าคร่าตาในตอนนี้นั้นสุดจะทนต่อไป


“ซื้อของหน่อยจ้า!” เสียงลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน พลางทำให้บทสนทนาจบลงทันที


                 ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าตะวันโผล่ฟ้าเถ้าแก่ชัยก็พาขับรถไปเรื่อยๆ ตามที่หม่อนพอจะจำทางได้ เล่นเอา

เหนื่อยอยู่เหมือนกันกว่าจะจับต้นชนปลายถูก เพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบจะ 6 ปีแล้ว มันไม่ใช่ธรรมดาเลยที่จะจำได้ 100 เปอร์เซ็นต์

ทุกอย่างเหมือนสุ่มเดาเอาไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็มาถึงที่หมายปลายทางได้สำเร็จ



              รั้วบ้านเหล็กดัดสีทอง กับตัวบ้านที่ใหญ่มากด้านในนั้นดูคุ้นตาและเคยชินมาก ต้องเป็นที่นี่แหละ ต้องใช่แน่ๆ ยามหน้า

บ้านเดินออกมาดูและส่องที่ฝั่งกระจกคนขับ ทันทีที่เถ้าแก่เลื่อนกระจกลงยามประตูขมวดคิ้วทำสีหน้างงๆกับแขกผู้มาเยือนทันที


“มาหาใครครับ!”


              หม่อนจำเสียงและหน้าของพี่ยามนั้นได้ ตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้เมื่อหลายปีก่อน เขาดีใจจังที่อย่างน้อยพี่พันก็ยังไม่ไป

ไหน ร่างบางชะโงกไปฝั่งคนขับเพื่อคุยอะไรบางอย่างกับพี่พัน



“พี่พันสวัสดีครับ ผมหม่อนเองจำได้ไหม”


“หม่อนไหนวะ? อ้อ ใช่หม่อนที่ตัวเล็กๆใช่ไหม? แต่แกไม่เล็กเหมือนเดิมแล้วนี่หว่า น่ารักขึ้นด้วย สบายดีนะ”


“สบายดีครับ เอ่อพี่พัน เปิดประตูให้ผมเข้าไปข้างในก่อนนะ ผมมาเยี่ยมคุณท่านกับคุณหญิง”


“อ้อได้ๆ รอครู่เดียวนะ”


        สุดท้ายการเข้าไปในบ้านก็ง่ายดายขึ้น รถเก๋งคันหรูของเถ้าแก่ชัย ขับอ้อมวงเวียนเข้าจอดด้านหน้าบันไดบ้าน พร้อมกับดับ

เครื่องก่อนจะลงจากรถ สายตาของหม่อนมองไปรอบๆบ้านหลังนี้  ถึงจะนานไปนิด แต่กลิ่นอายที่นี่ยังเหมือนเดิมเลยทีเดียว



“มาหาใครคะ?” หญิงวัยย่างเลขหกเดินออกมาจากตัวบ้าน ในชุดสบายๆที่สุดแสนจะคุ้นเคยนั้น หม่อนแทบจะร้องไห้น้ำตาแตก

เสียตรงนี้


“ป้าเข็ม!”


“หม่อน! หม่อนหรือนี่ ตายแล้วพ่อคุณทูนหัว มาได้ยังไง แกไปไหนมาไม่บอกไม่กล่าวป้าฮะ รู้ไหมว่าคุณท่าน คุณบอร์นและทุก

คนตามหาแกเสียให้ว่อน!”


“นี่ป้าไม่รู้เรื่องหรอกหรอครับ?”


“เรื่อง? แกจะบอกอะไรป้าไอ้หม่อน”


“ก็ที่ผมหายไป คุณหญิงไม่ได้บอกป้าเลยหรอ?”


“ใครมากันน่ะเข็ม! ” เสียงแจ้วๆดงัขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับคนสนิทเดินคู่ขนาบข้างกันออกมาด้วย หม่อนเห็นหน้าก็จำได้แม่นเลย

ล่ะว่าเป็นใคร


“สวัสดีครับคุณหญิง!” แน่นอนเธอไม่รับไหว้เขา


“ว้าย คุณหญิง นี่มันไอ้…” มะกอกสาวใช้คนเดิมเพิ่มเติมคือมารยาทไม่มีเหลือเลย กำลังกระโดโลดเต้นตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ตรง

หน้าในวันนี้


“ใจเย็นนังมะกอก   แล้วนั่นพาใครมาด้วย ไม่ใช่พ่อเลี้ยงกรหรอกหรอ?”


            คุณหญิงทำปากประเจิดประเจ้อถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เพราะคิดว่าที่ส่งเขาไปที่ไร่ปากช่องของพ่อเลี้ยงกร จะ

สาสมใจคุณหญิงแต่เสียใจด้วยนะที่คนอย่างหม่อนแม่ธรณียังเมตตาอยู่บ้าง สายตาคุณหญิงมองดูหน้าเถ้าแก่ชัยอย่างพินิจ


“นี่เถ้าแก่ชัยครับ เจ้านายคนใหม่ ส่วนพ่อเลี้ยงกร คุณหญิงยังไม่ทราบหรอกหรอครับว่า พ่อเลี้ยงเสียแล้ว”


“อะไรนะ เสียแล้ว? ทำไมไม่มีใครส่งข่าวมาเลยล่ะ ” เธอทำน้ำเสียงตกใจ


“คุณหญิงคะ คิดให้ดีสิคะ วันนั้นเข็มเดินเอาซองเชิญไปร่วมงานศพพ่อเลี้ยง แต่คุณหญิงไม่ฟังกลับโวยวายบอกว่ารำคาญ นี่คะ!”

ป้าเข็มใช้โอกาสนี้เหน็บแนมเธอกลับทันทีอย่างเหลืออด


              พอได้ยินจากปากป้าเข็มเท่านั้น ผมเองได้แต่คิดในใจว่านี่หรือจิตใจของคน ช่างน่าสมเพศเวทนายิ่งกว่าเรื่องราวชีวิต

ของผมเสียอีก ในตอนนั้นสีหน้าคุณหญิงเสียไปเลย เหมือนจะอับอายมากไม่รู้ว่าเธอพูดและทำอะไรลงไปในเวลานั้น ผมเก็บ

ความรู้สึกนั้นเอาไว้ไม่อยากพูดออกมา ถึงยังไงเธอก็คือผู้มีพระคุณของผมอยู่ดี


“แล้วมาวันนี้มีธุระอะไร?” สุดท้ายเธอก็เอ่ยถามเมื่อตั้งสติได้


“ผมมาเยี่ยมคุณท่านกับคุณบอร์นครับ”


“เข้ามาสิ!” คุณหญิงพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในตัวบ้าน แปลกจังที่ไม่มีการร้องห้ามหรือขับไล่ไม่ยินยอม


            ผมแอบสังเกตเห็นว่าสีหน้าของป้าเข็มดูแปลกๆแต่แกก็ไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งผมเดินตามคุณหญิงเข้าไปข้างใน

บ้านก็ต้องตกใจ เพราะที่ที่คุณหญิงพามาคือกรอบรูปใหญ่ของคุณท่าน พันตำรวจเอกสุพจน์ที่ผมรู้จัก



“นี่ไงคุณท่าน กราบไหว้ซะสิ” คุณหญิงหันมายิ้มละไม พิลึกแปลกคน


“ผมไม่ได้อยากไหว้รูป ผมมาหาคุณท่านครับ” หม่อนพยายามจะไม่คิดและตัดสินไปตามที่คำตอบในใจชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี


“ก็นี่แหละคุณท่าน มีแต่รูป   คนไม่มี!” คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“หมายความว่าไงครับป้าเข็ม!” ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองหันไปมองป้าเข็มทันที


“เอ่อ คือ…”


“บอกมันไปสิป้า อ้ำอึ้งทำไม” มะกอกหันมาเซ้าซี้คนอายุมากกว่า


“ไอ้หม่อน คุณท่านเสียแล้ว ในระหว่างทำหน้าที่จับคนร้าย แกกลับมาช้าไปหน่อย คุณท่านเพิ่งจะเสียไปไม่กี่เดือนเอง”


“อะไรนะป้า? ไม่จริงใช่ไหม ป้าบอกผมสิว่าไม่จริง ” หม่อนน้ำตาไหลรินออกมา  ความเสียใจนั้นป้าเข็มเดินเข้ามาโอบกอดหม่อน

เอาไว้


“มันธรรมดาของคนไอ้หม่อนเอ้ย อย่าร้องไห้ไปเลย”


              แต่ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม ทำไมคนรอบกายและมีพระคุณกับเขาต้องมาตายไปทีละคนทีละคน

ด้วย ในความเศร้าเสียใจแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องเจอให้ได้ นั่นก็คือ คุณบอร์น


“ป้าครับ แล้วคุณบอร์นล่ะป้า”


“ฮึ จะผ่านไปนานแค่ไหน ความน่ารังเกียจในจิตใจเธอก็ไม่ลดลงเลยนะหม่อน” คุณหญิงพูดด้วยความผยองลำพองตัวจนหน้า

หมั่นไส้ แต่เด็กหนุ่มก็ได้แต่รับฟังอย่างเดียวไม่กล้าพูดอะไร


“ดูที่รูปนั่นสิหม่อน เผื่อเธอจะเข้าใจอะไรมากขึ้น!”


     คุณหญิงชี้ไปที่ผนังอีกฝั่งสูงเหนือหัวถัดขึ้นไป ปรากฏเป็นรูปของใครสองคนในชุดงานแต่งงาน หม่อนเห็นแล้วแทบเหมือน

มีดคมกริบกรีดลงที่กลางหัวใจอย่างแรง นี่หรือความรักที่เขาแอบมีให้กับพี่บอร์นเสมอมา พี่เขาแต่งงานแล้วหรอ?


             ผมจดจำภาพนั้นได้เป็นอย่างดี มันเป็นภาพที่ทั้งสีหน้าของชายหญิงในรูป   สองคนเขามีความสุขกันมาก มากพอที่จะ

ดูออกว่าเป็นคู่รักกันจริงไม่มีจัดฉากหรือคุมถุงชน ผมหายไปจากบ้านแล้วพี่บอร์นเขาตามหาผมบ้างหรือเปล่า แต่คำตอบก็ชัดเจน

อยู่แล้ว เขาจะมารักมาชอบผู้ชายอย่างผมได้ยังไง ในเมื่อในสายตาของเขานั้น เห็นผมเป็นแค่น้องชายแท้ๆคนหนึ่งเท่านั้น  เสียง

สุดท้ายในตอนนั้นที่ผมได้ยินคือเสียงเรียกของป้าเข็มกับเถ้าแก่ชัยดังขึ้น


“ว้าย! หม่อน ”


“หม่อน”


              แล้วภาพที่ปรากฏในดวงตาทั้งสองของผมคือความมืดมิดปิดดับไป ผมเป็นอะไรไปอีกแล้วสินะ…


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…


*******************************



:o12: :o12: :o12: :o12: :o12:


หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-07-2016 11:52:20
หม่อนจะสมหวังสักเรื่องไหมหน๋อ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-07-2016 12:09:07
เป็นลมหรือป่วย
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 02-07-2016 13:25:21
เศร้าอีกแล้ววววว  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-07-2016 16:20:10
คิวต่อไปคือเถ้าแก่หรา ไม่ไหวมั้ง
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 7) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 02-07-2016 19:56:04
ธรณีครวญ
บทที่ 8
ห้วงแห่งการเยียวยา



              ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าผมจะรู้สึกตัว มองดูเพดานและผนังห้องตรงหน้าอย่างช้าๆ มันคุ้นตาเหลือเกิน

เหมือนเคยได้หลับได้นอนได้อยู่อาศัยมาก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้ยังเห็นใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆตัวเขา  เถ้าแก่ชัยนั่นเอง กรอบรูป

ขนาดใหญ่เมื่อครู่มันเป็นความจริงใช่ไหม? พี่บอร์นแต่งงานแล้ว?



“ฟื้นแล้วหรอ?” คุณหญิงเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ แต่หม่อนไม่ได้ตอบคำถามนั้นไป


“เถ้าแก่ครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”


“โอเค ค่อยๆลุกนะ”


        สองมือหนาค่อยๆประคองเด็กหนุ่มให้ลุกจากเตียงนอน ท่ามกลางสายตาของคุณหญิงและมะกอกดูอยู่


“ผมลาแล้วนะครับคุณหญิง  ป้าเข็ม” หม่อนหันไปไหว้ตามชื่อที่กล่าวมา แต่แล้วกลับได้ยินเสียงคุณหญิงรั้งเอาไว้ก่อน


“เดี๋ยวก่อน! ลูกชายฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไปอยู่ต่างประเทศกับภรรยาเขาสร้างครอบครัวที่โน่น ความฝันลมๆแล้งๆของเธอ ฉันขอ

ให้ถือว่าเลิกคิดเลิกฝันเสียเถอะนะ หวังว่าเธอจะเข้าใจนะหม่อน!”


“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมคงจะมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว กราบลาคุณหญิงเลยแล้วกันนะครับ”


“ขอให้โชคดี”


           แปลกตรงที่คราวนี้เธอมองผมด้วยแววตาอ่อนลงกว่าเดิม และรับไหว้ผมด้วย แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่ตรงนี้นาน

ไปกว่านี้ ก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังนี้ไป ผมไม่อายที่จะปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดป้าเข็มอีกครั้ง


“ฮือออออ ป้าเข็ม ขอบคุณป้ามากนะครับ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ป้าเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวของผม ฮึก ฮึก คราวก่อนผมไม่มี

โอกาสได้กราบลา แต่คราวนี้ ฮึก ฮือ ฮือ ผมขอกราบลาป้าแล้วกันนะครับ”


       หม่อนค่อยๆคุกเข่าลงช้าๆ แต่สองทั้งสองที่พนมก้มลงกราบไม่ถึงพื้น มือเหี่ยวย่นนั้นก็รีบคว้ารองรับเอาไว้ก่อน


“แกจะไปจากป้าจริงๆหรอหม่อน แกกลับมาหาป้าอีกนะ สัญญาป้าสิ”


            หม่อนร้องไห้ตาแดงก่ำทำได้เพียงส่ายหน้าช้าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะกลับมาที่นี่ ความตั้งใจของเขามันหมดลง

แล้วในวันนี้



“ไม่แล้วล่ะครับป้า ฮืออออ  ป้าเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ”


“ไอ้หม่อน ฮืออออ แกนะมันใจร้ายจริงๆ ฮืออออ” ป้าเข็มได้แต่ร้องไห้เอาแต่โทษเด็กหนุ่มคราวหลานตรงหน้าอย่างเจ็บปวด


“ผมไปแล้วนะครับ ฮือออออ”


“ฮึกๆ โชคดีหม่อน โชคดีนะลูก คุณพระคุ้มครอง ฮือออ”


   ป้าเข็มอวยพรพร้อมลูบหัวหม่อนเบาๆ ก่อนจะโผเข้ากอดกันเป็นครั้งสุดท้าย ใช่เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

สำหรับที่นี่


        ร่างบางเดินขึ้นรถ พร้อมกับกวาดสายตามองดูบริเวณบ้านหลังใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง คิดมาก็น่าเศร้า เวลาของมนุษย์เราช่าง

ผ่านไปไวจริงๆ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนแม้แต่น้อย รถคันหรูของเถ้าแก่ออกตัวห่างบ้านไปที่รั้วประตูเรื่อยๆ หญิงสูงอายุที่ร่ำไห้อยู่ด้าน

หลังยังยืนมองส่งเขาที่เดิมจนกระทั่งลับตาไป หม่อนลาพี่พันยามหน้าประตูบ้านแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน ในใจมันแหลกสลายและ

เจ็บปวดที่สุด มันจบแล้วจริงๆ 


“หม่อนโอเคไหม?” จู่ๆเสียงคนขับกลับถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง


“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ”


“หม่อน! หม่อนดูเสียใจมากเลยนะที่ลูกชายของคุณหญิงแต่งงานแล้ว ทำไมหรอบอกพี่ได้ไหม?”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ เถ้าแก่อย่าไปสนใจเลย ก็แค่เรื่องคิดไปเองคนเดียว”


“หม่อนชอบเขา?”


                 คำถามนั้นสุดท้ายเขาก็คงจะหลีกเลี่ยงคำตอบไมได้จริงๆ น้ำตาเจ้ากรรมกลับเริ่มคลอเบ้าอีกครั้งพร้อมๆกับใบหน้าที่

พะงึกขึ้นลงช้าๆ 


“ครับ!”


             ความรักเพื่อรักใครสักคนอย่างหนักแน่น แม้แต่อีกฝ่ายจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ความรักของหม่อนมันก็หนักแน่นพอที่

จะยืนหยัดมาตลอด รอวันที่จะได้พบกันอีก แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว เขาต้องปฏิเสธกับชายกี่คนในชีวิตเพียงเพื่อคนคนเดียว คิดมา

แล้วน่าขำดีจริง แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า บางทีคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเขา ณ ตอนนี้อาจจะคือคำตอบของ

ชีวิตแล้วก็ได้


“นี่ใช่ไหมที่หม่อนหนักแน่นมาตลอดเพื่อเขา”


               สุดท้ายคำพูดของเถ้าแก่ก็ทำให้น้ำตาที่คลออยู่ก่อนหน้าหยดไหลรินอาบแก้มจนได้ ไม่มีอะไรต้องปกปิดอีกแล้ว

นอกจากจะพยักหน้าตอบเบาๆ ซึ่งเขาเองรับรู้ได้ว่าคนข้างๆได้คำตอบนั้นแล้ว


“อิจฉาเขาคนนั้นจังเลยเนอะ พี่นี่สิยังไมได้ความหนักแน่นนั้นจากใครเลย แม้แต่แม่ของเปียงยางเองก็ตาม”


“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เถ้าแก่เป็นคนดี ผมเชื่อว่าสักวันรางวัลแห่งความดีจะทำให้เถ้าแก่มีความสุข”


“แต่ความสุขของพี่ตอนนี้คือหม่อนนะ!”


“ผมรู้ดีครับ”


                    หม่อนตอบพ่อเลี้ยงทั้งๆที่มองออกไปนอกกระจก ดูข้างทางไปเรื่อยๆอย่างไม่มีเป้าหมาย


“พี่พอจะมีสิทธิ์อะไรในตัวหม่อนไหม?”


“ขอเวลานะครับเถ้าแก่”


“ครับคนดี อย่าร้องไห้อีกเลย อ่ะนี่ ผ้าเช็ดหน้า”


          ร่างสูงเห็นว่าหม่อนร้องไห้หนักเกินไปแล้วไม่อยากเซ้าซี้มากไปกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก เลยหยุดถามก่อนจะยื่น

ผ้าเช็ดหน้านั้นให้อีกคนเสีย


           เวลาผ่านล่วงเลยไปนานจนกระทั่งถึงวันแม่แห่งชาติประจำปีนั้นเอง ทางโรงเรียนของเปียงยางหยุดเรียนให้อยู่กับคุณแม่

แต่แปลกจากทุกปีที่คราวนี้ หนูน้อยร่างท้วมเดินเข้ามาหาเขาพร้อมดอกมะลิซ้อนหอม หม่อนทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากทึ่งในสิ่ง

ที่เด็กคนนี้ทำ เขาค่อยๆคุกเข่าต่อหน้าเด็กน้อย


“อาหม่อน ดอกมะลิให้อาหม่อนนะครับ” เด็กหนุ่มกระซิบบอกที่หูของเขา


“น้องเปียง คุณพ่อบังคับน้องเปียงทำแบบนี้รึเปล่าครับ?”


“เปล่าครับ เปียงไม่มีแม่ อาเป็นแม่ให้เปียงนะครับ”


“โถ เด็กน้อย”


              มือนุ่มๆของหม่อนเอื้อมไปลูบที่ศีรษะเด็กน้อย แล้วเลื่อนไปจับแก้มสองข้างเบาๆ


“อาเป็นแม่ให้เปียงไมได้หรอกนะครับ แม่ของน้องเปียง ถึงเขาจะไม่อยู่กับน้องเปียงแล้ว น้องเปียงต้องห้ามโกรธและเกลียดผู้ให้

กำเนิดนะ”


“แต่แม่ไม่รักเปียง แม่ทิ้งเปียงกับคุณพ่อ” เด็กน้อยวัยช่างพูด ได้เปรยออกมาตามที่ใจอยากจะพูด


“ไม่เอาครับ ทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดีเลย จะตกนรกนะรู้ไหม?”


“ไม่เอาครับเปียงไม่อยากตกนรก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อที่อาหม่อนบอกนะครับ แต่เอาเถอะดอกมะลิดอกนี้อาจะรับไว้สำหรับเด็กดีและน่ารักของอานะ”


“ครับอาหม่อน”


       สุดท้ายรอยยิ้มของเด็กน้อยก็เผยให้เห็นพร้อมๆกับโอบกอดเขาเอาไว้แน่นทีเดียว


“เพราะหม่อนเป็นแบบนี้ไง แม้กระทั่งเด็กยังรักหม่อนเลย” เถ้าแก่ชัยเดินตามออกมาจากหลังร้าน


“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับเถ้าแก่”


“หม่อน! พี่ยังรอเวลานั้นอยู่นะ”


“ผมรู้ดีครับ เถ้าแก่ หากเป็นไปได้ ผมอยากให้เถ้าแก่เจอผู้หญิงสักคน และดีพอที่จะมาแทนคุณแม่น้องเปียงได้นะครับ”


“แต่หม่อนก็เห็นว่าเด็กเขาเลือกหม่อนนะ”


“มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ทำอย่างนั้นเท่ากับสร้างความสับสนให้เด็ก และเป็นการเยียวยาทางจิตใจแบบผิดๆนะครับ”


“แต่หม่อนพี่ว่า…”


“เถ้าแก่ครับ เชื่อหม่อนนะครับ วันนี้เป็นวันแม่ ผมว่าเถ้าแก่น่าจะปิดร้านแล้วพาน้องเปียงไปเที่ยวดีกว่านะครับ”


“ใช่ครับคุณพ่อ เปียงอยากไปเที่ยวกับคุณพ่อ คุณอาไปด้วยกันนะครับ”


          หม่อนมองดูดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้นแทบจะไม่อยากปฏิเสธไปเลย เขาพยักหน้าตอบรับคำเด็กน้อย และแล้วการไป

เที่ยวสำหรับวันแม่ก็เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากไปไหว้พระก่อน วัดที่พวกเขาไปนั้นเป็นวัดที่ค่อนข้างสงบ คนไม่พลุกพล่าน เพราะไม่ใช่

วัดสำหรับนักท่องเที่ยวรู้จัก มันเป็นวัดประจำชุมชนเท่านั้น แต่เป็นวัดที่เถ้าแก่ชัยมาทำบุญบ่อยครั้ง


“พาลูกชายมาทำบุญวันแม่ครับหลวงพ่อ” เถ้าแก่พนมมือพูด


“อย่างนั้นหรอ นี่เปียงยางสินะ โตขึ้นเยอะเลย มานี่สิหลวงพ่อจะผูกแขนให้”


“ครับ”


      ร่างน้อยๆคลานเข่าเข้าไปหาหลวงพ่อที่นั่งขัดสมาธิรออยู่แล้ว ด้วยความน่าเอ็นดูนี้อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มมองตาม


“เอ้าเสร็จแล้ว”


“ขอบคุณครับหลวงตา”


“หลวงพ่อครับ นี่หม่อนครับเป็นคนงานในร้านของผมเอง ผมเพิ่งจะพามาที่วัดครั้งแรก”


“หน้าตาก็สดใสดีแต่ทำไมแววตาเศร้าอย่างนั้นล่ะโยม” หลวงพ่อเอ่ยวาจาถาม


“เรื่องปัญหาชีวิตครับหลวงพ่อ” หม่อนพนมมือตอบพร้อมกับยิ้มนิดๆ


“ยึดติดมากก็ทุกข์มาก ปล่อยๆไปบ้างเถอะนะโยม”


“ครับหลวงพ่อ”


“กรรมของคนมันหลีกไม่ได้ แต่เราสามารถสะสมบุญเพื่อความสุขทางใจได้นะโยม”


“ครับหลวงพ่อ”


                  ไหนๆก็มาวัดแล้ว หม่อนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกรบ้าง เท่าที่จำได้ก็นานมาแล้ว

ที่ทำบุญไปรอบก่อน


“เถ้าแก่ครับ ผมอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกรครับ”


“เอาสิ พี่ทำด้วย” ร่างสูงยิ้มให้อีกคนอย่างยินดี


“หลวงพ่อครับในวัดพอจะมีสังฆทานให้บูชาไหมครับ”


“น่าจะเหลืออยู่ชุดหนึ่งนะโยม ลองเดินไปดูที่หน้าโบสถ์สิ”


“ครับหวงพ่อ”


            สุดท้ายก็ได้ทำบุญสมใจ พร้อมอุทิศส่วนกุศลนี้ให้พ่อเลี้ยงกร และขอให้พ่อเลี้ยงกรอยู่ในภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไป จริงอย่าง

ที่หลวงพ่อว่า หากเศร้าเกินไปก็เป็นทุกข์ ตอนนี้เขารู้สึกปล่อยวางและมีความสุขขึ้นมากว่าเดิมมากจริงๆ


        ไม่นานก็กราบลาหลวงพ่อแล้วพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยววันแม่ต่อหลังจากได้บุญกันถ้วนหน้าแล้ว


“อาหม่อนครับ อยากไปนั่งตักอาจังเลย”


“มาสิครับคนเก่ง ”


    ว่าแล้วร่างน้อยๆก็เดินข้ามจากเบาะหลังมาด้านหน้านั่งลงระหว่างขาของหม่อนพร้อมรอยยิ้มดีใจและมีความสุข


“ดูเหมือนเปียงยางจะมีความสุขมากนะวันนี้”


“ดีแล้วล่ะครับ ผมว่าทำแบบนี้เด็กจะได้มีความสุข ไม่อยากให้ปมปัญหาไม่เหมือนเพื่อนทั่วไปมาทำให้เศร้า ไม่มีแม่ก็สนุกได้จริง

ไหมเปียงยาง”


“ครับอาหม่อน”


“แล้วน้องเปียงอยากไปเล่นบ้านบอลไหมครับ?” หม่อนถามเพราะที่กำลังจะไปคือห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งและมีบ้านบอลด้วยที่

นั่น


“อยากครับ เปียงชอบมากๆ คุณพ่อเคยพาไปครั้งหนึ่งแล้ว”


   ความไร้เดียงสานี้ทำให้รอยยิ้มของผู้ใหญ่ทั้งสองคนเผยยิ้มออกมาได้ ถึงแม้ว่าเถ้าแก่ชัยจะมีแผนการเอาลูกตัวเองมาผูกมัดใจ

หม่อนเองก็ตาม แต่ด้วยความรู้ทันของหม่อนนั้นได้แต่หลีกเลี่ยงออกห่างเว้นช่องว่างให้เหมือนเดิมจะดีกว่า เขาเปรยไปว่าขอ

เวลา แต่เอาเข้าจริงๆเขาไม่สามารถลืมคุณบอร์นได้เลยแม้แต่น้อย มีใครกันนะกล่าวไว้ว่าความรักครั้งแรกมันช่างลืมยากเสียจริง

ดูท่าน่าจะจริงเพราะสิ่งที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากประโยคเมื่อครู่เลย…



…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…


*******************************



เอาล่ะ นี่คือคำเตือนชนิดรุนแรง ตอนต่อไปนี้กรุณาทำใจให้มากๆ หรือไม่ก็เตรียมทิชชู่เอาไว้เยอะๆ ผู้แต่งเตือนแล้วนะ ไม่ต้อง

ห่วงว่ามันจะไม่เศร้า  เศร้าหนักมากผู้แต่งร้องไห้นำร่องไปก่อนแล้ว เพราะแต่งเองนี่เนอะ!!!

ขอบคุณที่ติดตามครับ บีบหัวใจไปเรื่อยๆ พลอตเรื่องเศร้ามาก เข้มข้นมาก พรุ่งนี้เจอกันตอนสายๆ


 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:


หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-07-2016 20:41:09
ไม่เอาอุบัติเหตุไรอีกนะ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-07-2016 20:54:29
คนเขียนจ๊ะ แล้วน้องหม่อนจะสมหวังสักเรื่องไหมในชีวิตนี้ :ling2:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 8) 2/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 03-07-2016 10:53:11
ธรณีครวญ
บทที่ 9
สิ่งที่เกิดขึ้น




                   แต่แล้วกลับเกิดเรื่องขึ้นจนได้ วันแม่แห่งชาติปีนั้นเลยกลายเป็นวันแห่งความเศร้าโศกที่สุด เมื่อจู่ๆระหว่างการ

เดินทางไปห้างสรรพสินค้าอยู่นั้น กลับมีรถบรรทุกมาขวางตัดหน้าที่ยูเทิร์นพอดี ความเร็วของรถทางเอกนั้นเร็วมากเกินกว่าที่จะ

เบรกทันและหนึ่งในนั้นคือรถของพวกเขาเองด้วย ภาพที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นเกิดขึ้นเร็วมากแทบอยากจะหยุดหายใจ



เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดด  ปี๊กกกกกกกกกกกกกกกก




                 เถ้าแก่ตกใจเหยียบเบรกพร้อมกับกดแตรรถพร้อมหมุนพวงมาลัยหลบไปข้างทาง ทุกอย่างอลหม่านไปหมด รถ

หลายๆคันก็เช่นกัน มีทั้งขับพุ่งชนกับรถสิบล้อ ขับชนท้ายกันเองเป็นทอดๆ ส่วนรถของพวกเขานั้นขับหลบชนเข้ารถตู้หนึ่งคันเลน

ซ้ายสุดก่อนจะพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างถนนอย่างแรง พร้อมกันนี้เสียงเบรกรถอึกกะทึกครึกโครมนั้นดังกึกก้องไม่ขาดสาย เพียงเท่านี้

เสียงวุ่นวายเหล่านั้นกลับค่อยๆเงียบไปพร้อมๆกับความรู้สึกของหม่อน จอภาพตรงหน้าเริ่มดับลงมองไม่เห็นอะไรเลย…




จนกระทั่ง…





“เอามีดมา”





“กรรไกรด้วย”



       เสียงใครบางคนกำลังทำให้ร่างบางได้สติ แต่มันช่างเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดไปทั้งตัว ยากที่จะลืมตาขึ้นมองได้ เห็นแต่แสง

ไฟดวงใหญ่ตรงหน้าสาดส่องลงมา



“หมอคะ? คนไข้ได้สติแล้ว”


“อ้าวหรอ ฉีดยาสลบเลยเร็วเข้า!”




             เสียงนี้คุ้นจังเลย เหมือนผมได้ชินที่ไหนกันนะ  เพียงเท่านี้ผมก็ค่อยเพ่งไปที่ภาพเลือนรางตรงหน้านั้น ใช่จริงๆด้วย

คุณหมอเพื่อนของเถ้าแก่ชัยนี่นา ครั้งหนึ่งเขาเคยเย็บแผลที่ถูกมีดแทงให้ผม แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ หรือว่าผมมาโรง

พยาบาล ผมเป็นอะไรไปอีกแล้ว


            ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมาก ฤทธิ์ยาก็ได้ผล มันทำให้ผมสลบไปอีกครั้ง ไม่รู้สึกตัวไม่รับรู้อะไรอีกเลยจนกระทั่งผ่านไป

นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมกำลังได้ยินและรู้สึกตัว เสียงใครข้างๆผมกำลังเรียกผมอยู่เบาๆ



เสียงนี้มัน…


“ฟื้นแล้วหรอครับ!”


“ผม…ผมหลับไปนานเท่าไหร่?”


“สามวันติดครับ”


“อะไรนะครับ! แล้วนี่เถ้าแก่กับเปียงยาง?”


“ใจเย็นๆก่อนนะหม่อน อย่าเพิ่งขยับ”


“ทำไมละครับ?”


       หม่อนมองหน้าแพทย์หนุ่มตรงหน้าอยากแปลกใจ แต่แล้วคำตอบนั้นกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในตัวมันเอง เมื่อเขาพยายาม

ขยับตัวลุกออกจากเตียงสีเขียวนี้ แต่กลับทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันแปลกไป ทำไมที่ขาของเขาสองขากลับ…ไร้ความรู้สึก


“ขาผมเป็นอะไรครับหมอ?”


“เอ่อ…หมอเสียใจด้วยนะครับ คือว่า…ขาของหม่อน หม่อนเป็นอัมพาตแล้วครับ”


      แพทย์หนุ่มพูดพร้อมกับหลบสายตาไม่มองเขา หม่อนน้ำตาไหลรินเอามือเรียวนุ่มลูบขาทั้งสองข้างของตัวเอง แต่แล้วสิ่งที่

เขาเป็นห่วงมากกว่าขาของเขาตอนนี้นั่นก็คือ เถ้าแก่ชัยกับเปียงยาง


“ฮึก ฮือออออ หมอครับ แล้วสองคนพ่อลูกล่ะครับ?”


“หมอช่วยเหลือเต็มที่แล้วครับ แต่ว่า…”


“ม่ายยยยยยยยยย ไม่จริงใช่ไหม หมออออออ  หมอบอกมาสิ  หมอบอกผมสิว่าไม่จริงงงงงงงงง ฮืออออออ”


       หม่อนร้องไห้ปานจะขาดใจ เมื่อคำตอบนั้นหมอไม่ต้องบอกหรือพูดจนจบ เขาก็รู้แล้วว่า สองคนนั้นเป็นอะไรไป!


“หม่อน แต่ก่อนที่เถ้าแก่ชัยจะสิ้นใจ เขาฝากให้หมอดูแลหม่อนต่อนะครับ แล้วยังบอกอีกว่ากิจการเครื่องเขียนให้หม่อนดูแลต่อ

จากเขา”


 หมอบอกอย่างเศร้าใจ อย่างน้อยเถ้าแก่ชัยก็เพื่อนสนิทของเขาเหมือนกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเสียเพื่อนไปทั้งๆที่อายุไม่เท่าไหร่

เลย ไหนจะลูกน้อยด้วย


“ไม่จริงงงงงง เถ้าแก่ต้องไม่ตายสิ  ผมจะไปหาเถ้าแก่ หมอออ  หมอช่วยผมที”


        หม่อนพยายามขยับตัวเองอย่างยากลำบากเพาะขาที่ไร้ความรู้สึก แพทย์หนุ่มก็ทำใจลำบากที่เห็นภาพตรงหน้านี้ ถึงหม่อน

จะรอดแต่ก็ไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ถึงท่อนบนจะไม่ได้เป็นอัมพาตแต่ก็สาหัสเอาการต้องใช้เวลาเยียวยาและรักษา และเขา

ไม่อยากจะบอกหม่อนเลยว่าอวัยวะภายในหลายอย่างนั้นเป็นอวัยวะของเถ้าแก่ชัยที่ปลูกถ่ายได้สำเร็จเพื่อให้หม่อนรอดชีวิต

เพราะโอกาสของหม่อนนั้นครึ่งต่อครึ่ง เมื่อสามวันก่อน แต่สำหรับเถ้าแก่ชัยและเปียงยางโอกาสรอดยังไงก็เท่ากับศูนย์



“รอหมอก่อนนะ หมอจะไปเอารถเข็นมาให้”


“ฮึก ฮืออออออออ เถ้าแก่  เปียงยางงงงง ทำไมกัน ทำมายยยยยย”


           แพทย์หนุ่มได้แต่เก็บน้ำตานั้นไว้ไม่ให้ไหลรินไปตามภาพตรงหน้าที่เห็น ก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องไปเอารถเข็นเข้า

มาในห้อง


           แพทย์หนุ่มพาร่างคนเป็นที่ไม่ต่างจากคนตายในตอนนี้ เข็นมายังด้านหน้าห้องดับจิต  แพทย์หนุ่มกำลังพูดคุยอะไรกับ

คนเฝ้าหน้าห้องอยู่สักพักก็เข็นรถอีกคนเข้าไปด้านใน บรรยากาศเบือกเย็ยเหน็บหนาวแล้วหยุดอยู่ที่ศพตรงหน้า สภาพที่คลุม

ด้วยผ้านั้นแตกต่างกัน อีกผืนยาวอีกผืนสั้น หม่อนต้องทำใจหนักมาก ก่อนที่ผ้าคลุมหน้าของสองคนตรงหน้านั้นจะถูกเปิดออก


“ทำใจดีๆไว้นะหม่อน”


“ผม ฮึก  ฮืออออ  ผมพร้อมแล้ว ฮึก ฮึก”




                ร่างบางตั้งใจมองภาพตรงหน้า ไม่นานผ้าคลุมหน้านั้นก็ถูกเปิดออก เป็นเถ้าแก่ชัยกับเปียงยางจริงๆด้วย



“ม่ายยยยยยยย ไม่จริงงงงงง นี่คือความฝันใช่ไหมมมมม บอกผมที เถ้าแก่จะทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้นะ  เถ้าแก่บอกจะรอผมไม่ใช่

หรอออ ฮือออออ ตื่นสิครับ ตื่นขึ้นมา   เปียงยางงงง เปียงจะทิ้งอาไมได้นะ ไหนเปียงบอกรักอาเหมือนแม่ไง เปียงตื่นสิ เปียง”


                หม่อนเหมือนคนเสียสติกับศพสองคนตรงหน้านี้ สองคนยังไม่รอด แต่ทำไมเขากลับรอด ทำไมกัน? หม่อนใช้เวลา

อยู่กับศพสองคนในห้องลำพังและนานพอจนควบคุมสติตัวเองได้แล้วแพทย์หนุ่มเพื่อนสนิทของเถ้าแก่ชัยก็เข้ามาเข็นรถเข็นออก

ไป และไปซักที่ที่ทำให้ผ่อนคลาย…


             ในสวนหย่อมสุดสวยด้านหน้าตึกผู้ป่วย แต่ความสวยนั้นช่างไม่มีผลต่อจิตใจของคนบนรถเข็นเลยแม้แต่น้อย มีแต่แวว


ตาที่มองไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย


“หม่อน!”


        สุดท้าย เสียงเรียกชื่อดังมาจากข้างหลังก็ทำให้หม่อนตื่นจากภวังค์แห่งความทุกข์ใจได้


“ทำไมครับหมอ ทำไมผมรอดอยู่คนเดียว ทำไมผมไม่ตายตามพวกเขาไป” นี่ไม่ใช่ประโยคประชดประชันแต่เป็นความรู้สึกที่

ต้องการอยากจะเป็นจริงๆของหม่อน


“รู้ไหมว่าทำไม?”


“หมอพูดมาเถอะครับ”


“เพราะตอนนี้ถึงเถ้าแก่ชัยจะไม่อยู่กับหม่อนแล้ว แต่ลมหายใจเข้าออกของหม่อนนั้น เถ้าแก่ชัยยังอยู่กับหม่อนเสมอนะ”


“หมายความว่าไงครับ?”


“ก็เพราะว่าตอนเกิดอุบัติเหตุปอดและอวัยวะภายในหลายชิ้นถูกกระทบอย่างแรง ทำให้ต้องได้รับการปลูกถ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ใน

ตอนนั้นเหมือนอะไรดลใจให้เถ้าแก่พูดออกมาทั้งๆที่เขาอาการสาหัสพร้อมสิ้นใจทุกเมื่อ เขาบอกให้หม่อนต้องรอด และเต็มใจที่

จะเอาอวัยวะของเขาที่ยังดีอยู่บ้างให้กับหม่อนยังไงล่ะ”


“เถ้าแก่! ฮึกฮือออออ” สุดท้ายคนที่มาจากเขาไปอีกคนคือเถ้าแก่กับลูกน้อยสินะ


“เอาล่ะ หมอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาแนะนำตัว แต่หมอต้องขอแนะนำตัวเลยแล้วกัน หมอชื่อนพนะ เป็นหมอศัลยศาสตร์โดย

เฉพาะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับหมอ  ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ถึงสองครั้ง”


“มันเป็นหน้าที่ของหมอเองครับ ส่วนงานศพของเถ้าแก่กับลูกชาย หมอจะช่วยคุณเอง คุณเป็นอัมพาตอย่างนี้คงจะจัดการอะไร

ได้ไม่สะดวกเท่าไหร่”


“ขอบคุณมากครับหมอ”


“เรียกว่าพี่นพก็ได้นะ”


“ครับ!”


            หม่อนหันไปยิ้มให้คุณหมอหนุ่มตรงหน้านิดๆ แต่ความเศร้าจากแววตานั้นไม่อาจปกปิดต่อใครอื่นที่มองเห็นได้เลย

แม้แต่น้อย


“จะขึ้นห้องเลยไหม พี่จะเข็นเรากลับห้องเอง”


“ยังหรอกครับ อยู่ในห้องอุดอู้น่าเบื่อ ผมอยากอยู่คนเดียวเงียบๆตรงนี้ได้ไหมครับพี่หมอ”


“ได้สิ พี่เต็มใจ ไว้เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงพี่จะกลับมารับเรานะ”


“ครับ”


                พอร่างสูงสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินกลับเข้าตึกผู้ป่วยไป น้ำตาของหม่อนกลับไหลรินลงมาอีกครั้ง ชีวิตนี้มัน

ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยซักนิด พลาดไปนิดเดียวคือความตายทันที คนมีอนาคตอย่างเถ้าแก่ชัยและเปียงยางทำไมต้องอายุสั้นนัก

คนที่ตายไปซะน่าจะเป็นเขาแทนไม่ใช่สองคนนั้น สวรรค์ช่างโหดร้ายนัก ทำร้ายจิตใจของเขามาหลายหนแล้ว คราวนี้คงจะหนี

แม่ธรณีไม่พ้นจริงๆ



“แม่ธรณีครับ ฮึก ฮึก ลูกขอให้บุญกุศลที่เราทำกันมาส่งไปถึง เถ้าแก่ชัยและเปียงยางด้วยนะครับ ให้พวกเขา ฮึก ฮึก ไปสู่ภพภูมิ

ที่ดีด้วย ฮึก ฮึก” เสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความปวดใจนั้นดังต่อเนื่องตลอด


              และแล้ววันเวลาที่ผ่านไปก็พอจะเยียวยาความเศร้าได้เช่นเดิม งานศพของเถ้าแก่ชัยและลูกน้องจัดเสร็จไปอย่างเรียบ

ง่าย ส่วนร้านแห่งนี้หม่อนทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของเถ้าแก่ชัย เขาตั้งใจดูแลกิจการและจ้างลูกน้องมาช่วยงานเพิ่มสองคน

ส่วนหมอนพก็แวะเวียนมาเรื่อยๆที่ร้าน แต่ก็ไม่บ่อยนัก ด้วยภาระหน้าที่ที่โรงพยาบาลนั้นมากมายเหลือเกิน ส่วนใหญ่หม่อนก็อยู่ที่

ร้านและกินนอนที่นี่แทนการกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง



“หม่อน!”


  ช่วงเที่ยงวันนั้น จู่ๆก็มีคนโผล่เข้ามาในร้านพร้อมกับถือของเข้ามามากมาย ส่วนใหญ่เป็นอาหารการกินทั้งนั้น กลิ่นหอมโชยชวน

น่ากินมาแต่ไกลทีเดียว


“พี่หมอ ซื้อมาเยอะแยะเลยนะครับ ”


“ก็ซื้อมาทานกับหม่อนเป็นข้าวเที่ยงนี่ไง”


“ขอบคุณครับ อ้อจริงสิ วันเสาร์นี้ผมจะไปทำบุญที่วัดให้เถ้าแก่กับเปียงยาง พี่หมอว่างไหมครับ”


“ว่างสิ ว่างเสมอสำหรับหม่อน ขอให้บอกพี่นะ”


                จะว่าไปหม่อนเองก็เพิ่งจะสังเกตและพินิจดูรูปร่างหน้าตาของพี่หมอนพอย่างถี่ถ้วน เขาเป็นคนสูงและสมส่วนกล้าม

ไม่น้อยไปไม่มากไป กำลังพอดี ใบหน้าเรียวคมหล่อเหลาเอาการ กับแว่นกรอบดำนั้นเข้ากับใบหน้าพี่เขานัก แต่แปลกที่พี่นพไม่

ยอมมีแฟนเลยสักที


“พี่หมอ งานหนักทุกวันแบบนี้จะมีเวลาจีบสาวหรอครับ?” หม่อนเอ่ยถามขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร


“ก็ใช่! แต่ช่างเถอะ พี่ว่าพี่อยู่กับคนป่วยพี่มีความสุขมากกว่านะ”


“แต่เวลาพอพี่ไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วใครจะดูแลล่ะครับ”


“ก็ไม่เห็นยากเลย…น้องหม่อนไงครับ”


“พูดอะไรครับเนี่ย หม่อนไม่หลงกลพี่หมอหรอกนะ” หม่อนเอ็ดคนตรงหน้าด้วยสายตา


“ใครว่าล่ะครับ จำไมได้หรอก่อนเถ้าแก่ชัยเพื่อนพี่จะเสีย เขาสั่งเสียยกใหญ่ว่าให้ดูแลหม่อน ก็เท่ากับหม่อนก็ต้องดูแลพี่ด้วย”


“อย่างหลังนี่หม่อนว่าไม่น่าจะใช่นะครับ”


“ทำไมล่ะครับ ดูหม่อนสิน่ารักออกอย่างนี้พี่ไม่แปลกในเลยนะว่าจะเปลี่ยนชายหนุ่มหลายคนให้หลงชอบผู้ชายด้วยกันได้”


“แต่กลับบางคน ผมเปลี่ยนไม่ได้เลย”


                ร่างบางเปรยออกมาเบาๆ พร้อมกับมีภาพใบหน้าของบอร์นผ่านแว๊บเข้ามาในสมองทันที ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำใจ แต่ช่าง

เถอะ ไหนๆก็ผ่านมาแล้วให้มันเป็นอดีตที่อยู่ในความทรงจำก็แล้วกัน


“น้องหม่อนหมายถึงใครหรอครับ?”


“เปล่าหรอกครับ พี่หมอทานข้าวเถอะ มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลย”


        หม่อนเปลี่ยนท่าทีจากเศร้าๆกลายเป็นเสียงหัวเราะและยิ้มให้พี่หมออย่างรวดเร็ว แต่นั่นไมได้ทำให้แพทย์หนุ่มวางใจ

แม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่าต้องเป็นใครสักคนที่หม่อนแอบชอบแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครก็เท่านั้นเอง


…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



***********************************


ตามนั้นแหละครับผู้อ่าน   หายตัวแป๊บ  กลัวโดนด่า   :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:


เอาน่าๆ ให้ตามต่อไป อีกนิดก็จะจบแล้ว บางทีอาจจะทำให้ยิ้มได้แทนการเสียใจนะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-07-2016 12:09:24
เหมือนเกิดมาสร้างความหายนะให้กับคนที่มาช่ววเหลืออะ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-07-2016 14:04:04
 :z3:  โหยยยยยย ชีวิตหม่อนนี่มันเศร้าจริงๆ แต่แอบคิดเหมือนเม้นท์ข้างบนว่า หม่อนเกิดมาเพื่อสร้างหายนะให้คนที่มาช่วยเหลือหรือเปล่า 55555
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 03-07-2016 14:21:26
หม่อนนี่ตัวซวยป่ะเนี่ยใครช่วยเนี่ยตายหมดเลย
เราว่าอารมณ์ของตัวละครมันไม่สุดอ่ะมันเลยไม่เศร้าอย่างที่ควรจะเป็น
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 9) 3/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 03-07-2016 18:15:36
ธรณีครวญ
บทที่ 10
รำลึกความทรงจำ



           ผ่านไปนานพอสมควรจนกระทั่งหม่อนอายุครบ 20 ปี  ร่างบางตั้งใจปิดร้านสองวันเพื่อจะเดินทางไปที่บ้านไร่ของพ่อ

เลี้ยงกร อำเภอปากช่อง จังหวัดโคราช โดยมีพี่หมอนพ อาสาเป็นคนขับรถให้ แต่ความยากลำบากอยู่ที่การเสียความรู้สึกที่ขาทั้ง

สองข้างไปแล้วนั้น ทำให้การไปไหนมาไหนต้องคอยให้คนอื่นช่วยตลอดและคนอื่นที่ว่านั้นไม่ใช่ใครไกลอื่นเลยนอกจากหมอนพ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พี่หมออุ้มเขาขึ้นรถอย่างช่ำชอง ราวกับตัวของหม่อนไมได้หนักอะไรเลยและดูเหมือนเขาจะแอบแกล้งเด็กหนุ่ม

เล่นทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างเช่นแกล้งทำเหมือนจะปล่อยมือบ้าง โยนขึ้นลงอย่างกับลูกบอลบ้างสร้างความตื่นเต้นให้เขาไมไม่

น้อยทีเดียว 



“พร้อมจะไปต่างจังหวัดรึยังครับคนเก่ง!”


“พร้อมครับพี่หมอ”


“พาคนรัก กลับไปรื้อฟื้นและความทรงจำดีๆที่บ้านไร่คราวนี้ ไม่รู้ว่าอีกคนจะนอกใจพี่ไหมน้า!”



            ย้อนความกลับไป ผมมานั่งคิดๆดูผมไม่อยากเสียเวลาให้มันผ่านเลยไป ทั้งที่อดีตมันกลับมาไมได้แล้วนั้น ผมควรจะอยู่

กับปัจจุบันและความเป็นจริงจะดีกว่า สำหรับใครบางคนในความรักครั้งแรกก็ปล่อยเขาไปมีความสุขตามที่เขาควรจะเป็น และ

ปล่อยให้เป็นความทรงจำดีๆในจิตใจของผมเองจะดีกว่า



            ผมจะไม่ทำให้ทั้งพ่อเลี้ยงกร และเถ้าแก่ชัยต้องเสียใจอีก หากเห็นว่าผมยังคงปฏิเสธคนที่ดีแสนดีเช่นนี้ให้หลุดลอยไป

อีกคน และผมเองก็คงจะทำใจไมได้อีกแน่หากคนที่รักผมต้องมาเป็นอะไรไปอีก ทั้งที่ผมกลับไม่ให้โอกาสเขาเลย ผมเลยตัดสิน

ใจลองเปิดใจตัวเองอีกครั้งและคุณหมอก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีเสียด้วย


        ตลอดเวลาหนึ่งปีที่พี่หมอมาอยู่และช่วยดูแลกิจการของเถ้าแก่ชัยเพื่อนสนิทนั้น มันทำให้ผมเห็นแล้วว่า คนเราอย่าไปปิด

กั้นโอกาส มีอะไรก็เรียนรู้กันไป อย่าได้เสียเวลาทิ้งเปล่าไป ไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะต้องเสียพี่หมอไปอีกรึเปล่านั้นไม่มีใครตอบได้

แต่หากจะเกิดขึ้นจริงคราวนี้ขอให้เป็นเขาเองเถอะที่ต้องตายจะดีกว่า



           รถห้าประตูขับไปบนถนนเส้นใหญ่มุ่งหน้าสู่ถนนมิตรภาพ ที่จะนำพาพวกเขาไปยังบ้านไร่แห่งนั้นอันเป็นจุดหมายปลาย

ทาง สุดท้ายก็มาถึงบ้านไร่ อำเภอปากช่องเพียงเวลา 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง สิ่งแรกที่เขาเข้ามาเห็นและได้สัมผัสความ

เปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควร สงสัยจะเป็นความคิดบริหารธุรกิจของคุณกัน น้องชายคนเดียวของพ่อเลี้ยงกรเป็นแน่




“พี่นาย!”



              หมอนพเข็นรถเข็นของหม่อนมาหยุดที่โรงเก็บหญ้าฟาง ชายคนนั้นค่อยๆหันกลับมามองกลังจากได้ยินคนเอ่ยชื่อ แต่

แล้วรอยยิ้มนั้นก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของพี่ชายผิวคล้ำคนเดิมที่เขารู้จัก


“หม่อน! หม่อนจริงๆด้วย มาได้ยังไง แล้วนี่ทำไมถึงได้…”


             จากรอยยิ้มกลับหายลับเข้ากลีบเมฆเมื่อพี่นายสังเกตเห็นคนตรงหน้านั้นนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีร่างสูงใส่แว่นหล่อเหลา

เป็นคนเข็นอยู่ด้านหลัง


“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับพี่นาย”


“ไม่นิดแล้วมั้งหม่อน โถ่เอ้ย ไปโดนอะไรเข้าล่ะ?” พี่นายถามร่างบางด้วยความเป็นห่วง


“ช่างมันเถอะครับ ผมไม่อยากรื้อฟื้นมันอีกแล้ว”



“แล้วนี่ใครกันหรอ?”


“แฟนผมเองครับพี่นาย นี่คุณหมอนพครับ พี่นพครับส่วนนี่พี่นาย พี่ชายของหม่อนเอง”


“สวัสดีครับ” ร่างสูงไหว้คนผิวคล้ำตรงหน้า


“ครับคุณหมอ เอ่อพี่ว่าพาคุณหมอเข้าบ้านดีกว่านะ ตากแดดอยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่”


“ไม่เป็นไรครับผมทนได้”


“เอาอย่างนั้นหรอครับหมอ” นายทำสีหน้าลังเล


“พี่นาย คุณกันอยู่ไหมครับ?”


“อยู่สิ น่าจะที่กลางไร่โน่นเลย ถ้าจะไปคงไม่สะดวกเพราะไม่ใช่ทางรถยนต์เอาเป็นว่า รออยู่ที่บ้านไปก่อน เดี๋ยวพี่จะไปตามให้”


“ขอบคุณมากครับพี่นาย”


“ไม่เป็นไรๆ แค่ได้เห็นหม่อนกลับมาก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว ”


                ระหว่างนั่งรอในบ้านผมรู้สึกแปลกใจนิดๆ ทั้งๆที่พ่อเลี้ยงกรตายไปได้หลายปีแล้ว แต่ทำไมภายในตัวบ้านกลับยังคง

อยู่เหมือนเดิมล่ะ ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนตกแต่งเพิ่มเติมไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนั่งรออยู่ที่โซฟาได้ไม่นาน ก็มีหญิงสาว

แต่งตัวสวยเดินออกมาพร้อมกับน้ำส้มสองแก้ว



“น้ำส้มค่ะ ”


“ขอบคุณมากนะครับ” หม่อนเอ่ยปากบอกเธอพร้อมกับยิ้มให้


“ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เพราะคุณหม่อนลงไปกรุงเทพเสียก่อน”


“อย่าเรียกคุณเลยครับ ผมไม่ค่อยชิน” หม่อนบอกอย่างเกรงใจ มันดูสูงส่งเกินไปที่เขาจะถูกเรียก


“ไม่ได้หรอกค่ะ คนของพ่อเลี้ยงกรฉันต้องพูดให้เกียรติสิคะ ตายจริงฉันลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ หน่อย ค่ะเป็นภรรยาของคุณกัน”


“โห จริงหรอครับ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ สวัสดีครับคุณหน่อย คุณกันแต่งงานตอนไหนไม่เห็นส่งข่าวผมเลย”


“ไม่นะคะ เขาบ่นอยากชวนคุณมาร่วมงานมากๆ แต่ไม่รู้ที่อยู่ของคุณและไม่มีเบอร์คุณด้วย”


“เออจริงสิ ตอนนั้นผมไม่มีมือถือนี่นา ขอโทษจริงๆนะครับที่พลาดงานมงคลแบบนี้ไป ขอแสดงความยินดีย้อนหลังนะครับ”


“ขอบคุณค่ะ แล้วนี่คุณหม่อนพาใครมาด้วยคะ?”


“นี่นายแพทย์นพครับ เป็นแฟนผมเอง” เธออึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาแทนเพื่อกลบเกลื่อน


“อ่อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”


               ตอนนั้นเรานั่งคุยกันไปนานพอสมควรจนกระทั่งมีอีกคนที่ต้องการจะเจอนั้นกลับมาถึงบ้านพอดี แต่การเจอกันครั้งนี้

ทำให้หม่อนรู้ว่าคุณกัน ช่างมีใบหน้าคล้ายกับคุณกรมากเลยทีเดียว ตอนนี้เขาไว้หนวดและเคราเหมือนพ่อเลี้ยงกรทุกอย่างไม่มี

ผิด           



“สวัสดีครับคุณกัน”


            ผมไหว้คนตรงหน้าที่อายุมากกว่า 10 ปีพร้อมกับหมอนพที่ลุกขึ้นไหว้ให้เกียรติพ่อเลี้ยงคนใหญ่ของที่นี่ แววตาดีใจปน

ตื่นเต้นนั้นกำลังเดินเข้ามาหาหม่อนอย่างรวดเร็ว


“หม่อน! รู้ไหมว่านายไปตามฉันกลับมาที่กลางไร่ ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นหม่อนที่กลับมา”


“ผมตั้งใจอยากจะมาหลายปีแล้วครับแต่ไม่มีโอกาส คราวนี้ได้คนขับรถคนใหม่เลยพามาที่นี่ด้วยเลย”


“คนนี้นะหรอ?” กันมองหน้าหมอนพด้วยความฉงนใจ

“ใช่ครับ นี่คือหมอนพ แฟนใหม่ของผมเอง”


“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ” พ่อเลี้ยงกันแห่งบ้านไร่คนใหม่กล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้ม


“คุณคะสิ่งหนึ่งที่คุณไม่รู้นะ คุณหม่อนเขาอัมพาตที่ขาทั้งสอง ตอนคุณเดินเข้ามาในบ้านหม่อนเลยไมได้ลุกขึ้นไหว้คุณนะค่ะ”


“จริงหรอ โถเอ้ยหม่อน ทำไมมีแต่เคราะห์ร้ายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้นะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องมันก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว คุณกันอย่าเอาไปคิดมากเลยครับ”


“แล้วนี่ตั้งใจมาหาฉันกี่วันกันล่ะ”


“สองวันครับ กะว่าจะขอพักค้างคืนที่นี่ เช้าพรุ่งนี้กะว่าจะไปทำความสะอาดธาตุของพ่อเลี้ยงกรแต่เช้าด้วย”


“ดีเลย คุณหน่อย พรุ่งนี้เราก็ถือโอกาสทำบุญไปด้วยเลยดีไหม ไม่ได้ทำนานแล้วเหมือนกัน”


“ดีค่ะพี่กัน ”


“เอาล่ะคืนนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยนะหม่อน”


“ครับคุณกัน”


            บทสนทนามีแต่ความปราบปลื้มปีติยินดี ทั้งสี่คนนั่งทานข้าวกันไป คุยเฮฮากันไป โชคดีแค่ไหนแล้วที่คุณกันตัดสินใจ

แต่งงานกับหน่อย หญิงสาวงามทั้งกิริยาและมารยาทอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นหม่อนเองก็ไม่รู้จะคิดยังไงหากกลับมาที่บ้านไร่แห่งนี้

แล้วคุณกันยังไม่หยุดเลิกรักเขาอยู่



                และแล้วพอถึงตอนเช้าพวกผมทั้งสี่คนก็ตื่นไปทำบุญที่วัด เสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้พ่อเลี้ยงกร ต่อด้วยทำความ

สะอาดบริเวณธาตุเก็บเถ้ากระดูกนั้นจนสะอาด พอสายหน่อยก็กลับมาที่ไร่ดูบรรยากาศเก่าๆที่ครั้งหนึ่งผมเคยอยู่ที่นี่ และรู้จัก

ความรักครั้งแรกสำหรับคนที่รักผมจริง แต่ผมสิที่แย่ปฏิเสธคนที่รักผมครั้งแรกได้ลงคอ โดยไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย ทั้งๆที่เขา

เป็นคนที่แสนดี แต่บางทีที่ผมตัดสินใจไปแบบนั้น อาจจะเพื่อได้เดินทางมาพบ พี่นนท์ เถ้าแก่กร เปียงยาง และคนล่าสุดคือหมอ

นพก็เป็นได้




                 และพิเศษที่สุดคือผมให้โอกาสเขา เป็นคนที่สองของหัวใจและเป็นคนแรกที่ผมพยายามจะรักเพราะไม่อยากให้อีก

ฝ่ายนั้นรอความรู้สึกของผมเก้อฝ่ายเดียว และที่สำคัญผมอยากจะให้ชีวิตของผมหยุดอยู่ที่หมอนพเป็นคนสุดท้ายจะได้ไหม? ผม

ไม่อยากเปลี่ยนไปไหนอีก เพราะคำว่าเปลี่ยน นั่นคือคนคนนั้นได้สิ้นชีวิตแล้วนั่นเอง


                 ผมขอร้องให้หมอนพเข็นรถมาหยุดที่ทุ่งแกะ ผมเรียกชื่อนี้เองตรงหน้ามีแต่แกะทั้งนั้น และต้นไม้ต้นใหญ่ที่ที่เดิมที่

ผมมักจะมาร้องไห้และร้องขอความเมตตาจากแม่ธรณี พอนึกกลับไปผมนี่เป็นเด็กที่ขี้แยเสียจริงๆเลย




“พี่หมอครับ รู้ไหมว่าที่นี่มีความสำคัญต่อจิตใจของผมมากเลยนะ”


“ยังไงครับหม่อน”


“เวลาผมเสียใจผมจะแอบมาร้องไห้และขอพรความเมตตาจากพระแม่ธรณีที่นี่  ให้ดูแลและปกปักรักษาผม และผมก็เชื่อด้วยว่า

แม่ธรณีได้ยินสิ่งนั้น ผมถึงได้รอดพ้นจากเหตุการณ์ต่างๆมาได้”


“อย่างนี้สินะ หม่อนเองเป็นคนดี ถึงไม่ใช่แม่ธรณีช่วย พี่ว่าอย่างน้อยพี่เองแหละคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างหม่อนและคอยช่วยเหลือ

หม่อนนะ”


“ขอบคุณมากๆนะครับพี่หมอ ผมจะเก็บความรู้สึกดีๆของพี่หมอให้กลายเป็นความรักให้เร็วที่สุดนะ”


“พี่ก็ต้องขอบคุณหม่อนเช่นกันที่ให้โอกาสพี่ อย่าคิดเพียงว่าเป็นความต้องการของเถ้าแก่ชัยเลยนะ เพราะในใจจริงๆพี่เองก็คิด

กับหม่อนอย่างนั้นแต่แรกแล้ว แต่เพราะเห็นเป็นคนของเพื่อน พี่เลยทำอะไรไม่ได้”


“นี่ผมเพิ่งรู้ครั้งแรกเลยนะครับ?”


“ฮ่าๆๆ อย่าเขินสิ นี่พี่จะลองปรึกษาถามเพื่อนหมอเก่งๆต่างประเทศดูนะ เผื่อเขาจะมีวิธีบำบัดรักษาอาการอัมพาตของหม่อน

หม่อนจะได้กลับมาเดินปกติเหมือนเดิมไง”


“ขอบคุณมากนะครับ ”


“ไม่เป็นไรครับหม่อน พี่เต็มใจนะ”


             ร่างสูงละจากรถเข็นหายไปชั่วครู่เพื่อไปแอบเก็บเอาดอกหญ้าหน้าหนาวที่ขึ้นแตกกอพลิ้วลู่ลมแถวๆนั้นมาหนึ่งกำมือ

ก่อนจะซ่อนมันไว้ด้านหลังแล้วยื่นโผล่ไปตรงหน้าอีกคนอย่างรวดเร็ว หม่อนตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มดีใจที่ได้เห็นสิ่งนั้นจากคนที่รัก

เขาทำให้


“เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”


“ก็เนื่องในโอกาสคนน่ารักและสุดหัวใจของพี่ไงล่ะครับ”


“ขอบคุณนะครับพี่หมอ”


“บอกแล้วไงว่าอะไรที่พี่ทำได้ พี่ทำให้หม่อนหมดทุกอย่างเสมอ จะไปที่ไหนอีกไหม?”


“สวนกุหลาบครับ ผมเคยปลูกต้นนี้ไว้กับพ่อเลี้ยงกร ผมอยากไปดูว่ามันเป็นยังไงบ้างแล้ว”


“พ่อเลี้ยงกรนี่เป็นคนดีจริงๆ ตั้งแต่ฟังมาพี่ยังไมได้ยินเรื่องเสียหายของเขาเลยซักอย่างเดียว”


“ใช่ครับ แต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมกลัวพ่อเลี้ยงกรมากเลย คิดว่าเขาเป็นคนใจร้าย ด้วยดวงตาและสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์นั้น”

หม่อนบรรยายพร้อมกับนึกย่อนกลับไปหลายปีทีเดียว


“ฮ่าๆๆ จริงหรอเนี่ย สีหน้าของหม่อนตอนกลัวพ่อเลี้ยงกรจะเป็นยังไงนะ”


“พี่หมอครับ!”


                  หม่อนเขินอายเล็กน้อย ไม่คิดว่าแฟนหนุ่มแกล้งเขาแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ มันเป็นความจริงนี่นา ไม่มีใครหลีกเลี่ยง

ได้หรอก คิดเสียว่าเป็นสีสันให้พี่หมอได้ยิ้มและมีความสุขจะดีกว่าจริงไหม สถานที่แห่งนี้คือความทรงจำของเด็กหนุ่มคนนี้เสมอ

และตลอดไป…


…อ้อมอกแม่นี้ยังรอซับน้ำตา

ให้ไหลพร่างพรูออกมา

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่

รองรับความทุกข์ไว้

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



********************************


อีกไม่นานก็จบ เพราะตอนนี้แต่งจบแล้ว  :katai2-1: :katai2-1:  มีความยิ้มแฉ่ง ติดตามนะครับ  :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 10) 3/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 04-07-2016 10:24:07
ธรณีครวญ
บทที่ 11
เสียตัว




              จากวันนั้นก็ผ่านเลยมาอีกหลายสัปดาห์ ผมยังคงทำหน้าที่นั้นได้ดีทีเดียวคือการบริหารร้านเครื่องเขียนต่อจากเถ้าแก่

ชัย เงินทุกบาททุกสตางค์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ ไม่ให้ขาด เงินบางส่วนก็เอาไปซื้อของกลับเข้าร้าน บางส่วนก็ทำบุญให้เถ้าแก่

ชัยกับเปียงยาง ทำแบบนี้เหมือนเดิมมาตลอดมีพี่หมออยู่เคียงข้างก็พอจะลืมคนรักคนแรกไปได้บ้าง ไม่สิตอนนี้ผมลืมพี่บอร์นไป

เสียสนิทใจแล้วต่างหาก



             ชีวิตกำลังจะไปได้ดีจนกระทั่งวันแห่งความอดสูกลับหวนวนมาที่ผมอีกครั้ง ใครคนหนึ่งที่ห่างหายไปจากชีวิตของผม

เกือบสามปี แต่มาตอนนี้ผมกลับมาอีกครั้งแล้ว ปรากฏและประจักษ์ตรงหน้าผม ตอนนี้ทำอะไรแทบไม่ถูกสิ่งแรกที่ผมทำคือ

อุทานเรียกชื่อนั้น




“พี่นนท์”



“ยังจำกันได้ด้วยหรอ?”


“พี่นนท์ออกจากคุกตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”


“ก็ได้สักพักแล้ว สืบสาวหาที่อยู่หม่อนนานทีเดียวกว่าจะหาเจอ เป็นไงชีวิตใหม่ที่แสนสบายกับการเป็นเมียเถ้าแก่ชัย ไม่สิกับไอ้

หมอหน้าจืดยังสุขสบายดีรึเปล่าล่ะ?”


                นนท์ หนุ่มหล่อเหลาพูดเย้ยหยัน พลางเดินไปเดินมาภายในร้าน ดวงตาของหม่อนจับจ้องมองร่างสูงนั้นไม่กระพริบ

ตา ไม่รู้ว่าการกลับมาครั้งนี้ของนนท์คืออะไรกันแน่



“พี่ถามทำไมไม่ตอบครับคนดี!”



“ผมสบายดี!” หม่อนนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยความสั่นผวา


“ฮ่าๆๆๆๆ ดี มีความสุขได้ก็ดี พี่กำลังเดือดร้อนเงินทอง พอจะมีให้พี่ยืมบ้างไหม?”


               แย่แล้ว มาเรื่องเงินจริงๆด้วย คราวนี้เขาจะไม่ยอมเอาเงินให้กับคนเลวแบบพี่นนท์อีกแล้ว คราวก่อนต้องยอมรับว่าพี่

นนท์นั้นเล่นตบตาปิดบังความชั่วไว้ได้แต่รอบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้วเป็นแน่


“พี่นนท์ ผมให้พี่ไมได้หรอก เงินนี้ได้จากการขายของในร้านและเป็นเงินของเถ้าแก่ชัยด้วย!”


“เฮ้ย อย่าเป็นคนดีนักเลย ถึงยังไงเงินนี่ก็ไม่ใช่ของนายหรอกจริงไหม? แบ่งๆกันใช้เสียก็สิ้นเรื่อง” คำพูดเอาแต่ได้ของพี่นนท์นั้น

หม่อนแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเลยทีเดียว


“ผมไม่ให้ครับ เงินนี้พี่จะเอาไปไหนไม่ได้”


“เอามาให้พี่นะหม่อน ตัวเองก็เป็นอัมพาตอยู่อย่างนี้ อย่าขัดขืนให้มากความเลย” นนท์ขู่พร้อมกับมองกวาดดูขาสองข้างของ

หม่อน



“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย คนร้ายเข้าร้าน…อุ๊บ”


            ยังไม่ทันที่จะได้ร้องตะโกนให้คนข้างนอกได้ยินเท่าไหร่ ปากชมพูนั้นถูกปิดทันทีด้วยมือหนาๆของนนท์ และสิ่งที่หม่อน

ทำ มันทำให้นนท์โกรธและหมดความอดทน


“ปากมากนักใช่ไหม ดี!    มาเป็นเมียพี่อีกคน  ก็แล้วกันหม่อน!”


      หม่อนทำตาเหลือกลานทั้งกลัวทั้งเสียใจ เขาไม่น่าไปรู้จักกับคนแบบพี่นนท์ตั้งแต่เรียกเลย รถเข็นถูกพาเข้าไปข้างในร้าน

กระจกฝ้ากั้นขวางอยู่ พอเข้าไปได้นนทหันหลังกลับมาล็อคประตูเบ็ดเสร็จ แค่นี้คนภายนอกก็เข้ามาด้านในไมได้แล้ว


       ร่างสูงอุ้มร่างของหม่อนขึ้นไปบันไดชั้นสอง ตรงเข้าไปที่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว นนท์ทิ้งตัวหม่อนลงกลางที่นอนอย่างไม่

ปราณี พร้อมกับขึ้นมาคร่อมตัวเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี คนเป็นอัมพาตไหนเลยจะสู้แรงของคนปกติสมบูรณ์ได้ สุดท้ายหม่อนก็ต้องเสีย

ตัวครั้งแรกให้กับนนท์ ทั้งๆเป็นคนที่หม่อนไม่เคยรัก และในขณะเดียวกันหม่อนไม่เคยได้รับความช่วยเหลือหรือเป็นห่วงจากเขา

เลย แต่ดูสิ่งที่เขาทำสิ ช่างน่าเจ็บใจนัก




“อ่า!....”




       เสียงร้องครวญครางจากลำคอนั้น เปล่งออกมาพร้อมกับปล่อยน้ำอุ่นๆบางอย่างฉีดเข้าข้างในร่างกายของหม่อน หลังจาก

กิจกรรมบนเตียงดำเนินไปนานร่วมชั่วโมง นนท์เหมือนจะเหนื่อยพอสมควรแต่กลับปาดเหงื่อบนหน้านั้นพร้อมกับถอดแท่งเนื้อนั้น

ออกไป ก่อนจะรีบแต่งตัวลงไปด้านล่าง



           ตอนนี้หม่อนกำลังเปลือยกายบนที่นอน ทั้งหมดแรงทั้งจมกองน้ำตาอยู่อย่างนั้น เขาพลางแต่เดาเองเองว่า พี่นนท์ต้อง

รีบลงไปเปิดเอาเงินเหล่านั้นใต้ลิ้นชักโต๊ะแน่นอน  ความเหนื่อยล้าและเจ็บช้ำนั้นทำให้หม่อนสลบไปบนเตียงของเถ้าแก่ชัย


             ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่สลบไป จนกระทั่งเหมือนรู้สึกมีอะไรเย็นๆมาแตะที่ใบหน้า ไม่สิทั้งเรือนร่างของหม่อนนั้นเย็น

ไปหมด และตอนนี้เขาแทบอยากจะลืมตาขึ้นมามองแล้วสิว่าเกิดอะไรกับตัวเขาตอนนี้กันแน่




“ตื่นแล้วหรอหม่อน!”


“พี่หมอ นี่ผมอยู่โรงพยาบาลอีกแล้วหรอครับ”


“ใช่!  พี่ขอโทษนะหม่อน พี่ทิ้งหม่อนให้อยู่ร้านคนเดียว พี่มันไม่ดี”


“อย่าโทษตัวเองเลยครับ จริงสิพี่หมอ พี่นนท์เขาเอาเงินเถ้าแก่ไปแล้วครับ ทำยังไงดี”


“หม่อนใจเย็นๆนะ ตอนนี้สิ่งที่หม่อนต้องห่วงคือชีวิตของตัวเอง”


“หมายความว่าไงครับ”



“ที่ก้นของหม่อนมันฉีกเพราะการร่วมเพศทางทวารหนัก! ครั้งแรก” หมอนพ อธิบายอย่างยากลำบาก แผ่วเสียงท้ายประโยค

พร้อมทั้งกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ


“ขอบคุณพี่หมอมากนะครับ”


“มันเป็นใครหรอหม่อน ทำไมมันถึงได้ทำกับหม่อนแบบนี้”


“เขาเป็นคนที่ขายบ้านของเขาให้หม่อนครับ แต่หม่อนก็ถูกเขาหลอกเอาเงินไปจนหมดเพื่อไปเล่นพนัน หลังจากนั้นก็ถูกจับ แต่

ตอนเกิดเหตุเขาบอกว่าเขาออกจากคุกได้สักพักแล้ว ไม่นึกว่าเขาจะตามผมมาอีก ”


“โถ่หม่อนไม่น่าเลยจริงๆ พี่ผิดเองที่ไม่ดูแลหม่อนดีๆ”


“ไม่ใช่ความผิดใครหรอกครับ มันคงเป็นชะตาชีวิตของหม่อนเองนั่นแหละ จริงอย่างที่หลวงพ่อกล่าวว่า คนเราหนีกรรมของตัว

เองไม่พ้นจริงๆ”


                   พูดมาแล้วเขาแทบอยากจะไปหาหลวงพ่อที่วัดเสียตอนนี้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาอยากจะปลงไม่ยึดติด แต่มัน

กลับทำได้ยากเหลือเกิน ยากมากทีเดียว ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ


“หม่อน พี่พาตำรวจมาด้วย หม่อนให้ปากคำตามจับคนร้ายเลยนะ”


“ครับ!”


                หมายออกจับนนท์ก็เริ่มขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนข่าวการจับกุมนนท์ก็ออกข่าวไปทุกช่องและดู

เหมือนว่าโทษครั้งนี้นนท์จะไม่ได้ออกมาจากคุกอีกเลย แต่ก็ทำให้หม่อนสบายใจได้ในระดับหนึ่ง เขาแค่คิดว่ามันน่าจะหมดเรื่อง

หมดราวเสียทีในชีวิตนี้


          และวันนั้นเป็นวันที่สุดแสนวิเศษที่สุดในชีวิตของหม่อน พี่นพเดินเข้ามาในร้านแล้วคุกเข่าตรงหน้ารถเข็นที่ร่างบางนั่งอยู่

พร้อมกับจับมือเรียวเล็กนั้นไว้ แววตาพี่หมอดูจริงใจและอ่อนโยนที่สุดทีเดียว




“หม่อน! แต่งงานกับพี่นะ”


“ครับ!”



          คำตอบที่ไม่ต้องคิดอะไรแล้วของผมตอนนั้น ผมเต็มใจและรอคอยวันนี้มาตลอดที่เปิดใจว่าพี่หมอเป็นแฟน ผมไม่อยาก

ทำให้ใครต่อใครต้องมารอคอยและเสียใจกับความรักของผมอีกแล้ว ผมทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ลืมความรักเก่าไป และพี่

หมอนี้เองที่ทำให้ผมลืมได้สนิทจริงๆ ตอนนี้หัวใจของผมเริ่มให้กับพี่หมอคนนี้ ส่วนพ่อเลี้ยงกรและเถ้าแก่ชัยผมจะถือว่าเป็นความ

ทรงจำที่ดีและเป็นเครื่องย้ำเตือนชีวิตของผมว่าไม่ควรจะรอกับความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว




         งานแต่งของผมถูกจัดขึ้นเรียบง่ายไม่หวือหวา และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมมีความสุขมากในชีวิตกับคนสุดท้ายที่ผมจะใช้

ชีวิตอยู่ด้วยบนโลกใบนี้ ผมรักพี่หมอมากขึ้นทุกวันๆ จนตอนนี้ปฏิเสธไมได้แล้วว่าพี่หมอแทรกแซงหัวใจของผมทุกห้อง ไม่เหลือ

ห้องว่างไหนให้ชายอื่นอีกแล้ว



“หม่อน เดือนหน้านี้พี่ติดต่อหมอเก่งๆที่ต่างประเทศได้แล้วนะ พี่จะพาหม่อนไปอเมริกา ไปรักษาขาที่นั่น”


“ผมจะหายหรอครับ”


“ต้องลองดู แต่อัมพาตพูดตามหลักมันหายไมได้ แต่หมอที่นั่นเขาทำวิจัยเรื่องนี้มาพอสมควร หากหม่อนเป็นกรณีที่พอจะรักษา

ได้ หม่อนจะได้กลับมาเดินได้เหมือนเดิมไง”


“ขอบคุณพี่หมอมากนะครับ พี่เป็นทุกอย่างในชีวิตผมเลย”



       ร่างบางโผกอดอีกคนที่นอนขนาบข้างบนเตียงนอนเดียวกันนั้น ก่อนจะหลับตาไปในค่ำคืนที่แสนจะอบอุ่นที่สุดในชีวิต


       และแล้ววันเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหนึ่งปี เป็นอย่างที่พี่หมอนพบอกจริงๆด้วย สมรรถภาพขาของผมทั้งสองกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยเทคโนโลยีอะไรก็ตามแต่   ที่ต่างชาติเขาคิดค้นและวิจัยมา และมันทำให้ขาของผมดีขึ้นมากจริงๆถึงจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย

ก็ตาม



“ค่อยๆเดินนะหม่อน อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น ช้าๆ”


           เสียงเอาใจช่วยของพี่หมอยืนดูอยู่ข้างๆ ผมกำลังเดินอยู่ที่ทางเดินขนาบข้างของผมเป็นราวเหล็กให้จับไปเรื่อยๆเป็น

ทางยาวเพื่อหาที่ค้ำจุน จริงๆผมถูกฝึกให้เดินแบบนี้มานานแล้ว แต่วันนี้การฝึกเดินด้วยขาของผมมันแทบจะเป็นปกติทีเดียว แต่ก็

ยังต้องนั่งรถเข็นอยู่เพราะขายังไม่แข็งแรง




“พี่ดีใจจริงๆ หม่อนดีใจไหม?”


“ดีใจสิครับ ขอบคุณพี่นพมากๆนะครับ”


“เปลี่ยนจากขอบคุณเป็นหอมแก้มพี่ได้รึเปล่า?”


“ฟอดดดดด”


             หม่อนไม่รอที่จะทำตามคำขอร้องนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่พี่นพควรจะได้รับทุกประการ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำที่ผมจะต้อง

ทำให้ เราเดินทางกลับไปบ้านพัก พี่นพได้ซื้อเอาไว้เพื่อพักอาศัยในระหว่างที่ดูแลผมที่นี่


      ระหว่างช่วงเวลาที่ไมได้ไปบำบัดรักษา พี่นพอาสาพาผมไปเที่ยวที่โน้นบ้าง รัฐนี้บ้าง เป็นกำไรชีวิตของผมเหลือเกินที่ได้มา

เจอพี่นพ


     ในขณะที่เรานั่งรับประทานอาหารที่กลางสวนสาธารณะ มันทั้งเงียบ ร่มรื่น และสงบ ผมร้อนรนใจอยากจะพูดคำคำหนึ่งออก

มา แต่ถึงยังไงก็ไม่กล้าพูด ผมแต่งงานกับพี่หมอก็จริง อยู่กินกันมานานแล้วก็จริง แต่ผมยังไม่เคยเอ่ยคำคำนี้ออกมาจากปาก

แม้แต่น้อย



“มีอะไรรึเปล่าหม่อน ทำไมดูไม่นิ่งเลย” หมอนพหันมาถาม


“พี่หมอครับ ผมมีเรื่องจะบอกพี่”


“อะไรครับ?”


“ผม รักพี่นะครับ”


“ว้าว วิเศษจริงๆ พี่ก็รักหม่อนครับ เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆอยากจะบอกคำนี้กับพี่”


“ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนจะจากกันยังไงก็ไม่รู้” หม่อนทำหน้าเศร้า


“ไม่เอาน่าหม่อน เป็นคำที่ไม่ดีเลยนะ ไม่ควรพูดเด็ดขาด หม่อนจะจากพี่ไปไหน พี่ดูแลหม่อนดีขนาดนี้”


“มันก็ใช่ครับ แต่ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน ผมเลยอยากจะบอกพี่นพให้รู้ว่าผมคิดกับพี่นพยังไง”


“ครับ ขอบคุณมากนะ สำหรับความรู้สึกนี้ พี่จะจดจำมันตลอดไปเลย ว่าแต่หม่อนเถอะแค่อย่าจากไปไหนก็พอแล้ว พี่คงจะทำใจ

ไมได้ อย่าทิ้งพี่อยู่คนเดียวนะ”


“ครับ!”


    เป็นคำตอบรับที่สุดแสนยากจะเอ่ย แต่ก็ต้องขานรับไป เพราะอยากให้อีกคนสบายใจ และไม่ต้องเครียดกังวล ส่วนตัวเขานั้น

มันกลับเหมือนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ เหมือนเวลาชีวิตของหม่อนกำลังจะหมดลงแล้วสิ อะไรล่ะที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น ก็ไม่รู้

เหมือนกัน?


        สายตาของร่างบางมองทอดผ่านเพื่อพักผ่อนสายตา เขามองดูไปรอบสวน แต่กลับสะดุดตาเข้ากับคู่ชายหญิงคู่หนึ่งตรง

หน้าถัดไปนั้น เขาแทบจะกลั้นหายใจเลยทีเดียว เป็นไปไมได้!   จะเจอกันได้ยังไง? เขาฝันไปรึเปล่านะ?


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

 รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน…



******************************


ใกล้แล้วๆๆ  ใกล้จบแล้ว รู้สึกยิ้มแก้มปริจริงๆ หมายถึงชีวิตหม่อนนะ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 11) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 04-07-2016 13:26:29
ธรณีครวญ
บทที่ 12
คนแอบรักเก่า




“พี่บอร์น!”  เสียงอุทานเบาๆนั้นกับแววตาที่ดูตกใจเกินเหตุ ทำให้นพที่นั่งอยู่ข้างๆ มองไปตามสายตานั้นที่ทอดตรงไปอย่างฉงน

ใจ พลางเห็นคู่ชายหญิงใบหน้าคร่าตาน่าจะเป็นคนไทยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวถัดออกไปตรงหน้า  ทั้งคู่กำลังสวีทหวานกันอยู่



“หม่อนรู้จักเขาหรอ?”


“ใช่ครับ นั่นแหละพี่บอร์น พี่ชายที่ผมแอบชอบคนแรกในชีวิต” หม่อนหันมาบอกนพตรงๆ ยอมรับเพราะไม่มีอะไรที่ต้องปกปิดอีก

แล้ว


“หม่อนโอเคไหม?”


“ครับ!”


“งั้นไปกับพี่!” ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมจับข้อมืออีกคนแน่น


“ไปไหนครับ?” หม่อนทำสีหน้าสงสัยและตกใจด้วย


“ก็ไปหาเขาไง หม่อนคิดถึงเขาไม่ใช่หรอ ไม่ได้เจอกันนานนี่นา”


“แต่ว่าเรื่องมันผ่านมา 6  7 ปีแล้วนะครับ พี่บอร์นคงจำผมไมได้หรอก”


“ไม่มีใครเขาลืมกันง่ายขนาดนั้นหรอก เชื่อพี่”


       สุดท้ายก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย นพตัดสินใจให้หม่อนเดินเองครั้งแรกโดยมีเขาประครองตัวอยู่ตลอดๆ เดินไปข้างหน้า

ช้าๆ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ตรงหน้าชายหญิงสองคน


      การมาเยือนของสองหนุ่มที่ยืนบังแสงแดดนั้นทำให้ทั้งคู่ที่นั่งอยู่เก้าอี้เหล็กยาวเงยหน้าขึ้นมอง หนึ่งคนทำสีหน้าสงสัยอีกคน

กลับมองมาด้วยความทึ่งและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น



“ขอโทษนะครับ เราเคยรู้จักกันมาก่อนไหม?” บอร์นเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ใบหน้าเค้าโครงของร่างบางนั้น ทำให้

รอยยิ้มมุมปากค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของบอร์น



“ผมเองครับพี่บอร์น”



“ใช่หม่อนจริงๆด้วย พี่จำได้ว่านายตัวเล็กกว่านี้ซักหน่อย ไม่สิตัวเล็กมาก เราไม่เจอกันนานเท่าไหร่นะ 6 ปี 7 ปี หรือ 8 ปีกันนะ”

บอร์นทำสีหน้าครุ่นคิด น้ำสเยงตื่นเต้น ตกใจ ดีใจปนกันไปหมด แต่ก็อดไมได้ที่จะยิ้มให้น้องชายที่เขาอยากเจอที่สุดในชีวิต



“พี่บอร์นสบายดีนะครับ” หม่อนยิ้มอ่อนๆให้ในใจอยากโผกอดเหลือเกินแต่ก็เกรงใจพี่นพและแฟนสาวของพี่เขา ตอนนี้ไม่เหมือน

ก่อนแล้ว และที่สำคัญเขารักพี่นพไปหมดทั้งใจแล้ว


“หม่อน นี่ใครหรอ?”


“อ้อ ขอโทษทีครับพี่บอร์น นี่พี่หมอนพครับ เป็นแฟนหม่อนเอง”


 หม่อนภูมิใจและกล้าเสนอพี่นพในนามแฟนได้อย่างเต็มปาก และการเปรยออกไปแบบนั้น ดูเหมือนร่างสูงใส่แว่นคนนี้จะพึง

พอใจในคำแนะนำของหม่อนมาก


        บอร์นกลับแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยิ้มให้น้องชายตรงหน้าอยู่ ก่อนจะหันไปมองหญิงอีกคนที่เป็นคนรักของเขาอย่างดีใจ


“นี่แฟนพี่เหมือนกัน เธอชื่อ สาริน เป็นคนเชียงใหม่ ” บอร์นยิ้มบอกหม่อนและนพอย่างภูมิใจ


    และทั้งหมดก็พากันนั่งทานข้าวกลางวันไปในตัว ด้วยชุดปิกนิกเล็กๆที่เตรียมกันได้ง่ายๆ บรรยากาศไมได้เศร้าไปเหมือนที่คิด

ต้องขอบคุณพี่หมอนพที่ตัดสินใจและทำในสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าหม่อนลืมความรู้สึกกับพี่บอร์นไปแล้วจริงๆด้วย ตอนนี้หม่อนรู้ใจ

ตัวเองแล้วว่าเขารักแค่พี่หมอนพคนเดียวเท่านั้น


           สุดท้ายพี่บอร์นก็ขอเบอร์โทรที่อยู่เสร็จสรรพ หากมีโอกาสกลับประเทศไทยจะได้ไปหาผมถูก ซึ่งผมก็ให้ไปไม่มีอะไร

เสียหายอยู่แล้ว อีกอย่างพี่หมอนพก็ยินดีและสนับสนุนอีกต่างหาก  สุดท้ายผมก็จบครอสการบำบัดขาทั้งสองข้างที่นี่แล้ว และ

พร้อมจะบินกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้


                    ชีวิตผมราบรื่นดีกว่าเดิม เดินเหินไปมาสะดวกขึ้น เวลาท้อจากการทำงานก็มีพี่นพอยู่เคียงข้างเสมอ ส่วนพ่อเลี้ยง

กร รูปภาพรูปเดียวที่พกติดตัวมานั้นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำจริงๆ ส่วนเถ้าแก่ชัยกับเปียงยางยังอยู่ในใจของหม่อนเสมอ


                   พี่บอร์นทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีมาก แวะเวียนโทรมาเล่นด้วยตลอดทั้งๆที่อยู่เมืองนอก ตอนนี้ผมมีความสัมพันธ์กับ

พี่บอร์นแบบพี่ชายน้องชายจริงๆ ไม่มีติดขัดหรือข้องใจอะไรอีกแล้ว แต่ผมก็ได้กำชับบอกพี่บอร์นว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณหญิง

และพี่บอร์นก็ทราบดี ว่าเพราะอะไร…


                แต่สิ่งที่ยังคงค้างคาใจผมอยู่นั้นก็คือการกลับไปหาสองป้าลุงที่เป็นต้นเหตุให้ชีวิตของผมดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ที

เดียว ผมขอพี่นพไปหาพวกเขา พี่นพก็ไมได้ว่าอะไร และปล่อยให้ผมไปคนเดียว ในตอนนั้นพี่เขามีผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดค่อยข้าง

เยอะ ผมเลยไม่ขอรบกวนจะดีกว่า ผมเดินทางไปที่บ้านหลังนั้นคนเดียวด้วยความคิดถึง


        จนกระทั่งผมลงจากรถแท็กซี่ได้ แอบมองส่องเข้าไปในรั้วบ้านตรงหน้าดู มันช่างเงียบจริงๆ ข้างในดูรกร้างเหมือนไม่มีใคร

อยู่ และปล่อยทิ้งไว้นานพอสมควร ความสงสัยในใจของผมนั้นมีมากเหลือเกิน จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินสวนมาทางนี้พอดี 

ผมเลยตัดสินใจถามเรื่องบ้านหลังนี้ทันที


“พี่ชาย ป้าเนตรกับลุงสมเจ้าของบ้านหลังนี้เขาไปไหนเสียแล้วครับ?”


“อ้อ สองป้าลุงนั่นนะหรอ ย้ายออกไปตั้งนานแล้ว เห็นบอกว่าทำงานที่กรุงเทพมันไม่พอกินพอใช้เลยกลับไปที่ต่างจังหวัดแล้ว”


“เอ่อ แล้วพี่รู้ไหมครับว่าเขาสองคนไปที่ไหนแล้ว”


“เท่าที่รู้น่าจะจังหวัดอุทัยธานีนะ แต่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน อันนี้ไม่รู้จริงๆ”


“ขอบคุณพี่มากนะครับ”


“เออๆ ว่าแต่ถามหาสองป้าลุงนี่ทำไมพ่อหนุ่ม”


“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ยังก็ขอบคุณมากนะครับ”


“อื้มๆ ไม่เป็นไร ขอตัวนะข้ารีบ”


                 หม่อนปล่อยให้พี่ชายคนนั้นเดินเลยผ่านไป ตัวเขาเองก็คงต้องกลับแล้วเหมือนกัน หม่อนหันกลับเข้าไปมองข้างใน

บ้านอีกครั้ง น่าเสียดายนะที่สองคนไม่อยู่รอให้เขากลับมาทดแทนพระคุณ อย่างน้อยก็พาเขามาเลี้ยงดูถึงมันจะไมได้ดีเท่าตอน

อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วก็ตามที


           ความผิดหวังปนเสียใจนิดๆยังคงติดค้างคาในใจ หม่อนกำลังคิดว่าหากเขาสืบตามหาและไปที่จังหวัดอุทัยธานีล่ะ แต่ก็

แค่ความคิดเท่านั้นแหละ พี่นพไม่ยอมให้ไปหรอก อีกอย่างผมจะอยากตามไปหาป้าลุงสองคนนั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา ผมควรจะ

อยู่เฉยๆบ้างสักครั้ง ไม่ต้องดิ้นรนไปไหนอีกแล้วจะดีที่สุด เพาะสิ่งที่เถ้าแก่ชัยทิ้งเอาไว้ให้นั้นมันมีค่ามากพอที่เขาแทบจะไม่ต้อง

ไปไหนอีกเลย



                 ผมกลับบ้านคอตก กลับเข้ามาในร้าน คนงานภายในร้านสองคนนี้ ผมเองก็ยังไม่เคยแนะนำให้รู้จักสินะ พวกเขาสอง

คนชื่อ ก้อง กับ เอ  สูงกว่าผม แต่หุ่นก็ไมได้หนามาก ออกจะสูงโปร่งเสียด้วยซ้ำ ทั้งสองคนนั่นแหละ  นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว คนก็

เริ่มจะไม่ค่อยมีแล้ว ให้พวกเขากลับไปก่อนเวลาก็ดีเหมือนกันนะ


“ก้อง เอ กลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เอาแค่นี้แหละ”


“ครับคุณหม่อน”



              ผมจำได้ว่าผมเดินเก็บร้านอยู่คนเดียวก่อนจะเลื่อนเอาประตูม้วนที่อยู่ด้านบนลงมาปิดหน้าร้านเอาไว้ ยังไม่ทันจะดับ

ไฟดีเลย เสียงเคาะประตูม้วนกลับดังขึ้นเสียก่อน  สามทุ่มกว่าๆแล้ว ใครกันนะที่มาหา?


         หม่อนค่อยๆเดินไปเปิดประตูม้วนให้ เพียงแค่ประตูมันยกขึ้นจากด้านล่าง หม่อนก็รู้แล้วแหละว่าใครมา พี่หมอนพนั่นเอง


“พี่นพ วันนี้ผ่าตัดผู้ป่วยเสร็จแล้วหรอครับ”


“เสร็จแล้วครับ เออจริงสิหม่อน! พี่มีเรื่องจะบอก”


            นพทำสีหน้าคร่าตาทำราวกับมีเรื่องกังวลและนั่นทำให้หม่อนอยากรู้มากว่าร่างสูงตรงหน้าจะบอกอะไร


“เข้ามาข้างในก่อนเถอะครับ”


“อืม!”


“พี่นพกำลังจะบอกอะไรหม่อนหรอครับ”


“พี่จะย้ายที่ทำงานแล้วนะ ไปแถวบ้าน หม่อน!...”


“ไม่นะครับ อย่าปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวนะ!”


“โอเคๆ พี่ไม่ได้จะปล่อยหม่อนไป พี่กังวลอย่างเดียวว่าถ้าพี่ชวนหม่อนไปด้วย กลับไปอยู่บ้านจริงๆของพี่ที่ต่างจังหวัด หม่อนจะ

ว่าอะไรไหม ”


“แล้วที่ร้านนี้ล่ะครับ”


“ก็นั่นแหละที่พี่หนักใจ พี่กลัวว่าหม่อนจะไม่ไปกับพี่เพราะห่วงร้านนี้อยู่เสียอีก”


“ร้านเถ้าแก่คงจะต้องปิดเอาไว้สินะครับ”


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะหม่อน พี่ไปคราวนี้พี่จะไปอยู่บ้าน ทำงานที่โรงพยาบาลจนเกษียณ เราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว!”


“ไม่จริงใช่ไหม พี่นพ  พี่กำลังจะบอกให้ผมขายร้านนี้ใช่ไหม?”


“ไม่หรอกมันมีทางออกเสมอ ที่นี่เราก็ไม่ต้องขาย ปิดล้อคร้านเอาไว้ เพราะหม่อนเองคงไม่คิดเซ้งร้านต่อหรอก พี่รู้ดี ที่นี่เป็นที่

ของเถ้าแก่ชัย เถ้าแก่รักและหวงที่นี่มาก เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกันนะ”


“ครับ”


                     วันเวลาผ่านพ้นเลยไป ผมตัดสินใจไปกับพี่นพ บ้านพี่เขาอยู่ที่ลำพูน และผมเพิ่งจะรู้ว่าพี่นพทำงานที่เชียงใหม่

เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ จำได้ลางๆและคนพูดติดปากว่า สวนดอก ผมมาอยู่บ้านของพี่นพท่ามกลางญาติทางฝ่ายของเขา

แต่มันไม่มีปัญหาอะไร เพราะครอบครัวพี่นพเป็นคนเหนือแท้ๆ วิถีชีวิตการเป็นอยู่ที่ลำพูนนั้นช่างสุขสบาย แต่ช่วงที่พี่นพย้ายมา

อยู่นั้นตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี


              เช้าก็หมอกลงหนาทึบมองอะไรแทบไม่เห็น เย็นก็หนาวจนตัวสั่น แต่ดูพี่หมอสิ ยังต้องทำงานหนักเหมือนเดิม ก็หมอ

ต้องรักษาคนป่วยนี่นา อีกอย่างคนป่วยก็มีมาทุกวัน ยิ่งฤดูหนาวแบบนี้คนเป็นไข้ เป็นหวัด นั้นมีมากขึ้นทีเดียว


             ผมคงทำอะไรได้ไม่มากนอกจาก คอยดูแลและทำในสิ่งที่พี่นพต้องการและขอร้องเวลากลับมาบ้าน ผมเต็มใจนะ ผมก็

ทำได้ดีเท่านี้ ชีวิตคู่เกิดมาเพื่อดูแลกัน ตอบสนองความต้องการให้กัน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


              พรุ่งนี้วันเสาร์ พี่หมอค่อนข้างว่าง และเอ่ยปาดชวนผมไปกราบไหว้พระธาตุหริภุญชัย หลายคนคงจะเคยได้ยินมามาก

มันสวยมากจริงๆ เป็นพระธาตุสำหรับปีระกา คนมาที่วัดแห่งนี้มากมาย ผมกราบไหว้พระธาตุขอพร ดูพี่นพจะมีความสุขมากกว่า

เดิม ชีวิตใหม่ของผมที่เมืองเหนือ ต่อจากนี้ไปผมคงจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้อยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่สินะ คิดไปคิดมาก็คิดถึงกรุงเทพ

เมืองนครที่เป็นต้นกำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างของผมอย่างไรล่ะ แต่ผมจะเก็บความทรงจำนี้เอาไว้ในใจตลอดไป มาอยู่ที่นี่ผมไม่ได้ทิ้ง

พ่อเลี้ยงกร เถ้าแก่ชัย และเปียงยางแม้แต่น้อย ผมเอาพวกเขามาด้วย ด้วยรูปที่เป็นตัวแทนของพวกเขา พร้อมกันนั้นทุกเช้าผมก็

หมั่นทำบุญไปให้ทั้งสามคนเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยความคิดถึงจากใจ…



        ผ่านไปอีกแล้วหลายเดือน จนจะถึงเดือนกุมภาพันธ์ปลายหนาวต้นร้อน พี่หมอนพเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้ม และ

เป็นรอยยิ้มที่แปลกพอสมควร ผมจะยังไม่ถามอะไรรอให้พี่ชายตรงหน้าพูดออกมาจะดีกว่า



“หม่อน!”


“ครับพี่นพ”


“สองวันข้างหน้านี้พี่จะพาหม่อนเที่ยว หม่อนไปกับพี่นะ”


“สองวันเลยหรอครับ ไปไหนบ้างเอ่ย”


“แม่ฮ่องสอนครับ”


“ว้าว ตกลงครับ”  หม่อนทั้งดีใจและตื่นเต้นมากทีเดียว จังหวัดที่ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาลำเนาไพรมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง นี่เขาจะ

ได้ไปที่นั่นแล้วสินะ



…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา     

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน



*****************************


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 12) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 04-07-2016 13:51:21

ธรณีครวญ
ตอนที่ 13
ความสุขที่ไม่อาจลืม




              นั่นสิ!  เป็นความสุขที่ไม่อาจลืมได้เลยจริงๆ เราออกเดินทางไปกันสองคนตั้งแต่ตีสาม กะให้ขับรถไปถึงที่อำเภอ

แม่สะเรียง อำเภอหนึ่งของแม่ฮ่องสอน  รอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่น   ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเลือกมาเที่ยวช่วงนี้เยอะพอสมควร ทำให้

ดูไม่เหงาเลย



       แสงพระอาทิตย์ส่องย้อมสีเหลืองทองบนท้องฟ้าและกลีบเมฆยามเช้า ก่อนจะค่อยๆโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ทักทายมนุษย์โลก

ทีนะนิดๆ จนกระทั่งทั้งดวงตั้งตระหง่านอยู่บนฟ้า และแสงนั้นค่อยๆให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขึ้นทีละน้อยๆ ทะเลหมอกที่สวยงาม

เบื้องหน้าค่อยๆเลือนรางจางหายไปตามแสงแดดที่สาดส่องและตกกระทบลงบนละอองน้ำเกาะกลุ่มเป็นหมอกนั้น



“สวยไหมหม่อน!”


“มากๆเลยล่ะครับ ขอบคุณมากๆนะครับพี่หมอที่พามา”


“ไม่เป็นไร ลงไปที่รถกันเถอะ เราจะต้องเดินทางต่อ  ไปที่ทุ่งดอกบัวตอง!”


“ดอกบัวตอง?” ร่างบางทำสีหน้าสงสัย


“เอาน่า หม่อนไปถึงเดี๋ยวจะรู้เองครับ ที่นั่นสวยราวกับสวรรค์เลยล่ะ”


“ตื่นเต้นจังเลยครับ”


“ไปเถอะสุดที่รัก หนทางยังอีกไกลนะ”


“พี่หมอ ไม่ทานข้าวเช้าก่อนหรอครับ”


“เออใช่ พี่ลืมไปเลย ชักหิวแล้วสิ ดูสิว่าแถวนี้มีร้านอาหารอะไรบ้าง”




                 สองหนุ่มลงมาจากลานหินจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น พลางเดินดูร้านอาหารที่พอจะมีเปิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่


มีอะไรก็กินไปตามนั้นก่อน จนกระทั่งเลือกร้านๆหนึ่งลักษณะเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ด้านในมีแต่โต๊ะขาสั้นกับที่นั่งเป็นเบาะนุ่มรอง

พื้นพอดีก้น คล้ายๆเบาะนั่งของชาวญี่ปุ่น เมนูอาหารมีตั้งแต่ทั่วไป ไปจนถึงอาหารพื้นเมืองของคนเหนือจริงๆ





                ร่างสูงจัดแจงทุกอย่าง ส่วนหม่อนก็นั่งรอแต่กินข้าวเท่านั้น ไม่นานอาหารก็ยกนำมาเสิร์ฟรวดเร็วทันใจ  อาหารที่พี่

หมอสั่งอร่อยใช่เล่น หม่อนลองกินบางเมนูครั้งแรกยังต้องร้องติดใจมากทีเดียว




“หม่อนใจเย็นๆ อ่ะนี่น้ำ!” หนุ่มแว่นสุดหล่อ ยื่นน้ำให้อย่างเป็นห่วง


            ก็อาหารที่กินบางอย่างเผ็ดมาก แต่ทำไม ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกินต่อเรื่อยๆจนหยุดไม่อยู่ ทำให้ความเผ็ด แสบร้อนเกิดขึ้น

ในปากทันทีเลยทีเดียว


“อึก อึก อึก” เสียงดื่มน้ำอย่างเร็วของร่างบางทำให้อีกคนแอบหลุดขำออกมา


“เฮ้ออออ  ค่อยยังชั่ว ”


“ถ้าไม่ไหวก็ทานอันอื่นได้นะหม่อน ไม่เห็นต้องกินแต่ของเผ็ดๆเลย” พี่หมอแนะนำ


“มันอร่อยจริงๆนะพี่หมอ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ”


“โอเค แต่พี่ว่ากินครั้งแรกจะไม่ดีต่อระบบทางเดินอาหารนะ เดี่ยวเจ็บท้องขึ้นมาจะแย่ได้ ”


“ครับผม ทราบครับพี่หมอ ฮ่าๆ”


               เราอยู่ที่ร้านอาหารตรงจุดท่องเที่ยวได้สักพักก็อิ่มพร้อมเดินทางขับรถต่อไปแล้ว เส้นทางยังอีกไกลโข หมอนพตั้งใจ

ที่จะขับไปให้ถึงที่หมายแล้วจะได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดเพื่อพักผ่อนที่นั่นในค่ำคืนนี้


              แต่ว่าระหว่างทางเราแวะพักชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน เพราะหนทางมันคดเคี้ยวเลี้ยวลดเสียจริงๆ นั่งในรถนานๆก็

เวียนตัวได้ อย่างเช่นตอนนี้ แต่ความมุ่งมั่นมักจะชนะทุกอย่างเสมอท้ายที่สุดแฟนหนุ่มของหม่อนก็พาร่างบางๆของเขาขับมา

จนถึงที่หมายจนได้!


                ดูตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้สิ แทบอยากจะร้องว้าวเลยทีเดียว  ดอกบัวตองสีเหลืองอร่ามเบ่งบานท้าแสงแดดและ

ความหนาวเย็นทีเดียว ขึ้นบานสะพรั่งปกคลุมเต็มเนินเขาไปหมด มันกว้างใหญ่สุดลูกหูตาเลยทีเดียว  นักท่องเที่ยวดูจะชอบและ

สนใจสถานที่แห่งนี้มากพอสมควร แต่ผมนี่สิเหมือนจะไม่ไหว เพราะเมารถ แค่ลงจากรถได้เลยขอพี่นพไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้

ใกล้ๆแถวนี้ก่อน พี่นพก็ตามมาดูแลเป็นอย่างดี   


“พี่นพ พี่ไม่ต้องดูแลผมก็ได้นะ พี่ไปถ่ายรูปเถอะ เดี๋ยวผมดีขึ้นแล้วจะรีบตามไป”


“เอาอย่างนั้นหรอหม่อน ถ้างั้นตามพี่มาแล้วกันนะ”

“ครับผม”



                ร่างบางนั่งมองแฟนหนุ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ลมหนาวกำลังพัดพลิ้วมากระทบร่างพอให้หนาวเย็นได้เป็นพักๆ คน

เยอะมากจริงๆ มันคุ้มมากที่ดั้นด้นมาจนถึงจุดนี้ สักพักน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นข้างๆเขา หม่อนละความสนใจจากทุ่ง

ดอกบัวตองมาหันไปอีกทางทันที


“ขอป้านั่งด้วยคนนะพ่อหนุ่ม”


“ครู?”


             หม่อนอุทานเบาๆ ไม่นึกว่าจะเจอคุณครู ครูที่เป็นทั้งพ่อแม่และเป็นทั้งผู้อบรมเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังจำความได้ แต่มา

วันนี้ดูครูเปลี่ยนไปนิดๆ เธอทำสีหน้างุนงงให้กับหม่อนอีกด้วย


“หนูรู้จักฉันด้วยหรอจ้ะ?”


      หม่อนถึงกับอึ้ง หรือว่าเขาจำผิดคน ไม่สิต้องไม่ผิดคนสิ นี่คุณครูคนเดิมที่เขารู้จักแน่นอนเขามั่นใจ ทำไมครูจำเขาไมได้ล่ะ


“ผมไงครับหม่อน คนที่ครูเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนผมที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า 10 ปีแล้วนะครับที่ไมได้เจอกัน” หม่อนพยายาม

เล่าแต่ดูเหมือนเธอจะลังเลใจ แต่ก็มองหน้าหม่อนอย่างฉงนใจอยู่ดี



“อย่างนั้นหรอจ้ะ”


               สักพักก็เห็นใครบางคนเดินตามมาติดๆ เป็นผู้หญิงอายุน่าจะมากกว่าหม่อนเสียด้วย ดูเธอสิน่ารักและสวยงามทีเดียว


“แม่มาอยู่นี่เอง ป๊อบตามหาแทบแย่”


“หนูเป็นใครหรือจ้ะ?”


           มาถึงตอนนี้หม่อนเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่า ที่ครูต้องลาออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาอยู่ที่ลำปางบ้านเกิดเพราะเหตุนี้

เองหรอ  ครูความจำเสื่อม?



“ขอโทษนะครับ นี่ใช่คุณครูอัมรินไหมครับ”


          หญิงสาวตรงหน้าที่อายุมากกว่าเขา มองเขาด้วยความสงสัยอาจจะเป็นเพราะหม่อนเอ่ยชื่อจริงของแม่เธอได้ถูกละมั้ง


“ใช่ค่ะ คุณรู้จักแม่ของฉันด้วยหรอคะ?”


“ครับ ผมเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็กๆ ที่กรุงเทพฯ ครูอัมรินเป็นคนเลี้ยงดูผมเองครับ คิดเอาไว้ว่าคงจะไม่ได้เจอครูอีกแล้ว แล้วนี่ครู

เป็นโรคความจำเสื่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”


“ก็นานแล้วล่ะค่ะ พอเป็นหนักเข้าทางโรงเรียนสถานสงเคราะห์เลยแจ้งมาว่า ต้องพาแม่กลับมาอยู่บ้านแล้วลาออกจะได้ไม่มี

ปัญหา”



“เสียใจด้วยนะครับ แต่เท่านี้ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับที่ได้เจอครู อย่างน้อยครูก็ยังคงสบายดี ผมก็หายห่วง”


“ขอบคุณค่ะ แล้วนี่เป็นมายังไงคะถึงได้มาเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนได้”


“อ้อ พอดีผมย้ายมาอยู่กับแฟนที่ลำพูนนะครับ แล้ววันนี้เขาว่างเลยอยากพาผมมาเที่ยว”


“เขา?” ลูกสาวของครูอัมรินถามด้วยความอยากรู้และแปลกใจนิดๆ


“ใช่ครับ แฟนผมเป็นผู้ชาย เห็นร่างสูงที่ใส่เสื้อโปโลสีขาวลายน้ำเงินตรงโน้นไหมครับ!”ผมชี้ให้เธอดู


“หล่อๆใส่แว่นนะหรอคะ?”


“ใช่แล้วล่ะครับ”


“ว้าว คุณโชคดีจัง แบบนี้สินะที่ผู้หญิงหลายคนปัจจุบันนี้เขาโสดกัน ฮ่าๆๆ ฉันล้อเล่นนะคะ”


“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณป๊อบ มาเที่ยวกับใครบ้างครับ”


“ก็ทั้งครอบครัวเลยค่ะ แล้วนี่ก็ตัดสินใจพาแม่มาด้วย ที่นี่เป็นความฝันของแม่ แม่อยากเห็นดอกบัวตองจริงๆสักครั้งในชีวิต ”


“ผมว่าคุณป๊อบทำถูกแล้วล่ะครับ เชื่อว่าครูท่านต้องดีใจมากที่ได้เห็น   ถึงแม้จะจำอะไรไมได้ก็ตามแต่ ณ ขณะนี้เธอกำลังเห็นมัน

ทุ่งดอกบัวตองที่ครูรัก”


“ฉันคิดเหมือนคุณเลยค่ะ ดูแม่จะชอบมากด้วย”




          หม่อนกับลูกสาวของครูอัมรินมองชำเลืองไปหาเธอ จริงๆด้วยครูกำลังยิ้มมีความสุข ดูครูจะชราไปมากกว่าเดิม ก็มันผ่าน

มา 10 ปีแล้วนี่นา ผมดีใจมากที่ได้เห็นครูเหมือนชะตาฟ้าลิขิตยังไงก็ไม่รู้ เหมือนผมนึกอยากเจอใครกลับชวดและแคล้วคลาดกัน

ไปตลอด แต่พอจะเจอกลับเจอกันโดยบังเอิญ ประหลาดใจดีแท้ทีเดียว



“ผมคงต้องขอตัวแล้วนะครับคุณป๊อบ”


“จะไปถ่ายรูปหรอคะ?”


“ใช่ครับ ”



  หม่อนตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปคุกเข่าตรงหน้าหญิงผู้เป็นคุณครูและพ่อแม่ในชีวิตของหม่อน


“ครูครับ ลูกศิษย์คนนี้ไม่เคยลืมพระคุณของครูนะครับ ถึงครูจะจำผมไม่ได้แล้วในวันนี้ แต่ผมจะขอเป็นคนจำครูไปตลอดชีวิตของ

ผมก็แล้วกัน ผมกราบลาครูตรงนี้นะครับ ถ้าหากมีโอกาสผมจะไปเยี่ยมครูที่ลำปางนะครับ”



      หม่อนพูดพร้อมกับน้ำตาคลอ ทำเอาป๊อบลูกสาวของครูอัมรินพลอยซึ้งไปด้วย  สองมือประนมกราบไม่แบมือลงแทบเท้า

ของคุณครูผู้นี้ แต่ดูเธอจะมีปฏิกิริยาตอบรับ เธอเอามือขึ้นมาลูบหัวของหม่อนที่ก้มกราบลงไป


          จุดนั้นเองทำให้หม่อนถึงกับน้ำตาไหลพรากแล้วโผเข้ากอดครูด้วยความคอดถึงและสงสารครูไปในช่วงเวลาเดียวกัน



“ดูสิ เธอร้องไห้อีกแล้วนะ ร้องไห้เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ฉันรู้จักเลย แต่เด็กคนนั้นตัวเล็กๆ อายุ 12 ปี ฉันยังคิดถึงเขามากเลยนะ”


             คำพูดของครูตรงหน้ายิ่งทำให้หม่อนดีใจ ครูไมได้ลืมเขา แต่ครูกลับจดจำเรื่องราวภาพความทรงจำสุดท้ายตอนเด็กๆที่

ผมเดินออกไปจากรั้วโรงเรียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นต่างหาก  แค่นี้หม่อนก็สบายใจแล้วล่ะอย่างน้อยครูก็ไม่มีวันลืมเด็กน้อย

คนนั้น คนที่เดินออกจากอ้อมอกของครูอัมรินไป



“ฉันว่าแม่จำคุณได้ แต่แย่หน่อยที่ไม่ใช่ปัจจุบันนี้”


“ครับผมเข้าใจ ครูครับ ดูแลตัวเองดีๆนะ พระคุณของครู  ผมอาจจะไม่ได้ตอบแทน อนาคตข้างหน้าผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ผมขอให้ครูมีความสุขมากๆนะครับ”



“จ้ะ โชคดีนะ ว่าแต่หนูเป็นใครกันจ้ะ” ครูอัมริมถามขึ้นอีกครั้ง


“ผมคือเด็กตัวเล็กๆคนนั้นของครูไงครับ เด็กชายหม่อนไงครับครู”


“หม่อนนะหรอ ฉันจำเขาได้นะ หนูรู้จักเด็กคนนี้หรอจ้ะ เขาเป็นยังไงบ้าง ฉันคิดถึงเขามากเลย”


“เขาสบายดีครับ ตอนนี้เขามีความสุขมากเลย ฮึก ฮืออออ เขาฝากมาบอกผมด้วยว่าคิดถึงครูที่สุด เขาไม่ดื้อไม่งอแงด้วยครับ ฮึก

ฮึก”


        หม่อนทั้งยิ้มและบอกด้วยน้ำตา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะประติดประต่อให้หญิงสูงอายุตรงหน้านี้จำเขาได้ เขาได้แต่ใช้

ความทรงจำของเธอในอดีตให้เป็นประโยชน์เท่านั้นเอง


        หม่อนค่อยๆ เดิน ออกมาจากที่พักตรงนั้นไปตามถนนที่ทอดผ่านทุ่งดอกบัวตอง เห็นร่างของแฟนหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้มถ่าย

รูปดอกบัวตองเล่นอยู่  เขาเองก็อดมีความสุขนั้นไม่ได้ ความสุขที่ไม่มีวันจะลืมเลยในชีวิตนี้


“เฮ้ยๆๆ  รถไหลๆ”


“อร้ายยยยยย  คุณระวังรถ!”


      เสียงร้องดังตะโกนมาทางผม ผมหันไปเร็วพอที่จะรู้ว่าเป็นเสียงของป๊อบ ลูกสาวของครูอัมริน แต่ในขณะที่หันกลับไป ทุก

อย่างสายไปแล้ว เหมือนเวลาชีวิตของผมมันช้าลง ผมกำลังมองเห็นรถยนต์คันใหญ่ที่ไร้คนขับกำลังไหลมาที่ผมเรื่อยๆ จน

กระทั่ง!



“ตึ้ม!  อึก ”



               รถกระบะคันใหญ่เข้ากระทบร่างของผมอย่างแรง ร่างบางกระเด็นพุ่งไปข้างหน้าตามทิศทางของรถเข้าชน แต่โชค

ร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง ร่างของผมมันไมได้กระเด็นไปที่ราบสูง แต่มันกระเด็นลงไปในเหวต่างหากล่ะ



            ผมรู้ตัวเองแล้วว่าไม่มีทางรอด ผมได้แต่หลับตาแล้วยิ้มให้กับชีวิตที่มันจบและครบสมบูรณ์ ผมลอยตัวอยู่ในอากาศนาน

ถึงได้รู้ว่าเหวนี้ลึกพอสมควร ร่างของผมมันมาถึงจุดจบแล้วสินะ…



อึก!



       เสียงกระแทกเข้ากับโขดหินเบื้องล่าง พร้อมกับรถยนต์ไร้คนขับนั้นทับเข้าร่างของผมซ้ำ แน่นอน ผมไม่มีทางรอดแล้ว ใน

ดวงตาที่เลือนรางพร้อมจะปิดลงทุกเมื่อกลับปรากฏเห็นร่างของพ่อเลี้ยงกร เถ้าแก่ชัย และเปียงยางกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆผมแล้ว



“ถึงเวลาของผมแล้วใช่ไหมครับพ่อเลี้ยง” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเรือนร่างเหลือเกิน


“มาเถอะ พ่อหนุ่มน้อยของฉัน ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หลับตาลงซะ”


“หลับตานะอาหม่อน มาอยู่กับเปียง”


“ครับ ผมจะไปอยู่กับทุกคน”



พรึบ!



        ทันทีที่ตัดสินใจหลับตาไป ทุกอย่างก็มืดสนิท ลมหายใจเข้าออกหยุดชะงัก ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะที่จะยืดเยื้อต่อไป

ผมขอโทษนะพี่หมอนพ ผมมันไม่ดี ผมมันคนไม่ดี ผมทิ้งพี่หมอไปแล้ว พี่หมอยกโทษให้ผมนะ


        สุดท้ายแล้วความดีของหม่อน แม่ธรณีกลับยังคอยเมตตาประทานผืนดิน ผืนป่าเขา อุ้มร่างไร้วิญญาณนี้เอาไว้ เพื่อดูดซับ

น้ำตาของคนดีอย่างเขาไปตลอดกาล กว่าจะมีคนหาร่างของหม่อนเจอ ก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่ถ้าโชคร้ายหน่อย คือ

จะไม่มีใครหาร่างนี้พบเลย แต่ไม่ต้องเศร้าใจไป เม็ดดิน ผืนป่าแห่งนี้จะยังคงอยู่เคียงข้างกายของหม่อนตลอดไป ตราบจนร่างนั้น

เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาใต้ก้นเหวแห่งนั้นเอง…






เอ๋? เดี๋ยวสิ!…




จริงๆแล้วเรื่องราวชีวิตของผมมันควรจะจบบริบูรณ์แล้วไม่ใช่หรอ?





แต่เดี๋ยวก่อน…





จินตนาการฝันของผมจบ แต่ความจริงของผมยังไม่จบ!





โธ่เอ้ย  นี่ต้องตื่นขึ้นรับความจริงแล้วสินะ




ใช่แล้ว ความฝันที่เนิ่นนานเมื่อครู่มันเศร้าเกินไป ผมต้องจบความฝันเอาไว้เท่านี้ก่อน





เรื่องของผม ผมไม่ได้อยากให้คุณมองว่าเศร้าหรอก





แต่มันอดไม่ได้ที่อยากจะคิดต่างไปอีกมุมมอง





คุณควรจะได้รู้เรื่องราวในโลกแห่งความจริงของผมเสียแล้วตอนนี้





คุณไม่ต้องทนเจ็บปวด และเศร้าโศกให้กับชีวิตผมอีกต่อไป






เหมือนในจินตนาการฝันที่ผ่านมา




เพราะตอนนี้ผมกำลังตื่นจากความฝัน




เสียงใครคนหนึ่งกำลังปลุกผมอยู่…






ฟังสิ...




“หม่อนตื่นได้แล้วววววว…”




…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา   

ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       

ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่   

รองรับความทุกข์ไว้   

ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน



**********************************



ก็บอกแล้วว่า  ตอนสุดท้ายมันต้องมีรอยยิ้ม อิอิ    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ผู้อ่านเดาถูกนะครับ  แต่เดาไม่สุดทางเท่านั้นเอง แฮร่ๆ  ไมไ่ด้คิดจะหลอกนะ ขอโทษจริงๆ ก็พลอตเรื่องไว้แบบนี้แล้วอ่ะ ต้อง

แต่งตามนั้นแหละ
   ซ่อนตัวแป๊บบ  ฟิ้ววววววววววววววววววว  :ling3: :ling3: :ling3:




หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 13) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยไม้ ที่ 04-07-2016 13:57:53
ธรณีครวญ
ตอนที่ 14
โลกแห่งความจริงของหม่อน




              คิดต่างเรื่องราวที่ผ่านนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในอีกมุมมองที่อยากจะสะท้อนและเกิดขึ้นในชีวิตของเด็กหนุ่ม ทุกอย่าง

ที่เล่ากล่าวมาเสร็จสัพนั้น มันจบลงแล้ว ท่ามกลางความฝันที่อยากลองคิดฝันเมื่อคืน  บนเตียงนอนสุดแสนจะอ่อนนุ่มและน่า

สัมผัสกลับปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องแห่งนี้กำลังนอนคลุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แสงตะวันที่โผล่พ้นบนขอบ

ฟ้านั้นสาดส่องเข้าที่กระจกหน้าต่าง ทำให้หนึ่งชีวิตค่อยๆตื่นจากการหลับใหล





“หม่อนตื่นได้แล้วลูก!” เสียงร้องตะโกนดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นจากห้วงแห่งการพักผ่อน

อะไรกันนี่



เช้าแล้วอย่างนั้นหรอ?



“อืมมมมมมมมม อือออออออ” เด็กหนุ่มในวัย 23 ปีกับความงัวเงียหลังตื่นนอนนั้นไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว




            ใช่แล้วความเป็นจริงก็คือผมอายุ 23 ปี ผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเดชและแม่พร เจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่กลาง

กรุง แต่ดูเหมือนตอนนี้เรื่องราวที่ผมอุตส่าห์มโนแต่งขึ้นในความฝันนั้น ผมคงต้องหยุดเอาไว้ก่อน เพราะในฝันฉากสุดท้ายคือผม


ตายไปแล้วนะสิ แย่ยังเลยที่ต้องตื่นมารับรู้ความจริง ที่คุณจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว  อย่าเพิ่งมองว่าผมเป็นพวกบ้าคิดไม่ปกติล่ะ

แต่มันอดคิดมุมมองชีวิตอีกด้านไม่ไหวนี่นา หากชีวิตของผมไมได้เศร้าโศกเลย แต่ความจริงผมมีความสุขมาก สุขจนล้นเกินจริง

ต่างหาก ไม่เชื่อก็ลองดู




“หม่อน ตื่นเถอะลูกพ่อ! เดี๋ยวไม่ทันไปทำงานพอดี”


       รอยจูบจากริมฝีปากหนาประทับลงที่หน้าผากผมแบบนี้ทุกเช้า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณพ่อเดชของผมเองล่ะครับ


“คุณพ่อ! หม่อนขออีก 2 นาทีไม่ได้หรอครับ”


“ไมได้ครับ เพราะพี่หมอนพมานั่งรออยู่ด้านล่างแล้ว เดี๋ยวสายเข้างานพี่เขานะ พี่นพต้องรีบไปโรงพยาบาลดูแลคนไข้อีกรู้ไหม?”


“ก็ให้พี่หมอไปทำงานก่อนเลยสิครับ” ผมไมได้ต้องการจะสื่อความไม่มีเยื่อใยนะ แต่ผมไม่มีความเป็นส่วนตัวของผมต่างหาก

อยากรู้ก็ตามไปดูเลย



“ได้ไงล่ะวันนี้วันศุกร์เป็นเวรของพี่หมอนพที่มารับเรานะ”


“วันศุกร์อีกแล้วหรอครับ”


“ไม่เอาน่าคนดี พี่นพจะรอนานแล้วนะลูกไปอาบน้ำเร็วเข้า”


“ก็ได้ครับ” ร่างบางลุกจากเตียงด้วยความขี้เกียจ ไม่มีหรอกนะหม่อนคนเดิมที่อยู่ในฝัน มีแต่หม่อนในชีวิตจริงนี้ต่างหาก ผมออก

จะดื้อรั้นไม่ยอมใครเท่าไหร่ เพราะเป็นลูกคนเดียวไงล่ะ


              คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ แต่ชีวิตผมเหมือนจะน่ารักกิ๊กก๊อกดีจริงใช่ไหมล่ะ จะมีใครเข้าใจผมบ้างว่าการมีแฟน ไม่สิต้อง

เรียกว่า สามี ถึงจะถูก  มาทีเดียวเลย 5 คนมันช่างเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน ทั้งเหนื่อยใจและเหนื่อยกับเรื่องบนเตียงสัปดาห์หนึ่ง

ผมจะมีเวลาพักประตูหลังได้ 2 วัน นอกนั้นที่เหลือก็แทบเลี่ยงไมได้ที่บ่นไม่ใช่ไม่รักพวกเขานะ แต่เพราะมีสามีเยอะแบบนี้ไงผม

ถึงได้ล้าตัวอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวล่ะ




               วันจันทร์เป็นพี่บอร์นลูกชายพันตำรวจเอกกับคุณหญิงผู้แสนดีไม่เห็นร้ายเหมือนที่ผมฝันเอาไว้ก่อนหน้าแม้แต่น้อย

ทั้งคุณพ่อคุณแม่พี่บอร์นรักและเอ็นดูผมมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  ส่วนรายนั้นนะจองวันจันทร์ของผมตลอดชีวิตเลยก็

ว่าได้ พอถึงวันนี้เข้าหน่อย ผมนี่ขยับไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ





                วันอังคารนะหรอไม่ได้แตกต่างเลยจากวันจันทร์ ต้องเอาใจคนคนนี้ให้ดีทุกอย่าง ก็แน่ล่ะถ้าดูแลน้อยกว่าสามีทั้ง 4

คนผมนั่นแหละโดนหนักแน่ โดนอะไรนะหรอไม่ต้องเดายากหรอก เรื่องบนเตียงไงล่ะ พ่อเลี้ยงกรผู้ซาดิส ได้ยินชื่อนี้ผมแทบจะ

หาใจติดขัด ไม่ได้ดีอะไรเลยในฝันของผม ออกจากหึงหวงเกินเหตุด้วยซ้ำ




                 ส่วนวันพุธหรอพี่นนท์ไง หนุ่มที่แต่งตัวเนียบตลอดเพราะที่บ้านรวยมากมาย ไม่ได้ร้ายหรือเป็นคนไม่ดีเหมือนในฝัน

ที่ผมแอบสร้างคาแรกเตอร์ให้ บางทีผมก็คิดนะว่าทำไมถึงได้มาชอบเขาทั้งๆที่เป็นผู้ชายร่างบาง ผิวขาว ปากชมพู ทายาท

โรงแรมกลางเมืองแค่นี้เอง? ไม่เข้าใจเลยจริงๆ




               วันพฤหัสบดีนี่สิ ดีมาหน่อยพี่ชัยมีความอ่อนโยน  แต่ในขณะเดียวกันก็เอาแต่ออดอ้อนอยากมีลูก จนได้แม่อุ้มครรภ์

จนได้ ก็คลอดออกมาจากการใช้อสุจิของผมกับพี่ชัยผสมกันนั่นแหละ แล้วตั้งชื่อว่า เปียงยาง น่ารักดีไหมล่ะ ผมเองแหละที่คิด

ริเริ่มชื่อนี้ ตอนนี้ก็คงจะหลับปุ๋ยอยู่ห้องของแม่ผมนั่นแหละ วัยกำลังซุกซนเลยทีเดียว




               เป็นไงล่ะห้าวันมหัศจรรย์แห่งรักของผม มีใครอยากจะมาเป็นผมบ้างไหม ขอมือหน่อย ผมอยากจะลาออกจากชีวิต

ตัวเองชั่วคราว นี่แหละเป็นสาเหตุให้ผมอยากจินตนาการคนรักแต่ละคนให้ดูตรงข้ามไปเลยและเป้นไปได้ให้หายๆไปจากชีวิต

ของผมได้ยิ่งดี (ประชดนะ) แต่ก็แค่ชั่ววินาทีเดียวแหละที่คิดแบบนี้ มันเบื่ออ่ะ แต่ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่ผมคนเดียวต้องเอาใจทั้ง 5

คนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ มีที่ไหนกันให้คนร่างบาง ตัวเล็กแบบผมเอาใจดูแล แทนที่จะเป็นห้าสิงห์หนุ่มที่ดูแมนกว่า เข้มแข็งกว่า

คอยดูแลผมจะดีกว่าล่ะไม่ว่า เฮ้อออ คิดมาแล้วก็ต้องถอนหายใจแรงๆ





            แต่ไม่หรอก เชื่อไหมล่ะ สุดหล่อทั้งห้ามีความหล่อเป็นอาวุธเลือกคู่ได้ตามใจ แต่พวกเขากลับเลือกและมีผมคนเดียว

สงสัยละสิว่าเสือห้าตัว เอ้ย ห้าคนอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันได้อย่างไร จริงๆก็ไม่ได้หรอกครับ ไม่ถูกกันอย่างหนักและอย่างแรง ผมถึง

ได้แบ่งวันแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนไม่อย่างนั้นนะ เฮ้อ ไม่อยากคิด!


            คุณพ่อเดชและคุณแม่พรก็ช่างใจดี ใจกว้าง เป็นพ่อแม่มหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ ผู้ทันสมัย พูดไปก็เหมือนรักผม แต่ดู

สิตั้งแต่ได้สามีมา 5 คนแล้ว ตอนนี้ผมเหมือนถูกทิ้งก็มิปาน ดูเกรงใจและรักลูกเขยทั้งห้ามากกว่าลูกแท้ๆของตัวเองอีก ยิ่ง

เปียงยางแล้วไปกันใหญ่เลย ทั้งโอ๋ทั้งรัก แย่แล้วนี่ผมกำลังอิจฉาลูกตัวเองหรอ? ไม่สิๆ สลัดความคิดเดี๋ยวนี้หม่อน!




“สวัสดีครับพี่หมอ” ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว พร้อมทำงาน ผมต้องไปที่โรงแรมกลางเมือง แต่จริงๆผมไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ แต่เพราะ

เพิ่งจะจบจากต่างประเทศมาหมาดๆทางด้านนี้ ผมเลยถูกทั้งพ่อแม่และบรรดาสามีทั้งหลายขู่เข็นให้ไปเรียนรู้งานให้ได้ ถ้าฝึก

คล่องเมื่อไหร่ งานใหม่จะมาทันที




            นั่นคือไปทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงอีกคนที่บ้านไร่ปากช่องคู่กับพ่อเลี้ยงกรเป็นเวลาสองเดือน โอ้แม่เจ้า แล้วอย่างนี้ผมก็

ต้องถูก กด ขี่ ข่ม ขย่ม บนเตียงร่มเป็นเวลาสองเดือนเลยหรอ สะเทือนใจจัง



“หม่อนแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักจังเลยครับ”




       นั่นไงประโยคแรกที่ชื่นชมสำหรับเช้าวันศุกร์ พร้อมประกายในแววตาระยิบระยับทีเดียว



“ลูกตื่นยังหม่อน?”



     แหนะทักทายกันยังไม่ถึง 2 ประโยคถามหาไอ้ตัวเล็กซะแล้ว คืองี้ครับถึงผมจะมีลูกกับพี่ชัยเป็นคนแรก แต่บรรดาสามีที่น่ารัก

ชอบคิดว่าเป็นลูกตัวเองทั้งนั้น เพราะอะไรนะหรอ เพราะว่า 25% ของพันธุกรรมในตัวเปียงยางนั้นคือของผมเอง แค่หนึ่งส่วนสี่

เท่านั้นนะ แต่พวกเขากลับเหมารวมว่าเป็นลูกผมกับพวกเขาไปเสียแล้ว



“ก็ยังไม่ตื่นครับ ไปเถอะพี่หมอ! เดี๋ยวสาย”


“คุณพ่อหม่อน คุณพ่อนพ จะไปแล้วหรอครับ ลืมอะไรรึเปล่า?”


         นั่นไงๆ เสียงแจ้วๆลงมาจากบันไดอย่างเร็ว มีใครว่ากันนะว่าเด็กวัยเพียง 4 ขวบ  5 ขวบนี้นอกจากความน่ารักมีมีให้เห็น


อยู่แล้วแต่แฝงไปด้วยความรู้ทันและเก่งเกินกว่าเพื่อนวัยเดียวในโรงเรียนจะรู้ทันกันเสียอีก เหมือนใครกันนะเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้

อ้อนึกออกแล้ว…พ่อเลี้ยงกรไง เดี๋ยวเปียงยางไม่มีพันธุกรรมของพ่อเลี้ยงกรนี่นา นี่สงสัยจะอยู่ใกล้พ่อเลี้ยงกรมากเกินไปเสียแล้ว

ล่ะสิ




“ครับๆ มาให้พ่อนพหอมแก้มหน่อยเร็วเข้า”


“ฟอดดดด ชื่นใจจังเลย” หมอนพทำน้ำเสียงร่าเริงและดีใจมากทีเดียว



“พ่อหม่อน ทำไมไม่หอมแก้มน้องเปียงเลยครับ” ตัวเล็กทวงเอาหน้าตาเฉยพร้อมกับยืนกอดอกอย่างไม่พอใจ ให้ผมด้วย  ได้

แบบนี้ตลอดสิลูกพ่อ!



“ฟอดดดดดด อย่าดื้อนะคนเก่ง ไปโรงเรียนแล้วเดี๋ยวตอนเย็นพ่อกับพ่อนพจะไปรับนะครับ” ผมบอกลูก


“คร้าบบบบบบ ตั้งใจฝึกงานนะพ่อหม่อน”


“เปียงยางลูกกก พ่อไมได้อยู่ในช่วงฝึกงานครับ พ่อไปทำงานต่างหาก”


“ก็เหมือนกันแหละ ถ้าฝึกไม่ดี เปียงจะโทรไปหาพ่อกรที่ปากช่องแล้วให้พ่อกรทำโทษด้วย”


   โถ่เอ้ยลูกรักจะทรยศพ่อไปถึงไหนกัน คิดมาแล้วปวดหัวจริงๆ นี่มีความรักให้กับพ่อหม่อนบ้างไหมเนี่ย!


“ไปแล้วนะตัวเล็ก ไว้พ่อนพไม่เหนื่อยและพร้อมเมื่อไหร่จะอ้อนพ่อหม่อนมีลูกอีกซักคนเป็นน้องของเปียงนะครับ”


“บ้าหรอพี่นพ ไม่เอาแล้ว คนเดียวก็ปวดหัวแล้วเนี่ย”


“พ่อหม่อน เปียงอยากมีน้องครับบบ”


   นั่น! เป็นเรื่องเข้าแล้ว เออๆ ยังไงผมก็ไม่ได้ตั้งครรภ์เองหรอก ก็แค่ลูกแต่ละคนมีพันธุกรรมของเขา 25% เหมือนเดิมเท่านั้น

เองล่ะน่า



        ทุกอย่างก็วนกันไปแบบนี้ จนกระทั่งเย็นวันเสาร์ทุกสัปดาห์ เป็นธรรมเนียมของบ้านผมเลยก็ว่าได้ อาหารมื้อเย็นชุดใหญ่ถูก

จัดขึ้น ทุกคนจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านของผม โต๊ะยาวขนาดใหญ่ถูกพ่อเดชนั่งหัวโต๊ะ ขนาบ

ข้างด้านซ้ายเป็นแม่พร พี่บอร์น พี่นพ และพี่นนท์ ส่วนขนาบข้างด้านขวาคือผมกับเปียงยาง พ่อเลี้ยงกร และเถ้าแก่ชัย



        มีวันนี้วันเดียวล่ะนะที่มาเจอกันแล้วบ้านไม่แตก เพราะเกรงใจพ่อเดชกับแม่พรกันทุกคนล่ะนะ ผมว่าผมก็ชอบนะบรรยากาศ

แบบนี้ อีกอย่างวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ผมก็อิสระด้วย ไม่ต้องคอยเจาะแจะกับสามีคนไหนคนหนึ่งในป่วนหัวใจ


            แต่มองไปรอบๆโต๊ะสิ เหมือนครอบครัวใหญ่นั่งทานข้าว แต่ถ้าหากคุณเป็นผม คุณจะต้องทึ่งกับความสามารถของเรือน

ร่างและใบหน้าของผมที่ดึงดูดห้าสิงห์สุดหล่อจากทั่วทุกสารทิศให้มาเป็นลูกเขยของบ้านหลังนี้ได้ ให้ตายสิโรบิ้น!




“หม่อน ช่วงนี้มีใครเข้ามาคุยหรือสนใจหม่อนเพิ่มไหมลูก”



พรึบ!



ทันทีที่พ่อเดชเอ่ยถามกลางโต๊ะทานข้าว ห้าสิงห์หันขวับมาอย่างรวดเร็วมีทั้งมองแล้วหึง มองแล้วหวง มองแล้วงอน มองแล้ว

กำลังเศร้าใจ มองแล้วน้อยใจไปตามๆกัน โถ่พ่อครับถามอะไรออกมาผมแย่แล้วแน่ๆ แม้แต่ลูกชายสุดน่ารักของผมที่นั่งอยู่

ระหว่างขานั้นก็หันขวับเงยหน้ามองผมด้วยสายตาค้อนๆด้วยเช่นกัน




“มะ…ไม่ครับ  ไม่มีเลยครับพ่อ ไม่อยากมีด้วย เท่านี้ก็….ก็พอแล้วเนอะ” ผมตัดสินใจบอกพ่อไป พร้อมๆกับหันไปยิ้มเจื่อนๆให้

บรรดาสามี และแววตาเหล่านั้นหลายคู่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ บางทีมีสามีเยอะนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันเนอะ



“พ่อเดชครับ ผมอยากจะให้พ่อเดชออกความเห็นหน่อยครับ เปียงยางไม่มีน้องเลย ผมว่าจะอาสาปั้มลูกคนที่สองคุณพ่อจะว่ายัง

ไงครับ” พี่หมอนพไม่นะไม่ พูดออกมาจนได้ให้ได้อย่างนี้สิ นึกว่าพูดเล่นเสียอีก


“เฮ้ยไอ้หมอ ถ้าจะปั้ม ก็ทำทั้งหมดนี่เลย เหลือไว้แต่เถ้าแก่ชัยแล้วกัน เพราะเถ้าแก่มีลูกกับหม่อนแล้ว” พ่อเลี้ยงกรพูดจาโผงางอ

อกมาเลย



“เอาล่ะๆใจเย็นๆ พ่อว่าก็ดี อยากได้หลานเพิ่ม เอาเป็นว่าคราวนี้มีหลานทีเดียว 4 คนไปเลยดีไหม”


“พ่อครับ ผมต้องเสียน้ำ ถึง 4 ครั้งเลยนะ”


“ไม่หรอกหม่อน น้ำเดียวก็พอ แล้วเดี๋ยวพี่จะปรึกษากับเพื่อนๆพี่ให้คัดเลือกเอาตัวที่แข็งแรงที่สุด 4 ตัวมาผสมกับของพวกพี่ที่

เหลือแล้วกัน” หมอนพพยายามอธิบาย แต่ละคนดูหน้าตาตื่นเต้นอยากจะเป็นพ่อมือใหม่กันทั้งนั้น ผมจะว่าอะไรได้ล่ะ โอเคเอาก็

เอา



“เรื่องรีดน้ำปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง รับรองว่าผ่านมือฉันไป หม่อนต้องให้อสุจิที่แข็งแรงที่สุดแน่นอน”


    พ่อเลี้ยงกรบอกพร้อมกับเอามือมาดอบกอดที่ไหล่ผม พลางทำแววตาเจ้าเล่ห์สุดๆ ให้ตายสิ


“ฮ่าๆ แม่ได้ยินไหมเราจะมีหลานกันถึง 5 คนเลยนะ คราวนี้พ่อขอลูกสาวสองคน และลูกชายอีก 2 คนแล้วกัน ส่วนใครอยากจะ

ได้ลูกชายหรือลูกสาวแบ่งกันดีๆ นี่คือโจทย์การบ้านของพวกลูกเขยนะ เรื่องนี้นพจัดการได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม”



“ไม่มีปัญหาครับคุณพ่อ เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามาก คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ”


“ส่วนค่าใช้จ่ายครั้งนี้ผมจะออกให้หมดเลยครับเรื่องเงินทองปล่อยให้ผมทำดีกว่า” พี่นนท์พูดน้อยแต่พอพูดทีเหมือนจะแฝงว่าตัว

เขาเองก็แน่นอนไม่แพ้คนอื่นๆตลอดเวลา






**



      สุดท้ายวันเวลาผ่านไปนานถึง 5 ปี บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่เพิ่มมาถึง 4 คนเปียงยางไม่มีทางเหงากลับมาจาก

โรงเรียนพี่ชายคนโตอย่างเขาก็มาดูแลน้องๆช่วยตากับยายเลยทีเดียว อยากรู้ไหมล่ะว่าลูกชายลูกสาวทั้ง 4 คนของผมชื่ออะไร

กันบ้าง




      คนแรกเลยเป็นลูกสาว ลูกของผมกับพี่บอร์น หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู วัยห้าขวบชื่อว่าน้อง เปียโน 


      คนที่สองเป็นลูกชายตามจุดประสงค์ไม่ยอมท่าเดียวของพ่อเลี้ยงกร อยากได้ลูกชายไปสืบสานบ้านไร่ต่อในอนาคต ทีแรก

จะให้ลูกชายชื่อ ชนะศึก โห พ่อเลี้ยงตั้งชื่อให้คนกลัวไปไหม แต่พอผมเอ่ยปากบอกว่าถ้าอยากได้แบบแมนๆและศัตรูพ่ายแพ้

ผมขอเสนอ เก้าทัพ ไม่มีกว่าหรือ? สุดท้ายกลับกลายเป็นที่พอใจของพ่อเลี้ยงมาก ขอบคุณผมยกใหญ่ว่าเป็นชื่อเรียกที่เพราะ

และถูกใจเขามาก สรุปคือ เก้าทัพ




      คนที่สามเป็นลูกสาว เรียบร้อย ขี้อาย เหมือนคุณพ่อนนท์ และเป็นหน้าที่ของผมอีกเพราะพี่นนท์ไม่ยอมตั้งชื่อเพราะอยากให้

ผมผู้เป็นสุดดวงใจของพี่นนท์ตั้งให้มากกว่า  ผมก็ตั้งให้ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู ขอตั้งว่า  ไออุ่น ก็แล้วกัน




          คนสุดท้ายลูกชายสมใจของพี่หมอนพ รายนั้นบอกจะตั้งชื่อให้ลูกเอง ผมก็รอฟังชื่อนั้นนะ น้องเขาชื่อ คิมหันต์  แปลว่า

ฤดูร้อนร้อนแรงดีจริง แต่ก็น่ารักดีนะ



       นี่คือชีวิตจริงของผม ที่ไม่ได้เศร้าโศกเหมือนกับที่อยากลองจินตนาการฝันชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง ชีวิตของผมมันสบายและ

มีความสุขมาก แต่ไม่ว่าจะในโลกความฝันจินตนาการหรือโลกแห่งความจริง ผมก็ยังเคารพและเทิดทูนพระแม่ธรณีเช่นเดิม พระ

แม่ผู้อุ้มชูชีวิตของเหล่าผู้คนให้มีที่อยู่ ที่กิน แก่มนุษย์ทั้งหลาย ถึงชีวิตจริงผมนั้นจะไมได้ทำให้พระแม่ธรณีต้องร่ำไห้สงสาร

เหมือนในความคิดจินตนาการของผม แต่พระแม่ธรณีก็ยังคงช่วยเหลือจุนเจือและโอบอ้อมอารีแก่เหล่าชีวิตสรรพสิ่งบนโลกนี้ต่อ

ไปไม่มีวันจบสิ้น




         ขอบคุณชีวิตที่ทำให้ผมได้เกิดมามันวิเศษณ์ล้ำค่าที่สุดเลยทีเดียว ขอจบเรื่องเล่ามุมมองชีวิตอีกด้านในความฝันและความ

จริงบนโลกใบนี้ของผมไปพร้อมกับเพลงอกธรณี เพลงที่ซึ้งกินใจผมที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาเลยทีเดียว สุดท้ายนี้ต้องกล่าวคำ

ว่า…


                ขอบคุณจริงๆที่สละเวลาอ่านเรื่องราวของผม



                           จากใจน้อยๆดวงนี้ที่ยังคงดำเนินต่อไปในโลกแห่งความจริง



                                               หม่อนขอบคุณครับ




…เธออาจเป็นฟ้าล่องลอยคอยลิขิต     กำหนดชะตาชีวิตของผู้คน

เมฆดำจ้องทำร้ายคงสะใจฟ้าเบื้องบน  ไม่เคยปลอบโยนมีแต่ซ้ำเติม


…ผ่านร้อนหนาวกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม   ใจมันร่ำร้องหาความอบอุ่น

ไม่เคยได้จากฟ้าไม่มีเมตตาเจือจุน       อาจเป็นเพราะฟ้าว่าไม่มีหัวใจ


…ก็คนเดินดินเสียใจต้องมีร้องไห้    พลั้งเผลอทำผิดไปใครตัดสิน

จะเก็บน้ำตาไว้ไปร้องไห้กับพื้นดิน   แม่ธรณีได้ยินคงเข้าใจ


…อ้อมอกแม่นี้ยังคอยซับน้ำตา    ให้ไหลพรั่งพรูออกมา       ให้ความเศร้าจางหายไป

อกแม่นี้แม่ธรณีที่ยิ่งใหญ่    รองรับความทุกข์ไว้    ให้น้ำตาเหือดหายในพื้นดิน




อวสาน





แฮร่ๆๆๆๆๆ  ตามพลอตเรื่องเป๊ะ!   ขอบคุณที่ติดตามครับ นี่ไม่ยืดไม่ยาวอะไรเลยทั้งนั้น เอามาแต่เนื้อๆ น้ำไม่เอา  เดี๋ยวจะ

ยาวกว่านี้ อิอิ 
   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


บ้ายบายครับผม


 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 11) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-07-2016 14:23:56
กราบบบบ!!
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 04-07-2016 18:54:30
 o22 o22 o22 o22 o22 o22


หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 04-07-2016 23:10:11


พลิกล็อกหนักมาก

เล่นเอาคนอ่านอย่างข้าเจ้าไปไม่เป็นเลยทีเดียว

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 04-07-2016 23:20:45
คุณหลอกดาววววว :hao7:

เดียวกลับมาเม้นท์นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-07-2016 23:17:25
 :a5: :a5: :a5:

 :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 09-07-2016 09:41:17
....... :a5: :a5: :a5: .........
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 09-07-2016 20:14:06
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-07-2016 21:10:43
ตายจริงด้วย!!! ตาย...ในฝัน
เอาความคับแค้นใจไปลงในฝันใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Egonoki ที่ 10-07-2016 23:40:52
เอ่ออ อ.
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-07-2016 04:28:42
555 สนุกมากๆคับ 555ชอบบทอวสานคับ มีลูกเยอะๆดีคับ
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 11-07-2016 11:33:36
อ่านแรกๆแอบคิดว่าหม่อนนี้ตัวซวยจริงๆ 55555

หลังๆแอบฮา
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 11-07-2016 23:09:24
 :hao7:

อ่านจนจบแล้วยังนึกคำที่จะพูดไม่ออกเลย เหอๆ โดนต้มเปื่อยมากกกกกก!
ตอนแรกก็แอบคิดนะว่ามันจะมีคนจริงๆที่มีชีวิตใกล้เคียงกับหม่อนบ้างมั้ย บ่อน้ำตาแตกไปหลายสิบรอบ
กลับกัน ชีวิตจริงของนางดันดีดี๊ดีจนน่าปวดหัวแทนด้วยเลย 55555
อย่างน้อยก็ทำให้เห็นบทเรียนชีวิตหลายๆอย่างจากเรื่องนี้นะคะ

ปล.เอาใจช่วยให้หม่อนแบ่งเวลาให้สามีและลูกเท่าๆกันด้วยค่ะ ^^'
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 16-07-2016 15:05:54
มีความเงิบขั้นสุด  :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 16-07-2016 16:19:12
กำลังน้ำตาซึมอยู่
คดีพลิกซะงั้น
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-07-2016 16:12:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 31-07-2016 15:44:14
เล่ามาตั้งนาน คือไร ฝัน.  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(อวสาน) 4/7/59
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 06-06-2017 08:27:21
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ________* ธุลีครวญ *________(บทที่ 1) 29/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 06-10-2020 00:00:25


 

 


“อย่าครับป้าเข็ม! ไม่เป็นไรหรอก หม่อนเองก็ซักให้พี่มะกอกทุกครั้ง ผมไม่เหนื่อยหรอก”


“แกก็เป็นซะอย่างนี้ไง เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณท่านก็สิ้นเรื่อง อย่างคุณหญิงนะคุณท่านพูดอะไร เธอก็ทำตามทั้งนั้น ”

 


 


 

 


“ไม่เอาน่าป้า ผมทำได้ เสื้อผ้าพี่มะกอกก็ไมได้เยอะอะไรมากมาย ป้าไปพักผ่อนเถอะนะ ”


“แกนี่นะจริงๆเลยไอ้หม่อน เครื่องซักผ้าก็มีกลับไม่ใช้  แปลกคนจริงๆ”


 
ยอมเขาเอง มีเครื่องซักก็ไม่ใช่ ไม่น่าสงสารเลย
หัวข้อ: Re: ________* ธรณีครวญ *________(บทที่ 4) 30/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 06-10-2020 00:14:37





           จากคำทัดทานและขอร้องจากคุณกัน น้องชายของพ่อเลี้ยงกร ผมได้ปฏิเสธไป คุณกันดูเศร้าใจไปมากพอสมควรผมเอง

ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆก่อนออกจากบ้านผมไปอำลาทุกคนที่อยู่ร่วมกันมาตลอด 1 ปีที่ไร่แห่งนี้และไม่ลืมที่จะไปกราบลา

พ่อเลี้ยงกรที่ธาตุในวัด และได้ขอพี่นายเอารูปของพ่อเลี้ยงกรติดกระเป๋าเงินไปด้วย เพื่อเอาไว้ระลึกถึง…



         
อย่าโทษกรรม ทำตัวเองอยู่ดีๆไม่ว่าดี