-
@@@@talk @@@@
สวัสดีค่ะ p.k.a ค่ะ
ห่างหายจากการโพสต์นิยายไปนาน
แต่ก็...ขอฝากนิยายเอาไว้ด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้ เราตั้งใจเขียนเพราะอยากลองดูสิว่าตัวเองคนเดียวจะเขียนนิยายได้เหมือนตอนเด็กๆไหม(เมื่อก่อนเขียนแฟนฟิค)
ส่วนตัวสไตล์ของเราคือการบรรยาย อาจทำได้ไม่ดีนักแต่จะพยายามค่ะ
เนื้อเรื่องอาจไม่หวือหวานะคะ อารมณ์ล้วนๆ
ขอบคุณค่ะ
(จะโพสต์ใน รีพลายถัดไปนะคะ)
p.k.a
14/5/2013
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
-
บทนำ
“ ไอ้บ้า...ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย....”
เสียงตะโกนด่าทอดังลั่นพร้อมกับสองมือที่กระหน่ำตีลงไปบนไหล่กว้าง เสียงสะอื้นไห้ระคนกับเสียงฝ่ามือที่กระทบกับผิวเนื้อตามแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พลันสองมือเรียวหยุดลงเปลี่ยนเป็นโอบกอดร่างสูงเข้ามาใกล้
“แต่ก็รักนะ” เสียงนุ่มดังแผ่วเบาที่ข้างหูทำเอาคนฟังหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือแกร่งยกขึ้นเก้ๆกังๆจะกอดหรือก็ไม่กอดเสียทีเดียว
“คัท.......!!!!!”
พลันเสียงของ โชติ หนึ่งในสมาชิกชมรมการแสดงก็ดังขึ้นฉุดกระชากนักแสดงที่กำลังอินอยู่ในบทบาทให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“อีกละ?....พี่โชติ นี่รอบที่สิบแล้วนะ....ผมก็เหนื่อยนะเว้ย” จูนเด็กหนุ่มร่างสูงที่รับบทตัวเอกอีกคนของเรื่องก็โวยวายไม่แพ้กัน เขาผละออกห่างจาก เคน นักแสดงนำอีกคน อย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนสั่งคัตซ้ำๆและให้แสดงเหมือนกันซ้ำๆมาสิบรอบ
“แกไม่ต้องบ่นเลย จูน แกอ่ะตัวดี ใส่อารมณ์แค่ตอนด่าไอ้เคน ทีไอ้ประโยคหลังแม่งไม่เห็นมีอารมณ์ร่วมวะ แข็งยังกับเอาไม้มาตั้ง ไอ้เคนแม่งแกก็อีกคน จูนมันแข็งทื่อ แกนี่ก็แทนที่จะช่วยมันต่อบท ถ้าลืมบทก็บอกดิ่ มัวแต่ขยับแขนขึ้นๆลงๆนึกบน ทำตัวเป็นหุ่นยนต์อยู่ได้ นี่ถ้าเขาให้ไปเล่นสตาร์วอร์แกคงได้ออสการ์บท R2 D2 พอดี โอ้ย...ความพอดีมีไหมในชีวิตเนี่ย” โชติว่าพลางเดินบ่นไปมาอย่าหงุดหงิด สองมือขยี้หัวของตัวเองจากที่พองฟูเพราะเซ็ทผมเอาไว้อยู่แล้ว ยิ่งดูผมฟูมากขึ้นไปอีก
“อ้าว...นี่ฉันเก่งระดับออสก้าร์แกก็จะด่าฉันเหรอ สาด....”เคนหันไปด่าเพื่อนรุ่นน้องอย่างโชติ ถึงเคนจะอายุมากกว่าแต่เพราะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันเลยไม่ได้ถือสาให้เรียก “พี่” หรืออะไรกันสักเท่าไร
“พวกแกรีบซ้อมกันได้หรือเปล่า ฉันหิวข้าว...”เสียงดังมาจากอีกทาง ยุทธ์พระเอกของเรื่องกำลังนอนกลิ้งอยู่บนพื้น อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดที่เพิ่งซื้อมาเมื่อตอนบ่าย ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งทำหน้ามุ่ย ยุทธ์เป็นผู้ชายหน้าสวยใบหน้าเล็ก ตากลมโตถ่ายรูปขึ้นแถมยิ้มสวยทำให้ทุกคนไม่ลังเลตอนเลือกเอายุทธ์มาเล่นเป็นพระเอก ถึงเจ้าตัวจะโอดครวญว่าตัวเองตัวเตี้ยแถมแสดงไม่เก่ง และเหมาะจะอยู่ฝ่ายฉากมากกว่า เพราะมั่นใจในฝีมือและหัวครีเอทของตนเองมากเสียจนลั่นวาจาว่าถ้าเป็นเรื่องสร้างฉาก กับเรื่องกินแล้วยุทธ์ขอสู้ไม่ถอย.
“เออๆ ...ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เลิกกองก่อน....พรุ่งนี้มาซ้อมใหม่ เหลืออีก สองเดือนจะส่งหนังสั้นประกวดของมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้ายังเล่นกันได้แบบนี้แล้วคนดูจะอินไหม ....จูน แกต้องไปทำความเข้าใจบทใหม่นะ เวลาจะบอกรักมันก็ต้องจริงใจหน่อยซิ่”
“บอกรักผู้ชายเนี่ยนะพี่โชติ ไม่สิ บอกรักพี่เคนเนี่ยนะพี่โชติ ...” จูนน้องเล็กที่สุดในกลุ่ม เจ้าของยาวประบ่าที่มาพร้อมสีผมแสบทรวงสีทองข้างซ้ายสีดำอีกครึ่งซีกขวาว่าพลางหันมาทำหน้าเหย
“นี่แกไม่ได้อ่านบทใช่ไหมไอ้จูน....บทแกอ่ะ กับบทฉันเนี่ยมันเป็นบทฝ่ายรับ บทประหนึ่งผู้หญิงเว้ย ไม่งั้นในเนื้อเรื่องแกจะท้องได้เรอะ”โชติเกาหัวแกรก เริ่มเหนื่อยใจว่าทำไมเขาต้องเขียนเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วยทั้งๆที่รู้ก็รู้ว่ากลุ่มของตัวเองเป็นกลุ่มชายล้วนสี่คน ...
“ก็อ่านครับ แต่พี่โชติ ในบทมันบอกว่า เป็นผู้ชายนี่ แล้วมันจะท้องได้ไงอ่ะ...........” จูนเอียงคอถาม
“เพราะมันเป็นโลกในจิตนาการเว้ย อีกอย่าง สี่ตัวแม่งมีแต่ตัวผู้นี่หว่า จะให้ทำไงได้วะ”
“แล้วทำไมต้องให้ท้องอ่ะ “ จูนยังถามไม่เลิก
“ก็แค่อยากสะท้อนสังคมเข้าใจป่ะ ....”
“แต่มันไม่เมคเซ้นส์นะพี่........”
“มันเมคเซ้นส์ของกูเว้ย....เอาเป็นว่าไปอ่านบทซะ แล้วทำไมวันนี้เล่นได้ห่วยขนาดนี้เนี่ย ทีเล่นกับฉันไม่เห็นเป็นอะไร” โชติชักหงุดหงิด กะอีแค่พล็อตผู้ชายท้องได้แค่นี้ทำไมเข้าใจยากนักเขาก็ไม่เข้าใจ
“ก็..........” จูนอ้ำอึ้งใบหน้าแดงก่ำ สองมือลูบด้านข้างคอของตัวเองไปมาเบาๆ พลาง เหลือบไปมองหน้าของเคนก่อนจะนิ่งเงียบ “เวลาพี่เคนลืมบท พี่เคนชอบทำหน้าหล่อเกินไป....ผมเขิน” คำพูดของจูนทำเอาคนที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มอย่างเคนสำลักพรวดออกมา
“แค่กๆ.....หา?!” เคนหันมามองหน้าน้องเล็กของกลุ่มด้วยความประหลาดใจ ถึงจะรู้ตัวอยู่ว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ไม่เคยคิดว่าใบหน้าของเขาจะมีผลกระทบกับคนเพศเดียวกันมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นรุ่นน้องผู้ชายในชมรมเดียวกันแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยคิดเข้าไปใหญ่ ร่างสูงหันมองหน้าโชติเลิกลั่ก ก่อนจะชี้หน้าตัวเอง
“สรุปนี่กูหล่อ กูก็ผิดอีกใช่ไหมเนี่ย...จะให้กูทำยังไงวะ ทำหน้าแบบนี้ตลอดเลยดีไหม...”ไม่พูดเปล่าเคนทำหน้าบูดเบี้ยวแลบลิ้นปลิ้นตาจนหน้าตาคมคายนั้นดูแย่ลงไปถนัดตา
“เออ ทำให้ได้ทั้งวันก็แล้วกัน” เสียงยุทธ์ดังมาอีกทาง “ถ้าแกหล่อน้อยลง กูจะได้เด่นไง” ยุทธ์ว่าพลางยิ้มมุมปากหัวเราะเบาๆในลำคอ
“สรุปนี่ความจริงแกอยากเป็นพระเอกคนเดียวใช่ป่ะ แต่ทำโอดครวญไปอย่างนั้นเอง” โชติหันไปมองหน้ายุทธ์อย่างระอา เพื่อนเขาที่คบกันมาตั้งแต่ ม.ปลายคนนี้ความจริงแล้วเป็นพวกหลงตัวเองแบบไม่เปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร
“ฮ่ะๆ ก็แล้วแต่จะคิดน้า...” ยุทธ์ว่าพลางหัวเราะ เสียงหัวเราะในแบบที่บางครั้งก็ทำเอาอีกสามคนในกลุ่มอดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“เออ....ไอ้คนหน้าตาดี” ทั้งสามคนแทบจะประชดออกมาพร้อมๆกัน
..................................
โชติ ยุทธ์ จูน และเคน ทั้งสี่คนอยู่ชมรมการแสดงของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โชติและยุทธ์เข้าขมรมมาตั้งแต่ปี 1 เหตุก็เพราะรุ่นพี่ที่คณะชักชวนแกมบังคับหลังจากเห็นความกล้าแสดงออกตอนที่ทั้งสองคนจับคู่กันแสดงตลกให้เพื่อนๆทั้งคณะได้ดูกันในช่วงรับน้อง...แต่หลังจากที่รุ่นพี่จบกันไปพร้อมๆกับที่เคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่...ก็ยังไม่มีใครหน้าไหนหลงมาสมัครชมรมของพวกเขาอีกเลย...จนสถานการณ์ตอนนี้อาจเรียกได้ว่าใกล้เข้าวันสูญพันธ์ของชมรมไปทุกที
โชติ เป็นหนุ่มรูปร่างสันทัดไม่ได้จัดว่าตัวสูงมากแต่สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครจำได้แม่นคือทรงผมที่เซ็ทจนพองประกอบกับขนาดศีรษะที่ใหญ่อยู่แล้วเลยยิ่งจำได้ง่ายเข้าไปใหญ่ ปรกติแล้วเป็นพวกเอาจริงเอาจังซีเรียสกับสิ่งที่ทำเกือบจะทุกอย่าง แต่พอมาอยู่กับคนที่ทำเป็นเล่นไปเสียทุกเรื่องอย่าง ยุทธ์ แล้วก็ทำให้ดูเป็นสองคู่หูที่เข้ากันได้ดีอย่างประหลาด
สมาชิกคนที่สองคือ ยุทธ์เด็กหนุ่มหน้าตาดี เขาเป็นคนง่ายๆสบายๆ กินเก่งและบ้าพลัง บางทีก็โหวกเหวกโวยวาย ปากไว เหมือนไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร หลายคนถึงกับบอกว่านิสัยกับหน้าตาสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัดแต่ยุทธ์ก็ไม่เคยจะสนใจ เขาเป็นตัวของตัวเองเสมอ จะมีบางครั้งที่จะสำนึกผิดบ้างก็ตอนที่ทำเรื่องชวนปวดหัวจนโชติเอ่ยปากต่อว่าเท่านั้น
ส่วน เคน ที่ถึงจะเรียนอยู่ ปี3 เท่ากันกับยุทธ์และโชติแต่เขาก็อายุมากกว่าทั้งสองคนที่อายุ20 อยู่ 4 ปี เคนเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ เขาสูงเกิน 180 เซนติเมตร ใบหน้าคมคายได้รูป จัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย แต่ทะลึ่งทะเล้นในแบบที่ใครหลายคนเห็นอาจจะเบือนหน้าหนี เช่น การลงโทษแผลงๆของเอกพละศึกษาที่หากเป็นบางคนคงจะเขินอายที่จะต้องถอดเสื้อเปลือยท่อนบนเดินไปตามถนนในมหาวิทยาลัย แต่สำหรับเคนนั้นไม่เลย เขาเป็นคนแรกที่ถอดจนเหลือแค่กางเกงบอกเซอร์แล้วเดินไปตามถนน ไม่พอยังม้วนชายกางเกงขึ้นมาเหน็บประหนึ่งนุ่งผ้าเตี่ยวจนแทบจะนุ่งลมห่มฟ้าเสียด้วยซ้ำ.....ยุทธ์กับโชติเจอเคนครั้งแรกตอนไปเข้าค่ายรวมของพวกนันทนาการสำหรับรับน้องใหม่พวกเขาคุยกันถูกคอและสุดท้ายเคนก็ถูกชวนเข้ามาอยู่ในชมรมเป็นสมาชิกอีกคนของหลังจากที่จูนเข้ามาสมัครที่ชมรมไม่กี่เดือน
และน้องเล็กสุดของกลุ่ม จูน เด็กหนุ่มจากเอกภาษาญี่ปุ่นที่เรียกความสนใจจากใครต่อใครได้ด้วยผมสีบลอนด์ทองและแฟชั่นการแต่งตัวของเขาที่ราวกับหลุดมาจากย่านช็อปปิ้งในโตเกียว จูนเข้าชมรมมาด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจะกล้าแสดงออกให้เหมือนโชติกับยุทธ์ที่เคยไปแสดงมุกตลก และละครสั้นต่างๆให้พวกรุ่นน้องดูตอนเขาเข้ามารับน้องใหม่รวมของมหาวิทยาลัย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังโดนติเรื่องแสดงแข็งเป็นท่อนไม้อยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่เขาพอจะทำได้ดีเวลาอยู่ในกลุ่มของพี่ชายทั้งสามคนก็คงจะเป็นการพยายามสรุปทุกคำพูดของทุกคนให้ฟังรู้เรื่องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ตัวเองบางทีเวลาตื่นเต้นมากๆก็จะควบคุมคำพูดของตัวเองไม่อยู่ก็ตามที
ทั้งสี่คนหอบข้าวของออกจากห้องซ้อมของชมรมระเห็จไปหาของกินกันที่ร้านขายข้าวที่หลังมหาวิทยาลัยที่ยังเปิดกันอยู่จนดึกดื่นเอาใจพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยที่นอนดึกกันเป็นชีวิตประจำวัน
“พี่ครับ ขอโค้กขวดใหญ่หนึ่ง น้ำแข็งสี่ ...” โชติตะโกนสั่งในขณะที่ยุทธ์รีบคว้าเมนูมาเปิด
“พี่ครับ ขอกระเพราไก่หนึ่งครับ ผัดผักบุ้งหนึ่ง แล้วก็เอ็นไก่ทอด ต้มยำปลาแล้วก็....”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวยุทธ์จะสั่งอะไรนักหนาวะมากันสี่คน” เคนหันไปมองหน้าหนุ่มร่างเล็กแทบจะดึงเมนูออกจากมือของอีกฝ่ายด้วยกลัวว่ายุทธ์จะสั่งอาหารไม่หยุด
“ใครว่าฉันจะสั่งมาให้พวกแกกิน นี่ฉันจะกินคนเดียวเว้ย บอกแล้วว่าฉันหิว....” ยุทธ์ว่าพลางมองหน้าทุกคนเหมือนจะถามว่าเขาพูดอะไรผิดตรงไหน ทำเอาทุกคนส่ายหน้า
“สั่งเองกินเองจ่ายเองด้วยนะแก พวกฉันไม่มีใครหารนะ” โชติว่า
“พี่ยุทธ์ผมว่ากินขนาดนี้เดี๋ยวได้ป่วยหรอก....” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะสะกิดเคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน “พี่เคน ขอดูเมนูหน่อยดิ่...ผมว่าจะรีบกินรีบกลับเนี่ย”
“รีบกลับ? ทำไม กลัวมองหน้าฉันนานๆแล้วจะเขินอีกหรือไง” เคนยังไม่วายแหย่น้องเล็กของกลุ่มพลางขยับหน้าเข้าไปหา จูนเหลือบมองหน้าของอีกฝ่ายผ่านปอยผมสีอ่อนของตัวเองที่ตกลงมาปรกหน้า ก่อนดวงตาที่ใส่คอนแทกเลนส์สีน้ำเงินจะหลบสายตาไปที่เมนู
“พรุ่งนี้ผมมีสอบหรอก...“
“สอบอีกละ เอกภาษาญี่ปุ่นนี่ก็มีสอบบ่อยเหมือนกันเนอะ” เคนว่า แต่ยังไม่ถอยออกห่างจากอีกฝ่าย ในใจนึกขำกับท่าทีของจูนที่เบนสายตาหลบแบบนั้น
“ไม่ได้ทำตัวว่างเหมือนพี่เคนนี่นา..” จูนถามแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตา รุ่นน้องผมสองสียังคงมองหารายการอาหารที่อยากจะกิน
“อ้าว วิชาพวกพี่มันเอาตัวปฏิบัตินี่หว่า เคยไหมสอบชกมวย สอบตัดสินมวย” สองมือกำหมัดแย็บจนจูนต้องเบี่ยงหลบ
“ใครจะไปเคยเล่า...ผมเรียนภาษานะ ไม่ได้เรียนพลศึกษา”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ตัวซีด ไม่ฟิตเอาซะเล้ย ” ว่าพลางก็ยกมือขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ แต่จูนกลับปัดมือของเคนออก
“อย่าเล่นหัวดิ่....ผมยุ่งหมด.... “จูนอ้อมแอ้มพลางหันไปสั่งอาหาร “พี่ครับ ข้าวกระเพราหมูกรอบจานนึงครับ ขอด่วนๆเลยนะครับ”
“เอาเหมือนกันเลยครับพี่ แต่ขอเป็นพิเศษนะครับ” เคนหันไปสั่งเพิ่มพลางยิ้มให้กับแม่ค้าที่ยืนรอออเดอร์จากสี่หนุ่มอยู่นานสองนาน “เฮ้ย โชติแล้วแกสั่งอะไรยังวะ พี่เขารอนานนะเนี่ย... “
“พี่ครับขอข้าวเปล่ามาสองจานนะครับ.... เดี๋ยวฉันกินกับไอ้ยุทธ์ว่ะ ลืมไปว่าถ้าปล่อยแม่งกินคนเดียวมันจะอ้วนเป็นหมูก่อนเป็นพระเอกให้ฉันแน่ อ้อ พี่ครับ แล้วต้มยำกับเอ็นไก่ไม่เอาแล้วนะครับ “ โชติตอบพลางจัดแจงเปลี่ยนรายการอาหารให้ยุทธ์เสร็จสรรพ
“ฉันกลัวแค่ว่าพวกแกกินข้าวแบบนี้กันบ่อยๆจะพาลเป็นหมูกันไปก่อนได้ถ่ายจริงอ่ะดิ่” เคนว่าพลางส่ายหน้า “แค่นี้ล่ะครับพี่ ด่วนๆเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งน้องกลับหอ” ว่าพลางก็ยกมือโยกหัวจูนที่นั่งอยู่ข้างๆไปมา
ไม่นานอาหารมื้อใหญ่ก็ถูกนำมาเสริฟ ทั้งสี่คนคุยกันไปพลางทานอาหารกันไปพลางจนอิ่มก็หอบกระเป๋า อุปกรณ์ที่ใช้ซ้อมใส่ท้ายรถของยุทธ์
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้ อย่าลืมไปซ้อมบทนะจูน...ไม่ผ่านฉากนี้ฉันไม่ให้ซ้อมต่อฉากอื่นนะเว้ย” เสียงโชติกำชับขณะที่พาตัวเองเข้าไปนั่งข้างคนขับ ยุทธ์เองก็ส่งเสียงตามมาเช่นกัน
“เคน แกก็เหมือนกันขืนยังจำบทไม่ได้ล่ะแกตาย ”
“พวกแกอย่าแกล้งกันดิ่วะ... ไม่ได้หัวดีอ่านปุ๊บจำได้ปั๊บนี่หว่า“
“ก็อย่าหัวขี้เลื่อยของตัวเองไปให้เขาเตะเขาต่อยมันมากนักสิ แทนที่จะมีแต่ขี้เลื่อย คงได้กลวงเข้าสักวัน” ยุทธ์ว่าพลางยิ้ม เรื่องความสามารถในการจำบทที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของเป็นเรื่องที่หยิบมาทับถมได้ตลอด แต่จะห้ามไม่ให้เคนเอาหัวไปกระแทกก็ไม่ได้ในเมื่องานอดิเรกอีกอย่างของเคนก็คือการชกมวย
“นั่นดิ่ พวกพี่โชติ พี่ยุทธ์โคตรโกงอ่ะ” จูนประท้วงแต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะทำหูทวนลม
“เคน แกขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งมันดีๆล่ะ “ ไม่วายโชติยังหันมาสั่งคนอายุมากกว่า
“เออน่า บอกไอ้ยุทธ์ก่อนเหอะไม่ใช่หนังท้องตึงหนังตาหย่อนนะ ไปกันเจ้าจูน” พูดจบเคนก็ก็คว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
..............................................................
ทางเดินไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ในย่านร้านค้าหลังมหาวิทยาลัยมืดสลัว ได้ยินเสียงเพลงเปิดดังมาจากร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล เคนลากคอเสื้อของจูนให้เดินตามมา จนเด็กหนุ่มต้องสะบัดออก
“พี่เคน ปล่อยเหอะ คอเสื้อมันรั้งหายใจไม่ออก....”
“เออ โทษทีๆ” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็เห็นว่าจะรีบกลับ”
“แต่ก็ไม่เห็นต้องดึงนี่นา....เอ่อ... ถ้าพี่เคนรีบผมกลับหอเองก็ได้นะ เดินๆไปขึ้นรถข้างหน้านี่เดี๋ยวก็ถึง” เด็กหนุ่มดูมีท่าทีลังเลที่จะซ้อนมอเตอร์ไซค์ของอีกฝ่ายในวันนี้
“เอ๊ะ เจ้านี่ จะเอาไงกันแน่นะ เมื่อกี้ว่าจะรีบกลับ นี่จะมาว่าจะกลับเองอีกละ หออยู่ตั้งไกล ให้ไปส่งนั่นล่ะดีแล้ว” เคนขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย พลางโยนหมวกกันน็อคอีกใบหนึ่งให้ “ใส่ซะ เดี๋ยวป๋าจะพาซิ่ง”
“ฮ่ะๆ พูดเหมือนเฒ่าหัวงูจะพาอิหนูซ้อนท้าย” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ แค่เห็นสีหมวกกันน็อคก็พอจะเดาออกว่าคงมีสาวๆมาขอซ้อนท้ายอยู่เนืองๆ
.....เลือกสีซะชมพูหวานคิตตี้มาเชียว....
“งั้นเปลี่ยนเป็นแว๊นซ์กะสก๊อยซ์เอามะ ? “เคนว่าแล้วหันมามองจูนตั้งแต่หัวจรดเท้า จูนเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแต่ถ้าเทียบกับเขาแล้วก็อาจจะเตี้ยกว่าซักสิบกว่าเซ็นต์เห็นจะได้ รูปร่างก็ไม่ได้ผอมกะหร่องเพียงแต่เพราะไม่ได้ออกกำลังกายอะไรมากเลยดูเหมือนคนไม่ค่อยมีแรงกับใครเขาสักเท่าไร ยิ่งกับเขาแล้วยิ่งเหมือนไม่มีแรงจะมาขัดขืนอะไรด้วยซ้ำไป
“แม่ง สก๊อยซ์ก็ตัวใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย” ว่าพลางมือแกร่งก็ตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มร่างสูงดังปึก
“โอยเจ็บ.... พูดอย่างกับตัวเองตัวเล็กนักล่ะ ไม่บอกจะนึกว่าควายขี่รถ” จูนพึมพำเบาๆ โชคดีทีอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้ยินไม่งั้นคงโดนอีกสักป้าบที่หัวแน่ๆ มือเรียวพลิกหมวกกันน็อคในมือไปมา “...นี่ถ้าผมขับรถได้อย่างพี่ยุทธ์ ขี่มอเตอร์ไซค์เองได้แบบพี่เคนคงไม่ต้องรบกวนพวกพี่แบบนี้หรอก“
“กวนอะไรกันเล่า เอ้าเร็วขึ้นมา จะได้พาไปส่ง” ว่าพลางก็คร่อมมอเตอร์ไซค์คันโตของตัวเอง พลันเสียงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ก็ดังกระหึ่มทั่วตรอกขนาดเล็กเรียกเสียงฮือจากคนเดินผ่านไปมาได้ไม่ยาก
“เด่นซะ....”
“รถคนหล่อ เครื่องแรงก็งี้...เอ้าขึ้นมาเร็วๆ ...จะได้รีบกลับไปอ่านหนังสือสอบไง ใส่หมวกกันน็อคด้วยเดี๋ยวตำรวจแม่งตั้งด่านจับอีก”
หอพักของจุนอยู่นอกเขตมหาวิทยาลัยออกไป แถมยังต้องผ่านตรอกซอกซอยลัดเลาะไปเรื่อยก็ถึง มันอาจจะสะดวกสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก แต่สำรับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ของเคนแล้วมันก็ออกจะลำบากอยู่ใช่ย่อย กว่าจะถึงหอของอีกฝ่ายได้ก็เกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เคนจอดรถมอเตอร์ไซค์ที่หน้าหอพักของจุน จะเรียกว่าหอเสียทีเดียวก็คงจะไม่ใช่ ดูลักษณะแล้วคล้ายกับเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์เสียมากกว่า ถึงจูนจะไม่เคยเล่าให้ฟังว่าที่บ้านพ่อแม่ทำการทำงานอะไรแต่จากลักษณะนิสัยกับท่าทางหลายๆอย่างแล้วก็คิดว่าจูนคงเป็นลูกชายของบ้านที่พอมีอันจะกินอยู่เหมือนกันไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาที่หลับที่นอนให้ลูกได้อยู่ดีขนาดนี้
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ “จูนว่าพลางส่งหมวกกันน็อคสีหวานคืนให้กับอีกฝ่าย สองมือจัดปัดผมของตัวเองให้เข้ารูปเข้าทรง “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่ชมรม ....” ว่าพลางร่างสูงโปร่งก็ทำท่าจะเดินเข้าไป
“เฮ้ย จูน....” เคนส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“ครับ?“ จูนหันกลับมาตามเสียงเรียก
“วันนี้...ที่ฉันทำให้ต้องเทคบ่อยน่ะ โทษทีนะ รอบหน้าจะไม่ให้พลาดว่ะ” อยู่ๆเคนก็พูดถึงเรื่องการซ้อมบทหนังสั้นขึ้นมาทำเอาจูนงง
“เฮ้ย พี่จะมาขอโทษผมทำไมอ่ะ ... ผมดิ่ ส่งอารมณ์ไม่ได้ ...” จูนพูดก่อนจะถอนหายใจยาว เขารู้ดีว่าตัวเองมีปัญหาในการแสดงอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเม้มปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะจับมือของเคนเอาไว้หลวมๆ “แต่ ผมจะรักพี่ให้ได้ก็แล้วกัน”
“หา? เฮ้ย....พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายนะเว้ย” ร่างสูงแทบดึงมือออกไม่ทัน เคนทั้งส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธพัลวัน จนจูนต้องมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“พี่เคน....เมากระเพราหมูกรอบป่ะ....ผมพูดถึงในบทต่างหาก วันนี้พี่โชติบอกว่าผมยังไม่อิน ผมต้องพยายามทำให้ได้แบบพี่โชติบอกไง...” จูนว่าพลางมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแทคเลนส์ที่มักจะใส่อยู่เป็นประจำนั่นเป็นประกายสะท้อนกับแสงไฟจากเสาไฟฟ้าหน้าหอพัก
“อ่ะ....เออ....จริง....โทษที” เคนเสมองไปอีกทาง นึกอายอยู่ไม่น้อยที่ตีความคำพูดของอีกฝ่ายไปคนละเรื่องเดียวกัน
“ นี่ขนาดยังไม่อินนะแม่งทำหน้าจริงจังจนกูขนลุกเลย....” เคนพึมพำ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง“เอ้าไปอ่านหนังสือสอบได้แล้วไป แล้วเจอกันพรุ่งนี้ พี่กลับล่ะ”
“ครับ...แล้วเจอกัน” จูนว่าก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าหอพักไป ปล่อยให้เคนยืนงงอยู่กับปฏิกิริยาเมื่อครู่ของตนเอง
“นี่ทำไมกูถึงคิดไปไกลขนาดนั้นวะ.....”
.............................................................
To be continued.....
-
-- 1 --
ไฟหลักในห้องดับลงแล้ว เหลือเพียงโคมไฟบนโต๊ะที่ยังส่องสว่าง จูนวางดินสอแล้วถอดแว่นอ่านหนังสือลงกับโต๊ะ สองนิ้วกดนวดคลายความเหนื่อยล้าของดวงตาก่อนเหลือบไปมองนาฬิกาเวลาก็ปาไปเกือบ ตี 2 เข้าไปแล้ว เด็กหนุ่มขยับกิ๊บติดผมที่ติดไม่ให้ผมลงมาปรกตาเวลาอ่านหนังสือให้แน่นขึ้นเล็กน้อย พลางกวาดสายตาไปทั่วหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ภาษาญี่ปุ่นที่คัดจนเต็มหน้ากระดาษ ความจริงก็ท่องจนขึ้นใจแล้วแค่อยากจะให้มั่นใจอีกรอบเท่านั้น ร่างเพรียวขยับบิดซ้ายขวาคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งอ่านหนังสือเป็นเวลานาน หันซ้ายมองไปเห็นบทหนังสั้นที่วางไว้อีกทางก็หยิบมาอ่านพร้อมคว้าแว่นตามาใส่
“ ความทรงจำของเราในฤดูร้อน”
[/b]
เรื่องราวความรักของหนุ่มสี่คน ที่มาพบเจอกันกลางฤดูร้อน ...ถึงมันออกจะแปลกที่ไหนๆทั้งกลุ่มก็มีแต่ผู้ชายแต่โชติกลับมีความคิดติสต์แตกสุดบรรเจิดว่ามันน่าจะน่าสนใจมากกว่า ถ้าจะให้ทั้งสองในสี่คนเล่นเป็นบทผู้หญิงในร่างผู้ชาย...ที่ดันท้องได้... กรรมใดที่เคยก่อมาในชาติปางก่อนเลยมาตกทีเขากับโชติที่จับฉลากได้บทแปลกๆนี้ด้วยกันทั้งคู่ ถึงเขาจะไม่ได้รังเกียจอะไรกับการจะต้องแสดง หรือถ้าโชติจะบอกให้เขาพูดจาด้วยภาษาแบบผู้หญิง หรือใส่ชุดผู้หญิงแค่ไหนก็รู้สึกเฉยๆ เพราะเขาก็ชอบวงดนตรีที่แต่งตัวแต่งหน้าอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เลยเห็นเป็นเรื่องปรกติ ...แต่ที่ลำบากใจก็คงจะมีแต่ตัวบทเองที่เขารู้สึกว่าเป็นปัญหา
เนื้อเรื่องหลักของหนังสั้นจะเป็นเรื่องราวความรักครั้งแรกของสาวน้อย(ในร่างเด็กหนุ่ม) ที่ไม่เคยมีความรักอย่าง โชติ ที่ได้พบรักกับ ยุทธ์ เด็กหนุ่มหน้าตาดีระหว่างวันหยุดฤดูร้อน ส่วน จูน รับบทเป็น ....จูน.... เพื่อนคนสนิทของโชติ
จูนมีแฟนหนุ่มที่รักๆเลิกๆกันหลายต่อหลายครั้ง คือ เคน ล่าสุดจูนก็เลิกกับเคนอีกรอบ โชติที่เห็นว่าเพื่อนเศร้าใจมากเลยชวนจูนไปเที่ยวทะเล ทั้งสองไปเที่ยวทะเลกัน แต่เกิดอุบัติเหตุโชติจมน้ำ เคราะห์ดีที่ได้ ยุทธ์ เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไปเที่ยวแถวนั้นเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน โชติที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนเลยได้เริ่มเรื่องราวความรักของตนเองในฤดูร้อนนี้เอง
ส่วนเนื้อเรื่องของจูนนั้น เมื่อจูนกลับมาและตั้งใจว่าจะเลิกกับเคนให้เด็ดขาดไปเสียทีเพราะเคนมีพฤติกรรมนอกใจอยู่เรื่อยๆ จูนปฏิเสธที่จะพบหรือติดต่อกับเคนอีก จนวันหนึ่งรู้ตัวว่าตัวเองตั้งครรภ์ (ได้อย่างไรก็ยังไม่อาจทราบได้) จูนรู้สึกกังวลเรื่องลูกที่อยู่ในท้องและต้องเผชิญกับความรู้สึกที่สับสนของตัวเอง ว่าควรจะยกโทษให้เคนเพื่ออนาคตของตนเองกับลูกไหม หรือจะปล่อยให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ต่อไป
“ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย....แต่ก็รักนะ....”
เสียงนุ่มอ่านบทเบาๆ พลางยกมือขึ้นเกาหัวแกรก วางบทแล้วถอดแว่นโยนไปบนโต๊ะอ่านหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองเพดานเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง พลางแกว่งขาไปมาพอให้เก้าอี้แกว่งซ้ายทีขวาที
“จะไปเข้าใจได้ยังไง....คิดอะไรถึงพูดออกไปแบบนั้น....เจอนอกใจไปกี่ครั้ง เจอทิ้งไปกี่รอบ แถมทำท้องอีก...ทำไมถึงยังบอกรักได้นะ..... ผู้หญิง(?) นี่ก็แปลก” จูนคิดไม่ตกในฐานะที่เป็นนักแสดง...
จูนชอบการแสดง ถึงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดีมากขนาดจะเป็นนักแสดงมืออาชีพออกทีวีมีผลงานอะไรได้...เขาแอบนึกอยากให้พ่อแม่ตัวเองหน้าตาดีกว่านี้อีกสักนิด เขาได้จมูกโด่งกับปากที่เข้ารูปมาจากพ่อก็จริงจะติดก็ตรงตาเล็กตามสไตล์คนที่มีเชื้อจีน นึกอยากจะตาโตดูดีบ้างต้องอาศัยคอนแทคเลนส์กับแอบเขียนอายไลน์เนอร์บางๆตามสมัยนิยมเข้าช่วยแต่การแสดงก็เป็นสิ่งที่เขาสนใจ และด้วยเหตุนี้ เขาก็อยากจะทำสิ่งที่เขาชอบและสนใจให้ดี อยากจะแสดงออกไปให้ดีและก็อยากจะทำให้โชติกับยุทธ์ที่อุตส่าห์รับเขาเข้ากลุ่มมารู้สึกภูมิใจกับการแสดงของเขาด้วย แต่เรื่องที่น่ากลุ้มใจในคราวนี้ คือเขาไม่สามารถเข้าใจบทได้ว่า คนท้องน่าจะมีความรู้สึกแบบไหนและเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจประโยคกร่นด่าของ”จูน”ได้เช่นกัน
ถึงเนื้อเรื่องที่อยู่ๆผู้ชายจะท้องจะไส้ขึ้นมานั้นก็พอจะเคยเห็นในหนังฮอลลีวู้ดมาบ้าง เขาก็พอจะไปหามาดูและพยายามทำความเข้าใจได้ แต่ในส่วนของความรู้สึกที่จะเรียกว่าเกลียดก็ไม่ใช่ จะรักหรือก็ยังลังเล ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกที่มีอยู่ดี แต่ก็ทำอย่างอื่นไม่ได้เพราะรักไปแล้วจนหมดใจ...ความรู้สึกแบบที่ตัวละครที่ชื่อ จูน มีนั้น ความรักแบบนั้น... ไม่เคยเกิดขึ้นกับหัวใจของจูนเลยสักครั้ง
“ก็คนมันไม่เคยมีความรักนี่หว่า.... จะให้ไปแสดงว่ารักคนอื่นได้ยังไงกันวะ”
จูนหลับตาลง นึกถึงพระเอกของตัวเอง เคน รุ่นพี่ที่หน้าตาดีเข้าขั้นจัดได้ว่าหล่อเหลาจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังนึกอดชื่นชมใบหน้าได้รูปนั้นไม่ได้ บางครั้งเผลอมองนานเกินก็ถึงเข้าขั้นเขินเสียด้วยซ้ำ ยิ่งโดยปรกติเขาเป็นคนที่ชอบคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เพราะอย่างยุทธ์เองก็เป็นอีกคนที่เขาแอบชื่นชม ความชื่นชมที่บางครั้งก็เป็นเพราะอิจฉาเล็กๆ แต่กระนั้นหน้าตาดีอย่างเดียวของเคนก็ไม่ได้ทำให้จูนนึกอินไปกับบทของ”จูน”ได้เลยยิ่งประกอบกับพฤติกรรมผีเข้าผีออก บ้าๆบอๆด้วยแล้วยิ่งหนักใจเข้าไปใหญ่
“แต่ก็บอกไปแล้ว...ว่าพรุ่งนี้จะทำให้ดีขึ้น....เอาวะ รักอย่างอื่นไม่ได้ก็รักหน้าพี่เขาไปก่อนก็แล้วกัน “
...........................................................
ที่โรงอาหารคณะของจูนในช่วงเที่ยงมักจะคราคร่ำไปด้วยนักศึกษาที่ลงมาทานอาหารกลางวัน บ้างก็เป็นนักศึกษาในคณะเองบ้างก็มาจากต่างคณะ ยิ่งเป็นคณะที่รับผิดชอบกับการเรียนภารสอนภาษาอังกฤษให้กับทุกๆคณะที่จำเป็นจะต้องลงเรียนเป็นวิชาบังคับด้วยแล้วคนยิ่งมากันเยอะจนจำแทบไม่ได้ว่าใครเป็นใครมาจากไหน จูนกำลังยืนต่อคิวซื้ออาหารเที่ยงที่หน้าร้านประจำ ร่างสูงโปร่งนั่นดูจะสะโหลสะเหลอยู่ไม่น้อยเพราะกว่าจะข่มตาให้นอนได้ก็ปากเข้าไปดึกดื่น ตื่นก็สายจนเกือบจะมาสอบแทบไม่ทัน ไม่มีเวลาได้แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนอย่างทุกที จูนถอดแว่นที่ใส่อยู่ออกมาเช็ดเอาฝุ่นออกเบาๆ ระหว่างรอคิว
“นี่ถ้าไม่เห็นหัวจะจำไม่ได้นะเนี่ย...” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมมือใหญ่ที่วางลงบนเส้นผมสีบลอนด์
ของเด็กหนุ่มพลางโยกไปมา
“อ้าว......”จูนหรี่ตาลงเล็กน้อยเพ่งมองใบหน้าของคนที่เพิ่งเดินมาเล่นหัวของเขา “อ้าว พี่เคน มาทำไร?” ว่าพลางก็ยกแว่นขึ้นมาใส่เหมือนเดิมแล้วปัดมือของอีกฝ่ายออก
“เรียนอิงค์ตอนบ่าย... “ว่าพลางก็ยกหนังสือภาษาอังกฤษพื้นฐานโชว์ให้อีกฝ่ายดู “เลยแวะมาหาข้าวกินก่อน เลี้ยงหน่อยดิ่”
“โห...บอกให้เลี้ยงล่ะไม่ถามคนเขาหน่อยหรอครับว่ามีตังค์ไหม” จูนอดไม่ได้ที่จะประชดพลางขยับเข้าใกล้หัวแถวไปอีกหน่อย
“แกรวยกว่าพี่อยู่แล้วน่า....” เคนขยับเข้าไปต่อแถวสายตาสอดส่องอาหารหลากหลายชนิดที่วางอยู่ในถาด “ไก่ทอด กับแกงเขียวหวานก็น่าอร่อยนะ ฝากซื้อหน่อย เดี๋ยวพี่ไปจองโต๊ะให้” ไม่พูดเปล่าหยิบแบงค์ห้าสิบยัดใส่มือจูนแล้วเดินไปอีกทางไม่ได้รอฟังเสียงทักท้วงจากจูนเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว เฮ้ย พี่เคน ถามเขาบ้างไหมว่าจะกินด้วยหรือเปล่าเนี่ย “หนุ่มผมสองสีหันหลังไปจะมองหา ร่างสูงของรุ่นพี่คนนั้นก็ก้าวฉับๆไปไกลเสียแล้ว สุดท้ายก็ต้องเป็นคนซื้อทั้งข้าวทั้งน้ำยกไปให้จนได้
“มาแล้วครับคุณพี่สุดประเสริฐ แกงเขียวหวานกับไก่ทอด บวกน้ำอีกสิบสองบาท เงินทอนไม่ต้องเอานะ ถือเป็นค่าแรงน้อง” จูนพูดเองเออเองเสร็จสรรพ มือค่อยวางถาดที่มีข้าวราดแกงเขียวหวานกับไก่ทอดของเคน กับ เกาเหลาเนื้อกับข้าวสวยของตัวเองลงกับโต๊ะ
“เฮ้ย อะไร เงินทอนด้วยดิ่”
“งก เศษไม่กี่บาทก็ไม่ให้วุ้ย”
“ทุกบาททุกสตางค์มีค่าใช้สอยอย่างประหยัด” เคนว่าพลางยิ้ม แล้วยกขวดโค้กที่อีกฝ่ายรู้ใจซื้อขวดใหญ่มาสองขวดกับแก้วน้ำแข็งออกจากถาดพลางรินให้
“โห ทีไปกินเหล้ากันนะ เมาอ้วกแตก ไม่เห็นจะเสียดายของ”
“คนมันเมานี่หว่า....ว่าแต่วันนี้เป็นไร ผมเซ็ตซะเนี้ยบแต่ตาไม่เขียนเนี่ย ตูบมาเชียว” ด้วยเห็นว่าแปลกไปจากทุกวันที่ดูจะแต่งองค์ทรงเครื่องเสียครบครัน เคนจึงเอ่ยปากถามไม่พูดเปล่ายกมือไปเล่นหัวอีกตามเคย อาจจะเป็นเพราะผมสีทองสะดุดตาที่อีกฝ่ายมักจะเซ็ทมาอย่างดีนั่นก็เป็นได้ที่เห็นแล้วหมั่นไส้อยากขยี้ให้มันยุ่งพันกันให้รู้แล้วรู้รอด
“โอ้ย เล่นหัวอีกแล้ว....”จูนปัดมือของอีกฝ่ายออก รีบใช้นิ้วจัดให้ผมเข้ารูปเข้าทรง “ก็นอนดึกนี่ กว่าจะกลับ กว่าจะได้อ่านหนังสือ แล้วก็....อ่านบทอีก”
“อ่านบท? ........อะโห....จริงจังนะเนี่ยๆ “ เคนทำเสียงล้อเลียน
“...................” จูนเหลือบมองหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย “ก็ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงนี่นา ผมเข้าชมรมมาเพราะเห็นพวกพี่โชติพี่ยุทธ์เขาได้ทำเรื่องสนุก ไหนๆก็ได้เข้ามาอยู่ชมรมด้วยกันแล้ว ก็อยากจะช่วยพี่ๆเขาด้วย พี่เคนเองก็ต้องจำบทให้ได้ล่ะ เพราะถ้าทำได้ไม่ดีก็ต้องซ้อมอีกหลายๆรอบ....พี่โชติกับพี่ยุทธ์จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับพวกเราด้วย” จูนตอบไม่สบตาของอีกฝ่าย ยกถ้วยข้าวขึ้นพุ้ยข้าวเข้าปาก
“สนใจแต่เจ้าสองคนนั้นนะ” เคนอดไม่ได้ที่จะแซว “แต่...ก็ดีแล้วล่ะ...ก็งานนี้มันงานของพวกเราก็ต้องช่วยๆกันอยู่แล้ว..รอบนี้ส่งหนังสั้นเข้าประกวดคงได้ฮือฮากันแน่....ผู้ชายบ้าอะไรท้องได้ ไอ้โชติมันก็ช่างคิด”
“อื้ม พี่โชติเก่งเนอะ คิดพล็อต เขียนบท ทำสตอรี่บอร์ด เรื่องกำกับก็เก่ง ที่ห้องพี่โชติมีหนังดีๆเพียบอีกต่างหาก ผมว่าเดี๋ยวคราวหน้าจะไปยืม...”
“นี่สรุปว่าแกปลื้มไอ้โชติตรงมันเก่ง หรือเพราะมันมีหนังให้แกยืมวะ” นั่งด้วยกันมาไม่กี่นาทีได้ยินแต่จูนพูดถึงชื่อของโชติอย่างชื่นชมอยู่หลายรอบเลยอดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“ทั้งสองอย่าง” จูนตอบมือก็พุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ “พี่ยุทธ์ก็เท่มาก หัวครีเอทสุดๆ งานต่อฉากฝีมือก็ทำได้ ปีที่แล้วเห็นงานละครของคณะของพวกพี่โชติกับพี่ยุทธ์ไหมอ่ะ ฉากบนเวทีงี้อย่างเนี้ยบ...ไหนจะเรื่องซาวน์เอฟเฟคอีก คอมพิวเตอร์อีก...สุดยอดเหอะ หล่อก็หล่อ เก่ง แถมเกรียนอีกตะหากโคตรครบสูตรอ่ะ” ดวงตาคมมองหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้า ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นจูนที่พูดถึงคนที่ตัวเองปลื้มออกมาได้ด้วยดวงตาเป็นประกายขนาดนี้มาก่อน แต่ก็น่าแปลกที่ในคราวนี้คนตรงหน้าดูจริงจังและ...น่าเอ็นดูอยู่ในที คิดแบบนั้นก็นึกสงสัยความคิดของตัวเอง เคนกระแอมไอออกมาเบาๆ
“อะแฮ่ม...ปลื้มคนหล่อ ชอบเจ้ายุทธ์นักไม่ขอไอ้โชติมันสลับบทไปคู่กับเจ้ายุทธ์มันเลยว้า....”เคนอดจะแขวะไม่ได้
“โอย ให้ผมไปเล่นเหรอ งานหนักพี่ยุทธ์ดิ่ ต้องมีบทอุ้มขึ้นจากน้ำอะไรด้วย พี่ยุทธ์หลังหักตาย” คำพูดนั้นทำเอาเคนแทบถลึงตาใส่ เพราะเขาเองก็มีบทต้องอุ้มเจ้าหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เหมือนกัน
“แล้วฉันไม่หลังหักเรอะ อย่างกับตัวเล็กนะแกน่ะ”
“หรือพี่จะให้ผมอุ้มพี่อ่ะ...” จูนถามกลับทันควัน เคนกรอกตาเล็กน้อยพยายามนึกภาพตามหากว่าเขาจะต้องถูกเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งคนนี้อุ้มแบบเจ้าสาวบ้าง....มันคงดูพิลึกพิลั่นอยู่ใช่น้อย
“โน โน โน......ฉันอุ้มแกล่ะโอเคละ แต่ช่วยลดข้าวบ้างก็ดีนะเผื่อจะเบาแรงขึ้นอีกหน่อย หนักมากก็กลัวหลุดมือว่ะ”
“พี่จะปล่อยให้ผมตกจริงๆเหรอ...” จูนทำเสียงคล้ายจะอ้อนมือเรียวยื่นมาจับมือของเคนเอาไว้ “เราออกจะเป็นแฟนที่รักมากกันไม่ใช่เหรอครับ” ไม่พูดเปล่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้เห็นดวงตาสีน้ำเงินหลังกรอบแว่นสีดำนั่นเป็นประกาย ทำเอาอีกฝ่ายต้องหลบสายตา
“เล่นอะไรอยู่ๆมาทำเสียงซะเลี่ยน แกตกก็ดีสิ หลังฉันจะได้ไม่หักไง...จะโยนทิ้งเลยล่ะ“ เคนชักมือกลับ น่าแปลกที่รอบนี้เป็นเขาเองที่รู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำกับท่าทีของเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ที่อยู่ตรงหน้า
“เล่นตามบทต่างหาก....กลัวจะหาว่าไม่อิน” จูนพูดริมฝีปากหยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆนี่คงนึกสะใจอยู่ไม่น้อยที่เอาคืนเขาได้เสียที
“ไอ้ตัวแสบนี่ เย็นนี้เจอกันเลย ดูซิว่าใครมันจะอินกว่ากัน” ไม่พูดเปล่ามือใหญ่ขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างมันมือ
“โอ้ย พี่เคนเมื่อไรจะหยุดเล่นหัวผมซักทีเนี่ย”
“ชิชะ อดนอนลืมเขียนตา แต่ผมเซ็ทมาเป๊ะ...น่าขยี้ให้เละจะตาย”เคนหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะตักข้าวราดแกงเข้าปากไปคำใหญ่
“คนแบบพี่นี่มัน....” จูนปัดมือของอีกฝ่าย “น่า.....”
“น่ารัก น่าคบ น่าไปซะทุกอย่าง......คนมันหล่อพี่เข้าใจ” รุ่นพี่ร่างใหญ่ว่าพลางยักคิ้วให้อย่างยียวน รอยยิ้มที่ทำให้จูนต้องเสมองไปอีกทาง
...ให้ตาย...หน้าตาดีสวนทางกับนิสัยโคตร.....
“พี่รีบๆยัดเข้าไปเหอะข้าวแกงเขียวหวานไก่ทอดนะ มีเรียนไม่ใช่รึไง เลิกเรียนแล้วค่อยเจอกันก็แล้วกัน...”
.................................
“โทษทีฮะมาสายไปหน่อย มัวแต่ซ้อมพูดจะสอบกับเพื่อ........น..............” จูนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้มองซ้ายมองขวา เงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับภาพที่ต้องทำให้กลืนคำพูดทุกอย่างหายลงคอไป
“พี่โชติ...พี่ยุทธ์ พวกพี่ทำอะไรกันน่ะ.......” จูนเอ่ยถามเหมือนจะไม่เชื่อสายตามือเรียววางกระเป๋าไว้ที่ข้างประตูห้องอย่างหมดแรงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
“อื้ม....อื้อ......อ้อ...จูน.....พวกพี่แข่งกินแตงโมกันอยู่ กินป่ะ” ยุทธ์กระเดือกแตงโมสีแดงสดลงคอไปคำใหญ่ ท่าทางที่กินนั้นเลอะเทอะใช่ย่อย มือที่เลอะน้ำแตงโมกวักเรียกรุ่นน้องหยอยๆให้เข้าไปร่วมวงไพบูลย์กันอีกคน
“อ่า.......” เด็กหนุ่มเหลือบไปมองโชติที่กำลังพยายามกินแตงโมซีกที่อยู่ในมือให้ได้ในการกดปากลงไปรอบเดียวแบบที่ยุทธ์เพิ่งจะทำไปเมื่อครู่แต่ก็ดูท่าจะไม่ไหว เพราะที่ยุทธ์เพิ่งจะกินแตงโมลงไปนั่นมันเหมือนกับเอาหน้าไปไถกับแตงโมเสียมากกว่าจะกินมันเข้าไป
“อ่า...ไม่ล่ะ ผมขอผ่าน.....ว่าแต่.....ทำไมต้องแข่งกิน?” จูนว่าพลางเดินไปหยิบม้วนทิชชู่มายื่นให้ทั้งสองคนอย่างกล้าๆกลัวๆ ยิ่งเมื่อมองความเลอะของพื้นแล้วก็ยิ่งต้องส่ายหน้านี่คงจะไปซื้อแตงโมที่ไหนมาลงมือชำแหละแตงโมกันสดๆเป็นแน่ แม้จะเอาทั้งถุงดำและกระดาษหนังสือพิมพ์รองแล้วแต่มันก็ยังเละอยู่ดี
“โชว์ใหม่ แข่งกินแตงโม ว่าจะเอาไปโชว์ด้วย เอ้อ มีงานใหม่เข้ามาเดี๋ยวจะไปเล่นละครสั้นๆโชว์ที่เวทีตลาดเปิดท้ายอาทิตย์นี้ แกกับเจ้าเคนก็ไปด้วยนะ มีบทๆ “ โชติว่าแต่จูนไม่ค่อยอยากจะเชื่อซักเท่าไร ถึงโชติจะเป็นคนจริงจังแต่บางวันก็ช่างอำเก่งอย่างหาตัวจับได้ยาก...ไอ้เรื่องว่ามีบทน่ะพอทำเนา แต่เรื่องกินแตงโมนี่สงสัยคงเพราะยุทธ์ยุให้เล่นพิเรนทร์อะไรกันอีกเป็นแน่
“ก็พวกชมรมดนตรีมันมาขอ..อื้ม...ขอให้ไปเล่นโชว์หน่อย เอ่อ...มันอยากได้แบบอารมณ์ฮาๆหลุดๆ ....แค่ก...อ่อก” ยุทธ์พยายามเสริมทั้งที่ยังมีแตงโมเต็มปาก
“หา อาทิตย์นี้? เร็วไปป่ะพี่ ผมยังไม่รู้เลยต้องทำอะไร” เด็กหนุ่มโวยแล้วยื่นกระดาษทิชชู่ให้ยุทธ์ไปอีกแผ่นเพราะเห็นท่าว่าใกล้จะสำลักแตงโมเต็มที
“เอาน่า บอกว่ามีบท....” โชติตอบอย่างขอไปทีก่อนจะลงมือกินแตงโมในมือให้หมด
“โอ้วววววววว เคนมาแล้วจ้าที่รักทั้งหลายยย.......!!”
เสียงดังลั่นมาพร้อมกับร่างใหญ่ที่แทบจะถลาเข้ามาในห้องนั้นแทบจะชนกับจูนที่ยืนอยู่
“เหวอ....โอ้ยย....” จูนร้องเสียงหลง เด็กหนุ่มหลบทันแต่ก็ตั้งหลักไม่อยู่
โครม!!
“โอ๊ะ ไม่เจ็บแฮะ.....” จูนลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าไม่เจ็บอย่างทิ่คิด
“เมิงไม่เจ็บอ่ะ กูเจ็บ!! ไอ้จูนหนักเว้ย...ลุก!!....” ร่างเล็กกว่าของยุทธ์ที่รับจูนเอาไว้ได้พอดีทั้งดิ้นทั้งถีบรุ่นน้อง
“เหวอ... ขอโทษพี่ยุทธ์ พี่ยุทธ์เป็นไรมากป่ะ หน้าเป็นแผลป่ะ ไม่หมดหล่อใช่ไหมอ่ะ” จูนตะลีตะลานลุกออกให้พ้นตัวรุ่นพี่สุดหล่อของตัวเอง สองมือประคองหน้าของยุทธ์มาดูใกล้ๆ หวังว่าเขาคงไม่ได้ทำให้ยุทธ์เป็นแผล
“นี่แกห่วงพี่แกไม่หล่ออย่างเดียวใช่ปะ กระดูกกระเดี้ยวนี่ไม่คิดจะดู?” ถึงจะแขวะไปแบบนั้นแต่ก็ยื่นแขนให้อีกฝ่ายดูทำท่าเหมือนเจ็บมาก “หักไหมเนี่ย แกดูทีสิ”
“ขอโทษครับๆ โอ้ย แดงเลย มาผมเป่าให้ๆ” ว่าพลางทำท่าจะเป่าจริงๆ
“ฮ่ะๆ...ล้อเล่นน่า ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ฉันกระดูกแข็งจะตาย ...” ยุทธ์ดันหน้าของจูนออกไป “โวยวายไปได้”
“น้องมันห่วงแกหรอกยุทธ์....ร๊ากกก แกอย่างกับอะไรดี” เสียงเคนแขวะ ร่างสูงปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดที่มักเอาไว้ใส่ตอนวอร์มร่างกายก่อนเล่นกีฬา
“ไม่เหมือนบางคนหรอก ถลาเข้าเป็นรถบรรทุกเบรคแตก ตาม้าตาเรือไม่ดูเล้ยยย น้องกับเพื่อนจะเจ็บตัวก็ไม่สน” จูนสวนกลับบ้าง เคนได้แต่รำพึงรำพันออกมา...ไม่เบาเท่าไร
“...........เอ้อ กูรถเบรกแตกลยเบรกไม่ได้ แถมไม่ใช่คนโปรด ทำอะไรก็ผิดโม๊ดดด......” เคนว่าพลางขยำเสื้อนักศึกษาของตัวเองโยนไปอีกทาง “เอ้า จะเก็บของซ้อมได้ยัง แล้วโชติเมื่อกี้แกว่าอะไรมีบทๆนะ”
“อื้อ...วันนี้มีสองเรื่องนะ เรื่องแรก คือว่าจะเพิ่มบทในหนังสั้นอ่ะ แล้วก็อีกเรื่องคือ เปิดท้ายอาทิตย์นี้ชมรมดนตรีมาขอให้พวกเราไปเล่นเปิดม่านให้ กับคั่นเวลาอ่ะ เลยว่าจะเอาเรื่องสั้นๆ ไปเล่น มีบทให้พวกแกสองคนด้วย” โชติว่าพลางหันมองหน้าจูนกับเคน
“แล้วเกี่ยวอะไรกับแตงโม?” เคนกอดอกมองสภาพห้องที่เละตุ้มเปะ เพราะทั้งโชติและยุทธ์ละเลงแตงโมกันจนมันมือ
“ก็แค่อยากกินอ่ะ แต่กินเฉยๆมันไม่หนุกเลยแข่งกันกินกะไอ้โชติมัน”ยุทธ์ว่าพลางหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะแบบที่ไม่ยี่หระกับความเละเทะที่ตัวเองทำเอาไว้เลย
“พวกแกนี่ล่ะนะ สรุปวันนี้จะซ้อมป่ะ อุตส่าห์รีบมา...”ว่าพลางยกแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วมองจูนที่ยังไม่ห่างจากยุทธ์ คอยเช็ดรอยเปื้อนจากน้ำแตงโมออกจากหน้าออกจากแขนให้ยุทธ์อยู่แบบนั้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“แตงโมแก้ร้อนก่อนไหมล่ะ...” โชติว่าพลางยื่นแตงโมให้
“....ไม่อ่ะ....” เคนมองแตงโมในมือโชติสลับกับแตงโมในมือของจูนที่โดนยุทธ์บังคับให้ป้อนให้กินก็ส่ายหน้า “ไม่มีอารมณ์กิน ... แล้วไอ้บทที่ว่าจะเพิ่มอ่ะ บทอะไร”
“เลิฟซีน”
.................................. to be continued
-
ติดตามด้วยคนค่ะ
-
แฮ่ มันจะสปาร์คกันก็เพราะเลิฟซีนเนี่ย
-
-2-
“หา!”ทั้งๆที่เหมือนเมื่อครู่จะไม่ได้สนใจแต่กลับเป็นเสียงของจูนที่ร้องลั่นออกมาคนแรก ตรงกันข้ามกับเคนที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“อาฮะ...ถ้าไม่มีบทพูดเพิ่มมากก็โอเค แล้ว...ให้ทำไง”
“จูบ....จะเพิ่มบทให้แกจูบไอ้จูนมันสักสองสามที กับฉากนอนซบๆกันบนเตียงอ่ะ แบบ....อะฮ่า..เคนจ๋า...คุณยอดเยี่ยมที่สุดเลยนะ....”
“อึ๋ยยยยย ไม่เอาอ่ะพี่โชติ ไม่เอาอ่ะ...พี่โชติกะแกล้งผมอีกเหรอ” จูนโวยวายผละจากยุทธ์มานั่งคุกเข่าข้างๆโชติแทบไม่ทัน สองมือจับขารุ่นพี่เขย่าไปมา
“เฮ้ย แกไม่ได้เปลี่ยนคนเดียวนะเว้ย พวกฉันก็มีเหมือนกันเนอะยุทธ์” โชติว่าพลางยิ้มกว้าง “กะอีแค่เลิฟซีนนิดหน่อยเองจูน ไม่มีอะไรหรอก” ถึงโชติจะบอกแบบนั้นแต่เจ้าตัวกลับยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่
“ไม่เอาอ่ะ ตอนนี้ในบทก็มีต้องกอดกับพี่เคนแล้วอ่ะ...แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วนะพี่โชติ” ไม่พูดเปล่าชี้นิ้วไปที่เคนที่กำลังยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“อะไรวะ กอดกับฉันมันไม่ดีตรงไหนวะจูน ... ออกจะกล้ามใหญ่ใจดีมีเวลาให้ขนาดนี้ มามะมาซบอกพี่มานี่” เคนผายมือทั้งสองข้างออกก่อนจะตบลงบนอกกว้างของตัวเองเบาๆ ยิ่งเห็นจูนโวยวายแล้วยิ่งอยากจะแหย่
“ ก็....ไม่ดีตรงที่......” จูนหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะนึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อตอนกลางวัน ถ้าเขาโอดครวญอะไรตอนนี้อีกก็จะกลายเป็นตัวถ่วงของกลุ่มไปจริงๆ เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาหันกลับไปมองหน้าของโชติและยุทธ์
“ไม่มีอะไรครับ.....เอาเป็นว่าถ้าพี่โชติกับพี่ยุทธ์ว่ามันจะดีก็เอาตามนั้นเลยละกัน ....ซ้อมกันดีกว่า...มาครับพี่ยุทธ์ผมช่วยเก็บ” ว่าแล้วก็เสนอตัวช่วยยุทธ์เก็บกวาด ทำเอาโชติต้องหันมามองหน้าเคนด้วยความประหลาดใจ
“อะไรของมัน? เมื่อกี้ยังโวยวายอยู่เลย” เคนเหลือบมองตามจูนเล็กน้อย เขายังจำสิ่งที่จูนพูดเมื่อกลางวันได้
“มันก็คงแค่ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพวกแกล่ะมั้ง”
“หืม? หมายความว่าไง.... “
“ไมมีอะไรหรอก” เคนตัดบท ริมฝีปากหยักยิ้มน้อยๆ “บทเตรียมไว้แล้วใช่ป่ะ เดี๋ยวขอดูหน่อยนะ จะได้รีบจำให้ได้...จำไม่ได้ไอ้ยุทธ์ก็มาว่ากูอีก”
“เออๆ... เดี๋ยวนะ” โชติว่าพลางหันไปหยิบบทเวอร์ชั่นใหม่ที่เพิ่งปรินท์และเอาไปถ่ายเอกสารมาสดๆร้อนๆ เคนรับบทมาเปิดดูในส่วนที่โชติมาร์กเอาไว้ให้ ที่เพิ่มเข้ามาก็คือบทจูบในตอนสุดท้ายและบทเลิฟซีนนอนซบกันเล็กๆที่ยิ่งถ้าจูนเห็นบทบรรยายแล้วคงยิ่งจะโวยวายกว่าเดิมเป็นแน่
...ไฟห้องนอนดับลงมีเพียงแสงสลัวจากไฟหัวเตียงสาดกระทบลงบนไหล่ของจูนที่กำลังอิง
แอบเอาไออุ่นจากร่างของเคน มือเรียวลูบเบาๆบนแผ่นอกแกร่งของอีกฝ่าย...
“เมื่อกี้รู้สึกดีที่สุดเลย...”
[/i]
“ฮ่ะๆๆ.....” เคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่ออ่านบทบรรทัดนั้นเสร็จก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้ยินจูนพูดบทพูดนี้ออกมาในใจนึกไปว่าอีกฝ่ายจะแสดงออกมาแบบไหนกัน “เจ๋งมากโชติ ฮาสาดเลยว่ะ”
“ฮาตรงไหนวะ บทออกจะโรแมนติค....” คนเขียนบทงงกับท่าทางของอีกฝ่าย
“เอาเหอะ....เดี๋ยวก็รู้”
“แล้วแกนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลยรึไงวะ เห็นไอ้จูนมันโวยเอาโวยเอา นี่แกไม่มีประท้วงแบบนี้ก็พิกลว่ะ”
“โวยแล้วแกจะแก้บทไหม” เคนถาม
“ไม่” โชติตอบทันควัน
“ก็นั่นล่ะ กูเลยไม่โวยถึงกูจะไม่ได้ชอบกอดผู้ชายก็เหอะ แต่นี่มันน้อง ให้กูโวยมากๆเดี๋ยวมันจะหาว่ากูรังเกียจมันอีก..” เคนพูด เขาคิดอยู่เสมอว่าจูนเป็นเด็กหนุ่มที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ นิสัยบางอย่างของจูนคงชวนให้ใครต่อใครเข้าใจผิดไปไม่น้อยว่าจูน....อาจจะ...ชอบผู้ชายด้วยกัน แต่เขาไม่คิดว่าควรจะเอาเรื่องนั้นมาพูดหหรือตั้งแง่อะไร ยังไงเสีย จูนก็เป็นจูน เป็นคนแบบนั้น เป็นรุ่นน้องคนนึงที่เขาเอ็นดูอยู่ไม่น้อย เขาไม่อยากทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ต้องมาระแวงระวังอะไรกับคนที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันแบบนี้
“อีกอย่าง ขอแค่ไม่มีบทอะไรให้กูจำเพิ่มก็โอเคละ...เรื่องจำๆท่องๆนี่กูไม่ถนัดจริงๆว่ะ”
“แกก็เล่นแบบมุมกล้องก็ได้นะเว้ย ฉันกับไอ้ยุทธ์ก็กะจะทำแบบนั้น...” โชติกระซิบบอกเคนเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันไปมองจูน
หน้าเครียดกว่าทุกที ทั้งที่ปรกติออกจะเป็นคนอารมณ์ดีกับทุกเรื่องแท้ๆ
“หึๆ...เดี๋ยวไว้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน ...ซ้อมกันดีกว่า...แกก็ไปล้างมือล้างปากซะไป กินเลอะชิบหาย”
........................................................
การซ้อมเริ่มต้นขึ้นตามปรกติ...ทุกฉากผ่านไปด้วยดี จะมีต่างออกไปก็คงเป็นบรรยากาศของจูนที่มักจะนั่งมองการแสดงของโชติกับยุทธิ์ด้วยสายตาเป็นประกาย วันนี้กลับดูตึงเครียดอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะใกล้จะถึงคิวฉากเจ้าปัญหาที่ต้องแสดงกันไปหลายสิบเทคเมื่อวานนี้ก็เป็นได้
“เอ้า จูน ...ตาแกซ้อมแล้วนะ....จำไว้นะ อยู่กับบท อินกับมัน บทใหม่แกจะยอมยกโทษให้เคนเพราะหมอนี่ยอมทนยืนตากฝนขอโทษขอโพยแล้วก็สัญญาว่าจะดูแลแกกับลูกนะ....ต้องโดดเข้าไปหา ต้องรักมัน แล้วสองคนนะจะมีฉากจูบกันเพิ่มเข้ามาตอนท้าย....เหอะๆ...เตรียมใจไว้ด้วยนะ”ทั้งๆที่ไม่ต้อบอกก็รู้ว่าท่าทางกระสับกระส่ายของจูนนั้นคงเป็นเพราะกำลังตื่นเต้นมากแต่โชติก็ยังอดไม่ได้ที่จะแหย่น้องเล็กจอมตื่นเต้นประจำกลุ่ม
“คร้าบ คร้าบ....” เสียงจูนรับคำด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูสดใส ร่างสูงโปร่งที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่ชุดวอร์มลุกขึ้นกระโดดสลับขาอยู่กับที่เบาๆเหมือนจะวอร์มร่างกาย
“เอาล่ะ ฉากที่ 25 เทค 1” เสียงโชติให้สัญญานเมื่อเห็นเคนเองก็อยู่ในสมาธิเป็นที่เรียบร้อย
เคนอยู่ในบทบาทของตัวเองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของจูน ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ได้ยินเสียงสัญญานโทรศัพท์ก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตัวละครของเขาจะต้องกำลังรู้สึกตื่นเต้นและภาวนาให้ปลายสายกดรับโทรศัพท์ มือของเคนเริ่มสั่นเมื่อเขาจินตนาการไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมากระทบร่าง
“ จูน... “ ดวงตาคมสบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนที่เว้นไว้เพียงช่วงแขนนั้นดูเหมือนไกลกันมาก
“ทำไม...ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย....” จูนเองก็สบตากลับไป บางอย่างในแววตาเจ็บปวดตามบทบาท จูนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเอตั้งท้องหลังจากเลิกกับเคนได้ไม่นาน เขาควรจะยกโทษให้กับผู้ชายคนนี้ดีไหม ผู้ชายที่รีบกลับมาหาเขาทันทีที่รู้สึกผิด รีบกลับมาหาเขาทันทีเมื่อรู้ว่าในตอนนี้ได้มีอีกชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นในร่างกายของเขาแล้ว และทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะไม่ยกโทษให้ แต่ก็ยังกลับมาอ้อนวอน ขอร้อง ยอมยืนเปียกอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นชั่วโมง นั่นทำให้เกิดคำถามมากมาย
“ทำไม..ทำไมต้องทำขนาดนี้ ทำไมต้องกลับมาทำให้ฉันสับสนอีก”เด็กหนุ่มพูดไปตามบท น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นเครือ
เคนหลับตาลงฟังเสียงสั่นเครือของจูน ความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันซึมลึกลงไปข้างในวันนี้นักแสดงร่วมของเขาส่งอารมณ์ได้ดีทีเดียว ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก
“............เพราะรักไงล่ะ....จูน...เพราะฉันรักนาย....ขอร้องล่ะให้โอกาสฉันเถอะนะ ให้ฉันได้ดูแลนาย..กับลูกของเราเถอะนะ...”
“เฮ่ย...โชติ...”ในขณะที่สมาชิกอีกสองคนกำลังซ้อมบทจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ของฉาก ยุทธ์ที่นั่งดูอยู่ก็สะกิดโชติเบาๆ
“อะไรวะ คนกำลังดู....” โชติหันมามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เดี๋ยวมีฉากจูบใช่ป่ะ” ว่าพลางยกมือขึ้นมาแตะปากตัวเอง
“เออ...เป็นฉากที่ไอ้จูนมันวิ่งลงมา บอกรักเคนอ่ะ แล้วก็จะให้จูบกัน” โชติกระซิบกลับ
“แล้วแกว่า ไอ้เคนมันจะจูบจริงป่ะ ไอ้จูนมันโวยวายใหญ่เลย...แต่กูว่ามันเขิน...ผู้หญิงสวยแม่งก็เขิน ผู้ชายหล่อแม่งก็เขิน มันเขินหมดแบบนี้ มันจะแสดงได้ไงวะ ...” ยุทธ์ว่าเขารู้จักจูนดีว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบคนหน้าตาดีอยู่เป็นทุนเดิม แล้วตัวเองก็เป็นเด็กขี้อายอยู่แล้ว พอมาเจออะไรที่ชอบก็จะเขินจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ทุกทีไป
“กูก็บอกเคนไปแล้ว...ว่าใช้มุมกล้องได้ แต่เห็นมาหัวเราะ เหอๆ ก็ไม่รู้มันเหมือนกัน” โชติว่าพลางเอียงคอ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามนุษย์ที่ไม่เคยบรรจุคำว่า “เขินอาย” ลงไปในพจนานุกรมของตัวเองแบบ เคน นั้นจะทำอย่างไรกับคนที่เขินง่ายแบบจูน
“ 100 นึงว่าไอ้เคนจูบจริง” ยุทธ์ว่าพลางควักแบงค์ร้อยออกมายื่นให้
“100 นึงว่าไอ้เคนมันมุมกล้องชัวร์” โชติก็ดึงแบงค์ร้อยมาชูให้อีกฝ่ายดูแต่ก็ยังระวังไม่ให้ทั้งเคนและจูนเห็น ทั้งโชติและยุทธ์ต่างสบตากันเมื่อรู้ว่าความเห็นไม่เหมือนกัน ดูท่าคราวนี้ไม่ใครก็ใครคงจะได้ฤกษ์เสียพนันเป็นแน่ กลับไปทางด้านทั้งสองคนที่กำลังซ้อมบท จูนทำท่าคล้ายกระหืดกระหอบเหมือนเพิ่งวิ่งมาไกล ดวงตากลมสีน้ำเงินสบตาของเคนนิ่ง ก่อนจะโผเข้าใส่ สองมือตบตีลงบนไหล่กว้างจนร่างสูงของเคนจนอีกฝ่ายเซ
“ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย!!” จูนพูดออกไปตามบท แต่ครั้งนี้อารมณ์ส่งผ่านมาได้เป็นอย่างดี ก่อนสองมือจะเปลี่ยนเป็นโอบร่างของเคนเข้าหา โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แนบอก ก่อนจะพูดบทของตัวเองออกไป
“แต่ก็รักนะ....” น่าแปลกเหลือเกินที่ในวันนี้จูนส่งอารมณ์ได้ดีจนเคนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองจะพองโตจากคำพูดนั้น เขาคิดว่าตัวละครของเขาคงรับรู้ความรู้สึกนั้นได้เป็นแน่ สองมือแกร่งเลื่อนไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ จมูกโด่งเผลอซุกเบาๆลงบนเส้นผมสีบลอนด์ทองของอีกฝ่ายสูดกลิ่นหอมอ่อนๆเข้าไปจนเต็มปอดอย่างลืมตัว
สองไหล่ของจูนกระตุกเกร็งเมื่อมือของเคนยึดไหล่ของเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกเล็กน้อยจูนเหลือบมองสายตาของเคน ดวงตาคมนั้นเป็นประกายเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างจากตัวเคนที่เคยเห็นเหมือนเช่นทุกที
.........ชิบหายละ พี่เคน อินไปป่ะ.......
และยิ่งต้องเกร็งมากขึ้นเมื่อสองมือแกร่งเลื่อนมาจับใบหน้าของเขาเอาไว้มั่นก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้ จูนมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะหลบตาเสียด้วยซ้ำตัวก็เกร็งจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน ตอนนี้คำว่า “การแสดง” มันเด้งกระดอนออกนอกหัวออกไปจนหมดแล้ว
.....เอาจริงดิ่!?......
“ร้อยนึงเสร็จกูแน่ไอ้โชติ....”ยุทธ์สะกิดให้โชติดูเคนที่ดูจะอินกับบทจนน่าเหลือเชื่อในขณะที่จูนเกร็งจนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
“สาด อย่าเพิ่งแช่ง เดี๋ยวคอยดูก่อนดิ่...” โชติกระทุ้งศอกเข้าสีข้างของอีกฝ่าย ดวงตาจ้องมองการแสดงของเพื่อนกับรุ่นน้องของตัวเองด้วยใจระทึก ตอนที่เขาเขียนบทมาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องมานั่งลุ้นกันตัวเกร็งขนาดนี้
“...................โอ้ยไม่ไหวแล้ว!!!!” จูนหลบสัมผัสของเคนได้ทันควัน เด็กหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่ง สองมือมือยกขึ้นจับด้านข้างลำคอของตัวเอง ปฏิกิริยาของจูนทำให้ทั้งโชติและยุทธ์ที่นั่งลุ้นอยู่ได้หายใจหายคอทั่วท้องกันเสียที
“อ้าว เฮ้ย จูนเป็นอะไรของแกอีกวะ ...” เคนเองก็ร้องออกมาด้วยความตกใจเหมือนกัน เสียงของจูนทำเอาเขาตื่นจากบทบาทของตัวเองแทบจะในทันที ว่าพลางก็ก้มลงไปเขย่าไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ถึงเคนจะมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเพราะจูนหลบหน้าไปอีกด้านแต่ใบหูที่แดงก่ำนั่นบอกให้รู้ได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายคงต้องกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ “นี่....แก...เขินพี่เหรอ”
“เปล๊า ใครว่าผมเขิน!”จูนร้องเสียงสูง โบกมือส่ายหน้าพัลวัน “ผมจะไปเขินพี่ทำไม พี่มีอะไรให้ผมเขินกัน โด่... ผมเปล๊า... ไปเลยๆไม่ต้องสนใจผมหรอกเดี๋ยวผมลุกเอง” ว่าพลางก็โบกมือไล่ให้อีกฝ่ายเดินไปให้พ้นๆ
“อ้อ...เหรอ” เคนเดินอ้อมไปนั่งลงตรงหน้าของอีกฝ่าย เท้าคางมองอย่างนึกสนุก “ไม่เขินๆ....” ว่าพลางชี้นิ้วที่แก้มของตัวเองเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหันไปสำรวจหน้าของตัวเองในกระจกบ้าง “แต่หน้าแดงโวยวาย แถมเข่าอ่อนยืนไม่ไหวเนี่ยนะ ไอ้โกหกไม่เนียนเอ้ย....” ถึงจูนจะปฏิเสธแต่เคนดูเหมือนจะไม่เชื่อเช่นนั้นปฏิกิริยาโอเวอร์แอคติ้งซะขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนที่โดนด่าว่าแสดงได้ห่วยแตกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“คัททททททท.....” เสียงโชติตะโกนตัดบท นึกดีใจว่าวันนี้ตัวเองไม่ต้องเสียร้อยนึงไปกับการพนันบ้าๆของตนเองกับยุทธ์
“โอเค ดีมากจูน วันนี้เล่นได้ดี...เคน...วันนี้บทเป๊ะมาก เล่นดีอีกต่างหาก เยี่ยมเลย”
“ดีจนน่ากลัว ไม่เอาแล้วพี่โชติ...พี่เคนเป็นอะไรปรกติลืมบทตลอด วันนี้แม่นเกินไปป่ะ...เมื่อกี้พี่เคนหน้าโคตรหื่นอ่ะขนยังลุกไม่หายเลย” จูนระล่ำระลักพูดออกมายกสองมือถูกแขนตัวเองไปมา ใบหน้าของเคนที่ดูจริงจังเมื่อครู่ทำเอาเขาลืมบทเลยทีเดียว
“ช่วยไม่ได้พี่ถนัดวิชาปฏิบัตินี่หว่า ไอ้ตัวแสบโวยวายมากๆ เดี๋ยวพ่อจับจูบจริงขึ้นมาจะหนาวกว่านี้” เคนทำเป็นชี้นิ้วขู่
“พี่ยุทธ์.....พี่เคนขู่ผมด้วยอ่า....”ได้ทีจูนรีบเดินไปอ้อนหวังว่าจะให้ยุทธ์ช่วย แต่คราวนี้ผลกลับตรงกันข้าม
“เออ เคนแล้วไมไม่จูบๆไปเลยวะ เอาให้ละลายไปเลย ฮ่ะๆ” หนุ่มร่างเล็กพูดทำเอาจูนถลึงตามองจนตาแทบหลุด
“อ้าวเฮ้ย พี่ยุทธ์ไหงพูดงั้นอ่ะ” ยุทธ์ไม่ตอบเขาหันไปมองหน้าโชติอย่างเซ็งๆ
....อด ร้อยนึง เพราะแกดันหลบนั่นล่ะวะไอ้จูน.....
“โอ้ย กูไม่จูบจริงหรอก จูน ถามจริงเหอะก่อนมาไปกินอะไรมาวะ....แหนมเนือง?” เคนทำหน้ายุ่งพลางเกาหัวอันที่จริงเขาไม่อยากจะทำแบบนี้เลยแท้ๆ
“เฮ้ย พี่เคนรู้ได้ไง” อีกฝ่ายก็ทำหน้าตกใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร
“ไปเชิญคุณเจน ญาณทิพย์มามั้ง....ไอ้บ้า!... แม่งเลี้ยงกระเทียมไว้ในท้องหรือไงวะ หายใจออกมาเป็นกระเทียมเลย คราวหน้าคราวหลังหัดแปรงฟันบ้วนปาก กำจัดสายพันธ์กระเทียมในปากก่อนด้วยนะ ไอ้ปากเหม็น” ไม่พูดเปล่าเดินเข้าไปจับสองแก้มของรุ่นน้องตบซ้ายทีขวาทีเบาๆด้วยนึกหมั่นไส้
“โอ้ยๆ ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าวันนี้จะมีฉากนี้อ่ะ “ จูนเบี่ยงตัวหลบจากการกลั่นแกล้งของเคน รุ่นพี่คนนี้ชอบเล่นแรงๆกับเขาเสมอ บางครั้งก็อยากบอกให้หยุด แต่บอกไปกี่รอบก็เหมือนจะไม่เคยเข้าโสตประสารทเลยสักครั้ง
“เอ้าๆ พอก่อน ขอเม้นต์ก่อน ...จูน สรุปว่า แกจะเล่นได้ไหมฉากจูบเนี่ย เพราะนอกจากจูบยังต้องมีซบอกเจ้าเคนด้วยนะ พี่จะให้ถอดเสื้อด้วยนะ เข้าใกล้แค่นี้ยังเขินจะเป็นจะตาย เจอของจริงกล้ามแน่นๆซิกซ์แพ็คเด็กพละลงน้ำมันมวยมาด้วยนี่แกจะเล่นได้ไหม” โชติกลับเข้าโหมดจริงจัง และทั้ง ยุทธ์และเคนก็หยุดรอคำตอบจากปากของรุ่นน้อง
“โอย พี่ มันก็ใช่จะทำใจกันง่ายๆนะ....ผมเขินนี่ ....เพราะพี่เคนนั่นล่ะ ทำหน้าหื่นอ่ะ” ไม่วายยังโทษว่าเหตุเป็นเพราะใบหน้าคมของเคนอยู่ดี
“อ้าว กูผิดอีกละ ไอ้เด็กนี่....” เคนส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ
“.....งั้นก็ต้องซ้อมจนกว่าจะไม่เขิน เริ่มจากงานอาทิตย์นี้เป็นต้นไป..เอาให้มีบทจูบแม่งทุกรอบเลย” ยุทธ์สรุปเองเสร็จสรรพ
“หา? ....”จูนอุทาน
“อืม เอาตามนั้น” ตรงกันข้ามกับเคนที่ดูจะเข้าใจอะไรดีไปเสียทุกอย่าง
“งั้นก็เอาตามนั้น จูน อาทิตย์นี้แกต้องแสดงด้วย บทเล่นคู่กับเคนเหมือนเดิม จะให้อยู่ใกล้ๆกันจนกว่าจะหายเขินไปข้างนึง” โชติเองก็เห็นดีเห็นงามตามไปอีกคน
“เดี๋ยวๆๆ...ที่พูดมานี่มีใครถามผมสักคำไหม แล้วพี่เคน นี่ไม่คิดจะประท้วงอะไรเลยเหรอ” จูนว่าพลางหันไปมองหน้าของนักแสดงร่วมของตนเอง รู้สึกได้ชัดเจนว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้าแดงไม่แน่ว่าเป็นเพราะความเขินอายหรือว่าความหงุดหงิดกันแน่
“พี่ยังไงก็ได้....แค่จูบ พี่ไม่ถือหรอก” เคนตอบกลับหน้าตาเฉย
“แต่ผมถือนี่นา!” เด็กหนุ่มแทบแยกเขี้ยวใส่ กับท่าทีแบบนั้น ดูท่าว่าสำนึกเรื่องความเป็นส่วนตัวของเคนนั้นจะต่ำกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก และนั่นมันก็กวนประสาทเขาอยู่ไม่น้อยจูนอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายทำไมจะต้องสมัครใจที่จะทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าที่สาธารณะขนาดนี้ด้วย
“สรุปว่าต้นเหตุอยู่ที่เคนมันหล่อไปซิ่นะ...ไหนเคนทำหน้าอุบาทว์ๆสิ..”โชติว่า เคนก็รับคำด้วยการทำหน้าบูดเบี้ยวแลบลิ้นปลิ้นตา... ยุทธ์เดินเข้าไปกระชากหัวของเคนมาพิจารณาซ้ายขวาหน้าบูดเบี้ยวของเคน ยุทธ์ส่ายหัวก่อนผลักหน้าของอีกฝ่ายไปจนได้ยินเสียงดังกร็อบ
“โอ้ยสาด เจ็บนะเว้ย” เคนร้องประท้วงแต่เหมือนยุทธ์จะไม่ได้ฟังเอาเสียเลย
“แม่ง...ก็ยังอุตส่าห์มีมุมดูดี” ว่าพลางก็ถอนหายใจ “เรื่องนี้พอเข้าใจ คนมันหน้าตาดีทำยังไงก็หน้าตาดี ฉันก็เคยพยายามทำให้ตัวเองหน้าตาไม่ดีแล้วมันก็ทำได้แค่นี้ล่ะ” ทำท่าทางประหนึ่งชายหนุ่มที่อาภัพโชคชะตาในละครน้ำเน่าเคล้าน้ำตาช่วงหลังข่าว ก่อนที่จะเดินไปค้นอะไรมาจากในตู้ไม่ได้รู้เลยว่าสายตาเพื่อนทั้งสามคนนั้นมองมาด้วยความระอาใจขนาดไหน
....หน้าสวยๆอย่างเมิงก็พูดได้สิวะ....
“แต่ถ้าปัญหามันอยู่ที่หน้าเจ้าเคนนะ ก็ทำแบบนี้ซะก็สิ้นเรื่อง.....” เสียงยุทธ์เอ่ยขึ้นเมื่อเดินกลับมา ก่อนจะโปะแป้งเด็กเข้าไปเต็มหน้าของเคน แถมไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งหลักร่างเล็กล็อคคอเคนลงมาละเลงแป้งลงบนหน้าจนขาวไปหมด
“โว้ย ไอ้ยุทธ์เล่นบ้าอะไรวะ....” กว่าเคนจะดิ้นหลุดออกมาได้ ก็ไม่ทันเสียแล้วใบหน้าคมคายโดนปิดทับด้วยแป้งเสียจนมองไม่ออกว่าอันไหนคิ้วอันไหนตา
“แบบนี้เขินไหม จูน....” ยุทธ์ว่าพลางดึงแขนของจูนให้เข้าไปยืนใกล้ๆกับเคน ตาประสานตาในระยะที่เรียกว่าเกือบจะหน้าชนกัน
“......................................”เด็กหนุ่มมองหน้าขาวๆของร่างสูงนิ่ง ก่อนริมฝีปากจะค่อยคลี่เป็นรอยยิ้ม “อึก....อุวะฮ่าๆๆๆๆ “ ก่อนระเบิดหัวเราะออกมาแบบไม่ได้เกรงใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “หน้าขาวอย่างกับผีตกถังแป้งแบบนี้ ฮ่ะๆ....” จูนเหมือนจะอธิบายต่อไม่ได้ได้แต่ยืนหัวร่อจนตัวงออยู่แบบนั้น
“สรุปว่าไม่เขินแล้วสินะ ....ขอบใจนะไอ้เพื่อนเวร”เคนว่าพลางหันไปตบหัวของยุทธ์เสียดังป้าบ
“ไม่เป็นไร....กูก็อยากทำแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน” ยุทธ์ว่าพลางยิ้มมุมปากท่าทางยียวนเหมือนทุกที
“เอ้อ เคน...รู้จักแป้งงิ้วป่ะ...” โชติมองหน้าขาวโพลนของเคน ก่อนจะตบมือเหมือนจะคิดอะไรได้
“อืม...เคยได้ยิน ทำไม...จะให้ไปซื้อมาทาหน้า...กลบหน้าหล่อๆของกูใช่ปะ”
“เออ เอาแบบนั้นล่ะ ขาวแบบเดียวไม่เอานะเว้ย ลงสีด้วยนะ คงฮาดีว่ะ ไม่ซิ คงเข้ากับสันดานแกดี” คำพูดของโชติทำให้เคนต้องหันมามองหน้า
“ขอบใจ...หวังว่าคงจะเวิร์กนะ ...แล้วไอ้จูน แกช่วยเลิกหัวเราะได้ป่ะ นี่ลงทุนเพราะแกนะเว้ย” เคนถอยหายใจก่อนจะหันไปเห็นจูนยังคงหัวเราะปิดปากพยายามจะกลั้นหัวเราะเสียจนหน้าดำหน้าแดง แต่เมื่อเตือนก็แล้วจูนยังส่ายหน้าดูเหมือนว่าจะหยุดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ร่างสูงปรี่เข้าไปหาดึงมือของจูนออกแล้วยื่นหน้าเข้าไปเสียชิด
“หัวเราะมากๆ เดี๋ยวพ่อจูบจริงให้หัวเราะไม่ออกเลยนี่”
“................................” ได้ผล จูนเม้มปากสนิทเสียงหัวเราะเงียบลงทันที
“...หึ....” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ “แบบนี้สิเด็กดี....” ก่อนจะตบหัวอีกฝ่ายๆเบาๆ จูนได้แต่มองรุ่นพี่ร่างสูงตาเขียวปัด แต่ในขณะเดียวกันก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึง
“เอาล่ะ...พอๆ มาซ้อมกันต่อได้แล้ว” โชติหน้าน้อยๆกับการหยอกล้อของเคนกับจูน หลังๆมานี่มันเป็นแบบนี้มาเสมอจนโชติเองก็อดจะสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าเคนไปติดใจอะไรจูนนักหนาถึงได้แหย่เอาๆในช่วงนี้
................................. to be continued
-
ชอบเค้าปะเนี่ยพี่เคน แหน่ะๆๆๆๆ
-
ฮาหนูจูน5555
-
- 3 -
การซ้อมจบลงเมื่อเวลาล่วงเลยไปจนหัวค่ำ ทั้งสี่คนตั้งใจว่าจะไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเคย แต่เพราะอากาศที่ร้อนจัดทั้งๆที่ก็เป็นเดือนพฤศจิกายนเข้าไปแล้วทำให้เหงื่อออกจนแทบจะเป็นน้ำยังมีเศษแป้งเกาะผมเป็นก้อนอยู่บางส่วนเลยขอเดินไปล้างออกก่อน โชติเดินตามไปด้วย
“เคน....กูถามจริงนะ...สนุกไหม” โชติส่งเสียงไปถามขณะยืนเข้าห้องน้ำอยู่อีกทาง
“สนุกอะไรวะ...” เคนว่าพลางเงยหน้าขึ้นมามองกระจก เห็นผมพองๆของโชติแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ก็เห็นแกล้งไอ้จูนตลอดช่วงนี้....เลยถามว่าสนุกเหรอ?” โชติว่าพลางเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า
“อืม... “ เคนรับคำในลำคอเบาๆ “จะว่าสนุกก็สนุกน่ะนะ....” เคนว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองกระจก “ก็ดูหน้ามันดิ่ เดี๋ยวโกรธหน้าแดง ตกใจหน้าซีด เห็นมันเงียบๆเลยอยากให้มันโวยวายบ้างน่ะ...อีกอย่างก็จะต้องเล่นบทแบบนี้ด้วยกันด้วยก็เลยอยากจะทำความรู้จักให้คุ้นเคยกว่าเดิมน่ะ” พูดไปก็ยิ้มไปการได้เห็นปฏิกิริยาของจูนต่อทุกคำพูดและการกระทำของเขานั้นมันเป็นเรื่องบันเทิงจริงๆ ส่วนโชติได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“เหอๆ.....”
“หัวเราะแบบนั้นทำไม” เคนถามกลับด้วยความสงสัยก่อนจะหรี่ตามองหน้าของโชติอีกรอบและเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่โชติอาจจะกำลังคิด “เฮ้ย...เดี๋ยว เดี๋ยวๆ กูไม่ได้จะคิดกับไอ้จูนมันแบบนั้นนะเว้ย....มึงหยุดคิดเดี๋ยวนี้ไอ้โชติ...” เคนแทบคว้าไหล่ของโชติให้หันมามองหน้าเขาตรงๆแล้วบอกมาด้วยปากว่าจะเลิกความคิดอะไรก็ตามที่ดันผุดขึ้นมาในหัวพองๆนั่น
“อะไรวะ...ก็มันน่าคิดนี่หว่า ไม่ได้ชอบแต่ก็หยอกมันจัง...ทำเหมือนเด็กประถมไปได้”
“กูก็บอกอยู่นี่ไงว่าทำความคุ้นเคย เพื่อบท สาด....หัวนี่คิดไกลไปไหน” ในใจนึกอยากจะขยี้ผมฟูๆนั่นให้สาแก่ใจ
“งั้นถ้ามึงไม่คิด ก็ระวังไอ้จูนมันคิดนะเว้ย...มันยิ่งชอบคนหล่ออยู่ด้วย” แต่คำพูดของโชติเหมือนยิ่งทำให้เคนไม่พอใจเข้าไปใหญ่
“มึงเลิกคิดไปเลย ถึงไอ้จูนมันจะชอบกรี้ดผู้ชายหน้าตาดีก็เหอะ มันไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดหรอกเว้ย...อย่ามั่วไปแค่นี้ที่คณะมันก็โดนแกล้งโดนล้อจะตายอยู่แล้ว... ถ้ามันไม่ออกปากเองล่ะก็ห้ามคิดเว้ย” เคนว่าพลางยกนิ้วเป็นเชิงห้ามไม่ให้โชติพูดอะไรต่อ “พวกเราก็เห็นว่ามันเป็นน้องไม่ใช่หรือไง...ก็ดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน....ถึงส่วนใหญ่จะเป็นมันมาดูแลพวกเราก็เถอะ” เคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โห...พี่.....นอกจากหนังหน้าแล้วเพิ่งเคยได้เห็นว่าหัวใจพี่แม่งโคตรหล่อก็วันเนี้ยะ” โชติทำหน้าอึ้งเขาไม่คิดว่าเคนที่ปรกติแล้วดูเหมือนเป็นคนที่คิดอะไรลึกซึ้งไม่ค่อยเป็นกลับพูดอะไรเท่ๆแบบนี้ เคนยิ้มเขินๆไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะชมแต่ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดีกว่าเรา....ไอ้พวกนั้นหิ้วท้องรอละ”
...........................................................
ทั้งสี่แยกย้ายกันกลับที่พัก เคนขี่มอเตอร์ไซค์คันโตมาส่งจูนที่หอพักเหมือนทุกที จูนก้าวลงจากรถพลางถอดหมวกกันน็อคสีชมพูคิตตี้ให้กับเคนที่ขยับจอดรถให้เข้าที่เดินมายืนตรงหน้าของรุ่นน้อง
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” จูนยังคงพูดเพราะกับอีกฝ่าย ทั้งๆที่วันนี้เคนก็แกล้งจูนไปหลายต่อหลายรอบ
“ไม่เป็นไร...” เคนรับหมวกกันน็อคมา เขาทำท่าทีลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่อง “แกเองก็น่าจะไปหัดขับรถอะไรบ้างก็ดีนะ”
“ก็ว่าจะหัดอยู่เหมือนกันล่ะ แต่พ่อกับแม่เขาไม่อยากให้ผมขับรถ ตาผมมองตอนกลางคืนไม่ค่อยเห็นน่ะ” พูดพลางทำหน้ายุ่ง “แต่....อ๋อ....ไล่ให้ไปหัดขับรถนี่ พี่เคนจะได้มีเวลาไปรับสาวคิตตี้ใช่ไหมล่า...รู้หรอกนะ” จูนกระเซ้าเรื่องหมวกกันน็อคสีชมพูที่อีกฝ่ายมักติดรถเอาไว้เสมอ
“เออ จะไม่ได้ไปรับสาวคิตตี้ก็เพราะแกนี่ล่ะ....ป่านนี้คงงอนไปสามชาติแปดชาติแล้ว” มือแกร่งดันหน้าของจูนแทบหงาย
“โอ้ย...หนอยแน่!” จูนร้องแต่ก็คว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้
“ผมหึงนะ พูดแบบนี้ต่อหน้าแฟนได้ไง...” ไม่ใช่เคนคนเดียวหรอกที่นึกจะแหย่เมื่อไรก็แหย่ได้...ริมฝีปากได้รูปหยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“หา?แฟน? ” คราวนี้เป็นเคนที่งงเป็นไก่ตาแตก
“ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ...เคน” ไม่พูดเปล่าทำเสียงอ่อนเสียงหวาน เหมือนในบทพูดที่ซักซ้อมกันมาไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแท็กเลนซ์นั้นเป็นประกาย ยิ่งเมื่อมือเรียวบีบเบาๆลงบนมือแกร่งของเคน
“เอ่อ....เอ่อ.......” เคนอึกอัก บางอย่างในแววตาของอีกฝ่ายทำให้ใจของเขาสั่นไหวอย่างน่าประหลาด จะดึงมือออกหรือก็บังคับมือตัวเองไม่ได้ แต่จะหลบสายตาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ทันใดหัวที่มักบอกว่าคิดอะไรได้ช้าของเคนก็กลับทำงานดีกะทันหันเมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับโชติไว้เมื่อก่อนหน้านี้ออก
.....เฮ้ย..... หรือไอ้จูนมันคิดจริงจังวะ........
“..................ใช่ไหมครับ” จูนช้อนสายตามองตรงกันข้ามกับเคนที่เบิกตาโพลง
“เอ่อ.....จูน..พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายนะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ริมฝีปากของเด็กหนุ่มคลี่เป็นรอยยิ้ม ไหล่ทั้งสองข้างสั่นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฮ่ะๆ... ทีนี้ใครกันล่ะที่เขิน.....”
“ไอ้จูน....นี่แกแกล้งพี่เหรอ” เคนแทบแยกเขี้ยวใส่ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะงัดมุกเก่าตัวเองมาเล่นงานกันแบบนี้ แถมสีหน้าท่าทางการแสดงนั่นทำเอาหลงเชื่อไปชั่วขณะ...ไม่ใช่ว่าเพราะฝีมือดีขึ้นทันควัน แต่เพราะเรื่องที่โชติพูดเอาไว้มากกว่าที่ทำให้เขาหวั่นไหวกว่าปรกติ
“ทีนี้จะได้รู้ไงว่า เวลาผมเขินแล้วพี่หัวเราะอ่ะ มันน่าขายหน้าแค่ไหน.... หน้าแดงเลยนะเมื่อกี้” ไม่วายยังไปแหย่เคนซ้ำอีก
“.........................” เคนเหลือบมองท้องฟ้าเล็กน้อยเหมือนจะพยายามยับยั้งความคิดบางอย่างในหัวของตัวเองอันที่จริงเขาอยากจะขอโทษจูนที่วันนี้แกล้งอีกฝ่ายตอนซ้อมมากเกินไปหน่อยแต่จากคำพูดของจูนเมื่อครู่ยิ่งเหมือนมายั่วควายตัวใหญ่ๆด้วยผ้าสีแดง ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“โอเค งั้นถ้าเราเป็นแฟนกันนะ...จูน พี่ทำแบบนี้ก็ได้ใช่ไหม” เสียงทุ้มดังเพียงกระซิบเมื่อร่างสูงขยับเข้ามาประชิดรวดเร็วเสียจนจูนตั้งตัวไม่ติดเด็กหนุ่มยกสองมือหมายจะกันแต่ก็ไม่ทันเมื่อมือแกร่งของเคนรวบข้อมือทั้งสองข้างนั่นกดลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรู้แทบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน.....
"................................"
“อึ๋ยย....” จูนร้องพลางหลับตาแน่น พยายามจะเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทาง
แม้จะมืดสลัวแต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเขินหน้าดำหน้าแดงอยู่แน่ๆ ยิ่งเห็นแบบนั้นยิ่งนึกอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ดวงตาคมพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายริมฝีปากได้รูปใต้จมูกโด่งได้รูปนั่นมองใกล้ๆแบบนี้แล้วก็จัดว่าเป็นริมฝีปากที่สวยอยู่ไม่น้อย
“ที่นี้ใครล่ะที่เขิน.....” เคนกระเซ้าแหย่ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขินจนตัวเกร็งและขืนปล่อยไว้อีกหน่อยคงได้เป็นตะคริวกันพอดีจึงคลายมือที่กุมมือของอีกฝ่ายออกช้าๆ แต่ก่อนจะละออกห่างกลับตัดสินใจขยับเข้าไปเพียงเพื่อจะแตะริมฝีปากแผ่วผ่านลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายแทน
“เฮ้ย....” จูนขยับออกแทบจะในทันทีใบหน้าแดงก่ำใจเต้นไม่เป็นส่ำ “พี่เคน!!!...” มือหนึ่งก็ยกขึ้นปาดหน้าผากตัวเองยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วผ่านบนผิวเนื้อ ดวงตาสีน้ำเงินนั้นดูตกใจอยู่ไม่น้อย “อย่ามาแกล้งอะไรพิเรนทร์ๆแบบนี้ดิ่...”
“ใครเขาเรียกแกล้ง... นี่เขาเรียกว่า ทำความคุ้นเคยกับบทต่างหาก....” เคนลอยหน้า ก่อนจะหยิบหมวกกัน
น็อคของตัวเองขึ้นมาใส่ยกขาขึ้นคร่อมมอตอร์ไซค์คันใหญ่ของตัวเอง “แล้วเขาก็เรียกว่า สั่งสอนไอ้ตัวแสบที่ทำตัวต่อหน้าโชติกับยุทธ์ก็อย่างลับหลังก็อย่างอย่างแกต่างหากเล่า ”
“........ “จูนสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่แน่ใจว่าความร้อนที่รู้สึกบนใบหน้าตอนนี้นี่เพราะความยัวะ หรือความเขินของตัวเองกันแน่ “วันนี้พี่คงเมาน้ำแตงโม ...ผมว่าพี่รีบๆแว๊นซ์กลับหอไปเลยดีกว่า ....” จูนพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“โอ๊ะ เดี๋ยวนี้มีไล่ด้วยนะเมียจ๋า...”
“ใครเมียพี่!!?” จูนถลึงตาใส่
“แหม่...ก็เราทำกันเสียจนได้ลูกไม่ใช่เหรอ... ในบทน่ะ ในบท” เคนว่าพลางหัวเราะ เสียงหัวเราะดังอู้อี้อยู่ในหมวกกันน็อคอย่างน่าหมั่นไส้
“พี่เคน!!” จูนแทบจะกระโจนเข้าไปหาอีกฝ่าย
“มาเลย....คราวนี้พ่อจะจับจูบให้ปากบวมเลยคอยดู เรื่องจูบพี่ไม่ถือจริงๆนะ ปากแกก็สวยด้วย...คงรู้สึกดีใช่ย่อย...” เคนยกมือกระดิกนิ้วเรียก
“อ่ะ....อ่ะ....” จูนชะงักแทบจะในทันที “ไอ้พี่เคน บ้าไปแล้ว ....ฮึ่ย... ” จนปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงจูนชูนิ้วกลางใส่อีกฝ่าย
“จะไปไหนก็ไปเลยไป ควายแว๊นซ์” พูดแล้วก็เดินกลับเข้าประตูหอพักไปอย่างหัวเสีย เคนได้ยินเสียงบ่นฟังไม่ได้ศัพท์ดังเรื่อยไปจนประตูด้านหน้าของหอพักปิดลง
“ฝันดีน้า....” เคนส่งเสียงตามหลังอีกฝ่ายไปแล้วหัวเราะเมื่อนึกถึงสัมผัสแผ่วผ่านเมื่อครู่ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆสองสามที แล้วบิดมอเตอร์ไซค์คันโตของตัวเองออกไปทันที
.................................................. to be continued
-
จะฝันดีค่ะ
-
น่ารักจังแสดงกันจนอินแล้วจะได้รักกันจริงๆใช่ปะ
รออ่านต่อไปครับ
-
อุ๊ตาย.....แสดงดีไปแล้วนะอินเนอร์ล้วนๆ5555
-
@@@ TALK@@@
สวัสดีค่า p.k.a ค่า
วันนี้อัพช้าไปหน่อยขออภัยค่ะ พอดีเพิ่งนั่งรถกลับมาจากหัวหิน
ไม่ได้หนีเที่ยวนะคะ พอดีไปทำงานแล้วมันกลับมาถึงช้ากว่าที่คิด แฮ่ะๆ
...........................................................
-4-
หอพักกลางเก่ากลางใหม่มีเพียงเตียงนอนโต๊ะเขียนหนังสือ และตู้เสื้อผ้าอยู่อีกทางคือสถานที่ที่เคนมุ่งหน้ากลับมาถึง เขาวางหมวกกันน็อคทั้งสองใบกับกระเป๋าเป้ของตัวเองลงบนโต๊ะ ดึงเก้าอี้มาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง วันนี้นอกจากจะปวดหัวกับวิชาภาษาอังกฤษแล้วยังออกแรงไปเยอะกับการซ้อมการแสดงอีก เคนขยับคอไปมาเสียงดังกร็อบเหลือบมองสภาพรอบๆห้องของตัวเอง ขวดกระทิงแดงกลิ้งขลุกอยู่ทางหนึ่ง ถุงขนมเปล่าๆก็โยนทิ้งไม่ลงถังอยู่อีกทางหนึ่ง ไหนจะกระดาษทำรายงานที่เขียนได้แย่เกินกว่าจะนำส่งเมื่อวานก่อน เวทที่เอาไว้ยกออกกำลังกายก็นอนนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง
“อาบน้ำนอนดีกว่า...” เคนบิดขี้เกียจไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสภาพรกๆของห้องตัวเองสักเท่าไร ร่างสูงคว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ต้องรีบเดินกลับออกมาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดัง
“ฮัลโหล...” มือนึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม มือหนึ่งรับโทรศัพท์
“ไม่โทรหาเลยนะ.....” เสียงจากปลายสายนั้นหวานหู
“นิด...โทรมาดึกจังยังไม่นอนเหรอ” เคนเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย อันที่จริงพอได้ยินถึงนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้คุยกับ นิด แฟนสาวของตัวเองมาหลาย.....วัน
“ถ้านอนแล้วจะโทรมาหรือไงคะ นี่ พี่เคนหายไปเลยนะ อย่าบอกนะว่าหนีไปมีกิ๊กที่ไหน นิดไม่ยอมด้วยนะ” อีกฝ่ายทำเสียงขู่
“โอ้ยๆว่าไปนั่น ไม่กล้าหรอกครับ...แค่ช่วงนี้พี่ยุ่งๆเรื่องซ้อมบทกับพวกที่ชมรมน่ะ...” เคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหากแต่อ่อนโยนการได้ฟังเสียงของนิดสำหรับเขาแล้วเป็นเหมือนกับการชาร์จพลังงานให้กับตัวเขาเอง
“ นิดล้อเล่นน่ะ ว่าแต่เมื่อไรนิดจะได้ไปดูพี่เคนแสดงล่ะคะ ไม่เห็นเคยให้นิดไปดูเลยสักครั้ง”
“อ่า....ก็มันไม่ค่อยสนุกน่ะ พี่กลัวนิดจะเบื่อ” เคนโกหกไปคำโต เพราะรอบก่อนที่เขากับพวกโชติ ยุทธ์ และจูนได้แสดงในที่สาธารณะคือตอนที่เขาต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงใส่ชุดแดงพร้อมกับรองเท้าส้นสูงและชั้นในยัดทรงโตเสียจนน่ากลัวขืนให้นิดเห็นมีหวังว่ามาดนักกีฬาสุดเท่ที่อย่างน้อยก็พยายามคงไว้ให้อีกฝ่ายพอชื่นใจได้บ้างนั้นคงพังไม่เป็นท่าเป็นแน่ หากจะมีใครในโลกนี้ที่พอจะทำให้คนอย่างเคนเขินได้ก็คงจะมีไม่กี่คน คนหนึ่งก็คือนิด แฟนสาวของเขาเอง กับ....จูน...น่าแปลกที่อยู่ๆชื่อและใบหน้าของรุ่นน้องคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
“พี่พูดเหมือนไม่อยากให้นิดดูอย่างนั้นล่ะ...หรือที่ชมรมแอบซ่อนสาวไว้จริงๆ” อาจะเป็นเพราะเคนที่มักจะปฏิเสธไม่ให้นิดไปดูการแสดงของตัวเองหลายต่อหลายรอบก็เป็นได้ที่ทำให้วันนี้ในน้ำเสียงหวานๆนั่นระคนความระแวงระวังอยู่ด้วย
“โอ้ย ไม่มีจริงๆนะ... “เคนตอบพลันในห้วงความคิดก็มีหน้าของใครบางคนโผล่เข้ามาอีกรอบ หนุ่มแว่นที่เขาเพิ่งจะแหย่ไปด้วยวิธีการบ้าๆ
....ชมรมนี้ไม่มีผู้หญิงหรอก ก็มีแต่ตัวผู้บ้าๆสองตัว.....
....กับคนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ที่เพิ่งจะจุ๊บเหม่งมันไป.....อีกตัว...
“สาบานให้ฟ้าผ่าตายเลย....” เคนสาบานว่าเขาไม่มีผู้หญิงคนไหนมาติดพันจริงๆ
“ไม่ค่อยน่าเชื่อเลยน้า....” เสียงนิดกระเซ้าแหย่กลับมาทำให้เคนต้องถอนหายใจ
“โอเคๆ....เสาร์นี้ที่ตลาดเปิดท้ายขายของถ้านิดอยากไปดูก็ไปดูได้นะ...พาเพื่อนไปเดินดูของก่อนค่อยแวะมาดูพวกพี่ก็ได้ คงแสดงกันช่วงสองทุ่มน่ะ” อีกฝ่ายคงได้ยินเสียงเคนตกหน้าผากของตัวเองเสียงดังเผี้ยะในที่สุดเขาก็ต้องยอมให้อีกฝ่ายไปดูการแสดงของพวกเขาจนได้
“ เย...จะได้ดูพี่เคนเล่นละครแล้ว คบกันมาก็มีแต่คนบอกว่าพี่เคนไปเป็นพี่รับน้องเฟรชชี่ ตลกอย่างนั้นฮาแบบนี้ ไม่เคยเห็นเองกับตาสักที ได้ยินแต่เขาเล่ามา รอบนี้ให้ไปดูแล้วนะ”เสียงนิดตอบกลับมาตามสายท่าทางจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ถ้าดูแล้วเจออะไรแปลกๆก็อย่ามองพี่แปลกๆก็แล้วกัน” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่เคน.....” อยู่ๆนิดก็เรียกชื่อเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“หืม?...มีอะไรเหรอ”
“ถ้าพี่เคนแสดงเสร็จแล้ว เราไปหาอะไรกินกันหน่อยไหมคะ ไม่ได้กินข้าวกับเคนมาหลายวันแล้ว...จนเพื่อนนิดจะหาว่านิดโดนแฟนทิ้งแล้วนะ”
“ครับๆ แสดงเสร็จแล้วจะไปกินข้าวด้วยนะ” สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนของอีกฝ่ายจนได้
“จ้ะ งั้นวันเสาร์จะโทรหานะ...ไม่กวนพี่แล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้นิดมีเรียนเช้า”
“ฝันดีนะ” เคนบอกราตรีสวัสดิ์กับคนรัก
ไม่มีถ้อยคำกวนๆ มีเพียงแต่ถ้อยคำอ่อนหวานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่มีให้กับแฟนสาว นิด เป็นหญิงสาวร่างเล็กหน้าสวยคมแบบสาวไทยจากคณะวิทยาการจัดการ เขาบังเอิญได้คุยกับนิดในคืนหนึ่งที่ออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนในเอก บังเอิญว่าในคืนนั้นตอนกำลังจะกลับรถของนิดเสียเขาเลยอาสาเข้าไปช่วยดูเครื่องยนต์ให้จนใช้งานได้ โชคดีที่เพื่อนของเธอคนหนึ่งคงจะจำกลุ่มของเขาได้ว่ามาจากคณะอะไร สองสามวันถัดมาก็เห็นนิดมายืนรออยู่ที่ตึกคณะของเขา พร้อมกับขนมอีกหอบใหญ่บอกว่าอยากจะขอบใจที่ช่วยกลุ่มเธอกับเพื่อนไว้คืนก่อน...และวันนั้นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในความสัมพันธ์ของพวกเขา
“เฮ้อ .....” เคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สองมือขยี้ผมที่ยังคงเปียกชื้นของตัวเองแรงๆ นี่เขาหลุดปากพูดอะไรออกไป เขาเพิ่งจะบอกให้แฟนที่คบกันมาเกือบจะครึ่งปีไปดูเขาแสดงบท...ชายที่รักผู้ชายอีกคนบนเวทีอย่างนั้นหรือ...มันเป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่นั้นตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนัก ในเมื่อเขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าบนเวทีจะมีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์เลยว่าจะมีการนอกบท ถ้าไม่จากยุทธ์ ก็จากโชติ หรือบางทีจูนอาจจะเล่นชะงักอะไรขึ้นมาก็ได้...
“ที่สำคัญ กูจะลืมบทม้ายยยยย “
...........................................................
วันศุกร์มาเยือนอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งวันก่อนถึงวันแสดงที่งานเปิดท้ายขายของจูนเดินสะพายเป้หน้ามุ่ยมาถึงห้องชมรม
“หวาดดีครับ....” เด็กหนุ่มยานคางคล้ายจะหมดแรง เป็นเพราะจูบที่หน้าผากเมื่อคืนแท้ๆที่ทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำเสียจนไม่ไหลับไม่ได้นอน ยังดีที่รอบนี้ไม่ได้ตาบวมมากเท่าคราวก่อนยังทำให้พอมีกระจิตกระใจลงอายไลน์เนอร์บางๆตามสไตล์ของตัวเองเซ็ทผมเสียดิบดีไปเรียนได้ อันที่จริงแล้ววันนี้เลิกเรียนเสร็จก็ง่วงมาจนวันนี้ไม่มีอารมณ์จะซ้อม อันที่จริงหากจะให้พูดให้ถูกคือไม่มีอารมณ์อยากจะเจอหน้า นักแสดงร่วมของตัวเองสักเท่าไรนัก
“ทั้งๆที่คิดว่าจะชอบ...ให้ได้มากกว่านี้แท้ๆ...”
“ชอบใคร” อยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังทำเอาร่างสูงโปร่งนั้นสะดุ้งเฮือก
“โอ้ย พี่โชติอ่า ตกใจหมดเลย มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” จูนยกมือแทบอกหัวใจเขาแทบจะหลุดออกมานอกอก
“พี่จะมาจะไป ทำไมต้องบอกแกด้วยวะ ...ก็เห็นยืนขวางทาง ว่าแต่ ชอบใคร?...เจ้าเคนเรอะ” โชติได้ทีก็ลองแหย่ส่งๆ ไปอย่างนั้น
“เฮ้ย จะบ้าเรอะ.... พี่โชติพูดอะไร” จูนปฏิเสธทันควัน
“ก็เห็นได้ยินแว่วๆ ว่าชอบให้มากกว่านี้....เลยคิดว่าใช่เคนหรือเปล่า เห็นแกก็ชอบหน้ามันอยู่” โชติยิ้มจนเห็นฟันขาว
“ทำไมพาเข้าเรื่องพี่เคนอีกละ ....”จูนหัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องชมรม วางกระเป๋าก่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย “แต่ก็.....ไม่เชิงว่าจะไม่เกี่ยวอ่ะนะ”
“หมายความว่าไง.....” โชติขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เห็นว่าวันนี้ทั้งยุทธ์และโชติจะมาช้ากว่าปรกติเพราะไปหาซื้ออุปกรณ์มาใช้ในการแสดงวันเสาร์นี้ด้วยกันเลยคิดว่า ถ้านั่งคุยตอนนี้อาจจะเหมาะที่สุด
“เมื่อวาน....อยู่ๆ พี่เคนเขาก็พูดอะไรแปลกๆ บอกว่า ทำความคุ้นเคยกับบทแล้วก็...”จูนหยุดไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะพูดออกไปดีไหมมือเรียวยกขึ้นแตะหน้าผากของตัวเองเบาๆ “ผมว่าตั้งแต่จะทำหนังสั้นกันนี่ พี่เคนชอบแกล้งผมแปลกๆ...พี่โชติไปบอกอะไรพี่เคนเขาหรือเปล่าอ่ะ” จูนหันไปมองหน้าโชติ บางทีในฐานะผู้กำกับ คนเขียนบทหรืออะไรก็ตามโชติอาจไปแนะนำอะไรเคนก็เป็นได้
“อ้าว เฮ้ย มาโยนอะไรแบบนี้วะ จะให้พี่ไปบอกอะไรมันวะ....”
“....” จูนหรี่ตามองอย่างระแวงสงสัย
“ไม่ต้องมองเลยเมิง ทำไมถามงี้อ่ะ”
“ก็นึกว่าไปยุอะไรแบบที่พวก ผู้กำกับเขาทำกันน่ะ พี่เคนนะ ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็ดีแต่บ้าพลัง สมองเท่าถั่วคิดอะไรไม่ค่อยออก ใครบอกอะไรมาก็ทำเลย... “ จูนเบะปากพฤติกรรมแบบนี้ เขาจะ “แสดง” ออกไปว่าชอบ ว่ารักอีกฝ่ายได้ยังไงกัน
“ได้ยินนะเว้ย ว่าใครสมองเท่าถั่ว หะ ไอ้ตัวดี” เสียงทุ้มของเคนดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในห้องหอบของพะรุงพะรัง
“เมิงก็ได้ยินน้องมันพูดอยู่เต็มสองหู มันก็ด่าเมิงนั่นล่ะ สมองถั่ว” ยุทธ์เดินหัวเราะอย่างน่าหมั่นไส้ตามมา พร้อมกับถุงขนมหอบใหญ่ “ก็ว่ามันก็ถูกของมันนะ สมองถั่ว ตัวเท่าควาย”
“ไอ้ยุทธ์ เมิงอย่าเสี้ยม...นี่เรื่องผัวเมียเขาจะคุยกัน” เคนหันไปชี้หน้าของยุทธ์พลางหันมามองหน้าของจูนแล้วยักคิ้วให้
“พี่เคน! ...” จูนร้องหน้าแดงควันแทบออกหู เขาไม่อยากได้ยินคำว่า “ผัวเมีย” อะไรนั่นเลยมันทำให้รู้สึกจักกระจี้จนทำตัวไม่ถูกโดยเฉพาะจากปากของอีกฝ่ายยิ่งแล้วใหญ่ “เลิกใช้คำนี้ได้ไหมอ่ะ รับไม่ได้จริงๆว่ะครับ” ว่าพลางก็โบกมือพลางเบือนหน้าหนี
“เขินอะไรอีกล่ะ จะพูดให้ฟังทั้งวันเลยก็แล้วกัน จริงไหม เมียจ๋า เมียจ๋า เมีย.....”
ผั่วะ!!
ลูกฟุตบอลที่เคยใช้เป็นอุปกรณ์การแสดงที่มักจะกลิ้งขลุกอยู่แถวนั้นกระแทกเข้าเต็มเป้าของเคน ทำเอาความเกรียนกระเด็นกระดอนหายไปเหลือแต่เพียงความเจ็บตรงกล่องดวงใจกับฝ้าเพดานที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวกับสีเหลือง ร่างสูงทรุดลงหุบปากเงียบทันตาเห็น
“ไอ้....ไอ้...จูนน....แก.....จะฆ่ากันรึไงฟระ”
“โอ๊ะ ขอโทษครับ ขว้างไปส่งๆไม่ทันมอง....เจ็บไหมนั่น ” ถึงจะถามแต่น้ำเสียงไม่ได้มีความเป็นห่วงเป็นใยเลยแม้แต่น้อย จูนกลับยิ้มที่มุมปากอย่างสะใจ
“ถามมาได้ ....ไว้ลองโดนเองไหมเล่า ไม่ต้องเอาอะไรขว้างหรอกกูจะบีบให้แตกคามือเอง” ร่างสูงยันตัวลุกขึ้นจะกระโจนเข้าไปตระครุบร่างของจูนทันที ทำเอาโชติกระเด้งออกเพราะกลัวโดนลูกหลงแทบจะไม่ทัน
“เฮ้ย พี่เคนปล่อย...ไม่เล่น ...” จูนร้องลั่นเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายกระโจนเข้ามาใส่ แถมสองมือแกร่งคว้ามือของเขารวบไว้เสียงอีก เด็กหนุ่มพยายามดิ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะจับเป้าเขาบีบให้แตกคามืออย่างปากว่าจริงๆ
“ตายแน่ไอ้จูน” เคนทำเสียงเหี้ยมริมฝีปากหยักเป็นรอยยิ้มอย่างนึกสนุก
“ไม่...ปล่อยนะเว้ย!!” เมื่อเห็นแววตาแล้วดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ล้อเล่นแน่ จูนร้องลั่นสองขาทั้งดิ้นทั้งพยายามจะเตะแต่ก็ไม่เป็นผลอีกฝ่ายทั้งตัวใหญ่ทั้งแรงเยอะอย่างกับควาย แต่ดูเหมือนว่าเคนจะไม่ฟัง มือข้างที่ว่างเลื่อนลงไปหมายจะเกะหัวเข็มขัดของจูนออก ดูท่าไม่ได้เคนคิดจะ “บีบให้แตก”คามือ จากนอกกางเกงเป็นแน่แท้
“พี่ยุทธ์ พี่โชติช่วยด้วววววย....” ความกลัววิ่งเข้ามาจับใจ ร่างของจูนสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มร้องลั่น
“เฮ้ย เคนพอเหอะ....” โชติเข้าไปจะช่วยห้ามทั้งที่ตัวเองก็ยังขำเสียงร้องโหยหวนของจูนอยู่
“เคน พอได้แล้ว อย่าไปแกล้งมัน”
“หยุดไมอ่ะ กูจะเอาคืนไอ้ตัวแสบสักหน่อย” ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มพละว่าพลางสะบัดมือของโชติออก
“ไม่เอา!!! “ จูนร้องออกมาด้วยความหวาดหวั่น ยิ่งได้ยินแบบนั้นยิ่งต้องรีบดิ้นเมื่ออีกฝ่ายเลิกเสื้อเขาขึ้นมาจนเห็นหน้าท้องขาว
“ไอ้เคน พอแล้ว กูบอกให้พอไง” เห็นรุ่นน้องร้องด้วยความกลัวแบบนั้นยุทธ์เข้าต้องรีบมาช่วยเสริมอีกแรงพลางดึงแขนของเคนขึ้นพอให้คลายมือที่รวบมือของจูนออก และไวเท่าความคิดกำปั้นของจูนที่หลุดจากการเกาะกุมนั้นกระแทกเข้าปลายคางของเคนเข้าอย่างจัง แรงนั้นมากพอที่จะหยุดทุกการกระทำของเคนลงได้ในทันที
“บอกให้ปล่อยไงเล่า ไม่สนุกด้วยนะเว้ย !!” เด็กหนุ่มตวาดลั่น ช่วงขายาวยันตัวของเคนออกร่างสูงโปร่ง รีบผุดลุกขึ้นทันที เสื้อผ้ายับยู่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองกลับมาอย่างโกรธเกรี้ยว เด็กหนุ่มยืนสูดลมหายใจเข้าลึก รุ่นพี่ทั้งสามคนมองหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก จนเห็นร่างเพรียวขยับ จูนเดินกลับมาคว้ากระเป๋าเป้
“................ .. “ เขาหันกลับมามองหน้าของเคนด้วยแววตานิ่งไม่ได้บ่งบอกอารมณ์อะไรมากนัก ยกมือขยับแว่นของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาโชติ และ ยุทธ์ “พี่โชติ พี่ยุทธ์ ....ผมกลับนะครับ” ว่าพลางก็ยกมือไหว้ ก่อนจะหันหลังให้เดินออกจากห้องชมรมไปทันที...
“อ้าวเฮ้ย.....ไอ้จูน....ไอ้จูน...เดี๋ยวซิ่เว้ย” ยุทธ์ร้องเรียกแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียงแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งตามรุ่นน้องไปทันที แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นก็เห็น ร่างสูงของเคนขยับเหมือนกัน “มึงอยู่นิ่งๆเลย.....ตามไปตอนนี้ ไอ้จูนได้สอยนักมวยร่วงแน่” ยุทธ์หันกลับมาชี้บอกให้อีกฝ่ายหยุด
“อ่ะ...เอ้อ.....เออ....เอางั้นก็ได้” เคนดูรับคำทันควัน อันที่จริงเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เขายังมึนงงกับแรงกระแทกเมื่อครู่ไม่หาย น้ำหนักหมัดของจูนนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย....
“เฮ้ย โชติ.......” เคนเรียกชื่อเพื่อนอีกคนที่ดูเหมือนจะยังอึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ เขาก็แค่ต้องการจะแหย่....ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะ...
“อะไร....”
“แบบนี้นี่เขาเรียก...โกรธของขึ้นใช่ปะ”
“เออดิ่ ไอ้สมองถั่ว...เมื่อวานเพิ่งชมว่าใจมึงหล่ออยู่เลย...วันนี้แกล้งซะมันโกรธ” โชติเดินมายืนตรงหน้าของเคนพลางส่ายหัวกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย โชติมองหน้าของเคนอย่างเอือมระอา “ทำอะไรคิดบ้างดิ ไม่ใช่ทุกคนที่อยากถอดโชว์ หรือ ยอมให้คนจับได้แบบมึงนะเว้ย”
“...........................กูขอโทษ” เคนถึงกับคอตกรู้สึกเหมือนกำลังโดนโชติดุแต่ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้เนื่องจากการกระทำของเขานั้นมันก็ผิดจริงดังว่า
“ไอ้โง่....” โชติแทบต้องเขย่งเพื่อตบหัวของอีกฝ่าย
“โอ้ย เจ็บนะเว้ย...สาด”
“มึงจะมาขอโทษกูหาพระแสงเหรอ ไปขอโทษไอ้จูนโน่น...” โชติว่าพยักเพยิดไปทางประตู
“แต่ไอ้ยุทธ์มันไม่ให้.....” เคนยังไม่ทันจะพูดจบประตูห้องชมรมก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องผมสีบลอนด์ทองกับยุทธ์ที่ดึงแขนอีกฝ่ายให้เดินกลับเข้ามานานใน
“พี่โชติ ขอโทษครับที่ผมเดินออกไปแบบนั้น.....” จูนว่าพลางยกมือไหว้ขอโทษ “เรา...ซ้อมกันเถอะฮะ...” เด็กหนุ่มพูดออกมาเบาๆ ไม่ได้หันไปมองหน้าของเคนเลยแม้แต่น้อย “รีบซ้อมกันดีกว่า จะได้รีบกลับ...”
“เอ้อ...ซ้อมก็ซ้อม...”โชติเองก็รับคำอย่างงงๆ เขาไม่รู้ว่ายุทธ์ไปพูดอะไรอีกฝ่ายถึงยอมเดินกลับมา แต่ดูท่าวันนี้คงต้องรีบซ้อมรีบกลับอย่างจูนว่า ไม่งั้นคงได้มีเรื่องอะไรอีกแน่
..............................................to be continued
-
น้องจูนของขึ้น!!!! ไอ้พี่เคนนี่ก็สมองถั่วจริงจังความรู้สึกก็ช้า น่าจับโขกฝาพนัง
แต่น้องจูนคะ ความรับผิดชอบหนูยิ่งใหญ่ระดับโลกเลย..
??
แบบนี้น้องจูนจะรักพี่เคนได้แค่ไหนน้อออออ หรือตอนนี้ก็รักไปซะแล้ว
-
อินกับบทชัวร์ กว่าจะแสดงจริงคงรู้ใจตัวเองเนอะ
-
@@@Talk@@@
p.k.a ค่า
อัพวันเดียวสองตอน :katai4:
เก่งไหมล่ะคะ :katai2-1:
.......................................
- 5 -
ตลอดการซ้อมจูนแทบไม่พูดกับเคนเกินเลยกว่าที่เขียนไว้ในบทเลย และไม่ยอมให้เคนแตะตัวอีกด้วย เด็กหนุ่มผมสีทองจะขยับตัวออกห่างเสมอ
“เดี๋ยวถึงวันจริง ค่อยเล่นจริง” เป็นคำพูดที่ใช้เป็นข้ออ้าง เคนเองก็เหมือนจะหงุดหงิด อันที่จริงเขาก็รู้สึกผิด แต่จูนที่ทำตัวแบบนี้มันน่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า
....อะไรจะโกรธจริงขนาดนี้วะ....
ถึงอยากจะเอ่ยปากบอกคำว่า ขอโทษ เพราะการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆของตัวเอง แต่จูนก็ไม่เปิดจังหวะให้เขาได้เอ่ยปากพูดจนกระทั่งซ้อมเสร็จ ทุกคนเก็บของเรียบร้อย เตรียมตัวเดินทางกลับ เคนรีบเดินตรงเข้าไปหาจูนที่กำลังจะปิดห้องชมรมทันที
“เฮ้ย จูน กลับด้วยกันป่ะ” ว่าพลางก็ยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูหวานคิตตี้ให้กับอีกฝ่าย แต่จูนกลับหันมามองหน้าของเขาสลับกับหมวกกันน็อคสีหวานนิ่ง
“ไม่ล่ะครับ วันนี้ผมจะกลับพร้อมพี่ยุทธ์” เด็กหนุ่มตอบกลับ สีหน้าเรียบเฉยจนน่าหงุดหงิด
“บ้านไอ้ยุทธ์มันอยู่คนละทิศกับหอแกนะ....”
“ผมรู้แต่วันนี้ว่าจะไปนอนบ้านพี่ยุทธ์...พี่ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ ...ผม...กลับล่ะ” จูนพูดพลางเดินเบี่ยงตัวจะหลบในเมื่ออีกฝ่ายมายืนจังก้าขวางทางกันแบบนี้
“เฮ้ย จูน เดี๋ยวดิ่...”มือแกร่งคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แต่เด็กหนุ่มกลับสะบัดแขนออกทันที
“.................” ดวงตาที่ใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำเงินนั้นมองกลับมาด้วยความตกใจ เคนเห็นแบบนั้นทำให้ต้องรีบปล่อยมือออกก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นทันที
“ไม่ได้จะทำอะไรนะเว้ย....ก็แค่อยากคุยด้วย” จูนมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย
“....ผมต้องรีบไปแล้ว พี่ยุทธ์รออยู่” เด็กหนุ่มหลบสายตาก่อนจะเบี่ยงตัวเดินหลบไปอีกทาง ทิ้งให้เคนยืนมองตามหลัง ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมือเกาหัวแกรก...
....แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้....
.....................................................................
ทั้งที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็จะถึงวันที่จะต้องแสดงด้วยกัน แถมนักแสดงคู่กลับไม่ให้ความร่วมมือกับการต่อบทแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เคนหงุดหงิดได้มากเท่ากับการที่เขารู้สึกว่าต้องขอโทษทั้งที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้คุย ทั้งๆที่เขาก็รอจะคุยที่ชมรมเมื่อวานก็แล้ว จูนยังคงเกาะหนึบอยู่กับยุทธ์จนน่าหมั่นไส้
“เดี๋ยวผมจะไปเตะบอลกับพี่ยุทธ์”
เคนทำเสียงล้อเลียนพลางเบะปากเมื่อนึกถึงคำพูดของจูนเมื่อวาน คนที่เล่นกีฬาจริงๆจังๆในกลุ่มก็มีแค่เขากับยุทธ์ คนอย่างจูนอย่างมากก็ออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ ไม่เคยเห็นจะไปเตะบอลเป็นจริงเป็นจังกับใครเขาสักที บ่อยครั้งที่เห็นนั่งอ่านหนังสือฟังเพลงรอระหว่างที่พวกเขาเตะบอลอยู่ที่ข้างสนามเท่านั้น มือแกร่งขยับนิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นลงชั่งใจว่าควรจะกดโทรออกดีหรือไม่
“จะโทรไปรึ.....มันก็ไม่ใช่เรื่องจะพูดกันได้ง่ายๆ....” แต่สุดท้ายแล้วก็โยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง “ช่างแม่งวะ....จะให้ไปตามง้อตลอดก็ไม่ใช่...” เคนว่าพลางยืดแขนขาบิดขี้เกียจล้มตัวลงนอนไปทั้งๆแบบนั้น
................................................
และแล้ววันเสาร์ก็มาถึง เคนตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆ ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีหลายเรื่องให้เขาเผชิญ ไหนจะการแสดง ไหนจะนักแสดงร่วม ไหนจะเตรียมตัวก่อนแสดง....และแล้วก็นึกขึ้นมาได้ทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความเข้าปรากฏหลาอยู่ที่หน้าจอ
“วันนี้จะไปดูพี่เคนแสดงนะ”
เป็นข้อความจากนิดที่ถูกส่งเข้ามือถือ ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก....
“วันนี้จะมีอะไรได้ดั่งใจสักเรื่องไหมเนี่ย”
ตลาดเปิดท้ายขายของของที่มหาวิทยาลัย เป็นตลาดนัดเปิดท้ายขายของขนาดใหญ่ที่จะจัดทุกสิ้นเดือน มีของขายมากมายหลายประเภทจนเรียกได้ว่าตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แค่ใช้เวลาเดินไปจากหัวตลาดไปท้ายตลาดต่อให้ไม่ได้แวะดูของอะไรก็ยังต้องเดินเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องพูดถึงเลยหากจะแวะดูแวะลองแวะซื้อของอีกก็คงจะใช้เวลานานกว่านั้นอยู่ไม่น้อย และเพราะจำนวนนักศึกษา ทั้งประชาชนทั่วไปที่จะมาเดินจำจ่ายซื้อของกันตลาดเปิดท้ายขายของนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากสถานที่ชั้นเยี่ยมในการประชาสัมพันธ์สินค้า การแสดงต่างๆของแต่ละชมรม สาขา คณะ และของมหาวิทยาลัยเอง ในแต่ละเดือนจะมีการเปิดการแสดงบนเวทีแทบจะเรียกได้ว่าทุกรูปแบบ ทั้งการแสดงพื้นบ้าน วงดนตรีหลากหลายแนว ทั้งจากในและนอกมหาวิทยาลัยที่เรียกความสนใจให้ผู้คนเข้ามาชมได้อย่างต่อเนื่อง
บทบาทที่กลุ่มของโชติ ยุทธ์ จูน และเคนจะแสดงให้กับชมรมดนตรีนั้นเป็นการแสดงที่มีคนตามดูอยู่ไม่น้อย พวกเขามักจะมีบทละครสั้นๆที่ต่อเนื่องกับเนื้อหาและชื่อของเพลงมาแสดงให้ผู้ชมได้ดูกันคั่นเวลาในแต่ละเพลง จุดดึงดูดของกลุ่มก็คงเป็นนักแสดงทั้งสี่คนที่เป็นชายล้วนหน้าตาดีกับการแสดงแบบโอเวอร์แอคติ้งสุดกู่ ในเนื้อเรื่องเป็นแนวหวานใสโรแมนติดปนดราม่าเล็กน้อยตามสไตล์ของโชติ และอาจจะเป็นเพราะสมาชิกทุกคนเป็นชายล้วนนี่เองที่ทำให้ต้องอธิบายแนวทางการแสดงของพวกเขาอยู่เสมอ....
“เพราะในกลุ่มไม่มีผู้หญิง พวกเราเลยจำเป็นต้องแสดงเป็นผู้ชายที่รักกับผู้ชาย หรือ แต่งหญิงกันบ้างในบางครั้ง ไม่ได้มีเจตนาล้อเลียนคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด และพวกเราก็ยังยืนยันว่าเราไม่ได้มีรสนิยมรักษ์ไม้ป่าเดียวกันนะครับสาวๆ.....สนใจเบอร์ของยุทธ์ติดต่อได้ที่เบอร์.....”
แต่ก็เป็นทุกครั้งที่ยุทธ์ออกไปเตรียมจะแจกเบอร์ก็จะเจอโชติ หรือ จูนเข้าไปกระโดดแย่งไมค์ไปพูดต่อเสียทุกที....แต่ถึงกระนั้นแล้วก็มีคนเข้าใจผิดและต่อว่ากลุ่มของพวกเขาอยู่เรื่อยๆ ทำให้ก่อนขึ้นแสดงแต่ละครั้ง กลุ่มผู้ชายสี่คนจะนั่งเครียดกันอยู่ที่หลังเวที หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแสดงของพวกเขาจะทำให้คนดูหลายคนยิ้มได้บ้างไม่มากก็น้อย...
“จูน...เดี๋ยวฉันเซ็ทผมเองก็ได้ แกไปช่วยไอ้เคนมันลงแป้งไป เงอะงะงุ่นง่านอยู่โน่นเดี๋ยวก็ไม่ทันกินกันพอดี” ยุทธ์บุ้ยปากไปทางเคนที่กำลังนั่งค่อยๆบีบแป้งงิ้ววออกจากหลอด ถึงจะให้ทางร้านที่ชายช่วยสอนช่วยซ้อมทามาก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ยังเกร็งๆอยู่ดี จูนเบ้ปากเมื่อหันไปมองเห็นท่าทางเงอะงะของรุ่นพี่ร่างใหญ่ เขายังไม่มีอารมณ์อยากจะเสวนาอะไรกับบุคคลที่เพิ่งจะถูกเอ่ยถึงนัก
“แต่ผมอยากช่วยพี่ยุทธ์แต่งหน้านี่นา .... ผมเขียนอายไลน์เนอร์ให้พี่นะ ตาพี่สวยดี ....”จูนพูดออกไปตรงๆ เขาไม่เคยปกปิดกับความชื่นชอบ “คนหน้าตาดี” ของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกับยุทธ์คงเป็น “คนหน้าตาดี”ไม่กี่คนที่เขามองหน้า เข้าใกล้ และพูดคุยด้วยได้โดยที่ไม่เคอะเขินเท่าไร
“เออ...แกนี่ก็แปลก ทีอยู่กับฉันไม่เห็นเขินอายม้วนต้วนแบบตอนอยู่ใกล้เจ้าเคนวะ... เนี่ย... หน้าน่ะไม่ต้องใกล้มากก็ได้ จะจูบปากกันอยู่แล้ว” ไม่พูดเปล่ายุทธ์ใช้ปลายนิ้วจิ้มหน้าผากของจูนดันไปจนหน้าแทบหงาย แต่น่าแปลกที่จูนไม่ได้แสดงท่าทีโกรธไม่พอใจ เด็กหนุ่มยิ้ม
“ถ้ากับพี่ยุทธ์ผมไม่ถือก็ได้นะ....” เด็กหนุ่มว่าฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังอึ้งกับคำพูดของตัวเองขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆแล้วถอยออกมา “เห็นไหม” จูนถามพลางยิ้มเสียจนตาหยี ยุทธ์หัวเราะเบาๆในลำคอจะเบือนหน้าหนีก็ไม่ได้เพราะจูนเองก็ยังจับหน้าเขาเอาไว้นิ่งๆเนื่องจากกำลังเขียนอายไลน์เนอร์ให้อยู่
“เด็กเปรต เดี๋ยวนี้หัดฉวยโอกาสด้วยเรอะ....รอให้แต่งตัวเสร็จก่อนเหอะ พ่อจะเอาคืนให้เข็ดเลย”
“ก็หน้าพี่ยุทธ์มองใกล้ๆแบบนี้มันทั้งหล่อทั้งน่ารักนี่ครับ...ผมอิจฉาคนหน้าตาดีนี่ เกิดมาแบบนี้ไม่ได้ก็ต้องขอชิมขอหอมหน่อยจะเป็นไรไปเน้อ....พี่โชติว่าไหม” เด็กหนุ่มยิ้มเสียจนตาหยีพลางหันไปหาความเห็นจากโชติที่กำลังคุยเรื่องคิวอยู่กับสมาชิกจากชมรมดนตรีอยู่อีกทาง
“เอ้อ เอาเข้าไปไอ้พวกนี้....อย่ามาจับกดกันหลังเวทีนะเว้ย อยากทำอะไรก็ไปทำให้คนเขาดูโน่น อย่างน้อยคนเขาก็จะได้ดูด้วย” โชติพูดไปพลางหัวเราะไปพลางก่อนจะเตือนจูนอีกระลอก “จูน เลิกเล่นแล้วไปช่วยเจ้าเคนมันด้วย...เมื่อไรจะทาเสร็จก็ไม่รู้นั่น...” โชติย้ำเป็นรอบที่สอง เขารู้ว่าจูนคงยังไม่พอใจเคนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน แต่ในเมื่อจะต้องอยู่ชมรมด้วยกันต่อไปมันก็คงต้องอาศัยตัวช่วยหน่อยในการให้....พอจะพูดจากันได้ดียิ่งขึ้น
“คร้าบ....” ถึงไม่ค่อยอยากจะเข้าไปใกล้บุคคลที่เพิ่งถูกเอ่ยถึงนักแต่ถ้าโชติกับยุทธ์ออกปาก รุ่นน้องแสนดีอย่างจูนก็ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกระโปรงยาวสีชมพูลายจุดสีขาวเดินไปหาเคนที่กำลังพยายามทาหน้าด้วยแป้งงิ้ว
“ผมช่วย....” เด็กหนุ่มว่าพลางยื่นมือออกไปขอให้อีกฝ่ายส่งอุปกรณ์ที่ถืออยู่อย่างงกๆเงิ่นๆในมือมาให้
“อ้าว..แล้วไม่ต้องไปแต่งหน้าเจ้ายุทธ์มันแล้วหรือไง” เคนหันกลับมาถามใบหน้าคมที่เพิ่งจะทาจนขาวไปได้แค่ครึ่งหน้านั้นดูน่าขันอย่างบอกไม่ถูก จูนยกมือปิดปากพยายามที่จะไม่ขำออกมา
“....ก็พี่เขาไล่ให้มาช่วย....” จูนตอบสั้นๆก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าของอีกฝ่าย “เอ้า หลับตาสิครับ จะได้ทาแป้งให้....” จูนบอกเมื่อหันมาแล้วยังเห็นอีกฝ่ายยังมองหน้าเขาอยู่แบบนั้น
“เออๆ หลับตาๆ “ เคนว่าก่อนจะหลับตาให้อีกฝ่ายลงแป้งลงบนใบหน้าของตัวเอง
สัมผัสจากปลายนิ้วที่อีกฝ่ายค่อยๆแตะสีจากหลอดมาลงบนหน้าของเขาอย่างแผ่วเบานั้นทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย เคนได้ยินเสียงอีกฝ่ายผ่อนลมหายใจเบาๆ ลมหายใจเป็นจังหวะ ถึงจะมีเสียงอึกทึกจากเวทีที่อยู่ด้านหน้า แต่ก็น่าแปลกที่ในตอนนี้การหลับตาแล้วให้ใครสักคนค่อยๆแตะปลายนิ้วลงบนใบหน้านั้นมันทำให้รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก...จนแทบจะลืมความกลัดกลุ้มที่มีต่ออีกฝ่ายไปเลยทีเดียว
“มือเบาเหมือนกันนะเรา....ไปหัดมาจากไหนเนี่ย “
“เพื่อนผมเป็นพวกแต่งตัวเลียนแบบการ์ตูนน่ะ ก็ไปนั่งดูมันแต่งตัวแต่งหน้า นานๆเข้าก็เลยช่วยมันแต่งด้วยมันก็สอนเลยพอทำได้บ้างน่ะ” เด็กหนุ่มตอบแบบไร้อารมณ์
“เหรอ...น่าสนุกดีนะ...ว่าพลางก็ทำท่าจะลืมตามองหน้าคู่สนทนาแต่จูนจุปากเป็นเชิงห้าม
“อย่าเพิ่งขยับสิ....”
“ก็ยังไม่ทันขยับเลย....” เคนเถียงทันควัน ลืมตาขึ้นมาเจอดวงตาสีน้ำเงินของอีกฝ่ายจ้องเขม็งกลับมา
“งั้น ก็หุบปาก” จูนสั่ง ทำเอาเคนขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“เดี๋ยวนี้สั่งพี่?...” จูนไม่ตอบแต่ยกตลับสีแดงกับสีดำพร้อมพู่กันขึ้นมา
“ผมจะลงลายให้ เอาไหม หรือพี่จะทำเอง” พูดแล้วก็ทำท่าจะยัดตลับสีแดง กับสีดำพร้อมกับพู่กันใส่มือของเคนจริงๆ ท่าทางไม่พอใจแบบนั้นทำให้เคนยิ่งมวดคิ้วเข้าหากัน มือแกร่งคว้ามือของจูนเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวซิ่ แหม่ พ่อแสนงอน...จะมางอนผัวอะไรเอาวันนี้ล่ะ เมียจ๋า” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะจูบหลังมือของอีกฝ่ายอีกต่างหาก จูนดึงมือหลบแทบจะไม่ทัน
“พี่เคน ...จะหาเรื่องใช่ปะเนี่ย จะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าผมไม่ชอบ ให้พี่พูดแล้วก็ทำแบบนี้ ” จูนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง มือเรียวกำเป็นหมัดยกขึ้นทันที
“หาเรื่องอะไรกันเจ้าหนู พี่ก็เล่นตามบทไง...วันนี้แกเล่นเป็นอะไร...”
“เป็น แม่พี่โชติ” จูนตอบไปตามตรง
“อาฮะ ...แล้วพี่เล่นเป็นอะไร....” ถามพลางชี้หน้าตัวเอง
“ก็เล่นเป็นพ่อพี่โชติ....”
“อาฮะ แล้วสรุป เราก็เป็นอะไรกัน” เคนว่าพลางยกนิ้วมาคู่กัน ยักคิ้วให้กับอีกฝ่ายเล็กน้อย “แล้วพี่พูดผิดตรงไหนล่ะเมียจ๋า...” ชายหนุ่มเอียงคอทำหน้าขาวโพลนของตัวเองให้ดูน่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ได้สำนึกถึงความผิดที่ตัวเองเคยทำเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“ผิดตรงที่ยังไม่ได้อยู่บนเวที” จูนพูดเสียงเข้มด้วยท่าทีจริงจัง
“อาราย วันก่อนยังเล่นได้อยู่เลย....ที่ว่าเราเป็นแฟนกันน่ะ”รุ่นพี่ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้กับอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบเบาๆให้ดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “ที่พี่จุ๊บเหม่งราตรีสวัสดิ์เราคืนนั้นไง...” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูทำเอาจูนขนลุกต้องยักไหล่หลบลมอุ่นๆเข้ามาแตะข้างหู มือเรียวคว้าพัฟแต่งหน้าได้ก็เอาคืนด้วยการโปะพัฟเข้าปากอีกฝ่ายทันที
“อุ๊บ...แค่ก...แค่ก....แค่ก ไอ้จูน แค่ก.... เล่นอะไรวะ แป้งเข้าปากเข้าคอหมดแล้ว แค่ก...” เคนหันไปถ่มน้ำลายพยายามเอาแป้งที่อยู่ในปากออก
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่ชอบให้มาเล่นแบบนี้ เขาเรียกใช้ปากไปในทางที่ไม่ถูก เก็บปากไปท่องบท เก็บสมองไปจำบทเก็บไปทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมในชมรมจะดีกว่าไหมครับ ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะถือว่าพี่คุกคามทางเพศผมจริงจัง แล้วผมจะแจ้งตำรวจจริงๆด้วย” เด็กหนุ่มพูดรัวเร็วก่อนจะปั้นยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนมาทำหน้าดุทันควัน “เพราะฉะนั้นเลิกแหย่บ้าๆ หุบปากแล้วนั่งนิ่งๆจนกว่าจะแต่งหน้าเสร็จได้ไหมครับ” คำพูดยาวเหยียดของจูนทำให้เคนได้แต่มองหน้าของอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม แล้วพยักหน้าลงช้าๆ
“อาฮะ...ถ้าอย่างนั้น เก็บไปพูดไปทำบนเวทีได้สินะ....”
“ครับ....” รับคำแล้วหันไปหยิบพู่กันไม่ได้สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะหันกลับมาจับหน้าของอีกฝ่ายให้อยู่นิ่งๆ แล้วเริ่มลงมือวาดลายลงบนหน้าของเคน ถึงจะไม่เคยวาดหน้าตัวตลกมากก่อนแต่คิดว่าถ้าวาดลายคล้ายๆแบบนั้นลงไปก็คงพอจะช่วยชีวิตเขาเวลาต้องเข้าบทกับคนตรงหน้าได้บ้างไม่มากก็น้อย
......อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมองหน้ากันตรงๆ.....
................................................ to be continued
-
เมื่อไรจะชอบกันเนี่ยยยยยยย ผีผลักที5555555555
หมั่นไส้แกล้งกันไปมาอยู่ได้
-
อ๊ากกกกกกกกก แอบจุ๊บพี่ยุทธ์ :impress2:
น้องจูนจ๋าาาาาา ไปเปิดทางให้ตาหน้าขาวแบบนั้นแล้วจะรอดมั้ยหนู~~~
แต่น้องจูนไม่รอดจะเป็นผลดีต่อคนอ่านนะ หุหุหุ :laugh:
-
@@@ Talk @@@
เห็นคนอ่านถามหา "ผีผลัก "
เรื่องนี้จะมีผีผลักไหมนะ
:hao3:
.............................................
-6-
เสียงกรี้ดดังขึ้นเมื่อวงดนตรีขึ้นไปพร้อมแล้วสำหรับการแสดงประจำค่ำคืนนี้ ผู้คนแวะเวียนเข้ามาจับจองที่นั่งพร้อมของทานเล่นเหมือนทุกที เพลงแรกเล่นเปิดด้วยเพลง “กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม” เป็นจังหวะสนุกๆ เรียกเสียงปรบมือดังเกรียวกราว คนดูเริ่มเยอะขึ้นเพราะเสียงเพลงนั้นเรียกความสนใจได้ไม่น้อย
หรือว่าความรักยิ่งใหญ่กว่าเงินในกระเป๋า
ไม่เคยคิดเลยว่าดอกเบี้ยบานในธนาคารเท่าไหร่
ถ้าเงินไม่มีสักบาท จะแต่งกันไหม
กับรักที่ทรหดเกินไป โหดเกินไปกับหัวใจของคนๆ หนึ่ง
“คน...คน....คน...เยอะเหมือนกันนะพี่ยุทธ์ “ จูนพูดติดๆขัดๆ พลางสะกิดให้ยุทธ์โผล่หน้าออกมสังเกตการณ์ด้วย
“เออ เห็นแล้ว แกจะสั่นทำไมเนี่ย...” ยุทธ์ว่าก่อนจะเห็นว่ามือของจูนสั่นน้อยๆ “ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย”
“โหย จะแบบไหนก็ตื่นเต้นนั่นล่ะพี่ผมไม่ได้หล่อล้ำหน้าตาดีเหมือนพี่นี่นา ทำอะไรคนก็จะได้กรี้ด ...คราวก่อนผมแสดงแข็งมากจนได้ยินเสียงคนบ่นอ่า....ทำไงดีล่ะ ถ้ารอบนี้คนดูไม่ชอบอีก ถ้าคนดูโห่อีก ทำไงดีล่ะ..” พอตื่นเต้นทีไรจูนก็มักจะพูดรัวเร็วจนจับความแทบไม่ทันเสียทุกทีไป ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะทำหน้าดุ ตบไหล่ของจูนเสียงดังป้าบ
“ไอ้บ้า มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่ามางี่เง่า ตั้งสติแล้วก็เตรียมไปทำหน้าที่ของตัวเองซะไป”
“....................ครับ” ทั้งความเจ็บ กับน้ำเสียงที่นานๆจะเอ่ยอย่างจริงจังของยุทธ์ทำให้จูนต้องพยักหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้
“โอเค เดี๋ยวเพลงแรกจะจบแล้ว เดี๋ยวไปเตรียมไมค์มา...เร็ว”
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปเตรียมไมโครโฟน สี่ ตัวมาให้กับทั้งทีม โดยไม่ลืมกำชับกับทางฝ่ายเสียงให้เปิดซาวน์ประกอบก่อนเริ่มการแสดงของพวกเขาเหมือนทุกที
ในครั้งนี้การแสดงเป็นเรื่องราวของ โชติ....นักศึกษาจบใหม่กำลังเตะฝุ่นหางานไม่ได้ที่อาศัยอยู่กับ ยุทธ์ แฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยและกำลังเตะฝุ่นคลุ้งพอๆกัน ความรักของทั้งสองคนที่กำลังสุขงอมนั้นกำลังมีพายุแห่งโชคชะตารออยู่
ไฟบนเวทีดับลงก่อนโชติจะเดินนำออกไปก่อนพร้อมไมค์ลอยที่ผูกเชือกแขวนเอาไว้ที่คอ ก่อนจะเริ่มบรรยายเกริ่นให้ผู้ชมได้รับฟัง
“สวัสดีครับ ผมโชติ อายุ 24 ตกงานครับ...ตอนนี้อาศัยอยู่ห้องเช่าเดียวกับแฟน...ยุทธ์...ตกงานเหมือนกัน...อย่าเข้าใจผิดว่าพวกผมเป็นเกย์นะครับ...บังเอิญว่าที่ชมรมมีแต่ผู้ชาย เลยเล่นมันทั้งๆแบบนี้เลย...อย่าถือสานะครับ....วันนี้วันเสาร์ครับ พวกเราไม่มีงาน ไม่มีเงิน เลยนั่งเล่นต่อสามคำกันอยู่ที่ห้องไปพลางๆ...อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกไปใช้เงินข้างนอก”
ทันใดไฟบนเวทีก็สว่างขึ้น โชติขึ้นไปยืนอยู่ตรงกลางเวทีพร้อมกับยุทธ์ที่ทำกำลังท่าเหมือนครุ่นคิด
“ว่าง งาน จัง” ยุทธ์เริ่มต้นเกมส์ต่อคำสามคำก่อนเป็นคนแรก
“ตังค์ ไม่ มี ” โชติต่อ
“หนี้ บาน เบอะ” ยุทธ์ตามมาด้วยประโยคถัดมาว่าพลางก็ล้วงกระเป๋าออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดโชว์ให้คนดูดูด้วยว่าไม่มีเงินอยู่เลยสักบาท เรียกเสียงฮาได้ไม่น้อย
“เฮอะ คน จน ”
“คน มัน รัก” ยุทธ์รีบตอบพลางเดินตามไปคว้าเอวโชติไว้ เรียกเสียงกรี้ดจากสาวๆที่นั่งข้างหน้าได้ไม่น้อย
“ชัก ลาม ปาม” โชติทำท่าเอียงอายแล้วดึงมือของยุทธ์ออก
“ถาม หน่อย ซี” ว่าพลางก็สะกิดไหล่ของโชติ
“มี อะ ไร” โชติหันกลับมามองหน้าแต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นยุทธ์คุกเข่าลงพร้อมกับยื่นแหวนอมยิ้มอันโตมาให้
“แต่งงานกันนะ” โชติทำท่าตกใจแบบเกินจริงก่อนจะพยักหน้าลง
“อะ คำเกินนี่ ...แต่....อะ...อื้ม.......” ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างแล้วโชว์นิ้วที่มีแหวนอมยิ้มอันเขื่องให้คนดูดูด้วยท่าทางกระดี้กระด้าสุดๆจนเรียกเสียงฮาครืน และแล้วไฟบนเวทีก็ดับลงพร้อมกับทำนองเพลงดังที่คุ้นหูอย่างเพลง “น้ำผึ้งพระจันทร์” ก็ดังขึ้นเรียกเสียงกรี้ดจากคนดูได้ไม่น้อย
“....รักฉันรักเธอ และรู้ว่าเธอรักฉัน
จะมีแต่ความหวานคงอยู่ชั่วนิรันดร์
ดั่งน้ำผึ้งพระจันทร์…”
ที่ด้านหลังเวที ทั้งโชติ ยุทธ์ จูน และเคน กำลังเตรียมตัวสำหรับฉากต่อไป โชติและยุทธ์จะต้องไปพบกับพ่อแม่ของโชติ จูนที่รับบทเป็นแม่ต้องใส่วิกผมน้ำตาลยาวถึงหลังดูแตกต่างไปจากทุกที แถมยังแต่งหน้าทาปากให้ตัวเองเสียจนแทบจะจำหน้าเดิมไม่ได้
“แต่งหน้าเก่งเหมือนกันนี่จูน....” ยุทธ์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมในเมื่อจูนแต่งหน้าออกมาเสียสวยจากหนุ่มญี่ปุ่นแนวร็อคกลายเป็นสาวสวย....ยี่สิบเมตรไปได้แบบนี้ ...ที่คิดว่ายี่สิบเมตรก็คงเพราะดูใกล้ๆแบบนี้ยังไงก็ยังเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งในชุดเดรสอยู่ดีนั่นเอง
“ขอบคุณครับ...” เด็กหนุ่มยิ้มร่ารับคำชมนั้นอย่างเต็มใจ โดยที่หารู้ได้ไม่เลยว่ารอยยิ้มของตัวเองได้ทำให้อารมณ์ของเคนที่ยืนอยู่ไม่ได้ห่างออกไปนั้นหงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน
“เหอะ....ทีกับยุทธ์ล่ะอี๋อ๋อกันจังวะ เปลี่ยนคู่แสดงเลยไหม” ร่างสูงที่ทาหน้าขาวตัดกับสีแดงและสีดำแบบตัวตลกโบโซ่บ่นอุบอิบ
“ว่าอะไรนะเคน “โชติเอียงหูมาฟัง แต่ก็เจอมือใหญ่ดันหัวออกไปเสียหน้าหงาย
“ไม่มีอะไร...เดี๋ยวค่อยไปว่ากันบนเวที”
...... ไหนๆก็จะเล่นให้มันสมบทบาท.....
......เดี๋ยวกูจัดให้เอง....
ไฟบนเวทีสว่างขึ้นอีกครั้งเมื่อเพลงจบลง ทั้งสี่คนขึ้นไปยืนอยู่บนเวที เคนยืนอยู่ใกล้กับจูนที่ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจอยากจะยืนอยู่ตรงนั้นสักเท่าไรนัก
“พ่อครับ แม่ครับ นี่แฟนผม ....ชื่อยุทธ์ “โชติแนะนำว่าที่เจ้าบ่าว(?) ของตัวเองให้พ่อกับแม่ของตัวเองได้รู้จัก
“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ ผมชื่อยุทธ์ ครับ”
“โฮะๆ แหม โชตินี่ก็เข้าใจเลือกแฟนนะ หล่ออวว มาเชียว...”จูนพูดบทของตัวเองพลางหัวเราะด้วยท่าทางคุณนายไฮโซไม่วายยังทำท่าจะเข้าไปลวนลานยุทธ์ตามบทที่ว่าให้จับมือถือแขนแบบไม่ปล่อย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนมือแกร่งของตัวตลกหน้าขาวที่ยืนอยู่ข้างๆก็คว้าเอวหมับแล้วดึงเข้าไปใกล้เสียจนเซ ด้วยความตกใจจูนพยายามจะดึงมืออีกฝ่ายออก แต่เคนกลับลอยหน้ากระชับเอวของจูนเข้าหาตัวแน่นก่อนจะพูดบทของตัวเองต่อ
“แล้วเป็นลูกเต้าเหล่าใครมาจากไหนล่ะ ชื่อยุทธ์ใช่ไหม นามสกุลอะไรนะ” เคนพูดบทของตัวเองทั้งๆที่มือยังไม่ยอมปล่อยจากเอวของจูน ก่อนจะหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อยเป็นเชิงบังคับให้จูนยอมเล่นไปตามบทโดยดี
“พ่อ...อย่าถามเรื่องครอบครัวยุทธ์เลย.... “ โชติแทรกขึ้นมา แต่ยุทธ์ยกมือห้ามเอาไว้ ก่อนจะเดินหันหน้าไปหาคนดู
“ผมน่ะ...ไม่มีพ่อหรอกครับ มีแต่แม่ แม่ชื่อ พจมาน ดังงูเหลือม ...” สิ้นเสียงนามสกุลที่โชติสรรหาเขียนลงไปในบทคนดูก็พากันขำกันคิกคัก แต่ยุทธ์เองยังคงสมาธิไว้กับบท แม้ในใจจะอยากขำออกมามากก็ตามที
“พ่อหนุ่ม เมื่อกี้ บอกว่า แม่ชื่ออะไรนะ ...... “ เคนทำเป็นคนแก่หูไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“พจมาน...ดังงูเหลือม ครับคุณพ่อ”
“..............ดังงูเหลือม...” เคนขมวดคิ้ว
“พ่อ ...มีอะไรรึเปล่า” โชติเสนอหน้าเข้ามาเมื่อเห็นท่าทีของพ่อและแม่ที่มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่า ...ไม่มีอะไร “ เคนแสดงท่าทีกลบเกลื่อน จูนใช้จังหวะนั้นขยับหลบมือของเคนที่ยังเกาะเอวเขาอยู่ไม่ห่าง
“ พ่อครับ แม่ครับ! “อยู่ๆ ยุทธ์ก็โพล่งออกมาเสียงดัง ซึ่งเป็นไปตามบท ทั้งจูนและเคนก็แสดงกันได้เกินจริงเหมือนอย่างที่ซ้อมกันไว้คือสะดุ้งกันสุดตัว
“อะไรจ๊ะ ยุทธ์.....อูว...ขาวจริง ” จูนทำเป็นกระซิบกระซาบไม่วายยังจะลวนลามยุทธ์ตามบทอีกต่างหาก
“แม่ฮะ...ปล่อยแฟนผมนะ....” โชติกระโดดเข้าไปแงะมือปลาหมึกของแม่ออกพลางดึงตัวยุทธ์ออกมา เรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย
“พ่อครับ แม่ครับ ผมรู้ว่ากะทันหัน แต่ผมมาขอโชติครับ ผมรักโชติอยากจะแต่งงานกับโชติครับ ลูกชายของพ่อกับแม่ขอให้ผมดูแลเถอะนะครับ”
“ไม่ได้หรอก พวกเธอสองคนแต่งงานกันไม่ได้” เคนส่ายหน้าขาวๆนั่นไปมาทำสีหน้าลำบากใจจนทะลุแป้งงิ้วออกมา จนจูนเกือบจะหลุดขำ
“ทำไมอ่ะ พ่อ....ทำไมพวกผมแต่งงานกันไม่ได้” โชติกระโดดเข้าไปเกาะเอวของร่างสูงใหญ่ของเคนเขย่าหัวเคนไปมาอย่างคาดคั้น "ทำมายอ่ะ ทามมายยยยยย “
“ก็เพราะ...พวกแกสองคนเป็นพี่น้องกันน่ะสิ” คำพูดของเคนและสีหน้าอึ้งตะลึงงันของโชติละยุทธ์ที่หันไปหาผู้ชมเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นก่อนที่ไฟบนเวทีจะดับลงอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเพลง”ความจริงที่เจ็บปวด”
ก็รู้ว่ารักกันแค่ไหน แต่รักที่มีเพียงหัวใจคงไม่พอ
ยิ่งฉันทำให้เธอต้องเฝ้ารอ ก็ยิ่งท้อใจ
เสันทางของเรานั้นมันยังไกลเหมือนเคย
ที่ทำได้ก็เพียงแค่ฝัน ที่ดูไม่มีวันจะเป็นจริงได้เลย
มีแต่ความทุกข์ทน วกวนเช่นเคย
สุดท้ายก็ลงเอยกันที่น้ำตา
ตื่นขึ้นมาได้แล้ว นะเรา
จะมัวแต่คอยเฝ้าฝันไปถึงไหน
ตื่นขึ้นมาได้แล้ว หัวใจ
และเดินออกไปเศร้า เผชิญความเป็นจริง
ที่เจ็บปวดและแสน ว่าเราไม่ได้คู่กันเลย
แต่เรื่องราวที่ด้านหลังเวทีนั้นคงจะเรียกได้ว่าเข้มข้นกว่านั้นอยู่มากโข เมื่อคนรับบทเป็นแม่เดินไปถลกกระโปรงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ใกล้ๆ กับบันไดทางขึ้นเวทีด้วยท่าทางเซ็งสุดฤทธิ์ ดวงตาสีน้ำเงินมองหน้าขาวๆของตัวตลกร่างสูงนั่นไม่วางตา
“พี่เคนเล่นไม่ตรงบท...”คือคำแรกที่จูนบ่นออกมา
“เขาเรียกว่า ด้นสด ไม่เห็นเหรอว่าคนดูก็ชอบใจกันใหญ่...บทพ่อ ก็โอบแม่ เอาไว้ ก็น่าจะถูกแล้วนี่ จริงไหมโชติ” เคนตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหันไปขอความเห็นจากโชติ
“อื้ม...ก็ดีแล้วนี่ เล่นแบบนี้ต่อเรื่อยๆนะ” เพราะรู้ว่าที่เคนเล่นไปแบบนั้นก็เป็นเพราะต้องการจะให้สมบทบาท และเรียกความสนใจจากคนดู ...แต่ที่ไม่รู้ก็คงเป็นเจตนาของเคนว่าแท้จริงแล้วต้องการจะทำอะไรมากกว่า
“พี่โชติ ทำไมเข้าข้างอ่ะ...เพราะพี่เคนมาทำแบบนั้นอ่ะ ผมเสียสมาธินะ” จูนโวยขึ้นมาทันที โวยไปนั่งชันเข่าถลกกระโปรงไปพลางแบบนั้นดูยังไงก็ไม่ได้อยู่กับ “บท” เอาเสียเลย
“เอาน่าๆจูน เล่นๆไปเถอะนะ ....” โชติเห็นน้องเล็กของกลุ่มเริ่มจะหงุดหงิดก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆตบบ่าตบหลังเบาๆพลางโบกมือไล่ให้เคนเดินไปอีกทาง เคนเห็นท่าทางแบบนั้นของเพื่อนก็เบะปาก ก่อนจะเดินไปอีกทาง
..........โอ๋กันจังวุ้ย.......
“เคน...แกไปทำอะไรให้ไอ้จูนมันหงุดหงิดอีกวะ...” อยู่ๆยุทธ์ก็วิ่งเข้ามาดึงแขน
“ไม่นะ กูก็แค่ “เล่นตามบท” “ เคนว่าพลางยิ้ม หน้าที่โดนทาเป็นหน้าตัวตลกยิ่งเมื่อยิ้มแบบนั้นมันยิ่งชวนให้หมั่นไส้มากขึ้นไปอีก
“อ้อ....เหรอ มิน่ามันทำหน้าบูดเป็นตูดเชียว” ยุทธ์รับคำพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมให้ตัวเอง ผิวปากเบาๆ
“ส่วนมึงก็อารมณ์ดีนะ..” เคนแขวะ
“แน่นอน...วันนี้กูหล่อที่สุดบนเวที กูโคตรแฮปปี้อ่ะ” ยุทธ์พูดไปพลางก็ส่องกระจกไปพลาง
“แหงล่ะ ไอ้จูนมันบรรจงซะขนาดนั้น ... เห็นมันดีกับมึงอยู่คนเดียว ... ไม่เห็นมันดีกับกูบ้างเลย” เคนว่าพลางหันไปมองจูนที่คุยกับโชติอยู่อีกทาง
“ก็ถ้ามึงไม่ไปทำเหี้ยๆกับมันก่อน มันคงไม่ทำหน้าบูดใส่มึงหรอก... “ยุทธ์พูดขึ้นมาเบาๆ “มันก็ชอบมึงอยู่....”
“ชอบ?...มันจะมาชอบอะไรกู ...กูไม่ได้ชอบผู้ชายเว้ย....” เคนรีบคว้าคอยุทธ์เข้ามากระซิบ เขากลัวว่าถ้าพูดดังไปแล้วทั้งเพื่อนจากชมรมดนตรีคนอื่นที่ยังสแตนบายด์อยู่ข้างหลังจะได้ยิน แต่ยุทธ์กลับส่ายหน้า
“มึงนี่ล่ะนะ....แบบนี้จะเรียกว่าซื่อหรือควายดี ที่บอกว่า ชอบ มันน่ะชอบมึงในฐานะรุ่นพี่เว้ย” ยุทธ์พูด
“เหรอ....” เคนรับคำในน้ำเสียงนั้นเหมือนจะดีใจก่อนจะสะดุ้งเพราะยุทธ์ดึงคอเสื้อของเขาให้ก้มลงมาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“แต่....มันชอบรุ่นพี่แสนดีแบบกูมากกว่า” ยุทธ์พูดต่อ ใบหน้าสวยได้รูปนั้นมีรอยยิ้มเหมือนเยาะเย้ย ก่อนจะปล่อยมือออกแล้วเดินกลับไปสมทบกับโชติและจูนเพื่อเตรียมตัวจะขึ้นเวทีในคิวต่อไปซึ่งจะเป็นฉากสุดท้ายก่อนที่เรื่องราวจะคลี่คลายในที่สุด
ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าตัวเองดีใจที่ได้ยินว่าจูนบางทีนั้นอาจจะพอ”นับถือ”เขาอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้ อารมณ์ทุกอย่างกลับถูกคำพูดของยุทธ์ฉุดลงไปอีกครั้ง เมื่อได้ยินว่ารุ่นน้องที่เขาก็ออกจะ...เอ็นดู...อยู่แบบจูนนั้นดูท่าจะสนิทสนมกับยุทธ์มากกว่าแบบนั้น
“อะไรๆก็ไอ้ยุทธ์วะ.... หมั่นไส้เว้ย” เคนทำหน้าเบ้เชิงล้อเลียนจูนทั้งๆที่เจ้าตัวก็คงไม่ได้หันมาเห็นเสียด้วยซ้ำ
....แบบนี้มันต้องจัดให้หนัก....
............................... to be continued
-
โอ๊ะๆๆๆ พี่เคนนอกบทน้องจูนงอนเลยยยยย
แต่ผียังไม่ผลักแหะ หรือผีจะไม่มีจริง??
-
คนดีผีคุ้ม แฮ่
โดนแน่จูน555555555555555
-
@@@Talk @@@
เรื่องมาถึงตอนที่เจ็ดก็แล้ว
แต่เหมือนจะไม่มีผีผลัก ฝนฟ้าเป็นใจให้ใกล้ชิด
ฤาคู่นี้มันจะผีคุ้ม? :m16:
แต่อ่านไปอ่านมาอีกที ....อุแม่เจ้า :a5:
ใกล้จะหมดสต๊อกเต็มแก่ หลังจากโพสต์ตอนนี้เสร็จอาจหายหน้าหายตาไปสักสี่ห้าวันนะคะ
ขอไปตั้งสติปั่นต่อก่อนนะคะ :katai4: ...รบกวนเป็นกำลังใจให้ด้วยค่า
.......................................................
[-7-
ไฟบนเวทีสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมร่างของนักแสดงทั้งสี่คนที่เข้าประจำที่เดิมราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ขยับไปไหน โชติกระโดดกอดเอวของเคนเอาไว้พร้อมหันไปมองคนดูด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนที่จะกระโดดลงมา
“.....พ่อหมายความว่ายังไง ทำไมผมจะแต่งงานกับยุทธ์ไม่ได้ “ โชติแสดงเกินจริงทั้งสีหน้าและท่าทางเรียกเสียงหัวเราะได้อยู่ไม่น้อย
“....ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ” เคนทำหน้าจริงจัง
“คุณก็บอกลูกมันไปสิคะ....” จูนจีบปากจีบคอมือเรียววางบนอกของเคนเบาๆ ถึงในใจจะไม่ได้นึกอยากจะทำแบบนั้นเลยก็ตามที “ว่าแต่ก่อน....คุณน่ะเคยนอกใจฉันไปหาผู้หญิงที่นามสกุล ดังงูเขียว....”
“ดังงูเหลือม!! “ ทั้งโชติ ยุทธ์ เคน แก้คำผิดพร้อมกัน
“เออๆ จะงูเห่า งูจงอาง งูอะไรก็ช่างเถอะ ตาโชติ พ่อแกน่ะ เคยนอกใจแม่ไปกับผู้หญิงคนนั้น....แม่ไม่รู้ว่าเขามี...ลูกชายด้วย” พูดมาถึงตรงนี้ก็ทำทาเหมือนจะสะอื้นออกมา
“พ่อนะพ่อ....ถ้าไม่ หล่อ...”พูดจบก็ทุบลงไปบนอกของเคนเสียงดังอักจนเสียงนั้นสะท้อนเข้าไมค์เสียงดัง
“ถ้าไม่ล่ำ....” และอีกครั้ง
“ถ้าไม่เจ้าชู้ล่ะก็....” และอีกครั้งจนครั้งนี้เคนต้องจับมือของจูนเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแรงกระแทกนั่นไม่ใช่การแสดงเลยแม้แต่น้อย
“พ่อ....เจ็บ...จ้ะแม่......” เคนพูดนอกบท และเน้นคำให้เขารู้ว่าเจ็บจริงๆ ริมฝีปากที่เคลือบสีชมพูอมส้มของจูนคลี่เป็นรอยยิ้มเย็นแบบที่ไม่ได้มีในบทเช่นกัน เคนยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าจูนอย่างเอาเรื่อง เขาอาศัยจังหวะที่จูนบังสายตาจากผู้ชมขยับริมฝีปากช้าๆ
....เดี๋ยว เจอ ดี แน่...
แต่ดูเหมือนจูนจะไม่ได้เกรงกลัวคำขู่นั้นของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนท้าทายก่อนจะหันไปสนใจกับบทของยุทธ์ที่กำลังจะพูดตามมา
“แต่ คุณพ่อครับ.... “ ยุทธ์เอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งสองคน “ คุณพ่อแน่ใจนะครับ ว่า คนที่พ่อคบด้วยชื่อ พจมาน ดังงูเหลือม....”
“ไม่....กิ๊กพ่อเยอะ” เคนตอบทันควัน “ถามทำไมแบบนั้น....”
“ก็เพราะแม่พจมานของผม มีฝาแฝดนะครับ ชื่อ น้าพจนีย์ พจนีย์ ดังงูเหลือม มีไฝเม็ดใหญ่มากอยู่ที่......” ยุทธ์ว่าพลางทำท่ากระซิบกระซาบกับเคน ซึ่งเคนก็ขยับคิ้วขึ้นลง และแสดงสีหน้าพิลึกพิลั่นชวนให้คนดูคิดลึกตามไปด้วย
“......ใช่ เขามีไฝอยู่...ตรงนั้น....ล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมกับโชติก็ไม่ใช่พี่น้องกันใช่ไหมฮะ เพราะ......ถึงผมจะไม่เคยเห็นหน้าพ่อ แต่ถ้าดูจากหนังหน้าพ่อตอนนี้แล้วเนี่ย” ยุทธ์พูดพลางเดินไปหน้าเวที เก๊กหน้าหล่อแล้วขยิบตาให้สาวๆที่นั่งอยู่แถวหน้าเรียกเสียงกรี้ดกันเกรียวกราว
“ผมหน้าตาดีกว่าพ่อเยอะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แต่งงานกันได้ใช่ไหมครับพ่อ” โชติเสริมพลางวิ่งมาจับมือของยุทธ์เอาไว้
“จ้ะ ได้แต่งานแต่งนี้ ครั้งนี้หวังว่าคงไม่ทำพ่อแกถ่านไฟเก่าคุ ตอนแขกฝ่ายยุทธ์เขามาบ้านหรอกนะ” จูนเล่นไปตามบทคุณแม่ขี้หึงแสนงอน ทำแก้มป่องประหนึ่งว่าน่ารักหนักหนา
....โอ้ย ไม่มีหรอก....พ่อน่ะมีแม่คนเดียวแล้วนี่ไง............
เรื่องราวทั้งหมดมันควรจะจบลงด้วยประโยคนั้นของเคน แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวงดนตรีที่จะเล่นดนตรีต่อไป แต่ก็หาได้เป็นแบบนั้นไม่เมื่อเคนกลับก้าวเข้ามาประชิดตัวของจูน ตาคมมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัย
“ โอ้ย...ไม่มีหรอก พ่อน่ะรักกกกก แม่คนเดียว รัก....แม่ปานจะกินเข้าไปได้ทั้งตัวเลยล่ะ....”
และไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว สองมือแกร่งรั้งหน้าของเด็กหนุ่มในชุดผู้หญิงนั่นเข้ามาใกล้ ริมฝีปากที่ถูกลงแป้งงิ้วเสียขาวโพลนประทับลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยสัมผัสที่ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไร ยิ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนจากร่างสูงโปร่งนั้นสองมือแกร่งยิ่งยึดใบหน้าของเด็กหนุ่มเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ ระยะที่ใกล้กันเพียงเท่านี้ทำให้ได้กลิ่นและรสผลไม้จาก
ลิปกลอสสีสดที่อีกฝ่ายบรรจงทาลงบนริมฝีปากได้รูป ...ถึงแม้ไม่เคยจินตนาการไว้ว่ามันจะเป็นแบบไหนหากต้องสัมผัสริมฝีปากกับจูนจริงๆ แต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสัมผัสที่ลองลิ้มนั้นทั้งหอมหวานและนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย
“อื้อ.......”
จูนเบิกตาโพลง ร่างสูงโปร่งหมายจะขืนตัวผลักอีกฝ่ายออกตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรก แต่เพราะเคนยังยึดหน้าเขาเอาไว้แน่น มือที่ตั้งใจว่าจะผลักอีกฝ่ายออกก็ทำได้เพียงแค่ยึดไหล่เสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความตกใจ ปลายนิ้วจิกลงบนแขนของเคนก่อนจะรวบรวมสติทั้งหมดผลักอีกฝ่ายออกไป หลงเหลือไว้เพียงรอยแป้งสีขาวจากริมฝีปากที่เบียดลงมากับใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองในหัวมึนงงไปหมดรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างวิ่งเข้าชนหน้าเข้าอย่างจัง
จูนหันไปมองหน้าของโชติกับยุทธ์ที่ดูเหมือนจะกำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เท่านั้นวงดนตรีที่สแตนบายด์เตรียมจะเล่นดนตรีต่อเองก็ยืนอ้าปากค้างเช่นเดียวกัน ทันใดก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ เด็กหนุ่มหันไปมองตรงหน้าเวที ผู้คนหลายสิบคนกำลังจ้องมองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ บางคนเบิกตาโพลง บางคนอ้าปากค้างและดูจะตกตะลึงกับ “การแสดง” บนเวทีอยู่ไม่น้อย...
“พี่เคน!!!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาบนเวทีท่ามกลางความเงียบนั้น ร่างสูงของเจ้าของชื่อหันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจ เคนเห็นแฟนสาวของเขาลุกขึ้นยืนอยู่กลางกลุ่มคนดูเด็กสาวมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างเล็กเดินออกจากที่นั่งไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อน
“อ้าว...เฮ้ย...นิด นิด เดี๋ยวก่อน!” เคนลืมตัวเรียกชื่อของแฟนสาวออกมาด้วยความตกใจ
นั่นยิ่งเพิ่มความสับสนให้กับทั้งคนที่อยู่บนเวทีและคนที่อยู่ด้านล่างเวทีอยู่มากโข เหตุการณ์สองอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันจนตั้งสติรับมือไม่ทัน โชติกับยุทธ์เองก็ยังอ้าปากค้างในขณะที่จูนก็ยังคงตกใจเด็กหนุ่มมองตามร่างเล็กๆของหญิงสาวที่เขามองเห็นหน้าไม่ชัดสลับกับใบหน้าด้านข้างของเคนก่อนจะตั้งสติยกหลังมือขึ้นเช็ดปากของตัวเองแล้วกระแทกศอกเข้าใส่สีข้างของเคนไปเต็มแรง
“โอ้ย....พ่อละก็ เล่นอะไรก็ไม่รู้ อายลูกมัน....โฮะๆๆ...” ว่าพลางก็นอกบทกลบเกลื่อน ก่อนจะดึงคอเสื้อของคนที่กำลังจุกเข้ามาใกล้ มองหน้าเป็นเชิงข่มขู่ ว่าให้เล่นตามบทเสียก่อนที่จะมีอะไรหนักหนากว่าศอกคมๆตามมา
......ถ้าไม่อยากเจอส้น....ก็รีบๆเล่นให้มันจบๆไปซะ.....
“แหมๆ...ก็เป็นเครื่องยืนยันไงจ๊ะว่า พ่อน่ะร้ากกกกกก แม่คนเดียว ว่าแล้วเรารีบไปเตรียมเรื่องสินสอดทองหมั้นให้งานแต่งของเจ้าโชติกับพ่อยุทธ์กันเถอะ” เสียงที่ดังออกมาของเคนนั้นแหบแห้งเพราะเจอกระแทกเข้าที่ท้องอย่างแรง
“เยส......” เสียงโชติกับยุทธ์ร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะรีบส่งซิกให้กับทางวงดนตรีที่ดูจะอึ้งๆไปกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
....เอาวะ รีบๆจบจะได้รีบๆไป.....
และแล้วเสียงดนตรีสำหรับเพลงสุดท้ายที่จะมีการแสดงจากชมรมการแสดงประกอบก็ดังขึ้น ท่ามกลางความงุนงงของทีมงานจากชมรมดนตรีและคนดู ทั้งสี่คนรีบวิ่งแจ้นลงจากเวทีโดยแทบไม่ต้องรอให้แสงไฟหรี่ลง...
“เฮ้ย เคน เมื่อกี้ แกทำอะไรวะ ......” ยุทธ์เป็นคนแรกที่ปราดเข้าไปดึงไหล่ของเคนเอาไว้ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะได้เดินหนีไปไหน ท่าทางเคนตอนที่จะเดินลงจากเวทีเมื่อกี้ก็ดูลุกลี้ลุกลนเหมือนกับมองเห็นใครบางคนในกลุ่มผู้ชม
“เล่นตามบท...” เคนตอบส่งๆ ควานหาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าขึ้นมาเปิดเครื่องทันที
“เล่นตามบทบ้านพ่อแกสิ...ไอ้จูนแม่งอึ้งแดกอยู่โน่น....แล้วผู้หญิงคนนั้นใครวะ เคน เฮ้ย มึงฟังกูอยู่รึเปล่าเนี่ย....”ยุทธ์เข้าไปดึงไหล่ของร่างสูงเอาไว้ อยากให้อีกฝ่ายหันไปดูฝีมือของตัวเองเสียหน่อยที่ทำให้น้องเล็กของชมรมลงไปทรุดเข่าอ่อนอยู่กับบันไดเวทีทันทีที่เดินลงมาจากด้านบน
“ยุทธ์ ...ขอโทษว่ะ กูต้องรีบไป...” เคนหันไปมองท่าทางของจูน โชติเองก็กำลังนั่งลูบหัวป้อยๆอยู่อีกทางก่อนจะถอนหายใจ ถึงจะรู้สึกสะใจเมื่อครู่ แต่ในตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาตัดสินใจทำอะไรที่งี่เง่าที่สุดลงไปหรือเปล่า
“มึงจะไปไหนวะ สาด มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“เอ้อ....เดี๋ยวกูกลับมาเอาของ กูแค่ขอไปคุยกับแฟนกูก่อนเดี๋ยวกูมา” ไม่พูดเปล่าร่างสูงวิ่งออกจากด้านหลังเวทีไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ลบแป้งบนหน้าออกเสียด้วยซ้ำ
“หา...แฟน?...” คราวนี้กลับเป็นยุทธ์เองที่ต้องอุทานด้วยความงุนงง เขาหันกลับไปมองหน้าของโชติ “มีคนเอาไอ้สมองถั่วนั่นเป็นแฟนด้วยเหรอวะ” โชติไม่ได้ตอบแต่ก็พยักหน้ารับ เขาเคยเห็นนิดอยู่สองสามครั้ง
“เอาน่า ปล่อยมันไปเหอะ.....จูน....เป็นไงบ้างอ่ะ เอายาลม ยาดม ยาหม่อง ยาหอมไหม....เฮ้ยจูน....” โชติถามอาการของรุ่นน้อง แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อวางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกได้ว่าไหล่นั้นกำลังสั่น
“เฮ้ย จูน เป็นไรวะ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ยุทธ์มาดูไอ้จูนหน่อยดิ” โชติทำหน้าไม่ถูก แต่ก่อนที่ยุทธ์จะได้ปราดเข้ามามือเรียวของจูนก็ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม
“พี่โชติ พี่ยุทธ์....ไม่ต้องเป็นห่วงผม...”น้ำเสียงที่ดังขึ้นนั้นเย็นเยียบ จูนดึงวิกผมสีน้ำตาลออกจากศีรษะ ยกมือเรียวยกขึ้นขยี้ผมสีทองชื้นเหงื่อของตัวเองเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินนั้นทำเอารุ่นพี่ทั้งสองเสียวสันหลังวาบ
“ทำให้ผมอายขนาดนี้.....คืนนี้ถ้าไม่เคลียร์กันให้จบๆล่ะก็ ผมนอนไม่หลับแน่....” จูนว่าพลางกัดฟันกรอดร่างสูงเพรียวผุดลุก ก่อนสะบัดชุดกระโปรงออกจากตัวเหลือเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสามส่วนที่ใส่ไว้กันลมเย็นๆที่จะพัดผ่านมา
“เดี๋ยวผมช่วยพวกพี่เก็บของตรงนี้เสร็จแล้วผมขอตัวนะครับ มีธุระต้องสะสางให้จบ” จูนเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆจนทั้งสองรุ่นพี่ไม่กล้าจะขัด
.....ขืนขัดตอนนี้แทนที่จะได้ตายคนเดียวมีหวังได้หัวแตกหมดสามคนแน่.....
……………………………….
ทั้งสามคนช่วยกันเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของตนเอง ยกไปเก็บไว้ที่รถของโชติที่จอดเอาไว้ตรงบริเวณที่จอดรถที่อยู่ห่างออกไปเป็นที่เรียบร้อย
“เท่านี้ก็เสร็จแล้ว... แล้วของไอ้เคนนี่จะเอายังไงเนี่ย กระเป๋า กุญแจห้อง กุญแจรถแม่งก็ทิ้งไว้นี่หมด มันไปแต่ตัวกับหัวใจจริงๆนะนี่... “ โชติว่าพลางชูกระเป๋าเป้ของเคนให้ยุทธ์กับจูนดู
“เดี๋ยวผมเอาไปให้เองก็ได้ ...อย่างน้อยก็เอามือถือไป คงต้องโทรกลับมาหาแน่ล่ะ คนรักรถอย่างพี่เคนคงไม่กล้าทิ้งรถไว้แบบนี้หรอก อีกอย่างผมยังมีเรื่องต้องคุยอีก” ท้ายเสียงนั้นจริงจังจนทั้งยุทธ์และโชติต้องมองหน้ากัน
“เออ.... ถ้าจะเอายังงั้นก็ตามใจ...แต่คุยกันนะเว้ย ไม่ได้ให้ไปฆ่ากัน” โชติกำชับกับจูนอีกครั้ง ถึงจะดูเย็นลงมาบ้างแล้วแต่ใครจะคาดเดาได้ว่าถ้าคนที่โวยวายเก่งจนน่าหนวกหูอย่างจูนกับควายยักษ์สมองถั่วที่ทำอะไรไม่เคยจะยั้งคิดมาเจอกันในสถานการณ์ชวนปวดหัวแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ครับ...” จูนรับคำเบาๆ ก่อนจะสะพายกระเป๋าของเคนขึ้นบ่า “ผมไปล่ะ กว่าจะหาตัวเจออีก...” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ หนักใจอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เฮ้ จูน...” ยุทธ์เรียกรุ่นน้องผมทองเอาไว้
“ครับ...”
“ให้พี่ไปด้วยป่ะ...” ชายหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปหา เห็นท่าทางหนักใจแบบนี้ของจูนแล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ....ผมต้องจัดการเรื่องนี้เอง” เด็กหนุ่มปั้นยิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะโบกมือให้แล้วเดินลัดลานจอดรถที่มีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จอดหนาแน่นของตลาดเปิดท้ายขายของเดินไปอีกทาง
...ป่านนี้คงกลับไปตามหาของที่เต็นท์หลังเวทีนั่นล่ะ....
คิดได้แบบนั้นก็รีบสาวเท้าเดินลัดเลาะเข้าไปด้านข้างของอาคารหอประชุมที่จะมีทางเดินเชื่อมไปจนถึงด้านหลังของเวทีกลางแจ้งที่ตั้งเต็นท์สำหรับทีมงานที่เข้ามาแสดง วงดนตรีสากลตอนนี้เปลี่ยนเป็นวงดนตรีพื้นบ้าน เสียงเมื่อฟังจากระยะไกลยังคงรับรู้ได้ถึงความครึกครื้น แต่รอบตัวระหว่างทางเดินเชื่อมนั้นกลับไม่มีใครได้ยินแค่เสียงแมลงร้องดังแว่วออกมาจากพุ่มไม้ที่ปลูกประดับไว้โดยรอบ
“โทรหาแม่งเลยดีกว่า ....” พอคิดว่าถ้าเข้าไปหลังเวทีคงจะเสียงดังจนแทบไม่ได้ยินอะไรแน่ เด็กหนุ่มร่างสูงดึงเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรหาคนที่กำลังตามหาตัวอยู่ทันที....เสียงสัญญาณดังขึ้นครั้งที่หนึ่ง ....ครั้งที่สอง.....ครั้งที่สามก็แล้วแต่ก็ยังไม่มีใครรับสาย จูนไม่แน่ใจว่าเขาหูแว่วไปเองหรือเปล่าแต่คล้ายจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเป็นจังหวะเดียวกับสายที่เขากำลังพยายามจะติดต่ออยู่ในตอนนี้
....หืม?....เสียงอยู่....แถวนี้?.....
เด็กหนุ่มก้าวข้ามพุ่มไม้เดินเข้าไปตรงบริเวณของสวนหย่อมของหอประชุมที่มีเพียงแสงไฟรำไรจากโคมไฟประดับสวนที่ตั้งห่างเป็นระยะๆ ตามปรกติแล้วแถวนี้จะไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน จะมีก็แต่คู่หนุ่มสาวที่อยากจะหาพื้นที่ส่วนตัวในการนั่งคุยกันท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกและแสงสลัวของโคมไฟเท่านั้น เมื่อก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆจูนยังคงได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแว่วมากับเสียงของคนกำลังพูดคุยกัน เสียงทุ้มต่ำนั้นคลับคล้ายจะเป็นเสียงของเคน ในขณะที่อีกเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง
...หนอย....รีบเผ่นมาไอ้เราก็นึกว่าไปไหน มายืนสวีทกับแฟนอยู่แถวนี้นี่เอง....
ด้วยความหมั่นไส้ที่พุ่งทวีเด็กหนุ่มก้าวยาวๆเข้าไปหมายจะเข้าไปขัดจังหวะ แต่แล้วเท้าก็จะหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมา ร่างสูงโปร่งรีบหลบเข้าไปอาศัยเงาของพุ่มดอกเฟื้องฟ้าขนาดใหญ่เป็นที่กำบังกาย เขาเหลือบมองผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ เห็นชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าขาววาดลายตัวตลกแต่สีหน้าดูเคร่งเครียดไม่ชวนขัน...ไม่ผิดแน่คนๆนั้นจะต้องเป็นเคนอย่างแน่นอน ส่วนอีกคนเป็นเด็กสาวร่างเล็กแม้จะมองจากระยะห่างแต่ยังคงเห็นได้ว่าเป็นเด็กสาวหน้าคมแบบไทยและสวยอยู่ใช่ย่อย
“พี่เคน ตัดสายโทรศัพท์สักทีจะได้ไหม....” เสียงหญิงสาวเอ่ยท่าทางหัวเสีย ทำให้คนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้รู้ตัวเขารีบกดตัดสายทันที ก่อนจะหันกลับไปมองสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“....สายตัดไปแล้ว....” ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจ “นิด....ทำไมต้องโกรธพี่ขนาดนี้ด้วยล่ะครับ ถ้าเรื่องทาหน้าขาวๆแดงๆนี่ พี่ก็อธิบายไปแล้วนะว่า เป็นเรื่องของการแสดงน่ะ ก็เหมือนพวกตลกในทีวี พวกพี่แค่อยากให้คนขำ” เคนเอ่ยท่าทางลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“เรื่องทาหน้าประหลาดๆเนี่ย ถึงนิดจะรับไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะรู้ว่าที่พวกพี่ทำมันเป็นการเล่นตลก ...นิดก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอกว่ามันตลกมากขนาดนั้นเลยหรือเปล่า...แต่ที่นิดไม่เข้าใจเลยคือ พี่เคนบอกว่าพี่เคนไม่มีผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ไม่มีน่ะสิครับ....อ่ะ....นิด ที่เห็นบนเวทีนั่นเห็นผมยาวแต่งหน้าทาปากนั่น จูน น้องในชมรม นั่นไม่ใช่ผู้หญิงนะ ถึงชื่อจะเหมือนกับดูไกลๆจะเหมือนผู้หญิงตัวควายๆก็เหอะ...นั่นผู้ชายน่ะ”ร่างสูงพูดเน้นย้ำคำสุดท้ายให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้
....ควาย?!... ถ้าอย่างกูควาย แกก็แรดแอฟริกาแล้ว.... จูนแอบกร่นด่ารุ่นพี่ร่างใหญ่คนนั้นอยู่ในใจ
“กระเทยคนนั้นน่ะเหรอคะ” นิดเอ่ยขึ้นมาทันควัน
คำที่เด็กสาวย้ำนั้นดังพอที่คนที่ยืนอยู่หลังพุ่มไม้จะได้ยินเต็มสองหู และเป็นคำพูดที่จูนไม่ได้ชอบใจเลยแม้แต่น้อย เพราะพฤติกรรมของเขาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เล่นอะไรพาดโผน เขาชอบการอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน เขาชอบตุ๊กตาและของน่ารักมากกว่าจะชอบเล่นหุ่นยนต์ที่ดูแข็งกระด้าง....แต่เขาไม่เคยคิดว่านั่นทำให้ความเป็นผู้ชายที่พ่อและแม่สอนสั่งมามันลดน้อยถอยลงไป ......
...กูไม่ใช่กระเทยเว้ย.... เด็กหนุ่มอยากจะพุ่งออกไปพร้อมกับคำพูดนั้นและเขาเกือบจะก้าวขาออกไปแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงตวาดของเคนที่ดังขึ้นมา
“จูนไม่ใช่กระเทย!!!” ร่างสูงกับเสียงทุ้มที่เปล่งออกมาจากลำคออย่างหนักแน่นนั้นทำเอาเด็กสาวถึงกับสะดุ้ง
....................... to be continued
-
เลิกเลย เลิกเลย เลิกเลยยยยย :m14:
-
อั้ยยะๆๆๆๆๆ พี่เคนปกป้องน้อ
ส่วนแม่นิด เทอหนะอย่าเพ้อเจ้อ นั่งเงียบๆไปเลยระ!!!!
ปล.ผีไม่ผลักแต่พี่เคนผลักเองงงงงง อุกิ้ววววว
-
กว่ามันจะรักกันนี่คงแกล้งกันจนเบื่ออะ
ละไปตะคอกใส่ผญทำไม!!!เดี๋ยวตีปากเลยพี่เคน555555555555555
จูนได้จูบเคนแล้วอะ ฟินมะแกรชอบนิคนหน้าตาดีอะ ขำ
-
-8-
“จูนไม่ใช่กระเทย!!!” ร่างสูงกับเสียงทุ้มที่เปล่งออกมาจากลำคออย่างหนักแน่นนั้นทำเอาเด็กสาวถึงกับสะดุ้ง
“ทำไมพี่เคนต้องขึ้นเสียงกับนิดด้วยล่ะ ...นิดพูดผิดตรงไหน แต่งหน้าทาปากท่าทางก็ขนาดนั้น....หรือเดี๋ยวนี้ที่พี่เคนไม่ค่อยมาเจอนิดก็เพราะต้องอยู่กับคนนี้เหรอคะ... ที่พี่เคนบอกว่าไม่มีผู้หญิง...แต่มีกระเทยคนนี้ใช่ไหมคะ นิดเห็น เพื่อนนิดก็เห็น ว่าพี่จูบกระเทยนั่นจนเพื่อนนิดล้อนิดใหญ่เลย ว่าเดี๋ยวนี้พี่เคนเปลี่ยนใจไปชอบกระเทยแล้ว”
เด็กสาวพูดต่อยาวเหยียด ใบหน้าสวยของนิดงอง้ำ เธอถูกเพื่อนล้อ ทั้งๆที่ความจริงแล้ววันนี้ที่ชวนเพื่อนมาด้วยหลายคนเพราะว่าอยากจะให้เพื่อนมาพบกับแฟนหนุ่มสุดหล่อแสนดีของตัวเอง ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะต้องมาเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของตัวเองไปจูบกับ...ผู้หญิงในร่างชายแบบนั้น
“เขาเป็นผู้ชาย....และที่สำคัญเขาเป็นเพื่อนของพี่ เพราะฉะนั้นถ้านิดจะพูดถึงจูนอีก พี่ก็อยากให้นิดช่วยให้เลือกใช้คำที่ดีกว่านี้หน่อย” เคนสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามจะอธิบายให้อีกฝ่ายได้เข้าใจในใจของเขาอยู่ๆก็มีความรู้สึกขุ่นมัวเกิดขึ้นเพราะคำพูดของแฟนสาว แต่ในขณะเดียวกันคำพูดของเคนก็ทำให้นิดเด็กสาวร่างเล็กถึงกับชักสีหน้า
“ห่วงความรู้สึกเขามากกว่านิดด้วยเหรอคะ นิดเห็นว่าพี่เคนน่ะจูบนานมากด้วย....หรือว่าพี่เคนอยากจะลองของแปลก ”
“นิด...พูดเกินไปแล้วนะ” คิ้วคมของเคนขมวดมุ่น มองหน้าของแฟนสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เกินไปเหรอคะ...แล้วที่ไปจูบกับกระเทยนั่นบนเวทีต่อหน้าคนอื่น ต่อหน้านิด ไม่เกินไปเหรอคะ... ”นิดเองก็ใช้เสียงดังขึ้น
“นิด...ไม่เข้าใจ มันก็แค่การแสดงน่ะ พี่เล่นนอกบท...ก็แค่หยอกกันเล่นทำไมต้องจริงจังด้วย”เคนส่ายหน้า เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลยที่ยอมใจอ่อนให้อีกฝ่ายมาดูสิ่งที่เขาทำ
“ใช่ค่ะ นิดไม่เข้าใจ! จะบอกว่าหยอกกันเล่นก็ไม่เข้าท่าแล้ว หรือถ้าพี่จะบอกว่าพี่เล่นนอกบท ก็ทำไมต้องเล่นนอกบทแบบนั้นด้วยคะ...เพราะถ้ามันเป็นแค่การแสดงแล้วทำไมพี่เคนไม่คิดล่ะคะ ว่าการแสดงของพี่เคนน่ะมันก็แกล้งทำได้เหมือนกัน! แล้วทำไมจะต้องจริงจัง ถึงขนาดจูบกันจริงอะไรจริงแบบนั้นด้วย!”
ความรู้สึกหึงหวงมันสะท้อนออกมาให้คนที่แอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้รู้สึกได้ชัดเจน แต่เขาไม่แน่ใจว่ารุ่นพี่หน้าขาวที่เจอผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดใส่อยู่ตรงหน้านั้นจะรู้สึกได้หรือไม่ และจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
คำพูดตรงๆนั้นเหมือนจะทำให้ส่วนหนึ่งในใจของเคนฉุกคิดขึ้นมาได้ ถ้าเขาเพียงแค่แกล้งทำเหมือนจูบจูนไปเขาก็ทำได้ แต่เพราะอะไรเขาถึงไม่ทำ....อาจต้องโทษความอยากเอาชนะเล็กๆของตัวเองก็เป็นได้
“โอเค นั่นมันก็จริง แต่นิดก็เป็นคนบอกว่าอยากมาดูเอง...พี่คงขอให้นิดเข้าใจทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นพี่จะทำอะไรบนเวที....พี่ก็คิดแค่ว่ามันเป็นการแสดงแล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับนิดด้วย เพราะฉะนั้นก็อย่าใส่ใจให้มัน....”
...เผี้ยะ....
เสียงฝ่ามือกระแทกลงบนหน้าของชายหนุ่มร่างสูง อันที่จริงมันแตะเพียงแค่ปลายคางเพราะร่างเล็กนั้นไม่ได้สูงอะไรมากมายแต่ก็คงเงื้อมือเต็มที่เลยทีเดียวเพื่อที่จะส่งแรงโกรธนั่นมาให้ถึง
...ตายโหง... คนที่อยู่หลังพุ่มไม้ก็ถึงกับตะลึงเหมือนกัน เขาไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องขนาดนี้
“พี่เคน นิดเป็นแฟนพี่เคนนะ พูดแบบนี้นี่ไม่คิดถึงใจนิดบ้างเลยใช่ไหม ....นิดไม่อยากพูดกับพี่แล้ว” สองมือเล็กผลักอกกว้างของเคนเต็มแรงแต่เคนดูจะไม่สะดุ้งสะเทือนเท่าไรนัก ก่อนจะวิ่งไปอีกทาง...ดูท่าว่าคืนนี้นัดทานข้าวหลังแสดงเสร็จคงจะต้องเลื่อนออกไปอีกนาน
ชายร่างสูงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ที่ปลายคางยังรู้สึกแสบเพราะรอยเล็บที่แฟนสาวฝากทิ้งเอาไว้ และมันยิ่งแสบมากขึ้นเมื่อสายลมในยามค่ำคืนพัดผ่านมา เสียงดนตรีพื้นบ้านยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ในใจตอนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะสนุกสนานไปตามจังหวะนั้นเลยแม้แต่น้อย
....มันอาจจะจริงอย่างที่นิดว่า....
....เราไม่ได้คิดถึงนิดเลย.... ทั้งๆที่เป็นแฟนกันแท้ๆ...
....อันที่จริง...ตอนที่ทำลงไป ก็ไม่ได้คิดถึงจูนด้วย....
....ไม่ได้คิดถึงใครเลย...
พลันเสียงพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างออกไปขยับ ร่างสูงสะดุ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าเงาตะคุ่มที่เดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นเป็นใครเมื่อร่างนั้นก้าวเข้ามายืนอยู่ในแสงไฟ
“.....ผม...เอาของมาให้” จูนกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลางยื่นกระเป๋าเป้ให้กับอีกฝ่าย
“อืม....ขอบใจนะ” เคนยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมือแกร่งยื่นไปรับกระเป๋าเป้มาพลางเปิดกระเป๋าล้วงเอากุญแจรถออกมา
“โชติ กับ ยุทธ์ล่ะ ...กลับไปแล้วเหรอ” ร่างสูงถามพลางควานหากุญแจรถจากก้นกระเป๋า
“อื้ม กลับไปพักใหญ่แล้วล่ะ....ถ้างั้น...ผมก็กลับเลยก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มว่าพยายามจะพาตัวเองออกจากบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เดี๋ยวสิ...” แต่มือแกร่งที่ถือกุญแจเอาไว้กลับคว้าข้อมือของจูนเอาไว้
“เดี๋ยว...พี่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งก็แล้วกัน.... โอเคนะ” เป็นคำถามเชิงบังคับอีกเหมือนทุกครั้งแต่จูนก็พยักหน้าตกลงที่จะกลับกับอีกฝ่ายโดยดี ระหว่างที่เดินไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ห่างออกไป ไม่มีบทสนทนาใดๆดังขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ จูนแค่เดินตามไปอย่างเงียบๆในขณะที่เคนเองก็เดินนำไปอย่างเงียบๆด้วยเช่นกัน
ระยะทางการเดินมายังลานจอดรถมอเตอร์ไซค์นั้นไกลกว่าปรกติเล็กน้อยเพราะมอเตอร์ไซค์ของเคนเป็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ จะเอาเข้าไปเบียดกับมอเตอร์ไซต์คันเล็กแบบของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วไปก็ไม่สะดวก เลยต้องไปจอดไว้ห่างผู้ห่างคนเพราะอย่างน้อยจะได้ไม่ต้องกลัวว่ามีใครจะเอารถมาจอดเบียดด้วยหรือเปล่า
จูนเดินตามริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น เขาไม่แน่ใจว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไร หรือ ควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี เขาอดแปลกใจว่าอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองที่มีมาก่อนหน้านี้นั้นมันหายไปไหนหมด ความรู้สึกในตอนนี้มันแปลกประหลาด เขาไม่เคยเห็นใครตบกันมาก่อน ถ้าไม่นับในทีวีกับรายการจำพวกละครหลังข่าว ในหัวของจูนนั้นมีแต่คำถาม เขาควรจะพูดอะไรไหม หรือ เขาควรจะเงียบเอาไว้ ในเมื่อสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายโดนแฟนสาวตบมันก็มาจากตัวของเขาเอง
“ เอ้า...หมวก...” หมวกกันน็อคสีชมพูหวานที่ยื่นมาตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองมาตลอดทางถึงกับสะดุ้ง
“อ่ะ....อะไร?” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างตกใจ
“หมวกไงเล่า ...ทำหน้างงทำไม ....”
“อ่ะ ขอบคุณครับ” จูนรับหมวกมา ดวงตาสีน้ำเงินพิจารณาหมวกสีชมพูหวานที่ถืออยู่ในมือ ความจริงคนที่น่าจะได้มาสวมหมวกใบนี้ในคืนนี้น่าจะเป็นเด็กสาวคนนั้นมากกว่า เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นความรู้สึกผิดวิ่งเข้ามาจับใจอย่างน่าประหลาด
“ทำไมทำหน้างั้นเล่า รีบใส่หมวกซะ” ร่างสูงว่าพลางขยับรถถอยออกมาแล้วคร่อมเอาไว้ “วันนี้....อาจจะขี่รถเร็วหน่อยนะ...ถ้ากลัว...จะจับเอวพี่ก็ได้ ไม่ว่า” เสียงเคนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ เขารู้ว่าจูนไม่ใช่คนขี้กลัวขนาดนั้น
“ใครกลัว...พี่ขี่ ผมซ้อน ก็เหมือนทุกทีล่ะน่า” จูนว่าพลางชกเข้าไหล่ของร่างสูงเบาๆ ก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของอีกฝ่ายเหมือนอย่างทุกครั้ง
“ไปเลย.....” จูนว่าไม่ได้จับเอวของอีกฝายเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้
“โอเค...” เสียงเคนดังอู้อี้จากในหมวกกันน็อค
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเคนบิดคันเร่งเต็มที่ รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นออกไปตามถนนที่เป็นทางตรงมุ่งหน้าออกไปยังถนนใหญ่ที่ตัดผ่านหน้ามหาวิทยาลัย สองข้างทางมีทิวสนสูงขึ้นเรียงราย แสงไฟที่สาดส่องมาจากฝั่งตลาดเปิดท้ายขายของทำให้เห็นเป็นเงาดำตระหง่านอยู่ทั้งสองข้างทาง ความเร็วที่วิ่งแหวกอากาศนั้นเร็วมากเสียจนจูนได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงที่สองข้างหูเขาไม่แน่ใจนักว่าเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้ากำลังคิดอะไร แต่เคนคงกำลังรู้สึกอะไรบางอย่าง แรงอารมณ์บางอย่างที่อยากจะปลดปล่อยออกไปกับความเร็วและพลังของเครื่องยนต์ที่อยู่ในมือ และมัน....
....น่ากลัวใช่ย่อย....
มือเรียวเผลอจับชายเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ปลายนิ้วของจูนที่ยึดเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆนั้นแตะกับเสื้อที่สัมผัสกับผิวของเคน เขารู้สึกได้ถึงความร้อนจากร่างนั้น เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยใช้ไหล่กว้างของอีกฝ่ายเป็นที่กำบังเลี่ยงลมที่จะปะทะเข้ามาในใจนึกอยากจะให้เคนรีบพาเขาไปถึงที่หอพักสักที....
....................................
รถมอเตอร์ไซต์ของเคนพาทั้งคู่ผ่านการจราจรคับคั่งของคืนวันเสาร์มาถึงหอพักของจูน เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นจนสะดุ้งรู้สึกตัวรีบกระโดดลงจากรถทันที
“โอ้ย....หัวใจจะวาย....”
“พี่ขี่รถน่ากลัวขนาดนั้นเลย?....” เคนหัวเราะออกมาเบาๆพลางถอดหมวกกันน็อคเต็มใบของตัวเองออก สีขาวบนใบหน้าเปื้อนผ้าบุด้านในจนเห็นเป็นรอยขาว คำถามนั้นทำให้จูนที่กำลังก้มลงทำท่าเหมือนอยากจะอาเจียนอยู่นั้นต้องตวัดสายตาขึ้นมองทันที
“มาก” จูนตอบเสียงดังฟังชัด
“เหรอ...โทษทีนะ....” เคนเขามองหน้าของจูนก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง “งั้นพี่กลับล่ะ...”
“เดี๋ยวซิ่ “ มือเรียวเผลอยื่นออกไปคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้
“หืม....” เคนเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าขาวๆที่เลอะตรงปลายคางและข้างแก้มนั้นทำให้จูนต้องกลั้นหัวเราะ
“ฮ่ะๆ...พี่จะกลับทั้งๆแบบนั้นจริงๆเหรอ...ทาหน้าขาวแบบนั้นตำรวจที่ตั้งด่านขากลับคงไม่ให้พี่ผ่านหรอก....” เคนทำหน้าเหยเขาไม่อยากไปติดแหง็กอยู่แถวๆด่านที่มักจะตั้งจับคนไม่มีหมวก ไม่ก็ไม่มีใบขับขี่อยู่แถวๆทางเข้ามหาวิทยาลัย
“แล้ว...ให้ทำไงล่ะ”
“ล้างสิพี่ อ๊ะ อย่าแม้แต่จะคิดว่าเดินไปล้างน้ำแล้วจะออกนะ พวกนี้มันต้องเอาที่ล้างเครื่องสำอางล้างโดยเฉพาะ...พี่จะ...” จูนดูลังเล แต่เขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปทั้งสภาพนี้ก็คงไม่ได้ “ขึ้นไปบนห้องผมก่อนก็ได้”
“ชวนขึ้นห้อง...?” เคนเลิกคิ้วเตรียมจะส่ายหน้าแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมือเรียวของจูนตะปบเข้าที่สองแก้ม
“ไปล้างหน้า...ใช้คำพูดให้มันดีๆหน่อยเหอะ” จูนสบตาของอีกฝ่ายนิ่งน่าแปลกจริงที่ในตอนนี้บรรยากาศเดิมของการสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคนได้กลับคืนมา แต่ลึกๆแล้ว บางทีในใจของเขาและเคนเองก็อาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ต่างกันเท่าไรนัก ทั้งในเรื่องที่ตัวตลกหน้าขาวตรงหน้านี่ทำไปเมื่อวันก่อน และเมื่อหัวค่ำ แล้วก็เรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายโดนตบแถมยังไปเห็นฉากนั้นเข้าอย่างจัง
“ไปเร็ว รีบๆล้าง ขืนทิ้งไว้นานๆหน้าพังพอดี” จูนขมวดคิ้วก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปด้านในหอพักของตัวเอง
........................................ to be continued
-
เค้าเข้าห้องกันแล้ว กิ๊บกิ๊ววววววววว
-
@@@talk@@@
เข้าห้องกันแล้ว รอบนี้จะมีผีผลัก ไหมนะ
:hao3:
- 9 -
ทั้งสองขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้นเจ็ดจากอาคารสูงแปดชั้น ระหว่างทางที่จะเดินไปถึงห้องของจูนอย่างสำรวจตรวจตรา อีกฝ่ายไม่เคยชวนเขาขึ้นมาบนหอพักเลยสักครั้ง
“หรูซะ...แกนี่คุณชายจริงๆด้วยแฮะ” เคนเผลอพูดออกมาเบาๆ ในหัวของเขากำลังนึกเปรียบเทียบสภาพหอกลางเก่ากลางใหม่ของตัวองกับหอใหม่เอี่ยมของจูน
“คุณชายอะไรกัน ก็คนธรรมดานี่ล่ะ....” เด็กหนุ่มพูดเบาๆ ก่อนจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องเข้าไปด้านใน
“พี่เคนหาที่นั่งไปก่อนนะ เดี๋ยวผมไปหาอุปกรณ์มาก่อน ท่าจะงานหนัก...” เด็กหนุ่มว่าพลางส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้ร่างสูงยืนสำรวจห้องนอนของตัวเองอยู่อย่างนั้น
ห้องพักของจูนเป็นห้องพักแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น มีพื้นที่พอวางตู้เย็นและเตาไมโครเวฟชั้นวางจานอยู่มุมหนึ่งของห้อง โทรทัศน์หนึ่งเครื่องพร้อมชุดโซฟาและโต๊ะกระจกตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่ง กั้นเป็นห้องนอนอยู่ติดระเบียงด้วยประตูบานเลื่อนสีขุ่นทางด้านซ้ายมีประตูห้องน้ำ เคนมองเลยเข้าไปด้านในของห้องนอนที่บานประตูเปิดทิ้งเอาไว้ เห็นด้านหนึ่งของผนังมีโปสเตอร์วงดนตรีร็อคแบบญี่ปุ่นที่แต่งตัวจัดจ้าน ผิดแผกจากนักร้องเกาหลีที่เห็นตามโทรทัศน์เดี๋ยวนี้อยู่ไม่น้อย ยังไม่รวมแผ่นซีดีที่วางอยู่บนโต๊ะร่วมกับหนังสือการ์ตูนอีกหนึ่งกองปนๆไปกับชีท สมุดโน๊ตและหนังสือเรียน และที่น่าสนใจก็คือตุ๊กตาขนปุยที่วางอยู่บนหัวเตียงแบบที่เรียกได้ว่าเป็นสวนสัตว์ย่อมๆ
“อืมม...สมเป็นห้องเด็กญี่ปุ่นจริงๆ...” เคน ถือวิสาสะจะเดินเข้าไปดูด้านในเขตห้องนอน
“เฮ้ย...ห้ามดูนะ!” ทำเอาเจ้าของห้องที่มัวเดินเข้าห้องน้ำไปหาอุปกรณ์สำหรับล้างเครื่องสำอางแทบโยนของทุกอย่างออกมามือแล้ววิ่งมาปิดประตูห้องนอนของตัวเองแทบไม่ทัน เด็กหนุ่มปราดเข้ามาบังประตูหน้าห้องของตัวเองทันที แต่ใบหน้าขาวนั้นกลับมีรอยยิ้มกริ่มที่ชวนให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“เห็นหมดแล้ว...โปสเตอร์ ซีดี การ์ตูน ตุ๊กตาอีกหนึ่งฝูง กับกางเกงในที่ถอดทิ้งไว้....”
“...ไม่ได้ถอดกางเกงในทิ้งไว้เว้ย....” จูนโวยหน้าแดงขึ้นมาทันที “กวนประสาทจริง....มานี่เลย รีบๆเช็ดพี่จะได้รีบๆกลับ” ว่าพลางก็เดินกลับไปเก็บของที่โยนกระจุยไปเมื่อครู่ กลับมานั่งที่โซฟาตรงกลางห้อง
“เออๆ ไล่จริง.....” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะเล็กมานั่งตรงข้างๆของอีกฝ่าย แล้วกันหน้าเข้าหา “แบบนี้โอเค?...”
“ครับ.... เอ้า หลับตาด้วย” จูนว่าพลางใช้สำลีที่ชุบโลชั่นล้างเครื่องสำอางค่อยๆเช็ดรอบดวงตาของอีกฝ่ายอย่างเบามือ แม้จะเรียกได้ว่าเช็ดง่ายกว่าที่คิดแต่ก็ดูท่าจะต้องหมดสำลีกันหลายแผ่นกว่าจะเช็ดสีออกจากบริเวณดวงตาทั้งสองข้างได้หมด
เคนที่หลับตาลงสัมผัสได้ถึงสัมผัสเบาๆแต่อ่อนโยนที่เขาติดใจนักเมื่อตอนหัวค่ำ อีกฝ่ายมือเบามากเสียจนรู้สึกอยากจะหลับไปให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ แต่ในใจยังเกิดคำถาม...ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะเอ่ยถามออกไปหรือเปล่า ท่ามกลางความมืดเคนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศในห้องของจูนกำลังทำงาน เสียงแผ่วๆจากคอมเพรซเซอร์ตู้เย็นก็กำลังทำงาน สรรพเสียงรอบด้านคล้ายจะบรรเลงสอดประสานได้ดีกับเสียงลมหายใจแผ่วๆของจูนที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงฟุต เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นมันสงบลงไม่น้อย เคนปล่อยให้จูนค่อยทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง รุ่นพี่ร่างใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
“.... ยืนอยู่ตรงนั้น....นานไหม?” เขาเอ่ยถามออกไปเสียงของเคนสั่นเล็กน้อย
“อะ...อะไร...ตรงนี้จะเสร็จเมื่อไรน่ะเหรอ อีกแป๊บนึง นี่ก็ครึ่งหน้าแล้ว คิดถึงตอนทาดิ่ตั้งนาน...” จูนพยายามเฉไฉทั้งที่ได้ยินเต็มสองหู ดวงตาสีน้ำเงินเสมองไปอีกทาง ยังไม่รวมเสียงที่แหบพร่าจนน่าประหลาดใจ จูนนึกขำตัวเองอยู่ในใจถึงจะอยู่ชมรมการแสดงแต่ก็ใช่ว่าจะแสดงได้แนบเนียนเสมอไป ...เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ถูกสั่งเทคบ่อยที่สุดในชมรม
“ตรงที่พี่กับนิดคุยกันน่ะ แกอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน” เคนถามซ้ำ
“อ่ะ...เอ่อ...ก็ ...” จูนอึกอักจังหวะของสำลีที่เช็ดลงบนใบหน้าของเคนสั่นไหวเล็กน้อยเพราะมือที่กระตุก
“นี่...................” มือแกร่งยกขึ้นคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ แม้จะยังหลับตาอยู่แต่ประสาทสัมผัสของเคนก็ทำงานได้ดีไม่น้อย เพราะถูกฝึกมาอย่างดีจากกีฬาหลากหลายประเภทในวิชาที่เรียน ดวงตาคมที่ตอนนี้เช็ดแป้งสีขาวและสีออกไปจนเกือบหมดแล้วลืมตาขึ้นสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง
“ก็...เอ่อ....ก็....” เด็กหนุ่มยิ่งอึกอักเข้าไปใหญ่ ยิ่งเจอดวงตาคู่นั้นมองมาแล้วเขาละสายตาไปไหนไม่ได้จริงๆ
“ก็....ตั้งแต่ตอนที่โทรศัพท์เข้าไปนั่นล่ะ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ...แค่....ไม่รู้จะแสดงตัวยังไงก็เท่านั้น”เจ้าของผมสีทองพึมพำ เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะสบตาตอบ
“ได้ยินเรื่องทั้งหมดเลยใช่ไหม....”
"พวกพี่ก็ไม่ได้คุยกันเบาๆ นี่นา..." จูนตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือแกร่งนั้น
"นั่นสินะ..." เคนมองลงต่ำพลางแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ มันช่างน่าขำเมื่อนึกย้อนไปแล้วคงไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขารู้สึกอายได้ไปมากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ "ก็โดนตบไปตั้งฉาดนึงเลยนี่นา..." เคนยิ้มฝืนๆ ถึงจะไม่ได้โดนเต็มๆฝ่ามือ แต่ในใจนิดตบโดนเขาอย่างจัง "เจ็บเหมือนกัน.... "
“ผมขอโทษที่ไปยืนฟังอยู่แบบนั้น” เสียงนุ่มของจูนเอ่ยขึ้นเบาๆ "ขอโทษ..." เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ สองไหล่ห่อลงเล็กน้อยในแบบที่แม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้ตัว ปรกติจูนเป็นคนห่อไหล่น้อยๆอยู่แล้วเพราะความสูงของตัวเองเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่เป็นผู้หญิงร่างเล็กเสียส่วนใหญ่ทำให้ต้องค้อมตัวห่อไหล่เล็กน้อยอยู่ตลอดจนติดเป็นนิสัย สองคิ้วขมวดมุ่นด้วยความกังวล
"เฮ้ย....ขอโทษอะไร" เคนอุทานพลางเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่าย
"ก็...พี่โดนตบเพราะผม...." จูนหลบสายตา เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาเสียจนใกล้จะกลายเป็นเสียงกระซิบ “แฟนพี่เข้าใจว่าผมเป็น....” จูนกำมือแน่นเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงคำๆนั้น เขาได้ยินมันบ่อยเสียจนรู้สึกว่าควรจะชาชินกับมันได้แล้ว แต่ก็ยังทำใจยอมรับสรรพนามนั้นที่ตัวเองไม่ได้เป็นไม่ได้สักที
เคนมองท่าทางของอีกฝ่าย จูนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า มือข้างที่เขากำข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ถือสำลี อีกมือก็วางบนหน้าตัก ปลายนิ้วขยับเบาๆเหมือนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน รุ่นพี่ร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาเบาๆ จูนที่ปรกติเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ในตอนนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงจนเหลือตัวกระจิดเดียว ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายผิดแล้วทำไมจูนจะต้องมารู้สึกผิดจนต้องเอ่ยปากขอโทษเขาขนาดนี้ด้วย
“ฟังนะ.......” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะปล่อยข้อมือของอีกฝ่าย “ มันไม่ใช่เรื่องที่แกจะต้องมาขอโทษอะไรพี่หรอกนะ....แกก็แค่บังเอิญอยู่ตรงนั้น มันก็เท่านั้น.... ............และฟังพี่นะ” แต่คำพูดของเคนเหมือนจะไม่เข้าไปสู่โสตประสาทของเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย จูนกำลังดำดิ่งลงสู่ห้วงความคิดบางอย่างของตัวเองและเหมือนกับการมีอยู่ของจูนนั้นกำลังจะหายไปทั้งๆที่ยังนั่งอยู่ตรงหน้าของเขาแท้ๆ
“เฮ้ย...” มือแกร่งจับไหล่ทั้งสองข้างของจูนเอาไว้ เหมือนจะเรียกสติของจูนให้คืนกลับมา “ถ้าแกไม่ใช่ก็อย่าไปสนใจ.... “
“พี่คิดแบบนั้นจริงๆเหรอ....” แต่ในดวงตาสีน้ำเงินที่มองกลับมานั้นกำลังเต็มไปด้วยคำถาม
“เออสิวะ....แกก็.....” เคนอึกอักอยู่ๆก็รู้สึกเขินเมื่อนึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อหัวค่ำ “แก...ก็น่าจะได้ยินที่พี่พูดไปแล้วนี่... เอ่อ... เอาเป็นว่า...พี่ขอโทษแทนนิดด้วยที่เขาพูดอะไรแบบนั้น เขาแค่กำลังโกรธ” เคนพูด ดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นแสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองที่มีต่อแฟนสาวที่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ “แล้ว...... “ ร่างสูงหยุดลดมือลงจากทั้งสองไหล่ของคนที่อยู่ตรงหน้า
“พี่ก็ขอโทษ ที่แกล้งแกไปเมื่อวันก่อน มันงี่เง่า ...ที่ทำให้แกกลัวแบบนั้น....”
“ถ้าเรื่องโดนแกล้งแบบวันก่อน แล้วก็เรื่อง กระเทย อะไรนั่น....ผม...ชิน...แล้วล่ะ” จูนแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ เขาเจอล้อเรื่องแบบนี้มาแต่เด็กจนโต เถียงจนเอ็นคอจะฉีกก็คงไม่มีใครบอกว่าฟังขึ้น “พี่ก็ดูผมทำตัวดิ่.....” ว่าพลางก็ชี้ไปทางห้องนอนของตัวเอง “ผมแค่ชอบอะไรที่มันเล็กๆ นุ่มๆน่ะ กอดแล้วมันสบายใจดี ....กรีดอายไลน์เนอร์ไปเรียน วันดีคืนดีก็ติดกิ๊บไปเรียน...ตัวไม่ค่อยดำเพราะชอบอ่านหนังสือดูหนังฟังเพลงอยู่ในบ้านมากกว่า มีกล้ามแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่เล่นกีฬาเพราะผมเป็นหอบตอนเด็กๆ โตมาเลยกลายเป็นขี้เกียจไป....แล้วอีกอย่าง” จูนหยุดเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้าของเคน แล้วเบนสายตาไปอีกทาง ทำอย่างไรก็ไม่ชินกับดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเสียที “ผมแค่ชอบคนหน้าตาดี ...จะผู้หญิงก็เถอะ ผู้ชายก็เถอะ ผมชอบหมดนั่นล่ะ เพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น....ก็แค่ชื่นชมธรรมชาติของคนอื่น ...อืม...ผมคงแปลกจริงๆ”
“ที่พูดๆมามันก็ไม่ได้เป็นข้อเสีย อ่านหนังสือแล้วหัวดีเรียนดีแบบแกมีคนอยากเป็นตั้งเยอะแยะไป หน้าตาก็ญี่ปุ่น เกาหลี ซะขนาดนี้....แล้วแกจะมามัวพูดว่าตัวเองทำไม....อีกอย่าง...เรื่องบางเรื่อง อย่าให้มีคนมาทำอะไรกับเราจนเคยชินสิ สู้เขาบ้าง...เหมือนที่แกดิ้นสู้ตายวันนั้น...หมัดหนักใช้ได้...” เคนจับศีรษะของอีกฝ่ายให้หันกลับมามองหน้ามือแกร่งขยี้ลงบนเส้นผมสีอ่อนนั่นเบาๆ ก่อนจะรีบยกมือออกเหมือนนึกขึ้นมาได้ “เออ...ขอโทษแกไม่ชอบให้เล่นหัวนี่นะ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ ในใจแอบคิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าเขาเพลาๆมือจากการแหย่อีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู เพราะไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะโกรธแล้วอาจจะยังโดนใครต่อใครเข้าใจผิดอีกก็เป็นได้
คำพูดกับการกระทำของเคนทำเอาคนที่เจอแกล้งด้วยการขยี้หัวเป็นประจำอย่างจูนได้แต่กระพริบตามองปริบๆอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากได้รูปอมยิ้มน้อยๆ เขาหันไปหยิบสำลีชุบโลชั่นแผ่นใหม่ขึ้นมาพลางทำท่าให้อีกฝ่ายนั่งหน้าตรงๆ
“....บางเรื่อง ถ้าจะทำตัวให้ชินบ้างก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมล่ะ” จูนพูดเบาๆ
“เหรอ... “ ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ “ขอบใจนะ..... “
“พูดมากน่า....เอ้าจะเช็ดแล้วนะหน้าเนี่ย ...เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้...” แต่ก่อนจะได้ลบแป้งบริเวณใบหน้า ดวงตาสีน้ำเงินของจูนก็สังเกตเห็นที่ผิวตรงปลายคางของเคนเห็นรอยแดงจากๆที่หญิงสาวร่างเล็กคนนั้นฝากทิ้งเอาไว้ เป็นรอยให้เห็นชัดเจนเพราะแป้งตรงส่วนนั้นเลือนหายไป ปลายนิ้วเรียวยิ่งเบามือเมื่อต้องสัมผัสผ่านส่วนแผล เขารู้ว่ามันแสบเพราะได้ยินเสียงเคนสูดลมหายใจเข้าริมฝีปากเบาๆ
“ทนหน่อยละกัน ....เช็ดพวกนี้ออกให้หมดแล้วเดี๋ยวผมทำแผลให้”
“อืม.............” เคนรับคำในลำคอเบาๆ
แป้งสีขาวค่อยๆถูกเช็ดอออกไปอย่างเบามือ เผยให้เห็นผิวเนื้อบนใบหน้าคม จูนกลั้นลมหายใจเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาแพ้ใบหน้าคมๆของเคนมากแค่ไหน
“เป็นอะไรอีกล่ะ...หืม?...” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเช็ดๆหยุดๆ ท่าทางแปลกๆจนต้องถามออกไป
“เปล๊า... ไม่มี ไม่ได้เป็นอะไร” จูนส่ายหน้ารัวพลางอุทานเสียงสูง ยังโกหกไม่เก่งเหมือนทุกที
เคนเห็นก็อดที่จะขำไม่ได้แค่ได้ฟังคำตอบไม่ต้องให้อีกฝ่ายอธิบายก็พอจะเข้าใจได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังเขิน เพราะจากท่าทาง แววตาที่อีกฝ่ายมองหน้าของเขาทำให้เคนไม่แปลกใจเลยที่จะมีใครเข้าใจไปได้ว่าบางทีจูนอาจจะกำลังชอบเขาอยู่ เพราะถึงแม้ดวงตาคู่นั้นจะถูกขวางกั้นด้วยคอนแทคเลนส์สีสวย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสายตาที่มองมานั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชมบางอย่างที่อาจทำให้ใครต่อใครหรือแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะสื่อความไปผิดได้..... และนั่นกระตุ้นต่อมนึกสนุกของเคนขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ชายหนุ่มขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใกล้เสียจนแทบจะกระซิบข้างหู
“ขอโทษนะ.....” เคนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ทั้งๆที่เมื่อครู่ตัดสินใจว่าจะไม่แกล้งอีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่....คิดว่าข้อยกเว้นมีไว้บ้างก็คงจะดี
“เอ้ย...เล่นอะไรอีกแล้วเนี่ย....” จูนสะดุ้งเฮือก
“ขอโทษ...ที่พี่หล่อไปหน่อย ... “เคนว่าพลางยิ้มกว้าง
ทั้งๆที่หน้าอีกครึ่งนึงยังมีรอยแป้งทาเป็นวงขาวๆแดงๆอยู่รอบปาก แต่เพียงแค่ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นที่มองมากับรอยยิ้มของรุ่นพี่ร่างสูงก็ทำเอาจูนพูดไม่ออก เด็กหนุ่มเผลอยกมือขึ้นมาแตะข้างแก้มจับข้างคอของตัวเองซึ่งเป็นท่าทางปรกติในยามที่จูนเขินพลางหลบสายตาไปอีกทาง เห็นแบบนั้นมือแกร่งยกขึ้นขยี้ผมสีบลอนด์ซีดของอีกฝ่ายเอาๆ
“ฮ่ะๆ เขินง่ายไปไหมเนี่ย เอ้า งั้นให้เวลาไปเขินก่อน ....ที่เหลือนี่พี่เช็ดออกเองได้ใช่ไหม...เดี๋ยว...ยืมห้องน้ำแป๊บนะ จะลองทำเองดู”
“อ่ะ...ครับๆ.....โน่นห้องน้ำ เช็ดออกให้หมดแล้วก็ล้างหน้าก็ระวังแผลด้วยล่ะ....เดี๋ยวผมไปหาพลาสเตอร์มาปิดให้ก่อน” จูนรีบผละลุกไปอีกทาง เขารู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะโดนเคนแกล้งเข้าให้อีกดอก และก็เหมือนจะได้ผลเอาอย่างมากเสียด้วย
....ปล่อยให้เขาแกล้งเล่นแบบนี้ได้ไงวะ ไอ้จูน ....
....เมื่อไรจะเลิกบ้าคนหน้าตาดีได้สักที.....
เด็กหนุ่มนึกโทษตัวเองไปพลาง ค้นลิ้นชักของตัวเองหายาสำหรับใส่แผลกับพลาสเตอร์ที่จำได้เลาๆว่าเคยซื้อมาเก็บเอาไว้ด้วยท่าทางว้าวุ่น แต่ก็ดูเหมือนว่าพลาสเตอร์ยากับขวดยาสีเหลืองเล็กๆนั่นกำลังเล่นกลกับเขาซึ่งเป็นเจ้าของห้อง
“โอ้ย.....หายไปไหนล่ะ......”
จูนอดจะแปลกใจกับตัวเองไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกเหมือนควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่เพียงเพราะแค่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเคนใกล้ๆในรอบหลายวัน ...หมายถึงสองสามวันที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่ใส่ใจที่จะมองใบหน้าคมนั้นเลยแม้แต่น้อย และถึงเคนจะทำให้เขาโกรธ แต่มันน่าหงุดหงิดมากกว่ากับการที่ต้องเมินหน้าหนีใบหน้าคมๆนั่นไป และเพียงแค่คิดว่าเจ้าของใบหน้าหล่อๆนั่นกำลังใช้ห้องน้ำในห้องของเขาอยู่ก็ทำเอาเขาเป็นไปได้ขนาดนี้ มันยากเหลือเกินที่จะรวบรวมสติและพยายามจะจำกัดความรู้สึกปั่นป่วนนี้ให้เป็นคำพูดได้สักคำ การง่วนหาพลาสเตอร์ยากับขวดยาของจูนใช้เวลามากกว่าที่เขาคิด แต่เมื่อเขาหามันเจอแล้วกลับมาในห้องนั่งเล่นก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเคนยังไม่ออกมาจากห้องน้ำเสียที
“ เฮ้ย...พี่เคน....เสร็จยังอ่ะ.....”
“เสร็จแล้วๆ.....” เสียงเคนตอบกลับพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก ร่างสูงใหญ่ของเคนเดินออกมาจากห้องน้ำ หน้าล้างเสียจนเกลี้ยงเกลาไม่พอ ผมเผ้าเปียกโชกหยดน้ำไหลลงมาตามสันกราม ไล่เรื่อยลงมาจนแผ่นอกแกร่งกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจูนเผลอไล้ตามองตามจนไล่ลงมาเบื้องล่าง ไม่เพียงแค่ท่อนบนที่เปลือยเปล่า ท่อนล่างก็เช่นเดียวกัน เคนปล่อยให้เคนน้อยอวดสายตาจูนอยู่แบบนั้นไม่ได้คิดจะปิดบังตรงกันข้ามกับเจ้าของห้องที่รีบยกมือขึ้นบังพลางหันหน้าหลีกหนีความอุจาดไปแทบไม่ทัน
“เฮ้ย พี่เคน....ไมโป๊แบบนี้อ่ะ ผ..ผมให้พี่ล้างหน้านะ มะ ไม่ ไม่ได้ให้อาบน้ำ”
“ก็เหม็นตัวเองนี่หว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อาบน้ำเลยละกัน ไอ้จูน ขอยืมผ้าเช็ดตัวกะเสื้อกางเกงได้ป่ะ ในห้องน้ำไม่มีอ่ะ แล้วก็ บรื๋อ...หนาวว่ะ หรี่แอร์ด้วยหรี่แอร์” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงเดินโทงๆไปก้มหยิบรีโมทแอร์ทำเอาจูนแทบสำลักภาพตรงหน้า
“เฮ้ยยยย แล้วจะมาหยิบอารายตรงเน้..... รู้แล้วๆ ผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าใช่ไหม เดี๋ยวไปเอามาให้ แล้วช่วยรีบไสหัวกลับเข้าไปในห้องน้ำเลย อุจาดว่ะ ไอ้พี่เคน.....” เจ้าของห้องโวยวายเสียงดังลั่นถลันลุกวิ่งไปเอาเอาผ้าขนหนูกับเสื้อกางเกงนอนมาให้อีกฝ่ายแทบจะไม่ทัน
“เอ้าๆ นี่กางเกง เสื้อ ผ้าเช็ดตัว ....” จูนรีบกลับออกมาพร้อมของสามอย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ เขาเดินกลับออกมาจากห้องนอน โดยคิดว่ารุ่นพี่ร่างใหญ่ตัวดี คงจะกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วเรียบร้อย ตรงกันข้ามเห็นยืนยกขวดน้ำดื่มอยู่หน้าทีวีทั้งๆร่างกายเปล่าเปลือย ตรงเท้ามีร่องรอยน้ำหยดเป็นทางจากประตูห้องน้ำ หน้าทีวี แล้ววกกลับไปที่หน้าตู้เย็น เรียกได้ว่าคนตรงหน้าทำเอาห้องเขาแฉะไปหมด จูนได้แต่หลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกพยายามตั้งสติ ....
....ไม่โกรธ...ไม่โกรธ....อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา.....
....ยิ่งคนสมองถั่ว บ้า หน้าด้าน ....ด้วยแล้วยิ่งไม่ว่า ไม่โกรธ ไม่โกรธ....
“พี่เคน....ใส่ซะ ถือว่าทำบุญให้น้อง เดินโทงๆอยู่ได้ ....พี่ไม่อายล่ะผมอายแทน” จูนว่าพลางโยนผ้าขนหนู เสื้อและกางเกงให้กับอีกฝ่าย
“โอ้ ขอบใจ ขอบใจ.....” เคนยิ้มน้อยๆ “พี่ไม่ถือหรอกนะเรื่องโป้ ตามสบายเลยๆ”
“ไม่ต้องมา ...ตามสบายเลย...นี่มันห้องผมนะ....ดูดิ่...พื้นเปียกหมดแล้ว...” จูนทำเสียงเข้มพลางเดินไปหยิบไม้ถูพื้นออกมาจากในตู้เก็บของมาถูพื้น เคนหัวเราะเบาๆกับท่าทางหัวเสียแบบนั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ จูนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาถูพื้นจนแห้งสนิท ก่อนจะเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟา
“เฮ้อ...เหนื่อย นี่กูดูแลเด็กเล็กอยู่รึไงวะนี่....” คิดไปคิดมาอีกทีงานนี้อาจจะยังเบากว่าการต้องดูแลทั้งเคนและยุทธ์ในเวลาเดียวกัน แล้วมีโชตินั่งหัวเราะความปั่นป่วนทั้งหมดอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่เดินกลับออกมาในสภาพที่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายอยู่บ้าง แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้จูนต้องหัวเราะออกมา
“ฮ่ะๆ...พี่เคน ถ้ามันใส่ไม่สบายขนาดนั้นจะถอดก็ได้นะเสื้อน่ะ....” คงเป็นเพราะขนาดของช่วงไหล่กับอกที่ต่างกันพอสมควรเสื้อยืดที่จูนใส่นอนได้สบายๆตัวถึงได้ดูคับเสียจนเคนทำหน้าอึดอัดเสียเหลือเกิน แต่เคนกลับส่ายหน้าแล้วเดินด้วยท่าทางไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ช่วงบนลืมหยอดน้ำมันหล่อลื่น
“มะ...ไม่เป็นไร...เอ้าทำแผลเถอะ เดี๋ยวหาไรรองท้องกันค่อยนอนก็ได้” ทำเอาจูนเลิกคิ้ว
“ สรุปพี่จะนอนนี่?”
“ทำไมอ่ะ....อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อซะขนาดนี้ นอนไม่ได้เหรอ....ทีกับยุทธ์แกยังนอนด้วยได้เลย” ชายหนุ่มร่างสูงทำหน้าเหมือนเด็กที่กำลังจะอ้อนทำเอาจูนต้องกรอกตาอย่างระอา
“อยากนอนก็นอนไปดิ่....” เด็กหนุ่มตอบพลางพยิบขวดยาขึ้นมาเปิดฝาหยดลงไปบนสำลีที่เตรียมเอาไว้ แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องที่เพิ่งจะพูดไปนั้นมันเกี่ยวข้องกับยุทธ์ตรงไหน
“เหรอ...เยี่ยม...งั้นพี่นอนโซฟานี่ก็แล้วกัน...” ชายหนุ่มยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆทำเอาจูนต้องเบือนสายตาหนี ...
...อย่ายิ้มแบบนั้นดิ่......
“เอ้าๆ ทำแผลๆ....เงยหน้าขึ้นหน่อยละกัน” จูนว่าพลางจับคางของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นให้เขาได้แต้มยาลงไปได้อย่างถนัดมือ มือเรียวค่อยแต้มยาลงไปเบาๆ ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อพิจารณามองที่รอยข่วนเล็กๆที่ปลายคางนั้น “คงไม่เป็นแผลอะไรมากหรอก ปิดพลาสเตอร์เสียหน่อยคงโอเค” ว่าพลางก็กดพลาสเตอร์ปิดตามลงไปอย่างเบามือบนสันกรามนั้น
“อ่ะ เรียบร้อย .....เฮ้ย...พี่เคน!?” จูนอุทานเป็นกี่ครั้งแล้วของคืนนี้ที่เขาต้องอุทานออกมาเป็นชื่อของอีกฝ่าย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ยิ่งต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าของเคนแดงก่ำ และดูเหมือนว่าร่างสูงกำลังอึดอัดและทรมานอยู่ใช่ย่อยเหมือนคนเลือดไหลเวียนไม่ทั่ว “พี่เป็นอะไร...”
“อืม...อึดอัดนิดหน่อย....”มือแกร่งพยายามดึงคอเสื้อและแขนเสื้อที่ตึงเปรี้ยะให้พอมีพื้นที่ให้เลือดไหลเวียน
“แล้วทำไมไม่ถอดออกเล่า เดี๋ยวเลือดก็ไม่เดินได้ตายก่อนพอดี” จูนว่าพลางดึงชายเสื้อขึ้นจะให้อีกฝ่ายถอดเสื้อก่อนจะที่เสื้อยืดสีขาวตัวนั้นจะฆ่ารุ่นพี่ในชมรมของเขาตายเสียก่อน
“ก็แกบอกให้พี่ใส่เสื้อนี่หว่า...ถอดเดี๋ยวแกก็เขินพี่อีก...” เคนพูดแต่เสียงที่ออกมานั้นเหมือนคนจะเป็นลมเอาเสียให้ได้
“ทีแบบนี้ล่ะจริงจังนะ...” จูนอดไม่ได้ที่จะดุ แต่ก็ยื่นมืออกไปดึงชายเสื้อที่ร่างสูงใส่อยู่ “แต่ผมว่าพี่รีบๆ ถอดออกมาก่อนดีกว่า ไอ้ผมเขินน่ะไม่ถึงตาย แต่เลือดคั่งเนี่ย พี่นั่นล่ะจะตายเอา” ร่างสูงโปร่งยืนคร่อมร่างของรุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนโซฟาพลางดึงชายเสื้อขึ้นพยายามดึงให้มันหลุดออกมาจากร่างของเคนให้ได้
“เฮ้ย ก็พี่บอกว่าจะใส่ไง” เคนก็สู้ไม่ยอมให้อีกฝ่ายถอดเสื้อของเขาออกไป
“ไม่เป็นไรหรอก ถอดออกมาดีกว่าให้พี่นอนแบบนี้มันไม่สบายนะ”จูนเองก็ไม่ยอมแพ้ ปล้ำจะถอดเสื้อออกให้ได้
“ไอ้ตัวดีนี่ พูดไม่ฟังเว้ย....”
“พี่นั่นล่ะพูดไม่ฟัง เดี๋ยวได้ตายก่อน...” เมื่อจูนยังไม่เลิกมือแกร่งรวบสองมือของจูนเอาไว้จนได้ และดึงเข้ามาใกล้เสียจนจูนเองก็ล้มลงไปนอนบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่ เคนเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องมาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซน ดวงตาคมสบกับดวงตาสีน้ำเงินที่ดูแปลกตานั่น ทันใดสายตาเผลอไล้มองไปที่ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายที่ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของลิปสติกสีสวยเคลือบอยู่อีกแล้ว แต่กระนั้นริมฝีปากคู่นั้นของจูนก็ยังมีสีอ่อนสวย
“..................” เคนเหมือนจะลืมหายใจไปชั่วขณะ อยู่ๆภาพตรงหน้าก็กระตุ้นความทรงจำให้เรียกคืนความนุ่มนวลหวานหอมที่เขาช่วงชิงมาจากอีกฝ่ายที่บนเวทีนั่นกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง
“ม...มองอะไร....” สายตาที่จับจ้องมานั้นทำให้จูนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาขยับบีบตัวเองอย่างรุนแรง
................................................. to be continued
-
เดี๋ยวได้จูบกันรอบสองพี่เคนหลงลืมเลยคราวนี้ กรั่กๆๆๆ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกก มาอ่านสองตอนรวดแบบนี้ เค้าฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ตาพี่เคน อย่ามารังแกน้องจูนแบบนี้เดะ เดี๋ยวน้องหัวใจวายไปจะไม่มีแบบนี้ให้แกล้งแล้วนะเว้ย
ตอนต่อไปจะเป็นยังไงน้อออออ น้องจูนของเจ้~~
-
- 10 -
......โครก......
ทันใดเสียงท้องร้องก็ดันขึ้น ทำเอาทั้งจูนและเคนสะดุ้งพรวดผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“ฮ่ะๆๆ......ที่แท้ก็หิวนี่เอง” จูนหัวเราะออกมาเสียงดัง เคนเองก็รีบกระเด้งออกจากโซฟาที่เมื่อครู่ยังลงไปนอนโดยมีอีกฝ่ายทับอยู่ด้านบน
“ฮึบ!” เขารีบลุกขึ้น “โอย...เจ้าจูน แกนี่ก็หนักใช่ย่อยนะเนี่ย...” ไม่วายโทษว่าน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายอีกต่างหาก ร่างสูงพยายามดึงเสื้อที่ฟิตแน่นตรงไหล่ออกอย่างทุลักทุเลแต่ในที่สุดก็สลัดตัวเองออกมาจากเสื้อจนได้ “ตัวแกก็ไม่ได้เล็กนะจูน ทำไมเสื้อแกมันฟิตจังวะ....”
“พูดมากน่า ผมไม่ได้มีกล้ามเท่าเด็กพละนี่....หรือจะเป็นเพราะทรงเสื้อหว่า...” ว่าพลางก็เดินเข้าไปดึงเสื้อจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาพิจารณา “ อีกอย่าง ผมไม่ได้หนักขนาดที่ควาย เอ้ยคนถึกๆอย่างพี่รับไม่ไหวหรอกนะ” จูนว่าพลางยิ้มหวาน แต่ก่อนที่เคนจะได้รู้ตัวว่าโดนด่าไปเต็มๆเจ้าของห้องก็เดินเลี่ยงไปที่ตู้เย็น “หิวป่ะ ...กินอะไรไหม...ห้องผมตอนนี้ก็มีแต่ มาม่าใส่ไข่อ่ะ...เอาป่ะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวเมื่อกี้แกด่าพี่เหรอ” เคนเพิ่งรู้ตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันกลับมาพร้อมกับไข่สองฟองในมือ
“มาม่า...เอาป่ะ” จูนรู้ดีว่าวิธีหลบเลี่ยงการโดนเคนโวยวายคือรีบเปลี่ยนเรื่องไปให้เร็วและเปลี่ยนเรื่องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทำแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายไม่มีทางตามเรื่องทันแน่นอน
“เออ.... มาม่าก็ดี” และก็เป็นไปตามที่จูนคิด เคนเปลี่ยนเรื่องตามอย่างรวดเร็ว...โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของของกิน จูนสนองคำตอบนั้นด้วยการเทมาม่าลงชามขนาดใหญ่ ตามด้วยน้ำแล้วก็ตกไข่สามฟองยัดใส่เข้าไปข้างในเตาไมโครเวฟ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตในยามดึกของเขา
ถึงแม้ว่าแถวนี้ยังจะพอมีร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อเปิดบริการอยู่บ้างแต่ไหนๆก็เห็นว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลากออกไปหาอะไรกินอีกก็เกรงใจ ระยะเวลาไม่กี่นาทีในขณะที่รอชามอ่างขนาดใหญ่นั่นหมุนไปเรื่อยๆนั้นเจ้าของห้องได้แต่จ้องชามอ่างนั่นอยู่อย่างนั้นในใจอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้อารมณ์ของเขามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากี่ครั้งกันจนมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างค่อยสงบลงอย่างน่าประหลาด ส่วนเคนเองก็ดูสงบลงมากเช่นกัน...หรือบางทีอาจจะเป็นแค่เพราะพวกเขากำลังหิวมากก็เป็นได้ ไม่นานมาม่าใส่ไข่สองชามก็ถูกนำมาเสริฟตรงโต๊ะหน้าทีวี อาจจะเป็นเพราะต่างคนก็ต่างหิวทั้งจูนกับเคนเลยจัดการซัดมาม่ากันจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือน้ำซุปกันไว้สักหยด
“โอย....ได้กินซักที....นึกว่าจะขาดใจซะแล้ว....”เคนว่าพลางล้มตัวลงไปนอนกับพื้นห้อง
“อิ่มหรือเปล่าล่ะ จะกินต่ออีกไหม” จูนเสนอ คำตอบที่ได้รับคือมือแกร่งที่ส่ายไปมา
“ไม่ไหวอ่ะ เหนื่อยเกินจะกินแล้ววันนี้ พี่นอนเลยได้ป่ะ” ว่าพลางหันหน้ากลับมามองหน้าของเจ้าของห้องที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ดวงตาสีน้ำเงินหันไปจับจ้องกับข่าวภาคดึกบนจอทีวี ดูเหมือนว่าจูนจะไม่ได้ยินคำถามของเคนสักเท่าไร เด็กหนุ่มวางแก้วน้ำลงริมฝีปากสีอ่อนที่เพิ่งจะดื่มน้ำลงไปนั้นดูฉ่ำชื้น
“เฮ้ย จูน..... “ เคนเรียกให้อีกฝ่ายหันกลับมามอง
“หืม?..........” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว
“ลิปเดี๋ยวนี้นี่มันมีรสผลไม้กลิ่นผลไม้ด้วยเหรอ...” รุ่นพี่ที่นอนอยู่กับพื้นถามพลางขยับตัวนอนตะแคงเพื่อมองหน้าคู่สนทนาให้ชัดขึ้น
“ลิป? อ๋อ ที่ทาบนเวทีอ่ะนะ....ไม่รู้สิ กลิ่นผลไม้มั้ง...ตอนไปซื้อก็หยิบๆมา อายคนขายเขาอ่ะ...ไม่ได้ดูหรอก...”จูนตอบไปแต่โดยดีไม่ได้นึกเอะใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเรื่องนี้
“แล้ว....ที่แกทามันมีรสผลไม้ด้วยป่ะ ....” รุ่นพี่ที่นอนอยู่บนพื้นแม้จะดูเหมือนลังเลแต่ก็ยังคงถามออกมาเหมือนเพ้อพิษไข้ ดวงตาของคนช่างสงสัยยังไม่ละจากริมฝีปากอิ่มของรุ่นน้อง
“ไม่อ่ะ...ก็จืดๆ...แต่ก่อนแต่งหน้าเพิ่งกินส้มกับแตงโมที่หลังเวทีกับพี่ยุทธ์ เกี่ยวป่ะ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วถาม คำถามที่ยิ่งทำให้ในหัวของเคนเริ่มทำงานอีกครั้ง
...ส้ม? แตงโม?... จะว่าไปมันก็เปรี้ยวๆหวานๆ....
...แล้วมันก็หอม...นุ่ม....
.....มัน...ก็น่า......
“มันก็.....เอ่อ........” จินตนาการนำพารสชาตและรสสัมผัสหวนคืนมาติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ส่วนหนึ่งของสติก็ถูกดึงให้กลับคืนมาเพราะเคนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะคิดในหัวนั้นมันช่างพิลึกสิ้นดี เคนสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมานั่งทันทีทำเอาจูน
พลอยสะดุ้งตามไปด้วย
“พี่เคนเป็นอะไรอ่ะ....หืม? หน้าแดงๆนะ ไม่สบายป่ะ” จูนว่าพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนเคนทำหน้าเลิกลั่ก ยิ่งดวงตาสีน้ำเงินนั่นยังจ้องมองมาเหมือนมีคำถามและตัวเขาเองก็เหมือนจะละสายตาออกจากริมฝีปากคู่นั้นไม่ได้ถึงจะพยายามเบนสายตาไปอีกทางแล้วก็ตาม
“เปล่า...ไม่มีอะไร....เฮ้ยเดี๋ยวจานชามพี่ล้างเอง แกไปอาบน้ำไป ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนี่” เคนว่าพลางโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำในขณะที่ตัวเองยกชามมารวมไว้ด้วยกันเตรียมจะยกไปล้าง
“อ่ะ...แบบนั้นก็ได้....” จูนดูจะงงๆกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมลุกไปอาบน้ำโดยดี วันนี้เขาเองก็เหนื่อยมามากเหลือเกิน
เสียงประตูห้องน้ำที่ปิดลง ทำให้เคนที่ยกจานไปล้างที่อ่างน้ำอดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขายังตกใจกับความคิดชั่วแล่นที่วิ่งผ่านเข้ามาในหัวเมื่อครู่ไม่หาย
....กูคิดห่าอะไรไปวะ ....
....คิดว่าปากไอ้จูนมันน่า...จูบ...งั้นเหรอ?!...
...ไม่ ไม่ ไม่ ท่าจะแกล้งแม่งมากไปหน่อยละ .....
เคนคิดพลางสะบัดหน้าไปมาแรงๆหวังว่าจะให้ความคิดประหลาดๆนั่นหลุดออกจากหัวของตัวเองไปแต่นั่นยิ่งอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็เป็นได้เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขารู้สึกผิดและได้เอ่ยขอโทษจูนในเรื่องที่แกล้งอีกฝ่ายและสิ่งที่แฟนสาวของเขาอาจจะพูดไปด้วยแรงอารมณ์ เขาขอโทษไปทั้งหมด เว้นเสียแต่เรื่องที่เขาจูบจูนบนเวที ...
...เรื่องจูบนี่กูไม่ได้รู้สึกผิดห่าอะไรเลยนี่หว่า....
ตรงกันข้ามเคนกลับรู้สึกว่าเขาพอใจกับสัมผัสที่ได้รับนั่นเสียด้วยซ้ำ และที่ทำไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้สึกไม่พอใจอย่างประหลาดที่มีต่อจูนที่ให้ความสำคัญกับยุทธ์มากกว่าตัวเอง ยิ่งคิดหัวใจในอกเหมือนจะเต้นแรงจนร่างสูงรู้สึกได้
...นี่หวงไอ้จูนมันรึไง....
“โอย....กูเป็นอะไรไปวะเนี่ย พอๆ ไม่คิดๆๆ ” เคนสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามไม่คิดอะไรให้มันมากไปกว่านั้น มือแกร่งสาละวนอยู่กับการล้างจานวนอยู่หลายต่อหลายรอบเขาไม่อยากจดจ่ออยู่กับความคิดแปลกๆเช่นนั้นอีก มันไม่มีทางเป็นไปได้ ...ถึงเขาจะไม่ถือสาเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวแต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรู้สึกติดใจอะไรกับสัมผัสจากริมฝีปากของผู้ชายอีกคนได้ขนาดนั้น
“เฮ้อ ...” ล้างจานเสร็จเคนก็เดินกลับมาเอนหลังที่โซฟา ใจเหมือนจะสงบลงไปเยอะเมื่อต้องจดจ่อกับอะไรนานๆอย่างการล้างจานนั้นช่วยได้มากเลยทีเดียว
“อ้าว... พี่เคนจะนอนแล้วเหรอ” กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกก่อนเสียงกับตัวเจ้าของเสียงจะมาถึงตัวของเคนเสียอีก เมือเคนลืมตาขึ้นก็เห็นร่างโปร่งยืนเช็ดผมอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไรนัก เคนเหลือบมองการแต่งตัวของอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เสื้อยืดสีขาว กางเกงผ้าแพรเนี่ยนะ....ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนจะนึกว่าแป๊ะที่ไหน”
“ช่วยไม่ได้ ก็บ้านผมใส่กันแบบนี้นี่นา แล้วกางเกงผ้าแพรผิดตรงไหน นอนสบายจะตาย...” จูนโกหกคำโต ปรกติเขาใส่กางเกงผ้าแพรเป็นแป๊ะอย่างที่อีกฝ่ายว่าที่ไหนกัน ทุกคืนๆหรือก็กางเกงบอกเซอร์ตัวเดียวกับเสื้อยืดธรรมดาเท่านั้นแต่เพราะวันนี้มีคนมานอนที่ห้องด้วยก็เลยนึกเขินขึ้นมาเท่านั้นเอง
“สบายตรงถอดง่ายล่ะสิ...” ไม่พูดเปล่าทำท่าจะกระตุกกางเกงผ้าแพรของอีกฝ่ายอีกต่างหาก
“เฮ้ย...ไม่เอาน่าพี่เคน เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ ...สรุปถ้าพี่จะนอนก็ปิดไฟนอนได้เลยนะ ผมจะเข้าไปในห้องล่ะ”
“เออๆ แค่นี้ก็ดุด้วยเว้ย ไปนอนเลยไป “ว่าพลางก็โบกมือไล่ กดรีโมทปิดทีวีก่อนตัวเองจะเดินไปปิดไฟ ร่างสูงหันไปมองร่างของเจ้าของห้องที่ปรกติเคยได้แต่ส่งอยู่ที่หน้าหอ
“ฝันดี...” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นเบาๆเรียกให้เจ้าของห้องหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนเล็กน้อย
“ฝันดี.....” เสียงนั้นตอบกลับมาเบาๆ ก่อนร่างโปร่งของจูนจะเดินเข้าห้องไปประตูบานเลื่อนเลื่อนปิดลงพร้อมกับไฟในห้องนอนที่ดับลง
........................................................
แสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างในตอนเช้าทำให้คนที่นอนซุกกายอยู่กับผ้าห่มนุ่มบนเตียงต้องกระพริบตาถี่ๆด้วยรู้สึกเคืองตา มือเรียวยกขึ้นบังแสงเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกตัวว่าสายมากแล้ว ก็บิดขี้เกียจลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนออกไปร่างเพรียวลุกขึ้นพลางจัดเอวกางเกงผ้าแพรที่หลุดลงมากองกับสะโพกให้เข้าที่เข้าทาง เขาหัวเราะเบาๆกับความไม่คุ้นชินของตัวเองกับกางเกงแบบนี้ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเดินออกไปข้างนอก
“สายแล้วพี่เคน.....อ้าว....ไปไหนวะ” เจ้าของห้องเหลียวซ้ายแลขวา แต่ก็ไม่เห็นเงาของเจ้าขอร่างสูงที่มาอาศัยนอนเมื่อคืน รองเท้าผ้าใบเบอร์ใหญ่มากของเคนก็หายไป มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะกลางหน้าโซฟาที่อีกฝ่ายใช้นอนเมื่อคืน
......เสื้อ กางเกง กับผ้าเช็ดตัวซักเสร็จเมื่อไรจะเอามาคืน.....
“หึๆ....”จูนหัวเราะในลำคอเบาๆ “สงสัยจะรีบไปง้อแฟน....”
แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่จูนคาดการณ์เอาไว้เลย เคนออกจากห้องพักของจูนมาแต่เช้าตรู่ อันที่จริงเขาแทบจะไม่ได้นอนเสียด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาก็คิดมากเรื่องที่ตัวเองคิดว่า ปากของจูนนั้นน่าจูบ มันน่าตกใจและสับสนอยู่ไม่น้อยทำให้นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ แต่ผ่านไปสักพักความหนาวเย็นของแอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ก็คืบคลานเข้ามา แถมตัวเขาก็ไม่มีเสื้อใส่นอนและไม่มีผ้าห่มแบบนั้น ทำให้หนาวสะท้านจนลืมคิดเรื่องที่กวนใจอยู่ไปจนหมด อันที่จริงเขาลุกไปหารีโมทแอร์แล้วแต่หาไม่เจอและไม่รู้ว่าจูนเอาไปวางไว้ตรงไหน เดินไปเปิดประตูห้องนอนของจูนแล้วแต่เห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิทก็นึกเกรงใจไม่กล้าเดินเข้าไปปลุก สุดท้ายเคนเลยต้องกัดฟันทนนอนหนาวอยู่อย่างนั้นอยู่ครึ่งค่อนคืนแล้วรีบลุกออกมาในตอนเช้าแทน
เคนขี่มอเตอร์ไซค์ ซีบีอาร์ 500x ที่ใครต่อใครแซวว่าหน้าตาประหลาดกลับหอของตัวเอง แต่ถึงมีคนแซวว่ารถของเขาหน้าตาประหลาด หรือคนขี่ซีบีอาร์เหมือนพวกเก็บดอกเงินกู้แต่เคนก็ไม่สะทกสะท้านสักเท่าไร เขาได้พาหนะคู่ใจคันนี้มาด้วยกำลังของตัวเองถึงหน้าตาของมันจะแปลกไปจากมอเตอร์ไซค์ที่เห็นตามท้องถนนไปเสียหน่อยแต่เขาก็รักมันมาก
และสิ่งแรกที่เคนทำหลังจากกลับมาถึงหอของตัวเองคือ การวิ่งขึ้นห้องพักของตัวเองไปหยิบผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มพร้อมกาละมังเดินไปซักผ้าที่ระเบียงด้านหลังห้องของตัวเอง เปิดน้ำผสมผงซักฟอกตามขั้นตอนเสร็จสรรพ ก่อนจะแช่ทั้งผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าที่ขอยืมจูนมาลงไปแช่ ดวงตาคมมองเสื้อยืดที่ดูมีราคาของจูนจมอยู่ใต้ฟองผงซักฟอกที่ลอยอยู่เต็มอ่าง
“พอกูแก้ผ้า ก็จะเอามาให้ใส่ พอใส่ก็บังคับให้กูถอด ขี้โวยวายเป็นบ้า...” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าของจูนตอนโวยวายจะให้เขาถอดเสื้อ ดวงตาสีน้ำเงินกับสีหน้าจริงจัง ริมฝีปากที่โวยวายบ่นนั่นนี่ได้ตลอดเวลา...แต่ก็คงเพราะเป็นห่วงเขานั่นเอง
“ก็พอเข้าใจนะว่าทำไม ไอ้ยุทธ์ไอ้โชติถึงชอบมันนักหนา...” เขาพูดพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะแช่ผ้าทิ้งไว้แบบนั้นสักพักระหว่างที่ตัวเองเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ เขาเลยจุดง่วงมาพักใหญ่จึงกะว่าอาบน้ำซักผ้าทั้งหมดของจูนเสร็จแล้วสายๆค่อยออกไปหาอะไรแถวๆโรงอาหารแถวหน้าหอพักของมหาลัย
โรงอาหารในวันอาทิตย์คนน้อยกว่าปรกติร้านขายอาหารหลายร้านปิด แต่ก็มีบางร้านที่เปิดให้บริการ ข้าวแกงจานใหญ่สองจานในราคาที่ถูกแสนถูกถูกนำมาวางบนโต๊ะ เคนนั่งจัดการกับอาหารตรงหน้าไปอย่างสบายอารมณ์ การที่หอของเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมากๆแบบนี้ก็ดีไม่น้อย มันช่วยเขาประหยัดค่ากินไปได้เยอะ
“นี่ เมื่อคืนแกได้ไปเปิดท้ายป่ะ”
“ไปๆ...แกได้ไปทันดูที่เวทีป่ะ พวกชมรมการแสดงอ่ะ โอ้ยแซ่บเว่อร์อ่ะ”
“ชมรมการแสดง? ที่มีคนกันอยู่แค่สี่คนนั่นใช่ป่ะ...เล่นด้วยเหรอ โอ้ยเสียดายไปไม่ทันอ่ะ ทำไม? มีอะไรเหรอ”
“โอ้ยแก...ฉันจะเล่าให้ฟัง พวกนั้นนะจูบกันบนเวทีด้วยอ่ะ ฉันนี่กรี้ดดดดด คอแทบแตก”
“เฮ้ย จริงดิ่ จูบกันเลยเหรอ... ปรกติก็เห็นเล่นแผลงๆอยู่แล้ว แต่แบบนี้นี่มันจะแผลงไปกันเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
“ใช่มะ โอ้ย ฉันเห็นแล้วขนลุกเลยแกเอ้ย กลัวฟ้าผ่ากลางเวที คนที่สูงๆเท่ๆที่อยู่พละอ่ะ เมื่อวานทาหน้าเป็นตัวตลกด้วยนะแล้วก็ไปจูจุ๊บจูบปากกับอีกคนที่เหมือนกระเทยอ่ะ จูบกันแบบเม้าท์ทูเท็นเม้าท์เลยแก....”
“หา? อะไรจะขนาดนั้น เดี๋ยวนะ คนที่อยู่พละ เฮ้ย...พี่เคนคนนั้นน่ะเหรอ ผู้ชายสมัยนี้เป็นอะไรกัน ของแท้ไม่ชอบชอบกระเทย”
“เดี๋ยวๆ มีเด็ดกว่านั้นอีกเว้ย แล้วนะ ยังไม่ทันจะหายอึ้งเลยก็งานเข้าเว้ย แบบมีผู้หญิงคนนึงอ่ะ คงเป็นแฟนเขานั่นล่ะ ตะโกนดังลั่นเลยแก แบบ แนวโคตรหึงอ่ะ แล้วก็เดินฉับๆไปเลยเหมือนในละครอ่ะแก.... “เดี๋ยว ที่รัก นั่นมันเรื่องเข้าใจผิดกัน” แนวนั้นอ่ะ “
“จริงดิ่ แบบนี้มันก็เข้าแนวคงโดนแฟนจับได้ว่าไปติดใจกระเทยมั้ง เป็นฉันเจอแบบนั้นบ้างนะจะถีบส่งไปให้พ้นๆเลย ไม่ไหวอ่ะ ”
เคนได้ยินบทสนทนานั้นเต็มสองหูเขาถึงกับชะงักจนช้อนแทบจะหล่น พลางจินตนาการไปถึงแฟนสาวของตัวเอง ว่าจะคิดแบบเดียวกับที่สาวๆที่นั่งที่โต๊ะด้านหลังของเขาด้วยหรือเปล่า
....นิดก็คิดจะถีบกูจริงๆด้วยรึเปล่าวะ...
คิดไปพลางเหงื่อตก กับข้าวตรงหน้าเหมือนจะจืดชืดไปในทันที
“เฮ้อ หมดอารมณ์กินเลยกู ... ” เคนว่าพลางวางช้อนส้อมลง แล้วถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“งั้นถ้ามึงไม่กิน เดี๋ยวกูกินให้เองดีไหม” เสียงยียวนดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของโชติที่นั่งลงตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มยียวนบนใบหน้า ศีรษะโตๆของโชติกับผมฟูชี้ไม่เป็นทรงนั่นบอกได้เลยว่าเพิ่งตื่น
“เพิ่งตื่นเหรอมึง ...ดีจริงอยู่หอใน..ตื่นแม่งก็เดินลงมากินข้าวสบายๆ”
“เออ...สบายที่สุดละกูเนี่ย... ว่าแต่ทำไม กินไม่ลง”
“ไม่มีอะไร...แค่...เออ ช่างมันเถอะ” เคนบอกปัดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“กลัวแฟนจะทิ้งเพราะไปจูบไอ้จูนมันน่ะเหรอ”
“แค่กๆๆ.....” คำถามของโชตินั้นทำเอาเคนสำลักน้ำ “รู้ได้ไงวะสาด”
“สัญชาตญาณในการเดากูดีกว่ามึงเยอะ เคน... แล้วให้กูเดาอีกนะ เมื่อคืนมึงไปง้อแฟน แล้วคุยกันไม่รู้เรื่อง แฟนมึงคงหึง ส่วนมึงคงคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต แฟนมึงเลยตบมึงให้ กูเดาถูกป่ะ” โชติพูดยาวเหยียดพลางเท้าคางมองหน้าเคน ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องแบบนั้นชวนให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“มึงเป็นญาติกับริว จิตสัมผัสรึไง” เคนบ่นอุบ เพราะสิ่งที่โชติทายมานั้นถูกต้องตรงเผงทุกประการ
“กูมีพลังขนาดนั้นป่านนี้กูรวยไปนานแล้วไม่บอกมึงเอาบุญเฉยๆหรอกจะชาร์จอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ...ก็เนี่ย รอยแมวที่ไหนข่วนมา...” โชติว่าพลางชี้หลักฐานที่มาปรากฏอยู่โทนโท่บนหน้าของเคน
“เออ...เออ... ก็ตามมึงว่านั่นล่ะวะ แล้วจะให้กูทำไงว่า บนเวทีนั่นบทมันก็ต้องเล่น แฟนก็ดันจะมาหึงเอาแบบนี้”เคนโวยวายโยนความผิดให้บทละครของโชติไปเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวๆ เคนมึงอย่ามาโยนความผิดให้บทกูนะเว้ย กูไม่ได้เขียนสักคำให้แกจูบไอ้จูนมันจริงๆ แล้วใครจะไปรู้ว่าแฟนมึงจะมาดูวะ”
เคนนิ่ง...เขารู้ดีว่าต่อให้ตัวเองพยายามปฏิเสธความจริงแค่ไหนแต่ก็คงไม่อาจโกหกต่อคนเขียนบทได้
“กูถามจริงเหอะ” โชติหรี่ตามองอีกฝ่าย มือก็หยิบส้อมจิ้มเอาลูกชิ้นลูกใหญ่จากจานของเคนเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ “มึงจูบไอ้จูนมันทำไมวะ...รู้ก็รู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครโดนตัวเท่าไร ....คราวก่อนโดนมันโกรธไปทียังไม่เข็ดเหรอ เมื่อคืนมันก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง...แล้วเมื่อคืนมึงได้เจอมันป่ะ”
“ก็เจอ...” เคนพยักหน้าเบาๆ
“แล้วไง...ทำหน้าเซ็งๆแบบนี้นี่ โดนมันจัดหนักเลยอ่ะดิ่ โอยกูไม่อยากคิดถึงตอนมันด่า....แค่โวยวายธรรมดายังยาวซะ แล้วนี่มันโกรธ ถึงไม่โดนต่อยแค่โดนด่าเฉยๆก็คงมึนอ่ะ”
“เปล่า ...มันไม่ได้ด่าอะไร...หรือแค่ไม่มีโอกาสให้ด่าก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าพวกกูคุยกันแล้ว และกูก็ขอโทษมันอย่างมึงกับไอ้ยุทธ์คงจะสมใจกันเสียที คุยเสร็จก็นอนห้องมันนั่นล่ะ”
“อา...ฮะ....” โชติพยักหน้ารับคำ “แล้วไง?”
“แล้วไง แล้วไง? ไม่มีอะไรเว้ย” เคนว่าโบกมือไปมา
“แต่หน้ามึงมันเหมือนมี....”
“ไอ้นี่กูบอกว่าไม่มีไง” ชายหนุ่มร่างสูงปฏิเสธเสียงสูงในใจยังต่อสู้ไม่จบกับความคิดที่ว่าปากของจูนนั้นนุ่มและน่าจูบมากแค่ไหนกับความจริงแล้วพฤติกรรมบางอย่างของจูนนั้นก็.....น่าเอ็นดูอยู่ใช่ย่อย
“...โอเค...ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร” โชติมองหน้าของเพื่อนพลางยิ้มน้อยๆ “แต่ไอ้จูนมันไม่เป็นอะไรใช่ป่ะ”
“ก็เป็น..นิดหน่อย มันมาได้ยินที่แฟนกูพูดไม่ค่อยดีเข้า ก็ซึมไปหน่อย แต่ก็คุยกันดี ...เออโชติ กูถามมึงหน่อยเหอะ เรื่องจูนแกก็คงพอได้ยินมาบ้างว่ามีคนพูดถึงมันแบบนั้น มึงว่ามันเป็นไหม” โชติถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นี่ เคน มันไม่ได้ขึ้นหรอกนะว่าคำตอบของกูจะเป็นยังไง ให้กูพูดไปก็เหมือนเด็กผู้หญิงกลุ่มเมื่อกี้ ไม่รู้อะไรแท้ๆกลับพูดไปเรื่อย มึงก็เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ถ้ามันไม่ออกปากเอง ห้ามคิด ทำไมมึงไม่ลองสังเกตแล้วพอคิดว่าตัวเองมั่นใจแล้วถึงลองถามมันดูล่ะ คำตอบที่ได้มันอาจจะทำให้มึงสบายใจกว่านี้ก็ได้” โชติเป็นคนมีเหตุผลเสมอ เพราะแบบนั้นทุกคนถึงยกให้เป็นเหมือนกับหัวหน้าของกลุ่มแต่เหมือนจะยิ่งทำให้เคนรู้สึกแย่มากขึ้น
...ตอนนี้ มันจะเป็นหรือไม่เป็นกูไม่รู้ ที่รู้ๆแต่ไม่เข้าใจคือ ทำไมกูคิดว่ามันน่ารักแล้วปากมันก็น่าจูบมากด้วยวะ!....
.............................................
หลังจากทานข้าวเสร็จโชติบอกกับเคนว่าในตอนหัวค่ำยุทธ์จะขนอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงเมื่อคืนกลับไปที่ห้องของชมรมเลยอยากให้เคนไปช่วยเก็บแยกของพร้อมกับซ้อมการแสดงสำหรับหนังสั้นของพวกเขาอีกด้วยซึ่งเคนก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดี และนึกดีใจว่าอย่างน้อยช่วงบ่ายเขายังพอมีเวลาส่วนตัวบ้าง ทั้งสองคนนัดเจอกันช่วงหัวค่ำที่ห้องชมรมตามปรกติ เคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับมาที่ห้อง
“แห้งพอดีล่ะมั้ง....” ร่างสูงยิ้มเมื่อมองไปที่ราวตากผ้าด้านหลังห้องเห็นเสื้อยืดสีขาวสะบัดไหวเพราะแรงลมที่พัดผ่านมา เขาเดินออกไปเก็บเสื้อผ้าของจูนที่ซักกับมือเข้ามาพับอย่างเรียบร้อยใส่ลงในถุง เตรียมจะนำกลับไปคืนเจ้าตัวในตอนเย็น เคนพับผ้าใส่ลงในถุงเสร็จเขามองไปรอบๆห้องของตัวเอง ทุกอย่างยังคงระเกะระกะหาความเป็นระเบียบได้ไม่ ดวงตาคมหันกกลับมามองผ้าที่พับเรียบร้อยอยู่ในถุงเขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“ห้องตัวเองยังไม่เก็บ..ดันเก็บผ้าให้คนอื่นเสียดิบดี...” คำพูดที่พูดกับตัวเองเบาๆนั้นเหมือนสะท้อนอีกเสียงที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
....ทีแฟนตัวเองโกรธยังไม่ไปง้อ แต่เด็กนั่นโกรธทำไมถึงทนไม่ได้ขนาดนั้น....
................................... to be continued
@@@talk@@@
ว้า ผีเกือบจะทำสำเร็จแล้วเชียว :ling1:
แต่...ผีผลักถึงงานนี้จะยังไม่สำเร็จ...แต่พี่เคนก็เข้าขั้นเพ้อแล้วนะ
รอโอกาสก่อนเถอะ....หึ หึ หึ :katai2-1:
-
กิ๊วๆๆๆๆๆๆ พี่เคน กิ๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หลงน้องจูนอะดิ๊ :hao3: :hao3:
อีกไม่นานแกต้องเสร็จน้องจูนแน่ๆอิพี่เคน ว๊ะฮ่าๆๆๆๆๆๆ :katai2-1:
-
- 11 -
กว่าจะรู้ตัวอีกทีท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงในยามบ่ายคล้อย เคนบึ่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจข้ามเขตมหาวิทยาลัยไปยังอีกฝั่งของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยที่พักอาศัยของเหล่านักศึกษา อาคารหลังเล็กใหญ่เบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่จำกัด ถนนเส้นเล็กๆที่ตัดเลาะไปเป็นซอกซอยทำให้เคนต้องชะลอความเร็ว ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าหอพักแห่งหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ร่างสูงถอนหายใจเบาๆก่อนจะนำรถเข้าไปจอดในที่จอดรถใต้หอพัก ดวงตาคมสอดส่ายสายตา เขาเห็นรถคันเล็กสีแดงสดของนิดจอดอยู่ในที่จอดรถก็ยิ้มก่อนจะกดโทรศัพท์หาเบอร์โทรออก
“นิดเหรอ.....พี่อยู่ข้างล่างหอ...ขึ้นไปหาได้ไหมครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน ก่อนริมฝีปากได้รูปจะคลี่เป็นรอยยิ้ม เขาได้รับอนุญาตจากแฟนสาวให้ขึ้นไปหาบนห้องได้ ถึงจะหวั่นใจเล็กๆเพราะน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูไม่พอใจสักเท่าไร แต่ร่างสูงใหญ่ก็พาหัวใจสั่นๆก้าวไปพร้อมกับช่วงขายาวก้าวขึ้นไปด้านบน บันไดขั้นเล็กๆ ของหอพักสีชมพูหวานสไตล์ผู้หญิงที่ผู้ที่พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นสาวๆจากหลายๆคณะนั้นใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ถึงหน้าห้องพักของแฟนสาว
...ก๊อกๆ...
เสียงมือแกร่งเคาะเบาๆลงบนบานประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้ามาปลดล็อคและเปิดประตูให้ ร่างเล็กของนิดอยู่ในชุดเดรสสั้นกับกางเกงยีนส์ขาสั้นรวบผมดูสบายๆ แต่ใบหน้านั้นกลับงอง้ำ ดูท่าว่าจะยังไม่หายงอนจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“คิ้วขมวดแล้วครับ....” เคนเห็นหน้าอีกฝ่ายเข้าก็ใจแป้วอยู่ใช่ย่อยแต่ก็พยายามจะยิ้มสู้ ยกปลายนิ้วแตะเบาๆระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับปัดมือของเคนไปอีกทาง
“พี่เคนมีอะไรเหรอคะ...นิดไม่ค่อยว่างด้วยวันนี้ นัดพวกต่ายเอาไว้ว่าจะไปดูของกัน”
“อ่า...นิด...จะออกไปไหนเหรอ? ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวนิดจะขับรถออกไปรับต่าย”
“อ่า....เหรอ...ไปดูของแล้วจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า” เคนถามเสียงแหบ คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่รู้จะถามอะไรต่อ
“ก็คงจะไปดูหนังค่ะ... พี่เคนล่ะคะ มาทำไม ไม่มีธุระอะไรกับพวกที่ชมรมแล้วเหรอคะ”
“เอ่อ เดี๋ยวพี่จะไปช่วยเพื่อนเก็บของน่ะ เลยแวะมาหาเผื่อว่านิดอยากจะออกไปข้างนอกด้วยกัน”
“แต่ก็ต้องแวะไปที่ชมรมก่อนอยู่ดี...พี่เคนไปทำงานที่ชมรมเถอะค่ะ นิดไม่ได้สำคัญขนาดนั้น” เด็กสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆหากแต่ถ้อยคำนั้นเสียดแทงเข้ามาอยู่เนืองๆ
“โธ่ นิด...ยังโกรธพี่อยู่เหรอครับ ไม่เอาน่านะ เรื่องของชมรมก็เรื่องนึง เรื่องของแฟนพี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากันหรอก พี่ก็ให้ความสำคัญเท่าๆกันนั่นล่ะ” เคนยิ้มกว้าง แต่มันเป็นยิ้มแห้งๆ
“แต่เมื่อคืนพี่เคนก็ขึ้นเสียงใส่นิดเพราะ...ยัย...เอ่อ...นายคนนั้น” เด็กสาวเบือนหน้าไปอีกทางท่าทางยังคงขุ่นเคืองไปน้อยกับท่าทีปกป้องของคนรักที่มีต่อผู้ชายที่แต่งเป็นผู้หญิงท่าทางสะดีดสะดิ้งบนเวทีคนนั้น เคนหรี่ตาลงเล็กน้อย พิจารณาท่าทีของเด็กสาวดูท่าแล้วเขาคงไม่สามารถแก้ไขความฝังใจของอีกฝ่ายได้ง่ายๆเป็นแน่
“ขอโทษ พี่คงจะใช้น้ำเสียงผิดไป...แต่พี่ไม่อยากให้นิดเข้าใจพี่ผิดนะ” มือแกร่งยื่นไปจับมือของอีกฝ่ายหลวมๆ “ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากให้แฟนของตัวเองเข้าใจผิดหรอก...”ดวงตาคมสบตามองกับแฟนสาวท่าทีออดอ้อนในแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมากนัก “พี่ขอโทษนะครับนิด...ยกโทษให้พี่นะครับ”
“.................” เด็กสาวไม่ได้ตอบ มือเรียวยกขึ้นแตะใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ ยังเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลอยู่ที่ปลายคางของร่างสูง “เมื่อคืน นิดทำพี่เป็นแผลเหรอคะ เจ็บหรือเปล่า...นิดขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก พี่ผิด ก็สมควรแล้ว” เคนตอบพลางยิ้มจับมือของแฟนสาวเอาไว้หลวมๆ
“พี่เคนทำแผลเองเหรอคะ... ”
“เปล่าหรอก จู...เอ่อ...ช่างมันเถอะ แผลแค่นี้พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก...” ชายหนุ่มรีบตัดบทเขาเกือบจะหลุดปากบอกออกไปแล้วว่า จูนเป็นคนทำแผลให้ ไม่อย่างนั้นนิดคงจะไม่สบายใจอีก และคงจะโกรธเขาไปมากกว่านี้อีกแน่ๆ
ดวงตากลมโตของนิดมองหน้าของร่างสูงอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจออกมา มือเรียวดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยสองมือเล็กดวงตาหลุบลงต่ำ
“พี่เคน...นิด...เองก็ต้องขอโทษพี่เคนด้วยเมื่อคืนนิดก็ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย...นิดแค่อยากให้พี่เคนเข้าใจนิดด้วยว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเห็นแฟนของตัวเองไป...เอ่อ...จูบกับใครคนอื่นต่อหน้าตัวเองต่อหน้าคนอื่น...โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะทำกับใครที่ออกจะ....ผิดไปจากธรรมดาที่ควรจะเป็น”
ในน้ำเสียงของนิดนั้นยังแฝงอารมณ์ขุ่นมัวแต่นับว่าดีกว่าที่เคนจินตนาการเอาไว้หลายเท่าตัว เขาพอรู้ว่าแฟนของเขาเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างขี้หึง เธอมักคอยถามจุกจิกในบางเรื่องที่เขาไม่อยากจะตอบแต่เข้าใจดีเพราะผู้หญิงหลายคนก็เป็นแบบนี้เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรนัก เรื่องไหนตอบได้เขาก็ตอบตอบไม่ได้ และเลี่ยงได้ก็จะเปลี่ยนเรื่องไปเสีย แต่ที่ผ่านๆมานิดไม่เคยแสดงท่าทีมากมายขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านๆมาเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่คบกับใครหลายคนในเวลาเดียวกันจึงไม่เคยทำให้นิดต้องระแคะระคาย แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่านิดจะหึงที่เขาจูบผู้ชายอีกคน...เพราะสำหรับเขาแล้วนอกเหนือจากการแสดงมันก็คือการแกล้งกันขำๆเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีคนไม่ขำถึงสองคนแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้น...พี่จูบนิดตอนนี้ได้ใช่ไหม” ด้วยนึกสนุกขึ้นมาอีกจึงได้หยอดมุกหยอกร่างเล็กไปเช่นนั้นร่างสูงก้มลงมาหมายจะฉวยชิงเอาสัมผัสนิ่มจากข้างแก้มของเด็กสาว
“พี่เคน ทะลึ่งละ....เดี๋ยวนิดจะออกไปหาเพื่อนข้างนอกนะ...” ถึงถ้อยคำจะต่อว่าแต่อย่างน้อยบนใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“ยิ้มแล้วแสดงว่าอารมณ์ดีแล้ว....”เคนแหย่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนิดยิ้มน้อยๆก่อนจะบ่ายหน้าไปอีกทาง
ร่างเล็กเดินไปหยิบกระเป๋าถือกับกุญแจห้องและกุญแจรถจากโต๊ะเครื่องแป้ง เคนมองสำรวจเล็กน้อย ในหัวนึกเปรียบเทียบกับห้องนอนของใครบางคนที่เขาไปขลุกอยู่ด้วยเมื่อคืน ห้องของนิดแม้จะดูเป็นสีชมพูหวานไปเสียทุกอย่างแต่ไม่ได้มีตุ๊กตาขนฟูๆวางเรียงรายในห้องเหมือนกับห้องของจูน บนโต๊ะเครื่องแป้งมีของใช้จุกจิกกับกล่องใส่เครื่องสำอางกล่องใหญ่ หนังสือเรียนวางเรียงไว้อีกทางคู่กับนิตยสารแฟชั่นและข่าวซุบซิบดาราซึ่งก็เป็นเหมือนห้องของหญิงสาวทั่วๆไปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความหลงใหลในอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน เคนเผลอยิ้มออกมาน้อยๆยิ่งเมื่อมองไปบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วยังเห็นรูปคู่ที่พวกเขาถ่ายด้วยกันเมื่อคราวเขาตามกลุ่มของนิดและเพื่อนไปเที่ยวเมื่อคราวก่อนติดอยู่กับกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง
“อามรมณ์ดี แต่นิดต้องไปแล้ว พวกต่ายรออยู่...”
“ให้พี่ขับรถไปส่งไหม แล้วเดี๋ยวพี่ขับรถไปรับ” เคนรีบเสนอตัวอีกครั้งในใจเหมือนมีหวังว่าจะได้รับโอกาสจากแฟนสาว คำตอบที่ได้รับคือกุญแจรถที่อีกฝ่ายเดินเอามายัดใส่มือให้ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเพียงแค่นี้ก็ทำให้หายใจทั่วท้องได้แล้ว
.... อย่างน้อย ตอนนี้คงยังไม่คิดจะถีบส่งกูไปไหนล่ะมั้ง.....
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อทั้งคู่เดินลงมาถึงลานจอดรถ ยังเหลือเวลาพอที่จะขับรถไปส่งนิดในเมืองแล้วกลับมาช่วยพวกโชติเก็บของ เขาบอกให้นิดรอสักครู่ก่อนวิ่งไปคว้าถุงใส่เสื้อผ้าที่ซักตากเรียบร้อยแล้วของจูนเดินกลับมาที่รถ
“เอาล่ะ ไปที่ห้างในเมืองใช่ไหม...”
“ค่ะ นิดอาจจะดูหนังกับพวกต่ายด้วย...ตอนแรกว่าจะไปดูกันแก้เซ็งน่ะ”
“ขอโทษนะที่พี่ทำให้นิดอารมณ์เสีย...” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ดวงตาเหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้าที่วางอยู่ที่เบาะหลังและมันไม่ใช่ของเธอแน่
“ถุงนั่นของพี่เคนเหรอคะ”
“ของที่ชมรมน่ะ ตอนแรกจะเอาไปใส่บนเวทีแล้วใส่ไม่ได้ พี่เลยจะเอาไปคืน” เคนโกหกหน้าตาย รู้ดีว่าหากเอ่ยชื่อจูนขึ้นมาอีกคงเป็นเรื่องอีกแน่ๆ
“เหรอคะ...เราไปกันเถอะค่ะ ต้องไปรับพวกต่ายอีก เดี๋ยวไม่ทันดูหนังกันพอดี”
“ครับๆ เจ้าหญิง ...ตามแต่จะบัญชาเลยครับ” เคนไม่วายหยอกล้อให้เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพารถสีแดงสดเคลื่อนตัวออกจากบริเวณหอพักไป
ระหว่างทางที่จะไปถึงห้างในตัวเมือง เคนเหมือนถูกกลุ่มเพื่อนของนิดต่อว่าเล็กๆกับการกระทำเมื่อคืน ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้รู้ที่มาที่ไป และไม่ได้รู้จักเขาและจูนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆไม่ได้ ทำให้พอจะรู้แล้วว่ากลุ่มเพื่อนนั้นมีอิทธิพลต่อแฟนสาวของเขาแค่ไหน นิดถึงได้แต่หัวเราะเบาๆตลอดทางแบบนั้น
“พวกผู้หญิงนี่ก็.....เฮ้อ....”
เคนถอนหายใจยาวพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวรถหวังจะกลับไปให้ทันช่วยพวก โชติและยุทธ์เก็บของที่ชมรม ตอนนี้เขาคงจะรู้สึกสบายใจกว่าหากได้พูดคุยกับคนที่อย่างน้อยก็สามารถพูดคุยและอยู่ได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดใจ ถนนหลวงทางตรงมุ่งกลับสู่มหาวิทยาลัย สองข้างทางคลาคล่ำไปด้วยรถเคนค่อยพารถสีแดงของนิดแทรกผ่านการจราจรไปเรื่อย ตาเหลือบมองเห็นถุงเสื้อที่ตั้งใจว่าจะนำไปคืนเจ้าของในใจพาลคิดไปว่าถ้าได้นำไปส่งคืนให้แล้วจะได้รับเสียงตอบรับกลับมาว่าอย่างไร
“..... เออ.....ก็คิดอะไรแปลกๆนะเรา” เคนหัวเราะเบาๆก่อนจะกดคันเร่งลงไปอีกเล็กน้อย รถสีแดงคันเล็กพุ่งฉิวไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย
.........................................
รถสีแดงคันเล็กแล่นเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้หน้าตึกของห้องชมรมตามหลังรถสีขาวของยุทธ์เข้ามาแบบติดๆ ตรงตามเวลานัดพอดี เคนจอดรถเขาเหลือบไปเห็นว่านอกจากยุทธ์แล้วยังมีโชติและจูนติดสอยห้อยตามมาด้วย นี่ยุทธ์คงไล่รับกันมาทีละคนเป็นแน่ ชายหนุ่มเหลือบมองที่กระจกมองหลังเห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ทำให้เขาคิดมากเมื่อคืนนี้ จูนยืนอยู่ข้างรถพร้อมกับยุทธ์ ยังคงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมเหมือนเคยเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
....ความจริง มันก็คงไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่รึไง...
“พี่เคน....เมื่อเช้าจะกลับทำไมไม่เห็นปลุกอ่ะ...จะได้ไปหาอะไรกินกันก่อน...” ทันทีที่เห็นเคนดับเครื่องยนต์แล้วออกมาจากรถ ร่างสูงโปร่งของจูนก็เดินตรงเข้ามาหาทันที
“ก็...เอ่อ...นึกได้ว่ามีธุระแล้วก็...เอ่อ...ก็เห็นแกนอน พี่ไม่อยากปลุก” ท้ายเสียงของเคนนั้นเบาลงไปจนแทบไม่ได้ยินเสียงจนแม้แต่เจ้าตัวเองยังแปลกใจ จูนได้แต่มองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกมาเสียงของยุทธ์ก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับช่วงแขนที่สวมกอดจูนจากทางด้านหลัง
“คุยอะไรกัน...เรื่องที่ไอ้เคนมันหนีกลับตอนเช้าน่ะเหรอ ....ทำอย่างกับพวกได้แล้วทิ้งอย่างนั้นล่ะ”
“พี่ยุทธ์! พูดอะไรแบบนั้นอ่ะ...” จูนโวยลั่นทันทีใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว...ก็นึกว่าไปปรับความเข้าใจแล้วก็...ปล่อยให้มันเลยตามเลย” ยุทธ์ยังไม่วายกวนประสาทด้วยคำพูดสองแง่สามง่ามในสำเนียงยียวน ท่าทางของยุทธ์ทำให้เคนขมวดคิ้วเล็กน้อย
.... นี่เล่าให้ไอ้ยุทธ์ฟังด้วยเหรอ...
....เผาอะไรกูไปบ้างวะเนี่ย...... .
“ไอ้ยุทธ์พอเลยมึง คนเขาไม่ได้คิดแต่เรื่องใต้สะดือแบบมึงได้ทุกวันหรอกนะ” เคนพูดแล้วยื่นมือใหญ่ไปล็อคคอของยุทธ์ให้ถอยออกห่างจากจูน “นับวันยิ่งปากหมานะมึง”พูดพลางยิ้มเย็น เขาไม่อยากได้ยินยุทธ์พ่นคำอะไรแปลกๆออกมาอีกด้วยรู้ดีว่าคำเหล่านั้นจะแสลงหูจูนอยู่ไม่น้อย
“เอ้าเฮ้ย....พวกมึง มาช่วยกันหน่อยไม่ได้รึไงวะ ทางนี้กำลังต้องการแรงงานนะเว้ย” โชติรีบกวักมือเรียก เมื่อต้องยกกล่องอุปกรณ์ขนาดใหญ่ออกจากหลังรถของยุทธ์
“เฮ้ย พี่โชติไม่ต้องเดี๋ยวผมยกเอง” แต่จูนรีบปราดเข้ามาช่วยยกทันที สองแขนถลกแขนเสื้อขึ้นเหนือหัวไหล่ ก่อนจะสอดมือเข้าไปรับกล่องมาจากโชติ “ฮึบ!” แต่เพราะน้ำหนักของกล่องทำให้จูนต้องเดินเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล
“เฮ้ย จูน แกไหวเหรอนั่นน่ะ...ให้ช่วยป่ะ” เห็นท่าทางเก้ๆกังๆของเด็กหนุ่มร่างสูงทำให้เคนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่เป็นไรพี่ ผมไหวๆ......” แต่จูนก็ปฏิเสธความช่วยเหลือ
“อวดเก่งอีกละ....เดี๋ยวตกลงมาของพังกูไม่ช่วยออกเงินซ่อมนะเว้ย” เคนบ่นเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดี ดวงตาคมมองเด็กหนุ่มค่อยๆเดินตรงไปที่บันไดจะขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องชมรมการแสดง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากให้ทั้งคนทั้งของตกลงมาเหมือนกัน
“เอาล่ะ....” จูนตั้งท่าก้าวขึ้นไปทีละก้าว แต่เพราะความสูงของกล่อง กับฟ้าที่เริ่มมืดทำให้มองไม่ค่อยเห็นบันไดที่อยู่ด้านหน้า ปลายเท้าก้าวหมายจะแตะให้ได้อีกขั้นของบันไดแต่ดูเหมือนว่าจะก้าวไปไม่ถึง ร่างสูงโปร่งถึงกับเอนไปด้านหลัง “เหวอ....
“ จูนร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อแรงโน้มถ่วงกำลังจะฉุดเขาให้ตกลงจากบันได เด็กหนุ่มผวาแต่มือยังไม่ยอมปล่อยกล่องอุปกรณ์ จูนหลับตาแน่นรอรับแรงกระแทกเมื่อต้องล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นด้านล่าง แต่ทั้งๆที่เตรียมใจแล้วกลับรู้สึกได้ถึงแรงดันจากด้านหลังอ้อมแขนที่กางกั้นระหว่างราวบันไดทั้งสองข้างนั้นช่วยรับน้ำหนักเขาเอาไว้ส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปมอง
“พี่ยุทธ์...?!”
“เดินระวังหน่อยซิ่วะ ....ล้มหัวแตกขึ้นมาว่าไง...” ยุทธ์ว่าพลางดันให้จูนยืนดีๆ
“ขอบคุณครับพี่....” เด็กหนุ่มยิ้ม “ความจริงพี่ไม่น่าเลย ผมตัวใหญ่กว่าพี่อีก พี่รับไม่ไหวขึ้นมาว่าไงเนี่ย เดี๋ยวตกลงไปเป็นแผลหน้าถลอกขึ้นมาจะทำยังไง” ยังไม่วายที่จูนจะห่วงใบหน้าของยุทธ์
“เจ้าบ้า ก็ต้องห่วงตัวเองก่อนแล้วค่อยมาเรื่องคนอื่นไม่ใช่รึไงประสาทจริงไอ้เด็กนี่” ยุทธ์หัวเราะกับความคิดของอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นปัดผมหน้าของจูนเบาๆ เคนที่กำลังยกชองออกจากรถมาวางไว้ที่ตรงหน้าบันไดยืนมองภาพนั้นก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เหมือนเขารู้สึกหงุดหงิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
..... ไหนว่าไม่ชอบให้ใครเล่นหัวไง....
“มา เดี๋ยวช่วยขนจะได้เสร็จสักที “ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือออกไป แต่ไม่ทันจะได้รับกล่องพลาสติกนั่นมา เจ้ากล่องเจ้าปัญหากลับถูกมือที่สามคว้าไปเสียอย่างนั้น
“พอๆ ไม่มีแรงพอกันทั้งคู่ก็ช่วยหลบๆไปเลย คนจะทำงาน” ไม่พูดเปล่ากล่องพลาสติกที่คิดว่าหนัก เคนกลับยกขึ้นไหล่เดินขึ้นบันไดไปอย่างสบายๆ เสียงฝีเท้าลงหนักๆดังตามขั้นบันไดขึ้นไป จูนและยุทธ์ได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าอยู่ๆเคนก็เกิดอารมณ์หงุดหงิดอะไรขึ้นมา
“เมื่อกี้มันว่าพวกเราเกะกะมันทำงานเหรอ จูน” ยุทธ์หันมาถามท่าทางแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ยุทธ์ ผีเข้าผีออกอีกล่ะมั้ง” จูนยักไหล่ เขาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน
“เฮ้ย ของไม่ได้มีลังเดียวนะเว้ย มีกล่องเสื้อผ้าอีก มาช่วยกันเร็ว” พลันเสียงโชติที่สแตนด์บายอยู่ด้านล่างตะโกนเรียกทำให้ทั้งจูนกับยุทธ์ต้องรีบวิ่งลงไปช่วยขนทันทีและเพราะช่วยกันสี่หนุ่มสี่แรงไม่นานอุปกรณ์กระจุกกระจิกทั้งหลายก็ถูกจัดเก็บเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสี่หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นของห้องชมรม
“เฮ้อ..... ร้อนจริงวุ้ย ตึกชมรมนี่เขาไม่คิดจะบูรณะทำใหม่ติดแอร์อะไรเลยรึไงนะ” เคนบ่นอากาศร้อนๆในห้องชมรมทำให้เขาต้องถอดเสื้อออก สองขาเหยียดยาวอย่างหมดแรง
“งบไม่มีนี่หว่า...จะว่าไป อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชมรมเราก็....ไม่กลับมาจากเมืองนอกสักที...เลยได้แค่เนี้ยะ กิจกรรมคิดเองเออเอง อยากทำอะไรก็ตามใจ แค่...งบไม่เข้าก็เท่านั้นเอง” โชติว่าพลางหัวเราะแห้งๆ เขาพอจะชาชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว พูดไปพลางก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดเป้งบนหน้าผาก
“แล้วเอาไงต่อเนี่ย เก็บของเสร็จแล้ว แกจะซ้อมหนังต่อเลยเหรอโชติ ....กูประท้วงนะเว้ย ร้อนโคตรอ่ะวันนี้ ขอพักก่อนสักวันเหอะ” ยุทธ์โวยขึ้นมา ร่างเล็กใช้ตักของจูนต่างหมอน ดูท่าเหมือนไม่อยากจะลุกอีกแล้ว
“เออ กูยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็โวยซะแล้ว...ไม่ซ้อมก็ไม่ซ้อม แต่ขอถามก่อนว่าแสดงเมื่อวานเป็นไงบ้าง” โชติว่าพลางขยับเข้าไปนั่งหันหน้าเข้าหาทุกคน การสอบถามเรื่องการแสดงและปัญหาที่เกิดขึ้นบนเวทีเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำทุกครั้งหลังจากการแสดงในแต่ละรอบ “เรามีปัญหาอะไรกันบ้าง”
“พี่เคนนอกบทเกินไป....” เสียงจูนเป็นเสียงแรกที่ดังขึ้น แต่ไม่ได้เอ่ยขึ้นเพราะอารมณ์ขุ่นเคืองเหมือนอย่างเมื่อคืน ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายนอกบทไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อมันเป็นปัญหากับการแสดงของเขาเขาก็จำเป็นที่จะต้องพูดออกมาตรงๆ
“เคน...แกจะว่าไง” โชติหันไปถามผู้ที่ถูกพาดพิง
“สำหรับฉันที่นอกบทเพราะจำไม่ได้เป๊ะๆนี่หว่า แต่ส่วนนึงมันก็ทำให้บทมัน เขาเรียกว่าไงวะ ภาษามึงอ่ะ ไอ้โชติ มันมีชีวิต? อะไรแบบนั้นแต่...............”เขาหยุดก่อนจะหันไปมองหน้าของจูน “ถ้ามันจะทำให้เสียสมาธิคราวหน้าก็คงต้องหาทางนัดแนะกันก่อน”
“แต่คนดูก็ชอบไม่ใช่เหรอ เมื่อคืน ไอ้จูนมันแต่งขึ้น สวยจะตาย” ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือขึ้นไปจับข้างแก้มของจูนเบาๆ “เน้อ....”
“ฮ่ะๆ...เขินเลยแฮะเรา” จูนหัวเราะ มือเรียวยกขึ้นแตะข้างลำคอของตัวเองเบาๆ “แต่ผมว่าถ้าพี่ยุทธ์แต่งต้องออกมาดูดีมากแน่ๆเลย...พี่โชติ คราวหน้าให้พี่ยุทธ์แต่งนะครับ” ท่าทางเขินแบบนั้นทำให้คนที่นั่งเหยียดขาอยู่ตรงข้ามกับทั้งจูนและยุทธ์อดจะทำเสียงในลำคอเบาๆด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ปลายขายกขึ้นเตะขาของยุทธ์เบาๆ
“ เฮอะ...ให้มันน้อยๆหน่อย กูจะอ้วก”
“อะไรล่ะพี่เคน...น้อยใจที่ตัวเองโดนทาหน้าขาวจนไม่หล่ออ่ะดิ่” จูนหันมาทำหน้าทำตาใส่ดูยียวนกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
“รับไว้พิจารณา” โชติเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“อ้าว เฮ้ย...มึงเอาจริงสิ?” ยุทธ์พลิกตัวหันมามองหน้าของโชติทันที
“อื้ม จริงดิ่ เรื่องหน้ามึงเป็นนางเอก...” คำนั้นของโชติทำให้เคนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เยี่ยม งั้นคราวหน้าจะได้ดูไอ้ยุทธ์ใส่กระโปรง” เคนยังคงหัวเราะชอบใจ
“สาด อย่างน้อยกูคงดีกว่านางผียักษ์ใส่ยกทรงกับกระโปรงแดงเมื่อต้นเทอมล่ะวะ” ไม่พูดเปล่าส่งฝ่าเท้ามาถีบเคนเข้าอีกรอบ
“เอ้าๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันละกันนะเรื่องนั้น แต่เรายังมีงานช้าง งานยักษ์ที่ซ้อมไม่จบไม่สิ้น ยังไม่ได้เริ่มถ่าย อุปกรณ์สถานที่ยังไม่ได้หา แต่ดันเหลือเวลาอีกแค่สองเดือน”โชติร่ายมาเสียยาวแบบนี้ทุกคนก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียว
“หนังสั้น”
“ใช่หนังสั้น ที่ฉันเป็นห่วงคือ ฉากเลิฟซีน แต่หลังจากที่เห็นเมื่อวานแล้ว คงยังต้องห่วงต่อไป เคนกับจูนกูรู้ว่าพวกมึงไม่ชอบนะ แต่....ช่วยทำใจให้อินกับบทแล้วแสดงไปตามธรรมชาตินะ ขอร้อง ไปซ้อมกันมาหน่อยก็ได้ อย่างน้อยจะได้ไม่เขิน”
“ก็...ถ้าให้ทำใจกันก่อนก็คงพอไปไหวอ่ะพี่” จูนอ้อมแอ้มตอบ เขาไม่ถนัดนักกับการด้นสด ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นเคนด้วยแล้วมันตั้งรับลำบากเสียเหลือเกิน
“เฮ้ย จูน นี่ต้องทำใจกันเลยเหรอ เล่นละครนะเว้ย ไม่ได้จะไปรบ” เคนจะยกขาเตะจูนเบาๆก็ยั้งไว้ก่อนด้วยกลัวจะดีดเข้าหน้ายุทธ์ที่นอนหนุนตักอยู่เข้าให้
“เล่นละครกับพี่ก็เหมือนส่งผมเข้าสนามรบทุกวันนั่นล่ะ” จูนไม่วายเถียงกลับ
“เอาน่าๆ ก็ไปซ้อมกันมาด้วย อย่าลืม กอด จูบ ลูบ คลำนี่ต้องไม่เขินแล้วนะเว้ย กูขี้เกียจจะเทคไหม” โชติกำชับท่าทางเอาจริงใช่ย่อย
“ถ้าขี้เกียจเทคให้มันเล่นกับกูดิ่ รับรองโคตรไหลลื่น...” ยุทธ์ลุกพรวดขึ้นมาสองแขนกอดจูนหมับเหมือนลูกหมีโคอาล่าเกาะต้นยูคาลิปตัส “แบบเนี้ยะๆ....” ไม่พูดเปล่าโน้มคอจูนมาหอมแก้มซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จนแม้แต่เจ้าตัวยังต้องเบือนหน้าหนี
“ว้าก....พี่ยุทธ์ไม่เอา เหวอ...จักกะจี้เว้ย.....” แต่ถึงจะโวยวายไปก็หัวเราะไป ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวเหมือนตอนที่เคนแกล้งในตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังคว้าหน้าของยุทธ์มาพยายามจะเอาคืนด้วยการหอมแก้มคืนอีกต่างหาก เคนเหลือบมองไปทางโชติที่ดูจะเหนื่อยหน่ายกับการหยอกล้อของทั้งสองคนเต็มที จึงได้เอ่ยปากออกไปด้วยท่าทีไม่พอใจสักเท่าไรนัก
“เฮ้ย เลิกเล่นได้ละพวกมึง...ไอ้โชติมันคุยอยู่นะ...” เคนดุจนทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกก่อนจะแยกออกจากกันแล้วหัวเราะเบาๆ เคนถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาหงุดหงิดเพราะอะไรกันแน่ ที่แน่ๆเขารู้ตัวว่าเขาใช้น้ำเสียงที่เข้มกว่าที่ควรจะเป็น
“งั้นไว้คราวหน้าก็จะให้จูนเล่นกับยุทธ์ก็แล้วกัน” คำตอบของโชติทำให้เคนต้องหันไปถลึงตามองด้วยความประหลาดใจ
“เยี่ยม งั้นตามนั้น” ก่อนจะได้ยินเสียงจูนสนับสนุนอีกเสียง จนเคนต้องหันควับกลับมามองทันที
...กร๊อบ... ได้ยินเสียงกระดูกคอลั่นเต็มสองหู
“โอ้ย...คอกู...”
“เอ่อ..... เอาเป็นว่ามะรืนนี้ค่อยมาซ้อมกันใหม่ละกัน จูนเตรียมคิดเรื่องเสื้อผ้าด้วย ส่วนยุทธ์ก็ต้องไปหาโลเคชั่นกับกู...ส่วนเคนไปช่วยไอ้จูนมันก็แล้วกัน” โชติตัดบทพร้อมสรุปเสร็จสรรพ “เอาล่ะ กลับกันดีกว่าพวกเรา”
“เฮ้ย จูนกลับกับพี่ป่ะ...” ชายหนุ่มร่างเล็กอย่างยุทธ์ลุกขึ้นบิดซ้ายขวาก่อนจะหันมาหาคนที่เป็นหมอนให้เขามาพักใหญ่
“เอ่อ...เหวอ...” เจ้าของผมสีบลอนด์ดูมีสีหน้าลังเล ร่างเพรียวพยายามจะลุกแต่เพราะนั่งทั้งๆที่มียุทธ์นอนหนุนตักอยู่นานทำให้ยืนได้ไม่มั่นคงนัก ร่างสูงโปร่งของจูนเซไปด้านหน้าแต่โชคยังดีที่แขนแกร่งของเคนเข้ามาพยุงเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย อะไรวะไอ้จูน แค่มีไอ้ยุทธ์นอนหนุนตักแค่นี้ก็เข่าอ่อนแล้วเหรอ“ จูนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มที่สุดแสนจะกวนประสาทนั้นทันควัน เห็นรอยยิ้มกว้างแปะอยู่บนใบหน้าคมของเคน
“......ลองไปนั่งเองไหมล่ะครับ” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง “แต่อย่างพี่คงไม่สะทกสะท้านหรอก หนังหนากระดูกไดโนเสาร์นี่นะ”
“เออ จะว่าไงก็เหอะ ไป...กลับกับพี่ ให้ไอ้ยุทธ์มันขับรถข้ามเมืองไปอีกเปลืองน้ำมันตาย บ้านมันรวยแต่พ่อมันไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันนะเว้ย” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งคว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามจนแทบจะเรียกว่าลากตัวออกจากห้องชมรมเสียมากกว่า ปล่อยให้ยุทธ์กับโชติยืนมองหน้ากันงงๆ ยุทธ์เผลอชี้มือเข้าตัวเอง
“พ่อกูไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันอ่ะ แต่พ่อกูเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน”
..............................................to be continued
-
เกิดอะไรขึ้นในใจของพี่เคนกันนะ หุหุหุหุ น้องจูนนี่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงภัยใกล้ตัวเลย
เกิดอิพี่เคนมันหน้ามืดล้มทับกลิ้งๆๆๆๆ น้องจูนจะแย่เน้ออออออออ
ปล. ไม่เอายัยนิดและคณะได้มั้ยอ่ะ
-
ตราบใดที่พี่เคนมีนิดก็ห้ามยุ่งกับจูนนะ
เกิดน้องมันรักมันชอบแล้วจะลำบาก
ผญนี่เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าถึง
-
@@@talk@@@
จะมีให้ลุ้นกันบ้างไหมนะ :hao3:
...............................................
-12-
แสงไฟหน้าของรถยนต์สีแดงคันเล็กสาดส่องไปตามถนนลาดยาวที่เป็นทางตรงยาวออกจากมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มสองคนนั่งเคียงข้างกันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศภายในรถที่นิ่งสนิท มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องโดยสารดังเบาๆคลอกับเสียงเพลงแนวบอสซ่าหวานหูดังคลอไปในแบบที่ขัดโดยสิ้นเชิงกับอารมณ์ของผู้โดยสาร
“รถพี่เคนเหรอ ไม่เคยเห็น ...”ถามไปพลางดวงตาก็สอดส่ายสายตาสำรวจไปพลางทุกอย่างในรถให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงอย่างบอกไม่ถูกไม่ได้เข้ากับร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย
“รถของนิดน่ะ....” เคนตอบเบาๆ
“อ่อ...ของคุณแฟน....” จูนเองก็รับคำเบาๆ เช่นกัน เด็กหนุ่มก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเองเล็กน้อย “แล้วเอามาขับแบบนี้ แฟนพี่เขาไม่ว่าเอาเหรอ...ไหนว่าน้ำมันแพงไง”
“แพงพี่ก็จ่ายเอง...แต่ยังไงเดี๋ยวก็ต้องไปรับเขาอยู่แล้ว เขาก็คงไม่ว่าอะไร” เคนตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่หิวรึยัง ไปหาอะไรกินก่อนส่งแกเข้าหอก็แล้วกัน”
“เลี้ยง?....ลาภปาก งั้นไปกันเลยพี่ชาย” จูนรู้สึกได้ถึงท่าทีแปลกๆของเคน แต่เขาไม่แน่ใจนักว่าความแปลกที่รู้สึกได้นั้นมันคืออะไรจึงได้แต่แหย่ออกไปแบบนั้น
“ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้ตัวแสบ ยังไม่ทันบอกเลยว่าจะเลี้ยง...” เคนหัวเราะเบาๆขณะเร่งคันเร่ง อยู่ๆก็นึกถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อขึ้นชื่อใกล้ๆกับหอพักของจูนขึ้นมาได้ “กินเนื้อได้ใช่ป่ะ “
“อื้ม กินดิ่ ถามไมอ่ะ...”
“เห็นเป็นอาตี๋น้อย นึกว่าจะนับถือเทพเจ้าแบบจีนๆอะไรแบบนั้น บางคนเขาไม่กินเนื้อไม่ใช่หรือไง”
“อ๋อ เจ้าแม่กวนอิมน่ะเหรอที่บ้านก็นับถือนะ แต่...ผมไม่เคร่งน่ะ มีอะไรให้กินก็กินหมดล่ะ กินง่าย อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย....เพราะฉะนั้นป๋าเคนก็เลี้ยงนะวันนี้ เย้ ขอบคุณครับ” สรุปเองเสร็จสรรพไม่พอยกมือกราบแทบอกงามๆไปอีกหนึ่งรอบ
“เฮ้ย...ไอ้จูน เล่นบ้าอะไรวะ ขับรถอยู่นะเว้ย” เคนโวยพลางดันไหล่ของอีกฝ่ายออก กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมสีทองของเด็กหนุ่มทำเอาหายใจหายคอไม่สะดวกไปครู่หนึ่ง เคนขยับคอเสื้อของตัวเองเบาๆก่อนจะเหลียวซ้ายขวาดูทิศทางรถแล้วหมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทาง
“เออ....เลี้ยงก็เลี้ยง...”
…………………………
ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เปิดตั้งแต่เช้ายันดึกดื่นที่อยู่ริมถนนยังคงมีลูกค้าแน่นเต็มร้าน แต่กระนั้นทั้งสองหนุ่มยังหาที่นั่งให้ตัวเองได้ต่างก็พากันสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินกันคนละสองชาม
“แล้วไปไงมาไง ถึงได้มากับเจ้ายุทธ์ได้ล่ะ...” เคนเอ่ยปากถามพลางหยิบเครื่องปรุงมาปรุงรสให้ก๋วยเตี๋ยวของตัวเอง
“ก็...พี่ยุทธ์เขามาทำธุระให้พ่อ หอผมเป็นทางผ่านเลยแวะมารับอ่ะ” จูนตอบยังง่วนอยู่กับการหาตะเกียบที่ยาวเท่ากันมาใช้
“เหรอ... แล้วคุยอะไรกัน เจ้ายุทธ์มันถึงได้รู้เรื่องพี่ไปนอนหอแกเมื่อคืน”
“ก็คุยกัน....อ่ะ....ผมไม่ควรเล่าเหรอ...” จูนเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อย
“เปล๊า....ก็ไม่ได้ว่าอะไร” รุ่นพี่ยักไหล่พลางเสมองไปอีกทาง เขาอยากจะดูสิว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร
“ถึงผมจะพูดเรื่องพี่มานอนที่ห้องแล้วแก้ผ้าอย่างหน้าไม่อาย แต่ผมไม่ได้พูดเรื่องที่พี่ทะเลาะกับแฟนพี่หรอกนะ” เด็กหนุ่มยืดหลังนั่งตัวตรงทันที สีหน้าที่มองมานั้นจริงจัง จนเคนอดจะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
“เออๆ....เข้าใจแล้ว.....” เคนรับคำ ดวงตาคมมองใบหน้าของรุ่นน้อง “แล้วก็.....ขอบใจนะ” พูดพลางยิ้มให้
“อ่า...ครับ....” เด็กหนุ่มรับคำมือเรียวยกขึ้นแตะข้างลำคอเหมือนที่ชอบทำทุกครั้ง
จูนที่วันนี้ไม่ได้เขียนอายไลน์เนอร์และไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เหมือนอย่างทุกครั้งกำลังนั่งทำหน้ายิ้มแปลกๆยู่ตรงหน้า ไอร้อนจากบรรยากาศรอบด้านก็ทำเอาผิวขาวแบบเชื้อจีนนั่นแดงไปหมดจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าที่นั่งหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงหน้านี่เป็นเพราะคำพูดของเขาหรือบรรยากาศรอบข้างกันแน่
“ฮ่ะๆ....ยิ้มอะไรของแก เอ้ากินเร็วๆ จะได้พาไปส่งหอ” เคนเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยนี่อาจจะใกล้เวลาที่เขาจะต้องไปรับสาวๆ กลับจากที่ห้าง
“จะรีบไปรับคุณแฟนล่ะสิ...ครับๆ จะรีบกิน” ไม่พูดเปล่ารุ่นน้องผมทองก็คีบเส้นหมี่สูดเข้าปากไปคำใหญ่
“เอ้า ใจเย็นๆ เดี๋ยวติดคอตาย ไม่รับผิดชอบนะเว้ย” เคนหัวเราะเบาๆ มือแกร่งยกขึ้นจะขยี้ผมของอีกฝ่ายแต่ก็ยั้งมือเอาไว้ก่อน “......กินๆเข้าไปละกัน”
มื้อเย็นเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อคนละสองชามช่วยทำให้รู้สึกมีแรงขึ้นมาได้อีกหน่อยเมื่อเคนกับจูนกลับขึ้นรถ บรรยากาศในรถดูดีขึ้นมากเพราะระหว่างมื้ออาหารทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น เคนไม่แน่ใจนักว่าเขาเผลออมยิ้มไปกับคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายบ่อยครั้งแค่ไหน....และมันทำให้รู้สึกดีไม่น้อย เพราะตามปรกติแล้วมักเป็นเขาที่รู้สึกว่าจะต้องทำให้คู่สนทนาหัวเราะอยู่เสมอ
“ความจริง...แกนี่ก็คุยเก่งเหมือนกันนะ จูน” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆขณะเหยียบคันเร่งให้รถสีแดงคันเล็กลัดเลาะไปตามซอกซอยที่เขารู้ว่าจะเป็นทางลัดไปยังหอพักของจูน
“จะบอกว่าผมพูดมากก็บอกมาเถอะ....แต่ปรกติผมพูดได้เรื่อยๆนะ ถ้าสนิท”
“ ....ถ้าสนิท? ….แสดงว่าก่อนหน้านี้แกกับพี่ไม่ได้สนิทกันงั้นสิ?....” เคนเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะสงสัยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่ใช่แบบนั้น ยังไงดีล่ะ ...สนิทของผมคือถ้าไม่เขินเวลาคุยด้วยก็เป็นสนิทล่ะมั้ง”
“เหรอ...งั้นกับยุทธ์ก็สนิทกันมากเลยงั้นสิ?”
“อื้ม ก็สนิท” จูนตอบสั้นๆ คำตอบสั้นๆที่เหมือนไม่ลังเลอะไรที่จะตอบ
“เฮ้อ...อะไรก็ไอ้ยุทธ์ตลอดเล้ย....เอาเป็นว่า คราวหน้าคราวหลัง นอกจากเรื่องให้ไปส่งที่หอหลังเลิกซ้อม มีอะไรจะให้พี่ช่วยก็บอกละกัน แต่เรื่องหนังสือหนังหาไม่ต้องมาปรึกษานะเว้ย ไม่รับปรึกษาปัญหาการเรียน....แกหัวดีกว่าพี่เยอะ”
“เยี่ยม งั้นวันไหนพี่เคนก็สอนผมขี่มอเตอร์ไซค์...สอนผมต่อยมวย ด้วยก็แล้วกัน....” จูนหันมายิ้ม
“เอางั้นเลยเหรอ...ได้ๆ....” เคนรับปากทันที น่าแปลกที่รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในอกเหมือนใจเต้นแรงจนรู้สึกได้แต่กระนั้นก็ยังพยายามเก็บอาการเอาไว้ “ไว้วันไหนแกว่าง ก็บอกแล้วกัน จะพาไปชกกระสอบ”
“อื้ม” จูนยิ้มกว้าง
......................................
แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปตามซอยแคบๆ จนกระทั่งมาจอดที่หน้าหอพักของจูน เคนจอดรถหลบเข้าข้างทางเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงเสื้อผ้าของจูนที่เขารีบซักให้ตั้งแต่ช่วงเช้า
“เอ้า นี่ของแก พี่ซักให้แล้ว” จูนรีบรับของไปเปิดดูทันที
“โห....พี่เคน รีบซักรีบคืนไปป่ะ ความจริงไม่น่าเลยนะผมซักเองก็ได้”
“เอาเหอะน่า....แล้วก็อย่าไปบอกไอ้ยุทธ์มันล่ะว่าพี่ทำแบบนี้....” รุ่นพี่หนุ่มกระแอมไอเบาๆ ความจริงก็เขินอยู่ไม่น้อย
“ครับๆ จะเก็บไว้เป็นความลับ...” จูนว่าพลางก้มลงมองเสื้อผ้าของเขาที่อยู่ในถุง ท่าทางดีใจไม่เบา เคนเหลือบมองใบหน้านั้นแล้วเผลอยิ้ม ดวงตาคมพิจารณาใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม สันจมูกโด่งได้รูป ตาเรียวแบบคนเชื้อจีนแต่ก็เป็นประกายชัดเจน ริมฝีปากได้รูปสวย
“เออนี่...พูดถึงเรื่องสนิทไม่สนิท ...พี่ว่าแกก็เพลาๆเรื่องเล่นกับไอ้ยุทธ์มันหน่อยก็คงจะดีนะ”เคนพูดขึ้นมาเบาๆ
“เพลา? เรื่องอะไรอ่ะพี่?” จูนหันกลับมามองหน้าของเคนทันที รุ่นพี่ร่างใหญ่ไม่ได้ตอบทันที เขาหันมาครึ่งตัวช่วงแขนยาวยกพาดเบาะที่นั่งด้านข้างคนขับ พื้นที่แคบๆของรถอีโคคาร์คันกระจิ๋วดูแคบไปถนัดตา เคนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสบตากับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
“ก็ที่แกเล่นให้ไอ้ยุทธ์มันกอดมันหอมแก้มอยู่นั่นน่ะ....มันชวนคนเขาเข้าใจแกผิดไม่ใช่หรือไง ก็ถ้าเพลาๆหน่อยมันจะได้ไม่มีปัญหา....แบบเมื่อคืนอีกไง” ท้ายเสียงแผ่วลงเล็กน้อย ใบหน้าคมเบือนหน้าไปอีกทาง
“พี่เคน...ห่วงผมเหรอ” จูนถามกลับมา
คำถามที่ได้รับทำให้หัวใจของรุ่นพี่กระตุกเบาๆ เขาไม่ได้ตอบแต่รับคำน้อยๆในลำคอ อีกใจก็อดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าจะไปเป็นห่วงเป็นกังวลกับเรื่องของอีกฝ่ายทำไมนักหนา
“ก็เดี๋ยวมานั่งจ๋อยเป็นหมาหงอยเวลาโดนใครว่ามาอีก... ไม่มีใครเขาอยู่เถียงแทนแกได้ตลอดหรอกนะ” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งที่วางพาดเบาะข้างคนขับก็ยกขึ้นจะขยี้เส้นผมสีทองของอีกฝ่าย แต่จูนกลับขยับตัวหลบทันทีในพื้นที่แคบๆแบบนี้ไม่มีที่ให้เขาหลบไปไหนได้มากนัก
“อะไร? เล่นหัวไม่ได้เหรอ? ทีไอ้ยุทธ์ยังให้จับได้เลย” เคนถามไม่วายพาดพิงบุคคลที่สามที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อวาน
“ก็พี่ยุทธ์เขาไม่ได้ทำให้ผมตกใจแบบนี้นี่....” จูนตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตารีเสมองไปอีกทาง อันที่จริงเขาพูดความรู้สึกของตนเองไม่หมดด้วยกลัวอีกฝ่ายจะล้อเลียนอีก...ความรู้สึกเขินที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้
“ถ้าอย่างนั้น... “เคนยิ้มเขาเอนตัวไปพิงประตูรถด้านหลังทำท่าเหมือนขบคิดเล็กน้อย
“ถ้าพี่บอกก่อนหรือว่าให้สัญญาณก่อนว่าจะจับ แกก็จะไม่หนีพี่ใช่ป่ะ...ถ้างั้น...” เคนยกมือขวาขึ้นให้อีกฝ่ายมองเห็นก่อนจะยื่นมือเข้าไปใกล้ แล้วยกมือขึ้นวางลงบนเส้นผมสีทองของจูนเบาๆ
“อ่ะ....”
เห็นได้ชัดว่าจูนรู้สึกประหม่าแต่เคนก็ยังไม่หยุด มือแกร่งค่อยไล้ลงมาตามแนวของเส้นผมเรื่อยมาจนถึงใบหูบางและปอยผมสีทองที่อีกฝ่ายทัดหูเอาไว้ สันกรามได้รูปและปลายคางมน ทุกสัดส่วนดูลงตัว และทุกสัมผัสที่ส่งผ่านจากปลายนิ้วทำให้รู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งอีกฝ่ายที่สบตากลับมาด้วยท่าทีประหม่าแบบนี้ ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟหน้าหอพักทำให้ใบหน้าของจูนนั้นดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมเผลอมองริมฝีปากบางที่อีกฝ่ายเม้มเบาๆนั่นด้วยความสนใจ ราวกับถูกดูดดึงเข้าไป เคนขยับตัวเข้าใกล้ และใกล้เข้าไปอีกนิด ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นในจังหวะที่ไม่เคยเป็น......
‘!!!! ...... Anywhere I will find you
Like my pulse is beating inside you’…….!!!!!”
(ไม่ว่าที่ใด ฉันจะตามหาเธอ เหมือนชีพจรของฉันมันเต้นอยู่ภายในกายเธอ)
อยู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของเคนก็ดังขึ้น เป็นเสียงเพลงที่นิดเป็นคนตั้งเอาไว้ให้ ไม่พอยังอุตส่าห์อธิบายความหมายให้เสร็จสรรพ ถึงนิดจะบอกว่ามันเพราะ ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ามันเป็นเพลงจังหวะสนุกๆที่มีเสียงนักร้องสาวหวานหูที่เพราะใช่ย่อย แต่ในบางครั้งก็คิดว่าความหมายมันชวนหลอนได้เช่นเดียวกัน
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เคนดันไหล่ของรุ่นน้องออกห่างทันที ใบหน้าคมหันไปมองอีกทางประหนึ่งอยากจะได้เวลาตั้งสติตนเองให้มั่นคงอีกครั้ง
...................สาด เมื่อกี้กูจะทำอะไรวะ................
........ ตั้งสติ เคน ตั้งสติ นี่มันไอ้จูนนะเว้ย ไอ้จูน.........
........ ถึงเมื่อกี้มันจะดู โคตร น่ารักมาก ก็ตามที .......
[/i]
“ขอโทษ...พี่รับโทรศัพท์ก่อน” เคนยกมือขอเวลานอกสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจยกรับโทรศัพท์นั้น
“ครับ...นิด?...โอเค เดี๋ยวพี่ไปรับ” เคนรีบตอบกลับก่อนจะรีบตัดสาน เขาหันกลับมาและพบว่าที่นั่งข้างคนขับนั่นว่างเปล่า จูนเพิ่งก้าวออกจากรถไปเมื่อครู่ ร่างสูงรีบเปิดประตูรถตามลงไปทันที
“จูน! “ ยังดีที่อีกฝ่ายยังไม่ทันก้าวขาไปไหน
“ครับ....” เด็กหนุ่มหันมายิ้มแห้งๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะทำหน้าอย่างไร
“เมื่อกี้ เอ่อ....พี่....ขอโทษ “ เคนไม่แน่ใจว่าเขาควรจะขอโทษในเรื่องอะไรดี
“มะ...ไม่เป็นไร...ผมไม่...เอ่อ...ผมไปดีกว่า พี่เองก็ต้องรีบไปนี่ เดี๋ยวคุณแฟนงอนอีกหรอก” จูนโบกมือแปลกๆ ท่าทางสับสนหากใครเดินมาเห็นคงคิดว่ากำลังเต้นคัฟเวอร์อะไรซักอย่างอยู่เป็นแน่
“อ่ะ...เอางั้นนะ งั้นพี่ไปล่ะ เคนเองก็โบกมือให้กับอีกฝ่ายเช่นกันก่อนที่ร่างสูงจะกลับเข้าไปในรถอีโคคาร์สีแดงคันกระจิ๋วแล้วขับออกไปทันที
........................................
แน่นอนว่าเคนไปถึงที่ห้างช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เพราะพอขับออกมาจากซอยในหอพักของจูนได้เขาก็หักพวงมาลัยรถจอดสงบสติอารมณ์ที่ข้างทาง แต่ถึงจะพยายามทำจิตใจให้สงบก็แล้ว ท่องนโมพุทโธสังโฆก็แล้วแต่ใจก็ยังเต้นจนเหมือนจะกระเด้งกระดอนออกมาทางปากได้
.....กูทำอะไรไปวะนั่น....
.......................................................
“พี่เคน...เหม่อไปไหนเนี่ย ไฟเขียวแล้วนะคะ เดี๋ยวรถคันหลังเขาก็ว่าเข้าให้หรอก...”เสียงนิดว่ามือเรียวเล็กแตะเบาๆที่ไหล่แกร่งของชายหนุ่ม เคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่จะสับสนมากขึ้นจากการกระทำของตัวเอง
“ อ่ะ ฮ่ะๆ....ขอโทษนะ เดี๋ยวพี่รีบไปส่งนิดกลับหอดีกว่าพรุ่งนี้มีเรียนนี่นะ”
.................................................
อีกด้านหนึ่ง คนที่สับสนไม่แพ้กันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี ถึงจะพยายามเปิดเพลงแนวร็อคญี่ปุ่นทีตัวเองชอบให้ดังอยู่ในหูฟังราคาแพงที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วแต่ไม่ได้ช่วยกลบเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
“ ...มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร พี่บ้านั่นมันแค่แหย่เล่นเหมือนทุกที มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร.....”
จูนแทบจะท่องออกมาเป็นบทสวดแบบใหม่เผื่อจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้บ้าง ทั้งๆที่เขาเองก็เห็นด้วยสองตานี้ ใบหน้าที่ใกล้เข้าของเคน สายตาและท่าทานั้นแปลกแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง ไม่ใช่การแหย่เล่นเหมือนทุกที แต่กระนั้นก็ยังไม่อยากจะคิดเป็นอื่น เคนคงแค่เพี้ยนแหย่เขาเล่นเหมือนทกครั้ง ....มันควรจะเป็นเช่นนั้น และเขาเองก็อยากจะเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น
................................................. to be continued
-
เดี๋ยวกลับมาอ่านค่ะ
-
ช่วงเวลาของความสับสน ลังเลเข้ามาแลวววววว
ไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี...น้องจูนสู้ตาย!!!
-
ปาโทรศัพท์ทิ้ง!!!!!!!! จะจูบอีกรอบแระ โหยพลาดเบย
-
ปล่อยให้ผ่านไปได้ไง ตั้ง 12 ตอน แต่ไงก็อ่านทันแล้ว :z2:
ความรู้สึก ที่ค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากความรู้สึก และการกระทำ มันมาพร้อมกับอาการหวงเล็ก ๆ :hao6:
ส่วนหนูจูน ยังไม่ค้นพบตัวเอง แต่กับอาการสั่นไหว เขินอาย เตรียมตัวมีสามีได้เลย :mew1:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ :กอด1:
-
@@@@talk@@@@
เห็นว่ามีคนมาคอมเม้นต์เพิ่มเติม คนเขียนก็ดีใจค่ะ :katai2-1:
เรื่องของเรา มันเรียบๆ อาจจะไม่ค่อยหวือหวาอะไรนัก
แต่หวังว่าจะค่อยๆเข้มข้น(คิดว่านะ) เอาเป็นว่าเราปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน (ของเราด้วย) ดีกว่า
ขอฝากให้ติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ :mew1:
ป.ล. สต๊อกใกล้จะหมดอีกแล้ว อาจจะขอเก็บสต๊อกสักสามสี่ห้าวันก่อนจะโพสต์ใหม่อีกรอบนะคะ
งานยุ่งมาก แต่เราเขียนเป็นการแก้เครียด....ต้องแบ่งเวลาๆ :katai4:
......................................
-13-
เช้าวันจันทร์ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ยังเป็นที่รวมตัวกันของนักศึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาเพื่อมาเรียนวิชาพื้นฐาน ทุกคนดูไม่เร่งรีบที่จะเข้าเรียนเพราะยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเริ่มวิชาแรก โรงอาหารยังคงเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มาขอฝากท้องก่อนเข้าเรียน กลิ่นของอาหารหลากหลายชนิดกับเสียงพี่สาวเจ้าของร้านร้องเรียกลูกค้าโฆษณาเมนูเด่นประจำวัน
“เฮ้ย ไอ้จูน....มาแล้วพวกเรา...” เสียงสาวๆที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะประจำกลุ่มพากันตะโกนเรียกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมทองเดินสะพายเป้มาตามทางเดิน
“ว่าไง....” จูนยิ้มน้อยๆ พลางยกมือทักทายกลุ่มเพื่อน
“ไม่ต้องมาว่าไงเลยแก...มานี่เลยมานี่เลย” เสียงปิ๊กสาวห้าวดังขึ้นพร้อมร่างกลมป้อมที่วิ่งมาลากแขนของเขาให้เดินตามไปนั่งยังโต๊ะประจำกลุ่ม
“เฮ้ยเบาๆ อะไรกัน....โวยวายแต่เช้าอ่ะ”
“เมื่อวันเสาร์แกไปแกรนด์โอเพนนิ่งมาเหรอ?” คำถามและศัพท์แปลกๆที่ถูกยิงมาทำให้จูนต้องขมวดคิ้ว
“หะ? แกรนด์อะไร?”
“ไม่ต้องมาทำไก๋ ก็ที่ไปจูบกับพี่เคนเอกพละมานั่นไง พวกแกเป็นแฟนกันจริงๆอ่ะ” พอถึงคำนี้เท่านั้นสาวๆทั้งกลุ่มก็พุ่งเข้ามาล้อมวงฟังแทบไม่ทัน จูนเหลือบมองซ้ายขวาสายตาของสาวๆที่ล้มรอบตัวเขาอยู่นั้นประหนึ่งฝูงหมาป่าที่กระหายหิว...กระหายใคร่รู้ในเรื่องที่พวกเธอได้เห็นได้อ่านแต่จากในการ์ตูน
“ผู้หญิงอะไรวะ ทำหน้าโคตรหื่น ถอยไปเลย นี่มันไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ก็แค่การแสดงบนเวที” จูนโบกมือปฏิเสธทันที
“ไม่เชื่ออ่ะ ... ก็เห็นแกไปไหนมาไหนกับพี่เขาบ่อยๆ จูนยอมรับมาเหอะ พวกฉันรับได้นะเว้ย เรื่องแบบนี้ธรรมดาจะตาย” เพื่อนสาวอีกคนในกลุ่มก็เสนอหน้าเข้ามา จูนมองใบหน้าของเพื่อนๆอย่างเหนื่อยหน่าย
“เชื่อเถอะ มันไม่มีอะไรให้พวกแกจิ้นกันไปมากกว่านี้หรอก พอ เลิกคิดไปได้เลย” ดวงตาสีน้ำเงินด้วยคอนแทคเลนส์นั้นสบตาเพื่อนๆท่าทีจริงจังยืนยันในคำพูดของตัวเอง
“เลิกคิด...”จูนย้ำ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“แค่นี้ก็ก็เจอไปหลายข้อหาแล้ว...” ถ้าถึงขั้นเพื่อนๆในกลุ่มยังคิดกันไปขนาดนี้ไม่ต้องจินตนาการอะไรก็คงพอจะเดาปฏิกิริยาของคนอื่นๆในคณะได้ เพราะงานนี้ไม่ใช่แค่ลักษณะท่าทางของเขาเท่านั้น ยังมีตัวเสริมเป็นชุดกระโปรงวิกผมแต่งหน้า และขอบคุณเคนที่ช่วยเสริมบทบาทให้ “สมจริง” จนคนเชื่อกันไปครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยแล้ว
................................................
อีกด้านหนึ่งที่คณะวิทยาการจัดการ นิดแฟนสาวของเคนเองก็มาถึงคณะแต่เช้า แน่นอนว่ามีผองเพื่อนนั่งรอจะคุยด้วยอยู่ก่อนแล้ว
“นิด...สรุปว่าเรื่องแกกับพี่เคนนี่เคลียร์กันรึยัง”
“เปิดประเด็นแต่เช้าเลยนะ....ก็...อืม เคลียร์กันแล้ว....พี่เขาก็ขอโทษก็อธิบาย ฉันเองก็ขอโทษพี่เขาไปเหมือนกัน”นิดอ้อมแอ้มตอบ
“อ๊ะ...ดูเหมือนจะมีคนแถวนี้ใจอ่อน....”ต่าย เพื่อนของนิดเอ่ยแซวเมื่อเห็นท่าทางที่เขินอายของเพื่อนร่างเล็ก
“ก็...ก็ไม่เชิงว่าใจอ่อนหรอกนะ แค่...มันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ฉันเองก็แรงไปหน่อย พี่เคนเขาจะโกรธก็ถูกแล้ว...ไปว่าเพื่อนเขาแบบนั้น” อันที่จริงแล้วเรื่องของจูนแทบไม่อยู่ในหัวของนิดอีกต่อไปในเมื่อ เมื่อคืนที่เคนไปส่งเธอที่หอเคนยังกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอด้วยถ้อยคำหวานที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ เพียงแค่นั้นหัวใจของเธอก็เหมือนจะหลุดลอยปลิวไปไกล หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“แต่ที่พี่เขาโกรธนั่นเพราะแกไปว่าเพื่อนคนนั้นของเขาไม่ใช่รึไง ที่แกมาร้องไห้กับฉันว่าพี่เขาตวาดแกซะเสียงดัง...จะว่าโกรธแค่ไหนก็เถอะ แต่ทำแบบนั้นมันไม่ปกป้องเพื่อนคนนั้นมาเกินไปหน่อยเหรอ ก็เห็นกับตาว่า....จูบกันกลางเวทีซะขนาดนั้น” เสียงเจนเอ่ยขึ้น
“เออ จริง....แบบนี้เขาเรียกอะไรดี ร้อนตัว แล้วรีบมาคืนดีกลบเกลื่อนความผิดหรือเปล่าแก” ประหนึ่งเรื่องสนุกที่ชวนให้พูดคุยกันต่อแต่ละคนเสนอแนวคิดของตัวเองที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีแนวคิดใดที่ทำให้นิดสบายใจขึ้นเลยรังแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกระแวงสงสัยมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“พวกแกคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ...แต่พี่เคนเขาก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ที่เขาโกรธเพราะว่าฉันไปเข้าใจเขาผิดด้วยนั่นล่ะ”
“งั้นก็ไม่ต้องไปถามพี่เขาสิ ไปถามเอาจากยัยกระเทยจูนนั่นเลยก็ได้นี่นา” ต่ายเสนอความเห็น
“จะดีเหรอ....”นิดดูมีท่าทีลังเล “เดี๋ยวเจอเขาตอกหน้าหาว่าฉันหึงไม่ดูตาม้าตาเรืออีกจะทำไงล่ะ”
“โอ้ย...นิด หรือเธอจะยอมทนให้มันคลุมเครืออยู่แบบนี้ล่ะ ฉันไม่ได้หรอกนะ ต้องไปคุยให้รู้ด้วยตัวเอง ..” ต่ายว่า
นิดขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะอันที่จริงเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้อง “จำทน” อะไรขนาดนั้น เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี้เอง และพอเข้าใจได้ว่าความใจร้อนด่วนตัดสินไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาสักเท่าไร
“แต่...ทำแบบนั้นมันจะดีเหรอ เหมือนเราจะไปตามเอาเรื่องเขายังไงก็ไม่รู้นี่นา”
“ไม่ได้ไปเอาเรื่อง แค่จะไปคุยให้รู้เรื่องต่างหาก ว่าแต่คนที่ชื่อจูนนี่เขาอยู่คณะอะไรนะ”
นิดส่ายหน้าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อันที่จริงกับคนในชมรมของเคนเธอไม่รู้จักใครเลย เพราะเคนไม่เคยพาเธอไปแนะนำให้ใครรู้จักเลยจนบางครั้งเธอก็อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ว่า เธอไม่ได้รู้รายละเอียดอื่นๆในชีวิตของเคนเลย
“อยากรู้แต่ไม่อยากถามกับพี่เคน ก็ไปถามกับโชติสิ โชติเขาเรียนเศรษฐศาสตร์นี่นา”เจนเสนอ
“เอ้อ วันนี้ฉันมีวิชาเลือกเรียนกับพวกเศรษฐศาสตร์อ่ะ เหมือนจะมีคนชื่อโชติเรียนอยู่ เดี๋ยวไปถามมาให้นะ”ต่ายว่า
“เอาแบบนั้นเลยเหรอ...อย่าดีกว่าต่าย ...” ไม่ว่าจะฟังอย่างไรนิดก็ยังเห็นว่ามันไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลยแม้แต่น้อย
“เหอะน่า... เดี๋ยวไปถามมาแล้วเราไปตามหาคนชื่อจูนกัน ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ เขาปฏิเสธคำเดียวเธอก็จะได้สบายใจไงล่ะ” คำพูดของเพื่อนได้รับการเห็นพ้องด้วยจากอีกหลายๆคนที่พยักหน้าลงเป็นจังหวะเดียวกัน ดวงตากลมโตของนิดมองหน้าของเพื่อนๆอย่างชั่งใจก่อนจะพยักหน้าตกลง
“อืม พวกแกว่ายังไงก็ว่าตามกัน....ได้ข่าวว่ายังไงก็โทรมาหาด้วยนะ ฉันจะรอ”
นิดอดแปลกใจไม่ได้กับคำพูดของตัวเอง ที่สุดท้ายแล้วก็ตอบตกลงจะทำตามที่เพื่อนว่า ขอให้รู้ว่าจูนอยู่คณะไหน เธอก็จะได้ไปถามจูนโดยตรง อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่ง ลึกลงไปข่างในหัวใจของเธอแล้วบางทีเธอก็อาจจะยังไม่วางใจจากเรื่องความสัมพันธ์ของเคนและคนที่ชื่อจูนนั่นเสียทีเดียว
...........................................................
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงเกือบสี่ทุ่มของคืนวันจันทร์ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกของเพลงที่กำลังได้รับความนิยมจากหมู่นักศึกษา ถึงแม้จะมีคนไม่มากแต่ก็นับว่าเป็นจำนวนที่เปิดร้านแล้วไม่ขาดทุนสำหรับคืนวันจันทร์
“เฮ้ย ยุทธ์โทรศัพท์มึงดังอ่ะ... “
“เออๆ.... ฮัลโหลว...สวัสดีครับที่รัก โทรหาพี่ทำไมเหรอจ๊ะ” ยุทธ์เดินกลับออกไปทางหลังร้านที่เขาจะมาช่วยเพื่อนดูกิจการบ้างเป็นบางวัน พยายามหลบเสียงอึกทึกออกไปให้ได้มากที่สุด
“พี่ยุทธ์...ฮัลโหลพี่ ได้ยินผมหรือเปล่าเนี่ย...” เสียงของจูนดังลอดมาตามสาย
“เออๆ ฟังอยู่ แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย โทรมามีไร” ยุทธ์เองก็ต้องตะโกนแข่งกับเสียงเหมือนกันเมื่อเสียงของจูนที่ส่งมาตามสายนั้นก็มีเสียงรบกวนดังไม่แพ้กัน
“ผม...อยู่หน้าร้านพี่เนี่ย”
“หา? มาทำห่านอะไรวะ...เออๆ เดี๋ยวพี่เดินไปหา รอแป๊บ” ถึงจะสงสัยแต่รีบวิ่งที่หน้าร้านทันที ร่างเล็กของยุทธ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ววิ่งเลาะด้านหลังร้านมาที่ด้านหน้า เห็นร่างสูงโปร่งของจูนยืนอยู่ที่ริมถนนด้านหน้าร้าน ท่าทางกระวนกระวาย ยุทธ์หยุดยืนมองท่าทีแบบนั้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
....ทำหน้าตาเหมือนมีปัญหาแบบนั้น....
....ไม่รู้ตัวรึไงว่ามันยิ่งน่าแกล้งน่ะ....
“ว่าไงเรา.... ไหนว่าไม่เที่ยวแล้วทำไมมาหาพี่ถึงร้านล่ะ” ยุทธ์เดินเข้าไปตบบ่าเด็กหนุ่มร่างสูง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองกลับมา
“พี่ยุทธ์....” จูนยกมือข้างหนึ่งขึ้นดึงไหล่ของรุ่นพี่เข้าไปกอด
“เฮ้ย...ไอ้จูน เฮ้ย เป็นอะไรวะ ปล่อยพี่ก่อน....หายใจไม่ออกเว้ย” ยุทธ์ตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ ก่อนจะผละตัวออกห่าง
“ขอโทษ...ผมแค่ดีใจที่เห็นพี่ “ จูนว่า ยิ่งทำให้โชติงงกันเข้าไปใหญ่ ตัดสินใจลากแขนของรุ่นน้องร่างสูงเดินตามไปที่หลังร้าน
“มานั่งนี่เลย...เป็นอะไรมาวะวันนี้...มาทำหน้าจ๋อยเป็นหมาหงอยอยู่หน้าร้านพี่เนี่ย แขกไม่เข้าร้านขึ้นมาว่าไง”
“ขอโทษครับ...ผมแค่ไม่รู้จะไปคุยกับใคร” จูนก้มหน้าลงเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อวานเพิ่งจะสัญญากับเคนไว้หยกๆว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรที่พอจะให้คำปรึกษาได้ก็ให้ปรึกษาได้ทุกเรื่อง แต่เขากลับทำตามสัญญานั้นไม่ได้
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ...” ยุทธ์ว่าพลางลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
“มีผู้หญิงมาตามผมล่ะ วันนี้ที่คณะ....” จูนเอ่ย ท่าทีลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“อ้าว...ก็ดีนี่ มีสาวไหนเขาติดใจแล้วมาสารภาพรักรึไง” รุ่นพี่ผมสีน้ำตาลอดไม่ได้ที่จะแหย่พลางยกมือตบต้นแขนของรุ่นน้องเบาๆ
“เปล่า เขาไม่ได้มาสารภาพรักหรอกพี่....เขามาถามว่า ผมเป็นกิ๊กกับพี่เคนหรือเปล่า...”
“แค่กๆ....อ่อก....โอย แค่กๆ แกว่าอะไรนะ? “ ยุทธ์สำลักบุหรี่อย่างช่วยไม่ได้ ดวงตากลมโตของรุ่นพี่เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมเขามาถามแกแบบนั้นวะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้เคนวะ”
“เอ่อ....เขาคงเป็นแฟนของพี่เคนน่ะครับ ....พี่นิด...อยู่คณะวิทยาการจัดการ”
เมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม ยุทธ์นิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยได้ยินชื่อนิดก็น่าจะเมื่อคืนก่อนที่เคนตะโกนเรียกออกไปพร้อมๆกับที่มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกไปจากกลุ่มคนดู
“อ๋อ...คนนั้นสินะ แล้วทำไมเขามาถามอะไรแกแบบนั้นวะ”
“.................” จูนได้ก้มหน้าลง เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ยุทธ์ฟัง…
…………………………………
วิชาเรียนภาคบ่ายเพิ่งจะเลิก วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่าปรกติเล็กน้อยทำให้กลุ่มของจูนพอจะมีเวลาลงมานั่งเล่นกันอยู่แถวๆโรงอาหารของคณะ ช่วงบ่ายก่อนจะเปลี่ยนชั่วโมงเรียนแบบนี้ถือเป็นเวลาเหมาะสมนักที่จะนั่งล้อมวงกินลูกชิ้นทอดอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของโรงอาหารคณะมนุษย์ จูนรับหน้าที่เดินไปซื้อมาให้สาวๆสองจานใหญ่ กลุ่มของเขามีแต่สาวกินเก่งชนิดกินไม่ยั้งกันทั้งนั้น
“เบาๆหน่อยปิ๊ก เดี๋ยวก็ติดคอตายกันพอดี” จูนปรามเพื่อนร่างอวบที่ดึงลูกชิ้นไก่หายเข้าปากไปทีละสามลูก
“อ้ออันอะอ่อยอี้อา...(ก็มันอร่อยนี่นา).....” ถึงจะฟังไม่ได้ศัพท์นักแต่ก็พอจะจับใจความได้จากสีหน้าและท่าทาง
“ฮ่ะ....ผู้หญิงอะไร” จูนเบ้หน้าเล็กน้อยพลางจิ้มลูกชิ้นเข้าปากบ้าง
“ขอโทษนะคะ....” พลันเสียงหวานที่ไม่คุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะการกินของคนทั้งกลุ่ม เมื่อหันกลับไปดูก็ยิ่งต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีกในเมือคนที่เรียกความสนใจของพวกเธอเอาไว้เป็น นักศึกษาสาวจากคณะข้างเคียง
“มีอะไรเหรอคะ....” แพรสาวหมวยหน้าตาละม้ายคล้ายคนญี่ปุ่นเอ่ยถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
“คือ...ไม่รู้ว่าพวกน้องรู้จัก คนที่ชื่อจูนไหมคะ....ผู้ชาย...เอ้ยไม่สิ กระเทยที่ชื่อจูนน่ะค่ะ” เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทำเอาทั้งกลุ่มต้องหันมองหน้ากันเลิกลัก คนชื่อจูนที่อีกฝ่ายว่านั่นก็พอจะรู้จักอยู่หรอกในเมื่อทั้งคณะมีผู้ชายชื่อแบบนี้แค่คนเดียวเพียงแค่......ไม่ใช่กระเทยตามที่อีกฝ่ายถามหาก็เท่านั้น
“เอ่อ...ก็....” แพรเหลือบมองหน้าจูนเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าจูนมีปัญหากับถ้อยคำแบบนี้มากแค่ไหน
“ผมเองครับ... จูน ....” จูนยืนขึ้นพลางเดินเข้าไปหา หนึ่งคนในกลุ่มนั้นดูคลับคล้ายคลับคราเหมือนเคยพอที่ไหนมาก่อน ร่างสูงโปร่งที่ลุกขึ้นยืนต่อหน้านักศึกษาสาวทั้งสามคนนั้นดูสูงใหญ่กว่ามากเลยทีเดียว
“อึ๋ย....อะไรกัน นิด ไหนว่าเป็นกระเทยไง....ไม่เห็นเหมือนที่แกบอกเลยที่ว่าผมยาวๆสีน้ำตาลไม่ใช่เหรอ” ต่ายว่า
“ก็วันนั้นมันเห็นตอนกลางคืนนี่ต่าย .... ไม่ใช่แบบนี้ด้วย” เจ้าของชื่อดูลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาพบนั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผมสีบลอนด์ทอง หน้าตาแม้ไม่ได้คมคายหล่อเหลาแบบมากมาย แต่ด้วยปรกติจูนทั้งเขียนขอบตาทั้งใส่คอนแทคเลนส์ ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกแต่งตัวเลียนแบบการ์ตูนมายืนอยู่ตรงหน้าที่สำคัญไม่ได้มีท่าทีว่าจะตุ้งติ้งมีจริตจะก้านคล้ายผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย
“แล้วสรุปว่าใช่ไหมล่ะ “เพื่อนอีกคนก็ดูลังเลที่จะพูดต่อเช่นกัน จูนมองท่าทางของทั้งสามคนพลางยิ้ม หญิงสาวร่างเล็กนัยน์ตาคมเข้มที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อนทั้งสองคนนั้นน่าจะใช่คนที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ....ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่คณะแบบนี้
....นี่แสดงว่าคงจะติดใจมากสินะ.....
....และก็คงจะโกรธเรามากสินะ....
“สรุปว่าพวกพี่จะมาคุยกับอะไรกับผมใช่ไหมครับ”แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่นแต่ปากกลับถามออกไป ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแทคเลนส์นั้นหรี่ลงเล็กน้อยยามที่ริมฝีปากนั้นหยักเป็นรอยยิ้ม
“ช...ใช่ ค่ะ พอดีพวกพี่อยากจะคุยอะไรด้วยนิดหน่อย....” นิดเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูสุภาพกว่าที่คิดทำให้แทนตัวเองด้วยคำว่าพี่ไปโดยปริยาย
“นิด.....” แต่ต่ายที่มาเป็นเพื่อนกลับดูไม่พอใจเท่าไรนักที่นิดดูจะทำทีสุภาพกับจูนแบบนั้น “มาด้วยกันหน่อยสิ พวกเรามีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ไม่พูดเปล่ากลับมองจูนชนิดหัวจรดเท้าก่อนจะเดินนำไปอีกทาง โดยมีนิดเดินตามไปติดๆ
“เฮ้ย จูนมันเรื่องอะไรกันวะ” ปิ้กเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก พวกแกกินกันไปก่อนเลย เดี๋ยวมา” จูนโบกมือปฏิเสธก่อนจะรีบเดินตามสองสาวนั่นไปอีกทาง
ทั้งสี่คนเดินไปหาเก้าอี้นั่งห่างออกไปจากกลุ่มของจูนอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มรอให้รุ่นพี่ทั้งสามคนนั่งลงก่อนแล้วจึงค่อยนั่งลงบ้าง ดวงตาสีน้ำเงินพิจารณามองคนทั้งสามที่นั่งตรงหน้าเขา อีกสองคนคงจะเป็นเพื่อนสนิทของนิด ดูออกได้ไม่ยากจากท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนกับภาษาที่ใช้ เด็กหนุ่มรวบรวมสติเมื่อประสานสองมือเรียววางบนขอบโต๊ะ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
“พี่นิด...แฟนพี่เคนใช่ไหมครับ” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย
“ช...ใช่....พี่เองล่ะ”
“ผมเดาว่าพี่กับเพื่อนมีเรื่องอยากจะคุยกับผม เรื่องอะไรเหรอครับ” ถึงในใจจะพอคาดเดาคำตอบที่อาจจะพุ่งตรงเข้ามาปักหัวใจของตัวเองได้ แต่กระนั้นก็ยังจะเอ่ยถามออกไป จูนแค่อยากได้ยินให้มันชัดเจน และเขาคิดว่าอย่างน้อยการที่ให้อีกฝ่ายได้พูดออกมานั้นก็อาจจะช่วยระบายอารมณ์ความรู้สึกอะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง
หญิงสาวทั้งสามคนเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่หนึ่งคนในนั้น คนที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จะเอ่ยออกมา
“เธอเป็นกระเทยใช่ไหม.....”
“.......................” จูนไม่ได้ตอบ หากสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง เขาหลับตาลงหวังว่าจะกลืนเอาก้อนน้ำลายของตัวเองลงไปให้หมด นี่เป็นกี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาต้องมาตอบคำถามเช่นนี้ กี่ครั้งกี่หนแล้วที่รู้สึกว่าคำพูดนั้นแสลงหูเสียดแทง
กี่ครั้งแล้วที่ต้องตอบออกไปว่า...
“ผมไม่ใช่กระเทย....”
“ไม่เชื่อหรอก แอ๊บแมนอยู่ใช่ไหมล่ะ....ในชมรมก็มีแต่ผู้ชายหล่อๆนี่ คงคิดจะเก็บไว้กินคนเดียวหมดสินะ เสียใจด้วยนะ พี่เคนน่ะ เป็นแฟนของนิดเขาล่ะ อย่างเธอน่ะคงจะหมดสิทธิ์นะ” อีกฝ่ายยังถามเขาด้วยท่าทีก้าวร้าว แต่จูนยังคงนิ่ง เขาเคยชินแล้วกับท่าทางแบบนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูก “เข้าใจผิด” ไปในลักษณะนี้
“ถ้าสิ่งที่พี่เห็นบนเวที ทำให้พี่คิดไปได้แบบนั้น ผมจะถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วในฐานะสมาชิกชมรมการแสดง ... แต่พี่เชื่อผมเถอะ ผมไม่ใช่กระเทยจริงๆ” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสุภาพ
“สรุปที่พูดแบบนี้คือจะยืนยันใช่ไหมว่าที่จูบกันนั่นเป็นแค่การแสดง”
“ครับ....พวกผมเล่นบ้าๆบอๆแบบนี้กันเรื่อยๆ มันก็เป็นแค่การแสดง หลังเวทีนั่นแทบอยากจะอ้วกด้วยซ้ำไป” จูนตอบในใจเกิดมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว คำถามที่ทำให้รู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงออกทางสีหน้า ดวงตาสีน้ำเงินของเด็กหนุ่มสบตามองกับนิดที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดูท่าทางแล้วเธอก็คงไม่ได้อยากจะมาที่นี่สักเท่าไร แต่ต่อให้นิดเป็นคนที่อยากจะมาเห็นหน้า ถามไถ่เอาความกับเขาด้วยตัวเอง เขาก็ไม่ได้ว่าเธออยู่แล้วมันเป็นสิทธิ์ของนิด สิทธิ์ของคนเป็นแฟนที่จะหึง....ไม่ว่าอีกคนจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชายก็ตามที
“เข้าใจแล้ว.....” นิดพยักหน้ารับคำน้อยๆ “แต่พี่ขอถามอีกคำนึง....จูน...ใช่ไหม....พี่ขอถามจูนอีกคำนึงนะคะ” ท่าทีของนิดดูสุภาพเรียบร้อยแตกต่างจากเมื่อคืนก่อนที่ดูหัวเสีย และแตกต่างจากเพื่อนอีกสองคนอยู่ไม่น้อย
“ครับ....”
“จูน...ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบทันควัน ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น ดวงตาสีน้ำเงินที่สบตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความสัตย์จริง นิดสบตากับเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนกำลังพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาว
“.....ถ้าเรายืนยันแบบนั้น....พี่ก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจแบบนี้ พี่กลับล่ะ” นิดสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอีกทาง ไม่ได้รอเพื่อนสาวอีกสองคนที่ดูจะยังไม่อยากจะจบความเสียด้วยซ้ำ
.......................................................... to be continued
-
โอ้ย อยากจะไซต์คิ๊กเพื่อนยัยนิ(นี่มันนิสัยสาววิทยาการชัดๆ!!) :fire:
น้องจูนอดทนนะคะ แม่ยกเชียร์อยู่ สู้ๆๆๆ
ปล. ลูกชิ้นทอดคณะมนุษย์ฯอร่อยทุกมหาวิทยาลัย คิคิ :impress2:
-
@@@ Talk @@@
ค่อยๆปั่นไปอย่าง...เรื่อยๆ......
เลยอาจจะไม่อัพบ่อยนะ แต่ก็จะพยายามนะคะ
ฮือ....จะเปิดเทอมแล้ว.... :ling3:
....................................
-14-
“จูน...ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบทันควัน ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น ดวงตาสีน้ำเงินที่สบตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความสัตย์จริง นิดสบตากับเด็กหนุ่มนิ่งเหมือนกำลังพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาว
“.....ถ้าเรายืนยันแบบนั้น....พี่ก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจแบบนี้ พี่กลับล่ะ” นิดสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอีกทาง ไม่ได้รอเพื่อนสาวอีกสองคนที่ดูจะยังไม่อยากจะจบความเสียด้วยซ้ำ
....................................................
“แล้วแกก็ปล่อยให้เขาถามอะไรหมาๆแบบนั้นน่ะนะ“ ยุทธ์โวยวายด้วยไม่อยากจะเชื่อหู เขารู้ว่าตามปรกติแล้วถ้ากับคนไม่ค่อยสนิทจูนจะค่อนข้างสงบปากสงบคำแต่แบบนี้มันก็สงบมากเกินไป จนน่าโมโหแทน
“อืม....ผมชินแล้วล่ะ”
“ชิน? นี่แกชินกับเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ โอย กูจะบ้า” ยุทธ์ขยี้หัวแรงๆ “นี่เขามากันสามคนขนาดนี้นี่สงสัยพวกอีกสองคนนี่คงหวังจะได้มาออกกำลังกายกันล่ะมั้ง...ไม่กลัวรึไงเรา เกิดเขารุมตบแกขึ้นมาล่ะจะทำยังไง”ว่าพลางก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้น หมดอารมณ์สูบต่อเสียแล้ว
“ผมเป็นผู้ชาย ถ้าเขาจะตบมันก็คงไม่เจ็บนักหรอก”จูนตอบพลางหัวเราะแต่ก็ต้องตกใจเมื่อยุทธ์ใช้มือทั้งสองข้างตะปบข้างแก้มของเขาเอาไว้
“เป็นผู้ชายก็เถอะ แกเองก็เจ็บเป็นไม่ใช่รึไง” ยุทธ์เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง ในแววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่จูนรู้สึกได้
“...................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น อยู่ๆน้ำตาก็ทิ้งตัวลงมาจากหางตาอย่างช่วยไม่ได้ จูนรีบก้มหน้าลงเขาไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ให้ยุทธ์เห็นเลยแม้แต่น้อย
“ผม...เจ็บใจ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่น ความเจ็บปวดในวินาทีนั้นที่ถูกผู้หญิงสามคนนั้นถามคำถาม สายตาที่มองมานั้นเชือดเฉือน แต่ตอบโต้ออกไปไม่ได้ ไม่ว่าจะหนทางไหนหากตอบออกไปก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีทั้งนั้น
“ถ้าผม...ไม่เป็นแบบนี้....ก็คงดี”
“จูน...แกมองหน้าพี่.....” มือเรียวของยุทธ์จับหน้าของจูนให้เงยหน้าขึ้นมา “ที่แกเจ็บใจอยู่เนี่ย มันเป็นเพราะอะไร เพราะเขามาพูดเรื่องไม่จริง หรือเพราะเขามาพูดแล้วทำให้แกต้องโกหกตัวเอง“ เด็กหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะสะอื้นขึ้นมาอีกรอบแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมามากไปกว่านี้ จูนดูพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกโกรธหรือสับสนที่เป็นอยู่
“แล้วผมควรจะทำยังไง เป็นยังไง พี่ยุทธ์ ผมควรจะตอบเขาไปว่ายังไง” ดวงตาสีน้ำเงินที่มองมานั้นดูฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำตา ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“................................... ลองพูดว่าแกชอบพี่สิ... “ยุทธ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาจูนสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย...ไม่เอาอ่ะ....” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวๆ ใบหน้านั้นแดงก่ำขึ้นมาทันที
“อะไรวะ ก็นึกว่าเป็นความจริงในใจ” ยุทธ์ยิ้มกว้างพลางลูบหัวของจูนเบาๆ ใบหน้าได้รูปของยุทธ์ที่ปรกติเป็นใครมองก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหวาน แต่เมื่อมองใกล้ๆแบบนี้ในเวลานี้แล้วจะมองดูเท่และดูอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ความจริง อะไร...พี่ยุทธ์ตลกละ....ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย” จูนยกมือปาดน้ำตา เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกได้ว่ายุทธ์กำลังใช้มือขยี้ผมของเขาเบาๆ
“นั่นสินะ ช่างเถอะ แกหัวเราะได้แบบนี้ก็โอเคแล้วล่ะ ” ยุทธ์ว่าพลางลุกขึ้น “ไป....เข้าไปนั่งในร้านดีกว่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงเบียร์แก้วนึง” ว่าพลางโอบไหล่ดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นบ้าง
“แก้วเดียว?....ขี้เหนียวจัง”
“กินพอให้สบายใจ แล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่งหอ โอเค?....” ยุทธ์ว่าพลางยิ้มเป็นรอยยิ้มที่สดใสขี้เล่นเหมือนทุกทีทำเอาจูนอดคิดไม่ได้ว่าสีหน้ากับน้ำเสียงที่จริงจังก่อนหน้านี้นั้นคืออะไร
...........................................
ถึงจะโดนเพื่อนที่ร้านบ่น แต่ยุทธ์ก็ยังขอตัวออกมาส่งจูนที่หอและข้ออ้างอย่างดีคือ
“ไอ้นี่มันลูกคุณหนู นั่งรถรับจ้างแถวนี้ไม่เป็นหรอก...”
“พี่ยุทธ์นี่อ้างเพื่อนได้ไม่ห่วงหน้าน้องเลยนะครับ.... คนอื่นเขาขำกันหมดเลย...” จูนอดจะแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคำพูดของยุทธ์ การรับฟัง และเบียร์เย็นๆอีกแก้วใหญ่นั้นทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ไม่ยาก
“ขำสิดี แกจะได้ไม่มีหน้าโผล่ไปที่ร้านพี่อีกไง....” ยุทธ์หัวเราะเบาๆในขณะที่เลี้ยวเข้าซอยตรงไปยังหอของจูน
“อ้าว เป็นงั้นไป ไม่ให้น้องนุ่งไปหาที่ร้านนี่เพราะกลัวจะไปกินฟรีบ่อยๆงั้นสิ” ว่าพลางทำหน้างอ “ผมกินเหล้าไม่เก่ง ได้แค่กินนิดๆหน่อยๆแค่นี้ ไม่ทำพี่เจ๊งหรอก” จูนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าอีกไม่กี่เมตรก็ถึงหอตัวเองแล้ว เวลาที่รู้สึกสนุกเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
“ฮ่ะๆ...ทำหน้าอะไรไม่ได้เข้า เมารึไง” ยุทธ์ว่าพลางยื่นมือไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ น่าแปลกทั้งๆที่ผมของจูนเป็นผมทำสีแต่กลับให้สัมผัสนุ่มมืออย่างบอกไม่ถูก
“แค่มึนๆน่ะ กำลังอารมณ์ดี....แต่ถ้าต่ออีกสักหน่อยอาจจะเมามั้ง...” จูนหัวเราะเบาๆ
“เฮ้อ...เป็นแบบนี้ล่ะนะถึงไม่ค่อยอยากให้ไปที่ร้าน แกมันน่าแกล้งซะแบบนี้...” ยุทธ์เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยท่าทางอารมณ์ดี เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอนั่นทำให้จูนอดจะสงสัยไม่ได้
“อะไรของพี่.....” ยุทธ์จอดรถเข้าข้างทางห่างจากประตูใหญ่เข้าหอของจูนไปซักนิด ร่างเล็กกว่าหันมามองหน้าของจูนแต่เพราะแสงไฟจากหน้าประตูหอส่องมาไม่ถึงทำให้มองเห็นหน้าของอีกฝายไม่ชัดนัก
“ก็ตอนแกทำหน้าลำบากใจเหมือนตอนไปยืนอยู่ที่หน้าร้าน กับตอนแกมึนๆแบบเนี้ยะมันน่าแกล้งนะ รู้ตัวบ้างรึเปล่า...”
“ฮ่ะๆ พี่ยุทธ์เมาป่ะ? ผมเนี่ยนะ น่าแกล้ง ผมว่าคำพูดแบบนั้นมันเหมาะกับพี่ยุทธ์มากกว่าน้า....” ไม่พูดเปล่าถือวิสาสะยกมือขึ้นขยี้ผมรุ่นพี่เสียแบบนั้น
“แกนั่นล่ะที่เมา....มาเล่นหัวพี่ได้ไง....” ยุทธ์จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
“เมามั้ง เพราะวันนี้ผมว่าพี่ยุทธ์เท่จัง ใจดีด้วย...”
“อ้าว งั้นถ้าแกไม่เมาปรกติพี่ไม่เท่ ไม่ใจดีเหรอ” ยุทธ์เลิกคิ้วสูง
“ ฮ่ะๆ ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอกครับ ขอบคุณนะครับที่....ฟังผม แล้วก็ขอโทษที่วันนี้ผม...งี่เง่าไปสักหน่อย” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร...แค่แกยิ้มได้หัวเราะได้ก็โอเคละ....” มือเรียวของยุทธ์ขยี้ผมของอีกฝ่ายแรงๆอีกรอบ “รีบๆไปนอนได้แล้ว มานั่งทำหน้าเคลิ้มยิ้มหวานแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับออกไปหรอก”
“หะ?....อะไรนะพี่” จูนถามกลับด้วยได้ยินไม่ได้ถนัดหู
“เออๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า รีบๆลงไปได้ละ เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปที่ร้านอีก” ว่าพลางก็ไล่ให้อีกฝ่ายลงจากรถ ยุทธ์โบกมือลาอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกไป ดวงตากลมโตเหลือบมองกระจกหลังยังเห็นร่างสูงโปร่งของจูนยืนส่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ริมฝีปากได้รูปนั้นหยักเป็นรอยยิ้ม อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วการที่จูนยิ้มได้อย่างอารมณ์ดีนั้นก็เป็นความสุขส่วนหนึ่งของเขาเหมือนกัน
………………………………
“ร้อยสิบแปด.....ร้อยสิบเก้า......ร้อยยี่สิบ.....”
เสียงนับเลขดังขึ้นปนกับเสียงหอบหายใจแรงๆของชายหนุ่มร่างสูงที่ลงไปนอนวิดพื้นอยู่ตรงกลางห้องนอน นาฬิกาที่ข้างฝาเดินไปใกล้จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วแต่เขากลับยังไม่รู้สึกง่วง อันที่จริงเขานอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน เพียงแค่หลับตาภาพใบหน้าของใครบางคนก็จะลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ทำไมเขาถึงรู้สึกสับสนไปได้ขนาดนี้ คิดวนเวียนหาคำตอบมานานก็เหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความใกล้ชิดหรือเขาก็ไม่ได้เพิ่งจะมาใกล้ชิดสนิทสนมกับจูนเมื่อเร็วๆนี้ ก็คบเป็นน้องเป็นนุ่งมาพักใหญ่ๆไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปรกติ แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย และแน่นอนตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วเสียด้วย จำเพาะเจาะจงอะไรจะต้องมารู้สึกแปลกๆกับสีหน้า ท่าทาง ดวงตา และริมฝีปากคู่นั้นเอาในตอนนี้ ยิ่งคิดยิ่งออกแรงวิดพื้นมากขึ้น มันไม่มีคำตอบที่จะอธิบายได้เลย
ยิ่งเมื่อครู่ได้รับโทรศัพท์จากยุทธ์ มันยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้นไปอีก...เคนกัดฟันแน่น เขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่เรียกได้ว่าหงุดหงิดจนแทบจะงุ่นง่านนี่เลยแม้แต่น้อย ไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ยิน เจ็บข้างในอกลึกๆเหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นที่ถูกใจออกไปจากมือ อันที่จริงมันก็เป็นแทบจะทุกครั้งในระยะหลังนี่ที่เห็นจูนให้ความสนิทสนมกับยุทธ์มากกว่าใครๆ
“ร้อยสามสิบเก้า ....ร้อยสี่สิบ....ร้อยสี่สิบเอ็ด....”
ตัวเลขยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเคนก็หยุดและปล่อยตัวเองให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นแบบนั้น ไม่ได้สนใจว่าพื้นห้องตัวเองจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
"เฮ้อ..........ทำไมกูต้องเป็นแบบนี้ด้วยว้า......”
..................................................................
TTT ! TTT!
เสียงโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นกลางห้องเรียนทำเอาจูนสะดุ้งโหยง มองหน้าอาจารย์คนญี่ปุ่นก่อนจะก้มหัวลงเสียต่ำ
“ขอโทษครับเซ็นเซย์” จูนยิ้มหน้าเจื่อนก่อนจะรีบดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงมีข้อความเข้ามา และเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของใครก็ทำเอาต้องถอนหายใจ
....พี่เคน....
...โธ่เอ้ย...เพิ่งจะมาใช้เป็นเอาตอนนี้รึไงนะไอ้โปรแกรมเนี่ย....
ทั้งๆที่สอนใช้ไปตั้งนานแล้วเคนกลับเพิ่งส่งข้อความมาหาเขาตอนนี้ เวลานี้ที่กำลังเรียนอยู่ รูปที่ปรากกฏบนหน้าจอเป็นรูปหมีสีน้ำตาลที่ดูท่าทางหงุดหงิดอยู่ใช่น้อย
....มีอะไร.....
เด็กหนุ่มเหลือบมองอาจารย์ที่หันไปอีกทาง....
....เมื่อวานไปงอแงอะไรกับไอ้ยุทธ์......
....บอกว่ามีอะไรให้ปรึกษาพี่ก่อนไง...เด็กเปรตนี่....
“อ้าว ด่ากูอีก....”จูนพึมพำออกมาเบาๆ พลางมองหน้าของหมีสีน้ำตาลที่ดูหงุดหงิดนั่นดูอย่างไรก็ไม่ได้เข้าเอาเสียเลยจนอดสงสัยไม่ได้ว่าท่ามกลางตลาดขายรูปตุ๊กตาที่มีอยู่มากมายนั้นจะมีใครทำรูปควายหน้าตาไร้ความฉลาดขึ้นมาสักตัวหรือไม่ เพราะไอ้เรื่องที่เขาไปปรึกษายุทธ์นั้นมันไม่ใช่อะไรที่จะพูดให้เคนฟังได้ง่ายๆเลย
....เงียบไปเลย คนกำลังเรียน....
....มีอะไรไว้ค่อยคุยหลังเลิกเรียนก็แล้วกัน....
“จูนซัง...ใช้มือถือม่ายด้ายนะก๊ะ....” อยู่ๆเสียงอาจารย์ที่พูดภาษาไทยได้พอสมควรก็ดังขึ้นทำเอาจูนต้องยิ้มหน้าเจื่อนอีกรอบ
“ซุมิมะเซ็น เซ็นเซย์ (ขอโทษครับ อาจารย์)”
.............................................
ผลักประตูห้องเรียนออกมาในตอนเย็น ก็ได้ยินเสียงวี้ดว้ายจากเพื่อนสาวที่หน้าประตู
“มีอะไรกันเหรอ....” จูนเดินตามออกมาด้วยความสงสัยแต่แล้วก็ถึงบางอ้อ ในเมื่อมีชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายมายืนเก็กหน้าหล่ออยู่ที่หน้าห้องเรียน
“พี่เคน....มาทำไรเนี่ย?”
“อ้าว ก็บอกมีอะไรให้มาคุยหลังเลิกเรียน นี่ก็เลิกเรียนพอดี จะให้คุยเรื่องไหนก่อนดีล่ะ” คำตอบที่ได้รับกลับมายียวนกวนประสาทอยู่ใช่ย่อย จูนเบะริมฝีปากเล็กน้อย
“ก็ไปดิ่.... “ ว่าพลางก็เดินแยกจากกลุ่มเพื่อนไปอีกทาง เคนเองก็ผิวปากเดินตามไปอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อเดินลงมาจากตึก มือแกร่งของเคนก็คว้าคอเสื้อของจูนให้เดินตามตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ไปห้องพี่ละกัน วันนี้อยากซ้อมบท” เคนพูดสั้นๆเมื่อเดินมาถึงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
“หะ....อ้าว เฮ้ย....” จูนอุทานเมื่ออยู่ๆ เคนก็โยนหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววมาให้เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่มีท่าทีว่าเคนจะหยุดฟังคำทัดทานใดๆ สุดท้ายก็จำใจขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเคนกลับไปที่หอของเคนอยู่ดี
………………………………………..
เสียงพวกกุญแจที่อยู่ในมือของเคนดังเรื่อยจากลานจอดรถขึ้นไปจนถึงหน้าห้องพัก อันที่จริงที่ตั้งใจเขย่าให้มีเสียงมาตลอดทางอาจจะเป็นเพราะตัวเขาในตอนนี้กำลังประหม่าอยู่มากก็เป็นได้ สาเหตุนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรุ่นน้องที่เดินตามหลังอยู่ในตอนนี้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย แล้วก็ไม่ได้อ้อนแอ้นอรชรบอบบางขนาดที่เรียกได้ว่าเหมือนผู้หญิง แต่ทำไม...เขาถึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าสนใจ....น่าเอ็นดู...ไปได้ขนาดนี้
...บ้าไปแล้ว...
...นี่กูคงบ้าไปแล้ว....
...ทำไมต้องลากมันมาถึงที่ห้องด้วยวะ...
....ดันไปอ้างว่าอยากซ้อมอีก บทก็จำไม่ได้...
....แล้วถ้ามันถามว่าทำไมไม่ไปห้องชมรมล่ะ
...ก็...ก็...ถ้าไปซ้อมที่ชมรมก็เขินไอ้สองแสบเตี้ยนั่นต้องแซวอีกนี่หว่า....
...จะไปซ้อมตามสุมทุมพุ่มไม้ เดี๋ยวแม่งก็หาว่ากูจะลากเข้าป่าไปอีก....
. ...แล้วนี่กูเตรียมแก้ตัวพร้อมเลยเหรอเนี่ย....นี่มันบ้า...บ้าไปแล้วแน่ๆ....
....ทำไมหัวใจมันต้องเต้นแรงแบบนี้ด้วยวะ!...
........................ to be continued
-
พี่ยุทธ์หล่อโพดโพดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :impress2: :impress2: :impress2:
น้องจูนของเจ้อย่าเศร้าใจไป...มากิ๊กกับพี่ยุทธ์เถิดดดดดดดด ปล่อยอิตาบ้าพลังไปไกลๆเลย :angry2:
จับอิพี่เคนโขกข้างฝา :z3: :z3: :z3:
-
ถึงนิดและพรรคพวกจะเป็นผญแต่จูนก็ผลักไหล่นางได้นะ
ชะนีจริงๆ5555555555555555555
เบื่อพี่เคนว่ะ ยุทธแมนสุดละใจใจดี
-
@@@ talk @@@
เค้าพยายามแล้ว........เค้าได้แค่นี้เจรงเจรง......
....................................................
- 15 -
“พี่เคน...แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร...หน้าตาตื่นๆอ่ะ” จูนถามเมื่อเดินตามอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ดวงตากวาดมองไปรอบๆ
“โห...ห้องคนหรือรังหนูวะครับ...” จูนขมวดคิ้วแค่เห็นก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาเสียแล้ว
“ห้องคนดิ่วะ แค่ยังไม่ได้เก็บ” เคนกระแอมไอเบาๆ ก็นึกเขินรุ่นน้องอยู่ไม่น้อย ร่างสูงเดินไปกอบเสื้อผ้าที่วางกองอยู่จะยัดใส่เข้าตู้
“หยุด!! ไม่ต้องเลยคุณพี่ ไปยืนอยู่หน้าประตูโน่น มีเรื่องอะไรคาใจ บทอะไรเอาไว้ก่อน ผมทนไม่ได้อ่ะ ขอเก็บห้องให้ก่อนนะ”
ไม่พูดเปล่าจูนชี้นิ้วสั่งเสร็จสรรพ ร่างบางเดินไปหยิบตระกร้าผ้ามายัดผ้าที่ถอดวาง ถอดทิ้งของอีกฝ่ายลงใส่ตระกร้า มือเรียวคว้าเก็บขวดน้ำเปล่าที่ดื่มจนหมดแล้ววางไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วห้องไปหมดใส่ในถุงขยะที่พอจะหาได้จากในลิ้นชัก ก่อนจะจัดการปัดฝุ่นกวาดพื้นดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบร้อยจนเรียกว่าพอทนดูได้ ร่างสูงโปร่งของจูนเคลื่อนไหวคล่องแคล่วจัดการรังหนูให้พอดูเป็นห้องคนได้ในเวลาไม่นาน ทิ้งให้เจ้าของห้องได้แต่ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น
“โอเค...เสร็จ....”เด็กหนุ่มว่าเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปล้างมือสองมือเรียวเช็ดมือเปียกๆกับอกเสื้อเบาๆ
“อ่า....ขอบใจนะ....”เคนไม่รู้จะเอ่ยอะไร อยู่ๆอีกฝ่ายก็มาจัดห้องทำความสะอาดให้แบบนี้เขาคงได้แค่เอ่ยคำขอบใจไปสั้นๆ ก่อนรีบเสนอให้อีกฝ่ายนั่งพัก “นั่งก่อนป่ะ...ท่าจะเหนื่อยอ่ะ”
“เหนื่อยดิ่ ...ผมว่าพี่ต้องเก็บห้องหน่อยนะ แฟนพี่เขามาห้องจะได้ไม่อายไง” จูนว่าพลางเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้นเล็กน้อย เขาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“นิดไม่เคยมาหรอก....” เคนตอบเบือนหน้าไปอีกทาง...เขาที่เป็นแบบนี้จะให้แฟนสาวมาเห็นได้อย่างไรกันมันไม่เท่เอาเสียเลย “มีแต่แกนั่นล่ะที่เคยมา...วันนี้”
“ผมก็ว่า.... ไม่มีใครมานี่เอง มิน่า ห้องรกอย่างกับบ่อขยะ” จูนว่า
“บ่อขยะเลยเรอะ....”
“อื้ม คงหาคำอื่นไม่ได้แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มตอบพลางฉีกยิ้ม “ดีนะผมมาวันนี้ค่อยดูดีขึ้นหน่อย”
“ขอบใจ ...” เคนว่าพลางยกมือขึ้นให้จูนเห็นก่อนแล้วค่อยขยี้ศรีษะของอีกฝ่าย จูนยกมือป้องเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร สภาพเหมือนปลงแล้วมากกว่ากับการที่อีกฝ่ายเล่นหัวแบบนี้
“ว่าแต่เรื่องที่พี่จะคุยอ่ะ เรื่องอะไร ลากผมมาอย่าบอกว่าแค่ให้มาทำห้องให้แล้วจะไล่กลับนา...”
“ก็จะให้มาซ้อมบท......” เคนว่าพลางโยนบทหนังสั้นให้กับอีกฝ่าย “ไอ้โชติมันบอกให้ซ้อมจนกว่าจะไม่เขินไม่ใช่รึไง" รู้ทั้งรู้ว่าสีข้างตัวเองกำลังถลอกจนเลือดซิบแต่ก็ยังพูดออกไปแบบนั้นอยู่ดี
“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริงหรอก...”จูนรับคำเบาๆ “อ้อ แล้วที่ว่าผมไปงอแงอะไรกับพี่ยุทธ์...พี่เขาเล่าอะไรให้ฟังงั้นเหรอ...”จูนถามอย่างหวั่นๆ เขาไม่แน่ใจว่ายุทธ์เล่าทุกเรื่องให้เคนฟังหรือเปล่า กลัวว่าสุดท้ายรู้เรื่องแล้วจะไปโมโหโกรธากับแฟนสาว หรืออะไรเหมือนเมื่อวันก่อนอีก
“เอ้อ เรื่องนี้ก็ด้วย ซ้อมบทไม่ได้ทำไมไม่บอกพี่วะ ไปงอแงกับยุทธ์มันทำไม มันบอกว่าแกเครียดที่ต่อบทไม่ได้เลยไปหามัน....เดี๋ยว อย่าบอกว่าไปซ้อมจูบกับไอ้ยุทธ์มาแล้วนะ” เคนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนสงสัย มือแกร่งของเคนจับหน้าของรุ่นน้องให้หันมาบีบแรงเสียจนแก้มยู่ปากยื่น แค่จินตนาการตามก็รู้สึกหงุดหงิดจากเมื่อคืนก็กลับทำให้จิตใจขุ่นมัวขึ้นมากะทันหัน
“อื้อ...อะไอเอ้าไอ้อู๊เอื้อง (อะไรเล่าไม่รู้เรื่อง)” รุ่นน้องผมทองพยายามจะโต้ตอบ มือก็พยายามดึงแขนของอีกฝ่ายออกจากปลายคางของตัวเอง เคนเห็นท่าทีต่อต้านพร้อมปฏิเสธจะเป็นจะตายแบบนั้นก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“นี่สรุป ไม่ได้ซ้อมกันเหรอ” ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น
“อ้อไอ้อ่ะอิ่” (ก็ใช่น่ะสิ) จูนตอบกลับก่อนจะดันอีกฝ่ายให้ถอยห่าง “โอย...เจ็บ มือคนหรืออุ้งตีนหมีวะเนี่ย” จูน
มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก “คิดได้ไงเนี่ยว่าผมไปซ้อมจูบกับพี่ยุทธ์น่ะ”
“ก็มันบอกมางั้นนี่หว่า....” เคนตอบพลางเสมองไปอีกทาง คำตอบของเคนทำให้จูนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมยุทธ์ถึงเล่าเรื่องที่...มีมูลความจริงเพียงแค่เสี้ยวเดียวให้อีกฝ่ายฟัง
....แต่จะให้เล่าเรื่องจริงไปก็ใช่เรื่องนี่นะ.....
....ขอบคุณครับ พี่ยุทธ์....
คิดได้แบบนั้นก็เผลอยิ้มแก้มแทบปริไม่ได้สังเกตอาการคนข้างๆเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ....ยิ้มอีก มาซ้อมบทเลยดีกว่ามา” โดยไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมากไปกว่านั้นสองแขนแกร่งดึงตัวของจูนเข้ามาใกล้ด้วยความหมั่นไส้
.....พูดถึงไอ้บ้ายุทธ์ทีไรล่ะยิ้มแก้มปริเลยนะเด็กเปรตนี่.....
“เฮ้ยๆ...” จูนโวยวายยกมือดันหน้าอีกฝ่ายจนหงายไปด้านหลัง
“อ่อก.... ไอ้จูน อีกแล้วนะแก คอหักขึ้นมาทำไงวะ”เคนโวยวายแต่กลับเจอเด็กหนุ่มองกลับมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
“พี่เคนจะทำอะไร”
“ก็จะซ้อมไง จูบเลยกะอิแค่ปากดูดปากนี่มันจะอะไรกันนักเชียว” ถึงจะพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่กลับใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่จ้องริมฝีปากที่ดูนุ่มนวลของอีกฝ่าย
“โธ่เอ้ย...เขาบอกให้ซ้อมบท ก็ต้องมีบทด้วยดิ่ พูดไปพร้อมแอคติ้งอ่ะพี่...ไม่ใช่จะจูบดะท่าเดียว แบบนี้ออกไปเล่นหนังโป๊เลยไหม บทพูดไม่ต้อง!”
“เอ่อ........มันก็จริง....โทษทีพี่มันพวกทำคะแนนปฏิบัติได้ดีอ่ะ” เคนยิ้มแห้งๆ เสมองไปอีกทาง มือแกร่งปล่อยจากทั้งสองไหล่ของหนุ่มรุ่นน้องอย่างเสียไม่ได้ “แล้ว....แกจะให้พี่ทำไงวะ”
“ก็เริ่มจาก ช่วยกันอ่านบทกันดีๆอีกรอบไหมพี่ คือ เราเล่นเป็นคนรักกัน แต่ปัญหาคือ....พี่ก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วจะให้อยู่ๆมาจูบกัน คงทำใจลำบาก ถ้าเราอินได้อย่างวันก่อนโน้นนนน....” จูนลากเสียงยาว
“ก็ค่อยว่าไปอย่าง “จูนพูดพลางขยับถอยออกจากรุ่นพี่เล็กน้อย เด็กหนุ่มโคลงศรีษะเล็กน้อย
“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าวันนั้นทำได้ยังไง อันที่จริง...การที่คนเราจะจูบกันเนี่ย พี่เคนไม่รู้สึกเหรอว่า มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีความรู้สึกอะไรนำมาก่อนอ่ะ แบบในละครใช่ป่ะ...หมั่นไส้ก็จูบ...อยากแกล้งก็จูบ..เศร้าก็จูบ ปลอบก็จูบ โกรธก็จูบ รักก็จูบ....“ ดวงตาที่ใส่คอนแทคเลนส์นั้นสบตาของรุ่นพี่
“พี่เคนคิดว่าไง...”
“...........................”
คำพูดของจูนทำให้เคนคิดได้ที่เขาจูบจูนไปเมื่อคืนก่อนนั้น ...มันอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ของเขา โกรธ?....ใช่มันอาจเป็นความไม่พอใจ ไม่พอใจเพราะอะไรกัน เพราะเรื่องที่ยุทธ์พูดอย่างนั้นหรอกเหรอ...ชายหนุ่มอดจะถามตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่พอใจถ้าจูนจะสนิทสนมกับยุทธ์มากกว่า ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ที่เขาคิดว่าอยากจะจูบจูนนั้นมันเป็นเพราะความรู้สึกของเขาด้วยอย่างนั้นหรอกเหรอ...ที่รู้สึกเอ็นดู...คนตรงหน้า เคนเผลอยกมือขึ้นปิดจมูกเขารู้สึกว่าหน้าของตัวเองเริ่มมีความร้อนผะผ่าว
..........เฮ้ย....ไม่เอาน่า......
............ไม่จริงหรอก...........
“พี่เคน?....เป็นอะไรหน้าแดง...ร้อน? ไข้จับ?” จูนถามเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกไป มือเรียวยื่นไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“พี่เคน....?”
“มะ...ไม่เป็นอะไร” เคนว่าพลางเบือนหน้าไปอีกทาง รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นไม่เป็นจังหวะ คำถามที่ถามเล่นๆแต่กลับได้คำตอบลางๆปรากฏขึ้นในความคิด คำตอบที่ยังไม่อยากจะเชื่อ
“แน่นะ....” จูนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เออน่า.....ไม่เป็นไรหรอก” เคนขยับออกห่างจากเด็กหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยกลัวว่าหากอีกฝ่ายเข้าใกล้ไปมากกว่านี้จะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเข้าให้
.....เสียงดังไปแล้วนะเว้ย....
......หยุดเต้นดิ่วะ......
.....หยุดเต้นกูก็ตายสิ.....
...เอาเป็นว่า เบาๆหน่อยดิ่วะ....
“แล้ว...พี่คิดว่าไง” จูนถามต่อแม้จะไม่ค่อยเข้าใจกับท่าทางของอีกฝ่ายนัก
“ว่าไงว่าไง ? “ เคนที่กำลังสับสนจนอาจจะเรียกตระหนกตกใจ
“ที่ว่าถ้าจะจูบแล้วต้องมีอารมณ์ร่วม จะอารมณ์อะไรก็เถอะแต่ต้องมีความรู้สึกร่วม...พี่ว่าผมคิดแบบนี้ถูกไหม”
“ก็...คงใช่มั้ง ปรกติพี่ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอกนะ แล้วแต่ไอ้โชติมันว่า...”เคนตอบไปตามความจริง ด้วยปรกติแล้วเขาก็เป็นคนจำบทไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่คิดว่าตัวเองจะอินกับบทบาทเพราะตัวของบทเอง ส่วนใหญ่เขาจะดูจากการกระทำของนักแสดงอีกคนแล้วค่อยแสดงด้วยภาษากายออกไปเสียมากกว่า
“แต่ถ้าเราใส่ความรู้สึกลงไป บทก็จะสมจริงใช่ป่ะ แบบนั้นพี่โชติจะได้เหนื่อยน้อยลง งั้น...ทำไมเราไม่ลองใส่ความรู้สึกเพิ่มลงไปกันอีกนิดล่ะ อาจจะดีกว่าเป็นท่อนไม้กันทั้งสองคนก็ได้”
“อะ...อ้อ เหรอ” เคนหัวเราะเบาๆ “ งั้นมันต้องเป็นไงล่ะ....” เคนขยับตัวไปนั่งพิงที่หัวเตียง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่สังเกตว่าเขากำลังประหม่าอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้... เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ขอบเตียง หยิบบทหนังสั้นขึ้นมาอ่านยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบเบาๆที่หัวเข่าราวกับกำลังนึก
“อย่างเช่น...ถ้าจะจับมือก็...ต้องจับ...อ้าวแล้วหนีไปไกลแบบนั้นจะจับไงล่ะ” จูนยื่นมือออกไปแต่เพิ่งเห็นว่ารุ่นพี่ร่างสูงดันขยับหนีไปเสียไกล “มานี่เลย ไม่พูดเปล่าคว้าแขนของอีกฝ่าย ฉุดให้ลุกขึ้นมายืนข้างเตียงด้วยกัน
“ต่อๆ... “ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตสังกาอะไรเลย จูนจับมือแกร่งของเคนขึ้นมา สอดนิ้วประสานมือกับอีกฝ่าย “นี่ ถ้าจับแบบนี้ก็จะสมบทบาทมากขึ้น....” เด็กหนุ่มว่าพลางเงยหน้ามองหน้าของเคน “แบบนี้....”
“............................” ดวงตาคมสบตาของเด็กหนุ่มนิ่งในตอนแรกเขาประหลาดใจกับความคิดของตัวเอง แต่ในตอนนี้บางอย่างที่ลอยขึ้นมาลางๆในใจนั้นกลับยิ่งจับกลุ่มก้อนชัดเจนมากขึ้น แม้จะไม่แน่ใจนกว่าคืออะไร รู้เพียงแค่ชัดเจนมากขึ้น เคนมองมือเรียวของจูนที่สอดประสานอยู่กับมือของตัวเอง มือของจูนเย็น เป็นมือเย็นๆที่ทำให้รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ เคนเผลองอนิ้วประสานมือตอบรับกับอีกฝ่าย
“แล้วยังไงต่อ......” เคนถามพลางอมยิ้มน้อยๆที่มุมปากรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก
“อืม... “จูนส่งเสียงในลำคอเบาๆอย่างครุ่นคิด ก่อนโคลงศีรษะเบาๆ “ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมีแฟนนี่ เวลาคนเขามีแฟนเขาทำ......” ยังไม่ทันที่จูนจะได้พูดจบประโยคก็ชะงักเมื่ออยู่ๆเคนก็ยกสองแขนขึ้นโอบไหล่ของจูนเข้าไปหาจนจูนต้องเกยคางขึ้นกับไหล่แกร่งของอีกฝ่าย
“เขาทำกันแบบนี้...ไอ้หนู ....” ไม่พูดเปล่ากระชับอ้อมแขนเข้าหากันเล็กน้อย
“อึ่ก....พี่เคน....”ด้วยอยู่ๆก็ถูกดึงเข้ามากอดจูนยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ “ปล่อยก่อน”
“อยู่นิ่งๆซิ...อยากแสดงให้สมบทบาทไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มต่ำเบาๆข้างหูจูนรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่าย
“แต่นี่มันแค่ซ้อม....”เสียงของเด็กหนุ่มเองก็ดังอู้อี้อยู่ในอ้อมแขนของรุ่นพี่ร่างสูง
“เออน่า.................” เคนพูดอย่างขอไปที แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยแถมยกมือลูบผมของอีกฝ่ายเบาๆ
“..............” จูนยืนนิ่ง ถึงก่อนหน้านี้จะเคยกอดกับเคนตอนซ้อมมาก่อนแต่ความรู้สึกทีสัมผัสได้นั่นมันไม่ใช่แบบนี้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเคนดูแปลกไป แต่จูนบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่สะท้อนอยู่ในอก สอดประสานไปกับหัวใจของเขาเอง ก่อนที่เคนจะขยับตัวถอยออกมาเล็กน้อยดวงตาคมสบกับดวงตาของเขาทำเอาหัวใจในอกบีบตัวแรงจนคล้ายจะรู้สึกเจ็บ
“ถ้าจะกอดล่ะก็ทำแบบนี้....เข้าใจไหม” เคนยิ้มน้อยๆ ท่าทางกวนๆเหมือนเช่นทุกที ทำให้จูนคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงกะแกล้งเขาอีกเป็นแน่ ที่เขารู้สึกไปเมื่อกี้คงเพราะเผลอตกหลุมพลางเรื่องล้อเล่นของอีกฝ่ายเป็นแน่
“อ๋อ......” จูนลากเสียงยาว “แล้วถ้าทำแบบนี้ด้วยล่ะ....” มือเรียวดึงเคนเข้ามาใกล้อีกครั้งแขนหนึ่งโอบเอวขของร่างสูงเข้ามาใกล้ แขนอีกครั้งดึงแขนของเคนให้โอบรอบคอของเขาเอาไว้
“เอ่อ...เอาแบบนี้เลยเหรอ” เคนที่ตอนแรกแค่กะจะทำตามใจตัวเองเล็กๆแกล้งอีกฝ่ายหน่อยๆ ตอนนี้กลับอึกอักเพราะท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ที่ช่วงอกที่ไล่เรื่อยลงไปจนถึงช่วงเอวนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าแนบชิด
“ใช่...แบบนี้ล่ะ...” จูบรับคำเสียงใส “ถ้าทำแบบนี้....แล้วจูบซะ...ก็จะเป็นการแสดงที่ลื่นไหลใช่ไหมล่ะ”
“อะ...อื้ม.....ก็คงงั้นมั้ง”
“งั้นพี่ก็ลองจูบผมสิ ....ต้องทำปากแบบนี้ด้วยรึเปล่า” ไม่พูดเปล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าหลับตาทำปากยื่น ทำเอาเคนถึงกับผงะ
....เล่นอะไรของมัน.....
...จะฆ่ากันรึไง....
...แค่นี้หัวใจกูก็จะวายตายแล้ว เด็กเปรต...
เคนดูลังเล เขาเลี่ยงมองไปอีกทาง แต่ริมฝีปากที่มองเหมือนปากเป็ดยื่นๆนั่นมันก็ดูน่ารักน่าจูบอยู่ใช่ย่อย แน่นอนว่ามันต้องนุ่มเขายังจำสัมผัสนั้นได้ดี...แต่เขาจะจูบอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแบบไหนกันในตอนนี้ ถ้าจูบไปแล้วจูนจะเข้าใจความรู้สึกนี้ของเขาหรือเปล่า ถ้าจูบไปแล้วอีกฝ่ายจะมองเขาแบบไหน จะคิดอย่างไร ในเมื่อในตอนนี้ “บทบาทการแสดง” อะไรนั่นมันแทบไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เคนรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเส้นแบ่งกลางที่ก้ำกึ่งระหว่างความต้องการและความกลัว เมื่อมองด้วยหางตาอีกรอบจูนก็ยังทำปากยื่นอยู่อย่างนั้นจนน่าหมั่นไส้
....ทำปากยื่นแบบนั้นอีก.....
....เดี๋ยวพ่องับปากเลยนี่....
กลุ่มก้อนความรู้สึกในใจตอนนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ใช่แล้ว เขาต้องการสัมผัสอีกฝ่าย ความต้องการคือแรงขับเคลื่อนที่ดี และหากจะก้าวต่อไปแล้วคงยากที่จะหยุด เส้นแบ่งกลางที่ก้ำกึ่ง...ความต้องการของเขาในตอนนี้ มีเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น......
ทันใดมือแกร่งที่โอบรอบคอของจูนอยู่นั้นเปลี่ยนมาจับที่ท้ายทอยของเด็กหนุ่มออกแรงเบาๆบังคับให้จูนเงยหน้าขึ้นอีกนิด เขารู้สึกได้ถึงแรงเกร็งต้านที่กล้ามเนื้อต้นคอของรุ่นน้อง ไหล่ของเด็กหนุ่มสั่น
....เพิ่งจะมากลัวหรือไง...
เคนเผลออมยิ้มน้อยๆ ท่าทางที่อีกฝ่ายหลับตาแน่นจนปลายขนตาสั่นไหว ห่อไหล่ยกเกร็งด้วยความกลัวแบบนี้ยิ่งได้เห็นยิ่งรู้สึกอยากจะแกล้ง ทั้งที่จูนก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กแต่กลับทำให้รู้สึกว่าอยากโอบอุ้มเอาไว้อย่างน่าประหลาด นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายก็เป็นได้
...ก็น่าจูบ...
...แต่.......
เคนลดมือจากต้นคอของอีกฝ่ายก่อนเปลี่ยนเป็นกอดคอของอีกฝ่ายโน้มเข้ามาใกล้ อีกมือซ้อนทับกระชับกอดร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนทอดถอนหายใจยาว
“.......ไว้คราวหลังก็แล้วกัน............” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่มือกลับยังไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายไปไหน
“พี่เคน...ปล่อยเหอะ หายใจไม่ออก” จูนอ้าปากพูดอย่างยากลำบากเมื่อคางของเขายังเกยอยู่กับไหล่ของอีกฝ่าย
“ชู่ว.....ปล่อยให้ตัวเองอินอีกนิดสิ........” เคนยังไม่ยอมปล่อย เขาพอใจที่จะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น กอดที่ไม่ต้องกลัวว่าร่างตรงหน้าจะบอบบางจนทนแรงจากมือของเขาไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ต้องการจะออกแรงไปมากกว่านี้ เพียงแค่อยากซึมซับทุกสัมผัสนี้เอาไว้ให้เต็มอกเท่านั้น
“.....เฮ้อ...ให้มันอินใช่ไหม....” เมื่อรู้ว่าการประท้วงไม่เป็นผลจูนจึงลดแขนที่ตั้งใจจะตบไหล่อีกฝ่ายลง แทนที่จะขืนตัวเองออกแต่กลับพิงศีรษะลงกับไหล่กว้างของเคนอย่างว่าง่าย ผิวแก้มแนบลงไปนั้นคือช่วงไหล่กว้างและกล้ามเนื้อแข็งแรงที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีสัมผัสที่ได้รับนั้นแข็งหากแต่ให้ความรู้สึกมั่นคง จูนคงไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากเผลอขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกได้กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นสเปรย์แบบสปอร์ตจางๆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด ในหัวพยายามจินตนาการว่า “จูน” ตัวละครในบทหนังสั้นของเขาจะรู้สึกอย่างไรถ้าถูกชายคนรักกอดเช่นนี้บ้าง
.....จะรู้สึก....
....สบายใจ......
....อุ่นใจ.........
....ปลอดภัย.....
....แบบนี้หรือเปล่านะ....
เคนรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มท่าทีโอนอ่อนไม่ได้ทำให้เขาอยากช่วงชิงโอกาสไปมากกว่านี้ เขารู้ว่าจูนแค่กำลังทำตามในสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น มือแกร่งยกขึ้นลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ เส้นผมสีอ่อนที่ผ่านการทำสีมาไม่น้อยแต่น่าแปลกที่สัมผัสนั้นกลับนิ่มมือให้ความรู้สึกดีไม่หยอก ปลายนิ้วแทรกเข้าไปในเรือนผมของอีกฝ่ายสัมผัสแผ่วเบา ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์กับเสียงคนที่อยู่ด้านนอกหอดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทหากแต่รู้สึกสงบใจในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาหลายวัน แต่กระนั้นก็ต้องตัดใจ เคนค่อยคลายอ้อมแขนออกปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เขาเบนสายตาขึ้นมองเพดานพยายามซ่อนใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวของตนไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
“เวลาเล่นจริงก็...ทำแบบนี้ละกัน....” รุ่นพี่ร่างสูงพูดสองมือตบเบาๆลงบนหน้าขาของตัวเองฉวยโอกาสนั้นเช็ดเหงื่อที่ชื้นอยู่เต็มมือ
“อะ...อื้ม “ จูนรับคำเบาๆ พลางยกมือขึ้นถูเบาๆที่ข้างลำคอใบหน้าขาวนั่นแดงเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“...ข...ขอบคุณที่สอนนะครับ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มน้อยๆให้กับเคน ทำเอาร่างสูงที่หันมาทันสบพบรอยยิ้มนั้นพอดีต้องรีบหันหลังให้
“เอ้อ....ไม่เป็นไรหรอก....วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน....” เคนพยายามเปล่งเสียงออกไปให้เป็นปรกติที่สุด ถึงจะยังไม่อยากเชื่อว่าในใจของเขาตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของจูนเมื่อครู่น่าแปลกที่หอพักกลางเก่ากลางใหม่ของเขากลับดูสว่างเหมือนเพิ่งเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ ทำให้เขาเข้าใจชัดเจนจนบอกกับตนเองได้ประมาณสามคำได้อย่างไม่ยากเย็นว่า.....
......น่า รัก สัด.....
“พอแค่นี้เหรอพี่...เรียกมานึกว่าจะซ้อมหลายๆฉาก ซ้อมหลายรอบซะอีก” เด็กหนุ่มว่าพลางนั่งลงบนเตียงของอีกฝ่ายแล้วหยิบบทขึ้นมาอ่าน “ผมว่าท่าที่กอดกันมันแปลกๆนะเมื่อกี้” ว่าพลางก็ยกมือทำท่าคล้ายจะกอดอากาศธาตุที่อยู่เบื้องหน้า
“เหนื่อยๆว่ะวันนี้ พอก่อนเถอะ....” เคนพูดเหมือนรำคาญ แต่ก็แอบมองอีกฝ่ายที่กำลังยกแขนเก้ๆกังๆ
....ขืนซ้อมมากกว่านี้ เดี๋ยวจะได้สอนมากกว่ากอดน่ะสิ....
คิดได้แบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ช่างเป็นความคิดที่อกุศลอะไรเช่นนี้ เคนอดที่จะช็อคกับความคิดของตนเองไม่ได้ ...ใช่แล้ว...ในตอนนี้มันชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ ความต้องการที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในจิตใจอย่างไร้ที่ยึดเกาะ ดูสับสนหลงทางจนน่าขัน แต่ในตอนนี้หากเขาปล่อยให้ความต้องการและเจตนาที่แสนจะอกุศลของตนเองไปยึดเหนี่ยวกับสิ่งใด หรือกับใครคนใดคนหนึ่งเข้าแล้วล่ะก็คงจะเพียงหายนะเท่านั้นที่จะบังเกิด ....ในเมื่อตัวเขาเป็นผู้ชาย...ที่มีคนรักแล้ว...แต่ก็... ดวงตาคมหันไปมองจูนอีกครั้ง ท่าทางของเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นอยู่แต่กับการถ่ายทอดอารมณ์ในการแสดงเพื่อเอาใจโชติและยุทธ์โดยไม่ได้สนใจมองเหนือมองใต้หรือมองว่าความรู้สึกบางอย่างในใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วนั้น....มันก็ยิ่งทำให้เขาต้องการมากขึ้น...แน่นอนในเมื่อตัวเขาก็เป็นผู้ชายคนนึง เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้น
................................ to be continued
-
เป็นไงหละ...ลากเค้ามาห้องแล้วก็หวั่นไหวเอง สมน้ำหน้าเบาเบา
รอบนี้แก้ตัวได้ดีนะพี่เคน..ค่อยดูไม่ลังเลเท่าไหร่...หลงน้องจูนจริงจังสินะ :hao3:
ส่วนน้องจูน....ระวังตัวบ้างก็ดีนะ ดูท่ายั่วเบาๆแล้วอิพี่เคนมันจะบ้าตายก่อน :hao6:
-
พี่เคนๆ จัดการเคลียร์กับ(ยัย)นิดก่อนดีไหม? ไม่อยากให้น้องจูนต้องถูกทำร้าย ทั้งร่างกายและจิตใจ
-
พี่เคนไปเยอะแหละ หลงน้องละซี่
-
- 16 -
“เฮ้ย จูน....ไปกินข้าวกันไป พี่หิวว่ะ....” เคนว่าพลางเดินไปหยิบพวกกุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ
“กินไรอ่ะพี่เคน ถ้าจะกินหลังมอแถวนี้ก็เดินไปก็ได้มั้ง ไม่ต้องเอารถไปหรอก รถมันเยอะ รถพี่หาที่จอดยากจะตาย” เด็กหนุ่มว่าพลางทำหน้ายุ่งเมื่อนึกถึงปริมาณของนักศึกษาที่จะแก่มารวมกันในช่วงเย็นของทุกๆวัน
“เอางั้น?...เอ้อ งั้นก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ขากลับเดินย่อยแล้วเดี๋ยวพี่ขี่รถไปส่ง”
“จะไปส่งทำไมอีกล่ะพี่ ผมหารถขึ้นกลับหอเองก็ได้หรอก” จูนเกาหัวแกรก เวลาก็ยังไม่ได้ดึกดื่นอะไรขนาดที่รถจะหมดช่วงเวลาเย็นๆค่ำๆแบบนี้เขากลับหอเองเป็นปรกติอยู่แล้ว
“เออน่า....” เคนตัดบทอย่างรำคาญทั้งๆที่ในใจนั้นหัวใจเต้นตึกตักโครมครามไปหมด ที่ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายกลับหอเองไม่ใช่เพราะเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรหรือเปล่า อย่างไรเสียจูนก็เป็นผู้ชายคงไม่เจอใครฉุดปล้ำหรืออะไรแบบนั้นเพียงแต่เขา ...กลัว...ว่าเวลาที่จะใช้ไปกับเด็กหนุ่มตรงหน้าในวันนี้จะหมดไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
.......กูคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ........
ทั้งสองคนเดินผ่านถนนเล็กๆที่ลัดเลาะด้านหลังของหอพักไปยังย่านร้านค้าหลังมอ แหล่งรวมร้านอาหารเริ่มคนเยอะทำให้ต้องรีบหาที่นั่ง สั่งข้าวราดแกงมานั่งทานกันคนละจานใหญ่ปากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป อันที่จริงเป็นจูนที่พูดคุยเสียส่วนใหญ่ เพราะอยู่ๆรุ่นพี่หนุ่มร่างสูงก็สงบปากสงบคำขึ้นมากะทันหันด้วยห่วงไปเสียหมดว่าหากพูดอะไรออกไปแล้วอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความผิดปรกติของตัวเอง
“โอย อิ่มกระเพราร้านพี่เขาเผ็ดจริงจัง....กินน้ำไปตั้งเยอะยังไม่หายเผ็ดเลยเหอะ” จูนบ่นพลางใช้มือพัดปากแดงเจ่อของตัวเองเบาๆ “พี่เคนนี่ก็กินเผ็ดเก่งเนอะ....ไม่เห็นบ่นซักคำ” ว่าพลางก็หันไปมองหน้าของเคนที่แดงก่ำ
“อ่า...คงงั้น “อันที่จริงเผ็ดแทบตายแต่กลัวว่าถ้าบ่นก็จะเสียฟอร์ม
“หรือพี่เคนเผ็ด?... เผ็ดแล้วกินน้ำยัง เผ็ดก็บ่นว่าเผ็ดดิ่ ไม่เก๊กสักวันคงไม่มีใครว่าพี่หรอกน่า...” จูนแหย่พลางตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วยื่นแก้วน้ำให้ เคนยิ้มแห้งๆก่อนจะหัวเราะออกกมา
“นั่นซิ่นะ.....” มือแกร่งรับแก้วน้ำมายกซดจนหมดแก้ว “เฮ้อออออ...... เผ็ดชิบหายเลยเหอะ ตอนสั่งแกไปบอกพี่เขาว่าเอาเผ็ดๆรึเปล่าวะสงสัยจะยกพริกมาหมดสวน”
“เปล่านา ก็บอกว่าเอากระเพราหมูกรอบจัดหนักๆ สองจานนะเจ๊...ว่างั้น” จูนนตอบหน้าตาเฉย
“มิน่า...นอกจากจัดปริมาณแล้วเขาเลยใส่พริกมาให้หมดเลย.....” เคนว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่ไม่ต้องกังวลอะไรมากเวลากินข้าวกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มนั่งเหยียดขา เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยท่าทีสบายๆ จูนเห็นแบบนั้นก็อดจะขำออกมาเบาๆไม่ได้
“แบบนี้ค่อยเป็นพี่หน่อย....” เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะเท้าคางมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม”เป็นอะไรไปอ่ะ วันนี้พี่ดูเกร็งๆตื่นๆ สงบปากสงบคำผิดปรกตินะ กินยาลืมเขย่าขวดรึไง”
“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร “เคนปฏิเสธเสียงสูงไม่ได้สบตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเหลียวซ้ายมองขวา
“กินข้าวเสร็จแล้ว...อยากกินอะไรอีกไหม ขนม?” คำถามที่เคนถามกลับมาทำให้จูนเลิกคิ้วสูง
“ขนม? นึกอะไรขึ้นมาจะมาชวนผมกินขนมเนี่ย....”
“ขาดน้ำตาลมั้ง....คนอุตส่าห์จะเลี้ยง จะกินไม่กิน ไม่กินก็จะได้กลับ”
“เอ้า ดุด้วย...ท่าจะขาดน้ำตาลจริงวุ้ย...แต่ถ้าป๋าจะเลี้ยงน้องก็พร้อมจะสนองนะ กินไรดีหว่า....กินไอติมในเซเว่นนี่ก็ได้เผ็ดจนจะพ่นไฟได้แล้วเนี่ย ดูดิ่ปากเจ่อเลย” ไม่พูดเปล่าชี้ปากแดงเจ่อๆของตัวเองให้อีกฝ่ายดู
“ไอติมเซเว่นเองเรอะ....แค่เนี้ยนะป๋าจะเลี้ยงทั้งที” เคนพึมพำเบาๆ ในใจเขานึกถึงตอนพานิดไปทานข้าวหลายครั้งหลายหนที่ต้องพาออกไปหาอะไรกินกันนอกเขตมหาวิทยาลัยด้วยเหตุว่า ร้านแถวนี้ไม่มีที่น่ารักเลย
.... ก็แค่วันนี้อยากให้อยู่ด้วย...
....จนกว่าจะแน่ใจกว่านี้....
...เผื่อว่าจะแน่ใจกว่านี้.....
....มันจะหาว่ากูบ้าไหม.....
“อืม ก็เผ็ดนี่ อยากกินตอนนี้เลยด้วย ไปกันเลยป๋า เลี้ยงนี่ไปๆ” ไม่พูดเปล่าลากแขนร่างสูงให้เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล
ไม่นานก็ได้ไอศกรีมออกมากันคนละโคน จูนเลือกรสวนิลา ในขณะที่เคนหยิบรสสตรอเบอร์รี่ ระหว่างทางเดินกลับท่ามกลางแสงสลัวที่ได้จากอาคารหอพักสองข้างทางซอยเล็กๆที่จะลัดเลาะกลับไปถึงหอของเคน ทั้งสองคนเดินไปพร้อมๆกัน เด็กหนุ่มดูจะอารมณ์ดีไม่น้อยกับไอศกรีมที่ได้มาดับความเผ็ดร้อนในปาก ร่างสูงเผลอยิ้มให้กับท่าทางแบบนั้นเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่กล้านับ เคนยิ้มไปพลางก็ยกไอศกรีมขึ้นกัดไปเรื่อย อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบรสสตรอเบอร์รี่สักเท่าไรนัก แต่อาจจะเป็นเพราะติดนิสัยเวลาอยู่กับนิดเพราะเวลานิดอยากจะทานไอศกรีมทีไรก็มักจะสั่งสตรอเบอร์รี่ หรือให้เขาซื้อรสสตรอเบอร์รี่ให้เสมอๆ เวลาทานไม่ไหวก็เป็นกรรมให้เขาทานต่ออยู่เรื่อยจนเขากลายเป็นคนทานรสสตรอเบอร์รี่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ได้ไอติมค่อยดีขึ้นหน่อยเนอะ” จูนว่าพลางหันมาถามความเห็น ที่ปลายคางมีซอสชอคโกแลตติดอยู่ ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวสักเท่าไรนัก
“อื้ม...ค่อยดีขึ้นหน่อย.....หึ “เคนเผลอหัวเราะออกมา “เป็นเด็กรึไงแก กินเลอะมาถึงนี่....” ไวเท่าความคิดเคนใช้ปลายนิ้วปาดซอสชอคโกแลตที่ติดอยู่ที่ปลายคางของอีกฝ่ายก่อนยกปลายนิ้วตัวเองขึ้นเลียเบาๆ
“อื้ม...อร่อยแฮะ”
“อ่ะ.....พี่เคน...” จูนจะห้ามก็ไม่ทัน ซอสชอคโกแลตหายเข้าปากรุ่นพี่ร่างสูงไปเป็นที่เรียบร้อย
“หืม...มีอะไร” ร่างสูงดูจะไม่ได้สะทกสะท้าน ตรงกันข้ามกับจูนที่รู้สึกร้อนผะผ่าวไปถึงใบหู
“เปื้อนก็บอกกันดีๆก็ได้ ...บ้ารึเปล่า.ไม่...ไม่แขยงรึไง มาปาดไปกินแบบนั้น”
“ไม่นี่ ถ้าแค่นี้แขยงพี่จะจูบแกได้ไหมวันนั้นน่ะ” เห็นท่าทางเขินๆแบบนั้นก็นึกสนุกจับคางของอีกฝ่ายให้หันมามองหน้าใบหน้าคมก้มลงมาหาแต่จูนกลับยกมือบังเสียมิด ทำเอาต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ใครกันแน่ทีแขยงน่ะ ....” เคนยิ้มยียวน
“ก็...ก็....มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่....”จูนอึกอัก จะบอกว่าตัวเองไม่รังเกียจหรือก็พูดได้ไม่เต็มปาก “เลิกแกล้งผมสักทีเถอะ จะแกล้งไปจนถึงเมื่อไรกัน” พูดพลางก็ก้าวเท้าฉับๆตัดสินใจเดินหนีเสียฝห้รู้แล้วรู้รอดเพราะรู้ดีว่าถ้าขืนยิ่งนิ่งอยู่คงตกเป็นเป้าให้อีกฝ่ายล้อเล่นอีกแน่
“ก็จนกว่าแกจะเลิกเขิน....ล่ะมั้ง “เคนหยุดมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินห่างออกไป ก่อนจะชะลอฝีเท้าลง เพราะเห็นว่าจูนเองก็หยุดรออยู่เล็กน้อย
“โชติมันก็บอกนี่ ให้เราซ้อมจนกว่าจะไม่เขิน...แต่แกก็เขินพี่จังเลยจะให้พี่ทำไงได้ เขินอะไรนักหนานะเรา...ชอบพี่เหรอ” ทั้งที่เป็นคำถามที่ควรจะย้อนกลับมาถามตัวเองในตอนนี้แท้ๆแต่เคนก็เลือกที่จะแหย่อีกฝ่ายออกไปแบบนั้น และดูจะได้ผล สองไหล่ของเด็กหนุ่มกระตุกกึกทันตาเห็น
“จะ ...เจอใครทำแบบนั้นใส่มันก็ต้องเขินทั้งนั้นล่ะ น่าอายจะตาย” จูนพูดตะกุกตะกักไม่ได้หันกลับไปมองรุ่นพี่ร่างสูง
“แล้วที่กอดวันนี้แกเขินพี่รึเปล่าหรือชินแล้ว” เคนเดินเข้ามาประชิดตัวเสียงทุ้มดังขึ้นเบาๆ แต่เสียงหัวใจในอกนั้นมันเต้นดังระรัวไปหมด เคนไม่เข้าใจนักว่าทำไมคำตอบของอีกฝ่ายถึงสำคัญ แต่เขาอยากได้ยิน อยากได้ยินกับหู ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรแค่ได้รับปฏิกิริยาบางอย่าง อะไรก็ได้ขอแค่ตอบกลับมาเขาก็รู้สึกดีแล้ว
จูนหันกลับมามองหน้าของร่างสูง ท่าทางครุ่นคิด
“อันที่จริง...ผมว่าผมเขินนิดหน่อย แต่จะว่าไปมันก็เหมือนจะปลงแล้วมากกว่า...ยังไงก็ต้องทำแบบนี้กันเรื่อย ถ้าผมเลิกเขินซะทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหมล่ะ” ดวงตาที่มองกลับมาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความจริงจังของคนที่มุ่งมั่นอยู่กับการแสดงจนเคนต้องยอมแพ้ ตลอดเวลาเขาคงดูเป็นรุ่นพี่ที่มีแต่เล่นกับเล่น ไม่เคยได้ให้อีกฝ่ายเห็นด้านจริงจังเลย
“จริงจังจริงๆเลยนะ....”เคนหัวเราะก่อนจะก้าวขาเดินอีกครั้งได้ยินเสียงฝีเท้าของจูนดังอยู่เคียงข้าง เขาเองก็อยากจะจริงจังกับเรื่องที่ทำให้ได้อย่างที่อีกฝ่ายทำบ้าง มือแกร่งถูเบาๆกับกางเกงยีนส์มือชื้นเหงื่อขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครู่ร่างสูงเหลียวมองซ้ายขวา ในตรอกเล็กๆไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมา
“นี่...จูน “ เคนตัดสินใจเอ่ยออกไป
“หืม....มีอะไรเหรอ...” จูนถามกลับโดยไม่ได้หันมามอง สองขายังก้าวไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย
“ถ้าเราเป็นแฟนกัน....”
“หะ?!” จูนอุทานเสียงดัง เผลอขยับตัวออกห่างอย่างช่วยไม่ได้
“หมายถึงในบทน่ะ...ถ้าเราทำแบบที่คนเป็นแฟนเขาทำกันบ่อยๆ พูดบทบ่อยๆ ...แกจะเลิกเขินพี่ไหม”
“อืม.....คิดว่านะ.....” จูนรับคำเบาๆ
“เหรอ......” เคนเผลอยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่แน่ใจนักว่ายิ้มทำไม แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามันทำให้เขาอยากยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น.....” เคนดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ไปคว้ามือของจูนมาจับเอาไว้หลวมๆ ร่างสูงไม่ได้หันมามองหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง หรือจะให้อธิบายอีกครั้งคงเป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะหันมาสบตาเสียมากกว่า
“อะไรเนี่ยพี่เคน...” จูนทำเสียงล้อเลียน คิดว่าอีกฝ่ายแกล้งเขาอีกแน่
“ก็ให้มันสมบทบาท....กลับด้วยกันก็จับมือเดิน แบบนี้ใช่ไหมล่ะ “ พูดไปพลางก็พารุ่นน้องเดินไปด้วยกันทั้งๆอย่างนั้น มือของจูนยังคงเย็นแตกต่างจากมือของเขาที่ร้อนและชื้นเหงื่อ...
......................................
ตรอกแคบไม่มีรถผ่านไปมาเงียบสงบต่างจากเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิงกันให้ขวักไขว่ตรงถนนหลัก ระยะทางจากจุดนี้ถึงด้านหน้าที่เห็นเป็นแสงจากลานจอดรถของหอพักกลางเก่ากลางใหม่ของเคนนั้นไม่ได้ห่างออกไปเท่าไรนักเคนค่อยก้าวขาเดินไปทีละเก้าช้าๆรู้ดีว่าข้างๆมีใครที่ก้าวเดินไปพร้อมกัน จูนไม่ได้พูดอะไร จนอดรู้สึกหวั่นใจเล็กๆไม่ได้ว่าความเงียบนั้นของอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร ....ยอมรับสัมผัสของเขาอย่างนั้นหรือ?.... หรือเพียงแค่เล่นไปตามบทบาทที่เขาส่งให้ ชัดเจนแต่ลางเลือน ท่ามกลางแสงสลัวของดวงไฟที่สาดส่องมาทำให้เคนคิดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากจะจินตนาการเพิ่มเติม ตอนนี้ ขอแค่อีกฝ่ายยอมให้เขาจับโดยไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่แสดงท่าทีขวยเขินใดๆ...แค่เดินไปด้วยกันเงียบๆแบบนี้น่าจะเพียงพอ
“ถึงแล้ว....รอแป๊บ พี่ไปเอารถก่อน เดี๋ยวไปส่ง” เคนว่าพลางละมือออกจากมือของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ออกมาจากลานจอดรถของหอพัก เสียงเครื่องยนต์ที่มักจะได้ยินเสียงบ่นทุกครั้งว่าดังเกินไปดังขึ้นที่หน้าหออีกระลอก ปรกติหากกลับดึกเขาจะยอมเข็นมอเตอร์ไซค์เข้าหอด้วยกลัวใครจะขว้างขวดขว้างประป๋องลงมาให้เป็นรางวัล
“เอ้า หมวก....” เคนว่าพลางยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววให้กับอีกฝ่าย จูนมองมือแกร่งที่ยื่นหมวกมาให้นั่นเล็กน้อยก่อนจะขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฮ่ะๆ.....”
“หัวเราะทำห่านอะไรวะ” อยู่ๆเห็นอีกฝ่ายหัวเราะทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจเช่นนั้นก็ต้องเสียงเขียวหน้ามุ่ย
“เปล๊า....” จูนปฏิเสธเสียงสูง “แค่วันนี้พี่เคนตลกอ่ะ ไม่รู้สิ ดูตื่นเต้นผิดปรกติ มืองี้เหงื่อเต็มเลยเหอะ...”
“เอ้าไอ้นี่.....คน...คนมันก็ร้อนเป็นเหมือนกัน” ว่าพลางก็ขยับคอเสื้อนักศึกษาของตัวเองเบาๆพอให้มีแรงลมพัดให้สมกับปากว่าอากาศนั้นร้อนจนเหงื่อออกมือ
“อ้อ....เหรอ....นี่ก็ใกล้จะหน้าหนาวแล้วนะ....ยังจะร้อนอีก?” ได้ทีจูนยิ่งแหย่รุ่นพี่เข้าไปใหญ่
“พูดมากจริง เด็กเปรตนี่ จะให้ไปส่ง หรือจะเดินกลับ....” เห็นอีกฝ่ายยังไม่เลิกก็ทำเสียงขู่ จูนหัวเราะเบาๆก่อนจะคว้าหมวกกันน็อคขึ้นมาใส่ แล้วโดดขึ้นซ้อนท้ายเหมือนเช่นทุกที
“ไปเลยเฮีย.... เวลาจะบิดก็บิดดีๆนะ มือมันลื่น”
..................................................
ตุ๊กตาสีขาวขนปุยลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนจะหล่นปุลงมาบนมือเรียว แล้วลอยขึ้นไปบนอากาศอีกรอบก่อนที่จะหล่นลงมาอีกครั้ง เป็นแบบนี้ซ้ำๆอยู่นานสองนานเมื่อเจ้าของห้องยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้
....เขินอะไรนักหนานะเรา...ชอบพี่เหรอ....[/b]
“ชอบ.....เหรอ....... “จูนพึมพำออกมาเบาๆ มือยังไม่หยุดโยนตุ๊กตาขนปุย ดวงตาเหม่อมองไปยังเพดานเมื่อเสียงทุ้มของใครบางคนยังดังก้องอยู่ในหัว เขาไม่แน่ใจหรอกว่าคำว่าชอบนั้นควรจะเป็นอย่างไร แต่อาการเขินเมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้นั้นเขาห้ามเอาไว้ไม่ได้จริงๆ บางครั้งเพียงแค่มองก็หัวใจสั่นไหว แต่นั่นหมายความว่าต้องชอบอีกฝ่ายอย่างแน่แท้แล้วหรืออย่างไร.....มันคงไม่ใช่เช่นนั้น
...........จูน... ไม่ได้ชอบผู้ชายใช่ไหม..............
อยู่ๆเสียงหวานกับดวงตาคมของสาวหน้าไทยอย่างนิดก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด สีหน้าท่าทางที่แม้ไม่ได้แสดงความไม่เป็นมิตรแต่กลับบาดลึกลงไปภายในจิตใจ
“ไม่ชอบหรอก...ชอบไม่ได้หรอก....” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง อยากจะย้ำเตือนตัวเองเอาไว้แบบนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีเพียงไร แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เขาชอบอีกฝ่ายไม่ได้หรอก ตุ๊กตาขนปุยสีขาวหล่นปุลงมาบนอกของเด็กหนุ่ม จูนค่อยกอดมันเข้าไว้ในอกทำแบบนี้แล้วพอจะรู้สึกสงบขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็อดเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่เผลอไผลยอมให้เคนโอบกอดไปเมื่อตอนเย็นไม่ได้ มันแตกต่างกันอยู่ไม่น้อยในอ้อมกอดนั้น อบอุ่น และปลอดภัย ดึงดูดให้เข้าหาอย่างน่าประหลาด แต่คิดได้อย่างนั้นก็ต้องรีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว
“เป็นไปไม่ได้....ไม่มีทาง ก็แค่การแสดงนั่นล่ะ ก็แค่แกล้งกันเล่นเหมือนทุกที” ....ใช่...มันต้องเป็นเพียงแค่การแสดง ขอบเขตของมันชัดเจนอยู่แล้ว...มันเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น จูนได้แต่ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ
............................................................................
เสียงเพลงของวงดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ดังคลอเบาๆ ในห้องนอนของยุทธ์ เจ้าของห้องนอนกลิ้งอยู่กับพื้นในขณะที่แขกผู้มาเยือนกำลังง่วนอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ เปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไปพลางขีดเขียนอะไรลงบนสมุดไปพลาง โชติกำลังนั่งเช็คสถานที่สองสามที่ที่พวกเขาเลือกที่จะเดินทางไปถ่ายทำหนังสั้น โชคดีที่ครอบครัวของยุทธ์มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์ ถึงจะเป็นการเดินทางที่ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อยแต่จากเงินเก็บที่ช่วยกันเก็บมาได้พักใหญ่ประกอบกับความใจป้ำของพ่อของยุทธ์ที่อาจเรียกว่าตามใจลูกเสียจนเหลิงเพียงเพื่อขอให้ลูกช่วยดูแลกิจการทางบ้านหลังเรียน...ตามใจชอบ...จบ ก็คงมีทุนมาพอจะเดินทางไปถ่ายทำกันไกลขนาดนั้นได้
“โชติ....” เสียงของยุทธ์ดังอู้อี้จากใต้ปกหนังสือการ์ตูนที่เจ้าตัวนอนอ่านอยู่กับพื้นห้องนอน
“อะไร? “โชติถามแต่ไม่ได้หันกลับมามอง ยังง่วนกับการเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุด
“กูห่วงไอ้จูนมันว่ะ”
“นึกยังไงจะไปห่วงมันวะ....” เสียงที่ตอบกลับมานั้นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์แต่อย่างใด ยังคงจดข้อมูลที่ต้องการลงไปอย่างละเอียด
“ไม่รู้สินะ...” ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเลื่อนหนังสือการ์ตูนลงมาปิดปาก ดวงตาที่โผล่พ้นขอบหนังสือออกมานั้นเหลือบมองโชติที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ก็แค่ห่วง....”
“เหรอ...นึกบ้าอะไรอยู่ๆอยากจะมาเป็นรุ่นพี่ที่แสนดี “ โชติเอ่ยถามยังคงไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนที่นอนอยู่ด้านหลัง
“นึกยังไงก็เรื่องของกูน่า.....” ยุทธ์ว่าพลางยกหนังสือการ์ตูนปิดหน้าอีกรอบ
“มึงจะให้กูเดาไหมล่ะ กูเดาแม่นนะ” โชติถามติดตลก แต่ยังไม่ได้หันกลับมามองอยู่ดี
“เก็บสัมผัสวิญญาณแกไว้เลย กูไม่เล่นด้วยอ่ะรอบนี้” ยุทธ์ตอบบางครั้งบางทีโชติก็ทายอะไรแม่นจนน่าขนลุก
“งั้นกูเดานะ....ต้องมีคนไปพูดไม่เข้าหูไอ้จูนจนมันงอแงอีกล่ะสิ ห่วงมันนักไม่ไปทำตัวเป็นพี่เลี้ยงที่ดีล่ะ โทรไปหามันเลย มานั่งเพ้อนอนเพ้อแล้วจะได้อะไร” โชติตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ยุทธ์เลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบนั้นของเพื่อน
“นี่มึงเดาเอาแน่นะ.... “
“ก็ไม่เชิง มีคนมาถามกูว่าจูนมันเรียนคณะอะไร...ก็เลยบอกไป” โชติตอบ “ตอนแรกก็นึกว่าคงจะแอบชอบน้องมัน แต่เห็นมึงบ่นๆแบบนี้กูว่ามันชักจะเข้าเค้าไปอีกทางมากกว่า ....คงเรื่องแฟนของเคนมันล่ะสิ”
“เออ....ก็แนวๆนั้น.....” ยุทธ์รับคำอย่างหัวเสียพลางหยัดตัวลุกขึ้นยืนด้วยเข่า แล้วเดินเข่าไปใกล้ๆเก้าอี้ที่เพื่อนนั่งอยู่พยายามชะโงกดูสิ่งที่โชติกำลังเขียน “ทำอะไรวะ “
“ลิสต์ของที่อยากได้ตอนไปถึงประจวบ กับคำนวณค่าใช้จ่าย แน่ใจนะว่าป๊ามึงจะช่วยจ่ายหมดเนี่ย” ว่าพลางก็ยื่นรายละเอียดของค่าใช้จ่ายให้อีกฝ่ายดู ยุทธ์หรี่ตาลงอย่างพิจารณา ก่อนจะยื่นสมุดคืนให้กับอีกฝ่าย
“เออ....ยอมหมดล่ะ กูสู้มานานกว่าเขาจะยอมกูขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ให้ไปจุดธูปบอกบรรพบุรุษว่าจะกลับมาทำงานที่บ้าน คงไม่ให้กูเรียนหรอกออกแบบเนี่ย “ ว่าพลางแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ
“งั้นโอเคนะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้า เดี๋ยวจะได้เอาเงินไปให้จูนกับเคนมันไปซื้อ จะให้มันซื้อมาเผื่อมึงแต่งหญิงเล่นคู่ไอ้จูนเลยไหมล่ะ “ ไม่วายยังจะแหย่เพื่อน
“ถึงกูไม่ค่อยชอบ แต่กูว่ากูแต่งสวยกว่าไอ้เคนมันก็แล้วกัน แม่ง....พูดแล้วหมั่นไส้มันชิบเลย แฟนตัวเองกับพวกไปทำไอ้จูนเอาไว้ขนาดไหนป่านนี้ยังไม่รู้เรื่อง แล้วมึงก็ตัวดี ไปบอกเขาทำไมวะว่า ไอ้จูนมันอยู่คณะมนุษฯ” ไม่พูดเปล่าตบหัวเพื่อนเสียหน้าแทบทิ่มลงกับโต๊ะ
“อ้าว ก็ใครมันจะไปรู้วะ....ว่าแต่แกทำไมเป็นเดือดเป็นร้อนะช่วงนี้” โชติหันมาถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย “อ่ะ...นั่นแน่....หรือว่า.....”
“พอ...มึงไม่ต้องบิ้ว” ยุทธ์ยกมือห้าม “จูนมันไม่ได้ชอบผู้ชายเว้ย “
“แต่มึงชอบ?.......” โชติถามกลับทันควัน
“ห่า.......เลิกพูดเรื่องนี้จะได้ไหมวะ” ยุทธ์ดันหน้าของโชติออกไปจนคอแทบเคล็ดก่อนจะลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจซ้ายขวา “กูจะลงไปข้างล่าง มึงเอาไรป่ะ มาม่าก็มีนะเว้ย”
“เอามาม่า.....ใส่ไข่ด้วย” โชติสั่งพลางยิ้มกว้าง
“เออๆ...รอแป๊บ เดี๋ยวกูขึ้นมา”
ประตูห้องปิดลงที่ด้านหลัง ยุทธ์เดินฮัมเพลงเบาๆลงมาตามบันไดไม้สักขัดเงาวับของที่บ้าน ห้องครัวยามดึกดื่นให้บรรยากาศวังเวงไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จัดการเทมาม่าลงในชามพร้อมน้ำร้อนก่อนยัดใส่ไมโครเวฟเป็นตัวช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้นโดยไม่ลืมตอกไข่ใส่ตามลงไปด้วย เสียงไมโครเวฟทำงานไปช้าๆ ความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจกลับลอยเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เขายังนึกห่วงรุ่นน้องผมทองคนนั้นอยู่ตลอด เป็นใครก็คงใจอ่อนยวบเมื่อมีคนมานั่งน้ำตาไหลปาดน้ำตาป้อยๆอยู่ตรงหน้า อันที่จริงเขาไม่ได้คิดเลยว่าจูนจะมาหาเขาที่ร้าน แต่พอฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พอเข้าใจได้ เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่จูนมาหา มาปรึกษาเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน หรืออย่างน้อยๆก็แค่มาขอนั่งเล่นเกมส์ด้วยให้พอคลายความไม่สบายใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงไปบ้าง
“จูนเอ้ย...ขออย่าให้พี่ต้องห่วงแกไปมากกว่านี้เลยเถอะ”
......................................... to be continued
-
อร้ายยยยยย...อิหน้าขาวมดขึ้นไอติมหมดแล้ว!!! หมั่นไส้ :mew5:
พี่ยุทธ์~~~ ความจริงของพี่ทำหนูช็อคนิดๆ...แต่พี่คะ...หนูเชียร์ให้พี่ได้กับน้องจูนนะ :-[ :-[
ไปทะเลจะมีเหตุอะไรมั้ยน้อ~~
-
@@@talk@@@
พี่เคนเอ้ย ไปกันใหญ่จริงๆนะคุณพี่.....
อัพครึ่งตอนแรกก่อนค่า อีกซัก สองสามสี่วัน จะมาอัพต่อนะคะ
-17 1/2 -
“อยากไปซ้อมแล้ว.... อยากไปซ้อม..... อยากไปซ้อม..... “
เคนพึมพำออกมา ดวงตาคมเป็นประกาย ตื่นเช้ามาวันนี้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสดชื่น แจ่มใส รู้สึก...อยากจะเจอหน้าใครบางคนเร็วๆ จนหากทำได้คงกระโดดข้ามเวลาไปช่วงเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผั่วะ!!
ลูกวอลเลย์ลอยละลิ่วจากอีกฟากหนึ่งของเนตมากระแทกเข้ากับหัวของคนที่ “กำลังเพ้อ” อย่างแรง
“โอ้ย....ใครตบบอลใส่หัวกูวะแม่ง เดี๋ยวพ่อฆ่าทิ้งเลยนี่” เคนโวยลั่น
“กูเอง....” เสียงของชายสูงวัยดังขึ้นทำเอาเคนต้องลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยกับพื้น
“อุ่ย จ๊านนนน....ขอโทษคร้าบบบบบบ!!! ” สองมือยกขึ้นไหว้ท่าทีเรียบร้อยแบบเปลี่ยนจากเมื่อครู่แบบหลังฝ่าเท้าเป็นหน้ามือ
“เอ้า พักได้....พวกเอ็งดูเพื่อนกันหน่อยสิ มันตากแดดมากจนมันเพี้ยนแล้ว....” เสียงอาจารย์ว่าก่อนจะเป่านกหวีดเป็นสัญญาณให้หนุ่มๆเอกพละที่มาซ้อมวอลเลย์บอลกันพักได้
“ไอ้เคน ดีนะมึง แค่ลูกบอล ขืนวิชามวยนี่ กูว่ามึงคงโดนน็อคลงไปนอนนับสิบอ่ะ” เพื่อนคนหนึ่งว่าพลางหัวเราะ ท่าทางของเคนเมื่อครู่มันเกินบรรยายจริงๆ “บ่นอะไรพึมพำวะ ซ้อม? ซ้อมอะไรของมึงวะ””
“ซ้อมกับชมรมอ่ะ....”
“ชมรม? อ๋อ ชมรมการแสดงอ่ะนะ ใกล้จะโดนยุบแล้วไม่ใช่เรอะ”
“ยังเว้ย “เคนเถียงทันควัน “กูยังไม่ยอมให้ยุบหรอก.....อย่างน้อยก็จนกว่าจะถ่ายหนังเสร็จ”
“ หนังอะไรวะ”
“หนังสั้น กูเป็นพระเอกนะเว้ย “ จะว่าโกหกก็ไม่เชิงเขาแค่ไม่อยากน้อยหน้ายุทธ์ก็เท่านั้น ใครๆรู้จักยุทธ์หนุ่มหน้าสวยประจำสาขาการออกแบบ หน้าตาสวยได้รูปเหมือนดารา นิสัยรักสนุกฮาเฮทำให้มีเพื่อนไปได้ทั่วมหาวิทยาลัยไปหมด
“เหรอ กูนึกว่าไอ้ยุทธ์ซะอีก....เดี๋ยว ชมรมมึงมีแต่ผู้ชายนี่หว่า หนังเกย์เรอะ”
“เกย์?....เกย์เกออะไร ไม่ได้เป็นเว้ย “คราวนี้กลับโวยเสียงสูง
“เคนมึงหลอนเห็ดเมามาจากไหนวะ กูหมายถึงหนังมึงน่ะ ไอ้ควาย ฟังกูพูดหน่อยสิสาด” ไม่พูดเปล่าฟาดมือลงบนหน้าผากของเคนดังเป๊ะ
“อ้อ เอ้อ หนังก็ไม่ใช่หนังเกย์เว้ย แค่ชมรมกูไม่มีผู้หญิงเท่านั้นล่ะ “ เคนว่าพลางยกมือขึ้นถูหน้าผากของตัวเองเบาๆ
“อ้าว แล้วที่เขาว่ามึงไปจูบโชว์ชาวบ้านเขามานั่นไม่ใช่ผู้หญิงเรอะ ....”
“เปล่า นั่นจูนน้องที่ชมรม ชื่อเหมือนผู้หญิงก็เหอะแต่ผู้ชายว่ะ ไม่ใช่กระเทยด้วย” เคนไม่ปล่อยให้เพื่อนได้พูดต่อเขาดักทางเอาไว้หมด
“อึ๋ยยย.....เอาจริงดิ่ ถามจริงมึงจูบไปได้ไงวะ เป็นกูกูไม่เอานะเว้ย” สีหน้าและท่าทางของเพื่อนนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกได้อย่างไม่ยากเย็น
....แขยง? รังเกียจ?.....
เคนนึกในใจ คำพวกนี้ไม่ค่อยมีความหมายในหัวของเขาเท่าไรเมื่อพูดถึงการสัมผัสกับคนทีเป็นเพศเดียวกัน แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เคยจิตนการเรื่องการแสดงเป็น “พระ” “นาง” คู่กันของเขากับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่จูนเลย หรืออาจจะเป็นเพราะตัวจูนเองที่เป็นคนเรียบร้อยเป็นทุนอยู่แล้วทุกอย่างมันเลยดู....นุ่มนวลไปเสียหมด..... คิดไปพลางในหัวก็นึกย้อนไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ท่าทางแบบนั้นของจูนมันทำให้เขาใจเต้นได้อย่างไม่ยากเย็น
“ไม่ ไม่ ไม่ พอ พอ......”
เคนพยายามไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น เพราะช่วงเช้าของวันนี้เป็นวิชาปฏิบัติตลอด ขืนเขาฟุ้งซ่นปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปมากกว่านี้มีหวังต้องโดนลูกวอลเล่ย์ตีเข้าหน้าอีกหลายๆลูกเป็นแน่ ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่าเพื่อนในเอกเดียวกันคงไม่มีใครกล้าหือมาแกล้งเขาแน่นอน แต่ในการกีฬาอุบัติเหตุใดๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ทัังนั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามที ก็แค่ไม่อยากมึนแล้วด่าผิดตัวแบบเมื่อครู่อีกก็เท่านั้น
...... ว่าแต่วันนี้ไอ้จูนมันเลิกเรียนกี่โมงว้า.....
.......................................................
"เคน ไปหาไรแดกกัน "
เสียงชวนจากเพื่อนๆดังขึ้น พอตกเที่ยงเลิกเรียนส่วนใหญ่ทุกคนก็จะรีบไปหาอะไรใส่ท้องด้วยความหิวโหย ก่อนจะรีบพาตัวที่อาบเหงื่อต่างน้ำกลับบ้าน กลับหอกัน ไม่ค่อยมีคนอยากจะอยู่ตะลอนๆในมหาวิทยาลัยต่อมากนักเพราะทนกลิ่นตัวกันเองไม่ค่อยไหว
"จะรีบไปไหนวะ ขอกูเปลี่ยนเสื้อก่อนไม่ได้รึไง" เคนบ่นแต่ดูท่าเพื่อนจะไม่ทันได้ฟัง ยกขโยงกันออกไปจากบริเวณสนามแล้วเรียบร้อย
"โอ้ย จะรีบไปไหนนักหนาวะ ร้านข้าวมันไม่ลอยหายไปไหนหรอกน่า..... " พูดพลางตลบเสื้อโปโลที่ใส่อาบเหงื่อมาตลอดเช้าออกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดที่เตรียมมาเปลี่ยน
"anywhere i will find you.... "
[/i]
ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปไหน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นทำเอาร่างสูงชะงักกึก
.....นิด ......
มือแกร่งดึงโทรศัพท์ขึ้นมาดู เสียงโทรศัพท์ยังคงแผดลั่น ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว เคนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบชเม็ดเป้งบนหน้าผาก ก่อนจะกดรับสาย
"ว่าไงครับ นิด "
"พี่เคน เลิกเรียนรึยังคะ ไปกินข้าวกันเถอะ... " เสียงหวานดังออดอ้อนจากปลายสาย
"เลิกแล้วครับ แต่พี่ เอ่อ วันนี้ลงสนามมา ตัวเหม็นนะ นิดจะอยากไปกับพี่เหรอ "
"พูดอะไรแปลกๆเหมือนนิดไม่เคยนัดพี่หลังลงสนามงั้นล่ะ ไม่รู้ล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันนะคะ บ่ายนิดมีเรียนที่คณะมนุษฯ ไปกินข้าวที่โรงอาหารกันดีไหม อย่างน้อยก็ได้เจอกันบ้าง "
"ครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวเจอกันที่โรงอาหารก็แล้วกัน" เคนว่าเขาบอกลาอีกสองสามคำก่อนวางสาย รีบเดินตามเพื่อนออกไปที่ด้านนอกเพียงเพื่อจะบอกว่าเที่ยงนี้เขามีนัดอื่นเรียบร้อยแล้ว
..... นัดอะไรกะทันหันวะ......
......นัดกับแฟนหรือนัดกับกิ๊กวะ.........
คำถามของเพื่่อนดังวนเวียนมือแกร่งบิดคันเร่งมุ่งหน้าจากสนามมาตามถนนในมหาวิทยาลัย แทนที่จะมาตามถนนหลักด้านหน้า เขากลับเลือกที่จะลัดเลาะมาทางด้านหลังหยุดรจังหวะรถเล็กน้อยตรงสี่แยก น่าแปลกที่ด้านหน้าหากเขาเลี้ยวซ้ายไปจะเป็นคณะวิทยาการจัดการในขณะที่หากเขาเลี้ยวขวาจะเป็นคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ทางแยกระหว่างซ้ายและขวาที่คงไม่มีทางเลือกทั้งสองทางได้เป็นแน่ เคนอดแปลกใจตัวเองไม่่ได้เพราะแค่เพียงโทรศัพท์และเสียงหวานๆเมื่อครู่ก็ทำเขาสั่นไหวไม่ได้แตกต่างไปจากความรู้สึกหวั่นไหวเมื่อคืน...เพราะเด็กหนุ่มอีกคน แปลกเหลือเกินทั้งๆที่มีใจอยู่แค่ดวงเดียวแท้ๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกหวั่นไหวไปกับท่าทีต่างๆของคนสองคนไปได้ขนาดนี้
โรงอาหารคณะมนุษฯ ยามเที่ยงคนยังแน่นเหมือนอย่างทุกที เคนเดินหิ้วหมวกกันน็อคไปยืนมองหาแฟนสาวของตัวเอง
.....ท่าจะยังเดินมาไม่ถึง....
"เหวอ !! ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อมีแรงโถมเข้าใส่หลังของเขา
"ไปเลยเจ้าทุย!!"
"อ่ะ เฮ้ย ไอ้จูนแกว่าใครเป็นควายวะ ลงไปเล้ย ไอ้ตัวแสบ..." เคนจับแขนอีกฝ่ายได้ก็แทบจะสะบัดคนที่กระโดดมาขี่หลังเขาให้ลงจากหลังไปเสียที
"แฮ่ะๆ ขอโทษครับ ว่าแต่พี่มาทำอะไร มาหาผมเหรอ" จูนถามพลางยิ้มกว้างวันนี้ก็จัดทรงผมกรีดตามาได้ลงตัวเหมือนทุกๆวันจะต่างก็ตรงที่วันนี้ไม่มีคอนแทคเลนส์สีน้ำเงิน แต่เป็นแว่นแฟชั่นกรอบหนาแบบไม่มีเลนส์แทน ท่าทางจะนึกสนุกอะไรขึ้นมาถึงได้แต่งแบบนี้มาเรียน
"ค...ใครว่าวะ สำคัญตัวผิดไปหน่อยละไอ้ตัวแสบ....หนอยแน่มาหาว่าพี่เป็นควายเรอะ" ไม่พูดเปล่าล็อคคอของเด็็กหนุ่มเข้ามาเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้
"โอ้ยโอ้ย กลัวแล้ว กลัวแรงควายแล้ว..." จูนโวยวายพยายามตบแขนให้อีกฝ่ายปล่อย
"ยังไม่เลิกอีกนะเรา " เคนหัวเราะก่อนจับศีรษะโยกไปมาด้วยความหมั่นไส้
"ฮ่ะๆ ใครใช้ให้ตัวใหญ่แรงเยอะแถม....." พอตั้งใจจะพูดต่อก็ต้องเงียบเสียงลงทันทีเมื่่อเห็นว่าใครคนหนึ่งเดินมา
"พี่เคน...รอนานไหมคะ"
เด็กสาวร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้ นิดยังคงดูดีเหมือนเช่นทุกวัน รูปร่างเล็กบอบบางเข้ากันดีไม่หยอกกับชุดนักศึกษาเข้ารูป กระโปรงสั้นแบบพอดีๆ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
"อะ...อ้าว นิด" เคนหันไปยิ้มแห้งๆให้กับแฟนสาว "เอ้อ นิด นี่จูนน้องที่ชมรมที่เคยพูดให้ฟังไง "ว่าพลางก็ดึงแขนของจูนให้ขยับเข้ามาใกล้หมายจะแนะนำให้นิดได้รู้จัก แต่จูนกลับดึงแขนของตัวเองออกช้าๆ เด็กหนุ่มยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที
"สวัสดีครับ พี่นิด"
"สวัสดีจ้ะ จูน คราวหลังไม่ต้องไหว้หรอกนะ พี่ไม่ถือหรอก"
"ครับ.... " เห็นนิดยิ้มตอบกลับมาก็ทำให้จูนมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
"เราไปกินข้าวกันไหม จูน ไปกินด้วยกันสิ....มีเรียนต่อรึเปล่า?" นิดถามบนใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตร ไม่มีสีหน้าของความระแวงระวังเหมือนอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันก่อน ทำให้จูนอึกอักเขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบว่าอะไร เด็กหนุ่มมองหน้าของเคนเล็กน้อย
"อ่ะ...เออ...จริง ไปกินด้วยกันดิ่ เที่ยงแล้วนะ "
"แต่ผม....เอ่อ...." จูนลังเล ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องหาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย
"เอ่อ อ่าอะไรเล่า ไปกินด้วยกันสามคนนี่ล่ะ" เคนว่าพลางคว้าแขนนิดข้างหนึ่งโอบบ่ารุ่นน้องด้วยแขนอีกข้างหนึ่งเดินไปสั่งข้าวราดแกงมานั่งกินกันสามคน
"................"
แต่สุดท้ายแล้วโต๊ะอาหารก็เงียบกริบท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คนรอบข้าง
"ยังไม่มีน้ำกินกันเลยนี่นะ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้พวกพี่ดีกว่า " จูนรีบเสนอตัวพลางลุกขึ้นหมายจะเดินไปซื้อน้ำมาให้เคนและนิดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"เฮ้ย แกไม่ต้อง นั่งกินไปเลย เดี๋ยวป๋าจัดให้เอง" เคนห้ามเอาไว้มือแกร่งดันไหล่รุ่นน้องให้นั่งลงที่เดิม "เดี๋ยวพี่มานะนิด เอาน้ำเปล่านะ"
"ค่ะ " เด็กสาวรับคำก่อนจะมองร่างสูงของคนรักเดินไปอีกทาง
ถึงจะหิว แต่กับข้าวตรงหน้าในตอนนี้กลับไม่ได้เชิญชวนให้กินเลยแม้แต่น้อย จูนวางมือบนหน้าตักขยับนิ้วไปมารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมองไปแล้วเห็นสายตาของนิดจับจ้องมา
"วันนี้ แว่นสวยนะ" นิดเอ่ยทักแว่นตาที่อีกฝ่ายใส่
"อ่ะ อันนี้เพิ่งได้มาน่ะครับ " เด็กหนุ่มตอบยกมือขึ้นแตะแว่นตาอันใหม่ของตัวเอง
"ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม "ว่าพลางยื่นมือเล็กมาขอ เด็กหนุ่มถอดแว่นยื่นให้โชคดีที่วันนี้เขาใส่คอนแทกเลนส์สายตามาด้วยจึงทำให้มองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่
"ขอโทษนะ ...." หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเบาๆขณะสำรวจแว่นตาของเขา ทำให้จูนต้องเลิกคิ้วสูง
“ครับ? “
“ เรื่องเมื่อวันก่อน พี่กับเพื่อนคงทำให้จูนตกใจ และก็อาจจะโกรธพวกพี่ด้วย พี่เข้าใจจูนผิดไปแต่ก็อยากให้จูนเข้าใจพี่นะคะ เพราะเดี๋ยวนี้มันก็ยากจะเชื่อสิ่งตาเห็นกับสิ่งที่ใครๆบอกมา แต่วันก่อนที่เราเจอกันในเมื่อจูนก็พูดกับพี่ตรงๆแล้ว พี่คิดว่าพี่ควรจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นมากกว่า...บางครั้งอารมณ์ชั่ววูบมันก็ทำให้คนเราไม่ทันได้คิดอะไร พี่ขอโทษนะ แล้วก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยที่ทำเรื่องแย่ๆแบบนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ถึงความประหม่า เหมือนคิดเรียบเรียงคำทีละนิดก่อนจะค่อยพูดออกมา เพราะเหตุนั้นเองในทางกลับกันก็เป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
จูนนิ่งจนอาจจะเรียกได้ว่าหมดคำพูด ในอกรู้สึกสะเทือนสั่นไปหมด เขาไม่แน่ใจว่าควรจะคิดอย่างไรดีกับการที่อีกฝ่ายมาขอโทษเขาแบบนี้ แต่หากจะให้พูดตามตรงการเข้าใจผิดกันในครั้งนี้ไม่น่าจะมีใครที่ผิดหรือถูกมันเป็นเพียงแค่การเข้าใจกันไปเองตีความกันไปเองมากกว่า นิดเองก็ไม่ได้ผิดอะไรแล้วทำไมเขาจะยกโทษให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ....เอาเป็นว่าเราอย่าไปจำเรื่องแบบนั้นเลยนะครับ” หญิงสาวยิ้มตอบกลับมา ทำให้จูนคิดว่าเขาไม่น่าจะต้องรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาพูดอีกแล้ว ลืมมันไปเสียความรู้สึกแย่ๆแบบเมื่อวันก่อนก็คงจะหายไปด้วย
..............ยังไงเสีย เราก็ไม่ได้เป็นแบบที่พี่เขาเคยเข้าใจผิดนี่นะ...............
“คุยอะไรกันสองคน....” เสียงของเคนดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินกลับมาพร้อมขวดน้ำเปล่า กับโค๊กอีกสองขวดและน้ำแข็งอีกสามแก้ว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กำลังว่าแว่นของน้องเขาน่ารักดี.....นิดว่าคนที่ต้องหาแว่นมาใส่น่าจะเป็นนิดมากกว่า น้องเขาก็เป็นผู้ชายแท้ๆ แถมหน้าตายังเป็นหนุ่มญี่ปุ่นขนาดนี้ วันนั้นนิดเข้าใจผิดไปได้ยังไงก็ไม่รู้ นิดนี่แย่จัง....” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะเขินๆ ก่อนจะยื่นแว่นตาคืนให้กับจูน “นี่สงสัยจะเป็นเดือนคณะล่ะมั้ง”
“โอยๆ ไปกันใหญ่แล้วครับพี่นิด เดือนคณะอะไรไม่ใช่เลยครับ ...” จูนโบกไม้โบกมือ “หน้าตาแบบผมเนี่ยนะเดือนคณะ ไม่เลยครับ อย่างพี่เคนต่างหาก หน้าตาดี...จนผมเองยังอิจฉาเลยครับ คนอะไร เกิดมาก็หล่อเลยไม่เหมือนผมหรอกต้องทำโน่นทำนี่อีกเยอะไม่งั้นก็ไม่กล้าออกจากห้องหรอกครับ”
“ถล่มตัวเองไม่เข้าท่าอีกละ....” เคนว่าพลางยื่นมือไปขยี้หัวของหนุ่มรุ่นน้อง ท่าทางตอนจูนถล่มตัวเองเพราะเขินแบบนี้มันดูน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยแต่ในขณะเดียวกันก็ขัดใจอยู่เล็กๆ เพราะเขาคิดว่าจูนที่ไม่ค่อยได้แต่งอะไรในวันสบายๆแบบนั้นดูน่ามองกว่าที่เห็นกันทุกวันๆแบบนี้เป็นไหนๆ “ผู้หญิงเขาชมก็รับๆไปเถอะน่า...ไม่ต้องมาถล่มตัวให้น่ารักเลย ”
“พี่เคน เล่นหัวอีกแล้ว ปล่อยเว้ยเดี๋ยวไม่หล่อ...”จูนโวยวายหน้างอขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ผมอายพี่นิดเขานะ...” พูดพลางก็ยกมือขึ้นถูกข้างๆลำคอเหมือนอย่างที่เคนเคยเห็นบ่อยๆเวลาที่อีกฝ่ายเขิน
“ฮ่ะๆ....” นิดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางของทั้งสองคน “สนิทกันดีจังนะ จูน วันหลังพี่จะแนะนำรุ่นน้องที่คณะให้เอาไหม หน้าตาอินเทรนด์แบบนี้สาวคณะวิทยาการฯคงอยากรู้จักอยู่หลายคน”
“โอ้ย....จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ” จูนพูดติดตลก แต่คนที่ดูจะไม่อยากตลกด้วยน่าจะเป็นเคนเสียมากกว่า คิ้วคมขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
“ไหวเร้อ เดี๋ยวได้ไปอายม้วนต่อหน้าสาวจะเสียฟอร์มนา...”เคนเอ่ยแซวเล่นๆ แต่ในใจกลับนึกจริงจัง
...กูยังไม่อยากเห็นมันไปเขินแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นนี่....
“พี่เคนก็ว่าไป กินๆเข้าไปเลยข้าวน่ะ ....” จูนว่าช้อนก็ชี้ไปที่จานข้าวที่ยังไม่พร่องเลยของอีกฝ่าย
“ใช่ พี่เคนน่ะไปว่าน้อง....” นิดว่าพลางหัวเราะ
“อ้าว ไหงทีนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยล่ะเนี่ย” เคนอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสูง ท่าทีของแฟนสาวแตกต่างไปจากเมื่อวันก่อนที่ดูไม่อยากแม้แต่จะเสวนากับจูน แต่ถ้าคิดอีกทีดูจากภายนอกแล้วจูนก็ไม่ได้มีท่าทีจะคล้ายผู้หญิงอะไรขนาดนั้น เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งอาจจะติดก็ตรงที่เรียบร้อยไปเสียหน่อย และไม่ได้เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด แต่กระนั้น.....ก็ยังรู้สึกว่าน่ารัก
บางที นิดเองก็อาจจะสังเกตเห็นแล้วเอ็นดูเหมือนอย่างที่เขาเอ็นดูจูนก็เป็นได้
ทั้งสามคนนั่งทานข้าวกันไปพลางพูดคุยกันไปพลางบรรยากาศดีขึ้นอยู่ไม่น้อยเมื่อนิดสังเกตเห็นพวงกุญแจที่จูนห้อยอยู่กับกระเป๋าแล้วเป็นตัวการ์ตูนที่เธอชื่อชอบ แต่ไม่รู้จักว่ามันคือตัวอะไร จูนเองได้ทีก็บรรยายสรรพคุณของตุ๊กตาตัวนั้นอย่างจริงจัง ปล่อยให้เคนนั่งงงอยู่อย่างนั้น
“อ่ะ ใกล้เวลาเรียนแล้ว เดี๋ยวนิดคงต้องไปแล้วล่ะค่ะพี่เคน....” หญิงสาวร่างเล็กว่า ก่อนจะหันมาทางจูน “ไว้ถ้าพี่อยากได้ตุ๊กตาแบบนี้บ้างจะให้จูนพาไปซื้อนะคะ” นิดหันไปแหย่ จูนหัวเราะเบาๆ
“ครับ...ผมจะพาไป ถ้าพี่เคนไม่ว่านะครับ”
“เฮอะ จะไปว่าอะไรได้ ไปกันเลย ทิ้งพี่ไว้งี้ล่ะ เป็นหมาหัวเน่าแล้วนี่ หาเรื่องคุยกันถูกคอได้นี่คุยใหญ่เลยนะ” เคนอดไม่ได้ที่จะประชด ร่างสูงทำหน้าบึ้งไม่ต่างจากยักษ์ใหญ่ใจเล็กที่กำลังงอแง
“โอ๋ๆ ก็ไปด้วยกันสามคนนะคะ” นิดว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวนิดไปเรียนแล้วนะคะ แล้วจะโทรไปหานะคะพี่เคน” หญิงสาวว่า มือเรียววางลงบนไหล่แกร่งของชายหนุ่มเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม ก่อนทำท่าจะยกจานชามไปเก็บ แต่จูนก็ห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวผมเก็บให้พวกพี่เอง....ปล่อยไว้ก็ได้ครับ” นิดมองหน้าของเคนเล็กน้อย ซึ่งเคนก็พยักหน้าลง
“งั้นพี่ฝากด้วยนะคะ ขอบใจนะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะถือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษกับกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองเดินไปอีกทาง
“พี่นิดนี่ สวยเนอะ...อิจฉาแท้คนมีแฟนสวย....” จูนพูดแหย่เคนก่อนจะลุกขึ้นรวบจานชามเข้าด้วยกันจะยกไปเก็บ
“เฮ้ย จะทำอะไร....” มือแกร่งยื่นเข้ามายึดข้อแขนของจูนเอาไว้
“เก็บจานไงพี่....”
“ไม่ต้อง พี่เก็บเอง....” พูดพลางก็แย่งทุกอย่างที่อยู่ในมือจูนมาถือเอาไว้ มืออีกข้างที่ว่างก็ถือขวดโค้กเดินนำไปโดยไม่ลืมบอกให้จูนถือแก้วน้ำกับหยิบกระเป๋าเดินตามเขามาด้วย “คราวหน้าคราวหลังกินของตัวเองก็เก็บเองก็แล้วกัน” เคนดูหัวเสียเล็กๆ ทั้งสองคนเดินเอาของไปเก็บแล้วชวนให้จูนกลับด้วยกันกับเขา
“เอ้อ วันนี้มาแปลก เลี้ยงน้ำน้องไม่พอ เก็บให้อีก แถมจะไปส่งหออีก ....ฟ้าก็ยังสว่าง ไม่ได้ฝันชัวร์ สรุปหัวพี่ไปกระแทกอะไรมารึเปล่า...” มือเรียวยกขึ้นแตะหน้าผากของอีกฝ่ายปรากฏว่ามันปูดอยู่จริงๆ “เฮ้ย....หัวคนหรือมะนาววะเนี่ย? ไปโดนไรมาอ่ะ....” จูนโวยวาย พยายามดึงให้เคนก้มหัวลงมาเพื่อที่จะได้ดูให้แน่ใจว่ามันบวมขนาดไหน
“เออน่า..ไม่ได้เป็นไรหรอก ปล่อย....” เคนเองก็เพิ่งรู้ตัววันนี้เขาทำอะไรที่ผิดปรกติไปเยอะจนอีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็น
“แต่มันบวมมากเลยนะพี่” จูนยังดื้อไม่หยุด
“เป็นห่วงนักรึไง.....” เคนยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของรุ่นน้อง
“ก็....มันปูดนี่นา” เด็กหนุ่มว่าพลางทำปากยื่น หน้าตาเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“.............ซื้ดดดด.........ฮ่า...........” เห็นแบบนั้นก็ต้องซูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกยาวๆ เคนหลับตาแน่น มือกำจนข้อขาวไปหมดเขาควรจะทำอย่างไรกับอีกฝ่ายดี ในที่สาธารณะแถมกลางวันแสกๆแบบนี้ ทำไมถึงต้องรวบรวมสมาธิพยายามอดทนมากมายขนาดนี้
....กูแพ้ปากเป็ดเว้ย....
ถึงจะอยากจะไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ให้แน่นๆแล้วเขย่าไปพลางตะโกนบอกไปพลางแต่ก็ทำไม่ได้
“เป็นไรพี่ เจ็บแผลอีกเหรอ”
“ถ้าบอกว่าเจ็บแล้วจะเป่าให้รึไง....”เคนมองอีกฝ่ายด้วยหน้าเซ็งๆ การทำอะไรไม่ได้นี่มันทรมานแบบไหนเขาก็เพิ่งเคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก
“โอ๋ๆ....เป่าให้นะครับ....อย่าร้องนะค้าบบบบ....” จูนหัวเราะออกมาเบาๆนึกขำอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยวันนี้รุ่นพี่ร่างสูงคนนี้ของเขาคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ แต่กระนั้นก็ยังบ้าจี้จับหน้าของอีกฝ่ายให้ก้มลงมาใกล้
“โอม...เพี้ยงหายนะครับ เพี้ยงหาย”
“..............................” ทำเอาต้องกลั้นลมหายใจอยู่ๆหน้าของรุ่นน้องก็เข้ามาเสียใกล้ขนาดนี้ หัวใจสั่นไหวง่ายดายทั้งที่ยังไม่ถูกลมใดปัดเป่า เคนรีบผละออกจากเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที “เอ้ย เล่นอะไร พอๆ กลับได้แล้วพี่จะได้รีบไปอาบน้ำ เหม็นตัวเองชิบหาย” เคนตัดบทก่อนจะเดินไปคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง เขาเป็นอะไรไปได้มากขนาดนี้เลยหรืออย่างไร
“ครับๆ...ว่าแต่ส่งตรงหน้าโรงอาหารกลางก็ได้นะ เดี๋ยวผมนั่งรถกลับเอง แดดร้อนเดี๋ยวขี่รถไปกลับจะตกมันซะก่อน”
“ไอ้เด็กนี่หลอกด่ากูอีกละ...” เคนโวยบ้างเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหลอกด่าเขาอีกแล้ว แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะดังเบาๆจากด้านหลังก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เอาวะ...จะช้างม้าวัวควายหมีผีทะเลอะไรก็เถอะ..... เอาเป็นว่าพี่ไปส่งนั่นล่ะดีละ”
..................................... to be continued
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก รักสามเศร้าของเราสามคน!!!!! แกหยุดเลยนะอิพี่เคน #จับโขก :z3: :z3:
น้องจูนก็บ้าจี้ไปเอาใจอิหมีควายบ้าพลัง...ฮึ้ยๆๆๆๆ :fire:
ยัยนิด มาเอาแฟนเทอกลับไปเลย!!!!!!!
อร้ายยยยยยยย เกลียอิหมีควายบ้าพลังหน้าขาววอกแล้ว!!! :z3: :z3:
-
เขิลๆฟิน
-
@@@ talk @@@
มาแล้วค่า .... ครึ่งตอนหลัง..... ความยาวปานจะได้อีกตอน อ่านกันให้อิ่ม ให้จุใจ นะคะ
ว่าแต่ วันนี้ จะมีกึ๋มกึ๋ยอะไรไหมน้าาาาาา :impress2:
...............................................................
-17 2/2 -
เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์เบาลงที่ที่จอดรถหน้าหอพักของจูน เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวลงจากรถพลางถอดหมวกกันน็อคสีหวานส่งคืนให้กับคนที่อาสาขับรถมาส่ง
“ขอบคุณครับพี่.... “ จูนยิ้มน้อยๆให้กับอีกฝ่าย “งั้นไว้...พรุ่งนี้เจอกันที่ชมรมเนอะ จะไปซ้อมก่อนไหมอ่ะ พี่โชติอยากให้ซ้อมฉาก...เอ่อ ...เลิฟซีนก่อนด้วย ยังมีฉากแอคชั่นที่เราต้องไปเล่นเป็นตัวประกอบด้วยนะ คงต้องบล็อกกิ้งกันดีๆหน่อย ไปเตะไปต่อยกับพวกพี่พลาดขึ้นมาผมคงโดนจระเข้ฟาดหางคอหักตาย” จูนว่าท่าทางดูเป็นกังวลกับการแสดงของตัวเองอยู่ไม่น้อย
“ฮ่ะๆ....นั่นสินะ งั้นก็ตามนั้น....” เคนตั้งใจจะปิดกระจกหมวกกันน็อคแล้วขี่รถออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “เฮ้ย จูน.....”
“ครับ” จูนที่กำลังล้วงหากุญแจห้องจากในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา
“จะซ้อมกันไหมล่ะ” เคนว่าพลางถอดหมวกกันน็อคออก
“หา? “จูนร้องออกมาเบาๆ “แล้วไหนว่าจะรีบกลับไปอาบน้ำไง...”
“ก็แกพูดมาซะจนพี่ก็ห่วงด้วย เอาเป็นว่าซ้อมไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักเหนียวตัวก็อาบน้ำห้องแกเลยจะเป็นไร” เคนบอกแผนการคร่าวๆของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“เอางั้นเลยนะ...” เด็กหนุ่มไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าไรนัก “วันนี้พี่เป็นอะไรมากเปล่าเนี่ย “
“เออน่าๆ...ไปเดี๋ยวเอารถจอดแล้วขึ้นไปด้วย” เคนว่าพลางขยับรถจะเข้าไปด้านในที่จอดรถของหอพักของจูนและคงไม่ได้ยินหรอกว่าจูนบ่นว่าเคนนั้นพูดคำว่า “เออน่า” เพื่อตัดบทแบบนั้นมาเป็นครั้งทีเท่าไรแล้วในวันนี้
……………………………………………..
“แล้วสุดท้ายก็ขออาบน้ำก่อนแล้วก็ออกมาหลับเนี่ยนะ.....”
จูนบ่นพึมพำเมื่อเดินกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแล้วมาเจออีกฝ่ายผล็อยหลับอยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เคยให้ยืมนอนไปเมื่อวันก่อน
“ท่าจะเหนื่อยจริง...แต่วันนี้แม่งก็ร้อนชิบหายจริงๆนั่นล่ะ”
จูนถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงกับพื้นใกล้ๆกับโต๊ะกลาง เขาเองก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายสักเท่าไร เรียกได้ว่าเหงื่อโทรมกายทีเดียว วันนี้อากาศช่วงกลางวันร้อนกว่าปรกติ ร้อนจนในห้องเรียนที่ปรกติเปิดพัดลมให้ลมโกรกจนผมฟูก็ไม่ค่อยจะบรรเทาอะไรได้อยู่แล้วยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ จนอดจะแปลกใจไม่ได้ว่ามหาวิทยาลัยที่มีงบมาสร้างตึกใหม่กันโครมๆนั้นสร้างตึก ห้องทุกอย่างสวยหมดทำไมไม่เจียดเงินมาติดแอร์ให้นักศึกษาเสียหน่อย เด็กหนุ่มหันไปมองรุ่นพี่ที่ตอนนี้หลับไม่รู้เรื่อง
เคนนอนเหยียดอยู่บนโซฟา ข่วงขายาววางพาดเลยที่พักแขนออกไป มือหนึ่งวางพาดบนอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อในขณะที่อีกมือก็ยกขึ้นก่ายหน้าผาก เสียงลมหายใจดังเบาๆด้วยหลับสนิท หันไปมองเห็นภาพแบบนั้นก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
"ขนาดนอนยังต้องเก๊กอ่ะคนเรา....นอนอย่างกับคนอมทุกข์มาจากไหน" จูนนั่งมองพลางยิ้ม เขาชอบสันจมูกคมที่อยู่ใต้ท่อนแขนนั่น กล้ามเนื้อที่สร้างมาเพื่อการเล่นกีฬาโดยเฉพาะแบบนั้นมันชวนให้อิจฉาอยู่ลึกๆ
"เฮ้อ..... คนอะไรวะขาก็ยาวแขนก็ยาว หน้าตาก็ดี กล้ามก็สวย ซุปเปอร์ไนซ์บอดี้อีกตะหาก " นึกแล้วก็หมั่นไส้ เขาหันไปมองนาฬิกา ก็เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ รายการทีวีหรือก็ไม่รู้จะเปิดดูอะไร แถมถ้าเปิดอีกคนก็คงจะตื่นมาหงุดหงิดแน่ เด็กหนุ่มคว้านิตยสารเกี่ยวกับเพลงญี่ปุ่นที่เพิ่งส่งมาถึงเมื่อวันก่อนมาเปิดอ่าน หากให้เรียกให้ถูกคงเป็นเปิดดูรูปภาพเสียส่วนใหญ่เพราะถึงแม้จะเรียนภาษาญี่ปุ่นการอ่านนิตยสารก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่เพิ่งจะเรียนปีสอง แต่กระนั้นก็ยังนั่งอ่านต่อไปเรื่อย เปลี่ยนท่านั่งไปเรื่อย ปล่อยให้เวลายามบ่ายค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ ได้ยินเพียงเสียงแอร์ที่ทำงานดังเบาๆ ควบคู่ไปกับเสียงคอมเพรสเซอร์ของตู้เย็น และเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของคนอีกคน
…………………………………………………..
“อืม.....” เสียงครางในลำคอเบาๆ พร้อมกับร่างใหญ่ที่พลิกตัวพยายามจะควานหาหมอนข้างมากอดด้วยความเคยชิน แต่ก็หาไม่เจอ “อะไรวะ......” เคนกระพริบตาถี่ๆพอหาหมอนข้างไม่เจอก็หงุดหงิดจงต้องจำใจลืมตาตื่น
“เชี่ย!....” ก่อนจะผงะเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นฝ่าเท้าของใครบางคนมาจ่อเข้าที่หน้า เคนสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่
ได้ความง่วงงุนแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“อะไรวะ.......” พอตื่นเต็มตาก็พาจะรู้ได้ว่าฝ่าเท้านั้นไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากของเจ้าของห้องนั่นเอง เด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่บนพื้นที่จำกัดของเก้าอี้โซฟาหันเท้ามาทางเขาและด้วยเก้าอี้โซฟาวางไว้ชิดกันมากเท้าจูนเลยแทบจะเกยหน้าเขาอยู่แล้ว แต่ถึงเคนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัวขนาดนั้นแต่จูนก็เหมือนจะหลับไม่ได้สติ คอเอียงพิงพนักเก้าอี้โซฟา มือข้าหนึ่งตกลงข้างลำตัวที่พื้นมีนิตยสารภาษาญี่ปุ่นตกอยู่ ท่าทางจะอ่านจนหลับไปเป็นแน่
“โธ่เอ้ย......”เคนขยี้ผมของตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ถ้าจะนอนแบบนี้ ไม่เอาเท้ามาเหยียบหน้ากูเลยวะ ไอ้ตัวแสบ....” เคนเก็บหนังสือที่ตกอยู่ขึ้นมาก่อนจะใช้ตีหัวของอีกฝ่ายเบาๆแต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึก มีเพียงเสียลมหายใจแผ่วๆจากริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อยนั่นเท่านั้น รุ่นพี่ถอนลมหายใจรู้สึกเหนื่อยเล็กๆที่วันนี้ใจเขาวิ่งวุ่นอยู่กับคนที่นอนไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มค้อมตัวลงมาเล็กน้อยสองมือเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ล้อมกรอบอีกฝ่ายเอาไว้ เคนก้มลงพิจารณาอีกฝ่ายให้ใกล้ขึ้น คนตรงหน้านี้มีอะไรกันที่ทำให้ใจของเขาสั่นไหวนักหนา มันเป็นความต้องการโดยแท้ที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาตอนนี้ แต่กลับเหมือนจะหาเหตุผลที่แน่ชัดไม่ได้ มีแค่ความรู้สึกว่าอยากจะสัมผัส อยากจะครอบครองเท่านั้นที่ชัดเจน ทั้งๆที่เขาก็มีนิดอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมจะต้องมารู้สึกอะไรเช่นนี้กับผู้ชายด้วย แม้จะรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง แต่อีกส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ไม่ได้มีคำว่า “หยุด” อยู่เลยแม้แต่น้อย
“ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็สงสัยว่าแกชอบผู้ชายไหม เป็นเกย์รึเปล่า....พี่ว่าตอนนี้พี่คงต้องเริ่มถามตัวเองแล้วก็ได้....” เคนพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหัวเราะคล้ายเย้ยหยันตัวเองเบาๆ ชายหนุ่มก้มลงไปลงไปใกล้ๆ ราวกับมีแรงดึงดูดจากร่างที่ไม่ได้สติตรงหน้าเคนฉวยโอกาสแตะริมฝีปากแผ่วผ่านเส้นผมที่ด้านบนศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ
“อือ......” เสียงครางนั่นทำให้ต้องรีบขยับออก
“พี่เคน?...” จูนงัวเงียลืมตาตื่นขึ้น “...............................เป็นอะไรอ่ะ” จูนถามเมื่อลืมตามาเห็นเคนกำลังเบือนหน้าไปอีกทางแถมยังดูเกร็งจนกลัวจะกลายเป็นตะคริวขึ้นคอ
“ปะ...เปล่า...ไม่มีอะไร...จะ..จะซ้อมไหมล่ะ”
“ชิ....ตัวเองนั่นล่ะบอกว่าจะซ้อมเองแท้ๆ มาชิงหลับซะได้ จะฟ้องที่ติกับพี่ยุทธ์ว่าพี่เคนอู้”
“คำก็ยุทธ์ สองคำก็โชติอีกแล้วนะ....” เคนเผลอทำเสียงเข้มใส่อีกฝ่าย ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจออกมาแทบจะในทันที
“โอ๋....งอนอีกละ แล้วจะให้ผมทำไงล่ะครับ “ จูนหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าแค่แหย่นิดหน่อยอีกฝ่ายก็คิดจริงจัง
“ทำไง.....บอกว่าแกรักพี่ดิ่”
“เฮ้ย.....”จูนตกใจ คำพูดของเคนทำให้นึกถึงคำพูดของยุทธ์เมื่อวันก่อน ไม่คิดว่าภายในเวลาไม่กี่วันจะเจอมุกคล้ายๆกันถึงสองรอบ “ไม่เอาอ่ะ....” จูนส่ายหน้าพรืด “พูดอะไรแปลกๆ วันนี้เพี้ยนๆนะพี่เคน”
“ก็ซ้อมไง....ซ้อม......” เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ชอบปฏิกิริยาของงเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เป็นแบบนี้เสียจริง “ลองบอกรักพี่เหมือนแบบในบทน่ะ ทำได้ไหม....” เสียงทุ้มต่ำดังกระเซ้าแหย่พร้อมใบหน้าคมที่ขยับเข้ามาใกล้เสียจนทิ้งระยะห่างแค่ไม่กี่เซ็นต์
“จะซ้อมให้ได้สินะ....”
“อื้ม.......” รุ่นพี่รับคำพลางยิ้มกว้าง จูนดันตัวเคนให้ถอยออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืน เคนได้ยินเสียงจูนสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ เขาเองก็ยืนรอดูอยู่เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะแสดงออกมาอย่างไร....
...............................................
มือแกร่งทำท่าคล้ายรับโทรศัพท์ ดวงตาคมมองหน้าของจูนให้ทำเช่นเดียวกัน มันเป็นฉากท่ามกลางสายฝนเย็นเยียบที่คู่รักทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่ยากจะตั้งสติรับมือได้ จูนท้อง (?) และสิ่งที่เคนทำได้คืออ้อนวอนคนรักท่ามกลางสายฝนให้ยอมให้เขาเข้าไปพบจูนในบ้านและสัญญาว่าจะรักและดูแลคนรักตลอดไป
“ จูน.............. “ เคนส่งบทไป น้ำเสียงสั่นเล็กๆเหมือนคนยืนอยู่กลางฝนมานาน ในหัวกำลังจินตนาการถึงความหนาวเย็นรอบกาย
“ทำไม...ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย....” จูนเองก็สบตากลับมามอง แววดตาเจ็บปวด จนเคนรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกหลายรครั้งมานี่จูนส่งอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน หากถ่ายเป็นหนังสั้นแล้วคงต้องดีมากเป็นแน่ นึกอยากให้ยุทธ์ช่วยถ่ายภาพดวงตาคู่นั้น กับแนวขนตาที่สั่นระริกนั่นเหลือเกิน...
“ทำไม..ทำไมต้องทำขนาดนี้ ทำไมต้องกลับมาทำให้ฉันสับสนอีก”เด็กหนุ่มพูดบทด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“............เพราะรักไงล่ะ....จูน...เพราะฉันรักนาย....ขอร้องล่ะให้โอกาสฉันเถอะนะ ให้ฉันได้ดูแลนาย..กับลูกของเราเถอะนะ...” เคนพูดบทด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ตัวละครของเขากำลังสำนึกผิด กำลังขอโอกาส อ้อนวอนหากแต่เต็มไปด้วยความหวัง ร่างสูงมองตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะได้ยินเสียงคล้ายคนสะอึก เมื่อลองเพ่งมองดูดีๆ เหมือนหัวใจโดนบีบรัดเข้าอย่างแรง เสียงสะอึกเมื่อครู่คือเสียงของจูน สะอื้นออกมาด้วยอารมณ์ที่ถูกพัดพาไป เด็กหนุ่มร่าสูงโปร่งโผเข้ามาหา ก้มหน้าก้มตาทุบมือลงบนอกของเขา
“ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย!!” แรงที่กระแทกลงมาบนอกนั่นแรงใช่ย่อย เคนพยายามจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอาไว้แต่จูนก็ดินหลุด ก่อนเป็นฝ่ายกอดร่างสูงของรุ่นพี่เข้าไปหา “แต่ก็รักนะ....[/i]”
คำนั้นฟังดูหวานหูจับใจกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน เคนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังพองโต พองจนรู้สึกเจ็บและกลัวว่าหากมันระเบิดด้วยความอิ่มเอมนั้นในท้ายที่สุดตัวเขาเองจะไม่เหลืออะไร คิดได้แบบนั้นสองแขนแกร่งกอดกระชับร่างของอีกฝ่ายเข้าหา ปลายจมูกซุกไซ้กลิ่นหอมจากแชมพูที่อีกฝ่ายใช้สระผม เส้นผมสีทองของจูนยังชิ้นอยู่นิดหน่อยด้วยซ้ำไป
เป็นอีกครั้งที่จูนรู้สึกว่าอ้อมแขนที่โอบรัดเข้ามานั้นแตกต่างไปอีกครั้ง ความร้อนจากแผ่นอกเปลือยเปล่าที่ส่งผ่านเสื้อยืดเนื้อบางของเขามานั้นอ่อนโยน หากแต่โหยหาอะไรบางอย่าง จังหวะเสียงหัวใจของเคนที่ได้ยินนั้นถี่รัวชัดเจนไม่ได้ต่างไปหัวใจในอกของเขาเลย เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังทิ้งตัวลงมาที่ข้างแก้ม ตัวละครของเขารู้สึกเช่นนั้น .....ตัวละครของเขาคงโหยหาสัมผัสแบบนี้เหมือนกัน.....
เคนผละตัวออกจากเด็กหนุ่มในอ้อมแขนเล็กน้อยจะยังไม่คลายอ้อมกอดออกแต่อย่างใด ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่าย เห็นดวงตาเรียวนั่นฉ่ำชื้นเพราะน้ำตาก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ ปลายนิ้วโป้งยกปาดน้ำตาออกจากข้างแก้มของจูนไล้เล่นเรื่อยผ่านมายึดท้ายทอยของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาคมยังสมตอบกลับด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความหมายใบหน้าคมของเคนขยับเข้าใกล้
“รัก....เหมือนกันครับ” เคนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่ต่ำจนคล้ายจะแหบพร่าแต่กลับดังชัดเจนให้ได้ยินทั้งสองคน ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยดวงตาคมจับจ้องที่ริมฝีปากสวยสลับกับมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ระยะเวลาที่เขาหยุดอยู่ไม่กี่เซนต์ห่างจากริมฝีปากบางนั้นทำให้จูนเผลอหลับตาเกร็งตัวรอรับสัมผัส...
..... กลัวอีกแล้ว......
เคนยิ้มที่มุมปากเขาคิดว่าท่าทางแบบนั้นของจูนมันน่ารักเกินจะยั้งใจไว้ได้อีกต่อไป ร่างสูงก้มลงเล็กน้อยก่อนประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่เกร็งจนไหล่สั่นรู้สึกได้ถึงมือที่โอบอยู่นั้นจิกลงบนแผ่นหลังของเขาจนรู้สึกเจ็บ เคนขยับริมฝีปากแต่หาได้ละออก สองมือประคองสองแก้มของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นก่อนประทับริมฝีปากลงเม้มคลึงเบาๆที่ริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายอีกครั้งและอีกครั้ง
“อือ....” เสียงค้านในลำคอดังขึ้นเบาๆจากร่างของรุ่นน้องในอ้อมแขน สองไหล่เกร็งยักขึ้นสูงเหมือนพยายามจะปัดป้อง แต่เคนก็ยังไม่ปล่อยริมฝีปากของเขากำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสนุ่มที่เย้ายวนอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ค....คัต.....คัตก่อน แบบ...แบบนี้แกล้งกันนี่หว่า...” เสียงแหบพร่าขาดห้วงดังจากริมฝีปากฉ่ำชื้นของเด็กหนุ่มที่พยายามเบี่ยงหลบสัมผัสของรุ่นพี่ จูบที่เขาได้รับนั้นแตกต่างจากเมื่อครั้งอยู่บนเวทีนั่นไม่น้อย และเขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้เลย จูนสั่งคัตเองเออเองด้วยอยากจะหลุดพ้นของสัมผัสอ่อนโยนที่ทำเอาใจเขาสั่นไหวไปให้เร็วที่สุด ริมฝีปากของเคนเหมือนจะดูดดึงหัวใจของเขาให้หลุดลอยไปในสถานที่ที่เขาเองก็ไม่เคยพบเจอ
“คัตทำไม.....”เสียงของเคนดังทุ้มต่ำข้างหูมือแกร่งและริมฝีปากยังไม่ละจากข้างแก้มของหนุ่มรุ่นน้องปลายจมูกที่สูดลมหายใจเข้าลึกที่ข้างใบหูนั้นทำให้จูนขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง “แบบนี้ต้องบอกว่า เทค ทู แอคชั่น”
“แอคชั่น บ้า....อุ๊บ”ยังไม่ทันจะอ้าปากเถียง เคนกลับช่วงชิงคำพูดให้หายไปพร้อมกับปลายลิ้นร้อนที่ตวัดเลียริมฝีปากของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาหากแต่รุกรานอย่างถือดี มือใหญ่ประคองสองแก้มเอาไว้แน่นจนจูนหมดหนทางหลบเลี่ยง รุ่นน้องหลับหูหลับตายกมือขึ้นทุบไหล่กว้างหวังจะให้อีกฝ่ายหยุด ก่อนที่สองขาของเขาจะไร้เรี่ยวแรงจะยืน เคนถึงค่อยละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“.......................” จูนพูดอะไรไม่ออกได้หอบหายใจแรงเขาคงเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งแล้วถ้าไม่ได้มือแกร่งของเคนที่ยังประคองหลังของเขาเอาไว้
“จูน.....พี่............เอ่อ.....พี่ขอโทษเมื่อกี้มัน” เคนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด สัมผัสที่ได้รับทำให้ทั้งสุขใจละคนปนไปกับความเสียใจ แต่ก็ไม่อาจตัดสินได้แน่ชัดว่าควรจะจำกัดความรู้สึกของตัวเองว่าอย่างไร เพราะทั้งๆที่เขายังโอบอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนแบบนี้แต่เด็กหนุ่มกลับก้มหน้านิ่ง ผมที่ปรกลงมาทำให้เห็นหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด มีเพียงใบหูบางที่แดงก่ำไปด้วยเลือดที่สูบฉีดเท่านั้นที่ทำให้พอจะเดาอารมณ์ได้อยู่สองทาง
....นี่กูอะไรลงไปอีก....
....ทำให้มันโกรธกูมากหรือเปล่า...
....กูบังคับมันอีกแล้วใช่ไหม.....
....เวรแล้ว ไอ้เคนเอ้ย......
....ไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วไหมมึง....
เคนทำใจเขารู้ว่าภายในสองวิหลังจากนี้เขาคงเจอหมัดหนักๆของอีกฝ่ายซัดเข้าหน้ามาเป็นแน่ ถึงจะหลบได้แต่ถ้าอีกฝ่ายจะต่อยเขาตอนนี้ก็คิดว่าคงไม่อาจหลบความผิดนี้ได้พ้น.....เพราะแม้ตอนแรกจะเป็นการแสดงแต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้อารมณ์นำทางไปจนกลายเป็นว่าฉวยโอกาสอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น
“พี่เคนเมื่อกี้............” เด็กหนุ่มเรียกชื่อของรุ่นพี่ด้วยริมฝีปากฉ่ำชื้นที่ยังสั่นระริก
“พี่แสดง?.....โหยพี่แม่งโคตรอัจฉริยะเลยอ่ะ....สุดยอดอ่ะ....ไปเล่นให้พี่โชติดูแบบเมื่อกี้เลยนะ ถึงจะจูบจริงจังไปหน่อยก็เหอะแต่เอาแบบเมื่อกี้เลยนะ”เด็กหนุ่มดูตื่นเต้นมากกับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นยืนตบบ่าตบไหล่ของเขาเสียเป็นการใหญ่
...............หา?!................... เคนแทบจะร้องออกมาด้วยความมึนงงแต่ซุ่มเสียงของเขามันหายลงคอที่แห้งผากไปหมดแล้ว
“เยี่ยม แสดงว่าเราโคตรอินอ่ะเมื่อกี้....สุดยอดเลยพี่เคน” จูนตบเบาๆลงบนอกของเขาดูจะยังพอใจและยินดีกับ “การแสดง” เมื่อครู่อยู่ไม่หาย เคนแทบจะกระโดดเอาหัวกระแทกกำแพงสักสามสิบเก้าตลบ
............ไอ้เด็กบ้านี่ บทมันจะซื่อก็ซื่อไร้กาลเทศะพิกล.......
.......... นี่กูเพิ่งจูบผู้ชายไปนะ นี่มึงยังคิดว่ากูอินเนอร์แรงอีกหรือไง............
...........แถมยังจูบบิ้วจนเข่าอ่อนขนาดนี้ นี่มึงยังคิดว่ากูล้อเล่นอีกเรอะ......
...........โอ้ย กรรมของเวร.......
“เดี๋ยว...นี่แกไม่คิดจะเขิน หรือจะโกรธพี่ด่าพี่เหมือนคราวก่อนเลยเหรอ....” เคนยังมึนไม่หายเขาไม่รู้จะถามอะไรนอกเสียจากความสงสัยว่าทำไมรอบนี้เขาไม่โดนต่อย
“ตอนแรก ผมก็คิดว่าพี่แกล้งผมนะ....แต่คิดอีกทีมันอินเนอร์แรงเกินไป แล้วอีกอย่างพี่คงไม่ลงทุนมาแกล้งผมแบบนี้หรอก เรื่องพี่นิดคราวก่อนก็ยังมี เลยคิดว่าพี่แสดงชัวร์ เก่งมากเลยอ่ะพี่ นี่ถ้าพูดบทต่อด้วยนะ ผมเชื่อพี่ล้านเปอร์เซ็นต์เลยนะว่าพี่คิดว่าพี่กำลังจูบแฟนอยู่อ่ะ”
“โอย....กูละมึน” คราวนี้เป็นเคนเองที่เข่าอ่อน จะนึกโทษใครได้ในเมื่ออีกฝ่ายซื่อกับเรื่องการแสดงออกของเขาไปเสียขนาดนี้
“เป็นอะไรอ่ะพี่เคน....ฮั่นแน่ แกล้งผมไม่ได้ผลหรอกนะคราวนี้ แบบนี้แสดงไม่เนียนอ่ะ”จูนหัวเราะพลางยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับให้ลุกขึ้นยืน เคนเงยหน้าขึ้นมองหน้ารุ่นน้องก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ
.......ไอ้เด็กนี่ ทีแบบนี้ทำไมมันไม่เขินวะ......
.....กูเขินจะเอาหัวมุดดินอยู่แล้วเนี่ย...........
“ยังซ้อมไม่จบซักหน่อย....” เคนเอ่ย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน
“หะ....อะไรนะ” จูนเลิกคิ้วสูง แต่พอเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ก็นึกอยากจะถอยขึ้นมากะทันหัน “เฮ่ย ไม่เอานะ พอแล้ว....” เด็กหนุ่มยกมือห้าม แต่ก็เหมือนจะก้าวไม่พ้น เคนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่อยู่ๆมุมมองทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อเคนช้อนตัวของเขาขึ้นอุ้มจนตัวลอย “เฮ้ยยย....” จูนอุทานเสียงดังลั่น
“สำหรับเด็กไม่รู้กาลเทศะมันต้องโดนแบบนี้” เคนพูดด้วยนึกหมั่นไส้ พาจูนที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขนหมุนวนรอบตัวจนรู้สึกตาลายไปด้วยกันทั้งคู่
“โอ้ย พี่เคนนน... ปล่อย....ผมเวียนหัว....โว้ย....” จูนทั้งร้องทั้งดิ้นให้อีกฝ่ายปล่อยเขาลง
“ไม่ปล่อยเว้ย หมั่นไส้ชิบ เด็กเปรตนี่” เคนตอบแขนก็กระชับอีกฝ่ายเข้าหาตัวอีก ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถึงจูนจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กแต่ก็ไม่เกินกำลังเขาจะยกอีกฝ่ายจนตัวลอยได้แบบนี้
“หมั่นไส้อะไรอีก เลิกแกล้งผมซะที ปล่อยโว้ย. ไอ้พี่บ้า” จูนโวยลั่น
“ก็มันน่าหมั่นไส้นี่หว่า ซื่อไม่ดูกาลเทศะ.....” เคนก้มลงมาแทบตะโกนใส่รุ่นน้อง สองขาก้าวยาวๆพาอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะกึ่งโยนเจ้าของห้องลงกับเตียง “โว้ย หนักเป็นบ้า”
“อ้าว ว่ากูอีก ใครใช้ให้อุ้มอ่ะ ” จูนยันตัวเองขึ้นนั่งหันซ้ายมองขวาอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาสองคนเข้ามาอยู่ในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไร
“ซ้อมไง ซ้อมอุ้ม...หนักเป็นบ้า ลดน้ำหนักด้วย ถ้าไม่ลดเดี๋ยวพี่จะพาไปวิ่งให้มันลดเอง” เคนเฉไฉด้วยเรื่องอื่น เขาก็ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายอย่างไรว่าทำไมเขาถึง “หมั่นไส้” ในท่าทีซื่อๆแบบนั้น
“เข้าใจแล้ว...ทำไมต้อหงุดหงิดด้วยวะ....” ได้ฟังคำพูดแบบนั้นจูนก็บ่นอุบทำปากยื่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ “เอาเป็นว่าถ้าเบากว่านี้ก็จะอุ้มได้ง่ายขึ้นใช่ไหม....เจอกันสนามบอลเลย จะไปวิ่งให้ดู”
“ขอให้ไปจริงเหอะ...” เคนว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่ชมรม ซ้อมคราวนี้ห้ามเขิน ห้ามหลบ ห้ามเกร็งนะเว้ย จะเกร็งไปไหนคอจะตะคริวกินแล้วมั้ง...”เคนว่า “ถ้าแกเกร็งอีกพ่อจะจูบให้ขาเข่าอ่อนเป็นขี้ผึ้งโดนไฟเลย” ร่างสูงพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะทำอย่างที่พูดอีกสักรอบจริงๆ ทำเอาจูนขยับหนีไปจนสุดหัวเตียง
“พอๆ ไม่เอาแล้ว....”
“ฮ่ะๆ.....ไปละ ได้แกล้งคนพอใจละ” เคนโบกมือให้กับอีกฝ่าย เขารีบคว้าเสื้อยืดที่ถอดวางเอาไว้มาสวมทับ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เคนหันมายิ้มกวนๆให้กับเจ้าของห้องที่ทำหน้าย่นด้วยความหงุดหงิด
“ไปเลย... โธ่เอ้ย คนอุตส่าห์จะนับถือว่าวันนี้จริงจัง.... สุดท้ายก็บ้าบอคอแตกเหมือนเดิม!”
“เออๆ จะว่าอะไรก็ว่าไปเหอะ...อย่าให้จริงจังขึ้นมานะ แกจะหนาวอย่าหาว่าไม่เตือน” เคนยักคิ้วให้ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินจากห้องของจูนไป
............................................ to be continued
-
#เพิ่งจะได้มาตอบ#
น้องจูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน อย่ามาซื่อบื้อ เอ๋อแดรกแบบนี้นะ เจ๊เครียด!!!!! :ling1: :ling1:
อิพี่เคนและดูน่าสงสาร พอตั้งใจจะจริงจังอีกฝ่ายดันไม่รับ แต่ก็สะใจเล็กๆ หึหึหึ :z2:
-
@@@ talk @@@
ถ้าให้ตั้งชื่อตอนนี้ .... คงให้ชื่อว่า "คำถาม" ล่ะมั้ง....
มาแล้วค่า ขอโทษที่ทำให้รอ ....มีคนรอไหมนะ?..... :monkeysad:
..............................................
-18-
การซ้อมเมื่อวันก่อนผ่านไปด้วยดี ทั้งฉากแอคชั่นก็เล่นกันได้อย่างคล่องแคล่วเพราะทั้งเคนและยุทธ์ต่างก็มีทักษะด้านกีฬาอย่างโชกโชนเรื่องการเคลื่อนไหวขยับตัวเลยไม่ต้องเป็นห่วงมาก ในขณะที่ฉากเลิฟซีนก็ผ่านฉลุย เคนกับเขาแสดงเข้าขากันได้ดี จนยุทธ์ออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเขาพนันกับโชติเอาไว้ว่าเคนจะไม่จูบเขาจริงแน่นอน
.......เอ้า...ห้าร้อย....
โชติพูดแบบนั้นพลางยื่นแบงค์ห้าร้อยมาให้แถมบอกว่าเป็นเงินที่ยุทธ์เสียพนันให้เลยตั้งใจจะใช้เงินนี้ไปซื้อชุดผู้หญิงมาใส่ประกอบฉาก จูนได้แต่หัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นยุทธ์ท่าทางหัวเสียอยู่ใช่ย่อยตรงกันข้ามกับเคนที่ดูสนุกกับการซ้อมเมื่อวันก่อนอยู่ไม่น้อย
...พี่ยุทธ์ก็ทำตัวแปลกๆ พี่เคนเองก็พอกัน....
จูนรู้สึกแบบนั้น ยิ่งตอนที่ซ้อมกันเมื่อวันก่อนเขารู้เลยว่าเคนไม่ได้แสดงออกมาเหมือนตอนที่ซ้อมด้วยกันในห้องของเขาเมื่อวัน สัมผัสที่ริมฝีปากนั้นเป็นเพียงการแตะริมฝีปากเบาๆจนแทบจะไม่โดนเสียด้วยซ้ำ พอเขาอ้าปากจะท้วงว่าไม่เหมือนที่แสดงในห้องกับเขาเมื่อก่อนหน้า แต่เคนกลับทำท่าเหมือนว่านั่นคือการแสดงที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งโชติก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมในฐานะผู้กำกับ แสดงว่าการแสดงแบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ ? ถ้าการแสดงมันควรเป็นอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เคนทำกับเขาในห้องนั่นมันคืออะไร คำถามนี้รบกวนจิตใจของจูนมาตลอด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกหวั่นไหวมันยากที่จะทำให้ใจเป็นกลางในเมื่อปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าเขาปลื้มใบหน้าคมของอีกฝ่ายมากขนาดนั้น แล้วยิ่งต้องมาแสดงบทบาทสมมติแปลกๆด้วยกันอีกเป็นใครคงต้องเผลอคิดเกินเลยไปบ้าง แต่ก็เอ่ยออกไปไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงการพูดเล่นก็ตามที คงไม่ใช่เรื่องดีแน่เพราะยิ่งจะทำให้ตัวเองดูแย่เข้าไปใหญ่ จากที่เคยโดนเข้าใจผิดมาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นว่าถูกเข้าใจถูกต้องมาโดยตลอด...
....แต่เราไม่ใช่แบบนั้น....
...เราไม่ได้เป็นแบบนั้น....
เป็นครั้งที่เท่าไรที่จูนพยายามพูดกับตัวเองเช่นนี้ สองคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนจะเป็นปม อันที่จริงเขาถูกเรื่องนี้หลอกหลอนมาหลายคืนจนรู้สึกว่าตนเองพักผ่อนไม่เพียงพอ รู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาดกับการวิ่งหนีจากความคิดของตัวเองแบบนี้
“จูน...ไม่สบายรึเปล่าคะ หน้าซีดๆนะวันนี้” เสียงของนิดเอ่ยทักเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่ที่เบาะด้านหลังรถสีแดงคันเล็กของเธอ เรียกให้คนที่ขับรถอยู่เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังมามองท่าทางของจูนด้วย
“อ่ะ...สบายดีครับพี่นิด ช่วงนี้นอนน้อย ใกล้จะสอบมิดเทอมแล้วเลยอ่านหนังสือหนักไปหน่อยน่ะครับ” จูนยิ้ม
“ช่วงอ่านหนังสือมันต้องกระทิงแดงอ่ะไอ้น้อง โด๊ปเข้าไป” เคนเอ่ยเสียงเข้ม
“กาแฟก็พอมั้งพี่ กระทิงแดงดูจะโหดไปนิด ไม่เข้ากับหน้าผมหรอก” จูนเถียงทันควัน นึกในใจว่าเป็นเพราะใครกันทีทำให้เขาต้องมีเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องเรียนมาคิดให้มากมายเสียขนาดนี้
“คงไม่ใช่ทุกคนที่พอจะสอบก็กินกระทิงแดงแบบพี่เคนหรอกมั้ง “นิดหัวเราะออกมาเบาๆ “ว่าแต่วันนี้จูนจะไปซื้ออะไรคะ”
“แฮะๆ ก็ของใช้ในชมรมน่ะครับพี่นิด ....ขอโทษนะครับมาเป็นก้างขวางคอแบบนี้” จูนเอ่ยขอโทษรุ่นพี่ฝ่ายหญิง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะมานักเพราะรู้สึกว่ายังเข้าหน้านิดไม่ติดอย่างไรก็อธิบายไม่ถูก แต่ตอนที่กำลังรอรถอยู่ที่หน้าโรงอาหารกลางก็มีรถคันเล็กสีแดงมาจอดเทียบ พอกระจกหน้าต่างลดลงมาถึงได้เห็นว่าเป็นเคนและนิดนั่นเอง
“จะมาซื้อของก็ไม่บอกก่อนวะ ไอ้โชติมันให้เราไปซื้อด้วยกันไม่ใช่เหรอ ลืมไปแล้วรึไง” เคนว่า
“ก็ไม่ได้ลืมหรอกแค่........บางทีมันจะซื้อง่ายกว่าถ้าไปคนเดียว” จูนบ่นพึมพำ
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงที่ห้างสรรพสินค้า จูนรู้ดีว่าเขาจะต้องรีบแยกตัวออกไป และจุดมุ่งหมายของเขาคือร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมาเลือกซื้อขอลองเสื้อ ในตอนแรกๆพนักงานก็มองหน้าเขาแปลกๆแต่หลังๆมาคงจะชินแล้วเลยไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรนัก
“ว่าแต่แกจะมาซื้อเสื้อใช่ป่ะ....” เคนดึงแขนของจูนเอาไว้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เดินแยกตัวไปไหน “ทำไม่ให้นิดช่วยเลือกให้ล่ะ...”
“หะ?....” จูนเลิกคิ้วสูง
“ซื้อเสื้ออะไรเหรอ? “ นิดเองก็เดินเข้ามาถาม
“เสื้อผู้หญิงน่ะ เดี๋ยวที่ชมรมต้องใช้ แต่อยากให้แต่งออกมาแล้วดูดีหน่อย เสื้อผ้าที่คราวก่อนใส่ก็แก่เป็นย่าเดินถือไม้เท้ามาเลย....ให้นิดช่วยเลือกให้พวกพี่หน่อยได้ไหมครับ” จูนนึกอยากจะกระโดดดร็อปคิกใส่หัวของรุ่นพี่ร่างสูงนี่กำลังจะพูดว่ารสนิยมของเขาแย่อย่างนั้นเหรอ
....โอ้ย...น่าหมั่นไส้เป็นบ้า ...
“ได้สิคะ...น่าสนุกดี” คำตอบของนิดยิ่งทำเอาจูนตกใจ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย หรือเป็นเพราะว่าเขายืนยันไปคราวก่อนว่าเขาไม่ได้เป็นสาวประเภทสองในตอนนั้นอีกฝ่ายถึงได้ทำใจคุยกับเขาได้มากขนาดนี้
“มากับพี่สิจูน....พี่จะเปลี่ยนหนุ่มหล่อเป็นสาวสวยให้ดู” ไม่พูดเปล่าร่างเล็กเดินนำลิ่วไปก่อนดูท่าทางตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะ...” จูนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“อืม......บางทีพี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน....ไป...พาสาวน้อยไปแต่งตัวกันดีกว่า”” เคนตอบกลับก่อนจะหันมายิ้มแล้วดึงแขนของจูนให้รีบเดินตามแฟนสาวของตัวเองไป
“ใครสาวน้อยกัน....ปล่อย ไม่ต้องจูงเลย”
“เออน่า.....” เคนหัวเราะพลางพูดอย่างขอไปที แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากแขนของอีกฝ่าย
................................................
โซนร้านขายเสื้อผ้าที่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นของเหล่าวัยรุ่นเป็นเป้าหมายแรกที่นิดมุ่งหน้าไป ตามติดด้วยสองหนุ่ม ด้วยความที่จูนเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งไม่ได้ไหล่กว้างหนาเหมือนอย่างเคนทำให้การเลือกเสื้อผ้ามาให้ใส่นั่นมีความหลากหลายในเรื่องของแฟชั่นมากขึ้น
“พี่ไม่อยากให้จูนใส่เสื้อผ้าที่มันใหญ่ไป....เอาพอดีตัว แต่ไม่เน้นไหล่ เพราะไหล่ผู้ชายกว้างกว่าไหล่ผู้หญิงอยู่แล้ว กระโปรงก็ต้องช่วยเพิ่มสะโพก...เอ....หรืออยากได้แบบชุดเดรสยาวๆคะ...จะได้ง่ายๆดีไหม” เสียงนิดพูดไปก็หยิบเสื้อตัวนั้นยกเสื้อตัวนี้ขึ้นมาเทียบ ปากก็พึมพำคำว่า น่ารักบ้าง สวยบ้าง
“เอ่อ....ผมว่าอะไรที่ง่ายๆก็ดีนะครับ” จูนยิ้ม ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจอเคนตบก้นเข้าดังป้าบ
“เอาแบบเซ็กซี่ด้วยได้ไหมนิด พี่ว่าคงมีคนอยากเห็นไอ้จูนแบบสวยเซ็กซี่”
“เฮ้ย ... “จูนอุทานหันไปมองหน้าเคนอย่างไม่พอใจ “พี่เคน!”
“ฮ่ะๆ....ต้องถามคนใส่ดีกว่าค่ะพี่เคน เล่นหนังกันไม่ใช่เหรอคะ บุคลิกเขาเป็นแบบไหนล่ะ “ นิดหันมามองหน้าของจูนใบหน้าสวยคมระบายด้วยรอยยิ้มทำให้จูนรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“แบบเรียบๆก็คงได้ครับ”
“งั้นตัวนี้...” หญิงสาวเดินกลับไปเลือกเสื้อผ้า ปรึกษาเรื่องขนาดกับคนในร้านก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมชุดแมกซี่เดรสสีส้มอิฐตัวกระโปรงเป็นผ้าสองชั้นด้านล่างเป็นกระโปรงผ้าทึบยาวคลุมเข่าในขณะที่ชายยาวที่เหลือนั้นเป็นผ้าโปร่งที่เวลาใส่คงดูวับแวมอยู่ไม่น้อย
“กับตัวนี้ค่ะ ใส่เสื้อคลุมทับจะได้ไม่ดูไหล่ใหญ่เกินไป...เอ้าไปลองๆ....”
ซึ่งจูนก็ทำตามแต่โดยดี มีคนมาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้แบบนี้ก็คลายความลำบากใจไปเยอะ แถมแม่ค้าที่ร้านก็ไม่ได้ว่าอะไรหากจะมีผู้ชายมาลองเสื้อผ้าในร้านทำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าลองได้อย่างสบายใจจนกระทั่ง....
“เวรละ!” จูนอุทานออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยเสียงไม่เบาเท่าไร
“เฮ้ย จูนเป็นอะไร...” ทั้งที่ตอนแรกยืนอยู่ห่างจากห้องลองเสื้อไม่น้อยกลับสาวเท้าเดินเข้ามาประชิดประตูห้องลองเสื้อด้วยความว่องไว
“ผม...ติดกระดุมข้างหลังไม่ได้....”เด็กหนุ่มร้องออกมาพลางหัวเราะนึกขำตัวเองอยู่ไม่น้อย ไม่ต่างจากคนอีกสองคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก ทั้งเคนและนิดเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ผมได้ยินนะ พวกพี่หัวเราะกันใช่ไหม”
“ฮ่ะๆ...ขอโทษค่ะ เดี๋ยวพี่ช่วยไหม” นิดว่าพลางจะเปิดประตูเข้าไปด้านในแต่เคนยื่นแขนมาห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวพี่ช่วยมันเอง.....” เคนยิ้มก่อนก้มลงไปกระซิบให้นิดฟัง “เกิดมันโป๊อยู่จะทำยังไง...” ได้ผลหญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะขยับถอยออกห่างพลางทำมือบอกเคนว่าจะไปรอด้านนอก เคนมองให้หญิงสาวเดินห่างออกไปแล้วจึงเปิดประตูห้องลองเสื้อแคบๆนั่นแล้วเบียดตัวเองเข้าไปด้านใน
“เฮ่ย...อ่อ...พี่เคนเองเหรอ ตกใจหมดนึกว่าคนขายซะอีก...” จูนสะดุ้งโหยงยกมือขึ้นปิดอกตัวเองถึงจะเคยเปลือยท่อนบนบนเวที ต่อหน้าคนมาก็หลายครั้งแต่จะให้ผู้หญิงมาจ้องเอาๆก็เกรงใจฝ่ายหญิงเสียมากกว่า
“อะไรวะ แค่นี้ทำเขิน...ไหนที่มันติดไม่ได้อ่ะตรงไหน” เคนพูดพลางจับให้จูนหันหลัง แต่ก็เหมือนดึงภัยมาหาตัวด้านหลังของชุดเดรสเป็นกระดุมเรียงกันหลายเม็ดที่...ไม่ได้ติดเลยสักเม็ดเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวพอมีกล้ามเนื้อภายใต้เนื้อผ้าสีส้มอิฐที่ยิ่งช่วยขับให้ผิวกายนั้นดูขาวมากยิ่งขึ้นไปอีก หัวใจของชายหนุ่มพลันเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที
“ตรงนั้นล่ะพี่...ติดให้หน่อย เอาเป็นว่าติดได้เท่าที่ติดได้นะ เดี๋ยวมันจะตึงเปรี้ยะขาดแคว่กขึ้นมาจะแย่”
“อ่ะ...อืม....” เคนกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พยายามเพ่งปลายนิ้วของตัวเองไปที่กระดุมที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แผ่นหลังของหนุ่มรุ่นน้อง ทั้งสองคนเงียบอยู่ในพื้นที่แคบๆได้ยินเสียงลมหายใจของเคนดังเบาๆอยู่ไม่ห่างออกไปนักทำให้จูนรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
“.....เสร็จยังอ่ะพี่เคน....”
“อย่าเร่งดิ่ กระดุมมันเม็ดเล็กเว้ย”
ถึงจะพูดออกไปคล้ายจะรำคาญแต่ส่วนหนึ่งในใจกลับสั่งให้ปลายนิ้วขยับช้ากว่าที่เป็น จูนใส่ชุดที่นิดเลือกให้ได้พอดีมันเหมาะมากกับร่างโปรงของจูน ช่วงไหล่ขาวที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าโปร่งทำให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายแท้ๆ เคนก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะที่มือกำลังจะติดกระดุมเม็ดสุดท้าย...กระดุมเม็ดสุดท้ายที่เหมือนจะทำใจติดให้ไมได้ ใช่ว่าไม่เคยติดกระดุมให้ใคร ใช่ว่าไม่เคยปลดประดุมให้ใคร แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เหมือนเขาถูกดูดดึงให้ก้มลงไปหาผิวกายขาวๆนั่นริมฝีปากได้รูปของเคนแตะลงแผ่วเบาบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายอย่างยากจะห้ามใจ
“................................” เสียงจูนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ร่างสูงโปร่งพลิกตัวหันกลับมามองหน้าของเคนด้วยสีหน้าประหลาดใจใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ “พี่ทำอะไรน่ะ.....” มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นแตะตรงด้านหลังคอของตนเอง
“อ่ะ....ก็แกขยับนี่หว่า คนก้มๆอยู่ปากมันก็โดนอ่ะ...น้ำลายติดเลย” เคนโกหกหน้าตาย
“ฮึ่ย....น้ำลาย.....” จูนทำหน้าแขยงขึ้นมาทันที “ผมว่าพี่ออกไปได้แล้วอึดอัด เดี๋ยวผมออกไปให้ดู...” ว่าพลางก็รีบดันให้อีกฝ่ายออกไปจากห้องลองเสื้อ
............................................................................
“ได้เสื้อสองตัวราคาอยู่ในงบใช่ไหมจูน” เสียงนิดถามขณะเดินออกมาจากร้านสีหน้าท่าทางพึงใจกับผลงานของตัวเองอยู่ไม่น้อย
“ครับ พอดีเลยครับพี่นิด ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มว่า
“เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ....งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าไหม พี่เคนท่าจะหิวแล้ว” พูดพลางหันไปแหย่แฟนหนุ่มร่างสูงของตนเอง
“อ่า...แบบนั้นก็ได้ครับ...อ๊ะ” จูนอุทานเมื่อสายตาเบนไปพบอะไรบางอย่างในตู้กระจกร้านตรงข้ามร่างสูงโปร่งพุ่งไปยังร้านนั้นทันที
“มันเป็นอะไรของมัน” เคนถาม นิดก็ได้แต่ยักไหล่ก่อนจะเดินตามไปดู
“อุ้ย ตุ๊กตาตัวนี้ กำลังอยากได้พอดีเลย พี่เคน...” เด็กสาวชี้ไปที่พวงกุญแจตุ๊กตาสีขาวหูยาวกลมๆตัวการ์ตูนของญี่ปุ่นตัวที่จูนกำลังจับจ้องอยู่ เด็กหนุ่มหันกลับมามองนิดที่กำลังคว้าแขนของเคนไปกอดคล้ายจะออดอ้อนแบบนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เขาคว้าตุ๊กตาตัวนั้นเดินไปจ่ายสตางค์
“พี่ฮะพี่มีแบบนี้อีกตัวไหมอ่ะ....” เด็กหนุ่มลองถามกับเจ้าของร้าน
“เอ....ไม่มีน้า ตัวนี้มีมาตัวเดียวอ่ะน้อง โทษทีนะ “
“อ่ะ.....เหรอครับ .............” จูนทำปากยื่นเล็กน้อย รู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูกเขาหันกลับไปมองเคนกับนิดอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ “งั้นเอาตัวนี้ล่ะครับพี่” ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อม ยื่นถุงใบเล็กให้กับนิด
“ผมให้ครับพี่นิด...ขอบคุณที่ช่วยพวกผมวันนี้”
“อุ้ย จริงเหรอคะขอบใจจ้ะจูน...น่ารักจัง พี่จะเก็บไว้อย่างดีเลย” หญิงสาวรับของขวัญนั้นไปอย่างง่ายดาย “แล้วจูนล่ะ ไม่ซื้ออะไรอีกเหรอ....” แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว....เราไปหาอะไรกินกันเถอะครับ ไปกันพี่เคน หิวแล้วไม่ใช่เหรอ” จูนว่าพลางหันมาดันไหล่ของเคนให้เดินไปพร้อมๆกับนิด ร่างสูงแอบมองเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปมองร้านขายตุ๊กตานั่นแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ
“เหอะ...ทำเป็นเท่ซื้อให้คนอื่นเขาทำไม” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นว่านิดเดินทิ้งระยะห่างออกไป
“ก็ผมอยากให้นี่ ขอบคุณพี่นิดผิดตรงไหน ว่าแต่...พี่เคนไม่หึงใช่ป่ะ” เด็กหนุ่มแหย่กลับทำท่าเหมือนอารมณ์ดีเต็มพิกัด
“ไม่หึง......แค่......”ร่างสูงหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไปหาอะไรกินกันเถอะ....”
......แค่ไม่อยากเห็นแกทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนั้นก็เท่านั้น.....
....................................................
หลังจากทานข้าวเสร็จเคนดูเหมือนจะหายตัวไปนานจนน่าเป็นห่วง แต่หลังจากปล่อยให้ทั้งแฟนสาวและรุ่นน้องยืนรออยู่พักใหญ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับบัตรจอดรถที่เจ้าตัวบอกว่าลืมวางไว้ที่ร้านอาหาร นิดบ่นเคนแต่เป็นคำบ่นที่มาพร้อมกับรอยยิ้มท่าทีสนิทสนมนั้นอยู่ในสายตาของจูนตลอด เด็กหนุ่มตั้งใจจะขอตัวกลับก่อนเพื่อที่ทั้งสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่เคนกลับบอกว่าจะต้องรีบกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยจึงขอไปลงรถที่หน้าโรงอาหารพร้อมจูนเลยทีเดียว
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะคะพี่เคน” นิดโบกมือให้กับเคนก่อนจะขับรถสีแดงคันเล็กของเธอออกไป เคนยืนโบกมือให้แฟนสาวเช่นกัน จูนเองก็แอบโบกมือให้กับนิดด้วย พอได้มาพูดคุยกันตลอดทางแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่านิดเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ดูน่าทะนุถนอมแต่ก็มีความเข้มแข็งอยู่ในตัวไม่แปลกใจเท่าไรที่รุ่นพี่ร่างสูงของเขาจะคบหาด้วยทั้งคู่ก็ดูจะเข้ากันดี...อย่างน้อยก็จากภาพที่เขาเห็นวันนี้
“โอเค แยกย้าย หวัดดีครับพี่” จูนตบมือเข้าหากันก่อนตั้งท่าจะเดินไปขึ้นรถโดยสารกลับห้องพัก
“เดี๋ยว..... “ เคนคว้าแขนของจูนเอาไว้ “พี่ไปส่ง”
“จะไปอีกทำไม เมื่อกี้ก็ขับรถ เทียวไปเทียวมาสนุกเหรอครับ” จูนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงอยากจะไปส่งเขานักทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อิดออดแถมต่อว่าเขาเสียด้วยซ้ำว่ามัวแต่ไปส่งไอ้จูนจนไม่มีเวลาไปเจอแฟน
“อื้ม...สนุก “ เคนตอบสั้นๆ ก่อนจะจูงแขนของรุ่นน้องให้เดินตามเข้าไปยังที่จอดรถเพื่อเอารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
สักพักใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์คันโตของเคนจะพาจูนมาส่งถึงที่หน้าหอ เด็กหนุ่มถอดหมวกกันน็อคคืนให้แต่หน้าตาไม่ได้ดูร่าเริงเหมือนทุกครั้ง เขาทนเก็บความสงสัยในใจมาตั้งแต่ที่ห้างและเหมือนจะยังชั่งใจอยู่ว่าตัวเองควรจะพูด หรือถามอะไรออกไปดีหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดอะไรบางอย่างไปเอง มันออกจะน่าขายหน้าถ้าในท้ายที่สุดแล้วไม่ได้มีใครคนใดคิดไปในแบบเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ตัวแสบ” เคนว่าพลางยกมือขึ้นให้จูนเห็นก่อนขยี้หัวของเด็กหนุ่มเบาๆ
“ก็ผม.....” จูนตั้งใจจะเอ่ยออกไป แต่ก็หยุดนิ่ง ความลังเลเข้ามาก่อกวนใจอีกครั้ง
“เอานี่ไปแล้วเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที .....” เคนว่าพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เขาดึงมือของจูนมาให้รับของสิ่งนั้นไป ห่อพลาสติกสีสดใสทำให้จูนเลิกคิ้ว
“อะไรอ่ะ....” จูนเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยระแวงว่าเคนจะแกล้งอะไรเขาอีกหรือเปล่า
“ เออน่า แกะๆดูเถอะ....” เคนเหลือบซ้ายมองขวาหวังว่าจะไม่มีใครเดินเข้าเดินออกหอในตอนนี้
จูนลงมือแกะห่อพลาสติกนั่น ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าของรุ่นพี่อย่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อของในห่อนนั้นคือตุ๊กตาสีขาวหูยาวที่เขาอยากจะได้
“ที่ร้านเขาบอกว่ามีตัวเดียว....นี่นา...”
“ขากลับจากไปเอาบัตรแล้วบังเอิญเดินผ่าน เลยลองเข้าไปดู ก็บอกให้เจ๊แกไปค้นๆคุ้ยๆ บังเอิญเจอก็เลยเอามา” เคนยักไหล่ทำท่าเหมือนไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่คำว่า “บังเอิญ” ในประโยคที่เพิ่งจะพูดมานั้นมีตั้งสองครั้งจูนเลยเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“หืม...นี่ขนาดบังเอิญนะ”
“อ่ะ..เอ้อ...บังเอิญก็บังเอิญซิ่....” เคนตอบกลับ
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มพลางยกมือไหว้ รอยยิ้มที่ทำให้ใจของคนตรงหน้าสั่นไหวอีกครั้ง เคนเผลอเบือนหน้าหนีทันที
“ไม่เป็นไร.....ก็...คราวหลังถ้าอยากได้อะไรก็บอกตรงๆละกัน เข้าใจไหม...” มือแกร่งวางลงบนศีรษะของอีกฝ่ายอีกครั้ง
“พี่จะให้ผมพูดตรงๆเหรอ...”จูนเอ่ยถาม ดวงตาทีมองกลับมานั้นสะท้อนกับแสงไฟเป็นประกายชวนมองอย่างประหลาด เคนตอบรับคำถามนั้นด้วยการพยักหน้า เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านมาในยามค่ำ ได้ยินเสียงรถราวิ่งสัญจรไปมาดังมาจากที่ไกลๆ รอบข้างก็เหมือนจะปลอดคน ทำให้รู้สึกปลอดภัยหากจะถามอะไรบางอยางออกไป
“งั้นผมถามพี่ตรงๆนะ.....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่?”
.................................................... to be continued
-
น้องจูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน คุณพี่ก็กำลังคิดแบบนั้น อิพี่เคนแกพยายามจะทำอะไร!!!!! :z3:
แต่ไอ้ฉากติดกระดุมนั่นมัน มัน มัน :jul1:
นิดเอ๋ย...คนของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปนะ เอะใจนิดนึงสิ!!!
-
พี่จูนนนนนนนนนมิสยู้ววววววววววว
รำคาญเคนโว้ย ซึนนน
รอฉากเค้ารักกันอิอิ
-
@@@ talk @@@
คิดว่า...เราน่าจะเริ่มตั้งชื่อตอนดีกว่า (เพิ่งมาคิดได้...)
- บทที่ 19 -
คำตอบ
“งั้นผมถามพี่ตรงๆนะ.....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่?”
"แกถามพี่แบบนั้นทำไม...." เคนพยายามจะยิ้ม แต่อาจเป็นเพราะท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทำให้เขายิ้มไม่ออก "พี่กำลังเล่นอะไร...หมายความว่ายังไง"
"ไม่รู้สิ....ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไร แค่รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่มันเปลี่ยนไป...แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม พี่ต้องการอะไร กำลังเล่นอะไรอยู่" เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาก้มลงมองพื้นไม่กล้าสบตากับรุ่นพี่ร่างสูงสักเท่าไร ในใจก็กลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดหูไปอีกฝ่ายจะตวาดใส่หรือไม่ก็ชกเขาสักหมัด
“....พูดเรื่องอะไร...พี่งงไปหมดแล้ว...” คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมยิ่งทำให้ร่างสูงยิ่งทำตัวไม่ถูก
“ขอโทษนะที่ผมอาจจะคิดมากไปเอง...แต่พี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ปรกติพี่ก็ทำผมใจเต้นอยู่แล้วแค่นั้นก็น่าจะแปลกพอแล้ว แต่อยู่ๆพี่ก็ใจดีมากขึ้นมา เลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมทั้งที่ปรกติไม่ค่อยเลี้ยง นึกจะไปรับไปส่งติดๆกันหลายๆวันทั้งๆที่ปรกติบ่นผมจนหูชา แล้วยังตอนแสดงที่พี่ทำเหมือนไม่ได้แสดงอีก...ไหนตุ๊กตานี่อีก...” เด็กหนุ่มพูดรัวด้วยท่าทีสับสนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายในมือยังกำตุ๊กตาตัวเล็กเอาไว้แน่น
"ซึ่งผมขอบคุณมาก ...แต่ผมว่าเพราะทั้งหมดนี่มันเยอะมากไปในระยะเวลาแค่นี้เลยทำให้ผมคิดว่าพี่กำลังเล่นตลกกับผมอยู่ ผมเคยเจอมาเยอะนะมุกพวกนี้ ...." เด็กหนุ่มยิ้มเยาะตัวเอง
เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็เดินทางมาพบว่าตัวเองได้กลับมาหยุดอยู่ที่เดิม ความรู้สึกดีๆที่ได้รับมา มิตรภาพอย่างนั้นหรือ?
ในท้ายที่สุดมันอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา...เหมือนกับทุกครั้ง... เป็นเขาที่สับสน เป็นเขาที่ต้องคอยวิ่งหนีคำตอบของตัวเองมาตลอดท่ามกลางเสียงหัวเราะของใครต่อใคร
"เห็นผมไม่ค่อยมีเพื่อนเลยมาสนิทด้วย สุดท้ายก็เอาไปพูดให้ใครต่อใครเขามาบอกว่าผมเป็นเกย์บ้างกระเทยบ้าง....แต่ผมก็ชินแล้วนะ" จูนแค่นหัวเราะเยาะปมในชีวิตของตัวเอง
"จูน.... " เคนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ถ้อยคำมันติดอยู่ที่คอหอย "พี่ไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรแบบนั้นเลยนะ" เคนยกมือขึ้นหมายจะลูบผมของอีกฝ่ายเหมือนทุกทีแต่จูนกลับขยับตัวหลบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบผมมาสิ...ผมจะถามพี่อีกครั้ง....พี่กำลังเล่นอะไรอยู่" ดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยคำถาม
ร่างสูงยืนนิ่งมือที่ถือหมวกกันน็อคอยู่กำแน่น อีกฝ่ายถามมาได้ตรงประเด็นเหลือเกิน ตรงประเด็นเสียจนไม่แน่ใจว่าควรจะหลบสายตาที่มองมา หรือจ้องกลับไปตรงๆดี เคนยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำทุกครั้งเต็มไปด้วยความต้องการและความรู้สึกที่อยากจะเห็นรอยยิ้มและท่าทีเขินอายของอีกฝ่าย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการกระทำที่สับสนไม่มั่นคงจนอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกได้ อะไรทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องนะในเมื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ารู้จักคิดอะไรมากกว่าเขาตั้งเยอะ อีกฝ่ายคงกำลังเสียใจและเขาก็เสียใจเช่นกันที่ทำให้จูนต้องรู้สึกแบบนี้
ความไม่มั่นคง...เขาเองก็เกลียดความรู้สึกเช่นนั้นเพราะมันทำให้เขาตัดสินใจได้ช้ากว่าทุกครั้ง แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในเมื่อเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหนหรือใครมาก่อนและถึงมันจะแสดงออกมาได้ไม่เต็มที่จนสับสนและวุ่นวายขนาดนี้ แต่ความรู้สึกที่เขามีนี่มัน.....
“มันไม่ใช่เล่นๆนะ” เคนเอ่ยขึ้นมาเสียงไม่เบาเลย หลังจากยืนนิ่งอยู่ ริมฝีปากของร่างสูงขยับเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างหนักแน่นราวกับจะเน้นทุกคำที่พูดออกไป ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายมาถึงตอนนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะสับสนอีก ถึงจะเป็นเวลาไม่นานเลยจากที่เริ่มรู้สึกแบบนี้ แต่บางทีความรู้สึกนี้อาจจะลอยเคว้งอยู่ในใจของเขาและรอวันตกตะกอนมานานแล้วก็เป็นได้
“หะ? “ จูนต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ แล้วถ้ามันไม่ใช่เล่นๆล่ะ......” ร่างสูงก้าวเข้าไปประชิดตัวของจูน มือแกร่งฉวยมือของเด็กหนุ่มมาจับเอาไว้หลวมๆ
“ถ้าทุกอย่างที่พี่ทำไปเป็นเพราะพี่อยากทำล่ะ ถ้าพี่จะไม่เล่นๆกับแกอีก...แกจะทำยังไง”
“..............................” จูนถึงกับมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความตกใจ มือเรียวขยับหมายจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเคนแต่มือแกร่งกลับกระชับยึดมือของเขาเอาไว้แน่น
“แกถาม พี่ก็ตอบตรงๆแล้ว...พี่ขอฟังคำตอบขอแกตรงๆชัดๆบ้างได้ไหม แกจะทำยังไง” สายตาที่มองมาของเคนนั้นจริงจังกว่าทุกครั้ง มือที่กุมมือของเขาเอาไว้นั้นอุ่นจนร้อน
“ผม...ผมไม่รู้....”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ความกลัววิ่งเข้ามาจับใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะคิดหรือทำตัวอย่างไร ในใจไม่เคยคิดจินตนาการถึงคำตอบที่ได้รับกลับมาว่าจะเป็นเช่นนี้ เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใครกำลังพูดกับเขาอยู่ คนตรงหน้าของเขาคือเคนที่มักจะพูดเรื่องล้อเล่น ทำตัวบ้าบอไม่ใช่หรืออย่างไร
“กลัวเหรอ....” เคนยิ้มขัดกับน้ำที่แหบพร่า เขารู้สึกได้ว่ามือของจูนกำลังสั่น ร่างสูงไม่ได้ยินคำตอบเห็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่กำลังเม้มริมฝีปากแน่น จูนไม่ได้มองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ รุ่นพี่หนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะจับมือของอีกฝ่ายให้ยกขึ้นมาแตะที่อกของเขาเอง หัวใจของเขาเองก็กำลังเต้นแรงและไม่ใช่อีกฝ่ายที่กำลังสั่นตัวของเขาเองก็กำลังสั่นไม่แพ้กัน
“........................” รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆที่สะท้อนมาจากในอกของร่างสูง จูนเงยหน้ามองหน้าของเคน ใบหน้าคมที่มีแสงสลัวจากดวงไฟสาดเข้ากระทบนั้นชวนมองเหมือนเช่นทุกครั้ง
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ.....แกอย่าหนีล่ะ” ร่างสูงเอ่ยก่อนขยับเข้าไปใกล้แตะริมฝีปากลงบนผมที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่าย แผ่วเบาหากแต่สัมผัสนั้นร้อนผ่าว ไม่ได้ต่างจากใบหน้าแดงก่ำของจูนที่เลือดฉีดพล่านไปทั่วหัวใจของเขายังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“..............................”
“กลับล่ะ “ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่มีอะไรจะพูดกับตนเองในตอนนี้ เคนปล่อยมือของหนุ่มรุ่นน้องให้เป็นอิสระก่อนจะก้าวถอยออกห่างแล้วกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง หนุ่มพละร่างสูงขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แต่ก่อนที่จะสวมหมวกกันน็อคก็หันกลับมาหาคนที่เขาตั้งใจจะมาส่งตั้งแต่ทีแรก
“ฝันดีนะ...” คำหวานที่เก็บเอาไว้พูดกับเฉพาะนิดด้วยคิดว่ามันหวานเลี่ยนจนไม่อยากให้ใครได้ยิน จะเคยก็แค่นำมาพูดทีเล่นที่จริงกับจูนมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ในคืนนี้สำหรับตัวเองคำๆนี้กลับฟังดูหวานหูอย่างไม่น่าเชื่อ นี่อาจเป็นพลังของความรู้สึกเมื่อใส่ใจลงไปในคำพูดทุกคำอย่างที่จูนเคยพูดเอาไว้ก็เป็นได้
เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้าลงน้อยๆ ไม่ได้ตอบออกไปด้วยคำพูด เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเคนคำรามเสียงออกไปจากประตูหอพัก เด็กหนุ่มคล้ายจะก้าวขาไม่ออกเหมือนมีแรงบางอย่างที่ฉุดดึงเขาเอาไว้ให้ยืนอยู่กับที่ เจ้าของเรือนผมสีทองรู้สึกเหมือนตัวเองได้เดินกลับมายืนอยู่ ณ จุดๆเดิมที่กลับกลายเป็นว่าในตอนนี้เขารู้สึกไม่คุ้นตาจนทำให้เริ่มไม่มั่นใจว่าหากจะก้าวเดินออกไปอีกสักก้าวแล้วหนทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร สับสน ประหลาดใจ และกลัว....กลัวว่าหลังจากนี้ต่อไปเขาควรจะต้องทำตัวอย่างไร
“หนี?.... แล้วจะให้ผมหนีไปไหนได้....”
จูนยกมือขึ้นปิดหน้าพลางสูดลมหายใจเข้าลึก นึกเสียใจที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป บางทีเขาอาจไม่ควรถาม บางคำตอบไม่ควรจะต้องพูดออกมา บางทีมันอาจไม่ใช่ความจริง สายตาที่อีกฝ่ายมองมา สิ่งที่อีกฝ่ายทำ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อเคนเองก็มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรืออย่างไร... ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนขาของเขาหมดแรงแล้วที่จะยืนต่อไป
“โอย.....ไม่จริงได้ไหมเนี่ย....”
..........................................
คิ้วเรียวขมวดมุ่น เขารู้ว่าเช้าแล้วเพราะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังก่อนหน้านั้นไม่นานแต่ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะลุก แต่ที่ต้องขมวดคิ้วเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์และเสียงริงโทนที่แผดร้องเป็นเพลงร็อคกระแทกโสตประสาท
“โอ้ย.... ใครมันโทรมาตอนนี้วะ!”ผุดลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มอย่างหัวเสีย มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตาเสียด้วยซ้ำ “ฮัลโหล.....”
“ตื่นรึยัง? ....” เสียงทุ้มจากปลายสายทำให้คนที่ยังงัวเงียต้องเลิกคิ้วสูง ยกโทรศัพท์ออกจากข้างหูมองเบอร์โทรเข้าด้วยอยากให้มั่นใจ
...เคน พละ...
ชื่อที่เม็มเอาไว้นั้นแสนจะธรรมดา และคงจะเป็นธรรมดาเหมือนเช่นทุกทีถ้าเมื่อคืนอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขากลับมาแบบนั้น
“พี่เคน...มีอะไรครับ” เด็กหนุ่มตื่นเต็มตา มือลูบหน้าอีกครั้งพยายามจะไล่ความง่วงออกไปให้พ้น
“จะไปเรียนรึยัง มีเรียนไม่ใช่รึไง...”
“ไอ้มีมันก็ใช่อ่ะ พี่จะโทรมาปลุกผมเพราะเรื่องนี้อ่ะนะ....” คำถามที่ถามกลับมาทำให้คนเพิ่งตื่นนอนคล้ายจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อคืนกว่าเขาจะทำใจเดินกลับเข้าหอ พยายามข่มตาให้นอนกลับได้หลังจากคำพูดของอีกฝ่ายก็นานโขอยู่
“เปล่า โทรมาปลุกจะถามว่ามีเรียนไม่ใช่รึไง จะได้ไปส่ง” เสียงทุ้มที่ลอดตามสายมานั้นกลั้วเสียงหัวเราะ จูนได้ยินเสียงจอแจดังอยู่ด้านหลังทำให้คำพูดของอีกฝ่ายแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“ไปส่ง? จะบ้าเรอะ พี่อยู่หลังมอไม่ใช่รึไง....แล้ว แล้วนี่อยู่ไหนเนี่ย?”
“ตลาดใกล้หอแกอ่ะ เดี๋ยวก็ถึงแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวมารอข้างล่างเลยนะ! สิบนาทีไม่เกิน!!” เคนแทบตะโกนใส่หูโทรศัพท์ก่อนจะตัดสายไป
“หา?! ฮัลโหล? พี่เคน ฮัลโหล.....ไอ้พี่เคน ฮัลโหลโว้ย” จูนแทบเขย่าโทรศัพท์มือถือแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียงแล้วปลายสายตัดไปเหลือเพียงความเงียบเท่านั้น เด็กหนุ่มลุกพรวดจากเตียงทันที เขาหันไปมองนาฬิกายังอีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงชั่วโมงเรียนของเขาปรกติขึ้นรถโดยสารใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
“โอ้ย จะรีบมาทำไมนักหนาเนี่ย” ร่างสูงโปร่งโวยวายแต่ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันที
.............................
“เฮ้อ.......................”
เสียงผ่อนลมหายใจดังขึ้นเบาๆ สุดท้ายแล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาทั้งๆที่ไม่ได้เช็ดผมให้แห้งดีเสียด้วยซ้ำ จูนนั่งคอตกอยู่ที่ม้านั่งหน้าหอพักอย่างหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะเงยหน้าสู้แดดยามสาย รอว่าเมื่อไรจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ของคนที่โทรมาปลุกเขาอย่างกะทันหันจะดังขึ้นที่หน้าทางเข้าหอพักเหมือนอย่างทุกที
อยู่ๆเสียงดังกรอบแกรบก็ดังขึ้นข้างหูพร้อมกับความร้อนที่แตะเข้าที่ข้างแก้ม จูนสะดุ้งเฮือกแล้วพอหันมาดูก็ยิ่งต้องร้องออกมาไม่เป็นภาษา เพราะไอ้ที่เขาหันมาเจอคือถุงพลาสติกใส่ปาท่องโก๋ร้อนๆควันขึ้นส่งกลิ่นหอมฉุย
“เฮ่ย......พี่เคน!?”
“เอ้า ข้าวเช้า” ร่างสูงยืนยิ้มกว้างในมือถือถุงพลาสติก วันนี้เคนดูสบายๆเพราะใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดเข่าขนาดพอดีตัว ช่วงขายาวกับกล้ามเนื้อในเสื้อยืดนั่นยิ่งส่งให้ดูดีมากขึ้นไปอีก
“ขอบคุณครับ เอ้ย ไม่ใช่ มาตอนไหนอ่ะ....” จูนหันซ้ายแลขวา “ผมไม่เห็นได้ยินเสียงรถพี่เลย” แต่ร่างสูงกลับหัวเราะแล้วยกมือขยี้ผมของเขาเบาๆ
“แกคิดว่ามาจากตลาดแถวนี้มันใช้เวลามาขนาดนั้นเลยรึไง...” เคนว่าพลางนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายไม่พอบอกให้
จูนขยับให้ที่ให้นั่งอีกด้วย “เอ้า กินซะ”
“ใครจะไปคิดเล่า ปรกติเดินเอา ไม่ได้บึ่งบิ๊กไบค์มานี่นา” จูนทำปากยื่น แต่ก็รับปาท่องโก๋มาเขี้ยวหมุบหมับ
“แล้วนี่มันอะไร โทรมาปลุก ขี่มอไซค์มา แล้วยังปาท่องโก๋อีก.....” จูนพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แดดยามสายนี่มันแสบตาเหลือเกินจริงๆ เด็กหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเลี่ยงแสงแดดด้วยการหันหน้ามามองหน้าของเคนกลับเจอรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าคม ดวงตามี่มองมาเป็นประกายดูเข้ากับแสงแดดยามสายอย่างบอกไม่ถูก
“ ก็บอกแล้วไง...ว่าไม่ได้ล้อเล่น ...”
“อ่ะ.........อืม” จูนพยักหน้าลงน้อยๆ คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืน สายตาที่มองมาเอาจริงอย่างที่ได้พูดเอาไว้ เด็กหนุ่มเคี้ยวปาท่องโก๋ต่อไปช้าๆ อยู่ๆปาท่องโก๋ก็ฝืดคอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้า นม....” ปานรู้ใจ เคนยื่นนมขวดขนาดกลางมาให้ “กินซะเดี๋ยวติดคอ”
“อะไร.....เซอร์วิสไปไหนคนเรา” จูนอดไม่ได้ที่จะแขวะ
“ก็หวังผลนี่.....” เคนพูดขึ้นมาลอยๆ
“แค่กๆ....โอ้ย....แค่ก....พี่เคน!?” จูนสำลักออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตารีเรียวมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจ “เล่นอะไร...”
“ก็บอกแล้วไง....ว่าไม่ได้เล่นๆ “เคนยิ้มยกปลายนิ้วขึ้นเช็ดคราบนมสดจากปลายคางของอีกฝ่าย “รีบๆกินซะ...เดี๋ยวพี่ไปส่ง...โห จะรีบไปไหนเนี่ย ผมยังไม่แห้งเลย...” เคนว่าพลางขยี้ผมของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเส้นผมสีอ่อนที่ยังหมาดๆ...
“ก็ใครทำให้รีบล่ะ...พี่นั่นล่ะยัดๆไปเลย โหยซื้อมากี่บาทเนี่ย ปาท่องโก๋ถุงขนาดนี้เนี่ยนะ...”
“ห้าสิบบาท” เคนตอบพลางยิ้มเท้าคางมองหน้าของอีกฝ่าย เรียกให้ถูกคือแทบจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“ห้าสิบบาท? ซื้อไปถมที่รึไง...กินไม่หมดก็เสียดายของแย่ดิ่”
“กินไม่หมด แกก็เอาไปแบ่งเพื่อนที่คณะไง พี่ไม่ว่านะถ้าจะเลี้ยงเพื่อนกลุ่มแกด้วยน่ะ” ว่าพลางขยิบตาให้
จูนพยักหน้าอย่างล้อเลียน
“อ๋อ....เดี๋ยวนี้ป๋า?.....เชื่อผมเถอะ อะไรที่พี่ว่าจริงจังหมดวันก็จบแล้ว...” เด็กหนุ่มพูดลงท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางพลางยกนมขึ้นดื่ม ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ได้เล่น ไม่ใช่เล่น แต่ท้ายที่สุดของความต้องการของเคนนั้นมันคืออะไร จูนรู้คำตอบนั้นดี แต่มันคงไม่มีทางเป็นจริงไปได้เคนจะได้ถึงผลของการกระทำของตนเองบ้างหรือเปล่าเขาเองก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้เลยจากท่าทีของรุ่นพี่ร่างสูงในตอนนี้
“พอจบวันแล้วแกก็อย่าหนีก็แล้วกัน...” เคนยิ้มน้อยๆกับท่าทางแบบนั้น เขารอจนจูนกินนมจนหมด แล้วจึงอาสาพาจูนไปส่งที่มหาวิทยาลัย
................................ to be continued
-
“อะไร.....เซอร์วิสไปไหนคนเรา” จูนอดไม่ได้ที่จะแขวะ
“ก็หวังผลนี่.....” เคนพูดขึ้นมาลอยๆ
ไอ้ประโยคแบบนี้หน่ะ...พอนิดมารู้เรื่องก็ไขว้เขวแล้วก็จะมาทำร้ายใจน้องจูน
หยุดทำแบบนี้เลยนะไอ้หมีควายบ้าพลัง ฮือๆๆๆๆๆๆๆ :ling1: ถีบเลย :z6:
น้องจูนนนนนน อย่าไปหลงหน้าตา(อันนี้ไม่น่าจะทัน)คารมและเซอร์วิสของไอ้พี่เคนหมีควายนะ เข้มแข็ง!! ฮึ้ยๆๆ :fire:
-
จะมาจริงจังไม่เล่นๆกะจูน แต่ตัวยังมีพันธะเป็นนิดตัวโตๆเลยนะเคน ทำแบบนี้ไม่มีใครมีความสุขหรอกนะเนี่ย
-
@@@ talk @@@
ไม่ได้มาอัพเสียนาน งานเยอะมาก :ling1:
อ้อ ไปเข้าวัดมาด้วยค่ะ เอาบุญมาฝากทุกคนนะคะขอให้มีแต่สิ่งดีๆกันถ้วนหน้า
อัพตอนนี้ถือเป็นครึ่งแรกของตอนก่อนนะคะ
จะรีบมาต่อในเร็ววัน (ช่วงวันหยุดนี่ล่ะ เวลาดี ฮ่าๆ)
..................................
- บทที่ 20 หนีกับลืม -
"หนี"
สายตาเหลียวซ้ายแลขวา ร่างสูงโปร่งรีบเดินออกไปทางด้านข้างคณะ ถ้าหากเดินผ่านจะมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังคณะวิทยาศาสตร์และเดินตรงออกไปยังถนนหลักของมหาวิทยาลัยได้ ขอแค่มีรถประจำทางผ่านมาเขาก็เดินทางกลับหอได้อย่างสบายๆ อาจจะเป็นเพราะคำขู่ของเคนก็เป็นได้ที่ทำให้เขาอยากรีบกลับหอไปเสีย ไม่อยากจะอยู่เตร็ดเตร่ในมหาวิทยาลัยเหมือนอย่างทุกที ถึงเพื่อนจะชวนให้ไปหาอะไรทานด้วยกันหลังเลิกเรียนก็แล้วแต่ก็ต้องปฏิเสธไป ....ขอโทษนะ...ไม่ว่างน่ะต้องไปชมรม.... คำโกหกคำโตหลุดออกจากปากไปอีกครั้ง เขารู้ดีว่าสักวันกลุ่มเพื่อนสาวของเขาคงต้องระอาจนถ้าไม่สนใจเขาอีกก็คงจะเรียกเขาซักฟอกจนกว่าความจริงจะหลุดเป็นแน่จะโกหกไปเพื่ออะไร
“จูน!!...”
อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังลั่นมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก หันไปมองดูด้านหลังก็เห็นร่างสูงโปร่งของเคนยืนอยู่ใกล้กับที่จอดรถไม่ห่างออกไปนัก จูนรีบยกหนังสือเรียนขึ้นบังหน้าพลางสาวเท้ารีบเดินไปอีกทางทันที
“อ้าวเฮ้ย....เรียกไม่หันวะ...จูน!”เคนใช้เสียงที่ดังขึ้น ร่างสูงใหญ่วิ่งเหยาะตามอีกฝ่ายไปแต่ก็ดูเหมือนว่าจูนจะยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก คิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“จูน...เฮ้อ...ไอ้เด็กนี่.....” เคนเร่งฝีเท้าเต็มพิกัดถึงเขาจะไม่ถนัดเรื่องการวิ่งหรือกีฬาอื่นๆเมื่อเทียบกับกีฬาพวกศิลปะป้องกันตัวแต่เพราะต้องวิ่งทุกวันอย่างไรแล้วฝีเท้าของเขาคงดีกว่าคนที่ปรกติจมกองหนังสือกับกองซีดีอย่างจูนเป็นแน่
“จะรีบเดินไปตามควายที่ไหนวะ” มือแกร่งดึงแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้ได้ในไม่กี่อึดใจ คนที่เขาคว้าแขนเอาไว้หยุดเดินทันที มือที่ยกหนังสือเอาไว้สูงเมื่อครู่นั้นลดลง ทำให้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนมมากขึ้น คิ้วคมของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ทำไมทำหน้างั้น...”
“เดินหนีควายถึกไม่พ้นเลยเซ็งน่ะครับ” จูนตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องถามอะไรต่อก็พอจะเข้าใจ
“รู้งี้ปล่อยให้เดินหนีต่อไปดีกว่า เจอหน้าเซ็งไม่พอด่าพี่อีก...” เคนหัวเราะเบาๆ “หิวรึเปล่า ไปหาอะไรกินกัน”
“หิวครับ แล้วก็ง่วงมากด้วย เลยว่าจะกลับหอแล้ว” เด็กหนุ่มผมทองตอบไม่ได้มองหน้าของอีกฝ่าย ใจของเขายังเต้นระรัวที่ต้องจ้ำอ้าวเดินหนีอีกฝ่ายเหมือนจะโดนควายไล่ขวิดอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พี่ไปส่งสิ...จะมาเดินหนีกันแบบนี้ทำไม” เคนหัวเราะพลางยกมือขยี้ผมของจูนเบาๆ
“ก็.....” จูนอึกอัก เห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างก็รู้สึกแสบตา ผู้ชายแบบเคนถึงบางครั้งจะตัดสินใจอะไรได้สิ้นคิดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้าที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย.....แต่บางครั้งก็แลดูแสบตาจนน่ารำคาญ
“ก็พี่วิ่งตามมา ผมตกใจนึกว่ากระทิงตกมัน ....ก็เท่านั้น”
“โธ่เอ้ย จะว่าพี่เป็นควายก็พูดมาเหอะ ไม่ต้องไปเปลี่ยนสายพันธ์ให้มันหรูหรอก”เคนพลิกข้อมือเป็นเขกศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ “ไปชมรมกันไหม....”
“ถ้าชมรมล่ะก็ ผมไปเองได้นะ เดินไปแป๊บๆก็ถึงแล้ว....” จูนมีท่าทีลำบากใจมือเรียวชี้ไปทางทิศที่ตึกชมรมตั้งอยู่
“ก็จะไปส่ง จะเดินไปทำไมให้เมื่อย...” เคนถามพลางถอนหายใจ “ทุกทีก็ว่าง่าย ทำไมวันนี้ดื้อจัง”
“ผมเปล่านะ แค่คิดว่าถ้าจะไปชมรมมันก็เดินไปก็ได้นี่” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ
“เอ้า ไอ้นี่...ไหนว่าตอนแรกง่วงจะกลับหอไง สรุปจะเอาไงกันแน่เนี่ย ”เคนขมวดคิ้ว “คนจะได้ขี่รถไปส่งได้ถูก”
“ก็ไม่ต้องไปส่งแต่แรกนั่นล่ะ จะได้ไม่ต้องงง” จูนปั้นรอยยิ้มใส่อีกฝ่าย
เห็นรอยยิ้มแห้งแล้งไม่จริงใจแบบนั้นมือแกร่งของนักกีฬาร่างใหญ่ยิ่งกระชับรอบแขนของอีกฝ่ายมากขึ้นพลางดึงเข้ามาใกล้เมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองคนกำลังจะห่างกันออกไป
“พี่จะตอบแกอีกรอบนะว่าพี่จริงจัง...” เคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่สังเกตเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าหลุบลงต่ำ
“มันเป็นคำตอบของพี่คนเดียว.... “เด็กหนุ่มผมสีอ่อนส่ายหน้าน้อยๆ ยกมือที่ถือหนังสืออยู่ดันอกของอีกฝ่ายให้ออกห่าง
“ไม่ใช่คำตอบของผมสักหน่อย...”
“เหรอ..ถ้าอย่างนั้นแกเดินหนีพี่ทำไม นั่นแปลว่าแกกำลังตอบพี่อยู่ไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเคนอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเขาไม่เคยพูดกับใครด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อนไม่แม้แต่กับนิด ไม่เคยถามด้วยความใคร่อยากรู้ใจของใครมากเท่านี้มาก่อน
“บางทีมันอาจจะผิดตั้งแต่ตอนที่พี่ตั้งคำถามแล้วก็ได้”จูนว่าดวงตาเรียวจ้องกลับมา “แทนที่พี่จะตั้งคำถามว่า ผมจะทำยังไง บางทีพี่อาจจะต้องตั้งคำถามใหม่ อย่างเช่น พี่ชอบผู้หญิงไม่ใช่รึไง พี่ไม่รู้สึกว่ามันแปลกเลยรึยังไง... แล้ว...พี่จะมาทำแบบนี้ให้มันได้อะไร ”
จูนตั้งคำถามกลับไป คำถามที่คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะตอบได้ ท่าทางเหมือนลำบากใจที่จะพูดออกมาสังเกตได้จากท่าทางที่เด็กหนุ่มเม้มปากน้อยๆอยู่ตลอด
“พี่เคนช่วยทำเหมือนเดิมไม่ได้รึไง แบบนี้ผมว่าผมลำบากใจนะ” เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งเขาพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปตามตรง แต่ที่ลำบากใจยิ่งกว่าการกระทำของเคนคงจะเป็นจูนเองที่ยังไม่กล้าแม้จะคิดหาคำตอบให้ตัวเอง สิ่งที่เขาทำได้ดีคงมีแค่สองอย่างหนึ่งในนั้นคือการหนี แต่เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการหนีนั้นทำเอาเหนื่อยอยู่ไม่น้อยร่างสูงโปร่งยังยืนหอบหายใจเบาๆ
“พี่ทำอะไรไม่เหมือนเดิมตรงไหน มารับแก ไปชมรม ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ”
“เจตนาพี่มันไม่เหมือนเดิมนี่...”จูนตอบไปตามตรงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกร้อนผะผ่าวบนใบหน้า
“แล้วมันไม่ดียังไง” เคนถามกลับตีหน้าซื่อ จนจูนรู้สึกคล้ายจะเวียนหัวเพราะเขาพูดไปขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายยังตอบกลับมาแบบนี้ได้
“โอ้ย...ผมพูดไปพี่ก็คงจะสบสันกับการแสดงจนหัวพี่ไม่ทำงานแล้วล่ะ...เอาแบบนี้...ผมขอร้อง” เด็กหนุ่มยกมือพนมขึ้นตรงหน้าร่างสูง
”ผมขอนะ ขอให้พี่หยุดก่อนอะไรก็ตามที่พี่คิด พี่ต้องตั้งสติส่วนผมเองจะลืมไปว่าเมื่อคืนนี้ผมถามอะไรพี่ไป ถือเสียว่าพี่ไม่เคยตอบอะไรผมมาก็แล้วกัน”
“จะบอกว่าไม่ซินะ....” เสียงของเคนที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกจากที่สูงทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะกระโดดข้ามฝากไปยังอีกด้านของตึกด้วยกำลังขาของตนเองแต่ท้ายที่สุดก็คงต้องตกลงมาตายอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนนี้พี่กำลังทำให้ผมกลัว...” จูนตอบด้วยเสียงเบาเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะเดินผ่านมาทางนี้ เด็กหนุ่มขยับถอยห่างออกจากเคนเล็กน้อย “ผมเลยขอให้พี่หยุดตั้งสติให้ดีก่อน...ผมไม่ได้อยากจะหนีแต่ถ้าพี่ยังทำให้ผมกลัวแบบนี้ ถ้าผมไม่หนีมีอีกวิธีคือเราต้องลืมเรื่องที่คุยกันนี่ไปสักระยะ”
“พี่อาจจะหัวไม่ดีเท่าแกนะจูน แต่พี่ว่าพี่ก็คิดมาหนักแล้ว แกห้ามพี่ไม่ได้หรอกนะ...” มือแกร่งยกขึ้นแตะข้างแก้มของเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจว่าใครที่กำลังจะเดินผ่านมาจะเห็นหรือไม่
“งั้นพี่ควรจะคิดให้หนักกว่านี้...”จูนตอบเขาก้าวถอยหลังปลายนิ้วแกร่งของเคนแตะผิวแก้มของเขาได้เพียงแผ่วผ่าน สายตาที่มองกลับมาของเคนนั้นยากที่จะคาดเดาความรู้สึกแต่เคยไม่เคยมองเขาด้วยสายตาที่ดูผิดหวังขนาดนี้มาก่อน
“ผม.....” เสียงของจูนสั่นในใจรู้สึกหวั่นไหวกับสายตานั้นแต่รู้ดีว่าตัวเองต้องหนักแน่นให้มากเข้าไว้
“ผมว่าวันนี้ผมต้อกลับหอก่อนจริงๆนั่นล่ะ คงไม่ได้ไปชมรมแล้ว พี่ไม่ต้องไปส่งนะ ผมกลับเองได้แล้วเจอกันพรุ่งนี้” จูนพูดรัวเร็วก่อนจะหันหลังก้าวเดินยาวๆไปยังจุดรอรถประจำทาง
เคนมองแผ่นหลังได้รูปของเด็กหนุ่มค่อยๆเดินห่างออกไป มือแกร่งกำแน่นเขาไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ แต่คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกอยากจะพยายามให้มากกว่านี้
“ถ้าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้แข่ง มันก็ไม่แฟร์นะไอ้หนู....และคนอย่างเคนถ้าลงสังเวียนก็ต้องชนะน็อคเท่านั้น”
................................... to be continued
@@@ talk @@@
หลังแต่งตอนนี้จบ อยากบอกพี่เคนว่า
"พี่คะ...พี่โดนปรับแพ้ฟาล์วตั้งแต่ตอนไปชั่งน้ำหนักเทียบรุ่นแล้วอ่ะ"
ผั่วะ ตบพระเอกซักทีจะได้ไหม
-
-บทที่ 20 หนีกับลืม-
- ลืม -
เสียงลงส้นเท้าหนักๆดังขึ้นไปตามบันไดแคบๆของตึกชมรมเก่าคร่ำคร่า ร่างสูงใหญ่ของเคนพาตัวเองขึ้นไปถึงชั้นสองได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เขาหงุดหงิดแต่ก็ไม่ถึงกับกระฟัดกระเฟียดหรือพร้อมจะพังข้าวของรอบข้างแต่อย่างใด มันเป็นความหงุดหงิดไปตามสถานการณ์คล้ายอารมณ์ในตอนที่เกมการแข่งขันไม่เป็นไปอย่างใจเสียมากกว่าเขาเปิดประตูชมรมเข้าไปรู้ดีว่ามันไม่ได้ล็อคเพราะฟืนไฟในห้องนั่นเปิดสว่าง มองเขาไปเห็นเงาร่างของใครบางคนอยู่
....ถ้าไม่ไอ้ยุทธ์ก็ไอ้โชติล่ะมั้ง......
นักกีฬาร่างสูงถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน
“อ้าว ยุทธ์มึงเองเหรอ....”
“เออ...กูเอง ” เสียงยุทธ์ตอบกลับมา ร่างเล็กนอนเหยียดอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่กลางห้อง เคนเห็นชุดเสื้อผ้าสำหรับใส่ในการแสดงวางกองอยู่อีกทาง
“มึงมาลองเสื้อเหรอ”
“แนวๆนั้นแค่ลองไซส์อ่ะ อย่างกูใส่อะไรก็หล่อ แต่งหญิงกูก็สวยอ่ะนะ เอาอะไรให้ใส่ก็ดูดีหมดล่ะ” ยุทธ์ว่าไม่ได้เงยวางการ์ตูนแล้วหันมาคุยแต่อย่างใด “แล้วมึงอ่ะ มาทำอะไร ...”
“หงุดหงิดนิดหน่อยเลยยังไม่อยากจะกลับ เซ็งๆเดี๋ยวจะเปลี่ยนเสื้อไปซ้อมวิ่งให้มันหายหงุดหงิดซักหน่อย” เคนตอบพลางถอดตลบเสื้อยืดที่ใส่มาออกไปให้พ้นตัว ร่างสูงนั่งลงที่อีกด้านของห้องชมรมพื้นกระเบื้องของห้องทำให้รู้สึกเย็นอยู่ไม่น้อยเมื่อเข้าช่วงเดือนธันวา เคนนั่งมองยุทธ์ที่ยังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่อย่างสบายอารมณ์
“เฮ้ย ยุทธ์ กูถามมึงหน่อยเหอะ อย่างมึงเคยจีบใครแล้วเขาวิ่งหนีมึงบ้างไหม” เคนถามสิ่งที่คล้ายจะโพล่ขึ้นมากลางใจ ภาพแผ่นหลังของจูนที่เดินจากไปนั่นยังเด่นชัด...และน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“หืม?....” ยุทธ์ลดหนังสือการ์ตูนลงแล้วหันมาสนใจเคนเป็นครั้งแรก “นึกยังไงถึงถามวะ”
“ก็แค่อยากรู้...” เคนยักไหล่ ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายรู้อะไรมากจนเกินไปนักแต่อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้สนใจอยากรู้อะไรอยู่แล้ว
“ให้พูดตามตรง...”ยุทธ์เปลี่ยนจากนอนเหยียดมาตะแคงข้างมองหน้าของเคน “ปรกติแล้วกูไม่จีบใคร....” คำตอบของคำถามนั้นทำให้เคนขมวดคิ้ว
“แล้วมึงหาแฟนได้ไงวะ....”
“มาเอง....” คราวนี้เป็นฝ่ายยุทธ์ที่ยักไหล่บ้าง “ส่วนใหญ่กูเป็นฝ่ายโดนจีบซะมากกว่า กูไม่ชอบไปรุกจีบใคร...มันเหมือนเอาสีเอาน้ำเอาก้อนอิฐก้อนหินไปปาใส่ชาวบ้านเขา...”
“ขนาดนั้นเลยอ่ะ?...”เคนเลิกคิ้วสูง ช่วงขายาวขยับขัดสมาธิเขาชักสนใจความคิดของเพื่อนร่างเล็กคนนี้ขึ้นมาอีกนิด
“ใช่...อีกอย่างกูอาจจะเป็นพวกรักสบายไปหน่อย กูชอบให้มีคนมาเอาใจ แต่กูไม่ชอบให้คนมาเข้าใกล้กูมากเกินไป มันน่ารำคาญ และถ้ามีใครจะมาจีบกูกูจะดูว่าเขาก้าวล้ำเส้นกูหรือเปล่า...” ว่าพลางก็ยกนิ้วทำท่าขีดเป็นเส้นตรงบนอากาศ “อาจจะไม่เหมือนมึงหรอก...แฟนสวยซะขนาดนั้น”
“ไม่...อันที่จริง...กูก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนหรอก...”เคนนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังพยายามเรียบเรียงความทรงจำ “..บังเอิญเจอกัน บังเอิญได้คุยกัน รู้ตัวอีกทีก็คิดว่าเป็นแฟนกันก็น่าจะดี...” เคนถอนหายใจพลางเอนไปด้านหลัง
“เฮ้อ...ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยเริ่มก่อนนะ แต่มันไม่เคยยาก...” เคนเหม่อมองดูเพดานกระดำกระด่างของห้องชมรม
“เจอยากๆเข้าเลยงงอ่ะดิ่....” ยุทธ์แซวด้วยเสียงสูง “ว่าแต่ เฮ้ย...อย่าบอกนะว่ามึงมีกิ๊กอ่ะ...”ยุทธ์แทบคลานสี่ขามาเข้ามามองหน้าของเคน “โหย....ไอ้พี่เคน ทำแบบนี้แฟนจับได้นี่ไม่โดนตอนเลยเหรอมึง”
“สาด หุบปากไปเลยมึง....”เคนแทบยกเท้าขึ้นยันอีกฝ่ายเอาไว้ “ความเห็นบางเรื่องไม่ได้ถามก็ไม่ต้องตอบ” คิ้วคมขมวดเข้าหากันแน่น มือแกร่งขยี้ผมของตัวเองเบาๆอย่างขัดใจ
“โห...ท่าจะหงุดหงิดจริงวุ้ย เจอของยากนี่มันน่าหงุดหงิดขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ก็ดูเข้ากับมึงดีว่ะ”ยุทธ์ยังคงดูอารมณ์ดีเห็นเพื่อนอายุมากกว่าคนนี้ทำหน้าหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจนี่ทำให้ชวนขำอย่างบอกไม่ถูก
....หน้าตาเหมือนควายปวดท้องขี้.....
“เออๆ กูหงุดหงิดมันไม่เป็นอย่างใจคิด กูก็ว่า ถ้ากูจริงจังแล้วทุกอย่างมันน่าจะจบ แต่ก็ไม่ กูโดนหนีหนีไม่พอบอกว่าจะลืมที่กูพูดด้วย คนนะเว้ยไม่ใช่คอมพิวเตอร์ นึกจะลบอะไรก็ลบง่ายๆ? ....แม่ง ยากว่ะ ต่อยมวยคงง่ายกว่า น็อคก็คือน็อค”
“กูก็ไม่ชอบวิธีการตื๊ออะไรนักหรอกนะ ....แต่นั่นมันกรณีของกู ที่มึงเปิดเรื่องมาคงคิดจะถามใช่ป่ะว่าถ้าเป็นกูกูจะทำยังไง ถ้าเขาบอกแบบนั้นมากูคงหยุดว่ะ แต่ถ้าในกรณีมึงก็สุดแล้วแต่มึงเถอะ เห็นว่าอะไรดีก็ทำไป” ยุทธ์พูดยาวพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดพ่นควันสีขาวลอยขึ้นไปบนเพดาน
“เออ....กูว่ากูก็คงจะทำตามแบบของกูนี่ล่ะ” คำพูดของเคนทำให้ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ จนเคนต้องยกเท้าเขี่ยอีกสักรอบ “ตลกนักรึไง”
“มึงนี่ล่ะนะ มีคำตอบอยู่แล้วจะมาทำท่าทางเหมือนปรึกษาไปทำอาวุธอะไรวะ....เอาเหอะมึงอยากทำอะไรก็ทำไป แค่เตรียมรับผลให้ดีละกัน”
“ไอ้นี่แม่งก็แช่งกูจัง ...”เคนหัวเราะเบาๆ “ไหน การ์ตูนมึงอ่ะยืมอ่านหน่อย....” พูดพลางยื่นมือไปขอการ์ตูนหนึ่งเล่มจากในกองหนังสือการ์ตูนข้างๆตัวอีกฝ่ายมา ยุทธ์ก็ยื่นให้ ทั้งสองคนนั่งอ่านการ์ตูนไปเงียบๆราวกับว่าหัวข้อที่เคนหยิบขึ้นมาพูดเมื่อสักครู่นั้นไม่เคยได้รับการเอ่ยถึง ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนสีเคนหันไปมองก่อนจะลุกขึ้นยืน
“อ้าว..จะกลับแล้วเหรอ?”
“เออ...เดี๋ยวกูว่ากูไปวิ่งก่อนดีกว่า...เผื่อหัวจะโล่งขึ้นมาหน่อย” ว่าพลางก็ปลดกางเกงยีนส์ออกเปลี่ยนเป็นกางเกงวอร์มสีดำ แล้วคว้าเสื้อยืดตัวเดิมมาใส่
“เออ...แล้วเจอกันพรุ่งนี้ละกัน เดี๋ยวไอ้โชติมันคงพูดอีกทีแต่ที่จะไปถ่ายหนังกันก็คงหลังมิดเทอมอาทิตย์หน้า...พรุ่งนี้มาประชุมสรุปกันให้เรียบร้อยสอบเสร็จแล้วก็จะเดินทางกันเลย เอารถตู้ที่บ้านกูไป มึง กูแล้วก็ไอ้โชติสามคนผลัดกันขับไป โอเค?” เคนรับคำด้วยเสียงในลำคอ ร่างสูงคว้ากระเป๋าเป้กำลังจะเปิดประตูออกจากห้องชมรมไป
“เฮ้ย เคน....” เสียงของยุทธ์เรียกเคนเอาไว้จากด้านหลัง
“อะไรวะ...” เคนหันกลับไปมอง เห็นยุทธ์ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิมองหน้าเขาด้วยท่าทางสงสัย
“มึง...มีกิ๊กจริงอ่ะ”
“กิ๊กเหรอ? ไม่ใช่หรอก แค่มันเป็นความรู้สึกที่กูเก็บไว้ไม่ได้ก็เท่านั้นก็เลยบอกกับเขาไป” เคนตอบไปตามตรงบนใบหน้าคมมีรอยยิ้มเจื่อน
“ไม่ใช่...คนที่กูรู้จักใช่ป่ะ” ยุทธ์ถามพลางยกมือขึ้นขยี้หัวของตัวเองเบาๆ แต่ดวงตากลมที่มองกลับมานั้นจริงจังอยู่ไม่น้อย
“........... “เคนนิ่งดวงตาคมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “...มึงจะอยากรู้ไปทำไม”
“เปล๊า...ไม่มีอะไร” ยุทธ์ปฏิเสธเสียงสูง
“เออ..... กูไปล่ะ” ร่างสูงตอบกลับเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องชมรมไป
..........................................
การประชุมของชมรมครั้งสุดท้ายก่อนเปิดกล้องถ่ายหนังสั้น จูนยืนสูดลมหายใจอยู่ที่หน้าประตูบานเก่าของห้องชมรมแต่ก็ยังทำใจเปิดเข้าไปด้านในไม่ได้เสียที อาจเป็นเพราะความกลัวที่ทำให้เขาไม่กล้าเอื้อมมือไปคว้าลูกบิดประตู ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแทคเลนส์จับจ้องลูกบิดประตูนิ่ง ใช่แล้วมันคือความกลัว กลัวว่าหากเจอหน้าเคนแล้วตัวเองยังทำไม่ได้ตามที่ปากได้ลั่นวาจาเอาไว้ แต่ก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากต้องพยายาม เพราะถ้าไม่รีบทำตามที่พูดเอาไว้เคนคงไม่ยอมถอยง่ายๆอย่างน้อยเขาก็คิดว่าเคนน่าจะฟังและถอยให้เขาบ้าง
“เหม่ออะไร เรา....”
ทันใดเสียงทุ้มก็ดังขึ้นจากด้านหลังจูนสะดุ้งโหยงรีบหันหลังกลับไปมองต้นเสียงทันที เคนยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่กี่นิ้ว ใบหน้าคมคายนั้นแสดงความประหลาดใจกับท่าทีของเขาก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะคลี่เป็นรอยยิ้มกว้าง มือแกร่งยกขึ้นในระยะที่เขามองเห็นก่อนจะยื่นมาขยี้ผมของเขาเบาๆ
“ตกใจเหรอ ขอโทษนะ”
“พี่เคนอย่ามาเงียบๆดิ่...”จูนโวยออกมาพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนที่ “เคย” เป็น “อยู่ๆก็โผล่มาเป็นผีรึไงตกใจหมด เฮ้อ...เข้าไปข้างในดีกว่า” เด็กหนุ่มพูดรัวเร็วเหมือนเช่นทุกครั้งที่รู้สึกประหม่า ร่างสูงโปร่งหันหลังให้กับเคนก่อนทำท่าจะเปิดประตูแต่ก่อนที่จะได้หมุนลูกบิดประตูเปิดห้อง มือแกร่งข้างหนึ่งของเคนโอบดึงเอวของเขาเอาไว้
“ทีแบบนี้ล่ะรีบนะ...”
“พี่เคน ทำอะไรอ่ะ” จูนสะดุ้งเฮือกอีกระลอกจะดันอีกฝ่ายออกมือแกร่งก็ยิ่งรั้งเขาเข้าหา มาดอะไรก็ตามที่พยายามสร้างไว้เป็นเกราะกำบังเกือบพังทลายแต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังพยายามแสร้งทำหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย
“ไม่ปล่อย....อ้อยเข้าปากช้างแบบนี้ใครจะอยากปล่อย” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆข้างหูทำเอาขนลุกเกรียว
“อ้อย บ้าอะไร...พี่พูดอะไรผมไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะ” จูนเอ่ยเบาๆ
“....แกก็รู้ว่าพี่พูดเรื่องอะไร” เคนยิ้มได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากผมของอีกฝ่ายแบบนี้ทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
“....ผมไม่รู้...” เสียงที่ตอบกลับมาของจูนนั้นแหบพร่า “วันนี้พี่เคนเมาสปอนเซอร์มาใช่ป่ะ พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
จูนขยับตัวเล็กน้อยหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กับอีกฝ่ายและถามกลับด้วยถ้อยคำและท่าทีราวกับว่าคืนนั้นเขาไม่เคยถามคำถามใดๆ และเคนเองก็ไม่เคยให้คำตอบอะไรกลับมา “เข้าไปข้างในกันเหอะพี่ เดี๋ยวไม่ได้ประชุมนะ ฮ่ะๆ” จูนหัวเราะเบาๆพยายามจะแกะมือของร่างสูงออกจากการเกาะกุม เคนขขมวดคิ้วกับท่าทางไม่เป็นธรรมชาตินั่น
“จูน...นี่จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม” ร่างสูงเอ่ยถามมือแกร่งที่โอบเอวของเด็กหนุ่มเอาไว้ยังไม่ปล่อยให้จูนเดินไปไหน
“เล่นบ้าอะไร มันจักกระจี้ ปล่อย”เด็กหนุ่มหันมาสบตาอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะโวยวายออกมา มือเรียวคว้าลูกบิดประตูบิดให้เปิดออก ไฟด้านในสว่างและเขาเห็นว่าทั้งโชติทั้งยุทธ์มากันแล้ว เด็กหนุ่มเหยีบเท้าเคนเต็มเปาจนอีกฝ่ายร้องโอยด้วยความเจ็บก่อน ฉวยโอกาสนั้นสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายได้ก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปหารุ่นพี่ทั้งสองทันที
“พี่โชติ พี่ยุทธ์ช่วยด้วย พี่เคนแกล้งผม” จูนร้องออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเสียงทุ้มของเคนที่กระซิบข้างหูเขาเมื่อครู่ไม่ได้สะท้อนเข้าไปในอกของเขาเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างกลับไปเป็นแค่การหยอกล้อเล่นกันเหมือนอย่างที่ “เคยเป็น”
เคนมองตามร่างสูงโปร่งของจูนเข้าไปด้านใน เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ในอกรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
.....เล่นงี้เลยนะ....
....แต่อาจจะดีกว่าวิ่งหนีไปเลยก็ได้.....
“พระเอกมาแล้ว...” เสียงเคนดังขึ้นที่หน้าห้องชมรมร่างสูงที่ก้าวผ่านประตูตามหลังจูนเข้าไปติดๆ ”ประชุมกันเลยไหมเรา...”
“อะไรวะ มาปุ๊บก็จะประชุมเลยไปแดกยาบ้าที่ไหนมา?รึเปล่า...หรือแดกสเตรียรอยด์เกินพิกัด”ยุทธ์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวด้วยความหมั่นไส้ แต่ไหนแต่ไรมาเคนไม่เคยมีท่าทีอยากจะประชุมมาก่อน การให้คนพลังงานเยอะอย่างงเคนนั่งฟังอะไรนิ่งๆนานนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
“ห่านี่ กูนักกีฬาไทยใจใสไม่โกงเว้ย กล้ามนี่ก็เพราะความพยายามล้วนๆ ...” ร่างสูงพูดพลางเบ่งกล้ามโชว์
“กล้ามเป่าลม สุดท้ายใช้งานจริงไม่ได้รึเปล่าวะ” ยุทธ์ยิ้มเยาะเขาเห็นมาเยอะแล้วกับที่มีกล้ามสวยงามแต่สุดท้ายก็ต่อยตีแพ้คนที่โดนหาว่าตัวเล็กแบบเขาอยู่ดี
“ดูถูกเรอะ ใช่งานได้แน่นอน เมื่อวันก่อนยังอุ้ม จูนจนตัวปลิว ไม่เชื่อถามมันได้”
“อ่ะ “ ทำเอาคนที่ถูกเอ่ยถึงสะดุ้ง จูนหันไปมองหน้ายุทธ์ที่ดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อย “อื้ม...”เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำน้อยๆ “ก็....ก็ไม่ได้เอาแรงคนยกนี่ แรงหมีแรงควายชัดๆ”
“จูน หลอกด่าพี่อีกแล้วเดี๋ยวเจอดี.... “ เคนเดินเข้ามาแต่เจ้าของรีบขยับหนี ไปหลบด้านหลังยุทธ์กับโชติทันที
“พอๆไม่ต้องแกล้งแล้วพอๆ...”
“เคน...มึงนี่ก็แกล้งไอ้จูนได้ตลอดเลย...พอได้แล้ว พร้อมจะประชุมกันรึยัง” โชติเอ่ยปรามเมื่อเห็นทำท่าจะเดินเข้าไปแกล้งจูนอีก
“เออๆ....หยุดละๆ “ เคนทำท่าอารมณ์เสียก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับจูนที่ดูท่าว่าคงไม่ขยับออกห่างจากยุทธ์แน่ถ้าเขายังไม่ยอมถอยออกมา
..............................
การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะส่วนใหญ่ทุกคนวางใจให้โชติเป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องสถานที่กับโลเกชั่นตต่างๆนั้นก็ให้ยุทธ์ช่วยดูแลอีกรอบเนื่องจากอยู่ใกล้บ้านตากอากาศของครอบครัว จูนเองก็จัดการเรื่องเสื้อผ้าและพวกอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆในการแต่งองค์ทรงเครื่องทั้งหลายส่วนใหญ่ก็มีเก็บอยู่ในห้องชมรมอยู่แล้วพอใกล้วันก็ยกไปทั้งลังน่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรนัก
“ยุทธ์...มั่นใจนะว่าป๊ามึงเต็มใจออกตังงค์ให้เนี่ย “ เคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว “เด็กบ้านรวย” อย่างยุทธ์
“เออๆ ออกให้แน่ล่ะ เลิกแซวได้ยัง”
“แค่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันกันเองนี่กูก็เลิกแซวมึงละ” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเหลือบไปเห็นจูนเองก็หัวเราะเพราะยุทธ์โดนแซวเหมือนกัน เคนเลยหันไปยิ้มน้อยๆให้จูนหนึ่งที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการเบือนหน้าหนีไปอีกทางของจูน เคนรีบหันกลับมาสนใจบทสนทนาของโชติอีกครั้ง ในใจรู้สึกผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูกเขาไม่เคยต้องทำอะไรเก้อแบบนี้มาก่อน
“งั้นทุกอย่างก็น่าจะโอเค ช่วงนี้คงไม่ได้นัดเข้ามาที่ชมรมแล้ว แต่กุญแจก็เก็บไว้ที่เดิมนั่นล่ะ ใครจะมาใช้ก็เปิดห้องเอาละกัน” โชติว่า “เดี๋ยวกูว่าจะอยู่เช็คอุปกรณ์ต่ออีกหน่อย”
“เหรอ เยี่ยม งั้นผมกลับนะ” จูนยิ้มร่าพลางลุกขึ้นคว้ากระเป๋า “พี่โชติ พี่ยุทธ์ พี่เคน หวัดดี” ร่างสูงโปร่งโบกมือให้รุ่นพี่ทั้งสามคนก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องชมรม
“เฮ้ย จูน เดี๋ยวดิ่พี่ไปส่ง” เคนรีบลุกตามไปทันที โชคยังดีที่บันไดของตึกชมรมที่ทั้งชั้นและสูงแถมไม่มีไฟส่องช่วยชะลอความเร็วของฝีเท้าของจูนให้ได้บ้าง
“จูน พี่บอกว่าจะไปส่งไง” เคนก้าวยาวๆตามลงไปคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ทำเอาคนทีเดินมาก่อนเกือบจะเสียหลักบนขั้นบันไดนั้น
“เหวอ พี่เคนเล่นอะไรมันอันตรายนะ” เด็กหนุ่มหันมาต่อว่ารุ่นพี่ร่างสูงทันที
“อ่ะ...ขอโทษ” มือแกร่งค่อยๆปล่อย ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายจนลงไปถึงข้างล่าง “แต่ก็ให้พี่ไปส่งนะ.....” เคนยังไม่เลิกที่จะเสนอตัว
“ไม่ต้องหรอกฮะ...เดี๋ยวผมว่าจะไปอ่านหนังสือกับเพื่อนน่ะ ที่โรงอาหารกลางดึกๆง่วงนอนเมื่อไรเดี๋ยวขอนอนห้องเพื่อนเองล่ะ” ว่าพลางก็ชี้ไปทางโรงอาหารกลางที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก ที่นั่นเป็นแหล่งรวมนักศึกษาจากหลากหลายคณะในยามค่ำคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาก่อนสอบจนเรียกได้ว่าแทบไม่มีใครกลับห้องหับไปอาบน้ำอาบท่ากันเลยทีเดียว
“อ่ะ...เหรอ...อืม งั้นพี่เดินไปด้วยได้ป่ะ”
“........” คำถามนั้นทำให้จูนนิ่ง เพราะมืดทำให้ช่วยซ่อนดวงตาใต้กรอบแว่นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี “พี่เคนจะไปซื้อของเหรอ...”
“อื้ม ใช่ ใช่ พี่จะไปซื้อของ” ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับหอขนาดนั้นแต่ปากก็รีบตอบกลับไป เขารู้ว่าจูนกำลังจะบอกอะไร
.....”แต่ถ้าจะไม่ซื้อของก็กลับไปเถอะ” ....คงอยากจะพูดแบบนั้นสินะ....
“.........ถ้าแบบนั้นก็เดินไปด้วยกันละกัน...” จูนตอบกลับมาเบาๆ ร่างสูงโปร่งค่อยเดินผ่านเคนไป
เสียงใบไม้ที่ร่วงลงมาอยู่บนพื้นดังกรอบแกรบยามที่ทั้งสองคนก้าวเท้าผ่าน เคนเดินไปข้างๆจูนอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงรถราที่แล่นไปมาดังให้ยิน ตลอดเส้นทางแม้ไม่ได้ไกลมากแต่สำหรับเคนกลับเหมือนมันยาวนานเขานึกถึงคืนนั้นที่เขาฉวยจับมือของจูนเอาไว้หัวใจในอกมันเต้นไม่ต่างกัน
“จูน พี่.....”
“ผมว่าพวกเราไปถ่ายหนังด้วยกันรอบนี้คงสนุกนะครับ วางแผนกันมาตั้งนานแล้ว งานหนักหน่อย...แต่ต้องสนุกแน่เลยเนอะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้กับเคน รอยยิ้มเหมือนเดิมแบบที่เคยเห็นหากแต่ดูแห้งแล้งกว่าที่จำได้
....เบือนหน้าหนี.....
... ปั้นหน้าใส่....
...จะลืมจริงๆสินะ...
“อืม....”เคนรับคำเขารู้ดีว่าเสียงที่เขาเปล่งออกไปนั้นมันช่สงแหบพร่าเหลือเกิน “นั่นสิ ต้องสนุกแน่ล่ะ จะได้เห็นเจ้ายุทธ์มันแบกเจ้าโชตินี่นา...” ร่างสูงหัวเราะออกมาเบาๆ
“อื้ม....” จูนยิ้ม ทั้งสองคนเดินมาถึงโรงอาหารกลาง แสงสว่างจากร้านสะดวกซื้อท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนนั้นสว่างเสียจนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เสียงนักศึกษาที่มานั่งรวมตัวกันดังอื้ออึงโรงอาหารกลางที่สะท้อนเสียงได้เป็นอย่างดี เคนเดินตามจูนไปติดๆ เมื่อจูนเดินเข้าไปมองหากลุ่มเพื่อนของตนเอง
“เฮ้ย จูน ทางนี้ๆ มานั่งนี่เลยมึง...” เสียงปิ๊กสาวห้าวประจำกลุ่มยืนโบกไม้โบกมือเมื่อหันมามองเห็นเด็กหนุ่มผมทองเดินเด่นมาแต่ไกล
“มาแล้วๆ...ขอโทษที่ช้าว่ะ พอดี...ไปชมรมมานิดหน่อย” จูนยิ้มแห้มๆให้เพื่อนรู้สึกผิดไม่น้อยที่มาสาย
“นิดหน่อยอะไร ไม่หน่อยเลย...มาช้าลงโทษไปซื้อขนมมาเลี้ยงเพื่อนเดี๋ยวนี้เลย” ปิ๊กโวยวายเป็นตัวตั้งตัวตีหันไปมองหน้าเพื่อนๆในกลุ่มที่เหลือให้มองจูนด้วยสายตาออดอ้อน พวกเธอนั่งอยู่ที่นี่มาพักใหญ่ยังไม่มีขนมตกถึงท้องเลยสักคำ
“นะค้า.....” เกิดเสียงโหยหวนดังขึ้นเมื่อเพื่อนสาวจอมป่วนของจูนรวมตัวกันลากเสียงยาวออดอ้อน
“นี่พวกแกกะปล้นสะดมกันใช่ปะ” จูนส่ายหน้า
“ช่ายแล้ว....” เสียงสาวๆประสานเสียง ทำเอาร่างสูงที่ยืนอยู่ๆห่างๆอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่ไปซื้อให้เอาไหม...” เคนเสนอตัวเข้าไปช่วย “อยากกินอะไรกันครับสาวๆ” ร่างสูงที่อยู่ๆก็ก้าวเข้ามาอยู่ด้านหลังของจูนกับมือแกร่งที่วางลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มทำเอาเพื่อนๆของจูนทั้งกลุ้มอ้าปากค้าง
“ว้าย...พี่เคน?.... “
“พี่เคนจะเลี้ยงเหรอคะ” เสียงหนึ่งร้องถาม เคนยิ้มและพยักหน้าลงน้อยๆ ทำเอาจูนต้องล็อคคอเคนหันหลังให้กับอีกฝ่ายทันที
“พี่เคน.... ไปพยักหน้ากับพวกนั้นได้ไงอ่ะ นั่นมันฝูงแร้งเลยนะ” จูนป้องปากกระซิบเบาๆ ใบหน้ามนที่ขยับเข้ามาใกล้ทำให้เคนยิ้มที่มุมปาก
“ไม่เป็นไรหรอก...ยังไงแกก็ต้องกินด้วยนี่ งั้นเดี๋ยวพี่มา” เคนขยิบตาให้จูนโค้งให้กับเด็กสาวในกลุ่มเล็กน้อยก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทำเอาสาวๆในกลุ่มมองตามกันจนคอแทบเคล็ดก่อนจะตามมาด้วยคำถามมากมายที่ยิ่งตรงมาจากทุกริมฝีปากของกล่มเด็กสาวไม่ต่างจากกระสุนที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนกล
“จูน...เมื่อกี้มันอะไรวะ ทำไมพี่เคนมา”
“ทำไมพี่เขาเลี้ยงอ่ะ”
“มีซัมติงอะไรกันรึเปล่าแก....”
“เอ่อ....เอ่อ....” เด็กหนุ่มผมสีทองอึกอักไม่รู้จะหันซ้ายหรือหันขวาเพื่อฟังเพื่อนก่อนดี
“ไม่มีอะไรหรอก คงถูกหวยมั้ง” จูนโบ้ยไปเรื่องฉลากกินแบ่งรัฐบาลเสียอย่างนั้น ทำเอาเพื่อนทั้งกลุ่มหรี่ตามองอย่างไม่เขื่อ
“จูน....ยังไม่ถึงวันที่สิบหกสักหน่อย” ปิ๊กดักคอเอาไว้ ทำเอาจูนต้องเงียบอีกครั้ง
“โอ้ย อะไรวะ...อยากรู้ไปถามเองดิ่ เดินมาโน่นละ”
ไม่นานเคนก็เดินกลับมาพร้อมกับหอบขนมพะรุงพะรังเต็มสองมือประหนึ่งไปกวาดของมาทั้งชั้นวางของ จูนแทบจะตบหน้าผากตัวเอง เด็กหนุ่มรีบลุกไปรับของมาจากเคน
“พี่เคน จะทำอะไรเนี่ย ของเยอะแยะขนาดนี้จะซื้อมาถมที่รึไง” จูนถามรัวเร็วมือก็ค้นของในถุงไปพลางโวยวายไปดูท่าทางเคนคงจะหยิบทุกอย่างมาโดยไม่คิดจริงๆ
“เอาน่า...นานๆทีจะมีสาวๆมากรี้ด พี่ก็ต้องทำคะแนนหน่อย” เคนยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวหลบจูนไปอีกทางเพื่อเอาของไปส่งให้กับกลุ่มเพื่อนๆของจูน เห็นสาวๆรุ่นน้องกรี้ดกร้าดแบบนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดวงตาคมเหลือบมองท่าทีของจูนที่ยืนทำหน้ายุ่งอยู่อีกทาง เขาเดินกลับมาทำท่าจะเดินไปอีกทางแต่ถูกจูนขยับตัวมาขวางเอาไว้
“พี่ไม่อยู่กวนเวลาอ่านหนังสือแกหรอกนะ” เคนยิ้มกว้างพลางยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่าย
“พี่ทำแบบนี้ทำไม..........” ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองคนตัวสูงกว่าด้วยท่าทีไม่วางใจ
“เตือนความจำคนขี้ลืม....” เคนตอบสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้ม “ตั้งใจอ่านหนังสือนะ พี่กลับล่ะ” ฝ่ามือแกร่งอุ่นนั้นวางลงบนเส้นผมสีทองของจูนเบาๆ ก่อนที่ช่วงขายาวจะก้าวเดินต่อไป
to be continued.......
-
พี่ยุทธ์~~~ ไปถามไอ้หมีควายโง่ๆตรงๆแบบนั้นมันเผลอตอบความจริงออกมาจะเป็นยังไง๊~~
จูนจ๋า หนีอะไรอยู่หน่ะ...ลืมได้จริงๆหรอ? แต่อิพี่เคนหมีควายนี่ก็หน้าด้านหน้าทนจริงๆ เมิงจะทำให้น้องลำบากใจเพื่อ~~ :fire:
ว่าแต่ เป็น "กิ๊ก" กันแล้วจริงๆหรอ??? การกระทำแบบก้ำกึ่งแบบนี้คือเป็น "กิ๊ก" จริงๆหรอ อ๊ากกกกกกก :angry2:
ไม่เอาๆๆๆๆ พี่ยุทธ์สู้ๆ มาแย่งน้องจูนไปจากอิหมีควายเร็วๆๆๆๆๆ
-
สงสารชะนีน้อยนิสัยดีอย่างนิด
เฮ้อ แต่ในฐานะที่เราเป็นสาววายเพราะฉะนั้น พี่เคนก็รุกให้สุดตัวไปเลยนะค้าาาา 5555
+1 ให้จ้าา ชอบมากเลยมาต่อไวๆน้า
-
- 21 -
=สัญญา=
การสอบกลางภาคของภาคเรียนที่สองกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงสัปดาห์ พวกนักศึกษาทั้งหลายต่างก็เตรียมตัวเพื่อการสอบครั้งสำคัญก่อนที่จะได้ไปเริงร่ากับช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลปีใหม่ จูนและกลุ่มเพื่อนยังคงปักหลักอยู่ที่โงอาหารกลางทุกเย็นพวกเขาจะไปจับจองที่นั่งอ่านหนังสือกันที่นั่น แต่วันนี้แตกต่างไปจากทุกวันเมื่อเก้าอี้ตัวที่เคยนั่งกันเป็นประจำกลับมีกระเป๋าและหนังสือวางด้วยลักษณะคล้ายจะจับจองที่นั่งตรงนั้นเอาไว้
“อะไรกันวันนี้มีคนมาจองที่ไว้แล้วเหรอ แล้วจะนั่งกันที่ไหนล่ะ” ทั้งกลุ่มหน้าเสีย
“ไม่เป็นหรอกไปหาที่นั่งตรงอื่นกันก็ได้” จูนเสนอแล้วเริ่มมองหาที่นั่งที่อื่นทันใดก็เห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อและดูท่าว่าจะสังเกตเห็นว่าเขาและเพื่อนยืนอยู่แล้วด้วย รุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นโบกมือทักทายมาแต่ไกล วันนี้เคนใส่ชุดวอร์มสีดำดูทะมัดทะแมงในมือถือถุงจากร้านสะดวกซื้อติดมือมาด้วย
“มาอ่านหนังสือกันใช่ไหม” ไม่ได้ถามเพียงแค่จูนคนเดียว เคนยิ้มให้กับทั้งกลุ่มพร้อมกับคำถามนั้น
“ค่า พี่เคนก็มาอ่านหนังสือเหรอคะ” แพรสาวหน้าหมวยท่าทางเรียบร้อยยิ้มให้กับรุ่นพี่ร่างสูง
“อืม...ยังไงดีนะ พี่แค่แวะมาน่ะ อ้อ...นี่กระเป๋าพี่เอง พวกเรานั่งตรงนี้กันใช่ไหมล่ะพี่จำได้นะ” เคนว่าพลางเดินไปหยิบกระเป๋ากับหนังสือของตัวเองออก “นั่งสิ พี่จะไปนั่งตรงโน้นน่ะเดี๋ยวเพื่อนพี่มา” เคนชี้ไปยังเก้าอี้อยู่ไม่ไกลออกไปดวงตาคมมองหน้าของจูนเล็กน้อยก่อนจะยื่นถุงพลาสติกให้กับเด็กหนุ่มร่างสูง
“เอ้า พี่ให้” เคนยิ้มกว้าง
“หะ? อะไรอีกละเนี่ย” จูนเลิกคิ้วสูง รับถุงพลาสติกมาเปิดดูข้างในมีนมถั่วเหลืองแบบขวดอยู่หนึ่งขวด “นม? พี่ซื้อนมให้ผมทำไมเนี่ย”
“วิตามินเยอะ บำรุงคนอ่านหนังสือ” เคนตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆมือแกร่งยกขึ้นให้จูนเห็นก่อนจะขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ ทำให้หัวใจของจูนเต้นรัวและใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่อึดใจหนึ่งกว่าจะขยับริมฝีปากได้
“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณดังขึ้นเบาๆจากเด็กหนุ่มที่มีท่าทีขัดเขินที่จะเอ่ยคำๆนั้นออกมาทำให้เคนเผลอยิ้ม เขาละมือออกจากเส้นผมของอีกฝ่ายเมื่อสังเกตว่ากำลังเป็นเป้าสายตา สาวๆที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปกำลังมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไปล่ะ....ไปก่อนนะน้องๆ” เคนยิ้มกว้างให้กลุ่มเพื่อนของจูนอย่างอารมณ์ดี ดวงตาคมเป็นประกายนั่นสบตาของเด็กหนุ่มเล็กน้อย จูนเองก็ได้แต่ผงกหัวลงเท่านั้นมองเห็นแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล ดูท่าทางคงจะมาอ่านหนังสือที่นี่เช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มค่อยๆนั่งลงพร้อมวางของกับโต๊ะ พร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ หัวใจเขาเต้นรัวเกินไปแต่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กๆที่อีกฝ่ายเดินไปนั่งห่างออกไป แน่นอนว่าท่างแบบนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของกลุ่มสาวๆไปได้
“จูน...”ทั้งกลุ่มนั่งล้อมวงเข้ามาใกล้ แถมจ้องเขม็งหวังว่าจะได้คำตอบ
“ไหนบอกว่า ไม่มีอะไรไง มีของบำรุงให้กันด้วย?”
“อ่ะ...ก็ไม่มีอะไรน่ะสิ ก็แค่นมถั่วเหลือง พวกแกจะจิ้นอะไรนักหนาเนี่ย”จูนปฏิเสธทันควัน แต่พวกสาวๆยังไม่มีท่าทีอยากจะเชื่อสักเท่าไร
“จะไม่ให้จิ้นได้ยังไงจูน....” แพรสาวน้อยหน้าหมวยว่าพลางทำหน้าจริงจัง ก่อนจะเหลือบมองไปทางเคนที่นั่งเหยียดช่วงขายาวกดโทรศัพท์อยู่ห่างออกไป “พี่เขาจัดมาเต็มขนาดนี้”
“ไม่ให้จิ้น เพราะกูไม่มีอะไรจะให้จิ้นเว้ย...พวกแกนี่ก็อะไร พอๆ อ่านหนังสือกันได้แล้ว เสียเวลาเป็นบ้า” จูนทำหน้ายุ่งแล้วเอาหนังสือขึ้นมากางบนโต๊ะทำท่าเหมือนจะอ่านหนังสือแต่ก็ยังเหลือบไปมองขวดนมถั่วเหลืองที่เคนซื้อมาฝาก ก่อนจะมองเลยไปยังคนที่ยังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ไม่ได้มีท่าว่าจจะอ่านหนังสือหรือจะมีเพื่อนมานั่งด้วยเหมือนอย่างที่พูดไว้
....บอกว่าจะอ่านหนังสือ แต่ก็เล่นโทรศัพท์....
...บอกว่าจะรอเพื่อน แต่ก็ไม่เห็นเพื่อนจะมา...
.... สรุปมาทำอะไรกันแน่.....
ยิ่งเผลอมองในสมองยิ่งเต็มไปด้วยคำถาม กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองกลับมา เคนโบกมือให้น้อยๆเด็กหนุ่มจึงได้หลุบสายตาลงก้มหน้าอ่านหนังสือเหมือนอย่างที่ตั้งใจหัวใจในอกเต้นแรง ท่าทีและสายตาที่มองมาของเคนก็ยังคงแฝงความหมายเหมือนเช่นคืนนั้น และมันทำให้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยังไม่ถอยทั้งๆที่... เขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องคืนนั้นมาหลายครั้งแล้ว
“จูน.... จูน....” เสียงของปิ๊กที่เรียกพร้อมนิ้วที่สะกิดเบาๆ ทำให้จูนออกมาจากความคิดของตนเอง
“อะไรเหรอ ปิ๊ก...”
“กูถามจริงนะ...” ปิ๊กทำหน้าจริงจังทำเอาจูนต้องเลิกคิ้วกับท่าทางของอีกฝ่าย
“มึงแน่ใจนะว่า พี่เคนเขาไม่ได้มานั่งเฝ้ามึงอ่านหนังสืออ่ะ นี่นั่งมาสองชั่วโมงกว่าแล้วนะเว้ย ไม่เห็นลุกไปไหนเลย” ว่าพลางก็ทำมือชี้ไปทางเคน จูนเผลอมองตามเคนที่ในตอนนี้เปลี่ยนจากเล่นโทรศัพท์เป็นอ่านหนังสือแทน ช่วงขายาวเป็นเป็นยกยันขอบโต๊ะเอาไว้ ภาพนั้นทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบกลับมาสนใจปิ๊กที่กำลังพูดอยู่
“อ่า...ไม่มั้ง ก็คงจะมาอ่านหนังสือนั่นล่ะ เพื่อนไม่มาก็นั่งอ่านคนเดียวไปไม่เห็นจะแปลกเลย” จูนเฉไฉไปเรื่อยทั้งๆที่สิ่งที่ปิ๊กพูดก็ดูคล้ายจะเข้าเค้า แต่ถ้าเขาคิดแบบนั้นก็อาจจะเป็นการคิดเองเออเองไปอีก
....คงไม่มีผู้ชายที่ไหนบ้ามานั่งเฝ้าผู้ชายด้วยกันอ่านหนังสือหรอก....
แต่หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป สิ่งที่จูนคิดในใจในคืนนั้นได้ยืนยันให้รู้ว่าเขาได้ประเมินความบ้าของเคนต่ำเกินกว่าความเป็นจริง เพราะสิ่งที่เคนทำตลอดช่วงสอบของจูนคือการมาจองที่นั่งอ่านหนังสือให้กับทั้งกลุ่มให้ โดยไม่ลืมที่จะซื้อนม หรือนมถั่วเหลืองสักขวดมาส่งให้กับจูนทุกวัน และถ้าไม่ต้องรีบกลับออกไปเพราะมีใครบางคนโทรศัพท์เข้ามาหา ทุกครั้งเคนจะใช้เวลาไปกับการนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างออกไปเพื่ออ่านหนังสือสลับกับเล่นโทรศัพท์มือถือ บางครั้งเคนก็อยู่จนกว่ากลุ่มของจูนจะเลิกอ่านหนังสือ และเดินเข้ามาอาสาที่จะเป็นคนไปส่งจูนที่หอเอง แต่จูนก็ปฏิเสธทุกครั้งโดยให้เหตุผลว่าเขากลับกับเพื่อนที่หออยู่ทางเดียวกันก็ได้
“พรุ่งนี้สอบแต่เช้า...คืนนี้อ่านกันแค่นี้เหอะว่ะ รีบไปนอนดีกว่า...” จูนว่าพลางบิดขี้เกียจ
“อื้มจริง กลับหอกันดีกว่าเรา...” แพรตอบพลางหาวก่อนจะหันไปตบไหล่ปิ๊กที่ฟุบหลับไปเมื่อครู่ เหลือบมองดูเวลาก็ปาเข้าไปใกล้จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว แต่ยิ่งดึกคนในโรงอาหารกลางก็ยิ่งเยอะ ราวกับว่านัดกันมาช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ เสียงพูดคุยดังไม่ได้ศัพท์ดังอื้ออึงไปทั่ว จูนขยับลุกเก็บของพร้อมกับเพื่อนๆ วันนี้เขาก็ยังตั้งใจว่าจะกลับกับปิ๊กเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แต่เมื่อมองไปร่างสูงที่นั่งไม่ห่างออกไปนั้นก็ขยับลุกแล้วกำลังจะเดินมาเช่นกัน
“ปิ๊ก เดี๋ยวกูลงไปรอข้างล่างนะ...รีบๆเก็บของล่ะ” พูดโดยไม่รอฟังคำตอบร่างสูงโปร่งของจูนรวบชีทกับหนังสือยัดลงในกระเป๋าสะพายของตัวเองร่างสูงโปร่งก้าวยาวๆออกจากบริเวณนั้นทันที เด็กหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆเดินตามมา แต่ก็ไม่คิดจะหยุด เขารู้ว่าเขาต้องรอปิ๊ก ยังไงก็หนีไม่พ้นแต่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี่อีกฝ่ายที่แสดงความใส่ใจอย่างไม่ปิดบังมาโดยตลอดจนยิ่งทำให้เขากลัวทุกครั้งที่จะเผชิญหน้า จะให้เขาพูดหรือตอบอะไรอีกฝ่ายได้ เพียงแค่คิดก็คล้ายจะมืดแปดด้านจึงจงใจที่จะลืมและไม่คิดมาโดยตลอด
“จูน...จะกลับแล้วเหรอ ให้ไปส่งไหมวันนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับกับปิ๊ก”จูนว่าพลางเดินมาจนถึงด้านหน้าของโรงอาหารกลาง แสงสว่างจากทั้งในตัวอาคารและไฟจากร้านสะดวกซื้อทำให้เคนเรียกจูนเอาไว้อีกครั้ง
“อ่ะ...จูนเดี๋ยวหยุดก่อน”
“พี่เคนกลับหอไปเถอะ ไม่ต้องตามผมหรอก”
“พี่บอกให้หยุดก่อนไง “ มือแกร่งคว้าแขนของจูนเอาไว้ให้เด็กหนุ่มหยุดหันมามองหน้าเขา
“พี่เคน ผมบอกแล้วไง....อ่ะ.....” แต่ก็ไม่อาจจะเอ่ยคำใดต่อได้ จูนเห็นร่างสูงใหญ่ของเคนก้มลงตรงหน้า
“เชือกรองเท้าแกหลุด....” เคนเอ่ยพลางคุกเข่าลงไปทำเอาจูนตกใจจนต้องชักเท้าออกทันใดมือแกร่งคว้าข้อเท้าของเขาเอาไว้
“เฮ้ย พี่เคน....” จูนร้องออกมาด้วยความตกใจได้ยินเสียงเคนจุปากคล้ายจะดุดวงตาคมเข้มนั้นสะท้อนแสงไฟเป็นประกายที่ทำเอาจูนต้องหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง
“เดินๆไปซุ่มซ่ามสะดุดเชือกรองเท้าล้มหน้าคว่ำขึ้นมาจะว่ายังไง เดี๋ยวได้เสียฟอร์มหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อกันพอดี” ปลายนิ้วยาวของร่างสูงเกี่ยวเชือกรองเท้าที่หลุดออกจากกันพันผูกจนเป็นปมสวย เคนหยุดมองผลงานของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงหน้าของจูน ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำก่อนรีบเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากให้มอง
“ขอบคุณครับ....” เสียงนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นให้พี่ไปส่งสักวันจะได้ป่ะ...รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกับแกยังไงก็ไม่รู้” เคนหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าเขากับจูนนั้น”ห่างเหิน” กันไป
“อืม...ช่วงสอบ ยุ่งๆกัน ก็คงแบบนี้ล่ะมั้ง”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะทำเสียงคล้ายตกใจเมื่อหันไปเห็น
ปิ๊กยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนเห็นการกระทำของเคนเมื่อครู่หรือเปล่า แต่ที่นี่คือโรงอาหารกลางคงจะมีคนเห็นเคนก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้เขาอยู่ไม่น้อย
....พี่ทำลงไปได้ยังไง.....
“สรุปคำตอบคืออะไร....” เคนยิ้มกว้าง น่าแปลกทั้งที่เป็นเวลากลางคืนแต่รอยยิ้มของเคนกลับชวนให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก จูนอยากปฏิเสธตัวเองแต่ก็คงทำไม่ได้หนักแน่นนักในเมื่อเขาชอบรอยยิ้มของอีกฝ่ายจริงๆ
“จูน....จะกลับกันยัง” ปิ๊กส่งเสียงก่อนจะเดินเข้ามาตบไหล่ของจูนดังอึกทำเอาเด็กหนุ่มยิ่งอึกอัก
“เอ่อ....” เขาหันไปมองหน้าของเพื่อน สูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายจะตัดสินใจ “แกกลับไปเหอะ เดี๋ยววันนี้กูกลับกับพี่เคนอ่ะ ...เอ่อ...เรื่องหนังสั้น เดี๋ยวสอบเสร็จนี่ก็ต้องไปถ่ายกันแล้วเลยอยากคุยอะไรกันหน่อยอ่ะ”
“.........” ปิ๊กเหลือบมองเคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปกับท่าทางของเพื่อน สาวห้าวยิ้มพลางทำหน้าคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง
“อ้อ......งั้น....ไว้เจอกันนะแก พรุ่งนี้แปดโมงครึ่งนะเว้ย ไปให้ทัน” ก่อนจะหันมาก้มหัวให้เคนเล็กน้อย “งั้นไปก่อนนะพี่เคน ฝากเพื่อนหนูด้วยนะ”
“ครับ บายๆนะปิ๊ก” เคนเองก็โบกมือให้กับปิ๊กเช่นกัน ทั้งสองคนยืนมองปิ๊กเดินกึ่งวิ่งลงไปตามบันได
ความเงียบกลับมาเยือนระหว่างคนทั้งสองคนอีกครั้ง เคนยืนล้วงกระเป๋าเสื้อวอร์มอยู่พลางเหลือบตามองคนตรงหน้าราวกับจะถามย้ำในคำถามเดิม สายตาที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องเม้มริมฝีปากแน่น
“...พี่จะไปส่งไม่ใช่เหรอ” จูนกระแอมไอออกมาเบาๆ
“ไป....”เคนยิ้มกว้างดึงมือแกร่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อวอร์มก่อนจะยื่นมือมาข้างหน้า จูนมองมือแกร่งตรงหน้าก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“เกินไปละให้มันน้อยๆหน่อยเหอะ....” เด็กหนุ่มผมทองว่าก่อนจะขยับถอยออกมาเล็กน้อย “พี่จอดรถไว้ไหนล่ะ”
เห็นท่าทางแบบนั้นเคนยิ่งยิ้มกว่างไม่ต่างจากเด็กที่ได้ขนม
“ทางนี้...” เคนพยักเพยิดก่อนจะเดินนำจูนไปยังที่ที่เขาจอดรถเอาไว้
………………………………
ระยะทางเท่าเดิม ความเร็วไม่ต่างออกไป เคนขี่รถอย่างอารมณ์ดีและพยายามชวนจูนคุยเรื่องการสอบไปตลอดทางไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่แปลกออกไปอาจจะเป็นหัวใจของทั้งสองคนที่เต้นระรัวดังควบแข่งกับเสียงลมหวีดหวิวที่ดังเมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเคนแล่นผ่านความมืดไปตามถนน
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” จูนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพพลางยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูหวานส่งคืนให้กับเคน
แต่แทนที่เคนจะรับหมวกกันน็อคคืนมามือแกร่งกลับจับมือของรุ่นน้องเอาไว้
“ขอคุยด้วยได้ไหม...”
“มีอะไรครับ............” เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่อง แต่ใจจริงนั้นตกใจกับสัมผัสร้อนจากมือของอีกฝ่ายแทบตาย เคนส่ายหน้า
“ไม่เอาแบบนี้...พี่อยากคุยกับแกจริงๆ” เคนยืนยันเสียงหนักแน่นเช่นเดียวกับสัมผัสบนข้อมือของจูน
“คุย...พี่อยากคุยอะไรก็คุยมาสิ” จูนตอบเสียงสั่น ปลายเท้าก้าวถอยหลัง
“ไม่ทำอะไรแปลกๆหรอกน่า แค่...แค่อยากคุย แป๊บเดียว” รุ่นพี่ร่างสูงว่าก่อนจะปล่อยมือของอีกฝ่ายท่าทางแบบนั้นจูนคงนึกกลัวเขาอยู่จริงๆ
“แป๊บเดียวนะ พรุ่งนี้ผมมีสอบเช้าอ่ะ” จูนทำหน้ามุ่ย แต่กลับเป็นเคนที่ยิ้มกว้าง มือแกร่งยกขึ้นขยี้ผมของจูนเบาๆ
“ทำหน้ามุ่ยปากยื่นเป็นปากเป็ดอีกแล้ว...พี่ทำให้แกหนักใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็...นิดหน่อย...” จูนพึมพำออกมาเบาๆ ดวงตาสีน้ำเงินหลุบลงต่ำไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงสัมผัสของเคนออกแต่อย่างใด
“ก็พี่มานั่งเฝ้าอยู่ได้ทุกวัน...แถมยังส่งนมมาให้ แล้วยังเรื่องเมื่อกี้อีก”พูดไปพลางหน้าก็ร้อนผ่าวจูนยกมือขึ้นแตะข้างลำคออย่างที่เผลอทำทุกครั้งเมื่อรู้สึกประหม่า “ผมทำตัวไม่ถูก”
“ทำตัวไม่ถูก แสดงว่ายังไม่ลืมที่พี่พูดใช่ไหม” เคนถามบนสีหน้านั้นระบายด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ
“..............ลองมีผู้ชายที่มีแฟนแล้วมาพูดกับพี่แบบนี้บ้างพี่จะทำยังไงล่ะ” เมื่อถูกต้อนจนจนมุมเด็กหนุ่มจำเป็นต้องตอบไปตามความเป็นจริง คำตอบที่ได้ยินทำให้เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาพอเข้าใจได้ว่าทำไมจนถึงไม่อยากจะรับรู้ถึงการกระทำของเขา มันคงทำให้อีกฝ่ายลำบากใจที่จะตอบอะไรกลับมา
“ยังไม่มีคำตอบใช่ไหม?...” เคนเอ่ยถามอีกครั้งแต่เด็กหนุ่มตรงหน้าได้แต่นิ่งงัน มือแกร่งคว้ามือของจูนมากุมเอาไว้หลวมๆ
“พี่ไม่ว่าอะไรหรอกนะที่แกทำเป็นจะลืมให้ได้ แต่จูนพี่จะบอกให้แกรู้นะว่า คนแบบพี่ไม่ได้หัวดีอะไร พี่อาจจะจำตัวหนังสือยาวๆยากๆไม่ได้ แต่สิ่งที่พี่ทำได้ดีคือทำบ่อยๆทำจนกว่าร่างกายของพี่จะจำได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคืออะไร เรียกว่าอะไร และควรจะทำแบบไหนถึงจะดี” เคนก้าวเข้าไปประชิดตัวของจูน ใบหน้าคมก้มลงเล็กน้อยเพียงเพื่อจะมองหน้าคนที่งุดหน้าลงต่ำ
“สิ่งที่พี่ทำให้แกคือสิ่งที่พี่คิดว่าจะใช้ร่างกายของพี่จำว่าพี่อยากจะเทคแคร์แกแบบไหน และต่อให้แกตั้งใจจะลืม พี่ก็จะทำจนกว่าตัวแกจะจำได้เอง”
“...........” น่าแปลกที่คำพูดของเคนทำให้จูนทั้งเจ็บและรู้สึกอบอุ่นในหัวใจไปในคราวเดียวกัน เขาควรจะตอบอย่างไรดีกับการกระทำแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสำหรับเคนแล้ว “การกระทำ” คือทุกอย่าง มันเป็นธรรมชาติของคนๆนี้ แต่การกระทำที่เป็นไปเพราะอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนี้มันดีแล้วจริงหรือถ้าเขาจะปล่อยให้มันเป็นไป เขาควรจะบอกให้อีกฝ่ายใช้สติในการกลั่นกรองการกระทำมากกว่านี้ไหม
“พี่พูดแบบนี้ออกมามันจะดีเหรอ...” จูนถามออกไป แต่ยังก้มหน้าเขาไม่กล้าสบตาของอีกฝ่ายในตอนนี้ เดาได้เลยว่าดวงตาคมคู่นั้นจะเป็นประกายอย่างมั่นใจ หากแต่เว้าวอนอย่างโหยหาอยู่เป็นแน่....เหมือนกับคาดหวัง รอคอยในคำตอบ
“มันจะดีถ้าแกตอบพี่สักที ว่าจะให้พี่จริงจังกับแกได้ไหม” เคนก้มลงไปอีกนิด เสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วเบาสะท้อนเข้าไปในอกทำให้ใจของเด็กหนุ่มสั่นไหว
“ผม........ “จูนรู้สึกคล้ายว่าเขาเดินมาจนพบอุโมงค์ที่ปากทางเข้ามองเห็นเห็นเพียงความดำมืดของอนาคตที่คาดการณ์ไม่ได้เลยว่าที่ปลายทางนั้นจะมีสิ่งใดรออยู่ มันอาจเป็นทางตันหรือมีแสงสว่างเรืองรองรออยู่ที่อีกฝั่ง แต่ในตอนนี้เขาเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยกองไฟ หากไม่หาที่หลบภัยแล้วคงถูกไฟร้อนเผาให้ตายอยู่ตรงนี้เป็นแน่
“ผมให้พี่มารับผมก็ได้....แบบนี้โอเคไหม” เด็กหนุ่มหลับหลับตาตอบกลับไป
“............” แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจนจูนต้องลืมตาขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่าย
“พี่เคน?..” ภาพที่เห็นคือรุ่นพี่ร่างใหญ่กำลังทำหน้าประหลาดใจ
“จริงนะ! “ ก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง จนจูนต้องตะปบปากของอีกฝ่ายไว้ดังป้าบ
“ชู่ว์ เสียงเบาๆสิ อายคนเขา”
“จริงใช่ไหมล่ะ...” เสียงเคนกระซิบเบาๆดังผ่านฝ่ามือที่ป้องปิดปากของเขาอยู่ เด็กหนุ่มหลบสายตาก่อนพยักหน้าลงเบาๆ
“อืม....ผมแค่ไม่อยากซ้อนมอไซค์คันเล็กของไอ้ปิ๊กมันก็เท่านั้นล่ะ...แล้วก็...สัญญานะว่า ถ้า...ถ้าพี่นิดจะให้พี่ไปรับพี่ต้องไปรับพี่นิด” ถึงตอนที่พูดถึงเพื่อนจะพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้มแต่ตอนท้ายกลับฟังดูจริงจังจนเคนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
.....ใช่......
....ยังมีนิดอยู่เสมอ....
“อื้ม พี่สัญญา...” เคนรับคำเสียงเบา “..........แต่ขอค่าทำสัญญาหน่อยนะ”ไม่พูดเปล่ามือแกร่งจับมือของจูนออกจากปากของเขา ส่วนมืออีกข้างรีบประคองที่ด้านหลังศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วขยับเข้าไปแตะริมฝีปากกับอีกฝ่าย แผ่วเบาหากแต่นานพอจะรับรู้ถึงกลิ่นของนมถั่วเหลืองที่เจือจางอยู่บนริมฝีปากสวยคู่นั้น และก่อนจูนจะได้ขัดขืนมือแกร่งค่อยปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขนอย่างนึกเสียดาย...ใช่เขาชอบริมฝีปากของอีกฝ่ายจริงๆ
“อืม....วันนี้กินนมที่พี่ให้ด้วยสินะ” เคนยิ้มเจ้าเล่ห์ ตรงกันข้ามกับจูนที่ยืนหน้ามุ่ยยกหลังมือขึ้นเช็ดปากของตัวเองอยู่แบบนั้น
“อุบาทว์ที่สุดเหอะ เล่นทีเผลอนี่หว่า เดี๋ยวพ่อยกเลิกสัญญาเลยนี่”
“ถ้ายกเลิกสัญญาจะมีค่ายกเลิกสัญญาหนักกว่านี้อีกสิบเท่านะ พร้อมไหมล่ะ” เคนขู่ร่างสูงเดินเข้าไปหามือแกร่งดึงเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ไม่ได้คิดจะอายหากมีใครจะเดินผ่านไปมา แต่ดึกขนาดนี้ที่หอพักของจูนไม่มีใครเข้าออกแล้ว
“ไม่......ปล่อยเลย เกินไปละ” จูนหน้าแดงก่ำก่อนจะขืนตัวเองออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“พอ ผมจะไปนอนละ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นผมต่อยพี่คว่ำแน่”
“ก็พร้อมจะให้ต่อยนะ” เคนหัวเราะเบาๆ เขายอมปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไป และก่อนที่จูนจะถึงประตูหอพักจึงตัดสินใจตะโกนถามอีกครั้ง “พรุ่งนี้กี่โมง” เห็นเด็กหนุ่มหยุดกึกที่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา
“....................เจ็ดโมง”
.......................................... to be continued
@@@talk@@@
แต่เค้าอยากเห็นค่ายกเลิกสัญญาสิบเท่านะ :hao5:
-
สติครบถ้วนแล้วมาตอบดีกว่า :mew1:
พี่เคนเริ่มปฏิบัติการจู่โจมแบบโคตรจริงจังแล้ว...น้องจูนเอ๋ยมิรอดเป็นแน่แท้
เหมือนจะรู้สึกไม่ชอบอิพี่เคนหมีควายขึ้นมาซะงั้น :z6:
“อืม....ผมแค่ไม่อยากซ้อนมอไซค์คันเล็กของไอ้ปิ๊กมันก็เท่านั้นล่ะ...แล้วก็...สัญญานะว่า ถ้า...ถ้าพี่นิดจะให้พี่ไปรับพี่ต้องไปรับพี่นิด” ถึงตอนที่พูดถึงเพื่อนจะพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้มแต่ตอนท้ายกลับฟังดูจริงจังจนเคนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
.....ใช่......
....ยังมีนิดอยู่เสมอ....
น้องจูนก็เจ็บไม่แพ้คนได้ยินหรอก..คงเป็นความรู้สึกที่สับสนน่าดูสำหรับเด็กที่ใจดีแบบจูน...
คงจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหักหลัง"พี่นิด"อยู่แน่ๆ :เฮ้อ:
รอชมอาการรุกฆาต หวานซึ้ง ของอิพี่เคนหมีควายต่อไป
ปล. ค่ายกเลิกสัญญา..ทำก่อนไม่ยกเลิกสัญญาได้มั้ยอ่ะ??? :hao6:
-
สนุกมากกกกค่า นี่อ่านรวดเดียว
หนูจูนใจอ่อนกับพี่เคนเร็วๆนะ
-
@@@talk@@@
หายไปนาน ไม่ได้โพสเลย งานยุ่งมากถึงมากที่สุด ต้องขอโทษคนอ่านด้วย
ตอนนี้ อาจจะมีข้อมูลอะไรที่ คนเขียนเองก็ไม่สันทัด ผิดพลาดประการใด
ก็อยากให้คนอ่านช่วยชี้แนะด้วยนะ
บทที่ 22
- ธรรมชาติผู้ชาย -
.....สรุปพวกแกสองคนนี่ยังไง....
เสียงของปิ๊กยังดังอยู่ในความคิด จูนได้แต่ถอนหายใจในเมื่อตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถจำกัดความสถานะของตัวเองและผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนรอเขาอยู่ตรงสุดทางเดินได้
...ทำแบบนี้ มันก็เหมือนจะยอมรับที่คนเขาว่ากันไม่ใช่รึไงไอ้จูนเอ้ย...
จูนคิดและอดคิดแทนเคนไม่ได้ว่าได้เฉลียวใจคิดหรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ควรจะเรียกว่าอะไร แต่ดูจากสีหน้าของคนที่สบตากลับมาแล้วผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นคงจะไม่ได้คิดอะไรนอกจากทำตามใจของตัวเองเป็นแน่
“จูน...สอบเสร็จแล้วเหรอ ไปกินข้าวกัน” ไม่พูดเปล่ามือจับสายกระเป๋าสะพายของจูนทำท่าเหมือนจะดึงไปถือแต่เจ้าของชื่อกลับยื้อเอาไว้ด้วยความตกใจ
“พี่ทำอะไรอ่ะ...”แต่เคนกลับตอบกลับด้วยสีหน้างุนงงพลางเลิกคิ้วสูง
“ถือให้ไง” รุ่นพี่เอกพลศึกษาตอบหน้าตาเฉย
“........” จูนใช้เวลาประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงกระเป๋าของตัวเองกลับ
“ผมถือเองได้” เด็กหนุ่มว่าพลางเบือนหน้าไปอีกทางรู้สึกแปลกๆเพราะไม่เคยมีใครมาเสนอตัวทำอะไรแบบนี้ให้
“อ่ะ...เหรอๆ อยากกินไรอ่ะวันนี้ ก๋วยเตี๋ยว ข้าว อะไรดี” เคนถามพลางยิ้มดูเหมือนจะมีความตื่นเต้นซ่อนอยู่ในท่าทีสบายๆแบบนั้น
“ข้าวแกงโรงอาหารหน้าหอชายก็ได้มั้งพี่ ง่ายๆ“
“เออ แบบนั้นก็ดี...จะได้ไกลหน่อย” เคนพยักหน้าหงึกหงัก บ่นพึมพำเบาๆ แต่จูนก็เข้าใจความหมายนั้นได้ไม่ยาก คำว่าไกลก็คงหมายถึงกลายจากคณะของเขาที่เป็นแหล่งรวมของนักศึกษาจากหลายๆคณะรวมถึงคณะวิทยาการจัดการของนิดด้วย
“ถ้ามันจะยากนักนะพี่เคน....” ยังไม่ทันเด็กหนุ่มจะได้พูดจบมือแกร่งคว้ามือของเด็กหนุ่มให้เดินตามไปที่รถมอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็ว
..............................................
โรงอาหารหน้าหอชายช่วงกลางวันยังคนแน่นเหมือนเช่นทุกที เสียงพูดคุยกันจอแจสัมผัสได้ถึงอากาศแห้งของฤดูหนาวที่พัดผ่านโครงอาหารเปิดโล่ง จูนสั่งก๋วยเตี๋ยวมานั่งทานไปเงียบๆผิดกับอีกคนที่ดูจะยิ้มหน้าบานลืมอาหารตรงหน้าไปเสียอย่างนั้น
“พี่จะยิ้มอะไรนักหนา” จูนอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมด้วยความหมั่นไส้
“ไม่รู้สิ...ก็ยิ้มตลอดไม่ได้?”
“เหมือนคนเมายา”
“เมายา ไม่อ่ะ...เมาอย่างอื่นมากกว่า...” เคนทำท่าจะพูดต่อแต่จูนยกมือห้ามเสียก่อน
“พอ ถ้าจะพูดอะไรชวนเลี่ยนขนาดนั้นก็เงียบแล้วกินๆเข้าไปเหอะกระเพราะไข่เยี่ยวม้าของพี่อ่ะ”
“เออๆ...รู้ทันแล้วดุอีก “รุ่นพี่ร่างสูงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
”เออนี่ พรุ่งนี้แกว่างป่ะ...มิดเทอมเสร็จแล้วนี่” จูนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยคอนแทคเลนส์สีน้ำเงินเป็นประกายชวนมอง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยมือที่จับตะเกียบหยุดนิ่ง
“รู้กระทั่งวันสอบนี่ ยังถามอีกนะว่าว่างไหม” เด็กหนุ่มอดจะสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไปสืบไปค้นเรื่องอะไรของเขามาอีกบ้าง
“เอ้า ก็ถามให้มันแน่ใจ...สรุปว่างนะ?” เคนสรุปเองเสร็จสรรพ
“ไอ้ว่างน่ะ มันก็ว่างอยู่หรอก แต่พี่จะทำไม” จูนถามกลับด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเขินๆที่ดูไม่ชินตาเอาเสียเลย เคนทำท่ากระแอมไอเบาๆก่อนจะเอนตัวมาด้านหน้า
“ไปดูพี่สอบปฏิบัติไหม”
“หะ?” จูนอุทานด้วยไม่อยากจะเชื่อหู “ชวนไปดูพี่สอบปฏิบัติเนี่ยนะ?...พี่จะสอบอะไรอ่ะ แล้วผมไปดูได้ด้วยเหรอ จะช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย” จูนพูดกลั้วหัวเราะ มันฟังดูงี่เง่ามากเกินกว่าจะเชื่อหูของตัวเอง
“สอบกระบี่กระบองอ่ะ ถึงจะไม่ได้มาช่วยสอบ ก็ช่วยมาเป็นกำลังใจหน่อยได้ไหมล่ะ”
“กำลังใจอะไร....พูดอะไรพิลึกอีกละ” เด็กหยุดหัวเราะทันควัน จูนบ่นเบาๆพลางเบือนหน้าไปอีกทาง
“เออน่า...พรุ่งนี้สิบโมงที่โรงยิมนะ” ว่าพลางยกมือแกร่งขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ จนจูนต้องเบี่ยงตัวหลบ
“รู้แล้วน่า...เมื่อไรจะเลิกเล่นผมเนี่ย”
“ช่วยไม่ได้...มันนิ่มดีนี่หว่า” เคนยิ้มตาหยี ดูท่าทางพอใจไม่น้อยที่จูนตอบรับว่าจะไปดูเขาสอบในวันพรุ่งนี้
........................................................
ในห้องพักของหอพักกลางเก่ากลางใหม่ เสียงพัดลมหมุนไปมาดังเอียดอาด เคนที่เพิ่งกลับจากขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งจูนทิ้งตัวนอนลงกับเตียง สายตาเหม่อมองเพดาน ในห้วงความคิดยังนึกถึงหน้าของจูนที่ยิ้มแหยๆ เมื่อกำชับให้มาดูเขาสอบปฏิบัติพรุ่งนี้ ท่าทางที่เหมือนไม่พอใจแต่ในท้ายที่สุดก็ตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาโดยไม่หันมาสบตา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงหัวใจเต้นแรงเพราะท่าทางแบบนั้น ความต้องการในใจของเขากำลังเร่งเร้าบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มั่นใจนักว่าคืออะไร แต่ตอนนี้เขาควรจะพอใจกับสิ่งที่มีในตอนนี้ไม่ใช้หรืออย่างไร....เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้เลยแม้แต่น้อย เคนได้แต่ย้ำเตือนตัวเองเช่นนั้น
ชายหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอหารายชื่อของคนที่คุ้นเคย แล้วกดโทรออกได้ยินเสียงสัญญานดังแผ่วๆ ก่อนจะมีเสียงตอบรับจากปลายสาย
“พี่เคน...มีอะไรคะ...” เสียงของนิดยังสดใสหวานหู
“พี่โทรมากวนเวลาอ่านหนังสือรึเปล่า...”เคนเอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา น่าแปลกที่ตอนนี้เพิ่งจะมีความรู้สึกผิดแล่นปรี่เข้ามาจับที่ใจ
“ไม่ค่ะ นิดว่าจะนอนแล้ว ...”
“เหรอ...เอ่อ...นิด” เคนลังเลเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเข้านอนแล้ว ทั้งๆที่เมื่อหันไปมองเวลาก็ยังไม่ได้ดึกอะไรนักจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม แต่เขาก็คงต้องถามสิ่งที่คิดเอาไว้ก่อน “พรุ่งนี้ 10 โมง นิดว่างไหม...พอดีพี่มีสอบปฏิบัติอยากมาดูไหม”
“เอ๊ะ สิบโมงเหรอคะ นิดไม่ว่างแล้วค่ะ จะไปดูหนังกับพวกต่ายวันนี้เพิ่งสอบเสร็จพรุ่งนี้เลยว่าจะไปดูหนังกัน”เสียงเด็กสาวตอบทันควัน ไม่มีคำถามเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสอบอะไร
“อ้าว เหรอ...” ส่วนหนึ่งในใจของเขารู้สึกดีใจ แต่อีกใจก็รู้สึกปวดหนึบ บางครั้งนิดมาหาเขาที่สนามก็จริงแต่เกือบทุกครั้งเป็นเพราะเขาสัญญาว่าจะพานิดไปซื้อของ หรือไปดูหนังถึงแม้จะเหนื่อยจนไม่อยากจะทำอะไรต่อ แต่ก็ต้องทนลากตัวเองไปกับนิดและเพื่อนให้ได้ทุกครั้ง
“ ถ้าแบบนั้นก็...ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่กวนแล้ว ฝันดีนะครับ”
“....พี่เคนไม่ได้โกรธใช่ไหมเนี่ย” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฟังเสียงของเขาออกหรืออย่างไรจึงได้ถามออกมาแบบนั้น
“ไม่นี่...” เคนตอบกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ “จะไปโกรธนิดได้ยังไงกัน”
“แน่นะ...”
“ครับ ไปนอนเถอะ ฝันดีนะครับนิด ดูหนังให้สนุกนะ” ชายหนุ่มเอ่ยคำหวานก่อนจะตัดสายโทรศัพท์
ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาตัดสินใจถูกแล้วหรือไม่ที่โทรไปชวนนิดด้วย ทั้งๆที่ส่วนหนึ่งในใจก็คาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากไม่เอ่ยปากชวนออกไปตรงๆ ก็คล้ายกับจะต้องสรรค์สร้างปั้นคำโกหกต่อไปอีกเรื่อยๆ ...เขาไม่ได้อยากจะโกหก เพียงแต่บางครั้ง ความจริงที่เป็นอยู่ก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจ และยากเกินกว่าจะบอกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “แฟน” ของเขาเอง
..............................
แสดงแดดสะท้อนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือบอกเวลา 9 นาฬิกา 45 นาที จูนเลือกที่จะมาถึงก่อนเวลาเพราะไม่เคยมาดูใครสอบปฏิบัติวิชาพละมาก่อนเลยไม่ค่อยมั่นใจนักว่าอยู่ๆจะเดินเข้าไปหาที่นั่งตามสะดวกได้ เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อยแต่โรงยิมที่นี่ก็มีอยู่ที่เดียว ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดอีกทั้งได้ยินเสียงปี่แตรดังออกมาจากด้านในโรงยิมทำให้ตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน
....แล้วทำไมต้องบอกให้มาดูด้วยวะ....
...ก็แค่ถือไม้รำไปมา....
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่พอก้าวเข้าไปด้านในโรงยิมก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะโกนดังลั่นของนักศึกษาชายที่อยู่ๆก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของทั้งสองคนที่กระโจนเข้าหากันโดยที่มีดาบไม้หวายอยู่ทั้งสองมือ พวกเขาพลัดกันฟาดฟันขยับไล่ต้อน ขยับตั้งรับอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทันว่าใครกำลังได้เปรียบเสียเปรียบ
“.............................โห.....” เด็กหนุ่มอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้กับภาพที่เห็น นี่เป็นการสอบกระบี่กระบองในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “นี่ให้ลองแข่งกันจริงๆเลยรึไงเนี่ย” เด็กหนุ่มพึมพำพลางค่อยๆก้าวไปหาที่นั่งบนด้านหนึ่งของอัฒจันทร์ที่เขาคิดว่าคงไม่สะดุดตาใครมากนัก
"อ้าว...มาแล้วเหรอจูน” เสียงทุ้มของเคนดังขึ้นที่ด้านล่างของอัฒจรรย์ ใบหน้าคมมีเหงื่อเกาะพราวพลางอหอบหายใจเล็กๆ
“อื้ม...นี่พี่ให้ผมมาดูพวกพี่ตีกันเหรอ” เด็กหนุ่มถาม
“ไม่ได้ตีกันเว้ย เรียกให้มันถูก เขาสอบปฏิบัติต่างหากล่ะ อาจารย์เขาอยากให้ใช้งานได้จริง ไม่ใช่ แค่ ย่อ ยก ชิด จ้วง แทงน่ะ....เท่ใช่ไหมล่ะ” ท้ายประโยคยังคงทิ้งท้ายด้วยความกวนพร้อมยักคิ้วน้อยๆ
“คนอื่นทำล่ะก็นะ....คงเท่มาก แต่ถ้าพี่ทำนี่ผมว่าคงโดนเขาฟาดแสกหน้าตายตั้งแต่ยังไม่ทันไหว้ครูเสร็จอ่ะ” เห็นแบบนั้นก็นึกหมั่นไส้จูนย้อนกลับไปอย่างนั้น
“เหอ... ปากดีนักนะ คอยดูก่อนเถอะ ...” เคนว่าพลางชี้หน้าอีกฝ่ายคล้ายจะเตือน แต่เด็กหนุ่มกลับทำปากยื่นอย่างยียวน
“เฮ้ย เคน...มาซ้อม...เดี๋ยวตามึงกับกูแล้วนะเว้ย” เสียงต้าร์เพื่อนในเอกของเคนตะโกนเรียกร่างสูงหันตามไปก่อนพยักหน้ารับ
“พี่ไปก่อนนะ....” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งยื่นขึ้นมาด้านบนฉวยปลายนิ้วของจูนไปรวบเอาไว้หลวมๆ
“เฮ้ย....” เด็กหนุ่มอุทานด้วยตกใจแต่เคนก็หาได้ปล่อยไม่ ร่างสูงกลับก้มหน้าก้มตาทั้งๆที่มือยังจับมือของจูนเอาไว้
“โอม.....เอชัวร์ เอชัวร์ เอชัวร์ๆ” ได้ยินคาถาประหลาดๆ จูนหัวเราะพรืดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฮ่ะๆๆ คาถาอะไรน่ะ เพี้ยนไปแล้วแน่เลย หัวโดนไม้ฟาดหนักไป?”
“คาถาเรียกเอ .... เขาว่ายิ่งถ้าได้หอมแก้มคนมาดูด้วยนี่จะยิ่งได้ผลดีนะ” ไม่พูดเปล่าดึงมือของจูนลงมาอย่างแรงจนเด็กหนุ่มต้องโน้มตัวลงมาด้วย แต่เคนก็ไม่ได้ทำจริงๆ เขาแค่อยากเห็นจูนหลับหูหลับตาทำหน้าแดงก่ำแบบนั้นก็พอใจแล้ว
“ล้อเล่นน่า....” ไม่พูดเปล่ามือแกร่งขยี้ผมของเด็กหนุ่มเบาๆ “คอยดูพี่สอบละกัน....” เสียงทุ้มดังเบาๆที่ข้างใบหูก่อนร่างสูงจะเดินไปหาเพื่อนที่วอร์มร่างกายรออยู่ก่อน....
“ใครวะ เคน....” ต้าร์ เพื่อนสนิทในเอกของเคน ถามพลางบิดตัวยืดเส้นสาย
“น้องที่ชมรม....” เคนตอบด้วยเสียงเรียบๆ
“อ๋อ....คนที่เมิงไปจูจุ๊บดูดปากมันบนเวทีจนเขาลือกันให้แซ่ดว่าเมิงเบิกทางสู่ความเป็นเกย์ไปแล้วเรียบร้อยนั่นอ่ะนะ”
“...........จะพูดอะไรก็ช่างมันดิ่” เคนยักไหล่ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของเพื่อนแค่อย่างใด ทำเอาคนฟังถึงกับเลิกคิ้วสูงอ้าปากค้าง
“เฮ่ย สรุปว่ามึงยอมรับจริงดิ่....” ท้ายเสียงกระซิบประซาบเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน สายตาเลิกลั่กมองซ้ายขวาก่อนจะชี้ไปทางจูนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโรงยิมมองดูรอบๆไปด้วยท่าทางสนใจ “กับหมอนั่นอ่ะนะ...”
“เกย์?...กูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนนะเว้ย” เคนตอบทำเสียงเข้ม ท่าทางคล้ายไม่พอใจที่เจออีกฝ่ายพูดใส่แบบนั้น ก่อนจะมองไปทางจูนพลัน ริมฝีปากเผลอคลี่เป็นรอยยิ้ม “....แต่กูอยากได้คนเนี้ยะ” ไม่พูดเปล่ามือชี้ไปทางจูนที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วย
“อะโห...ด้านได้ไม่อายปากเลยนะมึง”คำพูดตรงๆไม่มีปิดบังทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งเฮือกเป็นรอบที่สอง “....แล้วนิดล่ะ” ต้าร์ถามเพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้กำลังคบแฟนสาวสวยที่อยู่คณะวิทยาการจัดการอยู่
“.............................................” ยังไม่ทันจะมีคำตอบใดจากปากของเคน เสียงอาจารย์ประจำวิชาก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงนกหวีด
เคนและต้าร์เดินเข้าไปที่กลางสนาม นั่งลงวางดาบหวายไขว้กันไว้ตรงหน้าก่อนเริ่มรำไหว้ครู ท่วงท่าแข็งแกร่งหากแต่ดูงดงามทำให้ใจในอกของคนที่เข้ามานั่งดูเต้นเป็นจังหวะรัวไปตามเสียงกลอง เสียงปี่ที่เปิดคลอไปด้วย ดวงตาใต้คอนแทคเลนส์ของจูนยังจับจ้องอยู่ที่รุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นอย่างไม่กระพริบตา สีหน้าและแววตาของเคนนั้นดูจริงจังอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยเห็นเคนทำอะไรแบบนี้มาก่อน
…… ทำอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วย.......
.......ปรกติเห็นแต่ตลกไร้สาระไปวันๆ.....
นักกีฬาทั้งสองกลับมาประจำที่เดิม ยกอาวุธพร้อมมือขึ้นไหว้คู่ต่อสู้ตตรงหน้าตนก่อนลุกขึ้นแล้วเริ่มออกเดิน
ปลายเท้าก้าวย่างอย่างช้าหากแต่สายตายังจับจ้องท่วงท่าของกันและกันเพื่อดูเชิงหมุนดาบไม้ที่อยู่ในมือเล็กน้อย
ก่อนที่เคนจะเป็นฝ่ายเริ่มบุกร่างสูงใหญ่พร้อมอาวุธในเมื่อพุ่งเข้าใส่เพื่อน ทั้งสองแลกดาบกันอย่างดุเดือดเรียกเสียงฮิอฮาจากเพื่อนๆที่นั่งดูอยู่ข้างสนามได้ไม่น้อย ต้าร์ขบฟันกรามหน้าแดงก่ำเมื่อต้องรับแรงปะทะจากเคน มือที่จับด้ามดามเริ่มชาทั้งๆที่เพิ่งประกันไปได้ไม่เท่าไร จนต้องมองหน้าเพื่อนด้วยความสงสัย
....นี่มึงเอาจริงดิ่....
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ เคนที่ยิ้มมุมปากพร้อมยักคิ้วน้อยๆให้อย่างยียวนก่อนจะฟาดดาบไม้ลงมาอีกครั้งและอีกครั้ง เสียงไม้กระทบกันดังจนคนที่ดูด้วยความไม่คุ้นเคยถึงกับสะดุ้งเฮือก ต้าร์ยังคงเป็นฝ่ายป้องกันดาบนั้นของเพื่อนเอาไว้ก่อนฉวยจังหวะฟันตอบกลับอย่างรวดเร็ว ทำเอาจูนที่นั่งมองอยู่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยนึกใจหายเมื่อเห็นว่าดาบนั่นแหวกอากาศเฉียดคอหอยของเคนไปมากแค่ไหน เคนหลบหลีกรวดเร็วก่อนอาศัยจังหวะที่ต้าร์รุกฟันเข้ามาอย่างมุ่งมั่นตอบกลับด้วยการจ้วงแทงสวนกลับไป ต้าร์หลบแต่ก็พลาดให้กับช่วงขายาวที่ยันเข้ากลางอกจนล้มลงไปก้นจ้ำเบ้า
“ห่าเคนนี่ เดี๋ยวเว้ย....”
เสียงต้าร์โวยวายพลางยกดาบขึ้นกันเคนที่บุกเข้ามาอีกระลอกแต่เมื่อเห็นว่าเสียงโวยวายยังไม่เป็นผล มือของต้าร์เริ่มสั่นเพราะแรงปะทะที่ประเดประดังเข้ามาเรื่อยๆ จนเริ่มไม่แน่ใจว่าจะถือดาบต่อได้อีกนานไหม แต่อาจจะต้องลองดูสักตั้งต้าร์นับจังหวะลงดาบของเคนก่อนฉวยโอกาสแทงกลับเมื่อพบช่องโหว่เพื่อให้เคนถอยออกไป และดูเหมือนจะได้ผลต้าร์ลุกขึ้นยืนตั้งหลักอีกครั้ง ก่อนเริ่มเป็นฝ่ายบุกฟันเข้าไปบ้าง
“ตากูล่ะมึง....”
“เข้ามาเลย....” เคนขยับหลบอย่างยียวน ใบหน้ายิ้มเยาะด้วยความสนุกกับความท้าทายตรงหน้า ร่างสูงยังคงยกดาบขึ้นตั้งรับได้อย่างดีเยี่ยมเช่นเดียวกับพลังที่ใช้ในการสวนกลับที่รวดเร็วรุนแรง ยิ่งเคนเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านแม่ไม้มวยไทยอยู่แล้ว การนำเอาลูกเตะถีบแบบมวยไทยมาใช้ร่วมด้วยจึงมีมากกว่าเพื่อนอยู่ใช่น้อย เมื่อต้าร์พยายามบุกเข้ามาอีกครั้งแต่กลับเปิดช่องว่างตรงกลางอกเอาไว้จนเห็นชัด เคนยกเท้าขึ้นยันและส่งแรงถีบต้าร์จนล้มกลิ้งไปอีกรอบ ดาบไม้หลุดกระเด็นไปอีกทางเสียงไม้กระทบกับพื้นของโรงยิมดังก้อง
ในคราวนี้แทนที่เคนจะกระโจนเข้าไปพร้อมสองดาบในมือ ร่างสูงกลับเดินเข้าไปช้าๆชี้ปลายดาบลงเหนือร่างของเพื่อนเป็นสัญญานบอกให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ดวงตาคมที่มองหน้าของเพื่อนเป็นประกายใบหน้าคมของร่างสูงชื้นเหงื่อแต่เปื้อนรอยยิ้มของผู้ชนะ ต้าร์เองก็ยิ้มเช่นกันในเมื่อการสอบวันนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ดีกว่าที่คิด...เว้นเสียตรงที่เคนดูจะเอาจริงเกินคาดจนนึกสงสัยระคนหมั่นไส้ไม่ได้ว่าจะเอาจริงจังอะไรหนักหนา
“เอ้า พอ...“ เสียงนกหวีดของอาจารย์ก็ดังขึ้นอีกครั้งเรียกเสียงโห่เฮจากเพื่อนๆได้ไม่น้อย
“ไอ้สองตัวนี่แม่งกะเอชัวร์”
“มันส์ชิบหาย”
“จริงจังไปม้ายยยยยยย....เหลือคะแนนให้พวกกูบ้าง สาดดดดด”
เคนดูเหมือนจะไมได้สนใจเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆ เขาคุกเข่าลงก่อนยกมือไหว้ต้าร์ เช่นเดียวกับต้าร์ที่ยกมือรับไหว้ ทั้งสองคนลุกขึ้นยกมือไหว้อาจารย์อีกรอบ ก่อนจะกอดคอกันเดินออกจากสนาม ไม่วายที่ต้าร์จะบ่นพลางยกมือขึ้นลูบอกของตัวเองเบาๆ
“ห่า ถีบมาได้ กูจุกนะเว้ย....โอย.....แม่ง ไม่ได้คะแนนเต็มนี่กูจะฆ่ามึงไอ้เคน”
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม ชื่อเคนใช่ไหม...มาหาครูหน่อยสิ” เสียงอาจารย์หยุดเคนที่กำลังจะเดินออกจากสนามไปให้หันกลับมา
“ครับอาจารย์..... เฮ้ย ไอ้ต้าร์มึงไปบอกไอ้จูนให้กูหน่อยว่าเดี๋ยวกูตามไป” ไม่พูดเปล่าชี้บอกเพื่อนให้เดินไปคุยกับจูนก่อน
“เออ...ใช้เพื่อนเลยนะมึง” ต้าร์แทบงัดนิ้วกลางใส่ด้วยความหมั่นไส้ หันซ้ายมองขวาเห็น “จูน” รุ่นน้องของเคนนั่งอยู่ห่างออกไปบนอัฒจันทร์
ต้าร์มองหน้าของจูนอย่างพิจารณา ดูอย่างไรแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ แม้สีผมจะสะดุดตาไปบ้างแต่ก็ไม่ได้จัดว่าหน้าตาหล่อเหลาอะไร ดูท่าทางการนั่งการแต่งตัวก็ไม่ได้ดูตุ้งติ้ง ต่างจากกระเทยกล้ามโตบางคนในชั้นปีของตัวเองยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปใหญ่
“หน้าตาก็เฉยๆ มีอะไรนักหนาให้เพื่อนกูเป็นไปได้ขนาดนี้วะเนี่ย” ต้าร์ส่ายหัวเขาไม่ค่อยเข้าใจเข้าใจความคิดของเคนนัก แต่เขาคิดว่าเขาคงไม่อยากจะเข้าไปเอี่ยวอะไรมากไปกว่านี้ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนเข้าไปทำหน้าที่เพื่อนที่แสนดีตามที่โดนใช้งานมา
“เอ่อ...น้องๆ...จูนใช่ป่ะ”
“ครับ” จูนหันมามองหน้าตาเหลอหลา
“พี่ชื่อต้าร์ เป็นเพื่อนไอ้เคนมัน ...มันบอกให้รอแป๊บ เดี๋ยวมันมา” ต้าร์ว่าพลางเดินขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ขั้นถัดจากที่จูนนั่งลงมาขั้นหนึ่ง “โอย..... “ แต่ก็ต้องร้องโอยเมื่อยังรู้สึกเจ็บไม่หาย
“พี่เป็นอะไรมากป่ะ เห็นพี่เคนยันซะแรงเลย” จูนเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่ค่อยดีเลยชะโงกหน้าลงมาถาม
“ฮ่ะๆ...ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง พวกพี่ชินละ ซ้อมกันมาเยอะรับแค่นี้ไม่ไหวก็ไม่รู้จะว่ายังไง......... “ต้าร์เห็นท่าทางอีกฝ่ายดูสนอกสนใจ เลยหันกลับไปถาม “เคยเล่นป่ะ กระบี่กระบอง...” เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
“ที่โรงเรียนผมไม่ได้สอนอ่ะ...แต่พวกพี่เล่นก็ดูเท่ดีนะ อย่างกับพวกสตั้นท์แมนเลย” จูนว่าพลางยิ้ม อาจเป็นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของเคนก็ได้เลยไม่ได้รู้สึกเก้อเขินหากจะพูดคุยอะไรออกไป
“โอ้ย ไม่ขนาดนั้นหรอก พอดีวันนี้บางคน...”ต้าร์เน้นเสียงหนักก่อนจะเหลือบมองข้ามไหล่ให้แน่ใจว่าเพื่อนร่างสูงจอมบ้าพลังคนนั้นยังไม่เดินมา “มันเอาจริงไปหน่อย”
“ผมล่ะหวาดเสียวแทนจริงๆ “จูนที่ไม่ค่อยชื่นชอบการออกกำลังกายสักเท่าไรถึงกับนึกขนพองสยองเกล้าเขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าถ้าหากพลาดขึ้นมาจะเป็นอย่างไร “นี่เกิดพลาดขึ้นมา ผมไม่ต้องมาเห็นเลือดอาบหัวคนเหรอเนี่ย บรื๋อส์...คนชวนก็ชวนไม่ห่วงใจคนดูเล้ย...จะชวนมาทำไมเนี่ย”
ต้าร์เหลือบมองท่าทางของจูนก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะจูนพูดเร็วรัวแล้วก็บ่นอะไรพึมพำอยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังพอจับใจความได้เล็กว่าเป็นห่วงเพื่อนของเขาอยู่ไม่น้อย
“ก็นะ....” ต้าร์ถอนหายใจคล้ายโล่งอก แล้วกหันกลับไปมองโรงยิมอีกครั้งการสอบของคู่ต่อไปกำลังจะเริ่มและเคนก็กำลังจะเดินมาทางนี้ ร่างสูงใหญ่นั้นเดินกลับมา โบกมือให้กับคนที่อยู่ข้างหลังของเขาพร้อมรอยยิ้ม ต้าร์เหลือบหันหลังกลับไปมองก็เห็นจูนพยักหน้ารับแกนๆ เขาพอจะมองเค้าร่างลางๆของความสัมพันธ์นี้แล้ว
“แม่ง....ไอ้เคนเอ้ย แกนี่มันจะพยายามแมนในเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ” ต้าร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไอ้เคนมาล่ะ พี่ไปล่ะ ไว้เจอกันนะน้อง”
“อ่ะ ครับพี่...” จูนรับคำพลางก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยถึงแม้จะไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะถามอะไร
“รอนานไหมจูน.....” เสียงทุ้มของเคนเอ่ยขึ้นเมื่อเดินกลับมา ใบหน้าคมและผมสีเข้มชื้นเหงื่อแต่ก็ยังดูดีในแบบของผู้ชายที่เพิ่งเล่นกีฬามา
“ไม่อ่ะ....เมื่อกี้พี่อะไรนะ พี่คนนั้นน่ะเขามาคุยด้วย”
“ไอ้ต้าร์น่ะเหรอ...คุยอะไรกัน” ท้ายเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย
“ก็คุยธรรมดา “จูนตอบไปตามความจริง “ว่าแต่...มาดูพี่สอบแล้วเนี่ย ผมกลับได้หรือยัง”จูนไม่ได้อยากให้ใครเอาไปพูดลับหลังอีกว่า “กระเทยคนนั้นมานั่งเฝ้าพี่เคนเอกพละตอนสอบ”
“แกจะรีบไปไหน เหงื่อพี่ขนาดนี้แกจะไม่ให้พี่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเลยรึไง” มือแกร่งคว้าแขนของจูนเอาไว้ทันทีพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างยียวน
“ก็ไปล้างหน้าสิครับ หมดเรื่องของผมแล้ว “ตรงกันข้ามจูนกลับเบ้หน้าแล้วดึงผ้าพันขนหนูที่พาดอยู่บนคอของอีกฝ่ายมาคลุมบนศีรษะของเคน มือเรียวผลักศีรษะของเคนจนหน้าแทบหงายยังดีที่มือของเขายังยึดแขนของจูนเอาไว้ช่วยให้ยังทรงตัวเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นคงหงายหลังลงจากอัฒจันทร์เป็นแน่
“เหวอ......โอเคๆไม่รั้งไว้ก็ได้ ...ทำไมต้องผลักกันด้วย แต่ก่อนไปนะช่วยตอบคำถามพี่ก่อน....โอเค?” เคนดึงผ้าขนหนูที่คลุมหน้าของตัวเองออก ดวงตาคมจ้องหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอาคนถูกมองรู้สึกกระอักกระอ่วน
“อะไร?......”
“เมื่อกี้พี่เท่ป่ะ...”เคนยิ้มท่าทางภูมิใจกับการสอบวันนี้อยู่ไม่น้อย จูนเสมองไปอีกทางแล้วเอ่ยเบาๆ
“ก็.... เท่กว่าที่คิด“ อาจจะต้องยอมรับว่าการรำไหว้ครูเมื่อครู่นั้นสวยงามอยู่ไม่น้อย
“แน่นอน คงไม่มีใคร เท่ หล่อ แบบนี้อีกแล้วล่ะ” ร่างสูงหัวเราะอย่างได้ใจ จูนเห็นเคนยิ้มอย่างภูมิใจเสียจนน่าหมั่นไส้ก็ต้องเบ้หน้า เห็นทีคงต้องสะกัดความมั่นใจนั้นเสียก่อนที่เคนจะยิ่งได้ใจไปมากกว่านี้
“แต่พี่คนเมื่อกี้ก็เท่เหมือนกัน อืม.... จะว่าไปพี่เขาก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ อาจจะเท่กว่าพี่เคนก็ได้” จูนยิ้มเยาะเมื่อเห็นเคนมองกลับมาอย่างไม่พอใจนัก
“พี่ไม่ได้หล่อเท่ที่สุดในสามโลกหรอกนะ” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะ มือเรียวฉวยโอกาสดึงผ้าขึ้นคลุมศรีษะของเคนอีกรอบ ช่วงขายาวก้าวลงจากอัฒจันทร์ ไม่ได้รอให้คนที่กำลังมืดบอดเพราะผ้าที่คลุมจนมองอะไรไม่เห็นตามได้ทัน
“ไปล่ะ ผมต้องไปเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางอีก คืนนี้นะพี่เคน ถ้าเก็บของไม่เรียบร้อย ตื่นไม่ทันรถออกล่ะก็ พี่โชติจะโวยเอา” พูดเสร็จจูนก็เดินฉับๆออกจากโรงยิมไป
เคนมองตามร่างสูงโปร่งของจูนไปพลางส่ายหน้าเบาๆ เขาเองก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นคนที่หล่อเลิศเลออะไรนัก แต่ที่อยากให้จูนมาดูวันนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งก็เป็นได้
...ผู้ชายน่ะนะ...ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่อยากจะดูเท่ที่สุดในสายตาคนที่ชอบก็เท่านั้นล่ะ...
................................to be continued
-
'โอม...เอชัวร์ เอชัวร์ เอชัวร์'//แดดิ้นตาย น่ารัก :ling1:
เดี๋ยวไปถ่ายหนังต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ :impress2:
ไม่ชอบเลยเวลามีใครพูดถึงนิด แล้วพี่เคนก็เงียบ เงียบทำไม ทำอะไรสักอย่างเซ่!
-
ทำไมไม่เลิกกะนิด ในเมื่อรู้แล้วว่าไม่ใช่
-
@@@ talk@@@
กลับมาแล้วค่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง ก็...โพสต์ตอนใหม่เลยละกัน!
[/color]
-23-
ออกเดินทาง
“จูน ช้าแล้วเว้ยจะลงมาได้ยัง” เสียงโชติกรอกไปตามสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเข้มเมื่อเขา ยุทธ์และเคนนั่งรถตู้คันใหญ่มาถึงหน้าหอพักของจูน และไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อกำลังกระวีกระวาดเก็บของอยู่
“.....เดี๋ยวกูไปดูมันเอง” เคนที่นั่งอยู่ด้านหลังอาสาทั้งๆที่ยังไม่มีใครขอร่างสูงเปิดประตูบานเลื่อนของรถตู้เดินไปไปยังประตูเข้าหอพักของจูนทันที
ด้านล่างของหอพักของจูนแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนของสำนักงานและส่วนของโถงลิฟท์ ซึ่งทั้งสองส่วนนั้นจำเป็นจะต้องเดินอ้อมเข้าจากทางด้านที่จอดรถใต้หอพัก เคนเองก็เดินอ้อมไปเช่นกัน แต่แทนที่จะไปรอที่หน้าลิฟท์ร่างสูงของชายหนุ่มกลับนึกสนุกยืนหลบรออยู่ที่ด้านหน้าประตูทางออก กลางคืนแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเดินเข้าเดินออกสักเท่าไรนักและส่วนของสำนักงานก็ปิดไปนานแล้ว จึงเหมาะมากกับการแกล้งใครสักคนก่อนจะออกเดินทาง
เคนได้ยินเสียงลิฟท์ดังก่อนประตูลิฟท์จะเปิดออกพร้อมยินเสียงบ่นพึมพำมาแต่ไกลคงไมใช่ใครอื่นนอกจากจูนเป็นแน่ มือแกร่งคว้าหมับทันทีที่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม
“ช้า.....”
“..................................” ไม่มีเสียงตอบกลับจูนเหมือนแทบจะหยุดการเคลื่อนไหวแม้แต่การหายใจนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ........... พี่เคน! ตกใจหมดนึกว่าผีซะอีก”
“ผีบ้านแกสิหล่อขนาดนี้” เคนเขกหัวของจูนแทบจะทันที
“ชักช้าโอ้เอ้อยู่ได้....โห แล้วนั่นกระเป๋าอะไรของแกวะ” เคนต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าสัมภาระของจูนมีทั้งกระเป๋าเป้ที่อัดจนแน่น และกระเป๋กระสอบใบใหญ่ถือติดมือมาด้วย
“ก็จะ ให้เป็นอะไรเสียอีกละ ทั้งเตารีด กล่องเสื้อสำอาง ไม้แขวนเสื้อ ผมรู้ว่าพี่กำลังจะบอกว่าผมจุกจิก แต่นี่มันสำหรับคอสตูมตอนถ่าย ผมไม่ยอมให้พวกพี่ใส่เสื้อผ้ายับๆที่ยัดๆม้วนๆกันมาในกระเป๋าเข้าฉากหรอกนะ” เด็กหนุ่มอธิบายยาวเหยียด
“ยังไม่มีใครว่าอะไรเลยนี่....” ร่างสูงยิ้มน้อยๆ เพราะได้คนดูแลเสื้อผ้าหน้าผมแบบจัดเต็มขนาดนี้เองทำให้การแสดงของชมรมการแสดงที่มีสมาชิกกันอยู่แค่สี่คนถึงมีคนพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชุดสวยๆ เท่ๆ หรือชุดตลกหลุดโลกจูนก็สรรหามาให้ได้อยู่ตลอด
“แต่มาช้าแบบนี้เดี๋ยวก็เจอไอ้โชติมันโกรธเอา...มาพี่ช่วยถือ” ว่าพลางยื่นมือออกไป
“ไม่เป็นไร ผมถือเองได้แค่นี้เอง” จูนตอบพลางกระชับมือกับหูกระเป๋ากระสอบหนักอึ้งนั่นป็นการยืนยันในคำตอบของตัวเอง เด็กหนุ่มเดินต่อเขารู้ว่าโชติและยุทธ์กำลังรออยู่ข้างนอกและอาจจะกำลังบ่นว่าเขาทำให้ทุกคนช้า
“อยากถือเองก็ได้ พี่ก็แค่เดินมาตาม..แค่นี้ไม่เห็นต้องทำหน้าบูดเลย ” เห็นท่าทางอีกฝ่ายที่มองกลับมาอย่างไม่พอใจแบบนั้นทำเอาเคนอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
“หน้าบูด...ปากเป็ด...น่ะ มันน่าจูบนะรู้ตัวบ้างไหม”
“หะ...เหวอ..” จูนขาอ่อนสะดุดอิฐกั้นรถบนลานจอดรถทำเอาหน้าเกือบคว่ำ
“ไอ้พี่เคน......” จูนหันควับมามองหน้าของรุ่นพี่ร่างสูง สองขาก้าวยาวๆกลับไปหาคนที่เดินตามมายกมือชี้หน้าอีกฝ่ายราวกับจะเตือน
“ห้ามพี่พูดแบบนั้นให้พวกพี่โชติ พี่ยุทธ์ได้ยินนะ....ไม่อย่างนั้นผมจะไม่คุยกับพี่อีกเลย” ดวงตาที่สะท้อนแสงไฟของลานจอดรถเป็นประกายจริงจัง ผิดกับคนฟังที่ยังยิ้มกว้างเหมือนทุกครั้งแล้วจับมือที่ชี้หน้าของเขาเอาไว้ ดึงปลายนิ้วนั่นเข้ามาใกล้
“มันก็ขึ้นอยู่กับค่าปิดปากนะ...” ไม่พูดเปล่าจูบปลายนิ้วของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ดวงตาคมที่มองกลับมานั้นมีความหมาย
“อ่ะ.....อ่ะ.......”จูนได้แต่อ้าปากค้าง ความร้อนผ่าวนั้นราวจะแล่นลามจากสัมผัสเล็กๆที่ปลายนิ้วขึ้นไปยังใบหน้าของตัวเอง
“เฮ้ย! มัวแต่ทำอะไรกันอยู่วะ! “ เสียงยุทธ์ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาจูนสะดุ้ง
“พี่ยุทธ์!?? .........ตกใจหมด มะ...มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” จูดเอ่ยถามเสียงสั่น รุ่นพี่ร่างเล็กของเขามายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรกันที่สำคัญยุทธ์เห็นและได้ยินสิ่งที่เคนพูดและทำเมื่อครู่หรือเปล่า
“ก็พวกแกช้า....ไอ้โชติมันบ่นใหญ่แล้ว” ยุทธ์ขมวดคิ้วมองหน้าของทั้งเคนและจูนนิ่ง “แล้ว...ทำอะไรกันอยู่”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเหอะ เดี๋ยวพี่โชติเทศน์หูชา” เด็กหนุ่มอึกอัก ก่อนจะคว้าแขนของยุทธ์ให้เดินไปด้วยกัน ไม่ได้คิดจะรอเคนที่เดินมาตามตัวเองเลยแม้แต่น้อย
...............................................
ทั้งสี่คนออกเดินทางโดยรถตู้มุ่งหน้าไปตามถนนหลวง ยามดึกดื่นเช่นนี้คงมีแต่พี่รถบรรทุกคันโตวิ่งทำเวลาประเภทอยากเหยียดสุดคันเร่งไปให้ได้เร็วที่สุด เคนที่รับหน้าที่เป็นสารถีผลัดแรกเองก็อยากจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดเช่นกัน ทั้งที่รู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
“เฮ้ย พี่ชาย ค่อยๆขับก็ได้...เรากะเวลาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ” โชติตบไหล่หนาของเคนเบาๆ พลางยื่นกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปกินเหลือให้กับคนขับรถที่ดูเหมือนว่ากำลังหงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนหมีที่อดอยากอะไรมาหลายต่อหลายวัน
“อ่ะ...อืม จะไปตามนั้นก็แล้วกัน” เคนรับคำเบาๆก่อนจะยกกระป๋องกาแฟขึ้นดื่ม “ห่า...กาแฟไม่เย็น ไม่ร้อน ไม่อะไรเล้ย...”
“ช่วยไม่ได้ของเหลือนี่หว่า.....”
“โชติ เบาเพลงหน่อยก็ได้....เดี๋ยวพวกนอนสบายข้างหลังมันจะตื่นกันซะก่อน” ปลายนิ้วเคาะเบาๆที่เครื่องเสียงที่ติดตั้งเอาไว้เพราะเมื่อเหลือบมองไปด้านหลังดูเหมือนทั้งจูนและยุทธ์จะหลับไปแล้ว
“หงุดหงิดเพราะเจอจูนมันงอนอีกอ่ะดิ่ ไปทำอะไรไอ้จูนมันวะ.... เดินมาหน้าบูดไม่พูดไม่จาเอาของใส่รถ ไปนั่งกับไอ้ยุทธ์อยู่ข้างหลังโน่น “โชติเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตาช่วยมองถนนหลวงยามค่ำคืนให้เพื่อน
ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยมาเคนก็ขับรถอยู่คนเดียวมาไม่ได้หยุดพักมาสองชั่วโมงเข้าไปแล้วแถมเหยียบจนแทบจะมิดคั่นเร่งขนาดนี้ก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ ถึงจะอยากหลับบ้างแต่ก็ข่มตาหลับไม่ลงเลยจริงๆ
“มึงนี่ก็ท่าจะมีตาทิพย์จริงนะโชติ รู้ไปหมด”
“รู้เช่นเห็นชาติมึงอ่ะ....ไปแกล้งหลอกผีมันล่ะสิ” โชติหัวเราะออกมาเบาๆ ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิดสักครั้ง
“รู้แล้วจะถามเพื่อ?” เคนหัวเราะเบาๆ “ช่วยไม่ได้นี่หว่า ไอ้จูนมันน่าแกล้ง”
“มันน่าแกล้ง? มึงนี่ก็ประสาทนะ ไปแกล้งอะไรมันนักหนาเล่นเป็นเด็กไปได้”
“ขอโทษที่เด็ก....” เคนตอบกลับเบาๆคำพูดของโชติเหมือนตอกย้ำ เขานึกเสียใจว่าไม่น่าจะแกล้งจูนแบบนั้นเลยถ้ารู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ จูนหนีไปนั่งข้างหลังกับยุทธ์และต้องมาทนเห็นทั้งสองคาดเดาบทสนทนาที่เขาไม่อาจได้ยินแบบนั้นมันน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“มึง....... มึง........ “ เสียงงัวเงียดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับหน้าง่วงๆของยุทธ์ที่ยื่นมา “กูปวดฉี่ แวะปั๊มให้หน่อยดิ่ หิวด้วย ฉี่ด้วย...”
“ตื่นมาแม่งก็ร้องจะฉี่ จะกิน....ใครเด็กกว่ากันวะโชติ” เคนพยักเพยิดให้ดูสภาพเพื่อนสนิทของตัวเองยุทธ์ที่ปรกติจะดูดีอยู่เสมอตอนนี้หัวฟูหน้าง่วงแถมยังงอแงไปต่างกับเด็กๆ
“ฮ่ะๆ....เออว่ะ เอาเป็นว่าแวะปั๊มหน้าหน่อยละกัน กูก็ปวดฉี่ละ” โชติว่า
“เอาปั๊มมีเซเว่นนะมึง กูอยากกินไส้กรอก” ยุทธ์ส่งเสียงขึ้นมาอีกรอบ ทำเอาสารถีอย่างเคนอยากจะหันไปพาลฟาดปากเพื่อนเสียที
“เรื่องเยอะอีก เดี๋ยวให้แดกไส้ตัวเองไปก่อนเลยนี่....เออๆ เดี๋ยวแวะให้”
“ชู่ว์...เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวไอ้จูนมันตื่น...” ยุทธ์จุปากใส่เคนเมื่อหันไปมองแล้วเห็นว่าจูนยังนั่งกอดเข่าหลับสนิทอยู่บนเบาะนั่งข้างๆกัน ท่านั่งแปลกๆแบบนั้นนึกว่าจะหลับไม่สบายแต่จูนกลับหลับลึกได้อย่างน่าประหาด
“เออ.............” ได้ผลเคนเงียบเสียงโวยวายลงทันควัน เขาไม่อยากจะเสียงดังจนปลุกจูนตื่น
ไม่นานก็มาถึงปั๊มน้ำมันที่มีพร้อมทั้งร้านกาแฟและร้านสะดวกซื้อตามที่ยุทธ์เรียกร้อง เคนกระโดดลงจากรถแทบจะในทันทีที่จอดรถดีแล้ว การขับรถนานๆนี่มันเมื่อยมากกว่าที่คิด และการขับรถด้วยอารมณ์ ขุ่นมัวล้วนๆ ก็ทำเอาปวดหัวมากกว่าที่คิดเช่นกัน
“เฮ้ย เคน เดี๋ยวรอบนี้กูขับเอง....”ยุทธ์เองก็ลงมารถมาตบไหล่เคนเบาๆ ก่อนจะวิ่งฉิวไปทางห้องน้ำ เคนถอนหายใจเบาๆเขาเองก็อยากจะพักแล้วเหมือนกัน
“โชติ มึงไปเซเว่นปะ....ฝากซื้อขนมกับลิโพหน่อยนะ เผื่อรอบหน้าจะลุกมาขับต่อ...” ร่างสูงบิดซ้ายขวาก่อนจะยื่นกุญแจรถให้เพื่อน
“เออๆ มึงไปนอนเหอะ....เดี๋ยวกูซื้อขนมมาฝากพวกมึงเอง ไอ้จูนมันยังไม่ตายใช่ป่ะนั่น หลับไปตื่นเนี่ย”
“อืม....คงงั้น” เคนยักไหล่เขายังไม่ได้เข้าไปเช็คแต่ดูท่าแล้วจูนก็คงยังไม่ตื่นจริงๆ “ไปล่ะ...ไม่ไหวละ....” เคนโบกมือด้วยท่าทางเนือยๆ เมื่อกลางวันเขาก็เพิ่งจะใช้แรงอย่างหนักมาแล้วยังต้องมาขับรถอีกนี่เขาคงเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า ...แบตหมด...เต็มที
ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในรถตู้เห็นร่างของใครบางคนนั่งขดอยู่ที่เบาะด้านหน้า เคนค่อยๆเลื่อนประตูปิดแล้วนั่งลงข้างๆจูน ทั้งรถมีเพียงเขาสองคนได้ยินเสียงรถจากถนนและเสียงจากประตูร้านสะดวกซื้อดังเพียงแผ่วเบาตรงกันข้ามที่ได้ยินเด่นชัดคือเสียงลมหายใจช้าๆของจูนที่นอนหลับสนิท เห็นจูนยกมือขึ้นกอดเข่าแบบนั้นก็กลัวอีกฝ่ายจะหนาว รุ่นสูงหันไปด้านหลังคว้าเอาเสื้อวอร์มของตัวเองที่โยนไว้ด้านหลังตั้งแต่ตอนขึ้นรถมาเอามาห่มให้กับอีกฝ่าย แต่แทนที่จะถอยกลับออกมา มือแกร่งกลับยกขึ้นแตะผมสีอ่อนที่ปรกแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาก่อนขยับตัวเข้าไปมองใกล้ๆ ริมฝีปากได้รูปนั่นเผยอเล็กน้อยสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นจากร่างของเด็กหนุ่ม เคนเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“...หลับลึกไม่ได้ระวังตัวเล้ย...”
เคนเท้าแขนล้อมกรอบร่างของคนที่ไม่ได้สติเอาไว้แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ ริมฝีปากแตะเบาๆบนเส้นผมของอีกฝ่าย ปลายจมูกโด่งสูดลมหายใจเข้าลึกได้กลิ่นแชมพูหอมสดชื่นจากเรือนผมนั้น ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรแต่เพียงเท่านี้ก็เหมือนได้กำลังกลับคืนมาเยอะจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหัวใจของเขากำลังเล่นตลกอะไรอยู่กันแน่ ทั้งๆที่อยากจะให้อีกฝ่ายหันมามอง แต่ก็ดันแกล้งจนอีกฝ่ายไม่พอใจจนเดินหนีอยู่หลายต่อหลายครั้ง
“...ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งจนแกโกรธเลยจริงๆ...” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า ถ้าอีกฝ่ายตื่นอยู่คงทำแบบนี้ไม่ได้เป็นแน่ เคนตัดสินใจฉวยจูบเบาๆลงบนเส้นผมของอีกฝ่ายอีกครั้ง
....ครืด!!....
ทันใดบานประตูเลื่อนของรถตู้ก็เปิดออก พร้อมกับร่างเล็กของใครบางคนที่ยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น เคนรีบหันกลับไปมอง ดวงตาคมเป็นประกายวาววับเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น
“มึงทำอะไร....” เสียงยุทธ์เอ่ยขึ้นคล้ายไม่พอใจนักกับภาพที่เห็น
“เปล่า เห็นไอ้จูนมันนอนเหมือนจะหนาวเลยเอาผ้ามาห่มให้”
“เหรอ......” ยุทธ์ถามคิ้งเรียวขมววดเข้าหากันเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาชะโงกหน้าเข้าไปด้านในเล็กน้อย เห็นรุ่นน้องของตัวเองยังหลับสนิทพร้อมกับเสื้อวอร์มของเคนที่คลุมร่างอยู่
“มีอะไร”เคนต้องถามกลับเพราะทั้งในน้ำเสียงและแววตานั้นมันมีความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากความสงสัยแฝงอยู่ด้วย
“เปล่า....หยิบกระเป๋าตรงนั้นให้หน่อย กูจะเอาบุหรี่” ยุทธ์ตอบพลางชี้ไปทางกระเป๋าที่วางอยู่ไม่ห่างจากที่เคนนั่งอยู่เท่าไรนัก เคนแทบจะโยนกระเป๋าให้กับอีกฝ่ายก่อนขยับตัวมาจะปิดประตูรถ ดวงตาคมมองหน้าของยุทธ์นิ่ง
“เอาไปเลย...กูจะนอนละ”
“มันอาจจะกว้างกว่าถ้าแกไปนอนข้างหลัง...” ยุทธ์ว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งที่อยู่ด้านหลังทียังว่างอยู่ เคนมองตามก่อนจะหันกลับมายิ้ม
“ไม่เป็นไร กูว่าตรงนี้ก็สบายดีละ....” เคนปฏิเสธก่อนจะเลื่อนประตูปิดลงตรงหน้าของอีกฝ่าย
ร่างสูงขยับตัวนั่งข้างๆจูนร่างสูงเอนหลังลงพิงกับเบาะยกแขนซ้ายขึ้นต่างหมอนในขณะที่มืออีกข้างก็วางลงบนมือของจูนที่ตกลงมาอยู่กับเบาะ ถึงแม้จะรู้ว่าด้านนอกนั่นยุทธ์ยังยืนมองเข้ามาแต่เพราะความมืดของฟิมล์ติดกระจกรถทำให้เขาไม่คิดที่จะยกมือของตัวเองออกแต่อย่างใด ชายหนุ่มหันหน้าไปมองคนที่ยังหลับอยู่
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังคิดจะออกเดินทางไปหาสิ่งที่ตนต้องการ มือข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้าอยากจะไขว่คว้าวิ่งตามคนที่เขาอยากจะให้มายืนอยู่ข้างๆกัน แต่ในขณะที่สองขาอยากจะวิ่งออกไปแบบนั้น ก็กลัวเหลือเกินว่าหนทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร กลไกของสมองและจิตใจที่จำต้องป้องกันตนเองจึงสั่งให้ร่างกายยึดเหนี่ยวสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้เอาไว้ให้มั่น ไม่กล้าที่จะปล่อยมือจากไปจนในที่สุดก็เหมือนกับร่างกำลังจะต้องฉีกออกเป็นสองส่วน จนยากที่จะใช้สมองมาคิดต่อได้ว่าสิ่งที่ควรจะทำต่อไปคืออะไร ปล่อยมือก่อน หรือคว้าเอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ก่อนกันแน่
“....กว่าจะถึงคงอีกนานล่ะมั้ง.....” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง คืนนี้เขาเองก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกัน
...................................
“พี่เคน....พี่เคน...ตื่นๆ ตาพี่ขับแล้ว” เสียงนุ่มดังขึ้นพร้อมกับแรงปะทะที่ข้างแก้มจนเจ้าของชื่อสะดุ้งตื่น
“หะ?...จูน?....โอย นี่แกตบพี่เรอะ”
“เออดิ่ ไม่ตบจะตื่นเหรอไปล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวจะได้ตื่นมาขับต่อ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มว่าพลางลงจากรถ
“แล้วนั่นแกจะไปไหน...”เคนงัวเงียขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองด้านนอกฟ้ายังไม่สว่างเลย
“อ่ะ...ก็...ไปนั่งข้างหน้า...พี่มาขับนะจะได้ให้พี่โชติกับพี่ยุทธ์ไปนอนข้างหลัง” เด็กหนุ่มว่าพลางยิ้มทำเอาเคนมึนงงกับท่าทางของจูน ดูท่าการได้นอนหลับลึกเต็มอิ่มคงทำให้ใครบางคนหายโกรธหายงอนเขาแล้วแน่ๆ รุ่นพี่หนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะก้าวลงจากรถไปล้างหน้าล้างตาตามที่จูนแนะนำ
“นี่เราถึงไหนแล้วเนี่ย....” เคนเดินกลับมาจากห้องน้ำก็ถามออกมาเมื่อเห็นโชติกับยุทธ์เดินกลับออกมาจากร้านสะดวกซื้อ
“อีกชั่วโมงนึงก็น่าจะถึงละ คงจะไปถึงหัวหินเช้าพอดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวมึงขับไปตามเนวิเกเตอร์ก็แล้วกัน....”ยุทธ์ว่า แต่เห็นทำท่างงๆ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แต่ถ้ามึงไม่เชื่อเทคโนโลยี กูเอาแผนที่ให้ไอ้จูนไว้ละ...มึงเข้าเขตหัวหินเมื่อไรมึงค่อยปลุกกู กูจะบอกทางต่อเอง พ่อกูให้คนไปเตรียมบ้านไว้ให้ละ”
“อะโห มีคนเตรียมบ้านให้ด้วย...พ่อมึงนี่ท่าจะรวยเนอะ” ด้วยความเคยชินเคนก็แซวออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร
“อย่าเริ่ม...กูหงุดหงิด ขับรถแม่งเมื่อย เครียด กูง่วงด้วยจะไปนอนละ” ยุทธ์ชี้หน้าก่อนจะเปิดประตูรถตู้เดินไปนอนที่ด้านท้ายของรถ โชติก็ได้แต่ยักไหล่
“มันหงุดหงิดห่าอะไรของมันก็ไม่รู้....ขับซ้ายปาดขวารถจอดเปลี่ยนกันได้นี่กูแทบอยากกระโดดลงมาอ้วก มึงหลับลงไปได้ไงวะ เคน”
“อ่ะเหรอ....ไม่รู้เหมือนกันกูเหนื่อยนี่หว่า.....ว่าแต่ไอ้จูนมันเพิ่งตื่นเหมือนกันเหรอ” เคนพยักเพยิดไปทางคนที่ขึ้นไปนั่งข้างคนขับเรียบร้อย
“เปล่า มันก็ลุกพรวดขึ้นมาตอนมึงหลับไปแล้วนั่นล่ะ”
“เหรอ....เออๆ “ เคนรับคำเบาๆ อดนึกหวั่นในใจไม่ได้ว่าจูนจะรู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วหรือเปล่า
....คงไม่รู้ตัวมั้ง ถ้ารู้ป่านนี้กูคงโดนด่าหูชาไปแล้ว....
“เอาเถอะ มึงไปนอนไป เดี๋ยวกูขับไปถึงหัวหินเมื่อไรแล้วจะปลุกละกัน” เคนตบไหล่เพื่อนเบาๆก่อนจะรับกุญแจรถมาจากโชติแล้วกลับไปทำหน้าที่สารถีผลัดสุดท้าย จะแตกต่างจากเดิมก็ตรงที่ในหนนี้มีจูนมานั่งอยู่ข้างๆก็เท่านั้นเอง
ถนนมุ่งหน้าสู่หัวหินจำนวนรถบรรทุกเริ่มบางตานั่นทำให้พอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง เคนเปิดปากหาวเล็กน้อย ก่อนจะขยับกระจกมองด้านหลัง ทั้งโชติและยุทธ์เอนเบาะหลับคร่อกกันไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้พวกนั้นก็ท่าจะเหนื่อยจริง....” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ
“ปรกติขับกันใกล้ๆอยู่ๆให้มาเหยียบกันคนละสองสามร้อยกิโล ถึงจะไม่เหนื่อยตัวก็คงเหนื่อยประสาทกันบ้างล่ะ” จูนเอ่ยออกมาเบาๆ พลางหยิบขนมเข้าปาก
“ แล้วแกล่ะ เหนื่อยไหมหลับสนิทขนาดนั้น....” เคนอดที่จะแหย่ไม่ได้
“จะบอกว่าผมนอนมากจนน่าจะเหนื่อยก็บอกมาเถอะ....” จูนหันไปค้อนด้วยสายตาแต่ก็ยังใจดีส่งขนมให้กับรุ่นพี่ “กินป่ะ...”
“ป้อนสิแล้วจะกิน.....” เคนหันมายิ้มมีเลศนัย
“งั้นก็อดไปซะเถอะ แม่งเรื่องมาก” จูนชักขนมกลับทันที เคนเหลือบมองท่าทางแบบนั้นเล็กน้อยก่อนจะยอมแบมือให้จูนเทขนมใส่มือเขาดีๆ เขาเพิ่งสังเกตเห็นแขนเสื้อวอร์มสีคุ้นตาเพราะเมื่อครู่มัวแต่คุยกับโชติเลยไม่ทันสังเกต แต่ตอนนี้แสงไฟที่สาดมาจากรถที่สวนทางมาทำให้เห็นได้เต็มตา
“อุ่นไหม.......” เสียงทุ้มเอ่ยถามแผ่วเบา ไม่ได้อยากให้ยุทธ์หรือโชติได้ยิน
“อ่ะ อื้ม....... “ จูนอ้อมแอ้มตอบ หลุบสายตาลงต่ำมองเสื้อวอร์มที่เขใส่อยู่ตอนนี้ เขาตื่นขึ้นมาก็เจอเสื้อตัวนี้คลุมทับอยู่โดยมีอีกฝ่ายนอนอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งกุมมือของเขาเอาไว้ นั่นทำให้รู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก จึงได้รีบลุกขึ้นมานั่งคุยกับพวกโชติและยุทธ์อยู่นานสองนาน
“แต่กลิ่นไม่ไหวนะ....ซักหน่อยเหอะ”
“กลิ่นไม่ไหวนะ?....แล้วใครใช้ให้เอาไปใส่ล่ะ หรือจริงๆก็ชอบกลิ่นพี่” เคนอดไม่ได้ที่จะแหย่ เขารู้ว่าเสื้อมันไม่ได้มีกลิ่นขนาดนั้นในเมื่อเขาเพิ่งจะซักเสื้อวอร์มตัวนี้เมื่อวานก่อนและยังไม่ได้ใส่เลย จะมีก็คงมีแต่กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้นและจูนเองก็คงรู้ดี
“พูดอะไรบ้าๆ....ใครจะทนนั่งดมกลิ่นน้ำมันมวยพี่ได้ล่ะ” จูนหันไปตบไหล่ของคนขับรถดังอัก
“ก็ถึงบอกไงว่า ใครใช้ให้เอาไปใส่.....” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็........................” จูนหมดคำพูด หลักฐานมันคาตัวเขาอยู่แท้ๆ ทั้งๆที่ในกระเป๋าก็มีเสื้อฮู๊ดกันหนาวของตัวเองติดมาด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปหยิบมาใส่ ส่วนเสื้อนี่เขาก็ไม่ได้คิดจะคืนให้กับเจ้าของ สิ่งเดียวที่คิดได้เมื่อรู้สึกว่ามีเสื้อวอร์มตัวนี้คลุมกายอยู่คงมีแค่ความรู้สึกเดียวเท่านั้น ...
“ก็มัน.....อุ่นดีนี่” เด็กหนุ่มตอบพลางยกมือขึ้นแตะข้างลำคอถูเบาๆเมื่อรู้สึกร้อนขึ้นมาถึงข้างแก้ม
“ตัวแสบเอ้ย...... “ เคนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ “อุ่นก็ใส่ไปละกัน....แล้วก็นอนต่อซะ เดี๋ยถึงหัวหินแล้วจะปลุก”
“แล้วจะไม่หลงเหรอ.....” จูนถามไม่ค่อยอยากจะเชื่อเคนสักเท่าไร “ไม่เอาแผนที่แน่นะ?”
“ถึงพี่จะไม่ไฮเทคแบบไอ้ยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้โลว์เทคขนาดนั้นหรอกนะ แค่ไปตามไอ้เนวิเกเตอร์อะไรนี่ก็โอเคแล้วใช่ไหมล่ะ นอนเหอะ ถ้าหลงแล้วจะบอก”
“อะโห....พูดซะน่าหลับลงมาก...อ่ะ” จูนลากเสียงยาว
“เออน่า....นอนๆไปเหอะ..หนาวไหม จะได้ลดแอร์ให้....” ว่าพลางยื่นมือไปจะลดแอร์ให้กับอีกฝ่ายแต่จูนส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้โอเคละ” เด็กหนุ่มยิ้ม รอยยิ้มแบบที่ทำให้เคนต้องเบือนหน้าหนีเล็กน้อย
.....เวร....
....คนขับรถอยู่เว้ย.....
....อย่ามาทำหน้าน่ารักตอนกูทำอะไรมึงไม่ได้จะได้ไหมวะ....
“โอเค....แล้วแค่นี้ โอเคไหม” เคนกระแอมไอเบาๆ ก่อนจะละมือออกจากพวงมาลัยมาวางลงบนมือของอีกฝ่าย จูนมองมือแกร่งนั่นสลับกับหน้าของคนขับรถพลางทำตาโต คราวนี้เป็นฝ่ายของจูนเองที่ต้องเบือนหน้าหนีออกไปมองวิวข้างทางที่ยังมีแต่ความมืด
“ไม่รู้........ผมจะนอนแล้ว ห้ามกวนนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จูนก็ไม่ได้ดึงมือออกแต่อย่างใด ชีพจรใต้ผิวเนื้อนั้นเต้นแรงจนเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเคนจะรู้สึกได้หรือไม่ แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับตัวของเขามากคงเป็นความรู้สึกพึงพอใจในสัมผัสอุ่นที่ได้รับจากอีกฝ่ายนั่นเอง
.....บ้าไปแล้วเรา......
....แต่ทุกครั้งมันก็...อุ่น....
....และ...ถ้ามันจะอุ่นนแบบนี้.....
....ถ้ายอมบ้าไปสักพักจะเป็นอะไรไหมนะ.....
................................................ to be continued...
-
:impress2:
พี่เคนกับน้องจูนคุยกันกระนุงกระนิงไปมั้ย อร๊ายยยย-//////- น่ารักที่สุด(ถ้าไม่ติดพี่เคนมีแฟนแล้ว) เอายัยนิดออกไปปปป :katai1:
พี่ยุทธ์หึงแหละ ต๊ายตายจะเกิดศึกชิงนายรึเปละ โฮะ โฮะ โฮะ :laugh:
ติดตามค่าาาา :katai2-1:
-
จูนจ๋า...หิ้วทุกอย่างไปสมเป็นแม่บ้านผู้เตรียมพร้อมจริงๆ
อิพี่เคนนี่ก็อะไร เอะอะแต๊ะอั๋งเดี๋ยวตีมือหักเลย :beat: (แต่จริงๆเค้าชอบให้พี่เคนแต๊ะอั๋งน้องนะ :-[)
พี่ยุทธ์จ๋า พี่ยุทธ์จะลงสนามแย่งชิงน้องจูนมั้ยอ่ะ ถ้าลงเค้าจะเชียร์พี่ยุทธ์นะ เค้าหมั่นไส้อิพี่เคน :z3:
“....กว่าจะถึงคงอีกนานล่ะมั้ง.....” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง คืนนี้เขาเองก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกัน
นายก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ยังไม่กล้าตัดสินใจ ทำแบบนี้น้องมันก็เหนื่อยมันก็เครียดนะโว้ย!!!!!! :ling1: :ling1:
-
-24-
ชิงชัย
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเมื่อแสงแรกของวันค่อยๆสาดแสงแหวกผ่านหมู่เมฆออกมา จูนขยี้ตาเล็กน้อยด้วยรุ้สึกเคือง ความปวดเมื่อยแล่นลามไปทั่วตัว การนั่งคุดคู้อยู่ที่เบาะหน้าเป็นระยะเวลานานๆทำให้เมื่อยได้อยู่ไม่น้อย เมื่อหันไปข้างๆ เห็นยุทธ์เปลี่ยนมาขับรถแทนเคนแล้ว
“พี่ยุทธ์?.....”
“ตื่นแล้วเหรอ....” เสียงยุทธ์ถาม ใบหน้าสวยได้รูปกับแสงแดดยามเช้าทำให้จูนนึกอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
....โห....
...ขนาดนอนน้อยยังหน้าตาดีอ่ะคนเรา...
“เป็นอะไร....ทำหน้าเหมือนคนปวดฉี่...ทนหน่อยเลี้ยวข้างหน้านี่ก็ถึงแล้วล่ะ” ยุทธ์แหย่รุ่นน้องเล็กน้อย มือเรียวยื่นไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ จูนหัวเราะ
“ใครปวดฉี่กัน....ว่าแต่จะถึงแล้วใช่ป่ะพี่”
“อื้ม เนี่ย....บ้านรั้วไม้สีเขียวเนี่ย เดี๋ยวแกลงไปกดออดให้หน่อยนะ” ว่าพลางชี้มือไปยังบ้านรั้วไม้สีเขียวที่อยู่ทางซ้าย มองจากด้านนอกดูร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ขึ้นใหญ่ขึ้นครึ้มไปหมด เด็กหนุ่มกระโดดลงจากรถ จะไปกดออด แต่ก่อนจะได้ก้าวไปไหนสายตากลับมองเลยตามถนนเล็กๆหน้าบ้านที่ดูเหมือนถนนส่วนบุคคลของคนแถวนี้เลยลงไปจนสุดถนน เห็นประกายระยิบระยับของแสงแดดยามเช้าที่สะท้อนกับผืนน้ำ
“พี่ยุทธ์ ทะเลล่ะ ทะเล!” จูนร้องพลางงกระโดดขึ้นอย่างดีใจ จนคนขับรถขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“มาหัวหิน คิดว่าจะไม่เจอทะเลรึไง ไอ้บ้า....เฮ้ย พวกมึงดูน้องมึงดิ่ เกิดมาไม่เคยเจอทะเลรึไงวะนั่น”
“เออ จริง....” โชติเองก็หัวเราะ
“สงสัยมันนั่งรถมากจนเพี้ยน” เคนเองก็ลุกขึ้นมาชะโงกดูก่อนจะเปิดประตูเดินลงไป “รีบๆกดออดสิจูน”
“อ้อๆ...ลืมไป” จูนหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะกดออด
............ปิ๊ง ป่อง..................
“มาแล้วค่า มาแล้ว.....” เสียงหญิงสูงวัยดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กเดินก้าวเร็วๆมาที่ประตูพร้อมกุญแจพวงใหญ่ในมือ
“สวัสดีครับ “จูนยกมือไหว้หญิงสูงวัยทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
“สวัสดีค่ะ เหนื่อยไหมคะทุกคน อ่ะ คุณยุทธ์ขับมาให้เหรอคะ” หญิงสูงวัยเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ครับ.... ให้พวกผมช่วยเปิดนะครับคุณน้า” เคนยิ้มหวานให้หญิงสูงวัยก่อนจะช่วยเธอเปิดประตูเหล็กเมื่อเห็นว่ากุญแจถูกปลดออกแล้ว
“ขอบใจนะจ้ะ เดี๋ยวพวกหนูเข้าไปข้างในเลยก็นะคะ น้าเปิดบ้านไว้ให้แล้วล่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ....งั้นเดี๋ยวพวกผมรอเอารถเข้าละกันครับจะได้ขนของลงทีเดียว” จูนยิ้มก่อนจะหลีกทางให้ยุทธ์เอารถเข้ามาด้านใน พวกเขาเดินตามรถตู้คันใหญ่นั่นไปช้าๆ
อากาศยามเช้าทำให้รู้สึกสดชื่นได้ไม่หยอก จูนสูดลมหายใจเข้าลึกได้กลิ่นอายของเกลือทะเลลอยมาแตะจมูก มองผ่านร่มไม้เข้าไปด้านในเห็นบ้านหลังสวยสไตล์โมเดิร์นซ่อนตัวเองอยู่ท่ามกลางต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบ ประตูบานกระจกนั่นเปิดกว้างตอนรับคล้ายจะเชื้อเชิญ ในใจนึกสนุกอยากจะออกไปเดินให้สุดปลายถนนนั่นเสียจริงๆด้วยอยากรู้ว่าจะเดินลงหาดไปได้เลยหรือเปล่า
“เก็บอาการหน่อยก็ได้...”
“อะไร.....” จูนหันควับ แต่เคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อมีเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า พร้อมกับมือแกร่งที่ดันเบาๆที่ด้านหลังให้เขารรรีบเดินไปเพื่อช่วยยุทธ์กับโชติขนของลงจากรถตู้
เมื่อเข้าไปด้านในบ้านหลังนี้กว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอก ประตูกระจก และหน้าต่างกระจกบานใสประกอบกับการตอแต่งที่ภายในเน้นสีขาวและสีเขียวอ่อนทำให้ดูสว่างเย็นตา โซฟาสีเขียวหัวเป็ดชุดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขกทั้งสี่คนถูกหญิงวัยกลางคนผู้ดูแลบ้าน “ต้อน” ให้ไปนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก และกำลังเดินเอาน้ำเย็นใส่แก้วมาเสิรฟ
“อุ่ย น้าอรครับไม่ต้องเสริฟน้ำก็ได้ แหม่ แค่นี้พวกผมก็มากวนน้าอรจะตายอยู่แล้ว” น่าแปลกที่ยุทธ์ซึ่งปรกติเป็นคนที่เหมือนไม่ค่อยจะมีมารยาท แต่กับหญิงสูงวัยที่อีกฝ่ายเรียกว่า “น้าอร”นั้นท่าทีของยุทธ์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยุทธ์ดูนอบน้อมและคล้ายจะอ้อนน้าอรเล็กๆด้วย
“พูดแบบนี้ได้ยังไงคะ คุณยุทธ์ไม่ได้มาเที่ยวที่หัวหินนี่ตั้งนานแล้ว น้าละดีใจจะตายไป นานๆจะได้เจอกันเสียที แหม...นอกจากจะโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วเพื่อนๆที่พามายังมีแต่หล่อๆแบบนี้ นี่ถ้าป้ารับรองไม่ดีเดี๋ยวเพื่อนคุณยุทธ์จะว่าน้าได้นะคะ ดีไม่ดีคุณป๊ารู้เรื่องจะตามมาดุน้าอีกคน”
“ฮ่ะๆ...ผมว่าไม่เห็นจะเกี่ยวเลย แต่ยังไงก็ขอบคุณน้าอรมากนะครับ ช่วงจะปีใหม่แท้ๆยังต้องมาทำความสะอาดบ้านให้อีกคงงานหนักแย่”
“โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วงนี้ไม่มีคนมาเช่าบ้าน น้าก็ต้องเข้ามาทำมาดูแลกันทุกๆเดือนอยู่แล้ว นี่คราวนี้ทำความสะอาดทั้งบ้านเลยด้วย เอาเป็นว่าคุณยุทธ์ไม่ต้องกลัวเรื่องจะแพ้ฝุ่นนะคะ”
“น้าอร!.....” ยุทธ์ร้องลุ่นอยากจะเข้าไปปิดปากอีกฝ่ายเสียจริง แตคงไม่ทันเสียแล้ว
“เห...แพ้ฝุ่น อย่างเจ้ายุทธ์เนี่ยนะครับ?” โชติชะโงกหน้ามาสอดอย่างรวดเร็ว ดูจากพฤติกรรมของเพื่อนเขาแล้วช่างไม่เข้ากับคำว่าแพ้ฝุ่นเลยจริงๆ
“ค่ะ สมัยก่อนนะ หน้าตาน่ารักอย่างกับเด็กผู้หญิง แต่ซนเป็นลิงเชียวละ น่าสงสารตรงที่ไปวิ่งซนกลับมาทีไรผื่นขึ้นเต็มตัวทุกทีเพราะว่าแพ้ฝุ่นน่ะค่ะ” น้าอรเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตของยุทธ์ให้อีกสามคนฟัง
“โอย น้าอรพอเถอะครับ...” ยุทธ์อายเสียจนหน้าแดง ได้ยินเสียงพวกโชติ เคน และจูนนั่งหัวเราะคิกคัเพราะอดขำไม่ได้ ถึงเขาจะหันไปมองก็แล้วแต่ทั้งสามคนก็ยังไม่หยุด
“เออใช่ น้าซื้อโจ๊ก กับปาท่อโก๋แล้วก็น้ำเต้าหู้เอาไว้ให้ เผื่อจะหิวกันนะคะ แล้วในตู้เย็นก็มีพวกของสดกับเครื่องปรุงนะคะ เห็นคุณป๊าโทรมาบอกว่าจะมาอยู่กันหลายวันคงอยากทำอะไรกินกันเอง เอาเป็นว่าน้าไม่กวนก็แล้วกันค่ะ อยู่กันดีๆนะคะ อย่าเสียงดังมากล่ะแถวนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยแต่ดั้งแต่เดิม เป็นคนในพื้นที่ทั้งนั้นเขาจะอยู่กันเงียบๆหน่อยน่ะค่ะ ถ้าอยากเฮฮาหรือเที่ยวกันนี่อาจจะต้องเดินกันอีกสักหน่อย แต่เอามอเตอร์ไซค์น้าไว้ใช้ได้เลยนะเติมน้ำมันไว้ให้แล้ว เอารถตู้มาบางทีมันหาที่จอดไม่สะดวกเท่าไร ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็โทรหาน้าได้ บ้านน้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก” น้าอรพูดยาวเหยียด ก่อนจะยื่นกุญแจบ้านกับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้กับยุทธ์
“งั้นน้าไปก่อนนะคะ” ว่าพลางก็เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กๆของตัวเอง น้าอรดูเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อยทำให้พวกโชติรู้สึกคุ้นเคยได้แค่ไม่กี่นาที
ยุทธ์เดินไปส่งน้าอรที่หน้าประตู เขายืนมองดูหญิงสูงวัยร่างเล็กเดินฉับๆออกไปที่หน้าปากซอยจนเมื่อร่างนั้นเดินลับตาไปจึงเเดินกลับมาพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“เป็นอะไรโดนเผานิดหน่อยนี่ถึงกับถอนหายใจเลยเรอะ” โชติตบหลังเพื่อนพลางหัวเราะ
“ก็หวั่นๆตั้งแต่มาถึงแล้วล่ะ” ยุทธ์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนอนที่โซฟา โดยมีตักของจูนเป็นหมอน
“ขอนอนก่อนได้ป่ะ....”
“อ่ะ เฮ้ย พี่ยุทธ์ เล่นอะไร” ถึงจะท้วงไปแบบนั้น แต่จูนก็ไม่ได้ขยับหนี...อันที่จริงแล้วเขาหนีไม่ทันเสียมากกว่า
“ง่วงไง จะนอนไม่ได้เรอะ” ยุทธ์เอ่ยอย่างเอาแต่ใจพลางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของตักเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ได้แต่ทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน จะเล่นหัวหรือก็รู้สึกแปลกๆ ตรงกันข้ามกับเคนที่ดูเหมือนจะรู้ดีทีเดียวว่าควรจะทำอย่างไรกับเพื่อนตัวแสบของตัวเอง
“อยากนอนไปนอนที่ห้องดีกว่าไหมสาด....” เคนเดินมาดึงขาของเพื่อนให้ตกลงมาจากโซฟา “อย่าเพิ่งมานอนตรงนี้ เอาของเก็บก่อนดีกว่าไหม จะให้พวกกูนอนที่ไหน อย่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว” ร่างสูงใหญ่ของเคนที่ยืนค้ำหัวอยู่นั่นทำให้ทั้งยุทธ์และจูนต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้
“เออๆ.... ขัดกูจังวุ้ย” ยุทธ์ลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ดวงตากลมโตนั่นมองหน้าของเคนอย่างไม่พอใจ ก่อนจะลากคอเสื้อของโชติให้เดินไปทางห้องครัว “มานี่ จะพาไปดูห้องครัว”
“พี่เคนอ่ะ ทำพี่ยุทธ์โกรธเลย” จูนหันมาดุเคนเล็กน้อย ซึ่งร่างสูงก็ได้แต่เบือนหน้าไปอีกทาง
“ช่วยไม่ได้ มันทำตัวน่าหมั่นไส้นี่หว่า”
....กูจะจับไอ้จูนยังต้องขอก่อนเลย ทำไมมันนอนตักได้วะ....
“น้าอรเขาเคยเป็นพี่เลี้ยงของกูตอนกูเด็กๆ แล้วแกก็ลาออกมาแต่งงาน หลายปีก่อนโน้นที่บ้านแกมีปัญหาเรื่องเงินเลยขายที่ดินนี่ให้ป๊ากู แกบอกว่าดีกว่าให้พวกนายทุนมาเอาไปทำโรงแรมแล้วไม่เก็บต้นม้งต้นไม้ไว้ให้แกเลย... แต่ก่อนตรงนี้เป็นบ้านไม้ แต่ป๊ากูก็เพิ่งมาทำบ้านใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี่ล่ะ เผื่อจะเอาไว้ให้ฝรั่งมันเช่าบ้านแต่ ช่วงนี้ไม่มีคนเช่า กูเลยขอมาใช้...”
ยุทธ์อธิบายพลางเดินนำเข้าไปในห้องครัว เพื่อนทั้งสามคนเองก็เดินตาม ภายในครัวมีถุงโจ๊กกับปาท่องโก๋วางเอาไว้ให้ที่เคาท์เตอร์กลาง ครัวก็เป็นครัวฝรั่งที่มีอุปกรณ์ครบครัน ได้ยินเสียงโชติร้องอู้หูอ้าหาพึมพำในความสวยงามของเครื่องครัว
“เย็นนี้ไปหาอะไรมาทำกินกันดีกว่าว่ะเฮ้ย....” โชติว่า
“มึงเปิดตู้เย็นดูก่อนเหอะ ในนั้นก็คงจะตกมาทับมึงตายได้แล้วล่ะ” ยุทธ์ชี้ไปที่ตู้เย็นเขารู้ดีว่า น้าอรเป็นคน “เยอะ” ในทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของเขาอดีตพี่เลี้ยงของเขาคนนี้มักจะใส่ใจมากเป็นพิเศษด้วยความเอ็นดูอยู่เสมอ
ได้ยินยุทธ์พูดแบบนั้นทั้งโชติทั้งจูนก็มองหน้ากันก่อนจะลองเปิดประตูตู้เย็นขนาดใหญ่ดู ก่อนจะต้องอ้าปากค้างอีกเมื่อมีทั้งของสด ขนมนมเนย เครื่องปรุงต่างๆ ใส่ไว้ให้เต็มตู้
“นี่น้าเขาคิดว่าพวกเรามากันสามสิบคน หรือจะอยู่กันสักปีหรือยังไงเนี่ย”
“กูก็บอกแล้วว่าอย่าเยอะ....น้าเขาเยอะตลอดเลยไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน ถ้าเหลือเดี๋ยวเขาคงจัดการเองล่ะ”ยุทธ์พูดอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ก่อนจะเดินไปหยิบจานชามมาให้เพื่อน
“เอ้า กินๆกันซะ แล้วใครจะแยกย้ายไปอาบน้ำ ก็ไปอาบได้นะ ข้างบนมีห้องนอนอยู่สองห้อง มีห้องน้ำในตัว ข้างล่างมีห้องน้ำอีกหนึ่งเดี๋ยวจะได้ไปทำงานกัน”
..............................................................
ทะเลหัวหินในวันอากาศดีมองจากไกลๆเห็นเป็นสีฟ้าสดทำให้ใจที่เหนื่อยจากการเดินทางของโชติสดชื่นขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
“เอาล่ะ!!! มาถ่ายหนังกันเถอะพวกเรา!!” โชติตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“...หึหึหึ ...” ได้ยินแต่เสียงของสมาชิกชมรมการแสดงทั้งสามคน กำลังพยายามแล้วที่จะกลั้นหัวเราะกันจนไหล่สั่น
“หัวเราะอะไรกันวะ....” โชติหนกลับไปมองหน้าเพื่อน
“ก็ดูสภาพมึงดิ่ เนี่ยนะผู้กำกับ” ยุทธ์หัวเราะออกมา เขารับไม่ได้กับเซนส์ทางแฟชั่นของอีกฝ่าย โชติใส่แว่นกันแดดเรย์แบนด์รุ่นพ่อกับเสื้อยืดย้วยเก่าสีขาวขมุกขมัว กางเกงขาสั้นสีดำรองเท้าแตะหูคีบ แต่ที่ดูจะโดดเด่นเตะตาคงเป็นหมวกสานปีกกว้างที่ไม่รู้ว่าไปสรรหามาจากไหน
“ช่วยไม่ได้ วันนี้กูไม่ได้เข้าฉากนี่หว่า เป็นมึงคนเดียวเลย เดี๋ยวจะให้วิ่งหล่อขึ้นลงๆทะเลนี่ล่ะ เอาแบบ ผมหนุ่มหล่อมาดแมนมาเล่นน้ำทะเลน่ะ โอเคไหม”
“ถ้าเรื่องหล่อเฉยๆ แค่นี้กูทำได้อยู่แล้ว งานถนัด” ยุทธ์ยืดอกตอบไม่ได้มีถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย “ว่าแต่รองพื้นอะไรนี่มันลงน้ำได้เหรอจูน” ว่าพลางก็หันมาหาช่างแต่งหน้าประจำกอง
“เอ....เขาก็ว่างั้นนะผมก็ยังไม่เคยลองจริงๆเหมือนกันว่าจะทนน้ำได้ขนาดไหน....” ไม่พูดเปล่าจูนเข้าไปใกล้พลางดึงหน้าของยุทธ์เข้ามาพิจารณาใกล้ๆอีกรอบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาลงรองพื้นเป็นอย่างดีตามแนวทางที่ “กูรู”ในอินเตอร์เน็ตเขาว่ากันไว้ว่าจะไม่หลุดไม่ลอกท้าฟ้าท้าฝน
“ ไม่งั้นลองถ่ายฉากที่จะเปิดตัวพี่ยุทธ์ก่อนไหมล่ะ แล้วเดี๋ยวให้พี่เคนไปเล่นเป็นตัวประกอบเป็นเพื่อนพี่ยุทธ์อ่ะ””
“เออ.....ให้วิ่งๆกันจนเหงื่อออกดูก่อนละกัน ถ้าหน้ามันลอกค่อยว่ากัน ไหนๆทะเลก็อยู่แค่นี้จะถีบยุทธ์ลงน้ำแล้วค่อยถ่ายตอนมันขึ้นมาก็คงไม่ลำบากอะไร .....ว่าแต่แดดแรงนะวันนี้ มีใครพกกันแดดมาบ้างป่ะ” โชติว่าพลางขยับปีกหมวกของตัวเองทำเอาทั้งสามคนต้องมองหน้าอย่างเช็งๆ
.....นี่ล่อหมวกปีกกว้างเท่ากระด้งแล้วยังอยากได้กันแดดอีกเรอะ.....
“ผมมีๆ.....” จูนว่าพลางโยนขวดครีมกันแดดที่เขาเตรียมมาถึงสองขวดให้กับโชติและยุทธ์ “ทาไว้ด้วย เดี๋ยวดำ”
“อ้าวเฮ้ยแล้วพี่ล่ะ.....” เคนชี้มือเข้าหาตัวเองทันที
“อ้าว...พี่เคนไม่ได้อยากดำเหรอ” จูนเลิกคิ้วสูง “นึกว่าเป็นเทรนนักกีมวย แบบต้องดำๆทาน้ำมันเยิ้มๆอะไรแบบนี้” จูนอดไม่ได้ที่จะแหย่
“พูดอะไรของแก ใครจะอยากเอาตัวเองมาปิ้งกลางแดดขนาดนี้....” เคนยกมือขึ้นเขกหัวของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะชี้ไปที่ขวดครีมกันแดดที่อยู่ในมือของจูน “ทาให้ด้วยดิ”
“เรื่องอะไร? ทาเองสิ....” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ผมสีอ่อนที่สะท้อนกับแสงแดดนั้นดูคล้ายจะเปร่งประกายชวนให้แสบตา
ท่าทางยียวนกวนประสาทนั้นทำให้เคนขมวดคิ้ว หนุ่มรุ่นพี่ยอมรับเลยว่าเขาหงุดหงิดกับท่าทางของยุทธ์มาตั้งแต่เมื่อคืน แล้วยังเมื่อเช้าจนสายก็แล้วยังนังหน้าระรื่นให้จูนช่วยแต่งหน้าให้อีกแบบนั้นมันเกินจะทน ร่างสูงตลบเสื้อยืดออกเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งและช่วงไหล่กว้างดูแข็งแรง ก่อนจะดึงครีมกันแดดมาจากมือของจูนเปิดฝาขวดบีบลงบนมือปริมาณไม่น้อยก่อนจะเริ่มทาครีมลงบนแผ่นอกของตัวเองทั้งๆที่ยังมองหน้าของจูนอยู่แบบนั้น สายตานิ่งเฉยแต่มีพลังมากพอจะทำให้ใจในอกของจูนเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ทาแล้ว...แต่ไม่ถึงข้างหลัง...ทาหลังให้หน่อยได้ป่ะ” เคนเอ่ยอย่างยียวนแล้งส่งขวดครีมกันแดดคืนให้กับอีกฝ่าย
“......เอาจริงอ่ะ....ไม่อายชาวบ้านเขาเลยใช่ป่ะ” จูนว่าพลางหันซ้ายหันขวา ไม่ห่างออกไปนักก็มีนักท่องเที่ยวนั่งจับกลุ่มกันอยู่
“แกคิดว่าพี่ยังเหลือความอายอยู่อีกรึไงตั้งแต่อยู่ชมรมนี่มาเนี่ย อีกอย่างนะ แกคงไม่อยากให้มีนักแสดงหลังกระดำกระด่างโผล่อยู่ในจอใช่ไหมครับ คุณเมคอัพอาร์ตติส”
“แค่ทาให้ก็พอใช่ไหมล่ะ โธ่เอ้ย วันนี้แสดงแทบไม่ต้องเห็นหน้าด้วยซ้ำ ทำไมเรื่องมากได้ขนาดนี้นะ” จูนกรอกตาอย่างเอือมระอาก่อนจะค่อยทาครีมกันแดดลงบนมือแล้วทาลงบนหลังของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก
“อืม.....อา......อูว.....เยี่ยมไปเลย”
“จะครางหาบิดาพี่เรอะ!” เด็กหนุ่มฟาดมือลงไปเต็มแรงทิ้งรอยแดงเอาไว้บนหลังของร่างสูง เมื่อเคนนึกทะเล้นทำเสียงครางออกมาเสียงดัง
“โอ้ย....เจ็บชะมัด อ้าว จะไปไหนอ่ะจูน..... “
“ไปเป็นตากล้องนะสิ” จูนตะโกนกลับมา เด็กหนุ่มเดินไปฟังยุทธ์อธิบายการใช้งาน และบอกเรื่องมุมกล้องที่เขาอยากได้
“เดี๋ยวถ่ายแบบนี้นะ...มุมนี้ไล่จากเส้นขอบฟ้าแล้วไปทางซ้ายเรื่อยๆจนเห็นพี่กับเจ้าเคนทางนั้น.......เฮ้ย เคนไปยืนตรงนั้นให้หน่อย” ยุทธ์ชี้มือให้เคนเดินไปอีกทาง เคนต้องยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้
“มุมนี้อ่ะเหรอ....” เด็กหนุ่มจับกล้องให้จับภาพของเคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ห่างออกไป
“ไม่....สูงกว่านั้นอีกหน่อย “ ยุทธ์ส่ายหน้าใช้มือประคองแขนของจูนให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย “ขยับซ้ายอีกนิด เห็นไหม” ยุทธ์เอ่ยเบาๆที่ข้างหูของเด็กหนุ่มทำเอาจูนต้องยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยมันจักกระจี้อยู่ไม่น้อยแต่เขาต้องตั้งสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ มากกว่าเรื่องอื่นๆ
“อื้ม...แบบนี้นะ แล้วยืนให้นิ่งเอาไว้พวกพี่จะวิ่งเข้ามาหากล้องแล้ววิ่งเลยไปเอง โอเค?”
“อ่ะ...ครับ” จูนพยักหน้าลงน้อยๆรู้สึกดีใจไม่อยากที่ช่วยเหลืองานของยุทธ์ได้
“โชติ แกโอเคนะ ถ่ายแบบนี้....” ยุทธ์หันไปหาโชติที่จ้องตรงมา แว่นกันแดดรุ่นพ่อกับหมวกปีกกว้างนั่นทำให้มองไม่ค่อยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก
“อ่ะ อื้ม เดี๋ยวลองถ่ายดูก่อน ถ้ามือจูนไม่นิ่งเดี๋ยวกูถ่ายเอง เอาแค่ที่น้องมันทำได้ก็พอ” โชติว่าพลางตบมือกับบทที่ถืออยู่ในมือ
การถ่ายทำเริ่มขึ้นด้วยฉากเปิดตัวของยุทธ์ตามที่ได้วางแผนกันไว้ การเดินในระยะสั้นๆ ยุทธ์ทำได้ดีกับใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มชวนให้รู้สึกสดใสตามไปปด้วย ถึงแม้คู่สนทนาปลอมๆในบทอย่างเคนจะทำหน้าคล้ายบอกบุญไม่รับก็ตามที โชติพิถีพิถันกับภาพที่ออกมามากถึงแม้จะต้องถ่ายเก็บไว้สี่ห้าเทคเขาก็ยอมเสียเวลาเพื่อให้ได้ภาพที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด
“เอ้า... เดี๋ยวจะให้วิ่งแข่งกันนะ วิ่งให้เต็มที่เหมือนแข่งกันจริงๆนะ โอเคไหม” โชติตะโกน ท่ามกางแดดร้องเปรี้ยงและอุณหภูมิที่เริ่มระอุขึ้น ทั้งๆที่ในตอนแรกต่างยินดีว่าพวกเขามาทะเลกลางหน้าหนาวแบบนี้ก็กลัวว่าอากาศจะขมุกขมัวแต่พออากาศสดใสจนจะเข้าขั้นร้อนเหงื่อตกขนาดนี้ก็เริ่มรู้สึกเสียใจอยู่เล็กๆ
“เอ้อ......” ยุทธ์ยกมือเป็นสัญญานว่าเขาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดแล้ว เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้เที่ยงเข้าไปเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่มานั่งทานอาหารก็มีมากขึน พวกเขาไม่อยากมาแสดงอะไรให้คนอื่นๆตกใจมากนักถ้าจบฉากนี้ก็อยากจะกลับเข้าไปที่บ้านพักกันเสียหน่อย
“หิวข้าวแล้วว่ะ คืนนี้จะนอนกับใครก็ยังไม่รู้ แกว่ามีห้องนอนอยู่สองห้องใช่ป่ะยุทธ์” เคนเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
“อืม...เตียงคู่ทั้งสองห้องนั่นล่ะ”
“เหรอ...จะห้องไหนก็เหอะ กูว่าจะนอนกับไอ้จูนนะคืนนี้” เคนเอ่ยออกมาเบาๆ
“แย่หน่อย กูก็ว่าจะนอนกับไอ้จูนเหมือนกัน พอดีไอ้โชติมันนอนกัดฟัน” ยุทธ์ตอบกลับมาก่อนจะหันไปมองหน้าของเคน
“มึงก็รู้.............”
“เออ...กูรู้....แย่หน่อยที่มีห้องแค่สองห้อง” เคนยืนกอดอกต่อหน้าของอีกฝ่ายดวงตาคมที่มองหน้าของยุทธ์นั้นมีความหมาย และเขาก็รู้ดีว่าความหมายที่สื่อออกมาในสายตาของยุทธ์นั้นคืออะไร
“จะให้ทำยังไงล่ะ “ยุทธ์เองก็หันมามองหน้าของเคนนิ่ง
“วิ่งสิ ใครไปถึงกล้องก่อนได้คนนั้นก็ชนะ...แล้วจะเลือกนอนห้องไหนกับใครก็ตามใจ” ถึงความเร็วของเขาจะไม่ได้มีมากขนาดจะเป็นนักกีฬากรีฑาได้แต่ก็เชื่อว่าตัวเองคงจะวิ่งได้เร็วกว่ายุทธ์เป็นแน่
“ได้.....” ยุทธ์พยักหน้ารับคำ บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างมั่นใจ
“เฮ้ย เดินกล้องแล้วนะ ....ซีน 3 เทค 1 แอคชั่น!!” เสียงโชติตะโกน
-
ทั้งยุทธ์และเคนเหลือบมองกันเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองจุดที่จูนถือกล้องยืนอยู่ นิ่ง และ นานจนคนที่ถือกล้องและตัวผู้กำกับเองยังรู้สึกว่าผิดปรกติ
“นับสาม...” เคนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“หนึ่ง........”
“สอง........”
“สา..........เฮ้ย!! “
ยังไม่ทันจะได้นับครบสามร่างเล็กของยุทธ์ชิงออกตัวไปก่อน เคนรู้สึกหัวเสียและไม่มีอะไรมากกว่าอารมณ์ฉุนเฉียวที่ผลักดันให้เขาก้าวขาวิ่งออกไปข้างหน้า พื้นทรายร้อนและยุบยวบต่างจากสนามกีฬาหรือพื้นถนนคอนกรีตที่เคยวิ่ง แต่เขาจะมัวแต่ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆแบบนั้นไม่ได้ ระยะห่างเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร ช่วงขาของเขาน่าจะยาวพอจะไล่ตามยุทธ์ที่นำไปไม่กี่ก้าวได้ทัน
ยุทธ์ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบไปมองเขารู้แค่ว่ามียักษ์ใหญ่ที่กำลังโกรธกำลังวิ่งไล่ตามหลังมาและหน้าที่เดียวที่เขาจะต้องทำคือวิ่งหนีให้พ้นสองขาเร่งสปีดและเป้าหมายของเขานั้นก็ใกล้แค่เอื้อม มือเรียวยื่นออกไปเมื่อระยะห่างระหว่างเขาและเคนทิ้งห่างในขณะที่ระยะห่างของเขาและจุดที่ตั้งกล้องนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“โห....มาแล้วๆ เร็วมาก...เหวอ...หยุด ...หยุดดิ่” เสียงจูนร้องโวยเมื่อเห็นทั้งยุทธ์และเคนพุ่งตรงมา ไมได้จะเดินเลยไปเหมือนอย่างที่ถ่ายมาในหลายๆฉากก่อนหน้านั้น
“เหวอ !!!!” จูนร้องลั่นเมื่อยุทธ์พุ่งเข้ามาหา กล้องวิดีโอที่ถืออยู่ในมือนั้นลอยละลิ่ว
“เฮ้ย..... “ โชติเองก็ต้องตะโกนด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกล้องลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศ ด้วยสัญชาตญานของผู้กำกับและเจ้าของกล้อง ร่างเล็กของโชติกระโดดรับกล้องเอาไว้ได้อย่างสวยงาม และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาได้ก็เห็นยุทธ์ล้มใส่จูนอย่างจัง
“โอย......จุก”
เสียงจูนครางเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองเห็นเพียงท้องฟ้าสดของหัวหิน ภาพที่เห็นในตอนนี้ต่างจากเมื่อครู่แบบเก้าสิบองศา ก่อนที่ฟ้าสีครามจะมีเงาดำมาทาบทับใบหน้าเล็กของยุทธ์อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่นิ้ว ดวงตากลมโตนั่นมองมาด้วยความเป็นห่วงจนในใจของเด็กหนุ่มอดคิดทบทวนไม่ได้ว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น ยุทธ์ดึงให้เขาล้มลงไปด้วยกัน มันไม่ใช่แค่การวิ่งชนเพราะหยุดไม่ทัน แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายยื่นแขนมาคว้าตัวของเขาเอาไว้มากกว่า
“เฮ้ย..จูน เป็นอะไรรึเปล่า พี่ขอโทษ...” ยุทธ์ว่าพลางพยุงให้จูนลุกขึ้นนั่ง
“มะ...ไม่เป็นไรครับพี่....”จูนหันมองซ้ายขวา “แล้วกล้องล่ะ กล้อง?”
“กล้องอยู่นี่....ปลอดภัยดี” โชติชูกล้องให้อีกฝ่ายดู เขาเปิดเช็คแล้วและภาพที่ได้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เป็นใบหน้าของยุทธ์ที่วิ่งเข้ามาหากล้องอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่มีสีหน้าผิดหวังสุดๆของ “ตัวประกอบ” ตามหลังมาติดๆ
“เป็นไงล่ะเคน จ๋อยเลย นักกีฬาวิ่งแข่งแพ้เด็กอาร์ตเนี่ย” โชติหันไปแหย่เคน แต่สายตาที่มองกลับมานั้นทำให้ต้องร้องอุทานออกมาเบาๆ
.....นี่ท่าจะอารมณ์เสียจริงๆวุ้ย.......
“พวกพี่จริงจังเกินไปรึเปล่าเนี่ย?” จูนหันไปมองทั้งหน้าของเคนและหน้าของยุทธ์
“ขอโทษ...พี่น่าจะวิ่งหลบไปอีกทาง” ยุทธ์ว่าพลางลุกขึ้นพร้อมๆกับพยุงให้จูนลุกขึ้นตามทันใดเห็นเงาของร่างสูงมาทาบทับพร้อมกับมือแกร่งที่จับแขนอีกข้างของจูนเอาไว้มั่น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตรงกันข้ามกับแรงบีบที่ข้อแขนทำให้จูนต้องหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ครับ? ไม่เป็นไรครับ...”
“เออ ก็ดีแล้วที่ไม่เจ็บอะไร คนบางคนมันวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือน่ะ มาเถอะ ไปช่วยไอ้โชติเก็บของกัน”
“ครับ.... “ถึงจะไม่เข้าใจสีหน้าและท่าทางของเคนนัก แต่เด็กหน่มจำต้องเดินตามเคนไปเพราะรู้สึกว่าโชติกำลังเก็บของอยู่คนเดียว
.............................................
มื้อเที่ยงผ่านไปด้วยความเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันมากนักอาจเป็นเพราะต่างคนต่างก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากตักข้าวผัดหมูที่จูนกับโชติช่วยกันทำเข้าปากเคี้ยวไปอย่างเงียบๆก็เป็นได้
“บ่ายนี้คงให้พักกันเนอะ.....”โชติสรุปเมื่อช่วยจูนล้างจานเสร็จ หันกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นทั้งเคนและยทธ์นั่งกันอยู่คนละด้านของโซฟา ท่าทางเหมือนไม่อยากจะคุยอะไรกันมากนัก ท่ามกลางความเงียบนั้นมีความตึงเครียดเล็กๆลอยอยู่ระหว่างคนทั้งสองคน
“พวกพี่ไม่มีอะไรแล้วใช่ป่ะ.....” เสียงจูนถามขณะที่เดินออกมาจากห้องครัว เห็นท่าทางของร่นพี่ทั้งสามคนก็ได้แต่โคลงศีรษะเล็กๆ “งั้นผม...ขอไปจัดของเข้าห้องหน่อยนะ” ว่าพลางก็เดินขึ้นไปข้างบน ตอนเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาอาบน้ำข้างล่างยังไม่ได้ขึ้นไปดูห้องด้านบนเสียด้วยซ้ำ
ร่างสูงโปร่งเดินขึ้นบันไดไม้สีอ่อนขึ้นไปจนสุดปลายบันไดมีทางเดินแยกออกทั้งซ้ายและขวา บานประตูไม้สีอ่อนเรียงกันสองบาน ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามกันนั้นก็เหมือนจะมีอีกห้องที่ยุทธ์บอกว่าห้องหนุ่งเป็นห้องเก็บของ เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตูห้องทางด้านซ้ายของทางเดินก่อน เป็นห้องตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวดูสะอาดตา พื้นห้องเป็นพื้นไม้ มีโต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้าและบานกระจกเล็กๆตั้งไว้พร้อมอยู่ เตียงแฝดวางคู่กัน มีผ้าปูที่นอนปูทับตึงเปรี้ยะ พอดินเข้าไปเปิดผ้าม่านและหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาก็มองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาเดินผ่านมาจากทางหน้าบ้าน
พอเงี่ยหูฟังดูจะได้ยินเสียงทะเลดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
“โห...ห้องอย่างดี นึกว่าต้องมาปูเสื่อนอนซะแล้วเรา” จูนเดินเข้าไปสำรวจพร้อมวางกระเป๋าลงบนเตียง
“เห็นฉันเป็นคนแบบไหนถึงจะให้พวกแกมานอนเสื่อ หะ....” เสียงยุทธ์ดังขึ้นที่ด้านหลัง จูนหัวเราะเบาๆ
“ก็คนแบบนั้น ไม่ใช่เหรอฮะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้ม
“ถ้าชอบจะนอนห้องนี้ก็ได้ หรือจะไปดูอีกห้องก่อนก็ได้นะ” ยุทธ์ว่า “แต่ก็คล้ายๆกันนั่นล่ะ เปลี่ยนแค่สี”
“งั้นอีกห้องสีอะไรอ่ะ” จูนถามทันควัน
“เอ่อ.....มาดูเองก็แล้วกัน” ยุทธ์ว่าพลางเดินไปเปิดอีกห้องที่เป็นโทนสีเขียวน้ำตาลดูขรึมเป็นผู้ใหญ่พร้อมด้วยเตียงแฝดวางคู่กัน
“ป๊าแกก็เข้าใจแต่งห้องนะ” โชติที่เดินตามขึ้นมาตอนไหนก็ไม่แน่ใจเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ทำเอายุทธ์สะดุ้งโหยง ก่อนเดินเข้าไปดูด้านในห้องสีเขียดูท่าทางเขาสนใจไม่น้อย เมื่อมองไปรอบตัวเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์หลายๆอย่างนั้นถูกเลือกสรรค์มาเป็นอย่างดี...อาจจะเรียกได้ว่าดีเกินกว่าจะเป็นบ้านให้เช่าพักธรรมดาๆ
“ใครว่า....พวกนี้กูแต่งเองเว้ย ดีไซน์บายยุทธ์ทั้งนั้น” พูดพลางก็ยืดอกด้วยภูมิใจกับผลงานตัวเองอยู่ไม่น้อย
“ว่าไงจูน แกจะนอนห้องไหน” โชติว่าพลางหันไปถามจูน
“ผมนอนห้องนั้น....” จูนว่าพลางชี้ไปทางห้องสีฟ้าที่อยู่อีกด้าน
“เออ งั้นพี่ก็.......” ยุทธ์กำลังจะเดินเอาของของตัวเองไปวางไว้เช่นเดียวกันแต่ยังไม่ได้ก้าวไปไหน ก็มีแรงดึง บางอย่างมาดึงกระเป๋า จากมือของเขาไป
“มึงมานอนกับกูนี่มา....จบเรื่อง” โชติเอ่ยทำท่าคล้ายจะตัดปัญหา
“อ่ะ อ้าว เฮ้ยไอ้โชติ แต่เมื่อกี้กูกับไอ้เคนตก......”
“หะ?” โชติเอียงหูมาเหมือนได้ยินไม่ถนัดหู “แกว่าอะไรนะ”
“ปะ....เปล่า “ยุทธ์ปฏิเสธทันควัน “ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่า กูกับไอ้เคนยังไม่ทันได้เลือกเลย”
“ให้มึงเลือกก็กว่าจะจบวันจบเรื่อง กูเลือกให้นี่ล่ะดีละ” โชติทำเสียงเข้มไม่ได้ฟังคำทักท้วงของยุทธ์สักเท่าไรนัก
“ว่าตามนั้น” เคนยืนยิ้มกว้างอยู่ที่บันได เขาได้ยินอะไรบางอย่างที่เขาจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้างแล้ววันนี้ ร่างสูงเดินหิ้วสัมภาระของตัวเองผ่านยุทธ์ไปยังห้องนอนสีฟ้าที่จูนเข้ายึดครองห้องไปเป็นที่เรียบร้อย
....................................................to be continued
@@@talk @@@
โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนจะมีคนประกาศศึกกันแล้วนะคะ
ชิงนาย??
หรือใครจะชิงใคร???
ต้องคอยติดตามนะคะ
by p.k.a
-
@@@ talk @@@
ตอนนี้มาสั้นๆง่ายๆ ได้ใจความค่ะ ฮ่ะๆ
ลองอ่านกันดูนะคะ ....ถูกใจ ไม่ถูกใจ
ตรงไหนทิ้งคอมเม้นต์ไว้ได้นะคะ
บทที 25
-- อย่าตื่นนะลูกพ่อ--
ไฟจากโคมไฟในห้องน้ำสว่างจ้า แต่ก็ยังเห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากหน้าต่างระบายอากาศ เคนนั่งนิ่งอยู่บนชักโครก เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองควรจะคิดอะไรต่อไป เท่าที่รู้มีเพียงในตอนนี้หัวมองของเขามันว่างเปล่า ความง่วงงุนคืบคลานเข้ามาอีกครั้งทั้งๆที่เพิ่งจะกินข้าวเที่ยงไปเมื่อไม่นาน
“นี่กูท่าจะเป็นเอามากจริงๆ.....” เคนพึมพำ
เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะกระทำลง ทั้งที่คิดว่าจะรอได้และคงจะห้ามใจห้ามร่างกายตัวเองเอาไว้ให้อยู่ เขามองไปที่ประตูห้องน้ำยังไม่แน่ใจนักว่าจะเปิดประตูออกไปตอนไหนดี แต่ที่แน่ๆคงยังไม่พร้อมจะเปิดประตูออกไปเจอเพื่อนร่วมห้องของตัวเองในตอนนี้
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า....
จูนขนกระเป๋าเข้าไปในห้องนอนแล้ว เคนเองก็เดินถือกระเป๋าตามมาหยุดที่หน้าประตู เตียงแฝดวางเคียงคู่กันอยู่กลางห้อง จึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไปว่ารุ่นน้องของเขาจะนอนเตียงไหน
“จะนอนไหน...ซ้าย ชวา...” เคนว่าพลางชี้ไปทางเตียงที้งสอง
“อืม......เอาไงดีล่ะ “จูนดูนึกไม่ออก เขาชอบที่จะนอนใกล้หน้าต่างแต่ก็อยากรู้ความเห็นของคนที่จะนอนด้วยคินนี้ “พี่ล่ะจะนอนไหน?”
“เตียงไหนก็ได้ หรือ....เอางี้ไหม เอาเตียงมาติดกันแล้วนอนด้วยกัน” เคนแหย่พลางเดินเข้าไปใกล้
“อืม ก็ดีนะ.....พี่จะบ้าเหรอ ไม่เอาหรอก เอ้อ...พูดอะไรแปลกๆ “จูนประชดทั้งๆที่ใบหน้าร้อนผ่าว “ผมเอาเตียงนี้ละกัน” ว่าพลางก็วางกระเป๋าจองเตียงด้านขวาติดริมหน้าต่าง ดึงเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋า เสื้อผ้าที่จะใช้ในการแสดงเองก็เอาออกมาวางไว้เช่นเดียวกัน
“จะรีดเลยเหรอ...” เคนวางกระเป๋าลงบนเตียงฝั่งที่เขาไม่ได้เลือก
“ยังหรอก หมดแรงละ” จูนทิ้งตัวลงนั่งกับปลายเตียงอย่างหมดแรง “แค่เอาออกมาวางไว้เฉยๆจะได้รู้ว่าจะใช้อะไรตอนไหนน่ะ” ว่าพลางก็เปิดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าที่จะใช้ในการถ่ายทำไปไว้อีกด้านหนึ่งของพื้นห้อง ในขณะที่เสื้อผ้าของตัวเองก็เอาไปแขวนใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า
“ก็น่าจะหมดแรงหรอก ยืนกันกลางแดดแปรี้ยงๆขนาดนั้น....ไม่เป็นลมแดดตายกันก็บุญแล้ว...”เคนหัวเราะเบาๆพลางยกแขนยืดตัวขึ้นพยายามจะบิดตัวเพื่อให้คลายความปวดเมื่อยแต่กลับกลายเป็นว่าความปวดยิ่งแล่นลามมากกว่าเดิมจนเคนคิดว่าเอนหลังลงไปนอนกับเตียงน่าจะดีกว่า
“โอย ไม่ไหวว่ะ ปวดหลังจริงๆ “
“พี่เคนเป็นอะไร ปวดหลังเหรอ” จูนที่กำลังนั่งพับผ้าอยู่หันมาถามด้วยความสงสัย
“อืม...เหนื่อยด้วย เมื่อยด้วย วิ่งกันเมื่อกี้ก็ไม่ได้วอร์ม....โอย....” แต่แทนที่จะได้รับคำปลอบใจกลับได้ยินเสียงจูนหัวเราะเบาๆ “หัวเราะไรวะ”
“หัวเราะพี่นั่นล่ะ บ่นเป็นตาแก่.....”
“หนอย คำก็แก่สองคำก็แก่นะไอ้ตัวแสบ มันน่านัก... “ไม่พูดเปล่าทำท่าจะลุกขึ้นมาขย้ำคอจูนจริงๆ แต่ก็ต้องลงไปนอนอีกรอบ “โอย...ไม่ไหว...ปวดหลังชิบหาย....”
“นวดให้ไหมล่ะ” อยู่ๆจูนก็นึกสนุกเสนอตัวขึ้นมาพร้อมลุกขึ้นเดินมาหยุดที่ข้างเตียงของเคน ทำมือขยับคล้ายจะขยำอะไรบางอย่าง ทำเอาเคนยิ้มแหยๆ พลางโบกมือปฏิเสธ
“เหอ...ไม่ดีกว่า แม่งท่า พิลึกนวดเป็นจริงรึเปล่าเนี่ย”
“เอาน่า... นวดเป็นนวดไม่เป็น เวลาอยู่บ้านก็นวดให้แม่ตลอดอ่ะ...แม่ยังชมเลยว่านวดเก่ง” มือเรียวส่งมาให้อีกฝ่ายจับเอาไว้ “เอ้าลุก นั่งดีๆจะนวดให้” เด็กหนุ่มดูจริงจังจนเคนต้องยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้ เคนขยับลุกขึ้นนั่งกับเตียง
“ถอดเสื้อด้วย” จูนออกคำสั่ง
“หะ...ต้องถอดด้วย? “เคนทำท่าเหมือนจูนจะมาลวนลามตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“อื้ม ไม่เคยเห็นเหรอ ตามแบบสปาไง” จูนตอบหน้าตาเฉย ทำเอาอีกฝ่ายขมวดคิ้ว
“แล้วแกเคยไปสปาเหรอ”
“ไม่อ่ะ จูนยักไหล่....เอาน่าจะได้กดได้ถูกจุดไง ถอดๆๆ” จูนยังตื้อไม่เลิก จนเคนต้องยอมตลบชายเสื้อยืดออกไปให้พ้นตัวเผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง แต่จูนก็ไม่ได้สนใจจะมองเพราะเด็กหนุ่มมัวแต่หันไปหยิบยาหม่องออกมาจากกระเป๋า
“ของแบบนี้ก็ยังเอามาด้วย?” เคนเลิกคิ้ว
“พวกพี่น่ะ เล่นกันแรงจะตายจะพลาดรึเปล่าก็ไม่รู้....หัวปูดขึ้นมาจะได้มีไว้ทาถู ทาถูกไง” จูนเอ่ยพลางขยับนิ้วคล้ายจะบอกให้อีกฝ่ายหันหลัง
เคนได้ยินเสียงผ้าปูที่นอนดังสวบเมื่อเด็กหนุ่มขยับลงนั่งซ้อนที่ด้านหลัง รู้สึกได้ถึงมือเรียวที่ค่อยๆวางลงบนไหล่ก่อนจะมีแรงกดส่งผ่านจากปลายนิ้วมานวดคลึงบนไหล่ไล่เรื่อยขึ้นไปที่ต้นคอ ค่อยๆเฟ้นไปทีละจุด เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกได้กลิ่นของยาหม่องที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากเลยทีเดียว
“โห....เส้นแข็งไปไหนเนี่ย....” จูนบ่นเบาๆ เสียงนุ่มที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาเคนขนลุกเผลอเกร็งไหล่ขึ้นมาอีก
“นี่พี่จะเกร็งทำไมเนี่ย” ไม่พูดเปล่าจูนตีไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ
“ขอโทษๆ ทำไมดุจังวะ...”
“ก็ดื้อเองนี่นา....” จูนพูดขึ้นเบาๆก่อนจะกดปลายนิ้วให้แรงขึ้นอีก ได้ยินเสียงซูดริมฝีปากเบาๆจากรุ่นพี่ร่างสูง
“ถ้าดื้อฝืนล่ะก็มันจะเจ็บหนักกว่านี้นะรู้รึเปล่า”
“อ่ะ....อื้ม” คำพูดหยอกเย้าของจูนนั้นทำให้เคนรู้สึกแปลกๆ ในอก แต่กระนั้นเคนก็ยังพยายามจะนั่งให้ผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มหลับตาลงรู้สึกถึงปลายนิ้วของจูนที่ค่อยๆนวดเฟ้นจากต้นคอไล้ลงมาที่สองไหล่ ไล่เรื่อยลงมาถึงกลางหลัง จนเมื่อจูนกดลงมาโดนจุดที่เขากำลังปวดสุดๆก็ต้องร้องครางออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อืม......ตรงนั่นล่ะ....ดีจัง....”
“ดีใช่ไหมล่ะ....ชอบแบบนี้ล่ะสิ” แม้ถ้อยคำจะฟังดูแปลกไปเสียหน่อย แต่เขาชอบที่จะนวดให้กับคนอื่นเพราะอีกฝ่ายจะมีปฏิกริยาคล้ายๆกันแบบนี้ ไหล่ห่อเกร็งก่อนจะค่อยผ่อนคลาย เสียงสูดริมฝีปากเบาๆ ปนกับเสียงคราง
“อ่ะ...อื้ม ดีตรงนั้นล่ะ กดแรงอีกหน่อยได้ไหม”
ได้ยินเสียงเคนร้องขอแบบนั้นคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก็ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เคนที่ดูเปป็นหนุ่มนักกีฬาร่างกายแข็งแรงทำอะไรบ้าๆห่ามๆอยู่ตลอดกลับร้องขอเบาๆแบบนั้นน่าขันอยู่ใช่ย่อย สองมือเลื่อนลงมาตามผิวเนื้อของร่างแกร่ง สัมผัสใต้ฝ่ามือนั้นเริ่มร้อนกล้ามเนื้อแข็งแรงที่อยู่ตรงหน้าเริ่มคลายตัว
“ดีป่ะ พี่ เห็นไหมผมบอกแล้วว่าผมเก่ง...” จูนชะโงกหน้าข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไม่มองหน้าของเคน แต่ดูเหมือนว่าเคนจะไม่ได้ตั้งใจฟังแล้ว ดวงตาคมปิดสนิทริมฝีปากเผยอน้อยๆ เสียงสูดลมหายใจเข้าริมฝีปากดังแผ่วๆ
จูนค่อยไล่นิ้วกดลงไปเบาๆให้อีกฝ่ายผ่อนคลายให้ได้มากที่สุดซึ่งก็เป็นเช่นนั้น
เคนชอบสัมผัสจากปลายนิ้วของจูน เขารู้สึกดีทุกครั้งทั้งตอนที่จูนแต่งหน้าให้ ในช่วงเวลานั้นปลายนิ้วของจูนจะแผ่วเบานุ่มนวลพอๆกับฟองน้ำที่แตะลงบนผิวแต่รู้สึกอ่อนโยนกว่านั้น และในตอนนี้ปลายนิ้วของจูนกลับแข็งแรงและให้สัมผัสอุ่นจนแทบจะเรียกได้ว่าร้อน แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายและวางใจได้อย่างน่าหลาด หัวใจของเขากำลังเต้นโครมครามอยู่ในอกเพราะสัมผัสนั้น ได้ยินเสียงนุ่มของเด็กหนุ่มที่คอยไต่ถามและนั่นมันทำให้รู้สึก.......บางอย่าง
“อ่ะ........” จู่ๆเคนก็สะดุ้งขึ้นสุดตัว จนคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการนวดเฟ้นผิวกายของรุ่นพี่ร่างสูงก็ต้องสะดุ้งไปตามๆกัน
“พี่เคน?....เป็นอะไร” จูนชะโงกหน้ามาดูหน้าของเคนแต่รุ่นพี่กลับขยับหนี
“ป่ะ....เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” มือใหญ่ของเคนยกขึ้นห้ามไม่ให้จูนขยับเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ ในขณะที่มือแกร่งอีกข้างก็คว้าหมอนใบใหญ่มากอดเอาไว้
“จะไม่เป็นอะไรได้ไง หน้าแดงด้วย ร้อนเหรอ...ห้องก็เปิดแอร์นี่ แล้วหลังไม่ปวดแล้วเหรอ”จูนขมวดคิ้วไม่ค่อยเข้าใจท่าทางของเคนนัก
“เปล๊า ไม่ได้ร้อนแค่แกไม่ต้องนวดแล้ว พี่หายแล้ว...เอ้ย ได้ยินป่ะ เสียงไอ้ยุทธ์เรียกแน่ะ” เคนปฏิเสธเสียงสูง
“ห่ะ? พี่พูดอะไร ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” จูนหันไปทางประตูห้องนอนที่ปิดอยู่ แตก็ไม่ได้รู้สึกว่าได้ยินเสียงใครเรียกเขาเลยแม้แต่น้อย
“เออน่า....ไอ้ยุทธ์มันเรียก แกลงไปหามันไป”เคนพูดตัดบทพลางลุกขึ้น มือแกร่งข้างหนึ่งจับแขนของจูนไว้แน่นกึ่งลากกึ่งกระชากให้อีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป
“อะ...อะไรกันเล่า ผมนวดไม่ดีเหรอ พี่เคน เดี๋ยวสิ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เด็กหนุ่มเองก็พยายามยื้อเขาแค่ต้องการคำอธิบายเท่านั้น ...นี่เขานวดให้อีกฝ่ายไม่ดีหรือยังไงจึงได้ทำท่าทีคล้ายกับโกรธเขามากขนาดนี้
“เออน่า ลงไปหาไอ้ยุทธ์ ไปเล่นกับไอ้ยุทธ์ไอ้โชติมันก่อนไปเดี๋ยวพี่ตามลงไป “ เคนกัดฟันแน่นพลางดันเด็กหนุ่มออกไปจากห้องทั้งๆยังถือหมอนบังส่วนกลางลำตัวเอาไว้ไม่ปล่อย
ปึง !!
“เอ้อ อะไรของเขา” จูนได้แต่เกาหัวแกรก ก่อนจะเดินลงมาตามบันได เห็นยุทธ์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงโซฟาสีเขียวที่ห้องนั่งเล่น จึงเดินเข้าไปหา “พี่ยุทธ์เรียกผมเหรอ?”
“เปล่านี่....มีอะไร?” ยุทธ์เลิกคิ้ว มือยื่นถุงขนมให้กับจูน “กินไหม?”
“อ่ะ ก็เมื่อกี้พี่เคนบอกว่า.....พี่เรียกผม?”
“เรียก?.....”ยุทธ์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปตามบันได “แล้วเมื่อกี้อยู่ข้างบนทำอะไรกัน? “
“ไม่มีอะไรฮะ ก็แค่จัดของกัน แล้วพี่เคนเขาบอกว่าเหนื่อยๆ แล้วก็เมื่อยๆเลยนวดให้ แล้วเป็นไงมาไงก็ไม่รู้พี่เขาก็ไล่มาเนี่ย” จูนทำปากยื่นแล้วนั่งลงข้างๆยุทธ์อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก มือเรียวหยิบขนมเข้าปากมาเคี้ยวตุ้ยๆ “อะไรของเขาก็ไม่รู้” ตรงกันข้ามกับยุทธ์ที่เหมอนจะปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้
“อืม...เข้าใจๆ “ ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวของจูนเบาๆ
.....จูนเอ้ย เมื่อไรจะประสีประสาให้มันเหมือนคนอายุเท่าๆกันสักทีวะ....
“ว่าแต่พี่โชติอ่ะ....” จูนถามพลางหันมองซ้ายขวา
“จัดของเสร็จก็เห็นว่าอยากไปถ่ายบรรยากาศแถวนี้น่ะ เลยเอามอเตอร์ไซค์ออกไปซิ่งน่ะ”
“อ้อ..... “
“ดูทีวีกันดีกว่าเรา เดี๋ยวพวกมันกลับมาเป็นผู้เป็นคนกันเมื่อไรก็มากันเองล่ะ”
เป็นคำพูดที่ฟังดูแปลกหู แต่ถึงจะไม่เข้าใจนักแต่จูนก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เขาจึงทำตามที่ยุทธ์ว่า เด็กหนุ่มหยิบหมอนอิงแถวนั้นมากอดแล้วหันไปสนใจกับรายการโทรทัศน์ที่ยุทธ์กำลังดูอยู่
..............................................
ในขณะเดียวกัน
“เฮ้อ......” เคนถอนหายใจยาว เมื่อในที่สุดก็ดันจูนออกไปจากห้องจนได้
ร่างสูงทรุดลงนั่งกับพื้นห้อง หมอนใบใหญ่ตกลงข้างลำตัว ในร่างกายของเขากำลังเกิดความร้อนรุ่มบางอย่างที่ในตอนนี้ยากจะสกัดกลั้น และเมื่อก้มลงมาตรงกลางลำตัวของตัวเองเคนก็ต้องเอาหลังศีรษะโขกกับประตูอย่างแรง เขาเพิ่งจะพ่ายแพ้ แพ้ต่อธรรมชาติที่บางครั้งบางทีก็ยากนักที่จะเข้าใจได้ของร่างกายมนุษย์นั้นเรียกร้อง เคนจำต้องพาตัวเองเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับความรู้สึกผิด เขาไม่ควรจะรู้สึกเช่นนี้ในตอนนี้ ถ้าจูนรู้เข้าคงไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเป็นแน่ เขาคงถูกหาว่าเป็นไอ้หื่นที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ใดๆ ทั้งๆที่จูนก็เพิ่งจะวางใจให้เขาอยู่ใกล้ได้แล้วแท้ๆ
“โอ้ย....ลูกพ่อ ทั้งๆที่เหนื่อยแทบตายขนาดนี้แล้วแกจะแรงดีจะมาตื่นอะไรเวลานี้วะ เจ้าเคนน้อย!!”
......................................... to be continued
@@ talk 2 @@
หมีเคน สงบสติอารมณ์หน่อยยยย น้องมันไม่รู้เรื่องงงงง :laugh:
-
กุรี้ดดดดดดด หมีหื่นนนนนนนนนน น้องจับนิดจับหน่อยทำเป็นบอบบางของขึ้น!! ชิส์!!
ถ้าจูนแกล้ง(โดยไม่ตั้งใจ)บ่อยหมีควายจะขาดใจตายก่อนมั้ยน้อ~~
ปล. พี่ยุทธ์สบโอกาสแล้ว ทำแต้มโล้ดดดดดดดดด
-
กรี๊ด~~~~~~ :haun4:
เดี๊ยนอยากเห็นเคนน้อยเต็มๆจัง :hao3: (โรคจิต!)
นี่มันอะไรกันคะพี่เคน น้องมันแค่นวด(ยังไม่ได้ยั่ว) พี่ก็ตื่นซะแล้ว :katai2-1:
เป็นหลักฐานที่ดีมากว่าตอนนี้คิดไปไกลกับน้องจูนขนาดไหนแล้ว หุหุหุ
-
วาดมาให้ค่าาา :impress2:
น้องจูนงง "พี่เคนเป็นไรอ่ะ"
"ปะ...เปล่า"
เปล่าไดไงว่ะ เกร็งทั้งตัวเลย -*-
[attachment deleted by admin]
-
-26 -
พี่ยุทธ์
“พี่เคนหายไปเลยแฮะ หลับคร่อกไปแล้วมั้งป่านนี้...พี่โชติก็ไม่เห็นกลับมาสักที” จูนเอ่ยขึ้นหลังจากดูหนังกับยุทธ์มาได้พักใหญ่เป็นหนังฝรั่งแนวสืบสวนพล็อตเรื่องซับซ้อนถึงจะไม่ได้รู้สึกถูกใจนักแต่ก็ไม่รู้จะดูอะไรจึงได้แต่นั่งดูกับยุทธ์ไปเงียบๆ
“จะไปรู้เหรอ...เฮ้อ หนังก็งง....ง่วงด้วย ขอยืมตักหน่อยได้ไหม” โดยไม่ได้รอคำตอบยุทธ์ขยับเข้ามายืมตักของจูนต่างหมอนอีกครั้ง
“ฮ่ะๆ จนได้อ่ะพี่ยุทธ์ ถามจริงนอนตักผู้ชายมันมีอะไรดี” จูนหัวเราะออกมาเบาๆยุทธ์มักยืมตักเขาหนุนนอนแทนหมอนอยู่เสมอ
“เฮ่ย ไม่ได้เที่ยวนอนตักทุกคนสักหน่อย ตักแกต่างหาก” คำพูดในตอนท้ายนั้นทำให้หมอนจำเป็นอย่างจูนต้องหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่เพียงแค่คำพูดเท่านั้นแต่กลับเป็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาด้วย
“หะ...พี่ก็พูดแปลกๆ...”
“จริง...ก็มันสูงกำลังดีนี่หว่า ไม่นิ่มไม่แข็งไป นอนสบายออก”ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางหลับตา “นอนล่ะ”
“ครับๆ อยากนอนก็นอนไปเหอะ”จูนไม่ได้ว่าอะไร นึกสนุกก็ยกมือขึ้นลูบผมก็อีกฝ่ายเบาๆ “จะให้ร้องเพลงอะไรกล่อมไหมล่ะ” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นกับสัมผัสเบาๆบนเส้นผมทำให้ยุทธ์ลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยช้ำจางๆที่ท่อนแขนของหนุ่มรุ่นน้อง
“นี่ไปโดนอะไรมา...” มือเรียวจับแขนของจูนให้อยู่นิ่งๆเพื่อจะดูให้ถนัดตา
“ไหน อ่ะ ....คงตอนล้มที่หาดล่ะมั้ง”จูนเองก็พลิกแขนมองเห็นรอยช้ำจางๆอยู่ที่แขน ของตัวเองเขานึกทบทวนเล็กน้อยก่อนจะตอบไป
“เจ็บไหม...ต้องทำแผลรึเปล่า?”
“ไม่นะ ไม่รู้สึกด้วยซ้ำ ถ้าพี่ไม่ทักผมก็ไม่รู้ตัวหรอก” จูนยิ้ม
“.......ขอโทษนะ ที่เล่นอะไรแบบนั้น แกเลยเจ็บตัวเลย” รุ่นพี่ร่างเล็กเอ่ยสีหน้าที่มักเปื้อนรอยยิ้มกวนๆ ดูเศร้าด้วยรู้สึกผิด
“งั้น.....เป่าเพี้ยงหาย”
ไม่ทันขาดคำยุทธ์จับแขนของเด็กหนุ่มมาเป่าลมใส่เบาๆ ลมร้อนที่สัมผัสแผ่วผ่านบนผิวเนื้อทำเอารู้สึกจักกระจี้อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มดึงแขนของตัวเองออกช้าๆ ได้ยินเสียงบ่นพึมพำว่า ทำไมชอบแกล้งเขากันนักหนา พาลทำให้ยุทธ์นึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมา
‘.....แกล้งกูเนี่ย....มึงสนุกนักใช่ไหม ไอ้โชติ.....’
เขาเอ่ยถามเมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนสีเขียว มองดูด้านหลังของเคนช่างแกล้งอย่างโชติด้วยความไม่พอใจสักเท่าไรนัก
‘ให้พูดตามตรงป่ะ.....’ โชติหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้ม ‘สนุกมาก’
‘เหอะ...’ ยุทธ์ทำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้องที่เขาไม่ได้เป็นคนเลือก และที่น่ารำคาญใจยิ่งกว่าคือทั้งๆที่เขาเป็นคน “ชนะ” กลับมีคนอื่นมาแย่งที่ของเขาไป
‘ชีวิตเศร้าแท้กูเจอหมีควายโกงไม่พอ ยังเจอคนใจร้ายแกล้งอีก’ ยุทธ์ตัดพ้อโชคชะตาของตัวเองเบาๆก่อนจะหันมามองหน้าของโชติ ‘มึงมันใจร้าย’
‘แต่ภาพมันฟ้องว่ามึงโกงไอ้เคนมันนก่อนนะ ...’ ไม่พูดเปล่าโชติเปิดคลิปที่จูนถ่ายไว้มายื่นให้ดู ยุทธ์มองค้อนตาเขียว
‘ ไอ้โหดร้าย....’
‘ลองถามตัวเองดูก่อนเถอะว่าใครโหดร้ายกว่ากัน..... รู้ทั้งรู้แท้ๆ’ เสียงโชติตอบกลับมาด้วยโทนเสียงที่แตกต่างจากคำพูดก่อนหน้าที่เจือด้วยอารมณ์ขัน ยุทธ์หยุดเขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้อยู่แล้วอีกอีกฝ่ายคงจะต้องพูดอย่างนี้
‘เออ กูมันเลือดเย็น โหดร้าย...แต่ถ้ามึงรับไม่ได้ ก็เงียบไปซะไม่ต้องมาพูดประชดกันแบบนี้....มันไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอก “ร่างเล็กลุกขึ้นมามองหน้าของโชติ สายตาของยุทธ์นั้นบ่งบอกความรู้สึกภายในใจได้ดี
“................................เออ” โชติรับคำห้วนๆ ก่อนจะเงียบไป เขาก้มลงมองกล้องวิดีโอที่อยู่ในมือ
“เดี๋ยวกูออกไปข้างนอกนะ จะไปเก็บภาพนิ่งในเมืองสักหน่อย...ยืมมอไซต์น้าพรหน่อยละกัน กุญแจอยู่บนโต๊ะใช่ป่ะ” เพื่อนผมฟูหันมาถาม
“เออ..... “ ยุทธ์รับคำอย่างไม่ใส่ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของโชติดังออกนอกประตูไป
...............................................
“ พี่ยุทธ์? หลับไปแล้วเหรอ ”เสียงนุ่มของจูนดังขึ้นเบาๆ เรียกให้ยุทธ์ตื่นจากภวังค์
“หืม....ไม่นี่ ยังไม่หลับ มีอะไรเหรอ”ยุทธ์เหลือบขึ้นมองใบหน้าของเจ้าของตักที่เขายืมใช้ต่างหมอน
“เห็นพี่เหม่อ...ทำหน้าเครียดด้วย เลยสงสัยอ่ะ เป็นไรมากป่ะ” จูนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่นี่....ฮ่ะๆ”ยุทธ์หัวเราะเห็นฟันขาวเหมือนทุกที ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มแก้มของจูนด้วยปลายนิ้ว “ทำหน้าแบบเนี้ยะ รู้เปล่าว่ามันน่ารักน่ะ”
“หะ? “ จูนเลิกคิ้ว เขาคงได้ยินอะไรผิดไป “พี่ว่าอะไรนะ”
“บอกว่าดูน่ารัก” ยุทธ์ย้ำคำที่พูดด้วยท่าทีสบายๆมีรอยยิ้มเปื้อนน้อยๆบนใบหน้า
“ฮ่ะๆ ตลกละ อย่างพี่ต่างหากเรียกว่าน่ารัก” จูนยิ้มเขินๆ ก่อนจะหันไปมองวิวของสวนนอกประตูกระจก “อย่างผมจะไปมีออะไร หน้าตาก็งั้นๆ ความสามารถอะไรก็ไม่มี ไม่เห็นมีอะไรดีเด่นเล้ย” จูนพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
.... ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่เคนมันเอาอะไรตรงไหนคิด...
...ถึงได้เป็นแบบนี้....
“ไม่เอาน่า จูน” ยุทธ์ทำเสียงคล้ายรำคาญเล็กๆ พลางลุกขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่าย “แกเป็นหนุ่มหน้าตาดีสไตล์ญี่ปุ่นเกาหลีพิมพ์นิยมขนาดนี้ เป็นเด็กดีพี่หลอกอะไรก็เชื่อแบบนี้ใครจะไม่ชอบ”
“.....เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พี่จะชมหรือพี่จะด่าผมวะ” จูนนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามกลับ
“ก็ชมสิ...”ยุทธ์สบตาของเด็กหนุ่ม “รู้อะไรไหม แกต้องพูดถึงเรื่อ่งดีๆของตัวเองบ้าง แล้วก็หัดรับคำชมจากชาวบ้านบ้าง เพราะคนเรามักจะมองเห็นตัวเองคนละแบบกับที่คนอื่นมอง” สองมือยกขึ้นจับไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้มั่น ดวงตากลมโตนั่นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เขาร฿ดีว่าอีกฝ่ายคงจะไม่เข้าใจ
“....เพราะบางที เขาอาจจะมองแกในแบบที่แกไม่เคยรู้เลยก็ได้....”
“พี่นี่ชอบพูดให้กำลังใจผมจังเลย ขอบคุณครับ” จูนรู้สึกคล้ายมีความร้อนวูบวิ่งแล่นมาจับที่ใบหน้า “ผิดกับผู้สูงอายุบางคนเนอะ”ว่าพลางจูนก็เหลือบมองไปทางบันได
“เจอเคนแกล้งบ่อยหรือไงเรา....” ยุทธ์หัวเราะมือเรียวยกขึ้นขยี้ผมของจูนเบาๆ น้องเล็กของชมรมดูอึกอัก
“ก็...ไม่เชิง...แต่ผมว่าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ทำใจชินมาสักพักละ” จูนตอบแต่กลับหลุบสายตาลงต่ำ
....จะเว้นก็แต่ไอ้พฤติกรรมที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ที่ไม่ค่อยชินเท่าไร....
ท่าทางของคนตรงหน้า กับสิ่งที่เห็นเมื่อคืนยิ่งทำให้ยุทธ์รู้สึกกังวล ชายหนุ่มร่างเล็กเอียงหน้าเข้าไปใกล้เพื่อที่จะมองหน้าของอีกฝ่ายให้ถนัดตายิ่งขึ้น
“จูน...ถ้ามีใครแกล้งแกอีก มาบอกพี่ก็ได้นะ ”
“พี่จะไปเคลียร์ให้รึไง” จูนเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะขำ เพราะยุทธ์ดูไม่น่าจะไปใช้กำลังกับใครได้เลย
“อืม “หนุ่มรุ่นพี่พยักหน้าลงทันที “ไม่อยากเห็นใครบางคนมานั่งปาดน้ำตาป้อยๆไปแดกเหล้าฟรีไปแบบนั้นอีกแล้วนี่หว่า” ท่าทางที่พูดประโยคนั้นออกมาชายหนุ่มร่างเล็กดูเขินอยู่ไม่น้อย
ได้ยินรุ่นพี่พูดแบบนั้นจูนก็ยิ้มออกมา มือของยุทธ์ไม่ใช่มือท่ใหญ่เท่ากับมือของเคน ไม่ใช่มือที่อุ่นจนร้อนแบบมือของเคน แต่ตรงกันข้าทกลับทำให้เขารู้สึกสงบไปพร้อมๆกับถ้อยคำที่อ่อนโยนนั่นทุกครั้ง
“แบบนี้ถึงได้บอกไงล่ะว่า...พี่น่ารัก” จูนยิ้มพลางยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆอย่างนึกสนุก จนเมื่อสบตาของยุทธ์ที่มองมา ดวงตานั้นเป็นประกายรับกับแสงแดดยามบ่ายที่สาดเข้ามาทางผนังกระจกบานใหญ่
“อ่ะ...ขอโทษ ลามปามอีกแล้ว” เด็กหนุ่มว่าพลางจะชักมือกลับ แต่กลับต้องชะงักเมื่อยุทธ์จับมือของเขาเอาไว้ให้แตะลงไปทีแก้มอีกครั้ง
“น่ารัก?....ก็ถ้ามีคนมารักบ้างคงไม่ต้องโสดแบบนี้หรอกมั้ง”
ทันใดหัวใจของเด็กหนุ่มพาลเต้นโครมครามขึ้นมาจนไม่อาจจะห้ามเอาไว้ได้จูนคงถอยไปจนสุดขอบโซฟาเป็นแน่หากไม่มีมือของยุทธ์ที่ยังยึดมือของเขาเอาไว้อยู่อย่างนี้
.....................................................to be continued
-
โอ้ยตายแล้ววววววววววววววว พี่ยุทธ์แอทแทคเปา~~~~~
อย่าปลอบจูนแบบนี้บ่อยมากนะพี่ยุทธ์ คือตอนนี้แบบว่าใจเต้นระรัวตามน้องจูนไปแล้ว or
ประเด็นพี่โชติพี่ยุทธ์นี่มันยังไงกันนนนนนนน ตกลงอะไรกันไว้หนะพี่ๆ!!!!
ปล. ถ้าเปาบอกรักพี่ยุทธ์ พี่ยุทธ์จะโอเคมั้ย??? โคตรจะตรงสเป็กเลย ฮือออออออออ อยากได้แบบพี่ยุทธ์~~
-
พี่ยุทธ์ทำแต้มสุดอ่าาาา อะไรกัน ไอ้ความน่ารักน่าหยิกของพี่เนี่ย o18
แต่เดี๊ยนรู้สึกว่า เนี่ยคือคำสารภาพรัก
"เป็นเด็กดีพี่หลอกอะไรก็เชื่อแบบนี้ใครจะไม่ชอบ"
ชอบ บอกว่าชอบไปแล้ววววว กรี๊ดดด :hao7: หมายความว่าไงคะ!
แล้วที่พี่โชติบอกพี่ยุทธ์ใจร้าย เหมือนคำพูดนั้นมีอะไรแอบแฝง :ling2:
จริงๆแล้วพี่โชติต้องชอบพี่ยุทธ์อยู่แน่ๆ :katai4:
-
@@ talk @@
งานยุ่งมาก จนไม่ได้แต่งต่อมานาน คิดไม่ออกมุกตัน :ling1:
แต่สุดท้าย ก็เข็นออกมาจนได้ ไปอ่านกันต่อเลยนะคะ
27
อดทน
“น่ารัก?....ก็ถ้ามีคนมารักบ้างคงไม่ต้องโสดแบบนี้หรอกมั้ง”
ทันใดหัวใจของเด็กหนุ่มพาลเต้นโครมครามขึ้นมาจนไม่อาจจะห้ามเอาไว้ได้จูนคงถอยไปจนสุดขอบโซฟาเป็นแน่หากไม่มีมือของยุทธ์ที่ยังยึดมือของเขาเอาไว้อยู่อย่างนี้""""
............................................
“ฮ่ะๆ...”หลังจากที่นิ่งอยู่หลายอึดใจจูนเค้นเสียงหัวเราะแห้งๆออกมา “ไม่เชื่อหรอก อย่างพี่ยุทธ์เนี่ยนะจะโสด สาวๆเพียบแต่ไม่เคยเอามาโชว์ล่ะสิไม่ว่า “จูนรีบดึงมือออก เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นอยู่ใต้ผิวเนื้อ ยุทธ์หัวเราะพลางยักไหล่น้อยๆ
“ไอ้มีมันก็มี แต่...เราก็ไม่อยากจะถูกใครมาผูกมัดเอาไว้ใช่ไหมล่ะ”
“ก็หมายความว่า มีอยู่แล้วแต่ไม่อยากได้คนนี้ อยากได้คนอื่นงั้นเหรอ” จูนขมวดคิ้วเล็กน้อยน้ำเสียงที่เขาถามออกไปสั่นเล็กๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าเขารู้สึกอย่างไรกับแนวความคิดแบบนี้ อันที่จริงเขากับยุทธ์ไม่ค่อยได้คุยกันในหัวข้อสนทนาแบบนี้สักเท่าไรนัก
“ขมวดคิ้วอีกละ....ซีเรียสไปรึเปล่า” เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วยุทธ์ยื่นหน้าเข้าไปพลางใช้นิ้วจิ้มที่หัวคิ้วของเด็กหนุ่มเบาๆ
“โอย ไม่ได้ซีเรียสสักหน่อย แล้วหน้ายื่นมาแบบนี้เดี๋ยวจับหอมแก้มเลยนี่” จูนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบให้เขาเล่นแบบนี้สักเท่าไรจึงได้ขู่ออกไปแบบนั้น
“ก็หอมสิ...” ยุทธ์ตอบกลับทันควัน
“เฮ่ย” เป็นอีกครั้งที่จูนต้องสะดุ้งเฮือก คำตอบนั้นไม่ใช่อะไรที่คาดการณ์เอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“พูดจริงนะ ถ้าเป็นแกพี่ไม่ถือหรอก” ยุทธ์ใช้ถ้อยคำของจูนกลับมาย้อนใส่ตัวของจูนเอง
ร่างเล็กกว่าขยับจากอีกด้านของโซฟาเข้าไปหาหนุ่มรุ่นน้องดวงตากลมโตคู่สวยนั่นฉายแววในแบบที่จูนไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ มือของยุทธ์ยกขึ้นแตะข้างแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆในขณะที่ยืดลำตัวขึ้นสูงเหนือคนที่ถอยหลังไปจนชิดพนักอีกด้านของโซฟา
“..........จูน........” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเป็นชื่อของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าของชื่อต้องกลินน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
“ค.....ครับ...... “
“พี่น่ะ...........” ดวงตาของยุทธ์มองลึกเข้ามาในดวงตาของเด็กหนุ่ม
“.....................” จูนไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกำลังคิดหรือคาดหวังจะได้ยินคำพูดแบบใดออกจากปากของยุทธ์จึงทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึก
“พี่........ง่วงละ ยืมตักหน่อยละกัน” จู่ๆยุธ์ก็พูดขึ้นแบบนั้นก่อนจะขยับตัวลงนอนโดยมีตักของจูนเป็นหมอนอีกครั้ง ทำเอาจูนงง ยุทธ์มักเป็นแบบนี้เสมอทำให้เขาแปลกใจได้ทุกครั้งท่าทีเหมือนเอาแต่ใจตัวเองแต่ก็อ้อนเล็กๆทั้งที่อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ แต่ในอีกแง่ก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีคนที่อยากจะให้เขาดูแลแบบนี้มันก็...สนุกดี
“ครับ...ถ้าแบบนั้นก็นอนเหอะ...อ่าว.... “ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคยุทธ์ก็หลับตานิ่งไปเสียแล้ว “เออ...แปลกคน” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมองรอบตัว
บ้านกว้างแสงสว่างส่องถึงรอบด้านแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อน ตรงกันข้ามกลับเย็นสบาย หากเงี่ยหูฟังดีๆจะได้ยินเสียงนกที่เกาะอยู่บนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่คอยเป็นร่มเงาอยู่รอบด้าน ใจที่เต้นโครมครามเมื่อครู่กลับมาเต้นในจังหวะเดิมๆที่คุ้นเคย ยิ่งมีสัมผัสนิ่มๆจากเส้นผมของรุ่นพี่อยู่ในมือแบบนี้แล้วยิ่งทำให้รู้สึกสงบขึ้นมาอย่างประหลาด จูนยิ้มน้อยๆ เมื่อก้มลงมามองที่ตักเห็นรุ่นพี่ของเขาคล้ายจะหลับไปจริงๆ
...อยู่กับพี่ทีไร..เหมือนโลกผมหยุดหมุนทุกที....
...ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันดีหรือไม่ดี...
...แต่บางครั้งการไม่ต้องคิดอะไรเลยนี่มันก็ดีเหมือนกัน...
[/i]
......................................................................
เสียงรถมอเตอ์ไซค์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงดังกรอบแกรบของถงพลาสติกบานประตูถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กกับผมพองๆของโชติที่เดินกลับเข้ามาด้านในบ้าน
"กลับมาแล้ว...." โชติเอ่ยก่อนที่ท้ายเสียงจะขาดหายไปเมื่อหันไปมองที่ห้องรับแขกแล้วเห็นใครบางคนนอนอยู่
ดูจากสีผมบลอนด์ซีดนั้นแล้วคงไม่ต้องทายเพิ่มเติมว่าต้องเป็นจูนอย่างแน่นอนที่นอนพิงพนักโซฟาคอพับคออ่อนอยู่แบบนั้น
"เมื่อยคอตายห่า..." โชติว่าก่อนจะเดินเข้าไปหมายจะปลุกรุ่นน้องแต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อท่ามกลางห้องรับแขกที่เริ่มมืดสลัวเพราะไม่มีใครเปิดฟืนไฟอะไรนั้นเขาเห็นขาอีกข้างห้อยออกมาจากโซฟาด้วย
"เฮ่ย....ไอ้จูนมีสามขา?"
จนเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆอีกอย่างกล้าๆกลัวๆ จึงได้เห็นว่ามีอีกคนที่ใช้ตักของจูนต่างหมอนอยู่
"ห่ายุทธ์เอ้ยตกใจหมดแม่ง..." แทบนึกอยากเขกหัวของเพื่อยสนิทสักที แต่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สิ่ที่เห็นไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติที่หาคำมาอธิบายไม่ได้แต่อย่างใดไม่อย่างนั้น เขาคงได้ติดต่อ กับ เจนญานทิพย์จริงๆ อย่างที่ใครต่อใครมักแซวเล่นเป็นแน่
"จริงๆเล้ย ไอ้พวกนี้ อย่าบอกนะว่า นอนกันยันเย็นเนี่ย...." ทันใดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลงมาตามบันได
"เคนเหรอ...." โชตติตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
"เออ..... " เสียงทุ้มของเคนรับคำ โชติหันไปมองสภาพของอีกสองคนที่นอนอยู่ที่โซฟาจึงรีบเดินไปเปิดสวิทซ์ไฟจนสว่างจ้า
"เอ้าเฮ้ย ตื่นๆ! นอนกันจนเย็นบ้านช่องไฟไม่เปิดจนกูนึกว่าเห็นผีจริงๆแล้วนะเนี่ย"
เสียงของโชติที่ดังโวยวายช่วยปลุกให้คนทั้งสองที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่น
"หะ....อ้าว พี่โชติกลับบมาแล้วเหรอครับ" จูนงัวเงียลืมตาขึ้นมองหน้าของรุ่นพี่อย่างยากเย็นเมื่อแสงสว่างในห้องนั้นทำให้ตาพร่าอยู่ไม่น้อย
"อืม กลับมาแล้ว จูนแกไปล้างหน้าล้างตาไปแล้วเดี๋ยวมาช่วยพี่ทำกับข้าว"
"เห มื้อกลางวันก็ทำแล้วมื้อเย็นด้วยเหรอ" จูนโอดครวญเล็กๆ
"หรือจะรอให้ไอ้เคนกับยุทธ์มันทำล่ะ "ว่าพลางก็ชี้ไปทางคนที่เดินตึงๆลงมาตามบันไดกับอีกคนที่งัวเงียนั่งกระทืออยู่ที่โซฟา
จูนมองตามก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ
"กลางวันข้าวผัด เย็นจะกินอะไรกันล่ะพี่ๆทั้งหลาย" ว่าพลางก็ลุกขึ้นทำเอายุทธ์ที่ทำท่าจะเอนตัวลงมาอีกรอบหล่นปุลงกับโซฟา
"อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องทำเอง " ทั้งเคนและยุทธ์ แทบจะตอบขึ้นมาพร้อมกัน
"อย่ากินแรง ไปหุงข้าวเลยไป....” โชติว่าพลางชี้หน้าของยุทธ์ “ส่วนเคนไปช่วยไอ้จูนหั่นหมูหั่นผักไป”
“แล้วสรุปจะทำอะไรกินเนี่ย” เคนเลิกคิ้วเมื่อดูเหมือนจะต้องกลายเป็นมือมีดไปโดยปริยาย
“ผัดผัก... แกงจืด...อะไรอีกดีวะจูน” โชติหันไปถามน้องเล็กชองชมรม
“ไข่เจียวดีไหมพี่ ” จูนเสนอพลางเหล่มองรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนอย่ไม่ห่างออกไปนัก “ไหนๆก็มีมือสับหมูแรงช้างอยู่ทั้งคน หมูคงนิ๊ม นิ่มอ่ะ”
“เออ คำก็ช้าง สามคำก็ควาย...เดี๋ยวเจอหมูบะช่อขั้นเทพจะมาออดอ้อนกอดขาให้กูทำให้กินอีก” มือแกร่งยกขึ้นขยี้ผมของจูนโดยไม่ได้ให้ตั้งตัวก่อนเด็กหนุ่มตวัดตามองค้อนทันควัน
“เหอะ.....”
“เลิกทะเลาะแล้วไปเอาหมูออกมาจากตู้เย็นไป” เสียงผู้กำกับประจำชมรมการละครปรามเพื่อน เขาเองก็หิวอยู่ใช่ย่อยและร้ดีว่าถ้าหากยังทะเลาะต่อปากต่อคำกันอยู่แบบนี้คงไม่มีอะไรตกลงถึงท้องเป็นแน่...
.......................................
คงเป็นภาพที่น่าขำหากแต่ก็น่ารักอยู่ในทีที่เห็นผู้ชายสี่คนง่วนหันผักสับหมูตีไข่กันอยู่ในห้องครัวโดยมีโชติยังคงทำหน้าที่เสมือนกัปตันนำทางเรือลำน้อยไปสู่จุดหมายปลายทางที่มีชื่อว่า “มื้อเย็น” และโชคยังดีที่การเดินทางไปสู่ “มื้อเย็น”ในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆแม้จะมีกระทบกระทั่งฝีปากกันบ้างแต่ก็ยังไม่มีใครคว้ามีดมาปาดคอกันเล่น ...
ไม่นานมื้อเย็นง่ายๆก็วางพร้อมอยู่บนโต๊ะ ทั้งสี่คนยืนมองผลงานของตัวเองอย่างภูมิใจ ข้าวหุงออกมาสวย เช่นเดียวกับผัดผักที่กรอบอร่อย ไข่เจียวง่ายๆและ ต้มจืดผักกาดใส่หมูบะช่อ
“เป็นไงล่ะหมู นิ๊มนิ่มใช่ไหมล่ะ” เคนอดจะเอ่ยแซวไม่ได้เมื่อเห็นจูนตักหมูในต้มจืดเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆ
“ก็....งั้นๆล่ะ “จูนตอบไม่ได้หันไปมองหน้าของเคนแม้แต่น้อย ได้ยินแค่เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ ของคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไป
“ข้าวของพี่ล่ะ” ยุทธ์ได้ทีก็อยากถามความเห็นของจูนบ้าง
“อร่อยครับ” จูนหันไปตอบทันควันราวกับจะประชดคนที่อยู่ไม่ห่างออกไป
เคนเห็นท่าทางแบบนั้นก็ทำเสียงจุปากด้วยขัดใจกับสิ่งที่ได้เห็น จูนมัก ”อี๋อ๋อ” กับยุทธ์เสมอ ไม่เคยมองยุทธ์ด้วยแววตาระแวดระวังเหมือนอย่างที่มองเขาเลยสักครั้ง เข้าใกล้ได้โดยไม่เคยขัดสักคำ...ในขณะที่กับเขานั้นกลับไม่เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ...และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ใช่ย่อย
....ทั้งๆที่เขาเองก็อยากจะทำแบบเดียวกันแท้ๆ!!...
“ก็แค่หุงข้าว ทำเป็นอวด” โชติกระทุ้งศอกกับท้องของยุทธ์เบาๆ
“โอ้ย...อะไรวะ คนหุงข้าวสวยงามแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะเว้ย”
“ใช่ๆ ก็แค่หุงข้าว ทำเป็นอวด” ได้ทีเคนเข้าผสมโรงด้วย
“แล้วเมิงหุงเป็นรึเปล่าล่ะ” ยุทธ์ทำหน้าล้อเลียน
“เก่งกว่ามึงล่ะกัน ไอ้เตี้ย”
“ใครเตี้ยวะ”
“พอๆเลย พวกมึง...รีบๆแดกไปเลย เดี๋ยวจะได้มาสรุปบทพรุ่งนี้ต่อแล้วจะได้ไปนอนกัน พรุ่งนี้หกโมงใครยังไม่ตื่นกูจะปลุกถึงเตียงเลย จูนอย่าลืมรีดชุดด้วยนะ” โชติหันไปดุยุทธ์เล็กน้อยก่อนจะหันไปกำชับจูนว่าอย่าลืมทำหน้าที่ เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับคำเบาๆ
เมื่อทานอาหารกันเสร็จทั้งสี่คนจึงมานั่งล้อมวงสรุปฉากที่จะถ่ายทำต่อ วันรุ่งขึ้นจะเริ่มถ่ายฉากของจูนและโชติซึ่งคงต้องเริ่มถ่ายกันให้ระวังมากขึ้นเพราะที่หาดคงมีคนมาเที่ยวอยู่ไม่น้อยเพราะใกล้หยุดวันปีใหม่ เกิดไปรบกวนคนที่เขามาพักผ่อนโดนเขาไล่ออกมาจะกลายเป็นว่ามาเสียเที่ยวเสียเปล่าๆ สุดท้ายแล้วก็อยู่คุยกันจนเกือบสี่ทุ่มจึงได้แยกย้ายกันเข้าห้องนอน
................................................
“จูน...ไปอาบน้ำไป...” เสียงทุ้มของเคนดังขึ้นเมื่อเดินออกจากห้องน้ำหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองก็ต้องส่ายหน้าเมื่อเพื่อนร่วมห้องเฉพาะกิจของเขานั่งกอดหมอนอิงอยู่ที่เตียง และดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะโต้ตอบอะไรได้อีกต่อไป อาจจะเป็นเพราะยังเพลียจากการเดินทาง การถ่ายทำ ไหนยังจะต้องมาทำกับข้าวกันให้วุ่นวายแล้วยังคุยงานกันจนดึกดื่นแบบนี้อีกที่ทำให้เด็กหนุ่มหลับคอพับอยู่กับหมอนอิงไปแบบนั้น
“จะนั่งหรือจะนอนก็ไม่เอาสักอย่างแบบนี้...จะดีเร้อ” เคนหัวเราะในลำคอเบาๆ ชายหนุ่มโยนผ้าขนหนูไปไว้บนเตียงของตัวเอก่อนจะหันกลับมาตรวจสอบคนที่ดูคล้ายจะหลับไปแล้วอย่างจูน
“นี่ ไอ้หนูจะนอนก็นอนให้มันดีๆสิ....”เขาเอ่ยๆเบาพลางเขย่าแขนของจูนเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สติไปเสียแล้ว เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ...ให้มันได้งี้สิ....” ว่าพลางใช้แขนข้างหนึ่งประคองให้จูนเอนตัวไปทางด้านหลังเปิดช่องว่างให้เขาดึงหมอนออกมาให้อีกฝ่ายได้ แขนข้างที่ว่างสอดเข้าใต้ข้อพับของท่อนขาเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นชายกางเกงขาสั้นที่อีกฝ่ายใส่อยู่แล้วค่อยยกด้วยความระมัดระวังเพียงเพื่อจะให้ฝ่ายเอนตัวลงไปนอนได้อย่างสบายขึ้น
เคนเหลือบมองด้วยกลัวว่าจูนจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน ร่างสูงค่อยถอยออกห่างในใจอีดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงต้องมาคอยทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้ด้วย เคนถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงนั้นยังหลับสนิท
“อือ....” เสียงครางเครือดังขึ้นเบาๆ ทำเอาเคนสะดุ้งโหยงอีกรอบ
“เฮ่ย “ แต่เมื่อมองไปก็ต้องสูดลมหายใจกลับเข้าไปใหม่
มือของเด็กหนุ่มเหวี่ยงหมอนไปอีกทาง แล้วสอดมือลึกเข้าไปในเสื้อ ใต้แสงไฟที่ยังเปิดสว่างอยู่นห้องนั้นทำให้เห็นผิวเนื้อขาวกับกล้ามเนื้อกได้รูป สายตาของเคนเผลอไผลซุกซนไล่เรื่อยลงมายังช่วงเอวขอบกางเกงขาสั้นนั่นเกาะอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ร่างสูงแทบจะทึ้งหัวของตัวเอง เขาเริ่มคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรกับสายตาของตัวเอง มันครั้งที่เท่าไรของวันแล้วที่เขาทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้
…ล้อกูเล่นใช่ป่ะเนี่ย ...
แต่ทั้งที่จะหันหลังให้ก็ได้แต่ก็คิดได้แค่ว่าควรจะทำอะไรกับภาพตรงหน้าเสียก่อน ร่างสูงค่อยๆเดินเข้าไปยืนที่ข้างๆเตียง จูนยังคงหลับสนิท ดวงตาหลับพริ้มยิ่งมองยิ่งนึกขำเพราะเวลาที่ไม่มีอายไลน์เนอร์เข้มๆรอบดวงตาแบบนี้แล้วก็ดูแปลกตาไปอีกแบบ จมูกโด่งได้รูปกับริมฝีปากสวยที่เผยอน้อยๆ นั่นเขายังจำสัมผัสนั้นได้ดีว่านุ่มนวลเพียงใด ชายหนุ่มก้มตัวลงมาใกล้....
“นอนไม่ห่มผ้าเดี๋ยวได้เป็นหวัดกันพอดี” มือแกร่งจับผ้าห่มขึ้นมาห่มให้จนถึงคอ แต่ก็หาได้ถอยกลับออกมาไม่ ส่วนหนึ่งในใจของเขายังคงต่อสู้กับภาพ “พี่ชายที่แสนดี” ที่สร้างขึ้นมาโดยหวังจะให้อีกฝ่ายสบายใจ ในขณะที่ส่วนหนึ่งอีกใจนั้นอยากจะสัมผัสริมฝีปากคู่นี้อีกครั้ง อยากจะครอบครองให้รู้กันไปว่าคนๆนี้คือ “คนของตัวเอง” สองมือแกร่งเท้าลงกับเตียงล้อมกรอบเด็กหนุ่มเอาไว้ในขณะที่เขาค่อยๆก้มลงไปหา ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากของเคนขยับเข้าใกล้กับริมฝีปากของเด็กหนุ่มมากขึ้นอีกนิด หัวใจในอกเต้นระรัวขึ้นมานั้นช่วยยืนยันความแข็งแรงของร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้มองใกล้ๆเช่นนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดทนต่อไปได้อีกสักกี่อึดใจ
“...อย่ามาทดสอบความอดทนชาวบ้านเขาจะได้ไหม....”
[/b]
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาจนคล้ายจะเป็นเสียงลมหายใจที่ถูกกลืนหายไปเสียมากกว่า เมื่อริมฝีปากของชายหนุ่มร่างสูงเลื่อนลมาใกล้จะแทบจะแตะกับริมฝีปากของเด็กหนุ่ม แต่ทันใดชายผ้าห่มก็เลื่อนขึ้นมาบังใบหน้าของจูนไปกว่าครึ่ง เห็นเพียงดวงตารีเรียวที่จ้องกลับมาเป็นประกายสะท้อนกับแสงไฟ
“....................” ไม่มีคำพูดใดจากจูนมีเพียงสายตาที่จ้องมองกลับมาอย่างคาดเดาความหมายไม่ได้เท่านั้น
“อ่ะ...ยังไม่หลับเหรอ “ เคนได้แต่ยิ้มแหยๆ เขาอยู่ใกล้เกินกว่าจะหาข้ออ้างอื่น
“.....................” เห็นครึ่งหน้าของจูนพยักหน้าลงน้อยๆ “สะดุ้งตอนพี่ดึง....” เสียงนั้นอู้อี้อยู่ใต้ผ้าห่ม
“แล้วนอนดิ้นต่อ สภาพนั้นอ่ะนะ” เคนเลิกคิ้ว
“ก็คิดว่าพี่จะไปปิดไฟ...” จูนยังไม่ลดผ้าห่มลง
“ขอโทษ...พี่เปลี่ยนใจ “ เคนเบือนสายตาหนี อีกฝ่ายคงคิดว่าเขากำลังจะฉวยโอกาสหรืออะไรสักอย่าง...ซึ่งเขารู้ดีว่าเขาควรจะยอมรับ
“ทีหลังตื่นก็บอกว่าตื่นสิ...นอนแบบนั้นมัน....เอ่อ...” หลังจากหลายต่อหลายครั้ที่เคยทำให้จูนน่าแดงและหมดคำพูด ในคราวนี้เป็นเคนเองที่ใบหน้าแดงก่ำเมื่อเสียงในใจของตัวเองได้ตอบคำถามนั้นไปหมดเรียบร้อย ชายหนุ่มกรอกตาเล็กน้อย ก่อนจะยกขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ
“มัน...จะเป็นหวัดเอา หัด...ระวังตัวซะบ้าง...” รุ่นพี่ร่างสูงรีบลุกจากเตียงหันหลังเดินไปปิดไฟในห้องนอนจนมืดสนิท “พี่เป็นห่วง” ท้ายเสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนไม่น้อย
“ถ้าพี่เป็นห่วง ก็เลิกทำแบบนี้น่าจะดีกว่า[/i] “
เสียงของจูนดังขึ้นท่ามกลางความมืด ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงของผ้าห่มที่ถูกดึงให้ห่อร่างเอาไว้ยามที่เด็กหนุ่มพลิกตัวหันไปอีกทาง ในใจของจูนรู้สึกอบอุ่นหากแต่มันเป็นความอบอุ่นที่เจ็บปวด เขาควรจะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นของเคนไปเสียให้หมด อีกฝ่ายไม่ควรจะต้องมารู้สึกต้อง “อดทน” กับเขาแบบนี้ เคนไม่ควรรู้สึกแบบนี้ …และบางทีเขาเองก็ไม่ควรรู้สึกแบบนี้เช่นกัน
to be continued....
-
อู้ยยยยยไม่ได้เข้ามาอ่านนาน เคนจูนอึมครึมมาก
กลายเป็นยุทธ์มาทำน้องจูนเราหวั่นไหวหรอ
โชติเอายุทธ์ไปเก็บกร้ากกกกกก
-
ดูเหมือนน้องจูนจะเริ่มไม่สบายใจกับการกระทำของไอ้พี่เคน :z3:
แล้วไอ้พี่เคนก็ไม่ได้สำนึก! มีแฟนอยู่แล้วววว มาจีบเขาทำไมมมมมม :hao7:
พี่ยุทธ์ค่ะ เอาน้องจูนไปเลยค่ะ พี่เคนมันหลายใจ :angry2:
-
28
-กังวล-
[/b]
เสียงกระบอกฉีดน้ำดังฟืด ฟืด พร้อมเสียงฮัมเพลงในลำคอเบาๆ กับกลิ่นอายหอมโชยมาแตะจมูกชวนให้คิดถึงบ้านอย่างประหลาด เสียงของผ้าชื้นๆเมื่อโดนกับความร้อนจากเตารีดทำให้คนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาตื่น ดวงตาที่ยังพร่ามัวทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน แผ่นหลังตรงหน้ามีผมยาวสยายช่วงไหล่ขยับไหวไปมาเล็กๆจนเคนต้องเอื้อมมือออกไปเพียงเพราะต้องการจะสัมผัสให้รู้ว่าคนตรงหน้านั้นมีตัวตนจริงๆหรือเขายังหลับฝันไม่ตื่น
“.....แม่.....”
ไหล่นั้นหยุดกึกก่อนจะค่อยๆหันกลับมา ดวงตารีเรียวนั้นผิดไปจากคนในความทรงจำ เคนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะหรี่ตามองหน้าของอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม
“อ่ะ....จ...จูนเหรอ”
“พี่เคน?.....ตื่นแล้วเหรอ ตกใจหมด” เด็กหนุ่มว่าพลางวางเตารีดลง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าของอีกฝ่าย “เมื่อกี้พี่ละเมอด้วยล่ะ....”
“หะ?....ละเมอว่าอะไร” เคนลุกขึ้นพลางตบหน้าของตัวเองเบาๆไล่ความง่วงงุนออกไป
“พี่ละเมอเรียก...แม่...อ่ะ” จูนตอบเบาๆ “คิดถึงคุณแม่ หรือ แม่คุณเนี่ย” ก่อนจะแหย่พลางหัวเราะเบาๆ
“........ไม่มีอะไรหรอก แค่นานๆจะได้ยินเสียงคนรีดผ้าเลยคิดถึงแม่ที่ตายไปแล้วขึ้นมาน่ะ” เคนตอบพลางขยับตัวลงจากเตียงมานั่งลงบนพื้นตรงหน้าของจูนดวงตาคมมองหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับเส้นผมสีอ่อนของคนตรงหน้าเบาๆ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่คงเป็นเพียงภาพซ้อนของอดีตครั้งเยาว์วัย
“แม่พี่ชอบรีดผ้าตอนเช้ามืดก่อนจะไปทำกับข้าวแล้วไปส่งพี่ที่โรงเรียน”
“ผม...ขอโทษ ผมไม่รู้....” เด็กหนุ่มหลบสายตาของอีกฝ่าย สายตาของเคนที่มองมาเป็นประกายแปลกตาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะตื่นหรือเปล่าถึงได้เล่าอะไรแบบนี้ให้เขาฟังปรกติไม่เคยเห็นเล่าเรื่องที่บ้านหรือครอบครัวให้เขาฟังเลยสักครั้ง
“แล้วนึกยังไงมานั่งรีดผ้าแต่เช้าเนี่ย”
“ก็...เมื่อคืนไม่ได้รีดนี่นา” เด็กหนุ่มตอบยังไม่กล้าสบตาของรุ่นพี่ มือแกร่งที่ไล้ปอยผมที่ตกลงมาข้างกรอบหน้าของเขายังไม่ละไปไหน ยิ่งทำให้สงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อคืนหรือไม่ถึงได้ตื่นมาแล้วยัง”ใกล้ชิด”กับเขาได้ขนาดนี้ เคนจะรู้หรือไม่ว่าในใจของเขารู้สึกอย่างไร ความกระอักกนะอ่วนในใจนี้มันยากนักที่จะเอ่ยออกไป
“ชอบรีดผ้ารึไง เห็นรีดไปฮัมเพลงไป“
“อื้ม...ก็รีดแล้วมันมีสมาธิดี....” จูนตอบไปตามตรงนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่ๆอีกฝ่ายก็ถามออกมาแบบนี้
“แบบนี้ใครได้เป็นแม่บ้านคงโชคดีตาย” เคนยิ้มก่อนจะเลื่อนมือไปขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ ร่างใหญ่ของเคนยังนั่งประจันหน้ากับจูนอยู่อย่างนั้นสองขาที่ยกชันขึ้นคล้ายจะล้อมกรอบให้อีกฝ่ายอยู่ในอาณัติของตัวเอง
“พูดอะไรของพี่ ผมไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย” ดวงตาของจูนตวัดมองกลับมา ในใจยิ่งรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆที่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงคือการรีดผ้าที่เขาชอบ แต่เมื่อได้ยินแบบนี้กลับทำให้รู้สึกอยากจะเลิกไปเสียอย่างนั้น
“ผมก็แค่...ทำแบบที่แม่บอก เป็นลูกผู้ชายอยู่คนเดียวกะอีแค่รีดผ้าถ้ายังทำไม่เป็นก็ไม่ต้องไปคิดฝันไปหาเจ้าสาวเข้าบ้านหรอก” เด็กหนุ่มว่าพลางขยับถอยออกมาเล็กน้อย
“หึ.... “เสียงเคนหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยกมือแกร่งขึ้นขยี้ผมของจูน ดวงตาสีเข้มที่สะท้อนกับแสงสว่างจากด้านนอกนั้นเป็นประกายแปลกประหลาดในยามเช้า “คุณแม่สอนมาดีจังนะ...พี่น่ะไม่มีคนสอน ที่รีดได้นี่ก็เพราะพ่อพี่ไม่ทำ เลยต้องฝึกเอาเอง ยังคิดอยู่ว่าอยากได้ใครมาช่วยทำบ้างแต่ชาตินี้คงไม่มีคนเอาล่ะมั้ง”
“หาเจ้าสาวเข้าบ้านเลยสิ จะได้มีคนช่วยทำ” จูนอดจะเบ้ปากไม่ได้ อย่างเคนหรือจะหาเจ้าสาวไม่ได้
“เจ้าสาวเหรอ ก็มีคนอยากเป็นอยู่นะ” เคนยิ้มอย่างยียวน ก่อนจะก้มหน้าลงเข้าไปใกล้
“แต่ไม่อยากได้เจ้าสาว พี่อยากได้เจ้าบ่าวหน้าตาตี๋ๆ จมูกโด่งๆปากนิ่มๆสักคนเนี่ย แกจะมาเป็นให้พี่ได้ไหม” เคนคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นว่าจูนกำลังจะถอยหนี เด็กหนุ่มก้มลงมองมือแกร่งร้อนที่จับมือของเขาเอาไว้
“อันที่จริงผมก็อยากจะมีเจ้าสาวนะ ขอแค่แฟนก่อนก็ได้ ผู้หญิงน่ารัก นิสัยดีแบบพี่นิดก็คงจะดี”
“นิดนะเหรอ สเปคแก...” เคนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินว่าจูนเคยพูดถึงสเปคผู้หญิงของตัวเองมาก่อน
“ยิ่งคราวก่อนพี่นิดก็บอกว่าจะแนะนำสาวๆให้ด้วย....” จูนพูดพลางยิ้ม ท่าทางเหมือนมีแผนกรุ้มกริ่มในใจ ท่าทางที่ทำให้เคนรู้สึกรุ่มร้อนในอกอยู่ไม่น้อย มือแกร่งเผลอบีบมือเรียวของจูนอย่างช่วยไม่ได้ แรงบีบนั่นทำให้จูนต้องสบตาคนที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงศอกอีกระลอก ริมฝีปากได้รูปนั้นคลี่เป็นรอยยิ้ม
“...............พี่นี่คิดอยู่แค่เรื่องนี้สินะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รู้สึกปวดหนึบในอกแต่เช้าพลางดึงมือของตัวเองอออกจากมือของอีกฝ่าย
“แล้วจะให้พี่คิดเรื่องไหน ....” เคนขมวดคิ้วเข้าหากัน
“คิดโทรหาพี่นิดเป็นไง....ตั้งแต่พี่มาผมยังไม่เห็นพี่โทรหาแฟนพี่เลยสักครั้ง” เด็กหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาพร้อมด้วยผ้าขนหนูและแปรงสีฟันยาสีฟัน
“ผมจะลงไปอาบน้ำข้างล่าง พี่ก็รีบจัดการตัวเองเข้านะเดี๋ยวพี่โชติไม่เห็นใครลงไปสักทีจะของขึ้นอีก”
เคนเหลือบไปมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางชาร์จแบตอยู่บนหัวเตียง ตั้งแต่คืนที่เดินทางจนกระทั่งตอนนี้ไม่เพียงแต่จะไม่มีสายโทรออกจากเขาไปถึงนิดแล้ว ก็ไม่มีสายโทรเข้าจากนิดมาหาเขาเช่นเดียวกัน
“ถ้าพี่โทรหานิดแล้ว แกจะดีใจใช่ไหม”
“ครับ....ผมจะสบายใจกว่านี้มาก” จุนตอบกลับโดยไม่ได้หันกลับไปมองร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้อง ได้ยินเสียงของปลั๊กสายชาร์จโทรศัพท์ถูกกระชากออกจากกำแพงอย่างแรง เด็กหนุ่มหลับตาลงราวกับแรงกระชากนั้นได้ดึงเอาสิ่งที่อยู่ในอกของเขาให้หลุดหายออกไปด้วย
..........ก็ไม่รู้ว่าพี่จะเข้าใจผมไหม........
........แต่ไม่ว่ายังไงผมก็คงต้องพูดแบบนั้นกับพี่อยู่ดี....
....................................................
หลังมื้ออาหารเช้าทั้งยุทธ์และเคนต้องหอบหิ้วกล้องและอุปกรณ์ประกอบฉากมายืนรออยู่กลางหาดที่ยังไม่ค่อยมีผู้คน เช้าวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่ท้องฟ้าดูขะมุกขมัวและคลื่นลมทะเลก็แรงอยู่ไหมน้อย เสียงคลื่นที่สาดกระทบเข้ากับชายฝั่งนั้นดังอื้ออึงแข่งกับลมที่พัดแรง
ยุทธ์ทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้นทรายท่าทางอ่อนแรงอยู่ไม่น้อย อันที่จริงเขาไม่ค่อยถูกโรคกับการตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งบวกกับลมทะเลในหน้าหนาวแบบนี้แล้วยิ่งไปกันใหญ่
“ปลุกมาแต่เช้า แล้วยังมาสายอีก ไอ้โชติกับไอ้จูนมันมัวทำอะไรอยู่วะ จะแข็งตายแล้วนะ” เสียงยุทธ์บ่นอย่างอ่อนแรง ปากสั่นระริก ใบหน้าได้รูปสวยนั้นเห็นได้ชัดถึงความอ่อนล้า เมื่อคืนเขาเข้านอนค่อนข้างดึกถึงแม้ว่านั่นจะไม่ค่อยมีปัญหานักสำหรับคนที่ต้องปั่นโปรเจ็คส่งอาจารย์กันหามรุ่งหามค่ำ แต่ถ้าไม่ได้นอนก็จะไม่นอนเป็นกันแบบนั้นแล้วค่อยหลับทีเดียว แต่ให้นอนดึกแล้วรีบตื่นนั้นมันแทบขาดใจเลยทีเดียว
“ขอโทษทีว่ะ ไอ้จูนมันแต่งหน้านานไปหน่อย” เสียงโชติดังขึ้นเรียกความสนใจของทั้งสองคน ได้ยินแบบนนั้นยุทธ์ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมโวยขึ้นมาทันที
“นานเป็นบ้าเลย ...” แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อยุทธ์กลับต้องอ้าปากค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นโชติที่ใส่ชุดเสื้อยืดแขนยาวเนื้อเบาติดระบายที่คอเสื้อเว้าลึก เสื้อที่ใส่อยู่ด้านในนั้นมีสายขึ้นมาคล้องที่คอ ทรงผมที่ปรกติมักจะจัดทรงจนพองฟูกลับดูแปลกตาเมื่อมีผ้าคาดผมสีอ่อนพริ้วคาดเอาไว้พรางตากับผมปลอมถักเปียที่ต่อลงมาทั้งสองข้าง ใบหน้าที่ปรกติเป็นคนตาเล็ก สไตล์ลิสต์และเมคอัพอาร์ตติสประจำกองถ่ายก็บรรจงแต่งจนดูตากลมโตหน้าหวานขึ้นมากจนน่าตกใจ
“สวยใช่ไหมล่ะ มองกันตาค้างเลย” โชติยิ้มพลางกอดอกยืดตัวท่าทางภูมิใจอยู่ไม่หยอก
“สวยอ่ะใช่ แต่มึงโกนขนหน้าแข้งด้วยเหรอ” ยุทธ์ถามพลางเอามือลูบขาของโชติที่โผล่พ้นชายกางเกงขาสั้นลง
มาเบาๆ จนเจ้าตัวรีบกระโดดหนี
“เอ้ย จะมาจับทำไมเนี่ย...” โขตินกขาหลบ ก่อนจะหันไปทางเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ไอ้จูนนั่นล่ะบังคับกู”
“ก็จะปล่อยให้ขนหยุบหยับแบบนั้นได้ที่ไหนเล่า...พี่ใส่ขาสั้นนี่นา” เด็กหนุ่มว่ายิ้มน้อยๆในขณะที่ยกมือขึ้นจับเบาๆที่ต้นคอ
เคนเผลอมองตามอาจเป็นเพราะรูสึกแปลกตากับวิกผมยาวสยายที่เคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวในคืนนั้น แต่รอบนี้กลับต่างออกไปท่ามกลางแสงแดดยามเช้า เด็กหนุ่มในชุดแมกซี่เดรสสีส้มอิฐ ชายกระโปรงที่เป็นผ้าโปร่งขยับไหวแนบเนื้อยามต้องลมทะเล
“........แมลงวันทะเลบินเข้าปากไปสามรอบแล้วสาด” ยุทธ์เหลือบมองหน้าของเคนก่อนจะเคาะเบาๆที่ปลายคางของชายหนุ่มร่างสูง
“ไม่ต้องยุ่งได้ป่ะ” เคนจุปากมองหน้าของยุทธ์อย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะหันหน้ามาหาทั้งโชติและจูน “เอาล่ะ คนสวยของเราทั้งสองคน วันนี้จะถ่ายตั้งแต่ตรงไหนดี”
“เดี๋ยวจะถ่ายฉากสาวสองคนเขาเดินริมหาดกัน แล้วก็ตอนจูนปรึกษาเรื่องแฟน ....ว่าแต่ร้านริมหาดวันนี้เขาเงียบๆนะว่าป่ะ ....จะมีเปิดให้ไปขอถ่ายกันไหมเนี่ย....” โชติว่าพลางเหลียวซ้ายแลขวา ดูเหมือนชายหาดวันนี้ไม่ค่อยมีคนอย่างที่คิด
“นั่นสิ เสร็จตรงนี้จะถ่ายฉากว่ายน้ำจมน้ำด้วยสิ ว่าจะไปยืมห่วงยาง...ไม่งั้นไปถามร้านตรงโน้นป่ะ” ยุทธ์ว่าพลางชี้มือไปยังร้านให้เช่าห่วงยางและขายอาหารที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“เออ งั้นไปกัน...ยุทธ์มึงไปกะกู” โชติว่าไม่รอช้าสองขารีบเดินไปยังเป้าหมายทันที
“หะ? เฮ้ยมึงจะไปทั้งสภาพนั้นอ่ะนะ ...”เห็นโชติเดินลิ่วๆไปแบบนั้นก็กลัวว่าคนในร้านจะตกอกตกใจไปเสียก่อนจึงได้รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“อ้าวพี่ แล้วพวกผมอ่ะ” จูนตะโกนตามไป
“รออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวพี่มา...” เสียงยุทธ์ตะโกนแข่งกับลมทะเลตอบกลับมา
“ก็ใช่ว่าจะวิ่งตามไปง่ายๆนี่หว่า....” จูนได้แต่ยืนมองรุ่นพี่สองคนเดินจากไปพลางพึมพำเบาๆ สองมือจับชายกระโปรงผ้ายาวกรอมเท้าของตัวเองให้อยู่นิ่งๆเมื่อเจอลมทะเล “ลมแรงทะเลก็ซะขนาดนี้จะได้ถ่ายไหมเนี่ย”
“ถ่ายได้แต่กลัวจะกลายเป็นหนังปลุกใจเสือไปเสียก่อน ลมมันลามกนะจะบอกให้” เคนเอ่ยพลางยิ้ม เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้ใจกระตุกไหว “ใส่กางเกงไว้ข้างในรึเปล่าเนี่ย”
“แน่ล่ะ....”จูนไม่ปฏิเสธ “ใครจะไปใส่กระโปรงตัวเดียวกันล่ะ...กระโปรงเปิดขึ้นมาแม่งได้ฟ้าผ่าตายโหงกันพอดี...ยิ่งมาแต่งตัวพิเรนทร์ๆกันแบบนี้เจ้าที่เจ้าทางไม่ถูกใจเข้าจะว่ายังไง” เด็กหนุ่มไม่ได้หันมามองหน้าของเคนร่างสูงโปร่งยังมองดูว่าเมื่อไรโชติและยุทธ์จะเดินกลับมาเสียที
“เหรอ...”เคนรับคำพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่ว่าท่านน่าจะถูกใจนะ...ออกจะเซ็กซี่” ไม่วายช่วงขายาวยื่นมาหมายจะเกี่ยวชายกระโปรงของเด็กหนุ่มขึ้น แลเห็นท่อนขาขาวเนียนผิวปรกติ
“นี่เราก็โกนขนหน้าแข้งกับเขาด้วย? อย่าบอกนะว่าโกนขนจั้กกะแร้ด้วยน่ะ“ เคนถามเสียงสูง
“ก็ตอนลงทะเลต้องใส่ชุดว่ายน้ำนี่.....ให้ดูเป็นผู้หญิงหน่อยก็คงต้องทำอย่างนี้” เห็นอีกฝ่ายอ้อมแอ้มตอบพลางเอาสองมือจับประโปรงปิดแบบนั้นก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ทุ่มเทกับการแสดงจริงๆเล้ย.....”
“ผมก็ทุ่มเสมอนั่นล่ะ.....แล้วไอ้คำว่าเซ็กซี่เนี่ยถึงจะบอกว่าชมผมก็ไม่ดีใจหรอกนะ พี่เลิกแซวได้แล้ว” จูนขยับถอยห่างออกจากเคนอีกเล็กน้อย
ส่วนตัวเขาคิดว่าวันนี้ทุ่มเทมากทีเดียวเพราะต้องมานั่งทำอะไรที่ไม่เคยทำอย่างโกนขนหน้าแข้งโกนจนรักแร้ของตัวเองจนล้านเลี่ยนเตียนโล่งจนรู้สึกแปลกๆใต้วงแขนอยู่ไม่น้อยยังดีที่ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่เห็นแต่ถ้าเกิดเห็นขึ้นมาละก็คงได้ขำจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลเป็นแน่
อีกด้านหนึ่งของหาด
ทั้งโชติและยุทธ์ค่อยเดินไปหาร้านชายของที่มีห่วงยางให้เช่าด้วย ใต้ร่มชายหากคันใหญ่มีชายแก่คนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่พ่นควันด้วยท่าทางสบายอารมณ์ท่ามกลางบรรยากาศชายทะเล ห่างออกไปเห็นนักท่องเที่ยวสองสามครอบครัวกำลังเดินลงหาดมาประเมินจากสายตาในตอนนี้คงยังไม่มีคนมากสักเท่าไรนัก ชายชราคนนี้จึงยังมีเวลาว่างมานั่งสูบบุหรี่อยู่อย่างนี้
“ลุงครับ ห่วงยางนี่เช่าเท่าไรครับ”
“ไม่แพงๆ ...จะเอาอันไหนล่ะเลือกเอา” ลุงตอบทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองหน้า ชายชราลุกขึ้นก่อนจะหันมาแล้วผงะเล็กน้อยเมื่อเสียที่ได้ยินกับภาพที่เห็นนั้นแทบจะสวนทางกัน “เฮ่ย....”
“เฮ้ย....” ทั้งโชติและยุทธ์เองก็ผงะไม่แพ้กัน “ลุงจะตกใจทำไมเนี่ย”
“อ้าวก็ลุงนึกว่าเป็นเด็กผู้ชาย....นี่พวกหนูจะมายืมห่วงยางเรอะ เป็นหวัดสินะเสียงแหบเชียว” ทั้งโชติและยุทธ์หันมองหน้ากันงงๆ จะว่าไปโชติวันนี้ก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงในขณะที่ยุทธ์ก็หน้าหวานอยู่แล้ว....ก็ไม่แปลกถ้าชายชราที่หยีตายืนมองหน้าพวกเขาอยู่ตรงนี้จะมองเห็นเป็นเด็กผู้หญิง ในคราวนี้เป็นสองหนุ่มเองที่ต้องหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ฮ่ะๆ...ลุงครับพวกผมผู้ชาย ดูดีๆ ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“อ้าว เรอะ.....เออว่ะ “ชายชราหัวเราะ เมื่อเพ่งตามองให้ดียิ่งขึ้น “อ้อ...แต่งสวยนะ นี่จะลงทะเลกันใช่ไหม” ถามพลางก็หันหยิบห่วงยางส่งให้กับโชติ
“อ่าครับ ก็ว่าจะลงเล่นน้ำกันน่ะครับ” ยุทธ์ยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นเงินให้กับชายชรา
“ทะเลวันนี้ คลื่นแรงนะไอ้หนู....เมื่อวานยังฟ้าใสแท้ๆ ไม่รู้ทะเลโกรธอะไร จะเล่นก็ระวังตัวกันหน่อยละกัน
ว่าคลื่นสูงแล้ว คลื่นใต้น้ำมันแรงกว่าที่เห็นเยอะนะ” ลุงคนนั้นว่าพลางเหม่อมองออกไปยังทะเลที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งโชติและยุทธ์ไม่เข้าใจนักกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแต่ก็พยักหน้ารับคำไปเช่นนั้น
“ครับลุง...ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวเอาห่วงยางมาคืนนะครับ” โชติยิ้มแหยๆ ก่อนจะเดินถอยออกมาโดยไม่ลืมดึงชายเสื้อยืดของยุทธ์ให้รีบเดินตามมาด้วย
“ไอ้ยุทธ์ แกว่าลุงเมื่อกี้เขาพูดอะไรแปลกๆรึเปล่า” โชติทำหน้ามุ่ยในใจรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดของชายชรา
“ไม่นี่” ยุทธ์ตอบหน้าตายสองแขนหิ้วห่วงยางสีดำขนาดใหญ่เดินตามโชติกลับมาหาทั้งจูนและเคนที่ยืนรออยู่
ทั้งสี่คนกลับมาเตรียมการถ่ายทำของวันนี้ ในฉากที่ทั้งแสงน้อยไปเสียหน่อย เคนเลยต้องเป็นคนทำหน้าที่จัดการเรื่องแสงไปโดยปริยาย โชติกับจูนที่วันนี้เป็นผู้ถูกถ่ายดูจะขัดเขินกันอยู่ไม่น้อยเพราะกลายเป็นเป้านิ่งให้คนจับจ้อง
“เอ้าจะยืนบิดกันอีกนานไหมสาวๆ รีบๆเข้าที่ทำอารมณ์เข้าเผื่อจะได้รีบถ่าย”
“ใครสาววะแม่ง....” โชติหันกลับมาทันควันพลางคว้ามือของจูนมาชูนิ้วกลางใส่หน้าเคนทันที
“อ้าว เฮ้ย ไหงทำงี้อ่ะพี่โชติ...”เด็กหนุ่มโวยวาย แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่
“ไม่อยากยกเองมันเสียมือ” ชายหนุ่มผมเปียร่างเล็กหัวเราะเบาๆ
“ชิ....” เสียงเคนจุปากอย่างหมั่นไส้ “เสียมือ...พูดมาได้ กูก็ไม่ได้อยากได้มือมึงนักหรอกวะ” เคนว่าพลางก้มลงหยิบไมค์ช่วยบันทึกเสียงขึ้นมาก่อนจะหันไปมองหน้าจูนที่รีบเดินตามโชติไป
แผ่นหลังได้รูปในชุดเดรสสีน้ำตาล เขายังจำแนวกระดุมยาวเหยียดลงมาจนแทบถึงบั้นเอวนั่นได้ และน่าแปลกที่ยังจำสัมผัสของผิวเนื้อตอนที่ริมฝีปากของเขาแตะลงไปได้เป็นอย่างดี
....ที่อยากได้น่ะ...คือคนนั้นต่างหาก....
มันเป็นเพียงความคิดที่ต่อให้พยายามจะแสดงออกอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ภาพที่อีกฝ่ายจะรับความรู้สึกของเขาเอาไว้นั้นก็ดูเลือนลางราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างในตอนเช้า ทั้งที่เมื่อช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านี้ท่าทางโอนอ่อนของจูนยังทำให้ใจของเขาปริ่มไปด้วยความสุขอยู่แท้ๆ เมื่อเช้าเขาจำต้องลากปลายนิ้วไปบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ที่มีทั้งความโกรธมีทั้งความสับสนเพราะไม่เคยมีใครให้ความหวังและปฏิเสธเขาไปพร้อมๆกันแบบนี้มาก่อน
แน่นอนว่านิดรับสายถามเขาหลายๆเรื่อง ทั้งการเดินทาง ทั้งที่พัก อาหารการกิน ยังบอกเสียด้วยซ้ำว่าถ้ามาด้วยได้ก็อยากจะมา เขารู้สึกดีใจที่นิดพูดแบบนั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจจากอีกฝ่ายบ้าง แต่ก็น่าแปลกเหลือเกินที่ในตอนนี้ใจของเขาไม่ขออะไรมากไปกว่าการใส่ใจจากจูน ซึ่งดูแล้วคงยากเกินกว่าจะเป็นจริง
“ถ้ามองเสร็จแล้วก็เช็ดน้ำลายด้วย...มองเป็นแมวหิวปลาย่าง อุบาทว์ชิบ” เสียงของยุทธ์ดังขึ้นเรียกสติของเคนให้ตื่นจากภวังค์ ใบหน้าคมเปลี่ยนสีหน้าทันควันพลางหันไปมองยุทธ์อย่างเอาเรื่อง “ไม่ใช่เรื่องของมึง อย่ายุ่งได้ป่ะ”
“ถ้ายุ่งแล้วมันเตือนสติมึงได้กูก็จะยุ่งไปงี้ล่ะ....เดี๋ยวจะถ่ายช็อตไกลก่อนมึงรีบเซ็ทเรื่องเสียงเข้าซะ...”
“อย่างมึงจะมาเตือนสติอะไรกูวะ ไอ้เตี้ย....” เคนไม่ได้รับคำหากแต่ถามด้วยท่าทียียวนกวนฝ่าเท้า
“อย่างน้อยกูก็มีสติยั้งคิดกว่ามึงก็แล้วกัน ไอ้ควายถึก” ยุทธ์ว่าพลางยกนิ้วกลางใส่หน้าของเคนไปเสียทีแล้วเดินถือกล้องไปเลือกหามุมที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทำ
...............................................
ทะเลตรงหน้ายังคงซัดคลื่นสูงเข้าฝั่งลมทะเลที่พัดมากระทบหน้าแรงอยู่ใช่ย่อย สีหน้าของโชติดูเป็นกังวล ความรู้สึกหวาดหวั่นที่สรรหาคำอธิบายไม่ได้กำลังก่อตัวประหนึ่งเงาเมฆดำครึ้มตรงขอบฟ้าที่ห่างออกไป ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆก็รู้สึกเช่นนี้...หากจะให้พูดตามตรงน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่ไปยืมห่วงอย่างจากชายชราท่าทางแปลกๆที่อยู่ริมหาดคนนั้นแล้ว
“พี่โชติ เป็นไรป่ะ หน้าซีดเลยอ่ะ” จูนที่ยืนอยู่ข้างๆสังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไปของรุ่นพี่จึงเอ่ยถาม
“มะ..ไม่เป็นไร แค่...เมื่อคืนคงจะนอนน้อยไปหน่อยน่ะ” โชติโคลงศรีษะเล็กน้อยเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าควรจะอธิบายสิ่งที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ออกไปอย่างไรดี แต่ความรู้สึกนี้ก็มีผลกับสภาพจิตใจของเขามากทีเดียว
.... กลัว ? .....
....แต่อยู่ๆจะมากลัวอะไร....
“จะถ่ายแล้วนะ....เดี๋ยวถ่ายช็อตไกลก่อนนะ” ทันใดเสียงของยุทธ์ก็ดังขึ้นปลุกให้โชติตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปรับคำ
“โอเคๆ!!! “ โชติรับคำก่อนจะตบไหล่จูนเบาๆ ให้เข้าที่เพื่อถ่ายทำ
....................................................
-
“คัท!!! “ เสียงสั่งคัททำเอาจูนสะดุ้งในเมื่อคนที่สั่งคัทกลับเป็นโชติเสียเองเมื่อมาถึงบทบาทที่พวกเขาทั้งสองคนจะต้องนั่งปรึกษาปัญหาความรักหนักอกของ “จูน” ที่แฟนหนุ่มอย่าง “เคน” นอกใจไปมีผู้หญิงคนใหม่อยู่หลายครั้งหลายคราจนต้องตัดสินใจบอกเลิกและหนีมาเที่ยวทะเลย้อมใจกันถึงที่หัวหิน
“คัทไมอ่ะ พี่โชติ” ใบหน้าที่แต่งแต้มจนสวยของเด็กหนุ่มเริ่มมุ่ยเพราะอากาศก็เริ่มร้อน แถมลมทะเลที่พัดพาไอเกลือเข้ามาก็ทำเอารู้สึกเหนียวตัวไปหมด
“แกยังเล่นแข็งอยู่เลย เมื่อกี้”โชติว่า เขาอยากขยี้หัวของตัวเองแรงๆถ้าไม่ติดว่ามีผมเปียต่อติดหัวอยู่อย่างนี้
“อารมณ์ว่าไม่อยากจะให้อภัยน่ะ เจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นความเจ็บปวดมากกว่าความโกรธ ลองแสดงออกให้มากกว่านี้ดูจะได้ป่ะจูน” น่าแปลกที่ในครั้งนี้โชติไม่ได้มีท่าทีจะอารมณ์เสียหรือหงุดหงิดเท่าที่เคยเป็นตรงกันข้ามกลับอธิบายอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มพยักหน้าลงช้าๆ ก่อนจะเหลือบมองหน้ารุ่นพี่ทั้งสามคน
“ครับ...จะลองอีกรอบละกัน” เด็กหนุ่มรับคำ เป้าหมายของเขาคือไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงให้ใคร และเขาควรจะทำให้ได้ จูนหลับตาลงได้ยินเสียงของคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา ลมพัดหวีดหวิวรุนแรง
เขาจิตนาการถึงอารมณ์ความเจ็บปวดผิดหวัง และเศร้าเสียใจของ”หญิงสาว”ที่ชื่อว่าจูน ตัวละครของเขา มันจะเป็นอย่างไรกันหากถูกคนรักนอกใจ เขาจะมองหน้าคนที่นอกใจตนเองได้ไหม จะรู้สึกผิดหวังเพียงใด ความปั่นป่วนในจิตใจคงไม่ต่างจากท้องทะเลในยามที่คลื่นลมไม่สงบ ดวงตาสีเข้มที่ในวันนี้ไม่มีคอนแทคเลนส์สีน้ำเงินปิดบังเปิดขึ้นมองผ่านช่วงไหล่ของตากล้องอย่างยุทธ์เลยไปยังคนที่ดูแลเรื่องการอัดเสียงอยู่ไม่ห่างออกไป คนๆนั้นเองก็คงจะทำให้แฟนสาวรู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน
“ ....’ ก็ไม่ใช่ไม่รักแล้ว....แต่มันทำใจไม่ได้ มองหน้ากันแล้วให้รู้สึกเหมือนเดิมก็คงไม่ได้
ทั้งที่เคยอยู่ข้างๆกันมาตลอด แล้วกลับเป็นแบบนี้ จะให้ทำยังไง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่
ปากก็พูดว่า รัก แต่มือที่ว่างก็เที่ยวไปคว้าใครเอาไว้แบบนั้น....ยังไง ก็ยกโทษให้ไม่ได้หรอก”
ดวงตาที่มองตรงมานั้นทำให้เคนต้องกลืนน้ำลายลงคอ บางอย่างในน้ำเสียงและนัยน์ตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกผิดไปตามบทที่จูนกำลังแสดงออกมา มันเหมือนกับว่าบทที่ได้ยินจูนพร่ำท่องพร่ำซ้อมมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ก่อนที่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อจูนจะ”เปลี่ยน”ไปนั้นมันเป็นบทที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“.................คัท!! โอเค......” คราวนี้เป็นยุทธ์เองที่สั่งคัต “ใช้ได้ๆ ....”ผู้กำกับจำเป็นสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนจะยื่นมือให้จูนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นทราย
“เอ้าลุกได้แล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน จะได้มาถ่ายฉากตอนบ่ายต่อ” แต่แทนที่จะจับมือข้างนั้นไว้กลับจับมือของยุทธ์ให้ยื่นไปทางโชติแทน
“ไม่เป็นไรพี่ ผมลุกเองได้ พี่ดูพี่โชติเหอะ เป็นอะไรไม่รู้นั่งหน้าซีดมาตั้งแต่ก่อนถ่ายแล้ว” ว่าพลางก็หันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ปวดหัวตัวร้อนหรือก็ไม่นะ” มือเรียวยื่นไปจับหน้าผากของรุ่นพี่เบาๆแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีไข้แต่ประการใด
“ลุกเองได้หรอกน่า แข็งแรงจะตายไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” โชติยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วย
“ง่วงล่ะซิ่ เมื่อคืนแม่งก็ไม่ยอมหลับยอมนอนท่องบทอยู่นั่นล่ะ เขียนเองแท้ๆเสือกจำไม่ได้” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆพลางตบหัวของโชติจนโคลง “ไป ไปหากาแฟกินไปจะได้ตื่นๆ”
“โอ้ย กูตื่นอยู่แล้วน่า...” โชติหันมามองอย่างไม่พอใจที่ทั้งถูกแซวแล้วโดนแกล้งแบบนี้ ร่างเล็กนั่นเดินสาวเท้าเดินไปอีกทาง ทำเอาจูนต้องรีบวิ่งตามไป
ในขณะที่ผู้ก่อเหตุยังยืนหัวเราะอยู่เช่นนั้น จนเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินไกลออกไปจึงหยิบกล้องขึ้นมาเช็คช็อตเมื่อครู่ ดวงตากลมโตของชายหนุ่มหน้าสวยจ้องมองหน้าจอเล็กๆนั้นนิ่ง ความรู้สึกร้อนระอุแล่นลามเข้าไปในอก พร้อมคำถามที่ไม่แน่ใจนักว่าเมื่อไรจะได้พูดออกไป
“จ้องตาจะหลุดแล้ว...” เสียงทุ้มของเคนเอ่ยขึ้นเบาๆที่ด้านหลัง ยุทธ์แทบปิดคลิปวีดีโอนั่นแทบไม่ทัน
“ห่าน ยุ่งอะไรฟะ”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ล่ะ ทีมึงยังยุ่ง”เรื่องของกู” อยู่เรื่อย....”ร่างสูงใหญ่นั้นขยับเข้ามาใกล้ น้ำเสียงที่ใช้เน้นย้ำทำไมยุทธ์จะไม่รู้ว่าเคนกำลังพูดถึงอะไร
“แปลกนะ ทั้งๆที่ปกติจินตนาการก็ไม่ค่อยจะมี ดีแต่ใช้กำลังอย่างมึง มาคราวนี้กำลับคิดอะไรเองเออเองไปเสียหมด....เรื่องมันยังไม่จบหรอกนะ...สำหรับมึงอ่ะคงอีกนาน” ยุทธ์มองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากนั่นจะขยับยิ้มหยันก่อนจะเก็บกล้องลงกระเป๋าแล้วเดินตามทั้งโชติและยุทธ์ไปโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาชี้นิ้วสั่งให้เคนรีบเก็บของเดินตามไป
.............................................
ระหว่างมื้อเที่ยง ทั้งสี่คนเข้าไปนั่งกินข้าวกันในร้านบริเวณริมหาดและไม่ลืมที่จะขอถ่ายทำในสถานที่ด้วย สุดท้ายอาหารที่สั่งมาประกอบฉากก็กลายเป็นมื้อกลางวันของทุกคน แต่อาหารทะเลสดๆที่ถูกนำมาปรุงหลากเมนูตรงหน้านั้นกลับไม่ได้ชวนให้โชติรู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าชมรมการแสดงและผู้กำกับของหนังสั้นในคราวนี้ได้แต่เหม่อมองทะเลที่อยู่ตรงหน้า
“พี่โชติ นี่จะไม่กินข้าวกินอะไรหน่อยเหรอพี่ หมึกไข่นี่อร่อยนา กินๆ ไม่ต้องกลัวเมคอัพหรอกน่าเดี๋ยวผมแต่งให้อีก” จูนกำลังอร่อยกับหมึกไข่ย่างตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าของโชติพลางขยับจานหมึกไข่ให้
“....ไม่อ่ะ...” โชติยกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่ค่อยหิวว่ะ”
“ไปห่วงเขา แกก็ยัดๆเข้าไปเนี่ย เลอะหมดแล้ว” ถึงจะรู้สึกแปลกๆเหมือนกันที่อยู่ๆโชติก็ไม่อยากจะกินขึ้นมาเสียแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เคนเองก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะยื่นมือไปใช้นิ้วโป้งปาดคราบมันที่ติดอยู่เหนือริมฝีปากของจูนออก จนเด็กหนุ่มต้องโวยวายออกมา
“ฮึ่ย ทำอะไรเนี่ย!” จูนพลักไหล่เคนออกอย่างแรงด้วยความตกใจ
“ก็มันเปื้อนนี่...” เคนตอบหน้าตายไม่พอยกปลายนิ้วขึ้นเลียเบาๆ
“อุบาทว์เหอะ...” จูนชูนิ้วกลางใส่ ก่อนจะตักข้าวเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก ใบหน้าแดงก่ำเพราะทั้งยุทธ์และโชติก็นั่งอยู่นี่ถ้าเขาไม่ได้กำลังอร่อยกับของกินตรงหน้าอยู่คงถลกกระโปรงยันคนข้างๆให้ล้มกลิ้งล้มหงายไปไกลแล้ว
“จูน กินนี่ดิ่ กุ้งเผาๆ” ยุทธ์ว่าพลางยื่นกุ้งเผาให้จูน
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มรับไม่ได้มีท่าทีจะสนใจท่าทางของคนที่นั่งอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย
“...................” เคนนิ่ง ก่อนจะหันไปหยิบกุ้งตัวโตส่งให้กับโชติ “มึงก็กิน ...ไม่ต้องทำหน้าเป็นตูด ถ้ามึงยังไม่กินอีก กูจะเอากุ้งยัดคอมึงเดี๋ยวนี้ล่ะ ตอนบ่ายมีแต่ฉากออกแรง แม่งลงน้ำไปทั้งที่ไม่มีแรงจมน้ำตายห่าขึ้นมาว่าไง”
"พี่เคน ไหงพูดเป็นลางแบบนั้นอ่ะ ไม่ดีเลย” จูนหันไปดุเคนทันควัน ทำเอาเคนขมวดคิ้ว
“....อะไรวะ วันนี้นี่ขยันดุกูจัง....”
“ก็พี่เคนปากไม่ดี...”
“คือน้องมันจะบอกว่ามึงปากหมาอ่ะ” ยุทธ์เสิรมแต่เจอเคนตอบกลับด้วยสายตาจนต้องเงียบไป
“เอาน่าพวกมึง เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูกินนี่ก็พอใช่ไหมล่ะ....รีบกินซะเดี๋ยวจะได้ไปถ่ายฉากต่อไป เดี๋ยวต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกอะไรอีก”โชติตัดบทตัวปัญหาด้วยการเริ่มลงมือแกะกุ้งเคี้ยวเข้าปากไปทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกอยากจะกินมากขนาดนั้น ดวงตายังคงมองไปยังทะเลด้วยสายตาเป็นกังวล อยู่ๆ ทะเลสดสวยตรงหน้าก็ดูน่ากลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
..........................................to be continued
-
น่ากลัวจัง จะเกิดอะไรไม่ดีหรือเปล่า
-
คือพี่เคนเห็นจุนเป็นแม่555555 :ling1:ทำไมพี่เคนละเมอได้ขนาดนี้
เหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีแน่ขึ้นเลย พี่โชติจะเป็นอะไรรึเปล่า :hao4:
พี่เคน ในฐานะที่เป็นแฟนคลับพี่ ขอพูดเถอะ ยัยนิดน่ะ เลิกเถอะ!!! :katai1:
-
ทำไมรู้สึกถึงความดราม่าที่จะมาพร้อมทะเลพิโรธ ไม่เอาได้มั้ยอะ ฮือออออออออ
อีกอย่าง ฉากโทรศัพท์นั่นมันบีบอารมณ์~~~ เริ่มไม่อยากอ่านตอนต่อไป เครียด กดดัน ต้องร้องไห้แน่ๆเลย
ปล.อิพี่เคนอย่าเพ้อเยอะ น้องชุดส้มงามงดเสมอ!! ไปหานิดเลยไป๊
ปลล. เพิ่งรู้ว่าพี่โชติเคะ orz ไม่เคยแน่ใจpositionของพี่โชติมาก่อนหน้าเลย
-
@@@ talk @@@
อัพนิยายส่งท้ายปี
ถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ของเรานะคะ
ขอให้มีปีใหม่ที่ดี เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรง จะได้มาตามอ่านเรื่องของจูนกับพี่เคนให้จบนะคะ
(หวังว่าจะจบในปีหน้านะ มั้งนะ ฮา)
...................................................
29
ปลอบ
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วพี่โชติ”
จูนถอยออกมาเมื่อช่วยเติมเครื่องสำอางให้โชติอีกรอบ ดวงตารีเรียวนั้นมองผลงานอย่างภาคภูมิใจ เพราะเขาต้องปวดหัวอยู่ไม่น้อยกับการพยายามพรางส่วนที่ดูเป็น “ผู้ชายเกินไป” ของทั้งเขาและรุ่นพี่ร่างเล็กกว่าคนนี้
ชุดว่ายน้ำที่พันอยู่รอบอกภายในต้องเสริมด้วยถุงเท้าที่ม้วนเป็นก้อนกลมเนื่องงจากไม่มีใครใจกล้าพอเดินไปหาซื้อฟองน้ำเสริมออกมาจากแถวแผนกชุดชั้นในสตรี ไหล่กว้างถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมตาข่ายเนื้อบางที่ช่วยพรางส่วนไหล่แต่ยังเผยให้เห็นผิวและชุดว่ายน้ำวับแวม ยิ่งอีกฝ่ายตัวสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบแบบนี้คงดูออกยากนักถ้ามาองจากที่ไกลๆ เขาเองก็ใส่เสื้อผ้าคล้ายๆกันต่างก็เพียงสีสันและเนื้อผ้าเท่านั้น กางเกงท่อนล่างเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ขาสั้น...ที่สุดเท่าที่จะหาได้และมีไซส์พันผ้าผืนใหญ่ให้เป็นจุดดึงสายตาให้ห่างออกไปจากท่อนขา เพียงเท่านี้ “การแปลงโฉม” ครั้งนี้ ก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ขอบใจว่ะ ..” โชติยิ้มเจื่อนๆ เมื่อหันไปดูกระจกแล้วเห็นสภาพตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป
“ผมรู้ ผมเก่ง พี่ไม่ต้องชมก็ได้” จูนชมตัวเองเสร็จสรรพ หวังว่ามุกตลกฝืดๆของเขาจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ฮ่ะๆ...ยังไม่ทันชมเลย ไอ้บ้า ไปกัน พวกบ้านั่นรอแย่แล้ว” โชติตบบ่าจูนเบาๆ ก่อนจะเดินกลับออกมาจากบ้าน ตลอดทางจนถึงหาดนั้นได้ยินเสียงชาวต่างชาติที่อาจจะไม่ค่อยได้พบเจอ”ของแปลกๆ” แบบนี้จึงผิวปากแซวกันนัก
....................................
ผืนทรายใต้ฝ่าเท้ายุบยวบ ทะเลตรงหน้าดูอย่างไรก็ยังไม่เป็นมิตร โชติยืนมองปลายเท้าของตัวเองที่ก่อนที่จะถูกคลื่นสาดเข้ามากระทบ ชายหนุ่มยกเท้าหลบคลื่นนั้นทันควัน
....ทำไมมันรู้สึกแย่ขนาดนี้เนี่ย....
“แต่งตัวซะงามไข่ย้อย...ทำไมทำหน้างั้นวะ” เสียงแซวดังขึ้นจากตากล้องและพระเอกประจำช่วงบ่าย ถึงวันนี้จะดูเหมือนคนนอนไม่พอแถมไม่ได้แต่งหน้ามากเพราะจะมีถ่ายเพียงแค่ฉากตอนกระโดดลงไปช่วยดึงโชติขึ้นจากน้ำเท่านั้น แต่ยุทธ์ ชายหนุ่มขี้เล่นผมสีอ่อนตรงหน้าคนนี้ก็ยังคงดูดีอยู่ไม่น้อย
“งามหยดย้อยเว้ย ไม่ใช่งามไข่ย้อย”
“อ่ะเหรอ เห็นใส่ซะสั้นลงน้ำล่ะกลัวจะปลิ้นออกมาให้อุจาดตา”
“........................................” แค่ได้ยินคำว่าลงน้ำก็นึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ปรกติโชติว่ายน้ำแข็งแต่หัวใจในอกกลับรู้สึกหวิว ท้องไส้ปั่นป่วนจนรู้สึกคล้ายจะอ่อนแรงไปเสียหมด ทะเลเบื้องหน้าก็ทั้งคลื่นและลมแรง ความรู้สึกกระตือรือร้นเลยพลอยหดหายไปเสียหมด เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงรู้สีกแบบนี้ แต่เท่าที่รู้คือ...เขาไม่อยากลงไปในทะเลนั่นคนเดียวเลย
“ไหวไหม...” เสียงยุทธ์ดังขึ้นในขณะที่ยกกล้องขึ้นถ่ายบรรยากาศรอบๆไปด้วย
“ก็ไม่ไหวก็ต้องไหว...มึงอยากรีบถ่ายไม่ใช่รึไง” โชติหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย พลางยิ้ม
“ไม่ต้องยิ้มประชดน่า...ตารางงานมึงก็เขียนมาทั้งนั้น กูแค่ทำตาม”ยุทธ์หัวเราะท่าทางชอบใจอยู่ไม่หยอกที่ในที่สุดกรรมก็สนองโชติเข้าใจได้
“ใจร้ายชะมัด ”
“ไม่ใจร้ายมึงคงเบี้ยวไม่ยอมถ่ายวันนี้ เอาน่า มึงเหนื่อยกูรู้ กูก็โดนปลุกแต่เช้าไอ้พวกนี้ก็เหมือนกัน...”ว่าพลางชี้ไปทางเคนและจูนที่ยืนคุยกันอยู่อีกทาง “ไม่ต้องกลัวน่า ...” ยุทธ์พูดดพลางตบไหล่ของติเบาๆโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
“มึงรู้?.....” โชติเลิกคิ้วสูง เมื่อได้ยินคำพูดของยุทธ์
“กูเป็นเพื่อนมึงนี่...”ยุทธ์ว่าพลางหันมายิ้มให้ “เพราะฉะนั้น เลิกปอดแหกแล้วก็เตรียมลงไปถ่ายได้แล้วสาด กูง่วง!”
“ไอ้หน้าใสใจโหดสัด” โชติหุบยิ้มทันควัน พลางชูนิ้วกลางแบบเบิ้ลสองข้างให้ยุทธ์อีกต่างหาก
................................................................
ลมพัดแรงคลื่นซัดน้ำทะเลเย็นเฉียบมากระทบที่หน้าขาเมื่อโชติยืนเกาะห่วงยางเอาไว้แน่น ท่ามกลางเสียงเชียร์ปนสั่งให้เดินลึกลงไปอีกเรื่อยๆ
“ลงไปอีกสิ โชติ มึงจะกลัวอะไรวะ ห่วงยางก็มีว่ายน้ำก็เป็น “ เสียงยุทธ์ตะโกน เมื่อเห็นว่าโชติหยุดอยู่ในจุดที่เขาคิดว่ามันใกล้เกินไป ก่อนหน้านี้ตอนถ่ายช็อตโคลสอัพนั้นพวกเขาถ่ายกันที่ริมหาดโชติยังมีท่าทีสบายใจและมั่นใจที่จะอยู่ในน้ำมากกว่านี้ แต่ในตอนนี้ไม่มีสีหน้าใดนอกจากความกลัวที่แสดงออกมาจากหัวหน้าชมรม
“โอย..... พี่โชติจะไหวไหมเนี่ย... พี่ยุทธ์...นี่ไม่ได้แกล้งพี่เขาใช่ป่ะ”
“เปล่านี่...แกคิดว่าไปตื้นๆแค่นี้แล้วมันดูน่าจะจมได้รึไงล่ะ ก็ต้องให้มันจริงจังหน่อยดิ่ เหมือนในละครทีวีนั่นไง” ยุทธ์ตอบหน้าตาเฉย
“แต่นั่นเขามีสตั๊นท์นะพี่” จูนดูเป็นกังวลและเริ่มหงุดหงิดในเมื่อยุทธ์ยังไม่ยอมฟังเขาเลย เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าของเคนคล้ายจะขอความคิดเห็น
“ไม่เป็นไรหรอกน่า...พวกเราก็อยู่ตรงนี้นี่ไง” เคนหันไปมองหน้าของจูน เขารู้ดีว่าพูดแบบนั้นไปก็ไม่ได้คลายความกังวลให้อีกฝ่าย มิหนำซ้ำอีกฝ่ายจะยิ่งหงุดหงิดที่การประท้วงของตนเองไม่เป็นผลอีกและดูท่าจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น เม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ
“พี่เคนนี่ พึ่งไม่ได้เล้ย....” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เอ่า...กูผิดซะงั้น....โอ๋ๆนะ...”เคนยกมือขึ้นจะตบลงบนบ่าของจูน แต่เด็กหนุ่มกลับขยับตัวหลบ ก่อนจะเดินไปสังเกตท่าทางของโชติที่กำลังเดินลึกลงไปในทะเลเรื่อยๆด้วยความเป็นห่วง
“นี่ถ้าเป็นกูบ้างจะห่วงแบบนี้ไหมเนี่ย....” เคนบ่นเบาๆ
................................................
อีกด้านโชติจำใจจำทนก้าวลึกลงไปในทะเล คลื่นใต้น้ำแรงกว่าที่คิดแต่ก็พยายามทรงตัวให้อยู่ในห่วงยางอันใหญ่ถึงแม้มือจะลื่นแต่ก็พยายามจะจับเอาไว้ให้แน่น ขาเริ่มไม่ติดพื้นและตัวของเขาเริ่มโลงเคลงไปตามกระแสคลื่นพร้อมๆกับห่วงยางห่างจากชายฝั่งออกไปเรื่อย ความกลัวเพราะความไม่มั่นคงและคาดเดาลำบากของสภาพแวดล้อมเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง และเขาเริ่มจะทนความรู้สึกนี้ไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มร่างเล็กตะโกนออกไปสุดเสียง
“ไอ้ห่ายุทธ์ มึงจะถ่ายได้รึยัง!!!”
“เอ้อ.......................” ยุทธ์ตะโกน แต่ก็ยังนึกสนุก ชายหนุ่มหน้าสวยหัวเราะออกมาเบาๆพลางยกกล้องขึ้น ภาพของศีรษะของโชติที่พลุบๆโผล่ๆไปตามแรงคลื่นในทะเลยิ่งมองยิ่งชวนให้ขำ
“แม่ง หัวคนหรือทุ่นลอยน้ำกันแน่วะ โคตรใหญ่....” ยุทธ์ส่ายหน้าเบาๆพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันมาสะกิดให้จูนเป็นคนควบคุมการถ่ายทำ
“เดี๋ยวพอไอ้โชติปล่อยมือแล้วแกก็ถ่ายต่อจากพี่นะ...”
“ครับ...” จูนรับคำเบาๆ ตาก็อยากจะจำว่าต้องถ่ายมุมไหนต่อ แต่ใจก็นึกห่วงรุ่นพี่ที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล ยุทธ์หรือก็แปลกคนทำไมวันนี้ถึงได้เคี่ยวกับโชตินัก ทั้งๆที่ดูท่าแล้วคงจะกลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทำได้ใช่ไหม...”ยุทธ์ถามย้ำ
“ได้ ครับ....” จูนพยักหน้าลงเบาๆ
“เยี่ยม...เก่งมาก” ยุทธ์ยิ้มพลางยกมือขึ้นขยี้ผมของเด็กหนุ่มเบาๆ ยุทธ์เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มเขินๆ “เอาล่ะไอ้โชติ จะถ่ายล่ะนะ ปล่อยมือได้!!”
อีกด้าน
“ไอ้บ้านี่ก็สั่งจังวุ้ย มันทำง่ายๆที่ไหน อุ๊บ...ถุย แม่งเค็มชิบ” โชติบ่นไปก็พยายามที่จะไม่กลืนน้ำทะเลเข้าปาก รู้ดีว่าถ้าไม่รีบปล่อยมือ รีบแสดง สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่ท่ามกลางความไม่มั่นคงของกระแสน้ำก็คงจะไม่มีวันจบ ยุทธ์เอาจริงอย่างที่พูดและคงไม่ปล่อยให้เขาขึ้นจากน้ำโดยที่ยังไม่เปื่อยไปเสียก่อนเป็นแน่ แต่ถึงในใจจะเต้นไม่เป็นจังหวะ ถึงแม้กระแสน้ำเบื้องล่างจะซัดแรงจนหวั่นใจ สิ้นเสียงตะโกนสั่ง แต่นักแสดงยังไม่เคลื่อนไหว โชติรู้สึกหวาดเสียวเกินกว่าจะปล่อยมือออก เศษอะไรบางอย่างใต้น้ำที่ลอยมาสัมผัสกับขาทำให้สะดุ้งอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังดีที่คงไม่ใช่แมงกะพรุนหรืออะไรจำพวกนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงร้องจ๊ากไปแล้วเป็นแน่ จนเมื่อมองย้อนกลับไปที่ชายฝั่งเห็นยุทธ์กำลังยกมือขยี้ผมของน้องเล็กประจำวงแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
...ควรจะปล่อยมือสักทีสินะ....
คิดไปแบบนั้นมือที่พยายามเหนี่ยวเอาห่วงยางอันเขื่องเอาไว้ก็ปล่อยให้ห่วงยางนั้นลอยออกไปพร้อมกับกระแสน้ำ ในขณะที่ตัวเองก็พยายามที่จะทรงตัวไว้ให้อยู่เหนือน้ำ ชายหนุ่มเหลือบมองท้องฟ้าด้านบน อยู่ๆกลุ่มก้อนเมฆสีเทาก็เคลื่อนมาบดบังแสงแดดที่สาดแสงมาตลอดตั้งแต่ตอนเที่ยงเสียมิด
“พี่โชติปล่อยมือแล้ว....” เสียงจูนว่าเมื่อมองผ่านเลนส์กล้อง
“สักทีเหอะ....” ยุทธ์เอ่ย พลางทำมือให้โชติดำน้ำลงไป
“ดำลงไปสิ!! " และเป็นไปตามที่ได้ให้สัญญานเอาไว้โชติพลุบหายลงไปในเกลียวคลื่นก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพลางยกมือโบกไปมา
“เยี่ยม...แบบนั้นล่ะดีมาก....” ยุทธ์ยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงานการแสดงของเพื่อนสนิท
“พอให้ทำก็ทำได้ดีนี่หว่า” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าก่อนจะตลบเสื้อยืดที่ใส่อยู่ออกจากตัวเองแล้วยื่นให้จูนเก็บเอาไว้
“เดี๋ยวแกถ่ายตามหลังพี่ก็แล้วกัน “
“ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มกลับ ดวงตารีเรียวที่มองยุทธ์นั้นคล้ายจะเป็นประกาย ทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนักได้แต่ทำเสียงจุปากอย่างขัดใจ พลันสายตาของนักมวยร่างใหญ่ก็เหลือบไปเห็นทุ่นลอยน้ำที่ชื่อโชติกำลังโบกมือ ทั้งตีน้ำทะเลไปมาอย่างแรง ปากก็ร้องตะโกนด้วยเสียงดังจนผิดสังเกต
“นี่ ยุทธ์ ไอ้โชติมันรู้ใช่ป่ะว่าซีนนี้ไม่เอาเสียงน่ะ” เคนขมวดคิ้วก่อนจะขยับศอกสะกิดยุทธ์เบาๆให้หันไปมองทางโชติที่โบกมือตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเล
“รู้สิ....”ยุทธ์ว่าก่อนจะหันกลับไปมอง
“แล้วมันจะแหกปากทำไมวะ หรือกลัวจนอึราดกลางทะเล”
“ผมว่ามัน...ไม่ใช่แล้วล่ะพี่!! “ อยู่ๆจูนก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ภาพที่เขาเห็นจากเลนส์กล้องที่ดึงภาพซูมนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นไม่ใช่การแสดง
“พี่โชติจมน้ำ!”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของจูน ทั้งยุทธ์และเคนก็ออกวิ่งลงไปในทะเลแทบจะพร้อมๆกัน
“พี่เคน!? พี่ยุทธ์!!” จูนเองก็ทั้งตกใจและมึนงง เด็กหนุ่มยังยืนอยู่หน้ากล้องด้วยตกตะลึงกับเหตุการณ์ กล้องยังคงถ่ายทำภาพตรงหน้าต่อไปโดยที่มีเขาเป็นผู้เฝ้าดูด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก เมื่อเห็นทั้งยุทธ์และเคนกระโจนลงทะเลที่มีคลื่นสูงลงไปพร้อมๆกัน
ช่วงแขนยาวของเคนจ้วงลงไปในน้ำทะเล ดึงตัวเองไปข้างหน้าคลื่นที่ซัดเข้ามาทำให้ยากไม่น้อยที่จะไปถึงตัวโชติให้ได้เร็วกว่านี้มิหนำซ้ำยังรู้สึกเจ็บปลาบที่หน้าขาเหมือนจะโดนออะไรที่อยู่ใต้น้ำบาดเอาแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
“ยุทธ์! เห็นไอ้โชติไหม” เพราะคลื่นลูกเมื่อครู่ทำให้เขาต้องหลับตาหลบกระแสน้ำ คลาดสายตาจากเพื่อนไป เมื่อลองทรงตัวมองหากลับไม่เห็นคนที่ควรจะอยู่แถวนั้น
“..............................” ยุทธ์ไม่ตอบ เขาหันซ้ายขวาด้วยท่าทีเคร่งเครียด ก่อนที่อะไรบางอย่างที่ผิวน้ำห่างออกไปซักสามสี่เมตรจะดึงสายตาของยุทธ์เอาไว้
“ไอ้โชติ!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กร้องลั่นก่อนรีบว่ายน้ำเข้าไปหา มือเรียวดึงแขนของเพื่อนเข้ามาหาตัว
“พยุงคอไว้นะมึง....” เคนรีบว่ายตามเข้าไปช่วย โชติดูคล้ายจะไม่มีสติที่น่ากลัวที่สุดคือไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปนานเท่าไรแล้ว และยุทธ์เองก็ดูตื่นตกใจและเหนื่อยอ่อนอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่รีบเข้าฝั่งน่ากลัวจะพาลหมดแรงจมน้ำตายกันทั้งหมดนี่เป็นแน่
“ไหวไหมมึง ไป รีบขึ้นฝั่งได้แล้ว” ยุทธ์พยักหน้าทั้งที่ยังหอบและแทบจะสำลักน้ำทะเลที่ซัดเข้าปากเข้าคอจนแสบไปหมด ทั้งสองคนรีบช่วยกันพาโชติว่ายกลับเข้าฝั่ง พอถึงในระดับที่พอจะยืนได้ ยุทธ์พยายามจะพยุงโชติให้ยืนขึ้นแต่อีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะสลบไปแล้วนั้นทำให้ไม่ง่ายเลยที่เขาจะช่วยเพื่อน ยุทธ์ไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว เห็นแบบนั้นเคนรีบเข้าไปช้อนร่างของโชติขึ้นไปบนหาดทันที
“จูน!! เรียกรถพยาบาลเร็ว!!” เสียงของเคนดังก้องแข่งกับเสียงของคลื่นเรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวในบริเวณนั้นไม่น้อยเวียงผู้คนที่มารวมตัวกันในยามบ่ายเริ่มเซ็งแซ่
“อ่ะ...เอ่อ.....” เด็กหนุ่มผมสีอ่อนลนลาน ...รถพยาบาล...ใช่เขาควรจะรีบโทรเรียกรถพยาบาล จูนรีบควานหาโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในเป้ทันทีรู้สึกได้ว่ามือไม้สั่นแต่ยังพยายามตั้งสติที่จะเรียกรถพยาบาล ระหว่างที่รอสาย สายตาของเขาก็หันกลับไปมองรุ่นพี่ทั้งสามคน
............................
“โชติ โชติ มึงได้ยินกูไหม กูขอโทษ กูจะไม่แกล้งมึงอีกแล้ว...ห่า ไอ้โชติมึงตื่นมาด่ากูก่อนดิ่”
ยุทธ์วิ่งเข้ามาเขย่าแขนของโชติร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆด้วยสติที่ยากจะยับยั้งครองไว้ได้ เคนเห็นแบบนั้นก็รีบกระชากแขนของยุทธ์ให้ลุกขึ้นมามองหน้า
“ไอ้ยุทธ์ มึงตั้งสติหน่อยสิวะ!!” เคนตะคอกใส่ยุทธ์ด้วยสียงเข้มก่อนจะผลักร่างเล็กนั่นให้ถอยห่างออกไป
“ถอยไปเดี๋ยวกูดูเอง” นี่คงเป็นครั้งแรกที่ยุทธ์ยอมทำตามเสียงตะคอกของเคนโดยดี ร่างสูงปาดน้ำทะเลที่เกาะพราวอยู่บนหน้าผากออก เขามองดูอาการของโชติแล้วเห็นท่าจะไม่ดีจึงตะโกนถามจูนอีกครั้ง
“จูน รถพยาบาลล่ะ!!”
“กำลังมาพี่!!” เด็กหนุ่มตะโกนกลับมา ผู้คนเริ่มจะเข้ามามุงดู ยุทธ์ที่พอจะตั้งสติได้รีบกันคนออกไปทันที
“อย่ามุงครับ อย่ามุง”
“รถพยาบาลกว่าจะมา... “ เคนพึมพำด้วยเสียงเครียด เขาจับโชติตะแคงตัวเล็กน้อยเพื่อเอาน้ำในท้องออกมาจนเมื่อรู้สึกว่าน้ำน่าจะออกมาจากท้องหมดแล้วจึงจับโชติลงนอนหงาน ก่อนจะก้มลงไปใกล้กับริมฝีปากของโชติเงี่ยหูฟังว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เคนลองแตะที่แอ่งชีพจร คล้ายจะรู้สึกได้ถึงสัญญานชีพแต่ก็อ่อนเสียจนไม่มั่นใจ
“ไอ้ห่าโชติ มึงห้ามตายนะเว้ย !!” เคนจับโชติให้นอนดีๆ ร่างสูงยืดตัวขึ้นเหนือร่างของเพื่อนพลางใช้สองมือใหญ่วางลงบนอกของโชติแล้วออกแรงกดลงไปอย่างแรงตามที่เคยได้เรียนและฝึกปฏิบัติมาในวิชาเรียนที่มหาวิทยาลัย ในขณะเดียวกันจูนที่เฝ้ามองอยู่นั้นก็คว้ากล้องที่ตั้งเอาไว้ขึ้นมาจับภาพนาทีชีวิตตรงหน้าเอาไว้ ในใจภาวนาเหลือเกินให้โชติฟื้นขึ้นมา
“ห่ายุทธ์ มึงจับไอ้โชติแหงนหน้าหน่อยสิ พอกูให้สัญญานมึงเป่าปากมันนะเว้ย เร็ว!!” เสียงเคนสั่ง ยุทธ์วิ่งมาอีกด้านประคองศีรษะของติเอาไว้ตามที่เคนบอก ทั้งสองคนช่วยกันนับเมื่อพยายามนวดหัวใจลงไป ยุทธ์ก็ก้มลงประกบปากเป่าลมเข้าไป เคนลงมือนวดหัวใจอีกครั้ง
“ 1…. 2….. 3……12…..13…..14..…15 เอ้าเป่า!!” สิ้นเสียงเคนสั่งยุทธ์ก็ทำตามทันที เป็นแบบนี้อยู่สองสามครั้งจนรู้สึกได้ว่าโชติขยับ จึงถอยออกมา หัวหน้าชมรมการแสดงสำลักเอาน้ำทะเลออกมาเล็กน้อยจนทั้งคู่ต้องช่วยกันจับตัวเพื่อนตะแคงเพื่อเปิดทางหายใจ เมื่อลองเงี่ยหูและจับชีพจนดูเห็นว่ามีชีพจรเต้นแรงขึ้นมาแล้วจึงถอยออกมา ประจวบกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฐมพยาบาลวิ่งมาพร้อมกับเปลหามพอดี เคนจึงลุกขึ้นเปิดทางให้เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามารับหน้าที่ต่อไป
“เดี๋ยวกูไปกับโชติเอง” เพราะโชติยังไม่ได้สติดี ยุทธ์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาปาดน้ำมูกออกจากหน้าก่อนจะเก็บของอาสาไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับติและหน่วยกู้ภัย “ยังไงเดี๋ยวกูโทรหามึงก็แล้วกันนะเคน....มึงเก็บของพวกนี้กลับไปที่บ้านก่อน” ว่าพลางก็โยนกุญแจให้บ้านให้กับเคน
“เออ รู้แล้ว เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงไปเหอะ” เคนว่า ก่อนจะหันหลังกลับไปเก็บของ ยุทธ์มองตามหลังของร่างสูงนั้นก่อนจะเอ่ยปากเรียกเคนเอาไว้
“เฮ้ย...เคน....”
“อะไร?..........” เจ้าของชื่อที่ยังเหนื่อยหอบและตัวเปียกโชกนั้นหันกลับมามองหน้าของอีกฝ่าย
“ขอบใจนะมึง” ยุทธ์เอ่ยพลางยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“เออ.............” เคนเองก็พยักหน้าให้ก่อนโบกมือไล่ “มึงรีบพาไอ้โชติไปโรงบาลเหอะ “ ยุทธ์ไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าลงน้อยๆก่อนจะรีบวิ่งตามหน่วยกู้ภัยไป ปากก็เรียกชื่อของโชติตลอดเวลาหวังจะให้เพื่อนรู้สึกตัว
เมื่อหน่วยกู้ภัยบึ่งรถออกไป หมู่ไทยมุงฝรั่งมุงทั้งหลายก็ค่อยๆสลายตัวไปด้วย เคนหันหลังด้วยคิดว่าจะรีบเก็บของแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ท่ามกลางความวุ่นวายเมื่อครู่ดูเหมือนเขาแทบจะลืมสมาชิกอีกคนของชมรมไปเลย จูนยืนอยู่ตรงหน้าเขามือยังถือกล้องสายตาเหม่อมองออกไปทางที่รถกู้ภัยวิ่งออกไป
“จูน....จูน!” เสียงของเคนดังขึ้นเรียกให้เด็กหนุ่มได้สติ
“อ่ะ ครับ!!” เด็กหนุ่มผมทองสะดุ้งโหยง
“ไป เก็บของเข้าบ้านกัน อีกเดี๋ยวไอ้ยุทธ์คงโทรมาบอกว่าไปที่โรงบาลอะไร จะได้ขับรถตามไปดูไอ้โชติมัน” เคนยังคงทำเสียงเข้มร่างสูงช่วยเด็กหนุ่มรุ่นน้องเก็บข้าวของเดินกลับไปยังบ้านพักอย่างไม่รีรอ
-
(ต่อ )
ทั้งสองคนเดินกลับมายังบ้านพักด้วยใจที่เต็มไปด้วยคำถามในใจยังคงว้าวุ่น เมื่อไรยุทธ์ถึงจะโทรศัพท์กลับมา แล้วอาการของโชติจะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่กันที่โรงพยาบาลไหน จะต้องโทรไปบอกพ่อกับแม่ของโชติหรือเปล่า พ่อแม่ของโชติจะว่าอะไรไหม คำถามมากมายที่ในตอนนี้ยังไร้ซึ่งคำตอบ
จูนเดินตามเคนจะก้าวขาเข้าประตูบ้านในขณะที่กำลังถอดรองเท้าก็เห็นหยดเลือด หยดอยู่ที่หน้าประตู และเมื่อมองดูดีๆมันหยดเป็นทางยาวมาตั้งแต่ประตูใหญ่หน้าบ้าน ....และเลือดนั่นมาจากหน้าแข้งของเคนนั่นเอง
“พี่เคน เลือดออกนี่!!”จูนร้องด้วยความตกใจ นี่เขาไม่ได้สังเกตอะไรเลยหรือยังไงถึงไม่เห็นเลือดไหลเยอะขนาดนี้
“หะ...เออจริงด้วย ยังว่าทำไมเจ็บๆ” เคนก้มลงมองหน้าแข้งของตัวเองที่มีรอยบาดเป็นทางยาว เขามัวแต่สนใจเรื่องของโชติจนลืมสำรวจตัวเองไปเลย
“แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวไปโรงพยาบาลอยู่แล้ว” เคนไม่ได้สนใจทันที่วางของลงได้ เขาหันซ้ายเหลียวขวาหยิบผ้าขนหนูมาได้ผืนหนึ่งก็ฉีกออกพันเอาไว้เพื่อห้ามเลือด
“พี่เคน! “ จูนประท้วงกับสิ่งที่ได้เห็น แต่ดูเหมือนเคนไม่คิดจะสนใจ ทันใดนั้นได้ยินเสียงโทรศัพท์ เคนรีบดึงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูทันที
“เออ... โรงพยาบาล.....ใช่ป่ะ เออ แล้วมันเป็นไง...หมอให้นอนค้างเหรอ มึงมีเงินจ่ายค่าหมอป่ะ เออ... จะโทรหาแม่มันไหม...เดี๋ยวมึงจัดการเองใช่ป่ะ เออ เดี๋ยวพวกกูตามไป” เคนรับคำด้วยเสียงเครียด ก่อนจะวางสาย
“พี่โชติเขาเป็นไงมั่งอ่ะพี่” จูนเอ่ยถาม
“หมอก็ว่าปลอดภัยแล้ว แต่ยังเพลียๆ หมอเลยให้มันแอดมินนอนโรงบาลดูอาการสักคืนนั่นล่ะ แต่เราต้องเอาเสื้อผ้าไปให้พวกมันด้วย งั้นเดี๋ยวแกไปเอาเสื้อผ้า ไอ้ยุทธ์ไอ้โชติมาละกัน ขอพี่....นั่งพักซักแป๊บ”
“พี่....โอเคนะ....” จูนดูลังเลเล็กน้อยที่จะวิ่งขึ้นไปข้างบนเพื่อหาเสื้อผ้าให้กับโชติและยุทธ์ เพราะท่าทางของชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก เคนค่อยๆเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ มือแกร่งตลบเสื้อที่ยังเปียกชื้นออกจากตัว
“รีบขึ้นไปเหอะน่า!” เคนทำเสียงเข้มดุ ทำให้จูนต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง คว้าเอาเสื้อผ้าของโชติกับยุทธ์ใส่กระเป๋า แต่ก่อนจะเดินลงมาเขาก็วิ่งเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วคว้าเอาเสื้อกลับยืดสะอาดๆกลับมาให้เคนอีกตัว
“นี่ของพี่....” เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงเรียบๆก่อนจะยื่นเสื้อให้กับเคนเมื่อวิ่งลงมาถึงข้างล่าง ชายหนุ่มร่างสูงนั่งพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนแรง ผ้าขนหนูที่พันหน้าแข็งเอาไว้มีเลือดสีแดงสดย้อมให้เห็นเป็นวงกว้าง เคนยกมือมือทั้งสองข้างขึ้นตบหน้าของตัวเองแรงๆก่อนจะรับเสื้อยืดตัวที่จูนถือมาให้มาสวม
“ขอบใจนะ “ชายหนุ่มพยายามยิ้มก่อนยกมือขึ้นขยี้ผมของเด็กหนุ่มตรงหน้าเบาๆ “ไป ไปโรงพยาบาลกัน” เคนเอ่ยก่อนจะเดินนำจูนออกจากบ้านไป ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่โชติเข้ารับการรักษาอยู่ ยังดีที่เนวิเกเตอร์ในรถตู้ของยุทธ์นั้นทำงานได้ดีเกินคาดพวกเขาจึงไปถึงโรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหลงทางซักเท่าไรนัก
เมื่อสอบถามกับทางพยาบาลจึงรู้ว่าโชติยังนอนอยู่ที่ห้องฉุกเฉินและกำลังจะย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยรวม ทั้งเคนและจูนลองเดินไปดูอาการถึงพวกเขาจะไม่รู้เรื่องการแพทย์มากนักแต่จากสีหน้าแล้วก็ทำให้ทั้งสองคนพอจะวางใจ
“นี่ สรุปมึงจะนอนเฝ้ามันที่นี่ใช่ป่ะ” เคนเอ่ยถามยุทธ์ มือหนึ่งก็วางลงบนปลายเตียงของโชติ
“เออ ก็คงเป็นงั้น มันตื่นมาไม่เห็นใครเดี๋ยวจะโวยวายเปล่าๆ อีกอย่าง....กูว่าที่มันเป็นแบบนี้ก็เป็นความผิดกูด้วย มันกลัวจะตายยังบังคับให้มันลงน้ำไปอีก” ชายหนุ่มหน้าสวยถอนหายใจออกมาเบาๆ
“กูแม่งโคตรงี่เง่าเลย ลูกชายเขาเป็นอะไรขึ้นมาแม่มันคงฆ่ากูแน่”
“แต่ตอนนี้พี่โชติก็ปลอดภัยแล้วนี่พี่ยุทธ์ พี่ยุทธ์ก็สบายใจได้แล้วนะ” จูนเอ่ยมือเรียวแตะไหล่ของชายหนุ่มหน้าสวยเบาๆ
“ขอบใจว่ะ...เอาเป็นว่าคืนนี้พวกแกสองคนกลับไปพักเหอะ...เออ...จูนให้หมอเขาดูขาเคนด้วยแล้วกัน นี่พยาบาลปล่อยให้เดินไปมางี้ได้ไงเนี่ย” ยุทธ์เอ่ยทักเมื่อเห็นสภาพการปฐมพยาบาลเบื้องต้นของเพื่อนร่างสูง
“ครับ....เมื่อกี้พี่เคนมัวแต่ดื้อไม่ยอมให้พยาบาลดูให้ท่าเดียว ถ้าพี่โชติมีพี่ยุทธ์อยู่ด้วยก็ดี จะได้ไม่เป็นห่วง งั้นเดี๋ยวผมเอาพี่เคนไปทำแผลก่อนมานี่เลยมานี่.....” ไม่พูดเปล่าเด็กหนุ่มก็ดึงแขนของเคนให้เดินไปหาโต๊ะพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินทันที
................................................................................................
ยุทธ์ยืนยันที่จะนอนเฝ้าโชติที่โรงพยาบาล พอเคนทำแผลเสร็จทั้งจูนและเคนเลยอาสาไปซื้อของใช้เพิ่มเติมให้ก่อนจะกลับกันออกมา กว่าจะกลับมาถึงบ้านพักของยุทธ์ได้ก็ปาเข้าไปเย็นย่ำท้องฟ้าเป็นสีส้มแสดสาดแสงทาทับตัวบ้าน ด้านหนึ่งในขณะที่อีกด้านเงาจากต้นไม้ใหญ่ก็ทอดผ่านทำให้บ้านดูอึมครึมกว่าที่เคยเป็น จูนมองบนพื้นระเบียงหน้าบ้านรอยเลือดของเคนเมื่อตอนบ่ายแห้งกรังนี่ถ้าไม่รีบทำความสะอาดคงแย่แน่ แต่วันนี้เขาเองก็แทบจะหมดแรงแล้วเหมือนกันจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าเขาถึงจะมาทำความสะอาดให้
“เอาล่ะ พี่เคนเหลือเราสองคนละ จะกินอะไรผมจะทำให้...” จูนเอ่ยเมื่อเปิดประตูบ้าน
“ไปอาบน้ำก่อนไปเรื่องของกินจะเอายังไงค่อยว่ากัน “
“อืม...” เคนยังคงออกคำสั่งจูนขมวดคิ้วเป็นรอบที่เท่าไรของวัน ถึงปรกติเคนก็เป็นมนุษย์จำพวกชอบออกคำสั่งคนอื่นอยู่แล้วแต่วันนี้ดูคล้ายจะบ่อยเกินไป เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดนำไปก่อน เขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเมื่อคืนมาได้ก็จะเดินสวนออกมา
“พี่เองจะอาบน้ำก็ระวังผ้าพันแผลด้วยล่ะ หมอเขาบอกยังไม่ให้โดนน้ำนะ ระวังล้มล่ะ” ไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากชายหนุ่มร่างสูงจูนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาลลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่าง
...............................................
ที่ห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดทีวีทิ้งเอาไว้ จูนยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์ที่ห้องครัวและกำลังหั่นผักเตรียมจะทำอาหารเย็น ท่ามกลางความเงียบนั้นมีเพียงเสียงมีดที่กระทบลงกับเขียงดังเบาๆเป็นจังหวะ ทำให้คนที่ค่อยๆเดินลงมาจากชั้นสองต้องหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบันได
“ทำอะไรน่ะ.....” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่ก้มหน้าก้มตาหั่นผักอยู่
“ก็แค่หั่นคะน้าจะใส่ข้าวผัด กับว่าจะทำแกงจืดอ่ะ....กินได้ป่ะ ผมทำอะไรหรูๆไม่เป็นหรอกนะ” จูนตอบพลางกอบผักลงใส่จานนำเอาไปพักเอาไว้
“เหรอ...มีอะไรให้ช่วยป่ะ” เคนถาม
“ไม่มีหรอกพี่ ไปนั่งเหอะ...เดี๋ยวทำให้เอง” จูนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มโบกมือไล่ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพึมพำเบาๆ ผ่านไปสักพักยังเห็นเงาร่างของร่างสูงเคลื่อนไหวไปมาที่หางตาทำให้ต้องวางมีดแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง
“พี่เคนหาอะไร?” เด็กหนุ่มถามก่อนจะล้างมือแล้วเดินจากหลังเคาท์เตอร์ครัวมาดู
“เอ้ย....พี่เคน!” ก่อนจะต้องร้องออกมาเมื่อเดินมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วเห็นว่าผ้าพันแผลที่พยาบาลที่โรงพยาบาลอุตส่าห์พันมาให้อย่างดีนั้นหลุดลุ่ยและเจ้าตัวคนเจ็บก็กำลังแกะผ้าพันแผลออก
“เออ...จูน” เคนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ มีพวกผ้าพันแผลใหม่รึเปล่า...”
“มีน่ะมี...แต่ช่วยหยุดแกะก่อนได้ป่ะ หยุดเลย หยุด” คราวนี้เป็นจูนที่ทำเสียงเข้มดุอีกฝ่ายบ้าง ร่างสูงโปร่งเดินไปเปิดตู้ในห้องครัว หลังจากที่ทำอาหารในห้องครัวเปิดนั่นนู่นนี่ดูมาหลายรอบทำให้เขาเป็นว่ามีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ด้วย ประกอบกับมีผ้าพันแผลใหม่ที่ทางโรงพยาบาลให้มาพร้อมกับยาแก้อักเสบแล้วก็ยาแก้ปวดน่าจะใช้แก้ขัดไปได้
“เอ้า คนป่วย ขยับตัวไปนั่งพิงโน่น แล้วเอาขามานี่มา...” เด็กหนุ่มสั่งให้อีกฝ่ายขยับตัวในขณะที่ตัวเองก็นั่งลงที่ปลายอีกด้านของโซฟาตัวใหญ่ เคนมองหน้าของจูนนิ่งด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึกช่วงขายาวยื่นมาให้จูนช่วยทำแผลให้อย่างว่าง่ายหากแต่กลับเบือนหน้าไปอีกทาง
จูนก้มลงมองบาดแผลของคนตรงหน้า รอยบาดเป็นทางยาวอยู่ไม่น้อยโชคยังดีที่ไม่ต้องถึงกับเย็บ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะค่อยๆ ใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดรอบๆแผลพยายามอย่างยิ่งที่จะเบามืออย่างที่สุด
“เจ็บไหม....” จูนเอ่ยถามเมื่อรู้สึกได้ว่าเคนเกร็งขาของตัวเองเล็กน้อย
“ไม่...........” เคนตอบเสียงแข็ง ดวงตาที่มองมานั้นคล้ายหงุดหงิดที่เจอตั้งคำถามแบบนั้น จูนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์เช็ดเบาๆรอบๆแผล
“........................” เป็นอีกครั้งที่เคนเม้มริมฝีปากแน่น จูนเห็นแบบนั้นยิ่งขมวดคิ้วเขารีบใส่ยาแล้วปิดแผลให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะใช้มือจับหน้าขาของอีกฝ่ายตรงเหนือแผลนั้นเอาไว้แน่นจนจนเคนต้องร้องออกมา ช่วงขายาวถูกชักกลับแทบจะในทันที แต่ดูเหมือนจูนจะยังไม่ยอมปล่อยยังขยับตามเข้าไปจับขาของอีกฝ่ายเอาไว้
“ โอ้ย มันเจ็บนะ เล่นอะไร!” มือแกร่งดึงมือของจูนออก ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจ
“ก็เพราะรู้ว่ามันเจ็บน่ะสิ....”จูนเอ่ย ก่อนจะหันมองไปรอบๆตัว
“ ที่นี่ไม่มีใครสักหน่อย...พี่จะเก็กทำเท่ให้มันได้อะไร“ ดวงตาที่จ้องมองกลับมานั้นทำให้เคนชะงัก รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองกำลังสั่นและใจที่เต้นอยู่ในอกก็กำลังเต้นรัว อันที่จริงเขาสั่นมาตั้งแต่ตอนที่โชติถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว และเจ็บมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ถ้าพี่เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถ้าพี่กลัวก็บอกสิว่ากลัวสิ”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตานั้นฉายแววเจ็บปวดราวกับว่ารับรู้ได้ถึงความรู้สึกในใจของเคนเป็นอย่างดี จูนค่อยๆละมือออกจากใบหน้าคมของชายหนุ่มร่างสูง ริมฝีปากคู่สวยนั้นเม้มแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง
“...พี่กลัวใช่ไหม...ผมก็กลัวเหมือนกัน... ในตอนนั้นพวกพี่วิ่งออกไป เหมือนไม่กลัวอะไร ปล่อยให้ผมยืนเหมือนไอ้โง่อยู่ที่หาด ...ผมไม่เข้าใจ” พลันเบือนหน้าไปอีกทางสองมือเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่องไปทีละชิ้นทีละชิ้น
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกพี่ถึงเก่งเรื่องทำให้ผมเป็นห่วงนัก ถ้าพวกพี่สามคนหายลงทะเลนั่นไปเลยผมจะทำยังไงล่ะ จะบอกพ่อแม่พวกพี่ว่ายังไงล่ะ....ผมก็กลัวเหมือนกันเว้ย”
ยิ่งพูดเสียงของจูนยิ่งสั่นเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่พยายามจะจัดขวดยาให้เข้าที่เข้าทางจนจูนต้องใช้มือข้างที่ว่างยึดมือข้างที่สั่นระริกนั่นเอาไว้ ไหล่ทั้งสองข้างสั่นระริกถึงจะมองไม่เห็นเพราะผมที่ปรกลงมาแต่ปลายจมูกโด่งนั้นแดงก่ำ เคนใจหายวูบมือแกร่งจับไหล่ทั้งสองข้างให้หันกลับมามองหน้าของตรงๆ
“จูน....” ถึงจะเรียกชื่อออกไปแต่เด็กหนุ่มกลับยิ่งก้มหน้าหลบ
“อย่ามองดิ่...ผมร้องไห้อยู่” เสียงที่ดังขึ้นมานั้นสั่นเครือเจือเสียงสะอึกเบาๆ พลางยกมือขึ้นปัดแต่ไม่เป็นผลเมื่อสองมือแกร่งของเคนจับมือทั้งสองข้างที่พยายามปัดป่ายไปมาออกแล้วยึดเอาไว้จนแน่น
“เงยหน้าขึ้น....”
“ไม่เอา” จูนยังปฏิเสธ
“พี่บอกให้เงยหน้าขึ้นไง” น่าแปลกที่เสียงทุ้มของเคนกลับสั่นและแหบพร่าเช่นเดียวกับมือแกร่งของเคนที่สั่นระริก เด็กหนุ่มค่อยเงยหน้าขึ้นที่ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลอหน่วย และท่ามกลางภาพที่ขยับไหววูบเพราะหยาดน้ำตานั้นเขาเห็นดวงตาคมของเคนที่แดงก่ำ ริมฝีปากของชายหนุ่มตรงหน้าเม้มแน่น...เคนเองก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
“พี่เคน?..เอ้ย!?...” คราวนี้เป็นคนที่ร้องไห้ออกมาก่อนที่ต้องแปลกใจ และต้องแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งของเคนดึงตัวของเขาเข้าไปกอดแน่น จูนได้ยินเสียงเคนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“....ตอนที่หาชีพจรไอ้โชติไม่เจอ...พี่กลัวชิบหายเลย...กลัว..กลัวว่าไอ้ห่าโชติมันจะตาย” เคนเอ่ยด้วยเสียงสั่น ทั้งไหล่กว้างช่วงแขนและปลายนิ้วของเคนสั่นไหวราวกับว่าชายหน่มร่างสูงคนนี้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อทั้งร่างเอาไว้ได้อีกต่อไป มือแกร่งที่วางอยู่บนไหล่ของจูนนั้นยึดเอาไว้แน่นหากแต่ก็สั่นเทาจนหากสะบัดก็คงหลุดออกได้อย่างง่ายดาย แต่เด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
“ไม่เป็นไรแล้ว....พี่โชติปลอดภัยแล้วไง ตอนนี้แค่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล พี่ยุทธ์ก็ไปเฝ้าด้วย พี่ไม่ต้องห่วงพี่โชติแล้วนะ...พี่น่ะ ทำได้ดีที่สุดแล้ว” จูนกระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพลางตบเบาๆลงบนไหล่กว้างของคนสูงวัยกว่าก่อนจะขยับตัวเข้าหาอีกฝ่ายอีกนิด หวังว่าจะช่วยยืนยันในคำพูดของตัวเอง
ความอุ่นจากร่างของเด็กหนุ่มทำให้เคนต้องหลับตาลลงหวังจะใช้ร่างกายของเขาสัมผัสความรู้สึกนี้เอาไว้ให้ได้ทุกอณู จังหวะของหัวใจที่เต้นอยู่ในอกของเขากำลังสอดประสานเข้ากับจังหวะของหัวใจของจูน ปลายจมูกได้กลิ่นแชมพูหอมระรื่น ทำให้รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูกและยิ่งรู้สึกแบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“.................” จูนขยับออกจากอ้อมแขนนั้นเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเขารู้ดีว่าเคนเองก็คงจะตกใจ และกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย เพราะแบบนั้นจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องแบกความรู้สึกรับผิดชอบเอาไว้คนเดียว มือเรียวยกขึ้นแตะข้างแก้มของเคนที่ยังชื้นไปด้วยน้ำตาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกนิดให้หน้าผากของตัวเองชนกับหน้าผากของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
คำพูดที่ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้เคนต้องมองหน้าของจูนด้วยตาโต... เขายอมรับว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการเสี่ยงอันตรายนั้นด้วยตัวเอง เขาไม่เคยต้องมากู้ชีวิตช่วยชีพใครแบบนี้มาก่อน และมันเขย่าขวัญอยู่ไม่น้อย ตลอดทั้งบ่ายเขาต้องรู้สึกหวาดหวั่นหนักอึ้งด้วยความคิดที่ว่า โชติจะตายหรือเปล่า จะปลอดภัยดีไหม แต่กระนั้นก็ยังไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองกังวล...และเขาไม่ได้ต้องการให้ใครมาถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า หรือมาชื่นชมคุณงามความดี ความจริงสิ่งที่ต้องการมาที่สุดแต่ไม่กล้าเอ่ยปากออกไป คงเป็นแค่คำปลอบใจเพียงคำเดียวจากคนที่เข้าใจความรู้สึกของเขาเพียงคำเดียวเท่านั้นก็ยังดี
“ขอบใจ......”
เสียงเคนที่ตอบกลับไปนั้นแผ่วเบาคล้ายเสียงละเมอในลำคอ ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อยแตะปลายจมูกกับข้างแก้มที่เปียกชื้นเพราะคราบน้ำตาของอีกฝ่าย ระยะห่างเพียงแค่นี้สามารถเห็นเลือดที่สูบฉีดอยู่ใต้ผิวแก้มนั้นอย่างง่ายดาย ริมฝีปากได้รูปของเคนขยับหาสัมผัสอุ่นจากริมฝีปากนุ่มของเด็กหนุ่มราวกับต้องการให้สัมผัสนั้นปลอบประโลมจิตใจของตนเอง
“อื้ม....”
จูนส่งเสียงออกมา ช่วงไหล่ของเด็กหนุ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ เจ้าของผมสีบลอนด์ที่นั่งอยู่แทบจะเรียกได้ว่าระหว่างช่วงขายาวของเคนนั้นพยายามจะถอนริมฝีปากออกเช่นเดียวกับมือเรียวที่พยายามดันตัวเองออกจากแผ่นอกหนา แต่เคนกลับใช้มือข้างหนึ่งจับมือของเขาเอาไว้ให้ทาบลงบนอก ในขณะที่มืออีกข้างก็ประคองด้านหลังคอเอาไว้ก็ทำให้ไม่อาจขยับหลบเลี่ยงสัมผัสอุ่นร้อนนั้นไปไหนได้ ริมฝีปากของเคนขยับตามติดคล้ายไม่อยากปล่อยให้หายไปไหน ริมฝีปากเอาแต่ใจนั้นขยับใกล้จนชิดส่งผ่านความอ่อนโยนหากแต่แฝงไปด้วยต้องการมายังเด็กหนุ่มจนขนลุกเกรียว
“อืม... “
เสียงครางออกมาจากคนที่อยู่เบื้องล่างทำให้จูนอยากจะละริมฝีปากออก แต่กลับยิ่งทำได้ลำบากในเมื่อริมฝีปากของเคนยังยึดยื้อหยอกเอินอยู่กับริมฝีปากของเขารสสัมผัสนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้ม แขนที่พยายามดันออกในตอนแรกกลับไร้เรี่ยวแรง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคนจูบเขาแต่มันไม่เคยรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายขนาดนี้มาก่อน....
ร่างสูงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังโอนอ่อน มือแกร่งยอมปล่อยให้มือของจูนเป็นอิสระก่อนขยับไล่เรื่อยมาตามหัวไหล่สัมผัสได้ถึงโครงสร้างของกระดูกของเด็กหนุ่มผ่านผิวผ้าบางๆของเสื้อยืด กล้ามเนื้อที่สวยงามได้รูปในช่วงแผ่นหลัง ไล่เรื่อยลงมาที่บั้นเอว ชายเสื้อยืดที่เลิกขึ้นเล็กน้อยทำให้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับผิวกายที่อุ่นจนร้อน ราวกับถูกดึงดูดมือแกร่งซุกซนสอดเข้าผ่านชายเสื้อไล้ลูบสีข้างของจูน
ลำตัวหนาผิดจากลำตัวของหญิงสาวที่เคยอยู่ในอ้อมกอดก็จริงหากแต่ยังรู้สึกนิ่มมือชวนให้ลูบไล้ต่ออย่างเพลินใจ ปลายนิ้วขยับสงไล้เรื่อยจนพบตุ่มป้านเล็กๆที่ยอดอก โดยไม่ได้นึกคิดสิ่งใดปล่อยใจไปตามสิ่งที่กายกำลังปรารถนาปลายนิ้วสะกิดแผ่วเบาหวังได้รับปฏิกริยาตอบรับจากเด็กหนุ่ม เสียงครางเครือนั้นคงหวานหูอยู่ไม่น้อย เคนยิ้มน้อยๆแล้วปล่อยริมฝีปากของเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระ
“อ๊ะ....”
และเป็นไปตามคาด จูนร้องออกมาในทันที เสียงนั้นฟังดูแปลกหูไปบ้างหากแต่ก็ยั่วยวนใจอย่างประหลาด
“......................” ดวงตาที่เคยหลับพริ้มรับสัมผัสจากริมฝีปากของรุ่นพี่ตอนนี้กลับเบิกโพลง เห็นเพียงใบหน้าแดงก่ำกำลังหอบน้อยๆดวงตาของเคนดูฉ่ำชื้นคล้ายคนเพิ่งดื่มของมึนเมาหากแต่กลับมีความหมายแฝงอย่างประหลาด จูนยกมือข้างที่ไม่ได้ใช้รับน้ำหนักของตัวเองขึ้นปิดปากของตัวเอง ความสับสนแล่นเข้าจับใจ
......เมื่อกี้มันเสียงใคร.....
....เสียงเราเหรอ?....
“....ไม่........ “ เมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงที่เพิ่งเกิด เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลางขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มร่างสูงแทบจะในทันที
“อ่ะ...จูน....” คำสั้นๆคำเดียวเหมือนฉุดให้เคนถลาตกลงจากหน้าผาสูงชัน มือแกร่งคว้ามือของเด็กหนุ่มเอาไว้
“ผม...ผม.....” สัมผัสอุ่นจากมือใหญ่ที่ตามมาหลอกหลอนทำให้จูนได้แต่อ้าปากพะงาบ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะพูดว่าอะไรดี พลันเหลือบไปเห็นเค้าท์เตอร์ในห้องครัว ไม่ได้เปิดโอกาสให้เคนทักท้วงอะไรด้วยซ้ำ
“ผมยังทำกับข้าวไม่เสร็จ”
จูนพูดรัวเร็วเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาตกใจ ร่างสูงโปร่งลุกพรวดพราดจากโซฟาสีเขียวตัวใหญ่ที่เมื่อครู่เขาแทบจะเอาตัวเองทับร่างของเคนไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มเดินจ้ำๆหวังจะเดินไปให้ห่างจากรัศมีสายตาของเคนให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“โอ้ย!!! “ พลันเสียงร้องของเคนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของจูนให้หมุนรอบตัวหันกลับมา
“พี่เคน! เป็นอะไร?!” จูนวิ่งกลับมาดูคนเจ็บในความดูแลของตัวเองแทบจะในทันที
“เจ็บ....” เคนทำหน้านิ่ว จูบแทบถลาเข้าไปดู
“พี่เจ็บแผลเหรอ ผมทำพี่เจ็บเหรอเมื่อกี้...” มือเรียวจับขาของเคนขึ้นมาดู
“แต่หายแล้ว.....” เคนตอบพลางยิ้ม
“อ้าว?.....” จูนปล่อยขาของเคนลงแทบจะทันที “อะไรกัน แกล้งกันเหรอเนี่ย “ เด็กหนุ่มชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“ก็แกบอกว่า ถ้าเจ็บให้บอก ....ตอนนี้เจ็บแล้วเลยบอกไง” เคนยิ้มอย่างยียวน
“บ้าไปละ อย่ามาล้อเล่นนะ อ่ะ....” จูนตกใจเมื่ออยู่ๆ ใบหน้าคมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก่อนมือแกร่งจะฉวยมือของเขาไปกอบกุมเอาไว้
“ขอบใจนะ....” ดวงตาคมสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆให้ได้ยินกันเพียงสองคน ท่ามกลางห้องรับแขกกว้างกับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ เห็นใบหน้าของจูนกลับแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“อื้ม.....” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะดึงมือของตัวเองออก “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...ผม...จะไปทำกับข้าวต่อแล้ว” จูนว่าพลางยันตัวลุกขึ้น เคนเองก็ลุกขึ้นตามมาติดๆ
“แล้วนี่พี่จะไปไหน...”
“ไปเข้าห้องน้ำ.....”ชายหนุ่มร่างสูงว่า
“พอดี.....มันค้างน่ะ” ไม่พูดเปล่าเอามือลูบเป้ากางเกงของตัวเองให้อีกฝ่ายดูอีกต่างหาก
“อุบาทว์ที่สุด ไปไกลๆเลย โอ้ย....เจออะไรอุจาดส่งท้ายปีแบบนี้ได้ไงเนี่ยเรา” จูนโวยลั่นเมื่อเจอเคนทำหน้าตาลามกใส่ ได้ยินเสียงร่างสูงหัวเราะดังหายเข้าไปในห้องน้ำ จูนเหลือบมองตามก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามลดจังหวะการเต้นของหัวใจของตนเองและตั้งสติสตางค์ให้มีมากพอจะจับมีดหั่นผักและทำกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าต่อให้เสร็จ ...หวังไว้ในใจเป็นอย่างยิ่งว่าคืนก่อนคืนส่งท้ายปีแบบนี้ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ...และตัวเขาอยู่กับเคนตามลำพังในบ้านได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย
........................................... to be continued
and HAPPY NEW YEAR!!
-
ดีใจกะพี่เคน น้องจูนเริ่มเคลิ้ม
ขอให้พี่โชติปลอดภัย
-
โอ้ขุ่นพระ!!!!!!!!!!!!
ตอนนี้หลายอารมณ์สุดๆ
ตอนแรกห่วงพี่โชติมาก จะเป็นอะไรรึเปล่า ทุกคนเครียดและกดดัน :sad4:
แต่พอกลับมาบ้าน พี่เคนก็ดาเมจด้วยฉากจูบ!
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
คราวนี้แรงกว่าครั้งไหนๆ :z3: พี่เคนทำน้องจูนใจละลายหมดแล้ว อ๊ากกกกกกกก // อิคนอ่านก็ละลายติดเก้าอี้แล้ว~
-
@@@talk@@@
สุขสันต์สัปดาห์แห่งความรักค่ะ
เผลอแป๊บเดียวตอนที่สามสิบ
เท่ากับเขียนเรื่องนี้มาใกล้จะครบปี (เขียนก่อนโพสต์น่ะค่ะ)
จนป่านนี้ พระเอก นายเอก ยังไม่ไปถึงไหนเลย!! ขุ่นพระ
แต่ความรักมันต้องบ่มเพาะนะ ส่วนตัวเราคิดแบบนั้น
เรื่อยๆแบบนี้ล่ะ ดีแล้ว
.............................................
- 30 -
ละเมอ
ห้องพักผู้ป่วยรวมในยามค่ำคืน ไม่ได้เงียบอย่างที่ใครต่อใครคิดกัน มีเสียงฝีเท้าของพยาบาลและเสียงพูดคุยกันอยู่ด้านนอก เสียงรถเข็นที่ใช้ขนสิ่งของ เสียงของเตียงผู้ป่วยที่ลั่นดังเอี้ยดยามที่ผู้ป่วยพลิกตัว ภายใต้แสงสลัวที่ลอดเข้ามาจากช่องแสง มีเสียงกระซิบกระซาบกันเบาๆ ของญาติผู้ป่วยที่มานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงดังให้ได้ยินเป็นระยะ อากาศที่เต็มไปด้วยความเจ็บป่วยและกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อทำให้รู้สึกแสบจมูกอยู่ไม่น้อยจนยุทธ์ต้องย่นจมูกเล็กน้อยพลางเหลือบตามองคนที่หลับไปตั้งแต่เย็นเพราะฤทธิ์ยาที่หมอให้เพราะอยากให้คนไข้ได้พักผ่อน มือเรียวหากแต่แข็งแรงนั้นจับท่อนแขนของเพื่อนเบาๆ
“หลับสบายเลยนะมึง.....”บนใบหน้าของยุทธ์มีรอยยิ้มเจื่อนๆ “รีบๆตื่นมาก็ดีนะจะได้ตื่นมาฟังเรื่องที่กูอยากจะบอกมึงไง” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“.....ขอน้ำกูกินก่อนได้ไหม ” เสียงแหบพร่าของโชติดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับร่างที่ค่อยขยับพลิกหันหน้ามาทางคนที่นั่งเฝ้าไข้อยู่
“อ่ะ...โชติ มึงตื่นแล้วเหรอ” เพราะรู้ตัวว่าดึกดื่นแล้วยุทธ์จึงไม่ได้ส่งเสียงดังออกไป แต่ความดีใจในน้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป ได้ยินเสียงยุทธ์รับคำในลำคอเบาๆ พร้อมปลายนิ้วที่ชี้ไปทางเหยือกใส่น้ำ
“อ่ะๆ โทษทีๆ” ยุทธ์กุลีกุจอรินน้ำพร้อมหยิบหลอดใส่แก้วยื่นให้กับอีกฝ่าย โชติค่อยๆดื่มน้ำนั้นทีละอึกทีละอึกจนหมดแก้ว ดูท่าทางว่าคนที่นอนหลับไปนานนั้นจะหิวน้ำจริงๆ เสียงถอนหายใจเบาๆจากคนป่วย ก่อนจะเอนตัวลงนอนตามเดิม
“ว่าแต่มึงอยากจะบอกอะไร...” เสียงที่ถามกลับมานั้นยังฟังดูอ่อนเพลีย
“กูขอโทษ”
คำพูดสั้นๆออกมาจากปากของคนที่ตามปรกติแล้วเห็นอะไรเป็นเรื่องเล่นเรื่องตลกไปเสียหมด เสียงของยุทธ์แหบพร่าแต่สื่อความในใจออกมาได้หมด ดวงตากลมโตนั่นไม่ยอมสบตากับคนที่นอนอยู่บนเตียงเสียด้วยซ้ำ
“มึงจะขอโทษทำไม กูสิต้องขอบใจมึงอุตส่าห์ช่วยกู”โชติตอบริมฝีปากคลี่ออกคล้ายจะหัวเราะแต่ก็ไม่มีเสียงออกมาสักเท่าไร
“ไม่....” ยุทธ์ส่ายหน้าทั้งๆที่ยังก้มอยู่อย่างนั้น มือที่จับมือของโชติเอาไว้กระชับแน่น
“กูทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก...ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แรงก็ไม่มี จะดึงมึงขึ้นจากน้ำยังไม่ได้เลย ....มึงเกือบตายแล้วไอ้โชติ ถ้าไม่มีไอ้เคนอยู่ด้วยกูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะได้มานั่งคุยกับมึงแบบนี้รึเปล่า”ยุทธ์ยิ่งพูดไหล่และมือที่จับมือของโชติเอาไว้ก็ยิ่งสั่น ยิ่งเขานึกภาพใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนที่เห็นที่ริมหาดเมื่อตอนบ่ายยิ่งทำใจรับไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร
“ใครจะช่วยกูขึ้นมามันไม่สำคัญเท่ากูตื่นขึ้นมาเจอใครนะ....กูดีใจที่มึงอยู่เป็นเพื่อนกู” มือของคนป่วยเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเกาะกุมมือของยุทธ์เอาไว้ แม้จะอ่อนแรงแต่กลับมั่นคงอย่างยากจะอธิบาย
“ โชติ....” ยุทธ์เงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย
“เหนื่อยแล้ว...ขอนอนก่อนได้ไหม” คนป่วยตอบกลับ
“ได้สิ....กูไม่กวนมึงละ”ยุทธ์ว่า เขาขยับตัวออกแต่มือของโชติกลับดึงมือของเขาเอาไว้ ดวงตาเล็กของเพื่อนสนิทนั้นสะท้อนแสงไฟที่สาดส่องจากภายนอก เป็นประกายท่ามกลางความมืด
“มึงนั่งอยู่จนกว่ากูจะหลับอีกได้ไหม...กูขอ”
คำพูดคล้ายจะอ้อนไม่ต่างจากเด็กแบบนั้นทำให้ยุทธ์อดจะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ ความหนักอึ้งในใจของเขาหายไปแทบปลิดทิ้ง โชติก็เป็นเสียแบบนี้ ถึงจะดูเป็นคนแข็งๆไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะมีเรื่องที่จะต้องคิดอยู่ตลอดนานๆเห็นได้อ้อนแบบนี้ สำหรับโชติและแม้แต่ตัวเขาเองก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีอยู่ไม่น้อย
“ได้สิ....” ว่าพลางก็ขยับตัวลงนั่งที่เดิน มือหนึ่งแตะท่อนแขนของคนป่วยเอาไว้เป็นเชิงบอกว่าเขาจะไม่เดินจากไปไหน ได้ยินเสียงโชติพึมพำออกมาเบาๆเมื่อพลิกตัวมาทางเขาแล้วซบหน้าลงกับหมอของโรงพยาบาล
“....กูรักมึงนะ...”[/b]
“.......................................” เสียงที่ได้ยินเพียงแค่เขาคนเดียวนั้นทำให้ยุทธ์ต้องเบือนหน้าไปอีกทาง เขารู้ว่าโชติหลับง่ายและคงไม่ผงกหัวมามองหน้าของเขาอีก นั่นอาจเป็นเรื่องดีที่อีกฝ่ายไม่ต้องมาเห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้
สีหน้าที่เจ็บปวดของเขาเอง ชายหนุ่มมองใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนของเพื่อนอีกครั้ง
.....กูรู้แล้ว....
....กูรู้ดีเลยล่ะ....
เมื่อหันกลับมามองอีกครั้งโชติก็ดูคล้ายจะจมดิ่งลงสู่ความฝันไปแล้ว ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้นที่ข้างเตียง เขาหันซ้ายขวาก่อนก้มลงเบาๆแตะริมฝีปากลงบนผมของเพื่อนสนิท แล้วเดินออกไปด้านนอกในตอนนี้เขาอยากได้บุหรี่สักมวนที่จะช่วยกล่อมให้ความเจ็บปวดในใจของเขาเองหลับลงไปได้เช่นกัน
................................................
“..................เช้าแล้ว”
เสียงนุ่มของจูนพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเหลือบมองไปทางหน้าต่างเห็นแสงสว่างสาดส่องผ่านเข้ามา มันไม่ใช่เป็นเพราะเขาตื่นเช้า แต่เป็นเพราะข่มตานอนไม่หลับมาทั้งคืนน่าจะดีกว่า เด็กหนุ่มค่อยลุกชึ้นยืนพลางจัดเตียงให้เรียบร้อยหันไปมองคนที่ยังนอนอยู่ในผ้าห่มบนเตียงข้างๆ
....ท่านอนคนอมทุกข์อีกละ...
จูนมองท่าทางของเคนที่นอนก่ายหน้าผากหลับสนิทก็อดจะถอนใจออกมาไม่ได้ ท่ามกลางห้องที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยเล็ดลอดเข้ามาระหว่างช่องว่างของผ้าม่านกับหน้าต่างนั้นยังพอได้ยินเสียงหายใจเบาๆจากอีกฝ่ายดังควบคู่ไปกับเครื่องปรับอากาศ จะให้ปลุกหรือก็คงจะยังเช้าเกินไป แถมอีกฝ่ายก็เพิ่งเจอกับเรื่องหนักหนาสาหัสมาเมื่อวานก็คงจะเพลียอยู่ไม่น้อย
แต่คงไม่เท่ากับความอ่อนล้าทางใจ สีหน้าและท่าทางที่เขาเห็นเมื่อคืนนั้นเป็นปรกติคงไม่มีทางได้เห็นเป็นแน่...แต่ทำไมเขาถึงอยากให้อีกฝ่ายปลดปล่อยความรู้สึกพวกนั้นออกมา ทำไมจำเพาะจะต้องเป็นต่อหน้าตัวเอง ทำไมจะต้องไปใส่ใจความรู้สึกของคนที่ทำตัวเหมือนไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขาเลยแบบนั้นด้วย มิหนำซ้ำยังไม่ต่อต้านสัมผัสของอีกฝ่ายด้วย
....อ๊ะ....
เสียงที่เหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเองยังดังก้องอยู่ในหัว ทั้งสัมผัสจากฝ่ามือของอีกฝ่ายที่คล้ายจะยังรู้สึกได้ที่ผิวเนื้อ...อุ่น...ร้อน... ริมฝีปากนั้นก็รุกล้ำและเอาแต่ใจ แต่ส่วนหนึ่งกลับทำให้เคลิบเคลิ้มรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เพียงแค่คิดถึงแม้ในตอนนี้ก็ทำให้ใจเต้นแปลกๆ บนใบหน้ารู้สึกร้อนผะผ่าวจนจูนต้องรีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัวก่อนจะกลายเป็นว่าเขาฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ร่างสูงโปร่งรีบหันหนีจากเพื่อนร่วมห้องที่นอนไม่รู้เรื่อง
...มันก็แค่ปฏิกิริยาของร่างกาย ...
...อย่ามางี่เง่าไปหน่อยเลย ไอ้จูน...
.....................................
...ครืด...
เสียงผ้าม่านถูกดึงเปิดออก ปล่อยให้แสงแดดส่องผ่านเข้ามา จูนไม่อยากเดินเข้าไปปลุก เขาเลือกใช้วิธีธรรมชาติให้ลงโทษคนที่ยังนอนตื่นสาย ร่างสูงโปร่งยังพันด้วยผ้าขนหนู เส้นผมยังเปียกชื้นจูนเดินไปนั่งตรงหน้าปลั๊กไฟที่ต่อเอาไว้ก่อนใช้ไดร์เป่าผมที่ติดมาด้วยสำหรับการถ่ายทำมาเป่าผมของตัวเอง
เสียงไดร์เป่าผมดังอื้ออึงนั้นดังจนน่ารำคาญ เคนขยับตัวสะบัดหน้าไปมารู้สึกร้าวไปทั้งร่าง เขายังไม่พร้อมที่จะตื่น แต่เมื่อหันหน้ามาอีกด้านก็พบเจอกับแสงสว่างที่ทำเอาเคืองตา ร่างใหญ่ค่อยขยับลุกขึ้นจากเตียง เห็นใครบางคนนั่งก้มหน้าเอาผ้าขนหนูเช็ดผมไปพลางเป่าผมไปพลางอยู่ที่พื้น แผ่นหลังขาวจัดนั้นยังมีหยาดน้ำเกาะพราว
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆที่มุมขยับลุกจากเตียงให้เบาที่สุดและเมื่อเดินเข้าไปใกล้ปลายจมูกยิ่งได้กลิ่นของไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาปะปนกับกลิ่นของสบู่และแชมพู กลิ่นนั้นคล้ายยั่วยวนให้เขาขยับเข้าไปใกล้ และใกล้ขึ้นอีก ต้นคอของอีกฝ่ายที่มองจากด้านหลังนั้นสวยงามด้วยรูปแบบของกล้ามเนื้อที่พอดีตัวไม่ได้เล็กบางอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้หนาเสียจนน่าเกลียด...กำลังพอเหมาะเลยทีเดียว
เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปใกล้ยิ่งทำให้เห็นผิวเนื้อที่ต้นคอนั่นชัดมากขึ้น อีกฝ่ายคงไม่ทันรู้สึกตัวว่าเขาเข้ามาใกล้มากแค่ไหน ลมร้อนจากไดร์เป่าผมเป่ามาโดนหน้าแต่ไม่ใส่ใจเคนขยับเข้าไปอีกเล็กน้อย
......................................
ริมฝีปากและลำคอแห้งผากจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ลมหายใจที่สูดเข้าจนเต็มปอดมีแต่กลิ่นหอมระรื่นของกลิ่นแชมพู ก่อนที่จะแนบริมฝีปากลงกับด้านหลังต้นคอของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล...สัมผัสแผ่วเบาที่หลังต้นคอนั้นทำให้จูนสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย....” เด็กหนุ่มร้องลั่น แต่ก่อนจะได้ขยับไปไหนกลับถูกริมฝีปากนั้นประกบปิดกั้นเสียงร้องจนขาดหาย มือเรียวเผลอปล่อยไดร์เป่าผมตกลงที่พื้นแผดเสียงลั่นน่ารำคาญ เคนขมวดคิ้วมุ่นก่อนละริมฝีปากออกไปจากอีกฝ่ายหันไปกระชากปลั้กไฟออกจากผนัง
“พี่เคน!....อุ๊บ” ไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไรต่อริมฝีปากร้อนนั้นก็กลับมาประทับปิดปากอีกครั้งพร้อมกับร่างใหญ่ของเคนที่โถมเข้ามาหา กดร่างทั้งร่างของจูนลงกับพื้น ริมฝีปากได้รูปของเคนขยับชิดมือแกร่งแตะข้างแก้มบังคับให้อีกฝ่ายต้องเปิดริมฝีปากรับปลายลิ้นร้อนที่ส่งเข้ามาตักตวงราวกับกระหายอยาก
“อื้อ...” สองหูคล้ายจะอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงประท้วงเบาๆจากร่างของหนุ่มรุ่นน้อง รู้สึกได้ว่ามือข้างนึงนั้นพยายามทั้งผลักทั้งตีให้เขาถอยห่างออกไป แต่ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ยังยึดกระชับปมผ้าขนหนูเอาไว้ไม่ให้คลายออกจากตัว ผิวเนื้อใต้ฝ่ามือที่เขาลูบไล้นั้นยังเย็นชื้นบ่งบอกได้ว่าจูนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ยิ่งกลิ่นกายหอมอ่อนๆที่ปลายจมูกสัมผัสได้ยิ่งช่วยกระตุ้นให้หัวใจของเขาบีบตัวแรงกว่าการได้ออกกำลังกายเป็นไหน ๆ
“ปะ ปล่อย....! “ เสียงเด็กหนุ่มประท้วงปะปนกับเสียงหอบหายใจเบาๆ มือหนึ่งพยายามดันหน้าของเขาออกไปให้พ้นจากซอกคอ แต่กลิ่นหอมหวานกับสัมผัสเย็นลื่นบนปลายลิ้นนั้นเย้ายวนเกินกว่าจะละออกห่าง เขาทาบทับลงไปจนอีกฝ่ายคงยิ่งรู้สึกอึดอัด ปลายนิ้วสัมผัสไล้ลงต่ำไปที่ต้นขา เขาอยากได้ยินเสียงนุ่มของอีกฝ่ายครางเครือให้เต็มสองหู
...........................
“โอ้ย!!! “
เคนร้องลั่นเมื่อเจอลมร้อนเป่าเข้าตามาเต็มๆ ร่างสูงขยับตัวออกห่างแทบในทันที
“อ้าว?... พี่เคน ตื่นแล้วเรอะ” จูนหันมามองหน้ารากับไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ ในตอนนั้นเองที่เคนรู้สึกตัวว่าที่เขาเห็น สัมผัส รู้สึกเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงภาพของจินตนาการที่พยายามแล้วที่จะซ่อนมันเอาไว้ ....แต่ก็คงลำบากเต็มทน
.....ห่าเอ้ย....
....นี่กูคิดอะไรไปวะเนี่ย....
“อ่ะ.....เออสิ เสียงดังชิบ ไม่ตื่นก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว” เคนทำท่าโวยวาย กลบเหลื่อนใบหน้าแดงก่ำ
“ขอโทษ....ผมไม่ได้ตั้งใจจะปลุกพี่” จูนรีบปิดเครื่องเป่าผม เด็กหนุ่มหลบสายตาเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าตัวเองนั้นตั้งใจจะปลุกอีกฝ่ายทางอ้อมอยู่แล้ว
“แล้วนี่เข้ามาทำไมซะใกล้เนี่ย” จูนว่าพลางขยับถอย มือรวบผ้าขนหนูที่พันรอบเอวเข้าหากัน ดวงตาที่มองกลับมายังเคนนั้นแสดงเห็นความระแวงระวังอยู่ไม่น้อย
“จะปิดอะไรวะ ก็มีเหมือนๆกัน” เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“ก็ป้องกันตัวเอง....ไม่ได้หรือไง ไม่ได้อยากปล่อยโทงๆเหมือนใครบางคนนี่” จูนวางมือลงตรงเหนือตัก พลางขยับขาเข้าหากันอีกนิด เห็นท่าทางของจูนเคนก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะคำพูดมันช่างตรงกันข้ามกับร่างเกือบเปลือยตรงหน้านี่อย่างเห็นได้ชัด
“กลัวพี่กระตุกรึไง”เคนยักคิ้วถามทีเล่นทีจริง พลางยื่นมือไปดึงชายผ้าขนหนูของอีกฝ่ายเบาๆ
“ก็อย่างกับตัวเองน่าไว้ใจตาย...”จูนทำหน้าเบ้ เพราะอีกฝ่ายชอบแหย่เขาแบบนี้นี่เองถึงต้องระวังตัวแบบนี้
“เมื่อคืนก็หนหนึ่งแล้ว...” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังพยายามซ่อนสีหน้านั้นเอาไว้
คำพูดของจูนทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนย้อนกลับมาในความทรงจำ มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่จูนว่าก็ได้เมื่อเขาฉวยโอกาสจากจิตใจที่ดีของเด็กหนุ่มตรงหน้า เมื่อคืนอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการปลอบเขาเท่านั้น แต่เขากลับฉวยโอกาสให้กับตัวเองและพยายามจะทำให้อีกฝ่ายโอนอ่อนตาม
“พี่...ไม่น่าไว้ใจเหรอ” น้ำเสียงที่ถามออกมานั้นคล้ายจะน้อยใจอยู่ไม่น้อย
“พี่ชอบแกล้งผมนี่...แกล้งทีก็มีแต่เรื่องแปลกๆ ผมป้องกันตัวเองก็ถูกแล้ว” เด็กหนุ่มตอบพลางก้มหน้าทำท่าเหมือนจะหันไปหาอะไรจากในกระเป๋าแต่เคนรู้ว่านั่นเป็นการแสร้งทำ
“เหรอ...” เคนพยักหน้ารับคำเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน ที่อีกฝ่ายพูดมันไม่ได้ผิดไปจากสิ่งที่อยู่ในใจของเขาเลย ร่างสูงก้มลงจรดริมฝีปากลงบนเส้นผมแห้งหมาดๆของอีกฝ่าย นานพอที่จะให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะส่งไปให้ ความรู้สึกที่เขายังไม่สามารถรวบรวมความกล้าพูดออกไป...
“ถ้าไม่น่าไว้ใจขนาดนั้น คุณมึงก็ก็ช่วยรีบๆแต่งตัวด้วยครับ เพราะนอกจากจะเสี่ยงเป็นหวัด แล้วมันเสี่ยงจะโดนปล้ำนะรู้ตัวเอาไว้ด้วย” เคนว่าพลางใช้ปลายนิ้วผลักศีรษะของอีกฝ่ายจนโคลงไปอีกด้าน ร่างสูงรีบเดินไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้หันกลับมามองอีก เพราะกลัวจะเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วตัวเองจะปราดเข้าไปทำอะไรอย่างใจคิดจริงๆ
................................. to be continued
-
4 คนนี้ golden bomber ใช่มั้ยคะ 5555 จูนน่ารักจังค่ะ
-
4 คนนี้ golden bomber ใช่มั้ยคะ 5555 จูนน่ารักจังค่ะ
อุ้ย ความแตก ใช่ค่ะ แรงบันดาลใจอย่างรุนแรงหนักหน่วงค่ะ
แต่ไม่ใช่แฟนฟิคนะคะ
-
กรี๊ดพี่โชติมากค่าาาาาาาาาา :ling1:
ทำไมพี่ยุทธ์มีท่าทีแบบนั้นละ จริงๆแล้วรู้สึกยังไงกันแน่?
ส่วนอิพี่เคน อย่าฝันแบบนี้บ่อยๆสิ คนอ่านจะตายเว้ยยย อยากทำก็ทำเลย(?) ไม่ต้องอดทน :katai2-1:
-
@@@ talk @@@
มีตอนใหม่ มารับปีใหม่ (ไทย) ห่างหายไปสองเดือน เค้าขอโทษ
ยุ่งมาก :katai4: และ แต่งไม่ออกเจรง เจรง :katai1:
- 30 -
ตื่นเต้น
“อะไรของมึงไอ้โชติ นี่หมอเขาเอาอะไรให้มึงกินวะ ถึงจะให้ถ่าหนังต่อเลยเนี่ย! จะลงน้ำอีกรึยังไง” เสียงเคนโวยลั่น ท่าทางของร่างสูงดูหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เมื่อได้รู้ว่าโชติตั้งใจจะถ่ายหนังต่อทันทีที่น้ำเกลือหมดขวด ทั้งๆที่เมื่อวานเขาตกใจ กลัว และพยายามแทบตายในการช่วยชีวิตอีกฝ่ายแต่กลายเป็นว่าคุณเพื่อนตัวดีกลับอยากจะลงไปเสี่ยงอีกรอบ
“เดี๋ยวๆ...... “ โชติยกมือข้างที่ยังมีสายน้ำเกลือเสียบติดอยู่ขึ้นโบกไปมา ถึงจะยังดูเหนื่อยแต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน
“ก่อนมึงจะด่ากูเนี่ย ช่วยฟังกูอธิบายก่อนได้ป่ะ “ ในดวงตาเล็กๆคู่นั้นฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย
“กูอ่ะ เห็นที่ไอ้จูนมันถ่ายไว้แล้ว........” โชติกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ภาพที่เขาเห็นมันทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังกัดฟันดูจนจบได้
“กูว่ามันก็โอเค...ตัดต่อสักหน่อยคงใช้ได้ สมจริงเลยล่ะ”
“แน่ล่ะ ของจริงนี่หว่า “ เคนยังคงบ่นพึมพำ
“ที่จะถ่ายอ่ะ ไม่ใช่กู แต่เป็นมึงกับไอ้จูนต่างหาก” โชติตอบ
“หะ!!!”
เสียงของจูน เคน และ ยุทธ์ ดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน จนได้ยินเสียงญาติคนไข้จากเตียงข้างๆทำเสียงจุปากเล็กน้อยเป็นการปราม
“เอาจริงดิ่พี่โชติ...พี่จะกำกับไหวเหรอ”จูนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ คำพูดนั้นคล้ายจะเป็นห่วงหัวหน้าชมรมแต่ในใจจริงกลับรู้สึกเป็นห่วงตัวเองมากกว่าในเมื่อเขายังไม่ได้ทำใจว่าจะต้องถ่ายฉากของเขากับเคนภายในวันนี้เลย ยิ่งมีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยแล้วยิ่งห่วงว่าตัวเองจะยังไม่สามารถทำใจมองหน้าของเคนในฐานะ “คนรัก” ตามบทละครที่โชติเขียนไว้ได้
“พี่น่ะไหว หมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แค่ให้น้ำเกลือนี่หมดก็กลับไปลุยต่อได้ละ”
“ทำเป็นเก่ง....เอาให้แน่นะมึง” ยุทธ์ที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างเตียงอดจะเอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดจะห้ามเพื่อน แต่สู้เหตุผลของโชติไม่ได้มากกว่า
....อยู่นาน ก็เสียเวลา...
...อีกอย่าง ให้ไอ้สองคนนั้นมันอยู่ด้วยกัน...
...เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันเผาบ้านมึงกันพอดี....
ยุทธ์เหลือบมองใบหน้าของจูนเล็กน้อย จูนกับเคนน่ะหรือจะทะเลาะกันเสียจนจะเผาบ้านของเขา ทั้งสองคนไม่มีเรื่องให้ทะเลาะกันขนาดนั้นหรอกเขารู้ดี แต่สิ่งที่ห่วงมากกว่าไฟไหม้......ก็ใช่ว่าจะไม่มี
“มันบอกว่าไหวก็คือไหวนั่นล่ะ...”ยุทธ์หันไปมองหน้าของจูน
“เชื่อมันหน่อยก็แล้วกัน....แต่ถ้ารอบนี้เป็นลมล้มอะไรขึ้นมาล่ะก็กูไม่รับประกันนะเว้ยว่าไอ้เคนจะแบกมึงมาส่งถึงโรงพยาบาลได้อีกหรือเปล่า” ชายหนุ่มหน้าสวยผู้รับบทพระเอกของเรื่องหันไปยิ้มยียวนให้กับโชติ
“เออ จริงของไอ้ยุทธ์มัน รอบนี้กูไม่ช่วยแม่งแล้วนะ เหนื่อยชิบหาย” เคนเอ่ยอย่างหัวเสีย
“เอาน่าๆ คราวนี้กูคลานไปโรงบาลเองก็ได้ ส่วนจูน.....ระหว่างรอน้ำเกลือหมดนี่ช่วยเตรียมตัวเข้าบทไว้ด้วยนะ เพราะในบทแกกับเคนต้องรักกัน...มาก....เลยล่ะ”โชติไม่พูดเปล่าลากเสียงย้ำอีกด้วย
“มาก? ขนาดไหนล่ะพี่” จูนโคลงศีรษะเล็กน้อยเขาพอจะจินตนาการได้อยู่แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำมาเสียขนาดนั้นก็อดจะถามเพื่อความมั่นใจไม่ได้
“ก็มากขนาดทำกันจนได้ลูกนั่นล่ะ”
................................................
“เฮ้อ ........ “
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆท่ามกลางพูดคุยของผู้คนในโถงทางเดินของโรงพยาบาล เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าใครที่เดินผ่านไปมาเสียงด้วยซ้ำหลังจากถูกบอกแกมบังคับให้รีบกลับไปเอาอุปกรณ์และชุดใส่รถมาแต่งตัวที่โรงพยาบาล และมันไม่ง่ายเลยกับการเดินเข้าห้องน้ำชายไปในสภาพเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดา และกลับออกมาพร้อมวิกผม ชุดเดรสยาวและรองเท้าส้นสูง เด็กหนุ่มหยิบกระจกจากในกระเป๋าใส่อุปกรณ์ปต่งหน้าขึ้นมามองความเรียบร้อยอีกครั้ง ใบหน้าของเขาที่แต่งแต้มสีสันเรียบร้อย วิกผมยาวสีน้ำตาลที่ล้อมกรอบใบหน้าช่วยปิดบังโครงหน้าบางส่วน และเน้นให้ส่วนอื่นนั้นดูอ่อนหวานขึ้นมาได้มาก เขายอมรับว่าการติดตามเพื่อนไปตามงานประกวดคอสเพลย์ที่ทุกคนต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้หน้าคล้ายคัวการ์ตูนที่ตัวเองชื่นชอบให้ได้นั้นก็เป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย เขาได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งหน้ามามากโข
แต่ไม่ว่าจะรู้สึกชินกับการแต่งหน้าขนาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องรู้สึกชินกับสายตาที่มองมา หัวใจเต้นตึกอยู่ในอกจนรู้สึกได้ แขนขาเย็นไปหมดแต่กระนั้นก็ยังบังคับตัวเองให้เดินต่อไปจนถึงหน้าห้องผู้ป่วยรวมที่รุ่นพี่ทั้งสามกำลังรออยู่ที่ด้านหน้า โชติปลดสายน้ำเกลือออกแล้วแต่ดูท่าบุรุษพยาบาลจะยังไม่ยอมให้เดินเองถึงได้ยังนั่งรถเข็นอยู่ โดยมีเคนยืนถือของอยู่ไม่ห่าง
“พี่...ยุทธ์ล่ะ “ จูนหลบสายตาของบุรุษพยาบาลมายืนอีกด้านของเก้าอี้รถเข็น รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจและคล้ายกำลังประเมินเขาไปด้วยในตัว
“ไปจัดการเรื่องเอกสารนิดหน่อย เดี๋ยวมา....” โชติตอบพลางจับชายกระโปรงของจูนเบาๆ
“สวยนะ”
“โอย...พี่ อย่าแหย่ดิ่” ใบหน้าที่แต้มสีนั้นยิ่งแดงระเรื่อเมื่อเจอกระเซ้า จูนขยับหนีแต่ก็ไปชนเข้ากับเคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปจนได้
“ระวังหน่อยสิ....” ร่างสูงเอ่ยเบาๆกลั้วเสียงหัวเราะ มือแกร่งประคองสองไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้หลวมๆ ใบหน้าระยะประชิดของเคนทำให้จูนสะดุ้ง
“ขอโทษครับ....รองเท้ามันเดินยาก” เคนเหลือบมองรองเท้านั่นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“จริงจังเว่อร์อีกละ ลำบากนักก็ถอดออกก่อนไหม เดี๋ยวได้ล้มหน้าคว่ำก่อนหรอก” รุ่นพี่ร่างสูงว่าพลางยื่นมือคล้ายจะให้จูนใช้เป็นหลักเพื่อเปลี่ยนรองเท้า
“........................” แต่เด็กหนุ่มกลับรีบหันหน้าไปทางอื่น มองหาเก้าอี้นั่งแล้วเปลี่ยนรองเท้า เมื่อมองตามไปเห็นด้านข้างแก้มนั้นยังแดงอยู่เลย
......เว้ย ทำไมต้องงี่เง่าวันนี้ด้วยวะเรา....
จูนได้แต่ต่อว่าตัวเองในใจ พลางดึงรองเท้าแตะที่ใส่ประจำออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายพะรุงพะรังไปหมด
ไม่นานยุทธ์ก็มาและทั้งสี่หนุ่มก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปหาสถานที่ถ่ายทำฉาก “คู่รัก “ ของเคนและจูนต่อไป
............................................................
ถนนในตัวเมืองหัวหินมีผู้คนพลุกพล่าน ผู้กำกับอย่างโชติหรือก็ดูจะโหดกับนักแสดงอย่างจูนและเคนอยู่ไม่น้อย เมื่อเขาเลือกบริเวณที่มีร้านขายของฝากที่มีทั้งร้านกาแฟซึ่งเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวชั้นดีมาเป็นฉากในการถ่ายทำ และเป็นอีกครั้งที่จูนโอดครวญเพราะสิ่งที่การแต่งหน้าและการรแต่งตัวไม่อาจช่วยได้เลย คงเป็นเรื่องของการแสดง จูนนึกว่าเขาจะมีเวลามากกว่านี้ในการ"เตรียมใจ" หากแต่คำขาดของโชตินั้นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเรื่องแบบนั้นระหว่างการถ่ายทำ หากจะต้องยืดเวลาการถ่ายทำออกไปนั้นคงไม่ดีต่อร่างกายของโชติเป็นแน่ถึงปากเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม
“รักกันให้มากๆหน่อยนะ....เดินจับมือโอบเอว ชี้ดูร้านไปนั่นล่ะ” โชติว่าพลางขยับหมวกปีกกว้างของตัวเองเพื่อ บังแดด ในขณะที่ยุทธ์เองก็ยืนตั้งท่าจะถ่ายด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“รักมากๆอีกละ.....”จูนเบ้หน้าก่อนจะเหลือบไปมองใบหน้าคมของเคน ใบหน้าด้านข้างดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเมื่อชายร่างสูงขมวดคิ้วพลางหยีตาเล็กๆเพราะแสงแดดยามบ่าย “นี่เราจับพี่เคนทาหน้าขาวไม่ได้เหรอครับ”
“หะ จะจับพี่ทาหน้าขาวอีกรึไง คิดอะไรของแกวะ” เคนหันมามองหน้าของจูนทันควัน
“นี่จะถ่ายกันอยู่แล้วนะ”
ร่างสูงโวยวายเพราะเท่าที่จำได้การจะทาหน้าด้วยแป้งงิ้วกับสีทาหน้าทั้งหลายนั้นใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง และที่สำคัญสาเหตุที่ทำให้เขาจำเป็นต้องทาหน้าก็เป็นเพราะ.....ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างพิจารณาเมื่อหันไปสบตากับเด็กหนุ่มผมทอง
“นี่ จนป่านนี้ยังเขินพี่อยู่อีกรึไง”
“เปล่า “จูนตอบทันทีเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน
“ก็แค่หมั่นไส้ คนอะไร ยืนเฉยๆสาวๆก็มองกันตาเป็นมัน “
จูนไม่ได้โกหกเพราะเขาสังเกตเห็นท่าทางของเหล่านักท่องเที่ยวที่เดินสวนไปมาสักพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปว่า เคนนั้นดูโดดเด่นอยู่ไม่น้อยด้วยทั้งรูปร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้อแบบนักกีฬาใต้เสื้อเชิ๊ตและเสื้อกล้าม ไหนจะใบหน้าคมนั่นอีก หากใครมองผ่านเลยไปได้ง่ายๆก็คงจะแปลกเต็มที
“หึงเหรอ?” เคนกระเซ้าแหย่ แต่คำที่ตอบที่ได้กลับเป็นหมัดที่กระแทกเข้าที่ไหล่ซ้ายอย่างจัง
“โอ้ย....อะไรวะ”
“พูดจาไม่เข้าหู พอเลย นี่ถ้าแหย่ไม่เข้าเรื่องอีก พ่อจะเสยให้ร่วงเลย” พูดพลางทำหน้าดุ แต่ในสายตาคนโดนดุอย่างเคนใบหน้าของจูนกลับยิ่งดูน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่ติดว่าอยู่ท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้คงอยากจะยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากได้รูปนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เอ้า พวกมึงจะอี๋อ๋อกันอีกนานไหม....รีบๆถ่ายจะได้รีบๆจบ” พลันเสียงของยุทธ์ดังขึ้น ใบหน้าสวยใต้กรอบแว่นตาดำที่ใส่กันแดดนั้นทำให้มองไม่ออกว่ากำลังจ้องมองมาด้วยสีหน้าแบบไหน แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงก็พอจะรู้ได้ว่าอารมณ์ของตากล้องวันนี้ไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกแกเดิน กันไปที่ร้านขนมตรงนั้นนะ ....” โชติชี้ไปทางร้านเบเกอร์รี่บรรยากาศดูน่านั่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ยุทธ์แพนกล้องมุมกว้างก่อนแล้วค่อยจับไปที่ทั้งสองคน โอเคนะ” ผู้กำกับที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ทันครึ่งชั่วโมงเริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง
“พร้อมนะ......” จูนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาต้องตั้งสมาธิ และพยายามไม่ให้สายตาของคนอื่นมาทำให้ตัวเองล่อกแล่ก สองมือจับวิกผมจัดชายกระโปรงให้เรียบร้อยรอฟังคำสั่งของโชติต่อไป
“แอคชั่น!“
และเมื่อสิ้นเสียงสั่งของโชติมือแกร่งของเคนยื่นมาโอบเอวของจูนเอาไว้ แรงพอจะจะทำให้เซเข้าไปชนกับช่วงไหล่กว้าง
“.............................” ระยะห่างที่ใกล้เพียงนิดทำให้ต้องกลืนเสียงของตัวเองลงไปจดหมด
“จูน.......” เคนเอ่ยชื่อของ “ตัวละคร” ออกมาเบาๆ พลางฉวยมือของจูนไปกุมเอาไว้ ดวงตาสีเข้มที่มองมานั้นเป็นประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มเปิดเผยเหมือนอย่างที่มีให้ทุกครั้ง ทำให้ชั่ววินาทีหนึ่งนักแสดงร่วมอย่างจูนรู้สึกได้ว่าใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นจนทั้งที่ไม่ควรจะเก้อเขินให้มากใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา
“วันนี้ไปเดทกันนะครับ”
“....อื้ม....”จูนพยายามตอบกลับด้วยท่าทีตามที่เขียนอธิบายเอาไว้ในบท เด็กสาวไร้เดียงสาที่หัวใจกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เด็กหนุ่มก้มลงมองมือแกร่งที่ยังกอบกุมมือของเขาเอาไว้
......ถ้าในตอนนี้ แกคือ “จูน” เด็กสาวในบทละคร...
.....แกจะทำยังไงจูน....
....แกจะต้องทำยังไง.....
ปลายนิ้วเรียวของเด็กหนุ่มกระชับตอบสัมผัสจากมือแกร่งที่เกาะกุมมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับชายร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากที่เคลือบสีด้วยลิปกลอสเป็นประกายนั้นขยับแย้มเป็นรอยยิ้ม
...แค่เป็น “จูน”...เท่านั้นก็คงพอ...
“คัท!!”
เสียงของโชติที่ดังขึ้นทำให้จูนค่อยๆดึงมือของตัวเองออกจากมือของเคน เด็กหนุ่มขยับตัวออกห่างพลางยกมือขึ้นแตะที่ข้างลำคอเหมือนอย่างที่ทำทุกครั้งเวลาประหม่า
“โอเค....ใช้ได้ ยุทธ์.....”โชติให้สัญญานกับยุทธ์ที่ยืนจับภาพอยู่ห่างออกไป “ขอดูภาพหน่อย....”
“กูว่า.....สวย....แล้วล่ะ”ยุทธ์ว่า ยุทธ์ว่าพลางขยับแว่นตากันแดดที่ดันขึ้นไปไว้บนศรีษะเล็กน้อย ดวงตากลมมองร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีส้มอิฐของจูนพลางยิ้ม
“เหรอ...แต่กูว่าน่าจะแก้อีกหน่อยนะ ไอ้จูนยังดูเกร็งอยู่เลย” โชติเอ่ยขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจาหน้าจอ
“เหรอ..... “คราวนี้กลับเป็นยุทธ์ที่ลากเสียงยาวขึ้นมาอีก
“จับมือกันขนาดนี้ก็แล้ว กูว่าไม่ต้องแก้หรอกมั้ง รีบๆหาที่ถ่ายต่อดีกว่า.... อืม....เอาร้านนั้นละกัน เดี๋ยวกูไปขอเขาถ่ายเอง จะได้รีบๆถ่าย“ ยุทธ์สรุปเองเสร็จสรรพด้วยท่าทางหงุดหงิด
..................................................
น้ำชาในแก้วสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ผู้คนมากมายคล้ายจะจับจ้องมา ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันในร้านที่หอมอบอวนไปด้วยกาแฟ เสียงเพลงที่คลอเคล้าช่วยสร้างบรรยากาศ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดูประหม่าเล็กๆ จนนึกอยากจะหยอดคำหวานให้ผิวเนื้อใต้เครื่องสำอางสีสวยนั่นยิ่งแดงระเรื่อมากขึ้นไปอีก
"ชิมนี่สิ " มือใหญ่ฉวยส้อมมาตัดเค้กก่อนจะยื่นให้กับอีกฝ่าย
"อ่ะ....ไม่เอาน่า อายเขา"
อีกฝ่ายยกมือขึ้นด้วยขัดเขิน ดวงตาสีเข้มที่ดูหวานขึ้นอีกเพราะชั้นขนตาปลอมที่แต่งเพิ่มเข้าไปนั่นหลบหันไปมองด้านข้างราวกับจะมองหาตัวช่วย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมเข้ามาช่วยสักเท่าไร จนสุดท้ายก็ยอมหันกลับมาด้วยจำใจ ริมฝีปากสวยเคือบด้วยกลอสสีสดเผยออ้ารับเอาเค้กชิ้นเล็กเข้าปากไปทั้งๆที่ใบหน้ายังแดงก่ำไปจนถึงใบหู
"อร่อยไหม..." เคนถามพลางเท้าคางยิ้ม
"อื้ม" อีกฝ่ายรับคำอ้อมแอ้มขยับปากเคี้ยว ท่าทางเขินอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ก็ทำไม่ได้แบบนี้ย่ิงเห็นยิ่งทำให้ใจสั่นไหว รู้สึกเอ็นดูจนนึกอยากจะเอื้อมมือออกไปโอบกอดเอาไว้ทั้งที่รู้ว่ามันคงเป็นเพียงแค่การแกล้งสำหรับอีกฝ่าย...แต่ก็ยังอยากทำ
....การแกล้งคนนั้นอาจจะไม่ดี....
....แต่การแกล้งคนที่รู้สึกดีๆด้วยนั้น.....
....มันเป็นอีกเรื่องเลยทีเดียว.....
"ถ้าจูบจูนตอนนี้คงหวานน่าดู"
"........…!!?? แค่ก!!! "
คำพูดหวานหยดย้อยที่ไม่มีอยู่ในบททำเอานักแสดงร่วมถึงกับชะงักก่อนจะสำลักออกมา จูนทุบหน้าอกเพราะเค้กสุดหวานเมื่อครู่มันค้างอยู่ตรงนั้นและมันทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก
"อ่ะ เฮ้ย " เคนตกใจรีบยื่นแก้วน้ำให้กับรุ่นน้อง ซึ่งจูนก็รีบรับไปดื่มอึกใหญ่
บทบาทการแสดงทุกอย่างแทบจะหยุดอยู่ตรงนั้น แต่มือแกร่งของเคนลูบหัวลูบหลังของจูนอย่างเป็นห่วง แต่เด็กหนุ่มก็ตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย เคนชะงักก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มกว้างที่ทำให้รู้สึกเหมือนแสงแดดที่สาดส่องลงมานั่นกำลังทำให้ดวงตาพร่ามัว แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัน เด็กหนุ่มเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"หัวเราะแล้ว....." น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยแผ่วเบา สองมือใหญ่ของเคนประคองใบหน้าได้รูปของจูนเอาไว้ก่อนจะค่อยขยับเข้าใกล้จนหน้าผากของทั้งคู่ชนกัน จูนกดคางลงด้วยพยายามจะหลบแต่ก็ทำได้แค่นั้น เขาขยับต่อไม่ได้และใบหน้าของเคนก็ใกล้มากเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
"คัท!!! "
พอโชติสั่งจูนก็รีบผละจากเคนแทบในทันที เด็กหนุ่มเอนตัวออกห่างพลางหันหน้าไปอีกทางพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้กลับสู่ภาวะปกติจากที่เมื่อครู่อยู่ในสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” รอยยิ้มและท่าทางจองเคนเมื่อครู่มันทำให้เขาใจเต้น จนทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้า คือ “เคน” เด็กหนุ่มจากบทละครที่ทำให้ “จูน” ต้องช้ำใจเพราะมักจะนอกใจอยู่บ่อยครั้ง หรือเป็น “เคน” รุ่นพี่หนุ่มนักกีฬาที่ต้องการอะไรบางอย่างจากเขากันแน่
..........................................
-
แต่การถ่ายทำไม่ได้จบอยู่แค่ที่ร้านกาแฟ ถึงแม้ยุทธ์จะบ่นมากกว่าคนที่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเสียด้วยซ้ำว่าทั้งเขาทั้งร้อนและเหนื่อย ในขณะที่โชติที่เป็นผู้กำกับกลับยืนกรานหนักแน่นว่าจะถ่ายฉากเลิฟซีนของทั้งจูนและเคนต่อให้ได้
ห้องนอนอีกห้องถูกแปลงสภาพเป็นห้องนอนของตัวละครของเคนตามท้องเรื่อง แน่นอนว่าด้วยการตกแต่งมันดูหรูหรากว่าความเป็นจริงที่เคนเคยอยู่ที่หอพักอยู่ไม่น้อย ผ้าม่านถูกดึงปิดเสียจนแสงจากด้านนอกส่องเข้ามาไม่ได้ แสงไฟในห้องก็ถูกจัดจนมืดสลัว โคมไฟที่หัวเตียงส่องแสงนวลตา เตียงนอนทั้งสองเตียงถูกดึงมาชนกันจนกลายเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ในขณะที่บรรยากาศภายในห้องถูกเสริมสร้างขึ้นอีกเล็กน้อยด้วยทำนองเพลงแจ๊ซที่ดังคลอเบาๆ
“พี่โชติ.... บรรยากาศมันไม่จริงจังไปหน่อยเหรอ “ จูนรู้สึกหนาวๆร้อนๆ แทบจะในทันทีที่ก้าวเข้ามาด้านในห้อง
“ก็กลัวพวกแกจะไม่อิน” โชติว่าพลางยิ้ม “ต้องขอบใจยุทธ์ที่หาสถานที่นะเนี่ย สุดยอดจริงๆ”
“แน่ล่ะ กูออกแบบเองกับมือ ปรับนิดหน่อยก็ใช้ได้”ยุทธ์ว่าพลางขยับกล้องให้อยู่ในมุมที่พร้อมจะถ่ายทำ
“จัดฉากซะขนาดนี้ ถามจริง อาชีพเสริมพวกมึงนี่ถ่ายวีดีโออย่างว่า?” เสียงเคนดังขึ้นจากด้านหลังของจูนทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบขยับตัวออกห่างจากเคนทันที
“ถ้าใช่พวกมึงก็คงเป็นเป็นดาวดัง ขายดีในหมู่เกย์แน่” เสียโชติหัวเราะเบาๆ
“อ้อ สรุปนี่ทำวีดีโอเกย์?” เคนถามกลับท่าทางยียวน มือแกร่งคว้าแขนของจูนเอาไว้ทันควัน “แล้วจะหนีพี่ไปไหนล่ะเมียจ๋า”
“ใครเป็นเมียอะไร ไม่ต้องเลย ออกไปห่างๆเลย” จูนขมวดคิ้ว บรรยากาศโดยรวมก็ทำเขาขนลุกขนพองมากพอแล้วอีกฝ่ายยังจะมาแหย่ด้วยถ้อยคำบ้าๆอีก แบบนี้เขาจะทำสมาธิได้อย่างไรกัน
“ยังไม่เป็น เดี๋ยวก็เป็น....... จากนี้ เอ้ย ฉากนี้ล่ะวะ” เคนกระแอมไอเบาๆ เรียกสายตาค้อนจากจูนได้ไม่น้อย
....ปึง! ….
เสียงกระแทกดังขึ้นเรียกความสนใจของทุกคน ยุทธ์เพิ่งจะกระแทกเก้าอี้ลงกับพื้นด้านหลังขาตั้งกล้องอย่างแรง
“พร้อมจะถ่ายกันได้หรือยัง จูน....ทำใจดีแล้วหรือยัง”
“อ่ะ...ผม... ผม....” เด็กหนุ่มดูเหมือนลังเล
“ผมขอเวลาอีกแป๊บนึง....” ร่างสูงโปร่งเดินไปที่มุมห้อง โชติมองตามหลังรุ่นน้องของตัวเองไปก่อนจะเดินเข้าไปอยู่ใกล้ๆ มือหนึ่งตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“ใจเย็นๆไอ้น้อง ตั้งสติ คิดซะว่านี่ไม่ใช่ตัวแก แล้วไอ้ที่ยืนทำหน้าเป็นควายถึกโง่ๆอยู่ตรงโน้น.....”
“ไอ้ห่าโชติ กูได้ยินนะมึง” เสียงเคนดังขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงมือของโชติที่โชว์นิ้วกลางให้เท่านั้น
“ไม่ต้องไปฟังมัน.... “โชติหันกลับมากระซิบที่ข้างหูของจูนอีกครั้ง
“อย่าไปคิดอะไร ตอนนี้ ที่แกต้องคิด คือแกคือ ”จูน” เป็น”ผู้หญิง” ที่กำลังมีความรัก ทุกอย่างสวยงามความรักทำให้มีความสุขและพร้อมจะให้ทุกอย่างกับคนที่รัก เข้าใจไหม......” ผู้กำกับของชมรมค่อยเอ่ยอย่างใจเย็นมือพลางลูบไหล่ของจูนเบาๆหวังจะให้นักแสดงของตัวเองสงบลง
“ตั้งสติจูน พี่รู้ว่าแกทำได้....แกทำได้ใช่ไหม ตอบพี่สิ”
“..................... “ ไม่มีเสียงตอบรับมีเพียงแค่การพยักหน้าเบาๆจากเด็กหนุ่ม
“ดีมาก............”
ผู้กำกับร่างเล็กยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับถอยออกมา โชติอยากจะปล่อยให้จูนสงบสติอารมณ์และกลับมาเข้าถึงบทบาทของตัวเองอีกครั้ง เขารู้ว่าจูนมีปัญหาเรื่องการแสดงให้เข้าถึงบทบาท สิ่งที่ผู้กำกับพอขะทำได้คงมีแค่ช่วยผลักดันให้นักแสดงของตัวเองไปถึงจุดที่ใกล้เคียงที่สุด แต่ทั้งนั้ทั้งนั้นคงขึ้นกับการทำความเข้าใจของตัวเด็กหนุ่มเองด้วย
“เดี๋ยวผมขอไปอยู่ห้องโน้นแป๊บ......” เสียงจูนดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ใส่ชุดกระโปรงผู้หญิงมาทั้งวันและยังคงอยู่ในสภาพนั้น เดินออกจากห้องนอนนั้นไป เขาแค่ต้องการที่สงบๆในการสงบจิตสงบใจก็เท่านั้น
....................................................
ในห้องนอนของจูนและเคน เด็กหนุ่มหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขายืนจ้องกระจกอยู่นอนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ว่าปลายนิ้วกำลังสั่นและเขาเองก็กำลังพยายามจะหยุดอาการนั้น
“โธ่เอ้ย ไอ้จูน”
จูนรู้สึกได้ว่าใจของเขากำลังสั่น อะไรบางอย่างในตัวของเขาทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นกับฉากเลิฟซีนเล็กๆและบทพูดสั้นๆ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่หนังสั้นนักศึกษาต้นทุนต่ำ เขาไม่น่าจะต้องจริงจังแต่อย่างใด ความจริงมันควรจะสนุกสนานและกลายเป็นเพียงแค่เรื่องขำขันหากไม่ใช่เป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างของนักแสดงร่วมของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป...เขารู้สึกได้ถึงแรงปรารถนาบางอย่างที่เคนส่งมา ความปรารถนานั้นอาจเป็นสิ่งที่โชติเองก็ต้องการให้เขาสื่อออกไปให้ได้เช่นกัน และนั่นทำให้เขากลัว...มากเหลือเกิน
…..เรื่องแบบนั้น....
.....จะไปทำได้ยังไง.....
......................................................
อีกด้าน หลังจากที่จูนเดินออกไปแล้ว
“เฮ้ย โชติ ถ้าน้องมันไม่ไหวก็พักก่อนป่ะ จะอยู่ต่ออีกสักวันสองวันคงไม่เป็นไรมั้ง” ยุทธ์คว้าแขนของโชติเอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอก มันทำได้เชื่อกูสิ”
“................กูแค่ไม่อยากให้มันฝืนใจเล่น” ยุทธ์พึมพำเบาๆเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจแบบนั้นของเพื่อนสนิท
“ตอนถ่าย มึงจะออกไปก็ได้นะ.... กูก็ไม่อยากฝืนใจมึงให้ต้องมาดู”
“ไอ้โชติ.....” ยุทธ์เบนสายตากลับมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจก่อนประกายในแววตานั้นจะไหววูบเปลี่ยนเป็นมองหน้าของเพื่อนสนิทด้วยสายตากร้าว
....รู้ทั้งรู้แท้ๆ....
“ชิ........” เสียงยุทธ์จุปากอย่างขัดใจก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง
พลันบรรยากาศในห้องที่ถูกเช็ตให้เป็นฉากในการถ่ายทำก็เงียบลงทันตา โชติเดินเล็งมุมกล้องอยู่ทางหนึ่ง ในขณะที่ยุทธ์ก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ในขณะที่เคนก็กำลังวิดพื้นรอที่จะเข้าฉากด้วยท่าทางกระตือรือร้น ยุทธ์เห็นพ่นลมหายใจออกมาอย่างนึกหมั่นไส้
“จะฟิตกล้ามไปไหน หมีควาย แค่นี้ก็เสื้อจะแตกละ”
“เสื้อไม่แตกเว้ย กล้ามกูแค่สวยพองาม ไม่ใช่ชายงาม” เคนหันมายักคิ้วใส่พลางถลกเสื้อโชว์หน้าท้องฟิตมีลอนกล้ามสวยงามให้อีกฝ่ายเห็น
“ดูดิ่....... ดูดิ่........”
“อุจาดลูกตา ใครจะอยากดูกล้ามมึงสาด” ยุทธ์แทบจะหาอะไรแถวนั้นขว้างใส่หัวของเคนแทบไม่ทัน
“ด่าไปเหอะ กล้ามมัดใจหญิงสะท้านใจชายนะเว้ย” เคนยังไม่หยุดคุยโว
“ชายไหนมันจะสะท้านกับมึงวะ” ยุทธ์หันไปถามอย่างหงุดหงิด เขาชักจะไม่อยากทนกับท่าทางกวนๆของเพื่อนหน่มนักกีฬาคนนี้เสียแล้ว
“อันนี้ก็ต้องรอดู................” เคนเอ่ยริมฝีปากบางนั่นหยักเป็นรอยยิ้มเย็น ดวงตาคมคู่นั้นเป็นประกายและจับจ้องไปที่ด้านหลังทำให้ยุทธ์ต้องหันกลับไปมอง จูนยืนอยู่ตรงหน้าประตูท่าทางประหม่าแต่ก็ดูดีกว่าเมื่อครู่นี้มาก
“..................พี่โชติ....ผมพร้อมละ” แต่ก่อนที่จะได้มีใครพูดอะไรต่อ เสียงของจูนก็ดังขึ้นมาเรียกความสนใจให้ทุกคนกลับไปมองร่างสูงโปร่งนั้นยืดตรงต่างจากเมื่อครู่ที่ยังงอไหล่น้อยๆ เหมือนอย่างทีจูนมักจะทำทุกครั้ง
“เห็นไหม...น้องมันพร้อมแล้ว ไอ้ยุทธ์แกก็ห่วงมันเกินไป โธ่เอ้ย ” ผู้กำกับร่างเล็กยิ้มเสียจนจะมองไม่เห็นตา ก่อนจะเดินไปอีกทาง
“ดี งั้นเรามาถ่ายกันเลย” ดูเหมือนเคนจะเป็นคนเดียวที่เฝ้ารอคอยการถ่ายทำครั้งนี้อย่างที่เรียกได้ว่าตั้งตารอ ท่าทางที่เขาพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีนั้นทำให้ทั้งสามคนต้องหันไปมองอย่างระอา ก่อนจะพร้อมใจกันเมินท่าทางน่าหมั่นไส้อย่างไร้กาลเทศะของเคนอย่างเห็นได้ชัดจนร่างสูงต้องร้องประท้วง
“เฮ้ย พวกมึง...เล่นเมินกูงี้เลยเหรอ”
“เงียบๆไปเลย จะถ่ายแล้ว มึงเองก็จำบทให้ได้แล้วก็ให้มันอยู่ในบทด้วย “เคน “ในบทมันไม่กวนตีนเท่ามึงหรอกนะ” เสียงโชติเอ่ยปรามยิ่งทำให้เคนต้องเบ้หน้าก่อนจะเดินไปอีกทาง
“เล่นดีขึ้นมามึงอย่ามาด่ากูก็แล้วกัน”
........................................................to be continued
-
ฉากต่อไปพี่เเคนจะกลั้นใจไม่นอกบทได้มั้ยเนี้ย~~ น้องจูนหวั่นไหวแย่แล้วจะโดนหมีควายถึกขย้ำแล้ว~~
คุณผู้กำกับกับตากล้องนี่ก็ซับซ้อนเหลือเกิน เค้าลุ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ว่าแต่ พี่โชติจะรีบถ่ายขนาดนี้ทำไม ต้องการอะไร ประชดพี่ยุทธ์??
ฉับฉน~~~
-
มันช่างสะใจประโยคนี้
“จะฟิตกล้ามไปไหน หมีควาย แค่นี้ก็เสื้อจะแตกละ” ฮ่าๆๆๆๆ :laugh:
พี่ยุทธ์ไม่เข้าใจหรอกค่ะ พี่ไม่มีกล้าม ฮ่าๆๆๆ
ส่วนน้องจูนก็หวั่นไหวตลอดตล๊อดๆ อิพี่เคนก็หยอดตลอดตล๊อด เล่นนอกบทตลอดตล๊อด // ยาวไป55555
ส่วนพี่โชติกับพี่ยุทธ์เนี่ยซับซ้อนนะ พวกพี่จะเอายังไงกัน
เหมือนหึง เหมือนหมั่นไส้
ตอนนี้ค้างงงงงงงงงงงงงง อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก :katai4:
-
@@@ talk @@@
เดี๋ยวนี้สปีดตก ...งานเยอะจริงๆขอโทษด้วยค่ะ
ปั่นได้เดือนละตอน แต่ก็หวังว่าจะเป็นตอนที่พอจะมีคุณภาพบ้าง
อย่างว่า เรื่องนี้ เนื้อหาเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของคนนั่นล่ะค่ะ
พีจังไม่เชื่อในรักรถไฟเหาะตีลังกา หวาดเสียวได้ทุกสามบรรทัด ลองมาอ่านนิยายแนวเรื่อยๆ
พักใจกันนะคะ
ป.ล. ขอคอมเม้นต์บ้างเถิด รักคนอ่านทุกคนค่ะ
.................................................
-32-
อะไรคือรัก
“แอคชั่น!! “
ถึงปากจะพูดไปอย่างมั่นใจในการแสดงของตัวเอง แต่ในใจตอนนี้กลับเต้นไม่เป็นส่ำ เคนถูมือที่เปียกชื้นกับกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ ฉากเลิฟซีน “สั้นๆ” ของยุทธ์นั้นถึงจะเขียนด้วยความยาวเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดตามที่เจ้าตัวเคยเอ่ยทีเล่นทีจริงไปเมื่อตอนบอกว่าจะเพิ่มบทแต่พอมาอ่านเข้าจริงๆ มันมีกิริยาท่าทางหลายอย่างที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยจิตนาการมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการจูบกับ”จูน” ลูบไล้เบาๆที่แขนของ”จูน” ประทับริมฝีปากลงไปบนอกของ”จูน” หรือแม้แต่นอนกอดกับ”จูน”บนเตียงด้วยร่างที่เปลือยเปล่า
....อย่างน้อยก็ไม่เคยคิดจะกระทั่งเร็วๆนี้....
ชายกระโปรงวับแวบขยับไหวเข้ามาในสายตา เคนค่อยเงยหน้าขึ้นมองจากล่างไล่เรื่อยขึ้นมาจนสบตากับ “จูน” ดวงนั้นเป็นประกายแปลกตา ไม่ได้มองมาอย่างระแวงระวัง หรือจ้องแต่จะต่อว่าตัดรอนเขาเหมือนทุกที ตรงกันข้ามกลับเป็นประกายด้วยความรู้สึก “รัก” อย่างเต็มเปี่ยม ขนตาหนานั้นขยับเบาๆดูเขินอายเล็กๆ ก่อนที่มือเรียวนั่นจะยื่นเข้ามาจับมือชื้นเหงื่อของเขาแนบลงที่ค้างแก้ม
“รักจูนไหม....” ไม่พูดเปล่าริมฝีปากสีสวยนั้นจูบลงมาเบาๆบนมือ
“...... “ หนึ่งคำและหนึ่งสัมผัสนิ่มนวลนั้นแทบทำให้ลืมบทและลืมลมหายใจ หัวใจของหนุ่มนักกีฬาบีบตัวแรงเสียจนกลัวว่าไมค์ที่ใช้บันทึกเสียงนั้นจะจับเสียงอวัยวะที่สั่นระรัวอยู่ในอกได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องตั้งสติ! เพราะนี่มันคือ....สิ่งที่เขารอคอยมาตลอดไม่ใช่หรือไง!!
“อื้ม.....” เคนพยักหน้ารับคำไปตามบทพลางก้มลงเล็กน้อยใช้หน้าผากชนกับหน้าผากของคนรักในบทเบาๆ ก่อนจะขยับเล็กน้อยเพื่อจูบแผ่วผ่านที่ปลายจมูกโด่งนั่นอย่างนึกเอ็นดู เขานอกบท...เหมือนอย่างทุกครั้ง และคิดว่าอีกฝ่ายคงทำหน้าหงิกด้วยความไม่พอใจเหมือนอย่างทุกทีแต่ก็หาได้เป็นแบบนั้นไม่ เด็กหนุ่มตรงหน้าเพียงแค่หัวเราะเบาๆด้วยท่าทีราวกับสาวน้อยที่กำลังเขินอาย ก่อนที่”จูน”จะยกมือข้างหนี่งมาโน้มคอของเขาลงไปอีก ริมฝีปากที่เคลือบสีอ่อนใสนั้นสัมผัสแผ่วผ่านหากแต่รับรู้ได้ชัดเจนถึงความนุ่มนวลนั้น
ทันใดนั้นเองที่ใจของชายหนุ่มร่างสูงสั่นไหวแล้วสั่งให้สองมือยื้อใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายเข้ามามอบจูบที่จริงจังกว่าเดิมให้ เคนเม้มริมฝีปากลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของจูน ผละออกเพียงเล็กน้อยก่อนจะประกบลงไปอีกครั้งและอีกครั้ง ได้ยินเสียงลมหายใจของนักแสดงคู่เริ่มติดขัดแต่ร่างกายของเขากลับยังไม่อยากจะหยุด!
“คัท!”
เสียงโชติสั่งคัทตัดอารมณ์ทุกอย่างของเพื่อนร่างสูงจนขาดสะบั้น เช่นเดียวกับสัมผัสนุ่มบนริมฝีปากที่ละออกห่างแทบจะในทันทีเมื่อสิ้นเสียงของผู้กำกับประจำกองถ่าย เคนจำเป็นต้องปล่อยมืออย่างนึกเสียดายจากเบื้องลึกของหัวใจ พอเหลือบมองเด็กหนุ่มในชุดกระโปรงที่อยู่ตรงหน้าก็เห็นเพียงแค่ร่างสูงโปร่งที่ค่อยถอยออกห่างซ่อนใบหน้าแดงก่ำเอาไว้ใต้วิกผมยาวที่ปรกลงมา
“เล่นดีมาก....” โชติพอใจกับสิ่งที่นักแสดงทั้งสองของเขาแสดงออกมา เขารู้สึกใจเต้นตึกตักตามไปด้วยเมื่อตอนที่จูนถามว่าเคนรักไหม และท่าทีที่เคนแสดงตอบกลับนั้นก็สมจริงที่สุดเท่าที่มนุษย์จอมลืมบทคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้
“มากเกินพอ....” เสียงยุทธ์เอ่ยเสริมความทั้งๆที่ไม่มีใครถาม ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มชวนให้เข้าหานั่นดูบึ้งตึงราวกับไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนั้นสักเท่าไร
“ให้มันน้อยๆหน่อย ยุทธ์ ไม่เห็นเหรอว่าพวกมันก็พยายามเต็มที่” โชติหันไปดุเพื่อนก่อนจะทำท่าให้ยุทธ์ถอยออกจากหลังกล้องเพื่อให้เขาได้เช็คภาพที่เพิ่งจะถ่ายไป
“จูน เคน พวกแกจะเช็คที่ถ่ายไหม” โชติเงยหน้าขึ้นมาถาเมื่อเดินไปเช็คภาพที่เพิ่งจะถ่ายไปเมื่อครู่
“มะ...ไม่ล่ะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปากที่ฉ่ำชื้นของตัวเองหัวใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ
“ว่าแต่ใกล้จะ มะ...หมดรึยังอ่ะพี่โชติ “จูนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขายังพยายามหายใจให้เป็นปรกติอยู่เลยแต่ก็พยายามทำให้ตัวเองสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขายังมีบทที่จะต้องเล่นต่อไปอีกถ้าหากเกิดเสียสมาธิไปเสียตอนนี้ทุกอย่างคงต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด....และเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักเท่าไร
“ลืมบทหรือไง เหลืออีกเพียบเนี่ย..เดี๋ยวจะถ่ายตอน”จูน”ถอดเสื้อให้เคน แล้วเคนก็ถอดเสื้อให้จูนนะ แล้วยังมี
ซีนบนเตียงอีก” ผู้กำกับตอบพลางหยิบบทขึ้นมาดู ดูท่าตอนนี้จะไม่มีอะไรมาหยุดโชติจากการถ่ายทำครั้งนี้ได้อีกแล้ว สีหน้าท่าทางของโชติตอนนี้นั้นเอาจริงและดูมีความสุขเสียจนจูนไม่กล้าจะเอ่ยปากขึ้นขัด
“ครับ....” เด็กหนุ่มรับคำเสียงเบาก่อนเดินกลับไปยืนประจำที่ของตัวเองเหมือนเดิมสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามทำสมาธิอีกครั้ง
“รอบนี้จะถ่ายใกล้นะ ไม่ต้องสนใจพวกกู ไม่ต้องสนกล้องพวกมึงเล่นตามบทยาวไปจนจบซีนเลยจะลองถ่ายแบบไม่สั่งคัทดู” โชติเดินเข้ามาอธิบายต่ำแหน่งของกล้อง การวางท่าทางอีกเล็กน้อย ซึ่งนักแสดงทั้งสองของเขาก็ดูจะพยักหน้ารับคำกันเป็นอย่างดี....
ทั้งจูนและเคนยืนเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างสูงสบตากับเด็กหนุ่มรุ่นน้องนิ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“ไม่ต้องกลัวน่า ทำไปตามบท นึกเสียว่าไม่ใช่พี่ก็ได้....”
ไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้าจูนเพียงแค่พยักหน้าลงเบาๆ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ปลายนิ้วกางออกก่อนเปลี่ยนเป็นกำมือแน่นสลับไปมา แม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแต่เคนรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังประหม่าซึ่งก็คงจะไม่ต่างจากตัวเองเท่าไรนักหัวใจในอกตอนนี้ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดียวกัน
“นักแสดงพร้อม...กล้องพร้อม.....แอคชั่น!”
จูนค่อยเงยขึ้นมองหน้าของเคน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบางดูเบาสบายตัดกับเสื้อกล้ามสีเข้มที่สวมอยู่ด้านใน ดวงตาคมที่มองมานั้นมีความหมายแต่เด็กหนุ่มกลับไม่กล้าสบตา เขาขยับเข้าไปใกล้พิงหน้าผากลงบนช่วงไหล่กว้างของร่างสูง เมื่อสูดลมหายใจเข้าได้กลิ่นหอมอ่อนๆผสมกับกลิ่นกายแบบนักกีฬา สองมือโอบร่างสูงเข้าหาตัวปลายนิ้วลากเรื่อยจากแผ่นหลังของเคนลงมาที่ท่อนแขนแกร่งแผ่วเบาหากแต่ดูเย้ายวนซุกซนอย่างประหลาด แด็กหนุ่มประทับริมฝีปากลงบนอกกว้างส่งสัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนผ่านผิวผ้าบาง ดวงตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าของเคนเล็กน้อยพร้อมมุมปากที่หยักยิ้ม ก่อนขยับปลายนิ้วที่สั่นเล็กๆเลื่อนลงที่กระดุมเสื้อเชิ๊ตของเคนออกอย่างอ้อยอิ่ง
“..........................” เป็นเคนเองที่สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าท่าทางและดวงตาของคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังทำให้ใจของเขาสั่นไหว ยิ่งเมื่อสองมือของจูนค่อยๆสอดเข้ามาปลดเสื้อเชิ้ตของเขาลงแม้เป็นเวลาไม่กี่อึดใจ แต่สำหรับเคนแล้วกลิ่นกายของเด็กหนุ่มนั้นก็ทำให้เวลาดูจะผ่านไปนานจนยากจะคาดเดา เขาตัดสินใจผละออกจากอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยเพื่อตลบชายเสื้อกล้ามตัวในขึ้นแล้วโยนไปอีกทาง
ร่างสูงจะค่อยขยับเข้าไปจูบแผ่วเบาลงบนวิกผมของอีกฝ่ายมือแกร่งประคองทั้งสองไหล่ของจูนเข้าหาตัวก่อนที่มือแกร่งจะขยับลงไปตามแนวสันหลังค่อยๆปลดแนวกระดุมยาวที่ด้านหลังของชุดออกแต่ก็ปลดได้ไม่หด เพราะวิกนั้นยาวลงไปจนถึงกลางหลังเขากลัวว่ามันจะเข้าไปพันกับกระดุมเสียก่อน เคนจึงค่อยๆจับให้จูนหันหลังมือแกร่งรวบผมยาวไปอีกทางเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน และแผ่นหลังขาวที่ดูวับแวมเพราะชุดที่ปลดกระดุมไปได้เพียงครึ่ง เคนค่อยดันเม็ดกระดุมออกจากรังดุมทีละเม็ด ทีละเม็ด จนถึงเม็ดสุดท้ายที่บั้นเอว นึกอัศจรรย์ใจเล็กๆที่จูนใส่ชุดนี้เองได้โดยไม่เรียกให้เขาไปช่วยใส่...หรือบางทีจูนอาจจะให้โชติช่วยใส่...แต่ก็ช่างมันประไรเพราะในตอนนี้เขากำลังจะถอดมันออก
เคนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนสอดมือเข้าไปใต้ผิวผ้าของชุดเดรสสีส้มอิฐ ค่อยๆมันปลดมันออกจากไหล่ที่มีกล้ามเนื้อได้รูปของเด็กหนุ่ม รู้สึกได้ว่าเจ้าของแผ่นหลังนั้นกำลังสั่นน้อยๆ ทำให้นึกเอ็นดูอย่างประหลาด ชายหนุ่มร่างสูงแตะริมฝีปากลงบนด้านหลังต้นคอของอีกฝ่าย
ทุกอย่างเป็นไปตามบท เคนแสดงได้อย่างน่าทึ่งด้วยท่าทางที่หากพวกผู้หญิงได้เห็นคงพากันเคลิบเคลิ้มไปกับใบหน้านิ่งหากแต่ดูอบอุ่นอยู่ในทีเช่นนั้น ทั้งๆที่เนื้อแท้ข้างในใจของเคนกำลังกระโจนโลดแล่นด้วยแรงขับดันบางอย่าง
ว่าเขาจะต้องกอดจูน และต้องกอดอีกฝ่ายบนเตียงนี้เท่านั้น สองแขนแกร่งโอบร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาหา อ้อมแขนแกร่งนั้นแทบจะกลืนเอาร่างของอีกฝ่ายเอาไว้กับอก ร่างสูงโปร่งตวัดยกร่างนั้นด้วยกำลังแขนเสียจนอีกฝ่ายตัวลอย
“อ้ะ.....”
เสียงจูนอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อครองสติได้อีกครั้งมุมมองทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว เขามองเห็นเพดานที่สะท้อนแสงไฟจากโคมไฟ ก่อนเงาดำใหญ่จะทาบทับลงมา และที่ลอยเด่นอยู่ต่อหน้าคือใบหน้าคมคายของเคน คิ้วได้รูปรับกับดวงตาคมเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสัน กรอบหน้าคมชัดและริมฝีปากบางที่หยักเป็นรอยยิ้มน้อยๆนั่นขยับใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจจากร่างสูงที่ขยับกายทาบทับ เด็กหนุ่มเผลอหลับตาแน่นทันที
“คัท!!!”
สิ้นเสียงสั่งคัทของโชติ จูนที่ถูกจับลงไปนอนกับเตียงรีบยกมือขึ้นดันให้เคนขยับถอยออกจากตัว ก่อนรีบเบี่ยงตัวหลบลงจากอีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอน เมื่อก้มลงมองตัวเองอีกทีก็พบว่าชุดเดรสที่เพียรใส่มาทั้งวันนั้นเกาะอยู่กับตัวเขาเพียงแค่ครึ่งล่างเท่านั้น
“...................” ไม่มีเสียงบ่นกระปอดกระแปดเหมือนทุกครั้งเพราะจูนมัวแต่นั่งหน้าแดงอยู่มุมหนึ่งของเตียง ในขณะที่อีกคนที่เพิ่งจะใช้แรงช้างสารยกนักแสดงร่วมด้วย”อารมณ์”ล้วนๆก็กำลังหันไปสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่เช่นกัน
ยุทธ์และโชติมองดูภาพของนักแสดงทั้งสองที่นั่งกันอยู่คนละฝั่งเตียงนิ่ง มันน่าอึดอัดเกินไปท่ามกลางห้องนอนแคบๆที่มีผู้ชายสี่คนอยู่ในห้องกันอย่างสงบปากสงบคำ ไม่มีการบ่น ไม่มีคำต่อว่าเหน็บแนมเรื่องการแสดงกันเหมือนทุกครั้ง และไม่เลยที่จะมีใครหันไปสบตากัน บางทีทุกคนอาจจะกำลังคิดว่าการถ่ายทำหนังสั้นในครั้งนี้
....อะไรๆมันดูจะสมจริงเกิดเหตุไปหน่อยแล้ว....
“จะพอก่อนไหมโชติ....” ในที่สุดยุทธ์ก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบ “กูว่าไม่ไหวแล้วว่ะ แม่งเหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร มึงเองก็ควรจะพักเหมือนกัน”
“ชะ...ใช่ครับพี่โชติ ผมว่าพอก่อนเถอะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ห้องร้อนมาเลยเนี่ย เหงื่อออกวิกเปียกจนเชื้อราจะขึ้นหนังหัวแล้ว” ประหนึ่งเพิ่งจะตั้งสติได้จูนหันมาขอร้องรุ่นพี่ยาวเหยียด
“อ่ะ....เอางั้นเหรอ.....” โชติเหลือบมองแอร์ในห้องที่เปิดเร่งจนสุดเสียจนแม้แต่ตัวเองยั่งขนลุก แต่น่าแปลกที่ทั้งยุทธ์กับจูนต่างพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าห้องนั้นร้อน
....คนนึงก็ดูท่าจะร้อนใจ....
.....อีกคนนึงก็ท่าจะร้อนกาย...
โชติคิดก่อนจะเหลือยไปมองทางเคน ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆ
....ไอ้นั่นก็ท่าจะร้อนเพราะตัณหากลับ....
“เออ...วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้” หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดโชติก็ยอมตกลงที่จะยกเลิก ชายหนุ่มพับบทหนังวางไว้บนโต้ะข้างเตียง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต้ะเครื่องแป้งอย่างอ่อนแรง ท่าทีที่ดูจะยอมง่ายๆให้กับคำขอของทั้งเพื่อนและรุ่นน้องทำให้ทั้งสามคนต้องหันไปมองหน้าผู้กำกับอย่างงงๆ
“มองอะไรเล่า ไป จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรก็ไปกันสิ...จะได้ไปหาอะไรกินกัน”
“งั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อน...” จูนเอ่ยพลางลุกพรวดขึ้นจากเตียง สองมือกอบเดรสกระโปรงผ้าเนื้อโปร่งที่ตกไปกองอยู่ที่บั้นเอวพลางก้าวยาวๆจะเดินออกไปจากห้องแต่เพราะความยาวของกระโปรงก็ทำให้สะดุดชายกระโปรงไปอีกสองสามเก้า
“ฮึ่ย !!! “ เด็กหนุ่มร้องอย่างขัดใจแต่ก็รีบสาวเท้าเดินออกจากห้องไป
“อะไรของมัน” โชติเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะทั้งๆที่เข้าใจดีว่าที่จูนดูเงอะงะงุ่นง่านแบบนั้นมันน่าจะเป็นเพราะอะไร...และเพราะใคร
................................................................
“สุดท้าย คนที่เหนื่อยที่สุดก็คือเจ้าตัวนั่นล่ะนะ....” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆ
กว่าโชติจะยอม เลิกเช็คภาพเลิกเก็บของหยุดกิจกรรมทุกอย่างก็ปาไปเย็นย่ำ พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว และคนที่บอกว่า ‘จะได้ไปหาอะไรกินกัน’ กลับหน้ามืดลมจับแทบจะทันทีที่พยายามจะเดินออกจากบ้านไปหาอะไรกิน จนในที่สุดก็ต้องบังคับให้นอนพักกับเตียงที่ยังจัดเป็นฉากสำหรับกายถ่ายทำ ผลกรรมทั้งหลายเลยตกมาอยู่กับจูนและเคนที่ต้องเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์กันออกมาหาเครื่องดื่มสำหรับมื้อเย็นที่ตั้งใจว่าจะทำอาหารทะเลปิ้งย่าง
“อื้ม ไม่รู้อะไรทำให้อยากถ่ายให้เสร็จนัก....” จูนว่าพลางหยิบเครื่องดื่มลงใส่ในตระกร้า ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆเคนก็เอาคางมาเกยไหล่มองดูของที่อยู่ในมือและในตระกร้า
“ออกมาซื้อทั้งทีกะจะกินแต่น้ำอัดลมรึไง....”
“ละ...แล้วพี่จะกินอะไรล่ะ” จูนถามกลับทันควันโดยไม่ได้หันกลับไปมองหน้าของอีกฝ่าย อันที่จริงตั้งแต่หลังจากการถ่ายทำเขาก็ยังไม่กล้ามองหน้าของเคนตรงๆอีก มันเหมือนกับว่าหากสบตากับดวงตาคู่นั้นแล้วสัมผัสทุกอย่างที่รู้สึกได้ตอนเข้าฉากจะกลับมาอีกครั้ง และมันทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว......เขาไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้น และเพราะเป็นอย่างนี้ตลอดทางที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์อีกฝ่ายมาถึงที่ร้านนี่ถึงได้ตอบแบบถามคำตอบคำมาตลอด
“กินนี่ไง....” สัมผัสเย็นเฉียบจากขวดเบียร์แตะที่ข้างแก้มทำเอาจูนต้องถอยเท้าหนี
“พี่เคน เล่นอะไร....” ดวงตารีเรียวตวัดมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทันที
“......... “ แต่เป็นคนที่เล่นพิเรนทร์เองที่ยืนนิ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“แบบนี้สิค่อยเป็นแกหน่อย.....” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะฉวยตระกร้าในมือของจูนไปถือเสียเอง ร่างสูงเดินไปเปิดตู้ใส่เบียร์พลางหยิบเอาของมึนเมาออกมาใส่ในตระกร้า
‘พี่หมายความว่ายังไง....’
จูนอยากจะถามออกไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามเมื่อเหลือบไปเห็นว่าเคนกำลังจะกวาดเบียร์ทั้งชั้นลงมาใส่ตระกร้า
“เอ้ย หยุดๆ พอเลย นี่คิดจะดื่มอะไรนักหนาพรุ่งนี้ก็มีถ่ายอีก”
“นิดๆหน่อยๆเองน่า....คืนนี้กินนิดหน่อย พรุ่งนี้ค่อยกินเยอะๆไง” เคนยิ้มกว้างท่าทางอารมณ์ดีจนน่าประหลาด จูนเห็นแบบนั้นก็ทำได้แต่เบะปากอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทีของผู้ชายตรงหน้า
“จะทำยังไงก็เชิญเลย ช่วยกันถือกลับไปด้วยก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูดพลางเดินไปอีกทางมองหาขนมสำหรับคืนนี้ และยอมเก็บคำถามเมื่อสักครู่เอาไว้ในใจ
-
(ต่อ )
บ้านในสวนด้านลึกเข้าไปในซอยมีแสงส่องสว่างอยู่ที่ประตูรั้วเหล็กด้านหน้าบ้าน มองลึกเข้าไปด้านในท่ามกลางต้นไม้ที่ปลูกล้อมเอาไว้เห็นแสงเรืองจากบานหน้าต่างขนาดใหญ่ ยุทธ์อาจจะเป็นคนเดียวที่กำลังง่วนอยู่ที่ลานด้านหลังบ้านและโชติอาจจะกำลังพยายาทำน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดอยู่ก็เป็นได้ อย่างน้อยก็ถ้าโชติมีแรงพอจะลุกไหว ยุทธ์ก็คงจะยอมให้โชติทำได้อยู่แค่นั้น เสียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าของน้าพรที่เคนค่อยขี่อย่างระมัดระวังต่างจากทุกทีที่มักจะขี่เร็วเสียจนคนซ้อนท้ายรู้สึกหวาดเสียวพาทั้งสองคนมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
“ถึงสักที หนักนะเนี่ย....” จูนบ่นเบาๆเพราะเป็นคนหอบทุกอย่างเอาไว้ในมือด้วยกลัวว่าน้ำหนักของกระป๋องทั้งหลายจะทำเอาถุงขาดกลางทางไปเสียก่อน
“มา....พี่ช่วยถือ” มือแกร่งยื่นมาฉวยถุงพลาสติกที่ซ้อนกันหลายชั้นจากร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังหน้าประตูบ้าน ปากก็คอยบอกให้จูนระวังทางเวลาเดินเพราะแสงจากหน้าบ้านนั้นส่องมาไม่ถึงทางเดินผ่านสวนเข้าไป
“ระวังด้วย.....เดี๋ยวจะล้มหน้าคว่ำไปซะก่อนจะได้กิน”
จูนส่งเสียงรับในลำคอเบาๆ เขาเหลือบมองตามแผ่นหลังกว้างของเคน ในใจของเขายังเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดกับเขาแบบนั้นตอนที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อ และก็อดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงที่ดังพอที่คนสองคนจะได้ยิน
“ ที่พี่พูดในร้าน เมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไงเหรอ”
“หืม? “ เคนรับคำเสียงสูงก่อนจะหันกลับมามอง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้านแสงไฟสีส้มอ่อนกระทบลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม คิ้วที่กันจนได้รูปขมวดเข้าหากันน้อยๆ ปลายจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันเล็กๆด้วยความประหม่า และดวงตารีเรียวที่เป็นประกายยามเมื่อสะท้อนกับแสงไฟนั้นกำลังมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ก็ที่พี่พูดว่า...ค่อยสมกับเป็นผมหน่อย มันหมายความว่ายังไง” เด็กหนุ่มย้ำอีกครั้ง
“....................” เคนสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเหมือนใจตกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อีกฝ่ายไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆหรือว่าการกระทำเมื่อตอนถ่ายทำนั้นทำให้เขารู้สึกอย่างไร เขาทั้งดีใจ อิ่มเอม กับสัมผัสเหล่านั้นด้วยความนุ่มนวลทั้งหมดที่ได้ รับทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาถูกหอบหิ้วออกไปไกลจากความเป็นจริง ความจริงที่เขาถูกกระชากกลับมาทันทีเมื่อสิ้นเสียงโชติสั่งคัตนั่นทำให้เขารู้ว่าสิ่งได้รับมาเป็นเพียงบทบาทการแสดงของจูนเท่านั้น และคงเป็นได้เพียงแค่นั้น พอความคิดนี้ลอยเด่นขึ้นมาในหัวก็อดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆไม่ได้
“พีก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันคืออะไร ใจนึงพี่ชอบที่แกเล่นไปตามบท แต่อีกใจก็ไม่ชอบที่พอสั่งคัตแกก็ไม่ยอมมองหน้าพี่เลย ถึงพี่จะนอกบทสักกี่ครั้งแกก็ไม่ด่า ไม่ว่าพี่เลย แบบนั้นมันดูไม่ใช่แกเลยจูน มันเหมือนแกหายไปทั้งๆที่พี่ยังกอดแกอยู่....แต่เมื่อกี้ที่ร้านแกมองหน้าพี่ด่าพี่ ต่อว่าพี่แบบนั้นจะยังดีกว่าไม่งั้นพี่คงทนไม่ได้....”
คำพูดของเคนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบในอก น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้าจนพาลให้ใจของเขารู้สึกหม่นตามเพราะการกระทำของตัวเอง แต่เขาผิดด้วยหรือ จูนอดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง
“ใช่....ทุกอย่างมันเป็นแค่การแสดง พี่เข้าใจถูกแล้ว” ท้ายเสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่า หัวใจบีบตัวแรงเมื่อรู้ว่ากำลังโกหกตัวเอง... เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงขึ้นจมูกด้วยนึกขันตัวเอง....มันปฏิเสธได้ยากเมื่อเขารู้สึกคล้ายจะเพลิดเพลินกับสัมผัสนั้นเข้าจริงๆ
“ผมขอโทษถ้าผมแสดงได้ดีเกินไป แต่พอเถอะ เลิกซะสำหรับบทุกเรื่อง พี่อย่าทำแบบนี้เลย ให้มันจบได้เหมือนตอนแสดง สั่งคัตไปเสีย พี่เองก็จะได้ไม่ต้องมาคิดมาก”
จูนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ เขาไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าคนๆนี้ได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องแพ้ พ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกหวามไหวที่เกิดขึ้นในอกทุกครั้งยามที่อีกฝ่ายเข้าใกล้ พ่ายแพ้ให้กับความอบอุ่นจนรู้สึกร้อนจากผิวกายนั้น พ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มที่สว่างสดใสเหมือนกับพระอาทิตย์ของผู้ชายตรงหน้า และเมื่อเขาแพ้เขาจะต้องตกลงไปอยู่ในวังวนที่พยายามตะเกียกตะกายหนีขึ้นมาอยู่ตลอด
‘.....ไอ้จูนมันชอบผู้ชาย..... ‘
‘…..ไอ้จูนมันเป็นเกย์.........’
“ผมขอโทษ............” พูดด้วยน้ำเสียงดังเพียงกระซิบ เด็กหนุ่มซ่อนสีหน้าของตัวเองจากอีกฝ่ายก่อนเบี่ยงตัวหลบหมายจะเดินเข้าบ้าน
เคร้ง!!
เสียงกระป๋องน้ำอัดลมและเบียร์ในถุงพลาสติกกระทบกันดังเมื่อถูกเคนถุงนั่นลงกับพื้นชานหน้าบ้านด้วยแรงที่ไม่เบาเอาเสียเลย อยู่ๆข้าวของทุกอย่างในมือก็เกิดหนักอึ้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น มือแกร่งคว้าข้อมือของจูนให้เดินหลบเข้าไปในความมืดของสวน
“ปล่อย....” ด้วยความตกใจเด็กหนุ่มพยายามจะขืนมือออกแต่ก็ทำไม่ได้ มือแกร่งที่จับข้อมือของเขาเอาไว้นั้นบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“หมายความว่ายังไงที่จะให้พี่เลิก” คราวนี้เป็นเคนที่ไม่เข้าในความหมาย ดวงตาคมเป็นประกายในความมืด ประกายของความสับสน
“หมายความว่าให้พี่เลิกทำแบบนี้กับผม เลิกเข้ามายุ่งกับความรู้สึกของผม เลิกปั่นหัวผมสักที พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ผมไม่เข้าใจ ที่พี่ทำทั้งหมดนี่พี่ต้องการอะไร” จูนถามกลับด้วยความสับสนในใจไม่แพ้กัน เขารู้ว่ามันคือความอบอุ่น คือความเอาใจใส่ คือสิ่งที่อีกฝ่ายใช้คำเรียกอย่างไม่สนใจอะไรว่า “จริงจัง” แต่เขาไม่สามารถตอบกลับความ”จริงจัง”ของอีกฝ่ายได้ ทั้งๆที่บางส่วนในใจก็รู้สึกดี แต่หากตรองดูด้วยสติแล้ว.....มันเป็นไปไม่ได้
“........ “ เคนถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาเองก็อธิบายสิ่งที่กระทำกับอีกฝ่ายได้ไม่ถูกนัก ตัวเขาเป็นผู้ชายที่มีแฟนแล้ว แน่นอนว่าแฟนของเขาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย เขาควรจะพอใจและรู้สึกพอกับสิ่งนั้น แต่เมื่อได้สัมผัสกับความนุ่มนวลของเด็กหนุ่มตรงหน้า ในตอนแรกสิ่งที่ดึงดูดเขาคือสัมผัสทางกาย เขาคิดว่าตัวเองคงจะเพี้ยนไปเสียแล้วแต่...เมื่อได้สัมผัสกับนิสัยใจคอ ท่าที และความคิดของจูนแล้วมันทำให้เขายิ่งหลงใหลอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
“จะให้พี่พูดตามตรงใช่ไหม....ไม่ต่อยพี่นะ?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบหากแต่พยักหน้าลงเบาๆ มือก็ยังพยายามจะยื้อให้เป็นอิสระแต่ก็ไม่เป็นไปตามคาดเท่าไรนัก
“พี่อยากดูแลแก... อยากเป็นมากกว่าพี่ที่ชมรม อยากเป็นคนพิเศษ อยากเป็นคนที่แกพึ่งพาไว้ใจได้ในทุกๆเรื่อง ตอนแรกก็คิดแค่นั้น แต่ตอนนี้มันมีมากกว่านั้น พี่ไม่อยากให้แกไปมองคนอื่น ไม่อยากให้คนอื่นอยู่ใกล้แก อยากให้แกเป็นของพี่ อยากกอด อยากจูบ อยากจะ......”
“พอ! ผมไม่อยากฟัง.....แบบนั้นมันเรียกว่าเกย์ชัดๆ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเขาไม่อยากฟังคำพูดใดๆจากปากของอีกฝ่ายอีก
“พี่ไม่รู้หรอก....ว่าคนอื่นเขาจะเรียกว่าอะไร แกอาจจะเรียกพี่ว่าบ้า หรือจะหาว่าพี่เป็นเกย์ก็ได้ แต่พี่ไม่เคยคิดแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน ” เคนใช้มืออีกข้างจับมือข้างที่จูนยกขึ้นเอาไว้ รวบเอามือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเข้าไว้ด้วยกันก่อนจรดริมฝีปากลงบนปลายนิ้วที่สั่นระริกนั้นเบาๆ ดวงตาคมเหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นเหมือนปุบปับแต่ความหมายของการกระทำทุกอย่างนั้นเด่นชัดในห้วงความคิดมาโดยตลอด
“แต่พี่จะเรียกว่า “รัก” .....พี่รักแกนะจูน....”
ถ้อยคำนั้นหวานซึ้ง สัมผัสนั้นอ่อนโยน หากแต่สำหรับคนฟังนั้นไม่ต่างอะไรจากกองไฟที่เผาไหม้ลุกลามเข้ามาเรื่อย ล้อมกรอบตัวเขาเอาไว้ให้จนมุมจนไปไหนไม่รอด
“พี่มันบ้าไปแล้ว.....” จูนอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายแรงจากมือออกผลักอกกว้างของร่างสูงออกห่าง ในดวงตาที่มองกลับมานั้นเป็นประกายในความมืด ประกายตาเพราะความฉ่ำชื้น จูนกำลังมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย
......มันเจ็บ.....
“จูน......” ร่างสูงขยับตามสองมือแกร่งประคองใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นมาหมายจะจูบเบาๆลงที่ข้างแก้มนั้น
ผั่วะ!
เสียงหมัดลุ่นๆกระแทกเข้าที่ชายโครงของเคน ได้ยินเสียงร่างสูงดังขึ้นเบาๆเพราะความจุก
“ผม.....ไม่.....”
………….ผมไม่ใช่เกย์! ……………….
อยากจะกรีดร้องออกไปแบบนั้นแต่ทำไม่ได้ ถ้าเขาร้องเสียงดังขึ้นมาตอนนี้ยุทธ์หรือโชติอาจจะได้ยิน สถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ ....เขาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ คิดได้แบบนั้นสองขาออกวิ่ง จูนไม่สนใจว่าจะโดนกิ่งก้านของต้นไม้เกี่ยวเอาหรือไม่ ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มวิ่งออกไปจากรั้วบ้านไป เคนเองก็รีบวิ่งตาม
“จูน!!”
ช่วงหัวค่ำยังพอมีรถมอเตอร์ไซค์ของนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ตามเกสต์เฮ้าส์วิ่งเข้าออกในซอย แต่จูนก็ดูคล้ายจะไม่อยากหยุดให้ใครหน้าไหน เด็กหนุ่มวิ่งไปตามซอยเล็กๆที่นำไปสู่ทางลงหาด ท้องทะเลสีดำสนิททอดกายอยู่เบื้องหน้า เขาก้าวเดินลงไปบนชายหาด มองไปด้านหนึ่งเห็นร้านอาหารใกล้ๆ ยังเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวที่อยากรับลมทะเลยามค่ำคืน แต่เขาไม่อยากไปรบกวนความสุขของใคร เด็กหนุ่มหันหน้าเดินไปอีกด้านที่ดูจะเงียบสงบและไม่ค่อยมีแสงสว่างมากนัก ห่างออกไปอีกสักนิดถึงจะเป็นหาดของโรงแรมชื่อดัง ทางนั้นดูท่าจะเงียบสงบมากกว่า ถึงจะไม่ถึงกับเงียบสนิทแต่อย่างน้อยก็พอมีเสียงคลื่นเสียงลมกลบเสียงแห่งความสับสนที่มันดังก้องอยู่ในหัว
“จูน............... “ แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ตามมาหลอกหลอน
“อย่าเข้ามาใกล้ผมนะ....ขอผมอยู่คนเดียวบ้างไม่ได้หรือไง พี่จะตามผมมาให้ได้อะไร” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเด็ดขาดไม่แม้จะหันไปมอง สองมือกำแน่นอยู่ที่ข้างลำตัว
“ผมไม่อยากต่อยพี่อีกหมัดหรอกนะ”
“แกจะต่อยพี่อีกกี่หมัดก็ได้...” เสียงทุ้มนั้นคล้ายจะเอ่ยอย่างอ่อนใจ จูนได้ยินเสียงฝีเท้าดังเบาๆเมื่อผืนทรายยุบตัว ร่างสูงกำลังก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“แต่พี่ต้องตามแกมา...” ท่อนแขนแกร่งยื่นมาจากด้านหลังก่อนจะโอบรอบบ่านั้นเอาไว้ราวกับจะปลอบประโลม ลมหายใจอุ่นสัมผัสรดอยู่ที่ข้างหู จนทำให้อุณภูมิของร่างกายแปรเปลี่ยน ท่ามกลางเสียงลม เสียงคลื่น และเสียงครึกครื้นจากร้านอาหาร
จูนกลับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองและเสียงหัวใจของอีกฝ่ายชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ
“เพราะพี่รักแก จูน รักจริงๆ นี่มันไมใช่เรื่องเล่นๆแล้วสำหรับพี่”
จูนหลับตาแน่น รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่ค่อยทิ้งตัวลงจากหางตา เขาเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่หัวใจของเขาพองโตราวกับว่าเขาโหยหาสัมผัสเช่นนี้มานาน และไม่มีสิ่งใดในสิ่งที่เรียกว่าสมองของเขาจะสั่งห้ามหัวใจของเขาได้ และนั่นยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก มือเรียวแตะที่ท่อนแขนแกร่งนั้นเบาๆก่อนจะค่อยหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่เขาวิ่งหนีมาเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าของเคน ชายหนุ่มร่างสูงเองก็หอบหายใจเบาๆเพราะอยู่ๆก็ต้องออกแรงวิ่งมาทั้งๆที่ขาก็ยังเจ็บอยู่ไม่น้อย
“ถ้าการกระทำของพี่มันเรียกว่ารักแล้วการที่ผมไม่อยากให้พี่ทำผิดกับพี่นิดแบบนี้ มันเรียกว่ารักด้วยหรือเปล่า”
...........................................................................to be continued
p.s. ใครที่เข้ามาอ่านระหว่างโพสต์ขอโทษนะคะ เกิดลังเลว่าจะโพสต์ถึงไหน และชื่อตอนควรจะเป็นอะไร เลยแก้หลายรอบค่ะ
-
:hao7: ตอนที่แล้วว่าค้างงงงง ตอนนี้ยิ่งค้างงงงงง :z3:
พี่เคน ไอ้พี่เลว คิดจะจับปลาสองมอเหรอหะ?!
น้องจูนที่สุดแสนบริสุทธ์ของเดี๊ยนร้องไห้แล้วเห็นไหม
ใจร้ายๆๆๆๆ รู้ว่าไม่เคยชอบผู้ชาย แต่ช่วยทำให้ถูกต้องด้วย
เสร็จงานครั้งนี้ไปเลิกกับยัยนิดซะ! :fire:
-
เคลียร์ตัวเองก่อนดีมั้ยพี่เคน
-
@@@ talk @@@
แม้จำนวนตอนจะดูห่างไกล
แต่เนื้อเรื่องยังเชื่องช้าเช่นเคย
นิยายเรื่องนี้ เรื่อยๆ ก็อ่านกันเรื่อยๆนะคะที่รัก
Chapter 33 : เจ็บลึกๆ
[ccenter]“ถ้าการกระทำของพี่มันเรียกว่ารักแล้วการที่ผมไม่อยากให้พี่ทำผิดกับพี่นิดแบบนี้ มันเรียกว่ารักด้วยหรือเปล่า”
[/center]
“.........................” เคนนิ่งความรู้สึกผิดวิ่งเสียดเข้าไปในหัวใจ
“พี่ตอบไม่ได้...... “เคนส่ายหน้า เขาแทบจะหลบสายตาไปอีกทาง
“.....หึ...แน่ล่ะ พี่ตอบไม่ได้หรอก เพราะพี่เห็นแก่ตัวเกินไป” จูนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อยคล้ายจะเย้ยหยัน สองมือดันไหล่กว้างของเคนให้ถอยออกห่าง ก่อนเดินต่อไปตอนนี้อารมณ์ของจูนนั้นขุ่นมัวเกินกว่าจะเดินกลับบ้านไปได้ในเวลานี้
“จูน.....เดี๋ยวสิ....” ร่างสูงปราดเข้าไปดึงแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ ในขณะที่มืออีกข้างยื่นไปรั้งใบหน้าของเด็กหนุ่มเข้าหา เขาอยากจะเห็นว่าจูนมีสีหน้าอย่างไร แต่ที่ชัดเจนตรงหน้ามีเพียงน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลลงมาข้างแก้ม จูนเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนไม่อยากให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“พูดกับพี่สิ.....’ถ้าเจ็บก็ให้บอก’ ไม่ใช่เหรอ”เคนพูดออกไปด้วยความซื่อ มันอาจจะเป็นความคิดที่โง่เง่ามากที่นำเอาคำพูดที่อีกฝ่ายเคยใช้กับเขามาพูดในสถานการณ์แบบนี้ แต่สำหรับตัวเองในตอนนี้แล้วมันจะมีคำอื่นใดที่ทำให้ได้ยินความคิดของอีกฝ่ายมากกว่านี้อีกด้วยหรือ เขาเห็นสองไหล่ใต้เสื้อยืดตัวบางของเด็กหนุ่มสั่นไหวน้อยๆ เช่นเดียวกับสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆจากท่อนแขนที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเขา
“แล้วใครมันทำผมเจ็บล่ะ! “ จูนกระแทกฝ่ามือลงบนอกของอีกฝ่าย
“.... ผมเป็นผู้ชายนะ ถึงผมจะบอกว่าผมชอบหน้าของพี่เท่าไรก็เถอะ แต่...จะให้ผม.... ผม ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่ ไม่ ไม่สักนิด” จุนพูดเสียงดังราวกับอยากจะให้เสียงของตัวเองดังกลบเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง
…………. ไม่ได้อยากจะรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด................
[/i]
“พี่เองก็ไม่ได้ขอให้แกเป็นในสิ่งที่แกไม่ได้เป็นจูน....” มือแกร่งของเคนยึดข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“แต่พี่กำลังบอกรักแกอยู่นะ ช่วยฟังกันหน่อยได้ไหม” แรงบีบเบาๆเกิดขึ้นที่บริเวณข้อมือ เรียกร้องให้เด็กหนุ่มหันกลับมาสนใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“ทั้งหมดที่พี่พูดไปคือสิ่งที่พี่คิดกับแกนะ แล้วแกล่ะ...คิดอะไรกับพี่บ้างไหม ”
“...............................” จูนยิ่งเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
“.....ผมคิดแค่ว่าพี่ควรจะเลิกสับสน ระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่พี่พูด คือความรู้สึกที่พี่คิดไปเองทั้งนั้น ...” จูนตอบ ในใจคิดว่าได้ตะโกนออกไปจนสุดเสียงแล้วแต่สิ่งที่ส่งออกไปกลับเป็นเสียงที่แหบพร่าอ่อนแรงเหลือเกิน
“คิดไปเอง? “เคนถามเสียงสูง สองมือเลื่อนมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น
“อึ่ก..... “เพราะแรงบีบที่ไหล่ทำให้จูนร้องออกมาเบาๆ ดวงตารีเรียวนั้นเสมองไปอีกทาง ลมทะเลที่พัดเข้าหาชายฝั่งทำให้เส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่มปลิวลู่ตามลมยิ่งทำให้มองไม่เห็นใบหน้านั้นเข้าไปอีก สองหูในตอนนี้ได้ยินเต่เสียงของลม คนที่อยู่ตรงหน้าก็คล้ายจะรอคำตอบ แต่จะให้เขาตอบว่าอะไร.....
“ Anywhere I’ll find you!!! Like my pulse is beating inside you!!...”
ทันใดเสียงโทรศัพท์มือถือของเคนก็ดังขึ้น เสียงโทรศัพท์เป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้รู้ได้ในทันที่ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา จูนใชปลายนิ้วเกี่ยวเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาของตนเองขึ้นทัดที่ข้างหู ดวงตารีเรียวสบตากับร่างสูงนิ่ง
“นั่นไง...แฟนของพี่โทรมาแล้ว รับสิครับ แล้วบอกพี่นิดด้วยว่า คิดถึงมาก...”จูนเอ่ยด้วยเสียงสั่น ดวงตานั้นฉายแววตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์
“รับสิครับ” พลางค่อยปลดมือที่ยังยึดไหล่ของเขาอยู่อออก
“รับได้ตามสบาย เพราะผมจะไม่ขออยู่ให้พี่รู้สึก หรือคิดอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว” เด็กหนุ่มว่าพร้อมหันหลังกลับหมายจะเดินกลับไปยังบ้านพัก ป่านนี้ยุทธ์กับโชติคงนั่งคอยพวกเขากันนานแล้ว
“..........................” เคนนิ่ง ขบกรามเข้าหากันแน่น ทั้งๆที่เขากำลังสารภาพรักแต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่มีทีท่าอยากจะฟังหรืออยากจะตอบอะไรแล้ว ยังพูดกับเขาแบบนี้ ความรู้สึกของเขามันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยหรือ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ดวงตาที่สบตามองอีกฝ่ายนั้นวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ มือแกร่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากำโทรศัพท์มือถือที่กำลังแผดเสียงดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแน่น เคนดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขารู้ดีว่าปลายสายนั้นเป็นใคร และคนๆนั้นคงกำลังรอให้เขารับสายอย่างใจจดจ่อ แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยให้จูนเดินหันหลังให้เขาอีกแล้ว....
...ตุ้บ.....
โทรศัพท์มือถือลอยละลิ่วลงไปตกอยู่กับพื้นทราย พร้อมกับร่างสูงที่กระโจนก้าวไปในทิศทางที่ใจของเขาสั่งการ สองมือแกร่งรวบตัวของเด็กหนุ่มเอาไว้จากด้านหลัง เป็นครั้งที่เท่าไรของวันที่เขาต้องรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างนี้ สองหูได้ยินเสียงอีกฝ่ายขัดขืน แต่ปลายจมูกโด่งกลับฝังลงบนเรือนผมเหนือท้ายทอย สูดกลิ่นกลิ่นหอมจางๆจากความนุ่มนวลนั้น ริมฝีปากแตะไล่จากต้นคอมาจนถึงใบหูบาง
“อึ่ก..พี่เคน...” เหมือนอย่างทุกทีที่เข้าใกล้ เพียงลมหายใจร้อนเป่ารดที่ข้างหู จูนก็ยักไหล่หลบทุกครั้ง แต่ในวันนี้คงไม่มีทางหลบไปไหนได้พ้นเมื่อปลายนิ้วของเคนบังคับให้เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมาให้เขาช่วงชิงสัมผัสอุ่นจากริมฝีปากของจูน ประทับทุกความรู้สึกลงไปเหมือนที่ใจอยากทำมาโดยตลอด ในใจทีเคยมีคำถามว่าเพราะเหตุใด เพราะอะไรที่ทำให้ใจของเขาเรียกร้องหาแต่คนตรงหน้าในตอนนี้เหมือนจะหมดไป เพราะความนุ่มนวล เพราะความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมีนั่นเองที่ทำให้เขานึกเอ็นดู นึกรัก นึกปรารถนาในตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าได้มากขนาดนี้...แม้จะรู้ดี...แม้จะเข้าใจดีว่าการกระทำนั้นผิดก็ตามที
“ไม่...... “ มือของจูนข้างหนึ่งพยายามดันอกกว้างของเคนออก มืออีกข้างก็พยายามจะดึงมือแกร่งที่บังคับปลายคางของเขาออกแต่ก็ทำได้ยากเต็มทน ผืนทรายที่ยิ่งเหยียบยิ่งทรุดลงไม่ช่วยเป็นหลักในการยื้อตัวเองออกสักเท่าไร ริมฝีปากร้อนของเคนยังคงประทับลงมา อีกครั้งและอีกครั้งราวกับว่าไม่อยากให้เขามีอากาศได้หายใจเพิ่ม สัมผัสร้อนแรงที่ริมฝีปาก ปลายลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามากลับกระตุ้นทุกสัมผัสในร่างเสียจนกลบสัญชาตญานการเอาตัวรอดของจูนไปจนหมด และเสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่รัวในอกนั้นต่างหากที่ดูจะชนะทุกสิ่งในเวลานี้ การต่อต้านของเด็กหนุ่มหยุดลงเหลือเพียงการยอมจำนนปล่อยให้อีกฝ่ายลิ้มรสริมฝีปากของตนเองต่อไปโดยไม่มีการตอบโต้ใดๆ เด็กหนุ่มเพียงแค่หลับตาลง รับสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอีกฝ่าย....รอจนกว่าพายุอารมณ์ที่โหมเข้ามาของเคนจะสงบลง
สัมผัสที่หยุดนิ่ง ไม่มีแล้วซึ่งแรงขัดขืนแต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับ ทำให้คนที่กำลังเชยชมริมฝีปากสวยนั้นต้องหยุด ค่อยละริมฝีปากของตัวเองออกจากสัมผัสนุ่มเย้ายวน ดวงตาคมสบตามองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ
“.........จูน........? “
“พี่น่ะ ...... “ จูนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระคนกับเสียงหอบหายใจเบาๆ คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดมุ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากฉ่ำชื้นนั้นอย่างแรง จนเคนต้องยื่นมือไปคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้แต่ก็ถูกสะบัดออกและหากจะให้เรียกให้ถูกคงต้องบอกว่าถูกอีกฝ่ายผลักออกมาน่าจะดีกว่า
“พี่น่ะ....คิดถึงแต่ตัวเอง ใจตัวเอง ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่มาพูดมาทำกับผมแบบนี้ทั้งๆที่มีพี่นิดอยู่ คนแบบพี่น่ะ ใจร้าย...เห็นแก่ตัว” ยิ่งพูดยิ่งได้ยินเสียงสูดลมหายใจ ยิ่งพูดน้ำเสียงของจูนยิ่งสั่นเครือ ยิ่งพูดยิ่งเห็นได้ว่าในดวงหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยเจ็บปวดและความผิดหวังมากเพียงใด
“....แล้วจะให้ผมตอบรักคนแบบนี้ได้ยังไง”
[/b]
ได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยด้วยอารมณ์ที่เจ็บปวดแบบนั้น ความรู้สึกเจ็บปลาบวิ่งเสียดเข้าที่หัวใจของชายหนุ่มร่างสูง มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองผิด แต่เป็นเพราะรู้อยู่เต็มอก พยายามจะห้ามแล้วแต่ก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แล้วเขาควรจะทำอย่างไร
“ใช่ พี่รู้ พี่เห็นแก่ตัว แต่มันไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกของพี่มันไม่จริงนี!!” เคนยื่นมืออกไปอีกครั้งแต่คราวนี้จูนกลับไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องได้ง่ายๆ เด็กหนุ่มก้าวขยับถอยรวดเร็ว ไม่มีคำอื่นตอบกลับมานอกจากสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าบนดวงตาคู่นั้น จูนไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่หันหลังให้เขาแล้วเดินจากไปเท่านั้น
จูน....เฮ้ย เดี๋ยวสิ.....” ร่างสูงตั้งใจจะวิ่งตามไปแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาโยโทรศัพท์ทิ้งไปที่ไหนสักแห่งในความมืดนั้น จึงจำใจเดินกลับไปหาและทันทีที่ปลายนิ้วแตะกับตัวเครื่องได้ แสงจากหน้าจอก็สว่างวาบขึ้นที่หน้าจอ ตัวเครื่องทั้งสั่นทั้งร้องแผดเสียงลั่น จนเคนจำเป็นต้องกดรับ
“.....นิด ขอโทษตอนนี้พี่ไม่มีอารมณ์จะคุยด้วยจริงๆ! “ เคนกรอกเสียงลงไปตามสายโดยที่ไม่ได้ระวังน้ำเสียงของตัวเองเหมือนอย่างทุกที เพราะในตอนนี้เขาหงุดหงิด และคงจะหงุดหงิดแบบนี้ต่อไปจนเช้าวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง
“ไม่ใช่นิด.......”
เสียงทุ้มต่ำนั้นมีพลังมากพอที่จะเรียกให้สติของเคนที่กำลังจะแตกกระสานซ่านเซ็นออกทะเลไปกลับคืนมา เขาไม่มีทางที่จะลืมเสียงนั้นได้อยู่แล้ว มันเป็นเสียงของคุณสุชาติ โปรโมเตอร์และเจ้าของค่ายมวยชื่อดังระดับจังหวัดอย่างค่าย “อุดรพยัคฆ์” สุชาติเป็นชายสูงวัยรูปร่างใหญ่ ท่าทางดุและน่าเกรงขามที่ขึ้นชื่อทั้งในวงการมวยบนดินและวงการมวยใต้ดินว่ามีนักมวยฝีมือดีในสังกัดหลายต่อหลายคน และยังขึ้นชื่อเรื่องการจัดงานใหญ่ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตา และแมทซ์การแข่งขันที่มีเงินพนันจำนวนมากจากผู้ชมจากหลายๆวงการ
“พ่อ......”
..................................
เสียงถ่านในเตาปิ้งแตกดังเปรี้ยะเมื่อมันจากตัวกุ้งและหมูหยดลงไปด้านล่างในขณะที่กลิ่นหอมโชยขึ้นมาแตะจมูก ยุทธ์ค่อยๆผลิกกุ้งตัวโตกลับทีละตัวๆ ในขณะที่ใจของเขากำลังล่องลอยออกไปไกล ตั้งแต่เดินออกไปเพราะเสียงเอะอะที่ฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วก็พบแต่ถุงเบียร์และน้ำอัดลมวางกองอยู่ที่หน้าบ้าน แค่นั้นก็ทำให้เขาคิดอะไรไปไกลถึงเรื่องที่โชติพูดกับเขาก่อนหน้านี้ ...
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร..... ไม่ต้องมาดูก็ได้” เสียงโชติว่าพลางปัดมือของยุทธ์ออก เขาหน้ามืดล้มลงแทบจะทันทีหลังจากที่เลิกกอง โชคยังดีที่ยุทธ์อาสาอยู่ดูแลให้
“ไม่ดูได้ไงวะ...ก็เพื่อนป่วยนี่หว่า” ยุทธ์ยืยันก่อนจับสองไหล่ไร้เรี่ยวแรงของเพื่อนกดลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดจนถึงคอ แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะสายตาที่มองมาของคนป่วย สายตาที่เหมือนจะรู้ถึงเรื่องราวทุกอย่างราวกับใช้ญานทิพย์มองเห็นเหมือนอย่างทุกที
“มึงไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้นี่...มึงก็แค่ “รับผิดชอบ” เหมือนทุกที ....”
“โชติ...กู.....” ยุทธ์ลำบากใจกับท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“ไม่เอาน่า เลิกประชดกูสักที บอกมาว่าอยากให้กูทำอะไร...” ชายหนุ่มเท้ามือวางล้อมกรอบโชติเอาไว้
“จูบกูสิ...” โชติตอบกลับด้วยรอยยิ้มยียวน ทว่าในสายตาที่มองมานั้นยุทธ์รู้ดีกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความ “รับผิดชอบ” ของเขามาตั้งแต่เมื่อปีก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำให้โชติเป็น “แบบนี้” ก็ตามที ยุทธ์ถอนหายใจเบาๆอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงเล็กน้อยเพื่อแตะริมฝีปากกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ไม่รุนแรงหากแต่แนบแน่น ปลายลิ้นสอดกระหวัดชิมรสชาตจากริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เผยอรับอย่างเต็มใจเบาๆแล้วถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เขารู้ว่าโชติชอบให้ทำอย่างนี้เดาได้จากเสียงครางเครือเบาๆในลำคอ
“เอาอีกไหม....”ยุทธ์เอ่ยชนหน้าผากได้รูปของตัวเองกับหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเพื่อนที่ร้อนผะผ่าวรดอยู่บนใบหน้า
“ถ้ากูขอ แล้วมึงจะให้อีกรึไง...” มือเล็กของโชติยกขึ้นโอบคอของยุทธ์ลงมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดจะสัมผัสอีกฝ่ายแต่อย่างใด ราวกับรอดูว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะมีท่าทีอย่างไร แต่ยุทธ์ก็ไม่ได้ขยับหรือกระทำสิ่งอื่นใดต่อ มีเพียงดวงตากลมโตของยุทธ์ทที่มองมาอย่างเจ็บปวด...เหมือนทุกที
“ .....โชติ....” ยุทธ์เอ่ยพลางถอนหายใจ ขยับตัวไปนั่งที่ขอบเตียงไม่ได้หันกลับมามองหน้าของโชติเลยแม้แต่น้อย
“กูว่าเรา....เลิกทำแบบนี้กันเถอะ” น้ำเสียงนั้นแหบพร่า
“แบบไหนล่ะ “โชติหัวเราะออกมาเบาๆ ท่าทางจะหัวเราะกลบเกลื่อนความหวาดหวั่นในใจของตัวเองเสียมากกว่า
“กูจะเลิกมีเซ็กส์กับมึงทุกครั้งที่กูอยาก...ทุกครั้งที่มึงอยากแล้ว กูอยากให้เราเลิกมีอะไรกัน แบบนี้สักที กูว่ามันไม่แฟร์ “ยุทธ์หันกลับไปมองหน้าของอีกฝ่าย
“ที่กูมีอะไรกับมึงเมื่อปีทีแล้วเพราะกูเมา มึงเองก็ด้วย กูรู้ว่ามึงชอบกู กูเลยขอให้มึงยอม....กูขอโทษ”
ยุทธ์ก้มหัวให้กับอีกฝ่าย เพราะความมึนเมาโดยแท้ที่ทำให้เขาใช้ความรักที่โชติมีให้เป็นที่ระบายอารมณ์ของตัวเองในตอนนั้นด้วยความอยากรู้อยากลอง เขารู้สึกผิดต่อโชติ รู้สึกผิดมาโดยตลอดและนั่นกลายเป็นเหมือนสัญญาที่เขาต้องชดใช้ในส่วนความรักที่ไม่อาจมอบคืนให้กับโชติได้ ทุกอย่างมันควรจะเป็นเพียงแค่ชั่วครั้งคราวแต่...สำหรับโชติแล้วมันไม่ใช่ ความรู้สึกของเขายิ่งทำให้โชติอยากจะผูกมัดเขาไว้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ....
“เพราะมึงชอบจูนสินะ... “ โชติถามกลับด้วยเสียงแผ่วเบา มันไม่ใช่ว่าเขามองไม่เห็นว่ายุทธ์รู้สึกอย่างไรกับจูน หากแต่ชัดเจนจนทำให้กลัวว่าหากปล่อยมือของอีกฝ่ายไปแล้ว...จะไม่มีทางได้ยุทธ์กลับคืนมาอีก
“แปลกนะ...ทั้งๆที่ตอนแรกกูนึกว่ามึงบอกว่ามึงชอบผู้หญิงซะอีก คนแถวนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ อะไรๆก็จูน....” ถึงจะประชดประชันออกไปแบบนั้นแต่โชติเองก็เอ็นดูจูนอยู่ไม่น้อย รุ่นน้องของเขานิสัยดี เชื่อฟัง เข้าใจพูดจาและชื่นชมในผลงานของเขาในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนความจริงใจที่แสดงออกมานั้นยิ่งทำให้พอเข้าใจได้และสามารถตอบคำถามของตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ถ้ามึงรู้แบบนั้น เราก็ควรจะหยุดเสียที....” ยุทธ์เอ่ยเบาๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งออกมาเมื่ออยู่ๆคนที่คล้ายจะหมดเรี่ยวแรงก็ผุดลุกขยับเข้าประชิดตัวของเขาโดนไม่ปล่อยช่องว่างให้ทันได้ขยับหนี ดวงตาที่มักมองผ่านเลนส์กล้องมานั้นเป็นประกายสะท้อนกับแสงไฟภายในห้อง มืออีกข้างยึดมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้แน่น
“มึงนี่มันคิดอะไรเป็นเล่นๆได้ตลอดนะ ทั้งๆที่กูคอยเงียบไม่ให้ใครรู้เรื่องของมึงกับกูมาโดยตลอด ทั้งๆที่กูยอมจะรักมึงอยู่ข้างเดียวมาตลอด....เพราะกูคิดว่ามึงเป็นผู้ชายปกติมาตลอด แล้วนี่พอมึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่ามึงชอบจูนมันมึงก็ตัดสินใจจะหยุดเรื่องพวกนี้ จะไปง่ายๆ จะให้หยุดอย่างนั้นเหรอ!? ....”
“กูรู้ กูเข้าใจ แล้วก็รู้ด้วยว่ามึงรักกูมากขนาดที่ยอมกูได้ในวันนั้น...กูเห็นใจมึงนะ แต่กูไม่ได้รักมึงแบบนั้นโชติ” ยุทธ์ปฏิเสธแม้ในใจจะรู้ดีว่าในทุกครั้งที่กอดอีกฝ่ายเอาไว้มันไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่ได้รับความสุขจากร่างกายนี้ ....แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องของร่างกาย....เท่านั้น
โครม!!
ร่างของยุทธ์หล่นลงจากขอบเตียงเพราะแรงผลักจากสองมือของโชติ...อย่างน้อยเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นมือ และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“แล้วมึงมาทำให้กูขนาดนี้ทำไม....ห่าเอ้ย...”
“โชติ....... “ ยุทธ์เจ็บที่ตกลงมา แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไรนักที่อีกฝ่ายจะผลักเขาตกลงมาแบบนี้ เพราะสิ่งที่ทำลงไปมันแย่เสียยิ่งกว่าบังคับขืนใจอีกฝ่ายเสียอีก
....ที่ทำลงไปเพราะความสงสาร....
“กูจะไม่อวยพรอะไรให้มึงหรอกนะ...คนที่ทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นเพราะความสงสารน่ะ มันน่าสงสารเสียยิ่งกว่าอะไรเสียอีก...และมันคงไม่ง่ายนักหรอกที่มึงจะสมหวังนะ กูขอบอกมึงไว้เลย..... ” โชติชี้หน้าของเขาก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วหันหน้าไปอีกทาง ถึงจะไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็พอเข้าใจได้ท่ามกลางห้องที่เงียบสงัดนั่นว่าเขาควรจะออกไปจากห้องนอนนั้นเสีย
“กูจะลงไปเตรียมมื้อเย็นข้างล่าง มึงรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยตามลงไปละกัน”
..................................................
“หอมจัง....พี่ยุทธ์”
“.....จูน? ....กลับมาตั้งแต่เมื่อไร.... “ เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้พ่อครัวจำเป็นที่ยืนเหม่อยู่หน้าเตาถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ก็เมื่อกี้ล่ะ” จูนตอบในน้ำเสียงนั้นขึ้นจมูกเล็กๆ นัยน์ตาแดงก่ำ ยุทธ์วางที่คีบลงข้างเตาพลางเพื่อหันกลับไปมองหน้าของจูนได้อย่างถนัด
“แล้วนี่ไปไหนมา...พี่เดินไปหน้าบ้านเห็นแต่มอเตอร์ไซต์กับถุงเบียร์ถุงขนมวางอยู่ตรงหน้าประตู” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางหันมองซ้ายขวา
“ ...ไอ้เคนล่ะ มันหายไปไหน หอบซื้อเบียร์มาเยอะแยะขนาดนี้มันต้องรับผิดชอบด้วยนะ”
“....ช่างเขาเถอะ คนแบบนั้น”จูนพยายามเอ่ยให้ดูเหมือนว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ในอกหัวใจของเขายังเต้นรัวจนตัวเองยังรู้สึกกลัวว่ายุทธ์จะได้ยินหรือเปล่า
“ว่าแต่นี่สุกยัง ผมจะกินละนะหิวแล้ว...โอ้ย! ” เพราะอุตริหยิบกุ้งร้อนๆจากเตาจนต้องร้องออกมาปล่อยกุ้งตัวเขื่องลอยละลิ่วตกลงบนพื้นไปอย่างน่าเสียดาย “เฮ้ย กุ้งตก....” แต่ยังไม่วายที่จูนจะตามลงไปเก็บ
“เฮ้ย จูน....เดี๋ยวก็ลวกนิ้วอีกหรอก กุ้งมันตายแล้วมันไม่เจ็บหรอก” ยุทธ์คว้ามือของอีกฝายเอาไว้
“ก็...มันเสียดายนี่” เด็กหนุ่มทำปากยื่น
“รู้แล้ว แต่มีอีกตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ....” ท้ายเสียงของยุทธ์ขาดหาย เพราะเมื่อสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายดวงตาแดงก่ำ จมูกแดงและที่ข้างแก้มยังคล้ายมีรอยน้ำตา
.“นี่แก...... “ มือเรียวยกขึ้นแตะข้างแก้มของจูนเบาๆ
........ร้องไห้มาเหรอ....
“ควันเข้าตาเหรอ “ ทั้งๆที่อยากจะถามอีกคำถามนึงออกไป แต่ก็ทำได้แค่ถามเลี่ยงๆไปเท่านั้น
“อ่ะ เอ่อ...คงงั้นล่ะ ..” เด็กหนุ่มตอบพลางเบือนหน้าไปอีกทางแล้วยันตัวลุกขึ้น
“ก็ เอ่อ...ตรงนี้มันร้อน ควันก็เยอะ...พี่ว่าแกเข้าบ้านไปตามไอ้โชติ แล้วช่วยยกจานชาม มาได้ป่ะ” ท่าทางที่เหมือนจะหลบหน้านั้นยิ่งตอกย้ำว่าความคิดของยุทธ์ถูกต้อง ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็คงจะดีกว่าที่จะไม่ถามอะไรให้วุ่นวาย ยุทธ์ยืนมองจนอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในบ้าน ในใจรู้สึกปวดร้าวลึกๆ
“เฮ้อ........”
ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจยาว พลางเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าของตัวเอง พลางมองอาหารสดที่เตรียมไว้สำหรับปิ้งย่างต่อในคืนนี้ มันน่าเชื่อว่าเขาสามารถเตรียมของทุกอย่างนี่ได้ด้วยตัวเองทั้งๆที่ปกติแล้วเป็นคนไม่ถูกโฉลกกับการทำกับข้าวสักเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะคำพูดของโชติกับการหายไปของจูนและเคนก็ได้ที่ทำให้เขาอยากจะหนีทุกอย่างไปให้ไกลได้ถึงขนาดนั้น
....................................
คืนส่งท้ายวันปีใหม่ที่ใครต่อใครคงกำลังมีความสุข แต่บรรยากาศการทำบาร์บีคิวกันในสวนด้านหลังบ้านของทั้งสี่หนุ่มกลับไม่เป็นไปอย่างสนุกสนานเหมือนอย่างบ้านข้างเคียง แม้จะมีเสียงเพลงเปิดดังไม่แพ้กัน แต่คนในบ้านกลับฉลองกันแบบต่างคนต่างอยู่เสียมากกว่า
“เคร้ง!! ….”
เสียงกระป๋องเบียร์ลอยละลิ่วข้ามโต้ะไปตกลงในถังขยะที่ตั้งไว้ เคนหัวเราะเบาๆกับฝีมือของตัวเองก่อนคีบเนื้อย่างเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ย พอเขาเดินกลับมาถึงก็มีอาหารรออยู่ตรงหน้าด้วยความอารมณ์ขุ่นมัวหลังจากรับโทรศัพท์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับจูนระคนปนกับความหิวจึงคว้าทั้งเบียร์ทั้งเนื้อมาใส่เข้าปาก ดวงตาคมเหลือบมองจูนที่นั่งคุยกับยุทธ์อยู่อีกทาง
....นั่นไง พอมีคนอื่นอยู่หรือก็ยิ้มหน้าระรื่น....
....แต่ก็บอกว่าตัวเองแสดงไม่เก่ง....
แสงไฟสะท้อนกับเบียร์ในแก้วที่กำลังจะหมดของจูน ทั้งๆทีดื่มไม่ค่อยได้ และเขาเองก็รู้ตัวดีแต่วันนี้อยากจะดื่มเข้าไปให้เยอะ ถ้าเมาและหลับไปได้เสียคงไม่ต้องมารู้สึกขุ่นข้องอะไรกับความรักที่หนักอึ้งที่ใครบางคนพยายามจะหยิบยื่นให้โดยที่เขายังไม้พร้อมหรือเต็มใจที่จะรับมันเอาไว้ ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“วันนี้ตอนเย็น...ไปซื้อของกันกลับมาแล้วแกกับไอ้เคนออกไปไหนกันอีกเหรอ พี่ลงมาก็เห็นของวางอยู่หน้าบ้าน” ยุทธ์เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางของจูนมีบางอย่างกำลังกวนใจคนตรงหน้าอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“อ่ะ...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ ไปเดินดูทะเล....นิดหน่อย” จูนเอ่ยเบียงสายตาลงจับที่ขอบแก้วใส
“เหรอ...ดูแกไม่ค่อยสบายใจนะ กินซะขนาดนี้...มีอะไรรึเปล่า” มือของยุทธ์วางลงบนบ่าของเด็กหนุ่มเบาๆ แต่
จูนกลับเม้มริมฝีปากแน่นแล้วส่ายหน้ารัวๆ ราวกับไม่อยากจะพูดหรือนึกถึง
“..............เฮ้อ........ ปากแข็งจังนะ”ยุทธ์ถอนหายใจยาว หัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ ไม่ใช่เพราะรู้สึกขบขันกับท่าทีของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขานึกขันตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆที่คนที่รู้สึกห่วงใยกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่จรงหน้าแท้ๆ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และไม้ว่าจะรู้สึกห่วงมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจจะแสดงออกไปมากกว่านี้ได้ถ้าอีกฝ่ายยังไม่เปิดปากพูด และถ้าอีกฝ่ายยังไม่เปิดปากพูด.....ความรู้สึกของเขาก็คงไม่อาจส่งออกไปได้เฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาซึ่งนั่นทำให้รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยเลยทีเดียว
“พี่แค่..... กินเหล้ากับผมก็พอ” เสียงแหบพร่าของเด็กหนุ่เอ่ยขึ้นเบาๆพร้อมกับแก้วเบียร์ที่กระทบกับแก้วเบียร์ของยุทธ์เบาๆ รอยยิ้มที่มอบให้ แม้จะดูฝืนแต่คงดีกว่าการจินตนาการว่าจูนกำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าเป็นแน่...ยุทธ์ไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้ว
............................. to be continued
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:katai5: :katai5:
-
ทำไมเรื่องนี้มันมีแต่คนเลวๆมาหลงรักจูนกันจัง ไม่น่าดีใจเลยนะถ้าเจอแบบสองคนนี้เข้าหา
มีแต่พวกเห็นแก่ตัว ไม่น่าเชียร์เลยซักคน หาใหม่เถอะ หรือไม่ก็อยู่เป็นโสดไปเลยดีกว่านะ
มีแฟนแล้วเจอแต่พวกไม่ดีอย่ามีมันเลยซะจะดีกว่า เป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่จิ้นไม่ฟินให้คู่ใครเลย
อยากให้จูนอยู่คนเดียว โสดแบบสวยๆไปเลยจะดีกว่า
-
โห ไม่เห็นเรื่องนี้ไปได้ยังไง .... เพิ่งมาอ่าน ชอบค่ะ
แต่ที่ไม่ชอบมาก คือ เคน ตกลงคือแกเห็นแก่ตัวไปนะ
ไม่ใช่ซื่อ หรือโง่ แต่เห็นแก่ตัวมากอ่ะ รอตอนต่อไปนะ
-
:katai4: คืออิพี่เคนมันเห็นแก่ตัวที่สู๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
แต่ประเด็นหนึ่งที่เข้ามาแล้ว"แรงงงงงงงงงง"เนี่ย คงเป็นยุทธ์กับโชติ :ling3:
ความจริงเปิดเผย!
จริงอยู่ที่พี่เคนเลว(อัพเวลให้) เพราะชอบโดยที่มียัยนิดอะไรนั้นด้วย(ซึ่งไม่รู้ได้เสียกันรึยัง?)
แต่คุณพี่ยุทธ์! คุณพี่ช่างกล้าทำแบบนี้กับโชติตัวน่อยตัวนิดของเดี๊ยนนนนนนน :katai1:
ทำไมทำแบบนี้ละคะ TT^TT เดี๊ยนมองพี่เป็นคนดีมาตลอด แต่ทำกับพี่โชติแบบนี้
แล้วดันมาชอบน้องจูนของเดี๊ยนอีก คืออะไรรรรรรร :mew4:
แล้วทิ้งโชติไว้ข้างหลังน่ะเหรอ? ทำแบบนี้เกินไปแล้ว
ยุติความสัมพันธ์แบบนี้งั้นเหรอ? ถ้าไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ก็ไม่ควรทำตามคำขอร้องของโชติแต่แรก
ใจร้ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :ling1:
-
ความรักไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆน่ะแหละ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่พร้อมก็ไม่น่าดึงใครมาเจ็บกับเรา
-
@@@ talk @@@
อัพรับวันหยุดยาว
พังทลาย 1/2
“เราเลิกทำแบบนี้กันเถอะ”
เสียงของยุทธ์ยังคงดังอยู่ในหัว ถึงจะเอ่ยปากไล่แต่สุดท้ายแล้วก็มีแต่ตัวเองที่เจ็บ จะไปโทษยุทธ์ตั้งแต่แรกคงไม่ได้ มันผิดที่เขาเองที่ไม่หักห้ามใจ รู้ทั้รู้แท้ๆว่าในตอนนั้นที่เขากับยุทธ์มีอะไรกันครั้งแรกนั้นเป็นเพราะยุทธ์เมา มนุษย์ปากเสียแบบนั้นก็คงพูดทีเล่นทีจริงเพราะความเมานั่นเอง เขายังจำได้อยู่เลยว่าคืนนั้นยุทธ์เมามากแค่ไหน พูดจาอ้อแอ้แทบจะไม่เป็นคำอยู่แล้ว แต่สายตานั้นก็ดูฉ่ำชื้นดูเย้ายวนใจอย่างประหลาด เพียงเพราะสัมผัสจากปลายมือร้อนจัดนั้นแต่ที่แขนของเขา พร้อมกับพูดว่า
"ถ้านี้มึงเป็นเกย์นะ กูจะทำให้มึงเป็นคนแรกเอง"
เขารู้ดีว่านั่นเป็นคำพูดของเพื่อน ที่มีให้กับเพื่อน เป็นคำพูดล้อเล่นที่มีให้กันเหมือนทุกทีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวินาทีที่ยุทธ์เอ่ยคำนั้นออกมาเขาก็แทบจะยอมทุกอย่างให้กับอีกฝ่ายแล้ว
ค่ำคืนเร่าร้อน หากแต่เป็นไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น โชติไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้จินตนาการไปถึงตอนที่ยุทธ์สร่างเมาได้ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ยอมให้เขาข่มตานอน เขาขืนตัวเองให้นั่งมองคนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆเอาไว้จนรุ่งเช้าด้วยกลัวว่ายุทธ์จะตื่นขึ้นมาแล้วตกใจกับสิ่งทีทำลงไปจนต้องรีบเก็บผ้าผ่อนหนีไป..แต่ยุทธ์ก็ไม่หนี ตรงกันข้ามกลับจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีและก้มหัวขอโทษเขาหลายต่อหลายรอบ
"กูสัญญาว่ากูจะชดใช้ให้มึง ไม่ว่ามึงจะพูดอะไร....ขอแค่บอกกูจะทำให้"
ยุทธ์พูดแบบนั้นอย่างพลางบีบมือของเขาเอาไว้สองไหล่สั่นระริก นั่นเป็นไม่กี่ครั้งที่เขาเห็นยุทธ์ดูสับสนและอ่อนแอแบบนั้น พวกเขากอดกันและกันเอาไว้ โชติไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เขาจะขอให้ยุทธ์ทำให้จะเป็นเรื่องอะไร เพียงในตอนนั้นเขาแค่อยากให้ยุทธ์หยุดตกใจจึงตอบไปสั้นๆว่าแล้วจะบอก โดยไม่คิดว่า มันจะกลายเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวที่สุดเท่าที่เคยทำมา
เขาขอให้ยุทธ์นอนด้วยทุกครั้งที่เขาต้องการ
และเขาขอให้ยุทธ์มาหาเขาทุกครั้งที่ยุทธ์ต้องการเช่นกัน
เขาเป็นคนใช้ประโยชน์จากร่างกายของยุทธ์ เช่นเดียวกัน ยุทธ์ก็ใช้ประโยชน์จากร่างกายของเขา พวกเขาเรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จากกันและกันอย่างไม่มีใครเกรงใจใคร เขาต้องการความรัก ที่ยุทธ์ไม่เคยมีให้และยุทธ์เองก็ต้องการเพียงมิตรภาพและความผูกพันธ์ทางกายที่ไม่ผูกมัด...
เพราะเหตุนั้นยุทธ์ถึงมีสีหน้าอึดอัดใจทุกเวลาที่อยู่กับเขา และเมื่อหงุดหงิดเข้ามากๆก็ทำร้ายเขาด้วยคำพูด แน่นอนว่าเขาเองก็ตอบโต้ เพราะมันชดใช้กันได้ไม่หมด ไม่จบไม่สิ้นและคงไม่มีคำว่าพอ และเขาก็คิดมาตลอดว่าตราบใดที่ยุทธ์ยังไม่มีใคร ยุทธ์คือของๆเขาคนเดียว จนถึงตอนนี้.....ที่ยุทธ์ตั้งใจจะ "ไป" จากเขาจริงๆ มันจบลงแล้ว....คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“โชติ...สรุปมึงจะกินไหมเนื้อนั่นน่ะ ถ้าไม่กินกูขอ” เสียงทุ้มของเคนดังขึ้นดึงให้โชติกลับคืนสู่ความเป็นจริง เสียงเพลงที่เปิดยังดังอยู่เช่นเดียวกับเนื้อย่างที่ยังอยู่บนจานกระดาษกับเคนที่ดูจะหงุดหงิดมากจนเอาทกอารมณ์ไปลงกับของกินและเบียร์ที่อยู่รอบตัว
“เออ จะกินก็กินไปสิ แล้วมึงเป็นห่าอะไร แดกเอาแดกเอา ....พรุ่งนี้ยังมีถ่ายอีกนะเว้ย”
“ก็ไม่มีอะไร ....แค่หงุดหงิดนิดหน่อย...” เคนเบะปากพลางยกเบียร์ขึ้นดื่มไม่ได้ใส่ใจที่โชติเตือนนักปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่เมาง่ายๆอยู่แล้วกินแค่นี้ ไม่ถือว่าหนักหนาอะไรนัก
“แล้วไอ้ที่หงุดหงิด...มันเรื่องอะไร เรื่องไอ้จูน?” โชติทายถามได้แม่นอย่างกับตาเห็น ทำเอาคนถูกถามถึงกับสำลักออกมา
“.....แค่ก....แค่ก.....ห่า พูดเรื่องอะไร”
“เรื่องที่มึงกับกูก็รู้ๆกันอยู่....เห็นนะที่ทำตอนถ่ายน่ะแบบนั้นเรียกอารมณ์ล้วนๆ ไม่ใช่การแสดง”
ได้ฟังคำตอบแบบนั้นเคนต้องเสตามองไปทางอื่น มือไม้เริ่มไม่รู้จะวางตรงไหนในเมื่อโชติพูดไม่ผิดไปจากความจริงที่เกิดขึ้นเลย
“อ่ะ...เออ...กูก็พิสูจน์ให้มึงเห็นแล้วไงว่ากูจำบทได้ดี แล้วก็ไม่ได้เล่นแข็งเป็นท่อนไม้ด้วย” เคนหัวเราะเสียงขึ้นจมูกน้อยๆก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มอีก...
“ก็ดี...เล่นให้ได้แบบนี้ไปเรื่อยๆก็แล้วกัน” โชติตบบ่าของเพื่อนเบาๆ ในใจนึกตื่นเต้นนักว่าจะมีใครเต้นผางๆจากบทบาทของจูนและเคนหรือไม่...บางทีคำตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“ก็ถ้าอีกคนเขายังเล่นด้วยอ่ะนะ...” เคนมองหันมองข้ามไหล่ของตัวเองไปยังคนที่กำลังเก็บขยะลงใส่ถุงดำ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินโซเซกลับเข้าไปในบ้าน ในใจยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่ยังคงเสียดแทงเข้ามาข้างในอก...มันติดค้างอยู่ข้างใน... มีคำพูดอีกหลายคำเหลือเกินที่อยากจะพูดกับอีกฝ่าย
“เดี๋ยวกูมา...” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆแล้วผุดลุกขึ้นทันควัน
“ไปไหนอ่ะ.....”
“ไปขี้....” เคนหันมาขมวดคิ้วใส่โชติก่อนจะสาวเท้าเร็วๆเดินเข้าบ้านไปด้วยท่าทีเหมือนจะไปทำธุระอย่างที่อ้างจริงๆ
.................................................
เสียงโทรทัศน์ในห้องรับแขกนั้นเปิดดังพอจะแข่งกับเสียงเพลงที่อยู่ด้านนอก จูนได้ยินเสียงจากผู้ประกาศข่าวที่รายงานสถานการณ์สดจากสถานที่เค้าท์ดวน์ทั่วประเทศไปว่าใกล้จะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปีใหม่ เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเปิดประตูตู้เย็น ไอเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้าที่ร้อนผ่าวเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆก่อนจะคว้าขวดน้ำเปล่าที่แช่จนเย็นเฉียบอยู่ด้านในขึ้นมาแตะที่ข้างลำคอ
“เฮ้อ........”
ความเย็นช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะยกขวดน้ำนั้นขึ้นดื่มลงไปอึกใหญ่ ความเย็นของน้ำที่ไหลผ่านลำคอลงไปนั้นพอจะช่วยให้ในหัวที่กำลังมึนงงนั้นรับรู้สิ่งรอบๆตัวได้ดีขึ้นบ้าง เด็กหนุ่มก้าวช้าๆไปที่โซฟาสีเขียวตัวใหญ่กลางห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตารีเรียวเหลือบไปมองบรรยากาศคึกคักในทีวี นึกสงสัยในใจว่าทำไมหนอความคึกคักนั้นถึงไม่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้บ้าง ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด....ทุกอย่างรอบตัวของเขาเหมือนถูกครอบงำด้วยความสับสน และตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มดึงโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้สนใจมาพักใหญ่ขึ้นมาเปิดเช็คข้อความต่างๆในสังคมออนไลน์ บางภาพเป็นภาพของเพื่อนสนิทที่กำลังปาร์ตี้กันอย่างสุดเหวี่ยงในคืนสิ้นปี บางภาพเป็นภาพของญาติที่กำลังทำความสะอาดบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับวันใหม่ เห็นแบบนั้นก็อดคิดถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้ เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ป่านนี้หรือคุณแม่ของเขาคงเข้านอนไปแล้วเป็นแน่
“....พรุ่งนี้ค่อยโทรไปสวัสดีปีใหม่ทีเดียวก็แล้วกัน...” จูนถอนหายใจออกมาเบาๆ
สองมือยกขึ้นก่ายหน้าผากก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อยู่ๆความง่วงงุนก็แทรกเข้ามาครอบงำร่างทั้งร่างกาย แต่ในขณะที่คล้ายจะล่องลอยไปสู่ห้วงแห่งความฝัน แรงสั่นสะเทือนเบาๆในฝ่ามือและเสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงลั่นก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริง เด็กหนุ่มผวาเฮือกลุกขึ้นมามองดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ต้องเบิกตากว้าง
.... พี่นิด .....
ในหัวยังไม่มีเสียงสวรรค์มาให้คำตอบว่าควรจะทำอย่างไรดี เขาแลกเบอร์กับนิดไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แต่เพราะไม่มีธระอะไรจะต้องคุยด้วยกันนักเลยไม่คิดจะกดเบอร์ไปโทรหาแล้วอยู่ๆนิดจะอยากโทรหาเขาขึ้นมานั้นเป็นเพราะเหตุใดกันนั้นจูนเองก็ออกจะสับสนอยู่ไม่น้อย ทันใดก็เห็นร่างสูงของใครบางคนเดินพรวดพราดเข้ามาจากทางหลังบ้าน ในวินาทีนั้นจูนไม่แน่ใจนักว่าในหัวใจของเขากำลังรู้สึกอย่างไร ที่แน่ๆอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่อารมณ์ในทางบวกอย่างที่อยากจะรู้สึกเป็นแน่ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปยังอีกฝ่ายทันที
“พี่เคน! โทรศัพท์”
ไม่พูดเปล่าสมาร์ทโฟนราคาแพงลอยละลิ่วจากปลายนิ้วของเด็กหนุ่มด้วยความเร็วไม่น้อย หากเป็นคนอื่นคงกระโดดหลบหรือทำโทรศัพท์ตกไปแล้วแต่เพราะจูนรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงจงใจโยนโทรศัพท์ให้และเคนก็รับได้อย่างไม่มีพลาด
“หะ....อะไร.....”
“โทรศัพท์ พี่นิดโทรมา....” พูดเสร็จก่อนทำท่าจะเลี้ยวขึ้นบันไดไปที่ชั้นบนของบ้าน แต่กลับเจอมือใหญ่ของเคนดึงเอาไว้ ท่าทางของคนที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจการกระทำของเขาสักเท่าไร
“พี่นิดโทรมา...รับโทรศัพท์ซะ ผมเมาแล้วจะขึ้นไปอาบน้ำข้างบน” จูนตอบเพราะอยากจะตัดปัญหานี้ออกไปให้พ้นตัวเสียทีร่างสูงโปร่งดึงมือของตัวเองออกก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปด้านบน
“เฮ้ย จูน! เดี๋ยวสิ! นี่มันอะไรกัน” ด้วยความไม่เข้าใจร่างสูงใหญ่ของเคนนรีบเดินตามขึ้นไปด้านบนทั้งๆที่โทรศัพท์ยังร้องดังอยู่ในมือ จูนเดินเข้าห้องพักไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เร็วพอที่จะปิดประตูไว้เบื้องหลังเพราะเคนได้ดันร่างใหญ่ของตัวเองเข้ามาข้างในห้องเสียแล้ว บานประตูห้องนอนปิดดังปังด้วยอารมณ์ของคนที่เดินตามหลังเข้ามา
“นี่มันอะไร!” เคนถามเสียงดังพลางยื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้กับจูนทั้งๆที่ยังไม่ได้รับอยู่แบบนั้น
“โทรศัพท์ แฟนของพี่โทรมา...ผมเดาว่าคงเป็นเรื่องพี่ ก็เลยคิดว่าพี่ควรจะรับ” จูนตอบทั้งๆที่ไม่ได้หันหน้าไปมองหน้าของเคนเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อนอนมาทำท่าเหมือนจะอาบน้ำอย่างที่ว่า ไม่ได้สนใจท่าทางของเคนเลยแม้แต่น้อย
“............... “ เคนกัดฟันกรอด
“หันมามองหน้ากันสิ อยากให้พี่ทำอะไร..... ก็บอกกันมาตรงๆ “ ร่างสูงเดินเข้าไปดึงไหล่ของเด็กหนุ่มให้หันกลับมามองหน้า
“ก็บอกแล้วไง ว่าให้รับโทรศัพท์ ถ้าพี่ไม่รับล่ะผมจะรับให้พี่เอง! จะได้คุยกับแฟนให้หายคิดถึง ให้หายบ้าไง” จูนว่าพลางเดินเข้าไปแย่งโทรศัพท์จากมือของเคนมากดรับสายทันที
“ครับ?”
“จูนเหรอคะ พี่นิดเองนะคะ”
เสียงหวานดังขึ้นที่ข้างหูทำเอาจูนรู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัว มันเป็นเสียงที่หวานหากแต่สดใสที่พอได้ยินแล้วทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ....พี่นิด มีอะไรรึเปล่าครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพยายามตะปรับโทนเสียงให้เป็นปรกติที่สุด
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พอดีพี่โทรหาพี่เคนแล้วไม่รับเลย นี่ไม่รู้ไปซุ่มซ่ามลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไหนหรือเปล่า จูนเห็นพี่เคนไหมคะ ขอพี่คุยกับพี่เคนหน่อยได้ไหม”
คำถามนั้นทำให้จูนรู้สึกอึดอัดจนอยากจะวางสาย แต่ก็รู้ดีว่านิดไม่ได้มารับรู้เรื่องราวชวนหนักอกอะไรกับเขาด้วย
“สักครู่นะครับ...ผมว่าผมเจอเจ้าตัวแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า
“พี่เคน ....โทรศัพท์” จูนย้ำ
“...............”
เคนมองหน้าของจูนนิ่งเด็กหนุ่มกำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกอารมณ์ที่ขุ่นมัว อันที่จริงเขาเดินตามจูนเข้ามาเพราะอยากจะขอโทษที่จูบจูนไปที่ชายหาด ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้แต่ก็อยากจะทำให้อีกฝ่ายเลิกมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเขาฉวยโทรศัพท์มาจากมือของเด็กหนุ่ม
“...แกอยู่นี่...อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ....” เคนเอ่ยเบาๆด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจนยากจะคาดเดาอารมณ์
ร่างสูงรับโทรศัพท์แต่ก่อนที่จูนจะได้หันหน้าหนีไปไหนอีกมืออีกข้างของเคนก็ยึดข้อแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ ในขณะที่ลดโทรศัพท์ลงแล้วกดเปิดเสียงลำโพง
“ครับ....นิด” เคนกรอกเสียงลงไปทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่ม
“พี่เคนคะ นี่ทำไมไม่รับโทรศัพท์นิดคะ นี่นิดโทรหาตั้งหลายรอบเลยนะ นี่ไปซุ่มซ่ามลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไหนหรือเปล่าคะเนี่ย”
“พอดีโทรศัพท์มันตกแถวชายหาดน่ะ....” เคนกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า
“นั่นไง ว่าแล้วเชียวพี่เคนก็แบบนี้ทุกทีเลย นี่คงไม่ได้กำลังฉลองกับที่ชมรมอยู่ใช่ไหมคะ ได้ยินเสียงเพลงด้วย อย่าดื่มให้มากนะคะ แล้วอย่าให้รู้นะว่ามีสาวๆคนไหนไปด้วย ไม่งั้นนิดเอาเรื่องแน่ รู้แล้ว...เดี๋ยวนิดจะบอกจูนให้คอยเช็คพี่อย่างดีเลยคอยดู”
น้ำเสียงของหญิงสาวที่เอ่ยออกมานั้นจริงจังอยู่ไม่น้อยจนทำให้คนที่ถูกเอ่ยถึงต้องถลึงตามองหน้าของเคน เป็นเชิงว่าให้ปล่อยมือของเขาเดี๋ยวนี้ แต่เคนก็ยังยึดแขนของจูนเอาไว้ในตอนนี้เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของนิดที่พยายามจะเล่าเหตุการณ์ปาร์ตี้ที่เธอกำลังไปกับเพื่อนให้เคนฟัง มันน่าขันที่ในขณะที่เธอกำลังบอกเขาว่าอย่าดื่มให้มากเธอเองก็กำลังออกไปฉลองปีใหม่กับเพื่อน บอกได้จากเสียงเพลงที่ดังเบาๆจากในลำโพงนี่คงหลบเข้ามาโทรในห้องน้ำหรืออะไรแบบนั้น และมันน่าขัน...น่าขันเสียจนน่าหงุดหงิด
“นิด.... ฟังพี่นะ เราก็คบกันมาพักนึงแล้ว พี่ว่าเราน่าจะเลิก.....”
เคนค่อยๆเอ่ยออกมาทีละคำจนคำสุดท้ายดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าของจูน เด็กหนุ่มดูตกใจกับประโยคที่ได้ยิน มือเรียวข้างที่ว่างยกขึ้นปิดปากของเคนทันควัน ใบหน้าได้รูปนั้นขยับประชิดจนแทบจะติดกับหน้าของร่างสูง
“พี่จะพูดอะไรน่ะ!” เสียงกระซิบลอดไรฟันออกมา ดวงตารีเรียวที่มองมานั้นจ้องราวกับจะคาดคั้น
“จะพูดในสิ่งที่จะทำให้แกยอมฟังพี่ซักทีไง” เคนตอบและทำให้จูนรู้ได้ว่าสิ่งที่เคนหมายถึงนั้นคืออะไร
....คิดจะบอกเลิกพี่นิดอย่างนั้นเหรอ....
“อย่า......แม้แต่จะคิด ถ้าพี่พูดออกมาล่ะก็ ผมไม่เอาพี่ไว้แน่” คราวนี้เป็นจูนเองที่กัดฟันกรอด คนตรงหน้าคิดจะทำอะไร บอกเลิกกับหญิงสาวทางสายโทรศัพท์อย่างนั้นหรือ ในหัวอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมถึงเลือกวิธีการนี้...ทำไมถึงต้องดิ้นรนขนาดนี้
“มันเรื่องของพี่.....” เคนตอบมือแกร่งข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่ดันอกของเด็กหนุ่มให้ถอยออกไป ได้ยินเสียงของนิดถาม
‘ฮัลโหล ฮัลโหล’ ดังออกมาจากลำโพง เคนมองหน้าของจูนนิ่ง หัวใจเหมือนจะแตกไปเป็นรอบที่เท่าไรของคืนนี้เพราะคำว่า “อย่า แม้แต่จะคิด” ของอีกฝ่ายมันบอกอะไรหลายอย่างให้กับเขาเหมือนกัน
“ครับนิด ...” ชายหนุ่มหันกลับไปกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อีกครั้ง
“เมื่อกี้พี่เคนจะพูดว่าอะไรนะคะ”
“เปล่าครับ พี่แค่จะบอกว่านิดไว้ใจพี่ได้เสมอ พี่ไม่มีผู้หญิงคนอื่นหรอก อีกอย่าง....ไอ้จูน...มันก็ดูพี่แทนนิดอย่างดีเลย นี่จะทำตัวเป็นแม่พี่อีกคนแล้ว” เคนยังกล่าวติดตลกตรงกันข้ามกับคนที่ยืนฟังอยู่ตรงหน้าที่ดูไม่มีท่าอยากจะขำด้วย
“ฮ่ะๆ...พี่เคนก็ไปว่าน้อง...”
“เดี๋ยวจะเค้าท์ดาวน์แล้ว นิดคงอยากไปเค้าท์ดาวน์กับเพื่อน...พี่ไม่กวนนิดดีกว่า”เคนเอ่ย “สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะครับ ขับรถกลับหอดีๆล่ะ” ชายหนุ่มบอกลาหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูจนคนที่ยืนฟังอยู่ยังต้องเบือนหน้าหนี
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ สวัสดีปีใหม่เหมือนกันค่ะพี่เคน...”
สิ้นเสียงหวานของหญิงสาวร่างเล็ก ลำโพงของโทรศัพท์ก็ไม่ได้เปล่งเสียงใดๆออกมาอีกทิ้งให้ในห้องมีเพียงแค่ความเงียบและเสียงลมหายใจแผ่วๆจากร่างของเด็กหนุ่มร่างสูง
“ทีนี้....พี่พอจะทำให้แกพอใจได้หรือยัง”
เคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอารมณ์แล้วโยนโทรศัพท์มือถือของจูนไปบนเตียงที่อยู่ข้างๆ
“พี่คิดจะทำอะไรกันแน่....” จูนมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ใบหน้าของเด็กหนุ่มร้อนผะผ่าว
“พี่ว่าจะบอกเลิกนิด....” เคนเองก็ไม่ได้หลบสายตา
“พี่จะบอกเลิกพี่นิดทำไม...” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเข้าไปกระชากทั้งสองไหล่ของร่างสูงเอาไว้
“พี่ผิดนิดตรงไหน ทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่องล่ะ ทำไมพี่จะต้องบอกเลิกพี่นิดด้วย” จูนเขย่าไหล่ของเคนราวกับอยากจะให้เคนรู้สึกตัวเสียทีหากที่เขาเห็นทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่การทำไปโดยไม่ได้คิดเหมือนทุกครั้ง
“...............” เคนสบตาของเด็กหนุ่มนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
....ตอบไปอีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจ....
....เพราะมันไม่เคยมีความสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ใดๆ....
“ใช่...นิดไม่ผิด...พี่นี่ล่ะผิด ผิดที่พี่ไปหลงรักคนอื่นแล้ว...และพี่ไม่อยากรักและตกหลุมรักคนสองคนพร้อมๆกัน” เคนตอบสบดวงตารีเรียวที่เต็มไปด้วยความสับสนนั่น ริมฝีปากหยักเป็นรอยยิ้มเศร้าพลางยกหลังมือแตะที่ข้างแก้มของเด็กหนุ่ม
“พี่ตัดสินใจแล้ว….”
“ไม่....ไม่ได้...พี่ไม่ได้เกย์ และผมก็ไม่ใช่เกย์ ....”จูนเอ่ยด้วยเสียงสั่นเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา
“แล้วมันสำคัญนักหรือไงว่าอีกคนจะต้องเป็นเพศอะไร!” คราวนี้เป็นฝ่ายของเคนที่จับไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้บ้าง มือแกร่งบีบลงบนเนื้อของเด็กหนุ่มด้วยแรงที่หากเป็นนิดคงร้องไห้ออกมาแล้ว แต่กับจูนนั้นไม่ใช่...
“พี่บอกแกแล้วว่าความรู้สึกของพี่มันจริง พี่อาจจะทำอะไรช้า เพราะมัวแต่กลัว...กลัวว่าถ้าปล่อยมือจากนิดแล้วพี่จะผิดหวัง แต่ตอนนี้พี่ไม่กลัวแล้ว.....เพราะพี่รู้สึกว่าแกหักอกพี่ได้ทุกๆห้านาทีในหนึ่งวัน....แต่ถึงแบบนั้นพี่ก็ยังยอมรับความรู้สึกของตัวเอง แล้วแกล่ะจูน....แกคิดอะไร”
“............................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนัก มันน่าตกใจที่เคนจะสามารถตัดสินใจและพูดความรู้สึกออกมาได้ตรงแบบนั้น มันตรงเสียจนน่ากลัว เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“.....ผมไม่ได้รักพี่” เสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจะไมได้ยิน หัวใจที่เต้นอยู่ในอกของจูนบีบตัวแรงเสียจนรู้สึกเจ็บ
“............................นั่นแกพูดจริงเหรอ” แรงจากมือแกร่งที่บีบลงบนไหล่ทั้งสองข้างนั้นเพิ่มมากขึ้นโดยที่เคนเองก็ไม่รู้ตัว
“ใช่” คำตอบสั้นๆพร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างขุ่นเคืองนั้นคล้ายจะตอกย้ำในคำตอบนั้นได้เป็นอย่างดี
“พี่ถามว่าแกคิดอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม” เคนขบกรามแน่นก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกำลังคำรามอยู่ในลำคอ
“ใช่ .... พี่มันใจร้าย เห็นแก่ตัว ดีแต่หาเรื่องให้คนอื่นเขาไปวันๆ ทำให้คนอื่นเขาสับสน เจ็บปวด มีอะไรดีบ้างไหม มีอะไรให้ผมต้องรู้สึกรักพี่บ้าง...เข้าใจไหม ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เลย!” คำพูดมากมายพรั่งพรูมออกมาริมฝีปากของเด็กหนุ่ม สิ่งที่จูนพูดนั้นคล้ายจะย้ำเตือนความคิดบางอย่างของตัวเองมากกว่า เด็กหนุ่มรุ่นน้องดึงตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
ก่อนก้าวเท้ายาวๆ ไปทางห้องน้ำ รู้แน่ว่าตอนนี้เขาไม่อยากจะอยู่เห็นหน้าของเคนอีก ร่างสูงโปร่งหมายจะเดินเข้าไปขอหลบคิดอะไรบางอย่างในห้องน้ำแต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงผลักจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มเซถลาไปด้านหน้าแต่โชคยังดีที่ยันตัวเองกับเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าหินอ่อน
“โอ้ย....เจ็บนะเว้ย เล่นอะไรวะ” จูนหันกลับไปต่อว่าอีกฝ่ายทันควัน แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆร่างสูงก็เข้ามาประชิดตัว เท้าแขนล้อมกรอบเขาเอาไว้กับพื้นผิวเย็นเฉียบของเคาท์เตอร์
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย....” ซุ่มเสียงที่ถามกลับมานั้นเย็นเยียบ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์บนใบหน้าของเคนแดงก่ำในแบบที่ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายดื่มเข้าไปเยอะหรือเป็นเพราะอารมณ์ที่มันปั่นป่วนอย่ข้างในกันแน่
“ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว...ยั่วคนอื่นเขาให้คิดเตลิดไปถึงไหนต่อไหน”
“......ยั่ว?.....พี่พูดเรื่องอะไร”
“พี่ถามว่าแล้วใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว! ปากบอกไม่ได้ชอบ ไม่ได้รู้สึกดีด้วย แต่พอกอดจูบ ก็ยอมให้กอดให้จูบอยู่แบบนั้น”
ในหัวของเคนตอนนี้มีเพียงภาพของช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ช่วงเวลาที่เขาดูเหมือนว่าเขาจะคิดไปเองฝ่ายเดียวว่าอีกฝ่ายคงยอมรับการกระทำของเขาบ้าง จูนคงไม่รู้กระมังว่าทุกการกระทำนั้นมันทำให้เขาดีใจแค่ไหน และเมื่อตอนนี้ที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วเคนกลับรู้สึกว่าตัวเองโง่งมอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งรู้ว่าเป็นเขาที่ผิดเองแต่อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายหลอกเช่นกัน
“ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวเกินจะยอมรับว่ารู้สึกดี แต่ก็ยังยอมให้ทำ แบบนี้มันไม่เรียกว่ายั่วกันจะให้เรียกว่าอะไรได้”
“ผมไม่ได้ยั่วใคร.......เรื่องคืนนั่น.....ผมก็แค่ปลอบพี่ มันก็แค่ปฏิกิริยาของร่างกาย....พี่เองก็น่าจะรู้ดี” จูนตอบกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน เมื่อเจอย้อนด้วยคำพูดราวกับรู้ดีถึงความรู้สึกของเขาทำให้เคนหัวเราะขึ้นจมูกราวกับอยากจะเย้ยหยันท่าทีของอีกฝ่าย
“รู้ดี?.....” เคนขยับหน้าเข้าไปใกล้เสียจนเด็กหนุ่มต้องกลั้นลมหายใจ “แกคิดว่าแกรู้ดีใช่ไหม ว่าพี่คิดอะไร .... “
“ใช่...พี่ก็แค่อยากลองของแปลกไง พี่รู้ไหมยังมีเก้งกวางอีกตั้งหลายคนที่มหาลัยที่อยากให้พี่กอด ทำไมต้องเป็นผม...เพราะผมมันดูแหยสู้พี่ไม่ได้ใช่ไหม พี่ก็แค่เห็นผมเป็นของเล่นให้เล่นสนุกไปวันๆใช่ไหม”
เคนกระชากคอเสื้อของจูนเอาแล้วจับหมุน กระแทกเข้ากับบานประตูห้องน้ำจนปิดลง
“อึ่ก!! “ จูนหลับตาแน่นเพราะแรงกระแทก บวกกับแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไปยิ่งทำให้รู้สึกคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่
แต่แรงดึงที่คอเสื้อยังทำให้เขาพอที่จะมองหน้าคนตรงหน้าอยู่ได้บ้าง
“พูด ทำ ขนาดนี้ แกก็ยังคิดว่าพี่แค่เล่นๆกับแกสินะ.....เสียใจว่ะ” เคนแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ได้ ถ้าคิดว่ามันเป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนอง...พี่ก็จะขอดูหน่อยนะว่าแกจะตอบสนองมากกว่าเมื่อคืนได้ไหม”
................... to be continued
(ตอนต่อจะมาลงในวันพรุ่งนี้ หรือ มะรืนค่ะ )
-
คำเตือน
ตอนต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาทางเพศ
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป (NC-17)
ป.ล. กรุณาเตรียมเลือดและทิชชู่ไว้พอประมาณ
“ได้ ถ้าคิดว่ามันเป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนอง...พี่ก็จะขอดูหน่อยนะว่าแกจะตอบสนองมากกว่าเมื่อคืนได้ไหม”
[/b]
พูดจบ เคนก้มลงเล็กน้อยปิดปากได้รูปที่ดีแต่จะต่อว่าเขาด้วยริมฝีปากของตัวเอง ปลายลิ้นร้อนล่วงล้ำอย่างถือดี
“อื้อ...ไม่.....”
เด็กหนุ่มหลับตาแน่น ความร้อนจากปลายลิ้นที่รุกเข้ามานั้นทำให้สะดุ้งเด็กหนุ่มยักไหล่ขึ้น สองมือพยายามดันไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายออกไป แต่มือแกร่งกลับดึงมือของจูนออกกดไว้กับบานประตูห้องน้ำ ในขณะที่มืออีกข้างสอดผ่านชายเสื้อเข้าไปสัมผัสกล้ามเนื้อบนหน้าท้องแบนราบก่อนเลื่อนไปจับเอวของอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาใกล้ ต้นขาสอดแทรกระหว่างโคนขาด้านในของเด็กหนุ่ม ร่างสูงเบียดตัวเข้าไปชิดเสียจนจูนต้องสะดุ้งออกมาอีกครั้ง ริมฝีปากผละออกจากการรุกล้ำของร่างสูงด้วยตกใจจนต้องอุทานออกมา
“จะทำอะไร....ไม่เอา!” เด็กหนุ่มยิ่งดิ้นหนักเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายใช้ริมฝีปากร้อนงับเบาๆเข้าที่ใบหู ปลายลิ้นเล็มเลียยั่วยุ พาลให้รู้สึกสั่นไหวไปทั้งร่าง
“อ๊ะ...ปล่อย….” เด็กหนุ่มร้องแต่เสียงที่ออกมานั้นเบาหวิวเมื่อเคนเบียดช่วงสะโพกเข้ามาเสียจนชิด โคนขาใต้กางเกงยีนส์เนื้อหนาของเคนแทรกเข้ามาสัมผัสเสียดสีกับผิวกายของเขาผ่านกางเกงขาสั้นเนื้อบางที่ไม่ช่วยปกป้องอะไรอย่างอุกอาจ จูนพยายามจะขยับตัวหลบไปทางด้านหลังแต่ก็ทำไม่ได้
“อึ๊ก.........” จูนเม้มริมฝีปากแน่น ดูเหมือนเบียร์ที่ดื่มเข้าไปจะช่วยกระตุ้นสัมผัสในการรับรู้ของเขามากเหลือเกิน จูนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้ ร่างที่กดให้แนบติดประตูนั้นเกร็งแน่น มือที่พยายามจะดันแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายออกเปลี่ยนเป็นขยุ้มอกเสื้อของเคนเอาไว้ ในตอนนี้ความกลัวกับความรู้สึกหวามไหวนั้นระคนกันจนสับสนไปหมด
“เป็นอะไรครับ...ร่างกายให้คำตอบแล้ว?”
“มะ...ไม่....ปล่อ....อุ๊บ!”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อริมฝีปากของร่างสูงก็แนบลงกับริมฝีปากที่ดีแต่จะเถียงของเด็กหนุ่มอย่างร้อนแรงและเอาแต่ใจ เคนนึกอยากโกง แอบปรือตามองเล็กๆ ภาพที่มองเห็นตรงหน้าคือใบหน้าของจูนที่แดงก่ำและขนตาที่สั่นระริก สองหูได้ยินเสียงหอบหายใจระคนกับเสียงช่ำชื้นยามปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงความหวานหอม ความนุ่มนวลของเด็กหนุ่มที่พยายามจะหลีกหนี เคนสัมผัสได้ถึงความกลัวของเด็กหนุ่ม พียงแค่นั้นก็ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบ
.....ทั้งๆที่เคยคิดว่าจะไม่ทำให้กลัวแล้วเชียว.....
แต่ทั้งๆคิดแบบนั้นก็หาได้ถอยปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระไม่ แต่ก็ยังนึกอยากจะปลอบประโลมจากในคราแรกที่สัมผัสเร่งเร้ากลับค่อยผ่อนเช่นเดียวกับมือใหญ่ที่เลื่อนขึ้นมาประคองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเอาไว้ราวกับอยากทะนุถนอม ปลายนิ้วสัมผัสเพียงผ่านก่อนแตะไล้เบาๆ จากบนไล่ลงไปด้านล่างเรียกแรงสั่นไหวจากผิวกายใต้เนื้อผ้าบางนั่นไม่น้อย แล้วเลื่อนมือมากอบกุมเนื้อตรงสะโพกแน่นให้สัมผัสแนบชิดกับตัวเองให้ได้มากที่สุด ตรงหน้าขารู้สึกได้ถึงแรงต้านเบาๆผ่านผิวผ้าเนื้อบางของกางเกงขาสั้น เคนละริมฝีปากออกพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ หืม?.....ไหนว่า ‘ไม่’ ไง”
ชายหนุ่มกระซิบชิดริมฝีปากของเด็กหนุ่ม คราวนี้ยอมละมือจากข้อมือของเด็กกหนุ่มลูบไล่จากกล้ามเนื้อใต้วงแขน แผ่นอกแบนเรียบลงมาที่เอวกางเกง ปลายนิ้วไล้เบาๆที่เอวยางยืดด้านหน้าก่อนเกี่ยวดึงขอบกางเกงและกางเกงชั้นในของอีกฝ่ายเอาไว้ ใช้หลังนิ้วเกลี่ยเบาๆบนผิวหน้าท้องแบนราบที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกนิ่มมือนักแต่ก็ชวนให้ขยับลงไปค้นหากับสัมผัสที่เริ่มแข็งขืนนั่นอยู่ไม่น้อย
“อย่าจับนะปล่อยผม .....” เสียงจูนพยายามประท้วงมือก็พยายามดึงข้อมือของเคนออกแต่ก็ต้องอุทานออกมาเมื่ออุ้งมือใหญ่ร้อนนั้นค่อยทาบลงมาสัมผัสร่างกายของเขาผ่านผิวผ้าการสัมผัสโดยตรง แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“ไม่....!!” เด็กหนุ่มผวาเฮือกหลับตาแน่น รู้สึกได้ถึงความชื้นของน้ำตาที่ค่อยทิ้งตัวลงจากหางตา
"จูน.... " เสียงของเคนแหบพร่า ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงนั้นคล้ายจะปลอบแต่การกระทำกลับตรงกันข้ามฝ่ามือแกร่งขยับเบาๆอย่างหยอกเย้า ก่อนจะฝังปลายจมูกโด่งลงที่ซอกคอ สูดกลิ่นกายของอีกฝ่ายเข้าเต็มปอด ได้กลิ่นควันปะปนกับกลิ่นเบียร์จางๆ ยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว ริมฝีปากแตะชิมผิวกายนั้นอย่างแรงเสียจูนต้องร้องออกมา
“อ๊ะ! .....” เด็กหนุ่มหลับตาแน่น ทั้งสัมผัสที่ซอกคอทั้งสัมผัสเบื้องล่าง ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเป็นเสียงของเขาเอง จูนรู้ดีว่าหากยังดิ้นออกจากการรุกรานของอีกฝ่ายไม่ได้ต่อไปร่างกายของเขาก็จะชนะ มันไม่ใช่เรื่องยากนักที่เขาจะพ่ายแพ้ในเมื่อส่วนตัวเขาเองแล้วไม่ได้สัมผัสตัวเองในเชิงปลดปล่อยเลย.....ถ้าเป็นแบบนั้นเคนจะใช้มันมาเป็นข้ออ้าง...ข้ออ้างให้เขายอมจำนนอีก คิดได้แบบจึงรวบรวมสติกับเรี่ยวแรงเท่าที่เหลือผลักอีกฝ่ายออกห่าง
“ปล่อย....!!”
ร่างสูงเซถอยออกมาเมื่อถูกผลัก และจูนก็กำลังจะฉวยโอกาสเปิดประตูห้องน้ำออกไป สองแขนแกร่งรวบเอาร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ มือหนึ่งสอดเข้าใต้เสื้อยืดรั้งแผ่นหลังของจูนให้ติดกับแผ่นอกของตัวเอง
เด็กหนุ่มยังคงดิ้น มือทั้งสองข้างของจูนพยายามขืนออก แต่เมื่อมือแกร่งตะโบมเฟ้นลงบนอก ขยี้แรงปลายนิ้วลงบนตุ่มป้านเล็กๆบนหน้าอก เช่นเดียวกับอีกมือที่เลื่อนลงต่ำกอบกุมและสัมผัสผ่านผิวผ้าอย่างโหยหาก็ทำเอาร่างทั้งร่างสั่นสะท้านสองขาอ่อนแรงทรงตัวเอาไว้แทบไม่อยู่ จูนทรุดตัวลงกับพื้นหินเย็นเฉียบของห้องน้ำโดยที่มีเคนยังคงกอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง ทั้งสองคนหอบหายใจแรงด้วยทั้งเหนื่อยจากการยื้อยุดและจากแรงปรารถนาในหัวใจที่ค่อยเพิ่มสูงขึ้น สองหูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงเฮฮาใดๆที่ดังมาจากบ้านข้างเคียงเมื่อเวลาผันผ่านเข้าสู่วันใหม่ของปีใหม่
“พี่โกรธผมมากเหรอ...ถึงต้องทำกับผมแบบนี้....”
เสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่าเมื่อพยายมจะเค้นเสียงออกมาถามความรู้สึกของอีกฝ่ายทั้งที่ยังหายใจติดขัด คำถามที่ได้รับทำให้เคนยิ่งรู้สึกเจ็บในใจ
.....ต้องให้ทำมากกว่านี้ใช่ไหม ถึงจะได้ยินแกพูดคำอื่น.....
“โกรธ....โกรธที่แกไม่เข้าใจพี่สักที คิดเหรอว่าพี่จะทำแบบนี้กับใครก็ได้น่ะ!!” มือแกร่งล้วงลึกลงไปใต้ผิวผ้าของเด็กหนุ่มสัมผัสกับส่วนที่แข็งขืนขึ้นเพราะแรงอารมณ์นั้นอีกครั้ง ต่างกันเพียงในตอนฝ่ามือของเขากำลังสัมผัสกับผิวกายร้อนจัดของเด็กหนุ่มโดยตรง
“ไม่เอา....อย่าจับ....”
แม้ได้ยินเสียงร้องห้ามแต่ก็ไม่คิดจะหยุด ถึงจะเป็นร่างกายของคนอื่นแต่การกระตุ้นนั้นคงไม่แตกต่างจากวิธีการที่ปลุกเร้าตัวเองสักเท่าไร ฝ่ามือแกร่งเริ่มเคลื่อนไหวตามเคยชิน
“อ๊ะ...อ๊า....." คนที่อยู่ในอ้อมแขนของรุ่นพี่ร้องครางออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ แขนที่พยายามจะผลักไสตลอดตอนนี้กลับคว้าไหล่ของเคนเอาไว้เป็นหลักยึด ใบหน้ามนนั้นพิงซบกับไหล่ของร่างสูง ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่นภาพตรงหน้าทำให้ไม่อยากจะมอง แต่ในใจนั้นกลับมีความสุขแล่นลามขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“เด็กดี.....ใจเย็นๆนะ....” เคนกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของอีกฝ่าย ก่อนจูบลงบนซอกคอที่เมื่อครู่เขาเพิ่งทิ้งรอยแดงเอาไว้บนผิวขาวแบบเชื้อจีนของรุ่นน้องผมทอง โดยที่มือข้างที่ว่างก็ยังไม่ละจากยอดอกของอีกฝ่าย ยิ่งเห็นจูนมีอาการตอบรับ ตัวเขาเองก็ยิ่งมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในร่างกายจนแม้กางเกงยีนส์เนื้อหนาก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ซ้ำร้ายยิ่งทำให้รู้สึกทรมานมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มผลักร่างของจูนให้ลงไปนอนราบกับพื้น พลางดึงกางเกงขาสั้นที่เกาะอยู่อย่างหมิ่นเหม่ที่บั้นเอวนั้นลงไปอีก เผยให้เห็นร่างกายทุกสัดส่วนของเด็กหนุ่มให้เห็นเต็มตา แม้จะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่แบบนี้และไม่ใช่ด้วยอารมณ์เช่นนี้
“..................................” จูนเม้มริมฝีปากแน่น เบือนหน้าที่แดงก่ำนั้นไปอีกทาง เขาไม่อยากสบตากับอีกฝ่าย ตอนนี้ร่างกายของเขามันไม่ฟังคำสั่งอะไรแล้ว มีเพียงความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นเมื่อรู้ว่าเคนกำลังใช้สายตาสำรวจไปทั่ว ยิ่งเมื่อเคนเท้าแขนกรอบล้อมเขาเอาไว้ยิ่งทำให้รู้สึกเกร็งมากขึ้นไปอีก
“เขิน พี่เหรอ...............”
“ก็......ก็ลอง....ถูกทำขนาดนี้....ไม่เขินก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว....ออกไป ผม...ผม....จะได้จัดการตัวเอง”
“ไม่ออก......ออกให้โง่” เคนยิ้มกับคำพูดนั้น ยิ่งอีกฝ่ายถลึงตามองแล้วกำลังจะอ้าปากด่าเขาด้วยยิ่งต้องรีบฉวยทุกโอกาสนี้ไว้ ชายหน่มก้มลงจูบริมฝีปากนุ่มที่ฉ่ำชื้นนั่นอีกครั้ง ก่อนละมือขึ้นมาตลบชายเสื้อของจูนขึ้นไปเหนืออก จูบเม้มหยอกเอินบนผิวเรียบเนียนนั่นอย่างหลงใหลราวกับว่าไม่เคยต้องการสัมผัสนุ่มของกายผู้หญิงคนไหนมาก่อน ในใจมีแต่ความรักที่อยากจะส่งผ่านไปให้อีกฝ่ายรู้
“อ๊ะ... .” เสียงอุทานเบาๆดังขึ้นพร้อมกับแผ่นอกที่แอ่นขึ้นรับสัมผัสอย่างช่วยไม่ได้
“ดีไหม.....” เคนกระซิบถามติดผิวเนื้อของอีกฝ่าย ปลายลิ้นยังลากเล่นแผ่วเบา ฝ่ามือยังเร่งเร้าที่เบื้องล่าง
“ไม่...ไม่รู้” เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา เขายกมือขึ้นปิดใบหน้าแดงก่ำของตัวเองเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าที่น่าอายของตัวเองในตอนนี้ จูนรู้สึกปั่นป่วนไปด้วยความสุขเสียจนอยากจะสำลักเอาความรู้สึกทุกอย่างออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“เป็นเสียขนาดนี้.... ยังไม่รู้อีกเหรอ” เคนหัวเราะเบาๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึก เมือก้มลงมองความร้อนในมือของตัวเอง
“....อึ๊ก.....” แต่มีเพียงแค่เสียงคล้ายสะอึกเมื่อจูนพยายามจะกลั้นเสียงร้องของตัวเองเอาไว้ ริมฝีปากฉ่ำชื้นที่สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ยิ่งเคนเห็นภาพเช่นนั้นหัวใจในอกยิ่งเต้นรัวยิ่งกว่ากลองกระเดื่องคู่ในเพลงที่ชอบฟัง ชายหนุ่มร่างสูงยืดตัวขึ้นสูงคร่อมเหนือร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ พลางตลบเสื้อกล้ามออกให้พ้นตัวแล้วโยนไปอีกทาง มือแกร่งจับมือของเด็กหนุ่มขึ้นมาแตะที่กลางลำตัวผ่านผ้ายีนส์เนื้อหนา เคนเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลง มือเรียวนั้นดึงขืนออกแต่เคนก็ยึดเอาไว้
“จับสิ....พี่จะเป็นขนาดนี้ไหมถ้าแค่อยากลองเฉยๆ ...แค่นึกถึงแก....พี่ก็เสร็จไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” เคนเอ่ย เขาเองในตอนนี้ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ปลายนิ้วแกะกระดุมกางเกงยีนส์ออกพลางค่อยๆปลดซิปลงเผยให้อีกฝ่ายเห็นร่างกายทั้งหมดของเขาบ้าง
“พี่มันบ้า.....โอย” จูนร้องออกมาทั้งที่ก่อนหน้าพยายามกัดฟันแน่น เด็กหนุ่มอยากจะดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ร่างกายของเขาสั่นระริก ในตอนนี้เป็นเขาเองมากกว่าที่อยากจะสัมผัสตัวเอง แต่เพราะอีกฝ่ายยังกดมืออีกข้างของเขาเอาไว้กับพื้นมันเลยทำให้เขาไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้
“ทนไม่ไหวเหรอ.....” ร่างสูงก้มลงกระซิบติดหูของเด็กหนุ่ม เบียดตัวเองเข้าหาเด็กหนุ่ม ได้ยินเสียงครางเครือเมื่อความร้อนของทั้งสองคนสัมผัสกัน แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว เห็นแบบนั้นยิ่งทำให้เคนยิ่งกดน้ำหนักลงไปที่สะโพกให้มากขึ้นไปอีกมือแกร่งรวบความต้องการพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน ปลายนิ้วไล้รูดไม่ต่างจากการกระทำให้ตัวเองหากแต่ในครานี้ความรู้สึกสุขสมนั้นกลับมีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดจากร่างของเด็กหนุ่มด้วยแล้วมันยิ่งทำให้เขาอยากจะได้ยินเสียงวอนขอจากอีกฝ่ายมากขึ้น
“บอกพี่สิ........”
“อ๊า...............” จูนผวาเฮือกกอดร่างของอีกฝ่ายเข้ามาหาพ่นลมหายใจร้อนจัดรดที่ต้นคอของอีกฝ่าย ปลายนิ้วจิกลงบนแผ่นหลังด้วยอยากหาที่ระบายอารมณ์ทั้งหมดให้ออกไปให้พ้น ขยับสะโพกเข้าหาตามแรงอารมณ์แม้ในใจจะอยากปฏิเสธมากสักเพียงไร
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นยิ่งเหมือนเคนจะยิ่งยั่ว ฝ่ามือร้อนขยับเชื่องช้าหากแต่เน้นหนัก ความชื้นฉ่ำที่อยู่บนฝ่ามือนั้นก่อให้เกิดเสียงที่น่าอาย แต่ก็ไม่อาจส่งไปถึงโสตประสาทของเด็กหนุ่มได้แล้วในตอนนี้ มีเพียงแค่ความร้อนที่วาบหวามและทำให้สั่นสะท้านไปทั้งร่างเท่านั้นที่เขาต้องการจะหลีกหนีไปให้พ้น
“ดีไหม.....” เคนยังคงแหย่ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สะโพกแกร่งยังขยับเบาๆเสริมความเร่าร้อนในสัมผัส เหงื่อกาฬเริ่มไหลจนหยดลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เส้นผมสีทองนั่นก็เปียกชื้นไปเพราะความร้อนของร่างกายไม่ต่างกัน จูนอยากจะปฏิเสธคำถามนั้น ความรู้สึกแต่เขาก็ทำไม่ได้ มันเป็นความสุขที่มากเสียจนกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า เด็กหนุ่มรั้งใบหน้าของของอีกฝ่ายลงมาด้วยสองมือ
“เลิกถามคำถามบ้าๆ แล้วทำให้มันจบไปซักที!” เด็กหนุ่มร้องออกมา ก่อนเป็นฝ่ายจูบเคนก่อน ปลายลิ้นสอดประสานรับสัมผัสร้อนเข้ามา ก่อนจะผละออกมาพร้อมเสียงร้องครางอย่างสุดกลั้น
เคนตกใจกับสัมผัสที่อาจหาญของจูนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกการกระทำจบลง เขาเพียงแค่ยิ้มน้อยๆจูบซับเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผากมน
“งั้น.....ให้พี่....ทำให้นะครับ”
พูดไม่ทันจบดีฝ่ามือแกร่งของรุ่นพี่ร่างใหญ่เริ่มขยับอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของคนที่กอดเขาอยู่เท่านั้นแต่ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของตัวเองด้วย ระหว่างทั้งสองคนมีเพียงเสียงหอบหายใจแรงกับความรู้สึกที่คล้ายจะประสานเป็นหนึ่งเดียว
ร่างของทั้งสองสั่นเทิ้มเกร็งแน่นเมื่อสารแห่งความสุขวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง หลังม่านตาที่ปิดสนิทได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจที่สอดประสานและดวงไฟของความต้องการที่แตกกระสานซ่านเซ็น ความร้อนจากแรงอารมณ์กระจายอยู่บนหน้าท้องและแผ่นอกของทั้งคู่ เคนเหลือบตามองเห็นจูนยังหลับตาแน่นพลางหอบหายใจรุนแรง เขาขยับตัวถอยออกมาเล็กน้อยเพียงเพื่อจะมองภาพตรงหน้าให้เต็มตา
ร่างกายขาวแบบเชื้อจีนของจูน บัดนี้แดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่าง แผ่นอกแบนราบที่มีกล้ามเนื้อพอได้รูปนั้นขยับขึ้นลงตามแรงหอบสะท้าน แสงไฟในห้องน้ำทำให้หยาดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่บนร่างและของเหลวที่ติดอยู่ที่หน้าท้องและบางส่วนที่หน้าอกนั้นยิ่งดูน่ามากขึ้นไปอีก
“จูน..... " เคนยื่นมือแกร่งออกไป หมายจะลูบศรีษะของอีกฝ่าย
“อย่า......” แต่คำตอบที่ได้คือเสียงแหบพร่าของเด็กหนุ่มที่เอ่ยออกมาคล้ายคนละเมอ จูนดึงขาของตัวเองหลบพลางพลิกตัวไปอีกทาง เขาไม่มีแรงแม้แต่จะดึงกางเกงหรือเสื้อของตัวเองให้เข้าที่ด้วยซ้ำรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ยังไม่อยากให้อีกฝ่ายมาแตะต้อง เจ้าของเรือนผมสีทองที่เปียกชื้นยังหอบหายใจยังไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ในกายคล้ายจะเต็มตื้นไปด้วยความสุขที่อีกฝ่ายกระตุ้นเร้า .... ไม่อยากเชื่อแม้แต่ตอนที่หัวใจของเขาเต้นโครมครามเพียงเพราะคำพูดน่าอายที่เคนกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“อ่ะ ขอโทษ” เคนดึงมือกลับเมื่อเห็นว่ามือของเขายังเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งที่ร่างกายของเขาและอีกฝ่ายผลักดันออกมาเพราะแรงอารมณ์
“จูน คือพี่..................” เคนคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้เขาควรจะพูดอะไรบางอย่าง อยากจะบอกอีกฝ่ายว่าเขารู้สึกอย่างไร อยากจะถามอีกฝ่ายว่ารู้สึกอย่างไร
ก๊อกๆ!!!
“เคน...จูน ....ทำอะไรกันวะ ปีใหม่แล้วนะมึง!” เสียงโชติดังอู้อี้จากอีกฝั่งของประตู
เมื่อได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตูห้อง ร่างสูงสะดุ้งเฮือก
“อ่ะ...เอ่อ....อะไรนะโชติ กูไม่ได้ยิน แป๊บนึง”
เคนรีบลุกขึ้นยืนดึงกางเกงขึ้นสวมเรียบร้อย โดยไม่ลืมที่จะล้างมืออย่างลวกๆก่อนจะวิ่งออกไปที่ประตู เขาพยายามยืนบังประตูเอาไว้ไม่ให้เพื่อนร่างเล็กมองเข้าไปด้านใน โชติเดินมาถามหลังจากที่เห็นเขากับจูนหายไปนานไม่ยอมมาช่วยกินเบียร์ต่อ เคนก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆแล้วก็บอกไปว่าจูนนั้นเมาจนอ้วกใส่เขาแล้วเมาหลับไปแล้ว และเขาก็เพิ่งจะเก็บกวาดทุกอย่างเสร็จ ดูท่าทางคล้ายโชติจะไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไร แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะเดินโซเซเข้าห้องไป ทำให้พอเข้าใจได้ว่าตัวโชติเองก็คงจะเมาอยู่ไม่น้อย ส่วนยุทธ์ที่ไม่ขึ้นมาด้วยอาจเป็นเพราะฟุบหลับอยู่ที่โซฟาข้างล่างก็เป็นได้
“เฮ้อ.... "
เคนปิดประตูไว้ที่เบื้องหลังโดยไม่ลืมที่จะล็อคกลอนห้องนอน เขาเดินกลับมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่น่าเป็นห่วงอยู่ในห้องน้ำ เมื่อเดินกลับมาเห็นจูนนั่งพิงผนังห้องน้ำอยู่ มือวางพาดอยู่บนหน้าท้องอย่างไม่มีเรี่ยวแรง กางเกงถูกดึงขึ้นมาเกาะที่สะโพกอย่างหมิ่นเหม่
“จูน........ ไหวไหม” และพอยื่นมือไปจะเขย่าไหล่ของอีกฝ่ายจึงเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อนั้นผล็อยหลับไปเสียแล้ว อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียจนถึงขีดสุดของตัวเองแล้วก็เป็นได้
“โธ่เอ้ย.............” เคนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนเข้ามาในอก
ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างๆของร่างที่ไม่ได้สติ จูบลงบนเส้นผมสีอ่อนนั่นแผ่วเบาหากแต่ยาวนาน ก่อนที่จะค่อยประคองให้อีกฝ่ายเอนเข้ามาพิงที่อก ก้มลงมองใบหน้าที่กำลังหลับถึงลมหายใจจะเป็นปกติแล้วแต่ยังดูอ่อนแรงเหลือเกิน จูนไม่ได้เด็กหนุ่มร่างเล็ก ช่วงแขนขายาวกล้ามเนื้อตามธรรมชาตินั้นดูสวยงามหากแต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยชอบใช้ เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาติดไปทางจืดชืด แต่เคนไม่เข้าใจว่าทำไมในตอนนี้ถึงดูบอบบางอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะช้อนร่างของเด็กขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง แม้จะทุลักทุเลไปบ้างเพราะเขาเองก็หมดแรงไปไม่น้อย แต่เคนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่น
รุ่นพี่ร่างสูงเป็นฝ่ายหาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดร่างของคนที่หลับไม่รู้เรื่องเสียจนสะอาด จัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เสียจนเรียบร้อย ผ้าห่มถูกดึงขึ้นคลุมให้อย่างเบามือ เคนมองท่าทางของคนที่นอนหลับก่อนจะถอนหายใจออกมา ในหัวนึกถึงคำพูดของพ่อจากบทสนทนาเมื่อหัวค่ำ .....
“พ่อ......”
“เออ พ่อมึงเอง..... หายหัวไม่กลับบ้านกลับช่องเลยนะไอ้เคน....เรื่องเรียนเป็นไง”
“ก็ดี....” เคนตอบแกนๆ “ว่าแต่พ่อโทรมามีไรรึเปล่า พอดีผมไม่ค่อยว่าง.....”
“มึงก็ไม่ค่อยว่างกับกูตลอดนั่นล่ะวะ ธุระเยอะเพราะเที่ยวไล่ฟันผู้หญิงอยู่รึไง "
“อ้าวพูดแบบนี้ไม่สวยนะพ่อ พ่อนั่นล่ะเคลียร์เรื่องสาวๆในสต๊อกพ่อหรือยัง แล้วนี่โทรมามีอะไร ผมรีบอยู่เนี่ย”
“รอโทรศัพท์แฟนรึไง” ไม่วายคุณสุชาติยังก่อกวนลูกชายผ่านโทรศัพท์
“พ่อ มีอะไรก็พูดมาสิ จะใช้อะไรผมอีก “เคนรู้ทุกครั้งที่พ่อของเขาโทรมานั้นหมายความว่าอย่างไร
.....คงไม่พ้นเรื่องใช้งานลูกทุกทีไป....
“มีงาน เขาอยากได้นักมวยตัวใหญ่ๆไปต่อยกับฝรั่ง เป็นคู่เปิด พอจะไหวไหม”
“ไม่รู้ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ซ้อม.... ถ้าให้เวลาฟิตหน่อยก็คงไหวอ่ะ....ต่อยมวยไทย? “ เคนตอบอย่างหัวเสียทันทีที่ได้ยินคำว่า “มีงาน”
“เออ...มันมีรายการทีวีจากมาเลย์ฯมาถ่ายด้วยนะเว้ย เผื่อลูกพ่อจะได้ออกทีวีไง”
“จะเอาหน้าตัวเองไปออกกล้อง แล้วรอดูผมโดนน็อคล่ะไม่ว่า......พ่อ แต่ละรอบของพ่อเนี่ย ผมเจ็บทุกรอบนะครับ”
เคนเอ่ยถึงเขาจะชินกับการใช้กำลังเพราะเรื่องเรียน แต่หากพูดถึงเรื่อง “งาน” ในฐานะนักมวยคนหนึ่งของค่าย หน้าตาของพ่อมักมาเหนือความเจ็บทางกายของลูกชายอย่างเขาเสมอ
“แกก็อย่าให้มันน็อคสิวะ ตกลงตามนั้นหมดวันหยุดปีใหม่นี่ก็ให้กลับบ้านด้วย จะให้พวกศักดิ์มันเป็นคู่ซ้อมให้”
“แล้วเรื่องเรียนผมล่ะ....” เคนท้วงเพราะเขาก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องกลับไปเรียนด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวจะโทรไปบอกครูให้ อาจารย์ที่ปรึกษาของแกก็รุ่นน้องพ่อทั้งนั้น แกจะกลัวอะไร...”
เสียงคุณสุชาติหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ อำนาจและความกว้างขวางของพ่อของเคนนั้นแทรกซึมไปได้ทุกที่ทุกวงการ จนบางครั้งก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ว่าผู้ชายที่เข้าไปพัวพันกับอะไรมากมายคนนี้จะถูกสิ่งเหล่านั้นวกกลับมามัดคอตัวเองจนขาดใจเข้าตอนไหน
“ถ้าพ่อว่าอย่างนั้น ....แต่ขอผมเคลียร์เรื่องของผมก่อน....” เคนเอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ
น้ำเสียงเหนื่อยอกเหนื่อยใจแบบนั้นไม่บ่อยนักที่จะได้ยินบ่อยนักจากลูกชายคนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเลี้ยงอีกฝ่ายมาแบบไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรนัก เพราะก็มัวแต่ทำงานเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือค่ายมวยเล็กๆของตัวเองจนได้ดิบได้ดีมาจนทุกวันนี้ แต่ก็ไม่บ่อยครั้งที่จะได้ยินเสียงของเคนเป็นแบบนั้น
“มีอะไรหนักใจรึไง” คำถามที่ยิงมานั้นราวกับว่าคนเป็นพ่อกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่...แค่...เขาไม่ยอม...เอาเหอะ เดี๋ยวผมหาทางของผมเองก็ได้”
“ไม่ยอมก็ปล้ำเลยสิ” พ่อสุชาติยังกล่าวติดตลก
“จะพูดว่าเขาไม่ยอมฟังต่างหาก พ่ออย่าเดามั่วจะได้ไหมเนี่ย” เคนตอบกลับทันควัน
“ไม่ฟังก็ต้องทำให้รู้ ปล้ำแม่ง.....วิถีชายไทย ไม่เคยเห็นในละครรึไง ปล้ำซะ ถ้าเขารักเขาชอบเดี๋ยวก็ยอมเอง ผู้หญิงเขาต้องมีฟอร์มเว้ย เดี๋ยวโดนหาว่าง่าย” เสียงหัวเราะชอบใจจากปลายสาย
“พ่อ!!!”
“เอาเถอะ จะคุยให้รู้เรื่อง หรือจะปล้ำก็เอาสักอย่าง จัดการให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมา พ่อแกต้องรีบใช้คนเข้าใจไหม!”
………………………………………
คำพูดของพ่อยังงสะท้อนอยู่ในหัว และเพราะอารมณ์เท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น
“ก็......ทำไปแล้ว...แล้วมันจะเป็นยังไงต่อล่ะ.....”
เคนพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียงของเด็กหนุ่ม เขาไม่มั่นใจนักว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง....แต่ความรู้สึกของอีกฝ่ายล่ะจะเป็นอย่างไรกัน...ในใจรู้สึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็น อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ให้ความสำคัญกับใครมากขนาดนี้ เคนฟุบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง ความกลัวคือสิ่งเดียวที่รู้สึกและหากปีใหม่นี้จะมีพรพิเศษอะไรที่เขาอยากได้ ก็อยากจะขอเหลือเกิน ว่าอย่าให้อะไรต่อมิอะไร มันพังทลายไปมากกว่านี้เลย..
to be continued......
@@@ talk @@@
ในที่สุด! NC ที่รอคอย :sad4:
คนเขียนไม่อยากบอกว่า เขียนมาขนาดนี้ มันเหนื่อยใจแค่ไหนที่หาที่ลง NC เหมาะๆไม่ได้
ส่วนตัวไม่ชอบเขียนเท่าไร เพราะไม่เก่ง และ....รู้สึกว่ามันไม่จำเป็น ไม่ว่าจะด้วยกรณีใด
คิดว่าพระเอกหากจะทำให้รู้ว่ารัก หรือ แค้น มีอีกหลากหลายทางที่จะทำได้
เราน่ะ เป็นพวกชอบความเจ็บปวดทางคำพูดมากกว่านะ (โรคจิต) ดังนั้นกว่า NC จะออกได้แต่ละฉากจึงยากเย็นนัก
ยิ่งตอนนี้กระแสสังคมมากมายเหลือเกิน ยังคิดอยู่ว่าพล็อตจะเปลี่ยนไหม เพราะส่วนตัวก็ไม่สนับสนุน
แต่เชื่อว่าตัวละครของตัวเองมีเหตุผลมากพอที่จะทำอะไรเช่นนี้
และจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของตัวละครต่อไปในอนาคต (ซึ่งก็จะขอให้ติดตามกันต่อไป)
ฝากเชียร์ความสัมพันธ์อันเอื่อยเฉื่อยของทั้งสี่คนต่อไปด้วยนะคะ
-
หลายอารมณ์มากตอนนี้ อ่านแล้วรู้สึกสงบจิต สงบใจยังไม่รู้นะ55555555
คือพี่เคนเริ่มไม่ทน น้องจูนไม่ยอมรับความจริง
ยุทธ์โชติก็เจ็บปวดดดดดดดดดดดดดด :z10: หลากหลายอารมณ์มาก
ยิ่งเจอ NC ชะนีช็อค! เลือดหมดตัว เขินนนนนน :jul1:
พี่เคนค่ะ ถ้าจะทำต่อแล้วไม่เป็น หาในเน็ตนะ5555555555555555555555555
-
:pig4:
-
:o8: :mew1:
-
:hao6: :hao6: :hao6:
-
@@@ talk @@@
อัพฉลองหยุดยาววันแม่ค่ะ
อย่าลืมบอกรักแม่นะคะ
Chapter 35 : รอยจูบ
วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนไม่มีอะไรชวนให้มองนัก นอกไปจากไฟสีส้มที่ส่องให้แสงริมทางหลวง ก็คงมีเพียงท้ายรถบรรทุกที่ประดับประดาด้วยหลอดไฟหลากสีจนนึกว่าเป็นยานแม่จากต่างดาวที่ลงมาเยือนโลก ลงมาตามหามนุษย์เอาไปทดลองด้วยการลักพาตัวให้คนๆนั้นหายไปเงียบๆ โดยไม่ทิ้งความทรงจำใดๆไว้ให้กับคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...อย่างน้อยจูนก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นตามที่เขาเคยดูในหนังไซไฟสักเรื่องจากกองดีวีดีในคลังเก็บหนังของโชติ แต่สิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้นกับเขา...ความทรงจำทุกอย่างยังตราตรึง ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเมื่อตอนเย็น...
…ตอนที่เคนหนีไป...
จูนรู้ดีว่าหากใช้คำว่า “หนีไป” มันคงเป็นการกล่าวที่เกินจริง เคนยังคงอยู่ในห้องนอน ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงของเขานั่นเอง ใบหน้าตอนนอนยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนอมทุกข์อย่างทุกที แต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่เขานึกอยากจะเห็นในเช้าของวันปีใหม่ อันที่จริงเขาทั้งโกรธ ทั้งอับอาย แต่ก็รู้ตัวเองว่าได้มีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ...และนั่นมันทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งทีเกิดขึ้นมากขึ้นไปอีก
....และคงเป็นความรู้สึกของเขานั่นเองที่ทำให้เคน “หนีไป”....
...............................
อุณหภูมิในห้องที่ลดต่ำลงเพราะแอร์ที่เปิดเร่งไว้ทั้งคืนทำให้คนที่หลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืนต้องขยับตัวดึงผ้าห่มมาคลุมกายอยู่หลายต่อหลายครั้งเสียจนทนไม่ไหวต้องเปิดตาตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวจับใจ และภาพแรกที่เห็นก็ทำให้เด็กหนุ่มผมสีทองสะดุ้งเฮือก เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็น คิ้วคม สันจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบนที่ดูเหมือนจะบางแต่ก็ได้รูปสวยรับกับริมฝีปากล่างประหนึ่งถูกสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีของใครบางคน รุ่นพี่ร่างสูงที่ในตอนนี้นอนเอาหน้าอิงซบกับฟูกยังคงนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือคนอมทุกข์เช่นทุกที
“พี่เคน.....?!”
เด็กหนุ่มขยับตัวลุก แต่ก็ต้องร้องโอยออกมาเบาๆเพราะความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งไหล่ พลันความรู้สึกคลื่นเหียนก็วิ่งสวนขึ้นมาจากในกระเพาะ ถึงตอนแรกอยากจะลุกออกไปอย่างเงียบๆ แต่กลับทำไม่ได้จูนกระโจนพรวดไปยังห้องน้ำ แทบจะในทันที
อ่อก!!! …
ความแสบร้อนแล่นขึ้นมาที่ช่องอกจนรู้สึกแทบจะทนไม่ไหว แต่มันก็คงดีกว่ากล้ำกลืนลงไป จูนหอบหายใจน้อยๆเมื่อเอาทุกอย่างออกมาจากช่องท้องจนรู้สึกดีขึ้นมามาก ถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่ใช่ชุดที่ใส่เมื่อคืน ประกอบกับมองไปรอบๆก็ยังคงเห็นภาพเดิมของห้องน้ำที่ชวนย้อนให้นึกถึงกิจกรรมทีเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน มันไม่ใช่เรื่องดีนักหากฉากพวกนั้นจะเป็นสิ่งแรกที่เขานึกถึงในเช้าวันปีใหม่
…. บ้าที่สุด......
เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เขาไม่ได้อยากจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย
"เป็นอะไรรึเปล่า........" เสียงของเคนดังขึ้นที่หน้าประตูพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาด้านในห้องน้ำ ท่าทางเหมือนตกใจกับภาพที่เห็นอยู่ไม่น้อย
“.....................................”
จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่เบือนหน้าไปอีกทางแล้วยันตัวเองลุกขึ้น เด็กหนุ่มกดชักโครกทิ้งแล้วเดินไปที่อ่างล้างปากลวกๆ ก่อนเอามือวักน้ำขึ้นล้างหน้า สองมือเท้าลงกับผิวหน้าเรียบเย็นของเค้าท์เตอร์ ดวงตากระพริบถี่ๆเมื่อใบหน้าเปียกชุ่มก่อนจะมองตรงเข้าไปยังกระจกซึ่งสะท้อนเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“ผมแค่อ้วก ไม่ได้เป็นอะไรหรอก....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปหยิบยาสีฟันกับแปรงสีฟันทำท่าทีเหมือนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก
“พี่แค่....กลัวแกจะไม่สบาย”ชายร่างสูงเสียงอ่อนลงแทบจะในทันที ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นจะแตะศรีษะของเด็กหนุ่ม
“อย่า....!!” ร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องกลับสะดุ้งเฮือก มือเรียวปัดมือแกร่งของเคนออกเสียงดังเผียะ ความเจ็บปลาบแล่นลามจากปลายนิ้วเข้ามาจับที่หัวใจของนักมวยร่างสูงอย่างช่วยไม่ได้
“....................หยุดตรงนั้นเลย!” ในสายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความกลัวระคนกับความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจสะกัดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ร่างทั้งร่างเกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จูนค่อยขยับยึดให้เค้าท์เตอร์อ่างล้างหน้านั้นเป็นหลักก่อนจะก้าวเท้าไปด้านข้างราวกับพยายามจะหาที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง
“..........ออกไป....” เสียงแหบพร่าลอดผ่านไรฟัน จูนหันมองไปทางอื่นเขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้ และเคนเองก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้การสังเกตใดๆถึงจะเห็นได้.....ในเมื่อท่าทางของเด็กหนุ่มผมทองออกจะชัดเจนเสียขนาดนี้
“............กลัวพี่เหรอ” เคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาบีบตัวรุนแรงจนเจ็บเจ็บลึกเข้าไปข้างใน
“...ผมไม่ได้กลัวพี่...คนแบบพี่ทำให้ผมกลัวไม่ได้หรอก....ออกไปซะ” จูนตอบทั้งๆที่แทบจะไม่มีเสียงออกมาจากลำคอ
“เอ่อ....” เคนอยากจะพูดต่อแต่แววตานั้นยิ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้อยากจะฟังไปมากกว่านี้
“งั้นพี่ไปรอข้างนอก.....ถ้ามีอะไรก็บอกนะ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาก่อนจะถอยกลับออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องน้ำให้กับอีกฝ่าย...
“...เฮ้อ......” จูนถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อประตูบานนั้นปิดลงที่ไม่อยากจะมองหน้าเพราะเขาไม่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีกแล้วมันต้องเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ไม่ควรจะถูกบันทึกเอาไว้ คิดแบบนั้นพลางตลบชายเสื้อยืดขึ้นด้วยหวังว่าจะอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกสักหน่อย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
บนต้นแขนขาวนั้น มีรอยช้ำแทบจะเรียกได้ว่าเป็นรอยมือปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับบนผิวเนื้อเนียนบนต้นคอที่มีรอยจูบเรื่อยมาจนถึงบนแผ่นอกที่มีร่องรอยเหลือทิ้งไว้ประปราย
“.........................”
ทีนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะยกแขนไม่ขึ้น...นี่เมื่อคืนมือของรุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นบีบลงมาบนแขนของเขาด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ริมฝีปากคู่นั้นสัมผัสด้วยความรู้สึกแบบไหน
....จะเจ็บ...เหมือนกันไหม...
………………………………………
เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับออกมา ร่างสูงโปร่งคว้ากางเกงยีนส์สีเข้มพอดีตัวมาสวม พลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของตัวเอง
“อาบน้ำ เสร็จแล้วเหรอ....” คนที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงอย่างกระสับกระส่ายมาตลอดผุดลุกขึ้นทันที ทำเอาคนที่พิ่งจะอาบน้ำเสร็จถึงกับสะดุ้ง
“นี่พี่ยังนั่งอยู่อีกเหรอเนี่ย!...... “จูนรีบคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้มาสวมทับทันที
“ก็พี่เป็น...” ถึงจะอยากพูดต่อแต่เพราะมือที่ยกขึ้นของเด็กหนุ่มทำให้เขาต้องหยุด
“.............” จูนสูดลมหายใจเข้าลึก เด็กหนุ่มดึงผ้าขนหนูลงแล้วโยนไปอีกทาง ดวงตารีเรียวมองใบหน้าคมของคนตรงหน้าอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์
“มองพี่แบบนั้นทำไม?” เคนเอ่ยถาม
“ผมอยากต่อยพี่....” จูนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “แต่มันน่าเสียดายว่าพี่ต้องใช้หน้านั่นถ่ายหนังวันนี้...และผมรู้ว่าถ้าผมต่อย นักมวยอย่างพี่ก็จะหลบทัน....”
“ก็ต่อยสิ...เชื่อเถอะว่าพี่จะไม่หลบแม้แต่ก้าวเดียว” เคนตอบ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังคิดอะไร ความกราดเกรี้ยวทั้งหลายมันปรากฏอยู่ในสองตานั้น มือแกร่งเอื้อมไปจับหมัดที่กำแน่นของอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มสะบัดมือของอีกฝ่ายออกแทบจะในทันที
....ผั่วะ!!....
คนตัวใหญ่ถึงกับเซตามแรงที่เหวี่ยงมากับช่วงแขนนั้น รู้สึกมึนจนต้องถอยกลับไปนั่งลงกับเตียง ความชาแล่นไปทั้งหน้า แต่กระนั้นก็ยังพยายามที่จะยิ้มออกมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนหอบหายใจแรงคล้ายกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผิวแก้มของจูนแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
“ดีขึ้นไหม?” แม้ไม่มั่นใจนักแต่ก็ยื่นมือออกไป จูนปัดมือของเคนออกไปอีกทาง
“ไม่! และรอยพวกนี้มันก็ไม่หายไปด้วย!” เด็กหนุ่มเปิดเสื้อให้อีกฝ่ายดูว่าเคนทำมันเป็นรอยมากขนาดไหน ร่องรอยบนผิวขาว รอยขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือของเคนบนกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่มทำ ให้หัวใจของของคนที่ได้เห็นภาพนั้นไหววูบ
“จำไว้นะ..อย่ามาทำแบบนี้กับผมอีก ถ้าไม่ใช่บทก็อย่ามาจับ อย่ามาเข้าใกล้ผมอีก เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นี่มันร่างกายของผมพี่ไม่มีสิทธิ์มาทำให้มันเป็นแบบนี้!!” จูนเอ่ยด้วยความโกรธ โกรธเสียจนเสียงที่เปล่งออกมานั่นสั่นพร่ารู้สึกเหมือนความไว้วางใจของเขาถูกทรยศ เขาทั้งโกรธและเสียใจ ความรู้สึกมันประดังประเดออกมาพร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้น
“พี่ขอโทษ...”
“มันสายไปแล้วล่ะ...ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายของการถ่ายหนัง ผมก็หวังว่าทุกอย่างมันจะจบที่นี่ด้วย และพี่ไม่ต้องมารับมาส่งอะไรผมอีก ผมไม่อยากรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้าพี่” เด็กหนุ่มว่าพลางก้าวขาจะเดินออกไปจากห้องแต่มือแกร่งกลับฉวยมือของเด็กหนุ่มเอาไว้
“ช่วยทำกับผมเหมือนเป็นรุ่นน้องคนนึง.....เหมือนเดิม.....จะได้ไหม”
“ที่พี่ทำมันไม่ทำให้แกรู้สึกอะไรเลยใช่ไหม......” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคล้ายคนหมดแรง
“.................” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้สึก ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นจนพลุ่งพล่าน เร่าร้อนจนไม่อาจจะควบคุมสิ่งใดเอาไว้ได้ มิหนำซ้ำยังทรยศใจเขาไปเรียกร้องการกระทำของอีกฝ่ายอย่างน่าอาย
“กะอีแค่นั้น ใครๆก็ทำให้ตัวเองได้หรอก....มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด” หัวใจมีแรงบีบจนสะท้อนเจ็บไปทั่วอก แต่ก็พยายามสกัดกลั้นเอาไว้
“ระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรพิเศษเลยใช่ไหม....” เคนหลับตาแน่น เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ
....ปกติโดนเตะ โดนต่อยแค่ไหนก็ไม่เคยคิดจะมีน้ำตา...
....ทำไมเช้านี้ แค่คำพูดแค่นี้ถึงอยากจะร้องไห้วะ....
“ปล่อยผม...ได้เวลาที่พี่ต้องไปเตรียมตัว “แสดงบท” ของตัวเองแล้ว” จูนเอ่ยพลางดึงมือของตัวเองออกช้าๆ
“จูน.......” เคนยังเรียกชื่อของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าราวกับคนที่หมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง
“...เห็นมีไอซ์แพ็คอยู่ในตู้เย็น ก็ประคบเอาเองละกัน” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป...
อีกด้านหนึ่งของกำแพงห้อง ยุทธ์กับโชติจัดแสงจัดสภาพห้องให้เหมือนเดิมกับที่เมื่อวานจัดเอาไว้ ถึงทั้งสองคนจะยังอ่อนเพลียและไม่ได้มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก แต่เพราะเรื่องของการถ่ายทำนั้นเป็นอะไรที่ชักช้าไม่ได้อีกต่อไปจึงช่วยกันจัดการงานเสียจนเรียบร้อย
“หิวว่ะ....โชติ...มึงทำอะไรให้กูกินหน่อยสิ” ยุทธ์เอ่ยขึ้นมาหลังจัดไฟในห้องเสร็จ ทำเอาผู้กำกับประจำกองต้องหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ใช่เรื่องกูไหม....ท้องก็ท้องมึง บ้านก็บ้านมึง ครัวก็ครัวมึง หิวก็ไปหาของยัดทานเอาเอง....ก็แล้วกัน” โชติตอบกลับอย่างเย็นชาพลางยกเก้าอี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉากที่
“โธ่....คุณโชติครับ....นะครับ...ไข่ดาวฝีมือคุณโชติน่ะ อร๊อย อร่อยหาใครเปรียบได้........”ยุทธ์เป็นฝ่ายถลาเข้ามากอดที่ด้านหลังของโชติ เป็นกอดหลวมๆไม่เหมือนกับในยามค่ำคืนเมื่อหลายครั้งคราวก่อนหน้า ถึงจะยึดไว้เพียงชายเสื้อยืดแต่กลับทำให้รู้สึกอุ่นจนใบหน้าของโชติรู้สึกร้อนผะผ่าว....
“มันก็คงจะหาใครเปรียบได้อยู่หรอก นอกจากแม่มึงกับกูเนี่ย....เห็นมึงชมเรื่องกับข้าวอยู่แค่สองคน”
โชติไม่ได้หันกลับมองหน้าของอีกฝ่าย แต่ที่ริมฝีปากนั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าไม่มีหวัง แต่ถึงจะถูกปฏิเสธมาแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆนั้นมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ใช่ว่าเจอปฏิเสธเมื่อคืน วันรุ่งขึ้นจะคุยกันโดยไม่รู้สึกอะไร หรือล้มเลิกสิ่งที่คิดไว้มาตลอดไปเลยได้ในทันที ไม่มีอะไรง่ายดายขนาดนั้นเมื่อพูดถึงความรู้สึกของมนุษย์
“เออ จะว่าไปไข่เจียวฝีมือจูนก็อร่อยนะ”
“ผั่วะ!” ทันทีที่พูดจบประโยค เสียงอะไรบางอย่างก็กระแทกเข้ากับอกของยุทธ์อย่างแรง เมื่อมองดูถึงเห็นได้ว่าเป็นนิตยสารเล่มหนาเตอะ
“โอ้ย ห่าโชติ มึงตีกูทำไมวะ”
“ตีผีตะกละในตัวมึงไง....อยากกินไข่เจียวมึงก็ไปอ้อนให้จูนให้มันทำให้ไป....” คนตัวเล็กกว่าท่าทางหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ในมือที่คว้านิตยสารได้ยังกำสันปกแน่น
“เอ้า...ก็กูอยากกินไข่ดาวนี่...ไม่ได้อยากกินไข่เจียว ถ้ากูอยากกินไข่เจียว กูคงไม่มาอ้อนมึงหหรอกนะ...นะ....โชติคนดี “
ไม่พูดเปล่าเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่าโชติกำลังเงื้อนิตยสารขึ้น ข้อมือของผู้กำกับถูกกำเสียแน่น แล้วรวบเอวของโชติเข้ามาหา ดวงตากลมโตของยุทธ์สบตากับชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนนิ่ง
“อ่ะ.....เอ่อ...........” โชติใบหน้าแดงก่ำ เมื่ออยู่ๆใบหน้าของอีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้เสียขนาดนี้ ทั้งใบหน้าสวยได้รูป ดวงตากลมโต กับริมฝีปากที่โชติรู้ดีว่าจะได้รสบุหรี่แน่หากสัมผัส....เพียงแค่นั้นก็ทำให้ใจของเขาหยุดได้อย่างง่ายๆ
ยิ่งเมื่อยุทธ์ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก....
“เร็วนะ....กูหิวแล้ว” สิ้นเสียงสั่งก็ปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมแขนไม่พอยังลูบหัวของโชติเบาๆ ก่อนจะเดินผิวปากจะออกจากห้องไป
“...หะ.........หะ......ห่ายุทธ์ มึงรู้ใช่ไหมว่ามึงใช้มุกนี้กับกูแล้วจะได้ผล!” โชติตะโกนตามหลังของชายหนุ่มว่าที่นักตกแต่งภายในคนนั้นไป ...อดนึกไม่ได้ว่าต่อไปถ้ายุทธ์ได้รับงานตามสายงานที่เขาได้มาจริง คนๆนี้จะใช้มุกไหนในการติดต่อธุรกิจกันแน่....
“กูรู้ทุกเรื่องทุกซอกของมึง เหมือนที่มึงรู้เรื่องของกูนั่นล่ะ....แถวนี้ไม่ได้มีโชติญานทิพย์คนเดียวนะครับ...ยุทธ์จิตสัมผัสก็ทำงานได้เหมือนกัน ...เร็ว เลิกเข่าอ่อนแล้วมาทอดไข่ให้กินด้วย ” ยุทธ์หันมายิ้มให้พร้อมยื่นมือให้โชติจับเอาไว้ โชติมองมือเรียวนั้นก่อนจะปัดไปอีกทาง
“กะอีกแค่ไข่ดาว ไม่ต้องมากลัวกูหนีเลยห่านี่....” โชติเอ่ยอย่างหัวเสีย ตอนนี้เขายังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกทั้งเขินทั้งโกรธของตัวเองได้ ร่างเล็กกับผมพองฟูพาตัวเองเดินเบียดอีกฝ่ายออกจากประตูลงไปที่ห้องครัวด้านล่างทันที.....
…………………………………………….
มื้อเช้าดำเนินไปอย่างเงียบๆ มียุทธ์กับโชตินั่งด้านหนึ่งของโต้ะในขณะที่จูนและเคนนั่งข้างกันที่อีกด้าน เด็กหนุ่มทานอาหารอย่างสงบในขณะที่เคนที่มักจะพูดจาเสียงดังไปพลางแหย่จูนไปพลาง เช้านี้กลับค่อยๆเคี้ยวอย่างเรียบร้อยราวกับไม่อยากจะขยับกรามให้เจ็บปากมากนัก
“เคน............” โชติที่พยายามระงับอารมณ์มาสักพักใหญ่ถอนหายใจยาวพลางรวมช้อนส้อมเข้าด้วยกัน
“ถามจริงเหอะ มึงไปทำอะไรมาหน้าถึงได้แหกอย่างนั้นน่ะ!”
“เมา....ตกเตียง.....” เคนตอบพลางวางไอซ์แพคลงกับโต้ะดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเล็กน้อย
“ตกเตียง?....หน้าอย่างกับไปโดนใครต่อยมา...”
“เออน่า....รีบไปถ่ายกันดีกว่า จะได้เก็บของลาน้าพร แล้วจะได้รีบๆกลับมอ ให้สมใจคนแถวนี้สักที” ว่าพลางร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเอาจานไปวางที่อ่างล้างจานอย่างกระแทกกระทั้น
.....โกรธสินะ.....
....เสียใจสินะ....
....ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากพี่หรอก....
....พวกเรามันก็เห็นแก่ตัวพอๆกันนั่นล่ะ.....
“จูน!!”
“หะ!?” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันไปปอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งข้างทางหลวงระหว่างการเดินทางกลับ ที่แวะพักเพราะเห็นว่าโชติอยากจะของีบสักพักในขณะที่ยุทธ์ก็อยากจะทำตัวให้สดชื่นขึ้นอีกสักนิดก่อนจะรับช่วงขับรถต่อ....
“อ่ะ พี่โชติ มีอะไรเหรอครับ....”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นแกเหม่อๆ....” โชติว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
“ฮ่ะๆ.....คงแค่ง่วงๆมั้งพี่ จะหลับก็ไม่หลับ สงสัยจะเหนื่อยเกินหลับแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ มองไปรอบๆได้กลิ่นน้ำมัน เห็นไฟสว่างวาบจากรถบรรทุกที่สัญจนในยามค่ำคืนสาดเข้ามาเมื่อเลี้ยวเข้าปั้ม ยุทธ์คงไปเดินสูบบุหรี่ที่ไหนสักที่....ทุกอย่างดูเชื่องช้าอย่างน่าประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดเมื่อตอนถ่ายทำนั้นได้ผ่านไปราวกับความฝัน
“แต่วันนี้ก็ถ่ายได้ดีนะ ฉากของแกกับเคน....” โชติเอ่ยชม ทุกอย่างผ่านไปได้รวดเร็วจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นคนสองคนเดียวกับที่เขาต้องสั่งเทคเป็นยี่สิบสามสิบเทคเมื่อเกือบสองเดือนก่อน
“พี่ว่าพวกแกก็ตั้งใจซ้อมกันดี ....ผลมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ก็ต้องขอบใจแกจริงๆ ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ความคิดบ้าๆของพี่” โชติเอ่ย มือเล็กนั่นยกขึ้นตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“ขอบคุณครับพี่ ...ถ้าพี่โชติชอบผมก็ดีใจ ผมอยากมีส่วนร่วมในงานของพี่นะ...พี่น่ะ ไอดอลของผมเลย” รุ่นน้องที่รับบทนำยิ้มกว้าง
“แกทุ่มเทกับการซ้อมก็ดีแล้ว...แต่พี่ไม่ได้อยากได้รอยช้ำจริงๆในฉากนะ”
“......... “ คำพูดที่ได้ยินทำให้เผลอทำกระป๋องกาแฟสำเร็จรูปตกลงกับพื้น แต่เด็กหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ ดวงตารีเรียวนั้นเบิกโพลงก่อนจะหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
“พี่รู้? “
“ไอ้ตัวดี...” โชติถอนหายใจก่อนจะตบลงบนบ่าของรุ่นน้องเบาๆ
“จะดูถูกตาผู้กำกับไปหน่อยมั้งถ้าจะบอกว่า รอยพวกนั้นเป็นเมคอัพน่ะ....”
“ผม....ขอโทษ......” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า ในตอนที่จะเข้าฉากถ่ายทำพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องเปลือยท่อนบนถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นไม่ได้เหมาะแก่การถูกถ่ายทำเลยแม้แต่น้อย....จึงได้โกหกออกไปแบบนั้น
“ไอ้เคน.....มันเป็นคนทำใช่ไหม”
“...................” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เพียงแต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนพยักหน้าลงอย่างจำใจ
“แล้วมันบังคับแกรึเปล่า” โชติหันมองซ้ายขวา ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม
จูนตั้งใจจะพยักหน้า แต่ความทรงจำของเขามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
“แต่พวกผมไม่ได้มีอะไรกันมากไปกว่า.....แค่จับนะพี่” น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาข้างหนึ่งอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ เขาปฏิเสธความจริงที่น่าอายนี้ไม่ได้
“ขอโทษ....ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้อีก” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยกหลังมือขึ้นปาดข้างแก้ม พยายามจะหยุดตัวเองอยู่ที่น้ำตาหยดเดียวนั้นให้ได้
“อย่าร้องสิวะ....สรุปนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เคนมันลงจากรถไปตอนถึงนครปฐม รึเปล่า”รุ่นพี่ผมฟูดูมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อยตอนที่พูดถึงบุคคลที่สาม
“ผม........คิดว่าคงใช่...” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มร่างสูงที่เอ่ยกับเขาตอนที่ขับรถตู้กันมาจนผ่านจังหวัดนครปฐม
‘พี่ไม่อยากเห็นแกนั่งทำหน้าลำบากใจไปตลอดทาง....’
‘แล้วเจอกันที่มหาลัยนะ.....ถ้าแกยังอยากจะเจอ.......’
ใจจริงของเขานั้นอยากจะห้าม อยากจะบอกออกไปว่า ‘ทางอีกตั้งไกล จะกลับยังไงคนเดียว’ อยากจะบอกออกไปว่า ‘กลับด้วยกันเถอะ’ แต่ปากของเขาก็หนักเหลือเกินเมื่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังย้อนกลับเข้ามาอยู่ในหัว เขาปล่อยให้แผ่นหลังกว้างของร่างสูงนั้นค่อยๆเดินห่างออกไปพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบโต แผ่นหลังนั้นยังยืดตรงเหมือนทุกที เพียงแค่สิ่งที่ต่างออกไปคือบนใบหน้าคมนั้นยามที่บอกลาไม่ได้มีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นให้เหมือนกับทุกครั้ง....แววตาที่เป็นประกายนั้นก็หายไปเช่นกัน
“ผม.....เป็นคนทำให้พี่เคนไปเอง.... ” เด็กหนุ่มเอ่ย ในอกรู้สึกอึดอัด อันที่จริงเขารู้สึกอึดอัดมาตลอดทางนับตั้งแต่เคนตัดสินใจจะลงจากรถไปมันอึดอัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆกิโลเมตรที่รถวิ่งผ่านและเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทนต่อไปได้อีกแค่ไหนจนกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย จูนเงยหน้าขึ้นพยายามมองขึ้นไปให้สูงที่สุดแม้ไม่รู้ว่าสายตาจะจับจ้องไปที่ใด แต่อย่างน้อยคงช่วยให้น้ำตาไม่ไหลลงมาได้อีก
“จูน....นี่แก...ชอบไอ้เคนมันเหรอ”
โชติตัดสินใจถามออกไป เขารู้ดีถึงความรู้สึกของเคน ถึงเคนจะไม่เคยบอกเขามาตามตรงแต่ท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนโจ่งแจ้งนั้นไม่ใช่อะไรที่ต้องคาดเดาให้ยากนัก ตรงกันข้ามกับท่าทีของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ถึงจะรู้ว่าจูนชอบคนหน้าตาดี แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกทั่วไป คนเราชื่นชมความสวยงามบนร่างกายของคนอื่นได้เสมอๆ ไม่ใช่ท่าทางในแบบที่จูนกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูจะมีความหมายสำหรับตัวของเด็กหนุ่มผมทองคนนี้ไม่น้อยเลย
“ผม........ไม่........ผมไม่รู้” ปากอยากจะปฏิเสธ แต่ใจมันก็บีบแรงทุกครั้งที่คิดจะทำอย่างนั้น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจแรง ร่างกายคล้ายจะสั่นเทิ้ม จนโชติต้องจับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้
“เฮ้ย....พอ ไม่รู้ ไม่อยากคิด ก็พอ....”
“ครับ........แต่พี่โชติ.......” เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ
“อะไร......”
“พี่ยุทธ์ไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม....อย่าเพิ่งบอกพี่ยุทธ์นะ..มัน....น่าอาย”
“อื้ม...ไม่บอกหรอก....” โชติรับคำพลางยิ้ม “ไป เตรียมตัวออกเดินทางกัน ....แกนั่งไปกับไอ้ยุทธ์มันนะ พี่ขอนอนหน่อย”
“ครับ....” จูนเองก็ยิ้มตอบ ก่อนจะก้มลงเก็บแก้วที่ทำตกลงไปเมื่อครู่ ในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแต่มันก็อาจจะดีกว่าการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองแค่คนเดียว แม้บทสนทนาครั้งนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบให้กับคำถามในใจของเขาก็ตาม
“ไป............” โชติว่าพลางดันไหล่ของรุ่นน้องเบาๆ เขามองร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆเดินกลับไปที่รถ รู้ดีว่าเพิ่งจะโกหกคำโตกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อคำโกหกในคราแรกของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แนบเนียนเท่าไรนักและยุทธ์ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ทำไมคนอย่างยุทธ์จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ตัวเองกำลังรู้สึกดีๆด้วย
เขาจำแววตาของยุทธ์ที่มองไปยังผิวกายของจูนได้เป็นอย่างดี แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธเกรี้ยวซึ่งสำหรับเขาแล้วมันน่าสนุกไม่น้อยกับการคาดเดาว่ายุทธ์จะทำอย่างไรต่อไป
....จะเลือกเป็นพี่ชายที่แสนดี.....
....หรือจะเลือกเปิดเผยตัวเองให้อีกฝ่ายรู้สักที.....
....ที่แน่ๆ งานนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดหรอก.....
to be continued......
-
สัมผัสได้ถึงความ'มันส์'สุดๆ :z2:
เหมือนพี่โชติเป็นผู้คุมเกมส์ รอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง :katai1: :ling1:
แต่ว่านะ :hao7: ไข่อ่ะ ไข่อ่ะ :haun4: :haun4: อยากกินไข่ดาวอ่ะ55555555555
-
@@@talk@@@
ก่อนอื่นขอโทษนักอ่านทุกคนที่คนเขียนหายตัวไปนาน
สองเดือนพอดีเลย ....ที่โพสต์ช้าคือ ไม่มีเวลาค่ะ
พอดีตอนนี้มาอบรมที่ต่างประเทศ งานยุ่งหัวปั่นมาก มีพล็อตแต่หา
ช่วงเขียนไม่ได้ วันนี้ฤกษ์ดีครบรอบสองเดือนเลยขอโพสต์หน่อยนะคะ
Chapter36 : เป็นห่วง?
เช้าวันเปิดเรียนวันแรกหลังจากปีใหม่ บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียดในช่วงสอบหายไป มีเพียงรอยยิ้มและเสียงทักทายของเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบเจอกันมาหลายวัน ห้องเรียนที่คุ้นเคยยังคงมีกลิ่นอายแห้งๆของฤดูหนาวในยามเช้า อุณหภูมิที่มหาวิทยาลัยนั้นต่างจากที่ชายทะเลอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของจูนดีขึ้นเลย เด็กหนุ่มผมทองที่เซ็ทผมมาเป็นอย่างดีโดยไม่ลืมที่จะกรีดเส้นอายไลน์เนอร์เน้นดวงตาให้ดูกลมโตเดินอาดๆเข้ามาในห้องเรียน และทันทีที่หย่อนก้นลงกับเก้าอี้ก็ถอนหายใจยาวท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่ได้เข้ากับทรงผมหรือเสื้อกันหนาวสีสดที่คลุมกายอยู่แม้แต่น้อย
“อะไรวะจูน ปีใหม่เจอหน้าเพื่อนนี่ถึงกับถอนหายใจเลยเหรอ” เสียงแหบห้าวของปิ๊กดังขึ้นพร้อมกับเสียงลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ๆ
“เออ..... เจอหน้าแกเนี่ย....”
“ต๊าย นั่นปากเหรอยะ อะไรเจอหน้าสวยๆของฉันแล้วแกก็ทอดถอนหายใจเพราะหาทางสวยสู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เด็กสาวยังจีบปากจีบคอไม่เข้ากับเสียงแหบห้าวนั้นเลยสักนิด
“ครับๆ จะว่าไงก็ว่าไปเถอะ สวยไม่สู้แกหรอก” เห็นท่าทางของเพื่อนแบบนั้นทำให้อดที่จะยิ้มน้อยๆที่มุมปากไม่ได้
“เห็นว่าปีใหม่ไปทะเลมา แล้วไหนล่ะ ของฝาก” ปิ๊กว่า คำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้นก็ทำให้เพื่อนสาวอีกทั้งกลุ่มหันขวับมาด้วยสายตาแบบเดียวกันก่อนจะพูดกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ไหนล่ะคะ ของฝาก.....” สาวๆ ลากเสียงยาวโดยมีแพรเป็นต้นเสียงราวกับเป็นลูกคู่กับปิ๊กอย่างไรอย่างนั้น
“......ครับๆ นี่ครับสาวๆ เชิญตามสบาย” สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้ต่อสายตาอ้อนวอน เขาเองก็คงจะทนแบกถุงขนมหวานห่อใหญ่ไว้ในกระเป๋าเป้ได้อีกไม่นาน เด็กหนุ่มดึงถุงขนมออกมายื่นให้กับเพื่อนๆ
“แบ่งกันนะ...อย่าแย่งกันล่ะ”
“ค่ะ แม่...................!!” สาวๆพร้อมใจกันหันมารับคำ ทำเอาจูนต้องยกเท้าขึ้นยันเก้าอี้ของแพรที่อยู่ข้างหน้าเล็กน้อย
“ใครเป็นแม่ไม่ทราบ.....”
“อะไร แค่นี้ก็โกรธด้วย ก็จูนอ่ะ ใจดี เอาใจใส่พวกเราแบบนี้ไม่ให้เรียกว่า แม่ ได้ไง เน้อ....ส่วนยัยปิ๊กน่ะ ทุกคนเขายกให้เป็นพ่อเลย ถ่อยไม่สมหญิงแบบนั้น.....อื้ม เป็นพ่อนั่นล่ะถูกแล้ว”
“อ้อ แน่ล่ะ...” ปิ๊กแสร้งพูดด้วยเสียงทุ้มกว่าเดิมพลางกอดไหล่ของเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มเข้ามา
“ มีพ่อ ก็ต้องมีแม่...จริงไหมเมียจ๋า....” เด็กสาวร่างท้วมหันไปหวังจะแหย่เพื่อนแต่ก็ต้องหยุดเมื่อสายตามองผ่านเส้นผมที่ปรกตรงต้นคอเข้าไปเห็นร่องรอยเป็นจ้ำบนผิวเนื้อของเด็กหนุ่ม
“จูน....แกไปโดนอะไรกัดมาวะ......” ถึงในใจจะพอคาดเดาได้ก็ถามไปอ้อมๆ
“อ่ะ....เอ้อ....เจอแมลงน่ะ ช่างมันเหอะ” จูนว่าพลางดึงคอเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับตัวถอยห่างจากเพื่อน “รีบๆไปนั่งที่ไป เดี๋ยวอาจารย์มาได้โดนด่ากันพอดี .....”
..........................................................
เวลาพักเที่ยงผ่านมาถึงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เพื่อนๆหลายคนในเอกกำลังบ่นโอดโอยกับคะแนนสอบกลางภาคที่อาจารย์ประกาศแบบไม่ให้ทำใจ สิ่งที่จูนทำกลับตรงกันข้าม เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่ริมสุดของโต๊ะที่มีเพื่อนๆรายล้อม ช่วงขายาวนั่งไขว่ห้างเขย่าเบาๆ ปลายนิ้วที่เล่นอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเลื่อนขึ้นลงราวกับไร้จุดหมาย ก่อนดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแท็คเลนส์จะสะดุดกับชื่อของใครบางคนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
....KEN_TKO…
รูปประจำตัวที่เจ้าตัวเก็กหน้าเหี้ยมคู่กับนวมสีดำนั่นอาจดูน่ากลัวไม่น้อยสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่สำหรับจูนแล้วรูปที่เห็นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัว...ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกหงุดหงิดคล้ายกับไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้าให้จนต้องเบือนหน้าออกจากจอโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
“เดี๋ยวไปซื้อข้าวก่อนนะ.... “ เด็กหนุ่มยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้น พลางเดินไปยังร้านอาหาร ข้าวเมนูแกงเขียวหวาน กับไก่ทอดราดข้าวยังเป็นเมนูโปรดและสิ้นคิดเหมือนทุกที ร่างสูงโปร่งก้าวอาดๆหลบหลีกนักศึกษามากมายที่หลั่งไหลเข้ามาที่โรงอาหารประจำคณะในตอนเที่ยงตรงไปซื้อน้ำ แต่ในขณะที่กำลังจะควักเงินจ่ายค่าน้ำก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดเข้าที่ข้างหลัง
“สวัสดีปีใหม่จ้ะ จูน”
เสียงหวานดังขึ้นและเมื่อหันกลับไปก็พบกับร่างเล็กในชุดนักศึกษาดูน่ารักที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผิวสีน้ำผึ้งสวยรับกับดวงตากลมโต ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีอ่อนใสที่คลี่เป็นรอยยิ้มนั้นเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก
“พี่นิด......สวัสดีครับ” จูนไม่รู้ว่าจะยิ้มให้กับอีกฝ่ายดีหรือไม่ จึงได้เอ่ยทักออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆ
“กินข้าวเหรอ...”
“อ่ะ ครับ” เด็กหนุ่มว่าพลางยกจานข้าวกับแก้วน้ำหลบออกมาจากหน้าร้าน “พี่นิดมีอะไรรึเปล่าครับ”
“อ้อ ไม่มีหรอกค่ะ พอดีจะไปเรียนน่ะ เดินผ่านมาทางนี้ แล้วเห็นจูนเลยเข้ามาทัก “หญิงสาวตอบ เธอเดินผ่านมาทางโรงอาหารคณะของจูนเพราะมีเรียนที่คณะนี้พอดี แต่ก็ต้องสะดุดเข้ากับสีผมแปลกตากับร่างสูงของเด็กหนุ่มจึงอดที่จะเดินเข้ามาทักไม่ได้
“เหรอครับ..... “ เด็กหนุ่มรับคำ ไม่ค่อยกล้าที่จะสบตากับอีกฝ่ายเท่าไรนัก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นิดเป็นผู้หญิงที่สวย นั่นเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ตามปรกติเขาก็ชื่นชมคนที่มีบุคลิกหน้าตาดีอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่หัวใจจะเต้นเช่นนี้ แต่ในวันนี้กลับต่างออกไปหัวใจของเขากำลังเต้นรัว...ด้วยความรู้สึกผิด ความผิดที่เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองได้ก่อลงไปแล้วหรือยัง
“แล้วเป็นไงคะ ถ่ายหนังสนุกไหม...นี่ท่าจะแดดแรงนะ เหมือนจูนจะคล้ำกว่าคราวที่แล้วที่พี่เห็นอีก” นิดยิ้มน้อยๆ ท่าทางขี้เล่น
“ก็...นิดหน่อยน่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เขาคงยกมือขึ้นลูบคอด้วยความเขินเหมือนทุกทีหากสองมือไม่มีทั้งจานข้าวกับขวดน้ำอยู่ด้วย
“แล้ว...พี่เคนเล่นดีไหมคะ”
“................................................” ทันทีที่มีชื่อบุคคลที่สามดังขึ้นเด็กหนุ่มเผลอขยับถอยเล็กน้อย
“อ่ะ....เอ่อ.....ก็ดีครับ สมบทบาท”
“แล้วเมื่อไรจะได้ดูล่ะเนี่ย...ไม่เห็นพี่เคนบอกอะไรพี่บ้างเลย นี่เห็นจูนกลับมาแล้วพี่ยังแปลกใจเลยนะ เพราะเจ้าตัวก็ไม่เห็นโทรมาบอกว่ากลับมาแล้ว พี่นะโทรไปหาก็ไม่รู้เอามือถือไปวางที่ไหน ไม่เห็นรับเลย” หญิงสาวพูดพลางทำหน้ามุ่ย ก่อนดวงตากลมโตแวววับนั้นจะหันมามองทางจูนอีกรอบ
“ถ้าจูนเจอตัวพี่เคนช่วยบอกให้โทรหาพี่ด้วยนะคะ บอกไปเลยว่าไม่งั้นพี่จะงอนจริงๆด้วย” ท้ายเสียงนั้นฟังดูจริงจังอยู่ใช่ย่อย
สีหน้า น้ำเสียงและท่าทางของหญิงสาวยิ่งทำให้จูนรู้สึกเจ็บ ผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้มารับรู้เรื่องราววุ่นวายของเขากับแฟนหนุ่มของเธอเลยแม้แต่น้อย และดูท่าทางจะไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าหัวใจของคนที่เธอถามหานั้นอาจจะกำลังหลงทางอยู่ในความมืดท่ามกลางป่าที่ไหนสักแห่งที่เคนใช้คำเรียกว่า “รัก” ออกมาได้อย่างไม่รู้สึกผิดอยู่ก็เป็นได้
“ครับ.......เดี๋ยวผมจะลองตามให้นะครับ” จูนรับคำ ในใจนึกประหลาดใจที่นิดยังติดต่อกับเคนไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นได้ติดต่อใครบ้างหรือเปล่าหลังจากที่ลงรถไป ถ้ากับแฟนทั้งคนยังไม่ติดต่ออะไรแบบนี้ ทั้งยุทธ์ โชติ จะรู้อะไรบ้างไหม หรือต้องไปถามกับเพื่อนที่คณะของเคน ในใจของจูนนั้นรู้สึกงุนงงกับข้อมูลใหม่อยู่ไม่น้อย ถึงจะรับปากนิดไปเช่นนั้นแต่ก็ยังตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง....ว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่
..........................................................................
จากคำพูดที่เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิดเมื่อกลางวัน กลับกลายเป็นว่าทำให้เขาต้องมานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงแบบนี้
KEN_TKO
ชื่อที่ใช้แทนตัวของใครบางคนปรากฏหลาอยู่บนหน้าจอที่ยิ่งเห็นก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคนไปอยู่ที่ไหนแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาเรียน นี่แค่วันแรกของการเปิดเทอมก็ดูท่าตัวแฟนสาวจะเป็นห่วงมากมายแล้วและถ้าหากยังไม่ยอมกลับมาสักที เขาไม่ต้องทนเห็นสายตาที่สดใสนั่นต้องขุ่นมัวไปอีกหลายวันอย่างนั้นหรือ ยิ่งนึกยิ่งมีคำถามยิ่งนึกโกรธคนที่ “หายไป” คนนั้นมากเข้าไปอีก
“ไอ้หมีควายเอ้ย..... นึกจะไปก็ไปน่ะก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยรับผิดชอบแฟนหน่อยสิวะ ปล่อยให้เขามาวิ่งถามหาแบบนี้ได้ยังไง”
จูนพึมพำออกมาเบาๆก่อนที่ปลายนิ้วจะขยับกดลงบนแป้น พิมพ์ข้อความลงไป
“อยู่ที่ไหน..... “
“ทำไมไม่มาเรียน....”
“เมื่อไรจะกลับ........ “
ข้อความที่พิมพ์ลงไปติดๆกันนั้นราวกับจะดังออกมาจากหัวใจของตัวเขาเอง เด็กหนุ่มจ้องตัวหนังสือบนหน้าจอแล้วกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ก่อนจะหลับหูหลับตากดส่งข้อความนั้นออกไป แล้วเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง พลางล้มตัวลงนอน มือเรียวคว้าตุ๊กตาขนนุ่มแถวนั้นเข้ามากอดเอาไว้ก่อนจะข่มตาลง หวัง...ว่าจะนอนหลับลงให้ได้ในค่ำคืนที่มีแต่เมฆหมอกปกคลุมจิตใจแบบนี้
แต่ตลอดทั้งคืนนั้นก็ผ่านไปโดยที่ไม่มีเสียงเตือนใดๆดังขึ้นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้ตอบข้อความกลับมาแต่อย่างใด และมันยิ่งน่าหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อมองดูหน้าจอของบทสนทนานั้นแล้วพบว่ามีใครบางคนได้อ่านข้อความนั้นแล้วเรียบร้อย
เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันด้วยความไม่พอใจและไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมตอบกลับข้อความของตัวเอง
....กะอีแค่พิมพ์ตอบนี่มันลำบากนักหรือไง....
จูนคิด เขาก็แค่อยากจะได้คำตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น แม้ไม่ได้มาจากปากของอีกฝ่ายโดยตรงแต่อย่างน้อยการติดต่อสื่อสารแบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้มีการติดต่ออะไรเลย ปลายนิ้วเรียวจิ้มลงบนหน้าจอทำการก๊อปปี้ข้อความเหล่านั้นแล้วแปะลงไปบนช่องสำหรับกรอกข้อความอีกครั้งก่อนจะกดส่ง
ข้อความเดิมๆถูกถามซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาตลอดทั้งอาทิตย์ เช่นเดียวกับคำถามจากปากของหญิงสาวร่างเล็กที่ถามเขาด้วยคำถามซ้ำๆ ด้วยสายตาและน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
“...........เฮ้อ.........”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมลมเย็นทีพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เด็กหนุ่มเท้าคางกับกรอบหน้าต่าง ดวงตารีเรียวเหม่อมองออกไปยังด้านนอก ได้ยินเสียงรถราจากถนนด้านล่าง ในใจนึกไปถึงหลายครั้งหลายคราวในอดีตที่จะได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของใครบางคนแผดเสียงลั่นตั้งแต่ปากซอยเข้ามาจนถึงลานจอดรถด้านล่าง ลมหนาวที่พัดผ่านมากระทบผิวกาย ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกลึกเข้าไปจนถึงข้างใน
“ทำไมชอบหาเรื่องให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ตลอด..........” เด็กหนุ่มพึมพำ ก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทรของคนที่ขาดการติดต่อไป แต่ปลายสายกลับไม่มีเสียงตอบรับ ไม่ว่าจะรอนานสักเท่าไรก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีเสียงตอบรับ จนในท้ายที่สุดสัญญานนั้นก็ถูกตัดเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทีแสนจะคุ้นหู
.....หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้.....
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้นจูนรีบกดตัดสายแทบจะในทันทีก่อนนจะถอนหายใจออกมายาวด้วยโล่งใจระคนไปกับความตื่นเต้นที่ไม่อาจห้ามตัวแองเอาไว้ได้ สิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นไม่ใช่การที่ไม่รู้เรื่องราวของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้ใจของเขาสั่นยิ่งกว่าสิ่งใดในตอนนี้ คือหากอีกฝ่ายรับสายขึ้นมาแล้วเขาควรจะทำอย่างไรมากกว่า โชคดีที่ในครั้งนี้ทางเลือกนั้นยังมาไม่ถึงความหนักใจจึงผ่อนเบางได้บ้าง
ในทางกลับกันเด็กหนุ่มต้องคอยตอบคำถามของแฟนสาวของชายหนุ่มร่างสูงที่หากไม่ส่งข้อความมาถาม ก็โทรศัพท์มาหาแบบที่เรียกได้ว่าวันเว้นวัน และคำตอบที่เขาให้ได้ก็มีเพียงแค่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายเท่านั้น แต่เขาจะทำอะไรได้...มีอะไรที่เขาพอจะทำได้อย่างนั้นหรือ จูนได้แต่ถามตัวเองแบบนั้นและทุกครั้งก็จบลงที่เขากดเบอร์โทรศัพท์หมายเลขเดิมเพื่อไปรอฟังเสียงสัญญานก่อนตัดเข้าสู่ระบบรับฝากข้อความเท่านั้น
“..............” เสียงสัญญานดังที่ข้างหูเหมือนทุกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจ คิดเพียงแค่ว่าอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาที่ปลายสายไม่เคยตอบอะไรกลับมา
“ฮัลโหล”
“อ่ะ........”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้คนที่เป็นฝ่ายกดโทรศัพท์โทรไปหาต้องอุทานออกมาเบาๆ
ปลายสายคงไม่ได้รู้ได้เลยว่าคนที่โทรมานั้นกำลังรู้สึกอย่างไร จูนรู้สึกได้ว่ามือที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น เพียงแค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังอยู่ที่ข้างหู ในหัวพาลนึกไปถึงค่ำคืนนั้นที่อีกฝ่ายกระซิบลมร้อนที่ข้างหูของเขาอย่างยั่วเย้า
“ถ้าจะโทรมาเพื่อไม่พูดอะไรแบนี้ก็จะวางสายไปก็ได้นะ” ปลายสายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
....ไอ้หมีควายนี่ ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ?!.....
พลันความคิดของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนจากความหวามไหวเป็นกร่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เด็กหนุ่มก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นจากการรอคอยมาหลายครั้งหลายคราแล้วอีกฝ่ายยังจะมาพูดกับเขาแบบนี้อีก
“พี่ไม่ว่างรับ” ความเฉยชาในน้ำเสียงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป จนเด็กหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จูนเหมือนได้ยินเสียงผู้คนดังโหวกเหวกจากปลายสาย จนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้เคนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
“พี่คงกำลังยุ่ง ผมจะไม่ทำให้พี่เสียเวลานานนัก ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ก็เถอะ....แค่อยากจะบอกให้พี่รู้ไว้ว่า มีคนเป็นห่วง” ท้ายเสียงของเด็กหนุ่มแหบพร่าเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังย้อนขึ้นมาตันอยู่ที่อก มันเป็นความโกรธ เป็นความสงสัย เป็นความกังวลที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงเสียจนเผลอยกมือขึ้นถูเบาๆที่อกข้างซ้าย
“เป็นห่วง?....ใครล่ะ” เสียงของรุ่นพี่ร่างใหญ่ที่ถามกลับมานั้นคล้ายจะหัวเราะอยู่เล็กๆที่ปลายสาย เสียงหัวเราะที่ยิ่งทำให้คนโทรไปหายิ่งรู้สึกสับสนว่าในตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคุยกับเขาด้วยอารมณ์แบบไหนกันแน่
“ยังจะถามได้อีกว่าใคร ก็แฟนพี่น่ะสิ รู้รึเปล่าว่าพี่นิดเขาเป็นห่วงพี่จะตาย นี่เที่ยวมาถามมาตามมาเช็คกับผมแทบจะทุกวันเลยนะ”
“.....หึ...ที่แท้ก็แค่ทำตัวเป็นม้าเร็วรับใช้เจ้าหญิงมาส่งข่าวสินะ พี่นี่มันโง่จริงๆ” เคนแค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยัน “นี่ ขอทีเหอะ เลิกทำเป็นใจดีไปทั่วแบบนี้สักทีจะได้ไหม”
“นี่พูดแบบนี้คิดจะหาเรื่องกันรึไง...” จูนขมวดคิ้วมุ่น มือเรียวเผลอกำโทรศัพท์แน่นเมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงตำหนิจากอีกฝ่ายแบบนั้น
“แกขอนี่....ใช่ไหม...ขอให้พี่ทำกับแกเหมือนเป็นรุ่นน้องคนนึงเหมือนเดิม...” ที่ข้างหูของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงทุ้มนั้นค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ...อย่าเที่ยวโทรมาเหมือนมันไม่เคยมีอะไรเลยจะได้ไหม”
“นั่นมันเป็นผมต่างหากที่ควรจะต้องพูด! ใครกันที่ตัดสินใจเองเออเอง ทิ้งผู้หญิงให้เขารอ ให้เขาเป็นห่วงจนต้องมาตามเช้าตามค่ำกับผมทุกวันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน!” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยอารมณ์เดือดดาล ความหนักอึ้งที่ทับถามลงมาตลอดสัปดาห์กว่าๆที่ผ่านมานั้นมันทำให้หัวใจของจูนอ่อนล้าไม่แพ้กัน
“....พี่รู้ว่านิดเป็นห่วง” เคนเอ่ยขึ้นประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แต่ที่พี่ไม่รู้...คือแกเป็นห่วงพี่บ้างรึเปล่า?”
“................เอ่อ.............”
จูนได้ยินเสียงของร่างสูงมันชัดเจนราวกับอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ห่างกันเลย และเพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายร่างสูงคนนั้นจะกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ก็แทบจะทำให้ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นมันเอ่อล้นออกมาอยู่แล้ว
.....เป็นห่วงไหม.....
....ถึงจะมีคำตอบ....
....แต่คิดว่ามันจะพูดออกไปได้ง่ายๆหรือยังไง....
“เห็นไหม ถามไปแกก็ตอบไม่ได้ เลยไม่อยากจะรับโทรศัพท์ไง เพราะถ้ารับแล้วต้องรู้ความจริงแบบนี้ สู้ไม่รับแล้วให้พี่ค่อยๆเลิกเพ้อไปเองเสียยังจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าพี่เพิ่งบอกรักแกไปนะ อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพยายามทำตัวเป็นคนดีแบบนี้จะได้ไหม มันเจ็บเหมือนกันนะเว้ย.... แต่ยิ่งเห็นแกเป็นแบบนี้ มันก็ยิ่งยากที่จะทำตามที่แกขอ....เพราะยิ่งเห็นแกคิดถึงจิตใจของนิดแบบนี้ ยิ่งนึกอยากจะรัก อยากจะกอด อยากจะจูบแกมากขึ้นไปอีก” ถ้อยคำหวานเจือความเจ็บปวดทำให้เสียงของเคนแหบพร่า
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง.....” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อีกฝ่ายยังคงส่งความรู้สึกมาถึงใจเขาราวกับคลื่นลมในทะเลที่สาดกระทบเข้าฝั่ง รุนแรงและทำให้ใจของเขาสั่นไหว
“ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไร ก็อย่าโทรมาอีก” น้ำเสียงของเคนที่เอ่ยกลับมานั้นเย็นเยียบ
“แล้วพี่ทำอะไร อยู่ที่ไหน จะให้ผมไปเจอพี่นิดโดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“เรื่องของนิดพี่จะทำให้มันจบเอง ไม่รบกวนแกให้ลำบากใจหรือเสียเวลาอีกแล้ว ขอบใจมาก”
“แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไร” เด็กหนุ่มรีบถามกลับ รู้สึกหวั่นใจว่าถ้าการสนทนาครั้งนี้จบลงแล้วพวกเขาจะยังได้พูดคุยกันอีกไหม
....คิดจะหนีไปให้จนสุดเลยใช่ไหม....
....อย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ.....
“เมื่อไรก็เมื่อนั้น.....” เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่จะได้ยินเสียงสัญญานดังถี่ๆ จากปลายสาย
สายขาดไปเสียแล้ว ....
to be continued....
-
ไอ้หมีควายยยยยย :katai1:
ตัดสายน้องทำไมวะ? :katai5: ต้องการอะไรหะ?! ถ้าทำให้มันชัดเจนกว่านี้นะ
น้องจูนยอมนานแล้วเว้ย :m31: ของขึ้นกับอีพี่เคนจริงๆ :ling1:
-
ยินดีต้อนรับบบบบบบบบบบบบ :pig2:
ย้อนไปอ่านมานิดหน่อย "อยากทอดไข่ดาวให้พี่ยุทธ์เลย" แอร้ย :-[
น้องจูนคงจะลำบากใจล่ะนะ ทั้งโดนแฟนคนอื่นขอให้ตามหาแฟน แถมต้องทำไม่ห่วงไอ้หมีควายบ้าพลังงี่เง่าแบบนั้น
ไอ้หมีควาย ไอ้หมีบ้า!!!!! :angry2: :angry2:
-
@@@ Talk @@@
มาอัพกันส่งท้ายปี
ขอให้ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ นักอ่านทุกคน มีความสุขมากๆนะคะ
......................
Chapter 37 : เลิก? เจ็บ ?
โต๊ะอาหารทำจากไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใต้ชายคาอาคารที่เปิดโล่ง มองไปด้านหนึ่งเห็นกระสอบทรายสภาพเก่าที่ผ่านการใช้งานมานับปีแขวนอยู่เคียงข้างกับอุปกรณ์ฝึกซ้อมใหม่เอี่ยยมที่เพิ่งจะซื้อเข้ามาเปลี่ยนของเก่า มองไปอีกด้านไฟสปอร์ตไลท์ยังส่องลงกระทบลงบนผืนผ้าใบของเวทีมวย กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นน้ำมันมวยยังคละคลุ้งเพราะการซ้อมของวันเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปไม่นาน
ใกล้ๆกันมีอาคารสองชั้นสภาพใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในนามค่ายมวยอุดรพยัคฆ์ และในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นขาขึ้นของค่ายมีนักมวยที่มีชื่อเสียงในระดับจังหวัดและในระดับภาคที่ขึ้นชกด้วยค่าตัวสูง แต่กระนั้นเจ้าของค่ายก็ใช้จ่ายอย่างพอเพียงด้านหนึ่งยังคงมีอุปกรณ์เก่าที่ผ่านการใช้งานมาหลายต่อหลายปี ในขณะที่อีกด้านก็มีโรงยิมที่อุปกรณ์สำหรับฝึกฝนร่างกายของนักมวยก็เพิ่งจะสร้างเสร็จพร้อมสรรพกับอุปกรณ์ทันสมัยที่เจ้าของค่ายได้สรรหาเข้ามาให้ได้ใช้งาน ยิ่งหลังๆมานี่อาหารการกินแต่ละอย่างก็มักจะได้รับการดูแลจากนักโภชนาการที่เจ้าของค่ายว่าจ้างมาเป็นพิเศษ จึงยากนักที่จะได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะ พร้อมเสียงและกลิ่นอาหารดังให้ได้ยินมาจากครัวไทยที่อยู่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่เป็นที่พักอาศัยของเจ้าของค่าย
“โห ผมล่ะอิจฉาพี่เคนจริงๆเลย นาย...” เสียงศักดิ์ ชายวัยกลางคนร่างเล็กอดีตนักมวยประจำค่ายที่ในตอนนี้ผันตัวมาเป็นครูฝึกดังขึ้นขณะยื่นกาละมังใบใหญ่ไปรอรับผัดผักกระทะใหญ่จากคนที่ตัวเองเรียกว่า “นาย”
“อิจฉา?...อิจฉาไอ้เคนทำไมวะศักดิ์” เสียงเข้มของชายสูงวัยร่างใหญ่อย่างสุชาติเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ พลางตักผัดผักร้อนๆใส่ลงไปในกาละมัง
“ก็ร้อยวันพันปีนายไม่เค้ยยย...ไม่เคยลุกมาจับกระทะ ทำอะไรให้พวกผมกิน วันๆเห็นแต่นั่งส่องพระกับเล่นเฟซบุ๊คคุยกับสาวๆ นี่พี่เคนกลับมาบ้านอาทิตย์นี้ พวกผมได้กินผัดผักบุ้งเอย ผัดกะหล่ำเอย คะน้าเอย .....ผมเลยอิจฉ้า....อิจฉาพี่เคน”
“สรุป เพราะไอ้เคนมันกลับบ้าน ได้กินข้าวที่กูทำ มึงเลยอิจฉามันอย่างงั้นเหรอ” คุณสุชาติเจ้าของค่ายมวย อุดรพยัคฆ์หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะยกด้ามตะหลิวขึ้นเคาะหัวของศักดิ์เบาๆเสียหนึ่งครั้ง
“โอ้ย นาย เล่นอะไรเจ็บนะครับ”
“ทำมาเป็นอิจฉาไอ้เคนมัน มึงคิดดูว่า ไอ้เคนมันเป็นใคร”
“โอ้ยยย นายก็ถามได้ ก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพ่อสุชาติไงครับ” ศักดิ์ตอบพลางก็ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ
“เออ ทีนี้รู้หรือยัง ไอ้เคนน่ะมันลูก พวกมึงน่ะเป็นอะไร”
“ลูก...น้องครับ”
“ดี ที่นี้เลิกพูดมากแล้วยกไอ้ผัดผักไปที่โต๊ะแล้วไปเรียกเด็กๆมากินด้วย” สุชาติสั่งทำทีคล้ายจะดุแต่ก็แอบอมยิ้มอยู่ในที
เขาอารมณ์ดีแบบนี้มาหลายวันเพราะนอกจากเคน ลูกชายคนเดียวของเขาจะกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานแล้ว การกลับมาครั้งนี้ยังเป็นการตอบตกลงว่าจะขึ้นชกในไฟท์ใหญ่กลางเมืองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ถึงแม้จะรู้ดีว่าเปอร์เซ็นต์ในการชนะอาจจะไม่ได้สูงเหมือนทุกครั้งเพราะคู่ต่อสู้เป็นชาวต่างชาติที่มีฝีมือและเจนเวทีแถมยังมีโอกาสเก็บตัวซ้อมในค่ายที่มาเลย์เซียมานานกว่า เมื่อเทียบกับเคนที่ช่วงนี้อาจจะไม่ได้ฟิตร่างกายมากนัก แต่ขอแค่เคนขึ้นชกอย่างน้อยชื่อของค่ายก็จะได้รับการโปรโมทในระดับชาติซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีในเชิงธุรกิจต่อไป
มื้อค่ำของที่ค่ายส่วนใหญ่จะทานร่วมกัน เมนูก็ผลัดเปลี่ยนไปแต่ละวันแต่ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงความต้องการของร่างกายนักมวยเป็นอันดับแรก ว่าในช่วงนี้ต้องการอาหารแบบไหนเพื่อให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อและมีพลังงานเพียงพอ โดยมากแล้วนักมวยในค่ายก็จะทานกันไปพูดคุยกันไป วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน เว้นเสียแต่มีบางคนที่ดูจะไม่มีสมาธิมาตั้งแต่ช่วงบ่าย แม้แต่ในตอนซ้อมก็ดูไม่มีสมาธิพลาดจนโดนศักดิ์เอาเป้าซ้อมตีสวนกลับไปหลายครั้ง
“พี่เคน...ทำไมไม่กินล่ะครับ นี่พ่อสุชาตบรรจงผัดให้พี่เคนเลยนะ” ศักดิ์หันไปแหย่ลูกชายเจ้าของค่ายที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่ารอบแต่ก็ยกให้เป็นลูกพี่เสมอมา แต่ดูท่าว่าวันนี้ “ลูกพี่” ของเขาดูจะไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วยสักเท่าไรนัก
“อุ่ย.....พี่เคนอารมณ์ไม่ดีล่ะนาย...”
“มันไม่อยากกินก็ช่างมัน เกิดมันหิวดึกๆก็ให้มันหากินเองละกัน อย่าไม่ตื๊อ “เห็นท่าทางแบบนั้นของลูกชายแม้จะไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามหาความอะไรต่อ หากเคนอยากจะพูด อีกสักพักก็คงจะมาพูดกับเขาเองเป็นแน่
และไม่ได้ใช้เวลานานนักหลังจากมื้อค่ำ เมื่อนักมวยทุกคนกลับเข้าที่พักไปพักผ่อนแล้ว ร่างสูงใหญ่ของเคนเองก็ค่อยเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน มือหนึ่งยังใช้ผ้าขนหนูขยี้ลงบนผมที่เปียกชื้น เสื้อมกล้ามสีเข้มที่ใส่แนบลำตัวนั้นยิ่งเน้นให้เห็นรอยเขียวคล้ำบนเนื้อตัวให้เห็นชัดกว่าปกติ วันนี้เขาเจอศักดิ์เล่นแรงๆใส่เป็นการสั่งสอนมาสองสามดอก แต่ก็ไม่ได้คิดเอามาเป็นอารมณ์เพราะอย่างไรเสียแล้วศักดิ์ก็ได้ชื่อว่าเป็นครูของเขาเอง เคนเดินไปเปิดประตูตู้เย็นคว้าขวดน้ำมาได้ก็เดินอาดๆมาลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเก้าอี้โซฟาที่สุชาติกำลังเอนหลังดูโทรทัศน์อยู่
“นี่พ่อ......”
“อะไร ถ้าเกิดจะหิวข้าวขึ้นมานี่ แกไปหากินเอาเองเลยนะกูคร้านจะทำให้แล้ว”
“อ้าว นี่มีน้อยใจ? “ เคนหันไปมองหน้าของผู้เป็นพ่อก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ มือแกร่งยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ดวงตาคมก้มลงมองขวดน้ำที่อยู่ในมือ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยหมุนขวดที่อยู่ในมือไปมาเบาๆ
“.....................” เคนไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจของเขาพาลนึกถึงโทรศัพท์ที่เขารับสายเมื่อกลางวัน อีกฝ่ายคิดอย่างไรถึงได้โทรมา ทั้งๆที่เป็นคนบอกเองว่าให้เขาทำตัวเหมือนเดิม เขาเองก็คิดว่าหากถอยออกมาเสียก็จะได้ไม่ต้องไปทำอะไรให้จูนรู้สึกไม่ดีอีก สายตาของเด็กหนุ่มที่มองกลับมาในวันนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาทำพลาดไปเสียแล้ว...ทุกอย่าง ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาควรจะเลือกทำในสิ่งที่จูนจะไม่เสียใจ และไม่มองเขาด้วยสายตาเหมือนเช่นในเช้าวันนั้น
“มีอะไร หน้าอมทุกข์ แม่สาวนั่นทิ้งแกแล้วหรือไง” คำพูดของผู้เป็นพ่อนั้นเสียดแทงเข้ามาในอก
“ที่พูดนี่แช่งเหรอ...” เคนเสมองไปอีกทางเขาไม่อยากให้พ่อรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมันตรงเสียยิ่งกว่าตรง
“ก็เห็นทำหน้าจะเป็นจะตาย มีอะไรจะพูดไหมล่ะ ถ้าอยากพูดก็จะฟังให้ ขออย่างเดียวเวลาซ้อมอย่ามัวใจลอย นี่กูยังไม่อยากเห็นลูกตัวเองโดนฟาดหลับคาเวทีตั้งแต่ยังไม่ทันสิบวิแรก....อุตส่าห์ได้ขึ้นแล้วก็ช่วยอยู่ให้มันคุ้มหน่อย ไม่ใช่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอารมณ์”
“หึ.......” เคนหัวเราะในลำคอ เป็นอย่างที่คาดการณ์สุดท้ายแล้วพ่อของเขาก็คงจะห่วงเพียงแค่เงินกับงานที่จะออกมาก็เท่านั้นจนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเขาชนะขึ้นมาพ่อสุชาติของใครๆนี่จะหน้าบานขนาดไหนกัน...แต่ก็ดูจะเป็นไปได้ยากในเมื่อเขาเพิ่งกลับบ้านมาซ้อมจริงจังได้แค่อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น
“งั้นขอถาม...ตรงนี้เลย พ่อเคยรักคนสองคนในเวลาเดียวกันไหม”
“หะ....”คุณสุชาติเลิกคิ้วสูง ชายสูงวัยคิดจะขำในคราแรก แต่ดูจากท่าทางของลูกชายแล้วก็อดจะแปลกใจไม่ได้ เคนไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้ด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้มาก่อน ผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปตอบ
“ให้กูตอบตามตรง ก็ได้....เคยสิ ตอนนี้ก็ใช่”
“หะ... ปูนนี้แล้วเนี่ยนะ” คราวนี้เป็นทีของเคนที่ต้องเลิกคิ้วสูงบ้าง
“รุ่นนี้แล้วไงวะ กูยังแข็งแรง....”ผู้เป็นพ่อตบหน้าขาของตัวเองเบาๆ “อย่าว่าแต่ปี๊บ เตะต้นกล้วยขาดก็แล้วกัน”
“ว่าแต่...แล้วพ่อมี “เพื่อน” ใหม่แล้วหรือไง” เคนเอ่ยถึงบุคคลที่สาม “เพื่อน” คือคำที่เขาใช้เรียกคนรักของพ่อ ตลอดเวลาตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตไป ผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาติดพันกับพ่อของเขาบางคนก็เข้ามาช่วยดูแลกับข้าวกับปลางานบ้านงานเรือนให้ บางคนก็มาเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากไป แต่เคนไม่เคยได้ยินพ่อของเขาพอใจใครถึงขนาดจะยกให้เป็น “แม่ใหม่” ของเขาเลยสักครั้ง
“เพื่อนพ่อ ก็มีเรื่อยๆ.... “ สุชาตหัวเราะเบาๆ
“แล้วที่ว่าสองคนในคราวเดียวนั่นมันอะไร...จับปลาสองมือ?”
“เฮ่ย อย่ามาหาว่าพ่อมึงเป็นคนมักง่ายอย่างนั้น”
คำพูดของผู้เป็นพ่อทำให้คนฟังถึงกับสะอึกเล็กน้อย เคนกระแอมไอเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาถามพ่ออีกครั้ง
“เอ้า ไม่มักง่ายก็ไม่มักง่าย แล้วยังไงล่ะ”
“กูมีเพื่อนใหม่ก็จริง...แต่ไม่เคยคบใครทีละสองคนเว้ย” สุชาติว่าพลางหันไปมองรูปภาพของภรรยาที่จากไป แล้วของตนเองที่ยังคงตั้งอยู่ในบริเวณห้องนั่งเล่นตลอดมา
“ที่กูรักอยู่ตลอดก็คือแม่ของมึง กูไม่เคยมีใครทีละสองคน จำเอาไว้นะไอ้ลูกชาย กับผู้หญิงน่ะพอสถานะมันเปลี่ยนไปจากเดิมที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรก็จะเรียกร้อง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่คน หรือต่อให้ไม่เรียกร้องอะไร ลึกๆแล้วเขาก็อยากจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ เป็นคนเดียวที่เราจะให้เขารู้สึกว่าสำคัญไปตลอด ถ้าคิดจะรักเขาก็ต้องให้ความสำคัญกับเขา แต่กับคนไหนถ้าถึงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถจะตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นได้อีกต่อไป เราก็ต้องปล่อยเขาไป อย่าไปยื้อเพียงเพราะว่าเราสงสาร หรือเพราะกลัวว่าถ้าเขาไปแล้วเราจะไม่เหลือใคร ยิ่งเราไปยื้อ ไปเกรงใจเขา ทั้งๆที่ก็มีคนใหม่เข้ามา ก็เท่ากับเราเห็นแก่ตัว มักง่ายกับความรักที่เขาให้มา ให้มาแล้วก็ทิ้ง แบบนั้นมันใช้ไม่ได้ เข้าใจไหม”
...เห็นแก่ตัว.....
คำพูดของจูนย้อนกลับเข้ามาในหัว ใช่แล้ว เขามันไม่มีอะไรดีพอให้ใครมารักได้เลย ไม่แม้แต่กับนิดที่เรียกได้ว่าเป็นแฟนคนปัจจุบัน เพราะกับนิดเองก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาละเลยนิดไป ในขณะเดียวกัน ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาถูกละเลยเช่นกัน นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจอยู่ตลอดเวลาเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนิ ดแต่ตลอดเวลาที่คบกันก็ไม่เคยคิดหยิบขึ้นมาเป็นประเด็น จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเขาปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไปแบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ เพียงแค่หลบมาให้พ้นมันไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะกลับเข้าที่เข้าทาง เขาคิดผิดไปเอง...
“พ่อ......” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าของพ่อของตัวเอง
“ผม.....ขอกลับไปที่ มหาลัยสักสองสามวันจะได้ไหม”
“กลับไปทำไม เสียเวลาซ้อม” สุชาติหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคาดการณ์ลูกชายได้ไม่ผิดเพี้ยน
“แค่จะไปเคลียร์เรื่องส่วนตัวออกจากงาน....แบบนั้นพ่อจะโอเคไหม” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคมนั้นเป็นประกายในแบบที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยเห็น มันไม่ใช่ประกายตาของความขี้เล่นเหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่แววตาของความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ น่าแปลกเหลือเกินที่ในดวงตาคู่นั้นดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด
“ที่นี่ไม่ใช่คุก มึงอยากจะไปมึงก็ไป แค่จำไว้อย่าง ว่าอย่าให้เสียงาน”
“ครับ” เคนรับคำเบาๆ ในอกรู้สึกหนักอึ้งอย่างประหลาด กับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ และกับหน้าที่ที่ผู้เป็นพ่อบอกให้เขาทำ
“ดี...ทีนี้ก็ไปนอนได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ถ้าจะไป ก็มาเอาจดหมายของพ่อไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาแกด้วย”
“ครับ” เคนกรอกตาเล็กน้อย เพื่อให้ได้หนังสือขออนุญาตเข้าแข่งขันจากทางมหาลัย ทั้งๆที่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาเดินเรื่องอีกนานโขพ่อของเขาก็ใช้วิธีเดิมๆ อย่างที่มักจะเคยทำ ถึงไม่ค่อยอยากจะยอมรับนักแต่เงิน ก็เป็นคำตอบของในบางเรื่อง ได้เป็นอย่างดี
....................................
“หิวข้าวอ่ะ แม่จ๋า......” เสียงแหบของสาวห้าวอย่างปิ๊กดังขึ้เนพร้อมกับปลายนิ้วอวบกลมที่ค่อยคลืบคลานมาบีบไหล่จับแขนของจูนในปบบที่เรียกได้ว่าเกาะแกะจนคล้ายจะกลายเป็นปลาหมึก
“ใครแม่...ไม่เอาน่าปิ๊ก ผู้หญิงอะไรมากอดกันอยู่ได้เนี่ย ปล่อยเว้ย นมจะโดนหน้าอยู่แล้ว” จูนพยายามเบือนหน้าไปอีกทาง แต่ก็ไม่ได้ผลยิ่งได้ยินแบบนั้นผู้หญิงพิเรนทร์แบบปิ๊กยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ยื่นอกอวบเข้าไปเสียจนจะชิด จนจูนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากแพรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างออกไป
“โอ้ย...แพรช่วยด้วยไอ้ปิ๊กมันหื่นใหญ่แล้ว”
“ปิ๊ก ไม่เอาน่า หิวข้าวก็อย่ากินผู้ชายสิ...” แพรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ละสายตาจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
“ก็รายงานไม่เสร็จสักทีนี่นา นี่จนบ่ายกว่าแล้วยังไม่ได้กินข้าวเลย พักกันสักแป๊บ ไปกินข้าวกันเถอะ “ ปิ๊กยังคงโอดครวญเพราะโชคยังดีที่ศูนย์อาหารกลางของมหาวิทยาลัยเปิดทำการตลอดทั้งวันทำให้ยังมีหวังในการหาของกินบ้าง
“เดี๋ยวนะ...รายงานข่าวด่วนจากเฟสบุ๊ค” อยู่ๆแพรก็ร้องขึ้นมา ดวงตาใต้กรอบแว่นเป็นประกาย
“ข่าวอะไร...” ปิ๊กกับจูนหันไปมองหน้าของเพื่อนพร้อมกัน
“ดาราเกาหลีมาไทยอีกหรือไง” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองนั้นชอบนักร้องเกาหลีมากแค่ไหน
“บ้า.... ข่าวใหญ่ประจำสัปดาห์ มีผู้พบเห็น พี่เคน พละ ที่นี่? เมื่อกี้เลย” ไม่พูดเปล่าแพรหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เพื่อนดู
“หะ?.....” จูนเป็นคนแรกที่อุทานขึ้นพร้อมกับเท้าแขนกับโต๊ะเอนตัวเข้าไปดูใกล้ๆ รูปที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นชัดเจนเป็นรุ่นพี่ร่างสูงที่เขาตามหามาตลอดสองอาทิตย์กว่านี้แน่นอน
“นี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย”
“จะที่ไหนกันล่ะ ก็เพจ หนุ่มหล่อประจำมอของเราไงล่ะ นี่มีอีกเยอะนะ จะพี่ตั้มวิศวะ พี่เอกแพทย์ พี่โจเกษตร มีพี่ยุทธ์ของแกด้วยนะบางวัน....” สาวแพรว่านัยน์ตาเป็นประกายชวนขนลุก จูนมองภาพแอบถ่ายที่ถูกแท็กต่อกันบนไทม์ไลน์จนอดสงสัยไม่ได้ว่าในหมู่สาวๆในมหาวิทยาลัยนี่เขาเห็นรุ่นพี่หน้าตาดีเปรียบเสมือนเป็นดาราให้ตามข่าวซุบซิบกันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร
“แล้ว...พี่เขาอยู่นี่เหรอ....” จูนพึมพำออกมาเบาๆ มืออีกข้างดึงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดหน้าจอดู ไม่ผิดเพี้ยนใครบางคนที่หายจากสังคมออนไลน์ไปนานกลับมาเช็คอินระบุตำแหน่งว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ศูนย์อาหารกลาง
....นึกจะไปก็ไป....
....จะมาก็มาไม่บอกกันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง....
ในหัวมีคำถาม แต่อีกด้านของหัวใจก็คล้ายกับจะมีคำตอบให้กับตัวเอง และคงหนีไม่พ้น ตัวเองอีกเช่นกัน
“เดี๋ยวมานะ ...แพรพาปิ๊กไปหาข้าวกินทีนะ ....อย่าให้มันหลุดไปกินผู้ชายที่ไหนล่ะ” ไม่ลุกไปเปล่าฝากถ้อยคำเจ็บแสบกัดเพื่อนสาวตัวป่วนไว้อีกต่างหาก
“อ้าว เฮ้ย...จูนนั่นจะไปไหนอ่ะ”
“ไปตามหาหมีควายบางคน มีเรื่องต้องเคลียร์” น้ำเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับแผ่นหลังได้รูปที่เดินจากไปนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่พลุ่งพล่านออกมาจากสาวนลึกของหัวใจ ร่างสูงโปร่งสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปมองหาผู้ชายตัวใหญ่ที่เพิ่งถูกจับภาพขึ้นสังคมออนไลน์ อย่างรวดเร็ว
....................................
-
[ต่อ]
“พี่เคนน่ะ...จะกลับมาก็ไม่บอกนิด...” เด็กสาวตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ขอโทษนะ ทุกอย่างมันกะทันหัน พี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน “ ทันทีที่กลับมาถึงคนแรกที่อยากจะพบแม้ในหัวจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นแต่ก็เลือกที่จะโทรหานิดก่อน เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องบอกกับเด็กสาวตรงหน้าโดยตรง
“นิดเป็นห่วง...” คำพูดซ้ำๆที่ไม่ได้เห็นจากหน้าจอโทรศัพท์ในตอนนี้กลับดังขึ้นตรงหน้า จากริมฝีปากอิ่มสีสวยของเด็กสาวใบหน้าคมได้รูป แม้จะเลิกเรียนแล้วแต่เด็กสาวตรงหน้ายังคงมีเครื่องสำอางค์บางๆบนใบหน้า สีแก้มนั้นแดงระเรื่อเมื่อเอ่ยคำนั้นออกมา
“พี่รู้ว่าทำให้นิดเป็นห่วง “
“ ก็เป็นห่วงนะสิ...”เด็กสาวเอ่ยก่อนวางมือเรียวลงบนมือของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“พี่เคนไม่เห็นเคยทำแบบนี้ นี่พวกเพื่อนนิดเขาก็ถามนะว่า พี่หายไปไหน...นิดก็ไม่รู้จะตอบกับเพื่อนๆว่ายังไง น่าอายออกแฟนตัวเองแท้ๆกลับไม่รู้ว่าไปไหน” เด็กสาวเอ่ยในน้ำเสียงนั้นยังคงตัดพ้อ
“พี่....ขอโทษ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมแรงบีบลงบนมือเล็กของเด็กสาว
“แต่ไหนๆพี่เคนก็กลับมาแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้เราไปกินข้าวด้วยกันดีไหม...แล้วนี่นิดเตรียมของขวัญปีใหม่ไว้ให้พี่เคนด้วยนะ... เดี๋ยวไว้นิดกลับไปเอาที่หอ...” นิดยิ้มออกมาน้อยๆ ร่างเล็กเท้าแขนกับโต๊ะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ร่างสูง
ท่าทางร่าเริงนั้นเป็นเหมือนทุกๆครั้งที่เด็กสาวจะพูดกับเคนอย่างกระตือรือล้น ท่าทางดีใจของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกเจ็บเข้าไปในอก เขาเอ็นดูท่าทางแบบนั้นของนิดมากแค่ไหนในใจของเขาเองก็รู้ดี แต่เมื่อในตอนนี้ในใจของเขามีใครคนอื่นเข้ามาแล้ว เขาควรจะจบความสัมพันธ์นี้ไปเสียที เพื่อที่คนตรงหน้าจะได้ไม่ต้องมาสิ้นเปลืองความหวังและรอยยิ้มกับคนแบบเขาอีก
“นิด......” มือแกร่งอีกข้างยื่นออกไปวางทาบทับบนมือเล็กของเด็กสาว ผิวกายนุ่มเนียนกับข้อมือเล็กๆนั้นบอบบางเสียเหลือเกิน
“พี่ว่าเราควรจะห่างกันสักพัก” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นเบาๆ เคนรู้สึกได้ว่ามือของเขากำลังสั่นแต่ก็ไม่คิดที่จะยกมือออกจากการเกาะกุมนั้น เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตากลมโตนั้นกระพริบตาถี่ๆ สองสามครั้งคล้ายกำลังรู้สึกสับสนกับข้อความที่ได้ยิน
“คะ?”
“คือพี่...... “
....ผั่วะ.....
แรงกระแทกจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดหน้าแทบคว่ำลงกับโต๊ะ
“เหี้ย.....อะไรวะ”
“เหี้ยอะไรล่ะ เพื่อนมึง สาด ....แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นร้อง หายหัวไปไหนมาวะ” เมื่อหันกลับไปดูก็พบกับต้าร์ที่ยืนยิ้มเห็นฟันขาวอยู่ด้านหลัง
“เดทเหรอ สวัสดีครับนิด สบายดีนะ”
“เอ่อ....ค่ะ” เด็กสาวรับคำอ้อมแอ้มดูเหมือนจะยังมึนงงกับทั้งคำพูดและการมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวของเพื่อนสนิทของเคนคนนี้
“มึงมีอะไร รีบๆพูดมาแล้วรีบๆไสหัวไปเลย ห่านี่” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนขึ้นแทบจะในทันที อันที่จริงในตอนนี้เขาไมมีอารมณ์จะเล่นกับต้าร์สักเท่าไรนัก
“.......ห่า......”ต้าร์มองหน้าของเพื่อนเห็นได้ชัดในแววตานั้นว่าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร จึงหยิบใบปลิวออกมาจากกระเป๋าหลังในทันที
“นี่...เห็นเขาแจกกันในเมือง Kings of Ring ชื่องานออะไรของมันเนี่ย มึงจะไปต่อยใช่ไหมป่ะ ที่หายหัวไปนี่พ่อมึงเอาไปซ้อมมาใช่ป่ะ” ต้าร์ยิงคำถามรัวเร็วในมือมีใบปลิวเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันมวยไทยของรายการโทรทัศน์จากต่างประเทศที่จะมาจัดในตัวเมือง งานใหญ่ที่หาดูได้ยากแบบนี้แน่นอนที่ต้องมีการโปรโมทกันอย่างเอิกเกริก และถึงแม้จะไม่มีรูปของเคนอยู่บนใบปลิวแต่ชื่อนักมวย เคน อุดรพยัคฆ์ นั้นในหมู่นักกีฬามหาวิทยาลัยด้วยกันย่อมรู้กันดีอยู่แล้ว
“อืม....ก็จะไปต่อย พรุ่งนี้ว่าจะเข้าคณะเอาจดหมายพ่อไปให้อาจารย์...ทำเรื่องของลาไปซ้อมสักพัก” เคนพยักเพยิดอย่างขอไปที ในใจนึกอย่างให้ต้าร์ไปจากตรงนี้เร็วๆ เขาไมได้อยากให้นิดได้ยินเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
“โห มึงนี่งานนี้ออกทีวีด้วยนะ ดังเทียบบัวขาวแน่อ่ะงานนี้” ยังไม่วายที่ต้าร์จะยังกระเซ้า
“ไอ้ต้าร์ เบาๆหน่อยสิวะ...” เคนคว้าไหล่ของต้าร์เอาไว้ แต่ก็คล้ายจะไม่ทันเสียแล้ว
“แข่ง?...พี่เคนจะไปแข่งอะไรเหรอคะ” เสียงหวานของเด็กสาวดังขึ้นจากด้านหลัง
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกนิด” ร่างสูงรีบหันกลับไปปฏิเสธ ผิดกับต้าร์ที่ยื่นหน้าเข้ามาจากทางด้านข้าง
“ใช่แล้ว ไอ้เคนมันจะไปแข่งล่ะ ออกทีวีด้วยนะนิด”ต้าร์ยังดูท่าทางอารมณ์ดีโดยไม่ได้รู้อารมณ์หรือสถานการณ์ของเพื่อนที่กำลังเผชิญอยู่เลยแม้แต่น้อย
“เหรอคะ?....” หญิงสาวเลิกคิ้วสูงด้วยท่าทางตื่นเต้น “พี่เคนคะ นิดไปดูได้ใช่ไหม” เสียงหวานหันมาถามด้วยท่าทีออดอ้อน เหมือนอย่างทุกครั้งเวลาที่อยากจะได้อะไร หรือต้องการให้เขาพาไปที่ไหนด้วยกัน
“เอ่อ....” เคนอ้ำอึ้งเขาจะตอบอย่างไรได้ มิหนำซ้ำต้าร์ยังมายืนลอยหน้าลอยตาไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ด้วยแบบนี้ ร่างสูง หันกลับไปตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“ต้าร์ ขอบใจนะมึงที่ช่วยมาโฆษณางานให้ แต่กูขอ วันนี้มึงช่วยกลับไปก่อนได้ป่ะ” เคนขบฟันกรามแน่น เขา มือแกร่งที่วางอยู่บนไหล่ของเพื่อนเพิ่มแรงอีกเล็กน้อย ราวกับต้องการเน้นย้ำในคำที่พูดออกไป
“........” ต้าร์สะอึกออกมาเล็กน้อย เขาทำได้แค่พยักหน้า ก่อนจะเค้นเสียงแหบออกมาจากลำคอ
“แล้วพรุ่งนี้มึงเข้าคณะใช่ปะ”
“อืม...ไว้เจอกันพรุ่งนี้” เคนตอบเรียบๆก่อนปล่อยมือออกจากไหล่ของเพื่อน ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าของนิดอีกครั้ง
ต้าร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่โบกมือให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
“ว่ายังไงคะ” เสียงของนิดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มหวาน
“พี่ว่า ...นิดอย่าไปดูเลย ” เคนยิ้มแห้งๆ ในใจของเขาเจ็บ
“อะไรกันคะ พี่เคน...งานใหญ่แบบนี้ไม่ให้นิดไปได้ยังไง แหม...เขินเหรอ” นิดยังแหย่ ปลายนิ้วเขี่ยเล่นบนท่อนแขนแกร่งของแฟนหนุ่ม
“ก็พี่ไม่ได้ซ้อมนี่นา...ถ้าพี่แพ้....”
“พี่ไม่แพ้หรอก พี่เคนเก่งจะตาย นี่ถ้าเพื่อนของนิดรู้ต้องพากันกรี้ดแน่เลย นิดจะช่วนต่ายไปด้วย ชวนเพื่อนทำป้ายไฟไปเชียร์พี่เคนด้วยดีไหมคะ”
“นิด...” เคนพยายามจะห้ามความคิดของเด็กสาวตรงหน้า แต่ดวงตากลมโตตรงหน้านั้นก็เป็นประกายเสียจนรู้สึกหน่วงข้างในอก
“แต่งานนี้คงไม่ง่าย เขาต่อยกันแรง คงมีใครแตกกันบ้าง อาจจะน่ากลัวไปสำหรับนิดกับเพื่อน พี่ไม่ค่อยอยากให้นิดไปดูสักเท่าไร” เคนรู้สึกขำที่ตัวเองทำทีคล้ายจะขู่ให้เด็กสาวกลัวด้วยภาพของความรุนแรง...ที่อันที่จริงอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
“พี่เคนน่ะ...อย่าขู่สิคะ นิดไม่กลัวหรอกนะ” เด็กสาวว่า พลางยกนิ้วขึ้นต่อหน้าของอีกฝ่ายราวกับจะเตือน “แหม เท่จริงๆเลยมีแฟนเป็นนักมวยออกทีวีด้วย “
ถ้อยคำที่หญิงสาวที่กล่าวออกมาทำให้ในใจของเคนรู้สึกหนักอึ้ง สำหรับนิดแล้วบางครั้งเขากลายเป็นเพียงหัวข้อเพื่อพูดคุยสนทนากับเพื่อน เป็นเหมือนเครื่องประดับ และใช่สำหรับเขาเองในบางครั้งนิดก็อยู่ในสถานะที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร เขาเป็นที่อิจฉาของใครต่อใครส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีนิดอยู่ข้างๆ นิดเรียนได้พอใช้แต่เนื่องจากเป็นคนสวย อัธยาศัยดี มีความสามารถในการเข้ากับคนอื่น การได้รับเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมายนัก นั่นยิ่งทำให้ลึกๆแล้วก็อดจะภูมิใจไม่ได้ที่มีอีกฝ่ายเป็นคนรัก แต่ความสัมพันธ์แบบนั้นมันใช่ความสัมพันธ์ในแบบที่เขาต้องการแน่แล้วอย่างนั้นหรือ มันเคยมีความรู้สึกในอกที่เรียกว่าความรักมาตั้งแต่เริ่มแรกหรือเปล่า แม้แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกัน
“พี่แค่...ไม่อยากให้นิดมาดูพี่แข่ง....อีกแล้ว” ชายหนุ่มร่างใหญ่ก้มหน้าลง ท้ายเสียงแผ่วเบาและแหบพร่า
“คะ? “ เป็นอีกครั้งที่นิดเลิกคิ้วสูง
“หลังจากนี้พี่คงจะกลับไปซ้อม อาจจะไม่สะดวกที่จะพานิดไปไหนกับเพื่อน พี่เลยคิดว่า เราน่าจะห่างกันบ้าง เพราะพี่เองก็ต้องการสมาธิในการซ้อม” เคนเอ่ยออกมา ดวงตาคมสบตาของหญิงสาวที่นั่งตรงหน้า
“และพี่คิดว่า...พี่ที่เป็นแบบนี้ อาจจะไม่เหมาะที่จะมาดูแลนิดอีก ...พี่ว่าเราน่าจะ....” เคยค่อยๆเอ่ยช้าๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหยุด เมื่อมือเล็กเอื้อมมาแตะที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ
“นิดจะไปดูพี่เคนแข่งนะคะ....เอาเป็นว่าเดี๋ยวนิดกลับหอไปก่อน แล้วหกโมงพี่เคนไปรับนิดที่หอนะคะ ไปกินข้าวด้วยกัน” สาวสวยเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะยิ้มหวาน ก่อนเหลียวซ้ายหันขวา แล้วขยับตัวลุกจากโต๊ะที่นั่งขึ้นมาแตะริมฝีปากที่แก้มของเคนเบาๆ
“อย่าลืมมารับนิดด้วยนะ” ไม่พูดเปล่าร่างเล็กคว้ากระเป๋าสะพายใบน้อยและหนังสือเรียนลุกออกจากโต๊ะที่นั่งอยู่ มือเรียวโบกน้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งอยู่กับสัมผัสนุ่มนวลแผ่วผ่านที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้
...........นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...........!
อีกด้าน
หลังจากหาข้าวทานเติมพลังงานให้ท้องกันเสร็จ แพรและนิดเดินหอบหิ้วขนมออกมาจากร้านสะดวกซื้อในศูนย์อาหาร เห็นร่างสูงโปร่งกับผมสีบลอนด์ทองสะดุดตาของใครบางคนยืนพิงบันไดของศูนย์อาหารอยู่ท่าทางคล้ายเหมือนคนไม่มีแรง
“แพร...ดูคุณชายมันยืน....ทำมิวสิคอะไรอยู่ตรงนั้นวะ” ปิ๊กว่าพลางเอาป๊อกกี้ที่ถืออยู่ชี้ไปยังเป้าหมาย
“นั่นสิ...หมั่นไส้จริง....ไปปิ๊ก ลุย” สองสาวสบตากันเหมือนรู้กันอยู่ในที ทั้งสองวิ่งตรงเข้าไปชนกับร่างที่ยืนอยู่แทบจะในทันที
....ย้าก....
เสียงร้องลั่นไม่ได้ทำให้คนที่ยืนอยู่สนใจสักเท่าไร และเมื่อหันมาก็ตั้งรับไม่ทันเสียแล้ว ทั้งสามคนล้มโครมลงตรงพื้นตรงนั้นนั่นเอง
“โอ้ย...ไอ้จูน ไอ้บ้า ทำไมไม่รับวะ” เสียงปิ๊กโวยวาย ขึ้นมาพลางยันตัวลุกขึ้นมานั่ง
“โอย.....โลกหมุนไปหมดแล้ว” แพรเองก็โอดครวญขึ้นพร้อมลุกขึ้นมา ก่อนจะตั้งสตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองใส่กระโปรงผ้าผลีสอยู่ก็รีบลุกมารวบกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง ผิดกับผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ด้านล่างสุด ไม่มีเสียงโอดโอย โวยวายเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างสุงโปร่งของเด็กหนุ่มค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ยื่นมือมาฉุดมือของเพื่อนให้ลุกตาม ไม่มีคำต่อว่าใดๆ จูนปัดฝุ่นออกจากกางเกงเล็กน้อย
“เฮ้ย จูน ไม่เป็นไรแน่นะ โกรธรึเปล่า เค้าขอโทษนะ รอบนี้เล่นแรงไปหน่อย”
“อ่ะ...อืม...ไม่เป็นไร” จูนหันมายิ้มน้อยๆ สีหน้าที่เพื่อนๆเห็นนั้นดูเหนื่อยอ่อน
“ไม่เป็นไรแน่นะ แล้วเมื่อกี้ไปตามหาพี่เคนมาเจอรึเปล่าล่ะ” แพรถามด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“อืม ก็เจอ....เอาเป็นว่ากลับไปทำรายงานกันต่อเหอะ....” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆก่อนจะเดินนำเพื่อนๆกลับไปที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปิ๊กกับแพรหันมามองหน้ากันด้วยความฉงนก่อนจะรีบเดินไปดักหน้าเพื่อนร่างสูงของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง
“จูน...แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”
“ก็ใช่น่ะสิ...ฮ่ะๆ...ถามทำไม” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางแปลกๆของเพื่อนทั้งสองคน
“แน่ใจนะว่า ไม่ได้เจ็บแผลจนน้ำตาไหลเนี่ย...ไหนดูสิ...มีแผลตรงไหนรึเปล่า” แพรขมวดคิ้วแน่น พลางยื่นกระดาษทิชชู่ให้จูนซับน้ำตา ก่อนจะจับแขนเพื่อนมาดูรอบตัวว่ามีลอยถลอกตรงไหนหรือเปล่า
“หะ?” จูนเลิกคิ้วสูง
“เอ้า ไอ้นี่ เจ็บจนน้ำตาไหลยังไม่รู้ตัวอีก เอ้า เช็ดน้ำตาดีๆล่ะ เดี๋ยวอายไลน์เนอร์ไหลเป็นแพนด้าไม่รู้นะเอ้อ” ปิ้กว่าพลางยื่นทิชชู่มาให้อีกแผ่น ทำให้จูนต้องยกมือจับหน้าของตัวเองเบาๆ เขากำลังร้องไห้? เพราะเรื่องอะไร? ไม่ใช่เป็นเพราะเจ็บที่ล้ม
หรืออาจจะเป็นเพราะภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้
to be continued....
-
:pig4: :pig4:
-
@@@talk@@@
สวัสดีค่ะ หายไปนาน คิดว่าเรื่องจะโดนลบไหมน้อ ฮา
คนเขียนกลับมาเมืองไทยแล้วค่ะ อากาศร้อนจังน้อ
อาทิตย์ที่แล้วยังต่ำกว่าสิบองศาอยู่เลย :hao5:
เอาล่ะ ไปอ่านกันต่อเลยค่า
Chapter 38: อิจฉาว้าวุ่น
เสียงเพลงจากเครื่องเสียงที่เปิดคลอดังขึ้นในห้องนอน พร้อมกับร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมยังเปียกชื้นเมื่อหยิบเสื้อยืดแขนสั้นมาใส่พร้อมกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเป็นประจำ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง สองหูได้ยินเสียงเพลงญี่ปุ่นที่ตัวเองเปิดทิ้งเอาไว้ จังหวะกลางๆไม่ได้เป็นเพลงที่เขาชอบที่สุด แต่ก็ดีกว่าไม่มีเสียงอะไรภายในห้องเลย น้ำอุ่นที่เพิ่งอาบอาจจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง แต่ไม่ใช่กับหัวใจของเขาในตอนนี้ ภายในอกรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหาย แต่ในขณะเดียวกันก็ร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก แม้จะพยายามนึกถึงเนื้อหาของรายงานที่พรุ่งนี้จำต้องออกไปพูดหน้าชั้นแต่ก็นึกไม่ออก ในหัวยังคงมีแต่ภาพที่เห็นเมื่อตอนบ่าย,,,
สองขาของเขาวิ่ง วิ่งขึ้นไปตามบันไดขั้นใหญ่ของโรงอาหารกลาง ขึ้นไปที่ชั้นสองที่ปกติจะเงียบกว่าด้านล่าง เห็นจากภาพที่เห็นในหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่ต้องการจะพบนั้นอยู่ที่ไหน แม้จะไม่รู้ว่าหากได้พบหน้ากันแล้วจะพูดอะไร หรือจะทำหน้าอย่างไรดี แต่ความรู้สึกที่ต้องการจะเจอหน้านั้นมีมากเกินกว่าจะคิดทบทวนถึงสิ่งที่ต้องการจะบอก
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้เขาหยุดนิ่งอยู่ทันทีที่เห็นใบหน้าของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งไม่ห่างออกไปจากบันได อยากจะวิ่งเข้าไปตบลงบนศีรษะของคนๆนั้นให้หน้าคว่ำลงไปกับโต๊ะ แต่ทันทีที่เห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสองขาก็ต้องหยุดลง
.....พี่นิด.....
ความทรงจำหลังจากนั้นหากจะเรียกได้ว่าเลือนลางก็คงไม่อาจกล่าวได้ ที่จำได้มีเพียงภาพของชายหญิงสองคนที่ดูจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานสมกับเป็นคู่รักที่ใครต่อใครพูดถึง แม้ระหว่างนั้นจะเห็นเพื่อนของเคนเดินเข้ามาคุยด้วย ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืนคุยกับเพื่อน ช่วงขาของเขาขยับถอนหลังทันควัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง ร่างสูงของเคนดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยผิวกายที่เคยเห็นก็ดูคล้ำขึ้น หากแต่ใบหน้าคมนั้นกลับดูเป็นกังวล สองคิ้วได้รูปนั่นขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังไม่สบายใจ ทางไม่เหมือนคนกำลังพูดคุยกับเพื่อนหรือคนรักอยู่เลยแม้แต่น้อย
...ไปทำอะไรมากันแน่...
แม้จะรู้สึกสงสัยแต่คงไม่มีอะไรหลงเหลือให้จดจำไปได้มากกว่าภาพสุดท้ายที่ได้เห็น หญิงสาวที่ค่อยบรรจงจูบลงบนข้างแก้มของชายหนุ่มคนนั้น
ในอก ณ เสี้ยววินาทีนั้นคล้ายมีสะเก็ดไฟปะทุขึ้นข้างใน หัวใจที่กลางอกนั้นเต้นรัว ลมหายใจคล้ายจะติดขัด ในขณะที่ใบหน้าและฝ่ามือก็ร้อนผ่าวในแบบที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกเจ็บร้อนในอกขนาดนี้ จนกระทั่งในตอนนี้ที่ในหัวกำลังนึกย้อนภาพทั้งหมดก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ มือยกมือขึ้นขยำอกเสื้อที่ยับยู่ในมือ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับเตียง แม้ดวงตาจะปิดแน่น แต่ในสมองกลับยังมีภาพนั้นที่ลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด
....ทั้งๆที่คุยอยู่กับแฟนยังทำหน้าแบบนั้น...
....ถ้าเป็นเขาที่ไปยืนแทนที่นิดล่ะ อีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหนกัน....
....ถ้าเป็นตัวเองที่เข้าไปยืนตรงนั้นแล้วละก็...
[/I]
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง...ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ ความร้อนกลับมาเอ่อที่ดวงตาอีกครั้ง จูนยกมือขึ้นกระแทกกำปั้นลงบนอกของตัวเองอย่างแรง
...เจ็บไหม...ใช่แล้วเขาเจ็บ แต่มันไม่เจ็บเท่ากับการได้เข้าใจถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีในตอนนี้ ...มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ
...ความอิจฉา....
[/B]
แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาทำอะไรเพื่อให้ความรู้สึกนี้หายไปไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งเห็นแต่ภาพของคนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งคิด และยิ่งจินตนาการไปว่าหากเป็นตัวเองที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ไม่อาจทำในสิ่งที่นิดทำกับอีกฝ่ายได้อยู่ดี เคนจะรู้บ้างไหมว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธนักกับความรู้สึกที่อีกฝ่ายให้มา เพราะในท้ายที่สุดเขาก็เป็นในสิ่งที่อีกฝ่ายหวังจะให้เป็นไม่ได้อยู่ดี เขาไม่ใช่ผู้หญิงและที่สำคัญ...เขาไม่ใช่....
...คนที่มาก่อน....
......TTT !!! TTTT!!!.....
พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นปาดความชื้นออกจากหางตา นึกเจ็บใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ในช่วงนี้กลายเป็นมนุษย์เจ้าน้ำตา เพียงแค่ภาพหรือความรู้สึกที่มีต่อใครบางคนวิ่งผ่านเข้ามาในหัวใจก็ทำให้เขาเสียน้ำตาได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งที่ตามปรกติแล้วออกจะไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำเวลาที่เพื่อนในกลุ่มบางคนเสียน้ำตาให้กับความรู้สึกที่เรียกว่า “ความรัก”
.... แล้วที่มีในตอนนี้..... มันคืออะไรกันแน่.......
.....ไม่รู้สึกได้ถึงความสวยงาม.....เลยแม้แต่น้อย......
“ครับ....” เด็กหนุ่มรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เหมือนปกติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จูน.....แม่นะ” เสียงจากปลายสายนั้นอ่อนโยนเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้ยิน
“แม่....? “
“เห็นตั้งแต่ปีใหม่มาก็ไม่ได้โทรมาหาแม่เลย แม่เป็นห่วงเลยโทรหามา ...เรียนหนักเหรอ”
“ไม่ครับ...ไม่ได้เรียนหนักเลย” แค่ได้ยินเสียงของแม่ก็ทำให้อยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวใจที่รู้สึกเหน็บหนาวเมื่อครู่กลับรู้สึกอุ่นขึ้นมา
“เหรอ ยังไงก็อย่างลืมดูแลตัวเองด้วยนะ ...”
“แม่ครับ....” จูนจับโทรศัพท์มือถือแน่น “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่สวัสดีปีใหม่นะครับ คิดถึงแม่ที่สุดเลย”
“ตายแล้ว นี่ขนาดคุยโทรศัพท์ยังจะอ้อนเหรอเนี่ย เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย ....จ้า แม่ก็ขอให้จูนสุขภาพแข็งแรง คุณพระคุ้มครองนะลูก”
“ขอบคุณครับแม่...เสียดายว่าปีใหม่ไม่ได้กลับบ้าน คิดถึงแม่ อยากกินไข่เจียวฝีมือแม่จังเลย” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆ ในใจนึกถึงภาพของผู้เป็นแม่ที่ยิ้มให้เขาทุกครั้งเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงบ้าน แม้ไม่ได้เรียกร้องแต่สุดท้ายบนโต๊ะอาหารก็จะมีไข่เจียว อาหารง่ายๆแต่อร่อยเหลือล้ำมาวางให้ทานอยู่ทุกครั้ง
“เอ้า อ้อนเข้าไป....คิดถึงนักก็ทำไมไม่นั่งเครื่องกลับมาบ้านล่ะ พ่อเขาก็ให้บัตรไว้แล้วนี่ ซื้อตั๋วนั่งมาสบายๆ” ผู้เป็นแม่ย้อนถาม
“ไม่เอาอ่ะ....”จูนว่าพลางลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง “ไม่อยากนั่งเครื่องบินอ่ะ แค่นี้เอง ถ้าจะกลับเดี๋ยวผมนั่งรถทัวร์กลับก็ได้
“จูน...อีกแล้ว นั่งรถทัวร์มันอันตรายออก นี่ไม่เห็นเหรอข่าวรถทัวร์ตกถนนกันตั้งเยอะ” เสียงคุณแม่ต่อว่ากลับมาด้วยความเป็นห่วงลูกชายเพียงคนเดียว
“โธ่แม่ก็ไม่เห็นข่าวเหรอครับ เครื่องบินหายบ่อยจะตาย” ไม่วายหัวเราะเบาๆเมื่อได้กระเซ้าแหย่ผู้เป็นแม่
“โอ้ย ลูกคนนี้นี่ นับวันยิ่งช่างเถียงนะ....นี่ถ้าแม่ใหญ่รู้ว่าจูนนั่งรถทัวร์กลับคงได้บ่นแม่อีกสามวันแปดวันแน่เลย” ชื่อของบุคคลที่สามที่ดังขึ้นในบนสนทนา ทำให้เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มเงียบลง “แม่ใหญ่” คือคนที่เขาให้ความเคารพไม่ต่างจากผู้เป็นแม่แท้ๆ แต่กับ “แม่ใหญ่” แล้วจูนไม่กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงเช่นนี้ เนื่องมาจากว่า “แม่ใหญ่” นั้นก็คือภรรยาของพ่อของเขา เป็นภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย ในขณะที่แม่ของเขาเป็นเพียงภรรยานอกสมรสเท่านั้น
“.................. “ เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่ครับ....”
“จ้า อะไรคะ ....” เสียงผู้เป็นแม่ถามกลับอย่างอารมณ์ดี
“แม่....เคยอิจฉาใครไหม”
“เอ๋...อิจฉาเหรอ ไม่นะ นึกยังไงถึงจะมาถามกันแบบนี้ล่ะ” คำถามที่ถามกลับมานั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมานอกอีกครั้ง
“แม้แต่กับ....แม่ใหญ่น่ะเหรอ แม่ไม่อิจฉาแม่ใหญ่บ้างเหรอ เพราะส่วนใหญ่พ่อก็ไปอยู่ที่บ้านโน้นกับแม่ใหญ่” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา พ่อของเขามักจะมาใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ที่บ้านของเขา ในขณะที่วันธรรมดานั้นจะอยู่ที่บ้านของแม่ใหญ่ ด้วยเหตุผลว่ามักจะพาลูกน้องกลับไปประชุมกันจนดึกดื่นเสมอ ที่บ้านใหญ่นั้นมีห้องหลายห้อง รวมไปจนถึงห้องประชุมขนาดใหญ่จึงสะดวกในการทำงานของผู้เป็นพ่อมากกว่า
“จูน....แม่นึกว่าเราโตกันเกินกว่าจะเอาเรื่องนี้มาพูดกันแล้วนะเนี่ย” เสียงผู้เป็นแม่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย
“ผมรู้ครับ ผมเข้าใจพ่อกับแม่ดี แค่ตอนนี้ที่ไม่เข้าใจคือเรื่องนี้เท่านั้น เลยอยากถามแม่ตรงๆ “ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นแม่ผ่านมาตามสาย
“ไม่นะ แม่ไม่เคยคิดอิจฉาแม่ใหญ่เลย”
“ทำไมล่ะครับ...ถ้าแม่ได้จดทะเบียน ทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้ สำหรับแม่” ท้ายเสียงนั้นอ่อนลง เขารู้ดีว่าตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาคนรอบข้างมองแม่ของเขาว่าอย่างไรบ้าง
“เมียน้อย”
คือคำที่ใครต่อใครต่างก็ใช้เรียกแม่ของเขาลับหลัง ถึงแม้ว่าพ่อจะกำชับกับพนักงานทุกคนที่อยู่ในบริษัทแล้วว่า แม่ของเขาก็มีสถานะเป็นภรรยาคนหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าการมาทีหลังนั้นมีพลังหนักแน่นกว่าคำพูดของพ่อเขามากนัก
พ่อของเขามีความสัมพันธ์กับแม่หลังจากที่รู้ว่าภรรยาที่แต่งเข้าบ้านถูกต้องตามธรรมเนียมอย่างแม่ใหญ่ไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลให้กับตระกูลนักธุรกิจใหญ่ได้ ทั้งความเครียดและความเมามายทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นเลขานุการฝีมือดีที่ทำงานใกล้ชิดก็กลายเป็นภรรยาอีกคน ในขณะเดียวกันแม่ก็มีเขาขึ้นมาอีก แน่นอนว่าการยอมรับนั้นไม่ได้มาโดยง่าย แม่ใหญ่โกรธมากจนพ่อของเขาไม่สามารถพูดคุยอะไรกับแม่ใหญ่ได้หลายต่อหลายเดือน และมิหนำซ้ำยังมีทั้งโทรศัพท์จากครอบครัวทางฝั่งของแม่ใหญ่มาต่อว่าแม่ของเขาที่กำลังท้อง
แต่ทั้งสามคนก็ปรับความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีในวันที่แม่ใหญ่ยอมมาตามคำเชิญของแม่ เพื่อมาดูทารกเกิดใหม่ แม่ใหญ่มักจะเล่าให้ฟังว่าในวินาทีที่อุ้มเขาเอาไว้ทุกอย่างก็เหมือนจะคลี่คลาย ผู้ใหญ่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้อย่างดี และผลสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดคือมีเขาเป็นทายาทคนเดียวที่พ่อรับรองเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และแม่ใหญ่ก็ยินดีที่จะเอ็นดูเขาในฐานะลูกคนหนึ่ง แม้จะน่าประหลาดแต่บางครั้งเรื่องของผลประโยชน์ของตระกูลก็มากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจถึงเหตุผลของผู้ใหญ่พวกนี้
“ก็นั่นล่ะ ไม่เคยนึกอิจฉาเลยสักครั้ง ”
“แต่แม่ก็โดนว่ามาโดยตลอด...”
“จูน...แม่ไม่ว่าหรอกนะกับเรื่องนั้นเพราะอย่างไรเสีย ความรู้สึกของแม่ที่มีต่อพ่อก็คือในตอนนั้นและในตอนนี้แม่รักพ่อของลูกจนพร้อมจะทำทุกอย่างให้พ่อของลูกได้ และรักมากพอที่จะไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไร มากพอที่บางครั้งจะโยนเหตุผลที่สังคมตั้งทิ้งไปแล้วทำตามใจของตัวเอง และแม่ก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยด้วย เพราะถ้าแม่มัวแต่นึกถึงคำพูดของคนอื่น และก็คิดถึงแต่ตัวเองว่าจะถูกนินทามากไปกว่านั้นไหม ถ้าแม่มัวแต่คิดแบบนั้นจนตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดไปแล้วแม่จะได้มีจูนแบบนี้ไหม แล้วจะให้แม่ไปอิจฉาแม่ใหญ่ได้ยังไง แม่ต้องขอบคุณแม่ใหญ่มากกว่าที่ให้แม่ได้มีจูนแบบนี้ ”
น้ำเสียงของแม่หนักแน่น แม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานแต่ในขณะเดียวกันจูนรู้ดีว่าแม่ของเขาก็เข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับสายตาของใครต่อใครและเลี้ยงเขามาแบบนี้
.....คิดถึงแต่ตัวเอง....อย่างนั้นเหรอ?.....
อยู่ๆคำพูดของเคนก็ลอยเข้ามาในหัว เขาคิดถึงแต่ตัวเองอย่างนั้นหรือ... เขาวิ่งหนีจากสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามยื่นเข้ามาให้
“จูน?.... ยังฟังแม่อยู่ไหม” เสียงเรียกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์
“ผมขอโทษครับ......” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเบา “ผมไม่น่าตั้งคำถามโง่ๆแบบนั้น” ท้ายเสียงแหบพร่า คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้เขาอยากจะเข้มแข็งให้ได้แบบนี้บ้าง
“จูน....ที่ถามแม่แบบนี้ มีใครทำให้ลูกของแม่รู้สึกไม่ดีเหรอ” คำถามนั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จูนหลับตาลงรู้ดีว่าหากอยู่ใกล้ๆกับแม่ตอนนี้มือเรียวที่ทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอดจะต้องกำลังลูบผมของเขาอย่างปลอบประโลมเป็นแน่
“ผม.... แค่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้....ไม่ชอบเลย”
“ถ้ามีอะไรก็บอกแม่ได้นะ...” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“จะพูดยังไงดี คือ...มีคนมาชอบผม แต่เขามีอีกคนอยู่ ผมว่ามันคงไม่เข้าท่าถ้าผมจะเข้าไปเป็นคนที่สาม แต่...อีกส่วนของผมก็คิดว่ามันอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ...ผมแค่กลัวว่าคนจะมองมาไม่ดีและตอนนี้ผม...ก็เริ่มไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน”
“อืม..... “ เสียงผู้เป็นแม่รับคำในลำคอเบาๆ
“แล้วจูนชอบเขาหรือเปล่าล่ะ?”
“ผ....ผม.....เอ่อ...ผมยัง...เอ่อ....” คำถามของผู้เป็นแม่ที่ถามกลับมาทำให้เด็กหนุ่มหาคำมาตอบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีใบหน้าคมของ “อีกฝ่าย” ลอยเข้ามาในห้วงความคิด
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับแม่...มันคงไม่ดี”
“แล้วที่ว่าไม่ดีน่ะ...ใครเป็นคนตัดสินอย่างนั้นเหรอ?”
“อ่ะ...ที่ว่าไม่ดีคือคนอื่นเขาจะมองว่าไม่ดีต่างหาก” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงดังกว่าเมื่อครู่
....จะเป็นไปได้ยังไงกันในเมื่ออีกฝ่ายก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายอีกด้วย!....
“บางที จูนอาจจะต้องลองตั้งสติคิดดูดีๆนะว่า จูนรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ บางครั้งถ้ามัวแต่คิดเรื่องสายตาของคนอื่น มัวแต่คิดว่าคนอื่นจะมองยังไง แล้วตัวของเราใจของเรามันจะหายไปไหม ก็ต้องลองคิดดูให้ดีๆ มันคุ้มค่ากันไหมกับการที่เราจะทำร้ายจิตใจของตัวเองเพื่อรักษาความรู้สึกของคนอื่น ทั้งๆที่ในเรื่องบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของความรักแล้วมันก็ออกจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล ถ้ามันคุ้ม เหมือนเรื่องของแม่ พ่อ แล้วก็แม่ใหญ่ที่ได้มีจูนเป็นเด็กที่ดีแบบนี้ มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่สวยงามไม่ใช่หรือไง”
“ผม........” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะตอบบทสนทนานี้อย่างไร ในใจรู้สึกอบอุ่น แม้จะเป็นปมในหัวใจมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็น “ลูกเมียน้อย” เขาหวาดกลัวมาโดยตลอดท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร กลัวอยู่ลึกๆว่าสักวันพ่อที่บางทีก็แวะเวียนมาที่บ้านของเขาบ้างนั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก กลัวอยู่ลึกๆว่าหากแม่ใหญ่เกิดมีลูกได้ขึ้นมาเขาจะเป็นอย่างไร เพราะเหตุนั้นจึงพยายามเป็นเด็กดีมาโดยตลอด เขาไม่เคยทำอะไรที่ออกนอกกฎที่อาจจะทำให้ผู้เป็นแม่ถูกต่อว่าได้เลยแม้แต่น้อย....ทั้งหมดเป็นเพราะความกลัว
แต่พอโตขึ้นมาแล้วถึงได้รู้ว่าพ่อ แม่ และแม่ใหญ่นั้นเอาใจใส่เขามากแค่ไหน เพียงเพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่ดีและเพียบพร้อมเหมาะสมกับอนาคตที่ทั้งสามคนฝากเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันสำหรับเขาแล้ว แม้แต่ตอนนี้ในใจลึกๆแล้วความกลัวต่อการ “ทำผิด” นั้นก็อาจจะยังมีอิทธิพลอยู่มากก็เป็นได้
....ถ้ามันจะคุ้ม....
....แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย....
“มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่จูนไม่เคยชิน แม่เลี้ยงจูนมาแม่รู้ว่าจูนคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ แต่บางครั้งก็อย่างที่แม่บอก ถ้ามันคุ้มก็ต้องลองกันดูสักตั้ง แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิด ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเสียใจอะไรกับมันอีก คนๆนั้นอาจไม่เหมาะกับลูกของแม่ก็เท่านั้น”
ได้ฟังคำพูดของแม่แบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด ถ้าตัดสินใจแล้วก็อย่าได้เสียใจ ถ้าจะผิดพลาดก็ขอให้ได้ทำให้ถึงที่สุด
“ ครับแม่...ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว มันอาจจะต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่ผมจะตัดสินใจให้ได้ จะไม่ปล่อยให้อะไรมันค้างคาไปมากกว่านี้”
“ดีแล้วลูก.... แม่รักลูกนะ” เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองพูดคุยสอบถามกันเรื่องของที่บ้านกันอีกเล็กน้อยและลงท้ายด้วยว่าจูนอาจจะกลับไปที่บ้านเมื่อปิดเทอมภาคฤดูร้อนมาถึง
...................................................
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเคนแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของที่คณะเหมือนอย่างเคย การมาของชายหนุ่มทำให้มีเสียงฮือฮาอยู่ไม่น้อยในหมู่รุ่นพี่และรุ่นน้อง หลายคนรู้เรื่องที่เคนจะไปต่อยมวยในรายการโทรทัศน์แล้ว หลายเสียงชื่นชม หลายเสียงมาพร้อมกับสำเนียงของความอิจฉาในโอกาสที่ได้รับ เคนกรอกตาน้อยๆกับคำพูดพวกนั้น เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เป้าหมายของวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมาใส่ใจคนรอบข้างเขาแค่ต้องมาส่ง “จดหมาย” ให้พ่อก็เท่านั้น
“แล้วอาจารย์ว่าไง....” เสียงต้าร์ดังขึ้นพร้อมกับยื่นขวดน้ำมาให้เพื่อน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าอย่าแพ้นะก็เท่านั้น” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ พลันนึกถึงคำพูดของนิดเมื่อวานนี้ ก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ดวงตาคมของชายหนุ่มเหลือบมองหน้าของเพื่อนเล็กน้อย
“ทำไมทุกคนอยากให้กูชนะแมทซ์ที่กูไม่พร้อมนักวะ” เคนรับขวดน้ำมายกขึ้นดื่ม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ใครจะอยากให้มึงแพ้ล่ะวะ” ต้าร์ตอบกลับทันควัน “ดูแฟนมึงดิ่ ป่านนี้ไปทำป้ายเชียร์ขนาดเท่าฝาบ้านรอแล้วมั้ง”
“.....เฮ้อ.....” คราวนี้เคนยิ่งถอนหายใจยาวด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ท่าทางของนิดเมื่อวานนั้นยิ่งทำให้ความตั้งใจของเขาดูเป็นไปได้ยากในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสักคำที่เขาพูด
“กำลังใจเต็มเปี่ยมขนาดนี้ทำไมทำท่าเหมือนซังกะตายวะ” ต้าร์ว่า ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย “...หรือยังไม่ได้กำลังใจจากคนที่อยากได้....”
“.............. “เคนไม่ตอบชายหนุ่มร่างใหญ่เชิดหน้าขึ้นพลางสูดจมูกเบาๆ ดวงตาคมเสมองไปทางอื่น
“เด็กนั่นล่ะ จูน? ชื่อนี้ใช่ป่ะ ที่ว่าอยากได้อยากได้เมื่อก่อนสิ้นปีน่ะ ไม่มาแล้วเหรอ”คำถามของต้าร์วิ่งเสียดเข้าไปในอก
“จะมาได้ไง...ก็เขาไล่ให้ไปไกลๆ ให้ทำตัวเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิมแล้ว” เสียงเคนตอบกลับมาเบาๆ ดวงตาคมหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงคำพูดของเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวถึง
“อ้าว...ไหงเป็นงั้น ตอนนั้นมาก็เห็นยังดีๆกันอยู่เลยนี่หว่า อ๋อ รู้ล่ะแม่งรู้ว่ามึงแค่จะเล่นๆกับเขาสินะ น้องมันเลยไหวตัว ไม่เอากับมึงด้วยเนี่ย”
“ใครว่ากูเล่นๆวะ” โดยที่ไม่ทันได้ให้เพื่อนตั้งตัวมือแกร่งของเคนกระชากคอเสื้อของต้าร์ขึ้นอย่างแรง
“อ้าว เฮ้ยๆ ไอ้เคน มึงใจเย็นๆดิ่วะ” ต้าร์รีบยกมือขึ้นห้ามเพื่อน เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาอะไรอื่น “ที่พูดนี่เพราะกูไม่รู้นะเว้ยว่ามึงไปเจออะไรมา ....แต่ดูท่าคงจะหนัก มึงใจเย็นๆ ปล่อยกูแล้วแม่งแดกน้ำไปเลยนะมึง ถ้าไม่พอเดี๋ยวกูเลี้ยงอีกก็ได้ แต่คุณมึงช่วยปล่อยกูก่อนแล้วถ้ามึงอยากจะเล่าอะไรล่ะก็เดี๋ยวกูจะฟังให้”
เคนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดขวด ก่อนจะถอนหายใจออกมาคล้ายจะโล่งใจ แต่ก็หาใช่เช่นนั้นไม่
“กูมันเลว กูรู้...ไปทำเหี้ยๆกับเขาไว้ สุดท้ายถ้าเขาจะปฏิแสธกลับมา ตอนแรกกูคิดว่าในใจกูก็คงจะพอรับได้ แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ เขาบอกให้ทำเหมือนเดิมเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิม นี่ถึงขนาดว่ากูเลิกทุกอย่าง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ อย่างน้อยก็พยายามแล้วที่จะไม่สนใจ แต่...พอลองรับโทรศัพท์ไปครั้งเดียว ก็ไม่ไหวว่ะ แค่ได้ยินเสียงมัน
กูก็โคตร....โคตร....โคตรอยากเจอมันเลยตอนนี้ ไม่ต้องมาอวยพรให้กูต่อยชนะก็ได้ จะด่ากูก็ได้ แค่...ขอเจอหน้าก็พอใจแล้วตอนนี้ ไม่งั้นกูซ้อมไม่ได้แน่ “
คำพูดที่พร่างพรูออกมาจากปากของเคนทำเอาต้าร์ถึงกับเลิกคิ้วสูง เขาเรียนกับอีกฝ่ายมาสามปีแถมยังเป็นเพื่อนร่วมหอกันตอนปีหนึ่ง มีใครเคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเคนบ้างก็พอจะรู้ บางครั้งเคนก็พูดคุยปรึกษาเขาบ้างเรื่องการไปซื้อของขวัญ เรื่องการง้อแฟน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เคนจะพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากขนาดนี้มากกว่า มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกเป็นไฟแน่หากไม่ได้พบหน้าของใครบางคน
“ก็.....แล้วทำไมไม่ไปเจอล่ะ”
“พูดเหมือนเขาจะยอมเจอกูง่ายๆ” เคนหัวเราะขึ้นจมูก เสมองไปยังแนวต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปหวังจะให้สีเขียวของธรรมชาติช่วยทำให้ใจของเขาสงบลงได้บ้าง
“คนอย่างมึง ใครห้ามอะไรแล้วเคยฟังด้วยเหรอ.... มึงก็บอกเองว่าจะด่ามึงก็ได้ ขอแค่ให้ได้เจอ มึงก็ไปสิ จะโดนเขาด่ามันก็ไม่ได้ทำให้มึงรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้แล้วนี่” ต้าร์ไม่รู้จะแนะนำอะไรเพียงแค่บอกให้เพื่อนทำตามใจเท่านั้น รู้ดีว่าสำหรับนักกีฬาแล้วสมาธิในการซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเคนคงจะกลับไปซ้อมทั้งๆที่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านแบบนี้ได้แน่
ดวงตาคมของเคนหันกลับมามองหน้าของเพื่อน เขามองหน้าของต้าร์นิ่งด้วยสายตาที่เหมือนจะกล่าวคำว่า “ขอบใจ” ออกมา มือแกร่งยกขึ้นวางบนไหล่ของเพื่อนแล้วตบเบาๆ
“มึง...ไม่รังเกียจกูใช่ไหมที่เป็นแบบนี้”
“มึงมีส่วนที่น่าเกลียดที่สุดคือชอบทำตัวหล่อเกินหน้าเกินตากู เท่านั้นก็พอแล้ว ...แต่ก็ดีนะ ถ้ามึงกับน้องนั่นได้กันไปเสีย กูก็จะได้มีคู่แข่งน้อยลงเวลาจะไปจีบสาว....ไหนๆพี่เคนก็เข้าป่าไปหาไม้พันธ์เดียวกันแล้ว” ต้าร์ไม่วายยังจะทำท่าทะเล้นทำเอาเคนต้องยกมือตบเข้ากลางหลังหัวจนหน้าแทบคว่ำ
“เฮ้ย มึงเล่นห่าอะไรวะ”
“เปล่า แค่อยากจะขอบใจเพื่อนอย่างมึงน่ะ ....เดี๋ยวกูไปล่ะ เวลาของกูมีน้อย” ร่างสูงว่าพลางลุก ท่าทางเหมือนสบายใจขึ้นมากแม้จะยังมองเห็นความหวั่นใจเล็กๆอยู่ในดวงตาคู่นั้นก็ตามที
-
ต่อ
..........................................
รายงานหน้าชั้นเรียนจบไปอย่างที่เรียกได้ว่าเข้าข่ายหายนะ จูนพูดผิดพูดถูกอย่างที่ไม่เคยเป็น เด็กหนุ่มขึ้นชื่อในเรื่องท่องจำอะไรแล้วไม่มีผิดเพี้ยนแต่ในขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่ถ่ายทอดบทพูดได้อย่างไร้อารมณ์มากคนหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เพียงแค่จูนจะจำบทพูดไม่ได้ ทั้งสีหน้าและท่าทางก็ดูเป็นกังวลจนคล้ายจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงนั้นสั่น และสั่นมากขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าพูดผิด ลำดับของรายการงานเริ่มยุ่งเหยิงจนปิ๊กต้องเข้ามาช่วย สุดท้ายก็จบลงที่ร่างสูงโปร่งเดินคอตกกับไปนั่งประจำที่โดยที่มีปิ๊กกอดคอเพื่อนพลางตบไหล่นั้นเบาๆ
“จูนเอ้ย....เป็นอะไรไปวะ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้แล้ว ท่าทางแปลกๆนะ นี่รายงานล่มไม่เป็นท่า” ปิ๊กว่าพลางยื่นลูกชื้นเอ็นไก่ให้
“......นิดหน่อย.....”เด็กหนุ่มปฏิเสธที่จะรับน้ำใจจากเพื่อน ตอนนี้ความอยากอาหารของเขาไม่ใคร่จะทำการได้ดีนักคำพูดของแม่กับเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เขาไม่มีสมาธิจะทำอะไรต่อสักเท่าไร ในหัวมีแต่คำถามที่ยังคงไร้คำตอบเวียนวนอยู่ตลอด
“คงไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง ตาเป็นแพนด้ามาเชียว สภาพแกมาแบบนี้นะ เป็นหนุ่มแว่น หัวเหอไม่ได้เซ็ทมาแบบนี้นะ ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมาก ก็คิดมาก นอนไม่พอ...” ปิ๊กร่ายยาว
“..................................” เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ทุกอย่างที่ปิ๊กพูดช่างแม่นยำ
“โอ๋นะ...แค่นี้เซนเซย์เขาไม่หักคะแนนแกมากมายนักหรอก ก็ทำดีมาตลอดนี่” แพรว่าพลางเดินเข้ามากอด จูน
พยักหน้าลงเบาๆก่อนจะผละออกจากเพื่อนสาว
“กลับหอไปนอนดีกว่า....ไม่ไหวแล้ววันนี้” เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวพลางรวบข้าวของลงกระเป๋าสะพาย ร่างสูงบอกลาเพื่อนแล้วลุกเดินจากไป
“เฮ้ย! จูน แล้วนี่เมิงไม่คิดจะกินข้าวกินปลาก่อนเหรอ” ปิ๊กร้องถามแต่ก็เห็นแค่มือเรียวที่โบกอยู่เหนือศรีษะ ดูท่าทางเพื่อนของเธอวันนี้จะแบตหมดของจริง
…………………………………………………………….
ทางเดินกลับหอจากป้ายรถประจำทางดูห่างไกล เด็กหนุ่มขยับแว่นของตัวเองเล็กน้อย กระชับมือเข้ากับสายกระเป๋าสะพายมืออีกข้างมีถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อที่มีแค่อาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับเครื่องดื่มเกลือแร่อยู่อีกขวด สองขาก้าวเดินต่อแม้จะรู้สึกขาอ่อนแรงไปมากก็ตาม อยากจะไปให้ถึงเตียงนอนของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด ยิ่งก้าวก็ยิ่งรู้สึกหนัก แต่ก็ยังต้องเดินต่อ จนในที่สุดก็เดินมาจนถึงทางเข้าหอพักของตัวเอง จนในที่สุดก็เลี้ยวผ่านประตูรั้วของเขตหอพักเข้ามา เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“ถึงสักที.......” จูนพูดกับตัวเองก่อนจะรีบเดินต่อเข้าไปยังด้านในตึกทางซ้ายมือเป็นห้องสำนักงานและเค้าท์นเตอร์ประชาสัมพันธ์ทางด้านขวาเป็นที่นั่งประจำของลุง รปภ. หน้าเข้ม แต่ประตูกระจกด้านหน้ายังคงปืดสนิทหากไม่มีคีย์การ์ดก็ผ่านเข้าปได้ยาก เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋าควานหาสิ่งจำเป็น
“จูน.................”
เสียงทุ้มที่คุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นทำให้ทั้งร่างของเจ้าของชื่อชะงักอดคิดไปไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะง่วงนอนจนหูฝาดไปแล้วหรืออย่างไร เด็กหนุ่มสะบัดหน้าซ้ายขวาแรง ก่อนจะควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าต่อ
.....กุญแจอยู่ไหนะ แบบนี้มันแย่แล้ว....
....หิวนอนจนหน้ามืดหูเฝื่อนขนาดนี้เนี่ย ...
“จูน....”
เสียงที่คิดไปว่าหูแว่วนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเงาร่างของใครบางคนที่ปรากฏขึ้นจากด้านหลัง ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงก่อนที่ร่างกายของเขาจะหันไปตามเสียงเรียก
“พี่เคน?.....”
ชื่อของคนที่ยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดดังออกมาจากปาก ใบหน้าคมได้รูปนั้นดูเหนื่อยอ่อนลงไปกว่าครั้งก่อนที่เห็น แต่กระนั้นในดวงตาสีเข้มคู่นั้นยังเป็นประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มจางๆที่อยู่บนใบหน้า ร่างสูงใหญ่สวมชุดนักศึกษาที่ดูคุ้นตา ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงคล้ายกับทุกทีที่พบกัน แต่จูนรู้ดีว่าในตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองคนนั้นมีอะไรบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ทำไมวันนี้เลิกเรียนเร็วจัง...” รุ่นพี่ร่างใหญ่เอ่ยถามพร้อมมือแกร่งยกขึ้นให้จูนเห็นในระดับสายตา หมายจะยกขึ้นสัมผัสเส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่ม
“พี่เคน....รับ!”
ไวเท่าความคิดเด็กหนุ่มร้องขึ้นพร้อมโยนถุงพลาสติกในมือขึ้นไปลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ
“หะ เฮ้ย....” เคนเองก็ร้องลั่น พยายามจะรับทั้งถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและขวดน้ำเกลือแร่ที่กำลังจะตกลงมา ในขณะที่สองหูก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังแกร๊ก สายตาพลันเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนแทรกกายผ่านช่องว่างระหว่างประตูเข้าไปด้านในเสียแล้ว
“จูน....!อ้าว เฮ้ย จูน!!” มือแกร่งกระแทกเข้ากับกระจกหนาเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่อีกด้านด้วยใบหน้าซีดเซียว ดวงตารีเรียวนั้นเบิกโพลงกว่าทุกครั้งเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงไม่ต่างกับตัวเขาเองที่กำลังมึนงงกับทุกอย่างเช่นกัน
“เปิดประตูก่อนสิ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” เคนร้องลั่นอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของกระจก
“พี่ไม่ทำอะไรแกหรอก แค่ออกมาคุยกันก่อนได้ไหม” ร่างสูงเอ่ยอย่างร้อนรน เขาแค่อยากจะมาเจอหน้า อยากจะมาบอกอีกฝ่ายว่าเขากำลังจะไปต่อยแมทซ์สำคัญ และมันสำคัญกับเขามากแค่ไหนที่จะต้องเจอกับเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนที่จะไปทำงานใหญ่แบบนั้น
จูนมองดูภาพของชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางของเคนทั้งตกใจสิ้นหวัง สายตาที่มองมาคล้ายจะส่งข้อความอ้อนวอน แต่สิ่งที่เขาทำในตอนนี้มีเพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆ และทันทีที่ประตูลิฟท์ตรงหน้าเปิดออกร่างสูงโปร่งก็ก้าวเข้าไปด้านใน ปล่อยให้คนที่มาพบต้องยืนอยู่ข้างนอกต่อไป
.................................................
สองขาพาตัวเองวิ่งกลับมาถึงห้อง บานประตูกระแทกปิดลงที่เบื้องหลัง ร่างสูงโปร่งหอบหายใจแรง มือเผลอยกขึ้นขยำลงที่อกเสื้อเพราะกลัวว่าหัวใจที่เต้นแรงของตนนั้นจะหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้
...มาทำไม...
เด็กหนุ่มได้เพียงเอ่ยถามในใจ อีกฝ่ายจะมาหาเขาที่หอแล้วพูดแบบนั้นทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาไม่พร้อมเช่นนี้ เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าของเคนตอนนี้ จูนรู้ดีว่าเขาเป็นคนไล่อีกฝ่ายไปเอง ทั้งๆที่ในใจของเขาอีกส่วนก็ยังอยากจะให้ความสัมพันธ์ของเคนกับตัวเองนั้นกลับมาพูดคุยกันได้เหมือนเดิม แต่กระนั้นในตอนที่เขาเห็นภาพของเคนกับนิดที่อยู่ด้วยกันด้วยท่าทีสนิทสนมใจของเขากลับร้อนรนไปด้วยความอิจฉาที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกร้อนรุ่มในอกได้มากถึงขนาดนี้ และมันยิ่งทำให้เขาไม่พร้อมที่จะไปเจอหน้าของเคนมากขึ้นไปอีก ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากมองหน้าหรือสบตา ด้วยกลัวว่าความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในอกนั้นจะทะลักทะล้นออกมาเป็นคำพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อ
จูนพยายามปลอบหัวใจที่สั่นไหวของตัวเองให้สงบลง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนเปิดประตูห้องนอนเข้าไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มของเตียงและระบบในร่างกายของตัวเองที่กำลังจะปิดตัวเองลง ขอเพียงแค่เขาได้พักก่อนในตอนนี้ หากตื่นมาอีกครั้งทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้
...............TO BE CONTINUED
-
:pig4: :pig4:
-
โหหหห อีกคนก็ตาม อีกคนก็หนี
บอกเลิกนิดเถอะพี่ จูนมันไม่กล้าพูดให้พี่เลิกกับพี่นิดหรอก T^T :katai1:
-
@@@talk@@@
เข้าเทศกาลสงกรานต์แล้ว
คนอ่าน กลับบ้านกันหรือเปล่าคะ
ขอให้เดินทางกันปลอดภัยนะคะ ถึงบ้านแล้วอย่าลืมมาอ่านนิยายกันนะคะ
ขอให้มีความสุขกับเทศกาลค่ะ
ป.ล......ดูจากวันที่โพสต์ นิยายเรื่องนี้โพสต์เดือนละตอน ฮ่ะๆ)
.................................................................
Chapter 39:ตอบไม่ได้[/b]
เวลาผ่านไปเท่าไร เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อต้องลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ภายในห้องที่แผดลั่น เด็กหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นกรอกเสียงตอบรับทันที
“ครับ...” เสียงที่ตอบรับนั้นแหบพร่า เด็กหนุ่มพยายามสะบัดความง่วงงุนออกไปจากหัว
“นี่ รปภ นะครับ” เสียงชายวันกลางคนติดสำเนียงท้องถิ่นดังขึ้น ทำให้จูนต้องเลิกคิ้วสูง ความง่วงกว่าครึ่งคล้ายจะกระเด็นกระดอนออกไป แทนที่ด้วยสติและความประหลาดใจ
“ครับ? มีอะไรรึเปล่าครับ”
“คุณครับ คือลุงจะโทรมาขอให้คุณช่วยลงมาคุยกับคนที่เขามาหาคุณหน่อย เห็นเขานั่งมาตั้งแต่บ่าย นี่สองทุ่มกว่าแล้วยังไม่ลุกเลย พอถามก็บอกแต่ชื่อคุณกับเบอร์ห้อง จนพวกประชาสัมพันธ์ข้างล่างเขากลัวไม่กล้ากลับบ้านกันแล้วเพราะนึกว่าจะมาทวงหนี้ ยังไงช่วยลงมาดูหน่อยนะครับ ”
ปลายสายเป็นสำเนียงอีสานของคุณลุงที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตึก ฟังจากน้ำเสียงของลุงแล้วก็คงจะนึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อย
“อย่างนั้นเหรอครับ...ครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะรีบลงไปนะครับ ขอโทษคุณลุงกับพวกพี่ๆที่ประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับที่ทำให้ลำบาก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่คุณลุงพูดถึงนั้นเป็นใคร เด็กหนุ่มวางสายจากลุง รปภ และเมื่อมองไปด้านนอกนอกหน้าต่างก็เห็นว่าท้องฟ้าที่มองเห็นนั้นเปลี่ยนเป็นมืดสนิทไปเสียแล้ว
....โห.... นี่เล่นหลับยันมืดเลยเหรอเนี่ย....
จูนคิดก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง สะบัดหน้าแรงๆสองสามครั้งแล้วคว้ากุญแจห้องเดินลงไปด้านล่าง หวังที่จะให้เรื่องมัน “จบ “ ไปก่อนสำหรับวันนี้ เขาไม่อยากถูกสาวๆที่ห้องประชาสัมพันธ์ของหอพักเอาไปพูดจาต่อว่าเขาติดหนี้การพนันหรืออะไรแบบนั้น
ประตูกระจกที่กั้นระหว่างด้านนอกกับภายในหอเปิดออก เด็กหนุ่มค่อยๆก้าวออกมาด้วยความระแวดระวัง เขาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วแต่ก็มองไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนตามทีได้รับรายงานแต่อย่างใด มีเพียงแค่ความมืดที่มองเห็นผ่านบานกระจกประตูห้องประชาสัมพันธ์และธุรการของหอก็เพียงเท่านั้น นี่คงจะหนีกลับชนิดที่เรียกได้ว่า”เผ่น”เป็นแน่ จูนถอนหายใจคล้ายจะโล่งอก ที่อย่างน้อยก็ไม่มีคนมาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์มากนัก
“มองหาคนตัวใหญ่ๆนั่นเหรอครับคุณ......” พลันสำเนียงอีสานของลุง รปภ ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก
“โอ้ย ลุงครับ ตกใจหมด....อย่ามาเงียบๆสิครับ”
“ลุงก็เดินมาปกตินี่ล่ะครับคุณ ว่าแต่นี่ยังไม่เจอกันเลยเหรอครับ” คุณลุง รปภ. สำเนียงอีสานรูปร่างผอมท่าทางเหมือนไม่ค่อยมีแรงว่าพลางขยับหมวกแก๊ปใบเก่าให้เข้าที่เข้าทาง จูนได้กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งจากร่างของอีกฝ่ายไม่ต้องเดาให้ยากก็พอรู้ว่าลุงเพิ่งจะไปพักสูบบุหรี่มาเป็นแน่
“ยังเลยครับ.... อาจจะกลับไปแล้ว....”
“โอ้ย....น่าจะยังไม่กลับหรอกครับ นี่คงกะจะรอจนกว่าคุณจะลงมาจ่ายหนี้นั่นล่ะมั้ง นี่ลุงยังเห็นมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ตรงโน้น....คนเก็บหนี้เดี๋ยวนี้เขารวยเนอะ ขับรถคันใหญ่ๆกันได้ นี่คงเก็บมานาน รถสวยขนาดนั้นคงไม่กล้าทิ้งไปไหนไกล” ว่าพลางปลายนิ้วผอมๆของลุง รปภ ก็ชี้ไปทางลานจอดรถที่อยู่อีกด้าน ทำให้จูนพอเข้าใจได้ว่าถึงแม้เคนจะไม่กลัวร้อนกลัวหนาวแต่คงจะเป็นห่วงรถคันสวยของตัวเองแน่จึงได้เอาเข้ามาจอดด้านในแบบนี้ แต่ก็อดจะเอะใจกับคำพูดของลุงไม่ได้
“แต่ลุงครับ ผม..เอ่อ..ไม่ได้เป็นหนี้ใครนะครับ”
“โอ้ยคุณ ไม่ต้องอายหรอกเดี๋ยวนี้แม้แต่พวกนักศึกษาก็เป็นหนี้กันเยอะไป นี่คงไปเล่นบอลที่ไหนมาล่ะสิ” ลุง รปภ ว่าพลางหัวเราะ “ยังไงจะจ่ายเงินกันก็จ่ายกันดีๆนะคุณ ถ้าจะตีกันไปตีกันข้างนอกนะ ลุงแก่แล้วห้ามไม่ไหวหรอก ตัวใหญ่ขนาดนั้น...แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็เรียกตำรวจนะคุณ” ลุง รปภ ทึกทักไปเองเป็นตุเป็นตะ จนคนฟังทำได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ฮ่ะๆ....ขอบคุณครับคุณลุง เดี๋ยวผมไปบอกให้เขากลับไปก็แล้วกันนะครับ ให้คนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยน เดี๋ยวลุงจะเดือดร้อนเสียเปล่า” เด็กหนุ่มก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปยังลานจอดรถ ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ห่างออกไปยิ่งทำให้เด็กหนุ่มต้องเดินไกลออกจากตัวตึกออกไปอีก
มองดูรอบด้านก็ไม่เห็นจะมีร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่แถวนั้น และไม่ต้องสอดส่ายสายตานานก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่คู่ใจของใครบางคนจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มค่อยเดินตรงเข้าไปหาดวงตารีเรียวมองพาหนะตรงหน้านิ่ง ปลายนิ้วเรียวยื่นไปไล้สัมผัสพื้นผิวเรียบของเบาะหลังที่ที่เคยซ้อนอีกฝ่ายไปไหนต่อไหน เหลือบมองดูที่แฮนด์มอเตอร์ไซค์มีเพียงหมวกกันน็อคสีดำของอีกฝ่าย ไม่มีหมวกกันน็อคสีหวานของใครห้อยติดมาด้วย
“ก็คงแค่ไม่ได้เอามาด้วย....คงไม่มีทางที่จะทิ้งไปง่ายๆหรอก”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ยิ่งมองมอเตอร์ไซค์คันสวยนั่นก็ยิ่งคิดในเรื่องที่ไม่น่าคิด และยิ่งจำแต่ภาพที่เคยเป็น มอเตอร์ไซค์หน้าตาละม้ายคล้ายรถของพวกทวงหนี้นอกระบบกับใบหน้าโหดๆที่ยิ่งเวลาอากาศร้อนหรือก็จะยิ่งขมวดคิ้วเสียจนน่ากลัว ตัวก็ใหญ่ผิดมนุษย์มนา ภาพทั้งหมดในหัวทำให้จูนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนยกปลายเท้าเตะเบาที่ล้อรถมอเตอร์ไซค์
“มอเตอร์ไซค์ก็น่ากลัว คนขับก็หน้าโหด แล้วยังจะมาทำตัวเหมือนคนเก็บหนี้อีก ...หมีควายเอ้ย มันลำบากชาวบ้านเขารู้ไหม” เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นเตะล้อรถนั่นอีกรอบ ปากก็สบถออกมาเบาๆ
“ไม่พอใจอะไรก็มาลงที่พี่สิ....อย่าไปลงที่รถ”
เสียงทุ้มดังขึ้นที่ด้านหลังทำเอาคนที่กำลังยืนหัวเสียอยู่สะดุ้งเฮือก และเมื่อหันกลับมาก็เจอร่างสูงใหญ่ของเคนยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อนักศึกษาที่เห็นใส่เมื่อตอนบ่ายถูกปลดกระดุมลงจนหมดเผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีเข้มที่ใส่อยู่ด้านใน ใบหน้าดูชื้นเหงื่อเล็กน้อยผิดกับอากาศด้านนอกอาคารที่ยังคงเย็นตามฤดูกาล
“ผ....ผมไม่ต่อยพี่ให้เสียมืออีกหรอก....” จูนเอ่ยเบาๆ เขายังจำคราวก่อนที่เหวี่ยงหมัดใส่เคนไปเต็มแรงได้ดี เด็กหนุ่มเสมองไปอีกทางเขายังจำได้ดีว่าวันนั้นมันเจ็บมากแค่ไหน
....ทั้งที่มือ...และที่ใจ...
“โอเค...ได้ ไม่พูดแบบนั้นก็ได้” เคนยิ้ม ดวงตาคมมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ราวกับจะสำรวจ
“แล้วคราวหลังก็อย่าเดินมาเงียบๆอีก เดี๋ยวคนก็ได้นึกว่าเป็นโจรมาขโมยรถหรอก” เห็นสายตาแบบนั้นมองมจูนยิ่งรู้สึกร้อนขึ้นมาบนใบหน้า
“พี่เดินมาเสียดังแล้ว มีเรานั่นล่ะตกใจไปเอง....กลัวทำไม นึกว่าพี่เป็นผีเหรอ” เคนยิ้มน้อยๆ แต่น่าแปลกที่ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ใช่.... แต่ยังไงวันนี้พี่ทำให้คนอื่นกลัว มานั่งทำอะไรอยู่ได้ตั้งครึ่งค่อนวัน...จนชาวบ้านเขาจะหาว่าพี่เป็นพวกทวงหนี้แล้วผมไปติดหนี้พี่อยู่หลายแสนเนี่ย!” จูนพูดพร้อมใบหน้าที่กลายเป็นสีแดง มือเรียวยกขึ้นผลักไหล่ของอีกฝ่าย แต่ก็ดูว่าผลักไปก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะทกสะเทือนสักเท่าไร
“ก็แค่อยากมาเจอหน้าแก...ก็เท่านั้นล่ะ” เคนว่า มือแกร่งยกขึ้นเล็กน้อยให้จูนเห็น เหมือนที่เคยสัญญากันไว้ว่าหากว่าอยากจะจับหัวของจูน เคนจะยกมือขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นก่อน แต่สองขาของรุ่นน้องหนุ่มกลับก้าวถอยหลัง
“อ่ะ....” จูนอุทานออกมาเบาๆกับการกระทำของตัวเอง เขาไม่ได้มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นแต่ส่วนลึกข้างในใจกลับสั่งให้ร่างกายของเขาต่อต้าน
“เอาเป็นว่าพี่มีธุระอะไรก็ว่ามา...” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วในใจยังคงมีภาพของเคนและนิดที่เขาเห็นเมื่อวานติดอยู่ในหัว นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากจะสบตากับอีกฝ่ายในตอนนี้ก็เป็นได้
“พี่แค่....”เคนชักมือกลับ..”พี่ก็แค่ไปซื้อ....นี่มา”ว่าพลางก็ยกกะป๋องโจ๊กจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมา
“หะ?” จูนเลิกคิ้วสูง
“ก็....” เคนเกาศีรษะเบาๆ “ก็เห็นแกไม่ลงมาสักที พอดียังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงด้วย เลยไปซื้อมากิน ...แล้วก็ซื้อมาฝากแกด้วย นี่กินอะไรหรือยัง...”ว่าพลางก็ยกอีกถุงที่ยังไม่ได้เปิดให้อีกฝ่ายดู “เมื่อบ่ายก็เห็นซื้อมาแต่มาม่ากับน้ำเกลือแร่ มันจะไปได้ประโยชน์อะไร...แถมยังขว้างทิ้งอีก” ท้ายเสียงยังไม่วายกระเซ้าแหย่คนตรงหน้า
“ก็ผมตกใจนี่! “ จูนโวยออกมาเบาๆ ในเมื่อสาเหตุที่ทำให้เขาตกใจก็คือคนที่กำลังยืนพูดอยู่ต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้ “แล้วนี่พี่จะซื้อมาฝากผมทำไม....ผมน่ะ....ไม่....”
.......โครก....... ทันใดท้องเจ้ากรรมก็ส่งเสียงโอดครวญออกมาราวกับฟ้าผ่า ทำเอาจูนที่กำลังจะปฏิเสธว่าไม่ได้รู้สึกหิวต้องกัดฟันแล้วเบือนหน้าหนีด้วยทั้งอายและเจ็บใจ
....ห่า จะมาร้องอะไรตอนนี้ ....
“หึ.... หิวก็ทำไมไม่บอกล่ะว่าหิว..... ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลันสายตาก็หันไปเห็นว่าถุงพลาสติกที่ใส่โจ๊กร้อนๆนั่นกำลังลอยไปลอยมาอย่างเย้ายวนตรงหน้า และเมื่อหันไปก็เห็นหน้าของใครบางคนยืนอมยิ้มอยู่
“นี่พี่กวนอยู่ใช่ป่ะ”
“กวน? “ เคนเลิกคิ้วพลางทำเสียงสูง “ กวนตรงไหน ก็แค่จะถามว่าหิวไหม......” ว่าพลางก็มองหน้างอง้ำของอีกฝ่าย ริมฝีปากเผลอเหยียดเป็นรอยยิ้มในใจนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเขาเองจะคิดถึงเสียงและท่าทางที่อีกฝ่ายต่อว่าเขาได้มากถึงเพียงนี้
“.....................ก็หิว” สุดท้ายจูนก็ต้องตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ อันที่จริงเขาก็คิดว่าจะเดินไปหาอะไรมากินเหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่ามื้อค่ำของเขาในวันนี้จะมีคนตระเตรียมให้เสียขนาดนี้
“งั้น.....กินก่อนไหม แล้วค่อยคุยก็ได้ถ้า...แกอยาก” ร่างสูงเอ่ย ก่อนเหลือบมองไปทางประตูทางเข้าหอ เห็นเงาร่างของลุง รปภ ก้มๆเงยๆ อยู่อีกด้าน ก่อนจะหันไปมองอีกด้าน“มีตรงไหนให้นั่งกินไหม เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
“ก็มีตรงนั้น.....”จูนตอบแล้วชี้ไปทางด้านหลัง เดินเลยออกไปมีลานที่มีโต๊ะม้าหินอ่อนให้นั่งพักผ่อนอยู่หลายตัว บางทีเย็นๆถ้าว่างเขาก็จะลงมานั่งเล่นแถวๆนี้เหมือนกัน
ปกติจะมีสาวๆจากชั้นสองชั้นสามลงมานั่งเล่นนั่งคุยงานไปพลางรับลมไปพลางกับเพื่อนที่มุมนี้ของหอพัก แต่ในเวลาแบบนี้ ลานโต๊ะม้าหินมีเพียงแค่แสงจากโคมไฟและจากลานจอดรถเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่ผู้มาเยือน ทั้งสองคนเดินไปหย่อนกายลงนั่ง บรรยากาศรอบข้างมีเพียงเสียงของใบไม้ที่ไหวเบาๆ เพราะสายลมที่พัดผ่านมาในยามค่ำคืน
“กินซะ เดี๋ยวจะเย็น” เคนว่าพลางใช้ปลายนิ้วดันถ้วยพลาสติกให้เลื่อนไปหยุดตรงหน้าของเด็กหนุ่ม กลิ่นหอมลอยขึ้นมาแตะจมูกจนจูนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ดวงตาเรียวเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆอีกครั้ง
“แล้วพี่ไม่กินเหรอ....หิวนี่”
“ให้แกกินก่อน ....” เคนยืนยันแล้วหยิบช้อนพลาสติกส่งให้
“ก็ได้...” เด็กหนุ่มรับช้อนนั้นมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ตักโจ๊กเข้าปากไปเงียบๆ รสชาตคุ้นเคย บรรยากาศก็คุ้ยเคย เช่นเดียวกับร่างสูงที่นั่งอยู่ไม่ห่าง เคนเองก็นั่งเท้าคางมองมายิ้มน้อยๆเหมือนอย่างที่เคยเห็นก่อนหน้า ท่าทางยียวนเมื่อครู่หายไปในตอนนี้มีเพียงแค่รอยยิ้มอย่างพึงใจที่ส่งมาให้เท่านั้น
“พี่จะมานั่งดูผมกินแค่นี้น่ะเหรอ” สุดท้ายด้วยเริ่มรู้สึกอึดอัดกับรอยยิ้มที่ปราศจากคำอธิบาย เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไปเบาๆ
“จะไม่กินหน่อยรึไง “ ว่าพลางก็ดันถ้วยโจ๊กเล็กๆนั่นให้อยู่ในระยะที่ทั้งสองคนจะตักได้อย่างไม่เลอะเทอะ
“ขอบใจ....”ชายหนุ่มหยิบช้อนพลาสติกอีกคันออกมาจากในถุงพลาสติกแล้วตักโจ๊กขึ้นมาใส่ปากบ้าง อาจจะเพราะมัวแต่นั่งเฝ้าความว่างเปล่าและไม่ได้ทานอะไรมาตลอดบ่าย เคนถึงได้ส่งเสียงเบาๆในคอพร้อมกับโคลงหัวไปมา ท่าทางอร่อยไม่น้อย
“........... “จูนมองท่าทางของเคน มันตลกและทำให้อดคิดย้อนไปไม่ได้ น่าแปลกที่มันก็ไม่ได้นานอะไรนัก แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปนานเสียเหลือเกิน
“คิดถึงเหมือนกันแฮะ...”
“หืม? อะไร” เคนเลิกคิ้ว
“ก็ที่กินข้าวกันแบบนี้ไง.... พวกเราถ้าหิวปกติก็จะไปกินข้าวด้วยกัน.....”เด็กหนุ่มหยุดมองหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย “สี่คนตลอดไม่ใช่รึไง”
“อื้ม.....นั่นสินะ...คิดถึง.....ไอ้เตี้ยสองคนนั่นเนอะ” เคนเองก็ชะงักเล็กน้อยกับคำพูดของตัวเองเหมือนกัน
“ใช่...ตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่ได้เจอเลย รู้แค่ว่า พี่โชติกับพี่ยุทธ์ช่วยกันตัดต่ออยู่ ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ยังไงก็ว่าจะโทรไปถามดูเหมือนกันว่ามีอะไรให้ช่วยไหม” ในดวงตาของเด็กหนุ่มอ่อนแสงลง เคนเห็นจูนยังคนโจ๊กเล่นอยู่อย่างนั้น
“อีกแล้ว พูดแบบนี้แสดงว่าคิดถึงสองเตี้ยนั่นสินะ อะไรก็ขับรถกลับมาด้วยกันแท้ๆ” เคนกระเซ้าแหย่เหมือนอย่างที่เคยทำทุกที
“พี่ไม่รู้หรอก...ขากลับบรรยากาศมันแย่ขนาดไหน สองคนนั้นก็แทบจะไม่พูดกันแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนจะพี่มาลงรถที่กลางทางอีก ผมน่ะ....” คำพูดมันพร่างพรูออกมาราวกับเคนได้ไปถามเปิดประเด็นอะไรเข้าให้
“แล้ว....พี่ล่ะ แกคิดถึงพี่บ้างป่ะ”
“ ให้ตอบตามตรง? “ จูนเลิกคิ้วมองหน้าของอีกฝ่าย
“อืม....ไม่งั้นจะถามเหรอ “ ชายหนุ่มร่างสูงเท้าคางกับโต๊ะรอคำตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายเอนหลังไปพิงพนักด้านหลังของโต๊ะหิน
“ก็.......มีบ้าง” จูนตอบแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหันไปมองหน้าของรุ่นพี่ มือเรียวของเด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบเบาๆที่ข้างลำคอ จูนรู้ดีว่าเขาโกหก เพราะมันตลอดเวลาเลยต่างหากที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายไม่ว่าจะในรูปแบบไหน หรือด้วยความรู้สึกอย่างไรแต่ในหัวของเขาก็ยังมีเรื่องของอีกฝ่ายอยู่เต็มไปหมด
“อันที่จริง... “เคนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสองคน ชายหนุ่มยกสองแขนขึ้นเท้าคาง “วันนี้ขอแค่มาเห็นหน้าก็พอ ได้กินข้าวด้วยกันนี่ก็เกิดคาดแล้ว” เคนยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงสวย ท่าทางของเคนดูดีใจมากอย่างปากว่าจริงๆ
“พี่นี่ก็เพี้ยน.... มานั่งตักโจ๊กร่วมถ้วยกับผู้ชายดีตรงไหน ...” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเขี่ยหมูบะช่อก้อนกลมที่เหลืออีกสองก้อนนั่นไปมา
“ฮ่ะๆ นั่นสินะ....มีดีตรงไหนกัน “ ไหล่กว้างของร่างสูงขยับไหวน้อยตามแรงหัวเราะ ก่อนที่จะหยุดแล้วมองหน้าของเด็กหนุ่มนิ่ง
“คงจะ....ดีตรงที่เป็นแกล่ะมั้ง....”
“พูดอะไร....” คำพูดที่เอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งก้มหน้าลงไปอีก ทำให้เห็นได้ว่าใบหูบางนั้นแดงก่ำ
“.... วันนี้แค่อยากมาบอกว่าอาทิตย์หน้าพี่จะแข่ง” เคนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นได้ชัดว่ากำลังทำให้จูนลำบากใจ
-
[ต่อ]
“ผมรู้...พี่จะไปต่อยมวยเวทีใหญ่กลางเมือง...งานออกทีวีเมืองนอกด้วย” จูนพูดแต่ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายอยู่ดี ในหัวพลันผุดภาพของคนตรงหน้ากับแฟนสาว ภาพที่หญิงร่างเล็กบรรจงจูบแฟนหนุ่มที่ข้างแก้มยังคงติดตา
“แล้วก็คงมีคนไปเชียร์พี่กันเยอะแยะ” ท้ายเสียงนั้นฟังดูคล้ายมีความไม่พอใจแฝงอยู่
“รู้แล้วเหรอ....” เคนถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วแกว่าไงล่ะ อยากจะไปเชียร์พี่ไหม” ถึงจะถามออกไป แต่ในตอนนี้จูนก็ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบ เด็กหนุ่มยังก้มหน้างุด
“เชียร์ไปก็เท่านั้น ผมดูไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ “ เสียงพูดดังอยู่ในลำคอทำให้ยากที่จะได้ยิน จนเคนต้องโน้มตัวเข้าไปหา
“ดูไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นจะเป็นไร จะไปหรือเปล่า.....พี่มีตั๋วนะ” พูดพลางร่างใหญ่ก็ดึงเอาซองเล็กๆออกมาจากในกระเป๋าหลังแล้วยื่นให้กับอีกฝ่าย
“ตั๋ว? ......พี่จะเอามาให้ผมทำไม คนอื่นเขาอยากไปดูกันเยอะแยะ” เด็กหนุ่มถามพลางจะชักมือกลับแต่ก็ไม่ทันเมื่อมือใหญ่ของเคนนั้นคว้ามือของเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
“คนอื่น?....หมายถึงนิดน่ะเหรอ” นักมวยหนุ่มมองหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องนิ่ง จูนในวันที่ไม่ได้แต้มอายไลน์เนอร์ลงบนขอบตานั้นดูไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ได้แต่หลบสายตาอยู่แบบนั้น
“.....ก็.....จะมีใครอีกล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกเจ็บปาบภาพเมื่อวานแล่นเข้ามาในความทรงจำ
“แต่นิดไม่ได้เป็นคนที่พี่อยากให้ไปอยู่ที่ข้างเวทีในครั้งนี้ ....คนที่พี่อยากให้ไปคือแกนะ”เคนบอกกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง ปลายนิ้วที่เกาะกุมมือของเด็กหนุ่มอยู่นั้นออกแรงกระชับหวังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ในอกนี้สักที
“พี่รู้ว่าแกไม่อยากให้พี่พูดแบบนี้ และแกก็อาจจะถามพี่ว่าพี่คิดอายตัวเองบ้างไหมที่มาพร่ำพูดเป็นคนบ้าแบบนี้ บอกตรงๆโคตรอายเลยว่ะ “ เคนเสมองไปทางอื่นเล็กน้อย ใบหน้าคมของหนุ่มนักกีฬาในตอนนี้กลับเปลี่ยนไปตามสีเลือดที่แล่นพล่านอยู่ใต้ผิวไล่ลามตั้งแต่ใบหูจนถึงลำคอ
“แต่แกรู้ไหม พี่พยายามแล้ว พยายามไปให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ระยะทางหรืออะไรมันก็ทำให้พี่หลอกตัวเองไม่ได้ พี่รักแกว่ะ รักไปแล้วจริงๆ และเป็นเพราะความรู้สีกแบบนั้นล่ะที่ทำให้พี่ทำเรื่องแย่ๆกับแกไปแบบนั้น....พี่เสียใจ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยเบาๆแต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้อย่างไม่ยากเย็น เด็กหนุ่มกำมือแน่นเมื่อคำพูดนั้นทำให้นึกถึงเรื่องที่หัวหินในคืนนั้น
“อ่ะ..อืม.....คนเราก็คงมีเรื่องที่ทำให้เสียใจด้วยกันทั้งนั้น” สัมผัสที่อุ่นจนร้อนนั้นทำให้รู้สึกหัวใจของจูนกำลังสั่นไหวอีกครา
“พี่ทำอะไรไปหลายอย่าง ที่ฝืนใจแก....แต่จูน...พี่ทำลงไปเพราะพี่รู้สึกกับแกแบบนั้นจริงๆ ฮ่ะ...พูดไปคงเหมือนแก้ตัวใช่ไหม” รุ่นพี่หนุ่มแค่นหัวเราะ “แล้วแกล่ะ คิดอะไรกับพี่บ้างไหม จะตอบรับหรือจะปฏิเสธมาก็ได้ ถ้าแกโกรธแกจะชี้หน้าด่าพี่ว่าชาติหมาแค่ไหนก็ได้ พี่ผิด พี่ยอมรับ แต่ที่ยังยอมรับไม่ได้คือแกยังไม่เคยมองหน้ากันตรงๆแล้วบอกเลยว่าแกรู้สึกยังไง “ดวงตาของนักมวยหนุ่มยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของรุ่นน้องหนุ่มตรงหน้า แต่อีกฝ่ายยังคงก้มหน้างุด
“ถึงพี่จะพูดแบบนั้น....แต่ผมก็...ยังไม่พร้อมจะให้คำตอบอะไรพี่ในตอนนี้หรอกนะ....มันก็ยากสำหรับผมเหมือนกัน” เด็กหนุ่มหลับตาลง เขายังขำได้ถึงแรงกระแทกที่อีกฝ่ายจับเขากระแทกลงกับพื้นห้องน้ำ ความเจ็บร้าวบนท่อนแขน ความอับอายที่เพียงแค่นึกถึงมันก็ทำให้เขาปวดใจขึ้นมาได้ทุกครั้ง แตในขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธความร้อนรุ่มในใจที่เห็นเคนยืนอยู่กับนิดไม่ได้ใช่กันนั่นยิ่งทำให้การให้คำตอบนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง เด็กหนุ่มขืนมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม
“ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวันนี้ก็ได้ “เคนรู้สึกโหวงในใจเมื่อสัมผัสอุ่นจากมือของเด็กหนุ่มนั้นหลุดลอยออกไป
“วันนี้ก็แค่อยากจะมาเห็นหน้า...แล้วก็เอานี่มาให้ “ นักมวยที่ใกล้จะขึ้นชกยื่นซองให้กับอีกฝ่ายอีกครั้ง “แถวหน้าเลย พี่ขอพ่อมา หวังว่าแกจะไปดูนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเบา
“ผม...............” จูนรู้สึกแน่นที่อก เขาควรจะตอบกับอีกฝ่ายว่าอะไรดี คำถามนั้นวิ่งวนอยู่ในหัว คิ้วเรียวเผลอขมวดเข้าหากันแทบจะในทันที
“ โธ่ จูน...... “เคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือแกร่งเอื้อมไปสัมผัสเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนปลายนิ้วจะออกแรงบังคับน้อยๆให้อีกฝ่ายค่อยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของตัวเอง “เอาเป็นว่า พี่จะรอก็แล้วกัน รอจนกว่าแกจะมา....” ดวงตาคมสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตารีเรียวของคนที่มีเชื้อจีนตรงหน้านั้นเป็นประกายไหววูบท่ามกลางความมืด
“รอบนี้พี่อาจจะไม่ได้โชว์เท่เหมือนคราวก่อนนะ แต่ต่อให้โดนน็อคตายคาเวทีพี่ก็จะไม่ยอมลงจนกว่าแกจะมา จนกว่าแกจะมาให้คำตอบพี่ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรพี่ก็จะรอฟัง” ในน้ำเสียงของเคนมีหนักแน่นราวกับจะยืนยันในคำพูด แต่เคนกลับเห็นมือบางเลื่อนซองกระดาษนั้นกลับคืนมาให้
“ ผมไม่เอา....ทำไมต้องให้ผมไปเห็นอะไรแบบนั้นด้วย ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จูนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเคนในแววตานั้นยังเต็มไปด้วยคำถามและความไม่พอใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาไม่ค่อยได้ดูมวยหรือกีฬาอะไรแบบนั้นสักเท่าไรนัก แต่เพราะคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้อดจินตนาการไปไม่ได้เลยว่าการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้านั้นจะเป็นอย่างไร จะรุนแรงเท่าที่อีกฝ่ายว่าหรือเปล่า ในใจของเด็กหนุ่มนั้นอดหวาดหวั่นแทนไม่ได้
“เพราะถ้าพี่จะแพ้ แกคือคนเดียวที่พี่อยากให้แกเห็นภาพนั้น แกเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยู่กับแกพี่ก็ไม่ต้องห่วงอะไร ...ไม่ต้องแคร์สายตาใคร แกเป็นคนเดียวที่จะทำให้พี่ยิ้มได้ในวันนั้น ต่อให้แกจะมาเพื่อบอกว่าเกลียดพี่มากแค่ไหนก็ตาม ขอแค่แกมาไม่ว่าผลจะเป็นยังไงพี่ก็จะยอมรับมัน...พี่ขอแกแค่นี้จริงๆ”
ดวงตาคมยังมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ได้ว่าจูนรู้สึกสับสน เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ปลายนิ้วเรียวนั่นสั่นไหว เคนรู้ว่าเขากำลังเรียกร้องมากเกินไปทำไมจะต้องให้คนๆนี้ไปที่นั่นด้วย ทำไมถึงอยากจะให้อีกฝ่ายเห็นเขาพ่ายแพ้ นั่นเป็นเพราะเขาความรู้สึกที่เขามีให้อีกฝ่ายมันมากขนาดนั้น เขายอมที่จะให้อีกฝ่ายเห็นความล้มเหลวของเขามากกว่า อยากให้จูนเห็นภาพที่น่าอายที่สุดของเขามากกว่าเห็นเขายิ้มกับชัยชนะ...แต่มันคงดีกว่าหากเขาจะได้ยิ้มกับคำตอบรับของอีกฝ่าย ปลายนิ้วที่จับเส้นผมของอีกฝ่ายอยู่ค่อยเลื่อนลงมาที่ปลายคางมน
“ถ้าพี่ทำให้แกยิ้มได้บ้างก็คงดี....” จูนได้ยินเสียงทุ้มดังที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นจนร้อนนั้นสัมผัสแผ่วลงบนแก้ม ก่อนจะรู้สึกได้ว่าศีรษะของตัวเองถูกโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกกดลงบนเส้นผม เคนจูบแผ่วผ่านลงบนเส้นผมของเขา แผ่วเบาหากแต่นานพอจะทำให้รู้สึกปวดร้าวเข้าไปข้างในอก
....ทำไมระหว่างพวกเรามันถึงมีแต่ความรู้สึกแบบนี้....
....เมื่อไร...มันจะดีกว่านี้.....
“............” เคนขยับถอยออกมาอย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากห่างไปไหน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก มือหนึ่งเก็บซองใส่ตั๋วเข้ากระเป๋า “เอาล่ะ...เดี๋ยวคงต้องกลับแล้ว ส่วนตั๋วนี่พี่จะเอาไปฝากไว้กับเจ้าโชติ ทำใจได้แล้วค่อยไปก็แล้วกัน พี่จะรอแกอยู่ที่เวที” ร่างสูงว่าพลางขยับถอยออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน มือแกร่งหยิบเป้ขึ้นสะพายหลัง “กินโจ๊กซะ แล้วขึ้นไปนอนเถอะ ดึกแล้ว ขอโทษนะ ที่ทำให้เดือดร้อน” รุ่นพี่ร่างสูงว่า มือแกร่งตบลงเบาๆ บนไหล่ของจูนก่อนจะก้าวออกไป
“พี่เคน........” จูนตัดสินใจหันกลับไปมอง เขาเห็นเงาของร่างสูงหยุดยืนอยู่ไม่ห่างออกไป แผ่นหลังกว้างนั้นยืดตรงใบหน้าคมคงกำลังเงยหน้าขึ้นมองอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอ.....” ร่างสูงหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อ.........” จูนอึกอัก เขาเรียกอีกฝ่ายออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ...เพียงแค่อยากจะเห็หน้าอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างนั้นหรือ.... เด็กหนุ่มหันไปยกถุงที่ใส่ถ้วยโจ๊กที่ยังไม่ได้อุ่นขึ้น “ขอบคุณ ....ที่ซื้อมาฝาก”
“ไม่เป็นไร....อย่าลืมพักผ่อนนะ “ เคนโบกมือน้อยๆ ก่อนจะเดินจากไป
สายลมพัดผ่านมาอีกครั้งเด็กหนุ่มเห็นร่างสูงของอีกฝ่ายค่อยๆก้าวออกไป น่าแปลกที่น้ำหนักของฝ่ามือที่อยู่บนบ่านั้นยังคงอยู่ไม่ได้จากไปไหน มันหนัก หนักจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะแบกรับความรู้สึกนี้เอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน เขาจะต้องทำอย่างไรเขาถึงจะให้คำตอบกับอีกฝ่ายได้ เขาเองในตอนนี้ก็อยากจะมีคำตอบให้อีกฝ่ายมากเหลือเกิน ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอบอุ่นในใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ออกมา ทำไมถึงรู้สึกรุ่มร้อนในอกและหนาวเย็นจนแทบจะสั่นสะท้านทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ เขาเองก็อยากจะมีคำตอบให้กับตัวเองเช่นกัน...
..................................................
ห้องเรียนคณะวิทยาการจัดการ ในยามเช้ามักมีหอมกลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญน์เจืออยู่ในอากาศจางๆ เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกบ้างอาจรู้สึกสดชื่นแต่หากใครแพ้น้ำหอมคงรู้สึกคล้ายวิงเวียน สำหรับโชติที่ยังไม่ได้นอนเนื่องจากมัวยุ่งอยู่กับการเช็คภาพต่างๆ ในไฟล์หนังที่ถ่ายมานั้นกลิ่นนั้นประกอบกับความเย็นของอากาศภายในห้องยิ่งทำให้รู้สึกง่วงเข้าไปใหญ่ อาจารย์ที่นั่งบรรยายอยู่ด้านหน้าดูจะไม่ได้สนใจยิ่งเป็นวิชาเรียนร่วมกันกับเอกอื่นด้วยแบบนี้ สายตาของชายแก่นั่นคงมองแต่เพียงหน้าอกของสาวๆที่นั่งอยู่ตรงหน้ากระมัง โชติเบ้ปากเล็กน้อยก่อนค่อยๆฟุบลงกับโต๊ะ
......เวลาตามกำหนดเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ส่วนที่ส่งไปให้ไอ้ยุทธ์มันช่วยทำเสร็จยังว้า.....
คิดไปพลางดวงตาก็ใกล้จะปิด เสื้อแขนยาวที่ใส่ทับเสื้อนักศึกษามาคล้ายจะให้สัมผัสนุ่มเป็นพิเศษ
“โชติ....นี่ โชติจ๊ะ..... โชติ.......” เสียงหวานของใครบางคนกระซิบประซาบเป็นชื่อของเขา พร้อมกับแรงกดเบาๆที่หัวไหล่ ชายหนุ่มร่างเล็กขมวดคิ้วมุ่นก่อนหันไปตามเสียงเรียก มองออกไปก็เห็นหญิงสาวผิวเข้มหน้าตาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนนั่งถัดจากเขาออกไปอีกหนึ่งที่นั่ง
“มี...อะไรเหรอ....” ชายหนุ่มพยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออก “เอ่อ.....ใครนะ?”
“ลืมเราแล้วเหรอ ได้ไง...ต่ายไง เพื่อนนิดแฟนพี่เคนไง” อีกฝ่ายคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยังอุตส่าห์พยายามบอกให้เข้าใจว่าตนเองนั้นเป็นใคร
“อ้อ.....แฟนของเคนเหรอ” เพราะสะลึมสะลือเลยเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น “คล้ำลงเยอะเลยนะ ปีใหม่ไปอาบแดดมาเหรอ”
“ไม่ใช่นิด .... เราเพื่อนนิด...เอ๊ะ ว่าเรารึเปล่าเนี่ย” อีกฝ่ายเกือบจะพูดเสียงดังขึ้นอีกถ้าไม่ได้เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆกันปรามไว้ก่อน
“อ่า...เพื่อนนิด แล้วไง มีอะไรเหรอ” โชติกรอกตานี่เขาต้องตื่นมารับฟังอะไรที่อาจจะน่าเบื่อกว่าวิชายามเช้าที่ชวนหลับนี่อีกหรืออย่างไรกัน
“นิดฝากเรามาบอกว่า นิดอยากคุยกับเธอ เรื่องที่พวกเธอกับพี่เคนไปถ่ายหนังที่หัวหินน่ะ” หญิงสาวผิวเข้มว่า น้ำเสียงนั้นแม้กระซิบกระซาบยังได้ยินถึงความพยายามจีบปากจีบคอพูด พาลเอาโชติคิดไปนอกเรื่อง
....เจ็บคอไหมนั่น...
“แล้วไงล่ะ... จะคุย ทำไม อยากคุยไม่ไปถามไอ้เคนมัน” โชติขมวดคิ้ว มือเสยขยี้ผมฟูของตัวเองเบาๆ คำถามที่ย้อมถามกลับมาทำเอาอีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูกเหลือบมองไปทางเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“จะคุยได้ยังไง.... ก็พี่เคนกับนิดเพิ่งจะ..... อืม...เอ่อ....เอาเถอะ เที่ยงนี้เธอว่างไหม ไปด้วยกันหน่อยก็แล้วกัน” ผู้หญิงที่ชื่อต่ายสุดท้ายก็ไม่ยอมพูดเหตุผลจนจบ
“อืม....ก็ว่าง” โชติรับคำเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมไอดังก้องมาจากทางด้านหน้า ดูท่าว่าอาจารย์ประจำวิชาจะสังเกตเห็นบทสนทนาของเขากับเพื่อนของนิดเข้าให้เสียแล้ว โชติจึงได้รีบหันไปบอกเพื่อนของนิดทันที
“เอาเป็นว่าเลิกเรียนแล้วจะรออยู่หน้าคณะก็แล้วกัน”
............................................ to be continued
-
โธ่ น้องจูนของเจ้ :z3:
ทำไมหนูน่ารักสาวน้อยอย่างงี้ :katai2-1: ถ้าอิพี่เคนมันถามขนาดนี้ก็ตอบมันไปตรงๆเลย
นิดน่ะช่างหัวมัน! 5555555
-
:o8:
-
Chapter 40 : ปรารถนา
1/3
‘ พี่เคนเขา....บอกเลิกนิด’
เสียงหวานของเชียร์ลีดเดอร์คนสวยของคณะที่เคยได้ยินเป็นประจำนั่นสั่นเครือ เธอยังรู้สึกคล้ายถูกของหนักตีเข้าที่ศีรษะเมื่อได้ยินคำที่เคนพูด แต่กระนั้นก็พยายามคิดไปเสียว่าตัวเองไม่ได้ยินคำนั้น เธอหอมแก้มของเคนเหมือนอย่างที่เคยทำเวลาลับตาใคร แม้จะมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่นิดกลับถึงหอพักได้อย่างน่าอัศจรรย์
ช่วงค่ำคืนนั้นนิดออกไปทานข้าวกับแฟนหนุ่มในร้านอาหารบรรยากาศน่ารักในแบบที่เธอชอบ ทว่าบรรยากาศที่ระหว่างคนทั้งสองคนกลับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าเธอจะพยายามทำให้เป็นปกติด้วยการชวนคุยเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เคนไม่อยู่อย่างเรื่องการอยู่เค้าท์ดาวน์ร่วมกันกับเพื่อนในผับขนาดใหญ่กลางเมือง แต่คำตอบที่ได้รับก็มีเพียงการรับคำเบาๆ เคนไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องสนุกในช่วงเค้าท์ดาวน์เหมือนที่เธอไปเจอมากับเพื่อนๆ ถึงแม้ว่าตัวของเคนจะอยู่ตรงหน้าพูดคุยกันจนคล้ายว่าทุกอย่างจะกลับเป็นปกติแต่ดูเหมือนหัวใจของชายหนุ่มร่างสูงกำลังลอยออกไปไกล จนเมื่อเธอเอ่ยถามถึงเรื่องที่ไปถ่ายหนังกันไกลถึงหัวหิน แววตาของอีกฝ่ายจึงได้ดูเปลี่ยนไป เป็นแววตาของคนที่เต็มไปด้วยความกังวลในแบบที่เคนไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หัวหิน
ถึงจะไม่ได้ถามออกไปนิดก็ไม่ลืมที่จะจำข้อสงสัยนี้เอาไว้ ตลอดทางกลับหอที่เคนขับรถยนต์คคันเล็กสีแดงมาส่งเธอนั้นหญิงสาวร่างเล็กจากปกติที่เป็นคนพูดคุยได้เรื่อยๆตลอดทาง กลับนิ่งเงียบ และเมื่อถึงห้องสิ่งแรกที่ทำคือนั่งลงกับเตียงในใจคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน คิดถึงความรู้สึกของตนเองที่ดีใจแค่ไหนเมื่อเคนโทรมาหา ตื่นเต้นแค่ไหนที่เดินไปตามทางเดินของศูนย์อาหารกลางแล้วเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานตั้งแต่ก่อนช่วงวันหยุดยาว
แต่เมื่อได้พบกันคำพูดที่ได้รับกลับไม่เป็นตามที่คาด จนอดทำให้คิดไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตอนไหน เธอทำให้เคนไม่พอใจเรื่องที่บอกว่าอยากจะไปดูการแข่งขันอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันมีโอกาสมากที่ตนจะพูดอะไรที่ผิดพลาดไปเหมือนคราวก่อนที่ต่อว่าเพื่อนของเคนไปเพราะความหึงและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยรู้สึกมานานพลันจับที่หัวใจ
เด็กสาวหยิบโทรศัพท์โทรหาต่าย บอกข้อความแรกที่ต้องการจะบอกออกไป ความจริงที่แม้จะแสร้งไม่ได้ยินแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเคนไม่ได้พูดมันออกมา
"พี่เคนเขา...บอกเลิกนิด”
“อะไรนะนิด...เฮ้ย ทำไมล่ะ”
เสียงของต่ายดังจากปลายสายฟังดูตกใจไม่น้อย เพราะเท่าทีเห็นเคนก็ดูจะเอาใจนิดมากขึ้นหลังจากที่คราวก่อนทะเลาะกันยังไปรับไปส่งไปซื้อของด้วยกัน แถมช่วงหยุดปีใหม่ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะเคนมีกิจกรรมของชมรมก็ยังโทรศัพท์คุยกกันอย่างดี เท่าที่ฟังจากนิดเคนก็ยังดูเป็นห่วงเป็นใยนิดดีอยู่ เพียงแค่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเท่านั้น
“นิดก็ไม่รู้ พี่เคนกลับมาแล้วพี่เขาก็โทรหานิดให้ไปหาที่ศูนย์อาหาร พอไปถึงพี่เขาก็พูดเหมือนว่าเขาไม่มีเวลา พี่เขาจะไปแข่งรายการใหญ่ คงไม่มีเวลามาหานิดอีกแล้ว...ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพี่เคนจะมีแข่ง มีซ้อมพอนิดบอก พี่เคนก็จะมาหาได้ตลอด พานิดไปกินข้าว ไปซื้อของ ไปเที่ยวด้วยกันได้ตลอด ทำไมอยู่ๆพี่เขามาพูดกับนิดแบบนั้น นิดไม่เข้าใจ”เด็กสาวตอบด้วยความสับสน
“แล้วนิดถามพี่เขาหรือเปล่า” ต่ายถามกลับ
“ไม่ได้ถาม...นิดกลัว เดี๋ยวพี่เขาตอบอะไรที่มันแย่กว่านี้ขึ้นมา นิดเลยทำเป็นไม่ได้ยิน นิดจะทำยังไงดีต่าย นิด...แย่เหรอ ไม่ดีเหรอ ทำไมพี่เขาถึงจะอยากเลิกกับนิดล่ะ” เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวยประจำคณะที่ปกติดูมั่นใจในตัวเองและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าใครในกลุ่มตอนนี้กลับถามคำถามรัวเร็วราวกับว่าควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
“ไม่จริง ยัยนิด ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น นิดทั้งสวยทั้งนิสัยดี แถมเป็นเชียร์ลีดเดอร์อีก ไม่ดีนะนิด อย่าพูดแบบนั้น นิดไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ต่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้านิดไม่ได้ทำผิดแล้วพี่เขาจะอยากเลิกกับนิดเหรอ “ เสียงของนิดยังคงสั่นเครือ ช่วงขาเรียวนั่งชันเข่ากอดหมอน มีน้ำตาทิ้งตัวลงมาที่แก้มเนียน
“หรือ...” พี่เขาจะมีคนอื่น ?”
“นิด ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้นไง แล้วไอ้เรื่องมีคนอื่นน่ะ พี่เคนเขาคงไม่ตาบอดหรอก เลือกคนอื่นแทนแกเนี่ยนะ” ต่ายยังคงพยายามปลอบให้เพื่อนมีสติผ่านมาตามสาย ยิ่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายสะอื้นยิ่งรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทันใดในหัวก็ผุดนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“งั้นเอางี้ไหม นิด....เราลองไปถามคนที่พอจะรู้เรื่องอะไรก่อนดีไหม อย่างพวกเพื่อนพี่เขาไง”ต่ายนำเสนอไอเดียขึ้นมา
“เพื่อน?....คนไหนล่ะต่าย จะให้ไปถามน้องจูนอีก เราไม่อยากไปนะ อายน้อง...” น้ำเสียงของหญิงสาวยังคงสั่นเครือเธอรู้สึกว่ารบกวนจูนมาหลายครั้งหลายคราแล้วตลอดช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอโทรไปเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นห่วงแฟนหนุ่มของตัว แต่จะพูดอย่างไรได้ถ้าหากในคราวนี้โทรไปแล้วสถานการณ์กลับกลายเป็นว่าเธอคือคนที่กำลังจะถูกแฟนทิ้ง
“ถามกระเทยจูนนั่นไม่ได้ ก็ไปถามโชติไง คราวก่อนก็คุยได้นี่”
...............................................................................
“สรุปแล้วมีเรื่องอะไรเหรอ ถึงขนาดต้องพามาเลี้ยงกาแฟเนี่ย”
โชติเอ่ยถามพลางยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดูดด้วยหลอดเสียงดัง ช่วงขานั่งไขว่ห้างท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำของร้านกาแฟร้านเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหญิงสาวสามคนที่บอกกับเขาว่า “ต้องการคุยด้วย”
“ก็ไม่มีอะไรมากเหรอ พวกเราก็เห็นว่าโชติน่ะ พอจะสนิทกับพี่เคน แล้วก็เห็นว่าช่วงหลังๆนี่ก็ไปทำกิจกรรมชมรมด้วยกันบ่อยๆ”ต่ายยังคงพูดจีบปากจีบคอ เสียงสูงเล็กบาดเข้าแก้วหูอย่างบอกไมถูก
“แล้ว?” โชติเลิกคิ้วถามท่าทางยียวนไม่ต่างจากตอนอยู่กับพวกยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ....คือ...” นิดอ้อมแอ้ม ไม่มั่นใจว่าจะต้องถามอะไรออกไป “ต่าย...ไม่เอาดีกว่า นิดไม่ถามแล้ว”
“ได้ยังไงนิด มาถึงแล้วต้องถามสิ ใช่ไหมเจน “ ต่ายที่ดูเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มคว้ามือของนิดเอาไว้พลางหันไปหาความเห็นจากเจนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งเจนก็พยักหน้ารัวๆ
“เอาเป็นว่าถามมาเหอะ ตอบได้ผมก็จะตอบ” โชติเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ถึงจะบอกว่าได้กาแฟช่วยไว้หน่อยแต่ความเหนื่อยก็ทำให้เขาง่วงพอดูอยู่เหมือนกัน
“ก็แค่จะมาถามว่าพี่เคนเขาไปมีกิ๊กไว้ที่ไหนหรือเปล่า แล้วที่ไปหัวหินกันนั่นด้วย พวกเธอพาพี่เขาออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า” คำพูดที่ต่ายเอ่ยออกมานั้นทำให้โชติต้องเลิกคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย
“ต่าย...ทำไมไปถามเพื่อนแบบนั้น” นิดหันมาท้วงกับถ้อยคำของเพื่อนที่ดูจะใจร้อนกว่าตัวเองหลายเท่า
“แหม....ไม่น่าช่วยเลยเนอะ พูดกันแบบนี้....” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางยกกแก้วกาแฟขึ้นดูดอีกอึกใหญ่จนจะหมดแก้ว ส่งเสียงกวนประสาทอยู่ไม่น้อย
“เอ๊ะ...นี่ว่าเราเหรอ เอาเป็นว่ารู้อะไรก็บอกมาสิ”
“นั่นสินะ....”โชติเองก็ขมวดคิ้วกับคำกล่าวหานั้นเช่นกัน “นิด...ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของคุณกับไอ้เคนมันมากหรอกนะ และผมไม่รู้นะว่าทำไมเพื่อนคุณถึงเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรได้ขนาดนี้....แต่คงดีกว่าถ้าคุณจะคุยกับผมแค่สองคนในเรื่องที่คุณอยากจะรู้ ไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อนคุณอยากจะรู้ ผมว่ามันไม่เข้าท่า...อย่าให้ผมว่ามากไปกว่านี้เลย”
คำพูดของโชตินั้นทำให้ทั้งสามสาวถึงกับนิ่งเงียบ จนในที่สุดนิดเป็นคนขยับลุกขึ้นมาก่อน แม้จะรู้สึกแปลกที่จะต้องมาถามหาข้อมูลอะไรแบบนี้กับคนที่แทบจะไม่รู้จักกัน แต่มันคงดีกว่าไม่มีมูลอะไรเลยว่าทำไมเคนถึงได้พูดคำๆนั้นออกมา
“งั้น...เราออกไปคุยกันข้างนอกสักแป๊บก็ได้” นิดว่า ก่อนจะเป็นคนเดินนำโชติออกไป
“หึ... รอฟังข่าวทีหลังนะสาวๆ “ ไม่วายโชติยังยักคิ้วใส่ทั้งต่ายและเจนอย่างยียวนก่อนจะเดินตามนิดออกไปยังด้านนอก
ที่ด้านนอกร้านแม้มีเก้าอี้นั่ง แต่ช่วงกลางวันไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการที่ด้านนอกสักเท่าไร สองหนุ่มสาวนั่งลงคนละด้านของโต๊ะไม้เล็กๆ ในขณะที่ฝ่ายชายดูสบายๆ ฝ่ายหญิงกลับดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด โชติพิจารณามองหน้าของหญิงสาว เขาได้พบกับนิดเพียงไม่กี่ครั้งตั้งแต่ได้ข่าวว่าเคนคบกับผู้หญิงคนนี้ นิดเป็นคนสวย ใบหน้าคมคายแบบสาวไทยแท้ๆ ใบหน้าเนียนมีเครื่องสำอางเจือสีระเรื่อ หากใครเป็นแฟนคงยากนักที่อยากจะนอกใจผู้หญิงสวยๆท่าทางเรียบร้อยแบบนี้ได้ แต่โชติเองก็รู้ดีว่าเคนแม้จะดูทำอะไรตามใจไปบ้างด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ลึกๆแล้วคงมีเหตุผลอยู่ที่จะไปมองคนอื่น...แม้จะแปลกไปสักหน่อยที่คนอื่นที่ว่าคือเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ชื่อจูนคนนั้น
“โชติ...เราขอโทษนะที่เพื่อนเราพูดไม่ดีเมื่อกี้...ต่ายก็แค่เป็นห่วงนิดเท่านั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไรหรอก...คนเขารักเพื่อนนี่นะ ทำไงได้” โชติยิ้มน้อยๆ “ว่าแต่ มีอะไรกันหรือไง ถึงจะมาหาเราแบบนี้”
“ก็...อืม...จะว่าไม่มีคงไม่ได้” หญิงสาวดูลำบากใจที่จะพูด “แค่สงสัยว่า ช่วงที่พี่เคนเขาไปกับโชตินี่เขาได้ เอ่อ...มีคนอื่นไปด้วยหรือเปล่า หรือว่า โชติเห็นเขาคุยโทรศัพท์ หรือคุยกับผู้หญิงคนอื่นบ้างหรือเปล่า” คิ้วเรียวของเด็กสาวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นัยน์ตาอ่อนแสงลงราวกับหมดแล้วซึ่งความหวังใดๆ
“นิด....คิดไว้อย่างเดียวเลยเหรอว่า เคนมันนอกใจ?”
“อ่ะ เปล่านะ...นิดไม่ได้คิดแบบนั้น” เด็กสาวปฏิเสธทันควัน
“แต่คำถามแรกที่นิดถามเรา คือ คิดว่าเคนมันมีคนอื่นหรือเปล่า.... ทำไมล่ะ” โชติถาม เพราะมันออกจะแปลกไปหน่อยที่อยู่ๆก็จะมาถามกันแบบนี้ถ้าไม่มีมูลอะไรมาก่อน
“เรา...คิดมากไปเหรอ...คิดมากไปใช่ไหม ความจริงมันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม” ทันใดสายตาของเด็กสาวกลับเป็นประกายขึ้นมา โชติรู้ได้ในทันทีว่าหากเขาพูดอะไรไปตอนนี้ คนตรงหน้าจะฟันธงว่าเคนเพียงแค่อ่อนล้ากับความสัมพันธ์นี้และคงพยายามจะไปยื้อให้เพื่อนงี่เง่าของเขากลับมาอยู่กับเธอต่อเป็นแน่ พลันในใจของโชติกลับมีคำถามว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
“อืม....จะว่านิดคิดมากหรือเปล่า เราไม่แน่ใจนะ ที่แน่ๆ ตอนนี้นิดอาจจะแค่สับสน เพราะไอ้เคนมันก็หายหน้าไป แต่เท่าที่เราเห็นคือเคนมันไม่ได้มี “ผู้หญิง” คนอื่นแน่ๆ ไม่ลองไปคุยกันดีๆล่ะ เคนมันอาจจะแค่ยุ่งๆ “โชติเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่เขารู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง
“ก็เพราะพี่เคนยุ่งนั่นล่ะ จะให้นิดไปหาพี่เขาที่ไหนล่ะ ...ไปซ้อมที่ไหนก็ไม่มีใครรู้”เด็กสาวถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ่งนึกถึงเดทที่น่าอึดอัดเมื่อคืนก่อนยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
“ก็ไปหาตอนแข่งเสร็จไง จะไปดูเขาแข่งไม่ใช่เหรอ” โชติถาม
“ทำไมโชติรู้ล่ะ....” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย แต่ก็พบเพียงรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของโชติเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“พอดีเรามีญานหยั่งรู้น่ะ.......” โชติตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเสียจนตาหยี
...............................................................
ภายในห้องนอนที่ปูด้วยพื้นไม้แผ่นใหญ่ขัดเสียจนขึ้นเงา บนพื้นมีแบบร่างต่างๆวางกระจายอยู่ทั่ว ที่มุมห้องมีแบบของโปรเจ็คที่เอาไปส่งให้อาจารย์ไปเมื่อคราวก่อนวางอยู่ อีกด้านหนึ่งของห้องไฟหัวเตียงยังเปิดอยู่สาดให้เห็นเงาร่างของเจ้าของห้องสะท้อนให้เห็นจากกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ที่ฝาตู้เสื้อผ้าที่สูงจนจรดเพดาน ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานออกแบบส่งอาจารย์ ตอนนี้กำลังถูกใช้งานในการตัดต่อหนังสั้นที่ทางชมรมจะใช้ส่งประกวดกัน ยุทธ์มีหน้าที่ในการตัดต่อและเพิ่มเติมในส่วนของเพลงประกอบและนั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้
“เฮ้อ.......” ยุทธ์พ่นลมหายใจยาว ควันสีเทาหม่นลอยคละคลุ้งก่อนขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยมาตลอดคืน ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ภาพที่ในตอนถ่ายทำไม่ได้จดจ่อด้วยมากนักในตอนนี้กลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแต่เขาไม่อาจละสายตาจากภาพบนจอได้ ชายหนุ่มขยับหูฟังอันใหญ่ให้กระชับกับใบหู ปลายนิ้วเลื่อนไปบนเม้าส์เร่งเสียงในคลิปให้ดังขึ้นอีก
“รักจูนไหม....”
เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วเบาพร้อมสายตาหวานดูเย้ายวน ทั้งริมฝีปากสวยที่บรรจงเขียนสีลงไปนั้นก็เป็นประกาย แม้ไม่อยากเชื่อแต่ใจของยุทธ์ในตอนนี้กลับเต้นเร่าไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเมื่อริมฝีปากนั้นประทับลงบนฝ่ามือกร้านของผู้ชายร่างสูงคนนั้น เขายิ่งนึกอยากกระโดดเข้าไปแทนที่ ริมฝีปากของคนสองคนที่ประทับเข้าหากันครั้งแล้วครั้วเล่า เสียงของผิวเนื้อบางที่สัมผัสกันนั้นดังชัดถนัดยิ่งเมื่อมีหูฟังครอบ กระตุ้นเร้าให้ความเร่าร้อนในกายลุกโชน ยิ่งเมื่อหลับตาลงสองหูยิ่งได้ยินเสียงนุ่มของใครบางคนที่ครางเครือเบาๆในลำคอ น่าเสียดายนักที่เขาจะต้องเป็นคนใส่ดนตรีเพื่อกลบทับเสียงเหล่านั้นออกไป
ชายหนุ่มสูดลมหายใจแรงผ่านริมฝีปากร้อน แผ่นอกที่ขยับขึ้นลงแรงเมื่อปลายนิ้วละจากเมาส์คอมพิวเตอร์และค่อยเลื่อนลงไปสู่เบื้องล่าง ดวงตาเป็นประกายวาววับเมื่อเหลือบมองภาพเย้ายวนของใครบางคนในหน้าจอ ริมฝีปากอิ่มของนักแสดงคนนั้น ความฉ่ำชื้นที่อยู่ตรงหน้าดูเชื้อเชิญให้เข้าใกล้ ผิวกายขาวหากแต่มีกล้ามเนื้อพองามนั้นหากสัมผัสคงไม่ได้นุ่มมือนักแต่นั่นแลคือสิ่งที่เขาใฝ่หามาโดยตลอด ในอกนึกอิจฉาผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่ได้แตะต้องผิวกายนั่นในแบบที่เขาได้แต่ฝัน พลันปลายนิ้วขยับแผ่วเบาหากแต่เรียกเหงื่อกาฬให้แตกซ่าน ชายหนุ่มไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ ยิ่งได้ยินเสียงนุ่มที่ครางเครือเบาๆอยู่เต็มสองหูยิ่งทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป มือเรียวเร่งขยับไล้ลงไปที่เบื้องล่างตามความต้องการของตน ความต้องการที่จะปลดเปลื้องทุกอารมณ์ความรู้สึกเร่าร้อนที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“อึ่ก......” ชายหนุ่มพยายามสกัดกลั้นเสียงของตัวเองไม่ให้ดังไปมากกว่านั้นในขณะที่ร่างทั้งร่างกำลังสั่นเทิ้ม ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทกบัยเห็นภาพของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเปลือยเปล่าอย่างเย้ายวนเอนกายราบกับเตียงนุ่ม....อยู่ใต้ร่างของเขา
“อ่ะ...จูน!! “ด้วยเผลอไผลฝ่ามือยิ่งเร่งเร้าจนความสุขล้นเอ่อออกมา ยุทธ์หอบหายใจแรงเมื่อรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ดวงตากลมยังฉ่ำเยิ้มคล้ายคนละเมอ ชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นยังดังก้องอยู่ในหู เมื่อเหลือบมองไปยังหน้าจอเห็นสายตาของนักแสดงสบตาซึ่งกันและกันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรัก หากแต่การกระทำที่เร่าร้อนในจอนั้นจะเทียบได้กับความเร่าร้อนที่เขาเก็บงำเอาไว้หรือไม่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “พระเอก” ประจำชมรมก้มลงมองร่องรอยของความเร่าร้อนที่ยังคงเหลือเป็นหลักฐานบนฝ่ามือ
....สกปรกจริง....
“ เต็มอิ่มหรือยังล่ะ ....ไอ้หื่นกาม”
ทันใดเสียงของโชติก็ดังขึ้น ทำเอาเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบดึงกางเกงขึ้นมาปิดความน่าอายของตนเอาไว้ทันที
“ไอ้...ไอ้ห่าโชติมึงเข้ามาได้ยังไง” ยุทธ์โวยลั่น ใบหน้าชื้นเหงื่อนั่นยิ่งแดงก่ำ หากเป็นเพราะความโมโหเสียมากกว่ายิ่งเมื่อสอดส่ายสายตาหาก็ไม่มีกล่องทิชชู่อยู่ใกล้มือ
“ป๊ามึงว่าจะออกไปที่ปั๊ม ตอนกูมาถึง ป๊ามึงเลยเปิดประตูให้กูเข้ามา บอกว่ามึงอยู่บนห้อง.....ตลกนะเข้ามาก็เจอของดีเลย” โชติยิ้มน้อยๆ สองขาค่อยเข้ามาพร้อมกับคว้ากล่องกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงติดมือมาด้วย “เอ้า.....ทำความสะอาดซะ” ว่าพลางก็โยนกล่องทิชชู่ให้กับอีกฝ่ายที่รีบรับไปอย่างเสียไม่ได้
“ห่ามึง.........” ยุทธ์พึมพำเบาๆ สองมือจัดการทำความสะอาดตัวเอง เมื่อตั้งสติได้เขาก็ไม่ได้รู้สึกอายเพราะสายตาของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ก่อนจะเดินไปคว้ากางเกงตัวใหม่มาจากในตู้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่นานก็กลับออกมา ก็เห็นว่าห้องที่เปิดแอร์ไว้เสียจนเย็นเฉียบนั้นถูกเปิดหน้าต่างหมดทุกด้าน และชายหัวฟูร่างเล็กคนนั้นกำลังยืนถือสเปรย์ปรับอากาศอยู่พลางเดินฉีดไปรอบๆห้อง
“มึงทำไรเนี่ย” ยุทธ์ขมวดคิ้วมุ่นก่อนเดินเข้าไปคว้าขวดน้ำยาปรับอากาศมาจากอีกฝ่าย
“ดับกลิ่นกามมึงอ่ะดิ่” โชติหันมายิ้มยียวน
“กวนประสาทอีก เดี๋ยวพ่อปล้ำซะเลยนี่...”
“หะ...พูดแบบนี้ แรงมึงดีนักนะ กูไม่ได้มาเพราะอยากหรอก....เห็นแล้วหมดอารมณ์ ปวดใจว่ะ ....โอ้ว จูน ...
จูนของพี่....” โชติยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไอ้โชติ......” ยุทธ์กัดฟันกรอด แต่เห็นทีว่าโชติจะยังไม่หยุดง่ายๆ
“เป็นยังไงล่ะ ภาพสวยเสียงคมชัด การแสดงชั้นเยี่ยม ...จนตอนกูนั่งดูนี่ยังคิดเลยนะว่ามันคงไม่ได้แค่แสดงหรอก คงกะเอากันจริงจังเลย”
“ไอ้ห่าโชติ มึงหุบปากเลยนะ” ยุทธ์ตวาดพร้อมปรี่เข้าไปหาโชติมือคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายเหวี่ยงเข้ากระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังทันที “อย่าพูดถึงจูนแบบนั้น น้องมันไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่”
“มึงแน่ใจ?” โชติเลิกคิ้วยียวน มือหนึ่งพยายามดันมือของยุทธ์เอาไว้หวังจะผ่อนแรงยึดนั้นลงบ้าง “มึงแน่ใจเหรอ? เปิดไปดูฉากถัดไปหรือยังล่ะ ไอ้”เมคอัพ” ที่อยู่เต็มตัวมันน่ะ เห็นแบบนั้นมึงยังแน่ใจได้เหรอ? ...” โชติเอ่ยถึงร่องรอยที่จูนไม่สามารถปกปิดได้ในเช้าวันปีใหม่วันนั้น เขารู้ดีว่ารุ่นน้องคนนั้นอาจไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ปากของเขามันคอยหาเรื่องอยู่เสมอ
“มึงแน่ใจเหรอว่ามันสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย แน่ใจเหรอว่า มึงจะเป็นคนชนะในครั้งนี้”
“มึงหมายความว่ายังไง “ ในครานี้เป็นฝ่ายของยุทธ์ที่ต้องขมวดคิ้วที่ปลายนิ้วผ่อนแรงลงจนโชติสามารถดึงตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาไปได้
“เพื่อนแกน่ะ มันตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเลิกกับผู้หญิงนั่นมาหาไอ้จูน มันรอแค่ให้ไอ้จูนไปตอบ....วันที่มันขึ้นชก” โชติผลักยุทธ์ให้ถอยออกห่างก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียงของเพื่อน ก้มลงใต้เตียงมองหาการ์ตูนที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายอ่านเสร็จก็มักจะโยนไว้แถวนั้น
“แล้วมึงไปเสือกรู้มาได้ยังไง” ยุทธ์ยืนกอดอกมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ก็มีญาณรู้....” ตอบพลางเปิดหนังสือการ์ตูนอ่าน
“มึงรู้ว่ากูเบื่อเวลามึงใช้ญาณรู้ของมึงผิดที่ผิดทาง จะบอกดีๆหรือให้กูเตะมึงออกไป” ยุทธ์พูดพลางปัดหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายจนลอยละลิ่วไปอีกทาง แต่แล้วก็เห็นสายตาของโชติที่มองกลับมา เป็นแววตาแบบอีกฝ่ายที่มองมาอย่างตัดพ้อ ทำให้ต้องเบนสายตาหนี
“....ไอ้เคนมันเอาตั๋วมาฝากกูไว้ บอกวาถ้าไอ้จูนมาถามหาก็ให้มันเอาไปด้วย....”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู...” ยุทธ์ยังคงไม่เข้าใจ
“ตอนแรกก็กะแค่ว่าจะมาดูว่ามึงเสร็จงานแล้วหรือยัง.....” โชติยิ้มพลางดึงซองกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง “แต่ดูท่าว่าคงยังจะไม่เสร็จง่ายๆ แล้วไอ้วันที่ไอ้เคนมันจะแข่งก็ตรงกับวันที่กูไม่ว่างเสียด้วย ...เลยรวบยอดสองเรื่องเลย มึงคงต้องทำตัวเป็นพี่ชายทีดีแล้วเอาตั๋วนี่ไปให้จูนมันแล้วล่ะ” ว่าพลางโชติก็ยื่นซองที่ถืออยู่นั้นให้กับอีกฝ่าย
“เรื่องของไอ้เคนมัน ทำไมกูจะต้องไปช่วยมันด้วย“ ยุทธ์ปัดซองนั่นจนตกลงที่พื้น ในใจนึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายอยู่ๆก็เข้ามาทำเป็นรู้ดีเรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อจูน
“เชื่อกูสิ....กูก็แค่อยากจะช่วย”
“เชื่อมึง กูก็ควายแล้ว....มึงกลับไปเลยไป”
“ได้... แต่ตั๋วนี่กูใส่ไว้ในกระเป๋ามึงละกัน” โชติยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเอาของฝากจากเคนไปยัดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายใบที่ยุทธ์ใช้เป็นประจำสายตาเหลือบมองไปยังเจ้าของห้องเห็นเพียงใบหน้าที่ยังขมวดคิ้วมุ่นอยู่เช่นเดิม
....กูก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเวลามึงต้องใช้ตั๋วเนี่ย....
....มึงจะทำหน้ายังไง....
ไม่มีคำบอกลา ยุทธ์ได้ยินเสียงบานประตูปิดลงที่ด้านหลัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นออกไปจากบริเวณหน้าบ้าน พ่อของเขาออกไปที่ปั๊มและคงยังไม่กลับง่ายๆในคืนนี้ ร่างเล็กเดินอาดไปปิดหน้าต่างที่โชติเปิดทิ้งเอาไว้พลางถอนหายใจ
“มึงจะเล่นอะไรกับกูอีก โชติ”
........................................................................ มีต่อ (2/2)
-
2/3
เวลาผ่านไปไวเกินกว่าที่หนุ่มผมสีทองประจำเอกญี่ปุ่นจะตั้งตัวได้ทัน และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีการสอบย่อยประจำวันศุกร์ก็ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว มือเรียวยื่นกระดาษคำตอบที่มั่นใจไม่ถึงครึ่งให้กับเพื่อนที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เป็นอะไรน่ะจูน เป็นถอนหายใจ เฮ้อๆ มาทั้งอาทิตย์แล้ว....” เสียงแพรหันมาถามเมื่อส่งกระดาษคำตอบไปที่หน้าห้อง
“เหนื่อยมั้ง” เด็กหนุ่มยิ้มกลบเกลื่อนพลางหยิบหนังสือขึ้นมาเตรียมเรียนในบทถัดไป
“จะเหนื่อยนี่ยังต้องมี “มั้ง” อีกเหรอ” เด็กสาวตรงหน้าเอียงคอถาม ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอางี้ไหม คืนนี้ไปเที่ยวกัน “
“เที่ยวไหนล่ะ “จูนเลิกคิ้ว เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีอารมณ์อยากเที่ยวเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือเปล่า
“ไหน ไหน ใครพูดอะไร เที่ยว? ปิ๊กไปด้วย” ทันที่ที่จบคำว่าเที่ยวร่างอวบพร้อมเสียงแหบห้าวก็แทบจะกระโจนเข้ามากลางวง ทำเอาจูนต้องหรี่ตามอง
“ทันทีเลยนะ”
“แน่นอน....เรื่องเที่ยวปิ๊กไม่พลาดอยู่แล้ว” สาวห้าวทุบอกอย่างภูมิใจ ทำเอาทั้งจูนและแพรต้องส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ผู้หญิงอะไร......”
“อะไร ทำไมยะ ....” ปิ๊กโวยวายทีเล่นทีจริง
“เอ้า ตรงนั้นน่ะ จะเรียนหรือไม่เรียนเนี่ย” แต่ก่อนที่ปิ๊กจะได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อก็ได้ยินเสียงอาจารย์ดังอยู่ที่หน้าชั้นทำให้ต้องรีบกลับไปนั่งที่อย่างเสียไม่ได้
“เรียนเสร็จค่อยว่ากัน”
...................................................................
สรุปแล้วในตอนค่ำเด็กหนุ่มก็ถูกเพื่อนตัวดีกึ่งออดอ้อนกึ่งบังคับให้ออกไปเที่ยวด้วยกันจนได้ โดยที่ปิ๊กเป็นคนอาสาซิ่งมอเตอร์ไซค์คันกระจ้อยมารับผู้ชายคนเดียวของกลุ่มจนถึงที่หอ จูนเดินลงมาจากด้านบน เปิดประตูออกมาด้วยท่าทีซังกระตาย ร่างสูงโปร่งนั้นพยักหหน้าทักทายกับลุง รปภ เล็กน้อย ก่อนจะค่อยเดินออกมา
“นี่...จัดว่าหล่อมาก สำหรับคนที่ทำหน้าเซ็งมาตลอดสัปดาห์นะ”
ปิ๊กอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่างสูงสวมเสื้อคลุมแขนยาวมีฮู๊ดพิมพ์ลายดอกไม้สีแดงสดบนเนื้อผ้าสีดำแบบคลับคล้ายกับที่เคยเห็นศิลปินคนใดคนหนึ่งที่จูนชอบใส่ถ่ายแบบ ไหนยังจะกางเกงยีนส์สีสวยเข้ากับรองเท้าผ้าใบทรงสูงตามแบบที่กำลังนิยมกันในหมู่ดารา เส้นผมสีอ่อนก็ถูกจัดแต่งเต็มที่เช่นเดียวกับอายไลน์เนอร์ที่หากขาดไปคงดูไม่ใช่จูนที่เคยเห็นในทุกวัน
“ก็.....เอาเสื้อผ้ามาข่มไว้ก่อนไง” เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เข้ากับเสื้อผ้าและสีผมที่ฉูดฉาดนั่นเลยแม้แต่น้อย ปิ๊กเห็นแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจ หญิงสาวกอดอกอวบของตัวเองพลางขมวดคิ้วมองหน้าของจูนอย่างพินิจพิเคราะห์
“แกเป็นอะไรอ่ะ ถามจริง....คิดมากเรื่องอะไร เรียน? หรือ รัก? “
“ท...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ” จูนยังคงยิ้ม แต่มือกลับอยู่ไม่สุขจับปลายซิปเสื้อแขนยาวเลื่อนขึ้นๆลงๆอยู่แบบนั้น
“ไม่จริงอ่ะ....มันแปลก ...ทำหน้าเหมือนคนกลุ้ม บางทีก็ซังกะตาย มีเกย์มาจีบแกรึไง” คำถามของปิ๊กไม่ต่างจากค้อนขนาดใหญ่ที่กระแทกลงกลางอกของเด็กหนุ่มเข้ามาเสียเต็มแรง ท่าทางเหมือนคนจุกจนพูดอะไรไม่ออกแบบนั้นทำให้ปิ๊กยิ่งรุกถามหนัก
“ใครจีบ...พี่เคนเหรอ?”
“พ...เพี้ยนรึเปล่า ปิ๊ก พี่เคนเป็นเกย์ที่ไหน แล้วกูก็ไม่ได้เป็นด้วย” เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทางด้วยเผลอซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าของตัวเองทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วอีกฝ่ายคงไม่เห็นหรอกว่าหน้าของเขากำลังแดงขนาดไหน
“ไอ้จูน...กูเพื่อนมึงนะ มึงเป็นอะไรทำไมกูจะไม่สังเกตเห็น เพียงแต่ที่กูไม่ถามไม่พูดเนี่ย เพราะรอมึงเล่า แต่นี่มึงเล่นหุบปากเงียบแบบนี้ ไม่เล่าซักทีคราวนี้ก็คงต้องขอถามตามตรงล่ะ พี่เคนมาจีบมึงใช่ป่ะ”
“...........................”จูนไม่ได้ตอบหากแต่พยักหน้าลงเบาๆ
“นั่นไงล่ะ กูว่าแล้ว! “ ปิ๊กตบมือเข้ามากันไม่ต่างอะไรกับคนเพิ่งตอบคำทายปัญหาแล้วชนะเกม
“รู้มาได้ยังไง......” เสียงของเด็กหนุ่มถามกลับเบาๆ
“ก็สงสัยตั้งแต่ตอนก่อนมิดเทอมตั้งแต่ห็นมาเทียวส่งน้ำส่งขนมแล้วก็ดันไปเห็นพี่เขาก้มผูกเชือกรองเท้าให้แกอีก สนิทกันขนาดไหน กูว่าแบบนั้นก็เยอะไปไง...เลยสงสัยอยู่ ว่าแต่แก...ไม่ได้โดนพี่เขาบังคับขู่เข็ญแบบนั้นใช่ไหม”
ท้ายเสียงแหบๆของสาวห้าวนั้นแสดงความเป็นห่วงเพื่อนอยู่ไม่น้อย เพื่อนของเธอคนนี้ไม่ค่อยเห็นว่าจะสู้ใครสักเท่าไรนัก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่คนนั้นด้วย เห็นเคนที่ถึงแม้ปกติจะดูร่าเริงอารมณ์ดี แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าโดยจริงๆแล้วเป็นคนอย่างไร ยิ่งเป็นนักกีฬาตัวสูงใหญ่แบบนั้นด้วยแล้วการใช้กำลังหรือรูปร่างเข้าขู่ดูไม่ใช่เรื่องยากเย็น
“ป่ะ...เปล่า....ไม่มี พี่เขาไม่ได้บังคับอะไร...อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้กำลัง”ท้ายเสียงนั้นแหบแห้งเมื่อนึกถึงเรื่องคราวก่อน
“จริงนะ....”ปิ๊กยังคงถามต่อ
“อ่ะ อืม....” จูนไม่ได้ตอบไปตามความจริงทั้งหมดแต่ก็เพื่อความสบายใจของเพื่อนและน้ำใจที่มีให้กัน เขาก็ควรจะเล่าในส่วนที่พอจะเล่าได้ “แต่คงถึงเวลาที่ต้องตอบแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไง ปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้ก็คงไม่ดีกันไปหมด พี่เขาก็มีแฟนอยู่แล้ว คงต้องตอบเสียทีมันคงหมดเวลาที่จะหนีแล้วก็ปิดปากเงียบแล้ว มันอึดอัดนะปิ๊กที่เป็นแบบนี้ แค่มองหน้าก็รู้สึกเย่แล้ว”
จูนพูดออกมายาวด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า สำหรับตัวเขาเองแล้วนี่ก็คงจะถึงขีดสุดแล้วเช่นเดียวกัน นี่ถ้าหากเขาไม่คุมสติให้มั่น เขาคงร้องออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้งต่อความรู้สึกปวดหนึบในใจที่ไม่อาจจะอธิบายได้แบบนี้
“ตอบ? แกหมายความว่าไง”
“เขาก็ถามมาว่ากูจะเอายังไง จะตอบความรู้สึกเขาว่ายังไง ...นัดว่าให้ไปบอกพรุ่งนี้” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไรของวัน
“พรุ่งนี้? เวรแล้ว...แล้วนี่แกได้คำตอบหรือยัง”
“............................” จูนไม่ได้ตอบหากแต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ว่าคำตอบของเขาจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างมันก็จะต้องเปลี่ยนไปอยู่ดี ทุกคนจะได้รับผลกระทบกันไปหมดและเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
“โธ่ ไอ้จูนเอ้ย.....” ปิ๊กไม่รู้จะปลอบเพื่อนอย่างไร ทำได้เพียงแค่เดินไปยืนอยู่ข้างๆมืออวบตบลงบนไหล่ของคนตัวสูงกว่าแรงๆ
“เอางี้ เดี๋ยววันนี้เจ้เลี้ยง ไปกินให้สบายใจ พรุ่งนี้ จะตอบยังไง ก็ เอาสิ่งที่แกตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าควรจะพูดที่สุดนั่นล่ะ ผลจะเป็นไง ก็ช่างมันเถอะน่า เลิกคิดให้กลุ้มอกไปสักคืนนะ”
เด็กหนุ่มหันมามองหน้าของเพื่อนริมฝีปากสวยนั่นคลี่เป็นรอยยิ้ม คำพูดของปิ๊กทำให้เขาพอรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง เขามัวแต่กลุ้มเรื่องของตัวเองจนคนรอบข้างเป็นห่วงขนาดนี้ได้ยังไงกัน มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมของเพื่อนสาวเบาๆ
“เลี้ยงแน่นะ”
“แน่นอน....ไปกันดีกว่า ป่านนี้ยัยแพรนั่งชะเง้อคอยจนคอยืดไปแล้วมั้ง”
........................................
เสียงจังหวะดนตรีดังมาให้ได้ยินเมื่อเอารถเข้ามาจอดในที่จอดรถ แต่ที่ดังกว่าในตอนนี้กลับเป็นเสียงหัวเราะของจูนเสียมากกว่าที่เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวห้าวเสียงแหบสุดที่รักของตัวเองพามาที่ไหนก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ปิ๊ก....จะเลี้ยงทีนี่มาร้านพี่ยุทธ์เหรอ?”
“ก็เออน่ะสิ จะให้ไปไหนได้ล่ะ ร้านนี่ล่ะมีแววได้ส่วนลดสุดละ”
“ให้มันน้อยๆหน่อย คนเป็นเจ้าของร้านไม่ใช่พี่เขาสักหน่อยอีกอย่าง วันนี้จะมาทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่รู้ล่ะ ยัยแพรมันเข้าไปจองโต้ะละ ไปเลยๆ”
จูนเคยมาที่นี่บ้าง เขาชอบการตกแต่งของที่ร้านนี้ เพียงดูก็รู้ว่าคนตกแต่งก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะเดียวกับกับยุทธ์เป็นแน่ บรรยากาศออกแนวย้อนยุคแต่ก็มีความโมเดิร์น เท่ แต่ก็ยังมีมุมน่ารักแฝงไว้กับพวกของประดับให้ลูกค้าผู้หญิงมาถ่ายรูปกันบ้าง ด้านในของร้านแบ่งออกไปสามส่วนใหญ่ๆ เมื่อเดินเข้าไปด้านในเห็นเวทีขนาดพอเหมาะที่จะรองรับวงดนตรี และห้องขนาดใหญ่พอจะจุคนได้สักห้าสิบหกสิบคน มีโต๊ะตัวเล็กๆและเก้าอี้วางเรียง ให้พอมีพื้นที่ในการยืนหรือแม้แต่เต้นไปตามจังหวะ แต่ละโต๊ะมีแก้วใส่เทียนเล็กๆตั้งอยู่สร้างบรรยากาศ อีกด้านเป็นเค้าท์นเตอร์บาร์ยาวสำหรับคนที่อยากจะดื่มเงียบๆ ในขณะที่ด้านนอกของร้านก็มีโต๊ะเล็กๆตั้งอยู่ใต้ซุ้มไม้ระแนงคลุมด้วยไม้ไทยที่ให้ดอกสีขาวหอมเย็น
“คนเยอะเหมือนกันแฮะ .... “ จูนพึมพำออกมาเบาๆเพราะตั้งแต่เดินเข้ามาก็เห็นว่าโต๊ะด้านนอกก็เต็มแล้ว และตรงหน้าเค้าท์นเตอร์ก็ดูจะมีคนเดินผ่านไปมาขวั่กไขว่ ยังไม่ต้องพูดถึงด้านในห้องใหญ่ที่ทำเอามองหาแพรแทบไม่เจอ
“นั่นไงยัยแพร เห็นนางมาเงียบๆนี่กินไปเท่าไรแล้วคนเดียวเนี่ย....” ปิ๊กพูดยาวตั้งแต่เดินเข้าห้องจนไปกระแทกมือลงที่โต๊ะตรงหน้าของสาวแพรที่นั่งอมยิ้มอยู่พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือ
“นิด...หน่อย....” หญิงสาวตอบพลางยกมืกทักทายจูน “ต๊าย.....หล่อมาเชียวเพื่อนฉัน มามะมานั่งข้างป๋ามามะ” แพรว่าพลางหัวเราะแล้วขยับที่ให้จูนได้นั่งลงข้างๆ
“จะกินอะไรสั่งเลยนะ ปิ๊กเลี้ยง”
“อื้ม ....แน่นอนอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับปิ๊กที่ดูจะหน้าซีดกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดู อาหารในแต่ละประเภทก่อนจะตัดสินใจ มือหนึ่งยกเรียกพนักงาน
“โทษนะครับ สั่งอาหารหน่อย”
“ครับ? รับอะไรดีครับ ....” พนักงานของร้านหันกลับมาพร้อมกับมือที่ดึงเอากระดาษจดออเดอร์ออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวอยู่ทันที
“อ้าว...พี่ยุทธ์?” ทันทีที่เห็นหน้าจูนก็อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว จูน มาทำอะไรเนี่ย” เช่นเดียวกับชายหนุ่มร่างเล็กที่ถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“มากับพวกหนูเองล่ะค่า....แหมตอนแรกก็นึกว่าจะไม่เจอพี่ซะแล้ว....”เสียงสาวแพรว่าพร้อมยิ้มหวาน
“เอาเป็นว่าพวกเรามาถูกวันก็แล้วกัน” พนักงานเสริฟประจำร้านโปรยยิ้มให้ทั้งสองสาว ทำเอาปิ๊กถึงจะเป็นสาวห้าวๆก็ยังเขินอายม้วนกระแทกหมัดลงกับไหล่ของจูนแก้เขิน
“ว่าแต่จะเอาอะไรล่ะพี่จะไปบอกเขาให้ .... “โชติหันมายิ้ม ให้กับจูนก่อนต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าวันนี้เด็กหนุ่มแต่งตัวมาเต็มที่แค่ไหน “จะไปเดทที่ไหนต่อเหรอ จูน” พูดพลางก็ยกมือขึ้นเขี่ยเส้นผมที่อีกฝ่ายจัดทรงมาจนหล่อ
“ก็....ก็ไม่ได้จะไปไหน ก็แค่มาเที่ยวกับเพื่อน” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ
“เหรอ....” ยุทธ์ถาม สังเกตเห็นได้ในท่าทีที่ดูร่าเริงผิดจากระดับปกติของอีกฝ่าย แต่เพราะเห็นว่ายังมีเพื่อนอีกสองคนของจูนนั่งอยู่ด้วยเลยไม่คิดจะถามอะไร “ว่าแต่สั่งอะไร หรือจะให้พี่สั่งให้...” ไม่พูดเล่านั่งลงตรงเบาะที่นั่งข้างๆของจูนก่อนชะโงกหน้าเข้ามาดูเมนูเสียใกล้
“ เอาเบียร์...สองครับ...แล้วก็ อืม...หมูมะนาว เนื้อแดดเดียวทอด เอ่อ...เอ่อ...”
“เฮ้ย จูน ไม่สั่งข้าวเปล่า ข้าวต้ม ข้าวผัดด้วยเลยล่ะ มากินเหล้าเนี่ย” ปิ๊กประชด เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็เป็นตัวเองที่จะต้องเสียสตางค์ในวันนี้
“ให้สั่งเหรอ” จูนเลิกคิ้ว
“ประชดย่ะ”
“ฮ่ะๆ อย่าเพิ่งตีกันในร้านพี่ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอเมนูพิเศษนะ จะเอามาให้ ...เบียร์นะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็....”ชายหนุ่มหยุดก่อนจะหันมาขยี้ผมของจูนเบาๆ “ให้จูนไปสั่งกับพี่ที่เค้าท์เตอร์ก็แล้วกัน”
จูนเหลือบมองหน้าของยุทธ์เล็กน้อย ใบหน้าสวยได้รูปนั่นมีรอยยิ้มสวยเหมือนทุกครั้ง ผู้ชายตรงหน้าแม้จะร่างเล็กแต่ก็ดูทะมัดทะแมงในเสื้อยืดของทางร้านกับผ้ากันเปื้อนผืนสั้นที่คาดเอวอยู่เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังดูดีอยู่ไม่น้อย สมแล้วกับที่อีกฝ่ายเป็น “พระเอก” ของชมรม ยุทธ์เป็นมนุษย์ที่ต่อให้ใส่แค่กางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆเหมือนอย่างที่ใส่ตอนี้ก็ยังดูดี
“ครับ ถ้ายังไงจะเดินไปสั่งอีกครับ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างให้กับรุ่นพี่
“จริงค่ะพี่ยุทธ์ คืนนี้ไม่เมาพวกหนูม่าย...กลับ” เสียงแพรให้คำมั่นไม่วายโบกมือให้อีกต่างหาก
……………………………..
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป เสียงเพลงก็ยิ่งกระตุ้นเร้า พนักงานเสริฟขวัญใจสาวๆอย่างยุทธ์ต้องวิ่งหนักหน่อยเมื่อถึงคืนวันศุกร์เพราะมักจะถูกเรียกให้เข้าไปรับออเดอร์ หรือ ต้องแวะคุยตามโต๊ะต่างๆเป็นประจำ แต่ในคืนนี้สายตาของชายหนุ่มกลับคอยสอดส่องมองไปยังโต๊ะๆหนึ่งอยู่เสมอ และพอได้เห็นว่าคนที่เขากำลังนึกเป็นห่วงอยู่ยังทรงตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้และขยับยักย้ายไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ได้ก็พอโล่งใจขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวๆกลับไปประจำการที่เค้าท์เตอร์ทางด้านหน้า คอยชงเครื่องดื่มสลับกับการเดิมออกไปเสริฟ พยายามจะไม่รู้สึกเป็นห่วงรุ่นน้องคนนั้นให้มากจนเกินไปนัก ยังไงจูนก็เป็นเด็กผู้ชาย คงไม่มีปัญหาอะไรมากนอกเสียจากว่าจะดื่มมากเกินไปจนตัวแดงเหมือนทุกครั้ง
“พี่ยุทธ์ๆ......มานี่หน่อยได้ไหมคะ” อยู่ๆก็มีเสียงคนเรียก และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเด็กสาวตาเล็กหน้าตาคลับคล้ายกับเพื่อนของจูนที่ชื่อว่าแพร
“ว่าไงครับ....” ยุทธ์ยิ้มหวาน ดวงตากลมของพระเอกประจำชมรมเป็นประกายเหมือนอย่างที่เคยแสดงต่อหน้ากล้อง “จะเอาอะไรอีกรึเปล่า เดี๋ยวพี่จัดให้”
“มากับหนูแป๊บนึง....นะพี่....มาๆ” ไม่พูดเปล่ามือเล็กของหญิงสาวก็คว้าข้อมือของเขาพลางออกแรงดึง จนยุทธ์ต้องขอเวลานอกเพื่อไปวิ่งอ้อมเค้าท์เตอร์ออกมา ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ฝึกทักษะกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางกลางร้านเป็นแน่
“มีอะไรครับน้อง...เบาๆหน่อยก็ได้...” ยุทธ์ร้องออกมาเมื่อถูกลากให้เดินตามมาจนถึงโต๊ะที่แพรกับเพื่อนรวมไปจนถึงรุ่นน้องในชมรมของเขานั่งอยู่ อันที่จริงจะเรียกว่านั่งก็ไม่เชิงในเมื่อหญิงสาวตัวอวบๆคนนั้นฟุบหน้านิ่งลงไปกับโต๊ะ ในขณะที่รุ่นน้องตัวดีก็นอนเอนลงกับไปเบาะด้านหลัง ช่วงขายาวเหยียดเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง
“อะโห........กินกันขนาดไหนทำไมเละงี้ล่ะครับ”
“กินอะไรพี่ เบียร์แค่คนละสองขวด ก็ดับดิ้นปลิ้นไม่เหลือซากแล้วเนี่ย” แพรเกาหัวแกรก
“อ้าว...แล้วน้องล่ะ กินไปเท่าไร ทำไมไม่เป็นไรเลยเนี่ย” ยุทธ์หันไปมองด้วยความสงสัย เมื่อคนตรงหน้ายังดูหน้าตาสดชื่นแถมพูดรู้เรื่องดีอีกต่างหาก
“หนูเหรอ....กินไปสี่ขวดอ่ะค่ะ ...”เด็กสาวตอบอย่างง่ายดาย แต่ใบหน้ายังดูเหมือนคนกังวลหนัก
“หะ...สี่ โอ้ว กินเก่งจังเนอะ ผู้หญิงตัวนิดเดียว”ยุทธ์แทบยกมือตบชมเชย
“ไม่ใช่เบียร์นะพี่ ชาเขียวน่ะ พอดีอยากส่งชิงโชคกับเขาบ้าง”
“............................” ไม่มีคำตอบจากยุทธ์มีเพียงเสียฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าผากของตัวเองดังเผียะ
“โอเค....ชาเขียว....เอ้า จะให้พี่ช่วยอะไรว่ามา” ชายหนุ่มว่าเท้าเอวมองสภาพของรุ่นน้องอย่างคิดหนัก
“คืองี้ค่ะพี่ หนูอ่ะ เอามอเตอร์ไซค์มา คงแบกกลับได้คนเดียวอย่างยัยปิ๊กเนี่ย พอจะหอบไหวอยู่ค่ะ นี่ก็พอตบๆรู้เรื่องอยู่ แต่จูนเนี่ยหนูแบกมันกลับไม่ไหวแน่เลย....” เด็กสาวว่าส่งสายตามองอย่างเว้าวอนแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรต่อก็พอจะเข้าใจได้
“โอเค ให้พี่เก็บไอ้จูนกลับสินะ” ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็อดนึกขำแก๊งค์เพื่อนสามคนนี่ไม่ได้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะชี้นิ้วให้แพรช่วยจัดการสะกิดปิ๊กให้ลุกในขณะที่ตัวเองก็หิ้วปีกจูนขึ้นมา
“โอย หนักแฮะ...เอาเป็นว่า เราพาเพื่อนเรากลับเถอะส่วนจูนเดี๋ยวพี่พาไปนอนในรถก่อน แล้วจะกลับมาเคลียร์บินให้ เอาเป็นว่าพี่เลี้ยง...พากันกลับดีๆก็แล้วกันนะ” ยุทธ์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ทำเอาสาวแพรเผลอยิ้มตามไปด้วย
“ขอบคุณค่ะพี่ยุทธ์ ไม่ต้องห่วงนะคะ จะพายัยปิ๊กกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ ส่วนไอ้จูน หนูฝากพี่ด้วยนะคะ”เด็กสาวก้มให้อีกฝ่ายนิดหน่อยก่อนจะกึ่งลากกึ่งพยุงเพื่อนของตัวเองออกไป ยุทธ์มองส่งทั้งสองคนออกไปก่อนจะค่อยพาเด็กหนุ่มผมทองที่ดูจะไม่มีสติแล้วเดินออกจากร้านตามไป
เสียงเพลงดังอยู่เบื้องหลังเมื่อประคองจูนมาจนถึงรถยนต์สีขาวที่จอดอยู่ในที่จอดรถ เจ้าของรถเปิดประตูอย่างทุลักทุเลก่อนจะประคองให้รุ่นน้องนั่งลงที่เบาะข้างคนขับ และเพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงไปทำให้ตัวเองก็เซตามลงไปด้วยแต่ยังดีที่ยันตัวเองเอาไว้ได้ทัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากร่างของอีกฝ่าย ทันใดก็ต้องรีบก้าวถอยออกมาด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้ตัว ก่อนค่อยๆปิดประตูรถ วิ่งกลับเข้าร้านไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ววิ่งกลับออกมา ขึ้นรถก่อนจะขับออกไป โล่งอกที่จูนดูเหมือนจะยังงัวเงียไม่รู้เรื่องสักเท่าไรนัก
“คอก็อ่อนยังจะกินเข้าไปซะขนาดนั้น” สารถีจำเป็นบ่นพึมพำเมื่อขับรถกลับมาที่บ้าน สายตาก็เหลือบมองคนที่นั่งเอนตัวพิงกับกระจกรถมาตลอดทาง มือเรียวเอื้อมไปเขย่าไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ
“จูน...เฮ้ย...จูน ตื่นอยู่ป่ะ”
“อืม....เอามาอีกแก้วสิ ปิ๊ก” ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นสั่งเหล้าเพิ่ม
“ไอ้ขี้เมา....กูบอกให้ตื่น....” ยุทธ์ตบเบาๆ เพื่อปลุกอีกฝ่าย เมื่อกดรีโมทเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน
“หะ? หืม?....พี่ยุทธ์” จูนสลึมสลือลืมตาตื่นพร้อมเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบพร่า “ปิ๊กล่ะ?”
“กลับไปกะแพรแล้ว แล้วก็ฝากแกมากับพี่เนี่ย วันนี้นอนบ้านพี่ละกัน...นั่งเฉยๆก่อน เดี๋ยวจอดลงจะลงไปช่วยพยุง ล้มหัวแตกขึ้นมาทำไง “ยุทธ์อธิบายยาว
ได้ยินแค่เสียงอืออารับคำในรับคอ ชายหนุ่มรีบจอดรถเข้าในที่จอดรถของบ้าน ไฟที่ชั้นล่างดับสนิท เขาคิดว่าพ่อกับแม่ของเขาคงจะขึ้นห้องนอนกันหมดแล้วเป็นแน่ในเวลาเช่นนี้ เจ้าของบ้านรีบวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วพยุงจูนที่มึนหนักขึ้นไปด้านบน แม้ทุกลักทุเลอยู่ใช่ย่อยแต่ในที่สุดก็เปิดประตูห้องเข้ามาจนได้ ยุทธ์ค่อยๆจับให้จูนนั่งลงบนเตียงอย่างเบามือ
..........................................................มีต่อใน 3/3
-
3/3
“จูน....ไหวรึเปล่า?” ว่าพลางก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อดูสีหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าขาวแบบเชื้อจีนนั่นแดงก่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ปกติแล้วจูนเป็นคนไม่ดื่มมาก อย่างมากก็แค่แก้วสองแก้วก็จะพอแล้วแต่นี่เล่นดื่มลงไปเป็นขวดแบบนี้ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“แล้ว...สรุปใครจ่ายอ่ะ” ไม่วายคนเมายังถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“พี่นี่ล่ะจ่าย...เฮ้ย...” ยุทธ์อุทานขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายโถมตัวเข้ามาหา
“ขอบคุณคร้าบบบบ.....พี่ยุทธ์ใจดีจัง...”เสียงเด็กหนุ่มร่าเริงเกินปกติดังให้ได้ยินอยู่ข้างหูเมื่อจูนโถมเข้ามากอดทั้งตัว
“เออๆ รู้แล้ว...รู้แล้ว....”ยุทธ์รับคำพลางหัวเราะแห้งๆแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอาจเป็นเพราะเพิ่งจะจินตนาการถึงอีกฝ่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วอยู่ๆอีกฝ่ายก็มานั่งเมาอยู่ในห้องของเขาแบบนี้ก็ทำให้ทำใจไม่ตื่นเต้นกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ลำบากอยู่ไม่น้อย สองมือของโชติดันไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ พยายามจับให้นั่งให้ตรง
“นึกยังไงถึงกินไปซะขนาดนี้เนี่ย.....เมาเป็นหมาละ”
“ใครเมา ผมไม่เมา ....เอาเบียร์มาอีก” ทันทีที่พูดจบจูนก็เริ่มโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ก็บอกอยู่ว่าเมาเป็นหมาแล้ว จะกินอะไรอีกไอ้ตัวดี ....จะล้างหน้าล้างตาไหม” สุดท้ายยุทธ์ก็ต้องนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของอีกฝ่าย มือเรียวจับใบหน้าร้อนผ่าวของรุ่นน้องเบาๆ
“ไม่เอา...จะกินเหล้า กินให้ลืม กินให้ลืมไปก่อน ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว” เด็กหนุ่มที่ดูอารมณ์ดีมาตลอดทั้งคืนในตอนนี้กลับดูเจ้าอารมณ์และโยเยเหมือนเด็กๆ จูนขมวดคิ้วมุ่นแววตาที่สดใสตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความกังวลเสียจนยุทธ์ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
....ทำไมต้องเป็นกูทุกทีที่ต้องเห็นมันทำหน้าแบบนี้วะ...
“เหล้าน่ะมี......”ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ก้มลงเปิดด้านในของลิ้นชักที่เขาซุกเหล้าฝรั่งอย่างดีเอาไว้ขวดหนึ่งมันพร่องไปไม่น้อยเพราะเขาเองก็ค่อยๆกินมาหลายต่อหลายหน ในห้องมีแก้วน้ำอยู่สองใบ เจ้าของห้องจัดแจงรินใส่ไม่มากไม่น้อยไปกว่าข้อนิ้วก่อนจะเดินมายื่นให้กับอีกฝ่ายในขณะที่มืออีกข้างก็ถือแก้วสำหรับตัวเอง
“อยากกินก็กินไป....จนกว่าแกจะพอใจพี่จะกินเป็นเพื่อนแกเอง โอเคไหม” ดวงตาเรียวของเด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองแฝงความฉงนเล็กน้อย ริมปากได้รูปนั้นเม้มแน่นก่อนจะค่อยคลายเป็นรอยยิ้มจางๆ จูนรับแก้วมาจากอีกฝ่ายค่อยยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากจิบแอลกอฮอลล์ลงไป รู้สึกได้ถึงความรร้อนแผ่ซ่านไปทั่วลำคอ แต่ด้วยไม่เคยชินกับดีกรีของเหล้า จูนสำลักออกมาเบาๆ
“แค่ก....โอย....แรงจัง” ว่าพลางก็ไอออกมาเบาๆ ผิวหน้าขาวนั้นแดงก่ำไปหมด แต่กระนั้นคนที่เมาอยู่ก่อนแล้วก็ยังจะพยายามยิ้มให้อีกฝ่าย
“แรงสิ จะได้เมา ไหนๆก็อยากเมาไม่ใช่รึไง”ยุทธ์ยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายที่ปลายเตียง พางยกแก้วขึ้นชนแก้วกับอีกฝ่าย
“เอ้า ชน.... กินซะ อยากเมาก็เมาเสียให้พอ”
คำพูดของอีกฝ่ายที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มบวกกับฤทธิ์ของแอกอฮอลล์ที่มีอยู่ก่อนหน้าทำให้จูนยิ้มออกมาได้กว้างกว่าเดิม
“ครับ....” ว่าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดิ่มอีกอึกและดื่มต่อไปอีก แต่จูนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มนั่งดื่มไปเงียบๆ จนเมื่อหมดก็มียุทธ์เดินมาเติมเครื่องดื่มในแก้วให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาเรียวของจูนค่อยกวาดมองสำรวจไปทั่วห้องอยู่นานสองนาน
“พี่ยุทธ์.....” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นยานคางฟังดูประหลาดหู
“หืม.........” ยุทธ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาปล่อยให้จูนนั่งดื่มไปเงียบๆอย่างนั้นในขณะที่ตัวเองลุกมานั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์จุดบุหรี่สูบอยู่พักใหญ่
“พี่ว่าความรักนี่มันเป็นยังไงกัน” เสียงของจูนเอ่ยถาม เมื่อยุทธ์หันกลับไปมองเห็นเพียงแผ่นหลังและไหล่ได้รูปที่งองุ้มลงอย่างเห็นได้ชัด
“ความรักเหรอ....เป็นเรื่องที่ถ้าหากสมหวังบ้าง ก็คงดีล่ะมั้ง” ยุทธ์ตอบกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ มืออีกข้างยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
“อย่าง....พี่ยุทธ์น่ะนะ....ไม่สมหวัง....” จูนค่อยๆพูดออกมาทีละคำๆ ราวกับว่ามันช่างยากเย็นนักที่จะเรียบเรียงออกมาให้ได้สักประโยคหนึ่ง แก้วเปล่าที่ปลายนิ้วค่อยถูกปล่อยลงกับพื้นไม้ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าแก้วจะกลิ้งขลุกไปอีกทางหรือไม่ ร่างสูงโปร่งค่อยเอนตัวลงเหยียดยาวกับเตียงนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
“ทั้งหล่อ...บ้านก็รวย....แถมยังใจดีเลี้ยงเหล้าน้องแบบนี้....” จูนบิดตัวเล็กๆเพื่อหันมามองคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไป “น่าแปลกที่พี่ยังไม่มีแฟนสักที”
“อยากน่ะ ก็อยากหรอก แต่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจมากๆน่ะสิ” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ “แล้วแกล่ะ....มีรึยัง?” ดวงตากลมที่สบกลับมานั้นเป็นประกาย
“ผม....เหรอ......”เด็กหนุ่มพลิกตัวกลับมานอนคว่ำ มือก็คว้าหมอนมากอดเอาไว้ซบใบหน้ามนลงไปจนยุทธ์มองเห็นหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ครึ่ง “ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรัก มันเป็นยังไง..... มัน...ออกจะน่ากลัว” ดวงตารีเรียวนั้นหรี่ลงเล็กน้อย
“กลัว? ความรักเนี่ยนะ” เจ้าของห้องขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ เขาโน้มตัวลงมาด้านหน้าเล็กน้อยด้วยอยากจะฟังที่อีกฝายพูดให้ได้ชัดที่สุด
“แต่ก่อนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ แต่พอมีเข้ามา ...ผมคิดว่ามันทำให้ผมอ่อนแอ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ที่ว่ามี....ใช่....เคนไหม” ยุทธ์ตัดสินใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบหากแต่ในใจของเขารู้สึกหวาดหวั่นแม้จะรู้ดีในคำตอบ ดวงตากลมนั้นจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง
“ฮ่ะๆ....แม้แต่พี่ก็รู้เหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะออกมาใบหน้านั้นแดงก่ำ ปลายนิ้วเผลอขยำลงบนหมอนนิ่มบิดเนื้อผ้าเสียจนข้อนิ้วแดงไปหมด “ปิ๊กก็ถามผมแบบนั้น....คนอย่างผมนี่คงไม่มีความลับสินะ” เสียงของจูนดังอู้อี้อยู่เพราะหมอนที่กอดเอาไว้
“ไอ้เคนมัน........ทำอะไรแกรึเปล่า” ยุทธ์ถอนหายใจออกมาเบาๆ วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะก่อนลุกเดินไปยืนอยู่ที่ข้างเตียง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังถามออกไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน เพราะเพียงแค่ได้ยินชื่อของคนที่สามอย่างเคนมันก็ทำให้เขาหายใจหายคอไม่คล่องเสียแล้ว
“......................”จูนไม่ได้ตอบ หากส่ายหน้าเบาๆ “แต่..เขาทำให้ผมสับสน คิดอะไรไม่ออก ไม่เป็นตัวของตัวเอง...มันเหมือนผมกำลังจะเปลี่ยนไป.....” จูนพลิกตัวขึ้นนอนหงาย ดวงตาจับจ้องที่เพดาน แสงสีขาวที่สะท้อนกับพื้นผิวสีขาวของเพดานยิ่งชวนให้รู้สึกแสบตาอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้ถึงความร้อนชื้นของน้ำตาที่ค่อยก่อตัวขึ้นที่ขอบตาบนบังภาพที่กำลังเห็นอยู่เบื้องหน้า เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดหน้าเขาไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้าใครอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยุทธ์
“มันน่ากลัวนะพี่ยุทธ์ การที่อยู่ๆก็มีคนมาทำให้เราเปลี่ยนไป ผมกลัว...กลัวว่าใครต่อใครจะมองเราไม่ดี กลัวเกินกว่าที่จะพูดความจริง....กลัวที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง” เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ภายใต้ฝ่ามือของตัวเองในตอนนี้เด็กหนุ่มจมงลงสู่ความมืดและมึนงงราวกับว่าโลกกำลังหมุนไปในทิศทางที่เขาไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้อีก ในหัวของจูนยิ่งสับสน เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ผม กลัวไปหมด กลัวจนไม่กล้าทำอะไร จนทำร้ายจิตใจคนอื่นกี่รอบแล้วก็ไม่รู้.... “ เด็กหนุ่มสะอื้นออกมาเบาๆ “ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย...ผมมันแย่จริงๆ” จูนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทำให้เตียงยุบยวบลงมาพร้อมสัมผัสไล้เล่นเบาๆที่เรือนผม
“แกไม่ได้แย่หรอก เป็นคนอื่นมากกว่าที่ทำให้แกเป็นแบบนี้ แกก็แค่.....เป็นเด็กดีแล้วก็ใจดีเกินไปก็เท่านั้น” เสียงของยุทธ์ดังขึ้นอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่แทรกผ่านเส้นผมทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกดีอย่างประหลาด
“ถ้ามันอึดอัดนัก....อยากจะโวยวาย ร้องไห้ หรืออะไรก็ตามก็ทำออกมาเสียงให้พอ...” ยุทธ์เอ่ยมือข้างหนึ่งรั้งมือของจูนที่ปิดหน้าของตัวเองออกราวกับจะบอกให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาสบตาของเขา และเด็กหนุ่มก็ทำตามเช่นนั้น ยุทธ์จ้องมองกลับมาด้วยดวงตากลมโตฉายแววอ่อนโยนหากแต่ดูเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น
“ถ้าจะร้องไห้ ก็มาร้องกับพี่ ต่อให้แกไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ ก็ขอให้นึกถึงพี่เข้าใจไหม” ชายหนุ่มเอ่ย มือเรียวขยับเลื่อนมาสัมผัสข้างแก้มที่ร้อนผะผ่าวด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่เขาเป็นคนรินใส่ให้อีกฝ่ายไปเอง
“แล้วก็จำไว้...ที่มันทำให้แกเป็นไปได้ถึงขนาดนี้น่ะ...มันเรียกว่าความรัก” หัวใจในอกบีบตัวแรงเสียจนเจ็บ ยุทธ์ไม่ได้อยากจะเอ่ยคำนั้นออกไป แต่ก็ทนปล่อยให้คนตรงหน้าสับสนต่อไปไม่ได้ เขาทนดูไม่ได้
“พี่ยุทธ์........” จูนเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก ความรู้สึกหนักอึ้งในอกมาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นทับถมลงมาจนเขาแทบจะหายใจไม่ได้ เด็กหนุ่มรั้งมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมาปิดหน้าของตนเองแทนที่ ริมฝีปากบางเบ้เบะไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ
หยดน้ำตาค่อยทิ้งตัวลงมาจากหางตาเม็ดแล้วเม็ดเล่า จนแม้ยุทธ์ที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมดก็รู้สึกได้จากความเปียกชื้นที่อยู่ใต้ฝ่ามือ
“ตัวเองรู้สึกยังไงก็คงรู้แล้วสินะ.... แค่ไม่กล้าที่จะพูดออกไปก็เท่านั้น” เจ้าของห้องเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาอยากจะปลอบอีกฝ่าย อยากจะบอกว่าอย่าร้องไห้ในเมื่อโลกใบนี้ยังมีเขาอยู่อีกทั้งคน แต่มันก็ไม่ใช่คำที่จะกล่าวออกมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้
........ในเมื่อคนที่จูนรัก....ไม่ใช่เขา........
ไม่มีคำตอบจากเด็กหนุ่ม มีเพียงแค่น้ำตา และเสียงในลำคอที่เหมือนว่ากำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เสียงนั้นเล็ดลอดออกไปมากกว่านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดของทั้งผู้มาเยือนและผู้ที่คอยเฝ้าดู ยุทธ์เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นให้อีกฝ่ายยืมมือของเขาเป็นที่ซับน้ำตา เวลาผ่านไปนานเท่าไร รุ่นพี่หนุ่มเองก็ไม่อาจรับรู้ได้ กลิ่นบุหรี่ในห้องเจือจางลงไปมาก ในขณะเดียวกันคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นก็เริ่มหายใจเป็นจังหวะอย่างผ่อนคลาย ต่างจากเมื่อครู่ มือหนึ่งของจูนยังไม่ละจากมือของเขาในขณะที่มืออีกข้างวางพาดบนอกที่ขยับขึ้นลงเบาๆ ....เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปอาจจะทั้งฤทธิ์เหล้าและเบียร์ที่ประเคนดื่มเข้าไปทั้งที่คออ่อนมากก็เป็นได้
แต่หากจะพูดให้ถูกมันเป็นเขาเองเสียมากกว่าที่เป็นคนประเคนเหล้าให้อีกฝ่ายดื่ม ทันทีที่เครื่องดื่มพร่องเขาก็บรรจงเติมให้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว แก้วแล้วแก้วเล่า ดวงตากลมนั้นเหลือบมองไปยังขวดเหล้าเปล่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาดื่มไปไม่ถึงครึ่งของที่เคยเหลืออยู่ในขวดนั่นเสียด้วยซ้ำ
ร่างของจูนนอนเหยียดอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าแดงก่ำนั้นมีรอยน้ำตาทิ้งอยู่ที่ข้างแก้ม ที่ดวงตายังดูฉ่ำชื้นเช่นเดียวกับริมฝีปากสวยแดงระเรื่อ มือที่เคยจับมือของยุทธ์เอาไว้เหมือนกับเด็กเล็กๆในตอนนี้ วางทาบลงบนอกนิ่งไม่ไหวติง
“จูน?...... จูน?......” ยุทธ์ลองเรียกชื่อของรุ่นน้องแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว
“เฮ้อ...........” เจ้าของห้องถอนหายใจออกมายาว มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมของตัวเองเบาๆด้วยรู้สึกหงุดหงิด เขาอดจะถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเขาทุกที ที่ต้องเห็นอีกฝ่ายเสียใจ ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีที่อยู่กับอีกฝ่ายตอนที่ท้อแท้ ทำไมต้องเป็นเขาที่คอยปลอบให้คนตรงหน้าหยุด ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการซับน้ำตา
“ทำไมกันจูน.......” ยุทธ์ขยับตัวขึ้น เท้าสองมือล้อมกรอบคนที่ไม่ได้สติเอาไว้เบื้องล่าง ดวงตากลมนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไม...ถึงเป็นพี่ไม่ได้” เสียงนั้นแหบพร่าราวกับว่าถูกเค้นออกมาจากซอกมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจ
ยุทธ์โน้มตัวลงมาค่อยประทับริมฝีปากสั่นระริกลงที่เหนือคิ้วของเด็กหนุ่ม บรรจงจูบลงไปด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว แต่แล้วในใจยิ่งรู้สึกเจ็บ เจ็บเพราะความปรารถนาท่วมท้น เจ็นเพราะรู้สึกคล้ายกำลังทำผิดอาจเอื้อมแตะในสิ่งที่ควรจะทำได้เพียงแค่มอง แต่....ร่างกายของเขากลับไม่อยากหยุดปลายจมูกสวยค่อยแตะลากไล้ลงมาที่ข้างแก้มสูดลมหายใจเอากลิ่นกายและอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวของจูนเข้าไปเต็มปอด ยุทธ์ไม่แน่ใจนักว่าที่สูดเข้าปอดไปนั้นเป็นกลิ่นของแอลกอฮอล์หรือเพราะกลิ่นของอีกฝ่ายกันแน่ที่ทำให้เขาอยากจะจมดิ่งลงสู่ความเมามายที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มยกขาขยับขึ้นเพื่อคร่อมร่างทั้งร่างนั้นเอาไว้ ใขณะที่ปลายจมูกยังไม่ละหนีไปไหนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ซอกคอขาวของจูน ยิ่งเมื่อสูดได้กลิ่นโคโลณญ์จางๆจางร่างนั้นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยเผลอไผลริมฝีปากบางลากไล้ลงบนผิวเนื้อเนียนของเด็กหนุ่ม ปรือตาขึ้นเล็กน้อยเพราะกลัวเล็กๆว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว หากแต่เด็กหนุ่มยังคงพริ้มตาหลับสนิท ในใจของยุทธ์แทบตะโกนกู่ร้องออกมาด้วยความยินดี ชายหนุ่มละริมฝีปากจากผิวที่ซอกคอขึ้นมาหาสัมผัสนุ่มที่เคยได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงในส่วนลึกของจิตใจ
ริมฝีปากนุ่มของเด็กหนุ่มยังคงฉ่ำชื้น ให้สัมผัสยวนใจเหลือเกินเมื่อเขาเม้มริมปากลงลองลิ้มรสบ้าง
“อืม.....” ยุทธ์เผลอครางออกมาเบาๆเมื่อสัมผัสกับความนุ่มนวลนั้น และคงดีกว่าหากได้ยินเสียงครางเครือจากอีกฝ่ายบ้าง ชายหนุ่มบรรจงแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของเด็กหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่รู้จักพอ ในขณะที่มือหนึ่งก็ละมาค่อยๆรูปซิปเสื้อคลุมลายฉุดฉาดทีอีกฝ่ายใส่อยู่ลง แล้วแทรกมือเข้าสัมผัสด้านในของเสื้อกล้ามตัวในอย่างกระหาย ยุทธ์ค่อยๆดึงชายเสื้อกล้ามที่อีกฝ่ายใส่อยู่ขึ้น ก่อนยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองร่างที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มตา
ภายใต้แสงไฟสีขาวซีดภายในห้องคือร่างที่ไม่รู้สึกตัวของจูนกับสภาพกึ่งเปลือยเผยให้เห็นแผ่นอกได้รูป ผิวขาวแบบเชื้อจีนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อชวนให้สัมผัส ยุทธ์รู้สึกได้ว่าริมฝีปากและลำคอของหัวเองนั้นแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ปลายลิ้นเลียเบาๆที่ริมฝีปากของตนเองแล้วก้มลงชิมผิวกายเนียนของคนตรงหน้าอีกฝ่าย และอีกครั้ง แม้ไม่ได้ฝากร่องรอยใดๆเอาไว้แตในใจเขากลับรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม ยุทธ์บรรจงจูบลงบนอกซ้าย แล้วเอียงหูแนบลงไปกับแผ่นอกของเด็กหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว เขาได้ยินเสียงหัวใจของจูนที่เต้นสม่ำเสมอ ชายหนุ่มหลับตาลงฟังเสียงแห่งชีวิตนั้น นึกฝันไปว่าคงดีเพียงใดหากได้ครอบครองหัวใจดวงนี้เอาไว้ได้บ้าง
……มึงแน่ใจเหรอว่ามันสองคนไม่ได้มีอะไรกันเลย แน่ใจเหรอว่า มึงจะเป็นคนชนะในครั้งนี้.....
พลันคำพูดของโชติก็ดังลอยเข้ามาในหัว คำพูดนั้นเหมือนเรียกให้ตัวเขาตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มร่างเล็กลุกพรวดขึ้นจากเตียงแทบจะในทันที หัวใจของเขายังเต้นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจของเขายังติดขัด และเมื่อหันกลับมาอีกที ก็ยังคงเห็นร่างของเด็กหนุ่มนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เสื้อนอกหลุดลุ่ยจนแทบจะหลุดออกจากตัวในขณะที่เสื้อยืดตัวในก็รั้งขึ้นสูงจนเห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสวยพองาม
“อ่ะ...............................” เป็นตัวเขาเองที่ในตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก ยุทธ์กุลีกุจอ จัดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทางที่สุดเท่าที่จะทำได้และสุดท้ายไม่ลืมที่จะค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ สองขาของยุทธ์ก้าวมานั่งที่โต๊ะอย่างอ่อนแรง อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองเพิ่งจะทำอะไรลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเรื่องสุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนเช่นนั้น หรือนี่มันคือสัญญารว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองก็คงไม่อาจทานแรงปรารถนาในใจได้เหมือนกัน
“น่าสมเพชตัวเองชะมัด......” ยุทธ์หัวเราะขึ้นจมูก เขาเพิ่งทำอะไรลงไปอย่างนั้นหรือ เขาเพิ่งจะมอมเหล้ารุ่นน้องของตัวเองจนอีกฝ่ายไม่ได้สติอยู่คาเตียงเช่นในตอนนี้ และหากไม่ได้ยินเสียยงหลอกหลอนของโชติ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะทำเช่นนั้นต่อไปจนถึงเมื่อไร และจะหยุดได้หรือไม่
“แม่งเอ้ย.....” ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปมองและพบว่าจูนยังไม่ได้สติ....
......พักเถอะจูน....
.....นอกนซะ......
......จะนอนข้ามวันไปเลยก็ได้.....
.....แล้วก็ลืม.....
.....ลืมไปซะว่า มีใครรอแกอยู่ในวันพรุ่งนี้.....
.....ลืมมันซะ...ลืมมันไปให้หมดเลยยิ่งดี......
............................................to be continued
-
ห่างหายการตอบไปนาน ขอโทษคนเขียนด้วยค่ะ //โค้งโป๊กๆๆ
ก่อนอื่นใด...ยัยต่าย หล่อนเป็นใครมาจากไหนเรียกน้องจูนว่า "กะเทยจูน" อยากตายหรอ!!! :angry2: :fire:
สงสารพี่โชติ โกรธพี่ยุทธ์ตอนตัดต่อ //เกิดมาเป็นพี่โชติที่ต้องรับรู้ทุกอย่างของทุกคน แถมคนที่ตัวเองรักก็เห็นเป็นทางผ่าน
พี่โชติของน้องงงงงงง ไม่ร้องนะๆๆๆ :กอด1:
ส่วนอิพี่ยุทธ์ จะโกรธเต็มที่ก็ทำไม่ลง ก็เค้าใจว่าอยากได้น้องแต่ตัวเองก็ไม่เปิดปากหรือทำอะไรนี่หว่า
แล้วดูน้องดิ๊ ขนาดไอ้คนที่แสดงออกแจ่มแจ้งขนาดนั้นน้องยังสับสนแล้วสับสนอีก อ่านเกมส์ของใครก็ไม่ออก
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ถ้าแกแสดงออกมากกว่านี้ก็จะเชียร์แกนะอีพี่ยุทธ์ //หงุดหงิด :z3: :z3:
น้องจูน มาป่านนี้แล้วก็ตกลงคบๆพี่เคนไปเหอะ สายตา คำพูด อะไรหลายๆอย่างจากคนอื่น มันบั่นทอนจิตใจก็จริง
แต่ถ้ามีอีหมีควายพี่เคนที่ไม่แคร์โลกอยู่ด้วย มันอาจจะดีจริงจริงก็ได้นะเว้ย!!
นี่เมนท์อะไรไป ไม่เข้าใจตัวเอง อย่าถือสาคนอ่านที่โคตรอินเลยนะคะ :-[ :กอด1:
ปล. จริงๆอยากเชียร์ยุทธ์จูน แต่สงสารพี่โชติ :katai1: :katai1:
-
:pig4 :pig4: :pig4:
-
:impress2:
-
Chapter 41: แพ้ ยกที่ 1
(1/2)
แสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกตัว แต่เพราะเปลือกตาหนักอึ้งทำให้ไม่อยากจะลืมขึ้นสักเท่าไร มือเรียวยกขึ้นบังแสงที่สาดเข้ามาเล็กน้อย
....ที่ไหนเนี่ย...
พอคิดจะนึกทวนความทรงจำสุดท้ายจากเมื่อคืนก็รู้สึกปวดสะเทือนเหมือนโดนค้อนเคาะไปทั่วทั้งกะโหลก เท่าที่จำได้คือเขาไปกินเหล้ากับปิ๊กหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูจะเลือนรางเสียเหลือเกิน ไปด้านหนึงเห็นโต๊ะทำงานที่ดูไม่คุ้นตา เพดานห้องสีขาวซีดและที่ปลายเตียงเห็นโมเดลจำลองวางอยู่นั่นพอทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากนั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับยุทธ์แต่จำเวลา หรือหัวข้อสนทนาหลังจากนั้นไม่ได้มากนัก รู้เพียงแค่ว่าคงจะดื่มไปเยอะเอาเรื่อง
“โอย.....” เด็กหนุ่มโอดครวญพลางยกแขนขึ้นจะกุมขมับของตนเองแต่แขนอีกข้างกลับขยับไม่ได้ ความรู้สึกนั้นหนักคล้ายโดนอะไรทับจนเมื่อหันไปมองก็พบใบหน้าของเจ้าของห้องนอนฟุบอยู่กับแขนของเขา
“พี่ยุทธ์?....” เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นมามองสภาพของตัวเองและอีกฝ่ายเล็กน้อย
พระเอกร่างเล็กประจำชมรมนอนพาดทั้งแขนและขาอยู่บนตัวของเขา ใช้แขนของเขาแทบจะต่างหมอน มิหนำซ้ำยังดูท่าว่าจะหลับสนิทจนทำให้คิดว่าคงไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงนี่โดยง่าย เด็กหนุ่มจำใจเอนศีรษะลงนอนกับหมอนอีกครั้ง ปลายนิ้วข้างที่ยุทธ์นอนทับแม้จะรู้สึกชาไปบ้างแต่ก็ยังพอขยับได้ เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วกับเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ เส้นผมสีอ่อนนุ่มมือที่ชอบลูบเล่นทุกครั้งทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
“พี่ยุทธ์.....มานอนแบบนี้แม่พี่เปิดประตูมาเจอจะทำยังไงเนี่ย....” เด็กหนุ่มว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นึกขำเสียงตัวเองที่แหบพร่าเสียเหลือเกิน รู้สึกคอแห้งหิวน้ำอย่างบอกไม่ถูก
“ก็บอกไปสิว่าได้กันแล้ว...แกก็ต้องรับผิดชอบแต่งงานเข้าบ้านพี่มาเป็นสะใภ้ที่บ้าน” เสียงของยุทธ์ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับเข้าหาจนแน่น
“มานอนซบผมขนาดนี้ยังจะให้ผมเป็นสะใภ้อีกเหรอ....” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ปลายนิ้วยังไล้เล่นบนผมของอีกฝ่าย
“ตำแหน่งนี้ล่ะเหมาะสุดแล้ว” จูนได้ยินอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับร่างของเจ้าของห้องที่ขยับพลิกตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างของตัวเอง เส้นผมสีอ่อนของยุทธ์เป็นประกายกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ชายหนุ่มตรงหน้าดูอิดโรยแต่กระนั้นก็ยังดูดี เสื้อยืดสีอ่อนที่อีกฝ่ายใส่นั้นสะท้อนกับแดดจนดวงตาที่ยังพร่าจากการเพิ่งตื่นนอนยิ่งพร่ามัวเข้าไปใหญ่
“ฮ่ะๆ ไม่เอาน่าพี่ยุทธ์....” ด้วยยังรู้สึกมึนงงอยู่มากจนจูนหมดความพยายามจะขยับออกจากพื้นที่ใต้การควบคุมของอีกฝ่าย
“เอาน่า...เมื่อวานก็มากวนจนดึก วันนี้ไถ่โทษด้วยการอยู่กับพี่ทั้งวันเลยก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่ายุทธ์ชิงก้มลงมาขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายเสียฟอดใหญ่
“พี่ยุทธ์!” ถึงจะอยากขยับหนีแต่ก็ทำไม่ได้และถึงจะอยากโวยวายแต่ก็ไม่สามารถจะต่อว่าอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน ยิ่งเห็นดวงตากลมเป็นประกายที่มองกลับมาแบบนั้นก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
“นี่ แค่มัดจำไว้ก่อนนะ ... ไป...ลุกไปอาบน้ำ เสื้ออยู่ในตู้เสื้อผ้า เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน วันนี้แม่พี่น่าจะอยู่บ้านคงทำอะไรแก้แฮงค์ให้แกกินได้แน่ล่ะ”
........................................................
อีกด้าน
ยามเช้าในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กลางเมืองดูวังเวงมากกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เมื่อเคนเปิดประตูลงจากรถเอสยูวีคันใหญ่ของพ่อสุชาติ ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่สัมผัสได้ถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงในเช้าของวันแข่งขัน ก่อนหน้านี้เคยแต่ใช้เวลากว่าสิบสองสัปดาห์เพื่อที่จะฟิตซ้อมร่างกายให้ได้ก่อนขึ้นชกแต่ในครั้งนี้เขามีเวลาเพียงแค่แทบไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่เคย มันน่าหวาดหวั่น แต่เมื่อมาถึงวันนี้ได้ก็แต่ต้องเดินหน้าเพียงเท่านั้น
“เป็นไรพี่เคน มาถอนหายใจเฮ้อๆ แบบนี้ มันจะไม่ดีเอานา” ศักดิ์เดินมาตบไหล่หนาของเคนดังอึกจนเจ้าตัวสะดุ้ง เมื่อปรับสายตาก้มลงเล็กน้อยก็เห็นชายร่างเล็กยืนยิ้มจนเห็นฝันขาว
“ไม่มีไรหรอก พี่ศักดิ์ผมโอเค แค่มันตื่นเต้นน่ะ นานๆจะได้ต่อยเวทีใหญ่ๆ ถึงจะไม่ใช่คู่เด่นอะไร แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี ผมไม่เคยต่อยกับฝรั่งด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรน่าพี่เคน พี่เคนเองก็ตัวสูง ขาก็ยาว ไอ้ฝรั่งพวกนี้มันใช้เข่าใช้ขาไม่เป็นเท่าไร มันลุยเข้ามานะพี่ก็ยันหน้าแม่งเลย ยันมันออกไปก่อนค่อยตัดกลางมันอีกที...ถ้าไม่พอให้สองทีเลยเอา” ศักดิ์ยังคงพยายามที่จะให้กำลังใจ แม้ลึกๆแล้วนักมวยและพี่เลี้ยงที่เจนเวทีอย่างเขาจะรู้ดีว่ากับการเตรียมตัวเพียงเท่านี้โอกาสเป็นไปได้ที่จะชนะน็อคจะลดไปกว่าครึ่งแล้วก็ตาม
“ก็หวังว่างั้นนะพี่... “ เคนหัวเราะออกมาเบาๆ พลางดึงเสื้อวอร์มที่ผูกเอวอยู่ขึ้นมาใส่ เสื้อวอร์มสีดำตัวที่เขาชอบใส่เป็นประจำ เสื้อตัวเดียวกันกับที่เคยห่มให้จูนบนรถตอนเดินทางไปที่หัวหิน ตัวเดียวกับที่อีกฝ่ายหยิบไปใส่และปฏิเสธที่จะถอดมันออก มันเป็นเสื้อที่ทำให้เขารู้สึกเล็กๆในใจว่าพอจะมีความหวัง วันนี้ก็เช่นกันเขาเองก็อยากจะมีความหวังให้อีกฝ่ายมาตามที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้านั้น
....อยากให้แกมานะจูน...
....มาเถอะ ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงก็ตาม...
“เคน! มึงจะยืนอ้อยอิ่งอะไรอีก ตามกูมาเร็วๆ เดี๋ยวจะพาไปไหว้ผู้ใหญ่ที่เขาช่วยเรางานนี้” เสียงนายสุชาติดังแทบจะลั่นลานจอดรถดึงสติของเคนให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนรูดซิปเสื้อวอร์ม ขึ้นปิดมิดถึงคอ มือแกร่งคว้ากระเป๋าอุปกรณ์สะพายขึ้นหลังแล้วเดินตามพ่อของเขาเข้าไปด้านใน
..........................................
“น้ำส้มคั้นฝีมืออาเป็นยังไงบ้าง จูน พอกินได้ไหมลูก” เสียงของกรองแก้วแม่ของยุทธ์เอ่ยขึ้น กรองแก้วเป็นหญิงเชื้อสายจีนร่างเล็ก ผมหยักศกตัดสั้นดูกระฉับกระเฉง หญิงวัยกลางคนยิ้ใหวานพลางนั่งลงตรงหัวโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ที่ดูไม่สมนักกับการที่ที่บ้านนี้มีสมาชิกเพียงสามคนกับคนงานในบ้านอีกหนึ่ง
“อร่อยครับคุณอา ขอบคุณคุณอามากเลยนะครับ แล้วก็ต้องขอโทษคุณอาด้วยที่ผมมารบกวนเช้าวันเสาร์แบบนี้” เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ เพราะอีกฝ่ายดูจะตกใจไม่น้อยตอนเห็นเขากับยุทธ์เดินลงมากินข้าวพร้อมกัน
“พูดอะไรแบบนั้นอีกแล้ว คนกันเองแท้ๆ” กรองแก้วหัวเราะน้อยๆ “แล้วเมื่อคืนนอนสบายไหม นี่ตายุทธ์ไปแกล้งอะไรหรือเปล่าถึงขั้นกลับหอกลับห้องกันไม่ไหวเนี่ย”
“เปล่าครับ....พี่ยุทธ์ไม่ได้ทำอะไรเลย ผม...ดื่มไม่ระวังตัวเองมากกว่า เลยต้องเดือดร้อนพี่เขาด้วย”จูนตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รสชาติของน้ำส้มหวานอมเปรี้ยวนีทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นเยอะ
“อ่ะ...คราวหน้าคราวหลังก็ดื่มแบบตั้งสติหน่อยละกัน เพื่อนเราก็มีแต่ผู้หญิงเขาแบกกลับไม่ไหวหรอกนะเว้ย” ยุทธ์ทำทีเป็นตบบ่าของอีกฝ่ายกลบเกลื่อน ความรู้สึกเจ็บสะท้อนในอกกับคำที่จูนพูดว่า เขาไม่ได้ทำอะไรจูนเลย
....นั่นเป็นเพราะแกเมาไม่รู้เรื่องต่างหาก.....
“ครับพี่...ขอโทษครับ” จูนรับคำเบาๆก่อนจะสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆก็มีข้าวต้มร้อนๆ วางเสริฟลงมาเมื่อหันไปมองก็เห็นหน้าสาวใช้ชาวพม่าที่ทาหน้าเสียขาวไปหมดยืนยื้มอยู่ไม่ห่าง “อุ่ย....” เด็กหนุ่มอุทานออกมาเบาๆ
“อ้าว ทำไมไปยื่นหน้าเสียใกล้ล่ะ น้องเขาตกใจหมดแล้วนั่น แล้วข้าวต้มนะแม่คุณ จะวางก็ระวังหน่อยสิ อย่าลืมไปยกของยุทธ์มาด้วยนะ” เสียงคุณกรองแก้วเอ็ดสาวใช้ อีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้าไม่มั่นใจนักว่าจับใจความครบถ้วนดีหรือเปล่าแต่ก็รีบเดินกลับเข้าไปที่ครัวหลังบ้านทันที
“อย่าตกใจนะ จูน ยัยนี่ก็แบบนี้ ชอบจริงเพื่อนของยุทธ์แต่ละคนเนี่ย”
“ฮ่ะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ข้าวต้มคุณอาทำเองเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ฝีมือแม่พี่ทำเองล่ะ...กินเลยสิเดี๋ยวจะเย็น...”ยุทธ์เอ่ยอย่างภูมิใจก่อนจะหันไปมองหน้าของผู้เป็นแม่
.”ว่าแต่วันนี้แม่ไม่ไปไหนเหรอ”
“นี่เดี๋ยวจะไปตลาดแล้วก็ว่าจะไปทำผมสักหน่อย”
“ถ้าทำผมนี่ไม่หน่อยล่ะมั้งแม่ ไปทีก็นานเลย...”ยุทธ์หัวเราะ
“เออน่า....ว่าแต่จูนล่ะลูก วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ” คำถามนั้นตรงเข้ามาที่ใจ เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าสายมากแล้ว สายพอที่ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองจะเปิดทำการและใครบางคนคงไปเตรียมตัวอยู่แล้วและอาจจะกำลังรอคอยเขาอยู่หรือเปล่านั้นก็ไม่อาจคาดเดาได้
“เอ่อ....ผม ...” เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าจะตอบกรองแก้วว่าอย่างไร มือข้างที่ไม่ได้ถือช้อนอยู่นั่นก็ขยับไปมาท่าทางดูสับสน
“ไม่ไปไหนหรอกแม่ วันนี้มันสัญญาแล้วว่าจะเล่นเกมกับผมทั้งวัน....ไถ่โทษที่เมาไม่รู้เรื่องเมื่อวาน” เสียงของยุทธ์เอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีชายหนุ่มร่างเล็กสรุปเองเสร็จสรรพก่อนตักข้าวต้มเข้าปากเหมือนไม่ได้รับรู้ของสายตาของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มองกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
“ผมไปสัญญากับพี่ตอนไหนนี่?”
“เมื่อคืน”
“ตอนไหนไม่เห็นจะจำได้เลย” แม้จะรู้สึกอายกรองแก้วที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอยู่ไม่น้อยแต่เขาก็จำได้เพียงแค่ลางๆจากความรู้สึกบนใบหน้าเท่านั้น มือเย็นๆของยุทธ์ที่วางลงมาบนใบหน้าของเขา
“จะจำได้ไง เมาเป็นหมา รีบๆกินเลยเร็วๆ อยากเล่นเกมส์แล้ว” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ พลางเหลือบมองนาฬิกา
..........นี่ต้องถ่วงเวลาไปอีกกี่ชั่วโมงกัน........
ชายหนุ่มคิด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สำหรับตัวของเขาเองนั้นความรู้สึกกดดันไม่ต่างกันกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ตอนนี้มันคงขึ้นอยู่ว่าใครจะเป็นคน ยอม “แพ้ใจ” ของตัวเองก่อนก็เท่านั้น
มื้อสายจบลงพร้อมกับกรองแก้วที่หิ้วกระเป๋าใบสวยออกไปทำผมพร้อมทั้งจูงมือสาวใช้ชาวพม่าให้ติดสอยห้อยตามไปร้านทำผมด้วยกันโดยมีเด็กหนุ่มทั้งสองคนยืนส่งที่หน้าบ้าน ประตูรั้วหน้าบ้านค่อยเลื่อนปิดเมื่อรถสีบลอนด์เงินคันเก่งของ
“คุณนายปั๊มน้ำมัน” แล่นออกไปนอกบ้าน
“เอาไง....” ยุทธ์หันมามองหน้าของจูนเมื่อประตูอัตโนมัติหน้าบ้านปิดลง
“พี่...จะเล่นเกมส์ไม่ใช่เหรอ....ว่าไงก็ว่าตามกันสิ” จูนยิ้ม หากแต่ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย
“เอางั้นนะ เดี๋ยวแกไปเปิดทีวีข้างล่างรอเลย พี่ขึ้นไปเอาเกมส์ลงมาต่อก่อน จอข้างล่างคงเล่นสนุกกว่า...”
“ครับ....อ้อ...พี่ยทธ์” เด็ฏหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมมือที่ยื่นมาคว้าแขน
“อะไร?”
“บ้านพี่มีเครื่องอบผ้าใช่ป่ะ ยืมใช้หน่อยได้ไหม ผมจะซักเสื้อ เหม็นแต่กลิ่นเหล้ากินบุหรี่เมื่อวาน...จะได้คืนเสื้อพีด้วย...เอามาให้ผมใส่นี่ผ้าได้ยืดหมด” ไม่วายกล่าวติดตลก ถึงเสื้อของยุทธ์โดยปกติแล้วจะเป็นเสื้อไซส์เล็กกว่าที่จูนจะใส่ แต่ตัวที่เขาเลือกให้เป็นเสื้อสำหรับใส่เล่นบาสที่ปกติก็เลือกไซส์ใหญ่กว่าตัวอยู่เสมออยูแล้ว
“ทำไม เขินรึไง ใส่เสื้อโชว์กล้ามเนี่ย...” ยุทธ์อดไม่ได้ที่จะแหย่พลางใช้นิ้วเขี่ยไหล่ขาวๆของอีกฝ่ายเบาๆ
“....ฮ่ะๆ เล่นอะไรอีกแล้ว...ใครจะไปเขินพี่ยุทธ์กันล่ะ น่ารักขนาดนี้” เด็กหนุ่มยิ้มร่า สองมือแนบลงบนแก้มของเจ้าของบ้านแล้วดึงซ้ายขวาเบาๆด้วยหมั่นไส้
“ถ้าน่ารัก...แล้วทำไมไม่รักเลยล่ะ นี่ไง แต่งเข้าบ้านพอดี” เหมือนอีกฝ่ายก็ช่างเปิดโอกาส ร่างเล็กฉวยจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้เบาๆ ไหนๆจูนก็ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย ตัวเขาจะหยอกกลับสักนิดคงไม่เป็นอะไร
“เป็นอะไรพี่ยุทธ์... กลัวผมเบี้ยวไม่เล่นเกมด้วยหรือไง” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ได้กลัวแกเบี้ยวเรื่องเกม ...พี่กลัวเจ้าสาวของพี่จะเบี้ยวต่างหาก” ยุทธ์หันมายิ้มให้เสียจนเห็นฟันแทบทุกซี่ ท่าทางแบบนั้นทำให้จูนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“เอาจริงเหรอเนี่ย...ครับๆ ไม่เบี้ยวหรอก วันนี้ผมจะอยู่เล่นเกมกับพี่เอง” ไม่พูดเปล่ายกมือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายขึ้นมาตบข้างแก้มของยุทธ์เบาๆ
“ไม่งอแงนะครับ เด็กดีๆ” แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อยุทธ์เอียงหน้ามาทางด้านข้างเล็กน้อยจนริมฝีปากสัมผัสกับฝ่ามือของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมที่มองกลับมาเป็นประกายที่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจในความหมาย
“ได้....จะเป็นเด็กดีก็ได้ถ้าแกยอมทำตามที่พี่พูดทุกอย่างนะ”
“....ค...ครับ” แม้ไม่เข้าใจความหมายคำว่า “ทุกอย่าง” นั้นหมายถึงอะไรแต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับคำน้อยๆ
“ดีมาก” ยุทธ์ยิ้มกว้างพลางขยี้ผมของเด็กหนุ่มเสียจนยุ่งไปหมด “เดี่ยวพี่ไปเอาเกมลงมาละกัน แกไปเปิดทีวีในห้องนั่งเล่นโน่นไป” รุ่นพี่ร่างเล็กว่าพลางดันไหล่ของอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปในบ้าน
ความรู้สึกอิ่มเอมทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างล่องลอยอยู่ในท้อง ยุทธ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน หยิบเกมสายไฟและอุปกรณ์จำเป็นอีกสองสามอย่างลงมา เมื่อลงมาถึงห้องรับแขกที่ตั้งโทรทัศน์หน้าจอใหญ่โตพร้อมสรรพด้วยเครื่องเสียงด้วยทั้งเขาและพ่อต่างก็ชอบดูหนังฟังเพลงด้วยกันทั้งคู่จึงทุ่มทุนกันไม่อั้นในการทำให้ห้องรับแขกกลายเป็นโรงหนังขนาดย่อมในบางวัน เห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าทีวี ได้ยินเสียงบ่นอย่างหงุดหงิดเบาๆที่ดูจะหาทางเปิดช่องสัญญาณให้พร้อมต่อเข้ากลับเครื่องเกมไม่ได้ เห็นท่าทางก้มๆเงยๆ จะหาที่กดอยู่อย่างหัวเสียแบบนั้นจากทีแรกที่คิดจะยืนดูให้เพลินตาไปก่อนก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปช่วย
“อะไรจะโลว์เทคขนาดนั้น จูน...”ยุทธ์ส่ายหน้าเบาๆก่อนวางเกมลงบนโต๊ะ เดินไปจะคว้ารีโมทมาเปลี่ยนช่องสัญญาณ
“ให้ผมทำเองน่า....” แต่เด็กหนุ่มยังดื้อยื้อยุดรีโมททีวีเอาไว้เช่นนั้น
ทันใดภาพบนหน้าจอทีวีก็เปลี่ยนไป เสียงโฆษณาของช่องโทรทัศน์ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงดนตรีประกอบเร้าใจ
“King of Rings!!...รายการการต่อสู้ศิลปะป้องกันตัวรายการใหญ่จากมาเลเซียที่ยกขบวนนักสู้กันมาหมด ทั้งมาเลย์เซีย ฝรั่งเศส อเมริกา และไทย จะมาประลองความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจ กันในวันนี้ ถ่ายทอดให้ชมกันสดๆจากฮอลล์XXX ห้างสรรพสินค้า XXXX เวลา 15:00 น. เป็นต้นไป แฟนๆกีฬาห้ามพลาด!!”
ยุทธ์ไม่รู้สึกถึงแรงยื้อยุดเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งลง ณ ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ช่วงวินาทีเดียวกับที่เขาเห็นดวงตารีเรียวของอีกฝ่ายหม่นแสงแต่กระนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง จูนไม่ต่อล้อต่อเถียงเพียงแค่ปล่อยมือจากรีโมทและนั่งลงตรงหน้าโซฟา จัดเครื่องเกมทำทีเป็นเลือกสิ่งที่อยากจะเล่นขึ้นมา ภาพนั้นทำให้ยุทธ์ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ
(อ่านต่อ 2/2 )
-
แพ้ ยกที่ 1 (2/2 )
“เป็นอะไร?” แม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไปนั้นเป็นอย่างไร
“ไม่มีอะไรนี่ครับ....เราจะเล่นอะไรกันดีล่ะพี่....” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อันนี้ดีไหม ท่าจะมันนะ” จูนเลือกเกมขึ้นมาเล่นหนึ่งแผ่น เป็นเกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของหารพวกเขาต้องทำภารกิจเพื่อที่จะให้ผ่านไปได้ในแต่ละฉาก เสียงประกอบฉากนั้นดังกระหึ่มจากลำโพงทั้งสองด้าน ทั้งสองคนเล่นกันอย่างสนุก แต่สำหรับคนที่นั่งข้างๆยุทธ์ก็ไม่ได้เรียกว่าสนุกจนลืมเวลา ในเมื่อยุทธ์ยังเห็นว่าเด็กหนุ่มยังเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ที่ข้างฝาเป็นพักๆ
“เบื่อแล้ว...” อยู่ๆยุทธ์ก็โยนคอนโทรลเลอร์ที่ใช้บังคับเกมลงข้างตัว
“อ่ะ...อ้าว ไหงเบื่อซะแล้วล่ะ....” จูนเอ่ยถามกลั้วเสียงหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กของอีกฝ่ายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดขากับพื้นโดยมีโซฟาเป็นหลักพิง
“พักยกก่อน ...เดี๋ยวมานะ ไปฉี่” พูดเสร็จร่างเล็กขยับตัวคล่องแคล่ว ปีนกระโดดข้ามโซฟาไปแทนการเดิน
“งั้น... เดี๋ยวผมไปดูผ้าด้วย....” เด็กหนุ่มว่าพลางเดินตามอีกฝ่ายไปที่หลังบ้าน
“อืม... ไปถูกนะ” ยุทธ์หันมาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะเดินไปที่หลังบ้าน
“พี่ให้ผมมาบ้านพี่กี่รอบแล้ว แค่นี้เอง..... “ เด็กหนุ่มยิ้ม “ถ้าผ้าเสร็จแล้วจะได้เปลี่ยนเลยไง”
“อืม....” ยุทธ์รับคำเบาๆพลางเดินไปอีกทาง...
คำพูดที่ว่าจะหายไปเพียงครู่หนึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามว่า ยุทธ์เดินเลยไปถึงห้องครัว ถึงไม่ได้ถามว่าอีกฝ่ายหิวหรือเปล่า แต่ก็เปิดตู้หยิบเอาป๊อบคอร์นสำเร็จรูปไปใส่ไมโครเวฟเพียงไม่กี่นาทีก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเครื่องดื่มอีกสองแก้ว แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อเห็นใครบางคนนั่งเหม่อมองไปยังนาฬิกาที่อยู่ที่ข้างฝา
เด็กหนุ่มผมสีอ่อนนั่งเหม่อมองอยู่บนโซฟากว้าง เสื้อผ้าก็ยังใส่ชุดเดิมที่เขาให้ยืมแสดงว่าเสื้ออาจจะยังอบไม่เสร็จ สองแขนวางลงข้างตัวเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วที่จะยกขึ้นมา ดวงตาที่ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เหมือนทุกทีดูทรมานอย่างบอกไม่ถูกยิ่งเห็นริมฝีปากได้รูปนั่นถูกเม้มจนแดงยิ่งทำให้ใจของเจ้าของบ้านยิ่งรู้สึกเจ็บ และก็ดูเหมือนว่าจูนจะไม่ได้ทันสังเกตการมาถึงของเขาเสียด้วยซ้ำ
“...จูน.... “ ยุทธ์ลองเอ่ยเรียก แต่อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะหัน ยุทธ์ค่อยวางถาดที่เขาถือมาลงกับโต๊ะ
“จูน... “ เขาลองอีกครั้งแต่ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
“จูน!!” ในคราวนี้เขาก้าวเข้าไปดึงไหล่ของอีกฝ่ายให้หันมาอย่างแรง
“....พี่ยุทธ์....” ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตกใจ โทรศัพท์มือถือในมือหล่นลงกับพื้นยุทธ์มองตามไปเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังดูหน้าโปรไฟล์บนสังคมออนไลน์ของคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ ที่นี่ กับพวกเขา
....เคน.....
“อยากไปหามันเหรอ...” ยุทธ์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังจะ “แพ้” แพ้ให้กับหัวใจของตัวเองที่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพยายามปฏิเสธสักกี่ครั้งแต่ในท้ายที่สุดอารมณ์ความรู้สึกที่เรียกว่า ความรัก นั้นก็ดูจะชนะทุกอย่างแม้แต่กำแพงหนาในใจของจูนเอง
“อ่ะ...คือผม.... ไม่.....” เด็กหนุ่มอึกอัก อยากจะปฏิเสธแต่ใจก็ทำไม่ได้ ทั้งมือของอีกฝ่ายบนไหล่ก็ยึดไว้จนรู้สึกเจ็บ
“พี่ถามว่าแกอยากไปหามันใช่ไหม” น้ำเสียงที่ดังออกมานั้นคล้ายจะอ้อนวอนเสียงมากกว่าเป็นการเค้นหาความจริง
....อย่าตอบว่า “ใช่” ....
“...................” เด็กหนุ่มเม้มปากลงเล็กน้อย ก่อนดวงตารีเรียวสีเข้มนั้นจะสบกลับมา
“ถ้าผมตอบว่าใช่.....แล้วพี่จะให้ตั๋วผมหรือเปล่า?”ในน้ำเสียงนั้นสั่นไหวหากแต่ฟังดูจริงจังไม่น้อย
“ ตั๋ว?.....ตั๋วอะไร? “ ยุทธ์ขมวดคิ้วเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร
“ตั๋วที่จะไปดูพี่เคนไง ถ้าไม่มีตั๋วก็เข้าไปข้างในไม่ได้” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางก้มลงเก็บมือถือของตัวเองขึ้นมา
ภาพที่ถูกอัพโหลดขึ้นบนสังคมออนไลน์ คือภาพถ่ายขาวดำของห้องที่ดูคล้ายกับห้องพักสำหรับนักกีฬา ด้านล่างมีข้อความสั้นๆเขียนเอาไว้ว่า
...รออยู่.....
จูนต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยมองอีกฝ่ายในฐานะนักกีฬามาก่อน เคนก็คือเคน คือรุ่นพี่บ้าๆคนหนึ่ง แต่น่าแปลกเหลือเกินที่ภาพๆหนึ่งกับคำๆหนึ่งกำลังบอกเขาว่าอีกฝ่ายคงกำลังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นมันอดทำให้คิดไม่ได้ว่า ตอนนี้จะมีใครไปอยู่ข้างๆอีกฝ่ายแล้วหรือยังความคิดนั้นทำให้ยิ่งรู้สึกพะว้าพะวัง
...แล้ว นี่เรากำลังทำอะไรอยู่...
...นั่งอยู่ที่นี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น? ...
...นั่งอยู่ที่นี่ เหมือนระหว่างเรามันไม่เคยเกิดอะไรขึ้น...
...ทั้งๆจริงๆแล้ว มันเจ็บมากขึ้นในทุกๆนาที...
“ผมรู้ว่าพี่มีตั๋ว...พี่....โชติบอกผมแล้ว เมื่อกี้พี่เขาส่งข้อความมาถามว่าผมได้ตั๋วแล้วรึยัง” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ดวงตารีเรียวหันกลับมาสบตากับเจ้าของบ้านอีกครั้ง
“......................”
ไม่มีเสียงตอบจากยุทธ์ ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก คราวนี้เขานึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร และการกระทำเมื่อวันก่อนของยุทธ์นั้นทำไปเพื่ออะไร หัวใจของยุทธ์กำลังเต้นแรงด้วยอารมณ์ที่คละเคล้าผสมผสานกันไปมาระหว่างความเจ็บปวดและความโกรธแต่ที่แน่ๆทั้งสองความรู้สึกกำลังทำให้ในอกของเขารู้ชาไปทั่ว หัวของเขาตื้อจนคิดอะไรแทบไม่ออกรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กระตุกเบาๆด้วยอารมณ์ที่กำลังจะสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้
.....ไอ้โชติ.....มึงเล่นกันแบบนี้เลยใช่ไหม.....
“พี่จำได้แล้ว...เรื่องตั๋ว ใช่ ไอ้โชติมันเอามาให้พี่เอง...อยากได้เหรอ” น้ำเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากไปนั้นฟังดูไม่เหมือนตัวเองสักเท่าไร ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
จูนไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าลงเบาๆ
“ตามมาสิ ตั๋วอยู่บนห้อง” ชายร่างเล็กยิ้มเย็นก่อนจะค่อยเดินนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ยุทธ์พาจูนเดินกลับเข้าไปข้างในห้องนอน กระเป๋าของเขายังคงวางอยู่ที่เดิม แน่นอนว่าตั๋วใบนั้นก็อยู่ที่เดิมด้วยเช่นกัน เขาหยิบมันขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู เห็นได้ชัดในสายตาว่าจูนกำลังมองมายังตั๋วใบนี้ด้วยความหวัง
“ขอบคุณครับพี่ยุทธ์....” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาพลางยื่นมือมา หากแต่กลับเป็นยุทธ์เองที่ชักมือกลับ
“พี่ยุทธ์?” จูนมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความฉงน
“ทำตามที่พี่พูดก่อนสิ....แล้วพี่จะให้”
“พี่ยุทธ์....ผม....ผม....ผมไม่ได้จะเล่นๆนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยท่าทางร้อนใจ พลางเหลือบมองเวลาที่นาฬิกา “นี่มันก็จะบ่ายสองแล้ว....”
ยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วใจของยุทธ์ยิ่งเจ็บ อีกฝ่ายกำลังจะผิดสัญญา แล้วจะให้เขาควรรู้สึกอย่างไรแค่คิดแบบนั้นก็ทำให้ริมฝีปากเผลอหยักยิ้ม มือเรียวชูตั๋วในมือขึ้น
“...............จูบพี่สิ แล้วพี่จะให้ตั๋วแก...แล้วแกค่อยไป”
“พี่ยุทธ์?....” เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของบ้านทำให้จูนต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใจนึงก็คิดว่าคงจะหูฝาดแต่อีกใจก็รู้ดีว่าเขาได้ยินคำๆนั้นอย่างชัดเจน
“พี่พูดอะไร?......อ่ะ...เฮ้ย.....” แต่ก่อนจะได้ตั้งตัวอะไรร่างเล็กกว่าก็เดินเข้ามาผลักเขาให้ถอยไปติดกับกำแพงห้องด้านหลังพลางเท้าแขนกั้นราวกับยังไม่อยากให้เขาเดินหลบไปไหน ดวงตากลมโตที่มองมาสะท้อนแววตาที่ไม่คุ้นเคย
“วันนี้จะทำตามที่พี่พูดทุกอย่างไม่ใช่เหรอ จูบพี่สิ....แล้วพี่จะให้แกไป”
“พี่พูดอะไร....ถอยออกไปก่อน มันแปลกๆนะแบบนี้” พาลอดนึกไม่ได้ว่าวันนี้ยุทธ์ผีเข้าหรืออะไรขึ้นมาถึงได้มาพูดมาทำแบบนี้กับเขา
“ทำไมล่ะ ทีกับไอ้เคนยังจูบได้ เหมือนตอนถ่ายหนังนั่นไง ทำไมกับพี่แกจะจูบไม่ได้” น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นทั้งตัดพ้อและคาดคั้นเอาคำตอบ
“.......................” จูนพูดอะไรไม่ออก มันเหมือนคำพูดของเขาได้หายไปด้วยความตกใจ น้ำเสียงกับท่าทางของอีกฝ่ายนั้นไม่เหมือนที่คุ้นเคยปกติแล้วยุทธ์มักจะยิ้มและพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะใช้อารมณ์กับเขาแบบนี้สักครั้ง
“แต่นั่นมันเป็นบท ผมเล่นไปตามบท....เพราะนั่นเป็นจูนในเรื่อง.....แล้ว “จูน” ก็.............” เด็กหนุ่มหยุดกับคำพูดของตัวเอง เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้นที่เขาสัมผัสเคนได้โดยไม่ขัดเขิน สัมผัสไปด้วยอารมณ์ รู้สึกเพลิดเพลินไปกับทุกความนุ่มนวล และรู้สึกอิ่มเอมไปกับทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายปกระซิบบอก .
“แล้วจูนก็รักเคนมาก? จะบอกอย่างนั้นใช่ไหม? ” ยุทธ์หัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ มือของรุ่นพี่ร่างเล็กเปลี่ยนมายึดไหล่ของเด็กหนุ่ม กดลงจนสองไหล่นั้นติดกับผนังห้อง โถมน้ำหนักลงบนตัวของจูนจนอีกฝ่ายต้องเม้มปากด้วยความรู้สึกเจ็บ
“แล้วทำไม “จูน” ไม่หันมามองยุทธ์บ้างล่ะ ถ้าเป็นยุทธ์ที่คอยช่วยจูนเสมอ เป็นยุทธ์ที่จะไม่ทำให้จูนร้องไห้ แล้ว ”จูน” จะรัก “ยุทธ์” บ้างไหม”
ยุทธ์ไม่ได้ล้อเล่น ตรงกันข้ามกลับจริงจังกับสิ่งที่พูดออกมามากกว่าครั้งไหนๆ จูนแทบไม่อยากจะเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน อีกฝ่ายมองเขาแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร คงมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปในตอนนี้ แต่....มันอาจจะสายไปแล้วหรือเปล่าในตอนนี้ หัวใจบีบตัวจนเจ็บ ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นกับเขาจริงอีกฝ่ายก็คงเจ็บ แต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่รอเขาอยู่ต้องเจ็บเหมือนกัน
“ขอตั๋วให้ผมเถอะพี่ยุทธ์...” เด็กหนุ่มเหลือบมองตั๋วที่ยังอยู่ในมือของอีกฝ่าย ห่างจากใบหน้าของเขาไปอีกไม่กี่นิ้ว
“ผมต้องไป..... ”
......................................................................
การชั่งน้ำหนักเตรียมขึ้นชกนั้นไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเคนเป็นไปตามเกณฑ์แบบสบายๆเพราะคุมน้ำหนักอย่างเคร่งครัดมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่สำคัญเขาได้เห็นคู่ต่อสู้แล้ว เป็นฝรั่งตัวสูงใหญ่พอๆกันจากอเมริกาที่น่าขันคือทั้งๆที่ตาสีน้ำข้าวแบบนั้นกลับพูดภาษาไทยเสียคลองปร๋อจนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่แค่มาเรียนมวยในไทยหรือได้เมียเป็นหญิงไทยกันแน่ แถมหลังจากนั้นยังต้องถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งหลายเสร็จ คนที่ดูมีความสุขมากเห็นจะเป็นพ่อของเขาที่ยิ้มเสียแก้มปริและดันตัวเองเข้าไปออกทุกกล้องที่มี อีกไม่นานก็จะขึ้นชกและมีอยู่แค่ไม่กี่เรื่องที่ยังเป็นห่วง
“ไปพี่เคน...เดี๋ยวพี่นวดให้ เดี๋ยวจะขึ้นชกแล้ว มานวดก่อน” เสียงศักดิ์ดังขึ้นจากด้านหลัง
“นี่พี่ศักดิ์....มือถือผมล่ะ”
“มือถือก็อยู่กับพี่ไง ...”ศักดิ์ว่าพลางโชว์กระเป๋าสะพายให้อีกฝ่ายดู
“รู้แล้ว แต่ผมจะให้พี่ดูอะไร....ขอมือถือผมก่อน” ชายหนุ่มว่า ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางลำบากใจแต่ก็ยังยืนยันมือแกร่งนั่นยื่นออกไปเพื่อขอโทรศัพท์ ได้ยินศักดิ์บ่นพึมพ่ำก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้อย่างเสียไม่ได้
“นี่...พี่ศักดิ์ ผมให้พี่ดูหน้าคนนี้ไว้นะ ...”ชายหนุ่มว่าพลางเลื่อนภาพในหน้าจอโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายได้ดู
“อะไรอ่ะ พี่เคน ...รูปสาวเหรอ” แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าภาพบนหน้าจอนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสีทอง ที่จ้องกลับมายังกล้องด้วยสายตาเหมือนจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก
“ตี๋นี่ใครเนี่ย... เดี๋ยวนี้พี่เคนชอบนักร้องเกาหลีด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่นักร้อง... แต่สำคัญมาก ผมอยากให้พี่จำหน้าเขาไว้นะ....ถ้าพี่เห็นเขามานั่งตรงแถวข้างหน้าตรงที่นั่ง A38 A39 ถ้าเห็น...พี่ทำยังไงก็ได้ พาเขามาที่ข้างเวทีด้วยนะ”
“หะ? อะไรนะพี่ เดี๋ยวนะ ไอ้ตั๋วสองใบนี้ที่พ่อสุชาติเขาว่าหายไป...นี่พี่ขโมยของพ่อไปเหรอ”
“ไม่เอาน่าพี่ศักดิ์... เรื่องแค่นี้ พี่ไม่พูดพี่ไม่รู้พี่ไม่ผิด โอเค ?” เคนหรี่ตามองหน้าของอีกฝ่ายจนศักดิ์ต้องพยักหน้ารับคำ
“โอเคๆ พี่ศักดิ์ไม่พูด แค่จำหน้าไอ้หนูนี่ไว้ก็โอเคใช่ไหม” ชายร่างเล็กกว่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางหันกลับไปมองหน้าของเด็กหนุ่มในโทรศัพท์อีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ว่าแต่พี่มีอะไรเหรอ? ไอ้หนุ่มเนี่ย .... “
“เขาชื่อจูน...เอาเป็นว่าถ้าพี่เห็นเขาไปพาเขามาให้ได้ก็พอ” หนุ่มนักมวยว่าพลางก้มลงมองภาพบนหน้าจอมือถือในใจตอนนี้ได้แต่ภาวนา เขาต้องเก็บมือถือนี่ไปให้พ้นตาได้แล้ว เขาฝากความหวังที่เหลือไว้กับศักดิ์และที่ตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ต่อจากวินาทีนี้ เขาจะคิดเพียงแค่เรื่องที่กำลังจะเกิดบนเวทีนั่นเท่านั้น
...พี่ไม่ขออะไรอื่น....
....ขอแค่แกมาก็พอ จูน....
..................................................to be con
-
กรี๊ดดดดด
พี่ยุทธ์แรงค่าาา รุกแรงมากค่ะ ไปให้ทันนะคะน้องจูน :ling1:
พี่ยุทธ์กล้าขอจูบน้องแบบนี้ได้ไง มันเก็บไว้ให้พี่เคนคนเดียวเว้ยยยยย
-
เจองานหนักแล้วจูนเอ๊ย
-
### talk ###
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ
ตอนนี้ แต่งยากมาก ยอมรับว่าไม่รู้จริง
เพียงแค่ชอบเท่านั้น ผิดพลาดประการใดขออภัย
ตอนนี้อัพแค่ 40% ของตอนก่อนนะคะ
Chapter 42 : แพ้ ยกที่ 2 up 40%
ผู้คนมากมายแห่แหนมารวมตัวกันเพื่อเกมการแข่งขันใหญ่ที่นานๆจะมีจัดขึ้นเสียที ยิ่งมีข่าวว่าจะถ่ายทอดไปยังโทรทัศน์ทั่วประเทศและแถมไปยังต่างประเทศด้วยแบบนี้หลายคนก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสบรรยากาศกัน ถึงแม้จะมีการประกาศเรื่องราคาตั๋วแล้วว่าเป็นตั๋วที่ไม่จัดว่าถูกออกไปก็ตาม
เด็กหนุ่มผมทองยืนกระหืดกระหอบอยู่ที่หน้าฮอลล์ที่ใช้จัดการแข่ง เขาวิ่งมาตั้งแต่ลงจากรถประจำทาง หัวใจของเขาเต้นรัวและหายใจไม่เป็นจังหวะ ทุกอย่างเร่งเร้ามากขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศโดยรอบ เด็กหนุ่มค่อยๆดึงกระดาษใบน้อยออกมาจากกระเป๋า ดวงตารีเรียวมองไปเห็นแล้วว่ามีการตรวจตั๋วซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตั๋วใบนี้จะใช้การได้หรือไม่ แต่ถ้ามันเป็นตั๋วที่มาจากเคน เขาก็คงต้องลองเสี่ยงดูสักครั้งเพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจจจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดเป็นแน่
....พี่จะไม่ลงจากเวที จนกว่าแกจะมา...
คำมั่นที่เคนเอ่ยเอาไว้ยิ่งทำให้หวาดหวั่น เขารู้ว่าเคนบ้าดีเดือดแค่ไหนเมื่อพูดถึงเรื่องของการวัดใจเพราะชายหนุ่มเที่ยวรับคำท้าวัดใจคนนั้นคนนี้ไปทั่วมหาลัยทั้งเรื่องกีฬา เรื่องไร้สาระ แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นการวัดใจที่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่ายแบบนี้ ...มันไม่ใช่เกมที่น่าเล่นเอาเสียเลย
“กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้อง...ตอนนี้เรากำลังนับถอยหลังเข้าสู่เวลาที่ทุกท่านรอคอยนะคครับ กำหนดการในวันนี้ของเรา คู่แรกจะเป็นการชกมวยไทย น้ำหนัก 73 กิโลกรัม ระหว่างนักชกจากไทยของเราครับ เคน อุดรพยัคฆ์ จากค่ายมวยอุดรพยัคฆ์ กับ ดีมิทรี ฟาลคอน ไอ้เหยี่ยวพิฆาตจากอเมริกา คู่แรกนีก็ดูท่าจะสนุกแล้วครับเพราะเป็นมวยใหญ่กันทั้งคู่ อีกสักครู่เตรียมชมกันได้เลยครับท่านผู้ชม....”
เสียงประกาศจากโฆษกดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากคนด้านในได้ไม่น้อย ยิ่งทำให้คนที่เพิ่งมาถึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปถามพนักงานที่ยืนตรวจดูตั๋วอยู่ที่ด้านหน้า
“พี่...ผมได้ตั๋วนี่มา....มันนั่งกันตรงไหนเหรอ” จูนว่าพลางส่งกระดาษให้กับอีกฝ่าย
“อะโห...ตั๋ววีไอพี...น้องไปเอามาจากไหนนี่ พ่อให้มาเรอะ” คนตรวจตั๋วว่าไม่ลืมที่จะอ่านตรวจสอบตั๋วอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ฮ่ะๆ แนวๆนั้นน่ะ พ่อเขาเข้าไปแล้ว พอดีผมมาช้า “ จูนหัวเราะแห้งพลางทำทีเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายพูดออกมา พนักงานบอก
ทางให้เด็กหนุ่มเสร็จสรรพก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านใน
ทันใดไฟในฮอลล์ก็หรี่แสงลงเรียกเสียงโห่ร้องจากผู้ชมที่มาเฝ้ารอการแข่งขันอยู่ ทำเอาเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาจนถึงแถวที่นั่งต้องหยุดนิ่ง สองขาไม่กล้าขยับต่อหัวใจในอกเต้นระรัวเข้ากับจังหวะของอินโทรเพลงที่ดังขึ้นและไฟสปอร์ตไลท์ที่สว่างวาบขึ้นที่ด้านบนของเวที
“ขอต้อนรับเข้าสู่การแข่งขัน King of Rings สนับสนุนโดย บริษัท XXX คู่แรกเป็นการชกกันระหว่างนักมวยไทยของเรากับนักมวยจากประเทศอเมริกา ในพิกัด 73 กิโลกรัม เราไปพบกับนักชกคนแรกของเรากันเลยครับ กับนักมวยจากดินแดนแห่งเสรีภาพ ไอ้เหยี่ยวพิฆาตจากอเมริกา....ดีมิทรี ฟาลคอนนนน!!!!! “
เสียงผู้ประกาศร่างสูงที่เคยเป็นนักร้องออกผลงานที่ผันตัวมาสนใจในวงการหมัดมวยดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากผู้คนได้ไม่น้อย ก่อนที่สปอร์ตไลท์บนเวทีจะดับลงแล้ว ฉายแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งที่สุดปลายทางเดินที่อยู่ห่างออกไป เมื่อปรับสายตาจนชินแล้วจึงเห็นนักมวยร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบค่อยย่างเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ท่าทางยกมือไหว้รอบทิศพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมั่นใจของฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย ไหนเลยจะรอยสักที่ฝากเอาไว้เต็มแผ่นหลังล้วนแล้วแต่เป็นลายสักยันต์กันภัยแบบไทยด้วยกันทั้งนั้นเพียงแค่ดูก็พอรู้ได้ว่า เจ้าเหยี่ยวพิฆาตคนนี้คงคร่ำหวอดในวงการหมัดมวยเมืองไทยมาไม่น้อย
....กับฝรั่งตัวใหญ่แบบนั้นเนี่ยนะ....
จูนกลืนน้ำลายลงคอ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งมือหนึ่งเผลอเอื้อมไปจับพนักเก้าอี้ของคนที่นั่งอยู่ เมื่อรู้สึกตัวเขาจึงก้มลงไปหมายจะขอโทษแล้วขอทางเข้าไปนั่งด้านใน
“ขอโทษคร....ครับ........” ท้ายเสียงขาดหายเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นที่นั่งที่ยังว่างอยู่ของตัวเอง แต่เขาคงไม่ตกใจขนาดนี้หากแสงที่สาดมาไม่ไปกระทบลงตรงพื้นที่ตรงนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นมาใครที่นั่งอยู่ข้างๆที่นั่งที่ควรจะเป็นที่นั่งของเขาที่นั่งที่ A39 ณ ที่นั้นมีหญิงสาวร่างเล็กเจ้าของผมดำสลวยนั่งอยู่ ใบหน้าดูคมคายประกอบกับผิวสีน้ำผึ้งและดวงตากลมโตยิ่งทำให้เธอดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นในเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อนท่ามกลางรอบข้างที่มีแต่ชายสูงวัยใส่ชุดสูทมานั่งเป็นเกียรติอยู่ในงานแบบนี้
“พี่.....นิด.......” เด็กหนุ่มอุทานออกมาเบาๆ นิดมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? เขาอดที่จะถามตัวเองไม่ได้ และคำถามนั้นยิ่งทำให้เขาไม่กล้าขยับไปไหนจนทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังส่งเสียงออกมา
“เฮ้ย ไอ้หนู จะไปนั่งก็นั่งสิวะ ยืนบังอยู่ได้จะดูมวยเว้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้จูนต้องรีบค้อมตัวลง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปนั่งเขายังเก้ๆกังๆด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดีในหัวดูเหมือนจะขาวโพลน
“ไอ้หนู! มานี่กับพี่หน่อย” พลันเสียงแหบๆก็ดังขึ้นพร้อมกับมือผอมเกร็งแต่มีแรงบีบมหาศาลก็กระชับเข้าที่ข้อแขน เด็กหนุ่มสะดุ้งพลันหันไปมอง
“อะ...อะไรครับ.....” หันไปเห็นชายหน้าตาเป็นคนอีสานผิวคล้ำร่างผอมเล็กยืนยิ้มอยู่หากแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากแขนของเขา
“พี่...อะไรครับพี่ ผม...ไม่รู้จักพี่นะ” เด็กหนุ่มพยายามจะดึงของอีกฝ่ายออกด้วยความตกใจ พลางนึกไปว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือยืนบังจนอีกฝ่ายรำคาญหรือเปล่า
“เออน่า ไม่ต้องรู้จักพี่ก็ได้ แต่ถ้าพี่ไม่พาแกไปตอนนี้นะ พี่เคนแม่งแหกอกพี่ตายคามุมแน่....เอ้านี่ ป้าย
สต๊าฟของค่ายคล้องไว้แล้วมานี่ พี่เคนจะขึ้นเวทีแล้วพ่อสุชาติไม่เห็นพี่ล่ะก็ได้กระทืบพี่ตายคาตีนแน่”
ไม่พูดพล่ามอธิบายอะไรให้มากความชายร่างเล็กกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาเดินผ่านเก้าอี้แถวหน้าระดับวีไอพีทั้งหลายเข้าไปจนถึงรั้วกั้นขอบเวที ชายร่างเล็กจับขอบรั้วกระโดดผ่านไปอย่างง่ายดาย
“มาเร็ว ไอ้หนู โดดมาเวลามีไม่เยอะนะเว้ย”
“อ่ะ...ครับ......” เพราะอีกฝ่ายเร่งรัดเสียแบบนั้นทำให้จูนต้องจำใจกระโดดตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรแต่ชื่อของเคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงก็ทำให้เขาจำเป็นต้องเดินตามอีกฝ่ายมาทั้งๆทที่ยังมึนงง เด็กหนุ่มถูกพามายืนหลบที่ด้านหลังมุมตรงข้ามกับที่นักมวยชาวอเมริกันคนนั้นยืนอยู่ รอบข้างมีทั้งช่างภาพและคนอื่นๆอีกมากมายจูนหันซ้ายขวาเลิกลั่กด้วยทำอะไรไม่ถูก
“โอ้โห...ผมแกนี่เด่นเป็นบ้าเลยว่ะ” ชายร่างเล็กคนนั้นว่าพลางดึงเอาหมวกแก๊ปที่เสียบไว้ที่กระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ “เอ้า ใส่ไว้ จะได้เนียนๆ เผื่อพ่อสุชาติมาจะได้ไม่เอะใจอะไรมาก”
“ครับ....แล้วผม...เอ่อ....พี่ ทำไม” จูนยังเรียบเรียงคำออกมาได้ไม่เป็นประโยค อีกฝ่ายก็โบกมือเชิงว่าให้เขาเงียบไว้ก่อน
“ชู่ว...เงียบก่อน เดี๋ยวพี่เคนจะออกมาแล้ว ยืนนิ่งๆ ก้มหน้าไว้แล้วก็นี่ถังน้ำแข็ง...ถือไว้ก็แล้วกัน” อีกฝ่ายพูดง่ายๆเมื่อโฆษกร่างสูงก้าวขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง
“และนักมวยคนต่อไป...แม้นี่จะเป็นการมาชกเวที King of Rings ครั้งแรกของเขา แต่แฟนมวยสาวๆก็อาจจะได้ขวัญใจคนใหม่กลับไป นักมวยหนุ่มหน้าหยกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุชาติ จากค่ายอุดรพยัคฆ์ เป็นเจ้าของแชมป์มวยไทยสมัครเล่นระดับภาค และเป็นเจ้าของเหรีญทองแดงมวยไทยในกีฬามหาวิทยาลัยแห่งชาติ “เคน อุดรพยัคฆ์!!!!!!”
สิ้นเสียงประกาศพร้อมกับไฟที่สุดปลายทางเดินที่สว่างวาบขึ้นทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองตามเช่นเดียวกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปพร้อมๆกัน ภาพกราฟฟิคบนจอด้านหลังสว่างวาบเป็นลวดลายฉูดฉาด ภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่คุ้นเคยหากแต่มีสีหน้าดุดันจริงจังดูแปลกตาทำให้เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ร่างสูงใหญ่ของเคนยืนอยู่ที่นั่น คิ้วคมขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ฝรั่งคู่ต่อสู้กับใบหน้าคมคายที่กล้องจับภาพฉายขึ้นบนมอนิเตอร์ขนาดใหญ่นั้นเรียกเสียงกรี้ดจากคนดูสาวน้อยสาวใหญ่ได้ไม่น้อย
........พี่เคน.........
จูนอยากจะตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปแต่ก็ทำไม่ได้ นักข่าวที่ยืนอยู่ในตอนนี้กรูเข้าไปพยายามถ่ายภาพให้ได้มากที่สุดจนเด็กหนุ่มแทบถุกผลักกระเด็นออกมาอยู่ที่แนวหลัง พลางเห็นชายร่างเล็กคนเมื่อครู่กระโจนขึ้นไปบนเวทีลดเชือกให้เคนก้าวเข้าไปด้านในทำให้รู้ว่าเกมการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า จูนเห็นร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินของเคนยกมือขึ้นพนมก้มลงไหว้ติดกับเชือกเส้นบนก่อนเดินลอดเชือกเข้าไปด้านในเวทีแล้วยกมือไหว้รอบสี่ทิศก่อนจะเดินกลับเข้ามาที่มุมเวทีตรงหน้าของจูนพอดี
“พี่ศักดิ์ที่ผมให้พี่ทำล่ะ.....” เคนสบตาพี่เลี้ยงนิ่งเมื่อเดินกลับเข้ามาที่มุมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเครียด พลางปลดเสื้อคลุมสีน้ำเงินออกจากตัว เผยให้เห็นร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมันปลาบไปด้วยน้ำมันมวยที่ศักดิ์ชโลมให้ก่อนที่จะขึ้นบนเวทีส่สวนหนึ่งเพื่อคลายกล้ามเนื้อ อีกส่วนนั้นเพื่อให้สามารถดิ้นหลุดจากการจับของคู่ต่อสู้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
“ตั้งสมาธิกับตอนนี้ดีกว่าพี่เคน...”ศักดิ์ไม่ได้ตอบเขาแค่อยากให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาพูดเท่านั้น
“............................” เคนนิ่งงัน เขามองไม่เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเพราะจูนถูกดันออกไปเพราะนักข่าวที่แทรกเข้ามาถ่ายรูปที่ด้านข้างเวที
“ไปไหว้ครูซะ เดี๋ยวพ่อจะขึ้นมาถอดมงคลให้ ตั้งสมาธินะพี่เคนอย่าวอกแวก” ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ ในจังหวะเดียวกับที่เสียงปี่มวยดังขึ้นศักดิ์ก็ก้าวถอยลงมา ปล่อยให้เคนได้ทำการไหว้ครูไปตามธรรมเนียมของการชกมวยไทย
เสียงปี่มวยดังขึ้นพร้อมจังหวะของกลองเรียกความฮึกเหิมให้กับนักมวยทั้งสองฝ่าย ทางฝรั่งตาน้ำข้าวนั้นแม้จะไม่ได้เติบโตที่เมืองไทยแต่ก็ดูจะเข้าใจธรรมเนียมดีไม่น้อย เดินใช้นวมรูดเชือกไปรอบๆเวที เคนเหลือบมองท่าทางของคู่ต่อสู้ไปพลางบริกรรมคาถาที่ได้รับการถ่ายทอดมาลงที่แต่ละมุมของเวทีด้วยใจที่นิ่งสงบ เมื่อเดินมาจนครบรอบก็เดินไปนั่งคุกเข่าก้มลงกราบพื้นเวที 3ครั้ง ในใจรำลึกถึงคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิด คุณของครูที่เคยสั่งสอนวิชามวยมาให้ก่อนยืดแขนออกไปด้านหน้ากอบพระแม่ธรณีแล้วยกมือขึ้นพนมถวายบังคม แล้วขยับเข่าขวาขึ้นตามจังหวะของดนตรีขึ้นสอดสร้อยโยกตัวไปข้างหน้าสลับกับการโล้ตัวกลับมาด้านหลัง ทั้ง 4 ทิศ ลุกขึ้นสอดสร้อยยกเท้าทรงตัวด้วยขาเดียวพลางค่อยขยับก้าวไปในทิศทางทั้งสี่
ดวงตาคมกวาดมองไปรอบๆ ในหมู่ผู้คนที่ยืนอยู่รายล้อม เขาเห็นคู่ต่อสู้ เขาเห็นพี่เลี้ยงอย่างศักดิ์ เห็นพ่อสุชาติของเขายืนอยู่ที่มุมของตนเอง....และเขาเห็น นิด นั่งอยู่ในที่นั่งไม่ห่างออกไปจากขอบเวทีเท่าไรนัก จังหวะก้าวทันใดชะงักงัน ในใจพาลนึกตั้งคำถามขึ้นมาว่าทำไมเขาถึงเห็นแค่นิด แล้วคนที่เขาอยากให้มาคนนั้นหายไปไหนกัน แต่เคนยังพยายามครองสติหันมารำท่าตัดไม้ข่มนามตรงหน้าของคู่ต่อสู้อย่างดิมิทรี ฝ่าเท้ากระแทกลงไปบนผืนผ้าใบ 3 ครั้งเพื่อข่มขวัญดวงตาคมที่มองไปนั้นเป็นประกายเอาจริง ตรงกันข้ามกับนักมวยจากต่างแดนที่ส่งรอยยิ้มท้าทายกลับมา เคนขยับถอยกลับมาที่กลางเวทีก่อนยกมือไหว้คนดูทั้งสี่ทิศแล้วเดินกลับเข้าไปที่มุมของตัวเอง
“พี่เคน!!!!”
สองหูได้ยินเสียงหวานของใครบางคนตะโกนเรียกชื่อของเขาสุดเสียง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงของนิดที่ตะโกนลั่น หากเขาก็ได้หันกลับไปมองไม่
“ขโมยตั๋วพ่อไปให้แฟน? สองใบ....กำลังใจก็น่าจะดีทำไมไปตัดไม้ข่มเขาเสียล่ะ พระรามแผลงศรที่เคยเห็นหายไปไหน” เสียงผู้เป็นพ่อที่เอ่ยเย้าแหย่ไม่ได้ทำให้เคนยิ้มเหมือนทุกที
“หน้าเครียดๆของแกมันดูไม่ได้ว่ะ ไปสอยฝรั่งให้พ่อดูหน่อยไป” คุณสุชาติหัวเราะเบาๆก่อนพนมมือขึ้น แล้วหลับตาลง เคนเองก็เช่นกันทั้งสองบริกรรมคาถาให้แคล้วคลาดปลอดภัยแล้วถอดมงคลออกจากศีรษะของนักมวยในตอนนี้เคนพร้อมที่จะสู้แล้ว คุณสุชาติเห็นท่าทีของลูกชายก็ยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินลงมาจากเวที
“ไอ้ศักดิ์...” แต่แล้วสีหน้าท่าทางของเจ้าของค่ายผู้ใจดีก็เปลี่ยนไปทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น
“ค ครับพ่อ” เหมือนรู้ตัวศักดิ์สะดุ้งเฮือกพลางขานรับเสียงแผ่ว
“ทีมงานกูมีเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไร “ ท่อนแขนใหญ่รั้งคอศักดิ์เข้ามาจนชิด ดวงตาคมของผู้สูงวัยมองไปยังเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อลายฉูดฉาดยืนเก้ๆกังๆถือถังน้ำแข็งอยู่ไม่ห่างออกไป
“อันนี้ศักดิ์ไม่รู้นะ พี่เคนเขาสั่งมา...พ่ออย่าว่าศักดิ์เลย ผมทำตามหน้าทีนะ”
“มึงนี่ก็แสนรู้อีกแล้วนะ....เอาเป็นว่าอย่าให้ไอ้หนูนี่มาเกะกะจนลูกชายข้าแพ้ก็แล้วกัน” คำสุดท้ายนั้นดังพอที่จูนจะได้ยิน เด็กหนุ่มได้แต่ยกมือไหว้น้อยๆ ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร
พลันเสียงระฆังก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกสายตาให้หันกลับไปสู่การต่อสู้บนเวที นักมวยทั้งสองยกการ์ดขึ้นสลับกับปล่อยหมัดเบาๆหยั่งเชิงกันและกัน เคนดูนิ่งแตกต่างจากปรกติที่เคยเห็นก่อนฉวยจังหวะยกขาขึ้นฟาดเข้าที่ข้อพับของอีกฝ่าย แต่ก็ถูกฝั่งดีมิทรีสวนกลับในลักษณะเดียวกัน เคนใช้จังหวะขยับหลบออกมาได้ทันทำให้อีกฝ่ายฟาดอากาศไปเสียหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มยักยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นหน้าตาเหลอหลาของอีกฝ่าย และนั่นทำให้นักมวยฝรั่งตาน้ำข้าวอารมณ์ขุ่นขึ้นมาใช่ย่อย กลับหลังยกขาขึ้นฟาดหวังจะให้โดนส่วนบน แต่เคนก็ยังขยับหลบได้ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฟิตมากขนาดนั้นจึงเลี่ยงที่จะทำการปะทะตรงๆ เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกขี้โมโห ถ้ายั่วจนสติหลุดแล้วคงเข้าทาง
แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่อีกฝ่ายกลับเดินเข้าหาชกเข้าที่กลางลำตัว ยังดีที่เคนยังกันไว้ได้ชายหนุ่มขยับถอยเปิดช่องว่างให้เตะตัดล่างแต่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านยังเดินหน้าเข้ามาหาไม่ปล่อยให้เคนได้ใช้วิธีการเดิม รัวหมัดใส่ทั้งซ้ายและขวาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัดขวาที่ส่งมาหลอกแล้วสับศอกซ้ายใส่ เคนพยายามแล้วที่จะหลบแต่เพราะระยะประชิดทำให้ถูกฟาดศอกเข้าไปเต็มๆที่เหนือตาร่างสูงเซ แต่ก็พยายามผละออกมาตั้งหลักยันอีกฝ่ายออกไป ดวงตาคมสบตาของดิมิทรีในใจคิดว่าอาจประเมินอีกฝ่ายต่ำไป หัวใจของเขาเต้นระรัว เสียงสูดหายใจดังฟืดฟาดราวกับว่าอากาศที่มีอยู่นั้นมันยังไม่เพียงพอ สองขาขยับพาเขาหลบอาวุธของอีกฝ่ายจนหลังถอยติดเข้าเชือกพอเด้งออกมาได้ก็ถูกดิมิทรีล็อคคอเข้าตีเข่าซ้ำๆทั้งๆที่เขาติดเชือก จนกรรมการต้องเข้ามาแยกออกไป
“...เหี้ย..ให้กูตั้งหลักบ้างสิโว้ย!... “
เคนสบถออกมาพลางยกแข้งขึ้นฟาดเข้ากลางลำตัวของฝ่ายตรงข้ามเมื่อถอยออกมาจนได้ระยะของตัวเอง แต่ดีมิทรีก็ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ยกทั้งหมัดทั้งแข้งสวนกลับ จนเคนต้องตัดสินใจยกเท้ายันอีกฝ่ายออกไปอีกครั้ง แล้วกระโจนโยนเข่าเข้าไปแต่ดิมิทรีก็ยกแข้งกับแขนกันเอาไว้ได้ เกมการแข่งขันเริ่มเห็นแววว่าอีกฝ่ายจะรุกเข้ามาออกแม่ไม้ใส่ได้ดีมากกว่าจนแม้แต่พี่เลี้ยงที่เฝ้ามองดูอยู่ข้างล่างอย่างศักดิ์ยังจุปากอย่างขัดใจ
“พี่เคน!! กันไว้ๆ แล้วเตะพี่ เตะเลย!!” ศักดิ์ตะโกนขึ้นไปด้วยเสียงดังจนจูนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องสะดุ้ง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าตัวเองมาทำอะไรอยุ่ที่นี่รอบกายมีแต่เสียงร้อตะโกนดูวุ่นวายไปหมด แต่ที่ดูจะดังเด่นชัดในหูคือเสียงของเนื้อและกระดูกของนักมวยที่กระแทกลงบนร่างกายของคู่ต่อสู้ ประกอบกับภาพตรงหน้ายิ่งทำให้รู้สึกปั่นป่วนไปหมดแต่กระนั้นก็ละสายตาจากรุ่นพี่ที่กำลังต่อสู้อยู่บนเวทีไม่ได้ รอบนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาไปดูเคนสอบ แววตาของร่างสูงแตกต่างจากที่เคยเห็น...มันมีความหวาดหวั่นฉายอยู่
“พี่......” เด็กหนุ่มอ้าปากขึ้นหมายจะเรียกชื่อของคนที่อยู่บนเวที
“พี่เคน!!!” พลันได้ยินเสียงหวานตะโกนมาจากอีกฟากฝั่ง ทำให้จูนต้องรีบปิดปากของตัวเอง เขาได้ยินชัดว่าเป็นเสียงของนิด หญิงสาวคนนั้นตั้งใจตะโกนเชียร์คนรักอย่างเต็มที่ แน่นอน...ในเมื่อทั้งสองเป็นคนรักกันการที่จะแสดงออกนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นตัวเขาเองล่ะ...เป็นใคร เป็นอะไรกันและเขามายืนอยู่ที่นี่ทำไม?
“เฮ้ย!!!” เสียงศักดิ์ร้องลั่นทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมาดูเกมการแข่งขันอีกครั้ง และภาพที่เห็นคือร่างสูงที่เคยยืนยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยของใครบางคนทรุดลงตรงหน้า ภาพที่เห็นไม่ต่างจากภาพที่ค่อยเคลื่อนไปอย่างช้าๆเมื่อใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเลือดไหลหยดลงมาจากหน้าผาก ผืนผ้าใบตรงนั้นถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มแทบจะในทันที
“อะ...อะไรน่ะพี่ เมื่อกี้อะไร” จูนหันไปถามศักดิ์ทันที เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมเคนถึงลงไปนั่งกองได้แบบนั้น
“แตกแล้วครับ!!! เคนอุดรพยัคฆ์ โดนศอกของดีมิทรีเข้าไป แตกแล้วครับท่านผู้ชม!!”
เสียงนักพากย์ที่ข้างเวทีร้องออกมาเรียกเสียงเฮจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย บ้างก็ได้ยินเสียงร้องโอยแทนคนที่ดูท่าจะเจ็บ
“ศอกแหลมชิบหาย ไอ้ฝรั่งบ้านี่ แม่งใครจะคิดว่ามันจะตีศอกดีขนาดนี้ ...”
“ทำไมไม่เรียกหมออ่ะ....” ทั้งๆที่เห็นว่านักมวยหน้าผากแตกเสียขนาดนั้นแต่ก็ไม่มีเสียงใครจะห้ามปรามตรงกันข้ามคนที่มาเชียร์รอบข้างกลับมีแต่เสียงเฮ เสียงปี่มวยยิ่งเร่งจังหวะเร้าให้นักมวยทั้งสองต่างเดินหน้าเข้าปะทะทั้งหมัดทั้งเข่าแลกกันพัลวันไปหมด
“ยังไม่เรียกหรอก แค่นี้เอง”
ศักดิ์พิจารณาแล้วเขารู้ว่าตอนนี้เลือดยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการชก จึงปล่อยให้ทีมแพทย์เตรียมพร้อมอยู่ก่อนการแข่งขันครั้งนี้เวลาในแต่ละยกจะสั้นกว่าปกติที่เคยต่อยกันมาก่อน มันทำให้เกมส์การแข่งขันเร้าใจมากขึ้น เพราะในแต่ละครั้งในการปะทะกันไม่ว่าจะมุ่งหวังเพียงแค่โชว์แม่ไม้เพื่อเรียกคะแนน หรือ หมายกระทำให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยความรุนแรงดุดันมากกว่าเดิม แน่นอนนั่นหมายความว่าอันตรายก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“.........”
จูนได้แต่เม้มปากแน่น เขาไม่เข้าใจเกมนี้ ทั้งๆที่เคนกำลังเจ็บแท้ๆ ทำไมทุกคนถึงทำเหมือนกับว่าเคนยังไหวได้ แค่เขาเห็นแค่นี้เขาก็แทบจะทนไม่ได้เสียแล้วด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มหันกลับไปมองการแข่งขันต่อ ใบหน้าของเคนชื้นเหงื่อและเลือดจากหน้าผากนั่นยังคงไหลไม่หยุด แต่เมื่อหันไปมองคู่ต่อสู้ก็ดูจะหมดแรงไปไม่น้อยเหมือนกัน ในตอนนั้นเองที่เคนยกขาวาดขึ้นใส่เป้าใหญ่คือลำตัวของคู่ต่อสู้เสียงเนื้อกระแทกกับกระดูกแข้งดังลั่นเวที คู่ต่อสู้เซไปทางหนึ่งเคนตั้งใจจะเข้าไปซ้ำต่อด้วยการจับมาตีเข่าแต่ระฆังหมดยกที่หนึ่งก็ดังขึ้นช่วยต่อชีวิตของดีมิทรีเอาไว้
หากเป็นปกติเคนคงเดินชูหมัดกลับเข้ามุมมาด้วยความมั่นในชัยชนะเป็นแน่ แต่ในตอนนี้เขาที่มีแผลแตกกับออกอาวุธได้ไม่ดีเท่าไรนั้นอย่าหาว่าแต่มั่นใจในเรื่องการให้คะแนนของกรรมการเลย การจะประคองตัวเองให้พ้นจากอาการมึนงงนี่ก็นับได้ว่ายากอยู่เหมือนกัน ในตอนนั้นเองที่ศักดิ์ในขึ้นไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงบนเวที เขาจับหน้าของเคนขึ้นมาดูอาการแผลที่แตกนั้นลึกใช่ย่อยเป็นคนธรรมดาทั่วไปแผลเท่านี้ก็น่าจะทำให้เลือดออกพอสมควรอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นนักกีฬาที่ฝึกมาเป็นอย่างดียิ่งในสถานการณ์การแข่งแบบนี้ด้วยแล้วเลือดยิ่งสูบฉีดมากกว่าปกติ ของเหลวสีแดงข้นนี่จึงได้ทะลักทะล้นออกมามายขนาดนี้ เห็นดังนั้นก็โบกมือขอให้แพทย์สนามเข้ามาดูอาการ
จูนได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้านิ่ง เคนค่อยพยักหน้าตอบคำถามของหมอคงเป็นการเช็คเรื่องประสาทสัมผัส ในขณะที่หมอทำแผลไปศักดิ์ก็คอยให้น้ำและให้คำแนะนำในการชกไป ในขณะที่มีทีมงานอีกคนเข้าไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวบีบนวดให้กับเคนตลอดเวลา จูนได้แต่ยืนมองเขาไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากเรียกอีกฝ่าย ไม่กล้าที่จะบอกออกไปว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่แล้วด้วยซ้ำด้วยกลัวว่าจะยิ่งไปทำลายสมาธิของอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่
....ผมไม่ได้อยากมาเห็นว่าพี่จะชนะหรือเปล่า....
....ผมแค่อยากให้พี่ทำให้ดีที่สุดของพี่ก็เท่านั้น....
....ต่อให้พี่จะแพ้หรือชนะ....
....ผมก็รู้แล้วว่าคำตอบของผมคืออะไร.....
to be con..... soon
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
จะกลับมาต่อให้"จบตอนที่42" ภายในวันเสาร์นี้ค่ะ
-
Chapter 42 : แพ้ยกที่2 อัพ100%
ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้นนักมวยจากทั้งสองมุมต่างก็ไม่รอช้ารีบเข้าเผชิญหน้าเคนส่งหมัดตรงหนึ่งสองเป็นจังหวะหวังจะทำคะแนนและสร้างความเสียหายให้กับคู่ต่อสู้บ้างแต่ดิมิทรีก็แก้กลัยโดยการเตะเข้าที่สีข้างเคนฉวยโอกาสนั้นรั้งขาของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะใช้ขาอีกข้างเกี่ยวจนฝรั่งนั่นเสียหลักล้มลงไป
จนเมื่อคู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเคนก็เดินหน้าลุยเข้าหาด้วยหมัดซ้ายขวาเป็นชุดไล่ต้อนจนดิมิทรีจนมุมบ้างแล้วจัดชุดเข่าเข้าเป้าใหญ่ที่กลางลำตัวนับเป็นการตอบโต้ที่ดี เขาได้ยินเสียงของกรรมการสั่งให้แยกออกหลังดิมิทรีถ่วงเกมด้วยการเข้ามากอด ทั้งสองจึงแยกออกจากกัน ดวงตาของคนทั้งคู่จ้องกันเขม็งเกรียว ลมหายใจหอบแรงจนตัวโยน เคนได้ยินเสียงศักดิ์สั่งให้ฮุกขวาโดยอัตโนมัติชายหนุ่มพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ผล่อก” เสียงกระแทกดังลั่นเวที เมื่อดิมิทรีม้วนตัวมาศอกกลับเข้าที่บริเวณขมับซ้าย มันรวดเร็วเกินกว่าที่ตาที่ได้รับบาดเจ็บไปก่อนหน้าของเคนจะสังเกตได้ทันใบหน้าคมสะบัดไปตามแรงพร้อมกับร่างสูงที่ทรุดลงตรงกลางเวที
“เปรี้ยงงงงง ศอกครับพี่น้องเคนอุดรพยัคฆ์ทรุดลงไปแล้วครับ!!! กรรมการจะว่าไง!!!”
เสียงโฆษกร้องลั่นเมื่อเห็นเคนล้มลงไป กรรมการบนเวทีรีบเข้ามาดูอาการพลางชูนิ้วนับ
นิ้วที่เคนเห็นตรงหน้านั้นลางเลือนเบลอและสั่น เขาแสบตาและได้กลิ่นคาวเลือดอีกแล้วไม่แน่ใจว่าแผลใหม่หรือเก่าแต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่เหงื่อที่กำบังเข้าตาของเขาอยู่
“หนึ่ง... สอง....สาม...ไหวไหม” เสียงกรรมการฟังดูอื้ออึงเมื่อประกอบกับเสียงโห่ร้องจากรอบด้าน เคนสรรหาคำมาตอบไม่ได้ทุกอย่างมันพร่าเลือนไปเสียงหมดเลือดยังคงไหลแม้พยายามจะสะบัดหน้าแรงๆแต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น
“ลุกสิ ลูกพี่ ลุกกก!!!”เสียงศักดิ์ร้องลั่น
“ไอ้เคน ลุกสิลูกพ่อ!!” คุณสุชาติเองก็ถึงกับยืนขึ้นตะโกนเช่นกัน
จูนเหลือบมองซ้ายขวาเห็นแต่คนพยายามบอกให้เคนลุกขึ้นเขามองเลยไปยังอีกด้านของเวทีในหมู่ฝั่งคนดูหญิงสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นตะโกนสุดเสียง
คนบนเวทีเองก็พยายามที่จะลุกขึ้นตามเสียงเชียร์แม้โซเซและดูอ่อนแรงแต่ร่างสูงที่อาบไปด้วยเลือดนั้นก็ยังหยัดตัวลุกขึ้นมาจนได้ กรรมการเห็นท่าแบบนั้นจึงให้ชกต่อช่างเป็นการตัดสินที่ยิ่งอยากทำให้จูนอยากจะเบือนหน้าหนี
...ทำไมต้องทำขนาดนั้น...
...ผมมาเพราะอยากเจอพี่นะมีเรื่องอยากจะบอก...
...ไม่ได้อยากจะ....
“เปรี้ยงงงงง!!! ดิมิทรีแจกศอกย้ำแผลเดิมไม่เห็นแก่คนเจ็บเลยครับ”
เสียงโฆษกดังขึ้นพร้อมกับร่างของเคนที่ทรุดลงไปอีกรอบ แต่ก็ยังพยายามจะดึงตัวเองขึ้นมาอีก ในตอนนี้เป็นฝ่ายเคนที่ตั้งรับปล่อยให้ดีมิทรีบุกเข้ามาทั้งหมัดเข่าศอกเจ้าฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้ก็ประเคนใส่มาให้เสียจนหมด เคนรับไว้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาพยายามยันอีกฝ่ายออกด้วยแรงทั้งหมดทึ่เหลือ
คนที่ยืนอยู่ที่ขอบสนามได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจที่
ทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่ได้เลย เขายังไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกไปให้อีกฝ่ายรู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้
....แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรตอนนี้แล้วละก็....
“พี่เคน !! พอเถอะ!! ผมมาแล้ว พี่อยากจะให้ผมพูดอะไร...ผมยอมแล้ว...ผมยอมแล้ว....”
มือเรียวป้องปาก ตะโกนออกไรู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าน้ำตาไหลออกมาตอนไหนก็ไม่รู้แต่เขาไม่อยากจะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกต่อไป
“ขอแค่พี่...ไม่เจ็บไปมากกว่านี้” ท้ายเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือจนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่แต่เสียงที่จูนตะโกนขึ้นไปนั้นทำให้คนที่อยู่บนเวทีต้องหันกลับไปมอง ทั้งๆที่เจ็บและมีเลือดเข้าตาแต่น่าแปลกที่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นกลับเด่นชัด เคนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
....มาแล้วเหรอ.....
คิดแบบนั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นเพื่อหยุดการนับของกรรมการ ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังดิมิทรีอีกฝ่ายดูท่าจะยิ่งฮึกเหิม เคนขบฟันลงกันฟันยางแล้วพยักหน้าให้สัญญาณกับกรรมการ
“ชก!”
.............................
เสียงฝีเท้าดังสะท้อนโถงทางเดิน ที่สุดปลายทางนั้นมีผู้คนยืนมุงกันส่งเสียงจอแจ จนพยาบาลต้องออกมาปรามไม่ให้ส่งเสียงดังไปมากกว่านี้ จูนยืนเก้ๆกังๆห่างออกมาพยายามมองหาศักดิ์
“ไอ้หนู....เป็นไงเจ็บไหมข้าขอโทษว่ะ เผลอตัวไปหน่อย” สำเนียงท้องถิ่นดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกที่หน้าของเขายังมีรอยแดงจากฝ่ามือของอีกฝ่ายประทับอยู่
“มะ....ไม่เป็นไรผมพูดบ้าๆแบบนั้นออกไปผมก็สมควรโดนแล้ว” จูนฝืนยิ้มแม้จะยังระบมอยู่บ้างก็ตาม นี่เป็นผลจากที่เขาตะโกนออกไปที่เวทีในตอนนั้น ศักดิ์ที่คงกำลังเครียดจัดเลยหันมาสั่งสอนโดยการตบเข้าที่หน้าของเขาอย่างแรง ใบหน้าของพี่เลี้ยงนักมวยในตอนนั้นทั้งตกใจและกราดเกรี้ยว
“อย่ามาปากพล่อยๆแบบนี้ที่ข้างเวทีนะไอ้หนู” ศักดิ์พูดแบบนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเคนก็ไม่ได้ยอมแพ้ตามที่เขาพูดกลับยืนหยัดสู้จนครบสามยกและแพ้คะแนนไปอย่างขาดลอย มิหนำซ้ำทันทีที่ก้าวลงมาจากเวทีก็ล้มพับลงไปจนแพทย์สนามสั่งให้หามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน
“พี่เคน....เป็นยังไงบ้างครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามออกมาเบาๆ
“ก็ยังไม่รู้....” ศักดิ์ส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างท่าทางที่ชะเง้อชะแง้ด้วยสายตาเป็นห่วงนั้นทำให้ต้องส่ายหน้าอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้
“ถ้าเป็นห่วงเอ็งไปนั่งคอยตรงนั้นก่อนไป ถ้ามีอะไรข้าจะเดินไปบอก แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งให้พ่อสุชาติเห็นหน้าเอ็งเลย คงกำลังเซ็งเลยล่ะ”
จูนทำตามที่ศักดิ์บอกอย่างว่าง่ายเด็กหนุ่มดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมปิดสีผมที่โดดเด่นของตัวเองพยายามทำตัวให้”หาย” ไปกับบรรยากาศรอบด้าน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงพูดคุยพร้อมกับเสียงรองเท้าดังเรื่อยมาตามทางเดิน จูนเหลือบมองลอดใต้ชายฮู้ดที่ดึงลงมาคลุม
“ คนไข้มีแผลฟกช้ำภายนอกหลายจุดจากการเล่นกีฬา เท่าที่เอ๊กซ์เรย์ดูยังไม่พบว่ามีอะไรหักนะครับ ที่สลบไปนีือาจเป็นเพราะศีรษะโดนกระแทกซ้ำๆ หมอเลยให้นอนเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลสัก24 ชั่วโมงก่อนนะครับ เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปที่ห้อง แล้วอาจจะต้องรอผลสแกนมาแล้วหมอจะเข้าไปเช็คอีกครั้งนะครับ ถ้าระหว่างนั้นเขาฟื้นก็ขอให้รีบเรียกพยาบาลทันทีเลยนะครับ”
เสียงของคุณหมอกำชับกับญาติคนไข้ก่อนจะเดินจากไป จูนเห็นเตียงถูกเข็นไปที่ลิฟท์เด็กหนุ่มเลือกที่จะทิ้งระยะห่างเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินตามไป เป็นเวลานานที่เขาต้องนั่งหลบอยู่ที่หน้าห้องพักฟื้นของเคนอีกครั้งโดยไม่คิดที่จะขยับไปไหน ในห้วงความคิดของจูนในตอนนี้มีคำหลายคำเหลือเกินที่อยากจะพูดกับอีกฝ่าย ขอเพียงแค่เคนฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น
ภายในห้องของโรงพยาบาลร่างใหญ่ของสุชาตเอนกายเหยียดกับโซฟาของโรงพยาบาล มือก็กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยโดยที่มีศักดิ์นั่งอยู่กับพื้นไม่ห่างออกไปน้ก
“ศักดิ์...เอ็งลงไปซื้อข้าวหรืออะไรขึ้นมากินกันหน่อยสิ ข้าก็ชักจะหิวแล้วว่ะ”
“พ่อจะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวศักดิ์ไปจัดมาให้ นี่ก็มืดแล้วด้วยเดี๋ยวพ่อจะได้กินยาลดความดันไง วันนี้ยิ่งเครียดๆอยู่” ศักดิ์เงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้มร่าเขารอคำนี้จากชายผู้เป็นนายมาสักพักใหญ่แล้ว
“แถวนี้มันมีอะไรอร่อยก็ไปหามาก็แล้วกัน...” สุชาติโบกมือไล่
“ครับๆ” พี่เลี้ยงนักมวยพยักหน้าเบาๆก่อนจะลุกไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปแต่ก่อนจะได้ไปถึงประตูก็ถูกเสียงของนายเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เอ้อ....”
“อะไรพ่อ อยากกินอะไรอีกรึเปล่า”
“ไอ้หนุ่มที่หน้าห้องน่ะ ถามมันด้วยนะว่ามันกินอะไรแล้วหรือยังแล้วก็ซื้อมาฝากมันด้วย นั่งนิ่งเป็นตอแบบนั้นกูล่ะหวาดเสียวว่ามันจะตายแล้วรึเปล่า”
ถึงสุชาติจะไม่ได้หันกลับมาหรือแสดงท่าทีอะไรแต่คำสั่งที่ศักดิ์ได้รับก็ทำให้รู้ว่าสุชาติต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้วเป็นแน่
................
ครืด.....
เสียงประตูเลื่อนเปิดออกหลังจากที่ศักดิ์เดินออกจากห้องไปได้พักใหญ่ ร่างสูงของชายสูงวัยเดินมาใช้มือเท้าที่กรอบประตู มองไปเห็นเด็กหนุ่มผมทองยังนั่งอยู่ที่หน้าห้อง
“ไอ้หนู....บ้านช่องไม่กลับรึ”
“อ่ะ....คุณลุงสวัสดีครับ” จูนสะดุ้งลุกขึ้นในทันทีพร้อมทั้งยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ดวงตารีเรียวหลุบลงต่ำไม่กล้าสบตาของอีกฝ่ายนัก
“เออๆไหว้พระเถอะ...ชื่ออะไรล่ะเรา รู้จักไอ้เคนมันหรือไง” สุชาตเอ่ยถามพลางยืนกอดอกดวงตาไล่มองพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ครับ เอ่อ ผมเป็นรุ่นน้องที่ชมรมของพี่เคนน่ะครับ”
“ชื่ออะไรล่ะเรา....” สุชาติถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ดวงตาคมนั้นเห็นได้ชัดว่าเคนเหมือนพ่อของเขามากแค่ไหน
“ผมชื่อจูนครับ....” เด็กหนุ่มตอบพยายามจะยิัมแต่ก็ทำไม่ได้นักเพราะบรรยากาศหนักอึ้งที่อยู่ๆก็ถาโถมเข้ามา
“รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันแข่งนัดสำคัญของไอ้เคนมันแล้วก็ของค่ายด้วย ลุงทุ่มเงินไปเยอะก็หวังจะให้มันมีสมาธิกับการแข่ง...” เจ้าของค่ายเอ่ยถึงการแข่งขันที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งตรงหน้ากลับก้มหัวลงต่ำ
“ผมต้องขอโทษคุณลุงด้วยครับถ้าวันนี้ผมได้ทำอะไรที่ไม่ดีลงไปและผมรู้ดีว่ามันคงฟังดูแย่ถ้าผมจะพูดออกไป...แต่ผมขอเข้าไปเยี่ยมพี่เคนสักนิดจะได้ไหมครับ” จูนก้มหน้าก้มตาพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไม่ใช่เพราะเลือดในตัวของเขาวิ่งพล่านไปทั่ว
“หมอเขาเข้ามาก่อนหน้านี้บอกว่าผลสแกนไม่มีอะไรผิดปรกติเพียงแค่ไอ้เคนมันยังไม่ฟื้น...เข้าไปก็ไม่ได้คุยหรอก”
“ได้โปรดนะครับ ขอแค่เข้าไปนั่งเฝ้าพี่เขาเฉยๆก็ได้” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้นมือเรียวนั้นกำแน่น สุชาติมองท่าทางของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เดี๋ยวลุงจะไปสูบบุหรี่สักหน่อย....ฝากดูไอ้เคนมันด้วยก็แล้วกัน” ชายสูงวัยว่าพลางวางมือใหญ่ลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“อ้อ เดี๋ยวไอ้ศักดิ์...คงรู้จักกันแล้ว....มันซื้อข้าวกลับมาก็เอาข้าวไปกินด้วยล่ะ “
คำพูดของสุชาติทำให้จูนต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้าคมที่ละม้ายคล้ายกันของคนเป็นพ่อพยักหน้าลงเบาๆความรู้สึกหนักที่แบกมาตลอดทั้งวันก็เหมือนจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
“ขอบคุณครับคุณลุง”
เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมยกมือไหว้อีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะค้อมตัวเดินผ่านประตูที่เปิดอยู่นั้นเข้าไปด้านในเมื่อหันมามองอีกครั้งก็เห็นว่าประตูบานเลื่อนนั้นค่อยๆเลื่อนปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวดังห่างออกไปเรื่อยๆเด็กหนุ่มจึงหันกลับมาที่ด้านในห้องพักผู้ป่วยเป็นห้องพิเศษที่มีขนาดกว้างขวาง มีเพียงเสียงของเครื่องมือของหมอที่ดังเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกวังเวงอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ร่างใหญ่ของคนคุ้นเคยนอนเหยียดอยู่บนเตียงมีสายอะไรต่อมิอะไรต่อกันรุงรังไปหมด เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเตียงคนไข้ ดวงตารีเรียวพิจารณาไปทั่วร่างของนักมวยหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง บนใบหน้าคมมีหน้ากากที่ให้ออกซิเยนครอบอยู่ แม้จะปิดบังใบหน้าไปเยอะแต่ก็เห็นได้ชัดว่า เคนบอบช้ำมากแค่ไหน รอยเขียวจนเกือบม่วงปรากฏให้เห็นบนใบหน้า บนศรีษะมีรอยเย็บเช่นเดียวกับที่คิ้วและสันจมูกของอีกฝ่าย ไหนจะที่แขนที่เป็นรอยฟกช้ำเต็มไปหมด
“ดูพี่สิ....”
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ ในอกของจูนมันเจ็บจนสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ปลายนิ้วสั่นระริกยื่นไปแต่เบาๆที่ท่อนแขนของเคนราวกับกลัวว่าสัมผัสของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บไปมากกว่าเดิม
“ถ้าพี่เห็นผมเร็วกว่านั้น...พี่จะไม่เจ็บตัวขนาดนี้ใช่ไหม ผม.......ขอโทษ”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นพร่า รู้สึกได้ถึงของเหลวที่ทิ้งตัวลงมาจากหางตา จูนจับมือแกร่งที่ไร้เรี่ยวแรงนั่นขึ้นมากุมเอาไว้หลวมๆ
“ผมขอโทษ...ผมเสียใจที่เราไม่เคยพูดกันดีๆ ผมเสียใจที่ผมไม่เคยฟังพี่ ผมเสียใจที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มสูดหายลมหายใจที่ติดขัดของตัวเองเข้าปอดไปเฮือกใหญ่
“แต่ฟื้นเถอะ คราวนี้พี่อยากจะให้ผมตอบคำถามอะไรผมจะตอบทุกอย่างเลย ผมยอมพี่แล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นรีบๆฟื้นขึันมาสิแล้วผมจะได้บอกพี่สักที.....คำคอบที่พี่อยากได้ยินน่ะ....” ใบหน้าของเด็กหนุ่มเบะเบ้ด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าบาดแผลทั้งหมดบนกายของอีกฝ่ายนั้นเจาเป็นคนมอบให้กับเคนเอง จูนบรรจงจูบเบาๆลงบนมือแกร่งทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ว่าจะพูดหรือทำสิ่งใดอีกฝ่ายก็คงจะไม่รับรู้หรือได้ยิน
......ผมรักพี่นะ.....
to be continued......
-
:pig4 :pig4: :3123: :3123:
-
ผมรักพี่~~~~~~~~~~~~~~~ o18
พูดแล้ว แต่คนฟังไม่ได้ยิน ฮืออออออ พี่เคนรีบๆฟื้นนะคะ น้องจูนรอบอกคำนี้กับพี่เคนอยู่
เข้าข้างพี่เคนจริงจังก็วันนี้5555555555
-
@@ Talk @@
ไหนๆก็เดือนแห่งความรัก กลัวจะไม่ได้โพสต์
เรื่องความรักของเคนกับจูน เลยรีบทำคะแนน...
Chapter 43 ตอน แพ้ ยกที่3 อัพ 50 %
(เดี๋ยวมาต่อในรีพลายถัดไปค่า กำลังปั่นๆ)
“เป็นยังไงล่ะ” เสียงของชายสูงวัยดังขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักฟื้นของลูกชายในเช้าของวันถัดมา ศักดิ์เป็นคนนอนเฝ้าเคนซึ่งศักดิ์ก็ทำตามคำสั่งของเขาเป็นอย่างดีที่ว่าไม่ให้ใครอื่นเข้าเยี่ยมลูกชายของเขาเป็นอันขาด
“ปกติครับนาย...ถ้าจะพูดแบบนั้น” ศักดิ์ตอบพลางเหลือบมองไปทางโถงทางเดิน เห็นเด็กหนุ่มผมทองคนเดิมนั่งกอดตัวเองเหยียดขายาวอยู่อย่างนั้น ถึงแม้เมื่อคืนจะบอกให้กลับบ้านไปหลังจากที่ยื่นข้าวกล่องให้และก็ดูว่าอีกฝ่ายจะทำตามแต่โดยดี แต่ในตอนเช้ามืดก็มานั่งอยู่ตรงนั้นแล้วราวกับไม่อยากจะทิ้งไปสักวินาที
“อะไรของมัน...” สุชาติได้แต่สายหน้า คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ก็คงมีแต่ลูกชายที่ยังไม่ได้สติเท่านั้น คิดพลางเดินเข้าไปที่ด้านใน
“มันยังไม่ตื่นอีกรึไง” ชายสูงวัยเอ่ยพลางถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ยังครับนาย...แต่หมอเข้ามาตรวจอาการเมื่อคืน ก็บอกว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ คงแค่เหนื่อยเกินไป” ศักดิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เพราะเขาเองก็ไม่เคยเทรนใครแค่ไม่ถึงเดือนแล้วส่งไปต่อยได้หนักขนาดนั้นมาก่อนเหมือนกัน
“อือ........” ทันใดเสียงครางเบาๆก็ดังขึ้นจากคนที่นอนนิ่งมาตลอดทั้งคืน ร่างของคนป่วยค่อยขยับจนทั้งพ่อสุชาติและศักดิ์ต้องหันมามองหน้ากัน สุชาติปราดเข้าไปตบไหล่ของลูกชายเบาๆ
“เคน! เฮ้ย เคน...รู้สึกตัวแล้วเหรอวะ...ไอ้เคน” ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงดวงตาของลูกชายที่มองกลับมาก่อนจะมองไปรอบๆราวกับงุนงง
“ผมจะไปเรียกพยาบาล...” ศักดิ์ว่าพลางวิ่งออกไปจากห้องแทบจะในทันที
“อ้าวเฮ้ย ไอ้ศักดิ์ กดออดเรียกเอาก็ได้! ” ผู้เป็นนายตะโกนก่อนจะปราดไปฉวยปุ่มกดเรียกพยาบาลมากดถี่ๆ ด้วยความตื่นเต้นที่เห็นลูกชายรู้สึกตัว
ร่างผอมของศักดิ์วิ่งไปตามทางเดินไม่ได้ฉุกนึกเลยว่าเพียงแค่กดปุ่มเรียกพยาบาลก็จะวิ่งไปหาแล้ว
“พยาบาล...ลูกพี่ผมฟื้นแล้ว”
เสียงที่ตะโกนลั่นนั่นทำให้จูนที่นั่งสะลึมสะลืออยู่รู้สึกตัวลุกไปคว้าตัวของศักดิ์เอาไว้
“พี่เคนฟื้นแล้วเหรอครับ!”
“เออสิวะ ไม่งั้นจะวิ่งหน้าตั้งมานี่รึไง”
แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านี้ ทั้งพยาบาลและคุณหมอต่างก็วิ่งไปที่ห้องของผู้ป่วยเพื่อดูอาการ ทั้งสองคนถูกกันตัวไว้ด้านนอกไปโดยปริยาย ศักดิ์สังเกตเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่นั่งดูกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือไปตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
“พี่เคนฟื้นแล้ว...เดี๋ยวก็คงได้เยี่ยมหรอก ...ถ้าพ่อเขาให้เยี่ยมนะ”
“ครับ ผมเข้าใจดี” คำพูดในตอนท้ายทำให้จูนต้องเอ่ยรับพร้อมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะถอยออกมายืนรอที่หน้าห้องพักผู้ป่วยแทน เด็กหนุ่มได้แต่คิดว่าในเวลาแบบนี้ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์และคนในครอบครัวดีกว่า
ไม่นานนักหมอและทีมพยาบาลก็เดินกลับออกมาจากด้านในห้องพร้อมกับสุชาติที่เดินตามออกมาส่ง ชายสูงวัยดูมีสีหน้าโล่งใจอยู่ไม่น้อย หมอบอกว่าอาการของเคนไม่มีอะไรผิดปรกติซ้ำยังแหย่เสียด้วยว่า ลูกชายของเขานั้นหัวแข็งใช่เล่น ทำให้อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นเสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับความโล่งใจ
“คุณลุงครับ......” ทันทีที่เห็นหน้าของสุชาติ จูนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ แต่แล้วเสียงรองเท้าที่ดังเรื่อยมาตามทางเดินกลับเรียกความสนใจให้คนทั้งสามคนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยได้มากกว่า และเมื่อมองตามเสียงนั้นไปก็เห็นร่างเล็กบางของนิดเดินมาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต
“ พี่นิด?.......” เด็กหนุ่มผลออุทานเป็นชื่อของหญิงสาวอย่างช่วยไม่ได้
“นิด? ....” สุชาติเองก็ขมวดคิ้ว เขาคุ้นกับชื่อนี้พอดู และเมื่อพิจารณาใบหน้าคมสวยของเด็กสาวก็พอจะจำได้ว่าเขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่สองถึงสามครั้งตอนที่ไปหาเคนที่มหาวิทยาลัย และจำได้ว่าคือคนที่ไปนั่งอยู่ตรงที่นั่งพิเศษที่เคนแอบเอาตั๋วของเขาไปนั่นเอง
“อ้าว? จูน มาทำอะไรเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยทัก แต่ก็เหมือนจะไม่ใส่ใจจะรับคำตอบสักเท่าไร ดวงตาคมของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะเบนความสนใจไปยังชายสูงวัยกว่า
“คุณพ่อคะ หนูขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีก็มัวให้เพื่อนช่วยถามให้ว่าพี่เคนอยู่ที่โรงพยาบาลอะไรเลยมาช้าน่ะค่ะ ตอนนี้อาการพี่เคนเป็นยังไงบ้างคะ ฟื้นแล้วหรือยังคะ หนูจะขอเข้าไปเยี่ยมได้หรือเปล่าคะ” คำถามมากมายนั้นพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากเคลือบสีอ่อนสวย
“เฮ้อ.....” สุชาติถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้กับเด็กสาว เขาก็พอจะมองเห็นเค้าเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้วว่าเป็นอย่างไรเมื่อพิจารณาจากท่าทางของลูกชายตั้งแต่ตอนช่วงซ้อม ดวงตาที่ผ่านประสบการณ์มามากมายนั้นมองหน้าของจูนสลับกับหน้าของนิด และตอนนี้เป็นเขาเองที่ต้องตัดสินใจ...มือใหญ่นั้นผายไปทางประตู
“มาสิ...เดี๋ยวพ่อจะพาเข้าไป ส่วนไอ้หนู ชื่ออะไรนะ” สุชาติหันมาทางของจูนอีกครั่ง ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง
“อ่ะ เอ่อ ผมชื่อจูนครับ”
“จูนสินะ เดี๋ยวเอาเงินนี่ไปที่ร้านข้างล่างนะ ลงไปซื้อข้าวกับน้ำ ขนมอะไรก็ได้มาหน่อยนะ ชวนไอ้ศักดิ์มันลงไปด้วยก็ได้” ว่าพลางก็พยักเพยิดไปทางศักดิ์ที่ดูจะไม่ได้อยากจะไปตามที่นายว่า
“......” จูนมองหน้าของศักดิ์สลับกับใบหน้าของชายสูงวัยก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“งั้น...เดี๋ยวผมลงไปเองได้ครับคุณลุง คุณลุงกับพี่ศักดิ์มีอะไรที่ทานไม่ได้หรือเปล่าครับ?” จูนถามคิดเพียงแค่ว่าถ้าจะลงไปซื้อของ ก็ต้องรู้ของที่อีกฝ่ายชอบไม่ชอบเสียก่อน และดูท่าว่าอีกฝ่ายก็ดูจะประหลาดใจไม่น้อยกับคำถามของเขา
“ก็ช่างถามนะ กินได้หมดนั่นล่ะ ...เลือกมาก็แล้วกัน เอาน้ำผลไม้อะไรก็ได้มาเผื่อไอ้เคนกับยัยหนูนี่เขาด้วยก็แล้วกันนะ” สุชาติสั่งเพิ่ม จูนรับคำน้อยๆ
“แล้วพี่นิดจะทานอะไรเพิ่มไหมครับ” ทันทีที่ได้ยินคำสั่งใหม่จูนก็หันไปถามนิดทันที
“น้ำผลไม้กลัวจะหวานจังเลย พี่เอาน้ำเปล่าก็ได้จ้ะ” นิดฝากบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะขอตัวทั้งสามคนเดินลงไปข้างล่างทันที...
.....................................................
ทันทีที่จูนเดินห่างออกไป สุชาติก็เชื้อเชิญให้เด็กสาวเดินตามเข้าไปด้านใน เคนรู้สึกตัวแล้ว เครื่องช่วยหายใจก็ถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากสีหน้าที่ยังดูอ่อนแรงแต่ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะปรกติดี
“เคน...หนูนิดมาเยี่ยม” ผู้เป็นพ่อเอ่ย ก่อนจะพยักหน้าให้กับเคนเล็กน้อย “หนูเอาดอกไม้ไปใส่แจกันทีนะ เดี๋ยวพ่อออกไปสูบบุหรี่สักหน่อย เราคุยกันไปก็แล้วกัน” ชายสูงวัยเอ่ยก่อนจะเดินออกไปด้านนอกปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ร่างสูงของชายสูงวัยเดินออกไปด้านนอก และทันทีที่ปิดประตูไว้เบื้องหลังชายสูงวัยก็ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ในทันที จนศักดิ์ต้องรีบเข้ามาดูอาการ
“นาย... เป็นอะไรมากรึเปล่า นี่ทานยาหลังอาหารหรือยังครับ เดี๋ยวศักดิ์ไปเอามาให้” แต่เจ้าของค่ายอุดรพยัคฆ์กลับโบกมือปฏิเสธสีหน้าดูอ่อนแรงกว่าเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก มึงช่วยตามไปดูไอ้เด็กนั่นด้วยละกัน ชวนมันไปซื้อเสื้อซื้อกางเกงอะไรมาให้ไอ้เคนมันหน่อย เผื่อยังจะต้องอยู่โรงพยาบาลกันอีกหลายวัน”
“ครับนาย ... ”เห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ศักดิ์ก้มหัวรับคำก่อนจะเดินจากไป คิดอยู่อย่างเดียวว่าผมของเด็กหนุ่มคนนั้นออกจะสะดุดตา คงไม่ยากถ้าจะหาให้เจอ
ดวงตาคมของสุชาติมองตามศักดิ์จนเห็นว่าคนสนิทของตัวเองเดินจนลับตาไปแล้วจึงค่อยๆเลือนประตูให้เปิดออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสอดส่องความเป็นไปที่เกิดขึ้นด้านในระหว่างลูกชายของตัวเองกับแฟนสาว
.............................
ดอกไม้เยี่ยมไข้สีสวยยถูกจัดลงใส่แจกันของทางโรงพยาบาล หญิงสาวร่างบางค่อยวางลงที่โต๊ะตรงหัวเตียงพลางยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยังดูมีสีหน้าอิดโรย
“พี่เคนเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหม” มือเรียวยื่นไปเตะที่ข้างแก้ม เคนได้แต่เม้มริมฝีปากเพราะเขารู้สึกได้ว่ามันเจ็บ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่อมยิ้มน้อยๆให้เท่านั้น มือแกร่งที่ยังมีสายน้ำเกลือเจาะติดอยู่ค่อยๆแตะมือของอีกฝ่ายนำทางให้ลดลงจากแผลที่ใบหน้า
“พี่เห็นนิดมาดูพี่แข่ง...ขอบใจนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ
“นิดก็ต้องไปดูพี่เคนแข่งอยู่แล้ว แฟนตัวเองแข่งทั้งทีจะไม่ได้ดูได้ยังไง” หญิงสาวว่าดวงตาคู่สวยนั่นเป็นประกาย “พี่เคนน่ะเท่จะตาย เสียดายที่เพื่อนนิดที่มาด้วยไม่ได้มาเชียร์ใกล้ๆ นิดเลยไม่ค่อยกล้าตะโกนเท่าไร แต่พี่เคนได้ยินเสียงนิดอยู่ใช่ไหมคะ” แฟนสาวพูดพลางใบหน้าคมนั้นมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา คงจะเขินอายอยู่ไม่น้อยที่ตัวเองออกไปตะโกนร้องอยู่ข้างเวทีแบบนั้น
“อืม...ได้ยินสิ ดีใจมาก ขอบใจนะ” เคนตอบ เขาได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังฟังชัด สมแล้วที่ร่างเล็กๆตรงหน้านี่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ ไม่ใช่แค่เรื่องของหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องเป็นคนที่แข็งแรงและเสียงดังอยู่ไม่น้อยที่จะสั่งคนเป็นร้อยๆที่อยู่บนสแตนด์เชียร์ได้ทั้งๆที่ยังโพสท่าสวยงามอยู่ที่กลางสนาม
…. นี่ล่ะ แฟน ของเขา.....
“แต่ถ้าพี่เคนชนะนะ จะต้องเท่มากๆแน่ๆ เสียดายจังอุตส่าห์ไปเชียร์ นี่เพื่อนนิดก็ยังบอกเลยนะคะว่า พี่เคนน่าจะชนะ พวกที่มหาลัยพอได้ยินชื่อพี่เคนก็ฝากมาเชียร์กันยกใหญ่เลย นี่ถ้าพี่เคนชนะนะ นิดคงยิ้มหน้าบานไปอีกหลายวันเลย มีแฟนเป็นนักมวยที่เท่แล้วยังเก่งขนาดต่อยฝรั่งจนชนะได้เนี่ย” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้สังเกตท่าทางของแฟนหนุ่มเลยว่ากำลังทำหน้าอย่างไร
....แต่ก็นี่ล่ะ แฟนของเขา....
เคนยิ้มรับฝืนๆ ชายหนุ่มกุมมือเล็กของนิดเอาไว้หลวมๆพลางสูดลมหายใจเข้าลึกเขาทนกับความรู้สึกอึดอัดใจนี่มานานเกินไปแล้ว
“นิด....เราเลิกกันเถอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับดวงตาคมที่มองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า และจากสายตาที่มองกลับมาเขามั่นใจได้ว่าในครั้งนี้นิดได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน
"............” ไม่เหลือความสดใสในดวงตาอย่างเช่นเมื่อครู่หญิงสาวค่อยชักมือกลับออกมาราวกับลังเลในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“พี่เคนอยากจะเลิกกับนิดเหรอคะ”นิดพูดออกมาเบาๆริมฝีปากสวยสั่นระริกมือไม้ของเธอเย็นเช่นเดียวใจที่สั่นคล้ายจะเป็นลมลงไปให้ได้เสียตรงนี้
“ใช่...พี่คิดมาได้สักพักแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว หากแต่หนักแน่น
“พี่เคนจะเลิกกับนิดจริงๆด้วย...” คำพูดที่เธอได้ยินนั้นเหมือนตอกย้ำในสิ่งที่เธอพยายามจะไม่คิดถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา สองมือสั่นไหวด้วยไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนดี ในดวงตารู้สึกได้ถึงความร้อนจากเส้นเลือดที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างด้วยความสับสน หัวใจบีบจนเจ็บ ถ้าเธอรู้ว่ามาที่โรงพยาบาลแล้วเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้เธอคงไม่หลับอดนอนเพียงเพื่อจะตามหาอีกฝ่ายว่าอยู่ที่โรงพยาบาลไหนเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะ นิดทำผิดอะไรเหรอ นิดทำอะไรให้พี่เคนไม่ชอบใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องเลิกกัน” ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยคำถามที่เธอเฝ้าถามตัวเองมาโดยตลอด
“คนที่ผิดไม่ใช่นิดหรอกเป็นพี่เองนี่ล่ะที่ผิด” เคนตอบดวงตาคมยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของอีกฝ่าย “ผิดที่พี่ไม่เคยบอกนิดว่า พี่ต้องการอะไรจากความสัมพันธ์ของเรา ผิดที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่มันเป็น”
“พี่เคนจะพูดอะไร นิดไม่เข้าใจ”
“เราคบกันมาก็นานเหมือนกันนะนิด แต่ในแต่ละวันที่พี่อยู่กับนิด พี่ไม่ได้รู้สึกว่าพี่เป็นคนทำให้นิดมีความสุขเลย และเชื่อไหมว่าต่อให้พี่รู้ พี่ก็ไม่ได้คิดจะปรับปรุงอะไรให้มันดีขึ้น เพราะพี่รู้ดีว่าคนที่จะให้คะแนนตัวพี่ ไม่ใช่นิด” ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อนึกถึงทุกครั้งที่เขาพยายามทำดีกับอีกฝ่าย แต่ก็มักจะมีเพื่อนของนิดคอยพูดวิจารณ์อยู่เรื่อยไป
“ถ้าพี่จะบอกว่าเป็นเพราะเพื่อนๆนิด พี่เคนก็รู้นี่คะว่าพวกนั้นเขาล้อเล่น...ไม่ได้มีอะไรจริงจังสักหน่อย” หญิงสาวเริ่มจับใจความได้จากคำพูดของเคน เธอมักจะอยู่กับเพื่อนๆและพูดล้อเล่นกันเสมอ มือเรียวฉวยจับมือของอีกชายหนุ่มเอาไว้แน่นราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเอง
“จริงเหรอนิด....” เคนถามย้อน “นิดลองคิดดูดีๆสิ ว่าพวกเราคบกันแบบไหน ถ้าไม่ใช่เพราะหลายๆคนบอกเราว่า เราเป็นคู่ที่เหมาะกัน นักกีฬากับเชียร์ลีดเดอร์ คนหน้าตาดีสองคนเป็นคู่ที่ใครๆก็อิจฉา เป็นคนที่ใครๆก็พูดถึง แต่จริงๆแล้ว....เรารู้สึกยังไงกันแน่? เราใส่ใจเรื่องของกันและกันบ้างหรือเปล่า? เรารักษาน้ำใจของกันและกันบ้างหรือเปล่า....” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสั่น
หลายครั้งเหลือเกินที่เขารู้สึกเสียหน้า หลายครั้งเหลือเกินที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับการใส่ใจ มันทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งเพราะเป็นผู้ชายมันเลยพูดออกไปได้ยากกว่าที่คิดเอาไว้หลายเท่า
“ ลึกๆแล้ว พี่ว่านิดก็คงจะรู้ว่าพี่ไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้นิดยิ้มได้ด้วยตัวของพี่จริงๆ นิดจะยิ้มก็ต่อเมื่อเพื่อนของนิดยิ้ม นิดจะมีความสุขก็ต่อเมื่อคนรอบๆข้างของนิดเห็นดีเห็นชอบกับสิ่งที่นิดทำ และสิ่งที่เขาอยากให้พี่ทำ ทุกอย่างเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ใช่พี่ ” เคนเอ่ยดวงตาคมจับจ้องใบหน้าเล็กๆที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า นิดกำลังจะร้องไห้ หรือ กำลังอาย หรือกำลังโกรธเพราะคำพูดของเขา แม้แต่ในตอนนี้เขาเองก็ยังบอกความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ที่พี่เคนพูดมาทั้งหมด....จริงๆแล้วเป็นเพราะพี่เคนมีคนใหม่ใช่ไหมคะ” เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก เธอเบือนหน้าไปอีกทางราวกับพยายามจะกลืนความรู้สึกของตัวเองลงไป แล้วเอ่ยขึ้นเป็นคำถามที่ทำให้เคนต้องนิ่งงัน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าลงยอมรับตามความเป็นจริง
“ใช่...พี่...มีคนใหม่แล้ว” แม้ในใจจะยังตอบไม่ได้เต็มปาก แต่เมื่อใจทั้งหมดในตอนนี้กำลังเรียกร้องหาใครอีกคน มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธเป็นอื่นได้อีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูดให้นิดยิ่งรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย” น้ำตาหยดลงมาจากดวงตากลมที่เคยสดใสของเด็กสาว นิดใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมขึ้นทัดหูยิ่งทำให้เห็นใบหน้าแดงก่ำนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น
“มันเหมือนกับว่าสิ่งที่นิดทำให้มันไม่เคยมีค่า ...ถึงพี่เคนจะใจดี แต่ตอนนี้พี่เคนกำลังใจร้ายกับนิดมากนะคะ” เคนไม่กล้าสบตากับนิดเพราะกลัวเหลือเกินว่าน้ำตาจะทำให้ตัวเองใจอ่อน ...แต่เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นถึงได้เลือกให้นิดรู้สึกเสียใจเพราะคำพูดที่เห็นแก่ตัวและโหดร้ายของตัวเองอาจจะดีกว่า...คนแบบเขาไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยแล้วจากลาด้วยรอยยิ้ม
“พี่เสียใจ...” เคนพูดออกไปตามตรง มันไม่มีอะไรจะสะเทือนความรู้สึกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“...............” ไม่มีคำพูดอื่นออกมาจากริมฝีปากสีสวยของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะอีก ไหล่บางไหวระริกพร้อมกับน้ำตาที่ทิ้งตัวลงมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงแค่น้ำตากับความเงียบระหว่างคนสองคนเท่านั้น...
แกร๊ก.... เสียงบานประตูที่แง้มอยู่นานแล้วถูกดันให้เปิดออกกว้าง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของสุชาติที่เดินเข้ามาด้านใน แสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับทุกคำพูดของทั้งสองคน ชายสูงวัยยิ้มกว้างแม้ในใจจะรู้ว่าไม่ควร
“เอ้อ ไอ้เจ้าหนูนั่นกับเจ้าศักดิ์หายไปไหนน้อ....... หนูนิดคงหิวน้ำแย่แล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กสาวต้องรีบหันหลังให้กับคนที่เข้ามาใหม่ทันที สองมือปาดน้ำตาออกจากข้างแก้ม ฉวยผ้าเช็ดหน้าจากในกระเป๋าขึ้นมาปิดบังความรู้สึกบนใบหน้าของตัวเองเอาไว้
“คุณพ่อคะ วันนี้หนูเสร็จธุระแล้ว เห็นพี่เคนไม่เป็นอะไรมาก็สบายใจแล้วค่ะ พรุ่งนี้หนูมีสอบถ้ายังไงวันนี้หนูขอลากลับก่อน ....” เด็กสาวว่าพลางลุกขึ้นยืนด้วยความเร่งรีบ สองมือยกไหว้ลาพ่อของเคนก่อนจะถือกระเป๋าใบน้อยเดินออกจากห้องพักฟื้นของคนไข้ออกไป
“พูดกับเขาดีแล้วใช่ไหม” สุชาติหันมองตามร่างบางของนิดให้ลับตาไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็พยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นล่ะ” เคนตอบ หัวใจมันเบาจนทำให้รู้สึกว่าหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเสมองไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามสายมีสีฟ้าสดแต่เขากลับทำให้ใครบางคนต้องกลับออกไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว “ผมคงแย่มากสินะพ่อ ทำผู้หญิงร้องไห้แบบนั้น”
“คนเรามีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามันอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัด มึงก็ต้องเลือกที่จะทำร้ายเขาในตอนแรก คือพูดไปตามตรงแล้วจะปรับแก้ยังไงก็ค่อยทำ กับสองทำร้ายเขาในตอนท้ายตอนที่มึงอาจจะมีใครมาทำให้มึงรู้สึกดีกว่าทางมันก็มีแค่นี้” มือของผู้เป็นพ่อตบลงบนบ่าของลูกชายเบาๆ
“ความรักมันจะยังไม่มีอะไรที่พอดี จนกว่าเราจะเจอคนที่เราคิดว่าใช่...แต่ที่สำคัญคือมึงติดค่าตั๋ววีไอพีกูอยู่สองที่....ตั๋วใบละสามพันห้าสองใบ ไอ้ลูกเวร”สุชาติเปลี่ยนเรื่องฉับพลันไม่พูดเปล่าใช้มือตบศีรษะของเคนด้วยแรงที่เรียกได้ว่าไม่เบานัก
“โอ้ยพ่อ...ผมคนเจ็บนะ” เคนหันกลับมามองหน้าของพ่อของตัวเองก่อนจะต้องเงียบเสียงเพราะสายตาที่มองกลับมา มันเหมือนกับว่าพ่อของเขากำลังจะร้องไห้
“พ่อเป็นอะไร...”
“เปล่า...แค่นึกถึงแม่มึงขึ้นมานิดหน่อย” สุชาติตอบ “เดี๋ยวพ่อจะออกไปข้างนอกแป๊บไปคุยกับคุณทวีที่เป็นสปอนเซอร์นี่เขาอุตส่าห์จะมาดูแกต่อยเมื่อวานแต่เห็นว่ามีงานอะไรที่บริษัทก็เลยบินมาเช้านี้แทน เลยต้องไปคุยกับเขาให้ให้โอกาสเราต่ออีกหน่อยว่าจะพาเจ้าศักดิ์มันออกไปด้วย....”
“ผมขอโทษ....” เห็นพ่อของตัวเองทำหน้ายุ่งแบบนั้นก็อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้ “ไว้งานหน้าผมจะพยายามให้มากกว่านี้”
“เออๆ รู้แล้ว” สุชาติโบกมือปัด “ไปล่ะ บ่ายๆจะเข้ามาอีกรอบ อ้อ...ลืมบอกว่ามีรุ่นน้องจากชมรมมาเยี่ยม เดี๋ยวจะให้มันเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็รีบเดินออกไปยังด้านนอกทันที
บานประตูเปิดออกด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันได้มองจนเกือบจะชนกับเด็กหนุ่มผมทองที่อยู่ตรงหน้าประตู
“ขอโทษครับ คุณลุง....” เด็กหนุ่มเร็วพอที่จะสาวเท้าถอยหลบ ในขณะที่ยังถือของอยู่เต็มสองมือ
“ผมซื้อข้าวเที่ยงกับน้ำมาให้ครับ... ไม่แน่ใจว่าคุณลุงจะดื่มอะไรเลยซื้อทั้งกาแฟเย็น น้ำผลไม้แล้วก็มีน้ำขิงมาให้ด้วยเผื่อบ่ายๆอยากจะดื่มอะไรร้อนๆ”
“................................” สุชาติไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คงยังไม่ได้กิน เพราะเดี๋ยวลุงจะออกไปข้างนอก บ่ายๆจะกลับ เรา....เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเคนมันหน่อยละกัน ไอ้ศักดิ์เอ็งเอาของเข้าไปเก็บซะ แล้วรีบออกมาขับรถพาข้าไปรับคุณทวีที่สนามบินกัน”
.............................. to be con in next reply
-
:pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
ขอให้เค้าสมหวังกันซะที :monkeysad:
-
:L2: :pig4:
-
@@@ Talk @@@
ตอนที่ 43 มาต่อจนจบแล้วค่า
เป็น 5 หน้า ที่แก้แล้วแก้อีกมาก หวังว่าจะถูกใจ คนที่เชียร์ พี่เคน กับ จูน นะคะ
:katai4:
ภาพห้องพักฟื้นที่อยู่ตรงหน้าดูจะกว้างกว่าเมื่อวานที่ย่างเท้าก้าวเข้ามา ระยะทางจะบานประตูถึงปลายเตียงของผู้ป่วยดูห่างไกล สองขาพลันรู้สึกหนักอึ้งแต่กระทั้งก็รู้ดีว่าจะต้องก้าวต่อไป
“พี่เคน......” เด็กหนุ่มเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายขึ้นทั้งๆที่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นถี่รัวอยู่ในอก ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง หน้าตายังคงมีรอยช้ำและดูอิดโรยแต่ทั้งหมดแล้วยังดีกว่าการที่ต้องเห็นอีกฝ่ายนอนไม่ได้สติเหมือนอย่างเช่นเมื่อวาน
“จูน.......” เคนดูแปลกใจที่เห็นเขา แต่ในสีหน้านั้นก็มีความโล่งใจอยู่ด้วย
เด็กหนุ่มค่อยๆเดินไปหยุดที่ข้างเตียง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ มันบีบตัวเสียจนรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอก จูนได้แต่เม้มริมฝีปากก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างๆเตียง
“พ่อพี่ไม่ได้บอกว่าแกมา....” เคนเอ่ยพลางยิ้ม จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ “แล้วก็ไม่ได้บอกว่าใช้ให้แกไปซื้อของด้วย” ชายหนุ่มหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า
เด็กหนุ่มมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่งดวงตารีเรียวนั้นกลับแดงก่ำ ประกายในดวงตาขยับไหววูบเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่สั่นน้อยๆ
“ผมอาสาไปเอง คุณลุงไม่ได้ใช้หรอก” เด็กหนุ่มตอบ ริมฝีปากอิ่มได้รูปนั้นยิ้มน้อยๆ แล้วหลบตาลงมองต่ำ “ผมแค่คิดว่าพี่คง...อยากจะคุยกับพี่นิด” ในเสียงนั้นมีความประหม่าอยู่เช่นเดียวกับท่าทีของเด็กหนุ่มปลายนิ้วยังคงขยับไปมาไม่หยุด
“...นั่นสินะ...”เคนพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “คุยไปแล้วล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย เขายังรู้สึกได้ถึงมือเล็กของนิดที่บีบลงบนมือของเขา มือเล็กๆที่บีบลงมาแล้วไม่ได้บีบตอบ
‘…เมื่อหมดใจแล้วความรู้สึกมันก็ไม่เหลือ...’
เขาเคยได้ยินใครต่อใครพูดเอาไว้ และรู้ว่ามันจริงเมื่อผู้หญิงคนก่อนๆเดินจากเขาไปเพื่อคนที่บอกว่า “ดีกว่า” แต่ในตอนนั้นเขาและฝ่ายนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กวัยมัธยมความรู้สึกมันมาง่ายและหายไปง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้ แต่ในอีกด้านกลับมีเด็กหนุ่มคนนี้ ดวงตาคมของเคนหันกลับมาหาจูน มือที่บอบช้ำยกขึ้นแตะกับปลายนิ้วที่สั่นไหวของอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับว่ากลัวว่าคนตรงหน้าจะถอยห่างเหมือนอย่างทุกครั้ง
“แล้วแกล่ะ...มีอะไรจะคุยกับพี่ไหม”
“อืม......” จูนรับคำในลำคอเบาๆ
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ราวกับว่ากำลังพยายามสกัดกลั้นความรู้สึกที่กำลังทำให้ใจของเขาเจ็บปลาบลงไปให้ลึกที่สุด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลในเมื่อความร้อนเริ่มเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างและทิ้งตัวลงที่สองแก้ม ในใจเฝ้าถามตัวเองว่าเขาปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงกว่าจะเข้าใจตัวเองและยอมรับได้จึงใช้เวลานานขนาดนี้ นานจนเจ็บปวดกันไปหมดไม่ว่าจะตัวเองหรือใครๆ
“แกรู้ไหม พี่โคตรดีใจเลยที่แกมา ” ถ้อยคำที่สื่อความรู้สึกตรงๆดังขึ้นเบาๆ มือของนักมวยหนุ่มขยับบีบปลายนิ้วของเด็กหนุ่มเอาไว้ เห็นจูนพยักหน้ารับแรงๆจนเส้นผมสีอ่อนนั่นสะบัดไหวหากแต่ริมฝีปากยังคงเม้มแน่น
“แล้วแกก็รู้ใช่ไหมว่าพี่อยากได้ยินคำตอบของแกสักที” เคนรู้สึกได้ว่าภายในอกที่ช้ำจากแรงกระแทกของตัวเองนั้นหัวใจเต้นแรงขึ้นมาขนาดไหน มันบีบตัวแรงด้วยยินดีที่อีกฝ่ายจะยื่นมือมาดึงเขาออกจากหลุมลึกที่เขากระโจนลงมาเองนี่เสียที...เพราะเขาเกลียดเหลือเกินเมื่อมองไปแล้วทุกอย่างมันดูเหมือนจะไร้หนทาง เขาไปข้างหน้าไม่ได้ ไปข้างหลังก็ไม่ได้ มันเหมือนติดอยู่ในหลุมลึกและดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
“เพราะอย่างนั้น แกช่วยพูดกับพี่จะได้ไหม...พูดอะไรก็ได้ไม่ใช่นั่งร้องไห้แบบนี้”
“จะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไง ก็ผมกลัวนี่ ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวตั้งแต่อยู่ๆพี่ก็มาบอกชอบ กลัวว่าใครๆจะรู้เรื่องนี้ แล้วไหนจะกลัวว่าพี่จะไม่ตื่น กลัวว่าพี่จะเจ็บ กลัวว่าพี่จะเสียใจ” จูนตอบพลางสะอื้นออกมาเสียงดังไหล่ได้รูปสั่นไหว สองมือยิ่งกำแน่นจนทำให้คนเจ็บนิ่วหน้า
“แล้วมันก็น่ากลัวชิบหายตอนที่รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวได้ขนาดไหนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักที แต่ที่มันเจ็บมากคือในท้ายที่สุดแล้วผมทำอะไรให้พี่ไม่ได้สักอย่าง มาดูพี่แข่งก็ได้แต่เป็นไอ้บื้อที่ดูพี่โดนไอ้ฝรั่งนั่นมันต่อยเอาๆ ผมได้แต่นั่งรอให้พี่ลืมตา พอพี่ตื่นแล้วผมก็ไม่กล้าที่จะถามพี่ด้วยซ้ำว่าพี่เจ็บไหม” ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มสบตาของเคนทั้งน้ำตา เขาไม่ได้อยากร้องไห้แต่มันห้ามเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้วจูนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้กลัวว่าจะส่งเสียงแปลกๆออกไปอีก
มือแกร่งของเคนยื่นออกไปบีบมือของจูนเบาๆ ไม่ใช่เร่งรัดหากแต่เป็นการให้กำลังใจเสียมากกว่า
“แต่ที่ผมไม่ถาม...เพราะผมรู้ว่าก็พี่เจ็บ...กับทุกๆเรื่องเหมือนกัน” เสียงที่ดังขึ้นนั้นแหบพร่า ดวงตานั้นแดงก่ำหากแต่กลับเป็นประกายชวนมอง “ผมรู้ดีว่าพี่ก็ไม่ได้อยากแพ้ แม้แต่ตอนที่เห็นหน้าพี่เมื่อกี้ผมยังไม่กล้าถามพี่เลยด้วยซ้ำว่าพี่เป็นยังไงบ้างเพราะผมรู้....ว่าพี่ต้องกำลังเสียใจมากแน่ๆ” เด็กหนุ่มเอ่ย เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ น้ำตายังคงไหลไม่หยุดจากดวงตาทั้งสองข้าง เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดแรงๆ
“มันก็เจ็บเหมือนกันนะ ทั้งๆที่พี่สำคัญกับผมมากขนาดนี้ แต่ผมทำอะไรให้พี่ไม่ได้เลย แม้แต่จะห้ามไม่ให้พี่ทำผิดกับพี่นิดผมก็ทำไม่ได้...เพราะสุดท้ายผมเองก็แพ้ใจตัวเองเหมือนกัน”
“โธ่ จูน....” หัวใจของเคนหล่นวูบ นี่คนตรงหน้าต้องพยายามเท่าไรที่จะรวบรวมทุกคำมาพูดกับเขาได้ขนาดนี้ ความพยายามที่จะเข้มแข็งของอีกฝ่ายคงมีมากมายกว่าตัวเองนัก ชายหนุ่มอยากจะขยับตัวลุกไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้ถนัดนัก สุดท้ายก็ฝืนตัวเองไม่ไหวทำได้แค่เอนตัวลงกับหมอนอิงก่อนจะตบมือเบาๆที่เตียงแทน
เด็กหนุ่มพยักหน้าลงน้อยๆก่อนจะขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ลดราวกั้นด้านข้างลงแล้ว มือยังคงจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มสบตาของอีกฝ่ายนิ่ง ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดใจเจ้ากรรมจึงขยันบีบตัวให้เจ็บร้าวไปทั้งอกได้ขนาดนี้ มันรู้สึกอึดอัด เศร้า หากแต่ก็มีความอิ่มเอมที่มารวมตัวกันอยู่ในเวลาเดียวกัน
“พี่รู้ว่าระหว่างเรา หลายอย่างมันข้ามขั้นตอนอะไรไปมาก...พี่ขอโทษที่เคยทำให้แกอาย ทำให้แกเจ็บ ทำให้แกเสียใจ พี่ขอโทษจริงๆ”
“ผม....ไม่โกรธพี่เรื่องนั้นแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ปลายนิ้วที่เคนจับเอาไว้ยังสั่นไหวหากแต่มั่นคงกว่าครั้งไหนๆ
“ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ขอถามคำถามเดียวตอนนี้จะได้ไหม” คนเจ็บวางมือที่ยังมีสายน้ำเกลือติดอยู่ลงบนมือของอีกฝ่าย ท่าทางนิ่งสงบในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น
“........................” จูนไม่ได้ตอบเพียงแค่พยักหน้าลงเบาๆ ใบหน้ายังคงก้มลงต่ำ จนเคนต้องประคองใบหน้านั้นขึ้นมาให้สบตากับเขาอีกครั้ง
“เราจะรักกันดีๆได้หรือยัง” เสียงที่แหบพร่าของเคนดังขึ้นเบาๆ ที่มุมปากมีรอยยิ้มขี้เล่นแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน
“............................”
เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของเจ้าของผมสีทอง หากแต่พยักหน้าลงแรงๆ ในขณะมือเรียวก็ยกมือขึ้นทาบทับมือแกร่งที่อยู่ข้างแก้ม สัมผัสอบอุ่นที่ทำให้ใจสั่นไหว เมื่อหลับตาลงเขาทั้งคู่รู้สึกได้ถึงจังหวะแผ่วๆจากฝ่ามือของกันและกัน
“ผมรักพี่นะ...” เสียงนุ่มดังเพียงกระซิบ
เมื่อลืมตาขึ้นเคนเห็นใบหน้ามีคราบน้ำตา ใบหน้าที่เบะเบ้คล้ายจะร้องไห้ จมูกโด่งที่แดงก่ำ ผิวแก้มแดงจัด ทั้งหมดของคนตรงหน้าทำให้หัวใจของเคนพองโต จนต้องกระแอมไอออกมาเบาๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ่ จะเป็นเป็ดอยู่แล้ว แพ้นะเว้ย นี่ถ้าไม่ติดว่าปากเจ็บขนาดนี้พ่อจะจูบให้ขาดอากาศตายเลย”
“ปากหมาอีกละ” จูนยิ้มออกมาน้อยๆ มืออีกข้างตีลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายเสียงดัง
“เบาหน่อยสิ นี่คนเจ็บนะ” คนเจ็บโวยออกมาเบาๆ “ชิ ทนอดไปก่อนก็ได้วะ ไว้ออกจากโรงพยาบาลแล้วจะเอาคืนทีเดียวทั้งตัวเลย” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าขู่ยื่นหน้ามาเสียใกล้
“ไอ้หมีควายหื่นเอ้ย....” ท่าทางแบบนั้นทำให้จูนต้องด่าไปยิ้มไป ดวงตารีเรียวที่คราวนี้ไม่มีทั้งอายไลน์เนอร์ และคอนแทคเลนส์สีสวยสบตาของรุ่นพี่นิ่ง ในดวงตาคมของเคนเองก็ส่งความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมา
มันเป็นความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดหลังจากที่ความรู้สึกหนักอึ้งที่ต้องทนอึดอัดกันมานานเป็นเดือนๆนั้นได้จบลง ทั้งสองคนหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกัน บรรยากาศรอบๆตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ในคราวนี้ปลายนิ้วเรียวนั้นยังเกี่ยวกุมมือแกร่งของเคนเอาไว้ไม่ได้ละหนีไปไหน
มือขาวของคนที่มีเชื้อจีนอย่างจูนยกขึ้นแตะใบหน้าคมเบาๆ นึกถึงคำขู่ของอีกฝ่ายเมื่อครู่ก็ยิ้มน้อยๆ
“ถ้าเจ็บจนทำไม่ไหวก็บอก ไม่ต้องขู่......” จูนขยับเข้าไปใกล้ก่อนริมฝีปากจะจรดเบาๆลงบนผ้าพันแผลบนหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วถอยออกมา
“จะได้ทำให้......”
ในตอนนี้เองกลับเป็นเคนที่ต้องหน้าแดงและคำพูดทุกคำหายลงไปในลำคอ ไม่ได้คาดหวังว่าจูนจะตอบกลับด้วยการกระทำเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นี่ล่ะ คนที่เขารัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ผมของเด็กหนุ่มเบาๆ แล้วโน้มคอของจูนลงมากอดไว้ในอ้อมแขน
“ทำแบบนี้ไม่กลัวคนป่วยตบะแตกกันเลยใช่ไหม เก็บตัวนี่มันก็ต้องอดกันมาหลายอาทิตย์นะ” เคนกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม
“พี่ไม่ทำอะไรผมหรอก....ผมรู้” จูนตอบก่อนจะค่อยละตัวออกมา “เรื่องนั้นน่ะ อดต่อไปได้เลย แต่ตอนนี้ ต้องกินข้าวก่อน”
“ไรว้า....อุตส่าห์เคลิ้ม” ไม่วายที่เคนจะแหย่ แต่ก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วเช่นกันว่า จะไม่ทำอะไรที่จูนไม่อยากทำอีก ถ้าอีกฝ่ายจะให้เขารอ นานแค่ไหนเขาก็จะรอ ...ไม่อยากจะเล่น ไม่อยากจะฉาบฉวยกับเรื่องราวที่กำลังจะดำเนินไปอีกแล้ว
จูนเดินไปหยิบข้าวกล่องกับน้ำที่ศักดิ์เอามาวางไว้ให้ แต่ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ประตู จึงเดินไปดูที่ประตูด้วยกังวลเล็กๆว่าอาจจะเป็นคนรู้จักของเคนมาเยี่ยมกันอีกก็เป็นได้
....นี่ถ้ามาเห็นอะไรเมื่อกี้ไปคงเป็นลมตาย....
“เออนี่จูน....” เสียงเคนดังมาจากอีกด้านของห้อง
“อะไรครับ....” จูนตอบไม่ได้หันกลับไปมอง เด็กหนุ่มมัวแต่เปิดประตูออกไปดูที่ด้านนอกแต่ก็ไม่พบใคร
“สรุปไอ้โชติมันเป็นคนเอาตั๋วให้แกใช่ป่ะ”
............................................................... to be continued in next chapter
-
บอกรักกันแล้วค่าาาาาาาาาาาา :ling1: :ling1:
รอคอยมาเนิ่นนาน55555555 น้องจูนน่ารักน่ากดจังเลยอ่ะ แต่อีพี่เคนนี่ก็พระเอกสุดๆ ยอมน้องได้ตลอด
ปัญหาตอนนี้คงเหลือแต่ 'นิด' แล้วละ!
พี่เคนก็ช่วยทำอะไรให้ชัดเจนด้วยนะคะ น้องจูนของเรารักพี่เคนไปแล้วววววว :hao7: :hao7: :hao7:
-
กรี๊ดดดดด ในที่สุดดดดดดดดดด ก็เข้าใจกันซักทีนะ จุดพลุค่า :katai2-1:
-
:pig4 :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
@@talk@@
สวัสดีปีใหม่ไทย 2559 ค่ะ
กว่าจะได้เขียนทีก็ต้องหาช่วงหยุด
งานยุ่งจริงๆค่ะ ไม่รู้นักเขียนท่านอื่นจะเป็นแบบเราไหม
ขอให้มีความสุขกันมากๆนะคะ
...........................
Chapter 44 ตั๋ว
“ห้ามด่า แม่มึงโทรตามกูมา กูเลยต้องมา มึงเข้าใจนะ ”
โชติเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เมื่อเปิดประตูห้องนอนของยุทธ์เข้ามาพบกับห้องที่มืดสลัวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดม่านให้แสงส่องเข้ามา ข้าวของที่กระจัดกระจาย โมเดลที่เคยได้คำชมจากอาจารย์โดนอะไรบางอย่างซัดจนตกลงไปกองที่อีกด้านของโต๊ะพังหักไม่เป็นชิ้นดี โคมไฟตกลงมาแตก กระจกบนบานประตูตู้ก็ร้าวเป็นรอยกลมที่กระจายรัศมีออกไปเป็นวงปรากฏเป็นรอยของอะไรบางอย่างที่กระแทกลงบนพื้นผิวนั่นอย่างแรง ความรุนแรงของพายุที่พัดผ่านไปนั้นก็เห็นได้ชัดที่พื้น รอยเลือดหยดเป็นทาง เมื่อมองตามก็เห็นเส้นผมสีอ่อนของใครบางคนที่นั่งคุดคู้อยู่ที่ข้างเตียง
โชติกรอกตาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ข้างๆของอีกฝ่ายโดยไม่ลืมที่จะปัดเศษแก้วหรืออะไรก็ตามตรงนั้นออกไป ปลายจมูกได้กลิ่นเหล้าลอยมาแตะจมูก
“อยู่ๆก็อาละวาดซะลั่นบ้าน เล่นซะเละขนาดนี้ใครจะเก็บวะ นี่แม่มึงเป็นห่วงมึงมากนะเว้ย” โชติเอ่ยดวงตามองไปรอบๆ ไม่ต้องสงสัยคงเป็นตัวเขาที่ต้องช่วยเก็บเป็นแน่
“อืม...กูรู้” เสียงรับเบาๆจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “แต่กูแค่....เจ็บ ก็เท่านั้น” ยุทธ์เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือในลำคอ ยุทธ์หันไปเห็นอีกฝ่ายขบฟันกรามแน่น มือที่มีรอยเลือดนั้นก็กำแน่นเช่นกัน “....มึงจงใจสินะ เรื่องทั้งหมด”
ตอนที่โชติเอาตั๋วเข้าดูการชกของเคนมาให้นั้นเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร แต่ตอนนี้มันก็เด่นชัดขึ้นมากแล้วว่าความต้องการของโชติคืออะไร เพียงแค่คิดก็รู้สึกปวดเข้าไปข้างในกะโหลกเจ็บเข้าไปในใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สิ่งที่จะระบายความรู้สึกออกไปทั้งหมดได้ก็มีเพียงการกวาดสิ่งของรอบตัวออกไปให้หมดเท่านั้น เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“ใช่...กูจงใจเอาตั๋วมาให้มึง กูรู้อยู่แล้วว่าอย่างจูนเวลามีเรื่องกลุ้มใจน่ะมันไม่มีทางมาหากูหรอก มันต้องมาหามึง มึงก่อนเท่านั้น กูก็แค่ช่วยให้น้องไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาก็เท่านั้นเอง”
“หึ....” ยุทธ์หัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าสวยส่ายน้อยๆ “มึงแม่ง....เหี้ยจริงๆว่ะ” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหันมากระชากคอเสื้อของโชติอย่างแรง “แล้วมึงยังมีหน้ามาหากูอีกนะ มึงต้องการอะไรกันแน่ ไอ้โชติ!!” แรงที่มือเรียวนั่นส่งมานั้นไม่ได้น้อย
“อึ่ก...” โชตินิ่วหน้าเพราะเสื้อมันรัดแน่นจนเขาจะหายใจไม่ออก “เออ...กูมันเหี้ย “โชติแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ มืออีกข้างยกขึ้นพยายามดึงมือของอีกฝ่ายออกก่อนที่ยุทธ์จะทำเขาขาดอากาศหายใจ “แต่จริงๆแล้วใครมันเหี้ยกว่ากันกูก็อยากจะรู้ มึงน่ะ ก่อนจะว่าใครมึงถามตัวเองก่อนเถอะว่าสุดท้ายแล้ว...ไอ้จูนมันได้ตั๋วไปยังไง!!”
คำถามที่ดังออกมาจากปากของโชตินั้นทำให้มือที่ดึงคอเสื้ออยู่นั้นลดแรงลงแทบจะในทันที พลันในหัวนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำ...
“ขอตั๋วให้ผมเถอะพี่ยุทธ์...”
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าในตอนนั้นเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เขาเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออก ก่อนที่ดวงตารีคู่นั้นสบตากลับมาราวกับจะวอนขอ
“ผมต้องไป”
คำพูดนั้นกับใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทำให้ยิ่งแน่ใจมากขึ้นไปอีกว่าทำไมถึงไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายไปไหน มือเรียวจากเดิมที่ล้อมกรอบอีกฝ่ายไว้กับผนังจำต้องลดลงมา
....ถ้าแกไป ไอ้เคนมันต้องทำแกร้องไห้อีก ...
....ถ้าแกไป...แกก็จะต้องเจ็บปวดอีก...
....ถ้าเป็นแบบนั้น...
“จูบสิ...จูบพี่แบบที่แกทำกับไอ้เคน แล้วพี่ถึงจะให้แกไป” ถึงปากจะยืนยันแบบนั้นแต่ในใจอยากจะให้อีกฝ่ายปฏิเสธ แต่สายตาของคนตรงหน้าที่มองมากลับทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ดวงตารีเรียวนั่นมองตรงมานั้นกลับยิ่งดูเศร้าสร้อย จูนดูผิดหวัง หากจะให้สรรหาคำมาบรรยายได้ตรงตัว คำว่าผิดหวังคงสื่อได้ชัดที่สุดแล้ว
“มัน...เป็นบท พี่ยุทธ์ก็รู้...” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ในน้ำเสียงนั้นสั่นพร่า
“ใช่ ... พี่รู้ “ ยุทธ์ตอบ นึกขัดใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังไม่ปฏิเสธ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อน กระชากแขนของเด็กหนุ่มสุดแรงให้อีกฝ่ายตามมาที่เตียง ก่อนผลักเด็กหนุ่มลงไป ถึงจะตัวเล็กกว่าแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักเมื่อเขานั่งคร่อมลงไปบนตัวของจูนทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวของอีกฝ่าย สองมือกดแขนของจูนเอาไว้กับเตียง
“........................” ไม่มีเสียงร้องหรือตอบโต้ มีเพียงสายตาที่จ้องมองมาของจูน ที่ทำให้ใจของยุทธ์ยิ่งเจ็บ เจ็บที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะปฏิเสธแต่อย่างใด
“ทำไม นี่แกอยากไปหาไอ้เคนมันขนาดนั้นเลยรึไง” ยุทธ์ได้ยินเสียงของตัวเองแหบพร่าและรู้ได้ว่าทุกอย่างมันสั่นไปหมด ทั้งตัวทั้งหัวใจความรู้สึกนั้นทำให้ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปจนชิด จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างกายของอีกฝ่ายกลิ่นสบู่แบบเดียวกับที่ตัวเองใช้เมื่อเช้า
“ตอบสิ!” เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่ง ด้วยไม่เข้าใจจึงยิ่งคาดคั้น ยิ่งอยากได้ยินจากริมฝีปากสวยนั่นมากขึ้น สองมือยิ่งบีบรัดข้อมือของเด็กหนุ่มแน่น คนที่นอนอยู่เบื้องล่างดูตกใจกับการใช้เสียงของเขา มันแน่นอนอยู่แล้วในเมื่อเขาไม่เคยใช้โทนเสียงนี้กับอีกฝ่ายมาก่อน
“..........”
แต่สิ่งที่จูนตอบกลับไปคือสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากของยุทธ์ เด็กหนุ่มยกศรีษะขึ้นเพื่อจูบอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากนุ่มเม้มลงเบาๆ สัมผัสที่ทำให้หัวใจหวามไหว อีกครั้งและอีกครั้งโดยไม่ได้ให้เขาตั้งตัว ยุทธ์ได้แต่หลับตา ปลายจมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆนั่นชัดเจน เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยยากจะต้านทาน ก่อนจะตอบรับสัมผัสนั้นราวกับกระหายอยากมาแสนนาน สองมือเปลี่ยนมาประคองใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาให้เขาเป็นฝ่ายได้มอบสัมผัสนั้นให้กับจูนบ้าง ริมฝีปากของพวกเขาแนบชิด ความฉ่ำชื้นที่หอมหวานตรงปลายลิ้นนั้นทำให้เป็นตัวเขาเองที่ช่วงชิงมา
ร่างเล็กขยับตัวขึ้นทาบทับเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องล่าง รู้สึกได้ถึงความร้อนจากลมหายใจของตัวเองและอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงพร้อมกับแรงอารมณ์ ปลายนิ้วละจากคางมนของจูนลงมาที่สองไหล่ ไล้เบาๆก่อนที่ริมฝีปากจะประพรมจูบเรื่อยจากข้างแก้มลงมาที่ซอกคอขาว
“...อ่ะ...พี่...ยุทธ์..”
พลันหูที่อื้ออึงจากแรงอารมณ์ก็ได้ยินชื่อของตัว รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขยับคล้ายจะขัดขืนแต่มันไม่ทันเสียแล้วเมื่อเขาฝังปลายจมูกลงกับซอกคอนั้นพลางใช้ฟันขบเม้ม ฝังร่องรอยที่เมื่อคืนห้ามใจแทบตายที่จะไม่ทิ้งเอาไว้ลงบนผิวกายของอีกฝ่าย หวังไว้ในใจว่าเด็กหนุ่มจะดิ้น ดัน หรือ เตะตัวเขาออกไปให้พ้นๆ แต่ก็ไม่ ยุทธ์ค่อยยันตัวเองขึ้นเพื่อมองหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง จูนนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองแขนกางออกเหมือนกับว่าเขายังตรึงมันเอาไว้ ผิวแก้มขาวบัดนี้เป็นสีแดงก่ำลมหายใจเหมือนติดขัด มีเพียงดวงตารีเรียวที่มองกลับมาอย่างยากจะคาดเดาความหมาย
ในตอนนั้นเองที่ยุทธ์รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่มีอะไรที่จะทำให้อีกฝ่ายอยู่กับเขาได้อีกต่อไป ความรู้สึกขมขื่นมันแล่นขึ้นมาจุกที่คอ แต่ก็รวบรวมแรงทั้งหมดให้ลุกไปหยิบตั๋วที่ตกอยู่บนพื้นนั่นขึ้นมาส่งให้กับอีกฝ่าย
จูนยันตัวลุกขึ้นพลางใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากฉ่ำชื้นของตัวเอง ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังแดงก่ำเมื่อยื่นมือไปรับตั๋วใบเล็กๆนั่นมาจากมือของเจ้าของบ้าน
“นี่พี่ทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ” ยุทธ์ยังไม่ปล่อยมือจากตั๋วนั่น
“ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมแกถึงไม่ปฏิเสธ นี่ต้องทำขนาดนี้กันเลยรึไง” ยุทธ์ถามรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะให้เขาจูบหรือทำอะไรแบบนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนเล็กๆที่อีกฝ่ายพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้
“ผมชอบที่จะอยู่กับพี่นะ ผมสบายใจทุกครั้งที่มีพี่อยู่ข้างๆ ”จูนเอ่ยมืออีกข้างยกขึ้นแตะที่ข้างแก้มของเขา ฝ่ามือนั้นร้อนผะผ่าว “พี่ทำให้ผมอุ่นใจเสมอเวลาที่ผมต้องการใคร และผมรู้ว่าผมโชคดีมากขนาดไหนที่มีพี่อยู่ด้วยตลอดทุกครั้งที่ทุกข์ใจ ” ดวงตารีเรียวของเด็กหนุ่มที่มองมานั้นคล้ายกำลังจะร้องไห้ แต่ด้วยความรู้สึกใด ยุทธ์ก็ไม่แน่ใจนัก
“แต่ตอนนี้ ผมคงอยู่กับพี่ไม่ได้...ผมขอโทษ”
สิ้นเสียงริมฝีปากสวยนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ ประทับเบาๆลงข้างแก้มของเขาสัมผัสแผ่วผ่านก่อนที่เด็กหนุ่มจะดึงเอากระดาษใบเล็กนั่นออกไปจากมือที่ไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรงของเขา ร่างสูงโปร่งนั่นค่อยเดินออกจากห้องของเขาไป ฝีเท้าแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินเสียงราวกับว่าอีกฝ่ายได้ติดปีกแล้วโผบินจากไป...ไปยังที่ที่เขาคงไม่อาจคว้าอีกฝ่ายกลับมาได้อีกต่อไป
....................
ปลายนิ้วที่ยึดคอเสื้อของโชติเอาไว้ค่อยคลายออกอย่างอ่อนแรง สองแขนเปลี่ยนมากอดร่างของคนตรงหน้าเอาไว้อย่างหลวมๆ ใบหน้าได้รูปของพระเอกประจำชมรมก้มลงพิงกับไหล่ของอีกฝ่าย เขาไม่อยากจะพูดอะไรต่อเพราะเพียงแค่นึกถึงมันก็เจ็บมากเหลือเกิน
“ฮ่ะๆ....” เสียงของโชติหัวเราะขึ้นเบาๆ “กูคิดไว้อยู่แล้วว่ามึงน่ะไม่มีทางรับบทเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีไปได้ตลอดหรอก มึงคิดดูสิว่าไอ้จูนมันจะรู้สึกยังไงที่รุ่นพี่แสนดีบอกให้มันทำอะไรเหี้ยๆแลกกับตั๋วบ้าๆนั่น มันคงกลั้นน้ำตาแทบตายเลยล่ะ...ใช่ไหม” โชติยิ้ม
“............” ยุทธ์ไม่ได้ตอบโต้เพียงแค่ขบฟันกรามแน่น ทำไมเขาถึงไม่ฉุกใจคิดว่าสุดท้ายมันก็คือตัวเขาเองที่ทำให้จูนต้องเสียใจ
“แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ “ โชติดึงหน้าของยุทธ์กลับมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเบือนหน้าหนี
“ ความจริงไอ้เคนมันให้ตั๋วไว้สองใบ อีกใบกูเลยเอาไปให้นิดเรียบร้อย ไอ้จูนมันไปที่สนามก็ต้องไปนั่งข้างๆนิด ฮ่ะๆ คงอึดอัดพิลึกนะที่ต้องไปเจอแฟนของคนที่ตัวเองชอบในสถานการณ์แบบนั้นน่ะ” พูดไปพลางก็หัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก
“มึงมันบ้า พวกกูไม่ใช่ตัวละครของมึงนะที่จะเขียนบทให้มันเป็นยังไงก็ได้น่ะ! “ ยุทธ์นึกอยากจะต่อยอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่จากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาทั้งหมดมันไม่ทำให้เขาเหลือเรี่ยวแรงใดๆ มันคงดีกว่านี้มากหากไม่ต้องมาได้ยินว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นนั้นคือการจัดฉาก...โดยคนที่รู้จักตัวเขาดีมากที่สุดคนหนึ่ง
“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้กับกูด้วย โชติ” เสียงที่ยุทธ์ถามออกมานั้นแหบพร่า
“กูก็แค่...” โชติเอ่ยเบาๆ ขยับถอยออกมาพร้อมมือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ ราวกับไม่อยากให้ยุทธ์พลาดไปสักวินาทีกับสิ่งที่เขากำลังจะบอกออกไป
“อยากให้มึงเข้าใจว่า มันเจ็บขนาดไหนที่ไม่ว่ามึงจะพยายามรั้งเอาไว้ยังไง กับคนที่ไม่ได้รักเรา ยังไงเขาก็หาทางเดินไปจากเราได้อยู่ดี”
“.....................” ยุทธ์ถึงกับพูดไม่ออก เขาอยากจะเปล่งเสียงอะไรออกไปบ้างแต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ
“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ...” ดวงตาเล็กของโชติจ้องมองกลับมาที่ดวงตากลมโตของยุทธ์ “ไอ้เคนมันไม่กล้าบอกเลิกแฟนมันแน่ๆ ไอ้สองคนนั้นไม่ได้สมหวังกันง่ายๆหรอก ยังมีเวลาให้จูนกลับมาหามึงอยู่เรื่อยๆแน่ล่ะ”
....มันก็คงจะดี....
...แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...
...จูนจะต้องเจ็บอีกกี่ครั้ง....
“ทำไมวะโชติ...แค่กูเจ็บมันก็น่าจะพอแล้วนี่ มึงจะให้น้องมันเจ็บเพื่อให้มันกลับมาหากูอีก...มึงจะทำแบบนั้นอีกทำไม” เพียงแค่คิดก็รู้สึกกลัวจนใจในอกสั่น นี่เขายังจะต้องทำให้จูนเจ็บอีกกี่ครั้ง
“แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”โชติถาม น่าแปลกที่ไม่ได้ดูอยากจะยั่วให้เขาโมโห แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับอ่อนโยน “ในเมื่อมันเป็นทางเดียว ที่กูจะทำให้มึงมีความสุขได้โดยที่กูได้ทำให้มึงเข้าใจความรู้สึกของกูก่อน” ชายหนุ่มผมฟูพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในดวงตานั้นเหมือนจะมีน้ำตา ริมฝีปากของโชติที่เขาเห็นนั้นเบะเบ้พร้อมเสียงสั่นเครือที่แม้จะฟังไม่ได้ชัดนักเพราะเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายแต่ก็ได้ยินชัดเจน
“เพราะกูรักมึง”
หัวใจของยุทธ์บีบตัวจนเจ็บ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาอาจจะทำให้จูนร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาผิดหวัง แต่เป็นเพราะความเศร้า ความเจ็บปวด และเสียใจจากน้ำเสียงและถ้อยคำของคนตรงหน้าที่ส่งมาถึงเขาได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะถ้อยคำแค่ไม่กี่คำ
“โชติ...กู... “ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปหมายจะจับมือของอีกฝ่าย แต่ยังนึกคำพูดต่อจากนี้ไม่ออก เขาไม่ได้จะบอกรัก มันคงเห็นแก่ตัวมากขึ้นไปอีกที่จะบอกว่า “ไม่เป็นไร” “กูก็รักมึง” ออกไปเพียงเพื่อจะปลอบให้อีกฝ่ายเจ็บน้อยลงได้ เพราะนี่คือทางเลือกที่เจ็บน้อยที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งคู่แล้ว
“กูไปล่ะ....” โชติยกมือขึ้นราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายจับ ร่างเล็กลุกขึ้นยืนสายตามองไปรอบๆห้องที่เละเทะไม่ต่างจากเพิ่งโดนพายุทอร์นาโดพัดกระหน่ำใส่
“ทำแผลซะ แล้วก็บอกแม่มึงด้วยละกันว่า กูช่วยมึงเก็บไม่ได้แล้ว... อ้อ หนังเรียบร้อยแล้วกูส่งไปที่กองประกวดแล้วนะ เดี๋ยวกูจะนัดพวกมึงอีกที เพราะกูจะเอามาให้พวกในมหาลัยได้ดูด้วย เปิดโรงหนังเล็กๆกันในห้องชมรมเก็บเงินนิดหน่อย....อีกสัก สี่ห้าวันจะโทรมาหาอีกทีละกัน”โชติพูดถึงแผนการของตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องของยุทธ์ไป
....มึงไม่ต้องห่วงหรอกนะ....
...ไม่ว่ายังไงไอ้จูนก็จะกลับมาหามึงแน่ๆ...
.............................to be continued
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
Chapter 45 เริ่มรัก
วันอาทิตย์
“ความจริงคุณทวีไม่จำเป็นจะต้องมาถึงนี่เลยนะครับ การแข่งก็ผ่านไปแล้วแถมไอ้ลูกชายของผมยังแพ้คะแนนอีกทำคุณทวีเสียชื่อเปล่าๆ “ เสียงของพ่อสุชาติดังขึ้นเมื่อประตูรถปิดลง เขามาที่สนามบินเพื่อรับสปอนเซอร์คนสำคัญที่ยื่นโอกาสให้กับค่ายของเขารวมถึงลูกชายของเขาด้วย
“ไม่เป็นไรเลยครับ นั่งเครื่องแค่เดี๋ยเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างลูกชายของคุณสุชาติก็ขึ้นไปต่อยให้แถมยังต่อยได้ดีมากเสียด้วย จะไม่ให้มาเยี่ยมให้กำลังใจหลานแล้วจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ” เจ้าของชื่อยิ้ม เจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกรายใหญ่คนนี้รีบมาทันทีที่จัดแจงตารางเวลาเสร็จ ทำให้สุชาติเห็นได้ถึงความจริงใจและความชื่นชอบในกีฬามวยไทยและความใส่ใจของอีกฝ่าย
“เคนเขาเป็นนักมวยที่เก่งนะครับ น่าส่งเสริม ยิ่งรูปร่างแบบนี้น่าจะให้ไปต่อยเมืองนอก”
“อ่ะ ครับ ตัวมันใหญ่แต่หลังๆมานี่ มัวแต่ทำกิจกรรมที่มหาลัยจนไม่ค่อยฟิตเท่าไร มันน่าเล่นงานนัก”
“เท่าที่ทราบไฟท์ครั้งนี้ก็เหมือนจะกะทันหันอยู่เหมือนกัน ขอแค่ถ้าเขามีเวลาซ้อมคงทำได้ดีกว่านี้ แต่เท่าที่เห็นจากในคลิปเมื่อวานผมว่าเขาใจสู้มากเลยนะครับ” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะน้อยๆ ในขณะที่มองตรงไปเบื้องหน้าภาพบ้านเมืองดูเจริญหูเจริญตากว่าครั้งสุดท้ายที่เขามาเยือนที่จังหวัดนี้อยู่มากมีห้างใหญ่ขึ้นมากมาย
“แต่ยังไงก็คงต้องให้คุณทวีช่วยเตือนเจ้าเคนมันหน่อยนะครับว่าอย่าเล่นให้มันมากนัก เพราะผมพูดอะไรไปมันก็คงจะไม่ฟังสัก
เท่าไร” แต่ถึงจะบ่นไปแบบนั้นสุชาติก็ภูมิใจในตัวของเคนไม่น้อยที่สู้ไม่มียอมแพ้แบบนั้น
“เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วยใช่ไหมครับ? “ อยู่ๆสปอนเซอร์ใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“อ้อ...ใช่ครับ มหาวิทยาลัยเขาก็อยู่ไม่ไกลจากถนนนี่สักเท่าไร เรียนพละนั่นล่ะครับ”
“เหรอครับ โลกกลมจังนะครับ เพราะลูกชายผมก็เรียนที่นี่เหมือนกัน นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้วด้วย ถ้าอยู่ๆผมโผล่ไปหาที่หอเขาคงจะโวยวายน่าดู” ทวีหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนเมื่อพูดถึงลูกชาย
หุ้นส่วนทั้งสองคนมาถึงที่โรงพยาบาลเพราะทวียืนกรานอยากจะมาเยี่ยมนักกีฬาที่เขาให้ความสนับสนุนอยู่ให้ได้ แม้สุชาติจะอยากห้ามเพราะเขาไม่แน่ใจว่า “ธุระ” ทั้งหลายของลูกชายนั้นจะเสร็จแล้วหรือยังยิ่งบรรยากาศบางอย่างที่เขาเห็นจากเด็กหนุ่มคนที่มาเฝ้านั้นก็กวนจิตใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ในเวลานี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือภาวนาให้สปอนเซอร์อย่างทวีไม่รู้สึกได้อย่างเหมือนที่เขารู้สึก เพราะมันคงไม่ดีนักหากนักกีฬาที่บริษัทใหญ่แบบนี้จะมาสนับสนุนนั้นมีข่าวอะไรแพร่งพรายออกไป
[/i].....อย่าให้มันน่าปวดหัวไปมากกว่านี้เลย....... [/i]
สุชาติภาวนาในใจก่อนเปิดบานประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วเดินเข้าไปด้านใน โดยมีศักดิ์ยืนรออยู่ที่ด้านนอก
“กลับมาแล้ว....มีแขกมาเยี่ยมด้วย....” เขาจงใจส่งเสียงดังหวังให้คนป่วยและเพื่อนรู้ตัว
“อ้าว...พ่อ มาเร็วจัง” คนป่วยที่ยังไม่ได้สติจนกระทั่งเมื่อเช้าตรู่ลุกขึ้นมานั่งดูทีวีได้หน้าตาเฉยในช่วงบ่ายของวัน สุชาติหันมองไปรอบห้องแล้วไม่มีวี่แววของเด็กหนุ่มผมทองคนนั้น
“....เพื่อนแกล่ะ”
“เห็นเขาเพลียๆ เลยบอกให้กลับไปแล้วน่ะ” เคนว่าพลางยิ้ม รอยยิ้มในแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นมาสักพักใหญ่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกประหลาดใจว่าเด็กคนนั้นเป็นใครทำไมถึงได้ทำให้ลูกชายของเขาอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสุดขั้วขนาดนี้ แต่ถึงจะมีคำถามก็ลืมไม่ได้ว่ามีแขกมาด้วยจึงได้รีบหันไปแนะนำ
“เอ้อ เคน...ไหว้คุณอาเขาซะ คุณทวีที่เมตตามาเป็นสปอนเซอร์ให้พวกเราในคราวนี้” ว่าพลางหลบทางให้กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“สวัสดี....ครับ....” เคนยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแขกของพ่อ
“สวัสดีเคน เป็นไงมั่ง อาดูที่เราต่อยแล้วนะ เก่งมากจริงๆ” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้ ทวีเป็นชายวัยกลางคนเชื้อสายจีนดวงตารีเรียว คิ้วคมเข้มจมูกโด่ง เส้นผมบางส่วนเป็นสีดอกเลาหากแต่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอาจจะเป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างเป็นมิตรนั้นก็เป็นได้
“อ่ะ....เอ่อ....ก็ยังมีเจ็บบ้างครับ แต่เดี๋ยวก็คงหายครับ ขอบคุณคุณอานะครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยม” เคนยิ้มตอบ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ถือตัวสักเท่าไรนักแม้จะได้ยินจากพ่อมาก่อนหน้านี้ว่าคุณทวีเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีกิจการมูลค่ามหาศาล
“เออ...เห็นคุณสุชาติว่าเราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่นี่ด้วย ลูกชายอาก็เรียนเหมือนกันนะ เขาชื่อ....”
....RRR !! RRR !!...
ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทั้งสามคนยืนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นทวีเองที่สะดุ้งขึ้น
“อ่ะ ขอโทษนะครับ...ขอผมออกไปรับโทรศัพท์สักครู่” สปอนเซอร์รายใหญ่เอ่ยก่อนจะยกมือป้องโทรศัพท์เดินออกไปด้านนอกทันที
“เคน.......”
“อะไรพ่อ” เคนยั งนึกติดใจใบหน้าของแขกของพ่ออยู่ไม่น้อยแต่ก็กันกลับไปหาพ่อของตัวเอง
“สรุป...แกกับไอ้เด็กนั่น มันยังไง” สุชาติหันมาถามลูกชาย สีหน้าเครียดอยู่ไม่น้อย
“..............” เคนนิ่ง ดวงตาคมสบตาผู้เป็นพ่อไม่ไหวติง ไม่มีท่าทีประหลาดใจ ก่อนริมฝีปากนั่นจะเหยียดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“เขาเป็นแฟนผมเอง”
“แฟน? มึงจะมาอำอะไรกูเล่นอีก ไอ้เด็กนั่นมันเด็กผู้ชายนะ” สุชาติร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคำที่ได้ยินจากปากของลูกของตัวเอง
“ก็ถ้าจะให้ใช้คำที่พ่อเข้าใจได้ละก็คงคำนี้ล่ะ ไม่มีคำอื่นแล้ว ก็คนนี้นี่ล่ะที่พ่อบอกให้ปล้ำ นี่ก็เลยเลิกกับนิดเพื่อที่จะมาหาคนนี้นี่ล่ะ” เคนตอบออกมาหน้าตาเฉย
“ปล้ำอะไรกูไม่เคย.....” คนเป็นพ่อตั้งใจจะเถียงว่าเขาไม่เคยออกไอเดียแผลงให้ลูกชายไปปล้ำผู้ชายแน่ แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อทันใดคำพูดที่เคยพูดกับอีกฝ่ายไว้เมื่อคืนวันสิ้นปีก็ดังขึ้นมาในหัว
“ไม่ฟังก็ต้องทำให้รู้ ปล้ำแม่ง.....วิถีชายไทย ไม่เคยเห็นในละครรึไง ปล้ำซะ ถ้าเขารักเขาชอบเดี๋ยวก็ยอมเอง ผู้หญิงเขาต้องมีฟอร์มเว้ย เดี๋ยวโดนหาว่าง่าย”
“ไอ้เคน....นี่มึงเอาเรื่องแบบนี้มาพูดจริงจังไม่ได้นะ” แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่สุชาติก็ทำได้แค่เอ็ดลูกชายเบาๆเมื่อคิดว่าสปอนเซอร์รายใหญ่อยู่ที่ด้านนอกของห้อง
“เรื่องแบบนี้พ่อก็รู้ว่าผมไม่พูดเล่น ผมรักเขาจริงๆ ตอนแรกก็คิดอยู่นะว่าถ้าพ่อรู้จะเป็นยังไง แต่ไหนๆพ่อถามตรงๆผมก็ตอบตรงๆเหมือนกัน” เคนตอบมาตามตรง ตรงเสียจนสุชาติแทบจะอยากเบือนหน้าหนี
“........นี่มึงไม่ได้อำกูเล่นใช่ไหม” รู้สึกเหมือนเข่าอ่อนสุชาติทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาที่อยู่เบื้องหลัง
“ไม่ ผมไม่ได้ล้อเล่น” ดวงตาคมของลูกชายที่สบตากลับมานั้นยิ่งย้ำให้รู้ว่าคำที่พูดออกมานั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“แล้วมึงก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรกูด้วยสินะ”
“เอายาไหมพ่อ....ดูสิก็ขนาดบอกตรงๆแล้วพ่อยังเป็นขนาดนี้ ถ้าผมปิดพ่อคงเข้าห้องไอซียูแน่ ” เคนถามด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือนั่นก็ทำให้เขาต้องเงียบเหมือนกัน
“ฟังกูนะไอ้เคน...กูมันก็ผู้ชายตัวคนเดียว กูรู้ว่าเลี้ยงมึงมาแบบทิ้งๆขว้างๆ จะมีลูกน้องมาช่วยเลี้ยงเด็กมันก็ทำได้แค่หยาบๆ มึงโตมาแบบนี้ก็ดีกว่าที่กูคิดไว้เยอะ แต่กูก็ยังอยากเห็นว่ามึงมีคนมาคอยดูแลเอาใจใส่มึงดีๆก็เท่านั้น....กูหมายถึงผู้หญิงน่ะนะ”
สุชาติเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ถึงจะคอยเฝ้าดูทุกก้าวของลูกชายอยู่ห่างๆมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเป็นห่วงมากขนาดนี้ ดวงตาของผู้เป็นพ่อมองหน้าของลูกชายคนเดียวด้วยความเป็นห่วง นักมวยร่างโตแต่สุดท้ายสำหรับเขาแล้วเคนก็ยังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่จับมือเขาเอาไว้แน่นในวันงานศพของภรรยาของเขาอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ชายหนุ่มตรงหน้าก้มลงมองที่มือที่อยู่บนหน้าตัก ราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมายาวเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“แต่พ่อ....คนที่จะคอยดูแล เอาใจใส่ ความอ่อนโยนพวกนั้นน่ะ...มันจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องเป็นผู้หญิง?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังพอที่เขาทั้งสองคนจะได้ยิน “ทั้งๆที่ผมคิดว่าผมเจอทั้งหมดนั้นในตัวของเขาแล้ว” เป็นอีกครั้งที่เคนยิ้มด้วยความภูมิใจในดวงตาคมนั้นเป็นประกาย “และผมก็อยากจะใส่ใจของผมทั้งหมดกับเขาเหมือนกัน แค่นี้มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อ”
“...มะ...ไม่รู้ด้วยหรอกเว้ย อย่าพูดอะไรชวนเลี่ยนได้ไหมเนี่ย แล้ว...มึงจะยิ่มหาอะไรเนี่ย กู...ยังไม่ได้บอกนะเว้ยว่ากูยอมรับ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่คุณสุชาติเจ้าของค่ายอุดรพยัคฆ์ที่ใครต่อใครก็เกรงใจกลับตอบลูกชายได้ไม่เต็มปากแบบนั้นทำให้เคนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
"จูนเขาเป็นเด็กดีนะ”
“กูก็ไม่ได้เถียงนี่.....” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อเสียงบานประตูดังขึ้นอีกครั้งทำให้สุชาติต้องเบาเสียงลงก่อนจะหันมาทำหน้าเครียดใส่ลูกชาย “กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ ไอ้ตัวแสบ”
“ขอโทษนะครับ...พอดีว่าลูกชายโทรมา นี่แม่เขาคงโทรไปรายงานข่าวน่ะว่าผมมาที่นี่ เอ้อ เคนก็เรียนที่เดียวกับลูกอาด้วยนะ แต่คงจะเป็นรุ่นน้องล่ะมั้ง”
“อ่า...เหรอครับ” เคนรับคำพล่างยิ้มแห้งๆ
“ใช่ ลูกชายอาน่ะ เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่เดียวกับเราเลย ชื่อจูนน่ะ”
.....................................
สองวันผ่านไป
‘พี่เคน...หายดีรึยังคะ อยากได้ทานอะไรรึเปล่านิดจะเอาไปให้’
‘จะออกจากโรงพยาบาลหรือยังคะ ให้นิดไปอยู่เป็นเพื่อนไหม’
‘พี่เคน พุธนี้มีเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอคะ พี่เคนจะมาเรียนไหม หรือจะให้นิดไปเอาเลคเชอร์กับพี่ต้าร์ดี’
เคนมองตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นอย่างอ่อนใจ แม้ไม่ได้โทรมาแต่ข้อความบนโทรศัพท์กลับมีมาถึงเขาทุกวันอาจจะบ่อยกว่าตอนที่เขายังเรียกเธอว่าแฟนด้วยซ้ำไป นิดกำลังคิดจะทำอะไรอยู่เขาเองก็ไม่อาจจะเข้าใจ เขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงแต่สำหรับตัวเองในตอนนี้แล้ว...เขาไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาเป็นห่วงเป็นใยเขาอีกต่อไปแล้ว
...ขอโทษนะนิด ...แต่พี่ตอบกลับข้อความของนิดไม่ได้แล้ว ...
ชายหนุ่มได้แต่คิดแบบนั้นถึงแม้จะสงสารแต่ก็คงทำได้เพียงแค่สงสาร เขาได้แต่เชื่อว่าเวลาจะทำให้นิดรู้สึกดีขึ้นเอง ร่างสูงเอนกายลงนอนกับเตียงแข็งๆในหอพักที่ไม่ได้กลับมานานเสียนาน แสงไฟด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องที่มืดสลัว มีเพียงแค่หน้าจอมือถือที่ยังสว่างอยู่ในความมืด ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปบนหน้าชื่อของเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้วงความคิดก็ปรากฏขึ้นมา ริมฝีปากบางเหยียดเป็นรอยยิ้มก่อนปลายนิ้วจะพิมพ์ข้อความส่งออกไป
…………………………………….
ความคิดที่ว่าตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วจะนึกถึงใครก่อนตัวเองนั้นแทบไม่เคยมีในหัว แต่ในวันนี้กลับตื่นมาด้วยพร้อมถ้ออยคำที่ใครบางคนฝากไว้ในโทรศัพท์ตั้งแต่คืนที่ออกจากโรงพยาบาล
“พุธมีเรียนภาษาอังกฤษที่คณะแกอ่ะ เลิกบ่ายสามเหมือนกัน รอที่โรงอาหารนะ เดี๋ยวจะพาแว๊นส์กลับหอ”
ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะอมยิ้มอยู่ได้นานสองนานกับถ้อยคำธรรมดาๆแบบนี้
“จูน…แกเป็นไรมากป่ะ” เสียงปิ๊กดังเรียกสติให้ต่นจนเด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังนั่งรอเรียนคาบสายอบู่กับเพื่อนๆที่ใต้ตึก
“เปล่านี่ ปกติดี” เด็กหนุ่มปฏิเสธแต่กลับซ่อนรอยยิ้มนั่นเอาไว้ไม่อยู่
“เหรอ…” ปิ๊กหรี่ตาลงเล็กน้อยพล่งลากเสียงยาว
….ไอ้ตี๋เอ้ย…
….เล่นยิ้มซะสาวน้อยเลยนะ…
คิดพลางเปิดกระดาษสมุดโน๊ตที่อยูในมือปลายปากกาขีดเขียนข้อความบางอย่างก่อนจะยื่นให้ “ไอ้ตี๋”ที่วันนี้ท่าจะอารมณ์ดีหนัก เซ็ทผมแต่งคิ้วกรีดตามาเสียหล่อ
….คบกันแล้วป่ะ…
….กับพี่คนนั้นน่ะ…
เด็กหนุ่มรับสมุดไปอ่าน พลางฉวยดินสอจากในมือปิ๊กมาเขียนคำตอบเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น
“はい” (ใช่ )
เป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆแบบที่ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อมาก
“อ่ะฮ่า....ยินดีด้วยนะเพื่อน เพราะหน้าเบื่อโลกของแกนี่มันเกินจะทนจริงๆว่ะ....แพรไอ้จูนมัน..”ปิ๊กว่าพลางจะหันไปบอกแพร
….แคว่ก!!...
เสียงหน้ากระดาษขาดติดมือเด็กหนุ่มไปแทบจะในทันทีทำเอาเจ้าของสมุดถลึงตามองแทบไม่ทัน
“ไอ้จูนนน แกจะฉีกสมุดชั้นทำไมวะ”
“ทำลายหลักฐาน…เดี๋ยวแกปากโป้งไปบอกใคร” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาเฉย
“อ๋อ...นี่ไม่ไว้ใจเรอะ…ได้...แม่จะป่าวประกาศมันตรงนี้ล่ะ เจ้าข้าเอ้ย ไอ้จูนนะมันได้ผ…..”
“เฮ้ยๆๆปิ๊ก” จูนล็อกคอเพื่อนเอาไว้แทบไม่ทัน
“อ่อก ปล่อยนะเว้ย”
“ไม่ปล่อย….” จูนหัวเราะแต่ก็ไม่ได้คลายมือที่รั้งคอเสื้อเพื่อนเอาไว้แต่อย่างใด
“ขอร้องนะปิ๊ก ยังไม่อยากให้คนรู้อ่ะ “จูนกระซิบเบาๆ
“….” ปิ๊กนิ่งฟังก่อนจะเลิกดิ้นเพราะยัยแพรที่นั่งคุยจ้อกับเพื่อนอีกคนอยู่ก็เหมือนจะหันมาสนใจแล้ว
“มีอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ”
“เนื้อย่างสองมื้อ กาแฟฟรีอีกสามวัน” จูนยื่นข้อเสนอ
“ตกลง”
และสุดท้ายความลับก็ยังไม่แพร่งพรายเนื่องจากกความเห็นแก่กินของเพื่อนสาวสุดห้าวนั่นเอง
เมื่อเลิกเรียนจูนเดินลงมาจากตึก เดินไปตามทางเดินที่มีหลังคาคลุม มองตรงไปด้านหน้าเป็นลานที่รวมของเหล่านักศึกษาผู้หิวโหย ร้านขายน้ำสองร้านกับซุ้มร้านกาแฟมีคนต่อคิวซื้ออยู่เรื่อยๆเช่นเดียวกับร้านขายลูกชิ้นทอดที่เปิดมานาน
มองไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษายืนถือแก้วน้ำรออยู่ ใบหน้าคมยังมีรอยฟกช้ำที่มองเห็นได้ชัดนั้นคงทำเอาคนที่เดินผ่านไปผ่านมานึกกลัวอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับจูนแล้วในวินาทีแรกที่มองเห็นร่างสูงนั้นกลับทำให้รู้สึกว่าต้องหยุดยืนมองอยู่ห่างๆ น่าแปลกที่ภาพธรรมดาๆของผู้ชายคนนั้นกลับดูสวยงามอย่างยากที่จะอธิบาย
“โอ้ยๆ มีคนมารอรับด้วย...อิจฉาไปโลกหน้า” เสียงปิ๊กเอ่ยแซวพร้อมกับไหล่อวบที่ดันจนจูนแทบเซ ร่างอวบอัดแน่นเสื้อนักศึกษาของเพื่อนสาวเดินไปปากหรือก็บ่นพลางมือก็ลากแขนแพรที่อยากจะรู้เรื่องด้วยใจแทบขาดไปอีกทาง
“ไปหาอะไรกินกันหลัง ม.ดีกว่าแพร ช่วงนี้พวกเราคงจะเป็นส่วนเกิน” เสียงแหบห้าวนั้นว่า จูนได้แต่ขอบใจเพื่อนในใจก่อนจะเดินไปหาคนที่คอยเขาอยู่
“เลิกเรียนนานแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปสะกิดไหล่ร่างสูงที่ยืนดูดน้ำหวานจากแก้วที่ซื้อมา
“เปล่า พี่เพิ่งเลิกน่ะ” เคนสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าเป็นใครริมฝีปากนั้นก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังดูบอบช้ำอยู่บ้างแต่รอยยิ้มที่มีให้นั้นสดใสอยู่ไม่น้อย “หิวน้ำป่ะ กินก่อนดิ่เพิ่งซื้อ” ว่าพลางก็ยื่นแก้วน้ำให้กับอีกฝ่าย
.... ความจริงก็น่าจะเลิกเรียนสักพักใหญ่แล้วไม่ใช่รึไง....
จูนยิ้มเพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโกหกแก้วน้ำที่อยู่ในมือนั่นน้ำแข็งละลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว
“ขอบคุณครับ” พลางรับแก้วน้ำมาดื่ม “ว่าแต่…ที่ว่าจะไปแว๊นซ์นี่จะพาไปไหนอ่ะ”
“อืม…ยังไม่ได้คิดเลย ไว้เดินไปถึงรถก่อนค่อยว่ากัน เอากระเป๋ามานี่ เดี๋ยวช่วยถือ…” เคนว่าเมื่อออกเดินพานำอีกฝ่ายไปยังลานจอดรถที่อยู่ทางหน้าคณะ มือใหญ่เอื้อมมาจะฉวยกระเป๋าของเด็กหนุ่มมาถือแต่จูน
กลับยื้อกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่น
“เฮ้ย…ไม่ต้อง…ผมถือเองได้”
“โห่ คนอุตส่าห์จะโชว์แมน” เคนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่าย
“โชว์แมนเมินอะไร” จูนเบ้ปากก่อนชกเข้าที่อกของรุ่นพี่ร่างสูงเบาๆ
“โอ้ย..!!” ได้ผลเมื่อเคนร้องออกมาเสียงดัง รอยฟกช้ำที่หน้าตาก็ใช่ว่าจะหายดีและคงไม่ต้องพูดถึงรอยบนร่างกาย
“เห็นไหม…แค่นี้ยังร้องเสียงหลงเลย ผมตอนนี้น่ะแข็งแรงกว่าพี่อีกนะ กระเป๋านี่มันก็หนักนะ แต่พี่น่ะเป็นหมีควายบาดเจ็บก็อย่าซ่าให้มากสิ” จูนเอ่ยพลางใช้เสียงเข้มดวงรีเรียวนั้นหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่ท่าทางที่จะใช้พูดกับผู้ชายตัวสูงเกือบร้อยเก้าสิบแบบนี้เลยสักนิด ช่วงขายาวก้าวไปเดินนำอีกฝ่ายออกไปสองสามก้าว
“คนเป็นห่วงเขานะเว้ย รู้ตัวไว้ด้วย”
เสียงนุ่มที่ดังขึ้นเบาๆนั้นทำให้เคนยิ้มกว้างออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะก้าวตามไปจนทันมือใหญ่วางลงบนเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายพลางขยี้เบาๆ
"รู้แล้ว ขอบใจนะ”
ที่ด้านหน้าคณะมีรถจักรยานยนต์จอดเรียงรายเป็นแถวยาวแต่ถ้าหากให้เทียบกับในตอนเช้าก็คงจะนับได้ว่าบางตาไปมากพอสมควร นั่นยิ่งทำให้มอเตอร์ไซค์คันสวยของเคนดูเด่นอยู่ท่ามกลางลานจอดรถที่มีแต่รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆที่เห็นคนซื้อใช้งานกันทั่วไป
“ว่าแต่จะพาไปไหนเนี่ย” จูนถามแล้วรับหมวกใบนั้นมาถือเอาไว้
“ไปที่ชอบๆดีไหม?”
“เฮ้ย...นี่จะพาไปแว๊นซ์หรือจะพาไปตายเนี่ย” จูนทำหน้าเหยเผลอชักเท้าก้าวถอยหลังเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ
“พูดใหม่ก็ได้....” เคนว่าพลางขยับเข้ามาใกล้ เขามองซ้ายขวาก่อนจะเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ “จะพาไปทุกที่ที่แกชอบ....โอเคไหม” จูนไม่ได้ตอบแต่ริมฝีปากกลับเม้นแน่นสองไหล่นั้นสั่นไหวด้วยพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
“อะไรเล่า” เคนเองชักเขิน
“ก็มันเลี่ยนนี่นา” เด็กหนุ่มหัวเราะพลางยกมือขึ้นจับที่ข้างคอเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกเขิน
“เลี่ยนแล้วชอบไหมล่ะ” เห็นอีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าแดงๆนั่นยิ่งอยากจะแกล้งเข้าไปใหญ่ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด พลางหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูหวานที่แขวนเอาไว้ขึ้นมา
“ใส่ให้....”
“............” แต่จูนกลับมองหมวกใบนั้นนิ่ง
.....หมวกของพี่นิด....
“ติดใจเหรอ?” รุ่นพี่ร่างสูงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำพลางมองหมวกสีสวยที่เขาเป็นคนซื้อให้นิดเอง
“ก็...นิดหน่อย” จูนโคลงศีรษะน้อยๆเหมือนไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่ “หมวกของพี่นิดนี่นา...คือ เอามาให้ผมใส่......จะเหม็นเอาหรือเปล่า” ในดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มอ่อนแสงลง เห็นได้ชัดว่าที่กำลังกังวลอยู่นั้นอาจไม่ใช่แค่เรื่องหมวก ทุกอย่างมันรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเคนเองก็ลืมเรื่องนี้ไป
....เดี๋ยวคงต้องเอาของๆนิดไปคืน....
...แต่ตอนนี้.....
…อยากจะเริ่มต้นกับคนๆนี้...
...เริ่มให้ดีที่สุด....
“ชอบสีอะไรล่ะ”
“หะ?” คำถามที่อยู่ๆก็ดังขึ้นนั่นเล่นเอาจูนต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาของเคนอย่างช่วยไม่ได้ “อะไรนะ”
“ก็ถามว่าชอบสีอะไร “ เคนยิ้มเห็นฟันขาว
“เอ่อ....สี...เหลืองกับสีดำครับ”
“โอเค ได้ตามนั้น แต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะ...” ได้ทีก็ทำตัวเป็นพี่ชายขึ้นมาเสียแบบนั้น มือแกร่งยกหมวกกันน็อคสีหวานขึ้นสวมให้กับอีกฝ่าย ปลายนิ้วไล่ลงมาช่วยขยับสายรัดใต้คางให้พอดีกับศีรษะของเด็กหนุ่ม
“ใกล้ ใกล้ ใกล้ไปแล้ว....” ใบหน้าคมที่ใกล้เข้ามานั้นทำให้จูนต้องร้องประท้วงออกมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะเบาๆ เมื่อเคนยกมือขึ้นเคาะหมวกกันน็อคของเขาเมื่อล็อคสายรัดเข้าที่เรียบร้อย
“บ้าน่ะ ใครจะมาทำอะไรตรงนี้ ” เคนหัวเราะในลำคอเหมือนสนุกกับกับการได้แกล้งคนตรงหน้า
“ไป ไปเลือกหมวกกัน” ว่าพลางก็ยื่นมือไปให้อีกฝ่าย
“หา ตอนนี้เลยเหรอ?” จูนถามพลางทำตาโต
“อืม...จะได้มีหมวกเป็นของตัวเองไง ไม่ดีเหรอ” ไม่พูดเปล่ากลับขยิบตาให้เสียอีกหนึ่งครั้งโดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่า เด็กหนุ่มนั้นได้จับมือของเขาเอาไว้แล้วก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัวขนาดไหน
.....จะหัวใจวายตายก่อนถึงที่หมายไหมเนี่ย...... [/]
...................to be continued
-
:pig4: :pig4:
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
Chapter 46
หมวกกันน็อคใบใหม่เอี่ยมสีเหลืองคาดดำถูกวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ จูนดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง ปลายเท้าขยับทำให้เก้าอี้นั้นหมุนตาม เขาพยายามไม่ใส่ใจสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ก็เหมือนจะทำไม่ได้ เมื่อยังเห็นรอยริมฝีปากจางๆบนหน้าหมวกกันน็อคนั่นอยู่
“หมวกราคาตั้งหลายพัน พี่ซื้อให้ผมทำไมเนี่ย”
จูนจำได้ว่าเขาเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปแบบนั้น หลังจากที่เคนพาเขาไปซื้อหมวกกับร้านขายรถมอเตอร์ไซค์ร้านใหญ่ที่เคนเคยอุดหนุนซื้อมอเตอร์ไซค์คู่ใจ
“แบบนี้น่ะดีแล้ว เท่ดีออก ”เคนเอ่ยมือหนึ่งก็ตบเบาๆลงบนหมวกกันน็อคที่จูนถอดออกวางไว้เมื่อจุดหมายปลายทางของ “ที่ชอบๆ” กลับกลายเป็นริมบึงขนาดใหญ่ที่ล้อมไปด้วยธรรมชาติกับบรรยากาศสบายๆยามเย็นในรั้วมหาวิทยาลัยนั่นเอง
“ไอ้เรื่องเท่นี่ผมก็ไม่ได้เถียงนี่ ได้ทีละเอาใหญ่ ” หนุ่มรุ่นน้องว่าพลางเบ้ปาก “แต่......” ไม่พูดเปล่าก็หันกลับไปมองหมวกกันน็อคสีชมพูของนิดที่ยังแขวนอยู่กับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ของเคน
“กำลังเทียบกับหมวกของนิดอยู่รึไง” ถามเหมือนรู้เห็นความเป็นไปในใจ มือแกร่งของชายหนุ่มยื่นมาจับศีรษะของจูนโคลงซ้ายขวา
“ก็....นิดหน่อย รูปร่างมันแตกต่างกันเยอะเลยนี่ ” เด็กหนุ่มตอบเพราะหมวกกันน็อคของนิดเป็นแบบครึ่งใบในขณะที่หมวกที่เคนเลือกให้เขานั้นกลับเป็นแบบเต็มใบที่ดูเทอะทะปิดรอบไปหมด เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเบนสายตามองไปทางกลุ่มคนที่เดินอยู่ห่างออกไป
“นึกว่าพี่อาจจะไม่อยากให้ใครเห็นหน้าผมเวลาซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน”
คำพูดแผ่วเบาด้วยรู้ดีว่าแม้จะได้แสดงออกไปแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่คำพูดหรือท่าทีใดๆก็ไม่อาจอ้างสิทธิพิเศษให้กับตัวเองได้เพราะมันเป็นความรักที่ ไม่เหมือนใคร
“โธ่เอ้ย....นี่พี่คิดน้อยหรือแกคิดมากวะ” เสียงเคนดังขึ้นพร้อมกับมือแกร่งที่ฉวยเอาหมวกกันน็อคใบใหม่ขึ้นมา ก่อนร่างสูงจะผลันลุกขึ้นไปหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูใบเก่านั้นขึ้นมา
“เอ้า ดูซะ หมวกเนี่ย!” ไม่พูดเปล่า กระแทกหมวกทั้งสองใบเข้าหากันอย่างแรงจนมีเสียงคล้ายอะไรบางอย่างแตก
“เฮ้ย พี่เล่นอะไร...” จูนสะดุ้งด้วยความตกใจ ร่างสูงไม่ได้ตอบแต่กลับยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูมาให้ดู
เห็นท่าทางยืนยันแบบนั้นก็ต้องรับเอาไว้ เขาพลิกดูเห็นพลาสติกที่ยึดหน้าหมวกที่ใช้บังลมนั้นแตกจนเห็นน็อตที่ยึดเอาไว้นั้นกำลังจะหลุด
“เฮ้ย พี่เคน แตกเลย”
“ก็เพราะมันไม่แข็งแรงไงล่ะ กระแทกแค่นี้ก็แตกแล้ว พี่ขี่มอเตอร์ไซค์นะจูน ทุกวันอาจไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น ที่เขาว่าเนื้อหุ้มเหล็กไง พี่คงไม่ว่าถ้ามันเป็นตัวพี่คนเดียวแต่นี่แกมาด้วย แกเข้าใจไหมว่าทำไมถึงต้องเป็นหมวกที่มันแพงหน่อย”
“พี่ห่วงผมเหรอ” แม้จะไม่ได้พูดแต่ก็คิดได้แบบนั้น เด็กหนุ่มถามกลับด้วยหัวใจพองโต
“เออ “ เคนรับคำคล้ายไม่สบอารมณ์สักเท่าไรที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจเจตนาของเขา “แต่จะอธิบายไว้ก่อนนะ หมวกของนิดน่ะ พี่เคยบังคับซื้อให้ก็แล้วแต่เขาไม่เอาบอกว่าทำผมเสียงทรงบ้างล่ะร้อนบ้างล่ะ ก็เลยต้องยอมเขา ที่เห็นซ้อนส่วนใหญ่ก็แค่ขี่ในมหาลัยไม่ได้ไปไหนไกล พี่ก็ขี่ไม่เร็ว เวลาจะออกไปข้างนอกนั่นล่ะก็เลยเอารถเขาไป” ชายหนุ่มร่างสูงอธิบายในมือก็หมุนหมวกกันน็อคใบใหม่ของจูนไปมา
“แล้วพี่ก็ห่วงพี่นิดด้วยสินะ”
“พี่ห่วงแฟนพี่”
เคนตอบก่อนจะย่อเข่าลงมาแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตาคมที่มองกลับมาเป็นประกายก่อนริมฝีปากได้รูปนั้นจะยิ้มกว้าง
“หมายถึงแก....ถ้ายังจะคิดมากอีก” และแถมยังพูดดักคอคนคิดมากเอาไว้อีกทำเอาจูนหน้าร้อนผะผ่าวต้องหันไปมองอีกทาง
ลมยามเย็นพัดมาชวนให้สดชื่น น่าแปลกที่ในตอนนี้หากมีสายตาของใครที่มาเดินเล่นกินลมชมวิวแถวนี้มองมาตัวของพวกเขาก็คงไม่ได้คิดจะใส่ใจ ปลายนิ้วเรียวของเด็กหนุ่มค่อยเอื้อมไปแตะมือของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ผม...อาจจะขี้หึงก็ได้ ถ้าพี่อยากรู้” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ
“เห.......” เคนยิ้มออกมาอย่างประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจูนจะพูดถึงเรื่องของตัวเองก่อนแบบนี้...มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ผม...อาจจะขี้อิจฉาอีกนิดหน่อย” ริมฝีปากสวยคู่นั้นยังคงเอ่ยคำพูดนั้นอย่างเก้อเขิน จูนยิ้มจนตารีที่เรียวอยู่แล้วยิ่งหรี่จนแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่อายไลน์เนอร์ที่บรรจงวาดลงไปบนขอบตา เคนยิ้มตอบพลางยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆ เขาสบตามองอีกฝ่ายแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
“พี่ว่าพี่มีเรื่องจะบอก”
“อะไรเหรอ?” จูนเอียงคอน้อยๆ
“คือ...ไหนๆก็ตกลงจะคบกันแล้ว พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่ากับผู้ชายนี่ควรจะคบกันแบบไหน” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆแต่ปลายนิ้วกลับกระชับจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้มั่นซึ่งจูนเองก็จับมือแกร่งคู่นั้นตอบกลับมา
“ผมก็เหมือนกัน....” ริมฝีปากได้รูปของเด็กหนุ่มคลี่เป็นรอยยิ้มน้อยๆบ่งบอกถึงความเขินอาย
“ พี่คิดว่าถ้าเวลาที่เรามีเรื่องที่กวนใจกันก็อยากจะให้เราคุยกันได้ พี่แค่ไม่อยากให้มันเริ่มด้วยความไม่สบายใจ ไม่อยากให้แกคิดว่าพี่จะปิดบังเรื่องของแกนะ อันที่จริง............” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ ดวงตาคมเหลือบมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจนัก
“มีอะไรครับ?” เด็กหนุ่มมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความฉงนอะไรกันที่จะทำให้เคนทำหน้าแบบนั้นได้ ปกติหรือออกจะมั่นใจไปเสียทุกอย่าง
“พี่บอกพ่อไปแล้ว”
“หา!?” เด็กหนุ่มอุทานลั่นไม่พอมือที่จับอยู่กับมือของเคนก็บีบปลายนิ้วของอีกฝ่ายเข้าอย่างแรงจนคนที่ยังเจ็บอยู่ต้องร้องออกมา
“โอะ...โอ้ย.....”
“เอ้ย...ขอโทษพี่ผมตกใจ” เด็กหนุ่มว่าพลางปล่อยมือออก
“แกนี่ก็....แรงเยอะใช้ได้เหมือนกันนะ” เคนสะบัดปลายนิ้วเบาๆให้หายชา
“ก็....ผู้ชายนี่ “จูนอ้อมแอ้มพูดแต่ก็ยื่นมือไปแตะเบาๆเชิงขอโทษ “เดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง พี่หมายความว่ายังไงที่บอกว่า บอกพ่อไปแล้วน่ะ”
“ก็บอกไปแล้ว..ว่าแกเป็นแฟน”
“ผั่วะ” จูนตบไหล่อีกฝ่ายอย่างแรง
“ไปบอกแบบนั้นกับคุณลุงได้ยังไง เดี๋ยวคุณลุงช็อคเป็นลมพอดี”
“ก็แค่หน้าซีดน่ะ ยังไม่ถึงกับเป็นลมหรอก” เคนหัวเราะออกมาเบาๆ แต่หันมาเจอหน้ามุ่ยๆของอีกฝ่ายก็ต้องหยุดก่อนจะยิ้มน้อยๆ “ก็พ่อถามนี่นา ก็ตอบตามตรง พี่ไม่อยากปิด หรือจะให้บอกล่ะว่าเป็นเมีย” ชายหนุ่มยิ้มท่าทียียวนจนจูนอดหมั่นไส้ไม่ได้ เด็กหนุ่มยกหมัดขึ้นขู่นักมวยร่างใหญ่ตรงหน้าไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย
“....อยากโดนมากกว่านี้ไหม ไอ้หมีควาย”
“โอ้ย ดุแท้พ่อคุณ นี่ถ้ากูนอกใจสงสัยแม่งฆ่าถลกหนังหมีแน่เลย” เคนทำท่ากลัวยกสองแขนขึ้นกอดตัวเองทำท่าเหมือนร่างกายใหญ่โตนั่นบอบบางนักหนา
“หรือจะลอง?”
ดูท่าจูนไม่ได้เล่นด้วยเลย เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบส่ายหน้าเขาไม่คิดจะลองดีเพียงเพื่อจะให้อีกฝ่ายเดินจากเขาไปอีกเป็นแน่ แต่แล้วเคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจยาวก่อนที่มือเรียวทั้งสองข้างจะยื่นไปจับสองแขนของเขาเอาไว้หลวมๆ ใบหน้ามนก้มหน้าลงเมื่อโน้มตัวลงมาพิงกับบ่าของเขา มีเสียงเบาๆที่ดังขึ้นมา
“ผมฝากไว้กับพี่แล้วนะ ...ความรู้สึกของผมน่ะ”
“.........” ไม่มีคำตอบจากร่างสูง มีเพียงริมฝีปากที่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง มือแกร่งยกขึ้นลูบเส้นผมสีอ่อนนุ่มมือของอีกฝ่ายเบาๆ
“ครับ....ถึงได้เป็นห่วงนี่ไง ซื้อหมวกกันน็อคให้นะ ก็ใส่ไว้ด้วยตอนพาเข้าบ้านเผื่อพ่อพี่เขกหัวจะได้ไม่แตกไง” พอถึงตรงนี้จูนถึงกับดึงตัวพรวดออกจากไหล่กว้างของอีกฝ่าย
“นี่ไม่คิดจะห้ามเลยใช่ไหมเนี่ย”
“บ้าน่า ใครจะยอมปล่อยให้ใครทำอะไรแกเล่า อีกอย่างถึงพ่อไม่ได้บอกว่ายอมรับแต่เขารู้แล้วว่าแกเป็นเด็กดี...ใครจะไม่รักเด็กดีกัน” เคนยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปกลับกัน” ว่าแล้วก็ดึงมือของเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน
“ใส่หมวกซะเดี๋ยวพี่พาซี่งกลับหอ”
เพียงช่วงเวลาไม่นานรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ๋พาชายหนุ่มทั้งสองคนกลับมายังหอพักของเด็กหนุ่ม ช่วงเวลาเย็นย่ำไร้เงาคนเหมือนทุกที จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนในหอนี้หายไปไหนกันหมด
“ขอบคุณครับที่มาส่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงดังอู้อี้จากในหมวกกันน็อคเมื่อก้าวลงจากด้านหลังมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ เคนถอดหมวกกันน็อคของตัวเองออกที่มือข้างนึงจะดึงแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้
“ไว้พรุ่งนี้ จะมารับไปส่งที่คณะนะ”
“อืม....” เด็กหนุ่มรับคำพลางพยักหน้าลง ก่อนอุทานเบาๆเมื่ออีกฝ่ายใช้สองมือจังหมวกกันน็อคเอาไว้แล้วดึงให้เขาเข้าไปใกล้ “เฮ้ย...เล่นอะไร”
ไม่มีเสียงตอบกลับมีเพียงแค่สัมผัสที่ไม่อาจรู้สึกได้จากริมฝีปากได้รูปของชายร่างสูงที่ประทับลงมาผ่านกระจกกันลมของหมวกกันน็อค ก่อนที่จะถอนริมผีปากออกไป
“อ่ะ.......” ใบหน้าของจูนร้อนผ่าวเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะจูบเขาผ่านกระจกบางที่กั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
“เอ้า มีอึ้งๆ” มือเคนหัวเราะเบาๆกับท่าทางของอีกฝ่าย แกร่งเคาะเบาๆบนหมวกกันน็อคของจูนหวังปลุกให้หนุ่มรุ่นน้องเลิกตะลึงกับการกระทำของเขา
“อ่อย ไว้ก่อน พรุ่งนี้จะมาทำจริง ไปล่ะ”
………………………………………………………………
เสียงหัวเราะคิกคักดังให้ได้ยินจากในห้องเลคเชอร์ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นกลุ่มเพื่อนสาวของตนเองนั่งจับกลุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเพราะอะไรบางอย่างบนหน้าจอในมือถือ
“สนุกอะไรกันแต่เช้า” นิดหัวเราะเบาๆเมื่อวางกระเป๋าใบน้อยกับหนังสือเรียนลงที่เก้าอี้แล้วเข้าไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนๆ
“อุ้ย ยัยนิด... มาพอดีเลย พี่เคนออกจากโรงพยาบาลแล้วทำไมไม่ไปดูแลแฟนหน่อยยะ” เพื่อนในกลุ่มทักทำเอานิดสะดุ้ง แต่ก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
“ก็พี่เคนเขาบอกให้มาอ่านหนังสือเตรียมสอบย่อยนี่ไง เดี๋ยววันนี้ก็จะไปหานี่ไง”
“เหรอ เนี่ยๆ ดูในเพจคนหล่อประจำมอนี่เขายังได้ข่าวมาเร็วกว่าเธออีกนะ ดูสิ” ไม่พูดเปล่ายื่นโทรศัพท์มือถือให้นิดดูบนหน้าจอมีภาพของชายหนุ่มยืนคุยดูดน้ำหวานอยู่ที่โรงอาหารคณะมนุษยศาสตร์ เป็นภาพของเมื่อเย็นวานพร้อมคำบรรยายเสร็จสรรพ
‘ดูสิใครออกจากโรงพยาบาลแล้ว พี่เคนสุดหล่อ ถึงพี่ไม่ชนะบนสังเวียน แต่พี่ชนะใจน้องเสมอนะคะ’
[/i]
และเมื่อเลื่อนนิ้วลงไปดูอีกภาพ เห็นเป็นภาพของเคนที่กำลังใส่หมวกกันน็อคให้กับจูน หมวกกันน็อคสีชมพูของเธอ
‘ โอ้ย สมาชิกชมรมการแสดงนี่อะไรกันคะ แอดไม่รู้จะเลือกใครแล้วค่ะ หนุ่มไทยมาดเข้ม กับ หนุ่ม(มนุษฯ) ญี่ปุ่นขาวตี๋ ....แต่ดูเล่นกันแบบนี้ มันก็น่ารักดีนะคะคู๊ณณ’
[/i]
“นี่...รูปเมื่อวานเหรอ” นิดเอ่ยถามออกมาเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่าพอเห็นภาพหมวกกันน็อคสีชมพูความรู้สึกชาคืบคลานมาจากปลายนิ้วยิ่งเมื่อนึกถึงว่าชายหนุ่มนักกีฬาคนนั้นเคยใส่หมวกใบนั้นให้เธอแบบนั้นเหมือนกัน
“อื้ม ก็เห็นแอดมินเพจเขาว่างั้นนะ”
“จะว่าไปชมรมนี้เขาก็สนิทกันดีเนอะ แสดงละครอะไรด้วยกันแล้วก็ยังเห็นอยู่ด้วยกันตลอด” เพื่อนคนนึงเอ่ยปากขึ้น
“เอ๊ะ ใช่คนนี้ไหมที่เขาว่าพี่เคนเคยเล่นละครแล้วจูบปากกันบนเวทีน่ะ ดูไปดูมาก็จิ้นได้นะเนี่ย” ใครสักคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะกันคิกคัก แต่กลับไม่ได้ชวนให้นิดหัวเราะตามไปด้วย เด็กสาวเบือนใบหน้าไปอีกทางทำให้ต่ายที่ทำตัวคล้ายเป็นผู้พิทักษ์มาโดยตลอดต้องลุกขึ้นกระแทกมือลงกับโต้ะดังปัง
“นี่ จะเอาเรื่องพรรค์นั้นมาพูดอีกทำไมเนี่ย!! “ เป็นต่ายที่โวยขึ้นมาแทนเพื่อน
“ต่ายเป็นไรมากป่ะเนี่ย แค่ล้อเล่นน่ะขำๆเอง ใครๆก็รู้ว่าพี่เคนเป็นแฟนนิด ไม่ได้จะจริงจังอะไรสักหน่อย”
“ก็นิดน่ะ......” ต่ายอ้าปากจะเถียงเพื่อนแต่กลับต้องหยุดเมื่อนิดคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ บีบแน่นเสียจนต้องหันไปมอง “นิด?”
“ใช่ต่าย...ก็แค่เรื่องขำๆน่ะ นิดไม่ได้ซีเรียสหรอกนะ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มน้อยๆ แต่เพื่อนสนิทอย่างต่ายก็รู้ดีว่าดวงตากลมโตคู่สวยนั้น...ไม่ได้ยิ้มตามแต่อย่างใด
.................................................... to be con.
-
อย่างนิดจะยอมจบง่ายๆ ไหมขนาดบอกเลิกไปแล้วยังส่งข้อความมาหาอยู่เลย
ไหนจะพ่อจูนลูกชายคนเดียวรักกับผู้ชายด้วยกัน สงสัยจะกีดกันอาจถึงขนาดที่ว่ายกเลิกเป็นสปอนเซอร์ให้เลยนะนั่น
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ทำไมรู้สึกว่านิดน่ากลัว จากที่คิดว่าเป็นสาวใสๆ คงไม่ใช่แล้วสินะ5555 :hao7:
น้องจูนกับพี่เคนนี่ก็หวานเชียว ได้ทีขายอ้อยตลอดดดด :katai5:
-
Chapter 47 กวนใจ
“เอ้า.... ยังไม่ถึงเวลาเข้าห้องเรียนก็เอาไปกินรองท้องกันนะ ป๋าเลี้ยง”
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับข้าวเหนียวหมูปิ้งชุดใหญ่หอมฉุยมาให้จูน เด็กหนุ่มรับมาด้วยท่าทีเขินๆในเมื่อเพื่อนสนิทอย่างปิ๊กก็ดันมาถึงคณะแต่เช้าทำให้หลบเลี่ยงสายตาที่มองมานั่นไม่ได้
“ขอบ.....”
“ขอบคุณค่าพี่เคน ป๋าจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะ นั่งเรียนในห้องในคณะนี่เดี๋ยวปิ๊กเฝ้าให้ รับรองไอ้จูนไม่ได้มีโอกาสชายตาแลมองหนุ่มน้อยสาวใหญ่แถวไหนแน่นอนค่ะ” เจ้าตัวยังไม่ทันจะได้ขอบอกขอบใจ เพื่อนสาวอย่างปิ๊กก็ถลันเข้าไปคว้าถุงหมูปิ้งมาพร้อมยกมือไว้นอบน้อม
“ไม่มองแน่นะ......” รุ่นพี่หนุ่มยิ้มกับคำพูดนั้นของเด็กสาวก่อนจะหันไปมองหน้าของจูน มือแกร่งยื่นไปจัดผมที่ไม่เป็นทรงเพราะหมวกกันน็อคของเด็กหนุ่มให้เข้าที่เข้าทาง
“ต้องถามรึไง......” เขินหรือก็เขินอายก็อายที่ทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนเด็กหนุ่มเดินตามทางเดินจะเข้าไปยังตึกเรียน
“พี่เลิกช้านะวันนี้ ไปเจอที่ยิมนะ กลับด้วยกัน” เคนตะโกนไล่หลังไป เห็นแต่มือเรียวของเด็กหนุ่มที่โบกตอบกลับมาเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว ร่างสูงหัวเราะน้อยๆ แต่พอเห็นว่าปิ๊กกำลังจะเดินจากไปเคนจึงรีบเดินไปคว้าเอาไว้
“นี่ ปิ๊ก... “
“อุ่ย อะไรอ่ะพี่เคน” ถึงจะเป็นสาวห้าวแต่พอเจอมือแกร่งจู่ๆมาคว้าแขนเข้าแบบนี้ก็แอบอุทานออกมาได้เหมือนกัน
“ขอโทษๆ....เอ่อ รู้เรื่องพี่กับจูนแล้วเหรอ” เคนเอ่ยถามเบาๆ ตาก็เหลือบมองดูว่าจูนยังเดินไปอยู่รึเปล่า
เด็กสาวไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ
“คือ...พี่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรนะ ปิ๊ก เพียงแค่พวกพี่คงยังต้องการเวลาอีกสักนิด พี่ขอว่าอย่าเพิ่งบอกใครนะ”
คำขอร้องนั้นทำให้ปิ๊กรู้สึกดีไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้เธอรู้ว่ากำลังได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคน ถึงจะไม่ได้รู้จักเคนมากแต่ก็พอจะได้ยินข่าวมาบ้างว่า “อดีตคนรัก”ของอีกฝ่ายเป็นใคร มันคงเป็นเรื่องยากถ้าอยู่ๆจะเปิดเผยออกไปให้ใครต่อใครรู้ คนที่น่าจะเจ็บที่สุดก็คงไม่พ้นคนตรงหน้ากับเพื่อนคนสำคัญของเธอนั่นเอง
“ค่ะ...พี่ หนูเข้าใจดี ไม่ต้องห่วงนะ จูนเป็นเพื่อนหนู หนูไม่ทำให้เพื่อนลำบากแน่” เพื่อนสนิทของจูนรับคำพร้อมกับยกมือตบอกเหมือนจะบอกให้เชื่อใจ เคนเห็นแบบนั้นก็ได้แค่ยิ้ม
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันกินข้าวนะ” ว่าพลางก็ชี้ไปที่ถุงหมูปิ้งกับข้าวเหนียวที่ซื้อมาฝาก เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างก่อนจะถลกกระโปรงพลีสรีบวิ่งตามเพื่อนชายของเธอเข้าไปที่คณะ
วันนี้ในช่วงเช้าไม่มีเรียน มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขี่มาโดยหนุ่มนักกีฬาร่างสูงพาตัวเองกลับมาที่หอพักหวังจะนอนพักให้สบายสักหน่อย ด้วยร่างกายยังคงความปวดระบมเพราะอาการบาดเจ็บจากสังเวียน ถึงแม้จะทำทีเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาได้แค่สองวัน
“โอย.... ไม่น่าซ่าเลยกู”
ชายหนุ่มโอดครวญเมื่อจอดรถมอเตอร์ไซค์เข้าในที่โรงจอดรถเก่าคร่ำครึของหอพัก ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามีรถคันเล็กสีแดงที่ดูคุ้นตาของใครบางคนจอดรออยู่ที่ด้านหน้าตึก เขาเห็นร่างเล็กของหญิงสาวในชุดนักศึกษาค่อยก้าวลงมาราวกับว่ากำลังรอให้เขามาถึงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นิด.....”
“พอดีจำได้ว่าวันนี้พี่เคนมีเรียนบ่าย....เลยซื้อข้าวเช้ามาฝากก่อนจะไปเรียน” เด็กสาวยิ้มพร้อมชูถุงโจ๊กในมือให้อีกฝ่ายดู
“อ่ะ...เอ่อ ขอบใจนะนิด” เคนเอ่ย ยังคงมึนงงนักกับการปรากฏตัวของคนตรงหน้า ดวงตาคมมองใบหน้าหวานชินตานั้นสิ่งที่ได้รับตอบกลับมามีเพียงรอยยิ้มหวานเช่นทุกที
“หรือพี่เคนไม่ชอบกินโจ๊กแล้วคะ...เราออกไปกินอะไรกันข้างนอกก็ได้นะ” เด็กสาวว่าดวงตากลมนั้นปรายตามองไปยังมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเข้ามาจอดในที่จอดรถ “เว้นเสียแต่ว่าพี่เคนออกไปกินอะไรมาแล้ว”
“ป...เปล่า พี่ยังไม่ได้กิน” เคนส่ายหน้าเหมือนเพิ่งดึงสติตัวเองออกมาได้จากคำถามเดียวที่ถามย้ำๆในหัวในชั่วพริบตา
...นิด....มาทำไม....
“ถ้าอย่างนั้นนิด.....” เด็กสาวเหลือบมองไปที่ห้องที่ชั้นสองของตึก เธอเคยมาที่นี่แต่ไม่เคยได้ขึ้นไปด้านบนสักครั้ง “เอาโจ๊กขึ้นไปใส่จานให้พี่ได้ไหม แล้วเรานั่งกินด้วยกัน” นิดเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้งที่เคยเห็น แต่น่าแปลกที่กลับมีอะไรบางอย่างต่างออกไปในวิธีที่เธอมองกลับมา
“นิด พี่ว่าอย่าเลย คือ...พี่ว่ามันไม่เหมาะ”
“พี่เคน...จะทำอะไรนิดเหรอคะ” นิดถามกลับด้วยท่าทีซุกซน ทำเอาชายหนุ่มต้องยกสองมือขึ้นทันควัน
“ไม่ ไม่ พี่ไม่ทำอะไรแน่ๆ “
“นั่นสินะคะ” อดีตคนรักเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มคนใดก็คงปฏิเสธไม่ลง
เคนเองก็เช่นกัน
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควร แต่สุดท้ายเคนก็เปิดประตูห้องให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านใน โชคยังดีที่เขาเพิ่งกลับมาที่ห้องเมื่อวันก่อนได้ศักดิ์มาช่วยเก็บข้าวเก็บของให้จึงดูสะอาดตาเรียบร้อยกว่าปกติอยู่หลายเท่าตัว
“เรียบร้อยกว่าที่คิดอีก...”เสียงนิดหัวเราะก่อนจะหันมาถามว่าถ้วยชามอยู่ตรงไหน เคนก็ได้แต่ชี้ไปให้หญิงสาวจัดการ นี่มันมากยิ่งกว่าคำว่าอึดอัดจะบรรยายได้หมดชายหนุ่มแทบจะทึ้งหัวของตัวเองแต่เมื่อนิดหันกลับมาก็ต้องยิ้มน้อยเหมือนไม่ได้คิดอะไรเหมือนทุกที
“ทานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวเย็นนะ” นิดว่าพลางวางโจ๊กลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง เคนจำใจนั่งลงตักโจ๊กเข้าปากไปคำโต
“อร่อยไหมคะ”
“อื้ม....อร่อย”เคนพยักหน้าตอบไปตามเรื่องทั้งๆที่เขาแทบไม่ได้รับรู้รสเสียด้วยซ้ำดวงตาคมเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างระแวงสงสัย
....มาทำไมกันนะ...
“นิดก็แค่อยากมาดูว่าพี่เคนสบายดีแล้ว”เด็กสาวเอ่ยเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีคำถามกวนใจ น่าแปลกทั้งๆที่ในเวลาแบบนี้อีกฝ่ายกลับรู้ใจเขาดีเหลือเกิน แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาที่คบกันมา
“พี่...โอเคแล้วขอบใจนิดมาก” เคนโกหกร่างกายเขายังเจ็บและต้องการการพักผ่อนมากโดยเฉพาะในตอนนี้
“..........” เด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับหันไปมองไปรอบๆเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง
“นิดหาอะไร? “
“เปล่าค่ะก็แค่มองดู กำลังคิดว่าห้องพี่สะอาดจังเลยนะคะ มีคนมาทำความสะอาดให้เหรอคะ”
“อื้ม”
“คนนั้นของพี่เหรอคะ”
“อ๋อ...ก็......เฮ้ย..... ไม่ ไม่ พี่ศักดิ์ต่างหาก ลูกน้องของพ่อ” เคนสะดุ้งเขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว ชายหนุ่มเบิกตามองอีกฝ่าย นิดกำลังใช้บรรยากาศที่เขาคุ้นเคยกับการถามคำตอบคำที่เขามักทำให้เป็นประโยชน์ “ก็พี่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล จะเอาแรงที่ไหนมาเก็บทั้งหมดนี่ไหว”
“อ้อ....เหรอคะ แหมอุตส่าห์จะหลอกถามสักหน่อย”
“นิด........” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างหนักใจ เคนถอนหายใจแรงพลางส่ายหน้า “อย่าทำแบบนี้เลย”
ใบหน้าสวยของคนตรงหน้ามองตรงมาพร้อมกับมือเรียวยื่นข้ามโต๊ะมาจับมือแกร่งของเคนเอาไว้ ปลายนิ้วที่แต้มสีชมพู
อ่อนดูสวยเหมือนคนสุขภาพดีนั้นเป็นประกายเล็กๆ
“พี่เคนไม่รู้หรอกค่ะ ว่าแค่ไม่กี่วันที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันกวนใจนิดขนาดไหน”
....กวนใจ?....
ทำไมถึงจะเลือกมาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้กันนะ เคนอดไม่ได้ที่จะคิด ในเมื่อหลายครั้งหลายคราวในตอนที่ยัง “คบกัน” ที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันให้อิสระกันและกันจนหากเรียกอีกทีอาจจะเป็นการไม่ได้เอาใจใส่กันเสียด้วยซ้ำไป คิ้วคมขมวดเข้ากันเสียจนจะเป็นปม ยามเช้าในวันนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกสงบสุขเหมือนอย่างทุกวัน ตรงกันข้ามใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาไม่เข้าใจสายตาของคนตรงหน้าเอาเสียเลยเพราะไม่เคยมีใครเคยย้อนกลับมาพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน
“นิด ถ้าเป็นเรื่องของที่นิดให้พี่มาล่ะก็พี่จะทยอยคืนให้...หมวกกันน็อคนั่นก็เหมือนกัน”
“พี่เคนจะย้ายหอเหรอคะ”เด็กสาวถาม
“เปล่า...พี่ไม่ได้จะย้ายไปไหน” เคนรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วบอบบางนั่นที่บีบลงมาบนมือของเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องหรอกค่ะ นิดไม่ได้จะรีบไปไหน”
“เอ่อ.....นิด.....” ทั้งน้ำเสียง สายตาและคำพูดคำจาของนิดนั้นกำลังทำให้เขาสับสน เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะลืมเลือนไปแล้วว่าวันก่อนเขาเพิ่งจะเป็นคน “บอกเลิก” และอยากจะขอยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
....ต้องชัดเจน....
....ต้องไม่วอกแวก...
“พี่ว่านิดกลับไปเถอะ ขอบคุณสำหรับโจ๊กนะ แต่คราวหน้าไม่ต้องแล้วก็ได้” ร่างสูงลุกขึ้นรวดเร็วพลางเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูห้อง “กลับไปเถอะ วันนี้พี่ต้องพักผ่อนจริงๆ”
“...............” ไม่มีคำตอบใดจากร่างเล็ก นิดเพียงแค่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ปลายผมยาวสะบัดไหวน้อยๆเมื่อเธอเยื้องย่าง ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นมองกลับมาพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่แย้มยิ้มเย็น
“นิดเองก็ว่าจะกลับพอดีค่ะ บังเอิญที่นี่เป็นทางผ่านหอของต่าย เลยบอกให้ต่ายเดินมาที่นี่ จะได้รับต่ายไปด้วยกัน”
“นิด? ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง” ด้วยสงสัยชายหนุ่มเผลอคว้าข้อมือเล็กของหญิงสาวบีบเสียแรง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ นิดก็แค่...จะรับเพื่อนเข้าคณะก็เท่านั้น ก็แค่ทางผ่านนี่คะคงไม่มีอะไรเสียหาย”
หญิงสาวว่าพลางขืนมือออกจากอีกฝ่าย ร่างเล็กก้าวออกไปจากห้อง พอชะโงกหน้าออกไปมองทางระเบียงก็เห็นบุคคลที่เอ่ยถึงมายืนรออยู่แล้ว เธอโบกมือให้เพื่อนอย่างอารมณ์ดี....ราวกับเป็นคนละคนกับที่เพิ่งจะใช้น้ำเสียงประชดประชันกับเจ้าของห้องเมื่อครู่
“พี่เคน...สวัสดีค่า”
เสียงของต่ายดังขึ้นมาจากด้านล่าง เคนก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆพลางโบกมือทักทายตามมารยาท แต่ในใจของเขารู้ดีว่า ....เขาติดกับดักที่นิดวางเอาไว้เสียแล้ว
นี่เขาลืมไปได้ยังไงกันว่านิดเป็นผู้หญิงแบบไหน แม้จะดูติดเพื่อนจนยอมทำอะไรตามเพื่อนไปได้ง่ายๆ อย่างในเรื่องของแฟชั่นการแต่งกายจนเหมือนไม่มีแนวทางอะไรเป็นของตัวเองนัก แต่นิดก็เป็นคนที่เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้วเธอก็เป็นคนที่ไม่ยอมใครอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าตาและสถานะของเธอที่มีต่อคนในกลุ่ม เขาไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะบทบาทเชียร์ลีดเดอร์ที่เธอได้รับมาด้วยหรือเปล่ามันถึงทำให้เธอเป็นเช่นนี้ เคนปิดประตูลงเบื้องหลัง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากด้วยคิดหนักกับเรื่องกวนใจนี้
....นิดไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมเสียหน้าเพราะเรื่องถูกผู้ชายทิ้งแน่....
....และมันจะแย่แค่ไหน ถ้ารู้ว่าเขาทิ้งเธอไปหาผู้ชายอีกคน....
to be continued....
@@@talk@@@
ทำไมรู้สึกว่า นิด น่ากลัว แต่งเองยังกลัวเอง :katai1:
-
:pig4: :pig4:
-
ว่าแล้วว่านิดไม่ยอมจบแน่ๆ :ling3: :ling3:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
Chapter 48 แค่กอด
ที่โรงยิมในยามเย็นได้ยินเสียงลูกบาสกระทบกับพื้น ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มก้าวเข้าไปด้านใน มองเห็นชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงวิ่งทำหน้าที่อยู่ในสนาม เคนกวักมือเรียกเป็นเชิงให้เด็กหนุ่มเข้ามาร่วมด้วย
“เฮ้ย ไอ้ต้าร์ ออกให้น้องมันมาเล่นหน่อยสิ” เสียงทุ้มตะโกนลั่นสนาม ทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับต้องหันมาถลึงตามองพลางเผลอยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเอง
“กูอ่ะนะ”
“เออ มึงนั่นล่ะ ให้น้องมันเล่นหน่อย ไปๆ ออกไป” ว่าพลางก็ยกเท้าเตะก้นเพื่อนให้ออกไปนอกสนามราวกับเกะกะสายตานัก เคนยังคงกวักมือเรียกหลังจากที่เตะเพื่อนสนิทออกจากคอร์ท์ไปได้ จูนส่ายหน้า
“ไม่เอาอ่ะ เสื้อก็ไม่มีเปลี่ยน วอร์มก็ไม่ได้วอร์ม...เล่นก็ไม่เก่งด้วย”
“ไม่ต้องเลย มาเล่นด้วยกัน นะ นะ นะ นะ น้า.....”
เสียงตะโกนแม้จะฟังดูห้าวแต่ถ้อยคำกลับออดอ้อนแปลกหูจนเพื่อนทั้งสนามหยุดเล่นแล้วหันมามองจูนเป็นตาเดียว คงจะอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นใครถึงทำให้เคนหนุ่มพละร่างใหญ่สุดห้าวหาญของใครต่อใครออดอ้อนจนถ้าลงไปนอนดิ้นกับพื้นได้ก็คงทำแบบนี้
สุดท้ายก็ทนเสียงตะโกนโวยวายนั่นไม่ได้ จูนส่ายหน้าเบาๆพลางถอนหายใจยาว ถึงจะไม่ใช่คนที่ชอบออกกำลังกายนักแต่บาสเกตบอลก็เป็นอะไรที่พอจะใช้การได้ที่สุดในมวลหมู่กีฬาทั้งหลาย จูนวางกระเป๋าลงพลางดึงเสื้อนักศึกษาออกจากชายกางเกง นึกขอบใจตัวเองที่วันนี้เลือกใส่รองเท้าผ้าใบมา เด็กหนุ่มวิ่งลงไปสมทบกับทีมของเคนด้วยความเต็มใจ
การได้อยู่ทีมเดียวกันทำให้อาการเก้อเขินหายไปได้หลังจากไม่นานนัก แต่กระนั้นพวกรุ่นพี่คนอื่นก็ดูจะเล่นกันจริงจังอยู่ไม่น้อยทำให้ไม่ค่อยได้จับลูกและต้องออกแรงวิ่งตามอยู่เรื่อย ฝ่ายทีมของเคนกับจูนถึงตอนหลังจะเปลี่ยนให้ต้าร์กลับมาเล่นตามเดิมแต่คะแนนก็ตามหลังมากจนสุดท้ายก็แพ้ไปตามคาด
“โอย....เหนื่อย” จูนหอบแฮ่กเมื่อจบเกม เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้นสนามก่อนจะเห็นเงาของร่างสูงทาบทับ เคนยื่นคร่อมร่างของเขาอยู่ใบหน้าคมที่ยิ้มยียวน
“โธ่หนูจูน จะเป็นลมไหม จะได้เรียกรถพยาบาลให้”
“ยังมีหน้านะ เพราะพี่นั่นล่ะ อยู่ๆให้มาวิ่งเอาวิ่งเอาแบบนี้ไม่น็อคไปกลางสนามนั่นก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“โอ๋ๆ ครับๆ....งั้นเดี๋ยวพาไปหาไรกินนะ เอาให้ที่เบิร์นไปเมื่อกี้กลับมาอีกแปดเท่าเลย”
“จะป๋าเลี้ยงอีกรึไง ไม่เอานะ หารสอง” จูนว่าพลางจับมือที่อีกฝ่ายยื่นมาลุกขึ้น
“....โอเคครับ...หารก็หาร” เคนยิ้มน้อยๆกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่เคยมีใครคนไหนที่เขาคบด้วยไม่ชอบใจที่เขาจะเป็นฝ่ายเลี้ยงมาก่อน แม้แต่เพื่อนด้วยกันก็เถอะ
“เฮ้ย ต้าร์กูกลับก่อนนะมึง” ว่าพลางก็หันไปลาเพื่อน
“พี่ต้าร์หวัดดีครับ” จูนก็หันไปยกมือไหว้ก่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้อีกทางแล้ววิ่งตามอีกฝ่ายออกไปที่ลานจอดรถด้านนอกโรงยิม แต่ก่อนจะได้เดินไปไหนไกลคือเสื้อนักศึกษาที่ยังเปียกก็ถูกคว้าหมับจากทางด้านหลัง
“เฮ้ย.....” จูนอุทานลั่นด้วยความตกใจ แต่เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นหน้าของเคนที่ยืนขมวดคิ้วอยู่
“อ้าว เป็นไรอ่ะ ดึงทำไมเนี่ย” จูนดึงมือของอีกฝ่ายออกพลางหันกลับมามองหน้าด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“เอ้า ใส่ซะ” เคนยื่นเสื้อวอร์มสีดำที่คุ้นตามาให้ ทำเอาเด็กหนุ่มต้องเลิกคิ้ว
“ใส่? ทำไมอ่ะ ไม่เห็นหนาวสักหน่อย” จูนว่าพลางมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายสลับกับเสื้อในมือนั่น
“ก็.....อืม.....ว่าไงดีล่ะ” เคนดูลำบากใจก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
“เสื้อมันเปียก เห็นหัวนมหมดละ” เคนพูดพลางใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสาบกระดุมเสื้อที่เปียกจนโปร่งแสงแนบกับอกได้รูปของคนตรงหน้า ทั้งอกเอวได้สัดส่วนนั้นเห็นชัดเจนเสียจนคงตาบอดแน่หากไม่สังเกตเห็น
“โอ้ยพี่อย่าพาขำดิ่ ผมผู้ชายนะจะมีใครเขามอง เดินไปเดี๋ยวก็แห้งเองล่ะน่า” เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันควันหากแต่ยังบ่ายเบี่ยง ว่าพลางก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจต่อหลังฐานที่อีกฝ่ายจงใจชี้ให้เห็นกันจะๆ
“ไม่ต้องเลย ใส่ๆเข้าไปเถอะ...คนอื่นไม่มองแต่กูมองเว้ย....” เคนว่าพลางดึงแขนของอีกฝ่ายยังคับให้ใส่เสื้อนั่นจนได้
“หะ? มอง?” จูนหันกลับมามองหน้าของเคนอย่างไม่เชื่อหูสักเท่าไร ...แต่เพราะทั้งคำพูดกับสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจริงจังเสียเหลือเกินก็ทำเอาจากเดิมที่ไม่เคยคิดอะไรกลับต้องคิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เออสิวะ....” เคนกรอกตาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาขยี้ผมของจูนพลางก้มหน้าลงมาใกล้เสียจนหน้าผากจะชนกันดวงตาคมนั้นจ้องกลับมาอย่างมีความหมาย
“มองแล้วมันก็จะอยากจับ เข้าใจป่ะ”
“หื่นเอ้ย” ทันใดนั้นจูนก็โขกหัวเข้ามาใส่ แรงพอที่จะทำให้เจ็บสะเทือนเข้าไปในกะโหลกกันทั้งคู่
“โอย...ไปได้แล้ว หิวข้าว!” เด็กหนุ่มโวยวายพลางก้าวยาวๆออกไปทางที่จอดรถด้วยความเร็วนั้นทำให้เคนที่ยังยืนกุมหน้าผากของตัวเองอยู่ต้องหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้...ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะยอมใส่เสื้อแต่โดยดีแล้วยังรูดซิปขึ้นจนถึงคอเสียด้วย
......................
“นี่...ขอขึ้นไปบนห้องได้ไหม”
เคนเอ่ยถามเมื่อมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถใต้หอของเด็กหนุ่ม น่าแปลกที่มันก็เพิ่งจะสัปดาห์ที่แล้วนี่เองที่เขามาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เพราะอะไรหลายๆอย่างที่เข้ามามากมายในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันมันทำให้รู้สึกเหมือนยาวนานเป็นเดือน
เจ้าของห้องดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้ม
“ขอทำไมล่ะ ก็พี่บอกตอนซื้อไอติมมานี่ว่าจะเอามากินที่ห้องผม”
“ก็........” เคนอ้ำอึ้ง จะให้พูดอย่างไรในเมื่อก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายหนีเขาแทบตาย ความทรงจำนั้นมันยังคงอยู่ชัดเจน
“มาเถอะครับ เดี๋ยวไอติมละลายจะอดกินนะ” จูนพูดพลางยื่นมือมารับถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อไปไว้ในมือ ท่าทางแบบนั้นทำให้อดที่จะแหย่ไม่ได้
“อ่อยรึเปล่า...ชวนขึ้นห้องแบบนี้”
ผั่วะ!
ทันใดถุงพลาสติกนั้นก็ลอยละลิ่วตามแรงฟาดจากเจ้าของห้อง ผมสีอ่อนของใครบางคนขยับไหวไปตามแรงเมื่อก้าวขาเดินฉับๆไม่ได้รอกันเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเคนต้องรีบวิ่งตามอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ได้มาตั้งนาน..” เคนเอ่ยออกมาเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆห้อง ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิมที่เคยเห็น โซฟาที่เขาเคยขอยืมนอนมาหลายต่อหลายครั้ง
“นั่งก่อน เดี๋ยวผมเอาน้ำให้” เจ้าของห้องว่าพลาง เปิดแอร์ เปิดทีวี แล้วเดินไปจัดแจงหาน้ำท่ามาวางเอาไว้ให้
“ขอบใจ...เอ้า ไอติม เดี๋ยวละลายนะ” เคนพูดพลางยื่นไอศกรีมถ้วยรสวนิลาให้กับอีกฝ่าย ส่วนตัวเขากินไอศกรีมถ้วยรสสตรอเบอร์รี่ตามความเคยชิน
“......” จูนไม่ได้พูดอะไรหากรับไอศกรีมมานั่งแกะทานไปพลางตาดูทีวีไปพลางอยู่ข้างๆกับร่างสูง เขาเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆเล็กน้อย
“สรุปว่าชอบจริงๆใช่ไหม รสสตรอเบอร์รี่เนี่ย” จูนถามพลางหันทั้งตัวเพื่อมามองหน้าของอีกฝ่าย สองขายกขึ้นขัดสมาธิในขณะที่อีกมือก็ยังถือไอศกรีมกินต่อ
“อืม...คงงั้นล่ะ มันก็อร่อยดีนะ ทำไมเหรอ”
“จำได้ว่า เคยบอกว่าพี่นิดก็ชอบกิน” จูนไม่ได้มองหน้าตายังจับจ้องไปที่โทรทัศน์ แต่รายการข่าวช่วงหัวค่ำดูไม่ได้มีเนื้อหาให้ชวนติดตามขนาดนั้น เคนจึงยิ้มกว้างอย่างได้ใจพร้อมร่างใหญ่ของรุ่นพี่ก็ขยับเข้ามาเบียดใกล้ๆ
“หึงเหรอ?”
“เปล่า” จูนตอบทันควันแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำหน้าง้ำงอไปเสียแล้ว “อ้าว ไหงทำหน้างั้น”
“โธ่...ไม่ได้หึงหรอกเหรอ อุตส่าห์ดีใจ”เคนไม่วายยังทำหน้าบูด ไม่ได้เข้ากันเลยกับบุคลิกห้าวหาญที่เห็นบนเวทีมวยเมื่อวันก่อน ใบหน้าคมนั้นยังมีรอยช้ำให้เห็น ผมหนาที่ยาวลงมาปรกหน้าผากนั่นถ้าใช้นิ้วแหวกออกดูคงเห็นรอยเย็บที่หมอเย็บเอาไว้
“ทำหน้าเหมือนเด็กไปได้ ผมไม่ได้รู้สึกหึงก็น่าจะดีแล้วนี่ครับ” จูนว่าพลางวางถ้วยไอศกรีมลงกับโต๊ะ มือเรียวยกขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มที่ยังเป็นรอย “ยังเจ็บไหม?”
“ถ้าได้จูบสักทีจะหายเลย” คนตรงหน้าทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย
“เหอะ....” จูนหันหน้าไปอีกทางแต่สายตานั้นยังเหลือบมอง
“ไม่ได้เหรอ?” ไม่พูดเปล่าขยับเข้ามาใกล้อีก มือแกร่งเอื้อมวางถ้วยไอศกรีมลงกับโต๊ะทั้งๆที่ปากยังอมช้อนพลาสติกเอาไว้อยู่เลย
“ไม่ต้องเลย...ถอยไปเลย” จูนเองก็อยากจะขยับหนี แต่ดวงตาคมที่มองมาเหมือนจะวอนให้เขาอยู่นิ่งๆ “ยะ...อย่าทำหน้าจริงจังตอนนี้ดื่ เหม็นเหงื่อว่ะ...เหม็นปากด้วย”
“เหม็นปากอะไร...สตรอเบอร์รี่ดีจะตาย” ไม่พูดเปล่าดึงช้อนพลาสติกออกจากปากแล้วยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ สองแขนเท้าลงกับเบาะของโซฟาด้านหลังเหมือนจะกั้นไม่ให้รุ่นน้องคนนี้วิ่งหนีหายไปไหนอีก
เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ดวงตาคมเป็นประกายจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา เพราะไปเล่นกีฬาด้วยกันมาเมื่อกี้ทั้งอายไลน์เนอร์ทั้งทรงผมที่บรรจงแต่งไว้เป็นอย่างดีนั้นดูไม่ออกเลยว่าเมื่อก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไปนั้นมันอยู่ในสภาพแบบไหน เสื้อนักศึกษายังถูกทับด้วยเสื้อวอร์มสีดำของเขาที่ดูจะตัวใหญ่กว่าไซส์ที่จูนใส่อยู่สักเบอร์หรือสอง แขนเสื้อที่คลุมปลายนิ้วลงมาเกินฝ่ามือนั้นดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าจนน่าเอ็นดู พลันร่างกายขยับตามใจใบหน้าคมโน้มต่ำลงมาหมายช่วงชิงและให้อีกฝ่ายลิ้มรสตรอเบอร์รี่ที่ว่าดีนักหนา
“......ขอโทษ” เสียงนุ่มดังขึ้นพร้อมใบหน้าแดงก่ำที่ซบเข้ามาที่ไหล่ราวกับไม่อยากให้เห็นหน้า
“.....พี่เร่งเราไปสินะ” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆ หัวใจของเขายังเต้นระรัวแต่ก็พยายามไม่ให้ร่างกายตื่นเต้นไปมากกว่านี้ มือแกร่งยกขึ้นลูบผมของอีกฝ่ายเลื่อนไปโอบไหล่นั้นเอาไว้หลวมๆ
“...ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาก็เท่านั้น...” เสียงของรุ่นน้องดังขึ้นเบาๆ แต่ถึงจะบอกว่ากลัวจูนก็ไม่ได้ละตัวห่างออกไปแต่อย่างใด ยังคงปล่อยให้เคนกอดเอาไว้แบบนั้น
“เพราะเรื่องที่หัวหินน่ะเหรอ” เคนเอ่ยถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ
“อืม....” จูนตอบเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกเจ็บ เขาไม่ได้รังเกียจอีกฝ่าย เพียงแค่อยู่ๆในเสี้ยววินาทีเมื่อครู่มันก็มีภาพเงาดำมืดของคนตรงหน้าทาบทับเข้ามาพรากเอาความหอมหวานของชั่วเวลานี้ไปจากใจ
“โธ่...จูน” เคนถอนหายใจออกมา สองแขนโอบกอดอีกคนเอาไว้แน่น ถ้าเขายับยั้งสติตัวเองเอาไว้ได้บ้าง คงไม่สร้างความทุกข์ใจให้จูนแบบนี้ “พี่ขอโทษ”
“......ล่ะก็ได้” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากในอ้อมแขน เคนเลิกคิ้วขึ้นพลางขยับตัวออกมา
“อะไรนะ?”
“ถ้าแค่กอดล่ะก็ได้....” จูนพูดทั้งๆที่ยังหน้าแดง ดวงตารีเรียวนั่นเบนไปอีกทาง ทำเอาคนได้ยินได้ฟังรู้สึกหัวใจจู่ๆก็พองโตขึ้นมา
....โอ้ย....
....ตบะจะแตกเอานะ....
เคนได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อบทจูนจะอ่อนหวานนั้นก็แสนจะหวานและอ่อนเสียราวกับจะละลายลงไปเพราะความร้อนจากมือของเขาเสียให้ได้ และอีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าเขากำลังอดกลั้นแค่ไหนที่จะไม่จับอีกคนกดลงไปกับโซฟาให้รู้แล้วรู้รอดไป มือแกร่งดึกอีกฝ่ายมากอดเอาไว้แน่นพลางโยกตัวไปมาเหมือนแหย่เด็ก
“โอ๋เอ๋....ขอโทษนะที่ทำให้กลัว.....ขอโทษจริงๆ”
“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย” เสียงขุ่นๆดังขึ้นแทบจะในทันที พร้อมกับใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตารีเรียวแบบเชื้อจีนมองค้อนพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งเห็นจมูกโด่งสวยนั่นบางทีก็นึกหมั่นไส้อยากจะงับสักที
คิดได้แบบนั้นก็ใช้ฟันงับเบาๆบนจมูกของรุ่นน้องอย่างนึกหมั่นเขี้ยว คงพอจะทดแทนจูบที่อยากจะมอบให้ได้
“โอ้ย เล่นอะไรแผลงๆ” เสียงจูนดังขึ้นพร้อมผละออกเล็กน้อย ยกมือขึ้นถูจมูกไปมา
“ถือเสียว่าแทนจูบที่ยังไม่ได้ให้ก็แล้วกัน” เคนยิ้มยียวน
“พี่ก็พูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยเนอะ”
“อ้าว จะด่าว่าหน้าด้าน? แน่นอนครับ ของแบบนี้ ด้านได้นะครับ” หนุ่มนักมวยหัวเราะ พลางหันกลับไปมองทีวี ยกมือข้างหนึ่งพาดพนักโซฟามาโอบไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ
“ก็เพิ่งมีแกนี่ล่ะ ที่ด้านแล้วยังไม่ได้เนี่ย” เคนไม่ได้หันมามองหน้าหากแต่พูดลอยๆ
จูนหันไปมองหน้าคมของอีกฝ่ายด้วยไม่อยากจะเชื่อหูสักเท่าไรนัก เขาพอจะเข้าใจคำว่า ด้าน ที่อีกฝ่ายใช้ แต่ไม่คิดว่าจะด้านขนาดนี้จะพูดอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน แถมยังพูดด้วยท่าทางไม่ได้ยี่หร่ะอะไรแบบนี้ด้วยแล้ว
“โอย....พี่เคน......บางเรื่องต่อให้พี่ไม่ต้องทำใจมากก็ให้ผมทำใจบ้างก็ได้นะครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ ฟังแบบนี้ก็อายนะ” จูนแทบอยากจะทรุดลงไปกองกับพื้นห้อง
“ขอโทษๆ” เคนตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ
ก่อนจะชวนกันดูหนังกันอีกเรื่องแล้วเคนถึงขอตัวกลับไปนอนที่หอของตัวเองตามเดิม ถึงจะเคยมานอนค้างแล้วแต่ในคราวนี้เคนไม่กล้าที่จะขอนอนค้างที่หอของจูน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากให้จูนรู้สึกว่าถูกเอาเวลาความเป็นส่วนตัวไป และอีกอย่าง คือเขาไม่มั่นใจจริงๆว่าจะทนไม่กอดอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยมือของตัวเองไว้ได้อีกครั้ง
..................................................................
“นิดดดดด !!! ” เสียงต่ายร้องลั่นโถงใต้ตึกเรียนทำเอาคนแถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว
“เสียงดังน่าต่าย อายคนเขา” หญิงสาวตอบกลับ
ดวงตากลมมองหน้าของเพื่อนสาวที่วิ่งหน้าตาตื่นมาก็นึกถึงเรื่องเมื่อวาน แผนการของเธอสำเร็จไปได้ด้วยดี ต่ายเชื่อเป็นตุเป็นตะหลังจากที่เห็นเธอเดินออกมาจากห้องของเคนในตอนเช้าของวันก่อน และเธอรู้ดี แม้ว่าต่ายจะเป็นเพื่อนที่เธอเรียกว่าสนิท แต่ยามใดที่เดินคล้อยหลังไปแล้วต่ายก็จะเป็นทรโข่งในการป่าวประกาศเรื่องราวต่างๆของเธอให้คนอื่นรู้เช่นกัน
ดังนั้น ต่ายจึงเป็นคนเดียวที่เธอควรจะจัดการให้อยู่หมัด ข่าวที่ว่าเธอกับเคนเลิกกันแล้วนั้นจะต้องไม่มีทางที่จะได้แพร่งพรายออกไป เธอจะต้องเป็นคนที่คนอื่นจะต้องมองมาอย่างชื่นชม สนใจ หรือจะหมั่นไส้บ้างก็แล้วไปเพราะอย่างน้อยนั่นก็เป็นเรื่องที่เธอต้องการอยู่ตลอด
“รู้หรือเปล่าว่าชมรมการแสดงจัดจะฉายหนังสั้นที่ข่าวว่าไปถ่ายกันที่หัวหินน่ะ”
...หนังสั้น....
นิดเผลอขมวดคิ้ว เธอจำได้ว่าเคนเคยพูดให้ฟัง เธอจำเรื่องหัวหินได้ แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าบทบาทนั้นมันเป็นอย่างไร และแน่นอนว่าเธอไม่รู้เลยว่าชมรมจะฉายหนังที่จะส่งประกวดนั้นให้คนในมหาวิทยาลัยดูด้วย
“อ้อ...อื้ม รู้สิ พี่เคนบอกแล้วล่ะ” นิดปั้นคำโกหกหน้าตายใส่เพื่อน
“เหรอ ถ้าอย่างนั้นนิดก็ต้องมีตั๋วแล้วสินะ บอกพี่เคนให้จองที่ให้พวกเราด้วยนะ ที่นั่งจำกัดแค่ 50 คนนี่นา ตั๋วใบละ 80 บาท ต่ายจองให้เพื่อนเราด้วย 5 ใบนะฝากบอกแบบนี้” ต่ายผู้ร่าเริงว่าพลางกอดแขนเพื่อนอ้อน ผิดกับนิดที่ดูไม่ยินดีนักกับสิ่งที่ได้ยิน
.... ตั๋ว 5 ใบ รวมของเราก็ 6 ...
....จะไปหามาได้ยังไง...
....ปกติแค่จะขอไปดูการแสดงยังแทบไม่ให้ไป...
....นี่เลิกกันแล้ว...
เชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะวิทยาการจัดการเผลอขบฟันลงกับริมฝีปาก ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างเมื่อเห็นใครบางคนเดินสะโหลสะเหลมาจากอีกด้านของทางเดิน ชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของผมฟูๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้หวีสักเท่าไร ภาพลักษณ์ของคนๆนี้เป็นที่เลื่องลือว่าช่างไม่เหมาะกับคณะที่เรียนพอๆกับเป็นที่เลื่องลือจากกิจกรรมชมรมที่เรียกความสนใจได้อยู่บ่อยครั้ง
“โอ้ย ต่าย......พอดีเราปวดท้องน่ะ เดี๋ยวเรามานะ” อยู่ๆนิดก็ร้องออกมาก่อนจะผละจากเพื่อนสาว รีบก้าวยาวๆตรงไปลากแขนคนๆนั้นหลบเข้าไปที่มุมตึกทันที
“โชติ”
“อ่ะ...อ้าว มีอะไรเหรอ นิด” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆยังมึนงงอยู่เพราะเมื่อคืนมัวแต่เช็คภาพความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายของหนังอยู่จนดึกดื่น
“คือ.... ได้ข่าวว่า....” หญิงสาวค่อยๆเปิดประเด็นพูด “เราได้ข่าวมาว่าชมรมของโชติจะให้ดูหนังที่ไปถ่ายกันมาที่หัวหิน พอดีกลุ่มเราคนเยอะไม่อยากกวนพี่เคนให้มาขอ เลยจะถามว่าโชติพอจะกันที่บัตรให้เราสัก 6 ใบได้ไหม” นิดเอ่ย ช้อนสายตามองชายหนุ่มต่างภาควิชาด้วยสายตาที่เธอรู้ดีว่าทำให้ใครต่อใครใจอ่อนมาแล้ว
“....ได้สิ จะเอาเลยไหมล่ะ เราหยิบตั๋วใส่กระเป๋ามาเผื่อเดินขายเพื่อนพอดี” โชติยิ้ม
....ใช่ ทุกอย่างมันดูเข้าทางไปหมดเสียจนน่าขนลุกเลยทีเดียว....
to be con...
-
นิดเริ่มน่ากลัวแล้วนะคะ :serius2: หวังว่าจะไม่ทำอะไรร้ายแรงนะ
นางดูพร้อมสู้เมื่อมีโอกาสมากๆ :z13:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ลุ้นมากค่ะ
แตกหัก หน้าแตกกันจริงๆก็จะงานนี้ละมั้ง
หึหึ
-
CHAPTER 49 : ปล่อยมือ
“พี่ยุทธ์ ในห้องประชุมนั่นฝีมือพี่อีกแล้วใช่ไหม”
เสียงจูนดังขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องชมรมเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าที่จะให้สมาชิกชมรมใส่วันนี้ อาจะเป็นเพราะภาพที่เห็นในห้องนั่นที่ทำให้จูนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฮัมเพลงไปพลางจัดเสื้อผ้าที่เตรียมมาไว้บนราว
ตอนที่เปิดประตูห้องประชุมชั้นหนึ่งใต้ห้องชมรมเข้าไปก็พบว่ามีการตกแต่งสถานที่ให้ได้บรรยากาศที่เหมาะแก่การเอนกายลงดูหนังกันเป็นหมู่คณะ ที่แม้ไม่ได้เรียกว่ากว้างขวางนัก แต่หลังจากการจัดและตกแต่งด้วยผ้าสีขาวที่โยงขึ้นบนเพดานทำให้ทั้งห้องคล้ายเป็นกระโจมขนาดใหญ่ บนพื้นปูด้วยพรมนุ่ม พร้อมกับหมอนขนาดใหญ่บีนแบกใบโตที่วางไว้ด้านหน้า สลับกับแถวเก้าอี้ผ้าใบสีขาวสะอาดตาดูแล้วน่าทิ้งตัวลงนอนยิ่งได้บรรยากาศอบอุ่นจากหลอดไฟสีส้มเล็กๆที่บรรจงแต่งลงตามมุมนั้นมุมนี้ของห้องประชุมที่แปลงร่างเป็นกระโจมด้วยแล้วยิ่งทำให้คิดว่าคนที่ได้เข้ามาคงไม่อยากจะลุกจากไปไหน
"อื้ม.... ทำแก้เซ็งน่ะ” เสียงยุทธ์ตอบกลับมาก่อนจะเดินมาดึงเสื้อที่จูนเพิ่งแขวนไว้บนราวออกมาทาบ เสื้อเชิ้ตผ้าลินินสีอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลที่จับเข้าคู่กับเข็มขัดสีเข้มกว่า จูนยังคงมีสายตาที่เฉียบคมกับเสื้อผ้าที่จะจัดให้พวกเขาใส่เสมอ
“น่าจะทำแก้เซ็งแบบนี้บ่อยๆนะ ...ผมชอบ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มพลาง เดินไปเปิดตู้เขาหยิบหมวกออกมาสองสามใบ แต่พอหันกลับมาก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างเล็กกำลังเปลี่ยนดึงเสื้อกล้ามที่ใส่อยู่ออกจากตัวอย่างชลุกขลั่กเพราะมืออีกข้างก็ยังถือเสื้อที่จะใส่เอาไว้อยู่อย่างนั้น
“ทำอะไรของพี่....” จูนเดินไปคว้าเสื้อเชิ้ตเอาไว้ในมือ แล้วช่วยอีกคนดึงเสื้อกล้ามออกจากตัว
“เดี๋ยวเสื้อก็ยับพอดี” คนที่เข้าไปช่วยอดที่จะดุไปพลางขำไปพลางไม่ได้ “ค่อยๆทำสิครับ”
“งั้นก็ช่วยใส่หน่อยสิ” ยุทธ์ว่า พลางโยนเสื้อกล้ามของตัวเองทิ้งไปอีกทาง สองแขนกางออกต่อหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตากลมโตที่มองมาฉายแววรั้นเอาแต่ใจเหมือนทุกครั้ง
“............” เห็นท่าทางแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ จูนสะบัดเสื้อในมือออกเล็กน้อยก่อนขยับเข้าไปเพื่อสวมเสื้อให้กับอีกฝ่าย “พี่ยุทธ์นี่ล่ะน้า...ไม่มีผมพี่จะทำยังไงเนี่ย”
“ก็อยากมีนะ....” เสียงนุ่มพร้อมกับมือเรียวของร่างเล็กที่ยกขึ้นมายึดข้อมือของจูนเอาไว้มั่น ทำเอาสไตลลิสต์ประจำกองถึงกับชะงัก จูนพยายามที่จะไม่คิดอะไรถึงแม้ระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรนั้นจะทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ความรู้สึกของอีกฝ่ายยังคงเด่นชัด รู้สึกได้จากสายตาที่มองมาราวกับกำลังร้องขอ
“ติดกระดุมเองนะ เดี๋ยวไปตามพี่โชติกับพี่เคนขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อก่อน”ว่าพลางร่างสูงโปร่งก็ละมือออกห่างก่อนจะเดินออกจากห้องชมรมไป ยุทธ์ได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ในหัวยังคงมีภาพของจูนในตอนนั้นอยู่ ตอนที่เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นบอกกับเขาว่า
.... ผมอยู่กับพี่ไม่ได้....
พลันร่างเล็กย่อตัวลงยกสองมือขึ้นปิดหน้า เขาคงเผลอแสดงท่าทีอะไรออกไปอีกแน่ ทั้งๆทึ่คิดแล้วว่าไม่อยากจะให้อีกฝ่ายลำบากใจไปมากกว่านี้...แต่มันทำไม่ได้แล้ว
...ความรู้สึกมันมาถึงขั้นนี้แล้ว...
...เขาถอยกลับไปไม่ได้...
...แต่ก็ไม่มีทางให้ไปต่อเช่นกัน....
..............................................
ทันทีที่คนเริ่มทยอยมาถึงที่ด้านหน้าห้องประชุม ทั้งสี่หนุ่มก็ออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าเรียกเสียงฮือฮาได้ตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ด้วยเครื่องแต่งกายของทั้งสี่คนนั้นเป็นโทนสีขาวกับน้ำตาลดูสบายๆ ยุทธ์ในเสื้อเชิ้ตผ้าลินินกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนเน้นบุคลิกที่ดูขี้เล่น โชติเองก็มาในชุดคล้ายกันแต่สลับสีระหว่างท่อนบนที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีขาว จนมีเสียงใครสักคนแซวว่าแต่งตัวเป็นแฝดกับยุทธ์
ในขณะที่เคนนั้นเป็นเสื้อยืดสีลายทางพอดีตัวกับกางเกงสีเขียวแบบทหารแบบห้าส่วนให้บรรยากาศอบอุ่นแต่ก็สนุกสนาน ส่วนจูนเองก็ใส่เสื้อยืดลายทางทับด้วยเชิ๊ตสีเหลืองอ่อนดูสบายตาโดยไม่ลืมจะใส่คอนแท็กเลนส์สีน้ำเงินสวยกับเซ็ทผมมาเป็นอย่างดี ทั้งสี่คนแต่งตัวกันเสียจนมีเสียงแซวมาว่าจะให้มาดูแฟชั่นโชว์หรืออย่างไร ทำเอาสไตลลิสต์ประจำชมรมยิ้มหน้าบาน
เพราะมีทั้งขนมและน้ำดื่มเตรียมไว้ให้ บรรยากาศภายในงานก่อนที่จะเริ่มจึงไม่ต่างจากงานปาร์ตี้ย่อมๆ ตัวสมาชิกของชมรมเองก็ดูจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเพราะจนถึงตอนนี้ทั้งสี่คนก็ยังไม่ได้ดูหนังร่วมกันเลยถึงแม้ว่าหนังจะถูกส่งไปยังกองประกวดแล้วก็ตาม
“ตื่นเต้นไหม?” อยู่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นข้างหูเมื่อหันไปก็เห็นใบหน้าคมของเคนเอียงลงมากระซิบใกล้ๆ
“นิดหน่อย...ไม่รู้คนอื่นจะขำไหม ผมแต่งตัวแบบนั้น อายจะตาย” จูนว่าพลางหัวเราะแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วของคนข้างๆที่เลื่อนมาเกาะที่เอว ยังดีว่าพวกเขายืนพิงผนังห้องและไฟก็สลัวจึงไม่มีใครสังเกต
“น่ารักจะตาย” เคนกระซิบเบาๆ
“พี่.........” แต่ก่อนที่จะได้เถียงอะไร เมื่อมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไปก็เห็นร่างเล็กคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้ามา
“พี่นิดมา....”
สิ้นคำพูดนั้นของจูน เคนรีบหันกลับไปมองเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า นิด “อดีต” แฟนสาวของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนสาวทั้งกลุ่ม ท่าทีที่เหมือนจะมองหาใครบางคนนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอกำลังมองหาใครและเขาไม่อยากนึกเลยว่าจากเรื่องเมื่อเช้าวานซืน รอบนี้นิดจะจัดอะไรมาให้เขาอีกหรือเปล่า มือแกร่งที่โอบเอวของเด็กหนุ่มไว้หลวมๆละออกจากเอวของเด็กหนุ่มเปลี่ยนมากุมมือของจูนเอาไว้แน่น
“พี่เคน?” เจ้าของมือเรียวหันไปมองหน้าของคนรักด้วยความประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นเคนมีสีหน้าเครียดแบบนี้หลังจากไม่ได้เห็นมาหลายวัน
“อย่าปล่อยมือนะ”
“หะ?” คำถามที่รุ่นพี่นักกีฬาพูดออกมาทำเอาเด็กหนุ่มผมทองต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เขาเหลือบไปมองอีกทางนิดก็เหมือนจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว จะไม่ให้เขาปล่อยมือได้อย่างไร
“ทำตามที่พี่บอกจะได้ไหม” เคนยังคงย้ำคำเดิม ซึ่งเป็นคำที่จูนไม่เข้าใจ หัวใจของเขาเต้นรัวทั้งจากท่าทีจริงจังของคนที่อยู่ตรงหน้าและจากที่กลุ่มของหญิงสาวร่างเล็กคนนั้นกำลังจะเดินมา
“แต่.....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น ตั้งแต่วันนั้นเขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับนิดตรงๆ ในใจนึกกลัวอีกฝ่ายจะรู้ความจริง และกลัวว่าทุกๆคนก็รู้ความจริงเช่นกัน
.... พูดเหมือนทำได้ง่ายๆ ใครจะไปทำได้กัน....
.... ความจริงบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าใครก็ยอมรับกันได้ง่ายๆ...
“อยู่นี่เองพี่เคน นิดมองหาแทบแย่”
หญิงสาวร่างเล็กเดินมาหยุดตรงหน้าพลางยิ้มหวานให้กับร่างสูง ดวงตากลมโตนั้นเหลือบมองจูนที่ยืนอยู่ข้างๆเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้
“น้องจูนก็อยู่ด้วย ตื่นเต้นไหมคะ ทุกคนจะได้ดูหนังของชมรมแล้ว”หญิงสาวเอ่ยทักเช่นเดียวกับแขกทุกคนที่เข้ามา แต่ดวงตาคล้ายจะบอกให้เขาถอยออกไปผิดกับรอยยิ้มหวานที่อยู่บนใบหน้า ทำเอาจูนเผลอปล่อยมือออกจากมือแกร่งของเคนด้วยความตกใจ
“ฮ่ะๆ...นิดหน่อยครับ” เด็กหนุ่มว่าเหลือบมองไปทางเคนชายร่างสูงเองก็ดูจะประหลาดใจกับการกระทำของเขาเช่นเดียวกัน เคนมองมาเหมือนไม่พอใจที่เขาไม่ทำตามที่เคนบอกแต่มันช่วยไม่ได้ ในเมื่ออยู่ๆก็มีคนเดินเข้ามารุมขนาดนี้
“เนี่ย พวกเราต้องขอบคุณพี่เคนนะคะ นี่ถ้าไม่ได้พี่เคนเนี่ยคงไม่ได้มาดูแน่เลย บัตรรอบนี้นะหายากมาก....” เสียงเจื้อยแจ้วของต่ายดังขึ้นพาให้เพื่อนในกลุ่มต่างพยักหน้าเออออ
“ใช่ค่ะ บัตรมีแค่ 50 ที่ นี่ถ้าพี่เคนไม่ให้นิดมาล่ะก็ยัยพวกนี้คงไม่ได้มาด้วยหรอก ขอบคุณนะคะ” ไม่พูดเปล่าแขนเรียวสอดคล้องเอาแขนของเคนมาครอบครองทั้งๆที่ใจก็รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่เพราะมีภาพที่ต้องรักษาและอยากมาสอดส่องมองดูเสียหน่อยว่า เคนจะนัดแนะ “คนใหม่” ของเขาให้มาดูผลงานด้วยหรือเปล่าจึงจำใจต้องบากหน้าเข้าไปขอตั๋วมาจากโชติแบบนั้น
“อ่ะ...เฮ้ยนิด ....” เคนพยายามจะดึงออกแต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อปลายเล็บของหญิงสาวจิกลงมาบนเนื้อ
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ....ไม่เป็นไร” เคนจำต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้เพราะท่าทีที่อีกฝ่ายย้ำความพร้อมๆกับเล็บที่จิกลงมา ชายหนุ่มหันไปมองจูนแต่เด็กหนุ่มร่างสูงกลับไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
...อ้าว เฮ้ย....
ยังไม่ทันจะได้ร้องหา ไฟรอบด้านก็ดับลงเหลือเพียงแค่ไฟประดับที่ทำให้พอเห็นผู้คนรอบๆที่ค่อยเดินไปหาที่นั่งเพราะนี่เป็นสัญญานว่าหนังสั้นประจำค่ำคืนกำลังจะเริ่ม เคนรีบฉวยโอกาสนั้นดึงมือออกจากการเกาะกุมของเด็กสาว
“เดี๋ยวพี่ต้องไปสแตนด์บายนะ นิดพาเพื่อนไปหาที่นั่งเถอะ เดี๋ยวไม่ได้ดูหนัง” เคนเอ่ยอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้มีท่าทีอยากจะเดินไปส่งเหมือนอย่างทุกที เคนรู้ว่าคงจะทำให้นิดหงุดหงิดอีกแน่
....แต่แฟนของเขาในตอนนี้ไม่ใช่นิด....
....เขาควรไปอยู่ข้างๆคนๆนั้นมากกว่า...
“เอาล่ะครับ หวังว่าทุกคนคงจะพร้อมกันแล้วที่จะรับชมหนังสั้นของเขา “เรื่องของเราในฤดูร้อน” เป็นหนังสั้นเรื่องแรกของชมรมโดยมีผม โชติ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับและเขียนบท” โชติเป็นคนออกมากล่าวทักทายทุกคน โดยมียุทธ์และจูนยืนอยู่ด้านหลัง เคนรีบเดินเข้าไปประกอบเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นทันที
“เดินมาไม่เรียกเลย” ร่างสูงกระซิบกระซาบ
“ก็เห็นยุ่งๆ” จูนตอบกลับเสียงเรียบเฉย
“โกรธเหรอ....”
“....................” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยกมือขึ้นปรบเบาๆเมื่อโชติพูดเสร็จ เขาโบกมือให้กับคนดูเล็กน้อยก่อนจะเดินตามยุทธ์กับโชติไปนั่งที่เบาะนั่งที่เตรียมเอาไว้ เคนเองก็รีบตามไปนั่งข้างๆอย่างว่องไว แน่นอนว่านั่งกั้นระหว่างจูนกับยุทธ์อีกต่างหาก
“เชี่ยเคนมึงอย่ามานั่งเบียดกูได้ไหม” ยุทธ์โวยวายขึ้นมาเบาๆ
“เออน่า ขอกูนั่ง” เคนตอบกลับไม่ได้ยี่หร่ะอะไรนักผิดกับยุทธ์ที่ดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ตอนนี้สิ่งที่อยากรู้คือท่าทีของเด็กหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่ทางขวาตรงนี้ต่างหาก
“พี่ไม่ได้ชวน....” เคนเอ่ยปากออกไปเบาๆ แต่กลับเจออีกฝ่ายหันมาจุปากใส่ พลางพยักเพยิดไปทางสกรีนที่กำลังจะเริ่มฉายหนัง ทุกคนในห้องเงียบเสียงลงเมื่อช็อตแรกของหนังเริ่มขึ้น
การแสดงของชมรมการแสดงในครั้งนี้ เป็นการแสดงที่ต่างออกไปจากที่แฟนคลับของชมรมการแสดงเคยเห็น แม้จะมีเสียงขำขันในตอนแรกเพราะเครื่องแต่งกายของแต่ละคนและเรื่องราวที่สอดแทรกด้วยมุกตลกท่าทางกับบทสนทนาแกมจิกกัดชีวิตนักศึกษาในปัจจุบัน แต่สักพักคนดูก็คล้ายจะยิ่งเงียบงันไปกับเรื่องราวของความรักของ “ยุทธ์” และ “โชติ” ฉากอุบัติเหตุการจมน้ำที่ดูสมจริงสมจัง
“...............” ผู้กำกับของเรื่องและหัวหน้าชมรมเบือนหน้าหนี แม้ไม่ได้ดูแต่การที่ต้องเห็นตัวเองประสบเหตุแบบนั้นมันก็สะเทือนใจอยู่ไม่น้อย โชติเผลอกุมมือเข้าหากันแน่นจนสองมือนั้นสั่น แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนมาหยุดอาการสั่นเทานั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปที่ด้านข้างก็เห็นว่าเป็นมือของยุทธ์เองที่กุมมือของเขาอยู่ท่ามกลางความมืด
....และมือนั่นก็สั่นอยู่เช่นกัน...
ฉากย้อนอดีตความรักของ “จูน” กับ “เคน”ในเรื่อง เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากสาวๆได้ในตอนแรก ได้ยินเสียงแว่วมาว่า
...พี่เคนหล่อจัง....
หรือไม่ก็
...นั่นจูนใช่ไหม....
เด็กหนุ่มเจ้าของบทบาทดูจะประหม่าไม่น้อยกับการเห็นการแสดงของตัวเองบนหน้าจอ และยิ่งประหม่ามากขึ้นเมื่อบนหน้าจอแปรเปลี่ยนเป็นฉากเลิฟซีนที่ถ่ายกันในห้องนอนในบ้านพักของครอบครัวของยุทธ์ที่หัวหิน
ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกาย สีหน้าและเสียงที่เปล่งออกมานั้นดูไม่ใช่ตัวเขาเลย เป็นเหมือนคนอีกคน...คนอีกคนที่กำลังมีความรัก ไม่ต่างจากผู้ร่วมแสดงร่างสูง นึกขอบคุณทั้งยุทธ์และโชติที่ช่วยใส่เพลงประกอบทับลงไปเพราะไม่อย่างนั้นคงจะได้ยินทั้งเสียงลมหายใจกับเสียงหัวใจของพวกเขาด้วยก็เป็นได้ จูนได้แต่นั่งตัวแข็งด้วยความประหม่าเขาไม่กล้าหันไปมองใคร ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาของฉากเลิฟซีนนั้น น่าแปลกทั้งๆที่เขาคาดหวังเสียงโห่ฮา หรือ เสียงร้องด้วยความขนพองสยองเกล้าจากคนดู แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดราวกับว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์กับภาพตรงหน้า
ในขณะเดียวกันดวงตากลมโตของเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะวิทยาการจัดการก็กำลังมองภาพบนสกรีนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนด้วยใจหนึ่งหรือก็รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้าคือการแสดงของเคนที่ถึงแม้ว่าฝ่ายชายจะไม่ค่อยยอมให้มาดูนักแต่จากที่คบกันมาก็พอจะรู้บ้างว่าในขณะที่แสดงเคนจะมีสีหน้าแบบใด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ฉายอยู่บนดวงตาคมคู่นั้น ทุกครั้งที่ “เคน” มอง “จูน” สายตาในแบบที่เธอไม่เคยเห็นและน้ำเสียงยามกระซิบกระซาบตามบทนั้นยิ่งทำให้ใจเกิดความรู้สึกขุ่นมัว
...ก็รู้ว่านี่มันการแสดงแต่จำเป็นจะต้องดูดดื่มขนาดนั้นเลยรึยังไง!!...
ในใจร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกในแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานาน รู้ว่าไม่ควรจะหึงเพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะแฟนอีกแล้ว แต่ในตอนที่อีกฝ่ายกำลังแสดงอยู่มันเป็นตอนที่เคนยังคบกับเธออยู่ไม่ใช่หรือยังไง นิดได้แต่คิดอย่างหงุดหงิดด้วยนึกหวงคนรักประกอบกับกลัวเหลือเกินว่าฉากที่เห็นวันนี้จะทำให้เพื่อนๆนำกลับมาล้อว่าเคน “คนรัก”ของเธอนั้นติดใจ “กระเทยจูน” มาตั้งแต่แสดงละครบนเวทีด้วยกันเมื่อครั้งก่อน นิดได้แต่ขบกรามแน่น ดวงตาสวยแบบสาวไทยเบนสายตาไปมองยังชายหนุ่มร่างสูงกับรุ่นน้องผมสีทองคนนั้น คนหนึ่งอมยิ้มน้อยๆในขณะที่อีกคนดูจะนั่งดูด้วยความประหม่า
…พี่เคน...
...ที่บอกเลิกเพราะมีคนใหม่...
...แล้วไหนล่ะ คนไหนกัน...
ไฟในห้องประชุมสว่างขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงปรบมือของคนที่เข้ามาชมเรื่องราวความรักแรกพบของ “ยุทธ์” กับ “โชติ” ที่ดำเนินไปพร้อมๆกับความรักที่มีทั้งสมหวัง ผิดหวัง พลาดพลั้งแต่สุดท้ายก็กลับมาเข้าใจและรักกันได้เหมือนเดิมของตัวละคร “จูน” และ “เคน” มีเสียงโห่ร้องผิวปากแซวอยู่ไม่น้อย
“โชติกับจูนสาวน้อยมาก การแสดงหรือเอาเรื่องจริงมาเล่น หะ!”
“ก...การแสดงครับ การแสดง” จูนรีบตอบทันควันใบหน้านั้นแดงก่ำยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูมากขึ้นไปอีก
“แล้วตอนที่ได้ด่า “ไอ้บ้า ไอ้งี่เง่า ไอ้ควาย นั่นก็การแสดงใช่ไหม” ยังมีอีกคนตะโกนถาม
“อ้อ อันนั้นเรื่องจริงเลยครับ! “จูนตอบเรียกเสียงหัวเราะได้จากหลายๆคน เขาเดินคุยทักทายกับกลุ่มเพื่อนที่คอยติดตามผลงานของชมรมมาโดยตลอด แวะถ่ายรูปกับรุ่นน้องปี 1 ที่ต่อสู้แย่งชิงตั๋วเข้ามาดูจนได้อย่างเป็นกันเอง
“แสดงเก่งนะคะ เล่นเหมือนมากซะถ้าพี่เป็นนิดคงหึงแย่เลย” อยู่ๆต่ายก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมหัวเราะเสียงสูง แม้จะแต่งหน้าแต่งตาแต่สำหรับจูนผู้หญิงตรงหน้ากลับดูไม่น่ามองเท่ากับนิด อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบโทนเสียงของอีกฝ่ายก็เป็นได้ เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยห่าง
“ขอบคุณครับที่ชม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
“ใช่ จูนแสดงเก่งมากเลยล่ะ เล่นซะพี่เคลิ้ม” อยู่ๆเคนก็เดินเข้ามากอดคอของจูนจากทางด้านหลัง ท่าทางอารมณ์ดีนั่นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งทำตัวไม่ถูก
“อ่ะ...เฮ้ย พี่เคน เล่นอะไร หนัก อึดอัดด้วย”
“โอ้ยๆ แบบนี้จะชวนจิ้นใช่ไหมคะพี่เคน” ต่ายยิ่งหัวเราะเสียงดังพาเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆขำตามไปด้วยยิ่งมีภาพจากแฟนเพจหนุ่มหล่อประจำมหาวิทยาลัยที่โพสต์ภาพทั่งคู่ให้ดูกันเมื่อคราวก่อนยิ่งปลุกกระแส “จิ้น” ให้เม้าท์กันสนุกปาก จะมีก็แต่นิดที่ดูจะไม่สนุกด้วยสักเท่าไรในทุกๆครั้ง
“คู่จิ้นก็คงได้แค่จิ้นมั้งต่าย....” สาวร่างเล็กว่าพลางเดินเข้าไปยืนใกล้ๆกับต่าย ดวงตาคมสวยคู่นั่นมองหน้าของเคนนิ่งพร้อมริมฝีปากที่หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“โอ้ยตาย แก...ชั้นลืม ตัวจริงเขามาทวงแล้วนะ เมื่อวานก่อนก็ออกจะสวีทนี่ออกมาจากหอพี่เคนแต่เช้าเลยค่า” แน่นอนว่าความพูดมากเกินพอดีของต่ายมักจะมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ นิดทำทีเป็นเขินทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ มือเรียวตีไหล่ของเพื่อนสาวไปหนึ่งที
“ต่ายอ่ะ พูดอะไร อายเขา”
แต่ดูเหมือน “เขา” ที่พูดถึงคงไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกแบบเดียวกับที่จูนรู้สึกในตอนนี้ ดวงตาสีน้ำเงินด้วยคอนแทคเลนส์หันไปมองใบหน้าคมของหนุ่มรุ่นพี่ ถามหาความจริงด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจแทบจะในทันที
“เฮ้ย เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ เข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว ” เคนยกมือไม้โบกปฏิเสธเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงโปร่งของใครบางคนผลุนผลันเดินออกมาวงสนทนาไปโดยไม่บอกกล่าว
“อ้าวเฮ้ย จูน...จะไปไหนน่ะ!” มือแกร่งเอื้อมไปหมายจะคว้าแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“อะไรกัน...คู่จิ้นไม่อยากฟังเสียแล้ว น้องเขาคงอยากให้พวกเราได้คุยกันมั้งคะพี่เคน เป็นไงล่ะแฟนฉัน แสดงเก่งจนนักแสดงร่วมยังเคลิ้มเลย” ไม่วายมือเรียวเอื้อมมากอดแขนของเคนเอาไว้ด้วยท่าทีออดอ้อนแถมยังคุยอวดสรรพคุณเหมือนทุกที ยิ่งทำให้เคนยิ่งกลุ้มใจเขาอยากจะเดินตามจูนไป แต่ก็ต้องมาเจอคำพูดกับท่าทีเดิมๆที่น่าเหนื่อยหน่ายของนิดอีกแล้ว
“นิด....พอเถอะนะ พี่ขอ”
“อะไรกันพี่เคนจะมาขออะไรกันตรงนี้คะ” แต่ก็ดูเหมือนกลุ่มสาวๆจะยิ่งได้ใจไม่มีใครยอมฟังคำพูดของเคน...เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จนชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดเขาทนมาโดยตลอดก็เพราะเห็นแก่หน้านิด แต่ตอนนี้นิดดูเหมือนจะไม่เห็นแก่เขาเลยแม้แต่น้อย การกระทำในตอนนี้ของนิดก็เพื่อตัวเองเท่านั้น
“ทุกคน ฟังพี่ก่อน เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหนักแน่นนั้นทำเอาเสียงหัวเราะนั้นเงียบลงในทันที ดวงตาคมหันไปมองนิด เขาไม่พอใจทำไมเพียงแค่นี้นิดถึงไม่เห็น ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักอก
“...วันนั้นนิดแค่เอาข้าวเช้าไปให้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
สุดท้ายเคนเลือกที่จะไว้หน้าของนิด หากพูดอะไรออกไปตอนนี้เรื่องราวคงกลายเป็นใหญ่โตแล้วเขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้น
“และพี่ขอตัวก่อน มีธุระต้องไปทำ” เคนตัดบททิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไป เขารู้ว่าจูนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเขาต้องรีบไปตาม เด็กผมทองนั่นก็ไวแสนไวและก็คงจะโกรธเขามากด้วยเช่นกัน
“พี่เคน จะไปไหนน่ะ นิดไปด้วย” แต่เสียงของหญิงสาวยังตามมาพร้อมกับมือเรียวที่ฉุดยื้อเอาไว้แต่ก็ตต้องชะงักเมื่อมือแกร่งที่เคยจับกันแน่น ในตอนนี้กลับดึงมือของเธอออก
“กลับไปคุยกับเพื่อนเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ บนใบหน้าคมแสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตามมา ในดวงตานั้นฉายแววกร้าวจนนิดต้องปล่อยมือออกจากวงแขนของอีกฝ่าย
“เพราะตอนนี้ พี่ไม่มีอะไรจะคุยกับนิดแล้ว”
“แล้วพี่เคนจะไปไหน จะกลับมาไหมคะ นิดไม่อยากกลับคนเดียว” เชียร์ลีดเดอร์สาวยังออดอ้อนด้วยท่าทีเดิมที่ในตอนนี้ใจของเธอเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ามันจะยังมัดใจของคนตรงหน้าได้อีกหรือไม่
“นิด บางเรื่องพี่ก็แค่ไม่อยากตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่นิดจะรู้ พี่ก็มีเรื่องของผู้ชายให้ต้องไปตามเหมือนกัน”
เสียงทุ้มตอบกลับด้วยใจความที่ทำให้เด็กสาวตรงหน้ารู้สึกเหมือนมีกระแทกอะไรเข้ามาที่หน้า แต่ก่อนที่เธอจะได้ต่อปากต่อคำอะไรต่ออดีตคนรักร่างใหญ่ก็เดินออกจากห้องประชุมไปเสียแล้ว
to be con....
@@@talk@@@
สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกคน มีความสุขโชคดีตลอดปีค่ะ
ใครหงุดหงิดยัยนิด.........ใจเย็นๆนะคะ นิดเขาก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ :beat:
-
ห่วงแต่รักษาหน้าแฟนเก่าแล้วคิดจะห่วงรักษาความรู้สึกของจูนบ้างไหมล่ะพี่เคน :m16: :m16: :m16: :m16:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :3123: :L2:
-
โอ้ยยย สนุกมากค่ะ
เมื่อไรความรักของ 4 คนนี้จะสว่างไสวซักทีคะ
กำลังจะไปด้วยดี อ้าวมีเรื่องอีกแล้ว
แล้วมาต่อตอนไปเร็วๆนะคะ
-
ตอนที่ 50 be mine (1)
[/b]
ศูนย์อาหารกลางของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารขนาดใหญ่สามชั้น ด้านหน้าที่ติดกับถนนเส้นหลักของมหาวิทยาลัยมีบันไดยาวตลอดแนวด้านหน้าสลับกับบล็อกที่ด้านบนเป็นลานให้นั่งพักผ่อน แสงไฟที่ติดอยู่โดยรอบนั้นสว่างมากพอที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยแม้ไม่ใช่คืนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย
ร่างสูงโปร่งหยุดลงที่ลานกว่างที่บันไดชั้นกลางก่อนขึ้นสู่ศูนย์อาหาร มองขึ้นไปเห็นไฟส่องสว่างได้ยินเสียงประตูของร้านสะดวกดังแว่วๆ แต่กระนั้นก็ไม่ได้คิดจะเดินเข้าไปด้านในทั้งๆที่ร้านสะดวกซื้อนั้นเขาใช้มันเป็นข้ออ้างในการเดินมาถึงที่นี่
เด็กหนุ่มก้าวเท้าอาดๆ เดินไปจนปลายสุดของลานที่ทอดยาวออกไป อีกฝั่งหนึ่งของศูนย์อาหารกลางที่ติดกับสนามรักบี้ไม่มีร้านรวงอะไรที่เปิดทำการจนกลางค่ำกลางคืน จึงเป็นที่เหมาะนักที่จะนั่งลงเงียบๆ บนขั้นหนึ่งของบันไดท่ามกลางแสงสลัวที่หากไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็นว่ามีใครมานั่งอยู่ในมุมมืดๆแบบนี้
“เฮ้อ................” เสียงเด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ดวงตารีเรียวเหม่อขึ้นมองด้านบน
ท้องฟ้ายาวค่ำคืนดูสว่างกว่าที่คิดเพราะไฟถนน แต่ความเงียบที่มุมนี้ของศูนย์อาหารกลางนั้นถือว่าในตอนนี้มีค่าจนเงินคงซื้อไม่ได้ สองมือยกขึ้นหมายจะขยี้ผมของตัวเองแรงๆแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเสียเวลาขนาดไหนกับการเซ็ทผมให้อยู่ทรงก็ล้มเลิกความคิด ได้แต่กระแทกมือลงกับราวจับตรงนั้นอย่างเสียอารมณ์
“โธ่เอ้ย.........” เจ้าของผมสีทองรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยจนต้องเดินออกมาจากชมรม หงุดหงิดท่าทีของคนร่างสูงที่ยอมให้แฟนเก่าคล้องแขนแต่โดยดี หงุดหงิดท่าทีของนิดที่ยิ้มไปหัวเราะไป หงุดหงิดเสียงสูงๆของพรรคพวกของเธอที่พากันเฮฮาไปกับมุกที่ดูไม่เข้าท่า
แต่จริงๆแล้วทั้งหมดที่คิดคงเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเพราะคนที่เขาน่าจะหงุดหงิดที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตนเอง หงุดหงิดตัวเองที่ทำได้แค่เดินหนีออกมาจากความรู้สึกรุ่มร้อนอัดอั้นในอกที่เขาไม่เข้าใจ ทั้งๆที่รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนขอให้เคนยังปิดบังทุกคนกับสถานะของพวกเขาที่เป็นอยู่ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็อดที่จะรู้สึกแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี
ลมเย็นพัดผ่านทำให้ต้องถูมือเข้าด้วยกัน และก็ได้แต่หวังให้ความร้อนรุ่มในใจนั้นถูกพัดพาไป จนได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้า
มาใกล้ ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
“อะไรกัน พี่ยุทธ์เองเหรอ” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางหันหน้าไปมอง ไม่มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด
“จะตกใจสักหน่อยก็ไม่ได้รึไง” เจ้าของชื่อหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินลงบันไดไปนั่งข้างๆ “เกิดไม่ใช่พี่ เป็นโจรมาดักตีหัวจะทำยังไง” มือเรียวยกขึ้นแตะเส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่มเบาๆ ดวงตากลมของพระเอกประจำชมรมจับจ้องอีกฝ่ายอย่างห่วงใย
“ผมผู้ชาย...ดูแลตัวเองได้หรอก พี่นั่นล่ะตัวนิดเดียวเขาตีทีเดียวก็น็อคละ” จูนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็รู้...ว่าดูแลตัวเองได้ แต่ความรู้สึกตัวเองน่ะ ก็ต้องดูแลด้วยนะ” รุ่นพี่ร่างเล็กเอ่ยเสียงเบา ดวงตาคู่นั้นทำทีเป็นเหม่อมองออกไปไกล
“หึๆ ” เสียงหัวเราะขึ้นจมูกดังขึ้นเบาๆ “พี่นี่ก็รู้ดีไปหมดเลยเนอะ”
“ช่วยไม่ได้ มันอดสังเกตไม่ได้นี่นะ” ยุทธ์ตอบไปตามตรง มือเรียวยกขึ้นสัมผัสเส้นผมสีอ่อนของจูน “ทุกครั้งที่มองก็จะคิดแบบเดิมๆ ว่าไม่อยากให้แกต้องเจ็บ”
“.............” จูนไม่ได้ตอบอะไร เขารู้และเห็นได้ในสายตาของอีกฝ่าย จากเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนมันไม่มีอะไรให้ต้องอธิบายเพิ่มว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อเขามันเป็นอย่างไร
“ผม...ดูเหมือนคนที่กำลังเจ็บอย่างนั้นเหรอเนี่ย” รุ่นน้องผมสีอ่อนเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ช่วงขายาวยกขึ้นมานั่งชันเข่าช่วงแขนยาวนั่นกอดเข่าเอาไว้หลวมๆ
“ให้อยู่ด้วยได้ไหม....สักพัก”
คำตอบที่จูนมีให้คือการพยักหน้าลงน้อยๆ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่ข้างๆหยิบไฟแช็ค ขึ้นมาจุดบุหรี่สูบ สักพักก็ได้กลิ่นควันที่คุ้นเคย
“พี่เคนล่ะ....”
“ตอนพี่ออกมามันก็ยังง่วนอยู่นะ กับเรื่องของมันน่ะ” ท้ายเสียงนั้นคล้ายเยาะหยันชายร่างสูงใหญ่คนนั้น เพราะก่อนที่เขาจะเดินออกมายังเห็นโดนแฟนสาวยื้อยุดอยู่ไม่ห่างอยู่เลย
....บางทีก็ขอบใจที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นเสียแบบนั้น.....
....และก็คงต้องขอบใจ เชี่ยโชติมันเหมือนกัน........
“เรื่องของเขา...นั่นสินะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เวลาที่ไม่พอใจทีไรน่าแปลกที่ถ้อยคำประชดประชันนั้นช่างพร่างพรูออกมาได้อย่างง่ายดาย อาจจะเพราะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ถึงได้รีบเดินหนีออกมา
“......ไม่เป็นไรนะ.....” คำพูดนั้นเป็นทั้งคำถามและคำปลอบใจไปในตัว ยุทธ์เอื้อมมือไปโอบไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้
“อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ” จูนถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ขยับหนีจากการโอบกอดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ใบหน้าได้รูปก้มลงซุกหน้ากับแขนของตัวเอง
“ผมรู้ตัวผมดี ผมมาทีหลัง ผมเป็นผู้ชาย พี่เคนเองก็เหมือนกัน พวกเราไม่เคยรับมือกับเรื่องนี้หรอก” เพราะหน้าที่ยังซุกอยู่กับท่อนแขนประโยคที่ได้ยินนั้นดังอู้อี้ และยุทธ์เองก็มองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแต่ไม่ต้องเห็นก็เดาได้ว่ารุ่นน้องที่เขาหลงรักคนนี้ต้องกำลังสับสน
“อืม...พอไม่รู้แล้วบางทีมันก็ทำให้กลัวสินะ”
“........ ” ไม่มีเสียงตอบมีแค่แรงสั่นไหวที่ศีรษะได้รูปของรุ่นน้อง
แม้ไร้เสียงแต่คำตอบที่ได้นั้นกลับยิ่งทำหัวใจสั่นไหว ท่อนแขนที่โอบไหล่ของอีกฝ่ายไว้เพียงหลวมๆ ตอนนี้กลับโอบร่างของคนตัวสูงกว่าเข้ามาแนบกาย
......ตัวก็สูงกว่า แต่เวลาแกเป็นอย่างนี้....
......ทำไมนะ ถึงกอดเอาไว้ได้ด้วยสองแขน.....
หัวใจเจ็บแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดอีกคนเอาไว้ เป็นหลักพิงให้และได้แต่นิ่งเงียบให้อีกฝ่ายปล่อยความคิดให้ล่องลอยให้อ้อมแขนของเขา ไม่ว่าจะคิดถึงใครอีกคนหรือไม่ อย่างน้อยในตอนนี้จูนก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปเหมือนคราวก่อนก็พอ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก่อนที่รุ่นน้องผมสีอ่อนจะขยับถอยออกจากอ้อมแขนของยุทธ์ บนใบหน้าที่ต้องแสงไฟจากถนนมีรอยยิ้มที่ดูประหม่า
“ขอโทษครับ ผมไม่น่าเป็นแบบนี้เลย” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด อันที่จริงจูนรู้ดีเขาไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะยืมเวลาและไหล่ของอีกฝ่ายให้ปลอบประโลมเขาเช่นนี้อีก แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นยุทธ์ที่หาทางพาตัวเองเข้ามาได้ถูกเวลาอยู่เสมอ
“ไม่เป็นไร พี่เต็มใจ” ชายหนุ่มร่างเล็กตอบพลางยิ้ม ปลายนิ้วไล้เบาๆกับเส้นผมสีอ่อนของเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับพี่ยุทธ์”
คนตรงหน้าเอ่ยคำขอบคุณ ดวงตากลมพิจารณาใบหน้าของจูน ดวงตาที่วันนี้แต่งแต้มมาอย่างดีเลอะเล็กน้อย แต่ก็ยังชวนมอง ปลายจมูกโด่งนั่นทำแสงเงาจากไฟถนนที่สาดกระทบใบหน้า ผิวแก้มนั้นอุ่นและคงมีสีเลือดฝาดให้ได้เห็นแน่หากไม่ใช่ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืนแบบนี้ ดวงใจพาลพามือทั้งสองข้างเผลอไผลจับใบหน้ามนขยับเข้าใกล้ บรรจงจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากสวยคู่นั้นด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกของตัวเอง
“เป็นพี่ไม่ได้เหรอ”
นึกสมเพชตัวเองนัก หากใครมารู้เข้าจะทำอย่างไร ยุทธ์ หนุ่มหล่อมาดกวนที่ใครๆก็รู้จักจากคณะสถาปัตย์ ผู้หญิงมากหน้าหลายตาอยากจะเข้ามาหาโดยไม่ต้องขอ แม้แต่ผู้ชายหรือเพื่อนสนิทอย่างโชติก็ยอมที่จะเป็นของเขา คนที่ใครๆก็บอกว่าด้วยหน้าตาและสถานะทางบ้านก็ไม่ได้เป็นรองใครอย่างเขานั้นในตอนนี้กลับวอนขอให้คนๆหนึ่งเลือกอย่างหมดหนทาง
เป็นอีกครั้งที่จูนไม่ได้หลบ ดวงตารีที่มองกลับมานั้นไม่อาจคาดเดาได้ถึงความรู้สึกหรือความหมายใดๆ
“ผมรู้ว่าพี่คิดยังไง แต่ตอนนี้ผมมีเขาแล้ว ถึงตอนนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นและมันอาจจะน่ากลัวเพราะผมก็ไม่รู้ว่าอะไรรอผมอยู่ แต่ผมอยากจะจริงจังกับความรู้สึกนี้ ผมอาจจะเสียใจ หรือเศร้า แต่ผมว่ามันอาจจะช่วยไม่ได้...” เด็กหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นยืน สองขายาวก้าวไปบนขั้นบันไดพยายามทรงตัวบนขอบของขั้นบันไดนั้นโดยกางแขนออกเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมามองหน้าของยุทธ์อีกครั้ง
“ เรื่องของความรู้สึกบางทีมันก็แปลกนะครับ เพราะคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ บางทีก็ไม่ใช่คนที่ใจเราอยากจะอยู่ด้วยเสมอไป ถึงบางทีเราเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าคนๆนั้นเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า”
“....พี่ว่าพี่เข้าใจดีนะ” ยุทธ์ได้แต่ฝืนยิ้ม มันขมเมื่อพยายามกลืนน้ำลายลงไป
“ผม...ไม่ได้อยากให้พี่ทำหน้าแบบนั้นนะ”
“ขอโทษทีนะ พี่ว่าพี่คงยังพยายามได้ไม่ดีพอ” ยุทธ์ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนบ้าง ชายหนุ่มร่างเล็กหันมองไปทางร้านสะดวกซื้อ “ว่าจะไปซื้อบุหรี่ จะเอาอะไรเพิ่มไหม”
“ไม่ล่ะครับ ความจริงก็แค่ข้ออ้างน่ะ”เด็กหนุ่มส่งยิ้มกลับมา .”เดี๋ยวอาจจะอยู่แถวนี้อีกสักหน่อย”
ยุทธ์ได้แต่พยักหน้ารับรู้ พระเอกร่างเล็กของชมรมการแสดงถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าเดิน เขาก็ยกมือขึ้นเรียกรุ่นน้องเอาไว้
“จูน”
“ครับ?” ใบหน้าที่หันกลับมามองนั้นดูใสซื่อเหมือนทุกครั้งที่เห็น ทำเอารุ่นพี่เผลอยิ้มออกมาน้อยๆ อดถามตัวเองไม่ได้ว่าเขาจะดึงตัวเองออกมาจากวังวนของความรู้สึกดีๆที่มีต่ออีกฝ่ายได้อย่างไร
....ไม่ว่ายังไง....
“ถ้ามีอะไรก็บอกกันได้นะ” ปากยังแสร้งพูดออกไปเหมือนหวังดี
...ก็คงต้องเอามาให้ได้....
“ครับ”
...ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม....
To be con....
..................................................
-
:pig4: :pig4: :กอด1:
-
:pig4: :pig4:
-
สำหรับคนที่เข้ามาอ่านแล้วรอตอนใหม่อยู่นะคะ
พีจัง ...ช่วงนี้งานหนักมากเลยค่ะ ขอติดไว้สักพักนะคะ แล้วจะมาอัพให้อ่านแน่นอนค่ะ
-
@@@talk@@@
กลับมาแล้วค่ะ ไม่คิดว่าจะต้องห่างหายไปนานขนาดนี้
งานเยอะจริงๆ เป็นงานที่ก็ต้องเขียนเหมือนกันค่ะ แต่...มันทำให้เขียนนิยายไม่ได้เต็มที่เลยต้องขอพักนิยายไป
ดูจากวันที่อัพเดทครั้งล่าสุดแล้ว...สงสารคนอ่านเหลือเกิน สงสารตัวเองด้วย
เอาล่ะ ไปอ่านกันต่อเถอะค่ะ
Chapter 51 Be Mine (2)
เพราะเสียเวลาอยู่กับนิดอยู่ไม่น้อย ทำให้กว่าจะเดินออกจากห้องชมรมมาได้ “แฟน” ของเขาก็เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เคนเดินหาใกล้ๆบริเวณตึกชมรม เดินไปยังอาคารเอนกประสงค์ที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่เห็นวี่แวว ชายร่างสูงถอนหายใจเขาไม่อยากให้จูนเดินหายไปแบบนี้เลย แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งผ่านถนนภายในมหาวิทยาลัยทำให้มองเห็นฝ่ามือของตนเอง
...ทั้งๆที่อยากจะจับเอาไว้ให้มั่นแล้วแท้ๆ...
...แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างง่ายดาย...
เสียใจแทนเด็กหนุ่มผมทองคนนั้น ดวงตาสีน้ำเงินเพราะคอนแทคเลนส์นั้นจะมองเขาอย่างไร เคนเดินกลับมาที่ตึกชมรมในหัวยังคิดว่าควรจะเดินไปตามหาจูนที่ไหน พลันหูได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ทีแรกนึกดีใจจะวิ่งเข้าไปหาแต่พอเพ่งสายตาเห็นว่าเป็นใครฝีเท้าก็ต้องหยุด ปลายจมูกโด่งเชิดขึ้นเล็กน้อย
“มึงไปไหนมา เชี่ยยุทธ์”
“เรื่องของกูป่ะ” ยุทธ์เหลือบมองมาท่าทางยียวนอยู่เหมือนทุกครั้ง คำตอบนั้นทำให้เคนกัดฟันกรอด
“หาจูนอยู่รึไง”
เคนกรอกตามองบนด้วยความระอา มันไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการต้องมาถามหาคนรักจากคนที่ถึงจะไม่เคยพูดกันตรงๆเคนก็รู้ดีว่ายุทธ์คิดอะไร
“ถ้าเรื่องแค่นี้มึงยังไม่รู้ มึงก็ควรจะพิจารณาตัวเองนะ เรื่องแค่นี้ยังไม่ใส่ใจ กูว่ามึงก็แค่อยากจะเก็บมันไว้เอ็นดูเล่น แก้เซ็งจากผู้หญิงน่าเบื่ออย่างนิดก็เท่านั้น”
“ไอ้เชี่ยยุทธ์” เคนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะแหย่ด้วยนัก มือแกร่งกระชากคอเสื้อของยุทธ์อย่างแรง “มึงจะเอาไง จะตอบมาดีๆหรือมึงจะให้กูกระทืบมึงให้สมกับที่มึงวอน หะ”
“คนที่สมควรโดนกระทืบคือมึง เชี่ยเคน มึงคิดว่าตัวมึงทำมันร้องไห้มาแล้วกี่ครั้ง” ร่างเล็กกว่าก็ดึงคอเสื้อของเคนอย่างแรงไม่มีท่าทีกลัวเกรงแต่อย่างใด ดวงตากลมโตสีอ่อนนั้นฉายแววกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหน
“...............” คำพูดของยุทธ์ที่สวนกลับมาทำให้ร่างใหญ่ต้องชะงัก
“มึงคิดว่าแค่มันเลือกมึงแล้วมึงจะดีกว่ากูรึไง” ยุทธ์จ้องหน้าของเคนตะคอกใส่อย่างกราดเกรี้ยว
“...................”เคนนิ่งโต้ตอบอะไรไม่ได้เพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง
....ความจริงเขาไม่ได้มีดีอะไรจะครองใจเด็กหนุ่มคนนั้นได้เลย...
“มึงไม่เคยสนใจความรู้สึกมัน มันเลยวิ่งมาหากูทุกครั้งที่มันเจ็บ” เสียงยุทธ์แหบพร่าก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะแสยะเป็นรอยยิ้ม ร่างเล็กขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเคน
“มันให้กูจูบปลอบมันไปกี่ครั้งมึงรู้รึเปล่า”
“??!!”
................
เคนรีบวิ่งไปที่โรงอาหารกลางเพราะจำได้เลาๆว่าคราวก่อนที่ใครบางคนเดินหนีเขา ก็เดินหนีมาทางนี้เหมือนกัน ไม่นานก็เห็นใครบางคนนั่งอยู่เงียบๆในมุมมืดตรงบันไดฝั่งที่ไกลที่สุด เห็นแบบนั้นนักกีฬาร่างใหญ่จึงหยุดฝีเท่าที่เร่งมาตลอดทางพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
...ทำไมชอบเอาตัวเองมาอยู่ในที่มืดๆจัง....
ร่างสูงเดินเข้าไปหาคนอายุน้อยกว่าจากทางด้านหลัง เขาถอดเสื้อเชิ้ตที่ใส่คลุมเอาไว้ออกวางลงเบาๆบนไหล่ที่ดูห่อเหี่ยวเสียเหลือเกินของเด็กหนุ่มผมทอง
“เดี๋ยวก็เป็นหวัดพอดี” เคนเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆกับอีกฝ่าย สองขาเหยียดไปกับขั้นบันได สองมือวางลงเท้าร่างของตัวเองไว้ ดวงตาคมหันซ้ายแลขวาราวกับจะสังเกตทิวทัศน์จากมุมมองเดียวกันกับที่คนรักของเขาเหม่อมองอยู่
“ถ้าผมเป็นหวัดก็คงเพราะพี่นั่นล่ะ” เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ขอโทษ ที่มาช้า” เคนเอ่ยตามตรงเขาไม่ได้อยากจะแก้ตัวอะไร
“พี่รู้รึเปล่า ว่าเมื่อกี้พี่ยุทธ์เดินมาอยู่เป็นเพื่อนผม”
เคนพยักหน้าลงช้าๆ คำพูดนั้นเหมือนตอกย้ำว่าเขาอาจจะมา “ช้า” เกินไป เคนไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้สักเท่าไร ถ้าเขาได้ล่วงรู้สักนิดเขาคงภาวนาให้เป็นตัวเองที่ได้ปลอบประโลมอีกฝ่ายแต่ก็ดูเหมือนโชคชะตามันไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเสมอไป เป็นอย่างที่ยุทธ์ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาอาจจะใส่ใจคนๆนี้น้อยเกินไป
“ผม...จูบกับพี่เขาด้วย”
“อืม...รู้แล้ว”
“พี่รู้ได้ไง”
“ให้เหี้ยนั่นมันบอก...ต่อยแม่งหน้าแหกไปละ”
“.....”
“ยังไม่ตายหรอก แค่เบาะๆ เดี๋ยวก็หาย” เคนตอบพร้อมถอนหายใจแรง จริงๆเขาควรจะได้ต่อยยุทธ์หลายๆหมัดเสียด้วยซ้ำ
“โกรธผมเหรอ”
“เปล่า จะโกรธแกทำไม คนที่ทำให้แกรู้สึกไม่ดีคือพี่นะ”
“ผม...เองก็ขอโทษเหมือนกันที่เดินหนีมาแบบนี้” เด็กหนุ่มไม่ได้มองหน้าของเขา เคนเหลือบมองเห็นใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ที่ดวงตานั้นมองดูคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมา เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น
“พี่กับนิดเลิกกันแล้ว อยากให้แกเชื่อพี่เท่านี้ล่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างหนักแน่น เช่นเดียวกับดวงตาคมที่จับจ้องใบหน้าของคนรัก เคนไม่ได้มาพร้อมคำแก้ตัว เขามีเพียงความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแฟนเก่าดาวคณะวิทยาการจัดการคนนั้น นั่นคือความจริงที่ว่าความรู้สึกและความสัมพันธ์ของเขากับเธอได้จบลงแล้ว
“พี่รู้อะไรไหม” เด็กหนุ่มหันมายิ้ม “ผมน่ะ เป็นลูกเมียน้อยนะ”
“หะ?”
ประโยคที่อยู่ๆก็ดังขึ้นจากปากของจูนทำให้เคนต้องเลิกคิ้วสูง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหันมาพูดกับเขาด้วยประโยคนี้
“แม่ผมเป็นเมียน้อยของพ่อ มันก็ยังดีที่แม่ใหญ่...เอ่อ...ภรรยาของพ่อเขายินดีจะให้ผมใช้นามสกุลเป็นลูกของเขาเพราะเขาไม่มีลูก” จูนสูดลมหายใจเข้าลึกพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
“แต่....ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะสงบสุขหรอกนะถึงแม่ใหญ่จะไม่ได้พูดอะไร แต่กับคนอื่นผมต้องทนเห็นแม่ถูกว่าถูกดูถูกต่างๆนานา บอกว่าเป็นเมียน้อย บอกว่าแย่งสามีชาวบ้าน ถูกหาว่าไม่มีปัญญาหาผัวบ้าง ส่วนผมก็กลายเป็นตัวอะไรสักอย่างให้ญาติๆเขามองอย่างดูถูกดูแคลนตลอด ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเพียงแค่แม่ผมมาทีหลังนี่มันทำให้สิ่งดีๆที่แม่ทำเลยกลายเป็นไม่มีค่าหรือไง แม่ใหญ่เองก็คงเจ็บปวดจากคำนินทาเหมือนกันแต่แม่ใหญ่เขาก็เงียบมาตลอด และเพียงแค่พ่อผมเลือกที่จะมีคนรักสองคนมันทำให้ความรักความเคารพที่พวกเขามีให้กันมันดูจอมปลอมไร้ค่านักหรือยังไง ....ผมกลัวนะ กลัวที่วันหนึ่งอาจจะต้องเป็นแบบแม่ เป็นคนที่มาทีหลัง” จูนหันมามองหน้าของเคน คอนแทคเลนส์สีน้ำเงินนั้นเป็นประกายต้องแสงไฟ
“ทั้งๆที่ความจริงไม่ว่าจะเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง เป็นใครคนไหนก็รัก ก็เจ็บด้วยกันทั้งนั้น”เด็กหนุ่มยิ้ม “ผมน่ะ...ไม่ได้อยากจะทำให้ใครเจ็บนะพี่เคน”
รอยยิ้มกับคำพูดนั้นของจูนทำให้เคนรู้สึกเจ็บที่หน้าอก เรื่องส่วนตัวมากขนาดนี้อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะเล่าให้เขาฟัง เรื่องราวในอดีตมันอธิบายได้ถึงท่าทีที่อีกฝ่ายเป็นมาโดยตลอด ความไม่มั่นคงที่คนตรงหน้าคงรู้สึก ส่วนหนึ่งเป็นเขาเองที่ทำให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้นแต่กระนั้นเขาก็ยังได้รับเกียรตินี้ ที่ได้อยู่ตรงนี้ข้างๆคนๆนี้ มือแกร่งยื่นไปจับมือของจูนเอาไว้ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าที่มีเชื้อจีนของคนรัก ผิวแก้มนั้นจะแดงระเรื่อไหมนึกสงสัยจนอยากขยับเข้าไปใกล้ก่อนยกมือของจูนขึ้นมาเพื่อจูบที่หลังมือนั่น
“เราไม่ใช่โดราเอมอนที่จะมีไทม์แมชชีนเหมือนในการ์ตูน พี่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ถึงจะช้าไปสักหน่อยแต่ตอนนี้พี่เลือกแกแล้วจูน สำหรับพี่แกไม่ใช่ที่สอง เป็นพี่เองต่างหากที่อยากจะเป็นคนเดียวของแก อยากให้แกเห็นพี่เป็นที่หนึ่ง อยากรักให้มากกว่านี้ พี่ขอโทษที่ทำให้แกหวั่นไหว ขอโทษที่ยังชัดเจนไม่พอ แต่พี่จะไม่ให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นอีกพี่สัญญา”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มผมสีอ่อนนิ่งอยู่นาน ริมฝีปากนั้นจะขยับเป็นรอยยิ้มและก่อนที่เคนจะทันได้ตั้งตัวริมฝีปากได้รูปของคนตรงหน้าก็ขยับเข้ามาแตะที่ริมฝีปากของเขา จูบนั้นแผ่วเบา เก้อเขิน ไร้เดียงสา และเมื่อจูนขยับถอยห่างก็เห็นรอยยิ้มจางๆอย่างเขินอายบนใบหน้านั้น
เคนฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำขอบคุณนั้น ช่วงแขนยาวตวัดโอบตัวของอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมแขนกอดเอาไว้แน่นจนได้กลิ่นหอมจากน้ำหอม สบู่ หรือสเปรย์อะไรก็ตามที่อยู่บนตัวของอีกฝ่าย มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานจนรู้สึกเอียนเหมือนของอดีตแฟนสาว แต่เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่นจนอยากจะสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอด
“พี่เคน...ผมอึดอัด ปล่อยเหอะ” เสียงอู้อี้ดังมาจากคนที่ยังอยู่ในอ้อมแขน
“ถ้ายอมพี่ดีๆแล้วจะปล่อย” เคนยื่นข้อเสนอ
“ยอม? ...ยอมอะไร ปล่อยก่อน” จูนยังพยายามจะง้างแขนที่มีแต่กล้ามของเคนออก
“ขออีกครั้งได้ไหม อยากจำเอาไว้” เคนกระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่มด้วยเสียงแผ่ว
คำตอบที่ได้รับกลับมาหลังจากเขาคลายอ้อมแขนออก คือจูนนั่งยืดตัวตรง หลับตาลงราวกับรอให้เขาเข้าไปหา ไม่มีบ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด ความรู้สึกท้วมท้นขึ้นมาในใจ เคนขยับกายเข้าหามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าได้รูปของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ ปลายจมูกโด่งที่เขาชอบนั้นชวนให้หยอกเอินเบาๆด้วยปลายจมูกของตัวเองแล้วเลื่อนขึ้นไปจูบเบาๆที่หน้าผากแต่ก่อนที่จูนจะได้ทักท้วงอะไรก็จูบเบาๆที่ปลายจมูกนั้นอีกครั้ง
ริมฝีปากของรุ่นพี่ร่างใหญ่ค่อยเลื่อนลงมาประทับจูบที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ขบเม้มเบาๆที่ริมฝีปากได้รูปเบาๆ รู้สึกได้ถึงริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่ขยับตามราวกับจะเลียนแบบอย่างไร้ประสบการณ์ จนทำให้ความหวามไหวในอารมณ์นั้นซึมซาบลงไปในหัวใจเคนรู้ดีว่าหากไม่รีบปล่อยมือจากอีกฝ่าย ณ วินาทีนี้คงหักห้ามใจตัวเองต่อไปไม่ได้เป็นแน่ ชายหนุ่มละริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง
“พอ...แล้วเหรอ” เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยถามทั้งที่ยังพยายามจะทำให้ลมหายใจของตัวเองเป็นปรกติเขาเห็นจูนกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ใบหน้ายังแดงก่ำดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นมองกลับมาคล้ายยังเคลิบเคลิ้ม ทำเอาคนมากประสบการณ์กว่าต้องยกมือขึ้นขยี้หัวของตัวเองแรงๆ
“โอย.....จูนเอ้ย....” เสียงคำรามดังในลำคอของเคนเบาๆก่อนอ้อมแขนแกร่งจะดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้
“โคตรอยากได้แกเลยว่ะ” เคนพูดออกไปไม่ได้ปิดบังความต้องการเบื้องลึกเลยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่เคยชอบผู้ชายหรือมีประสบการณ์กับผู้ชายมาก่อนแต่น่าแปลกที่ในตอนนี้ใจในอกมันเต้นเร่าอยากจะสัมผัสอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
“เชี่ยพี่เคน ทำไมหื่นล่ะ”
“ช่วยไม่ได้เสือกน่ารักเอง” เคนละออกมาพลางยิ้มอย่างยียวนให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “รีบกลับกันดีกว่า ไปเก็บของแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“หะ” ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วคงทำอีกฝ่ายประหลาดใจ
“ก็ถ้าไม่รีบกลับพ่อปล้ำแม่งตรงนี้ล่ะ เอาไหม” ว่าพลางยักคิ้วให้เสียหนึ่งที
“ไม่เอาเว้ย...” จูนโวยวายทำท่าจะลุกขึ้นยืนบ้าง “กลับดีกว่า กลับๆ” แต่เคนก็รีบเบรกเอาไว้
“เดี๋ยว....จะรีบไปไหน เชือกรองเท้าหลุดนี่ เห็นไหม” เคนจับให้อีกฝ่ายนั่งลงดีๆก่อนจะก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้เหมือนอย่างที่เคยทำ “เดินมาอีท่าไหนเนี่ย มืดๆ แบบนี้สะดุดเชือกรองเท้าล้มหน้าคว่ำได้หมดหล่อพอดี แล้วเชือกรองเท้านี่เขามัดกันแบบนี้มันจะได้แน่นๆเข้าใจ.........อะไร”
บ่นจูนไปเสียยาวเหยียดก่อนจะต้องเงียบเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหน้าของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มมองตรงมาดวงตาสีน้ำเงินนั่นมองมาเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
“ผมจะไม่จูบกับพี่ยุทธ์อีก ผมสัญญา”
เคนยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือให้กับอีกฝ่ายเป็นหลักยึด มือเรียวนั้นยึดมือของอีกฝ่ายไว้ราวกับจะตกลงในข้อสัญญานั้น
“กลับกันเถอะ ไม่รู้ไอ้โชติรีบกระเตงให้ยุทธ์ไปโรงพยาบาลหรือยัง ของเก็บเรียบร้อยหรือเปล่าก็ไม่รู้” เคนกล่าวติดตลกในขณะที่ออกเดินมือยังกุมมือของจูนเอาไว้
ทั้งคู่เดินกลับไปที่ห้องชมรม ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาของคนๆหนึ่งกำลังจับจ้องแผ่นหลังของทั้งสองคนค่อยเดินเคียงกันไปเรื่อยจนลับสายตา
สายตาที่ไม่ใคร่ประสงค์ดี
to be con....
-
พี่เคนตามมาง้อแล้วววว :z2:
รีบๆดูแลน้องมันหน่อยนะคะ ระวังถูกพี่ยุทธ์ลากไปกิน :hao3:
-
Chapter 52
รั้ง
“สรุปมึงกับพี่เคนนี่ได้กันหรือยัง”
คำถามที่ดังเอากลางวงกินข้าวใต้อาคารเรียนของกลุ่มนักศึกษาเอกภาษาญี่ปุ่น ทำเอาคนถูกถามถึงกับสำลักน้ำแดงที่กำลังยกซดอยู่
“แค่กๆๆ” จูนหันไปถลึงตาใส่ปิ๊กด้วยไม่อยากจะเชื่อหู “ปิ๊ก?! อะไรของแกวะ”
“ก็ถามไง ก็ถาม”ปิ๊กพูดเสียงสูงยิ่งทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะหันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นสิ จูน อะไรไปถึงไหน เมื่อเช้าก็เห็นพี่เคนเดินมาส่งแทบจะถึงหน้าห้อง กระหนุงกระหนิง”
จูนแทบจะเบือนหน้าหนีในทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนใช้คำว่า “กระหนุงกระหนิง” พาลคิดถึงพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ผู้ชายร่างใหญ่อย่างเคนเดินกุมมือของเขามาส่งจนถึงหน้าห้องถึงจะเขินมากจนอยากจะปล่อยมือแต่เคนก็ดูจะยืนยันที่จะจับเอาไว้อย่างนั้น
‘ไม่อยากปล่อย’
คือคำตอบสั้นๆที่เคนมอบให้ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าคม
“นั่น...ไม่ตอบไม่ตอบแสดงว่า...” ปิ๊กกระเซ้าแหย่ไม่พอยังขยับไหล่กับหน้าอกอวบๆมาเบียดไหล่ของจูนอีกต่างหาก จนเด็กหนุ่มต้องส่ายหน้าด้วยความระอา
“ก็....เป็นแฟนกัน แค่นั้นยังไม่มีอะไร จบยัง” เด็กหนุ่มตอบพยายามสนใจกับกับข้าวตรงหน้ามือตักข้าวคำโตเข้าปากเคี้ยวกร้วม
“ว้าย...แฟน...อุ้ย หวาน เลิฟอ่ะจูน” แพรยิ่งแหย่หนักเข้าไปใหญ่ “นี่ฉันถึงกับเซิร์ชพันทิปหาเรื่อง “ล้างตู้” ให้เพื่อนเลยนะ” ไม่วายหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปให้จูนที่นั่งอยู่ตรงข้ามดู
“แค่กๆ” คราวนี้จูนถึงกับสำลักหนักกว่าเดิม จนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด “ไอ้แพร! ไอ้....ไอ้....ไอ้ผู้หญิงเสื่อม มาพูดอะไรตรงนี้วะ กินข้าวอยู่ กินข้าว!” จูนโวยวายหนักกว่าเก่าเมื่อเจอเพื่อนพูดแบบนั้นล้อเล่นแบบนั้น ใบหน้าแดงไปจนถึงหูเพราะในใจก็รู้ดีว่านั่นเป็นอะไรบางอย่างที่คงจะต้องเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเคน
‘และไอ้หมีนั่น...ยิ่งเร่าๆว่าอยากได้อยู่ด้วย’
[/i]
“แล้วกับพี่นิดน่ะ ฝ่ายนั้นเขาเคลียร์แล้วเหรอ”
อยู่ๆปิ๊กก็กระซิบถามระหว่างที่ทุกคนลุกเพื่อเอาจานข้าวไปเก็บ เตรียมตัวไปเรียนคาบถัดไป จูนหันไปมองหน้าเพื่อน ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“ก็...ไม่รู้สินะ”
“ได้ไงวะ ไม่รู้ แล้วพวกมึงเมื่อไรจะได้อยู่กันดีๆ”
“พี่เขาก็ว่าเขาเลิกนะ”
“แล้วมันจริงดั่งว่าไหมล่ะ เมื่อคืนกูยังเห็นนางโพสต์อยู่เลยว่านางไปดูงานที่ชมรมมึงมา”
“ก็จริง แต่พี่เคนไม่ได้เป็นคนชวนนะ” จูนว่าพลางโคลงศีรษะเล็กๆ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาตั๋วมาจากไหน”
“แล้วมึงเชื่อพี่เคนเขาจริงๆใช่ไหม”
“เชื่อ...เขาก็บอกกับกูนะว่าจะไม่อะไรกับพี่นิดอีก” จูนพึมพำเบาๆ ก่อนจะต้องหยุดเดินเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาหา
“กูเผ่นนะมึง....เจอกันที่ห้องเรียน” ปิ๊กชิงออกตัวก่อนเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือคนที่เพิ่งจะพูดถึงไปเมื่อสักครู่
“พี่นิด... สวัสดีครับ” จูนรีบวางจานข้าวลงกับที่วางจานแล้วยกมือสวัสดีเชียร์ลีดเดอร์คนสวยประจำคณะวิทยาการจัดการ เพียงแค่มองหน้าของนิดในตอนนี้หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว
...สวยจริงๆ...
[/i]
“สวัสดีจ้ะ จูน เมื่อคืนเลยไม่ค่อยได้คุยกันเลย พอจะมีเวลาหน่อยไหมคะพี่ขอคุยด้วยสักนิด”
“เอ่อ...พอดีเดี๋ยวผมมีเรียน” เด็กหนุ่มพยายามจะบ่ายเบี่ยงแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือเรียวเล็กของคนตรงหน้ายื่นมาแตะแขนของเขาเบาๆ
“นะจ๊ะ พี่ขอคุยด้วยแป๊บเดียว ไม่สายหรอกค่ะ เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกัน” คนตรงหน้าส่งสายตาออดอ้อนในแบบที่จูนเห็นมาหลายครั้งทั้งต่อตาตัวเองและเห็นอีกฝ่ายทำเพื่ออ้อนใครบางคน
...และคงต้องยอมรับว่ามันได้ผลทุกครั้งไป....
[/i]
“พี่นิด มีอะไรหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาเมื่อพาอีกฝ่ายเดินมาตรงทางลานจอดรถของคณะด้านหน้าตึกสำนักงานซึ่งเป็นบริเวณที่ปกตินักศึกษาจะไม่ค่อยเดินผ่านซักเท่าไรนัก
“จูนคงพอจะรู้...ว่าหลังๆมานี่พี่กับพี่เคนอาจจะ...ห่าง...กันบ้าง”
คำที่อีกฝ่ายเลือกใช้ทำให้จูนขมวดคิ้วเล็กๆ แต่ก็พยายามจะเก็บอารมณ์เอาไว้ อันที่จริงเขารู้สึกปั่นป่วนในท้องจนไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไร
“พอดี ช่วงนี้พี่ก็เห็นว่าจูนกับพี่เคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จูนคงพอรู้ว่าถ้าพี่เคนเขามีคนอื่นหรืออะไร...” หญิงสาว
ตรงหน้าเอ่ย ดวงตากลมโตนั่นมองตรงมายิ่งทำให้จูนรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ผม...ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่จะบอกพี่นิดหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง ระมัดระวังเหลือเกินในการใช้คำพูดของตัวเอง “ผมรู้แค่ว่า พี่เคนเป็นคนสรรหาคำมาพูดไม่เก่ง เขาคิดอะไรจะทำอะไร การกระทำของเขาจะมาก่อนเสมอ ถ้าเขาคิดว่ามันยังไม่ชัดมากพอ เดี๋ยวเขาจะโชว์ให้เห็นเอง”
เด็กหนุ่มตอบคนตรงหน้าไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในหัวยังนึกถึงคำพูดของเคนย้อนไปตั้งแต่ช่วงที่เคนเริ่ม “สนใจ”เขาตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อน ริมฝีปากนั้นเผลอเหยียดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
....ถึงจะลังเล งี่เง่า ช้าเป็นเต่าคลานในเรื่องการตัดสินใจไปบ้าง...
...แต่มันเป็นเรื่องของความรักนะ...
...มันจะมาเล่นๆได้ยังไง...
[/i]
“เพราะงั้น...พี่นิดไปคุยกับพี่เคนเถอะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งว่าพลางยิ้มให้คนเชียร์ลีดเดอร์คนสวย
“แต่พี่...” เสียงเล็กๆดังขึ้นพร้อมมือเรียวที่เอื้อมมาจับที่แขนของเด็กหนุ่ม “พี่มีเรื่องที่อยากรู้มากกว่านั้นนี่นา”
“ครับ?” เด็กหนุ่มต้องแปลกใจกับดวงตากลมสวยที่จับจ้องมา ในดวงตานั้นมีความสงสัยใคร่อยากจะถามความบางอย่าง
“จูนไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆใช่ไหม อย่างเรื่องของคนที่พี่เคนเขาอาจจะแอบไปคุยด้วย...”
“ผม...” ใจในอกของเจ้าของชื่อเต้นแรง เขาควรจะหาคำมาโกหกคนตรงหน้าไป หรือ พูดออกไปตามความจริง เพราะในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเขาต่างหากที่มีสิทธิ์ในใจของ “พี่เคน” ที่ผู้หญิงคนนี้กำลังพูดถึงเขาควรจะบอกออกไปได้สิว่า คนๆนั้นได้เลือกเขาแล้ว
“ผมไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจถ้าต้องได้ยินจากปากผม...ผมพูดไม่ได้ครับ พี่นิดไปฟังจากพี่เคนจะดีกว่า”
…………………………
คำพูดกับท่าทีของจูน เด็กหนุ่มผมทองกับดวงตาสีฟ้าเพราะคอนแทคเลนส์คู่นั้นดูเหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างดูเป็นปริศนาไปหมดสำหรับนิด แน่นอนว่าเธอหงุดหงิด เธอคิดว่าเด็กผู้ชายที่ท่าทางอ่อนแอแบบนั้นคงจะยอมเปิดปากพูดทุกเรื่องออกมาได้แน่หากได้ยินคำร้องขอจากปากของเธอ แต่ตรงกันข้าม เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นกลับตอบกลับมาราวกับการรักษาคำความลับกับรุ่นพี่นั้นเป็นเรื่องใหญ่โต คาบเรียนภาษาอังกฤษยามบ่ายของนิดดำเนินไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง แล้วคำตอบแบบไหนกันที่เธอควรจะต้องฟังจากปากของเคนด้วยตัวเองยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวจนเรียนแทบไม่รู้เรื่อง
...หรือจริงๆแล้วมันไม่มีคำตอบอะไร...
....หรือจริงๆแล้วพี่เคนก็แค่โกหกว่ามีคนอื่นเพื่อที่จะไล่เธอไป...
[/i]
ถึงแม้ความเป็นไปได้จะดูเลือนรางแต่ก็ยังอยากจะเข้าข้างตัวเองต่อไป เด็กสาวกลับไปยังหอพักในตอนเกือบสี่โมงหลังจากเลิกเรียน รถยนต์คันเล็กสีแดงของเธอเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณหอพัก และประหลาดใจเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่ที่คุ้นตาจอดอยู่ตรงที่จอดรถหน้าหอพัก ไม่มีหมวกกันน็อคสีชมพูดของเธอแขวนอยู่อีกแล้ว
“พี่เคน...” นิดเอ่ย ในใจของเธอยังเจ็บปวดจากคำพูดเมื่อคืนก่อนของชายหนุ่มร่างสูง ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าคมของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ในตอนนี้แทบไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์แปลกใจที่เธอเดินเข้ามาทักเลย
“ขอโทษที่ไม่ได้โทรมาบอกก่อน” ร่างสูงเอ่ย พลางลุกขึ้นยืนหลังจากที่นั่งอยู่กับม้านั่งหินมาพักใหญ่ เคนอยู่ในชุดนักศึกษาดูเรียบร้อยกว่าทุกครั้งเพราะเอาเสื้อเข้าในกางเกงสวมรองเท้าหนังดูแปลกตาใช่ย่อย
“วันนี้มีสอบเหรอคะ”
“อืม...สอบเสร็จไปตอนบ่ายสอง เลยพอมีเวลาน่ะ..” มือแกร่งเอื้อมไปหยิบกล่องพลาสติกใบหนึ่งมาถือเอาไว้ “เลยไปเอานี่มาให้ เดี๋ยวจะถือขึ้นไปให้บนห้องก็แล้วกันนะ หนักเหมือนกัน”
“ของขวัญให้นิดใช่ไหมคะ” อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ต่างออกไปของคนตรงหน้าทำให้นิดเลือกจะแหย่เมื่อเดินตามร่างสูงขึ้นไปที่ห้อง
“อืม...ของนิดนั่นล่ะ” เคนตอบรับเบาๆ แล้วหยุดที่หน้าห้องของหญิงสาว รอให้อีกฝ่ายเปิดประตูให้ หญิงสาวกุลีกุจอเปิดประตูห้องให้กับอีกฝ่ายซึ่งชายหนุ่มก็ถอดรองเท้าเดินเอาของเข้าไปวางไว้ด้านในดูท่าทางคล้ายรีบร้อนอยู่ในที
“พี่เคนรีบเหรอคะ” เด็กสาวถามรู้สึกปวดหัวและมวนท้องอย่างประหลาด
“อืม...ต้องรีบไปน่ะ พี่แค่เอาของของนิดที่นิดเคยให้พี่มาคืน” เคนว่าพลางหันไปมองกล่องที่เขาเอาเข้าไปวาง ท่าทางเหมือนมองสำรวจข้าวของของนิดไปด้วยในที “ถ้านิดไม่ทิ้งก็...คงเอาไว้แต่งห้องได้”
“นี่มันอะไรกัน!? พี่เคน! นี่พี่เคนคิดจะเลิกกับนิดจริงๆใช่ไหม พี่เคนเห็นนิดเป็นอะไร อยู่ๆจะเอาของมาคืนแล้วทิ้งกันไป
ง่ายๆเหมือนขยะพวกนี้น่ะเหรอ!”
เด็กสาวตรงเข้าไปหยิบลังพลาสติกนั้นขึ้นมาเท ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น ทั้งตุ๊กตา พวงกุญแจ ภาพถ่าย แม้แต่หมวกกันน็อคสีชมพู เป็นตัวแทนความทรงจำตลอดช่วงเวลาที่คบหากัน ทุกอย่างกระจัดกระจายลงบนพื้นเช่นเดียวกันกับหัวใจดวงน้อยของหญิงสาว
“พี่บอกนิดไปแล้ว พี่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันยืดเยื้อไปมากกว่านี้” เคนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างอึดอัดก่อนจะหันมองหน้าของนิด “พี่บอกแล้ว ว่าพี่มีคนใหม่แล้ว พี่ไม่อยากให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้”
เผี้ยะ
เสียงฝ่ามือกระแทกเข้ากับใบหน้าของร่างสูงดังลั่นห้อง ใบหน้าคมหันตามแรง
“แล้วนิดไม่เสียใจรึไง! ไม่ ได้ยินไหมว่า ไม่ นิดไม่เลิก!” เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวยตอนนี้กลับกรีดร้องด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาของเธอจ้องมองมาอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างเล็กหายใจแรงจนตัวแทบโยนด้วยความรู้สึกที่เธอไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้อีก สองมือทุบลงบนอกหนาของชายหนุ่ม ริมฝีปากที่แต้มสีพึมพำเป็นคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์
“นิดผิดตรงไหน......นิด.....นิด....” นิดยังคงสะอื้นหนัก
“พี่ขอโทษ” เคนได้แต่ถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะแตะต้องสองไหล่ที่สั่นระริกนั่น
....ไม่มีความรักไหนที่ไม่เจ็บปวด...
....ไม่ว่าจะตอนเริ่ม หรือ ตอนจบ...
“พี่ไปนะ” ร่างสูงเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะทำท่าจะเดินออกไปจากห้องของนิด
“ไม่...ไม่ ...ไม่ให้ไป” เจ้าของห้องกระโจนเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง นิดร้องออกมาเสียงดังในแบบที่เคนเองไม่เคยได้เห็น เหมือนสติของเธอไม่ได้คงอยู่ตรงนั้นแล้ว “บอกนะว่าคนนั้นเป็นใคร! นิดจะไปบอกให้มันเลิกกับพี่ ไปบอกมันว่าพี่มีนิดแล้ว...นิด ..นิด...” ลมหายใจของนิดเริ่มติดขัด สองขาพยุงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มือที่จับเสื้อของเคนเอาไว้ขยุ้มเกร็ง ร่างบอบบางสั่นสะท้านไปทั้งร่างก่อนจะล้มลงกับพื้นตรงเท้าของเคน''
“เฮ้ย?! นิด!? นิดเป็นอะไร นิด!!”
แขนบางเหยียดเกร็งแน่นปลายนิ้วงอหงิก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มดวงตากรอกขึ้นด้านบน เคนรีบคว้าร่างเด็กสาวนอนตะแคงทันทีเพราะกลัวว่าจะสำลักน้ำลาย ลองเปิดปากดูแล้วไม่มีอะไรจะเป็นอันตรายก็โล่งใจไปได้หน่อย ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาตัวน้อยของเธอออกหวังอยากให้หายใจได้สะดวก แล้วรีบหาหมอนมารองศีรษะ แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็นิ่งและหมดสติไป เขาเฝ้าดูอาการอีกระยะ ลองหายาดมมาให้ดมแต่นิดก็ยังไม่ได้สติ
“....นี่มันเกิน 10 นาทีแล้ว...” เคนพึมพำ เขาเคยเห็นรุ่นน้องเป็นลมมาก็เยอะในช่วงรับน้องเคยพยายาลเบื้องต้นมาหลายคนแต่ปกติน้องจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเรียกรถพยาบาล และโทรศัพท์บอกพ่อกับแม่ของนิด...และโทรบอกคนรักของเขาด้วย
....................................
เสียงฝีเท้าดังก้องมาตามทางเดินของโรงพยาบาลในเขตมหาวิทยาลัย คนที่นั่งอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยเหลือบมองก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าใครเดินกำลังเดินมาด้วยท่าทีร้อนรน
“พี่เคน?! เป็นอะไรรึเปล่า?”
เคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับท่าทีนั้นของเด็กหนุ่มผมทอง มือแกร่งยื่นออกไปราวกับจะบอกให้จูนเข้ามาหาใกล้ๆ ก่อนจะรั้งร่างสูงโปร่งนั้นให้โน้มลงมากอดคอเอาไว้หลวมๆ มือแกร่งนั้นสั่นระริก
“พี่ไม่เป็นไร...” แต่เสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับแหบพร่า
“ไม่เป็นไรได้ยังไง แล้วนี่หน้าพี่ไปโดนอะไรมา” จูนถามและยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าบนหน้าของเคนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าบวมไปข้างหนึ่ง ที่มุมปากยังมีรอยเลือดและมีรอยข่วนจนเลือดซิบอยู่ที่ปลายคาง
“อ่อ...ตอนนพาขึ้นรถพยาบาลอยู่ๆนิดก็ลุกขึ้นมางอแงน่ะ เลยโดนลูกหลงไปหน่อย แต่...เขาก็สลบไปอีก” ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พี่นิด? แล้วพี่เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า” แค่เพียงได้ยินชื่อก็นึกถึงคำพูดของตัวเองที่พูดกับนิดไปเมื่อตอนเที่ยง
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เห็นว่านอนพักอยู่ พ่อแม่เขาก็มาแล้ว”
“พ่อแม่?”
“ใช่...พี่โทรตามน่ะ นิดอยู่หอก็จริงแต่พ่อแม่บ้านก็อยู่ในตัวเมืองนี่ล่ะเลยรีบมาได้พอดี อีกอย่าง...พี่ก็บอกท่านไปแล้วด้วยว่า นิดคงจะเครียดเพราะพี่เพิ่งบอกเลิกเขาไป” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาดวงตาคมเหลือบมองไปทางด้านประตูห้องพัก “เลยโดนพ่อเขาต่อยมาหมัดนึง”
“ต่อย? อะไรเนี่ย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ล่ะ”
“เชื่อเถอะ พี่สมควรโดนแล้วล่ะ...ไปกันเถอะ พี่ต้องกลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่หอนิดอีก”
.....................
“โอย...เจ็บว่ะ” เสียงเคนร้องเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งจูนที่หอและขอเจ้าของห้องขึ้นมานั่งพักที่ด้านบน จากตอนแรกที่กะว่าจะเพียงแค่ไปคืนของแล้วมารอรับจูนตอนเย็นที่คณะกลายเป็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนหัวค่ำกว่าจะได้มาถึง เคนปลดกระดุมเสื้อลงด้วยความอึดอัด รองเท้าหนังถูกถอดทิ้งไว้ตั้งที่หน้าประตู ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟาที่เคยมาอาศัยนอน
“ไหน...ขอดูหน่อยได้ไหม” เสียงเด็กหนุ่มว่าก่อนพาร่างโปร่งมานั่งข้างๆบนโซฟา สองมือจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมา ดวงตารีเรียวที่ยังใส่คอนแทคเลนส์สีสวยอยู่นั้นพิจารณาความเสียหายบนใบหน้าของอีกฝ่าย “พี่เนี่ยล่ะน้า ทำไมหาเรื่องใส่ตัวเองได้ตลอด ทำแผลแล้วคืนนี้ก็นอนนี่ละนะ ไม่ต้องขี่รถกลับหรอก”
“อืม.....” เคนไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ซบหน้าที่บอบช้ำลงกับไหล่ได้รูปของเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง “พักสักหน่อยก็ดี”
.............................................
ฝ้าเพดานมีเพียงแสงไฟสะท้อนเข้ามาจากด้านนอก เคนยังนอนไม่หลับจ้องมองฝ้าไปพลางก่ายหน้าผากไปพลางอยู่แบบนั้น
“นอนไม่หลับ?” เสียงนุ่มดังขึ้นในความมืด
“อืม”
“เรื่องวันนี้ความจริงพี่ไม่ต้องไปเองก็ได้ พี่ก็รู้” จูนเอ่ยขึ้นเบาๆ
“อืม ก็แค่ไม่อยากให้เขาคิดไปเองอีก อยากให้ทุกอย่างมันชัดเจน”
“แต่...จริงๆมันก็ไม่ได้ทำให้สบายใจเหมือนที่คิดใช่ไหมล่ะ” จูนพูดขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังให้ทุกสิ่งมันจบไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว
“พี่แค่...แปลกใจตัวเองที่ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นวันนี้ เพียงแค่ภาพที่พี่เห็นมันยังติดตา” เคนเอ่ยขึ้น ภาพของนิด เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวย “แฟนเก่า” ของเขา ท่าทีที่เปลี่ยนไป น้ำเสียง การกระทำทุกอย่างเมื่อตอนเย็นกับสภาพที่เธอนอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายของความรักจะทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปได้แบบนั้น
“หืม?” เคนทำเสียงในลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือเรียวที่ยื่นเข้ามาดึงแขนของเขาออกจากการก่ายหน้าผาก เมื่อเอนศีรษะไปมองก็เห็นจูนกำลังนอนตะแคงมองมาที่เขาในความมืดสลัวนั้นเขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายสักเท่าไร รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วของเด็กหนุ่มที่แทรกเข้ามาไล้เล่นที่เส้นผมของเขาเบาๆ
“หลับตาสิ” เคนทำตามอย่างว่าง่าย สัมผัสแผ่วเบานั้นราวกับปลอบประโลมตัวเขาอยู่โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของคนที่อยู่ข้างๆ น่าแปลกทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมอบสัมผัสแบบนี้ให้เขาเลย
“ผมอยู่ตรงนี้ล่ะ จนกว่าพี่จะหลับ นอนเถอะครับแล้วพรุ่งนี้เช้าเราไปหาอะไรทานที่คณะกัน”
...................................................................
โรงอาหารคณะมนุษฯในตอนเช้า เพียงแค่เดินผ่านก็เรียกน้ำลายสอ กลิ่นอาหารในตอนเช้ายั่วนวนใจเมื่อสองหนุ่มมาถึงตอนใกล้จะแปดโมง จูนอาหารเดินไปซื้อน้ำ ในขณะที่เคนเป็นคนไปซื้อข้าวราดแกงสำหรับสองคน ข้าวสองจานร้อนๆวางตรงหน้า ทั้งสองคนลงมือทานพร้อมรอยยิ้ม เมื่อคืนเพียงแค่ต่างหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน แต่ตื่นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันเป็นครั้งแรกก็อดจะยิ้มเขินๆให้กันไม่ได้ สุดท้ายก็แต่งตัวออกมาจากห้องพร้อมกัน
“เสื้อใส่ได้แน่นะ” จูนอดจะขำไม่ได้เมื่อเขาบังคับให้เคนใส่เสื้อนักศึกษาของเขา ตรงต้นแขนกับอกแน่นเสียจนติดกระดุมไม่ได้ เคนต้องปล่อยชายเสื้อเปิดออกไว้อย่างนั้นดีที่มีเสื้อยืดใส่ไว้ด้านใน
“แน่นมาก...ก็บอกแล้วว่าเสื้อตัวเมื่อวานก็ได้ จะระเบียบอะไรกับพี่เนี่ย”
“ก็มันเหม็นแล้วนีนา พี่เคนไม่เข้าใจคนซ้อนท้ายหรอก”
“โอเคๆ ครับๆ ยอมรับพี่ไม่ได้หอมเหมือนเรานี่นา” ว่าพลางก็ทำท่าจะเข้ามาสูดใกล้ๆ จนจูนต้องขยับหนี
“ที่นี่คณะผม....เกรงใจหน่อย”
“เหอะ คอยดูกลับไปตอนเย็นพ่อจะจับหอมให้ทั่วตัวเลย” เคนคาดโทษที่อีกฝ่ายทำท่ารังเกียจแบบนั้น แต่ปากก็ยังคลี่ยิ้มให้ เขาตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ตอนเช้ากะจะเข้าไปนั่งเรียนคาบแรกเสียก่อนจะรีบกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อเพราะคงทนความแน่นฟิตนี่ไม่ไหว แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็ต้องหยุดช้อน เพราะรู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนยืนอยู่ไกลๆ
“มองอะไรอ่ะพี่เคน” จูนว่าพลางหันไปมองตาม
“นิด?”
to be continued….
-
:pig4: :pig4: :pig4: :L2:
-
:pig4: :pig4: :pig4: :L2:
ขอบคุณนะคะ ตามอ่านประจำเลย
เราจะพยายามต่อไปค่ะ
-
Chapter 53 : สตอล์กเกอร์
เห็นได้ว่ามีใครบางคนมาที่คณะของคนอื่นแต่เช้า จูนเหลือบมองตามเขาเห็นนิดยืนอยู่ที่นั่น รุ่นพี่คนสวยต่างคณะคนนั้นใส่ชุดนักศึกษาที่ดูแปลกตาไปจากทุกที กระโปรงพลีสยาวเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะแต่งองค์ทรงเครื่องนัก แต่กระนั้นก็ยังดูสวยโดดเด่นแม้มองจากที่ไกลๆ
โทรศัพท์มือถือของเคนดังขึ้น เป็นเพลงที่จูนเคยได้ยินมาหลายต่อหลายครั้ง เด็กหนุ่มมองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พี่ไม่รับโทรศัพท์เหรอ”
“...” เคนส่ายหน้า เขารู้ว่านิดยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังมองมาที่เขาอยู่แน่ๆ ก่อนจะยื่นมือมาจับมือของจูนวางอยู่บนโต้ะอาหาร “แฟนพี่อยู่ตรงนี้” เคนยิ้มกว้างกับคำพูดของตัวเอง แม้จูนจะตกใจแต่ก็อดดีใจไม่ได้
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆก่อนจะก้มหน้าลงทานข้าวเช้าต่อ พยายามที่จะไม่สนใจสายตาของใครบางคนที่อาจจะจ้องมองมา
ไม่นานเสียงโทรศัพท์ที่ดังต่อเนื่องมาตลอดนั้นก็เงียบเสียงไป นิดไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
............................
“แล้วพี่นิดก็ไป?” ปิ๊กถามพลางเลิกคิ้วสูง
“อืม...หันกลับมาอีกทีก็หายไปละ คงเลิกจริงแล้วล่ะมั้ง”
“อ่ะจริงดิ่ ทำไมดูไม่ค่อยน่าเชื่อเลยวะ” ปิ๊กทำท่าเหนื่อยหน่าย ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงห้าวๆแต่ก็พอจะเดาท่าทีของผู้หญิงอย่างนิดออก
“ไม่น่าเชื่อ?...ยังไง” จูนหันไปถามเริ่มไม่มีสมาธิกับการหาคำศัพท์ตรงหน้า ตาเหลือบมองดูท่าทีของอาจารย์ตรงหน้าชั้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาปิ๊ก
“คนที่เขาเคยเป็นที่หนึ่งทุกอย่างแบบนั้นน่ะ เขาไม่ยอมอะไรง่ายๆหรอกนะ จูน”
“แล้วจะให้ทำไงได้...กู...ไม่อยากทำให้ใครรู้สึกแย่นะ” จูนกระซิบกลับไป
“โถ...คุณเพื่อน คุณนางเอก ...”ปิ๊กโน้มตัวมากอดพลางลูบหัวจูนป้อยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ไม่สิ อย่างแกต้องเรียกว่า นายเอก”
“ไอ้ปิ๊ก....” จูนไม่รู้จะขำหรืออะไรดี แต่สุดท้ายก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าอาจารย์มองมาจึงได้ดันหน้าของปิ๊กออกไปให้ห่าง แต่ในใจยังครุ่นคิดเขาควรจะทำอย่างไรหากว่านิดยังไม่หยุด เขาไม่อยากเห็นเคนต้องทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์แบบเมื่อคืนอีก
...พี่เคนที่ทำหน้าแบบนั้น ไม่เข้ากันเลยจริงๆ...
...............................................................
ทางด้านเคนเองก็ดูเหมือนจะกลับมาเรียนอย่างไม่เป็นสุขนัก พอกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้อง ก็มีข้อความส่งเข้ามาทางโทรศัพท์ ข้อความที่ชวนให้รู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อย
+Nid+
....เมื่อคืนพี่เคนไม่ได้กลับมาที่ห้อง...
.....ไปนอนห้องเพื่อนมาเหรอคะ....
[/color]
“.....................................” หนุ่มนักกีฬาทอดถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจ มือแกร่งยกขึ้นขยี้ผมที่เซ็ทมาอย่างดีของตัวเองอย่างแรงจนเพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆต้องหันมามอง
“มึงเป็นห่าอะไรไอ้เคน”
“โทษที....ไม่มีอะไร”
ทั้งที่ตอบกลับไปแบบนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก
.......................................
เวลาใกล้จะสี่โมงเย็น แสงแดดยังรุนแรงแผดเผาลานจอนรถหน้าคณะร้อนระอุจนเคนต้องยกมือขึ้นบังแดดเล็กน้อย จูนก็คงใกล้จะเลิกเรียนแล้วเหมือนกัน คิดได้แบบนั้นก็รีบสาวเท้าไปยังที่จอดรถ มอเตอร์ไซค์คันสวยของเขาคงจะร้อนแย่ถึงแม้จะพยายามหลบแดดแล้วแต่อากาศขนาดนี้ไม่อยากจะจินตนาการตอนขึ้นคร่อมขี่ออกไปเลยจริงๆ
“พี่เคน....” เสียงดังขึ้นเบาๆจากด้านหลังทำเอาช่วงขายาวขะงักงัน เขาจำได้ดีว่านั่นเป็นเสียงของใคร
“นิดกลับด้วยได้ไหม” เคนไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหนอยู่
“ไม่ได้นิด...เลิกตามพี่เถอะ กลับไปพักผ่อนซะ”
“ห่วงนิดใช่ไหม”
“.....................”
เคนไม่ได้ตอบรู้ดีว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนิดก็คงหาหนทางพลิกกลับเข้าเรื่องตัวเองได้อีกเป็นแน่ “ขอโทษ แต่วันนี้พี่มีนัดแล้ว” เคนตอบอย่างเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิดควรจะต้องตัดใจให้ได้ เขารู้ว่าเขาผิดแต่เมื่อรู้ว่าผิดในตอนนี้ก็ควรจะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องที่สุด
... มันควรจะเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว....
.................................................................
“จูน”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่เท้าคางมองหน้าของคนที่กำลังตักก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยเข้าปาก หลังๆมานี่เขาไม่กล้าแม้แต่จะพาจูนไปกินข้าวแถวหลังมหาวิทยาลัยทั้งๆที่เป็นถิ่นประจำ เหตุก็เพราะกลัวว่าจะต้องพบเจอกับนิดอีกและก็ดูเหมือนว่าเธอจะยังจำร้านที่เขาชอบเกือบทุกร้านที่หลังมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี
“ครับ มีอะไรเหรอ” เด็กหนุ่มวางตะเกียบกับช้อนพลางมองหน้า สายตามาแววสงสัย
“พรุ่งนี้มีสอบตอนเช้าหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ พรุ่งนี้เรียนคาบแรกตอนบ่าย พี่ถามทำไมอ่ะ”
“งั้น คืนนี้ขอไปนอนที่ห้องได้ไหม”
“หือ?” จูนเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหรี่ตาลง “มามุกไหนอีกเนี่ย”
“คือก็...เอ่อ” เคนอึกอักในใจมีไม่กี่เหตุนักที่อยากจะไปใช้เวลากลางค่ำกลางคืนกับอีกฝ่าย
“คิดอะไรอยู่ครับ” จูนได้ทีก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากได้รูปนั้นหยักยิ้มมุมปาก
“จะให้ตอบจริง? จะโดนทุบไหม”
เคนเหลือบมองอย่างไม่วางใจ ตั้งแต่ก่อนคบกันมาก็เจอทุบเพราะข้อหาทะลึ่งตึงตังไปหลายรอบ ยังไม่รวมอีกสามสี่หมัดที่อีกฝ่ายต่อยเขาอย่างจริงจัง ถึงจะเป็นนักมวยที่รับหมัดมาก็เยอะ แต่หมัดจากคนที่ชอบนั้นเจ็บกว่าหมัดจากคนอื่นอยู่แล้ว
“ก็ต้องขึ้นกับคำตอบครับ”
“หนึ่งคือ อยากนอนกอด สองคือ พี่พาแกกลับไปนอนที่หอพี่ก็ไม่ได้”
“อะหือ พูดซะตรง” ดูเหมือนคำตอบจะทำเอาคนฟังต้องนั่งหน้าแดงเด็กหนุ่มตรงหน้าเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากจะสบตา ท่าทีขี้เล่นเหมือนถือไพ่เหนือกว่าเมื่อครู่หายไปอย่างรวดเร็ว
“ก็ไม่อยากโกหกแกอ่ะ” จูนเห็นท่าทางแบบนั้นของเคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ผมรู้ว่าพี่มีเหตุผลที่สามด้วย”
“อืม” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าหนักใจ พลางยกมือถือขึ้นมามองนาฬิกา “ไว้เดี๋ยวพาไปดู”
......................................
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่พาพวกเขาทั้งคู่กลับมาที่หลังมหาวิทยาลัย ตรงมาที่หอพักของเคนแต่ก็ไม่ได้เข้าไปจอดตรงที่จอดรถหน้าหอเลยเหมือนทุกที
“หยุดไมอ่ะพี่เคน นี่จะมาเอาของไม่ใช่เหรอ ไม่ไปจอดข้างในอ่ะ” จูนว่าพลางถอดหมวกกันน็อคออกแล้วค่อยก้าวลงจากรถ
“ก็จะให้ดูเหตุผลที่สามไง...” เคนว่าพลางพยักเพยิดไปทางหน้าหอพัก
“อะไร?” จูนหันมองตามก็เห็นรถยนต์คันเล็กสีแดงสดของใครบางคนจอดอยู่ เขารู้ได้ในทันทีก็หันไปมองหน้าของเคนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตานัก
“นิดทำแบบนี้มาสัก....อาทิตย์แล้ว”
“อาทิตย์นึง? นี่มันสตอล์กเกอร์ชัดๆ” จูนหลุดอุทานออกมาเสียงดัง
“ชู่ว...อย่าเสียงดังสิ” เคนดึงอีกฝ่ายมาปิดปากเอาไว้เคนเหลียวซ้ายแลขวาดูจะสอดส่องด้านหลังท่าทางเหมือนระแวงระวังอะไรบางอย่าง “เพราะแบบนี้ล่ะถึงอยากจะขอไปนอนที่ห้อง”
“อื้อ...ปล่อยเลย” จูนดึงมือของคนรักออก ก่อนจะชะโงกหน้ามองข้ามรั้วไปด้านใน “ถ้ากลัวพี่เขาเห็นล่ะก็ให้ผมไปเอาให้ไหมล่ะ ของน่ะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เข้าไปเอาเอง รอนี่ล่ะ จะรีบไปรีบมา” เคนตอบไม่พอฉวยหอมแก้มจูนอีกหนึ่งฟอดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปด้านในหอพัก โดยที่มีจูนแอบชะโงกมองผ่านรั้วหอพักอยู่ที่ด้านนอก
เคนพยายามเดินเลี่ยงโดยเลาะริมรั้วของหอพักหลบสายตาของคนที่อาจจะอยู่ในรถขึ้นไปบนห้อง เขาคว้าทุกอย่างที่จำเป็นพร้อมกับหนังสือเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ใส่กระเป๋าแล้ววิ่งลงมา แต่สำหรับคนตัวใหญ่อย่างเคนต่อให้หลบให้แอบแค่ไหนแต่เดินลงจากหอมาแบบนั้นยังไงก็ต้องเห็น โดยเฉพาะคนที่มานั่งเฝ้าอยู่แล้วอย่างนิด บานประตูรถยนต์คันเล็กนั้นเปิดออกแทบจะในทันที
“พี่เคน กลับมาแล้วเหรอคะ” ร่างเล็กแทบจะถลาเข้ามาหาทำเอาชายร่างใหญ่ต้องผงะถอย
“อ่ะ...เอ่อ...อืม พี่แค่มาเอาของน่ะ”
“เอาของ? มีงานที่คณะเหรอคะ? ช่วงนี้ไม่เห็นพี่เคนกลับดึกตลอดเลย นิดมารอช่วงหัวค่ำตลอดก็ไม่เห็นพี่เคนมาสักที นี่ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยกันน่ะค่ะ” หญิงสาวที่ในวันนี้ใส่ชุดนักศึกษาดูสดใสเหมือนที่เคยจำได้ ใบหน้าแม้ดูอิดโรยไปสักหน่อยแต่ก็ยังมีรอยยิ้มเหมือนเดิม
“พี่แค่มาเอาของ แล้วก็มีนัดแล้ว”
“นัด...กับใครคะ?” นิดถามแต่ในแววตานั้นกลับไม่ได้ยิ้มไปตามเสียงสดใสนั่นเลย
“กับผมเองครับ” เสียงนุ่มของจูนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้นิดต้องหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มผมทองที่วันนี้ใส่แว่นดูสบายๆ แปลกตาไปจากทุกทีที่เคยเห็น
“อ้าว น้องจูนวันนี้ก็มากับพี่เคนด้วยเหรอคะ”
“ครับ พอดี มีงานที่ชมรมกันเลยต้องรีบไปทำเนอะพี่เคน”จูนพยักเพยิดให้เคนรีบเดินมาทางเขา พลางโยนหมวกกันน็อคสีดำของเคนให้หนุ่มนักกีฬารับเอาไว้ “รีบไปเหอะ ไม่รีบพี่โชติพี่ยุทธ์ด่าไม่รู้ด้วยนะ” เด็กหนุ่มโกหกไปคำโต ตั้งแต่วันงานฉายหนังวันนั้นยังไม่ได้เจอหน้าของยุทธ์เลยด้วยซ้ำไป
“อ่า ใช่ เดี๋ยวพวกพี่คงต้องรีบไปแล้วล่ะ”เคนว่าพลางยกหมวกกันน็อคขึ้นใส่
“เดี๋ยวนี้คู่นี้ไปด้วยกันบ่อยจังเลยนะคะ พี่เพิ่งรู้ว่าจูนชอบซ้อนมอเตอร์ไซค์” อยู่ๆนิดก็ทักขึ้นมาทำเอาจูนชะงักไม่กล้าเดินต่อ ในมือของเขาเผลอกำหมวกกันน็อคสีดำเหลืองของตัวเองเสียแน่น ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าของนิด เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
“ครับ ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบ แต่เดี๋ยวนี้ก็ชอบขึ้นมาแล้วครับ เดี๋ยวสักพักคงให้พี่เคนช่วยหาให้สักคัน”
“อุ๊ย ดูท่าคงจะชอบมาก มือหนึ่งแบบของพี่เคนก็คงแพงเหมือนกันนะ” นิดว่าพลางเหลือบไปมองทางเคนเล็กน้อย
“ผมไม่ถือหรอกครับ จะมือหนึ่งหรือมือสองก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้งครับ” เด็กหนุ่มตอบพลางหันไปมองหน้าของเคน
“เหรอคะ แต่พี่ว่านั่งรถมันสบายกว่านะ ไม่ลองไปหัดขับล่ะ ขับรถเองจะได้ไม่ต้องติดสอยห้อยตามพี่เคนเขาไปไหนมาไหน เผื่อจูนจะได้พาสาวๆไปเที่ยวไงล่ะ” หญิงสาวตอบกลับดวงตาของเธอยังจับจ้องที่เคน
“สำหรับผม...” เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าของเคนเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้าของนิด “คงไม่มีสาวๆที่ไหนหรอกครับ แค่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ กับ...พี่เคนนี่ล่ะครับ แค่นี้ก็ดีแล้ว”
ใต้หมวกกันน็อคใบโต เคนยังได้ยินบทสนทนาที่ทั้งสองคนคุยกัน เขาอดที่จะยิ้มออกมากับคำพูดของเด็กหนุ่มไม่ได้ ร่างสูงเดินเข้าไปดันไหล่สมส่วนของจูนเบาๆ
“ไปกันจูน เดี๋ยวไอ้สองเตี้ยนั่นจะรอ” และก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินผ่านนิดไป เคนหันกลับมาเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้นเพื่อมองหน้าของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็น แฟนเก่า
“ขอโทษนะนิด แต่อย่ามาที่หอพี่ตอนค่ำๆแบบนี้อีกเลย เพื่อนๆนิดรู้เข้าคงดูไม่ดีเท่าไร”
เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วในรอบสัปดาห์ที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นหันหลังให้กับเธอคนนี้ เคนปฏิเสธเธอได้อย่างไร แถมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยต่อหน้ารุ่นน้องคนนั้น ความร้อนแล่นพุ่งพล่านไปทั่วร่างแต่ไม่มีแม้แต่เสียงใดจะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสวยคู่นั้น
นิดกัดริมฝีปากแน่นจนเธอได้รสเลือดจางๆ
..................................to be continued
-
นิดนี่มีอาการจิตอ่อนๆแล้วแน่ๆ ไม่งั้นนิดคงไม่เป็นแบบนี้
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :3123: :3123:
-
@@@writer's talk @@@
คำสารภาพจากคนเขียน
เรารู้ว่าคงมีคนตามอ่านนิยายเรื่องนี้ของเรา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านอยู่เสมอ
และคงสังเกตได้ว่า จากคราวที่แล้วที่เราอัพเดทเรื่องนี้มันก็ใกล้จะหนึ่งปีเข้าไปแล้ว
เราหายตัวไปไหน
ให้ตอบตามตรง คืองานมันประดังประเดเข้ามาเยอะมาก จนเราใจของเราป่วย
เราไม่มีบันดาลใจ แม้แต่จะทำงานหลัก เราเศร้า เราโกรธ เราโทษตัวเอง และมันล้ามากเหลือเกิน
เราไม่อยากให้อารมณ์ด้านลบมาอยู่ในนิยายที่เรารักมากเรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่เราหายไป
แต่วันนี้เชื่อไหม ว่าเราได้เริ่มเขียนอีกครั้ง
เราจะพยายามเขียนตอนต่อไปออกมาให้ได้
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามกันโดยตลอด ทั้งผู้ที่คอมเม้นต์ และไม่ได้คอมเม้นต์
เรารักคุณนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณเป็นกำลังใจของเรา
love
p.k.a
-
@@@writer's talk @@@
คำสารภาพจากคนเขียน
เรารู้ว่าคงมีคนตามอ่านนิยายเรื่องนี้ของเรา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านอยู่เสมอ
และคงสังเกตได้ว่า จากคราวที่แล้วที่เราอัพเดทเรื่องนี้มันก็ใกล้จะหนึ่งปีเข้าไปแล้ว
เราหายตัวไปไหน
ให้ตอบตามตรง คืองานมันประดังประเดเข้ามาเยอะมาก จนเราใจของเราป่วย
เราไม่มีบันดาลใจ แม้แต่จะทำงานหลัก เราเศร้า เราโกรธ เราโทษตัวเอง และมันล้ามากเหลือเกิน
เราไม่อยากให้อารมณ์ด้านลบมาอยู่ในนิยายที่เรารักมากเรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่เราหายไป
แต่วันนี้เชื่อไหม ว่าเราได้เริ่มเขียนอีกครั้ง
เราจะพยายามเขียนตอนต่อไปออกมาให้ได้
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามกันโดยตลอด ทั้งผู้ที่คอมเม้นต์ และไม่ได้คอมเม้นต์
เรารักคุณนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณเป็นกำลังใจของเรา
love
p.k.a
เป็นกำลังใจให้นะคะ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
:กอด1: :mew3:
เป็นกำลังใจให้นะคะ
-
เป็นกำลังใจให้นะคะ
สู้ๆจ้า :mew1:
-
Chapter 54 ผ้าปูที่นอน
(คำเตือน มีฉาก18+ เบาๆ ใครอายุยังไม่ถึงก็ข้ามไปได้นะคะ ไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องค่ะ)
“พี่เคน พี่เคนโว้ย...เดินช้าๆหน่อย ดึงทำไมแขนจะหลุดแล้ว”
จูนโวยวายหลังจากที่เคนรีบบึ่งรถมาที่หอของเขาตามแผนการณ์เดิมที่คิดกันเอาไว้ แต่พราะเหตุใดก็ไม่ทราบที่ เคนต้องลากเขาเดินฉับๆขึ้นมาที่ห้อง ห้องก็ห้องของเขาแท้ๆ
“เปิดประตูเลย เร็วๆ” ยิ่งเคนเร่งจูนยิ่งต้องตะลีตะลานเอากุญแจมาเปิดห้อง กว่าจะรู้ตัวก็ถูกร่างสูงกว่าเบียดเข้ามาด้านในแล้ว
“เฮ้ยๆ พี่ หมวกๆ วางก่อนๆ” เพราะรู้ว่าหมวกกันน็อคแพงขนาดไหนถึงบอกให้อีกฝ่ายรีบวางลงกับโต๊ะ แต่ชุดโซฟาไม่ใช่ที่ที่เคนมุ่งหวังเอาเสียเลย ร่างสูงโปร่งถูกดึงเข้าไปในห้องนอนของตัวเองประตูบานเลื่อนที่ทำกั้นเอาไว้ถูกล็อกแทบจะในทันที
“อะไรของพี่เนี่ย”
“เมื่อกี้ หึงใช่หรือเปล่า” ฝ่ามือกางกั้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะไปเปิดประตู
“หะ? “
“ที่คุยกับนิดเมื่อกี้ เพราะหึง แล้วก็บอกว่า จะมีแค่พี่ก็พอแล้ว ใช่รึเปล่า” เคนถามท่าทีดูจริงจังใบหน้าคมนั้นแดงก่ำอาจเป็นเพราะรีบผลักจูนเข้ามาด้านใน
“........อย่าทำเป็นรู้ดีเลย....มีโทรจิตรึไง” จูนเบี่ยงประเด็นที่มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพยายามเบี่ยงตัว แต่คราวนี้กลับถูกสองแขนแกร่งโอบรัดร่างของเขาเอาไว้
“พูดอีกทีนะ...พูดตรงๆได้ไหม” เสียงทุ้มดังข้างหูใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ
“ก็...ก็พี่เป็นแฟนผมแล้วนี่ ก็แค่พยายามหึงไม่ให้ออกนอกหน้า”
เด็กหนุ่มผมสีทองตอบเบาๆ ใบหน้านั้นแดงก่ำ ใช่ ในตอนนั้นเขาหึงอีกฝ่ายจริงๆ แปลกใจนักเรื่องของนิดที่ดูจะตามไม่เลิก แต่เขาสัมผัสได้ถึงถ้อยคำบางอย่างที่กระทบเขาอย่างจัง จึงต้องพูดแบบนั้นออกไป ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจอย่างไร แต่เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว ขอแค่คนตรงหน้านี้เข้าใจเขาก็พอ
...บางที เราก็คงต้องการแค่นี้...
“อื้อ!!”
แต่ก็ต้องอุทานแต่หาได้มีเสียงเล็ดลอดไม่ เพราะอยู่ๆริมฝีปากอุ่นร้อนก็สัมผัสลงมาที่ริมฝีปากของเขาบดเบียดลงมาคลับคล้ายกับที่เคยสัมผัสแต่กลับเร่าร้อนกว่าเมื่อปลายลิ้นของร่างสูงกำลังหยอกเอินกับริมฝีปากล่างของเขา สัมผัสรุกล้ำยิ่งทำให้ใจในอกเต้นระรัวมากไปกว่านั้นคือฝ่ามือใหญ่ที่กระชับอยู่ที่หลังต้นคอราวกับไม่อยากปล่อยให้หลุดมือไปไหน จูนรู้สึกได้ถึงมือแกร่งอีกข้างที่สัมผัสแผ่นหลังของเขาผ่านเนื้อผ้าบางของเสื้อนักศึกษา ความร้อนชื้นที่สัมผัสได้จากฝ่ามือและจังหวะที่อีกฝ่ายลากไล้ปลายนิ้วไปบนแผ่นหลังทำเอาจูนขนลุกเกรียว
“เดี๋ยว....พี่เคนพอก่อน” แม้จะลำบากที่จะละริมฝีปากออกจากสัมผัสยั่วเย้าแต่เคนที่อยู่ๆก็เข้ามาทั้งกอด จูบ ลูบ คลำขนาดนี้ เขาทำใจตั้งรับไม่ทันจริงๆ
“พอ....เหรอ” แฟนหนุ่มยิ้มยั่ว ชนหน้าผากเข้าที่หน้าผากของจูนเบาๆ “พี่ทนแทบตายที่จะไม่จูบแกตั้งแต่ที่หน้าหอ นี่ถึงขนาดรีบบึ่งมานี่ จะได้พ้นสายตาคน กลัวทำโจ่งแจ้งแกก็จะว่าพี่อีก...ทนมาตั้งใกล้ จะให้พอแค่นี้เหรอ”
จูนหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินความในใจของอีกฝ่าย แถมสายตาที่มองมาอย่างเว้าวอนเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น หมีอ้อน ก็คงจะเป็นวันนี้
“ละ...แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มถาม ดูเหมือนเขาจะจนมุมเข้าให้...แน่ล่ะ เขาโดนขังอยู่ในห้องกับแฟนหนุ่มร่างใหญ่ที่เพิ่งจะจูบเขาจนปากแทบจะหายใจไม่ออกแถมยังไม่มีทีท่าว่าอยากจะพอเสียด้วยนี่นา!
“ให้พูดได้จริงอ่ะ” เคนดูจะเกรงใจ
“พูดมาเหอะน่า” จูนชักหงุดหงิดเล็กๆกับท่าทีเกรงใจตรงกันข้ามกับการกระทำของอีกฝ่าย
“อยากได้แกอ่ะ....อยากจับทำเมีย”
ไม่พูดเปล่าร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ทำเอาเจ้าของห้องต้องก้าวถอยแล้วถอยอีก ดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นจริงจังพอๆกับน้ำเสียง สองเท้ายิ่งก้าวเข้าใกล้ อีกสองเท้าของจูนก็ยิ่งก้าวถอยจนเด็กหนุ่มเซลงไปนั่งที่ปลายเตียง ร่างสูงฉวยโอกาสนั่งลงตรงระหว่างสองขาของจูน มือหนึ่งเอื้อมมาจับมือข้างที่จูนเท้าตัวเองเอาไว้มาแตะที่ริมฝีปากร้อน
“ขอได้ไหม...”.
“อ่ะ....แต่... แต่.... มันใช่เรื่องขอกันง่ายๆที่ไหน พี่...พี่เคนก็น่าจะรู้” ใบหน้าเชื้อจีนร้อนผะผ่าวเขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร อยู่ๆไอ้คำว่า “ล้างตู้” ของยัยเพื่อนสาวตัวดีที่คณะก็ดังก้องหัว
“ก็...เอาเท่าที่....แกพร้อม...ตอนนี้” ไม่พูดเปล่า มือแกร่งอีกข้างลูบขึ้นมาทางต้นขาด้านในผ่านกางเกงผ้าหนาของกางเกงนักศึกษาทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก มือบางคว้ามือซุกซนของเอาไว้ทันที
“เฮ้ย....อย่าเล่นงี้ดิ่ เสียวนะเว้ย” จูนชักขาออกจะถีบอีกฝ่าย แต่ก็ดูจะไหวทันคว้าขาของเขาเอาไว้ได้ พร้อมออกแรงช้อนทั้งตัวเด็กหนุ่มให้ขึ้นไปอยู่บนเตียง
“ไม่เสียว จะได้ไหมล่ะ ที่ขอน่ะ”
ดวงตาคมจ้องร่างที่อยู่เบื้องล่าง ไล้มองอย่างพิจารณา ใบหูบางของเด็กหนุ่มเดงก่ำเพราะหน้าที่เบือนไปอีกทาง เคนก้มลงปลายจมูกแทบชิดกับแก้มของจูน
“พี่จะไม่ทำอะไรมากไปกว่าที่แก....อยากจะให้พี่ทำหรอกนะ” ชายหนุ่มกดสะโพกลงอีกนิดให้ร่างกายของพวกเขาสัมผัสกันยั่วเย้าเป็นจังหวะเนิบช้า
“อึก...” เสียงคนเบื้องล่างกัดฟันแน่น ก่อนจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจเบาๆอย่างสุดกลั้น
“ถอดได้ไหม...เข็มขัดเนี่ย” ปลายนิ้วเกี่ยวหัวเข็มขัดของอีกฝ่ายเบาๆ
“มะ.....”
ยังไม่ทันจะได้อ้าปากอะไรเสียงก็ต้องหายไปอีกครั้ง เมื่อเคนกดสะโพกลงมาอีกจนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เริ่มแสดงออกมาให้เห็นไม่เพียงแค่จากเคนแต่จากหนุ่มรุ่นน้องด้วย ดวงตาคมของรุ่นพี่ร่างสูงสบตาของคนรักอย่างเจ้าเล่ห์ แลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างได้ทีก่อนจะขยับตัวเข้ามาช่วงชิงจูบไปจากเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ไม่มีความเห็นแบบนี้ ก็คงต้องถอดให้หมดแล้วล่ะ” ปลายนิ้วของนักมวยหนุ่มเกี่ยวดึงหัวเข็มขัดของอีกฝ่ายออกอย่างชำนาญ
เสียงซิปกางเกงถูกรูดลงพร้อมกับอากาศภายในห้องที่เข้ามาสัมผัสผิวเนื้อทำเอาจูนขนลุกเกรียว ยิ่งเมื่อจูบของเคนยิ่งเร่งเร้า ปลายนิ้วที่สอดล่วงล้ำเข้ามาในกางเกงบ็อกเซอร์เข้ามาทำเอาเด็กหนุ่มต้องถลึงตามอง สองมือทุบอกของอีกฝ่ายอย่างจะให้ปล่อยแต่ก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรง มีแต่อีกฝ่ายเสียอีกที่จะเป็นคนคะยั้นคะยอราวกับอยากจะรีบพาเขาไปให้ถึงที่จุดหมายปลายทางเร็วๆ
“พี่เคน...โอย....พอก่อน...เดี๋ยว”
“เดี๋ยวทำไม....” เสียงเคนแหบพร่าดังที่ข้างหู
“มันจะเปื้อน....ที่กางเกง แล้วก็...ที่นอนด้วย...” เด็กหนุ่มอิงศีรษะเข้ามาหา น้ำเสียงคล้ายคนกำลังละเมอ มือที่แตะอยู่ที่อกเสื้อนั้นสั่นระริก
“งั้นก็ถอดสิ...ถอดให้พี่ด้วย ส่วนผ้าปู...ถ้าเปื้อนเดี๋ยวพี่ซักให้เอง” ยิ่งเห็นจูนอายยิ่งกระเซ้าแหย่ มือแกร่งเลื่อนขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อของเด็กหนุ่มออกทีละเม็ด
“ถอดได้ไหม”
“ก็ถอดอยู่ยังถามอีก...”จูนตอบปลายนิ้วของตัวเองก็ค่อยๆเลียนแบบการกระทำของอีกฝ่ายไปด้วย เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองคนก็แทบจะเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยที่เคนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้
“ขยับเข้ามาอีกสิ” เคนบดเบียดร่างกายของตัวเองเข้าหาเด็กหนุ่ม ได้ยินเสียงครวญเบาๆจากร่างบาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแต่เขาไม่อยากเป็นคนนำเพียงฝ่ายเดียว อยากให้อีกฝ่ายยอมรับการกระทำทั้งหมดนี้ด้วยกัน มือแกร่งจับมือของเด็กหนุ่มให้สัมผัสกับร่างกายของเขา
“ช่วยกันนะครับ แล้วพี่สัญญา...ว่าจะไม่ซนไปอีกหลายวัน”
ได้ยินถ้อยคำลามกแบบนั้นแล้วจูนนึกอยากจะตีปากอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อเหลือบมองลงไปเห็นความเร่าร้อนของอีกฝ่าย มันยิ่งทำให้ใจของเขาเต้นรัวทั้งความตื่นเต้นทั้งความประหลาดใจมันตีกับสับสนไปหมด เพราะครั้งสุดท้ายที่พวกเราอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับตอนนี้ เขาจำได้ว่าเขาทั้งร้องและขัดขืนฝืนตัวเองออกไปให้พ้น ไม่ได้มองหน้าของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้นั้นกลับกัน ใบหน้าของเคน นักมวยร่างใหญ่ที่ใครต่อใครเห็นว่าน่ากลัว กลับดูเร่าร้อนด้วยเลือดที่ฉีดพล่าน เหงื่อพราวที่เกาะบนหน้าผาก กับเสียงสูดลมหายใจแรงเมื่อเขาลองขยับมือของตัวเองเบาๆ คงมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้เห็นภาพนี้
“สัญญาแล้วนะ”
จูนยิ้มน้อยๆก่อนจะเป็นฝ่ายจูบอีกฝ่ายก่อน ปลายลิ้นเล็มเลียยั่วเย้าลอกเลียนแบบการกระทำของร่างสูง มือบางขยับเร้าอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่เคนก็กระทำให้กับตัวของเขาเอง ในตอนนี้ร่างของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดรัดเข้าหากันราวกับจะหลอมละลายไปกับอารมณ์ร้อนที่ถูกจุดขึ้น
“อา....จูน....จูน.....”
เสียงเคนดังลอดฟันกรามที่ขบแน่น สองมือซ้อนทับมือบางให้ขยับตามความต้องการของเขาในขณะที่สะโพกแกร่งก็ขยับเข้าหาอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มร้องครางออกมาเป็นชื่อของตัวเองก่อนร่างบางจะเกร็งแน่นก่อนจะอิงศีรษะเข้ามาซบ เคนรู้สึกเจ็บปลาบเมื่อเด็กหนุ่มใช้ฟันคมขบลงบนหัวไหล่ของเขาเพื่อกลั้นเสียง ความต้องการอบอุ่นโอบรอบแก่นกายของทั้งคู่เอาไว้ หากแต่เคนยังต้องการอีกมันยังไม่เพียงพอ
“ขอโทษนะคนดี” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆก่อนจะช้อนขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มขึ้นโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว จูนดูตกใจแต่ร่างบางก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะตอบโต้ เคนพาดสองขาของเด็กหนุ่มไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง
“พี่เคน.....ท...ทำอะไร” เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากร่างบาง
“ขอโทษ แต่ช่วยหนีบขาไว้ให้แน่นสักหน่อยจะได้ไหม”
เคนกล่าวขอโทษเป็นครั้งที่สองก่อนจะแทรกกายของตัวเองผ่านหน้าขาร้อนอุ่นของเด็กหนุ่ม ร่างแกร่งขยับสะโพกเร็วแรงตามอารมณ์ที่เหมือนพายุกระหน่ำ จนร่างของจูนสั่นคลอนจนสองแขนของเด็กหนุ่มต้องจิกผ้าปู่ที่นอนเอาไว้ให้มั่น การกระทำนั้นยิ่งปลุกเร้าเขาอีกครั้ง สมองของเขาเบลอไปหมดจนไม่อาจรู้ได้ว่าคำที่เอ่ยออกไปนั้นกำลังจะบอกให้อีกฝ่ายหยุดหรือยิ่งเร้าให้อีกฝ่ายพาเขาไปให้ถึงฝั่งโดยเร็วกันแน่
“อา....พี่เคน...อึ่ก...พี่เคน.....”
จูนได้แต่เรียกชื่อของอีกฝ่ายในขณะที่เคนนั้นยิ่งโรมรันเข้าหา อีกครั้งและอีกครั้งก่อนที่ร่างแกร่งจะปลอดปล่อยความรู้สึกออกมา ที่หน้าท้องขาวของเด็กหนุ่มร้อนผะผ่าวและยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อเคนเอนร่างลงมานอนทับ ริมฝีปากบดเบียดเข้ามาเหมือนโหยหาสัมผัสของความรัก ไม่มีแล้วท่าทีปฏิเสธ จูนรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ
“ขอบคุณนะครับคนดี”
ถ้อยคำหวานดังขึ้นพร้อมจูบเบาๆบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อ จูนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าลงพร้อมกับรอยยิ้มจากริมฝีปากที่แดงจัด ปลายนิ้วไล้เล่นที่จากปลายคางได้รูปของอีกฝ่ายไปจนถึงไหล่แกร่งที่เขาได้ฝากรอยฟันเอาไว้เมื่อครู่
“เจ็บไหม”
“แค่นี้ยังน้อย...” เคนหัวเราะ
“จะมีคนว่าอะไรไหมเนี่ย” จูนชักเป็นห่วงเมื่อสังเกตได้ว่าเขาฝังรอยลงไปลึกพอสมควร อีกฝ่ายเรียนวิชาพละ อย่างไรเสียก็คงต้องมีคนเห็นอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไร.... “ เคนจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ “ถ้าใครถามก็จะบอกว่า เมีย ทำ”
“ปากดี ใครจะยอมเป็นเมียของหมีควายกัน” จูนตีเข้าที่ปากของอีกฝ่ายเบาๆ
“ก็ใครที่ยอมให้ทำเปื้อนเต็มตัวนี่ไง” ไม่พูดเปล่า มือแกร่งปาดเอาหยดความต้องการสีขาวขุ่นขึ้นมาจากหน้าท้องของอีกฝ่ายโชว์หลาให้ดูเป็นหลักฐาน ทำเอาจูนทั้งอายทั้งโกรธควันแทบออกหู
“เฮ้ย ไอ้หมีบ้า ไอ้พี่ลามก อย่าเอามาเล่น สกปรกไปล้างเลยเร็วๆ” จูนรีบขยับลุกคว้าทิชชู่แถวหัวเตียงมาเช็ดมือของอีกเคนแทบจะในทันที
“ไป งั้นก็ไปล้างกันทั้งสองคนนี่ล่ะ” เคนหัวเราะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจเช็ดมือของเขาทั้งใบหน้ายังแดงก่ำแบบนั้น ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะดึงผ้าปูเตียงออกจากเตียงตลบคลุมร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของห้องเอาไว้
“เฮ้ย เล่นอะไรเนี่ย!!! “ จูนโวยวาย
“ก็บอกว่าสกปรก จะพาไปล้างตัวในห้องน้ำ แล้วจะได้เอาผ้าปูไปซักด้วยเลยไง” เคนหัวเราะก่อนจะตลบผ้าปูทีนอนอีกด้านใส่ร่างของเจ้าของห้อง แต่คราวนี้แขนแกร่งก็ดึงทั้งคนทั้งผ้านเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ทะลึ่ง!” จูนที่สุดท้ายหาทางโผล่หน้าออกมาจากผ้าปูที่นอนได้ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าอีกฝ่ายดี นี่เขาอายจนไม่รู้จะซุกกลับลงไปในผ้าอีกรอบดีหรือไม่
“ทะลึ่ง บ้ากาม หมี เอ้า อยากด่าอะไรอีกก็เชิญ แต่วันนี้อาบน้ำกันเสร็จแล้วพี่จะพาแกไปกินข้าว หิวแล้ว” เคนหัวเราะก่อนจะกึ่งลากกึ่งอุ้มอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปที่ห้องน้ำ
เป็นนานกว่าที่ทั้งสองจะได้กลับออกมาอีกครั้ง...
to be continued....
@@@ Writer's talk@@@
ก่อนอื่น....ขอบอกว่า ไม่ได้ป่วยจนเก็บกดเขียนฉาก NC มาลงนะ :hao5:
แต่คิดว่าถึงเวลาของสองคนนี้แล้ว เขียนมาจนจะหกร้อยหน้าแล้ว ให้เขารักกันดีๆบ้างเถอะ
แต่....ไม่ต้องห่วงนะ ........เมื่อถึงเวลา เดี๋ยวก็มาอีก :hao6:
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ดูสิ เขียนเอาๆ ขอบคุณนะคะ :กอด1: :3123: :pig4:
-
นิดคงไม่ยอมเลิกตามเคนง่ายๆ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
-
:hao6: :hao7: :mew1:
-
อยากบอกคนอ่านว่า คิดถึง ตอนนี้มีเพจเป็นของตัวเองแล้วนะ ไปตามได้ P.k.a's story