┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 10
“ซี้เขาเลยละครับ”
เมื่อได้ฟังคำตอบ ธเนศก็คลี่ยิ้มน้อย ๆ
“อยากเห็นหน้าเลยนะครับ”
เด็ก ๆ จูงมือคุณแม่ไปเดินเล่นหน้าบ้านแล้ว เหลือภูเมศยืนเผชิญหน้ากับแขกผู้มาเยือนเพียงลำพัง ลอบพิจารณารอยยิ้มบางเบาที่ชวนให้บรรยากาศดูซับซ้อนอย่างยากอธิบายของคู่สนทนา
“วิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำไปแล้วครับ” เขาตอบตามที่รู้มา “เห็นบ่นว่าท้องเสีย”
ขนาดเอ่ยจากปากตัวเองอย่างนั้น ภูเมศยังรู้สึกได้ว่านี่มันประหลาดพิกล ลองใคร่ครวญดูแล้ว อยู่ดี ๆ ธัญญ์เกิดจะมาท้องเสียอะไรตอนนี้ อย่างกับจงใจจะหลบเสียมากกว่า ทั้งที่กับลูกสาวตัวน้อยของเขาตอนเจอธัญญ์ครั้งก่อนก็เข้ากันได้ดีแท้ ๆ ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องหนีหน้าไปไหน
เหตุผลเท่าทีเขานึกออกตอนนี้ มีสองทางหลัก ๆ คือหากไม่ท้องเสียจริง—ซึ่งเขาไม่นึกอยากเชื่อเท่าไรนัก ก็เหมือนกำลังหนีจากการ...
“จะเป็นอะไรมากไหมนะครับ”
ภูเมศหลุดจากภวังค์ หันกลับไปสบตาคู่สนทนา
เขาอาจคิดมากไปเอง แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่ารอยยิ้มและน้ำเสียงนั้นเกินกว่าแค่พูดไปตามมารยาท
อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบอะไรจึงพึมพำต่อด้วยสีหน้าและสุ้มเสียงอ่อนลงกว่าเก่า
“น่าเป็นห่วงจัง”
ไม่ใช่แค่ตามมารยาทแน่ ๆ
“ยังเด็กอยู่” เขาแสดงความเห็น “ไม่น่าเป็นอะไรง่าย ๆ หรอกครับ”
“ก็จริง” ธเนศหัวเราะเบา ๆ เอ่ยกระเซ้าทีเล่นทีจริง “แต่ยี่สิบหกปีอาจไม่เรียกเด็กแล้วมั้งครับ กำลังปีกกล้าขาแข็งเลย”
“เอ๋?”
สีหน้าเขาคงฉายชัดเป็นคำถามว่า ‘รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร’ จนฝ่ายตรงข้ามต้องขยายความ
“น้องเพลงเล่าให้ฟังน่ะครับ เห็นบอกอายุยี่สิบหกปีแล้ว เอ..หรือผมจำมาผิด”
ภูเมศหัวเราะเจื่อน ใจหนึ่งอยากถามให้ชัดเจนกว่านี้ ทว่าไม่รู้กระทั่งตัวเองอยากถามอะไร ขณะที่อีกใจกลับหงุดหงิดอยู่ลึก ๆ จนนึกอยากจบบทสนทนาลงสักที
“ยี่สิบหกนั่นละครับ”
“ฮะ ๆ ๆ ความจำผมยังใช้ได้สินะครับ”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเพียงขวัญก็ดังมาจากหน้าบ้าน พวกเขาพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ ก่อนธเนศจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวเองแล้ววางลงบนโต๊ะ
มันเป็นช่อดอกไฮเดรนเยียเล็ก ๆ ที่คงถูกแบ่งออกมาจากช่อใหญ่อีกที น่าจะเด็ดออกมาจากต้นได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพราะกลีบดอกจิ๋วสีน้ำเงินเฉาลงจนบางกลีบบิดเบี้ยว มองไม่เห็นความสวยงามตรงไหน
เมื่อเห็นเขาทำสีหน้างุนงง ธเนศก็อธิบายสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ติดกระเป๋ามาน่ะครับ”
“อ้อ..”
ให้ตายเถอะ นึกคำอื่นมาตอบไม่ออกเอาจริง ๆ
“ปกติผมไม่สนใจเรื่องดอกไม้เลย แต่พอมีคนสำคัญชอบมัน ก็เลยนึกสนใจไปด้วย ถึงกับไปหาความหมายของดอกไม้ที่เขาชอบ ตลกดีเหมือนกันนะครับ”
ภูเมศพยักหน้าน้อย ๆ เห็นด้วยอยู่เหมือนกันว่าประสาทหรือเปล่า ผู้ชายวัยนี้ใครเขาใส่ใจเรื่องความหมายของดอกไม้กัน แต่จะให้พูดสนับสนุนอย่างจริงจังก็ใช่ที่
“ไป ๆ มา ๆ เลยเหมือนจะติดเป็นนิสัยไปเลยครับ เห็นไฮเดรนเยียที่บ้านออกดอกทีไร ต้องเผลอเด็ดมานิดหน่อยอยู่เรื่อย”
ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง ที่แท้ก็กำลังอธิบายเรื่องที่มาของไฮเดรนเยียเหี่ยว ๆ บนโต๊ะ
เพียงขวัญส่งเสียงเรียกซ้ำ คราวนี้โผล่หน้าเข้ามาดูในบ้านด้วยว่าคุยกันอะไรกันนานนักหนา เมื่อเห็นว่าพวกเขายังยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าจะขยับสักที ถึงกับโคลงศีรษะออกมาพร้อมสีหน้าอ่อนใจ
“คงต้องไปก่อนแล้ว” ธเนศขานรับทางนั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ พลางหันกลับมา แต่เมื่อสังเกตดี ๆ กลับพบว่าสายตามองเลยไปยังข้างหลังเขา...ทางด้านในของตัวบ้าน
อึดใจหนึ่งก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว..
“ไว้พบกันใหม่”
“ครับ”
สายตาผู้มาเยือนเบนกลับมาที่เขาอีกครั้ง จนไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อครู่นี้พูดกับใครกันแน่
เดินส่งลูก ๆ ขึ้นรถไปกับอดีตภรรยาและผู้ชายที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของเธอ กระทั่งรถของอีกฝ่ายลับสายตาไปนานแล้ว ภูเมศยังได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้จะทำอะไรต่อ คล้ายสมองยังจัดระเบียบความคิดไม่ดีพอจะสั่งการให้ไปทำอย่างอื่น
เขาคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแปลก แต่บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน ไม่ได้ผิดธรรมชาติหรือพิลึกพิลั่นจนต้องตกอกตกใจ แต่เป็นในลักษณะที่ทิ้งความรู้สึกคาใจให้ตกค้างอยู่ในอก พอกับเมื่อครั้งพบธัญญ์ใหม่ ๆ สถานการณ์เต็มไปด้วยความงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งที่ไม่เห็นว่าเรื่องราวที่เกิดจะเกี่ยวข้องกับตัวเองมากมายสักเท่าไร
ถึงจุดนี้ ภูเมศเพิ่งรู้ตัวว่าคุ้นเคยกับธัญญ์ และปราศจากความคลางแคลงใจกับการมีอยู่ของเจ้าตัวในระยะหลัง ๆ จนเกือบลืมความคับข้องใจช่วงเพิ่งพบกันไปแล้ว
ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว จากนั้นยักไหล่อย่างปลงตก
เพื่อนใหม่ของเพียงขวัญคนนั้นใช่จะเกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย มารับมาส่งลูก ๆ อย่างนี้อาจกำลังจีบกันอยู่ก็ได้ คิดเผื่อไว้ว่าหากเป็นเช่นนั้น วันดีคืนดีได้รับเชิญไปงานแต่งงานของพวกเขา ภูเมศก็ตั้งใจจะไปแสดงความยินดีด้วยจากใจจริง
ระหว่างกำลังหมุนตัวกลับ สายตาพลันเหลือบไปเห็นกระถางต้นไม้ทรงสี่เหลี่ยมในมุมหนึ่งใกล้รั้วบ้าน มันถูกทิ้งไว้ตรงนั้นมานานมากแล้ว ตั้งแต่ไฮเดรนเยียต้นเก่าของอดีตภรรยาเฉาตายไปเมื่อสักสองสามปีก่อน
เพียงขวัญชอบดอกไม้ประสาผู้หญิงทั่วไป แต่เขาไม่รู้ว่าเธอชอบดอกอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า หลายปีก่อนตอนคบกันใหม่ ๆ จะช่อกุหลาบ เบญจมาศ หรือลิลลี่ หากได้รับก็ล้วนแสดงสีหน้าดีใจเหมือนกันทั้งนั้น
แต่ถึงจะชอบดอกไม้เมื่อเห็นมันอยู่ในช่อสวย ๆ ผูกริบบิ้นอันโต เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชื่นชอบการปลูกมันขึ้นมาเท่าไรนัก กระถางสี่เหลี่ยมซึ่งถูกวางทิ้งไว้เป็นเครื่องยืนยันได้ดี พวกเขาทั้งสองต่างคนต่างยุ่ง ไฮเดรนเยียซึ่งไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร ออกดอกได้ไม่ทันกี่ครั้งก็เหี่ยวเฉาและตายไป เหลือไว้แต่ดินแห้ง ๆ ในกระถาง จางนั้นก็เธอก็ไม่ได้หาต้นใหม่มาปลูกอีก
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว แต่มาถึงตรงนี้ ภูเมศลองปะติดปะต่อเรื่องราวจากที่ได้รับรู้ บางทีเพียงขวัญอาจชอบดอกไฮเดรนเยียมากกว่าที่เขาเคยเข้าใจก็ได้ และ ‘คนสำคัญ’ ที่ธเนศกล่าวถึงอาจเป็นเธอนี่เอง
เมื่อคิดอย่างนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผลดี ไม่เห็นมีอะไรต้องงงสักหน่อย พอได้ข้อสรุปให้ตัวเองแล้วค่อยสบายใจขึ้นบ้าง
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ เสร็จเรื่องเด็ก ๆ วันนี้แล้ว กลับมานึกห่วงคนร่วมชายคาที่บอกว่าท้องเสีย เข้าห้องน้ำหายเงียบไปนาน จนตอนนี้ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้า ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เกิดไม่สบายจริง ๆ ขึ้นมาจะได้รีบรักษา
เขาเร่งฝีเท้าเดินเข้าบ้าน ตั้งใจจะรีบไปดูอาการ ทว่าเพิ่งย่างเท้าผ่านธรณีประตูได้แค่ไม่กี่ก้าว กลับชะงักอยู่ตรงทางเข้าโถงรับแขก
ข้างโต๊ะที่เขาเพิ่งคุยกับธเนศเมื่อหลายนาทีก่อน มีร่างคุ้นตายืนอยู่ แผ่นหลังสูงโปร่งของอีกฝ่ายหันออกมาทางเขา ไหล่ผึ่งผายคราวนี้ค้อมลงน้อย ๆ จากตำแหน่งยืนของเขามองไม่เห็นสีหน้า บอกได้เพียงว่าศีรษะก้มต่ำจนดูราวกับเจ้าตัวกำลังรู้สึกหดหู่จนน่าสงสาร แต่เห็นตำแหน่งมือแล้ว จึงรู้ว่าแท้จริงกำลังก้มมองบางสิ่งในมือต่างหาก
ภูเมศเลื่อนสายตาไปยังของที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่บนโต๊ะ
ไฮเดรนเยียเหี่ยว ๆ ไม่ได้วางตรงจุดเดิมแล้ว
อีกฝ่ายขยับตัว ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็น ว่าดอกไม้สีน้ำเงินเล็ก ๆ ของธเนศย้ายมาอยู่ในมือธัญญ์ แต่จากตรงนี้ก็ยังมองไม่เห็นหน้าอยู่ดี
หากเดินเข้าไปหา จะได้เห็นใกล้ ๆ ไม่ต้องเดาเอาเองไปเรื่อยเปื่อย ว่าดวงหน้าและแววตาตอนที่กำลังจ้องมองกลีบเหี่ยวเฉาของดอกไม้ซึ่งถูกพรากจากต้นนั้นเป็นอย่างไร ทว่าเขากลับยืนชะงักค้างอยู่กับที่ พิศมองท่วงท่าสงบนิ่งนั้น แม้แต่หายใจยังพยายามให้เสียงเบาที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะอยากรู้ว่าหากธัญญ์เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาคนอื่น เด็กนั่นจะทำอะไรต่อไป
แต่อีกส่วน อาจเป็นเพราะละสายตาไม่ได้...
ทั้งรูปร่าง ท่าทาง หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิด ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ล้วนสะกดสายตาคนมองได้อยู่หมัด...อย่างน้อยก็กับเขาคนหนึ่ง ภูเมศถึงกับลอบมองอยู่เช่นนั้นกระทั่งถูกเห็นเข้าเสียเอง
มันจะต้องเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยเลยให้ตาย!
ธัญญ์วางดอกไฮเดรนเยียลงที่เดิม มองตรงมาโดยไม่ออกปากอะไร เขาเองต่างหากเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูก ด้วยถูกจับได้ที่ยืนจ้องอยู่นานจนต้องพูดอะไรแก้เก้อ
“ดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ครับ”
“หยุดถ่ายแล้ว?” เขาพยักพเยิดเป็นเชิงถามพลางเดินเข้าไปใกล้ “เป็นไง ปวดท้อง คลื่นไส้ อยากอ้วก?”
มุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นน้อย ๆ “ไม่ครับ”
โต ๆ กันแล้วไม่ต้องห่วงนักก็ได้ แต่เห็นท่าทางก่อนหน้านี้ ทั้งยังคำพูดของธเนศที่ดูเป็นห่วงอย่างประหลาดทั้งที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน เขาเองก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้อย่างไรพิกล
“ไข้ล่ะ?” พร้อมคำถาม มือก็ยื่นไปแตะบนหน้าผากอีกฝ่ายโดยไม่ทันคิด เหมือนอย่างเคยทำกับลูก ๆ เวลาไม่สบาย “ตัวร้อนหรือเปล่า”
ผ่านการสัมผัสนั้น ภูเมศรับรู้ได้ว่าธัญญ์ชะงัก จนเขาเองก็พลอยสะดุดไปด้วย ตั้งใจจะรีบดึงมือตัวเองออก แต่ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเข้าเสียก่อน กุมเอาไว้หลวม ๆ ให้วางอยู่ตรงตำแหน่งเดิมบนหน้าผากตัวเอง
การวางตัวสงบนิ่งอย่างปกติกลายเป็นเรื่องยากลำบากเต็มที ในเมื่อรู้ตัวว่าหน้าร้อนวาบขึ้นมาขนาดนี้..
“นี่...” ภูเมศกระแอมเบา ๆ ให้คอโล่ง “เป็นอะไรน่ะเรา”
เสียงเขาหนักแน่นพอหรือเปล่านะ
“สบายดีแล้วครับ”
ถ้าสบายดีแล้วนี่ทำอะไรอยู่ เป็นสิ่งที่อยากถามแต่ก็ถามไม่ออก
ค้างอยู่ท่าเดิมนานเข้าจนเริ่มเมื่อย แต่นั่นยังไม่เท่าความรู้สึกประดักประเดิด ตัวยุ่งตรงหน้าก็มัวก้มหน้าก้มตาค้างอยู่อย่างนี้ตั้งนานแล้ว ขมวดคิ้วมองดี ๆ ยังไม่แน่ใจว่าแค่หลับตาหรือใจคอจะหลับทั้งยืนไปจริง ๆ พอลองดึงมือออกอีกครั้ง คราวนี้ได้ยินเสียงแผ่ว ๆ ราวกำลังพึมพำกับตัวเองลอยมาถึงหู
“มือคุณอุ่นดี”
ปลายนิ้วพวกเขาแยกจากกันตอนนั้น ในวินาทีที่นึกเสียดายจนอยากเอื้อมไปแตะอีกหน
ดวงตาอีกฝ่ายหรี่ลงเล็กน้อย ขยับเป็นเส้นโค้งคล้ายกำลังยิ้มแม้ริมฝีปากไม่ได้ขยับ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่มือเขาเคยวางอยู่เมื่อครู่ด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ ทั้งน่าเอ็นดูและน่าประหลาดใจ
ภูเมศพ่นลมหายใจเฮือก แม้ปากก็บ่นว่า “อะไรกันเด็กนี่!” แต่ชั่งใจอยู่เพียงครู่เดียว กลับหมดแรงจะเก๊กเต็มที มือยื่นไปแปะเต็มสองข้างแก้มแต้มสีระเรื่อของคนตรงหน้า จับหันไปหันมาอย่างมันเขี้ยวเต็มแก่ เท่านั้นไม่พอยังเลยไปเสยผมซ้ายขวาแล้วยีจนยุ่งเหยิง ระหว่างนั้นก็บ่นไปด้วยไม่หยุดหย่อน
“เป็นอะไรไอ้หนู ทำหน้าตาท่าทางพิลึกพิลั่นอยู่ได้ ตอนแรกก็บอกว่าท้องเสีย วิ่งหนีไปเฉย เผลอแผล็บเดียวบอกสบายดี ทำท่าหงุงหงิง ถามคำตอบมาครึ่งคำ แถมนอกเรื่องอีกต่างหาก เห็นฉันเป็นตาลุงบื้อ ๆ ให้หลอกเอาง่าย ๆ หรือไง ไหนบอกมาซิว่าป่วยจริงหรือเปล่า”
ธัญญ์มองเขาบ่นจนพอใจ ทิ้งเวลาครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง จึงตอบกลับมาหลังปั้นหน้านิ่งอย่างเคยได้แล้ว
“ไม่จริงครับ”
มันเขี้ยวจนอยากจะเขกกะโหลกแรง ๆ สักทีจริงเชียว!
“ไม่ได้ท้องเสียด้วย?”
“ไม่ได้ท้องเสียครับ”
“โอ๊ะ!”
แล้วก็ปล่อยมะเหงกลงไปทีหนึ่งจริง ๆ จนได้
อีกฝ่ายครางเบา ๆ ในคอ คงไม่ใช่เพราะเจ็บ ด้วยแรงที่ส่งไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ท่าทางจะคาดไม่ถึงมากกว่าว่าจะโดนเข้าจริง
“แล้วหนีทำไม” นานทีจะมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสักหน ภูเมศรีบไล่ต้อนต่อไม่ให้เสียโอกาส “จู่ ๆ ก็หลบเข้าห้องน้ำเฉย”
“ความลับครับ”
ช่างกล้ามาเล่นอีก
“ตอบดี ๆ”
“สามร้อยครับ—โอ๊ะ!”
ที่จริงท่าทางตอนโดนเขกหัวก็น่ารักดี เขาเกือบขำออกมาแล้ว
“ร้อยเดียวก็ไม่ให้ ตอบมาสักทีไอ้หนู”
คนฟังแสร้งถอนหายใจเบา ๆ “ร้อยเดียวยังไม่มีจ่าย ช่วงนี้การเงินฝืดเคืองสินะครับ”
“ไม่ต้องมานอกเรื่องเลย”
ธัญญ์เหลือบมองเขา จ้องนิ่งขณะที่เขาก็จ้องตาอีกฝ่ายกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ความดื้อของผู้ใหญ่ทำตัวเด็ก หรือผู้ใหญ่ทำตัวแก่จะชนะก็ให้มันรู้กันไป
“ทั้งหมดที่ทำ เพราะอยากอยู่กับคุณนาน ๆ ครับ”
ภูเมศอ้าปากหวอ หัวใจบีบตัวแรงไม่ถามไถ่เจ้าของ
หากเมื่อครู่เป็นการยิงปืน กระสุนคงแฉลบจุดตาย คำตอบที่ได้ยังไม่ตรงประเด็นเช่นเคย แต่เล่นเอาต้องประมวลผลเพิ่มเติมกันยกใหญ่ ทั้งคราวนี้อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามต่อ ผละออกไปง่าย ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเก็บแก้วและเหยือกน้ำที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
เมื่อมือขยับไปถูกดอกไฮเดรนเยียเฉา ๆ เข้า เจ้าตัวก็หยิบมันขึ้นมามองเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นขยำจนยับเยินคามือ โยนมันทิ้งถังขยะใกล้ ๆ โดยไม่ถามถึงที่มาแม้แต่พยางค์เดียว ทั้งที่ก่อนเขาเข้ามายังเห็นจ้องมันอย่างพินิจพิจารณาอยู่แท้ ๆ
แวบหนึ่ง เขาเกิดนึกถึงคำพูดของธเนศขึ้นมา
“ธัญญ์”
เจ้าของชื่อหันมามอง จากนั้นเงียบกันไปครู่ใหญ่ กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอ
“เอ้อ...” เขาจด ๆ จ้อง ๆ ดอกไฮเดรนเยียในถังขยะ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้ขัดเขิน “เธอรู้ความหมายของไฮเดรนเยียไหม”
ธัญญ์เลิกคิ้ว “ปกติแล้ว ผู้ชายไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนั้นกันหรอกนะครับ”
ภูเมศพยักหน้า ถามต่อ “แล้วเธอปกติไหม”
หากใช้คำถามสิ้นคิดเช่นนี้กับเพื่อนสมัยวัยรุ่น อาจได้คำตอบทำนองว่า ‘พูดแบบนี้มาต่อยปากกันเลยดีกว่า’ กลับมาก็ได้ แต่พออีกฝ่ายเป็นธัญญ์ ซึ่งคงจะเริ่มชิน หรือไม่ก็เอือมระอาจนไม่อยากถือสากับคำพูดหลุดปากเหล่านี้ของเขาเต็มที ผลลัพธ์มักเกินคาดเสมอ
“เย็นชา”
“หือ?”
“ไร้หัวใจ”
ธัญญ์เอ่ยเรียบ ๆ กับภูเมศที่ยังตามไม่ทัน ได้แต่เอานิ้วชี้ตัวเองงง ๆ ด้วยคิดว่ากำลังโดนข้อกล่าวหาใหญ่
“หมายถึง...ฉันน่ะหรือ?”
อีกฝ่ายโคลงศีรษะ
“ไฮเดรนเยียครับ” พึมพำพลางโยนขวดเปล่าและถุงขนมที่พร้อมภูมิกินเหลือทิ้งตามลงไปในถังขยะ เศษขนมเทลงไปปนกับซากดอกไม้จนเละเทะ “เขาว่ากันอย่างนั้น”
“อ้อ...” ชายหนุ่มรับคำเหวอ ๆ ประหลาดใจกับความหมายของดอกไม้ที่ออกจะโหดร้ายไปสักหน่อย
“แต่ว่าคุณน่ะ...”
ธัญญ์วางมือ เงยขึ้นมองเขาตรง ๆ ยิ้มออกมาจนตาหยี ลักยิ้มกดบุ๋มลงบนแก้มซ้าย
“...ใจดีครับ”
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v