เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ  (อ่าน 118812 ครั้ง)

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:มีเลี้ยงไอติมแท่งด้วย :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ เลิฟลี่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สนุกทุกตอนค่ะ กดเป็ดให้หมดเลย ชอบคู่ป๋ากะกระต่ายแรดจังค่ะ

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง



- 25 -
Zhen Side Story [7]  :  วิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ




      วัลโด้แลนด์ คฤหาสน์เก่าแก่สไตล์บาโรกและโรโกโกตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ คฤหาสน์ของต้นตระกูลที่ตกทอดกันมาจนถึงวัลโด้ทายาทคนปัจจุบัน

       คฤหาสน์แห่งนี้ได้ชื่อว่ามีระบบป้องกันภัยดีที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ในเวลานี้กลับมีบอดี้การ์ดเดินรักษาความปลอดภัยเพียงหยิบมือ  เจ้าของคฤหาสน์คงหลงระเริงกับข่าวดีที่ได้รับเมื่อตอนบ่ายจนลืมระแวดระวังภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาจ่อประตูบ้านอย่างกระชั้นชิด มันคงคิดว่าเขาจะยุ่งอยู่กับแก้ปัญหาโรงงานถูกลอบวางระเบิดจนไม่คิดว่าจะตลบหลังมันได้เร็วขนาดนี้

      /อาแจ๊กซ์ฝั่งนาย  20 นาฬิกา /  เซนกรอกเสียงสั่งในเครื่องมือสื่อสาร


      - กรอบ -


      เพียงเสี้ยวนาทีที่สิ้นเสียงสั่งการ บอดี้การ์ดเคราะห์ร้ายถูกอาแจ็กซ์ที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเข้าประชิดตัว มือแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กโอบเข้าล็อกเหยื่อแน่นหนาก่อนที่จะบิดอย่างแรงจนเกิดเสียงหักของกระดูกคอ เหยื่อไม่มีโอกาสได้ร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด อีกคนวิ่งเข้ามาหวังจะเข้าชาร์จอาแจ๊กซ์จากด้านหลัง ถูกเฮอร์เซลเป่าดับด้วยปืนเก็บเสียงหงายหลังตึงลงกับพื้น ร่างไร้วิญญาณถูกลากอย่างเงียบเชียบเข้าไปในแนวพุ่มไม้ 


      / เคลียร์ /


      ภัยมืดลุกคืบจากบริเวณแนวรั้วของคฤหาสน์ไปจนถึงสวนหน้าคฤหาสน์ บริเวณด้านหน้าบันไดทางขึ้นมีกล้องวงจรปิด 2 ตัว  บอดี้การ์ดเฝ้าปีกซ้าย 3 คน  ปีกขวา 3 คน และตรงหน้ามุขประตูหน้า 4 คน 

       เซนส่งสัญญาณให้เฮอร์เซลเคลื่อนไปประจำปีกขวา  อาแจ๊กประจำปีกซ้าย  ส่วนตรงหน้ามุขเขาจัดการเอง 

      / ทิมนายรบกวนสัญญาณกล้องวงจรปิดทุกตัวให้ด้วย /  เซนกรอกเสียงผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ติดไว้ที่หูสั่งทิมซึ่งเป็นทีมซัพพอร์ทให้ตัดสัญญาณกล้องวงจรปิดภายในคฤหาสน์

      / เคลียร์ /   ไม่ถึงสองวินาทีทิมกรอกเสียงตอบกลับมา


      ปุ๊   ปุ๊   ปุ๊  ปุ๊


      หลังสิ้นเสียงทิมเพียงชั่วเสี้ยวนาทีเสียงปืนบาเร็ตต้า.92 เก็บเสียงทั้งสามจุดดังขึ้นพร้อมกันเป่าบอดี้การ์ดชะตาขาดที่เฝ้าบริเวณหน้าคฤหาสน์ร่วงกราวราวใบไม้หลุดจากขั้ว


      / เคลียร์ /

       เซนจุดกรอกเสียงในเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็ก และทำมือเป็นสัญญาณให้ทีมซัพพอร์ทเข้าเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณ 

      /ไมค์นำทีมเก็บกวาดบริเวณโดยรอบให้สะอาด/  เซนกรอกเสียงสั่งหัวหน้าชุดทีมซัพพอร์ท ก่อนที่ทั้งสามจะเคลื่อนตัวออกจากแนวสวนเร่งฝีเท้าไปตามเงามืดจนถึงด้านข้างก่อนจะป่ายปีนตามขอบหน้าต่างเหวี่ยงตัวอย่างรวดเร็วขึ้นไปยืนบนระเบียงห้องนอนของวัลโด้ 

      ประตูระเบียงห้องนอนของวัลโด้เปิดรอราวกับรู้ว่าจะมีแขกพิเศษมาเยือนยามวิกาล เซนแนบตัวไปกับผนังเคลื่อนตัวไปตามเงามืดของกิ่งไม้ที่ทอดตัวเป็นระยะตามระเบียง สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณไม่พบใคร  จึงให้สัญญาณว่าปลอดภัย ทั้งสามย่างสามขุมผ่านประตูระเบียบเข้าไปอย่างง่ายดาย  ภายในห้องนอนอาบทอไปด้วยแสงของโคมไฟหรูหราส่องแสงนวลตาแต่ไร้เงาเจ้าของห้อง เสียงเพลง Blue Danube จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นเก่าดังหวานแว่วมาจากห้องทำงานที่ประตูเปิดเชื่อมถึงกัน

      ทั้งสามเดินเงียบกริบเข้าประชิดประตูห้องทำงานที่เปิดแง้มเกือบทั้งบาน  ภายในห้องทำงานอบอวลไปด้วยควันและกลิ่นของแดร็กที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในชั้นบรรยากาศจนน่าคลื่นเหียน  บนโต๊ะรับแขกหน้าโต๊ะทำงานปรากฏแดร็กและโคเคนที่ยังไม่ได้เสพบางส่วน อุปกรณ์การเสพวางเกลื่อนโต๊ะ

       บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ปรากฏร่างเปลือยเปล่าของนางแบบและนักแสดงสาวคราวลูกที่กำลังโด่งดังถูกจับคว่ำหน้าในท่าโก้งโค้งกับโต๊ะ เธอคงจะเป็นอีกคนที่ถูกเอเยนซี่ส่งตัวมาสังเวยกามให้กับวัลโด้ในค่ำคืนฉลองชัยนี้

       วัลโด้กำลังกระแทกแก่นกายแข็งขึงเข้าช่องทางด้านหลังของเธออย่างแรงจนโต๊ะทำงานหนักอึ้งยังเขยื้อนดังกึกๆ แก้วบรั่นดีที่วางหมิ่นเหม่ตกลงบนพื้นพรมของเหลวสีอำพันที่บรรจุภายในแก้วกระฉอกลงพื้นเปียกเป็นด่างดวงแต่หาได้มีใครใส่ใจ 

       สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บระคนเสียวซ่านในคราเดียวกัน เสียงครวญครางอย่างสุขสมของทั้งคู่สอดประสานกับเสียงเนื้อกระทบกันดังระงมห้อง แผ่นหลังที่ปรากฏรอยสักรูปยักษ์คาบูกิหน้าแดงฉานแสดงความกราดเกรี้ยวตามแรงขยับโยกร่างของวัลโด้ ตาโปนสีเหลืองจ้องมองพวกของเซนราวกับมีชีวิต

      “อ๊า...อ๊า...โอ๊วววว”

      “อ๊า..โอ๊ววว..ซี๊ด..fuck fuck!!!!”


      “ท่านทำผมแสบมากนะ”  เซนกล่าวเสียงต่ำเย็นเยียบ มือยกปืนบาเร็ตต้า.92 จ่อขมับวัลโด้ ทำให้คนที่ได้ยินเย็นวาบขนคอตั้งชันราวกับมัจจุราชปลิดชีพ

      - กรี๊ด -

      นางแบบสาวที่กำลังครางลั่นด้วยความสุขสมจากกามกรีฑา กลับต้องเปลี่ยนเสียงครางเป็นกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจเมื่อหันกลับมามองสบเข้ากับมัจจุราชที่ยืนถมึงทึงอยู่ข้างหลังวัลโด้ สายตาเธอเหลือกลาน ดิ้นรนสุดแรงจนท่อนลำของวัลโด้หลุดจากช่องทางดังพล๊อก  ร่างโปร่งบางลนลานกระเสือกกระสนออกไปยืนสั่นงันงกอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานใหญ่

      “ถ้ายังอยากจะมีลมหายใจเดินบนพรมแดงอย่างเฉิดฉาย หุบปากให้สนิท อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ  ออกไป!

       เซนพูดเสียงกร้าวเย็นเยียบ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมดุคุกคามไม่ได้ละออกไปจากหน้าของวัลโด้  สิ้นเสียงของเซนเธอไม่รอให้สั่งซ้ำลนลานเก็บเสื้อผ้าวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

      “กูเลี้ยงหมาเสียข้าวสุกสินะ”  วัลโด้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบลอๆ จากอาการเมาแดร็กผสมกับบรั่นดี 

       “ถึงจะไม่มีกู  แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นี้แน่” วัลโด้ตอบกลับด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ฤทธิ์ของแดร๊กที่เสพเข้าไปผสมนิสัยส่วนตัวมันทำให้กร่างอย่างไม่กลัวใคร

      “......”  เซนไม่โต้ตอบเขาไม่อยากจะเสียเรื่อง กรามแกร่งบดแน่นกดข่มแรงโทสะของตัวเอง

       “มึงก็แค่หมาขี้เรื้อนที่ไอ้แก่นั่นเอามาซุบเลี้ยงให้ได้ดิบได้ดีแล้วพองขน..ถุย กูอยากจะรู้นักถ้าหมดไอ้แก่นั่นสักคนมึงมันก็หมาข้างถนนเหมือนที่มึงเคยเป็นดีๆ นี่เอง”  วัลโด้พ่นคำพูดและน้ำลายใส่หน้าเซนอย่างยั่วยุ  เฮอร์เซลกระเหี้ยนกระหือรือจะเข้ามาเอาเรื่อง แต่อาแจ๊กซ์ส่ายหน้าดึงไว้ไม่อยากให้เสียเรื่อง

      “มีคนอยู่สามประเภทในโลก แกะ หมาป่า และสุนัขเลี้ยงแกะ บางคนไม่เชื่อว่าในโลกนี้มัจจุราชมีอยู่จริงจึงไม่เคยระวังตัว เมื่อมัจจุราชมาเยือนที่หน้าประตูบ้านของพวกเขาๆ ก็จะไม่ป้องกันตัวคนพวกนี้คือ แกะ ต่อมาคือผู้ล่า พวกมันก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรงกับเหยื่อที่อ่อนแอ นั่นคือหมาป่า

       จากนั้นก็เป็นพวกที่มีพรสวรรค์และอำนาจไว้คอยปกป้องฝูงแกะ พวกมันเป็นพันธุ์ที่หายากมีชีวิตเพื่อเผชิญหน้ากับหมาป่า พวกมันคือ สุนัขเลี้ยงแกะ แล้วรู้อะไรไหมพ่อแม่ผมไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นแกะหรือหมาป่า แต่เขาเลี้ยงให้เราปกป้องฝูงแกะ ถ้าหมาป่าตัวไหนมันกล้าทำร้ายฝูงแกะหรือครอบครัว ผมได้รับอนุญาตให้จัดการมันซะ!!
  เซนเอ่ยตอบเสียงเรียบเย็นทันควัน พยักหน้าให้เฮอร์เซลเปิดคอมพิวเตอร์ที่ตั้งบนโต๊ะทำงาน ภาพหน้าจอเป็นภาพเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของวัลโด้

      “ทิมแฮคเข้าระบบฐานข้อมูลกลาง Waldoland”

       เฮอร์เซลกรอกเสียงลงในเครื่องมือสื่อสารไม่ถึงสามวินาทีหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะปรากฏฐานข้อมูลกลาง Waldoland  เซนดึงกระชากมือของวัลโด้ทาบลงแท่นแสกนลายนิ้วมือ หน้าจอฐานข้อมูลขึ้นกล่องตอบรับ

      “Unlock Password”  ระบบประมวลผลอ่านค่าดาต้าเบสและลายนิ้วมืออยู่ครึ่งวินาทีก่อนจะวิ่งเข้าสู่หน้าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

      “มึงจะทำอะไร ไอ้สัส!!”   

      “มันถึงเวลาที่ต้องชดใช้ท่านเซอร์”
  เซนตอบเสียงกร้าว

      เฮอร์เซลเข้าสู่หน้าจอธนาคารอิเล็กทรอนิกส์จัดการกรอก ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน รอสักพักหน้าจอปรากฏกล่องโต้ตอบให้กรอกเลขบัญชีธนาคาร มันไม่ยากเกินความสามารถที่บอดี้การ์ดคนสนิทจะกรอกเลขบัญชีของวัลโด้ลงไป ไม่กี่วินาทีต่อมาหน้าจอตรงหน้าปรากฏรายการเงินฝากในบัญชีของวัลโด้

       บอดี้การ์ดคนเก่งพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดป้อนคำสั่งถ่ายโอนเงินจากบัญชีธนาคารต่างประเทศของวัลโด้ทั้งหมดเข้าบัญชีองค์กรสาธารณกุศลเพื่อผู้ประสบภัยของหน่วยงานท้องถิ่น จำนวน 18 แห่ง ใช้เวลาไม่กี่นาทีเงินทั้งหมดในบัญชีของวัลโด้เป็นศูนย์  ก่อนจะโอนเงินจำนวนนั้นทั้งหมดไปให้คนงานผู้ได้รับความเสียหายทุกคนตามสัดส่วน 

       เฮอร์เซลออกจากหน้าธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ เข้าสู่หน้าตลาดหลักทรัพย์จัดการเทขายหุ้นทุกตัวที่อยู่ในครอบครองของวัลโด้ในตลาด ขายทอดตลาดทรัพย์สินในครอบครองทุกรายการยกเว้นคฤหาสน์วัลโด้แลนด์ผ่านระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทในเครือทั้งหมดถูกเทคโอเวอร์โดยเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง

       ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเงินรายได้จากการขายทอดตลาด ค่าหุ้น ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารต่างประเทศของวัลโด้และมันถูกถ่ายโอนต่อเป็นเงินบริจาคเข้าบัญชีของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและคนยากไร้ และสาธารณกุศลอื่นทั่วโลกแทบจะทันที จดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากองค์กรสาธารณกุศลตอบขอบคุณการบริจาคด้วยระบบอัตโนมัติเข้ามาแทบจะทันที

      หลังจัดการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างเสร็จสิ้นเฮอร์เซลปล่อยไวรัสทำลายระบบฐานข้อมูลกลางของ Waldoland ทั้งหมดชนิดที่โปรแกรมเมอร์หรือแฮคเกอร์ระดับเทพหน้าไหนก็ไม่สามารถกู้คืนได้ 

       ‘ถ้าจะบอกว่านี่คือการปล้นกลางอากาศแบบหน้าด้านๆ แล้วใครจะสนในเมื่อวัลโด้มีหนี้ราคาแพงที่ต้องชำระและคนที่ได้ประโยชน์ก็สมควรที่จะรับมัน’

      วัลโด้นั่งมองหายนะของตัวเองด้วยสายตาเหลือกลานช็อกตะลึงงัน  เหงื่อกาฬเม็ดเป้งผุดพรายทั่วหน้า มือใหญ่บีบกุมกระชับหัวใจที่เต้นกระหน่ำเจ็บแปล๊บเพราะถูกบีบกระชากจากสารอดรีนาลีน ผสมปนเปไปกับแดร๊กที่เสพเข้าไปจำนวนมากก่อนหน้านั้น  ร่างท้วมสั่นเทาอย่างรู้ชะตากรรมของตัวเองดี แต่ก็ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนให้พ้นจากเอื้อมมือของเซน

      “ท่านเซอร์เห็นด้วยใช่ไหมที่กระผมทำแบบนี้” เซนดึงกระชากวัลโด้เข้ามาชิดหน้าตัวเองกระซิบเสียงเย็นยะเยือกริมหูของมัน  วัลโด้หันหน้ากลับมาเผชิญกับเซน

      “Fuckup!!”

      “หึ หึ”

      “คนอย่างท่านมันน่าทุเรศวะ พวกมือถือสากปากถือศีล แต่วันนี้ท่านก็ใจบุญเหลือเกินพวกเขาสำนึกในบุญคุณท่านนัก สุนัขเลี้ยงแกะอย่างกระผมไม่ชอบความรุนแรงยินดีอย่างยิ่งที่จะส่งท่านขึ้นสวรรค์ด้วยความสุข”


       เซนโยนคำพิพากษาใส่หน้าวัลโด้ที่เงยหน้าสบสายตาราวกับร้องขอชีวิต  ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้คนของเขา อาแจ๊กซ์หยิบเอ็กซ์ตาซีออกมาจากกระเป๋า อาแจ๊กซ์หยิบสลิงที่วัลโด้ใช้ฉีดสารเสพติดมาดูดเอ็กซ์ตาซีเข้มข้นจากขวดในมือวัลโด้ผสมกับแดร็กอย่างละครึ่งสลิง เสร็จแล้วยื่นให้วัลโด้ฉีดมันเข้าเส้นด้วยตัวเอง ร่างอวบท้วมพยายามดิ้นรนสะบัดตัวไม่ยอมรับสลิงจากอาแจ็กซ์

      “ฉีดมันเข้าไป!!”

       เซนกดเสียงเย็นเยียบราวกับมัจจุราชปิดชีพกรอกหูวัลโด้ซึ่งรู้สึกเสียวสันหลังวาบขนคอลุกตั้งชันทั่วทั้งร่างเย็นวูบรับรู้ชะตากรรมของตัวเอง มืออวบอูมเย็บเยียบสั่นเทายื่นออกไปรับสลิงจากอาแจ็กซ์ ยกแขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มฉีดยาของตัวเองขึ้นมาจ่อแทงเข็มเข้าไปในเส้นเลือดฉีดสารเสพติดเข้าไปจนหมดสลิงสามเข็มเต็มๆ เซนปล่อยตัววัลโด้ให้ทรุดลงกับพื้น

      วัลโด้พยายามถลันตัวเข้าตอบโต้เชน แต่ฤทธิ์ของสารที่ฉีดเข้าไปเล่นงานแทบคลั่งร้องโหยหวน ดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกลานมืออวบอูมกุมหัวใจแน่น  อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มขมับ หัวใจเต้นกระหน่ำบีบรัดรุนแรงจนระบบการหายใจขาดเป็นห้วงๆ ตัวกระตุกสองสามครั้งแล้วก็แน่นิ่งในที่สุด...


      “ไม่มีหนี้อะไรที่ไม่ต้องชดใช้ท่านจำเอาไว้  เคลียร์บิลที่ท่านทำไว้กับปิแอร์และคนของผมอีก 168 คน”


       เซนไม่สนใจว่าใครจะมองว่าสิ่งที่เขาทำมันโหดร้าย ป่าเถื่อน เห็นแก่ตัวมหันต์ เขาก็แค่พยายามปกป้องสิ่งที่เป็นของเขา ครอบครัวของเขา คนของเขา  สิ่งที่ทำมันเป็นวิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ...

      เซนและบอดี้การ์ดเก็บกวาดทุกพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิมก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา  เมื่อเรียบร้อยทั้งหมดถอนตัวจากพื้นที่หายลับไปพร้อมกับความมืดของค่ำคืนไร้ดาว  เหลือไว้เพียงร่างเปลือยเปล่าไร้วิญญาณของวัลโด้บนพื้นเย็นเยียบในห้องทำงาน …





      หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเซนแทรกตัวเองเข้าไปในผ้าห่มมือแกร่งดึงร่างแม่กระต่ายเข้ามาในอ้อมกอด ปากร้อนแตะจูบตั้งแต่หน้าผาก เปลือกตาทั้งสองข้าง ปลายจมูก และจบลงที่ปากเรียวบางได้รูปบางเบากำลังจะผละออกคนในอ้อมกอดกลับดูดดึงริมฝีปากของเขา แม่ตัวดีเผยอปากเชิญชวน คนอย่างเซนมีหรือจะกล้าขัดใจ สนองตอบด้วยจูบเร่าร้อนๆ จนพอใจจึงผละออก ปากหนาปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ 

      “อืม..กลับมาแล้วเหรอ”  คานินถามคนตัวโตทั้งที่ตายังหลับพริ้ม ขยับตัวให้แนบชิดร่างแกร่งมากขึ้น  ยกขาเรียวเกี่ยวกระหวัดกับขาของเซน แขนยกขึ้นโอบเอวหนา แนบหน้าไปกับอกแกร่งด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ

      “ซู่..นอนต่อเถอะเพิ่งจะตีสี่”

      “งานเสร็จแล้ว ป๋าให้หนูกินไอติมนะ”

      “.....”
  เซนก้มมองคนในอ้อมกอดไม่เข้าใจว่าพูดจริงหรือเล่น แต่แม่ตัวดีของเขายังหลับตาพริ้มไม่มีสัญญาณว่าตื่นอยู่  คือแมร่งละเมอเหรอวะ??  เซนเลยยื่นปากหนาไปชิดริมหูกดจูบบางเบาก่อนที่จะกระซิบเสียงทุ่มนุ่มอ่อนโยน

      “นอนก่อนครับ พรุ่งนี้ค่อยกินจะให้ทั้งแท่งเลย...”




      “นักธุรกิจหนุ่มใหญ่เจ้าพ่อคมนาคมขนส่งเสพยาเกินขนาดดับอนาถภายในห้องทำงานของคฤหาสน์”


      นั่นคือประเด็นร้อนที่โทรทัศน์ประโคมข่าวกันทุกช่อง และหนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกฉบับจั่วหัวตัวเป้ง แต่มันไม่สามารถดึงความสนใจของเซนจากหน้าจอไอแพดโปรที่เต็มไปด้วยตารางตัวเลขไปได้ เขาจิบกาแฟอย่างอารมณ์ดีเพราะหุ้นตัวที่เขาช้อนซื้อมาในราคาถูกเมื่อเดือนก่อนมันติดลิ่งราคาพุ่งสูงสุดเท่าที่เคยทำมากำไรเห็นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เห็นจะต้องยกผลประโยชน์ให้แม่กระต่ายตัวแสบนั่น ตั้งแต่ได้ตัวมาอยู่ด้วยกันอะไรมันก็ดีไปซะทุกอย่าง

      คานินเดินเข้ามาบริเวณโซนรับประทานอาหาร เซนเงยหน้าขึ้นมองสำรวจทั่วหน้าและท่าทางการเดินเหินไม่ติดขัดเหมือนเมื่อวาน แสดงว่าอาการคงจะดีขึ้นแล้ว คานินเปิดยิ้มกว้างเดินตรงมาหาเซน คนตัวโตยกยิ้มกว้างตอบกลับไปให้ก่อนจะดึงตัวคานินเข้ามาใกล้มือแกร่งโอบเอวไว้หลอมๆ กดแนบจมูกตัวเองไปที่ท้องแกร่งแน่นของคานินอย่างหลงใหลสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นอยู่นานราวกับต้องการกำลังใจ  คานินยกแขนขึ้นโอบกอดรอบคอสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มของเซนก่อนจะกดจมูกลงที่กลุ่มผมนุ่มของเซน ทั้งคู่อยู่ในท่านั้นนิ่งนานราวกับจะให้อ้อมกอดและสัมผัสปลอบประโลมจิตใจกันและกัน คานินผละอ้อมกอดออกแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งขวามือของเซน

      “อรุณสวัสดิ์ครับ”

      “หายดีแล้วเหรอ”

      “ครับ...”

      “ทำไมตื่นเช้าจัง เมื่อคืนเฮียกลับมากี่ทุ่ม”
   เซนเลิกคิ้วหนาเป็นคำถามด้วยความแปลกใจ สรุปคือเมื่อคืนเมียกูแค่ละเมออยากกินไอติม

      “ตี่สี่ แล้วงานเราล่ะเสร็จแล้วรึยัง”   เทรย์เวอร์ยก Pan con Tomate หรือขนมปังอบกับกระเทียมและซอสมะเขือเทศสดเหยาะด้วยน้ำมันมะกอกและเกลือ โรยหน้าด้วยชีส แฮม เสิร์ฟพร้อมกับกาแฟและน้ำฝรั่งสำหรับคานิน

      “ขอบคุณครับ” คานินหันไปยิ้มหวานและขอบคุณเบาๆ กับพี่หล่อ  “เสร็จแล้วส่งให้เฮียโจตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง วันนี้เฮียเขาจะเอาไปคุยกับลูกค้า ถ้ามีแก้ไขจะส่งโทรมาบอกอีกที ถ้าไม่มีแก้ไขเขาจะโอนเงินค่างานให้ตอนเย็น”

      “อืม วันนี้จะพาไปเก็บของ บอกคืนห้องด้วย แล้วเลิกงานกี่โมง”

      “เฮียแน่ใจแล้วเหรอ...”


      “คุยกันเข้าใจแล้วน่าให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะอย่าเรื่องมาก ตกลงเลิกงานกี่โมง”  หน้ายิ้มๆ อารมณ์ดีของเซนหุบทันควันที่คานินทำท่าจะขัดความประสงค์ของเขา เซนเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้อย่างกระแทกกระทั้นมือทั้งสองยกขึ้นกอดอก ตาคมหรี่มองอย่างคาดคั้นกดดันแต่มันเจือความห่วงใยชั่วแวบให้คานินได้เห็น

      “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สักหน่อย ก็แค่อยากจะมั่นใจ”

      “มีตรงไหน? ที่ไม่มั่นใจ ตกลงเลิกงานกี่โมง”

       “ปกติห้าโมง แต่วันนี้ผมไม่มั่นใจอาทิตย์ที่แล้วลาไปสามวันคิดว่างานเต็มโต๊ะแน่”


      “จะให้เทรย์เวอร์ตามไปด้วย  ถ้าเลิกงานเมื่อไรค่อยตามไปที่ออฟฟิศ”

      “ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวผมขับรถไปเอง”

      “ให้เทรย์เวอร์ไปด้วยนั่นแหละ”

      “ครับ”  พอตามใจเข้าหน่อยยิ้มกว้างเลยเชียว อดที่จะยิ้มไปด้วยไม่ได้สักที คานินจัดการอาหารเช้าของตัวเองต่อก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้าย  เซนออกไปกับเฮอร์เซลและอาแจ๊กซ์ ตามไปด้วยรถหรูสีดำมันปล๊าบที่บรรจุบอดี้การ์ดอีกสามคน  คานินออกมาพร้อมกับเทรย์เวอร์และไมค์บอดี้การ์อีกคน

       พี่หล่อหน้านิ่งไม่ยอมเฉียดใกล้รถกระป๋องของผม (ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็ได้ข่าวว่าพี่แกเป็นคนขับมาจอดไว้เองแท้ๆ ยังจะทำท่ารังเกียจรังงอน) ไม่ชายตามองด้วยซ้ำทำยังกะเป็นกิ้งกือไส้เดือน ตรงไปยังมายบัคสีดำคันหรูจากเยอรมัน เปิดประตูด้านหลังรอผมเสร็จสรรพ  ผมพ้นลมหายใจด้วยความเอือมระอาถึงความอวดร่ำอวดรวยของผัวมาเฟีย

      “ทำไมไม่ใช้รถผมล่ะ นี่มันเกินหน้าเกินตาพนักงานกินเงินเดือนอย่างผมนะ” ผมบ่นกระปอดกระแปดอิดออดไม่อยากจะขึ้นไปนั่ง กลัวโดนคำครหาจากคนในบริษัทว่าผมตกถังข้าวสาร

      “เสี่ยสั่งให้ใช้คันนี้ เชิญครับถ้ายังมัวโอ้เอ้คุณจะสายห้านาที” ชอบสั่งกันจังทั้งลูกพี่ลูกน้อง แล้วใครจะกล้าขัดคำสั่งไม่มี๊ ไม่มี ผมเดินมาอีกฝั่งเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ผมเห็นนะพี่หล่อแก่ทำหน้าเอือมๆ ก็เอาหน่อยเหอะให้ผมได้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง

      “เร็วๆ สิผมรีบ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน”  พี่หล่อแกมองหน้าผมคาดโทษอีกแล้ว ปิดประตูที่แกเปิดไว้รอผมอย่างเบามือ แล้วเดินอ้อมมาประจำที่นั่งข้างคนขับ รถเคลื่อนตัวออกจากโรงจอดซึ่งเป็นส่วนของใต้ถุนตึก ผมประมาณโดยสายตาจนถึงประตูทางออกระยะทางเกือบกิโลเมตร ถึงว่าทำไมไม่เห็นรั้วบ้านตอนผมมองจากห้องนอน ถ้าผมหนีได้เมื่อวันก่อนก็คงจะลิ้นห้อยขาลากโดนจับได้เหมือนเดิมแน่นอน  แมร่งไกลสัส

      ผมว่าพี่ไมค์แกตีนผีมากนะ พาพวกเรามาถึงบริษัทภายในเวลาสิบห้านาทีแถมยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบห้านาทีก่อนจะเข้างานอีก พี่แกเลี้ยวเข้าจอดที่ประจำของผมแบบนิ่มๆ  อ้อมมาเปิดประตูให้ผมอีก พอลงมายืนได้ผมอยากตายลาโลก ณ บัดนั้น  ลิซ่าและแอนน่าเบลเพื่อนสาวของหล่อนยืนอ้าปากค้างมองคนที่มากับผมและรถที่ผมนั่งมา  (แอนน่าเบล นางเป็นกระเทยที่ตัดแต่งพันธุกรรมเรียบร้อยแล้ว และก็สวยมากด้วย นางเคยมาเสนอให้ผมเมื่อนานมาแล้วแต่ผมไม่คิดกินของในบริษัทเลยปฏิเสธเด็ดขาด แต่นางก็ไม่ได้สะบั้นสัมพันธ์นะยังคงแวะเวียนถามไถ่อยู่ตลอดเวลาเผื่อผมจะเปลี่ยนใจ)  แอนน่าเบลรี่เข้ามาดึงแขนผมไปหาเพื่อนสาวของหล่อน  ผมยกมือห้ามไม่ปล่อยให้ทั้งสองได้มีเสียงหลุดจากปากตัดบทฉับ
 
      “ไม่ต้องอยากรู้เรื่องชาวบ้านสักเรื่องได้ไหม ไปทำงานเลยจะถึงเวลาเข้างานแล้ว..”

      “แร๊งงงงง...” ผมไม่ได้สนใจเสียงพวกเจ้าหล่อนหันเดินเข้าออฟฟิศโดยมีพี่หล่อเดินตามเข้าไปติดๆ









TBC.

ปล.


1. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่เราให้คนอื่นแท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า (คำโดย ว.วชิรเมธี) เฉกเช่นเดียวกับท่านเซอร์วัลโด้ให้ความตายแก่เขาเท่ากับฝากความตายนั้นให้ตัวเอง
2. บทนี้เขียนเสร็จแล้วเลยลงให้ก่อนก็แล้วกันนะครับ  หลังวันที่ 10 ขออนุญาตลานะครับติดภารกิจอยู่เวรรักษาความปลอดภัยทางถนนและเวรรักษาสถานที่ยาวจนถึงปีใหม่
3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา  และขอให้สนุกและผ่อนคลายกับการอ่านนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2015 19:59:58 โดย WiChy »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :pig4:   
ดุเดือดดี
คู่นี้เค้าสมน้ำสมเนื้อกันดีนะ. มีละเมอถึงไอติมด้วย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ละเมออยากกินไอติม  o13 o13
รอวันสะใภ้เล็กกับสะใภ้ใหญ่ อ้อ แม่เกลด้วยอีกคน เจอหน้ากัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง



- 26 -

Zhen Side Story [7]  :  ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู




      ความไม่ชัดเจนทำให้ตลอดช่วงเช้าของการทำงานเต็มด้วยความอึดอัดจากเสียงซุบซิบของพนักงานทั้งชั้นจนถึงแม่บ้านที่อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผมจนตัวสั่น แต่พอผมตวัดสายตามองตอบพวกนั้นก็ลนลานทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาทำงาน นี่ยังไม่รวมถึงพี่หล่อหน้านิ่งที่นั่งสงบอยู่หน้าห้องผมไม่ยอมขยับไปไหนแต่ใช้สายตากดดันทุกครั้งที่เพื่อนร่วมแผนกเดินมาคุยงานกับผม

      “สวัสดีครับเฮีย ไปพบลูกค้ามาเหรอครับ”  คุณไป๋ซานลูกชายเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกราฟฟิกดีไซด์ของผม เดินเข้ามาหาพร้อมกล่องเค้กร้านดังทำเอาพี่หล่อจ้องเขม็งอย่างไม่วางตายิ่งกว่าเดิม

      “อืม พอดีพาลูกค้าไปที่สภากาแฟ แล้วจำได้ว่าเราชอบเค้กร้านนี้เลยซื้อมาฝาก”

      “ขอบคุณคร้าบ...ผมกินเลยได้ไหมกำลังหิวๆ เลย”

      “อ้าว!! กะว่าจะชวนไปกินข้าวที่ไชน่าทาวน์ เพราะยังไงบ่ายนายก็ต้องไปคุยงานกับเฮียที่นั่นอยู่แล้ว ถ้ากินเค้กแล้วเราจะกินข้าวได้อีกเหรอหึ” 

       “ได้น่าไม่ต้องห่วงนี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องด้วยซ้ำ”  คุณไป๋ซานดูแลผมอย่างดีมาตลอดตั้งแต่ผมเข้าทำงานที่นี่ ผมนับถือเขาเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง นั่นจึงทำให้ผมทำหน้าอ้อนเฮียตามความเคยชิน เฮียไป๋ซานยกมือใหญ่ของเขาขยี้หัวผมด้วยความเอื้อเอ็นดูหัวเราะเสียงดังลั่น

      “ไม่ต้องชักแม่น้ำยังไงก็เลี้ยงอยู่แล้วน่าน้องชายที่น่ารักทั้งคน”

      “ฮ่า ฮ่า รู้ทันตลอดเลย” 

      “หึ หึ  เรานี่น่า ไหนได้ข่าวว่ามีรถหรูมาส่งเราเหรอเมื่อเช้า”

      “ไม่มีอะไรสักหน่อยเขาก็พูดกันไป เมื่อสองสามวันก่อนผมดันไปอยู่ผิดที่ผิดทางรู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้ คนร้ายพยายามจะตามฆ่าผมแต่พี่คนนั้นเขาช่วยผมไว้ทัน เขากลัวพวกมันจะย้อนกลับมาอีกเลยตามมาดูแลนะครับ เที่ยงนี้ผมให้พี่เขากับเพื่อนอีกคนไปด้วยนะครับ”
  ผมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้เฮียไป๋ซานฟัง ไม่ได้อยากโกหกหรอกนะแต่บริษัทของผมทำหนังสือซุบซิบสังคมไฮโซด้วยไงถ้าเรื่องปูดออกไปอาจจะทำให้เฮียเซนของผมเสื่อมเสียชื่อเสียงและอาจส่งผลต่อธุรกิจของเฮียด้วย  ‘ขอโทษนะครับเฮียผมไม่ตั้งใจ’

      “อ้าวทำไมเฮียไม่รู้ รึที่เราหายไปสองสามวันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะเหรอ “ 

      “ครับ” 

      “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า”


      คุณไป๋ซานถลันตัวเข้ามาหาถามอย่างร้อนรน มือใหญ่ลูบหลังไหล่สำรวจตามร่างกายดูว่าผมบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า ดีนะที่อากาศค่อนข้างเย็นผมเลยใส่เสื้อคอเต่ามันจึงซ่อนรอยกัดตรงคอที่สามีตีตราของผมทำไว้ได้มิดชิดพ้นจากสายตามองสำรวจของเฮียไป๋ซานได้  แต่ไม่อาจหลุดพ้นสายตาพี่หล่อหน้านิ่งที่จ้องเขม็ง ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่รีบผละตัวออกห่างจากการสำรวจของเฮียไป๋ซานที่ดูห่วงผมเกินจริง

      ตาย ตาย และตาย โธ่เอ๊ย!! ผมลืมไปได้ไงว่ามีคนคุม (ไม่ได้กลัวเฮียเซนหรอกนะผมก็แค่เกรงใจเฉยๆ) เรื่องนี้คงไม่แคล้วถึงหูเฮียและคาดว่าผมคงจะไม่รอดเย็นนี้

      “เออ ผมไม่ได้เป็นอะไรไม่มีแม้รอยขีดข่วนเขามาช่วยไว้ได้ทันนะครับ  อะ เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมชักจะหิวๆ แล้วด้วย”

      “โล่งใจไปที เฮียห่วงเรามากรู้ใช่ไหม ออกไปกันเลยก็ดีเหมือนกัน จะไปรถเฮียหรือจะไปกับนั่น”
  คุณไป๋ซานทำปากบุ้ยใบ้ไปที่พี่หล่อหน้านิ่ง

      “ผมว่าเดี๋ยวผมไปกับพี่เขาดีกว่า พอดีว่าพี่เขาไม่ค่อยคุ้นทางด้วยนะครับ”

      “เอางั้นก็ได้ครับไปเจอกันที่ Zhunli Lounge ในไชน่าทาวน์นะอย่าช้าล่ะ”

      “ครับเดี๋ยวตามออกไปขอเก็บงานก่อนแป๊บเดียวครับ”
  เฮียไป๋ซานยกมือขึ้นขยี้หัวผมอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง ผมพรูลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ 

      Rrrrrr Rrrrr  แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้ง ลนลานล้วงมือหยิบออกมาดูหน้าจอ ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ สูดลมเข้าปอดจนเต็มก่อนจะพ่นมันออกมา แล้วจึงตัดสินใจกดรับสาย

      /รับช้า!!/ เสียงเข้มติดจะหงุดหงิดลอดมาตามสาย ถ้าเสียงที่ส่งมาทำอะไรผมได้เฮียมันคงทำไปแล้ว ผมไม่ได้กลัวนะแค่เกรงใจ

      “อะ เออ ขอโทษครับ พอดีเมื่อกี้เจ้านายเข้ามาสั่งงานครับ” 

      /งั้นเหรอ เฮียมาตรวจงานที่ท่าเรือเลยแวะทานข้าวที่ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ อยากให้กระต่ายมาทานด้วยกัน คิดถึงอยากเจอ../ เสียงปลายสายอ่อนลงถึงตอนท้ายจะแอบอ้อนแต่ก็ยังแข็งๆ อยู่ดี ผมพรูลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ รู้อยู่หรอกว่าเฮียมันไม่เชื่อ

      “ระ เหรอครับ แต่เอาไงดีผมมีนัดคุยงานกับลูกค้าแถวๆ ไชน่าทาวน์เลยกะว่าจะทานอาหารกันที่นั่นเลย  ถ้าไปทานข้าวกับเฮียก็ต้องย้อนไปย้อนมาไม่ทันนัดตอนบ่ายกันพอดี ขอโทษจริงๆ นะครับ แบบนี้ได้ไหมผมเสร็จงานคงสักประมาณบ่ายสามครึ่งแล้วไม่ต้องกลับเข้าบริษัทอีก ผมจะรีบไปหาเฮียเลยครับ”  ผมส่งเสียงขอความเห็นใจแบบไม่มากไม่น้อยถ้อยทีถ้อยอาศัยไปตามสาย

      /ก็ได้ให้เวลายี่สิบนาทีให้ถึงออฟฟิศเข้าใจนะครับ/
 
      “ครับ แค่นี้นะผมต้องไปแล้ว” คุณท่านที่เคารพของผมตัดสายฉับเมื่อได้ดั่งใจมาเร็วเคลมเร็ว ผมมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆ ก่อนจะยัดมันเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม หันมาเก็บของบนโต๊ะปิดคอมฯเรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมาหาพี่หล่อเทรย์เวอร์

      “ไปกินข้าวที่ซุนหลีกัน”  ผมหันออกมาทันทีหลังจากกล่าวจบ แต่ได้ยินแว่วๆ ว่าพี่แกโทรศัพท์บอกอีกคนให้วนรับมารับพวกเราที่หน้าบริษัท



Zhunli Lounge

      “เฮียนี่เทรย์เวอร์กับไมค์ครับ  ส่วนนี่คุณไป๋ซานหัวหน้าผมครับ” ผมกล่าวแนะนำให้ทั้งสามรู้จักกัน

       “สวัสดีครับ”  บอดี้การ์ดทั้งคู่ก้มหัวให้เล็กน้อยและยกยิ้มมุมปากนิดๆ

      “สวัสดีครับ เชิญตามสบายนะไม่ต้องเกรงใจ”  เฮียไป๋ซานเชิญชวนพี่ทั้งคู่อย่างมีน้ำใจ

      “ลงมือเลยสิเฮียสั่งแต่ของที่เราชอบทั้งนั้นเลยนะ พวกคุณด้วยนะเชิญครับเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย”  เฮียไป๋เอ่ยเสียงนุ่มเชิญชวนพี่หล่อทั้งสอง ก่อนมือใหญ่จะตักปูทอดพริกเกลือมาวางใส่จานให้ผมอย่างเอาอกเอาใจ

      “ขอบคุณครับ”

      ระหว่างทานอาหารเฮียไป๋ซานคอยดูแลผมตลอดเวลา พี่หล่อทั้งสองจะมองเขม็งทุกครั้งที่มือใหญ่ของเฮียเอื้อมมือตักอาหารมาให้ผม ผมคิดมาตลอดว่าเฮียคือพี่ชายเลยไม่เคยใส่ใจหรือสังเกตมาก่อนว่าเฮียดูแลเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า จนมาเจอสายตาสองคู่ตรงหน้าทำให้ผมร้อนตัว อาหารที่เคยชอบกลับจืดชืดและกร่อย มันเป็นการกินอาหารเที่ยงที่น่าอึดอัด ผมรีบๆ กินเพื่อให้จบมื้ออาหาร

      “จะรีบกินไปไหนเดี๋ยวก็ติดคอ ดูสิเลอะหมดแล้ว”  เฮียไป๋ซานเอ่ยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู ยื่นมือใหญ่มาหยิบเศษแป๊ะก๊วยชิ้นเล็กๆ ที่ติดอยู่ริมฝีปากผมออก แต่แทนที่เฮียแกจะทิ้งมันไป กลับเอามันเข้าปากของตัวเอง ผมชะงักงันกับการกระทำนั่น จนลืมไปว่ากำลังตักแป๊ะก๊วยร้อนเข้าปากความร้อนที่ลวกตั้งแต่ลิ้นจนถึงกระเพาะมันแสบร้อนซะจนต้องคายออกมาสำลักหน้าดำหน้าแดง ลนลานวางช้อนโดยไม่ได้มอง มือปัดถ้วยคว่ำน้ำแป๊ะก๊วยร้อนกระเด็นถูกขาตัวเองเต็มๆ ผมกระเด้งตัวลุกให้พ้นจากน้ำร้อนโดยอัตโนมัติ

      “คานิน / คุณคานิน!!” ทั้งสามคนร้องด้วยความตกใจ เทรย์เวอร์เด้งตัวลุกขึ้นกำลังจะเดินเข้ามาดู แต่เฮียไป๋ซานไวกว่าหยิบผ้าเช็ดปากของตัวเองมาซับน้ำร้อนออกจากขาให้ผม ดีที่มันเป็นกางเกงยีนส์น้ำร้อนจึงยังไม่ซึมถูกผิวหนัง

      “พูดยังไม่ขาดคำเลยเห็นไหม มานี่มาเดี๋ยวเฮียเช็ดให้”  ผมถูกกดดันด้วยสายตาสองคู่เขม็งให้ขยับตัวออกห่างเฮียไป๋

      “มะ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมทำเองดีกว่า ผมซุ่มซ่ามจังลืมได้ไงว่ามันร้อน”

      “ไหนดูสิ ปากบวมแดงหมดเลยเห็นไหมเรานี่น้าต้องให้ห่วงตลอดเลย”
  เฮียไป๋ซานขยับตัวเข้ามาใกล้ผมยิ่งขึ้น ดันให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้มือใหญ่ข้างหนึ่งของเฮียยกดันคางของผมขึ้น นิ้วแกร่งลูบไล้ริมฝีปากผมแผ่วเบาราวกับกลัวถูกแผล เป็นอีกครั้งที่ผมตกใจนิ่งค้างกับอากัปกริยาของเฮียไป๋ซานเกือบสองสามนาทีผมจึงรู้สึกตัวรีบปัดมือของเฮียไป๋ซานออกจากปากตัวเอง เฮียไป๋ซานชะงักค้างกับอาการตอบสนองของผม ก่อนที่เฮียแกจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยกยิ้มอบอุ่นให้ผมเหมือนเดิม การกินข้าวเที่ยงเลยต้องจบลงโดยปริยาย

      “ดื่มน้ำเย็นก่อนปากจะได้ไม่พองมาก”  ผมรับแก้วน้ำจากเฮียไป๋ซานมาดื่มโดยไม่อิดออด มันบรรเทาอาการปวดแสบร้อนได้พอสมควร

      “บ่ายนี้เราไม่ต้องไปกับเฮียก็ได้”

      “แต่ว่า...”

      “ไม่มีแต่ครับอย่าดื้อกับเฮีย ดูสิเสื้อผ้าเลอะเทอะขนาดนี้ แล้วไหนจะน้ำร้อนลวกขาอีกรีบกลับไปเปลี่ยนออก แล้วหายาทาซะ”


      “แล้วงาน...”

      “ไม่เป็นไรเดี๋ยวเฮียเรียกอาฮุ่ยมาแทนเราได้น่า”

      “ก็ได้ครับ แต่ถ้ามีตรงไหนลูกค้าอยากให้แก้ไขเฮียบอกผมได้นะผมจะรีบทำให้เลย”

      “เอาน่าไม่ต้องห่วง จะถึงเวลานัดแล้วเฮียต้องไปก่อน คืนนี้เฮียโทรหา”
  เฮียไป๋ซานหันไปยิ้มกับพี่หล่อทั้งสองของผม ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่ผมสองสามทียิ้มอ่อนโยนมาให้

      “ขอบคุณครับ” เฮียแกหันมายิ้มอ่อนโยนโบกมือให้ผมก่อนจะแยกไปขึ้นรถซึ่งจอดห่างออกไปเล็กน้อย ผมยืนมองจนเฮียแกขึ้นรถและขับออกไป ก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ใกล้ๆ กัน

      “เสี่ยอยู่ออฟฟิศ คุณจะไปที่นั่นเลยรึเปล่า”  เทรย์เวอร์เอ่ยถามเสียงเรียบ

      “ก็ได้ครับ”  ผมจะกล้าขัดใจเหรอ ทั้งเจ้านายลูกน้องแม้ไม่เอ่ยปาก แค่ท่าทางที่แสดงออกก็กดดันให้ผมเกรงใจจะตายอยู่แล้ว  ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งคันรถอีกครั้ง มันน่าอึดอัดยิ่งกว่าอะไรซะอีก ความเคยชินของผมกำลังจะฆ่าผมตายในอีกไม่กี่เพลานี้แล้วสินะ





      Osiris Dome สำนักงานใหญ่ตระกูลจิโอวาดินี่ เป็นอาคารโดมแก้วกันกระสุนขนาดใหญ่รูปทรงสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า ครอบอาคารซึ่งถูกสร้างและออกแบบคล้ายกับสวนน้ำบาบิโลนอีกที บริเวณรอบอาคารภายในโดมแก้วถูกตกแต่งเป็นสวนหลายประเภทโดยแต่ละสวนรวบรวมพันธุ์พืชจากทั่วโลกมาไว้เพื่อการศึกษาและท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์

      ตัวอาคารมีทั้งหมด 5 ชั้น และหอดูดาว ชั้น 1 และบริเวณสวนพันธุ์ไม้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน แบ่งเป็นโซนร้านอาหาร กาแฟ ร้านสินค้า Duty Free และแกลอรี่แสดงงานศิลปะ ชั้น 2 เป็นสำนักงานและห้องประชุม ชั้น 3 เป็นคลับส่วนตัว โรงยิม และพื้นที่สันทนาการสำหรับพนักงานและบอดี้การ์ด ชั้น 4 เป็นที่พักของบอดี้การ์ด ส่วนชั้น 5 เป็นเซฟเฮ้าส์ของเฮียเซน

      ไมค์ขับรถอ้อมมาอีกด้านของโดม แล้วจอดเทียบบันไดทางเข้าสำนักงาน ผมเปิดประตูลงมาเองโดยไม่รอให้เทรย์เวอร์เปิดให้ พี่หล่อชักสีหน้าไม่พอใจ ผมเบ้ปากยักไหล่ทำหน้ากวนๆ ใส่พี่แกไป เลยได้รับสายตานิ่งคมดุตอบกลับมา ไมค์หัวเราะในลำคอก่อนตามลงมายื่นกุญแจให้บอดี้การ์ดที่อยู่บริเวณนั้นนำรถเข้าจอดที่ว่างต่อจากรถของเสี่ย เทรย์เวอร์เดินนำผมไปที่ลิฟต์ส่วนตัว ตลอดทางพนักงานของเสี่ยมองผมราวกับเป็นตัวประหลาดจากโลกอื่น บางคนแสดงสีหน้าใคร่รู้ว่าผมเป็นใคร ทำไมต้องให้บอดี้การ์ดคนสนิทของเสี่ยดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด

       พนักงานหญิงสองคนตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มองผมด้วยความดูถูกดูแคลน และสมเพชตั้งหัวจรดเท้า และคำว่า ‘เด็กขาย’ ลอยมากระทบโสตผมอย่างจังทำเอาผมสะอึกอึดอัดแทบจะหายใจไม่ออก เทรย์เวอร์ตวัดสายมองไปที่คนเหล่านั้น พวกนั้นลนลานรีบก้มหน้าก้มตาทำทีเป็นทำงาน

      “คำพูดเหล่านั้นไม่ควรค่าที่คุณจะใส่ใจ”  เทรย์เวอร์เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่ในน้ำเสียงนั่นผมรับรู้ได้ว่าเขาแคร์ความรู้สึกของผมมากพอสมควร

      “......”





- มีต่อนะครับ -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2015 20:16:46 โดย WiChy »

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
- ต่อจากข้างบน -




       ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ทั้งๆ ที่คนเรามีค่าของความเป็นคนเท่ากันแต่เขาเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยไร้ค่าเหลือเกิน เพราะมัวแต่ตกอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ชั้น 3 แล้ว เทรย์เวอร์เดินนำออกไปก่อนเช่นเคย พวกเราเดินมาหยุดที่ห้องซึ่งติดป้ายข้างหน้าว่า “President & CEO” ก่อนนะผลักประตูเข้าไป

      “สวัสดีครับคุณคานิน เจอกันอีกแล้ว”  แม็กซิมัสยิ้มกว้างก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะของเขาเดินมาทักทายผม

      “สวัสดีครับแม็กซ์...” ผมยิ้มตอบเขาแต่มันเจื่อนๆ เต็มที

      “เสี่ยรออยู่เชิญเลยครับ”  แม็กซ์เดินไปเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้คนข้างในอนุญาต  คนในห้องเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มที่กำลังอ่าน ยกยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ผม แม็กซ์ปิดประตูห้องให้อย่างรู้งาน

      “ได้ข่าวว่ากระต่ายของเฮียถูกน้ำร้อนลวก” 

      “นิดหน่อยผมซุ่มซ่ามเอง ไม่เป็นไรแล้ว”

      “มันกระเด็นถูกหน้าขาด้วยไม่ใช่เหรอ มานี่มาให้เฮียดูก่อนพองมากรึเปล่า”


       เฮียเซนกวักมือเรียกให้ผมอ้อมไปหาเขาหลังโต๊ะทำงานใหญ่  เมื่อถึงระยะที่พอจะเอื้อมได้แขนแกร่งของเฮียเซนดึงผมนั่งลงบนตักของเขา ปลายนิ้วมือลูบไล้ไปตามริมฝีปากของผมแผ่วเบาอ่อนโยน มือแกร่งโอบไปหลังคอโน้มหน้าผมลงมาสำรวจความเสียหายด้วยปากร้อนของตัวเองแทน ผมปรับเอียงศีรษะและเผยปากให้เฮียสอดลิ้นชื้นเข้ามาสำรวจความเสียหายในโพรงปากของตัวเองด้วยความเต็มใจ นี่ช่างเป็นจูบที่ร้อนแรงและประกาศให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของผม

      “อืมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ด้วย ที่ขาโดนมากรึเปล่า”

      “ไม่ครับผมซับออกทัน แต่เสื้อกับกางเกงมันเหนียวๆ จนน่ารำคาญ” 

      “ลุกเร็วสิจะพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
  ผมขยับตัวลงจากตักของเฮียแล้วเดินไปยืนรอข้างๆ เฮียลุกขึ้นตามมือหนาเอื้อมมาจับกุมมือผมไว้หลวมๆ อีกข้างกดเครื่องติดต่อภายในบอกให้แม็กซ์รู้ว่าเขาอยู่ไหน

      “แม็กซ์ฉันอยู่ข้างบนนะ มีอะไรโทรเข้ามือถือ”

      “ครับเสี่ย”


      เฮียเซนจูงมือผมเดินตรงไปยังลิฟต์พาขึ้นมาชั้น 5 ซึ่งแบ่งเป็นส่วนของเซฟเฮ้าส์  สวน และสระน้ำขนาดใหญ่  เฮียเซนสแกนม่านตาและใส่รหัสก่อนเข้าเซฟเฮ้าส์มือใหญ่อบอุ่นยังกุมมือผมจนมาถึงห้องนอนใหญ่

      “วันหลังจะให้แม็กซ์จัดการสแกนม่านตาและใส่รหัสของยาหยีนะ ไปอาบน้ำก่อนไป๊เสื้อผ้าเตรียมไว้ให้แล้วอยู่ข้างในนั่นแหละ”  เฮียเดินมาส่งจนถึงหน้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็พร้อมสรรพด้วยเสื้อยืดคอวีสีเทากับกางเกงยีนส์สกินนี่สีดำ เดินออกมาเฮียนั่งรออยู่ที่โซฟาริมหน้าต่าง พอเห็นผมเดินออกมาคนตัวโตตบมือลงที่ว่างข้างตัวจึงเดินข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆ 

      “มีอะไรจะบอกอีกรึเปล่านอกจากน้ำร้อนลวก”

      “ก็ไม่มีนี่”  ผมปฏิเสธเสียงไม่มั่นคงนักเสมองมือของตัวที่วางอยู่บนตักนิ่ง

      “คานิน!! อย่าโกหก หน้าตามันฟ้องว่ามึงคิดห่าเหวอะไรอยู่ในหัวตั้งแต่มาถึงแล้ว”
เฮียเซนตวาดเสียงกร้าวกระด้างเจือความหงุดหงิดในอารมณ์ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของผม

      “................................”

      “หรือมีใครพูดให้ผิดใจอะไรอีก เป็นห่าอะไรก็พูดมาเงียบแบบนี้เฮียไม่เข้าใจหรอก” เฮียเซนเอ่ยเสียงแข็งกระด้าง ตาคมดุจ้องเขม็งรอคำตอบ  ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะพ่นมันออกมาอย่างคนคิดไม่ตก

      “เฮียคิดว่าเราทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ”   ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก

      “ตกลงเรื่องเมื่อเช้ายังไม่จบ มึงไม่มั่นใจเฮีย หรือตัวเอง หรือมีใครพูดให้เปลี่ยนใจ พูดมาให้มันเคลียร์  อยากจะตบปากพวกที่มันสักแต่พูดไม่คิดชอบจังเสือกเรื่องชาวบ้านนี่”  เสียงกร้าวเต็มแรงอารมณ์ มือกำแน่นเตรียมจะตั๊นหน้าใครสักคนที่บังอาจขัดใจ

      “มะ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ผมคิดว่าเราต่างกันหลายอย่างเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว ฐานะทางสังคม คนรอบตัวเฮียเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้รึเปล่า ถะ ถ้าเราอยู่กันไปแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเฮียไหม ที่สำคัญพ่อแม่ของเฮียเขาจะรับเรื่องนี้ได้เหรอ ประเด็นคือผมไม่อยากทำให้ชีวิตของเฮียพังเพราะผม...”

      “แค่นี้นะที่มึงสร้างเงื่อนไขกับเฮีย”

      “มันไม่ใช่แค่นี้ เฮียคิดถึงผลข้างหน้าสิ เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน  มันยังมีคนอื่นๆ ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องปฏิสัมพันธ์กับเขา  สำหรับผมมันไม่เป็นไรหรอกนะ แต่เฮียมันคนละเรื่องกับผม คิดง่ายๆ ธุรกิจของเฮียจะเป็นยังไงถ้า....”

      หยุด!!  ถ้ามึงจะพ่นเรื่องห่าเหวนี้ก็หุบปากไปเลย เฮียมีคำถามเดียวที่อยากจะรู้ มึงยอมรับว่าตัวเองเป็นเมียกูรึเปล่า’”  เซนตวัดสายตาวาวโรจน์มองคานินด้วยโทสะ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้มถึงสิ่งที่ยังค้างคาในใจ

      “ยอมรับ”  คานินตอบสวนหนักแน่นทันควันโดยไม่หยุดคิดหรือไตร่ตรองด้วยซ้ำ

      “ก็แค่นี่แหละ ถ้ามึงยอมรับตัวเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปแคร์ความรู้สึกคนอื่น เอาล่ะฟังดีๆ เฮียจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและมึงก็ไม่ต้องขุดมันขึ้นมาเป็นประเด็นห่าเหวอะไรอีก ครอบครัวกูเขารู้เรื่องนี้ดีและรู้ด้วยว่ามึงเป็นคนของกูมานานแล้ว เพราะงั้นประเด็นนี้เคลียร์นะ  เรื่องงานหรือสังคมรอบข้างนี่ก็ไม่ใส่ใจเขารู้มาเป็นชาติแล้วว่ากูเป็นคนยังไง ทำงานแบบไหน พวกนั้นสนแค่เงินกับอำนาจที่ครอบครัวกูมีเท่านั้นแหละ”

       “ที่นี้มาว่าถึงหน้าที่ของมึงคือ อยู่ข้างๆ คอยเป็นแรงใจและเมียที่กูรักคนเดียว รึถ้ามึงเบื่อที่ถูกกูรักข้างเดียว ถ้ามันไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปมึงจะรักกูตอบบ้างก็ได้ไม่ว่ากัน ง่ายๆ แค่นี้ทำให้กูได้รึเปล่า”
  เซนอธิบายเสียงเข้มจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเว้าวอนรอคำตอบที่อยากจะได้ยินด้วยความกระวนกระวายใจ

      “........................”

      “เฮียไว้ใจกระต่ายได้ใช่ไหม ว่าจะไม่หักหลังความรู้สึกของเฮีย”
  เซนกระซิบถามเสียงเว้าวอน มือที่กุมกระชับมือของคานินสั่นไหวเล็กน้อยราวกับกลัวคำตอบที่จะได้รับ

      “บางทีผมก็คิดว่าตัวเองไม่อยากจะเชื่อใจใครอีกแล้ว คนนั้นคนนี้ผ่านเข้ามาได้สมใจอยากแล้วก็ทิ้งผมไว้ข้างหลังไม่เคยถามกลับมาสักคำว่าผมอยากได้อะไรตอบแทนรึเปล่า ผมต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะชาชิน  แต่เพราะเป็นเฮียผมจึงอยากจะลองมันอีกสักครั้ง ขออย่างเดียวเฮียอย่าทำลายความเชื่อใจของผมด้วยการโกหกคำโต แล้วใช้คำโกหกมาสร้างภาพมายาให้ดูว่านี่น่ะเป็นของจริงกับผม เฮียทำให้ผมได้ไหม

      “เข้าใจแล้ว เฮียจะไม่ขอให้กระต่ายเชื่อใจ แต่อยากจะให้ค่อยๆ เรียนรู้และซึมซับมันจากการกระทำของเฮียจากนี้ไป อยู่เป็นเมียเฮียนะครับ”   

      “.....”  คานินขยับตัวเข้าไปโอบกอดร่างหนาไว้แน่น หัวทุยซบลงกับบ่าแกร่งของเซน แม้จะไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากร่างโปร่งแต่การกระทำนั่นก็เป็นการตอบรับที่ดีแล้วสำหรับเซนๆ โอบรัดร่างโปร่งให้ขยับขึ้นมาบนตักของตัวเอง คานินรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดกดจูบลงบนบ่าของตัวเอง มือใหญ่ลูบไล้ปลอบประโลมทั่วแผ่นหลังบางอย่างรักใคร่และหวงแหน

      “ผมยังมีอีกเรื่องที่มันค้างคาใจ และคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญถ้าเราจะอยู่ด้วยกันต่อไป”

      “เรื่องที่พวกนั้นเรียกนายว่า ‘เด็กขาย’ แล้วก็เรื่องเรียกเด็กมาใช้บริการนะเหรอ”


      “จะเรียกผมว่ายังไงผมไม่สนหรอกนะ แต่ประเด็นที่เฮียเรียกเด็กมาใช้บริการน่ะผมไม่โอเค ถ้าผมปรนนิบัติไม่ดีไม่ถูกใจก็บอกผมตรงๆ จะได้หลีกทางให้แบบไม่เกี่ยงงอนยอมรับโดยดุษฎีเพราะผมบกพร่องจริง แต่ถ้าผมทำดีแล้วเฮียยังเรียกพวกนั้นมาใช้โดยที่ยังมีผมอยู่มันเท่ากับหยามหน้ากันชัดๆ ถ้าแบบนั้นก็เลิกกันไปเลยดีกว่าผมไม่ทนหรอกนะ”

      “หึ หึ หวงกู??....

      “ก็เออ แล้วจะหัวเราะเพื่อ..??  ของๆ ผมจะหวงไม่ได้รึไง”

      “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่  เรื่องเด็กขายมันนมนานตั้งกะสมัยกระผมยังความจำเสื่อมโน้น ก็ผู้ชายคุณเองก็น่าจะรู้ซึ้งและเข้าใจธรรมชาติของผัวคุณนะครับ ความต้องการแมร่งเหลือเฟือไงใครเสนอมาถ้าถูกใจก็ไม่เกี่ยงรึคุณไม่เคยล่ะครับ  แต่ผมว่านะที่คุณทำยิ่งกว่าผมอีกมั้งอย่าให้สาธยาย ถ้าคุณมัวแต่จะหึงหวงอดีตแล้วให้กระผมกลับไปแก้ไขมันก็ไม่ได้แล้วไง”


      “ผมก็ไม่ได้ให้เฮียกลับไปแก้ไขอดีต ที่พูดหมายถึงปัจจุบันและอนาคตต่อไป ถ้าเฮียจะทำก็ทางใครทางมัน”

       “ถึงขนาดจะทิ้งกระผมนี่เล่นแรงนะครับ ตรงนี้ผมขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตั้งแต่กระผมเฝ้าตามติดชีวิตคุณผมก็ไม่ได้ประพฤติแบบนั้นแล้วครับสาบานเลย..ส่วนคุณมึงแมร่งเฮียไม่อยากจะพูด.น่าเจ็บใจชะมัดยาดของๆ เราทำหมายจองไว้ตั้งแต่ก่อนชาวบ้านชาวเมืองเขา ยังไม่เคยใช้แต่ดันถูกใครก็ไม่รู้เอาไปทดลองใช้แบบไม่บันยะบันยัง มันน่านัก!!”


      “ขอโทษๆ น้า...ก็ใครจะไปรู้ไม่มาเอาสักกะทีก็คิดว่าไม่เอาแล้วซะอีก ก็กลัวสินค้าเสื่อมคุณภาพนี่น่าผมเป็นพ่อค้าที่ดีก็ต้องหาทางระบายของออกจากสต๊อกสิไม่งั้นก็ขาดทุนแย่ เฮียน่าจะเข้าใจสิ” คานินเอ่ยขอโทษเสียงอ่อนเหมือนจะสำนึกผิดแต่ดูจากสีหน้าแล้วมันห่างไกลกันคนละโยชน์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวแถ่ซะสีข้างแสบจี๊ดแก้ผ้าเอาหน้ารอด เซนทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

      “เร่ขายของๆ เฮียซะเลยจุดคุ้มทุนแล้วมั้ง  เอาจริงๆ เฮียอยากจะรู้นักใครแมร่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจะตบให้เลือดกบปากฐานยุแยงให้ผัวเมียเขาบาดหมางใจกัน”

      “ช่างเขาเถอะน่า ก็ทำจริงๆ ไม่ใช่รึไง คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน ทีนี้ไม่รอจริงๆ ด้วย”

      “บอกตัวเองด้วยนะนั่นน่ะ แล้วเรื่องของกระต่ายเฮียยังรอฟังคำอธิบายอยู่นะ”
  ผมเกลียดไอ้พี่หล่อหน้านิ่ง แมร่งไม่บอกเฮียมันสักเรื่องก็ได้เปล่าวะ ผมเสมองไปอีกทางลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะยอมหันมาสบสายตาสีน้ำตาลที่มองอยู่ก่อนแล้ว  ผมชะโงกตัวไปแตะจูบที่ปากหนาที่เม้มแน่นบางเบาแล้วผละออก ยกยิ้มอ้อนอย่างสำนึกผิดให้คนตรงหน้า

      “ไม่มีอะไรสักหน่อยแก่แล้วคิดมากไปได้ เขาเป็นเจ้านาย แล้วผมก็นับถือคุณไป๋ซานเป็นพี่ชายคนหนึ่ง แค่พี่ชายไม่มากไปกว่านั้น ผมอาจจะไม่ใช่ผู้ชายซิง  แต่ผมคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เฮียเป็นคนค้นพบคนแรกนะครับ  คานินยกยิ้มแถมยักคิ้วกวนๆ ให้เซน

      “มึงนี่มัน!!..มึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ใช่ไหม??”  เซนถามคนบนตักเสียงจริงจัง คานินพยักหน้ารับหงึกๆ 

       “งั้นคืนนี้เฮียจะท่องดินแดนมหัศจรรย์แบบโต้รุ่งเลยมึงอย่าอ้อนให้หยุดก็แล้วกัน”  เฮียมันไม่พูดเปล่าทำหน้าตาวิบวับมุ่งมั่นและหื่นกระหายแรงกล้า ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนผมรู้สึกร้อนวูบทั่วร่างเปลี่ยนมานั่งคร่อมตักยกแขนของตัวเองโอบไปรอบคอหนาของเฮียเซน มือหนาของเฮียก็ยกขึ้นกอบกุมสะโพกผมแถมคลึงเคล้นโดยอัตโนมัติ ผมชะโงกตัวไปแตะริมฝีปากหนา ค่อยๆ และเล็มดูดดึงริมฝีปากหนาของเฮียราวกับเป็นขนมหวานที่ไม่อยากจะรีบกินให้มันหมด

      “หึ หึ”

      คนตัวโตขี้งอนของผมหัวเราะพึงพอใจ และเล็มริมฝีปากของผมเหมือนที่ผมทำ ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนดูดดึงมอบจูบดูดดื่มร้อนแรง แล้วจบลงด้วยความอ่อนโยนผมแทบจะตายให้ได้กับจูบสูบวิญญาณของของคนตรงหน้า

      “หายงอนนะครับ”

      “ไม่ได้งอน”

      “ดูทำหน้าเข้าไม่เรียกว่างอนแล้วอะไร...”

      “อยากจะท่องแดนมหัศจรรย์มันซะตอนนี้เลยขอได้ไหมล่ะ”
  คานินเบ้ปากยกไหลทำหน้าเอือมๆ กวนๆ  เซนชะโงกหน้ามาขบเม้นริมฝีปากกระต่ายแสบด้วยความหมั่นไส้ คานินยกมือขึ้นดึงหน้าเซนออกด้วยความเจ็บ

      “รู้ แต่ตอนนี้มันใช่เวลาเหรอ นี่น่ะเวลางานใช่รึเปล่า ถึงจะเป็นเจ้าของแต่ทิ้งงานแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ไปทำงานเลยตาแก่หื่นเอ๊ย ถ้าไม่งอแงคืนนี้หนูยอมให้ป๋าทำตามใจเลยโอเค๊”  แม่กระต่ายตัวดียกยิ้มอ่อนโยนทำหน้าอ้อนๆ แรดๆ ขัดกับปากช่างเจรจาที่เอ่ยตำหนิกลายๆ เซนมองอย่างคาดโทษฝากเอาไว้ก่อนเถอะคืนนี้จะเอาไอติมยัดปากให้พูดไม่ได้เลยเชียว

      “ก็ได้ห้ามคืนคำด้วย”

      “คร้าบไม่คืน  ว่าแต่ป๋าเถอะข้อเข่าดีรึเปล่า??”

      “ไอ้เด็กบ้านี่!! ยังไม่สำนึกอีก ผัวมึงถึงจะแก่แต่เอวยังดีโว้ย”
เฮียแมร่งไม่พูดเปล่ายังเด้งเอวให้ลูกชายที่กำลังประกาศความยิ่งใหญ่เสียดสีกลางตัวผมเน้นๆ

      “เฮียแมร่ง!! หน้ามึน...”  ผิวแก้มใสของคานินแดงระเรื่อขึ้นทันตากับการกระทำของเซน

      “ก็เออ มึงรู้ไว้คืนนี้จะเอามันอุดปากมึงไม่ให้พูดมาก หยุดไม่ต้องต่อปากแล้วไปทำงานช่วยกันเลยจะได้เสร็จเร็วๆ” เฮียเซนจับผมลงจากตัก ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแขนแกร่งหนีบหัวผมเข้ารักแร้ แล้วใช้มะเหงกบี้หัวผมสองสามที ผมร้องโว้ยวายด้วยความเจ็บดิ้นรนให้หลุดพ้นจากแรงหนีบแมร่งใส่แรงเต็มไง เฮียหัวเราะดังลั่นก่อนจะยอมปล่อยเปลี่ยนมาโอบไหล่ผมลงไปห้องทำงานด้วยกัน

      “วันลาพักผ่อนเหลืออยู่รึเปล่าวะ”

      “เหลืออีก 20 วัน ทำไมเหรอครับ”

      “กลางเดือนหน้าเฮียมีงานที่ไทยว่าจะพาไปด้วย”

      “เฮียไปทำงานไม่ใช่เหรอ แล้วจะพาผมไปด้วยทำไม”

      “ก็งานมันไม่กี่วันหลังเสร็จงานกะว่าจะพาเที่ยวด้วยไม่เคยไปที่นั่นไม่ใช่เหรอ”

      “ให้ไปจริงน่ะ”

      “เออลางานไว้เลย”

      “คร้าบ สั่งจังทั้งเจ้านายลูกน้อง”
  คานินบ่นพึมพำในลำคอเบาๆ แต่เฮียเซนกลับได้ยิน ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างคาดโทษ

      “อย่าพูดมาก งานตรงหน้าน่ะรีบทำไปเลย”

      “ครับ ๆ คุณท่าน”
  เฮียเซนทำหน้าเข้มจริงจังพร้อมชี้หน้าคาดโทษ คานินเลยหุบปากก้มหน้าก้มตาทำงาน แต่เซนแอบเห็นรอยยิ้มจึงได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาแม่กระต่ายตัวแสบ















TBC.


ปล.

1. มาต่อแล้วนะครับขออภัยที่หายไปนาน มีช่วงวันพักหนึ่งวันเลยรีบมาลงต่อให้  สำหรับตอนต่อไปก็อาจจะช้าอีกเหมือนกันเพราะยังอยู่ในช่วงของเวรกรรมนะครับ
2. ถ้าเจอข้อผิดพลาด หรือไม่ถูกใจอะไรยังไงบอกกันด้วยนะครับจะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป (บางตัวเองก็มองจุดบกพร่องของตัวเองไม่เห็นนะครับ ต้องให้คนอื่นช่วยมอง)
3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาและขอให้สนุกกับการอ่านนะครับผม

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมซักจะหิวๆ แล้วด้วย”

เฮียไป๋คิดเกินเลยกับคานินหรือเปล่า ถ้าแค่เอ็นดูแบบพี่ชายน้องชายก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าคิดเกินเลยนี่ระวังจากไป๋จะเป็นเป๋แทนนะ เฮียแกคงไม่ปล่อยให้มาทำรุ่มร่ามกับเมียแกแน่ๆ
รอเฮียกับคานินกินไอติมพร้อมท่องแดนมหัศจรรย์ :oo1: :oo1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมซักจะหิวๆ แล้วด้วย”

เฮียไป๋คิดเกินเลยกับคานินหรือเปล่า ถ้าแค่เอ็นดูแบบพี่ชายน้องชายก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าคิดเกินเลยนี่ระวังจากไป๋จะเป็นเป๋แทนนะ เฮียแกคงไม่ปล่อยให้มาทำรุ่มร่ามกับเมียแกแน่ๆ
รอเฮียกับคานินกินไอติมพร้อมท่องแดนมหัศจรรย์ :oo1: :oo1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ขอบคุณครับ แก้ไขแล้วนะครับ
ประเด็นเฮียไป๋น่าคิดๆ  แต่ก็ดูๆ แกไปก่อนว่าจะอะไรยังไงนะครับ
ตอนหน้าเรากลับไปเจอน้ำสิงห์กันสักหน่อยปล่อยให้ว่างงานกันนานเกิ๊นน :)

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 o13 เฮียแกแรงดีไม่มีตกจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง






- 27 -

อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ / อย่าจำในสิ่งที่ควรลืม







      “อวดเบ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ” ไต่ซินหยางตวาดอย่างหงุดหงิดผ่านวิดีโอคอล  “สมควรแล้วที่ตาเฒ่านั่นถูกไอ้เซนจัดการ คุณอายังจะยุ่งเรื่องนี้อีกไหม”

      “ที่ทำก็เพราะช่วยเธอนะ”  เสียงกร้าวของสาวใหญ่ชาวจีนหน้าตาสวยพริ้งซึ่งขัดกับอายุจริงของเจ้าหล่อนโต้กลับไต่ซินหยางทันควันโดยไม่คิดเกรงกลัวนายใหญ่

      “ช่วยผม!? หึ หึ”  ไต่ซินหยางเลิกคิ้วเป็นคำถาม มุมปากเรียวยกยิ้มเยาะกับสิ่งที่ได้ยิน  “คุณอาคิดดูใหม่นะว่าเพื่อใคร”

      “ถ้าคนอย่างฉันคิดจะแทงข้างหลัง เธอคงไม่ได้มาถึงตรงนี้หรอก”

      “ก็ขอให้มันจริงเถอะ”

      “แล้วเราจะทำยังไงดีครับนายท่าน”
  เสียงร้อนรนของหนุ่มใหญ่ชาวจีนหน้าเข้มถามแทรกทะลุกลางปล้อง ไต่ซินหยางนิ่งเงียบ  ตาเฉี่ยวหรี่มองคู่สนทนาอยู่นานหลายนาที “ดูท่าทีมันไปก่อน” 

      “อยู่เฉยๆ ดูท่าที? งั้นเหรอ ถ้าเธอมัวแต่ลังเล มันก็จะแว้งกัดเอา”  สาวใหญ่โต้กลับเสียงเรียบเย็นสีหน้าเจือความกังวลอย่างเห็นได้ชัด  “แล้วดูซิไอ้ขี้เรื้อนนั่นทำเราสูญเงินที่ลงทุนกับไอ้แก่วัลโด้ไปทั้งหมด เธอยังจะทำใจเย็น” 

      “แล้วผมจะทำอะไรได้อีก คุณอากับไอ้แก่นั่นกวนน้ำจนขุ่นคัก คงต้องรอเวลาให้พวกมันซะล่าใจกว่านี้” ไต่ซินหยางตวัดเสียงกร้าว ตาเฉี่ยวที่เจือโทสะจ้องสาวใหญ่ที่เรียกว่าอาเขม็ง

      “แล้วให้อยู่เงียบๆ รอมันมาเก็บเราน่ะเหรอ พวกมันตามติดเราแทบจะหายใจรดต้นคอโดยเฉพาะไอ้เด็กนอกคอกนั่น เธอยังจะบอกให้ใจเย็นเหรอซินหยาง” 

      “ก็บอกแล้วให้ใจเย็นๆ เรื่องที่เกิดขึ้นคุณอาก็คงจะรู้ดีกว่าใคร อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
เสียงปรามเย็นเยียบ และสายตาเฉี่ยวที่ตวัดมองด้วยโทสะของผู้เป็นนายไม่ได้ทำให้สาวใหญ่เกรงกลัว แต่ตอบกลับเสียงแข็งกร้าวเช่นเดียวกัน

      “ฉันแค่อยากจะช่วยเธอ” 

      “อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า”   

      “ฉันจะไม่ยุ่งถ้าเธอจะไม่เอาความแค้นส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องธุรกิจ แล้วสำนึกไว้ด้วยถ้าไม่มีฉันเธอจะผยองได้ขนาดนี้เหรอ คิดให้ดีๆ ” 

      “คุณอาหรือผมที่ต้องสำนึก ผมไม่เกี่ยงวิธีการถ้าผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไอ้เซนตายอย่างสาสมกับสิ่งที่มันทำ  แล้วที่ให้จัดการไอ้เด็กนั่นไปถึงไหน”
เสียงเรียบเย็นเอ่ยตอบอย่างหมายมั่นสิ่งที่อยู่ในใจ ก่อนจะหันมาถามหนุ่มใหญ่เสียงแข็งกร้าว

      “ยังไม่มีโอกาสเหมาะครับนายท่าน หลังเกิดเรื่องพวกมันระวังยิ่งตัวกว่าเดิม”

      “ไม่ได้เรื่องสักคน!! เงินที่ช่วยโอบอุ้มธุรกิจของครอบครัวคุณมันไม่ทำให้สำนึกบุญคุณสักนิดเหรอ”
  ไต่ซินหยางเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง

      “ไม่ใช่ครับนายท่านผมสำนึกมันดี และยินดีรับใช้นายท่านด้วยชีวิตของผม”

      “ก็ดีรีบจัดการซะ  เดือนหน้าไอ้เซนมันจะเดินทางมาช่วยน้องมันประมูลสัมปทานก๊าซธรรมชาติ อย่าให้พลาดอีก ฉันหวังว่าชื่อมันทั้งคู่จะลบออกจากสารบบซะที”

      “ครับท่าน”

      “อย่าครับแต่ปากก็แล้วกัน”
  ไต่ซินหยางออฟไลน์ออกไปด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนเฉียว

      คู่สนทนาทั้งคู่มองสบตากันนิ่ง ก่อนที่สาวใหญ่จะเลิกคิ้วสูงเป็นคำถาม เธอเอนร่างอวบอัดอยู่ในชุดสูทรัดรูปสีดำไปกับโซฟา มือเรียวที่ปลายเล็บแหลมเคลือบสีแดงสดรับกับปากอวบอิ่มเอื้อมไปไปหยิบกล้องยาขึ้นมาจุดสูบพ่นควันฉุยอย่างสบายอารมณ์  มุมปากคลี่ยิ้มเย้ายวน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบเหมือนไม่ยี่หระกับคนที่ยังอยู่

      “หลานฉันเขาให้เธอทำอะไร” 

      “อะ เออ ติดตามคนของเสี่ยเซน”

      “คนของเสี่ยเซนใคร? ตามทำไม?”
  มือเรียวยกกล้องยาขึ้นอัดควันเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะพ่นควันออกมาแผ่วเบา สีหน้าครุ่นคิดหาเหตุผลในสิ่งที่ไต่ซินหยางทำ

      “คานินเด็กใหม่ของเสี่ยเซนครับ ผมคิดว่าคงจะเป็นคนสำคัญมากทีเดียว เสี่ยพาเข้าบ้านซึ่งเป็นพื้นที่หวงแหนส่วนตัวและสั่งให้บอดี้การ์ดส่วนตัวดูแลอย่างดีไม่เหมือนรายอื่นๆ ที่ผ่านมา นายท่านคงจะใช้จุดอ่อนตรงนี้ในการแก้แค้นครับ”

      เธออัดควันเข้าปอดอีกครั้งอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ในเมื่อไม่ต้องทำอะไรส่วนแบ่งที่เธอควรจะได้รับมันก็ตกถึงมืออยู่แล้ว ไต่ซินหยางบอกให้เธออยู่เฉยๆ เธอจะทำมันหาความสุขใส่ตัวเต็มที่เรื่องอะไรจะต้องดิ้นรนหาเรื่องใส่ตัวดีไม่ดีถูกไอ้พี่น้องคู่นั่นตามล้างตามเช็ดไม่จบไม่สิ้นมันคงจะไม่คุ้มกัน

      “งั้นเหรอ เอาเถอะหลานฉันเขามันนายใหญ่นี่ ฉันจะพูดอะไรได้ก็คงจะอยู่เฉยๆ ตามเขาสั่งเท่านั้นแหละ”  เธอพูดแค่นั้นก็ออฟไลน์ไป  หนุ่มใหญ่ถอนหายใจหนักหน่วง ตัวเขาเองก็จะทำอะไรได้ คำว่าบุญคุณมันทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้




            ...............................................







       “นะได้ไหม” 

       หลายวันมาแล้วที่เจ้าเด็กแสบตรงหน้ากระเง้ากระงอดเรื่องฝึกงานอยู่ข้างหูผม ถ้าหากในสถานการณ์ปกติผมไม่เกี่ยงหรอกว่าเจ้าเด็กนี่จะไปฝึกที่ไหน เพราะถึงยังไงผมก็ตามเฝ้าอยู่แล้ว  แต่นี่มันไม่ใช่ไงทุกอย่างมันเขม็งเกลียวรอวันระเบิดผมปล่อยไปไม่ได้จริงๆ

       “แล้วทำไมต้องไปที่นั่น” 

      “.....”

       ภูมิรพีเงยหน้าขึ้นสบตาร่างบางตรงหน้าเพียงชั่วครู ก่อนจะเสมองไปทางอื่น ปิดหนังสือที่อยู่ในมือวางไว้บนโต๊ะหมดความสนใจที่จะอ่านต่อ  รออยู่นานก็ไม่มีคำตอบหลุดจากเจ้าตัวดีที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ภูมิรพีถอนหายใจแผ่วเบาระงับความหงุดหงิด เอ่ยถามเสียงจริงจังคาดคั้น

        “ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ก็ฝึกมันอยู่ที่โรงแรมที่นี่  หรือไม่ก็ที่โรงเตี๊ยม”

       “ได้ที่ไหนล่ะภูมิก็รู้”  เสียงออดอ้อนแผ่วเบา ร่างนิ่มขยับตัวเข้ามาใกล้แทบจะเกยตัก ลำแขนเกาะเกี่ยวแขนล่ำ หัวทุยถูไถคลอเคลียกับอกของภูมิรพีเหมือนแมวน้อย หน้าหวานเงยขึ้นยิ้มน่ารักประจบประแจง

       “ใครเขาจะกล้าใช้งานหนู พวกพี่ๆ ป้าๆ เขาเกรงใจภูมิกันจะตาย ฝึกเสร็จก็ไม่ได้ความรู้แม้แต่ประสบการณ์อะไรสักอย่าง” 

       “แล้วจะไปกับใคร พักที่ไหน ที่สำคัญมันปลอดภัยแน่เหรอ” 

       “ภูมิไม่ต้องกังวลนะ โรงแรมนั่นของญาติบ๋อมมันก็ต้องปลอดภัยอยู่แล้ว เขามีที่พักให้นักศึกษาฝึกงานด้วย ให้หนูไปเถอะนะ...น้า”



       “ถ้าโรงแรมนั่นเป็นของญาติบ๋อมแล้วคิดว่าเขาจะกล้าใช้งานหนู เขาก็ต้องเกรงใจบ๋อมเหมือนกันนั่นแหละ” 

       น้ำนิ่งคิ้วขมวดมุ่นเมื่อถูกย้อนด้วยคำพูดของตัวเอง ผละตัวออกจากอ้อมกอดของภูมิรพีเอนหลังพิงไปกับโซฟา ยกมือขึ้นกอดอกนิ่ง หน้าหวานงอง้ำออกอาการแสนงอน ภูมิรพีนิ่งเฉยตาเหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะรอคำตอบอย่างใจเย็น  ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาราวกับเรียกความมั่นใจ ก่อนจะยอมเปิดปาก

       “หนูติดต่อทางนั้นไปแล้ว เขาก็ตอบรับมาแล้วด้วย ภูมิก็เคยพูดนี่น่าว่า ก้าวแรกของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก็จะต้องมีรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นไม่ใช่เหรอฮะ  อีกอย่างหนูโตนะ ไม่ใช่เด็กเจ็ดแปดขวบสักหน่อย หนูดูแลตัวเองได้ภูมิไม่เห็นจะต้องห่วงอะไรนักหนา”

       “นั่นสินะ...หึ หึ ภูมิเข้าใจแล้ว ถ้าตัดสินใจเองได้  แล้วจะมาขอทำไม..ความห่วงใยของคนแก่อย่างภูมิมันคงน่ารำคาญ..ขอโทษด้วยแล้วกันถ้าทำให้อึดอัด...” 

       น้ำเสียงของภูมิรพีที่เปล่งออกมาในความรู้สึกของน้ำนิ่งมันช่างเต็มไปความน้อยใจ ตาคมสีแปลกที่สบกันชั่วครู่ ก่อนที่ภูมิรพีจะเสมองไปอีกทางมันทั้งหม่นเศร้า  น้ำนิ่งชะงักงันอย่างคาดไม่ถึง แล้วก็เป็นน้ำนิ่งที่เบือนหน้ามองไปอีกทาง ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาไม่มั่นใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี  ภูมิรพียืนนิ่งรอฟังคำอธิบายอย่างใจเย็น

      “ไม่ใช่นะ....หนูไม่ได้จะหมายความว่าแบบนั้น... “ 

      “ถ้าไม่ได้คิดก็คงจะไม่พูดออกมาแบบนั้น”
ภูมิรพีเอ่ยเสียงเรียบ ขยับลุกขึ้นเต็มความสูงจนน้ำนิ่งหน้าเหวอ  “ไม่เป็นไรภูมิเข้าใจเอา”

       น้ำนิ่งแน่ใจได้ว่าภูมิรพีไม่เข้าใจอย่างที่พูด คนตัวโตหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงานนั่งลงทำงานที่  ว่างอยู่บนโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีแม้แต่จะหันมามองหรือพูดคุยใดๆ กับน้ำนิ่งที่ยืนเหวออยู่กลางห้อง

       อากัปกิริยาของภูมิรพีสร้างความงงงันให้กับน้ำนิ่งจนอยากจะเอ่ยปากถามหมายครั้งแต่ก็ไม่กล้าได้ มือชื้นเหงื่อยกมือขึ้นมากัดเล็บตามความเคยชินในเวลาวิตกกังวลหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายตามไรผมบริเวณหน้าผากมน แต่ภูมิรพีก็ทำเหมือนไม่สนใจอากัปกริยาของน้ำนิ่ง


       “ลุง....”   เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีน้ำนิ่งตัดสินใจเอ่ยเรียกภูมิรพีแผ่วเบาเจือด้วยความสำนึกผิดที่พูดไม่คิด คนตัวโตทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเพียงแวบเดียวแล้วก็ก้มลงสนใจงานตรงหน้า






       “ขอโทษ นะ ที่หนูพูดไม่คิด แต่หนูไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ  หนูก็แค่เป็นห่วงบ๋อม...”   ภูมิรพีเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วถาม ตาสองคู่มองสบกันอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ร่างเล็กโผตัวสอดเข้ามานั่งบนตักผม แขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดคอแน่น หน้าหวานซบไปกับซอกคอปากนิ่มนาบจูบไปตามซอกคอ ลาดไหล่ คลอเคลียไปมาอ้อนๆ แทนคำขอโทษ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง

       “หนูเป็นห่วงบ๋อม ช่วงหลังๆ หนูรู้สึกเหมือนบ๋อมเขามีอะไรในใจ เวลาอยู่คนเดียวก็ชอบเหม่อๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วก็ถอนหายใจเหมือนมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ตลอดเลย  พอถามเขาก็บ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่เป็นอะไร หนูเป็นห่วงจนไม่อยากจะปล่อยให้เขาไปคนเดียว  หนูรู้ว่ายังไงซะภูมิก็จะต้องตามไปด้วยอยู่แล้วเลยตกลงจะไปฝึกที่นั่นเป็นเพื่อนบ๋อม ภูมิไปกับหนูนะ”

      “แล้วเพื่อนอีกคนล่ะ เอใช่ไหม? ปกติเห็นตัวติดกันตลอดเขาไม่ห่วงเพื่อนหรอกเหรอถึงไม่ไปด้วยกัน”

      “ไม่ฮะ เอเค้าบอกว่าม๊าให้ฝึกที่ภัตตาคารของครอบครัว แต่หนูว่าไม่ใช่เหตุผลนั่นแน่นอน หนูรู้สึกเหมือนเขาสองคนโกรธกันอยู่ เอไม่ยอมคุย ตรงไหนที่มีบ๋อมตรงนั้นเอจะไม่เฉียดเข้ามาใกล้ บางครั้งหนูก็แอบเห็นสายตาของเอที่มองบ๋อมแบบห่วงๆ แต่เขาสองคนก็ไม่พูดกัน”


      “หนูไม่ถามเพื่อนล่ะหึ”

      “ก็ถามแล้ว แต่ทั้งคู่ก็เฉไฉไปเรื่องอื่นตลอด หนูไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี่ย”
เจ้าเด็กแสบของผมทำหน้ามุ่ยค่อนข้างเสียจริตกับเพื่อนทั้งสองของเขา  ผมยกมือแนบแก้มนิ่มนิ้วเกลี่ยไปมาอย่างปลอบโย มือเรียวเล็กยกมือของตัวเองมาทาบมือผมหันปากมากดจูบลงกลางผ่ามือแผ่วเบา ก่อนจะคลอเคลียแก้มไปมา

      “ก็คงจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง ให้เวลาพวกเขาได้ทบทวนกันบ้างเดี๋ยวพออารมณ์เย็นลงก็คงจะหันมาคุยกันอีกครั้งเองแหละ”

      “หนูก็หวังอย่างนั้น

      “ภูมิว่าอย่างที่ม๊าเอเขาคิดก็ดีนะ หนูเองก็น่าจะฝึกที่โรงเตี๊ยมนะ แม่ยกให้แล้ว ยังจะให้ภูมิทำแทนอยู่อย่างนี้เมื่อไรจะทำเป็นล่ะฮืม”

      “ก็นั่นไงคำตอบของคำถามวนกลับมาที่ข้อหนึ่ง เพราะประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการยอมรับทำให้เราประสบผลสำเร็จในการงาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หนูจะต้องบ่มเพาะประสบการณ์จากหลายๆ ที่แล้วเอามาปรับใช้กับโรงเตี๊ยมของเรา จะให้กระโจนลงไปทำโดยที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยมันก็ไม่ได้ไง ภูมิเข้าใจเนอะ”   

      “เจ็บสีข้างไหมล่ะนั่น  แต่เอาเถอะมันอนาคตของหนูภูมิจะไปขีดให้ก็ไม่ได้จะเอายังไงก็ตามไงก็แล้วกัน แก่แล้วก็จะอยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเองไปก็แล้วกัน จะทำยังไงก็เอาที่หนูสบายใจเลยแล้วกัน”


      น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังเจือปนความน้อยใจของหมาแก่ น้ำนิ่งหลุดยิ้มกว้าง ขยับตัวลุกขึ้นเปลี่ยนเป็นนั่งค่อมตัก มือเล็กยื่นไปประคองหน้าหมาแก่ขี้งอน ยื่นปากไปแตะจูบขบเม้มปากหนาทั้งบนล่าง ลิ้นเล็กหยุ่นชื้นแลบเลียไปตามเรียวปากหนาอย่างอ้อนวอนและขอโทษ หมาแก่พยายามเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่สามารถทำได้  ผมกดมือตรึงมือไว้ไม่ให้เขาหันหนี แตะจูบลงบนปากหนาอีกครั้งแต่หมาแก่ขี้งอนก็ยังไม่ยอมให้สอดลิ้นเข้าไปลุกล้ำในโพรงปากอยู่ดี

       “โธ่เอ๊ย!! หมาแก่ของหนู... ไม่เห็นจะต้องคิดมากสักนิด แก่เกร่ออะไรไม่เคยคิดยังงั้นสักที หนูไม่ได้อยู่กับภูมิเพราะอยู่ด้วยได้นะ แต่อยู่เพราะหนูขาดภูมิไม่ได้ จะคิดยังไงหมาแก่ตรงหน้านี่ก็เป็นของหนูอยู่ดี เป็นโลกทั้งใบของหนู แบบนี้แล้วยังจะน้อยใจอยู่ไหมฮึ”

      “หมาแก่เหรอฮึ”
ภูมิรพีจิ้มชี้ที่อกตัวเองย้ำๆ ถามเสียงเข้ม 

       “ฮือ...” น้ำนิ่งพยักหน้ารับรัวๆ  ยิ้มกว้างชอบใจที่หมาแก่ออกอาการจะบึ้งก็ไม่ใช่จะงอนก็ไม่เชิง

       “เอ้า!! ถ้าอยากจะให้เป็นหมาก็จะเป็นถ้าเจ้าของยอมให้เลีย..?? .แต่ที่เรากำลังพูดกันอยู่ตอนนี้มันคนละประเด็นไม่ใช่รึไง”

       “หนูรู้ว่าภูมิเป็นห่วง เอาแบบนี้ได้ไหมล่ะให้พี่แฝดตามไปเฝ้าที่โรงแรมตลอดเวลาที่ฝึกงานเลยโอเค๊...”
หน้าตาน่ารักนั่นส่อแววเจ้าเล่ห์แสนกล นัยน์ตาหวานที่มองสบมาวาววับวาดหวัง กลิ่นหอมกรุ่นกำจายจากร่างนิ่มที่เกยมาบนตักเกือบครึ่งตัวกับท่าทางกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างยั่วยวนกดดันให้ผมต้องรับปากอย่างแพ้ทาง

      “วิน - วิน ภูมิให้ไปก็ได้ แต่...”

      “ทำไมต้องแต่??...ไม่ต้องมีเงื่อนไงไม่ได้เหรอฮะ...น้า”
  ภูมิรพียกนิ้วชี้แตะลงแผ่วเบาที่ปากนิ่มได้รูปของน้ำนิ่ง คนโตตัวยกยิ้มละมุนพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้น้ำนิ่งได้ปฏิเสธข้อเสนอ 

       “อย่าได้ปฏิเสธความห่วงใยของภูมิๆ อนุญาตแต่ไม่มีการค้างต้องกลับมานอนที่ไร่ ภูมิจะไปรับส่งเอง ระหว่างวันจะให้สองแฝดไปฝึกด้วยโอเค๊  หรือจะให้เพื่อนเรามาค้างที่ไร่ด้วยก็ได้ภูมิไม่ว่า” 

      “แต่ว่าบ๋อม...”

      “ที่ภูมิยอมให้นี่ก็มากแล้วนะ เอาหรือไม่เอา”
  ผมแสร้งทำตาดุแถมหน้าหงิกบอกบุญไม่รับกดดันให้แม่ตัวดียอมรับข้อเสนอแบบจำใจ

      “ก็ได้ฮะ...” 

       ภูมิรพียิ้มละมุนด้วยความพึงพอใจกับการยอมรับข้อเสนอของน้ำนิ่ง อย่าคิดว่าน้ำนิ่งจะใช้เล่ห์มารยาร้อยเล่มเกวียนได้คนเดียวนะ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จผมก็ทำเป็น 

       มือหนาเกลี่ยไล้แก้มนิ่มแผ่วเบา นิ้วแกร่งเกลี่ยปอยผมที่ตกละหน้าขึ้นทัดหูให้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้ายอมด้วยความจำใจ แต่นั่นก็ช่างเถอะดีกว่าให้เกิดเรื่องแล้วเสียใจภายหลัง  น้ำเสียงที่เอ่ยถามในนาทีถัดมาของผมมันจึงทั้งอ่อนโยนเอาอกเอาใจแทนคำขอโทษและทดแทนความรู้สึกของน้ำนิ่งที่ถูกเล่ห์มารยาของผมตีแตกกระเจิง

       “เข้าใจนะว่าสิ่งที่ภูมิทำทั้งหมดเพราะห่วงหนู  แล้วเรื่องที่พักจะให้คุยกับบ๋อมให้ไหม”   น้ำนิ่งส่ายหน้าปฏิเสธ คนตัวโตยิ้มกว้างอ่อนโยนให้อีกครั้งอย่างเอาใจ

      “หนูเข้าใจ ส่วนเรื่องบ๋อมเอาไว้หนูคุยเองก็ได้ฮะ” 

      “โอเคเรื่องนี้จบแล้วนะ  ที่นี่มาเรื่องที่ค้างคากันมานานยังจำได้รึเปล่าฮึว่าพูดอะไรไว้กับพูด” 

       “โธ่!! หมาแก่ของหนู”
  น้ำนิ่งทำหน้าละห้อย ไม่ใช่ว่าจะตั้งใจละเลย เวลาที่คนตัวโตเข้ามากอดรัดแสดงความรัก น้ำนิ่งดีใจและปรารถนาให้อ้อมกอดแห่งความรักของภูมิช่วยขุดรากถอนโคนเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังและขยะแขยงตัวเองของน้ำนิ่งให้พังภินท์

       แต่...พอภูมิลุกคืบหนักเข้า กลายเป็นน้ำนิ่งซะเองที่ร้อนรนผลักไสทำตัวเหินห่าง..เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานถึงจะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่ใจมันกระหวัดไปถึงสัมผัสน่าขยะแขยงของไอ้ชั่วนั่นแทบจะทุกครั้ง 

      “.......”   น้ำนิ่งหรุบตาลงเสมองไปทางอื่น

      “ก็ไม่รู้ใครพูดสิน้า...ถ้าตอนนี้ยังไม่รักษาคำพูดต่อไปใครจะเชื่อคำพูด..ผู้ใหญ่ที่ดีต้องรับผิดชอบกันบ้างนะหนูว่าไหม”  ช่างยอกย้อนจนเราสะอึก น้ำนิ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีแปลก ซึ่งกำลังจ้องมองเขาเขม็งเช่นเดียวกัน ทำเอากายบางร้อนผ่าว เลือดไหลซ่านทั่วทุกอณู เมื่อเห็นเปลวไฟแห่งความปรารถนาลูกใหญ่วิ่งวนทั่วดวงตาคมกริบ

      “อะ เออ ตะ แต่ว่าภูมิ...”

      “ไม่เป็นไรคนดีใจเย็นๆ นะ”
  ลำแขนแข็งแกร่งตวัดไปรอบเอวบาง มือใหญ่ลูบไปมาบนแผ่นหลังบาง ริมฝีปากหนาร้อนประทับจูบแผ่วเบาไปตามลาดไหล่อย่างปลอบประโลม

      “หลับตาลงซะคนดี แต่อย่าปิดกั้นหัวใจของหนูไม่ให้รู้สึกในสัมผัสของภูมิที่รับรู้ได้...”

      ภูมิรพีรับรู้ได้ถึงเหงื่อที่เปียกชื้นและแรงสั่นแผ่วเบาของมือเรียวเล็กที่วางบนอกกว้างยันไม่ให้ร่างบางแนบชิดไปกับกายร้อนผ่าวด้วยไฟปรารถนาของคนตัวโต

      “เชื่อใจภูมิ ไม่มีอะไรต้องกลัว ปล่อยใจตามสบาย รับรู้ทุกสัมผัสของภูมิด้วยใจ.ใช่แล้ว..อย่างนั้นเด็กดี”

      สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโอน ลมหายใจร้อนเป่ารดไปตามลาดไหล่ ลำคอ ใบหู ผสานเสียงกระซิบสั่นพร่าเว้าวอนอ่อนหวาน ปลุกเร้ากระแสไฟรักในกายทั้งคู่ไหลพล่านทั่วทุกเส้นเลือด กายบางตวัดปลายลิ้นอุ่นชื้นลูบไล้ริมฝีปากของตัวเองดับกระหายที่เกิดขึ้นฉับพลัน ภูมิรพีแทบอยากจะกดจูบดูดซับความหวานจากเรียวปากคู่นั้น และเพียงแค่ปลายนิ้วเรียววางทาบบนแผงอกกว้างแผ่วเบา คนตัวโตอยากให้มือเรียวเล็กนั่นขยับลูบไล้สัมผัสลงไปยังท่อนลำร้อนผ่าวที่แข็งขมึง  เขาแทบอยากจะโลดแล่นเข้าไปอยู่ในดินแดนหฤหรรษ์ของคนในอ้อมแขนซะเดี๋ยวนี้

      น้ำนิ่งตัวสั่นเทิ้มรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งไฟรักที่ได้แผ่ซ่านออกจากกายแกร่ง กอปรกับดวงตาสีแปลกคมกล้าที่จ้องมองอย่างเปิดเปลือย บอกให้รู้ว่าภูมิรพีต้องการตัวเขาในวินาทีนี้ ความรู้สึกขยะแขยงตัวเองจู่โจมรุนแรงจนทำให้ใจสั่นรัวเร็วแทบจะทะลุออกมาข้างนอก ร่างบางสั่นระริกดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความกลัว

      “ยะ อย่า ไม่เอาแล้ว ยะ..อย่าทำ....

      “ซู่!! ไม่เป็นไรๆ คนดีของภูมิดีหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าภูมิ และจำสัมผัสนี้ไว้มันเป็นของภูมิ เป็นภูมิคนเดียวที่สัมผัสหนูอยู่ รู้สึกได้ใช่ไหม...เชื่อใจภูมิแล้วปล่อยวางมันไปนะครับ” 

      มือหนาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของน้ำนิ่งอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงกายบางที่งดงามราวสลักเสลา น้ำนิ่งมองสบตาภูมิรพีราวกับต้องมนต์สะกด ปากเรียวเผยออ้ารอรับปลายลิ้นนุ่มร้อนของภูมิรพีที่สอดเข้ามาควานหาความชุ่มฉ่ำหวานล้ำในโพรงปากของน้ำนิ่งอย่างเต็มใจ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่กำลังปั่นป่วนหัวใจภูมิรพีทำให้ความต้องการของเขาพุ่งขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า ตัวตนของเขาประท้วงด้วยการสั่นระริกไม่หยุด มันปวดหนึบๆ ยามน้ำนิ่งเสียดสีแก่นกายแข็งขึงเข้ามาแนบแน่น

      ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นกอบกุมยอดอกเล็กอย่างหลงใหล บีบเค้นเบามือและหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ร่างบางจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างซูดปากอย่างเสียวกระสัน  น้ำนิ่งแอ่นอกให้คนตัวโตสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่

      “โอ๊วววว ซี้ดดดด อ๊า ละ ลุง!!”

      ร่างบางร้องเสียงหลงสะดุ้งสุดตัวเมื่อภูมิรพีส่งนิ้วแกร่งเข้าไปทักทายถ้ำฉ่ำหวาน แล้วดันผลุบเข้าผลุบออกครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่บอกกล่าว เรียวปากหนาเคลื่อนมาครอบครองกลีบปากอวบอิ่ม มอบจุมพิตแสนหวานเคล้าความเร่าร้อนจนร่างบางอ่อนระทวย สะโพกมนเด้งรับนิ้วแกร่งอย่างเป็นจังหวะ จนภูมิรพีครางออกมาอย่างพึงพอใจ

      “รับรู้และจดจำมันไว้ทุกสัมผัสที่หนูรู้สึกอยู่ข้างในมันเป็นของภูมิคนเดียว ไม่ใช่คนอื่น”

      “ไม่ไหวแล้ว ภะ ภูมิ...หยุดก่อนนะฮะ..”

      น้ำนิ่งผลักดันแขนที่ทำการหน้าที่ส่งนิ้วดึงและดันเข้าไปในช่องทางรักแน่น  เขารู้สึกเกร็งยะเยือกจนทนไม่ไหวอย่างที่บอกคนตัวโตไป แต่แทนที่ภูมิรพีจะหยุดตามคำร้องขอ ชายหนุ่มกลับเร่งจังหวะและเพิ่มนิ้วเข้าไปเป็นสามนิ้ว..มือหนาสอดเข้ายกขาข้างหนึ่งของน้ำนิ่งให้สูงขึ้น เปิดเปลือยช่องทางรักให้รับนิ้วมือให้ลึกขึ้น ภูมิรพีกระแทกให้ถูกจุดไวสัมผัสในตัวน้ำนิ่งเน้นๆ จนร่างบางบิดตัวไปมาเร้าๆ

      “ปล่อยมันออกมาให้ภูมินะครับเด็กดี มันเป็นของภูมิ..จำแค่ว่ามันเป็นของภูมิ”  ภูมิรพีเพิ่มความถี่ของนิ้วจนน้ำนิ่งขยับสะโพกรับจังหวะไม่ทัน ร่างบางสั่นคลอนไปตามแรงที่ภูมิรพีเร่งรัด

      “อ๊ะ ฮื่อ!  โอ๊ววววว!!! อ๊า...ลุง.....” 

      น้ำนิ่งเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ผวากอดคอหนาเอาไว้แน่น พลางซุกหน้าลงกับแผงอกแกร่ง ภูมิรพีใช้แขนแกร่งอีกข้างอุ้มแตง ร่างบางหอบหายใจรัวเร็วลดต้นคอแกร่งอยู่เนิ่นนาน แต่ยังรับรู้ได้ถึงแรงตอดรัดจากผนังอุ่นร้อนที่ยังดูดดึงนิ้วแกร่งไม่หยุด คนตัวโตลุกขึ้นอุ้มร่างเปลือยที่ยังไหวระริกจากบทรักไปวางบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ก่อนจะถอดถอนนิ้วออกจากช่องทางรักที่บวมซ้ำเล็กน้อย มือหนาลูบใบหน้าเรียวหวานที่ชื้นเหงื่ออย่างรักใคร่ หลงใหล ก้มลงประกบจูบร้อนแรงตามแรงกระตุ้นของห้วงความปรารถนา ก่อนจะผละออกอ้อยอิ่งเมื่อร่างระทวยได้กอบโกยอากาศเข้าปอด

      ภูมิรพียืดตัวขึ้นเต็มความสูง มือปลดเข็มขัดและถอดกางเกงออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เป็นอิสระท่อนลำแข็งขมึงขนาดใหญ่ดีดตัวสู้สายตาของน้ำนิ่งที่มองมาอย่างสื่อความหมาย 

      “สัมผัสมันสิ มันเรียกร้องสัมผัสจากหนูแค่ไหนรู้สึกรึเปล่า...”   แค่มือเรียวบางยื่นมาสัมผัสตัวตนของภูมิรพี ความรักที่เก็บกักมานานก็แทบไหลทะลักคนตัวโตซี๊ดปากด้วยความซ่านเสียวที่วิ่งพล่านทั่วร่าง

       แม้ไฟกามารมณ์ที่สุมเต็มทรวงจะโชติช่วงเพียงใด  แต่ภูมิรพีก็ไม่เคยที่จะพลีผลามยอมผ่อนปรนหยิบเพลงบัลลาดมาบรรเลงแทนที่จะเป็นเพลงอัลเทอร์เนทีฟเมทัลอย่างที่ใจปรารถนา  ทุกเพลงถูกบรรเลงอย่างอ่อนหวานละเมียดละไม บางคราเนิบนาบเร่งเร้าให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วม ยอมปล่อยตัวปล่อยใจตามครรลองของความหฤหรรษ์ที่ควรจะเป็นจนจบเพลย์ลิสต์  กระแสความสุขสมแผ่ซ่านทั่วร่างผู้ร่วมบรรเลงเพลงแล้วเพลงเล่าจนสุดท้ายหลับไหลไปทั้งที่เพลงสุดท้ายยังไม่จบท่อนฮุกด้วยซ้ำ...

      “Don’t forget the things you should remember. Don’t remember the things you should forget.”

      “ฮือ..”  ร่างบางครางรับแผ่วเบาราวกับอยู่ในห้วงความฝันแสนสุข ทำให้คนตัวโตกดจมูกสูดดมตั้งแต่แก้มไปจนถึงหัวหอม โอบอุ้มร่างบางไปวางบนเตียงกว้างในห้องนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยกัน เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหงื่อและกลิ่นความใคร่ที่ลอยอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศบางเบา














TBC.

ปล.

1.มาต่อแล้วนะครับ ขออภัยที่ช้ามากๆ เนื่องด้วยช่วงนี้ภารกิจงานราษฎร์งานหลวงติดพันยาว  ถ้าเจอข้อผิดพลาดประการใด หรือมีข้อแนะนำอะไรแจ้งด้วยนะครับ จะได้แก่ไข ปรับปรุงให้ถูกต้องต่อไป

2. ขอบคุณสำรับการติดตามตลอดมา และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 23:24:42 โดย WiChy »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เฮียไม่คิดว่าจะเป็นได้ขนาดนี้  :katai1:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :m25: ลุงจัดเต็มจริง ๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
“แล้วผมจะทำอะไรได้อีก คุณอากับไอ้แก่นั่นกวนน้ำจนขุ่นคัก >>>  ขุ่นคลัก

 “ไม่เป็นไรภูมิเข้าใจเอา”

คนตัวโตหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงานนั่งลงทำงานที่  ว่างอยู่บนโต๊ะ

ผมยกมือแนบแก้มนิ่มนิ้วเกลี่ยไปมาอย่างปลอบโย มือเรียวเล็กยกมือของตัวเอง

น้ำน่าจะฝึกงานที่โรงเตี๊ยมนะ ไปฝึกกับบ๋อมแบบนั้นยิ่งอันตราย
ถึงจะมีคนตามไปดูแลก็ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่คลาดสายตาแฝดได้
แค่คราวที่แล้วยังกลัวจนฝังใจ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง



- 28 -

มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่ทางเลือกเลย





      “น้ำพ่อมึงมารึยัง ให้กูรอเป็นเพื่อนรึเปล่า”

      “มาแล้วรออยู่ตรงที่ฟร้อน เหลืออีกนิดหน่อยจะเสร็จแล้วไม่ต้องรอก็ได้”

      “ไม่เป็นไรมาเดี๋ยวช่วย”

      “เออน่า ไม่ต้องห่วงน้ำทำได้แค่นี้เองไปเถอะ”

      “กูจิตใจดีเหมือนหน้าตาไง จะรอก็แล้วกัน ชีวิตการทำงานมันยังงี้เองกว่าจะได้เงินเขาแต่ละบาทแมร่งยากสัด ชักอยากจะเรียนอย่างเดียวไปตลอดแล้วสิ”

      “ก็ไหนบ่นทุกวันอยากจะเรียนจบเร็วๆ หางานดีๆ ทำ จะได้ออกมาอยู่คนเดียวได้ไม่ใชรึไง”

      “นั่นก็ใช่ กูแค่บ่นเปล่าวะ”

      “หยุดบ่นได้ล่ะ รีบๆ กลับเลยไป๊ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

      “ก็รอมึง กลับพร้อมกันเลยสิ เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ”

      “อืม”
น้ำนิ่งพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าจากล็อกเกอร์ในห้องพักพนักงาน เมื่อได้ของครบก็เดินออกมาสมทบกับบ๋อมซึ่งยืนรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะเดินออกมาด้วยกัน



      “เจอกันพรุ่งนี้นะ / เจอกันวะมึง” 

       น้ำนิ่งยกกำปั้นชนกับบ๋อมเมื่อมาถึงทางแยกไปฟร้อนกับประตูด้านข้างไปบ้านพักพนักงาน บ๋อมยิ้มกว้างยกมือโบกไปมาให้น้ำนิ่ง ก่อนจะหันหลังผลักประตูออกไปสู่สวนหย่อมเดินเลียบสวนมุ่งตรงไปยังบ้านพักด้านหลังโรงแรม  ส่วนน้ำนิ่งเดินตามทางเดินก่อนจะผลักประตูกระจกด้านขวาเข้าสู่บริเวณฟร้อนท์ นัยน์ตาหวานกวาดมองทั่วบริเวณจนสะดุดเข้ากับคนตัวโตที่โซฟารับแขกริมผนังกระจกกำลังใช้นิ้วปัดป่ายหน้าจอไอแพดโปรดูอะไรบางอย่างด้วยความสนใจ  น้ำนิ่งยิ้มกว้างให้เหล่าบอดี้การ์ด อันประกอบด้วย เข้มแข็ง เด็ดขาด และสองแฝด เมืองแมนกับแดนสรวง จะขาดก็แต่ชัดเจนซึ่งไปทำธุระให้ภูมิรพีตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับมา คนตัวเล็กยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากส่งสัญญาณไม่ให้เหล่าบอดี้การ์ดส่งเสียง มืออีกข้างปลดกระเป๋าจากบ่าส่งให้เมืองแมนรับไปถือ ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปโอบกอดภูมิรพีจากด้านหลัง ชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่หน้าจอไอแพดโฟร


      “ขอโทษที่ช้า มานานรึยังฮะ”  น้ำนิ่งยิ้มประจบตั้งแต่ปากส่งไปจนถึงนัยน์ตาหวานอย่างออดอ้อนลุแก่โทษที่มาช้า

      “ภูมิก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน หิวรึเปล่าหืม”  ภูมิรพีปรับสีหน้าให้ปกติปากหนายิ้มละมุนหันไปหอมแก้มนิ่มกลับ

      “ยังฮะ หนูเพิ่งทานเค้กส้มไปเมื่อตอนห้าโมงเย็นเอง แล้วภูมิดูอะไรอยู่หน้ายุ่งเชียว”  ยื่นมือไปคลึงหว่างคิ้วที่ผูกปมของภูมิรพีไปมา  ก่อนจะขยับตัวลงมานั่งข้างๆ หน้าหวานชะโงกไปดูหน้าจอไอแพดที่เปิดหน้าค้างไว้ปรากฏตารางดัชนีตัวเลขเต็มพรืดไปหมดจนน้ำนิ่งหน้าเบ้ด้วยความไม่เข้าใจ 

      “....” 

      ความรู้สึกรุนแรงจากบางอย่างเรียกร้องให้ภูมิรพีเสมองออกไปนอกผนังกระจกบริเวณสวนหย่อมแทนการตอบคำถามของน้ำนิ่ง ตาคมดุสบเข้ากับเหล่าบอดี้การ์ดโดยไม่มีเสียงพูดเข็มแข็งและเด็ดขาดเลี่ยงเดินออกไปก่อนเพื่อตรวจดูบริเวณรอบๆ  ความเงียบของภูมิรพีทำให้คนตัวเล็กเกิดระคนสงสัยจึงเงยหน้าขึ้นจากจอไอแพดโปร มองตามสายตากังวลของภูมิรพีไปยังบริเวณมุมสลัวที่ไฟประดับส่งไปไม่ถึงของสวนหย่อม

      “มีอะไรรึเปล่าฮะ”

      “ไม่มีอะไรครับ ถ้าหนูยังไม่หิวงั้นก็รอกลับไปกินข้าวที่บ้านนะครับ...” 

      “ฮะ”

      “งั้นก็ย้ายตูดได้แล้วเจ้าเด็กแสบ”
ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือแกร่งดึงแขนน้ำนิ่งให้ลุกขึ้นตาม ฝ่ามือหนาอีกข้างฟาดลงก้นงอนอย่างหยอกเอิน หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าเหยเกที่แสร้งว่าเจ็บของเจ้าเด็กแสบ

      “โอ๊ย!! ลุงงงงงง...”  น้ำนิ่งกระทืบเท้าอย่างสะบัดสะบิ้งแสร้งทำหน้างอนๆ ก่อนวิ่งตามคนตัวโตที่เดินนำออกไปก่อนเมื่อถึงตัวน้ำนิ่งกระโดดเกาะหลังขาเรียวเกาะเกี่ยวตัวแน่นหนาไม่ยอมให้ภูมิรพีเอาตัวลงจากหลัง

      “หึ หึ โตแล้วนะเรา ยังจะเล่นเป็นเด็กๆ”  ภูมิรพีพยายามดึงตัวน้ำนิ่งให้ลงจากหลัง แต่ทั้งขาทั้งแขนของคนตัวเล็กเกาะเกี่ยวร่างภูมิรพีแน่นหนาไม่ยอมลง เลยได้แต่ส่ายหน้าไปมาที่เจ้าแสบนี่ชอบอ้อนทำเหมือนยังเป็นเด็ก

      “ไม่เอาลุงงงงง...หนูเหนื่อย อุ้มเค้าน้า...”

      “เอ้า! ไม่อายรึไงโตแล้วนะเราน่ะ” ที่พูดไปแบบนั้นไม่ใช่ว่าภูมิรพีอายหรืออะไร ออกจะชอบด้วยซ้ำที่ช่วงนี้เจ้าแสบของเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว แม้จะรู้สึกว่าน้ำนิ่งยังคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ดีแล้วเจ้าเด็กนี่กลับมาทำตัวออดอ้อนร่าเริงสดใสได้เกือบเหมือนเดิมแล้ว

      “ทำไมต้องอาย ก็นี่มันที่ของหนู ” ริมฝีปากนิ่มอุ่นนาบจูบละมุนลงหลังคอภูมิรพีประทับตราความเป็นเจ้าของ พร้อมเสียงหัวเราะกังวานใสอย่างพึงพอใจที่ได้ทำแบบนี้

      “คร้าบ คร้าบ เอาที่คุณนายสบายใจเลย” 

      “ล้อเลียน!! เดี๋ยวเถอะ ไปได้ล่ะ”





      ทางด้านบ๋อมหลังจากแยกย้ายจากน้ำนิ่ง ระหว่างที่กำลังเดินกลับห้องพักสายเรียกเข้าที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับเป็นเหตุให้ใจของเขาเต้นตูมตามแทบจะทะลุออกมานอกอก รีบเปลี่ยนเส้นทางหันกลับทางเดิมเข้าประตูด้านข้างตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ข้างฟร้อน มือสั่นไหวกดชั้น 22 ด้วยอาการตื่นเต้นดีใจระงับไม่อยู่ เมื่อถึงจุดหมายเท้าเล็กตรงไปยังห้องสูทเดอลุกซ์ฝั่งขวาสุด กดกริ่งหน้าห้องและยืนรออยู่ไม่นานคนด้านในก็กระชากประตูเปิดออก บ๋อมรีบแทรกตัวเข้าข้างในห้องอย่างรวดเร็ว

      “ผมคิดถึงคุณ”

      “เด็กน้อย”
  แขนแกร่งของชายหนุ่มรวบร่างบ๋อมเข้ามาในอ้อมกอด ปากเรียวตะโบมจูบร้อนแรงเผาพลาญจนเด็กหนุ่มระทวย  คำพูดปฏิเสธถูกกลืนลงไปพร้อมกับน้ำลายเมื่อมือเรียวของคนโตกว่าเลื่อนต่ำลงและสอดลึกเข้าไปในกางเกงจนถึงกลางกายที่ส่วนหัวกำลังฉ่ำน้ำเหนียวใส

      บ๋อมตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อปากร้อนของชายหนุ่มพรมจูบลงบนตุ่มไตทั้งสองข้างเสื้อผ้าไม่รู้ว่าหลุดจากตัวไปตั้งแต่ตอนไหน  ปากร้อนระเรื่อยลงไปตามหน้าท้องแบนราบของเขา วนเวียนอยู่ตรงสะดืออยู่นาน จนบ๋อมสูดลมหายใจเข้าดังเฮือกโดยไม่รู้ตัว

      “เธอชอบไหม?..” 

      “ฮะ..ชะ  ชอบ ทำตรงนั้นแรงๆ”

      ชายหนุ่มผละปากออกจากกลางกายของบ๋อม แสยะยิ้มพึงพอใจด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาทางกายเพียงใด หากในนาทีนี้มันยังไม่ใช่ เขาจะต้องมั่นใจได้ก่อนว่าสิ่งที่เขาจะได้กลับมามันมีค่ามากกว่าที่เขาจะมอบให้เด็กหนุ่ม

      “เคยมีใครทำให้เธอพอใจมากขนาดนี้ไหม เคยมีใครทำอย่างฉันไหม”

      “มะ ไม่มีฮะแค่คุณคนเดียว”

      “แล้วอยากให้ฉันทำให้รึเปล่าหืม”

      “อยาก  ผะ..ผมอยากให้คุณทำแบบวันนั้นอีก”

      “เธอรู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้มันมา”

      “ได้โปรด...ผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ”

      บ๋อมสละทุกอย่างทิ้งไป ปลดศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจกองทิ้งแทบเท้าของชายหนุ่ม กราบกรานวิงวอนอย่างไร้สิ้นความละอาย เท่านี้ชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าเขามีความสำคัญมากพอที่จะทำให้เด็กนี่ยอมทำทุกอย่างที่เขาสั่งอย่างไร้ข้อกังขา

      “ดีมากเด็กดีของฉัน ดื่มนี่ซะ” ชายหนุ่มยกยิ้มอ่อนโยน บ๋อมยื่นมือรับแก้วที่ชายหนุ่มยื่นให้มาดื่มอย่างไม่อิดออด  “เราจะได้มีความสุขกันไง ฉันจะทำให้เธอพอใจมากกว่าที่เธอเคยได้รับกว่าครั้งไหนๆ”

      ชายหนุ่มรั้งร่างที่สะท้านไหวระริกด้วยความต้องการของบ๋อมเข้าไปกอดแนบแน่น บ๋อมรวดร้าวไปด้วยความต้องการ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แอ่นร่างเปล่าเปลือยของตัวเองแนบกับร่างแกร่งของชายหนุ่มอย่างร้อนแรง ครางกระเส่าเมื่อชายหนุ่มผละออกจากริมฝีปากแล้วไต่ลงไปไล้เลียดูดเม้มตุ่มไตเล็ก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นครางแหลมด้วยความเจ็บและเสียวซ่านเมื่อชายหนุ่มขบกัดตุ่มไตเล็ก

      ขณะริมฝีปากประทับมอบความรัญจวนอยู่บนทรวงอกเล็ก มือเรียวแกร่งของชายหนุ่มก็เลื่อนไปกลางกายที่แข็งขืนของเด็กหนุ่มลงมือสัมผัสเล้าโลมหนักมือ

      “ฮือออ...ไม่ไหวแล้ว ผมอยากได้คุณในตัวผมแรงๆ ได้โปรด...”  ความรู้สึกต้องการรุนแรงที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปและการปรนเปรอของชายหนุ่มทำให้บ๋อมร้องขออย่างไร้สิ้นความอาย

      “ดะ..ได้โปรดเข้ามาแรงๆ” 

      หลังสิ้นคำขอของบ๋อมชายหนุ่มไม่เสียเวลากับการเล้าโลมอีก  เขากดแก่นกายใหญ่ของตัวเองพร้อมกับอวัยวะเทียมเพศชายที่ถือในมือเข้าไปช่องทางด้านหลังอย่างแรงในครั้งเดียวมิดด้าม คำรามลำพองพร้อมกับเสียงอุทานอย่างเจ็บปวดและพึงพอใจที่ลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของบ๋อม

      ขณะที่ชายหนุ่มเติมเต็ม ดวงตากร้าวของเขาก็จับจ้องทุกสีหน้าที่แสดงบนหน้าบ๋อม แสยะยิ้มมุมปากพลางพึมพำเสียงต่ำเมื่อก้มลงขบกัดลงบนหน้าอกเล็กค่อนข้างแรง

      “ลืมตามองฉัน แล้วร้องมันออกมาว่าเธอมีความสุขแค่ไหน”

      “โอ๊ววว...แรงอีก...อ๊า....”


      บ๋อมปรือตามองคนบนร่างด้วยแววตาพร่ามัวไปด้วยความสุขสมมัวเมาล้ำลึกกว่าครั้งไหนที่เคยมา หลงเข้าไปในวังวนสีเทาร้อนแรงที่สะกดให้เด็กหนุ่มสูญสิ้นความนึกคิดและหลงลืมตัวตน ด้วยความกำหนัดที่ถูกกระตุ้นทำให้เด็กหนุ่มตอบรับทุกจังหวะอย่างทัดเทียมและร้อนแรง ไม่สนใจหรือปฏิเสธแม้ชายหนุ่มจะใช้อุปกรณ์แบบไหนบ้างกับตัวเอง

      ชายหนุ่มพึมพำเสียงต่ำแทบไม่เป็นคำเมื่อส่งให้เด็กหนุ่มขึ้นสู่ปลายทางปรารถนาครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะเดียวกันช่องทางนั้นก็บีบรัดอย่างบ้าคลั่งรุนแรงจนเขาคำรามกระหึ่มปลดปล่อยความระอุร้อนฝากฝังให้เด็กหนุ่มอย่างหมดสิ้นทุกครั้งเช่นกัน  บ๋อมยิ้มหวานให้กับเพดานสูงอย่างเลื่อนลอยหลังจากบทเพลงพิศวาสร้อนแรงที่เขาหลงใหลมัวเมาผ่านพ้นไปจนค่อนคืน ก่อนจะปิดตาหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน






      “บัดซบเอ๊ย!! ตามไปสิแล้วเอาตัวมานี่”

      บ๋อมสะดุ้งตื่นจากเสียงตวาดก้องอย่างหัวเสียของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงอีกฝั่ง หน้าดุกระด้าง ตาเรียวเชิดแข็งกร้าวด้วยเพลิงโทสะราวจะฆ่าใครก็ตามที่เป็นต้นเหตุ เหมือนจะรู้ว่าอีกคนตื่นแล้ว ชายหนุ่มกดตัดสาย เสหันไปอีกทางเพื่อปรับอารมณ์ ความรู้สึกของบ๋อมตอนนี้คือหวาดกลัว สับสนและไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน


      “เออ..ผะ..ผมไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” 

       บ๋อมเอ่ยถามเสียงแหบโหยแผ่วเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด พยายามขยับตัวออกห่างจากอีกคน แต่ก็ต้องสูดปากน้ำตาเล็ดหางตา หน้าตาเหยเกด้วยเจ็บปวดตั้งแต่บั้นเอวจนถึงปลายนิ้วเท้า ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยและกลิ่นคาวความใคร่จากชายหนุ่มที่ตั้งใจให้มันหลั่งรดลงมาจนทั่วหลายต่อหลายครั้งบ่งบอกการประกาศศักดาเหนือร่างกายของเด็กหนุ่มยังไม่ได้รับการชำระล้าง แตกต่างจากคนตัวโตที่ร่างกายได้รับการชำระล้างคราบคาวความใคร่จนหมดจดกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำกรุ่นกำจายรอบกายคนรูปงามบ๋อมสูดมันเข้าไปเต็มปอดด้วยความลุ่มหลงมัวเมา 

       ตาเรียวสบกันยังคงเจือแววความไม่พอใจบางเบา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรุ่มกริ่มจนเด็กหนุ่มเขินอายหน้าแดงระเรื่อ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอแมคบุ๊คที่อยู่บนตัก บ๋อมขมวดคิ้วมุ่นระคนสงสัยกับปฏิกิริยานั่นแต่ก็เพียงครู่เดียวความสงสัยนั้นก็ปลิวหายไปกับรอยสัมผัสของมือเรียวที่ขยี้ลงบนผมของเขา

      “ฉันมาทำงาน”

      “เหรอครับ เออ...แล้วคุณจะพักที่นี่กี่วันครับ”

      “.........”

      “ละ...แล้วผมจะมาหาคุณอีกได้ไหม”

      “ไว้ถ้าฉันว่างแล้วจะบอก เธอจะกลับเลยไหม??”

      “อะ...เออคืนนี้ผมอยู่ด้วยไม่ได้เหรอ กว่าจะเจอคุณก็นาน...”

      “อย่าพูดไม่รู้เรื่อง”
ตาเรียวดุชำเลืองมองด้วยความหงุดหงิด เพียงครู่เดียวจึงยอมปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงแต่ก็ยังกร้าวกระด้างไม่พอใจอยู่ค่อนข้างมาก  “อย่างี่เง่าเธอก็รู้ฉันต้องทำงาน เอาเป็นว่าถ้าฉันว่างจะโทรหา”

      “กะ ก็ได้ครับ” 

       บ๋อมไม่อยากจะเซ้าซี้ให้คนนี้โกธร ได้แต่เม้มปากแน่นข่มความเจ็บ ตาสวยหรี่ลงอย่างอึดอัดและเจ็บปวดกับคำพูดของชายหนุ่มที่ทำเหมือนเขาเป็นอะไรสักอย่างที่มีไว้เพื่อบำบัดความใคร่  เด็กหนุ่มสะบัดหน้าพรืดด้วยอารมณ์น้อยใจตัดพ้อ  ขยับตัวลุกอย่างแรงจนหลงลืมไปว่าสภาพร่างกายบอบช้ำเพียงใด  น้ำตาที่ไหลอาบแก้มบ๋อมปาดเช็ดออกลวกๆ พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ...ก้มเก็บเสื้อผ้าที่ตกเรี่ยราดของตัวเองมาสวมอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะยับยู่และกระดุมหลุดหายไปกี่เม็ด

      “ผมกลับก่อนนะครับ” 

       เสียงบอกลาแผ่วเบาแหบโหยได้รับตอบกลับมาเพียงความเงียบงัน เมื่อเห็นว่าคนตัวโตไม่ได้ละจากหน้าจอแม็กบุ๊ก และไม่มีคำเอ่ยใดเป็นหลักประกันว่าเขายังมีตัวตนอยู่ตรงนี้สำหรับชายหนุ่ม จึงได้แต่กล้ำกลืนก้อนแข็งลงคอหันหลังจากมาอย่างเงียบงัน

      บ๋อมพาร่างบอบซ้ำของตัวเองเดินโซซัดโซเซไปจนถึงประตู  กำลังจะเอื้อมมือไร้เรี่ยวแรงไปเปิด แต่ประตูนั้นก็ถูกผลักเข้ามาก่อนทำให้บ๋อมฉากตัวหลบแทบไม่ทัน มือไขว่คว้าเกาะผนังเพื่อพยุงตัวไม่ให้เสียหลักล้มลงไป  ตรงกรอบประตูปรากฏภาพสองบอดี้การ์ดของชายหนุ่มและเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งคาดคะเนด้วยสายตาอายุน่าจะอ่อนกว่าเขาสักสองหรือสามปี หน้าตาน่ารัก ผิวขาวอมชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ปากอวบอิ่มสีชมพูสดยกยิ้มหยัน  ตากลมโตที่มองสบกันเต็มไปด้วยความสมเพชส่งมาให้บ๋อมๆ หลีกทางให้อย่างเหม่อลอยไม่ตอบโต้เมื่อถูกชนกระแทกไหล่อย่างแรงจากเด็กนั่น ทั้งหมดเดินผ่านเข้าห้องด้านในไปโดยไม่สนใจเขา  บ๋อมได้แต่หันมองตามโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมา

      “ข้างนอกน่ะใครเหรอฮะ”  เสียงหวานของเด็กนั้นเอ่ยถามชายหนุ่มในห้องอย่างมีจริตออดอ้อน

      “จะใส่ใจทำไม..เธอเรียกร้องความสนใจเพราะอยากให้ฉันกอดไม่ใช่เหรอ มานี่สิแสดงให้ฉันดูว่าเธอน่ากอดแค่ไหน”

      “ฮือออ...ดะ...เดี๋ยวสิฮะ.อ๊ะ...”


      หน้าตาเนื้อตัวร้อนไปหมดกับคำพูดและเสียงที่ได้ยินลอดออกมาจากในห้อง บ๋อมเร่งฝีเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วไม่ใส่ใจความเจ็บปวดของร่างกาย เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ความเจ็บปวดที่แยกแยะไม่ออกมันรายล้อมไปหมดจนตัวสั่นเทิ้มด้านชา ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปดึงกระชากทั้งคู่ออกจากกันด้วยความริษยาหึงหวง แต่เขาก็ทำไม่ได้... เขาไม่มีสิทธิที่จะทำอย่างใจคิด แค่เพื่อนของน้องชายมันไม่ได้บ่งบอกสถานะที่ชัดเจนอะไรสำหรับเขา...ไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น...

       อารมณ์ตอนที่เขาขึ้นไปใจเขาเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอก แต่ตอนนี้เสียงเต้นของหัวใจตัวเองเด็กหนุ่มก็แทบจะไม่ได้ยิน  บ๋อมบีบมือตัวเองจนแน่นเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  แต่คนที่เจ็บปวดก็มีแค่ตัวเองเท่านั้น..เกลียด เขาเกลียดตัวเองที่หลงรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน…รักด้วยความโง่เขลามาตลอดตั้งแต่แรกพบ




      น้ำนิ่งเฝ้ามองหน้าที่ซีดเผือดของบ๋อมแต่เสแสร้งทำเป็นร่าเริงสดใสอย่างกังวลมาตลอดเช้า พอเผลอและคิดว่าไม่มีใครเห็น บ๋อมเหมือนจะร้องไห้ออกมาทุกครั้ง พอน้ำนิ่งเอ่ยปากถามคนเป็นเพื่อนก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร เขาไม่รู้ว่าบ๋อมไปทำอะไรมาเมื่อคืนถึงได้มีสภาพย่ำแย่แบบนี้


      “เป็นอะไรรึเปล่า” 

       บ๋อมสะดุ้งตกใจเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเล็กอย่างงงๆ เบลอๆ พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น้ำนิ่งทำเป็นไม่สนใจอาการกระถดร่างหนีและตาแดงก่ำที่เหมือนจะร้องไห้ของเพื่อน สีหน้าที่ซีดเผือดทำให้น้ำนิ่งอดรนทนไม่ได้ ยื่นมือไปทาบหน้าผากและซอกคอของเพื่อนวัดอุณหภูมิ แล้วเป็นอันต้องชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อเจอกับร่างกายร้อนจี๋ของบ๋อม

      “ตัวร้อนจี๋เลย แล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรนี่นะ น้ำดูเหมือนพึ่งพาไม่ได้รึไงบ๋อมถึงไม่กล้าบอกว่าไม่สบาย ปวดหัวรึเปล่า”  น้ำนิ่งใส่ยาวด้วยมีสีหน้าร้อนรนและยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อบ๋อมไม่ตอบแต่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ คนตัวเล็กดึงเพื่อนเข้ามากอดมือเล็กลูบไปมาปลอบประโลมราวกับบ๋อมเป็นเด็กชายเล็กๆ

      “กลับไปพักไม่ต้องทำงานแล้ววันนี้  ไม่เป็นไรๆ ไม่ร้องน้ำอยู่นี่แล้ว” น้ำนิ่งผละอ้อมกอดของตัวเองเดินไปที่ตู้ยาหยิบแก้ไข้ตัวร้อนสองเม็ดพร้อมแก้วน้ำมายื่นให้บ๋อมกิน “นั่งรอตรงนี้เดี๋ยวน้ำไปบอกพี่ผู้จัดการก่อน” 

      “ป๊ะไปกันได้แล้ว”  น้ำนิ่งหายไปไม่นานก็กลับมาพยุงตัวบ๋อมให้ลุกขึ้นยืน แม้ตัวของน้ำนิ่งจะเล็กบอบบางกว่าด้วยสภาพร่างกายที่พร้อมกว่าก็พอที่จะฉุดรั้งให้บ๋อมเดินตามมาได้อย่างง่ายดาย

      “พี่แฝดรอตรงนี้แหละไม่ต้องตามเข้ามาหรอก” น้ำนิ่งหันไปสั่งห้ามเสียงเข้มเมื่อเห็นเมืองแมนและแดนสรวงทำท่าจะเดินตามเข้ามาในห้องนอนด้วย

      “แต่ว่า...”

      “ทำไมต้องขัดน้ำตลอดเลย” น้ำเสียงงอนๆ ของน้ำนิ่งทำเอาพี่แฝดยอมแพ้โดยดุษฎี ถ้าขืนยังดึงดันเด็กน่ารักของพวกเขาได้ขุ่นเคืองใจไม่ยอมพูดกับพวกเขาอีกหลายวันแน่

      “ถ้ามีอะไรเรียกพี่ดังๆ เลยนะ”  เมืองแมนดึงแขนน้องไว้เอ่ยกำชับด้วยความห่วงใย แดนสรวงไม่พูดอะไรแต่สายตาดุที่มองมาบอกให้รู้ว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

      “จะให้มีอะไรได้อีก บ๋อมไม่สบายอยู่เห็นบ้างไหมเนี่ย ไม่ต้องห่วงน่าแค่นี้เองไปนั่งรอดีๆ เลยไป๊”  น้ำนิ่งพยุงบ๋อมเดินเข้าห้องนอนไปจนถึงเตียง ผลักให้นอนลงกับเตียง แล้วเจ้าตัวดีเดินเลยเข้าไปในห้องน้ำ สักครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับอ่างน้ำใบเล็กและผ้าขนหนูนุ่มจัดแจงว่างทั้งหมดไว้บนพื้น เดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นกุกกักหาเสื้อที่คิดว่าใส่สบายมาให้เพื่อนเปลี่ยน

      “น้ำเช็ดตัวให้นะ จะได้สบายตัว” บ๋อมพยายามขืนตัวออกจากแรงฉุดดึงเสื้อผ้าออกจากตัวของน้ำนิ่ง

      “ไม่เป็นไรๆ เชื่อใจน้ำนะ” 

       น้ำเสียงอ่อนโยนห่วงใยของน้ำนิ่งทำให้ตาที่แดงก่ำจากพิษไข้ปรือขึ้นมองน้ำนิ่งด้วยอาการเหม่อลอยกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนเปลือกตาจะปิดลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากริมฝีปากที่แห้งผากของบ๋อม

       อาการนิ่งเงียบของบ๋อมจึงถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย มือเรียวเล็กจัดการถอดเสื้อกางเกงของบ๋อมที่นอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงออกอย่างเบามือ  พอเสื้อผ้าหลุดพ้นไปสภาพร่างกายภายใต้ร่มผ้าที่ปรากฏตรงหน้ามันหนักหนาสาหัสกว่าที่ตาเขาเห็น รอยฟันที่บางแห่งเลือดยังซึม รอยช้ำม่วง แทบไม่มีพื้นที่ว่างทั่วกายขาวเนียนทำเอาน้ำนิ่งผงะชะงักงันแทบทำอะไรไม่ถูก

       ริมฝีปากอิ่มของน้ำนิ่งเม้นแน่น เจ้าตัวดีสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะพรูมันออกมา มือเรียวเล็กหยิบผ้าขนหนูจุ่มลงในอ่างน้ำอุ่นบิดพอหมาดแล้วเช็ดไปตามหน้าตาเนื้อตัวของบ๋อมอย่างเบามือ   

      บ๋อมสูดปากแทบทุกครั้งเมื่อเช็ดไปถูกรอยกัด ร่างกายสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดและกระไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ น้ำนิ่งเม้มปากแน่นกลืนก้อนสะอื้นของตัวเองอย่างยากลำบากน้ำตาคลอแทบจะหยดด้วยความสงสารเพื่อนรัก  เมื่อเช็ดข้างหน้าจนทั่ว น้ำนิ่งจึงพลิกร่างบางของบ๋อมอย่างเบามือเพื่อเช็ดด้านหลัง แผ่นบางหลังที่เคยขาวเนียนก็ไม่ต่างจากด้านหน้าสักเท่าไร  แต่ที่ทำให้น้ำนิ่งเห็นแล้วแทบจะเบือนหน้าหนีน้ำตาที่พยายามกลั่นไว้ร่วงพรูทันทีด้วยความสงสารจับใจคือ ช่องทางด้านหลังบวมแดง รอยฉีกขาดเหวอะจนน่ากลัว มีเลือดสีแดงจางๆ ไหลปะปนมากับน้ำขุ่นคาวที่ซึมอยู่ไม่หยุด 

       น้ำนิ่งสะท้อนเจ็บแปลบในอกมือเรียวเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองลวกๆ รีบหยิบเสื้อกางเกงมาสวมให้บ๋อมดึงผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอ บ๋อมผล่อยหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยาแก้ไขแก้อักเสบ

       “น้ำอยู่ตรงนี้ไม่ต้องห่วงนะ” น้ำนิ่งยื่นมือไปปาดเช็ดน้ำตาตรงหางตาให้เพื่อน ก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเก็บอ่างน้ำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของบ๋อมไปไว้ในห้องน้ำ เมื่อจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อย จึงเดินมาหาพี่แฝดที่ห้องด้านนอก

       “พี่แดนไปซื้อยาตามรายการนี่มาให้ที บ๋อมอาการไม่ดีเลย”  นัยน์ตาหวานแดงก่ำเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส  น้ำเสียงที่บอกกับแดนสรวงไหวระริกเต็มไปด้วยความห่วงใยและกระวนกระวายใจเกินกว่าอะไรทั้งหมด

      “แย่มากเหรอครับ”  น้ำนิ่งพยักหน้าตอบรับต่อคำถามของเมืองแมนไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้เพราะก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมากะทันหันจนต้องยกมือเล็กของตัวเองปิดปากแน่น  แดนสรวงรีบถลาปราดเข้ามากอดปลอบมือแกร่งเช็ดน้ำตาให้น้อง รอยสัมผัสและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย

      “ไม่เป็นไร บ๋อมจะไม่เป็นอะไร เชื่อพี่นะคนเก่ง”

      “พี่ว่าพาบ๋อมไปหาอาหมอเถอะ เผื่ออาการหนักกว่าที่ตาเราเห็น” เมืองแมนตัดสินใจฉับพลันใกล้มือหมอดีกว่าจะรักษากันเองแล้วเป็นอะไรที่คาดการณ์ไม่ถึงความเสียใจที่ตามมาคงจะรับกันไม่ไหว

      “ก็ได้ฮะ”

       “แดนมึงไปอุ้มบ๋อมออกมา เดี๋ยวกูไปวนรถมารับที่หน้าตึก น้องไปเตรียมเสื้อผ้าของจำเป็นของเพื่อนไป๊คนเก่ง”  หลังสั่งเสร็จแฝดพี่รีบกระวีกระวาดออกจากห้องไป




      “แผลปริขาดรอบขอบทวารหนักลุงทายาให้แล้ว  ส่วนเลือดที่ไหลออกมาจากทวารหนักไม่หยุดนั่นเกิดจากการขูดขีดเสียดสีจากของแข็งที่กระแทกเข้าไปอย่างแรงทำให้ผนังทวารหนักเกิดรอยแผลหลายแห่งลุงเหน็บยาให้แล้ว  แล้วรู้อะไรไหมเลือดและน้ำอสุจิที่ลุงให้ทางแล็ปเขาตรวจสอบผลมันเจือปนสารบางอย่างอยู่”  สายตาของลุงหมอที่ทอดมองคนไข้บนเตียงซึ่งหลับเพราะฤทธิ์ยาอยู่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและห่วงใย

      “อะไรเหรอครับ” 

       แดนสรวงถามออกไปด้วยความอยากรู้ น้ำนิ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งงันกับสิ่งที่รับรู้ ใครกันช่างทำบ๋อมได้ขนาดนี้ เท่าที่รู้มาเพื่อนเขาอาจจะคะนองปากไปบ้างแต่ก็ไม่เคยคบใคร ไม่เคยมีแฟน เรื่องทำนองนี้บ๋อมไม่เคยพูดถึงอีกเลยตั้งแต่ครั้งแรกนั้น ที่สำคัญตั้งแต่มาฝึกงานที่นี่เป็นเดือนก็ไม่มีใครที่แสดงทีท่าสนใจบ๋อมถึงขนาดจะต้องทำอย่างนี้ ใครกันที่ทำ??

      “ทิงเจอร์ขาวหรือที่รู้จักกันดีในนามของเกล็ดขาว มันจัดอยู่ในกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเซ็กส์อย่างรุนแรง คนให้ยากับเพื่อนน้ำมันคงทั้งให้ดื่มแล้วก็สอด ถึงได้เจอหนักขนาดนี้”

      “ใครกันทำได้ขนาดนี้” น้ำนิ่งซวนเซแทบยืนไม่อยู่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของลุงหมอ  แดนสรวงเดินเข้าพยุงน้องนั่งลงที่โซฟา หน้าหวานที่แดนสรวงเห็นระบายเต็มไปด้วยความกังวลใจและห่วงใยเพื่อนสุดใจ

      “พี่จะสืบให้แล้วกันว่าใครเป็นคนทำ” 

      “ไม่ต้องห่วงนะแผลภายนอกลุงหมอรักษาให้หายได้”
ลุงหมอตบมือลงบนไหล่ของน้ำนิ่งอย่างให้กำลังใจ นิ้วใหญ่อวบอ้วนชี้ลงที่หน้าอกข้างซ้ายใจของตัวเอง  “แต่ตรงนี้ต้องการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว คนรอบข้างอย่างเดียว  อ้อเดียวมีข้อปฏิบัติอีกอย่างพยายามอย่าให้เพื่อนท้องผูกหรืออุจจาระแข็งล่ะ เดี๋ยวแผลจะไม่หาย ควรให้กินอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำมากๆ เข้าใจนะ”

      “ครับ”

      “เอาล่ะลุงต้องไปแล้วมีตรวจอีกเคส จะสั่งพี่พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษให้เลยวางใจได้  แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลย ลุงอยู่ตลอดแหละ”

      “ขอบคุณลุงหมออีกครั้งครับ”
  น้ำนิ่งยกมือไหว้ลุงหมออย่างขอบคุณจริงใจ ลุงหมอยิ้มอ่อนโยนให้น้ำนิ่ง มือใหญ่อวบอูมตบลงบนไหล่บางอย่างให้กำลังใจอีกครั้ง  เมืองแมนเดินไปส่งลุงหมอถึงหน้าประตู ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งลงข้างเตียงคนป่วย

      “น้ำจะอยู่เฝ้าบ๋อมนะ”

      “ไม่ได้!! คุณสิงห์ให้จ้างพยาบาลแล้ว”
น้ำนิ่งชักสีหน้าไม่พอใจที่สองแฝดปฏิเสธคำขอของเขาเสียงแข็งออกมาพร้อมกัน สองคนนี้เป็นร่างอวตารของภูมิรึไงนะถึงชอบขัดใจเขาจังเลย

      “แต่ว่าบ๋อม...”

      “ไม่มีแต่ครับ พี่รู้ว่าบ๋อมเป็นเพื่อนรักของน้ำ เดี๋ยวพี่จะอยู่เฝ้าเพื่อนเราให้อย่างดีก็แล้วกัน”


       เป็นเมืองแมนที่รับปากน้องอย่างแข็งขัน น้ำนิ่งมองสลับคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยสายตาวิงวอนออดอ้อน ยิ้มประจบอย่างที่เคยทำ แต่ทั้งคู่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว สายตาวิงวอนที่เคยได้ผลตลอดมากลับเสื่อมมนต์ขลังมันใช้ไม่ได้กับครั้งกรณีนี้ซะงั้น น้ำนิ่งได้แต่ทอดถอนหายใจหนักหน่วงยอมรับอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

      “รับปากมาก่อนว่าจะไม่ให้คลาดสายตา จะดูแลอย่างใกล้ชิด”  น้ำนิ่งประกาศกร้าวขอคำสัญญาจากเมืองแมน

      “วางใจเถอะน่า จะเฝ้าดูแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสัญญา โอเค๊” 

       เมืองแมนชูสัญลักษณ์สามนิ้วเป็นคำสัญญา  น้ำนิ่งจำต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้แต่สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นห่วงเพื่อนอย่างสุดใจอันนั้นทั้งคู่รับรู้ได้ แต่ปฏิบัติตามความต้องการของของน้ำนิ่งไม่ได้ในเมื่อทุกสิ่งอย่างมันเกี่ยวด้วยความปลอดภัยของน้องทั้งสิ้น








-มีต่อด้านล้าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 23:25:31 โดย WiChy »

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
- ต่อ-



      น้ำนิ่งบังคับให้เพื่อนนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์จนแน่ใจว่าแผลทั้งภายในภายนอกหายดีแล้ว  ลุงหมอจึงอนุญาตให้บ๋อมกลับบ้านได้ ระหว่างที่นอนพักรักษาตัวนั้นบ๋อมคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์จากคนรูปงามที่โทรเรียกหาตัวเองแต่นั่นก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ ที่พัดปลิวหายไปกับสายลมและแสงแดดที่สาดส่องไม่เคยหยุด ก็ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนนั้นคงงานยุ่ง ใจที่เต็มไปด้วยเพลิงเสน่หาของบ๋อมจึงไม่ร้อนรุมมากนัก 

      “พี่เมืองไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนผมก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว”   บ๋อมยิ้มหวานให้แฝดพี่ที่ขับรถมาส่งเขาถึงบ้านพักพนักงาน

      “ไม่ได้หรอกเดี๋ยวน้ำนิ่งจะตำหนิพี่ได้ว่าปล่อยปละละเลยเพื่อนของเขา” 

      “ผมไม่เป็นไรจริงๆ เห็นไหม”
  บ๋อมชูแขนเรียวเล็กของตัวเองเบ่งกล้ามให้แฝดพี่ดู เปล่งเสียงหัวเราะกังวานใสยืนยันว่าเขาหายแล้วจริงๆ  “อีกอย่างผมเกรงใจที่พี่เมืองต้องมาอยู่เป็นเพื่อนผมตั้งหลายวัน”

      “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า  บ๋อมก็เหมือนน้องพี่ๆ ยินดีจะดูแลอย่างดีให้เหมือนดูแลน้ำนิ่งนั่นแหละอย่าคิดมากเลย”

       “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พี่เมืองกลับเถอะครับเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ผมอยู่ได้อยากจะนอนพักคงไม่ออกไปไหนแล้ว”

      “เอางั้นก็ได้ตามใจเราเลย  ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้นะมีเบอร์อยู่นี่”

      “ครับสัญญาเลย”

      “ไปงั้นก็ขึ้นห้องซะ พี่จะยืนรอดูจนกว่าเราจะเข้าไปในห้อง”

      “ขอบคุณอีกครั้งที่ดูแลผมอย่างดี ไปนะครับ”
บ๋อมยกมือขึ้นโบกลาเมืองแมน ก่อนจะหลังกลับขึ้นบันใดตึกอาคารที่พัก เมื่อถึงห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องคนตัวเล็กหันไปยกยิ้มอีกครั้งให้เมืองแมนที่มองมาแทบไม่วางตา บ๋อมทำมือให้แฝดพี่กลับได้แล้วตัวเองก็เปิดประตูเข้าห้องไป




      รอยยิ้มที่ค้างอยู่ในหน้าหุบฉับทันทีเมื่อจมูกสูดเข้ากับกลิ่นจากน้ำหอมราคาแพงที่แสนจะคุ้นเคยอบอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศบางเบา  หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง บ๋อมรู้สึกว่าตัวเองสั่นไปหมด ความรู้สึกของเขาตอนนี้ทั้งอยากและไม่อยากเผชิญหน้ากับคนๆ นั้นเลยสักนิด..

      “จะไปไหน” บ๋อมกำลังจะขยับถอยหลังไปยังประตูต้องสะดุ้งสุดตัวชะงักงันไม่กล้าขยับขาที่สั่นพรึบของตัวเองก้าวออกไปไหน เมื่อเสียงทรงอำนาจของคนนั้นตวาดก้องมาจากระเบียงที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามันเปิดประตูค้างไว้อยู่

      “.....”

      “ฉันถามไม่ได้ยินรึไง”

      “ปะ...เปล่าครับ”
บ๋อมเม้มปากแน่น คนนั้นก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากัน ตาเรียวที่มองมามันดำมืดว่างเปล่าจนบ๋อมรู้สึกขนคอตั้งชันด้วยความกลัว เขาไม่รู้ว่าคนนี้คิดอะไรอยู่หรือมาหาเขาทำไม จึงได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น
 
      “คะ..คุณมาทำไม”  ความอึดอัดที่แผ่กระจายอยู่รอบตัวทำให้บ๋อมเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงสั่นระริก

      “มาทวงค่าความสุขและจิตวิญญาณที่เธอขายให้ฉันจำได้รึเปล่า”  ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม ขายาวก้าวเข้าประชิดตัวจนบ๋อมต้องถอยร่นไปติดกับผนังห้องอย่างไม่รู้สึก ร่างบางสั่นเทิ้มด้วยความกลัวผสมปนเปไปกับความโกรธที่ไม่รู้ว่าอะไรมันมากกว่ากัน

      “เงียบอยู่ทำไมหรือลืมไปแล้ว” คนตัวโตกว่ายื่นจมูกปากลงสัมผัสกับซอกคอขาวอย่างคุกคามจ้วงจาบ  “หรือฉันต้องทบทวนความจำของเธอ”  เขากระซิบอย่างคุกคามข่มขู่ ฝ่ามือเรียวราวกับผู้หญิงแต่แข็งแรงยิ่งกว่าคีมหนีบเหล็กดึงรวบแขนทั้งสองข้างของบ๋อมไว้เหนือหัว อีกข้างนวดวนอยู่แถวสะโพก บ๋อมพยายามสะบัดตัวหลบแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้

      “ยะ อย่าปล่อยผมเถอะ”

      “จะเล่นตัวทำไม สุดท้ายเธอก็ครางกระเส่าร้องขออย่างไร้ยางอายอยู่ใต้ร่างฉันอยู่ดี”
  ประโยคที่หลุดจากปากของคนรูปงามที่บ๋อมหลงใหลได้ปลื้มมาตลอดทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำบ่งบอกว่าทั้งอับอาย อับจน และโกรธแค้น จนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน

      “รู้ไหมฉันต้องจ่ายไปเท่าไรเพื่อพยุงฐานะการเงินของบริษัทพ่อเธอซึ่งไม่เคยมีวินัยทางการเงินมากี่ปี และอีกก้อนใหญ่เพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมของแม่เธอที่ทำตัวเหมือนสัมภเวสีร้องขอส่วนบุญจนน่าสมเพช” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเย็น ฝ่ามือลูบไล้เล้าโลมนวดเฟ้นไปตามร่างกายที่สั่นระริกของเด็กหนุ่มอย่างย่ามใจ

      “อึก....ยะ อย่า”

      “อย่าคิดแม้แต่ปฏิเสธ ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัว บริการฉันเอาให้ถึงใจเหมือนที่เธอเคยทำแบบวันนั้นก็ได้ หรือฉันสอนเธอให้ทำแบบเด็กนั่นดีล่ะ นั่นน่ะกะหรี่ที่ฉันเลี้ยงไว้ขายพวกแรงงานชั้นต่ำ ฉันเรียกมาใช้ต่อจากเธอไงจำได้รึเปล่าหืม”


       คำพูดจากปากคนรูปงามช่างเหมือนคมมีดที่กรีดลึกตามร่างกายจิตใจจนเป็นแผลเหวอะหวะ ทำไมจะไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นยังไง แต่นั่นก็คือพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขามา คำพูดดูถูกเหยียดหยามถึงพ่อแม่ก็เหมือนพูดให้เขาเช่นกัน ความโกรธกรุ่นอยู่เต็มอกเขาอยากจะด่าใส่หน้าคนนี้ให้สาแก่ใจ อยากจะมีมีดสักเล่มในมือจะจ้วงแทงและควักหัวใจของคนนี้ออกมาดูว่ามีความเห็นใจเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เหมือนกันหรือไม่  แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้...เพียงเพราะรักเหลือเกิน รักจนไม่กล้าที่จะแตะต้องเกิดริ้วรอย

      ชายหนุ่มดึงกระชากบ๋อมเข้าไปในห้องนอนอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผลักอย่างแรงจนร่างบางทรุดลงกับพื้นห้อง  มือเรียวเลื่อนแกะเข็มขัดออกช้าๆ ริมฝีปากแสยะยิ้มหยัน  บ๋อมเบือนหน้าหนีด้วยความอดสูใจแต่ก็ถูกรั้งกลับมามองความพองนูนที่เบียดชิดอยู่กับหน้าตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

      สุดท้ายแล้วบ๋อมได้แต่เลื่อนมืออันสั่นเทาขึ้นไปปลดกระดุมกางเกงยีนส์ออกและรูดมันลงด้วยปากอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา ริมฝีปากอวบอิ่มคอยรองรับคาวความใคร่ทั้งหมดที่หลั่งรดลงมาจนแทบสำลัก และยิ่งตอกย้ำความด้อยค่าไร้ศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเองเมื่อต้องทำตัวร่านโลกีย์ตามที่คนรูปงามกะเกณฑ์จนกว่าจะพึงพอใจ...

       ทั้งหมดทั้งมวลที่บ๋อมทำมาหลายชั่วโมงนั้น เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่  เพื่อความพึงพอใจของคนรูปงาม  เพื่อความรักที่มีต่อคนรูปงาม หรือเพื่อความสะใจกันแน่  แต่ที่ตกตะกอนขุ่นคือความอดสูและสิ้นหวังของตัวเองที่เด่นชัดอยู่ในอารมณ์

      “ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ฉันเลือกเธอ” ชายหนุ่มรูปงามแสยะยิ้ม แววตาหื่นกระหายที่มองสบมาตรึงให้ร่างกายของบ๋อมสั่นระริกอย่างหวาดกลัว เขาเหนื่อยแทบขาดใจกับการปรนเปรอชายหนุ่มมาหลายชั่วโมง

      “จะทำอะไร พอเถอะผมขอร้อง”

      “หึ หึ ไม่ต้องกลัวฉันอิ่มและสะอิดสะเอือนเกินกว่าจะกินอะไรซ้ำซาก”

      “ละ แล้วจะให้ผมทำอะไร..??”

      “ยั่ว”

      “ยั่ว??  ใคร??”

       “ใช่ ฉันอยากให้เธอล่อหลอกเด็กนั่นเพื่อนเธอที่ชื่อน้ำนิ่งใช่ไหมเอาตัวเขามาให้ฉัน ระหว่างนั้นฉันอยากให้เธอทำยังไงก็ได้ให้ไอ้ภูมิรพีกับไอ้เหี้ยเซนมันหลงใหลเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ถ้ามันจะฆ่ากันเพราะเธอได้ยิ่งดี มันเป็นงานที่เธอถนัดอยู่แล้วนี่ เธอทำได้แน่”

      “จะทำอะไรน้ำนิ่ง เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ”
  บ๋อมขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว คนรูปงามมองอย่างเย้ยหยัน แสยะยิ้มพอใจ

      “ก็ไม่รู้สิฉันยังไม่มีแพลนสำหรับเรื่องนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำแล้วไอ้พี่น้องคู่นั้นกระอักเลือดแน่ๆ คิดแล้วชักน่าสนุกนะเธอว่าไหม”

      “คะ..คุณผมขอร้องอย่าทำอะไรเพื่อนผมเลยนะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ผมขอร้อง”
เป็นอีกครั้งที่บ๋อมร้องขออย่างสิ้นท่าแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกระอายที่จะทำอะไรเพื่อนคนดีอย่างน้ำนิ่งบ้าง

      “คนที่ขายจิตวิญญาณอย่างเธอยังจะมีสิทธิอะไรมาต่อรอง  ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเล่นตุกติกกับฉัน อย่าแม้แต่คิดว่าความตายมันจะทำให้เธอหลุดพ้น  เธอยังไม่รู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”  มือแกร่งผลักร่างของบ๋อมให้ห่างตัวราวขยะแขยง ร่างสวยงามลุกจากเตียง เดินไปหยิบกางเกงมาสวมใส่อย่างเรียบร้อยเหมือนตอนที่เข้ามา ก่อนออกไปจากห้องคนรูปงามบีบกุมหน้าบ๋อมจนปวดกราม พูดคุกคามข่มขู่เสียงเข้มเย็นริมหู 

       “อย่าได้คิดลองดี”


      บ๋อมปล่อยโฮร่ำไห้อย่างอดสูใจกับทางที่ตัวเองกำลังเผชิญ จะก้าวเดินไปทางไหนก็มีแต่ไฟร้อนแผดเผาราวกับขุมนรก มีทางเลือกแค่ทางเดียวก็เท่ากับไม่มีทางเลือกเลย....เขาจะทำยังไงดี















TBC. 


ปล. มาต่อแล้วนะครับ ขอโทษที่หายไปนานอันเนื่องจากภารกิจรัดตัว  ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา  และไม่ว่าจะอ่านอะไรก็ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ  :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2016 09:30:49 โดย WiChy »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #200 เมื่อ19-01-2016 14:26:51 »

เด็กเลี้ยง

-29 -










29


      “เพื่อนเป็นยังไงบ้าง”

      ภูมิรพีละมือจากงานที่ทำอยู่ยิ้มอ่อนโยนให้น้ำนิ่งที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด ภูมิรพีเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไปยังแดนสรวงที่เดินตามเข้ามา ฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธ เลยเดินไปหาแต่คนที่เอาแต่กัดเล็บนิ้วมือด้วยสีหน้าครุ่นคิดก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าถูกปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนจากคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นนานหลายนาที

      “คิดอะไรอยู่หืม”   

      “.....”

        “น้ำนิ่ง!”
น้ำนิ่งสะดุ้งทำหน้าเลิกลักงุนงงไม่เข้าใจว่าภูมิรพีพูดอะไรกับตัวเอง คนตัวโตหลุดหัวเราะในลำคออย่างขบขัน

      “วะ...ว่าอะไรนะครับ”

      “ถามว่าคิดอะไรอยู่หน้างี้ยุ่งเชียวฮึม เพื่อนเป็นยังไงบ้าง”

      “ทั่วๆ ไปก็ดีแล้วฮะ แต่ไม่รู้สิท่าทางเขาเหมือนฝืนๆ เหม่อๆ เรียกตั้งนานกว่าจะรู้สึกตัว ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก”

      “คงจะเรื่องส่วนตัวมากๆ ที่ไม่สามารถบอกเราได้นั่นแหละ หนูต้องเหลือพื้นที่ให้เพื่อนเขาได้มีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะบอก อย่ากังวลเลยน่าถ้าพร้อมเขาก็บอกเองแหละเอาน่า” 

      “ก็รู้ไง แต่เข้าใจเปล่าว่านอยด์ แค่อยากบ่น เรื่องที่หมางเมินกับเอก็ยังไม่เคลียร์ มาเจอเรื่องนี้อีกยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ทำยังกับว่าเป็นคนอื่นคนไกลปากบอกว่าเพื่อนที่รักและไว้ใจมากที่สุดไม่ใช่รึไง น้ำน่ะถึงบางเรื่องจะช่วยไม่ได้แต่ก็ช่วยฟังและให้กำลังใจได้นะไม่ได้เปล่าประโยชน์ซะหน่อย เบื่อเหรอ?”

      “ใครจะกล้า พ่อคุณพ่อมหาจำเริญเลิศเลอค่าเอาที่พ่อสบายใจเลย”
  มือใหญ่ยกขึ้นบีบแก้มน้ำนิ่งอย่างหยอกเอิน คนตัวเล็กพยายามสะบัดหน้าหนีแรงบีบแต่ก็ไม่หลุดพ้น 

       “อ่อยอะ! เอ็บอ้ำอดแอ้วเอี่ย”  (ปล่อยนะ! เจ็บช้ำหมดแล้วเนี่ย)  ภูมิยิ้มกว้างกับหน้าตาเหยเกนั่นแต่ก็ยอมปล่อยมือออก แต่เอาไปวางแปะไว้บนหัวแล้วโยกไปมาแทน

       “เอาน่าเลิกคิด เดี๋ยวสักวันก็รู้เองแหละเมื่อบ๋อมเขาพร้อม พรุ่งนี้วันหยุดถ้าห่วงเพื่อนก็ชวนมาพักที่ไร่สิ”

      “ได้เหรอฮะ”
คนตัวเล็กยิ้มร่าโผตัวกอดภูมิรพีเต็มแรง หอมแก้มสากซ้ายขวาของอีกคนอย่างขอบคุณ แพลนที่จะทำนั้นนู้นนี่กับเพื่อนผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด บรรยากาศดีๆ แถวน้ำตกท้ายไรคงจะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของบ๋อมให้กลับมาร่าเริงสดใสได้อีกครั้ง

      “ได้อยู่แล้ว” ภูมิรพียิ้มอบอุ่น มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ระหน้าขึ้นทัดหูเล็ก น้ำนิ่งหันมายิ้มขอบคุณแล้วกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ในมือ แขนแกร่งยกคนตัวเล็กมานั่งกลางหว่างขาตัวเอง จมูกโด่งเป็นสันกดลงแผ่วเบาที่ลาดไหล่บางกรุ่นกลิ่นกายหอมละมุนจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่าจนพอใจก่อนจะวางปลายคางบนบ่าคนตัวเล็กนิ่ง  แขนเรียวเล็กโอบรอบคอสอดนิ้วเข้าไปผมนุ่มของภูมิรพีเกลี่ยเบาๆ อย่างหลงลืมตัวตามความเคยชิน

       ภูมิรพีชะโงกหน้าข้ามไหล่บางมองดูมือเรียวเล็กสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปมาค้นหารายชื่อคนที่ต้องการแล้วก็กดโทรออกทันทีคนตัวเล็กมีสีหน้ากังวลเมื่อรอจนสายตัดไปก็ไม่มีคนรับ จึงพยายามโทรออกอีกเกือบสิบสายผลตอบกลับมาก็ยังเหมือนทุกครั้ง จึงกระหน่ำส่งข้อความทั้งไลน์ แทงโก้ วอทแอพ ทุกช่องทางที่ใช้กันอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา  แววกังวลเจือทั่วหน้าหวานหันกลับมากะทันหันเพื่อขอความเห็นจากอีกคนเป็นผลให้แก้มนิ่มชนเข้าเต็มๆ กับจมูกของภูมิที่รอจังหวะอยู่แล้ว น้ำนิ่งค้อนปะหลับปะเหลือกหน้าขึ้นสีระเรื่อ

      “ชื่นใจ”

      “คนบ้า” 

      “หึ หึ บ๋อมเขาอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้โทรศัพท์ อีกทีอาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้ ลองโทรถามพี่เมืองสิว่าอยู่ไหนแล้ว”
  ปลายสายตอบรับแทบจะทันทีพร้อมเสียงนุ่มอ่อนโยน

      //พี่ทำงานให้เฮียอยู่ น้ำมีอะไรรึเปล่าครับ//

      “น้ำติดต่อบ๋อมไม่ได้เลยไม่ว่าจะทางไหนๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

      //อาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้ ก่อนพี่ออกมาเจ้าตัวเขาบอกพี่แบบนั้น//

      “ถ้านอนจริงก็ดี กลัวจะไม่ใช่น่ะสิ พี่เมืองก็เห็นท่าทางฝืนๆ แบบนั้นมันดูไม่โอเคเลยนะ”

      //พี่รู้ แต่เพื่อนเราเขาก็โตแล้วนะ คงไม่ทำอะไรโดยไม่คิดหรอกครับ //

      “อารมณ์ชั่ววูบน่ะทำให้คนทำอะไรได้โดยไม่คิดมานักต่อนักแล้วนะฮะ เพื่อความสบายใจวนไปดูให้น้ำอีกทีนะฮะได้โปรด”

       //ก็ได้ ก็ได้ ยอมเราจริงๆ เลย เสร็จงานแล้วพี่วนกลับไปดูให้ หรือถ้าจะให้แน่ใจพี่เอาตัวไปพักที่ไร่เลยดีไหมหึ//

      “ถ้าได้แบบนั้นก็จะขอบคุณมากเลยฮะ”

      //หึ หึ แล้วเจอกันเจ้าแสบ//

      “ไม่ต้องซิ่งมากนักนะพี่ชาย รู้นะน้ำเป็นห่วง”  น้ำนิ่งวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะเล็กหน้าโซฟา สีหน้าดูผ่อนคลายมากขึ้น ภูมิรพีดึงมือเล็กเข้ามากุมไว้ในมือของตัวเองยกยิ้มอ่อนโยน

      “มันว่าไงบ้างหืม”

      “บ๋อมอาจจะนอนอยู่ เดี๋ยวพี่เขาจะวนรถกลับไปดูให้ฮะ”

      “อืม หิวรึยังจะทุ่มแล้ว”

      “ยังไม่หิวเลย กินเป็นเพื่อนบ๋อมก่อนเข้ามานี่ ภูมิหิวรึเปล่า

      “ยัง รอกินพร้อมหนูดีกว่าเนอะ”

       “ท้องติดกันที่ไหนล่ะ หิวก็กินจะรอทำไมเดี๋ยวได้ปวดท้อง”

      “หิวเหมือนกันแต่เป็นนี่นะ”
  น้ำนิ่งปัดมือคนขี้แกล้งออกจากกล่องดวงใจและยอดอกตัวเองเป็นพัลวัน  สบเข้ากับสายตาล้อเลียนของแดนสรวงยิ่งเขินอาย  ถึงจะไม่อายที่จะบอกกับสาธารณชนว่าตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ถึงขนาดจะให้มีแสดงบทพิศวาสโอ้โลมต่อหน้าแดนสรวงและบอดี้การ์ดคนอื่นที่ยืนหัวโด่อยู่สองสามคนอย่างโจ่งครึ่มก็ใช่ที่  ร่างสะบัดตัวจนหลุดจากวงแขนแกร่งโดดไปยืนอีกฝั่งฉับไว

      “ชะ ใช่เรื่องรึไง”

      “หึ หึ ไม่ทำหรอก มานี่มา”
  รอยยิ้มกวนๆ ที่ประดับบนหน้าหล่อเหล่ายิ่งทำให้น้ำนิ่งหมั่นไส้อยากจะซัดสักเปรี้ยง แต่ที่ทำคือฟาดมือลงไปบนฝ่ามือใหญ่ที่กวักเรียกค่อนข้างแรง ภูมิรพีไม่ว่ากระไรแต่สายตาคมออกแววท้าทาย เร่งรัดจนร่างบางยอมเดินเข้าไปหาอย่างงอนๆ อยู่ดี  ภูมิรพีจูงมืออีกคนที่ไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เลื่อนแฟ้มเอกสารมาให้ตรงหน้า  คิ้วเรียวบางเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม

      “ทำรอไปจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  ง่ายตรวจตัวเลขในบัญชีนี่กับเอกสารใบประมาณราคาในแฟ้มนี้ให้ทีว่ามันตรงกันรึเปล่า ถ้าเจอผิดก็วงไว้นะ ภูมิจะให้เขาเอาไปแก้ทีหลัง โอเคนะ”

      “ได้ครับท่าน ไม่มีปัญหาครับนาย”
  ภูมิรพีแจกมะเหงกกลางหน้าผากมนเป็นรางวัลสำหรับท่าทางล้อเลียนลูกน้องเขาอย่างหมั่นไส้
 
      “เดี๋ยวเถอะ ยอกย้อนทำไปเงียบๆ เลย”   คนตัวเล็กเบ้ปากไหวไหล่ไม่ได้แสดงอาการว่าเกรงกลัวต่อเสียงคำรามในคอของภูมิรพีแม้สักนิด มือหนาชี้บอกให้รีบทำงานแถมหน้าดุสำทับมาทำให้น้ำนิ่งหลุดยิ้มประจบก่อนจะก้มหน้าลงทำงานตรงหน้า ภูมิรพีส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจแกมเอ็นดูชักจะเอาใหญ่แล้วเจ้าเด็กนี่ แต่ก็เพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เขา

      ……………………………….






      “บ้าเอ๊ย!!”

      เมืองแมนสบถด้วยความไม่พอใจที่มาถึงห้องของบ๋อมแล้วเห็นว่าประตูห้องเปิดแง้มอยู่ เจ้าเด็กนี่มันไม่มีสัญชาตญาณการระมัดระวังตัวเลยเหรอวะ หรือต้องให้เห็นโลงศพก่อนจึงจะหลั่งน้ำตา คนตัวโตนึกตำหนิแล้วยิ่งประหลาดใจหนักเมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ดังเล็ดลอดออกมาจากหลังประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่ ร่างสูงสาวเท้าอย่างเร่งรีบตามเสียงไปจนถึงประตูห้องนอนมือผลักเปิดกว้าง

      “ฉิบ!!...หายแล้...ว”

       เมืองแมนหลุดสบถอีกครั้งกับสภาพห้องและเจ้าของห้องอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนั่งกอดเข่าบนพื้นหน้าเตียงซบหน้าลงกับเข่าร่างสะท้านไหวตามแรงสะอื้น เสียงร่ำไห้ที่ดังก้องบ่งบอกถึงความเจ็บปวดและอดสูใจหนักหนาสาหัสนั่นบาดลึกเข้าไปใจจิตใจที่แข็งแกร่งของเมืองแมนจนกระตุก

       เมืองแมนนั่งลงตรงหน้าร่างสั่นเทา  มือหนาวางลงบนไหล่บางเขย่าเบาๆ บ๋อมสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองคนที่มาใหม่ด้วยอาการชะงักงัน ตาที่สบกันบวมแดงกลบไปด้วยหยาดน้ำตา กลิ่นคาวความใคร่ที่เลอะตามใบหน้า ลำคอ ตลอดจนหน้าอกที่เผยรำไรฟุ้งตลบจนต้องเสหน้าหนีด้วยความสะท้อนใจที่จุกแน่นในอกจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้

       กรามแกร่งบดแน่นจากความขึงโกรธตัวเอง ถ้าเพียงแค่เขาเดินตามมาส่งจนถึงห้อง สละเวลารอดูอีกนิดให้แน่ใจจึงออกไป หรือรีบมาตั้งแต่ตอนที่น้ำนิ่งโทรหาไม่มัวโอ้เอ้กับลูกค้าคนนั้นของเฮียทั้งที่งานเสร็จแล้วเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดซ้ำรอยเดิม 

       มือใหญ่สากดึงร่างที่ยังสั่นเทาจากการร่ำไห้เข้ามาในวงแขนแกร่ง เขาอยากจะขอโทษแต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเมืองแมน มันน่าละอายเกินกว่าจะพูดว่าขอโทษออกมาได้ ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วห้องนานนับชั่วโมงจนร่างสั่นไหวและเสียงร่ำไห้สงบลง

      เมืองแมนโอบอุ้มร่างที่หลับใหลไปวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำมาเช็ดตามหน้าตา ลำคอ และหน้าอกของบ๋อมจนสะอาด หยิบเสื้อผ้าเพียงกี่ชุดจากในตู้มาเปลี่ยนให้ ปลุกคนตัวเล็กขึ้นมากินยาแก้ไข้แก้อักเสบที่ได้จากโรงพยาบาลรอจนหลับไปอีกครั้งจึงหันไปเก็บทุกอย่างของเจ้าตัวยัดใส่เป้สะพายใส่บ่า เสร็จแล้วจึงอุ้มร่างคนที่หลับใหลไปวางบนเบาะข้างคนขับอย่างเบามือส่วนตัวเองอ้อมมาฝั่งคนขับก่อนจะเคลื่อนรถออกไปจากบริเวณบ้านพักไปยังไร่อย่างเร่งรีบ

      ..........................................




      “ทำไม เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน...” 

       สายตาที่ทอดมองร่างหลับใหลบนเตียงกว้างเต็มไปด้วยความสับสนจนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรมากกว่ากันระหว่างความกังวล ห่วงใย หรือความกลัวที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าเกาะกุมแทบจะเต็มพื้นที่หัวใจทำให้เสียงที่เปล่งออกมาแหบโหย วงแขนแกร่งของภูมิรพีดึงร่างบางซบแนบอกมือลูบปลอบประโลมให้คลายกลัวและกังวล

      “ซู่ว์...ไม่เป็นไรแล้ว เราจะหาทางช่วยเพื่อนหนูด้วยกันอย่ากังวล”

      “พี่ผิดเองที่ไม่ดูให้แน่ใจก่อน”

      “มันไม่ใช่ความผิดของพี่เมืองหรอกอยากโทษตัวเองเลย คนที่จ้องทำลายกับคนที่ถูกทำลายความระแวดระวังมันต่างกัน”

      “แต่ถึงอย่างนั้น...”
  เมืองแมนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหน้าน้ำนิ่งตรงๆ มันอึดอัดละอายใจเหมือนน้ำท่วมปาก ถ้าเขาจะถูกเฮียซัดมาสักหมัดสองหมัดยังจะดีคำพูดเหมือนเขาไม่ผิดอะไรเลย

      “เอาน่าไม่มีใครอยากให้เรื่องมันเกิดหรอก มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป จะฟื้นฝอยหาตะเข็บว่าใครผิดใครถูกทำไมมันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จำไว้เพราะทำอย่างนี้จึงเกิดเหตุนี้ต่อไปจะคิดจะทำอะไรจะได้มีสติและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทใช่หรือเปล่าเมืองแมน”  แม้น้ำเสียงของภูมิรพีจะเรียบนิ่งเหมือนไม่ยี่หระแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานจนรู้มือรู้เท่ากันมีหรือจะไม่รู้ว่าเฮียกรุ่นโกรธกับการกระทำของเขาแค่ไหน

      “ครับเฮีย”

      “อย่าครับแต่ปาก ต้องทำด้วย”

      “ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”

      “ยังจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ”

      “ไม่ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
 
        “อย่าสัญญาถ้าทำไม่ได้  ไปพักผ่อนได้แล้ว”

      “ผมว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนั่น” 

      “ตามใจ”   

      “น้ำฝากด้วยนะพี่เมือง”

      “ครับ”


      .......................................






ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #201 เมื่อ19-01-2016 14:27:58 »




      “เห็นแบบนี้แล้วภูมิยังยืนยันเหมือนเดิมนะว่าไม่อยากให้ฝึกงานที่โรงแรมนั่น  แม้จะบอกว่าปลอดภัยแต่บางอย่างมันก็เหนือการควบคุมจริงๆ  เข้าใจที่พูดหรือเปล่า”

      “แจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เพราะมันมัวแต่กัดผู้ใหญ่จนลืมกัดเด็กที่เดินตาม”  น้ำนิ่งเบ้ปากทำท่ายักไหลไม่ยี่หระพร้อมหัวเราะร่วนราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน

       “มันน่าตลกนักหรือไง” คำพูดและกริยาท่าทางของน้ำนิ่งทำให้เชื้อไฟของความโกรธที่ปะทุอยู่ในอกระเบิดตูมภูมิรพีสวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ตาวาวโรจน์ขึ้นสีเข้ม แต่ก็เพียงชั่วครู่ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ

      “ก็ไม่ตลกเหรอฮะ ที่นั่นเป็นที่สาธารณะแขกเข้าพักก็พลุ่กพล่าน หนูอยู่ที่นั่นเกือบสองเดือนแล้วไม่เห็นจะมีอะไรทุกคนก็รู้จักกันหมด ภูมิคิดได้ไงว่าจะมีคนร้าย  เรื่องพี่แฝดก็เหมือนกันหนูโตแล้วดูแลตัวเองได้ไม่เห็นจะต้องมีคนคุมอย่างกับนักโทษติดเคอร์ฟิวตลอดเวลาแบบนั้น คิดๆ ดูบางทีภูมิก็ทำอะไรเกินกว่าเหตุ ห่วงซะใหญ่โตจนพี่ๆ ที่โรงแรมเขามองหนูเป็นตัวตลกหมดแล้วด้วย”

       “เรื่องของบ๋อมวันนี้หนูมีโอกาสได้ดูกล้องวงจรปิดทุกตัวอย่างละเอียดแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ บ๋อมน่าจะรู้จักสนิทกันดีเพราะบ๋อมเป็นคนไปหาคนนั้นเอง  เพราะงั้นจะโทษว่าเป็นเพราะโรงแรมก็ไม่ถูกอีก” ภูมิรพีนิ่งสนิทกับคำพูดตื้นเขินของคนตรงหน้า พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจให้อารมณ์เย็นลง แต่มือที่กำแน่นก็ยังคลายออกยกนิ้วขึ้นดีดหน้าฝากสวยของน้ำนิ่งสุดแรงเพราะเหลืออดเหลือทนกับอะไรหลายๆ อย่าง

      โอ๊ย!! เจ็บนะดีดหนูทำไม”  มือเล็กยกขึ้นคลำหน้าผากที่ปรากฏรอยแดงของตัวเองปอยๆ

      “เจ็บ? อาย? อะไรมากกว่ากันล่ะ”   ภูมิรพีปรายตามองคนข้างๆ ด้วยสายตาเจ็บปวดระคนผิดหวัง น้ำนิ่งตระหนกกับแววตานั่น  น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรแต่สำหรับน้ำนิ่งมันคือสัญญาณของระเบิดเวลาชัดๆ  อยากจะตบปากตัวเองนักที่คะนองปากพูดไม่รู้จักคิด

      “อะ เออหนูไม่ได้หมายความตามที่...”
      
        “เข้าใจแล้ว”

      “ตะ แต่ว่าคือ...”
  ยิ่งภูมิรพีนิ่งเงียบน้ำนิ่งยิ่งรู้สึกร้อนรนอยากอธิบายว่าไม่ได้คิดตามที่พูดออกไป ก็แค่คะนองปากไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ แต่คำพูดคำอธิบายมันก็จุกอยู่แค่คอไม่หลุดจากปาก จึงได้แต่ก้มหน้ามองมือชื้นเหงื่อของตัวเองบิดไปมาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนข้างตัว

      “ไปนอนเถอะดึกแล้ว ขอตัวนะมีงานต้องทำ”  ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่แม้แต่จะปรายตาสบกับน้ำนิ่งซึ่งกลั้นใจเงยหน้ารออยู่ด้วยซ้ำ คนตัวโตก้าวเดินออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำอธิบายของน้ำนิ่งที่หน้าเสียมองตามด้วยสำนึกกับความคะนองปากพูดโดยไม่คิดของตัวเอง


       ...................................




      “บ้าจริง” 

       ร่างบางหงายหลังนอนแผ่ลงบนเตียง มือเล็กตบลงบนปากของตัวเองซ้ำๆ ก่อนจะปล่อยมันตกลงข้างตัว หลับตานิ่งจ่อมจมอยู่กับอารมณ์ปวดหน่วงจากแววตาเจ็บปวดและผิดหวังของภูมิรพีเมื่อยี่สิบนาทีก่อน

       มือป่ายปัดไปมาสะดุดกับความเย็นของโทรศัพท์หยิบขึ้นมาดูนั้นนู้นนี่แก้เซ็งสุดท้ายจบลงที่ แกลเลอลี่ที่เต็มไปด้วยภาพของภูมิรพีในอริยาบถต่างๆ นิ้วเรียวสไลด์ภาพไปเรื่อยจากภาพแรกที่แค่ยิ้มจนยิ้มกว้างที่สุด ไม่ว่าในภาพนั้นภูมิรพีจะทำอะไรอยู่แต่สุดท้ายแล้วความรัก ความห่วงหวงที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของภูมิรพีก็หยุดอยู่ที่น้ำนิ่งเสมอ ความอุ่นวาบเกิดขึ้นในใจจนอยากจะร้องไห้

      ‘หัวใจยังเต้นแรงเหมือนทุกครั้งที่อยู่ใกล้ นั่นเรียกว่าอายเหรอ’

       นิ้วเรียวเกลี่ยไล้หน้าจอโทรศัพท์ตามโครงหน้าที่ยิ้มกระจ่างราวกับว่านั่นเป็นหน้าของคนที่อยู่ห้วงคำนึง

      ‘ดวงตะวันของนภนที’


      ………………………………………




      “เฮียเซนน้องคิดถึงงงงงง”  

      //ไม่ต้องมาปากหวาน เฮียรู้หรอกถ้าไม่ทะเลาะกันไม่มีทางคิดถึงเฮีย//

      “ไม่ใช่ซะหน่อยน้องคิดถึงเฮียจริงๆ ที่ไม่ค่อยได้โทรหาเพราะเขาเรียนหนักหรอก ไม่เชื่อเหรอ งั้นเขาไม่รบกวนก็ได้”

      //เออๆ แมร่งเอาแต่ใจ พูดมาทำอะไรให้มันโกรธอีก//

      “ชิร์!! ไม่มีซะหน่อย”

      //ยังจะปากแข็ง มันคงจะนิ่งเงียบเย็นชาใส่ แถมกระเตงบั้งข้าวหลามหนองมนหนีด้วยล่ะสิใช่ไหม//

      “เฮียเซนนนน!!  เสื่อมกับน้องจะฟ้องเกลล์”

      //ก็ความจริงไม่ต้องโลกสวยเฮียรู้ว่าเราชอบ แม่ก็รู้  ตกลงว่าไง//

       “ก็นิดหน่อย”

      //บั้งข้าวหลามนะเหรอ??//

      “เฮียเซนนนนน จะไม่ฟังใช่ไหม”

      //เออ เออ  แต่เสียงเราเฮียว่าไม่นิดละม้างงง ทำอะไรให้มันโกรธขนาดนั้น//

       “ก็แบบว่า..........เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ”

      //สมควร เป็นเฮียจัดหนักไปแล้วไม่ปล่อยให้ต่อปากต่อคำหรอก แล้วเราน่ะเคยสำนึกรึเปล่า//

      “เฮียอ๊ะ แทนที่จะปลอบนี่อะไรพูดซ้ำเติมอยู่ได้”

       //เพราะมันรัก ห่วง หวงเรามากไง ถึงพยายามกันน้ำให้อยู่วงนอก อยากให้น้ำใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติทั่วไป ไม่อยากให้เดินเข้าสู่วังวนชีวิตมืดบอดเหมือนสิงห์เหมือนเฮีย..//

      “ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อก็ไม่เห็นจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นซะหน่อย”

       //เฮ้อ!! ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาง่ายๆ เรื่องนี้มันสืบเนื่องจากธุรกิจของครอบครัว ก็คงพอจะรู้นะว่ายังไง  ตอนนี้เรามีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่ม ACE ของไต่ซินหยาง  ถ้าเพลี่ยงพล้ำหมายถึงชีวิตอย่างเดียว โรงแรมนี่ก็ถูกไต่ซินหยางเทคโอเวอร์ก่อนหน้าที่น้ำจะตอบตกลงมาฝึกงานไม่ถึงเดือน แล้วไอ้นั่นก็ดันเข้ามาพักที่นี่ซะอีกทุกอย่างมันดูบังเอิญเกินไปจนน่ากลัว  เรื่องเพื่อนเรานั่นก็อีกมันน่าคิดไหมล่ะ เราดูกล้องวงจรปิดไปแล้วนี่ไม่คุ้นบ้างเลยเหรอ  เพราะรักมากหวงมากไงมันเลยห้ามทุกเรื่องที่เป็นอันตราย  กันไว้ดีกว่าแก้แต่คนเราก็ดันรั้นเสาะแสวงหาเรื่องดีนัก เราน่ะเล่นกับความรู้สึกของคนที่รักเกินไปก็สมควร ที่พูดนี่ไม่ได้ซ้ำเติมหรอกนะแต่อยากให้คิด//

      “มะ ไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้ ภูมิไม่เคยเล่าไม่เคยพูดถึงสักครั้ง แต่อยู่ๆ ก็มีคนคอยติดตามทุกฝีก้าวก็น่าสงสัยอยู่แต่ก็ไม่ได้ถาม แต่มันน่าหงุดหงิดไงรู้สึกเหมือนถูกคุมประพฤติติดอยู่ในพื้นที่เคอร์ฟิวตลอดเวลา ภูมิทำเกินไปรึเปล่าก็เหวี่ยงใส่ภูมิไปโดยไม่คิดหลายครั้ง”

      //นิสัยเผด็จการจนเคยตัวแก้ไม่หายไง มันไม่สนความรู้สึกของคนรับหรอกว่าอยากได้หรือไม่ คิดแค่ว่าดีต่อน้ำมันก็ทำ  แต่ทุกอย่างก็เพื่อน้ำทั้งนั้นไม่ใช่คนอื่น ความสุขของน้ำคือจุดศูนย์กลางจักรวาลของมันยังไม่เข้าใจอีกเหรอ//

      “ก็ใช่ แต่เรื่องขนาดนี้บอกน้ำตรงๆ ก็ได้ นี่ก็ไม่ได้บอบบางจนรับรู้อะไรไม่ได้ซักหน่อยทำยังกับว่าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน”

      //อย่าคิดอย่างนั้น ที่พวกเราไม่บอกก็เพราะไม่อยากจะให้กังวล เหตุผลมันอาจจะดูไร้สาระสำหรับน้ำแต่สำหรับสิงห์หรือแม้แต่พวกเฮียมันสำคัญ เราก็แค่อยากจะให้น้ำเป็นตัวแทนของพวกเราใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ให้เหมือนดอกไม้ผลิบาน ท้องฟ้าสีคราม สายลมหน้าร้อนที่พัดโชยกลิ่นดินและหญ้า ความสดใสของแดดซึ่งชีวิตแบบนั้นพวกเราไม่เคยจะสัมผัสมันเลยต่างหากเล่า//

      “อย่างนั่นเหรอฮะ นี่น้ำก็ไม่เคยรู้เลย”

      //มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอกเพียงแค่เจ้านั่นชอบทำมากกว่าพูด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยเข้าใจพวกเราสักนิด//

       “ซึ้งถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยตอนนี้แหละ แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ความกล้ามันยังไม่พอที่จะไปง้อขอโทษไงเลยขอแหกโค้งผ่าด่านหาเฮียก่อนไง”

      //น้านนนกูว่าแล้ว...ผิดคำพูดที่ไหน กำลังใจให้ได้แต่ไม่ช่วยพูดหรอกนะ ครั้งนี้เราผิดจริงผูกปมซะยุ่งเหยิงก็แก้เองแล้วกัน  น้ำเอ๊ย! ความรู้สึกของคนมันอ่อนไหวแตกหักง่ายจะตาย ถ้าฟังเรื่องดีก็ดีไปถ้าเป็นเรื่องไม่ดีความรู้สึกที่เสียไปเราเรียกคืนไม่ได้หรอกนะ เหมือนเชือกที่เราผูกปมจนยุ่งเหยิงเมื้อกี้นั่นแหละตอนนี้มันขาดแล้ว ถึงจะดึงปลายทั้งสองด้านมาผูกให้แน่นแค่ไหนแมร่งก็มีปมเข้าใจที่พูดไหม//

      “ขะ เข้าใจฮะ  เฮียพูดซะเหมือนน้ำผิดจนไม่น่าได้รับการอภัยจากภูมิเลย ชักจะกลัวๆ แล้วนะ”

       //มั่นใจหน่อย  ไม่ต้องคิดมากถ้าอยากจะกินข้าวหลามหนองมนแบบหวานมันอร่อยก็รีบไปเคลียร์กันซะ แต่ถ้าเบื่อเพราะกินแล้วมันอืดท้องก็ปล่อยน้องเฮียไปอย่าละล้าละลังจบนะ//

      “เฮียเซนนนนนนนนนน เสื่อมสุด แล้วไม่ต้องพูดเรื่องเบื่อนะ มันจะไม่เป็นแบบนั้นแน่”

      //เออ! ก็แค่นี่ชอบอะไรก็กินอันนั้นจบนะ คิดเยอะทำไมพรุ่งนี้จะได้ตื่นรึเปล่าก็ยังไม่รู้  รีบไปสิ ชักช้าเดี๋ยวแมร่งงอนหนักแล้วเอาไปให้คนอื่นแคะกินก่อนมีอดนะโว้ย แค่นี้นะถึงเวลาให้อาหารเช้ากระต่ายวะ//

      “เฮียเซนนนนนนนนนนน”


      ………………………….





      “นั่นของภูมิเหรอ มาเถอะเดี๋ยวน้ำยกเข้าไปเอง” 

       เข้มแข็งไม่ขัดข้องที่น้ำนิ่งจะทำอย่างนั้น มือใหญ่ผลักประตูเปิดให้ก่อนจะลุนหลังบางเข้าไปในห้อง น้ำนิ่งหันกลับมามองอย่างลังเลเมื่อเห็นว่าภูมิรพีมีทีท่าไม่สนใจ มือใหญ่ของเข้มแข็งจึงทั้งผลักทั้งดันให้น้ำนิ่งเข้าไปในห้อง ยกยิ้มให้กำลังใจ มือโบกสะบัดเป็นสัญญาณให้น้องรีบเดินเข้าไปจนถึงหน้าโต๊ะทำงาน

       แม้หน้าตาเฮียจะเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานย่อมรู้ดีว่าแบบนี้ไม่ควรตอแยหลีกได้เป็นหลีกหลบได้เป็นหลบ  แต่ยังงี้ก็ไม่ไหวถ้าทั้งคู่คุยกันให้เคลียร์ ปล่อยให้ข้ามวันข้ามคืนได้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมเป็นพิษมีได้ตายยกรังแน่

       เข้มแข็งเผ่นกระโจนถึงประตูแทบจะทันทีที่สบเข้ากับสายตาของเฮียสิงห์ มือกระชากประตูปิดตามหลังราวกับจับถ่านร้อน หนีมาตั้งหลักนอกห้องพยายามเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างในห้องอยู่เป็นนานเมื่อไม่มีอะไรจึงเบาใจเดินไปสมทบกับพรรคพวกที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มบริเวณห้องโถง

      “ส่งเครื่องบัดพลีเรียบร้อยแล้วเหรอวะ”  เด็ดขาดถามขึ้นหลังจากยกโคโรน่าขึ้นดื่มทีเดียวเกือบครึ่งขวด

      “เฮียก็เรียกน้องซะผมเห็นภาพ”  แดนสรวงซึ่งเดินเข้ามาพอดีถึงแม้จะเห็นด้วยกับความคิดนั้นแต่ก็ตำหนิเด็ดขาดกลายๆ

      “ก็รึไม่จริง เราส่งน้องเข้าไปเพื่อบูชาพายุทมิฬให้สงบไม่ใช่เหรอวะ”  เด็ดขาดแย้งกลับมาเสียงจริงจัง

      “ยังไงก็ช่างถือว่าภารกิจเคลียร์ตามที่เสี่ยสั่ง แต่ไม่รู้ว่าหนูจะโดนขย้ำหรือสิงห์จะถูกขย่ม ทะเลากันบ่อยแบบนี้มีหวังลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองฮ่า ฮ่า”  เข้มแข็งตัวตั้งตัวตีซึ่งรับมอบภารกิจจากเสี่ยเซนบอกเล่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

      “แล้วตอนน้องเข้าไปเฮียอารมณ์ดียังวะ”  แดนสรวงชักจะห่วงน้ำนิ่งซะแล้วสิ ก็รู้ๆ กันอยู่เวลาเฮียสิงห์โกรธมันเป็นยังไง ยิ่งเฮียไม่ใช่คนผิดด้วยแล้วไม่อยากจะคิดว่าน้ำนิ่งจะเหวอะหวะแค่ไหน

      “ยังเย็นชาสุดโต่ง ก็รอบนี่เฮียท่านไม่ผิดไงเลยเล่นตัวโก่งค่าตัวเต็มที่ นิ่งสนิทสยบทุกการเคลื่อนไหว เด็กน้อยของพวกเราก็ยิ่งกลัวเพราะตัวเองผิดจริงคอยแต่จะก้าวถอย ทั้งผลักทั้งดันกว่าจะยอมเดินเข้าไป แล้วมึงรู้ไหมเฮียมึงเขาพูดอะไร”

      “จะรู้กับคุณมึงเหรอครับลีลาพูดมาเลย”  กูว่าแล้วผิดจากที่คาดซะที่ไหนเฮียโหดแดนสรวงพึมพำกับตัวเอง

      “ 'มีอะไรอีก วางไว้นั่นแหละ’ แล้วไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาจิบนะทั้งที่บอกกูเอาไปให้เอง” น้ำเสียงท่าทางเลียนแบบของเข้มแข็งแทบจะถอดแบบมาจากภูมิรพีจนพรรคพวกห่วงว่าน้ำนิ่งจะรองรับแรงอารมณ์ของพายุทมิฬไหวรึเปล่า ก็รู้กันอยู่น้ำนิ่งไม่เหมือนใคร

       “น้องอ้าปากกำลังจะพูดเฮียแกตัดฉับเลย ‘ขอตัวนะพอดีมีเรื่องด่วนเข้ามา’  เสียงงี้เรียบกริบเย็นชาบาดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ สายตาไม่ต้องพูดถึงก็รู้ๆ กันอยู่นิ่งสนิทไม่มีความรู้สึกห่าอะไรเลยด้วย กูนี่อยากจะสลายเป็นอากาศธาตุฉิบหายแต่ก็ไม่ได้เพราะน้องมันส่งสายตาขอร้องไว้ไง  ตอนคุยโทรศัพท์ทั้งหน้าตาน้ำเสียงถ้าไม่รู้ว่าน้องเป็นเมียรักนะ กูว่าคนในสายนั่นยังให้อารมณ์เมียรักซะกว่าอีกแมร่งคนละฟิวชั่นเลย พอหันมาเห็นกูสายตาเนี่ยตวัดฉับจนต้องแจ้นออกมานี่แหละ”

      “น้องจะรอดเหรอวะแบบนี้ ยิ่งอ่อนไหวอยู่ด้วยชักห่วง”  ความกังวลห่วงใยน้ำนิ่งทำให้แดนสรวงผุดลุกผุดนั่งคอยชะโงกมองประตูห้องทำงานตลอด จนในที่สุดทนไม่ไหวจึงเดินไปเอาหูแนบเพื่อฟังเสียงของคนข้างในแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร จึงเดินหน้ามุ่ยกลับมารวมกลุ่มที่ห้องโถงเหมือนเดิม

      “มึงก็ห่วงเกิน ถึงจะโกรธยังไงแสดงออกแค่ไหน มึงเคยเห็นเฮียเขาทำรุนแรงกับแก้วตาดวงใจของเขาหรือเปล่า เชื่อกู แต่ที่จะโดนตอนนี้คือมึงกะกูถ้าไม่รีบจร...ลี”



      - ปัง -


      ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไปด้วยซ้ำ ประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วก็ถูกกระแทกเปิดดังสนั่น จนทั้งสามชะงักกึกมองหน้ากันเลิกลั่ก จะหนีก็ไม่ทันแล้วพายุทมิฬยืนทมึงตึงอยู่หน้าห้อง ถ้าเป็นไปได้ทั้งสามอยากย้อนเวลาไปเมื่อสักสิบนาทีที่แล้ว ถ้าแยกกันตั้งแต่ตอนนั้น...ไม่น่ามัวแต่คุยกันเลยแมร่งเอ๊ย 

      “กูว่าแล้ว”  เข้มแข็งพึมพำกับเพื่อนร่วมก๊วนเสียงเบ่า

      “ไอ้เข้ม ไอ้แดน ไอ้ตัวดีอยากจะหาเรื่องใช่ไหมไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ เด็ดไปเรียกไอ้ชัดมาเฝ้าน้องของมันไว้ อย่าให้ย่างกรายออกไปจากไร่ได้เชียว ถ้าหลุดออกไปได้คนที่เป็นเวรเฝ้าไร่วันนี้เตรียมตัวตายได้เลย” 

       สั่งเสร็จพายุทมิฬเดินนำลิ่วไปขึ้นรถโดยไม่รอสองบอดี้การ์ดที่กระโดดขึ้นรถแทบไม่ทัน ขึ้นรถได้ต้องรีบควานหาเข็ดขัดนิรภัยและที่เกาะยึด เฮียสิงห์ขับรถตอนโกรธใครจะกล้าเสี่ยงวะ...ผมยังไม่อยากตาย



      .....................................












TBC.


ปล.มาต่อแล้วนะครับผม :) ขอโทษที่ช้าช่วงนี้งานยุ่งมากถึงมากที่สุดภายใต้สถานการณ์คนน้อยงานมาก555  เหมือนเช่นเคย ขอบคุณสำหรับการติดตาม ถ้าเจอข้อผิดพลาด อยากจะแนะนำอะไรก็แจ้งไว้นะครับยินดีน้อมรับไปแก้ไข  และไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก็ขอให้สนุกกับการอ่าน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #202 เมื่อ19-01-2016 15:17:26 »

 :hao5:  สารภาพว่าดองค่ะ ตัวละครเยอะจริงๆ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #203 เมื่อ19-01-2016 17:10:07 »

สิงค์ทมิฬ  0_0 ...

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #204 เมื่อ20-01-2016 06:11:42 »

อ่านไปอ่านมาเริ่มงง  :m28: :m28: ตัวละครเยอะเกิน  :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #205 เมื่อ20-01-2016 10:55:16 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #206 เมื่อ20-01-2016 11:43:49 »

ฝ่ายภูมิเหมือนยืนอยู่ในที่สว่างให้ถูกโจมตีได้
ถึงจะระวังแค่ไหนพวก ACE ก็หาวิธีไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ถูกทำลาย
ถ้าไม่เข้ามายืมมือเพื่อนน้ำก็มีทางอื่นมากมายยิ่งน้องน้ำไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมด้วยแล้วยิ่งยากใหญ่

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
«ตอบ #207 เมื่อ20-01-2016 19:24:52 »

@ ❣☾月亮☽❣  / Ginny Jinny

การเดินเรื่อง  ดังนี้

น้ำสิงห์’s Story

   1. ตัวเดินเรื่อง
        1.1 ภูมิรพี / ราฟาเอล / สิงห์
       ที่มาของชื่อ
       1) ภูมิรพี เป็นชื่อที่แม่ใหญ่ตั้งให้ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าชิดชล
       2) ราฟาเอล  เป็นชื่อที่พ่อแม่ (อเลสซานโตรและเกลล์) ของภูมิรพีตั้งให้ตั้งแต่เกิดตามความประสงค์ของเมย์ น้องสาวของเกลล์
       3) สิงห์  เนื่องจากแม่ใหญ่เก็บภูมิรพีได้ในเดือนสิงหาคมจึงเรียกว่า “สิงห์”  และคนอื่นๆ ก็เรียกตาม
       4) น้ำนิ่งเป็นเพียงคนเดียวที่เรียกภูมิรพีว่า “ภูมิ”  เพื่อแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
        1.2 นภนที หรือ น้ำนิ่ง  เด็กกำพร้าในอุปการะของภูมิรพี

    2. ลูกขุนพลอยพยัก
       ภูมิรพี  >>  ชัดเจน  เข้มแข็ง  และเด็ดขาด
       น้ำนิ่ง  >>  เมืองแมน และแดนสรวง (พี่น้องฝาแฝด) ได้มาจากการบังคับของภูมิรพี



Zhen Side Story

    1. ตัวเดินเรื่อง 
        1.1 เสี่ยเซน  พี่ชายของภูมิรพี 
        1.2 คานิน / กระต่ายของเสี่ยเซน 

   2. ลูกขุนพลอยพยัก
        เสี่ยเซน  >>  อาแจ๊กซ์  เออร์วิน  แม็กซิมัส    
        คานิน  >>  เทรย์เวอร์  และ ไมค์



ตัวเชื่อมโยงให้เกิดเรื่อง

1. ไต่ซินหยาง นายใหญ่ของ ACE 
2. บ๋อม (บารมี) และ เอ (อนรรฆ)  เพื่อนของน้ำนิ่ง
3. เฮียทั้งหลายจากเรือนชิดชล  >> พี่คม (แสนคม)  พี่ฉาน (ฉะฉาน)  พี่กรณ์  พี่หนึ่ง (หนึ่งฤทัย)  พี่พี (พีระณัฐ) และพี่ณิต (คณิต)
4. เฮียไป๋ซาน (เจ้านายของคานิน)
5. วัลโด้ (ถูกเสี่ยเซนกำจัดไปแล้ว)

      ตัวละครทุกตัวมีบทบาทที่ต้องแสดงจะมากบ้างน้อยบ้างก็เป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายในตอนนั้นๆ (ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือละครเราก็จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับคนหลายๆ คน) และทุกบทบาทจะเชื่อมโยงถึงกันเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา บางตัวละครโผล่ขึ้นมาแวบๆ แล้วหายไป แต่จริงๆ ยังไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ ยังจะกลับมาโลดแล่นอีกหลายตอนที่กล่าวถึงต่อๆ ไป

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง



30

โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า






      “มีอะไรอีก” 

       ภูมิรพีปรายตามองเพียงแวบแล้วก้มลงอ่านเอกสารที่ถืออยู่ในมือหน้าแล้วหน้าเล่า น้ำเสียงราบเรียบที่หลุดจากปากไม่ได้บ่งบอกว่าโมโหเกรี้ยวกราด ทำให้คนตัวเล็กสะอึกใบหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด สะกิดความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนช่องท้องปวดมวนอย่างน่าประหลาด อยากจะผละหนีเพราะความเฉยชาคงทำไม่ได้ในเมื่อตัวเองผิดก็ต้องพยายามให้อีกคนหายโกรธ แต่ถึงกระนั้นคำพูดขอโทษที่ติดอยู่ลำคอก็ไม่หลุดจากปากแต่อย่างใด

      “อะ เออ...”

      “วางไว้นั่นแหละ....” 

       น้ำนิ่งวางน้ำขิงร้อนลงที่วางบนโต๊ะทำงาน ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งมันเงียบจนได้ยินเสียงปากกาในมือคนตัวโตที่ถูกขีดเขียนลงบนกระดาษ เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปแต่ละนาที เสียงเต้นของหัวใจตึกตักที่ขลาดกลัว หรือแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไรที่แข่งกันส่งเสียงอยู่นอกหน้าต่างไกลๆ ลมกลางคืนที่โชยพัดเอื่อยลอดบานประตูมุ้งลวดเข้ามาไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่ร้อนลุ่มของน้ำนิ่งเย็นลง แต่มันกับร้อนอ้าวจนเหงื่อซึมเปียกตามไร้ผม

       ทำไมมันยากเย็นนักนะกับการขอโทษใครสักคน ขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางออกให้ตัวเองหน้าจอโทรศัพท์ของภูมิรพีสว่างวาบขึ้นบ่งบอกว่ามีวิดีโอคอลเข้ามาเข้าดึงสายตาน้ำนิ่งให้ชำเลืองมองหน้าจอระบุหมายเลขส่วนตัว คนตัวเล็กหน้าตึง ตาขวาง ด้วยความไม่พอใจ

       “ขอตัวนะพอดีมีงานด่วนเข้ามา”   ภูมิรพีบอกคนตัวเล็กทั้งที่ยังมองหน้าจอโทรศัพท์ตาไม่กระพริบ ปากได้รูปยิ้มบางเบา ก่อนจะกดรับสายที่ดังเตือนเป็นครั้งที่สอง

      //สวัสดีค่ะสิงห์ยุ่งอยู่รึเปล่าเอ่ย//

      “ผมว่างอยู่  สำหรับโชว์คุยได้อยู่แล้วครับ”  ว่างงั้นเหรอเมื่อกี้ยังทำเป็นยุ่งจนไม่อยากจะมองหน้ากันอยู่เลย ความน้อยใจกระจุกแน่นในอกอีกระลอกจนต้องเบือนหน้าหนีไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะได้ยิน

       //โชว์โทรมาทวงถามนัดระหว่างเรานะค่ะ คุณหายเงียบไปเลย น้อยใจจังบอกว่าจะติดต่อถึงก็ไม่ยอมติดต่อมา โชว์อดทนรอมาสองวัน ทนไม่ไหวก็เลยโทรมานี่ล่ะค่ะ// 

       เสียงหวานตัดพ้ออย่างผิดหวังดังลอดมาตามสาย  ก็ไหนว่าไม่มีอะไรกันแค่เพื่อนทางธุรกิจ แต่ทั้งเสียงทั้งภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าบ่งบอกว่าทั้งคู่น่าจะสนิทสนมกันถึงขนาดฝ่ายหญิงกระเง้ากระงอดได้คืออะไร  ความรู้สึกน้อยใจ ริษยา หึงหวง ที่จุกแน่นในอกจนแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกไหนมากกว่ากัน แววตาหวานวูบไหวเสมองออกไปนอกประตูเก็บข่มน้ำตาเอ่อคลอให้มันไหลตกลงก้นบึ้งของหัวใจดังเดิม

      “ขอโทษนะครับโชว์  ไม่ได้ลืมแต่ผมไม่ค่อยว่างเลยช่วงนี้ งานที่บริษัทเยอะมากไหนจะเรื่องขอสัมปทานอีกยุ่งไปหมดเลย เอาไว้ผมจะชดเชยให้คราวหน้านะ”

      //โธ่!! เห็นหน้าสิงห์ตอนนี้โชว์รู้หรอกว่าลำบากใจเรื่องอะไร ไม่ใช่เหตุผลที่สิงห์ว่ามาหรอกใช่ไหมค่ะ ถึงคุณจะบอกว่ามีคนรักอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ เราก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันได้นี่ เพื่อนมีเรื่องอยากปรึกษาเพื่อน คนนั้นของสิงห์คงเข้าใจ ถือว่าอนุเคราะห์เพื่อนคนนี้หน่อยก็แล้วกันไม่ได้เหรอค่ะ//

      “สำหรับโชว์ได้อยู่แล้วล่ะครับ บอกมาได้ทุกเมื่อทุกเรื่องผมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”

      //เปิดทางให้อย่างนี้ โชว์ไม่เกรงใจนะค่ะ//

      “ครับก็เราเป็น ‘เพื่อน’ กัน เพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนถ้าช่วยได้ผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”

      //สิงห์นี่น้าใจดีไม่เปลี่ยนเลย อาทิตย์หน้าโชว์จะไปไทยสิงห์ยังอยู่ที่แม่ฮ่องสอนหรือเปล่า โชว์ไปเจอได้ใช่ไหม”

      “ได้อยู่แล้ว มาถึงเมื่อไรโทรบอกด้วยนะครับผมจะไปรับ”

      //ค่ะ โชว์รบกวนแค่นี้แหละ สิงห์ทำงานต่อเถอะ อ๊ะ! ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยรักษาสุขภาพด้วยนะเป็นห่วงบายค่ะ//

      “ครับ โชว์ก็เหมือนกันนะ บายครับ”



      ความโกรธยามมันพวยพุ่งย่อมกลบปัญญา นั่นหมายถึงการตกเป็นผู้แพ้ต่อโมหะจริต คนเป็นทาสย่อมเหมือนเป็นคนบ้า แม้ยามนี้น้ำนิ่งไม่ได้อยู่ในห้วงความโกรธ แต่เขาตกอยู่ในห้วงของความอิจฉาริษยาที่อัดแน่นในอกเหมือนลูกโป่งที่สูบแก๊สเข้าไปจนตึงแน่นรอวันระเบิด ห้วงอารมณ์แบบนี้จึงทั้งโง่ทั้งบ้า

       เสียงเปิดปิดประตูดังทำลายความเงียบดึงรั้งสติให้น้ำนิ่งรู้สึกตัว หันมองข้างกายปราศจากร่างสูงใหญ่ของเข้มแข็ง แต่หางตาทันได้เห็นร่างสูงใหญ่แทรกตัวออกไปจากประตูอย่างรวดเร็วราวกับหนีอะไรซักอย่าง หันกลับมาสบเข้ากับสายตาคมดุที่จ้องนิ่งยิ่งทำให้ใจห่อเหี่ยว ความมั่นใจลดฮวบจนลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ยิ้มปากสั่นแต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเฉยเมย  ภูมิรพีหันไปสนใจงานตรงหน้าอีกครา ความเงียบจนน่าอึดอัดแทรกอยู่ในบรรยากาศของห้องอบอุ่นจากแสงไฟนวลตาแต่กลับเย็นเยียบในความรู้สึกของน้ำนิ่งอีกครั้ง

      “ภูมิ...หนูขอโทษที่พูดแบบนั้น แต่....”  น้ำนิ่งปริปากขอโทษตะกุกตะกักหลังจากยืนเงียบราวกับไม่มีตัวตนอยู่เกือบสิบนาที

      “คำพูดก็พูดออกมาตามที่สมองคิดและสั่งการ  พอเถอะไม่อยากจะฟังดึกแล้ว”  ภูมิรพีเอ่ยตัดบทโดยไม่รอให้น้ำนิ่งอธิบายให้จบ ทั้งยังไม่ได้เงยหน้ามองใจจดจ่ออยู่แค่งานตรงตรงหน้าราวกับว่ามันสำคัญนักหนา สิ่งที่ตกตะกอนขุ่นในใจไม่ใช่ความโกรธแต่รู้สึกผิดหวังที่คนตรงหน้าเห็นความรักความห่วงใยมากมายของเขาเป็นเรื่องตลกไร้สาระ

      “ขอโทษ อย่าโกรธหนูได้ไหมที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะความคะนองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย....เชื่อหนูนะ”  น้ำนิ่งชะโงกตัวข้ามโต๊ะทำงานเอื้อมคว้าแขนของภูมิรพีไว้แน่น ปากเล็กพร่ำขอโทษไม่หยุด คนตัวโตมองหน้าคนพูดนิ่งแกะมือเล็กออกจากแขนของตัวเอง

      “เอาเถอะเข้าใจแล้ว ไม่ได้โกรธและไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก ไปนอนเถอะ”

      “ไม่โกรธ แล้วเย็นชาทำไม แล้วทำแบบนั้นคืออะไร”  ภูมิรพีมองหน้าน้ำนิ่งอย่างเหนื่อยล้า

      “ขอร้อง เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ”


      อากาศยามดึกเย็นสบาย บริเวณทั่วไร่เปิดไฟสว่างเรื่อเรือง ท้องฟ้าที่มองเห็นจากบานประตูกระจกที่เปิดกว้างยามนี้มืดสนิท คืนเดือนมืดแทบมองไม่เห็นเหล่าดวงดารา เหมือนใจของคนบางคนที่ยังไม่เห็นทางออกของปัญหา สายลมโชยพัดเอื่อยทำให้ยอดใบยาสูบที่เห็นอยู่ริบๆ ไหวเอน น้ำนิ่งยกมือขึ้นลูบต้นแขนอดแขวะลมเย็นๆ ว่า ทำไมไม่โบกพัดอารมณ์ขึงโกรธและความเฉยเมยของคนตรงหน้าให้หนีหายไปบ้าง

      ความอึดอัดที่แผ่กระจายในบรรยากาศชวนเครียด น้ำนิ่งล่ำๆ อยากจะพูดอธิบายอยากจะถามถึงคนนั้นเสียหลายหน แต่เพราะท่าทางของภูมิรพีบอกว่าหากเขาพูดออกมาอีกครั้งคนตัวโตก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ทันที  น้ำนิ่งจึงชิงเอาชนะด้วยการยืนเงียบอยู่อย่างนั้น แต่มันก็เป็นความชนะในความพ่ายแพ้เสียมากกว่า ในเมื่อใจไม่ได้ชนะตามไปด้วยเลย 



      “พอเถอะจะยืนอย่างนี้ทั้งคืนเลยรึไง”  ภูมิรพีวางปากกาในมือลงถอนหายใจกับความดื้อดึงของน้ำนิ่ง

      “จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”

       “ก็บอกแล้วไม่โกรธ”

      “ไม่ได้โกรธแล้วทำไมเฉยเมย  หรือว่ารำคาญ? เบื่อ? เพราะคนนั้น คุยกับเขาได้แต่ไม่คุยกับหนู ถ้าเบื่อไม่อยากอยู่ด้วยกันก็บอกมา”  สายตาตัดพ้อที่ส่งมาให้ทำให้ภูมิรพีใจกระตุกวุบ สบถออกมาเบาๆ

      “เลยเถิดไปใหญ่แล้ว ก็แค่เพื่อน....”  ภูมิรพีว่าเสียงดุเย็น

      “เพื่อน!! หึมันน่าหัวเราะนะกับท่าทางที่แสดงออกต่อเพื่อนแบบนั้น จะมาหาเหรอ? ถ้าหนูไม่อยู่ตรงนี้ก็คงจะนัดแนะไปทำกันถึงไหนต่อไหนสินะ หรือทำกันไปแล้ว ติดใจจนวิ่งแร่มาหาถึงนี่ นั่นก็รู้ทั้งรู้ว่าคนเขามีเจ้าของแล้วยังจะวุ่นวาย หรือการแย่งชิงของคนอื่นมันเป็นความท้าทาย...” 

       สีหน้าแววตาผิดหวังของภูมิรพีดึงสติน้ำนิ่งให้คืนกลับมา แต่ก็สายไปแล้วเมื่ออารมณ์หึงหวง อิจฉาริษยาบังตาบังใจทำให้ขาดสติจนปล่อยให้คำพูดพล่อยๆ ที่ดูถูกดูแคลนหลุดจากปากไปสร้างบาดแผลในใจคนที่รักอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

      “คิดได้แค่นั้น!? ไม่เชื่อใจ...!?”  ร่างสูงลุกจากเก้าอี้แววตาที่สบกันมันว่างเปล่าใจของเขามันผิดหวังจนเหนื่อยล้า ภูมิรพีเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินไปหยุดมองเหม่อท้องฟ้ามืดมิดนิ่ง


      “ขอโทษ”  ใจที่วูบโหวงเหมือนจะเสียของรักทำให้คำขอโทษหนักแน่นจริงใจหลุดจากปากร่างบางอย่างง่ายดาย แต่ร่างสูงยืนเฉย น้ำนิ่งมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกผิด ทำไมต้องพูดไม่คิดให้มันทำร้ายจิตใจของคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

      “ขอโทษที่หึงหวงงี่เง่า”  คนตัวโตหันกลับมามองด้วยแววตาจริงจัง ขายาวก้าวสวบๆ เข้าถึงตัว แต่แทนที่จะกอดไว้อย่างดีตามที่คาดคะเน ก็กลับยืนมองเฉยๆ



       “ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ ความหวงแหนเป็นสิ่งที่ดีเป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าภูมิยังเป็นคนสำคัญ เป็นที่รัก เป็นที่ต้องการสำหรับหนู แต่ว่าความเชื่อใจไว้ใจก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน ซึ่งในความรักนั้นอารมณ์เหล่านี้ควรสมดุลกันอย่าให้มากหรือน้อยไป  แต่ยังไงก็ตามทุกอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ให้เรายึดมั่นถือมั่นในบางสิ่งที่เป็นของเราโดยชอบธรรม เมื่อมันเป็นสิ่งที่ตัวเราใจเราปรุงแต่งขึ้นมา เราก็เป็นนายต้องรู้จักควบคุมมันโดยมีสติเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว...” 

       แล้วรู้อะไรไหมการที่หัวใจภูมิยังเต้นแรงทุกครั้งเหมือนวันแรกที่ได้โอบอุ้มตัวหนูมาไว้ในอ้อมกอดนี่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าหนูเป็นอะไรสำหรับภูมิ โชว์เป็นเพื่อนสถานะของเขามีแค่นั้น ก็เหมือนหนูกับบ๋อมเขาเดือดร้อนหนูก็ช่วยเป็นธุระให้ ภูมิเองก็เหมือนกัน”  หลังจากจบคำอธิบายยืดยาวภูมิรพียังคงมองหน้าสบตาน้ำนิ่งอยู่อย่างนั้น

      “หนูเข้าใจแล้วรับรู้สึกถึงตลอด แต่การรักมากมันก็ทำให้หวงมากเกินไป อารมณ์หึงหวงบังตาบังใจเหมือนคนโง่จนน่าสมเพช มันช่างเป็นทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นเหลือเกิน”

      “งั้นเราทั้งคู่ก็คงไม่ต่างกัน” 



      “ภูมิ...”  น้ำนิ่งเอ่ยเสียงเบาหลังจากที่ทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบอยู่นานหลายนาที

      “หืม..”

       “ยกโทษให้กับความงี่เง่าของหนูได้หรือเปล่า” 

       เมื่อภูมิรพียังเฉยน้ำนิ่งก้าวเข้าชิด กอดคนตัวโตไว้เสียเองสอดแขนเข้ารอบเอว และซบหน้าลงกับอกเสื้อเชิ้ตโดยไม่กังวลว่ากระดุมจะกดแรงลงบริเวณผิวแก้มนิ่ม คนตัวโตยังยืนเฉย ปล่อยให้น้ำนิ่งกอดเขาข้างเดียวอยู่ครู่ใหญ่จึงทำเสียง  ฮื้อ! ในลำคอคล้ายกับจะรำคาญหรือหมดความบังคับตนเอง

      แขนแกร่งรัดร่างบางแน่นเข้าด้วยแขนข้างเดียว มือข้างที่วางกุมลำคอระหง ดันหน้าร่างบางให้เงยแหงน ริมฝีปากไล้เบาๆ ไปตามเรียวปากของน้ำนิ่งจนปากแย้มเผยอ จึงกดจูบลงมาอย่างดูดดื่ม

      ภูมิรพีจูบแล้วจูบอีกอย่างกระหาย กระทั่งน้ำนิ่งแทบจะหายใจไม่ออก จึงถอนริมฝีปากมาซุกซบกับเรือนผมนิ่มแล้วถอนหายใจยาว

      “เราโง่และผิดกันทั้งคู่ ต่างคนต่างขาดสติยอมให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล...”  น้ำนิ่งยิ้มบางเบากับคำพูดนั่น มือเล็กปลดกระดุมเสื้อของเขาออก แหวกสาบเสื้อเพื่อซุกซบกับเนื้อแท้ของของเขา มีความสุขและมั่นใจว่า เราทั้งคู่เป็นของกันและกัน เมื่อเขาดันร่างบางออกห่างเพื่อจะมองหน้า มือเล็กเหนี่ยวปกเสื้อเขาไว้ไม่ยอมให้ห่างมากแถมยกตัวขึ้นแตะจูบปลายคางทำให้เขาต้องยิ้ม

       “เมื่อกี้ทำไมเงียบ เฉยเมยจนหนูใจเสียไปหมด”

       “ไม่มีอะไรหรอกคิดเรื่องงานนิดหน่อยอย่าห่วงเลย สบายใจแล้วนะไปนอนเถอะพักผ่อนไม่เพียงพอจะไม่สบายเอา” 

      “ใครจะสบายใจได้ หนูโตพอที่จะแบ่งเบาภาระและความเหนื่อยล้าของภูมิได้แล้วนะ ที่คิดอยู่ตรงนี้เรื่องไต่ชินหยางเหรอ”  ภูมิรพีผละตัวออกมองร่างบางอย่างฉงนปนแปลกใจเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม 

       “เฮียเล่าให้ฟัง ทำไมไม่เคยพูด ไม่เคยบอก ความห่วงใยหนูก็รู้สึกเป็นไม่ใช่แค่ภูมิคนเดียว หนูกลัวภูมิจะลืมว่ามีหนูอยู่ข้างๆ”  เสียงตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจทำให้ใจของภูมิรพีกระตุกวูบไหว  มือเอื้อมคว้าร่างบางเข้ามากอดปลอบในวงแขนอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง

      “ไม่เอาน่า ก็เพราะรู้ว่าอยู่ข้างๆ ไงถึงต้องห่วงกันขนาดนี้เข้าใจรึเปล่าหืม”

      แขนแกร่งยกร่างบางขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานร่างหนาแทรกตัวเข้ากลางหว่างขาของคนตัวเล็กที่อ้ากว้างก่อนจะเกี่ยวกระหวัดตัวเขาไว้โดยอัตโนมัติ  มือหนาโอบประคองท้ายทอยปรับให้ได้องศารอรับริมฝีปากที่เคลื่อนเข้าหากันประกบจูบจนแนบสนิทเต็มไปด้วยความโหยหาราวกับห่างหายจากกันไปเนิ่นนานทั้งที่เพิ่งจะผละจูบเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมา  จูบที่มอบให้กันราวกับบ่อน้ำทิพย์กลางทะเลทรายยิ่งดื่มยิ่งหิวกระหายนานหลายนาทีกว่าคนตัวโตจะยอมผละจากปากนุ่มให้คนตัวเล็กได้กอบโกยอากาศเข้าปอด ตาที่สบกันเต็มไปความหวามไหว

      “รู้อะไรมาบ้าง”

      “เฮียก็บอกแค่ว่าเขาเป็นศัตรูทางธุรกิจมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ ถ้าพลาดก็คือตาย แต่มันจะเป็นไปได้เหรอที่จะฆ่ากันได้ง่ายๆ แบบนั้น บ้านเมืองมีกฎหมายน่ะ”

      “หึ...”  ภูมิรพีขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานหน้าตาท่าทางเย้ยหยันกับอะไรสักอย่างที่น้ำนิ่งไม่เข้าใจ

      “ทำไม”

      “โลกนี้มันไม่สวยงามอะไรนักหรอก ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราวาดหวังเลยสักนิด”


ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0

      “แล้วภูมิจะทำยังไง”  น้ำเสียงคาดคั้นพร้อมสายตากดดันอย่างใคร่รู้ของน้ำนิ่งทำให้ภูมิรพีเสมองไปอีกทาง ทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง ท่าทางแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ตาที่สบกันบ่งบอกคนตัวโตห่วงเขามากมายแค่ไหน น้ำนิ่งโอบประคองใบหน้าที่ดูกังวลเหนื่อยล้าไว้โน้มปากนุ่มไปแตะจูบตั้งแต่หน้าผาก ดวงตามสองข้าง ปลายจมูกโด่งเป็นสัน แก้มสองทั้งข้าง จบลงที่ปากหนาได้รูปเนิ่นนาน

      “ขออะไรอย่างได้ไหม”

      “ถ้าสิ่งที่ขอมันจะช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าจากภูมิได้บ้างหนูก็จะทำ”

      “กลับมาฝึกงานที่โรงเตี๊ยม”

      “.......”

      “ได้มั้ยหืมขอแค่นี้”

      “ได้ไง”  น้ำนิ่งไถลตัวลงจากโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดอกออกอาการไม่พอใจ สายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร  “แบบนี้ไม่แฟร์นะ มันคนละเรื่องกันเลย...” 

      “ขอร้องฟังกันก่อนน่าอย่าเพิ่งโวย  ถ้ากลับมาทำงานที่โรงเตี๊ยมภูมิจะมั่นใจได้ว่าดวงตะวันของภูมิดวงนี้จะส่องแสงเจิดจ้าต่อไปในวันข้างหน้า ที่นี่เป็นที่ของเรา เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เข้าใจที่พูดหรือเปล่าตอนนี้หลายมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกแล้ว ไต่ชินหยางต้องการจะแก้แค้น คนๆ นั้นจะทำทุกทางถ้ามันจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย ถ้าเราประมาทมันมีแค่ตาย...ดูกล้องวงจรปิดแล้วใช่ไหม” 

      “ดูแล้ว แต่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสงสัยนี่น่า คนที่อยู่กับบ๋อมก็รู้จักกันดี พี่โอ๋ไงพี่ชายเอ๋ภูมิจำเขาไม่ได้เหรอ”

       “ไม่รู้สิเขาดูต่างจากเดิมมากเลย แต่ว่าแน่ใจเหรอว่ารู้จักดี??”

      “แน่ใจ เคยได้ยินว่าพี่เขาได้รับอุบัติเหตุจนต้องศัลยกรรมตั้งหลายครั้งจนแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิม” 

      “งั้นเหรอ? แน่ใจ?”  คำถามย้ำนั่นน้ำนิ่งเข้าใจดีว่าไม่ได้หมายถึงหน้าตาแต่คือนิสัยใจคอ น้ำนิ่งชะงักงันเกิดความไม่แน่ใจคิ้วขมวดมุ่นนานหลายนาทีแต่ก็ยังพยักหน้าว่ารู้จักทั้งทีไม่มั่นใจอะไรเลย  “

      “แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง แต่แปลกใจเหมือนกันที่พี่เขาคบกับบ๋อมและไม่คิดว่าเขาจะเจอที่นี่”

      “หึ คงจะตามมาเก็บหนี้เก่า”  เสียงหัวเราะในลำคอและสีหน้าดุดันทำให้น้ำนิ่งฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

       “ข้อมูลที่ชัดเจนสืบมาได้คือ ไต่ชินหยาง หรือนายอะเคื้อ  สัชฌุกรกังวาน พ่อจริงๆ ตายตั้งแต่เขายังเด็ก เจ้าสัวไต่หยงผู่ซึ่งเป็นลุงเลยรับเป็นลูกบุญธรรม มีน้องชายสองคนคือ มาร์โค ลูกบุญธรรมอีกคนของเจ้าสัว และเอ๋ หรือนายอนรรฆ ไกรสรชัย คนหลังแม่เดียวกันแต่คนละพ่อ หนูคงไม่รู้ล่ะสิว่าลูกสาวเจ้าสัวไต่แต่งงานกับเสี่ยกวงพ่อของพี่ณิต เพราะฉะนั้นไต่ชินหยางจึงถือเป็นญาติของพี่ณิตไปโดยปริยาย”

      “ห๊ะ!! ญาติพี่ณิตเนี่ยนะ”

      “อืมใช่ เรื่องมันยาวแต่พี่ณิตเขาก็ตัดขาดจากครอบครัวนั้นมาตั้งแต่นานแล้วล่ะ”

       “งั้นเหรอ ชื่อนามสกุลพี่โอ๋ก็ใช่อยู่ พวกเขาเป็นลูกบุญธรรมเจ้าสัวไต่แต่ก็ไม่รู้เป็นคนเดียวกันไหม ข้อมูลอื่นๆ ไม่แน่ใจ แต่ทั้งหมดนั่นมันชี้ชัดลงไปไม่ได้นี่น่าว่าพี่โอ๋จะเป็นไต่ชินหยาง อาจจะคนหน้าเหมือนก็ได้”

       ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือล้วงกระเป๋ากางเกง สูดลมหายเข้าเต็มปอดจนด้วยคำตอบ ตาคมหรี่หลุบลง เดินไปหยุดยืนริมบานประตูมองท้องฟ้ามืดมิดนิ่งนาน ความเงียบงันเกิดขึ้นอีกครั้ง

      “พรุ่งนี้ไม่ต้องไปที่นั่นแล้ว”  ภูมิรพีสั่งจริงจังโดยไม่ได้ละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดข้างนอกบานประตูนั่น

      “ได้ไง!”  น้ำนิ่งโผตัวจากโต๊ะที่ตัวเองอิงสะโพกอยู่ไปดึงตัวภูมิรพีให้หันมาเผชิญหน้ากัน “อีกไม่ถึงเดือนก็จะจบคอร์สแล้ว อีกอย่างถ้าหนูอยู่ต่อก็คงจะสืบได้ว่าสองคนนั่นใช่คนเดียวกันหรือเปล่า แล้วพี่เขามีจุดประสงค์อะไร...”

      “ไม่!! อย่าแม้แต่จะคิด”  ภูมิรพีหันกลับมาทั้งตัวปฏิเสธดังลั่น ความไม่พอใจเกลื่อนกล่นทั่วหน้าคมจนน่ากลัว

       “แต่ว่า หนูอยากจะช่วย...”

      “ขอร้องอยู่เฉยๆ ไม่ทำให้ห่วงจะขอบคุณมาก!!”

      “ทำไมต้องตะคอก”

      “ก็พูดดีๆ แล้วฟังเหรอห๊ะ!!”

      “ก็ฟังถ้าภูมิจะมีเหตุผลมากกว่านี้”  น้ำนิ่งยังเถียงคอเป็นเอ็น  “ห่วงนี่ไม่ใช่เหตุผลที่มากพอรึไง”  ภูมิรพีสวนกลับทันควัน

      “ก็มาก แต่ถ้ายังจำได้หนูก็ผู้ชายนะ ไม่บอบบางจนทำอะไรไม่”

      “ก็เพราะเป็นผู้ชายแบบนี้ไงถึงต้องห่วง ไม่รู้รึไงไอ้นั่นมันอยากได้ตัวเรา”

      “ก็นั่นแหละยิ่งต้องใช้ตัวเองเป็นนกต่อ”

      “อย่าดื้อ!! พูดให้รู้เรื่องทำไมพูดยากจังวะ!” 

      “ไม่ได้ดื้อ! แต่ภูมินั่นแหละที่ไม่เข้าใจ”

      “น้ำนิ่ง!! นี่งี่เง่าแล้วนะ”

      “……”

      “อย่าได้คิดทำอะไรไม่เข้าท่า”

      “...............”

      “อย่ามาเงียบ!!”

      “......................”

      “น้ำนิ่ง!!”  ภูมิรพีตะหวาดดังลั่นด้วยโกรธ

      “..............................”

      “โว้ย!!”  ภูมิรพีได้แต่ทึ้งหัวตัวเองด้วยความฮึดฮัดขัดใจทั้งโกรธทั้งโมโหกับการดื้อเงียบของน้ำนิ่งแต่ก็ทำอะไรรุนแรงไม่ได้

       “เออ!! จะเอาแบบนี้ใช่ไหม  ได้!  เงียบไปเลยนะ อย่าให้ได้ยินเสียงหลุดออกมาจากปากก็แล้วกันไม่งั้นเจอดีแน่ แล้วอย่าหวังว่าจะได้ไปที่นั่นอีก”  ภูมิรพีเดินตึงตังขัดใจดึงกระชากประตูเปิดอย่างแรง ตะโกนโหวกเหวกเรียกหาเหล่าบอดี้การ์ดลั่น

      “ไอ้เข้ม ไอ้แดน ไอ้พวกตัวดีอยากจะหาเรื่องใช่ไหมมึงไปด้วยกันเลยเดี๋ยวนี้  เด็ดไปเรียกไอ้ชัดมาเฝ้าน้องของมันไว้ อย่าให้ย่างกรายออกไปจากไร่ได้เชียว ถ้าหลุดออกไปได้คนที่เป็นเวรเฝ้าวันนี้เตรียมตัวตายได้เลย”

      .........................................



      - เอี๊ยด -

      เสียงล้อรถยนต์ครูดกับถนนดังสนั่นเพราะถูกขับออกไปด้วยความเร็วแรง น้ำนิ่งสั่นไปทั้งตัวทำไมภูมิรพีเป็นอย่างนี้ 

       ร่างบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างหมดแรง มือที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อบางวางอยู่บนหน้าขาค้ำยันตัวที่โงนเงนสั่นเทาจากการสะอื้นน้ำตาไหลเป็นทาง ไม่ได้อยากจะดื้อดึงทำตามใจตัวเองอย่างงี่เง่า แค่อยากจะมีความภูมิใจให้ตัวเอง แค่ไม่อยากจะได้รับการปกป้องหรืออะไรก็ตามที่เกินพอดีจากภูมิฝ่ายเดียว แค่อยากจะเป็นฝ่ายให้ทุกอย่างที่ได้รับมาคืนกลับบ้างมันผิดมากนักหรือไง

      “พี่ชัด..ฮึกฮืออออ...”  มือที่แตะลงบนไหล่อย่างอ่อนโยนทำให้น้ำนิ่งหันไปมองก่อนจะโผเข้าไปในวงแขนของชัดเจนที่กางรอ ร้องไห้สะอึกสะอื้นมือหนาใหญ่ลูบหลังปลุกปลอบอย่างอ่อนโยน ไม่มีคำปลอบประโลมจากชัดเจน

      “น้ำอึก...งี่เง่า...อึกทำให้ภูมิโกรธฮือ....อีกแล้วฮืออออ...”

      “ก็รู้ว่าที่ทำมันงี่เง่าแล้วจะร้องทำไม เงียบได้แล้วน่า”

      “ก็เสียใจฮืออออ...”

      “เสียใจ?  ถ้าเสียใจแล้วทำทำไม ไม่เหนื่อยรึไงว่างมากงั้นสิ หยุดร้องคร่ำครวญน่ารำราญฉิบ...  พี่รู้ว่าเราอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่างให้เฮีย  แต่ร้องไห้เป็นผู้หญิงแบบนี้พี่ว่าอย่าคิดการใหญ่แบบนั้นทั้งทีตัวเองทำไม่ได้เลยวะ”

      “แล้วจะด่าอีกทำไม”

      “ตรงไหนที่พี่ด่าแค่พูดให้คิด ทำไมชอบเถียงนัก ทำไมชอบทำให้เฮียเขาโกรธ พอเขาโกรธตัวเองก็เสียใจร้อนรนจะบ้า มีความสุขไหมล่ะ ก็ไม่ มีเหตุผลหน่อยเถอะที่เขาทำเพราะเขารักเรา ถ้าอยากจะตอบแทนก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ รักและเชื่อใจผัวแค่นั้นเฮียเขาก็มีความสุขจะตายห่าแล้ว จะลุกขึ้นมาทำห่าอะไรให้มันทะเลาะกัน..??  บึ้งตึงใส่กันนี่รู้ไหมว่าสร้างความอึดอัดลำบากใจให้คนอื่นแค่ไหน เกรงใจกันบ้าง อย่าทำตัวไร้เหตุผลอีก...”

      “พอแล้วจะด่าจนถึงลูกบวชเลยรึไง”  น้ำนิ่งชะงักค้างจากที่น้ำตาไหลเป็นทางจนขนตาเปียกชุ่มเป็นกระจุกเจ็บปวดใจจนจะบ้า น้ำตาและใจที่เจ็บปวดคงจะเกรงใจคำด่าของคนปากจัดอย่างชัดเจนมันหยุดไหลเหือดแห้งเอาดื้อ ใจก็ไม่ได้เจ็บปวดทุรนทุรายอะไรมากมาย

      “เออ!! จะด่าถ้ายังงี่เง่าอีก”

      “ก็แค่...”

      “เฮียเขาสั่งว่าไงล่ะ”

      “ให้ทำงานที่โรงเตี๊ยม ห้ามออกจากไร่  และห้ามให้มีเสียงหลุดออกจากปาก”

      “ก็ไม่ยากนี่ ทำไปสิ”

      “แต่ว่า...”

      “นี่แหละเขาเรียกว่างี่เง่า”

      “ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำ แค่จะบอกว่าทำงานโรงแรมก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะแยะจะไม่ให้พูดเลยใช่เรื่องที่ไหน”

      “ยังจะเล่น เขาก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้พูด แต่ถ้าพูดเรื่องงี่เง่าก็อย่าพูดจะดีกว่าโอเคนะ”

      “ฮือ”

      “ฮือนี่คือเข้าใจหรือไม่เข้าใจ”  น้ำนิ่งถลึงตาใส่ ไอ้พี่บ้า! จะคาดคั้นให้ตายเลยรึไง

      “ก็เข้าใจแล้ว ไม่งี่เง่า แต่ยังข้องใจอีกอย่าง”

      “เรื่องมาก ดึกแล้วไม่ใช่รึไง เดี๋ยวพ่อกลับมาแล้วยังไม่นอนมีหวังจุก เจ็บ ล่ะทีนี้”

      “ลูกน้องเฮียรึไง เสื่อมจริง”

      “ก็เออ จะถามอะไรก็รีบๆ จะได้ไปนอนซะที”

      “เรื่องไต่ชินหยางน่ะจริงเหรอ”

      “เห็นเป็นเด็กรึเปล่า ก็จริงนะสิคนที่เราคิดว่าไม่ใช่น่ะระวังไว้เถอะตัวอันตรายชัดๆ คราวนี้คงกะเอาคืนหนัก แค้นแทบกระอักนี่ทั้งเฮียทั้งเสี่ยตามเช็กบิลหนักจนสูญทั้งเงินเสียทั้งน้อง ถ้าอยากรู้เรื่องละเอียดเอาไว้ถามเฮียเองก็แล้วกัน เอานะเราก็โตแล้วคิดเองเป็นถ้าอยากจะเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่และคิดว่าจะรับผลของมันที่จะตามมาได้ก็ทำไป เอาล่ะเลิกถามไปนอนได้แล้วไป๊” 

      “พี่ชัดภูมิไปไหน ออกไปแบบนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าเกิดไปเจอฝ่ายตรงข้าม...” 

      “เฮียไม่ได้บอก ก็เพราะเรานั่นแหละดื้อไม่เข้าเรื่องลองโทรตามสิ”

       น้ำนิ่งล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงพยายามต่อสายหาภูมิรพีหลายครั้ง แต่สายไม่ว่างและโอนสายให้ฝากข้อความตลอด จนสายสุดท้ายเป็นเสียงสัญญาณไม่สามารถติดต่อได้ น้ำนิ่งกลัวก็แต่จะไปเจอฝ่ายตรงข้ามแล้วปะทะกัน ถ้าเกิดขึ้นกับภูมิรพีพลาดพลั้งเขาคงจะแบกรับผลที่จะตามมาไม่ไหวแน่

      “ไปไหนก็ไม่บอก แล้วไม่รับโทรศัพท์อีก”  อาการร้อนรนกับตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้มือที่เกาะแขนของเขาบีบแน่นบ่งบอกถึงความห่วงใยปนเปไปกับความกลัวมือใหญ่ของชัดเจนตบลงบนมือของน้ำนิ่งเบาๆ

      “ใจเย็นๆ คงจะไม่มีอะไรหรอก อาจจะอยู่ที่อับสัญญาณหรืออีกทีเฮียอาจจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว พี่คิดว่าคงจะไม่ไปไหนไกล เอางี้ลองโทรไปถามที่โรงแรม คาสิโน โรงงาน หรือไม่ก็คลับดูก่อน” 

       น้ำนิ่งยกโทรศัพท์ต่อสายไปถามทุกที่ที่คิดว่าภูมิรพีจะไป แต่ทุกที่ปฏิเสธว่าไม่เห็นเฮียเข้าไปเลย อาการกระสับกระส่าย ตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องออกมาก็ให้สงสารจับใจแต่ก็จนใจไม่รู้ว่าเฮียไปไหน ระหว่างนั้นเขาโทรหาเข้มแข็งกับแดนสรวงแต่ทั้งคู่ก็ไม่รับโทรศัพท์เหมือนกัน ได้แต่ดึงน้องเข้ามากอดปลอบ

       “ทำไงดีหนูติดต่อภูมิไม่ได้แล้ว นี่ไม่โอเคนะ”

      “คงไม่มีอะไรหรอกเฮียเขาไปกับสองคนนั้นเชื่อมือได้ ตรงนี้ลมเย็นเดี๋ยวไม่สบายไปรอในห้องดีกว่าไหม” 

      “แต่ว่า...ถ้าเกิด...”

      “เรายังไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งคิดไปก่อนสิไปรอที่ห้องนะ”

      “......”  ร่างเล็กไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ชัดเจนเลยถือวิสาสะจูงมืออีกคนไปยังห้องนอนกดให้นั่งรอที่เตียง ส่วนตัวเองก็ออกมาเอานมอุ่นให้น้ำนิ่งดื่ม

      “เอ้าดื่มนี้ก่อน” 

       มือเล็กยื่นมารับแก้วนมไปดื่มอย่างไม่อิดออด แต่ก็แค่นิดเดียวก็ว่างลงเพราะก้อนสะอื้นมันจุกแน่นขึ้นมาจนกลืนอะไรไม่ลง  ถ้าเพียงแค่คุยกันให้เข้าใจไม่ดื้อดึงภูมิรพีคงไม่หุนหันออกไปแบบนั้น ชัดเจนเฝ้ามองสีหน้าอมทุกข์อย่างคนสำนึกผิดของน้องด้วยความสงสาร มือใหญ่ยกขึ้นบีบไหล่บางเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

      “ดื่มให้หมด”  ชัดเจนรับแก้วออกจากมือเล็กไปวางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง

       “นอนรอไปก่อนนะ พี่จะเอาแก้วไปเก็บ แล้วไปบอกพี่เด็ดเขาออกไปตามให้”

      “ภูมิจะกลับมาใช่ไหม..”

      “อย่ากังวล ตื่นขึ้นมาเฮียก็นอนอยู่ข้างๆ แล้ว”

      “ขอให้เป็นอย่างนั้น....









TBC.

ปล.
ถ้าเจอข้อผิดพลาดหรือข้อแนะนำอะไรก็บอกต่อกันได้นะครับน้อมรับไปแก้ไข  ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่านครับผม ^^






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด