ตอนที่ ๗
คุยเคยฝันร้ายไหม?
จริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นฝันร้ายเลยก็คงไม่ใคร่ถูกนัก เพราะลักษมัณเองจำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น หากก็เป็น‘ความเลือนราง’ที่ชวนให้รู้สึกหวามไหวแปลกๆในหัวใจ
“พี่อยู่นี่” เผลอยกมือขึ้นแตะบนหน้าผากเบาๆ คล้ายสัมผัสระอุอุ่นยังคงตราตรึงอยู่ไม่เลือนหาย ก่อนจะเลื่อนมือลงสัมผัสกลางทรวง …ความเจ็บปลาบพลันแล่นพล่านไปทั่วแผ่นอกดังถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทงเข้าปักตรึงอยู่กระนั้น
“แปลก…”พึมพำเสียงเบา ก่อนจะสะดุ้งโหยงความเจ็บปวดราวกับจะย้ายมาจี๊ดอยู่กลางหน้าผากแทนเมื่อโดนมะเหงกเขกเข้าให้ “โอ๊ย”
“แปลกอะไรวะไอ้รัก อ้อ ถ้าหมายถึงตัวมึงเองล่ะก็ แปลกมาตั้งนานแล้วนี่หว่า ฮ่าๆ”น้ำเสียงคุ้นหูตามด้วยใบหน้าอันคุ้นตาและเสียงหัวเราะอันคุ้นเคย
พี่เวสเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือถุงพลาสติกขนาดใหญ่แลเห็นวับแวมว่าเป็นแพคยาคูลท์วางพิงอยู่ข้างขา เพื่อให้ถนัดยกมือขึ้นประทุษร้ายน้อง อีกมือถือถาดในถาดมีชามตราไก่ใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อยควันฉุยบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเพิ่งตักออกจากหม้อ
คนบ้านใกล้เรือนเคียง พอทำแกงเลียงหม้อใหญ่ก็ตักแบ่งใส่ชามปันมาให้เพื่อนบ้านช่วยกันชิม หวานปากพ่อจ๋าของไอ้รักล่ะทีนี้ด้วยฝีมือฉมังของแม่ครัวร้านอาหารไทยอันเลืองชื่อ จัดจ้านสุดในย่านนี้ อย่าง
แม่ธารทิพย์ มารดาของพิภิษณ์ แม่ทูนหัวของลักษมัณ
…รักหลงเสียยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆของตัวเองเสียอีก
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีพิภิษณ์ที่กำลังเดินถือของสองมือพะรุงพะรังยิ้มแป้นหน้ามันวาบเข้ามาในรั้วบ้านเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ ถึงกลับชะงักฝีเท้าแทบไม่ทันเมื่อสายตาพลันเห็นน้ำเป็นสายพุ่งมาดักอยู่ตรงหน้า มองตามสายน้ำที่ว่านั้นไปก็ให้เห็นเป็นไอ้น้องรักยืนกุมอกเหม่อลอยมองหายานแม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล …ทั้งที่ในมืออีกข้างถือสายยางอยู่ คาดว่าคงตื่นแต่ไก่ยังไม่โห่มารดน้ำต้นไม้เหมือนเช่นเคย
แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือ วันนี้ตาลอยหน้าเหม่อกว่าทุกที
“มึงไหวป่ะวะไอ้รัก อ้าวๆ พุ่มดอกเข้มจะสำลักน้ำตายแล้วมั้งนั่น”
คนโดนทักร้องเฮ้ยกุรีกุจอหันไปปิดวาล์วน้ำแทบไม่ทัน
“โธ่ พี่เวส นี่ใคร รักน้องพี่ซะอย่าง ไม่ไหวก็แย่ละ”กระโดดตุบมายืนข้างพี่ข้างบ้านพลางก้มลงหยิบถุงใหญ่ใส่แพคยาคูลท์ขึ้นเพื่อช่วยพี่ถือ …อือหือ งานนี้ต้องมีกล้ามครับ หนักมากบอกเลย
“แล้วสรุปมึงเป็นอะไร กูเห็นยืนทำหน้าเอ๋อประหนึ่งหายานแม่ไม่เจออยู่ได้ตั้งนานสองนาน ขนาดเรียกจ่อหน้ามึงยังไม่ได้ยินเลย”พากันเดินเข้าเรือนไทยไป แอบได้ยินเสียงโช้งเช้งของกระทะกับตะหลิวแว่วๆ คาดว่าเป็นพ่อจ๋าที่กำลังเจียวไข่อยู่ในครัว
“แล้วนี่พี่มาตั้งกะเมื่อไหร่ ยี่สิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมง?”
“ฮึ ไม่ถึงห้านาทีกูก็เขกเหม่งเรียกสติมึงแล้ว ฮ่าๆ”
ลักษมัณล่ะเบื่อ แล้วมาว่าเห็นอยู่เป็นนานสองนาน …แอบกลอกตาเบาๆ ก่อนจะหยุดเดินมุ่นคิ้วน้อยๆแล้วตัดสินใจพูดออกไป
“รักฝันแปลกๆว่ะพี่”
“หือ ฝัน?”พิภิษณ์หยุดเดินตาม ตอนแรกก็ไม่เมื่อย แต่พอเมื่อยล่ะเมื่อยเลย “เดี๋ยวๆ ไว้ค่อยเล่า เอาแกงไปเก็บก่อน กูเมื่อยแขนเว้ย”
อย่าว่าแต่พี่เวสคนดีเลยที่เมื่อย …เพราะลักษมัณเองก็ชักรู้สึกเหมือนไหล่จะหลุดแล้วเช่นกัน
เมื่อนึกได้ว่าตอนแรกเป็นพี่เวสพี่แบกมาคนเดียวไร้ซึ่งแสตนอินแล้วนั้น…
ยอดมนุษย์โดยแท้
อย่างที่รู้กันว่าวันนี้ลักษมัณไม่มีเรียน ส่วนคุณชายสิตานั้นมีเรียนในช่วงเช้า ย่ำรุ่งอีกฝ่ายเลยข้อความมานัดแนะจะไปซื้อของขวัญกันในวันนี้ ฤกษ์งามยามดีราวเที่ยงกว่าๆคุณชายสิตาก็มาถึงเรือนไทยเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์พอดี
มาพร้อมกับยาคูลท์บรรณาการเพื่อนรักอีกสามแพค ให้พิภิษณ์ได้สะดุ้งโหยงเล่น
ส่วนลักษมัณนั้น …ลูบท้องตัวเองเบาๆ จากนี้คงไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะท้องผูกอีกต่อไป
และไม่รู้ว่าประจวบเหมาะจริงๆหรือไม่อย่างไร เมื่ออาจารย์ของพิภิษณ์นั้นยกคลาสในช่วงบ่ายด้วยติดธุระสำคัญ เลยทำให้ตัวพิภิษณ์เองไม่มีเรียนในวันนี้ด้วยเช่นกัน เป็นอันว่าสามคนว่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ด้วยเหตุฉะนี้ สองคนรู้จัก คนหนึ่งเพื่อนสนิท ส่วนอีกคนก็พี่ชายข้างบ้านควบตำแหน่งพี่รหัส ตกลงปลงใจ ในขณะที่เขายังอาบน้ำถูขี้ตาอยู่ในห้องน้ำ ออกมาแต่งตัวเสร็จยังไม่ทันประแป้งเย็นให้ชื่นใจก็ถูกจับยัดใส่รถพากันมาจนถึงห้างสรรพสินค้าเสียแล้ว โดยมีพิภิษณ์เป็นสารถีและมีพ่อจ๋าเป็นผู้อุปการคุณในการให้ยืมรถมาใช้สอย
ใช้จริงๆไม่ติงนัง เพราะไม่ลืมเตือนว่าขากลับแวะซื้อหมอนทองมาฝากพ่อด้วย เปรี้ยวมานานแล้ว
เปรี้ยวที่ปากนะ หาใช่ที่กลิ่นตัว
“รักว่าเส้นนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เนคไทสีเทาที่แอบได้ยินพี่พนักงานขายบอกว่าผลิตด้วยไหมแท้ทั้งเส้นถูกทาบลงบนลำตัวของผู้ถูกถาม ให้นัยน์ตาสีนิลหลุบลงมองเนคไทซึ่งน่าจะเป็นแบรนด์ดังใช่ย่อยบนแผ่นอก ตอนเดินตามสิตาเข้าร้านมาพร้อมกับพี่เวส ลักษมัณไม่ได้สังเกตสังกาป้ายบอกชื่อแบรนด์เสียด้วยสิ แต่มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นแบรนด์ที่มีชื่อแน่นอน ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบมองผู้ถามที่มีสีหน้าขะมักเขม้นจริงจังทั้งยังดูเคร่งเครียด ลักษมัณอดยิ้มเอ็นดูคุณชายตัวน้อยไม่ได้ก่อนเอ่ยตอบความไป
“ถ้าเป็นของขวัญจากสิตา ท่านชายทรงโปรดอยู่แล้ว”ใบหน้านวลของผู้ถามซับสีเลือดจางทันที ตากลมถลึงใส่เพื่อนก่อนหันไปส่งเนคไทเส้นดังกล่าวให้กับพนักงานสาวที่ยืนยิ้มหวานรออยู่
“ตกลงเอาเส้นนี้ครับ รบกวนห่อใส่กล่องของขวัญให้ด้วยเลยนะ”
“ค่ะคุณชาย”
ปกติถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล ไม่มีหรอกบริการห่อของฟรี เพียงแต่ผู้ซื้อคนนี้คือหม่อมราชวงศ์สิตา ก็เลยได้ห่อฟรีทั้งที่มันไม่ฟรี ลูกค้าเป๋าหนักอาจจะได้รับบริการนี้กันทุกคน ไม่น่าแปลกใจ
“ขอบคุณนะรักที่มาเป็นเพื่อนเรา”
หลังจากซื้อของเสร็จก็พากันเดินเคียงออกมาจากร้าน ที่เคียงคือคุณชายสิตากับลักษมัณ ส่วนพิภิษณ์นั้นถอยฉากเดินตามหลังประกบทั้งคู่อีกที ทำตัวประหนึ่งบอร์ดี้การ์ด ยิ้มหน้าบานเมื่อคุณชายคนดีหันไปยิ้มหวานให้
“พี่เวสด้วยนะครับ อุตสาห์มาเป็นธุระช่วยขับรถให้”
“ไม่เป็นไรเลยครับคุณชาย พี่ยินดีมาก”ดูหน้าบานๆนั่นก็ล่วงรู้หมดแล้วซึ่งความในใจ ลักษมัณได้แต่ถอนใจกับตัวเอง คนที่ไม่รู้ว่าพิภิษณ์รู้สึกอย่างไร เห็นทีจะมีก็แต่เพียงคุณชายสิตานี่ล่ะ
“บ่ายสองกว่าแล้ว หิวกันหรือยังครับ?”
“มาก ท้องร้องโครกเลยเนี้ยสิตา”ระบบเผาผลาญของลักษมัณดีเยี่ยมมากบอกเลย
“ส่วนพี่แล้วแต่คุณชายเลยครับ”หิวก็ได้ แต่ถ้าคุณชายไม่หิวพี่เวสคนนี้ก็ยอมที่จะท้องกิ่วต่อไป ถอดความโดยไอ้น้องรักของพี่เวส
ฟากพิภิษณ์นั้นหนอ …ถลึงตาดุเข้าให้ประหนึ่งรู้ว่าโดนเขาล้ออยู่ในใจ
“งั้นไปกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวมื้อนี้สิตาเลี้ยงเอง อะๆ ห้ามปฏิเสธด้วยนะครับพี่เวส”คนที่อ้าปากมาก็เห็นลิ้นไก่ได้แต่พะงาบปากทำหงุบหงับ ก่อนเงียบเสียงแต่พยักหน้าว่ายอมแล้วครับ ไม่กล้าขัด
สุดท้ายเลยไปลงเอยกันอยู่ที่ร้านปิ้งย่างชื่อดัง ตามคำรีเควสของคุณชายเขา เห็นว่าถูกสั่งห้ามไม่ให้กิน แต่ถูกใครห้ามไว้ไม่ได้บอก บอกแค่ว่า‘กินเป็นเพื่อนเรานะ’ ถือว่าเป็นอันจบข่าว เพราะลักษมัณเองก็กำลังอยากอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กินมานาน จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่กินราคายังแตะอยู่แค่สามกลางๆ แปบๆพุ่งมาเกือบครึ่งพัน เป็นไปได้อย่างงงๆ
ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น คนอยากกินก็ยกธงขาวขึ้นโบกเสียแล้ว ส่วนลักษมัณเองก็ตามคุณชายสิตาไปติดๆในอีก ๑๕ นาทีให้หลัง สุดท้ายแล้วผู้คว้าชัยไปเห็นจะหนีไม่พ้นยักษ์ปักหลั่นประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างนายพิภิษณ์ ที่ทำเวลาห่างจากคุณชายสิตาไปถึง ๓๐ นาที ๕๗ วินาทีด้วยกัน
ที่รู้ลึกรู้จริงรู้ละเอียดขนาดนี้เป็นเพราะตั้งเวลาในมือถือจับไว้ตั้งแต่แรก เกือบครบระยะที่ร้านกำหนดเวลาไว้เลยทีเดียว
พิภิษณ์กระเพาะอึดมาก ส่วนลักษมัณ …ตอนนี้เริ่มอืดมาก อดนึกเสียดายในใจไม่ได้ที่ไม่ได้หยิบยาคูลท์คู่ใจมาด้วย
คงไม่คิดแวะเวียนเข้าร้านปิ้งย่างไปอีกนาน เพราะรู้สึกเข็ด แต่พอเอาเข้าจริงๆหากรู้สึกอยากขึ้นมาอีก ความรู้สึกเข็ดที่ว่าคงปลิวกระจายลอยหายไปกับสายลม เมื่อใดๆล้วนไม่อาจต้านทานความอยากกินได้
“แล้วนี่คุณชายจะกลับยังไงครับ ให้พี่ไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ก่อนหน้าผมโทรบอกคนรถไว้แล้ว อีกสักพักคงมาถึง”คุณชายสิตาชะงักก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับ ได้ความว่าคนรถที่ว่ามาถึงแล้วเรียบร้อย ไม่เปิดโอกาสให้พี่เวสคนดีของน้องรักทำคะแนนเลยแม้แต่น้อย
ทำได้แต่ยกมือโบกบ๊ายบายหน้าละห้อย น่าสงสาร
“ท่านชายรามที่ว่าเนี้ย เค้าเป็นญาติกันจริงๆแน่เหรอวะไอ้รัก?”คล้อยหลังได้แปบเดียวก็เหลียวหันมาชวนลักษมัณนินทาคุณชายทันที
เนี้ย นิสัยอย่างนี้ไง แต่ดูจากสีหน้าแล้วท่าทางจะอยู่ในโหมดจริงจัง
“เอ้า ญาติกันจริงดิพี่ จะหลอกทำไม”ตอบพลางเลี้ยวเข้าห้องน้ำ สงสัยจะกดน้ำอัดลมมากไปหน่อย ตอนกินไม่คิด คิดอย่างเดียวคือทำทุกอย่างให้คุ้มค่าหัว
พิภิษณ์เดินตาม สีหน้าคนพี่ยังคงครุ่นคิดไม่เลิก
“เออ บางทีกูอาจจะคิดมากเกินไป”
“นั่นเป็นเพราะพี่ใส่ใจสิตามากไง”จัดการธุระเสร็จ เดินมาล้างมือ“ถ้าชอบเขา...”
“อย่าเพ้อเจ้อไอ้รัก กูไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นกับเขา แค่.. แค่รู้สึกดีด้วยเฉยๆ”ขัดขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังไม่ทันพูดจบ พิรุธไม่พิรุธลองถามใจพี่เวสดู
“แล้วรู้สึกดีด้วยเฉยๆกับรู้สึกชอบมันต่างกันยังไงพี่?”
“คนหัวช้าอย่างมึง บอกไปก็ไม่เข้าใจหรอก ไอ้น้องรักเอ้ย”
ลักษมัณกลอกตา
“มันแค่ข้ออ้างหรือเป… โอ๊ย”โดนอีกโป๊ก ยังไม่ทันจบประโยคเลยแท้ๆ
“กวนตีน ไปๆ หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วมึง กลับบ้าน”เกี่ยวคอลากน้องออกจากห้องน้ำ ไม่คิดต่อความยาวสาวความยืด แค่ทัศนียภาพรอบตัวก็ไม่เหมาะจะมายืนโต้วาทีกันแล้ว
ลักษมัณมองหน้าพี่ชายก่อนลอบถอนใจเบาๆ หากรู้สึกรักหากรู้สึกชอบพอต่อใคร มันไม่ยากเกินที่จะบอกออกไป แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผลลัพธ์ต้องเป็นยังไง …ด้วยฐานันดรที่แตกต่าง แค่ทางความคิดก็ไม่อาจเป็นไปได้แล้ว
ไม่รู้ทำไมลักษมัณถึงได้คิดว่าเขาเข้าใจพิภิษณ์ดี
‘เข้าใจ’ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า‘ทำไม’ถึงได้เข้าใจเหมือนกัน
กว่าจะกลับถึงบ้านตะวันก็เริ่มคล้อยทอแสงส้มแสดไปทั่วผืนนภา หากเอกลักษมณ์ดนตรีศิลป์ที่ควรเงียบเชียบเพราะหมดเวลาทำการกลับเจี๊ยวจ๊าวได้อย่างน่าพิศวง
“น้าพระล๊ากกก”
เสียงพื้นไม้ลั่นจากการวิ่งซอยเท้าอย่างรวดเร็ว พร้อมแรงกระโดดกอดที่พุ่งเข้าใส่จนลักษมัณแทบหงายเก๋ง โชคยังดีที่ส่งถุงสารพัดอย่างรวมถึงหมอนทองของพ่อจ๋าให้พิภิษณ์ได้ทันการณ์
“
ธร วัน ตาเคยบอกไว้ว่ายังไงครับ”
“ห้ามพุ่งเข้าใส่น้าพระลักษมณ์แรงๆค่า/ครับ”สองแฝดชายหญิงตอบเสียงดังฟังชัด แต่หน้าที่กลมพอกันยิ้มแป้นไร้วี่แววสลด
“
ลุงอัศ สวัสดีครับ”ลักษมัณยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ ผู้อาวุโสรับไหว้พร้อมกับยิ้มใจดี
“ไหว้พระเถอะพ่อ ไม่ได้เจอกันตั้งนานโตขึ้นเยอะเลยนะเรา”
“แน่นอนสิวะ ข้าเลี้ยงลูกข้าดีโว้ย”พ่อจ๋าของไอ้รักเดินหัวเราะแก้มกระเพื่อมมาแต่ไกลเชียว
“หวัดดีครับลุงอัศ”วางของลงได้พิภิษณ์ก็กระพุ่มมือยกขึ้นไหว้ผู้อาวุโสกว่า ที่ได้เจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว
ลุงอัศหรือชื่อเต็มก็คือ
อัศม์เดช เป็นเพื่อนซี้ปึกของพ่อจ๋ามาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ซี้กันเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่สำเภาเสียอีก ส่วนสองจ๋อที่เกาะหน้าเกาะหลังลักษมัณอยู่นี้ก็หลานแท้ๆของลุงเขา แฝดชายชื่อ
คิรีธร ส่วนแฝดหญิงชื่อ
คิรีวัน “พอดีเจ้าสองแสบรบเร้าอยากจะมาหาตาจ๋า ลุงก็เลยพามา มาได้สักพักแล้วล่ะ”ลักษมัณร้องอ้อพลางมองสองแฝดที่วิ่งเข้าไปเกาะไปเกี่ยวเอวตาจ๋าแทน
ตาจ๋าก็จัดให้ แกล้งหลอกยักษ์หลานทำหน้าทำตาแฮ่ฮ้าใส่ให้หลานร้องวี้ดว้ายหัวเราะคิกคัก
“แล้วจะอยู่ค้างไหมครับ เดี๋ยวรักไปจัดห้องให้”
“โอ๊ย! ไม่ค้างไม่เคิ้งอะไรหรอก เดี๋ยวก็กลับแล้ว”พ่อจ๋าร้องมาแต่ไกล ยังคงพันแข้งพันขาเล่นกับหลานอยู่นั่น
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวลุงก็กลับแล้วล่ะ ขืนค้างยายอันได้บ่นลุงหูชาแน่”
อันภาเป็นลูกสาวคนเดียวของอัศม์เดชและก็เป็นแม่ของเจ้าสองแฝดแสบ ลักษมัณนึกภาพตามพลันทำท่าขนลุกซู่ ‘พี่อัน’ในภาพวันวานของลักษมัณเป็นเด็กผู้หญิงแก่นเซี้ยวคนหนึ่งที่ต่อยไอ้โจ๋ท้ายซอยล้มคว่ำได้ในหมัดเดียว
น่ากลัวมาก
“น้าพระลักษมณ์หนาว”
“หนาวเหรอคะ มาๆมากอดกับหนูวันน้า”
แล้วสองแฝดก็หันมามะรุมมะตุ้มลักษมัณแทน พอแกล้งนอนตายเด็กๆก็หัวเราะร่าตบมือแปะๆ นั่งทับก้นคน ขาคน…
อืม สำเนาถูกต้องโดยแท้จริง
ก๊อก ก๊อก
หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ทรงละเนตรออกจากหน้าจอโน๊คบุ๊คพลางยกพระหัตถ์ขึ้นมานวดขึงขนงเบาๆ
ไม่จำเป็นต้องให้ทรงตรัสถามด้วยทรงทราบดีว่านอกจากคนสนิทส่วนองค์แล้วก็หาใช่ผู้อื่นอีก และเมื่อทรงตรัสอนุญาตประตูห้องทรงงานจึงได้ถูกเปิดเข้ามาโดยบุรุษในชุดสูทสุภาพสีกรม
ชายหนุ่มโค้งกายให้ผู้มีศักดิ์สูงกว่าซึ่งประทับอยู่บนเก้าอี้ทรงงาน ก่อนเอ่ยทูลกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มที่แสดงถึงความนอบน้อมต่อผู้เป็นเจ้าของ
วังตรีภูวนาถหริวงศ์แห่งนี้
“สำรับมื้อเย็นตั้งพร้อมแล้วกระหม่อม”
“ขอบใจ …จริงสิพรต เห็นน้องสิตาว่าที่มหา’ลัยจะมีงานแสดงโขน”ทรงเกริ่นนำ สีพระพักตร์แลสุขุมเหมือนดังเช่นทุกที
“กระหม่อม”ตอบรับคำพลางรอให้ผู้เป็นนายตรัสความต่อ
“เห็นว่าได้สปอนเซอร์รายใหญ่น่าดู ทั้งฝ่ายนั้นยังยินยอมให้ทางมหา’ลัยหยิบยืมชุดใช้แสดงเสียด้วย”
“ไม่ทราบว่าโขนที่ทรงตรัสถึงนี้…”
ปลายดัชนีสัมผัสไล้แผ่วเบาบนขอบถ้วยกาแฟที่เริ่มเย็นชืด คล้ายเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีนัยยะใดแอบแฝง ทว่านัยน์เนตรลุ่มลึกสีนิลกาฬกลับทอประกายแปลกตา
พรตไม่เคยเห็นแววพระเนตรเช่นนี้จากผู้เป็นนายมาก่อน
มุมโอษฐ์ยกขึ้นเล็กน้อย “รามายณะ ศึกตัดสินสุดท้ายระหว่างฝ่ายพลับเพลากับฝ่ายลงกา”
“ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด ฝ่ายพลับเพลาคือฝ่ายของพระราม ส่วยฝ่ายลงกานั้น…”
“ทศกัณฐ์” พรตกลั้นหายใจ คนสนิทส่วนองค์รีบก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองพระพักตร์ที่ยังคงอ่อนโยนเหมือนดังเช่นเคย ทว่าแววพระเนตรนั้นกลับเร้นซ่อนไว้ซึ่งพระอารมณ์อันหลากหลาย ให้กริ่งเกรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ท่านชายรามมิได้ตะคอกขึ้นเสียงแต่อย่างใด เพียงเอ่ยตรัสนามนั้นออกมาด้วยสุรเสียงเนิบนาบเท่านั้น
พรตรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมา ท่านชายไม่เคยทรงโปรดตัวละครฝ่ายลงกาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ‘พญายักษ์ทศกัณฐ์’ ให้ทรงดำเนินไปชมการแสดงโขนอันที่เป็นโปรดปรานซึ่งหยิบยกวรรณคดีเรื่องดังกล่าวขึ้นมาแสดง กี่ครั้งต่อกี่ครา ก็ไม่เคยเห็นท่านชายตรัสชมฝ่ายที่แสดงเป็นจอมอสุราเลยสักครั้ง แม้จะแสดงได้ชวนให้คนดูเชื่อและน่าเกรงกลัวสมกับเป็นยักษ์เป็นอสูรร้ายเพียงใดก็ตาม
ที่เห็นตรัสชมเปราะเสมอมักจะเป็นฝ่ายพลับเพลาอยู่ร่ำไป
คงนับเป็นเรื่องสามัญ ที่ผู้ชมมักจะให้ความสนอกสนใจแล้วเอาใจช่วยฝ่ายธรรมะ รวมถึงเอาใจออกห่างฝ่ายอธรรม ตัวพรตเองก็เป็นเช่นกัน เพียงแต่สำหรับท่านชายรามนั้น…
“หากจะทรงดำเนิน พรตจะจัดการให้กระหม่อม”
“อืม ก็ได้พรตนี่ล่ะนะคอยเป็นธุระจัดการเรื่องให้เสมอ”
พรตยิ้ม นึกภูมิใจ ลดทอนซึ่งความกริ่งเกรงลงเล็กน้อย
“จริงสิ พรุ่งนี้ฉันว่าจะเข้าไปที่มหา’ลัยน้องสิตาเสียหน่อย”พระหัตถ์หยิบจับสมาร์ทโฟน วรกายสูงพลันขยับลุกขึ้นยืนพลางดำเนินผ่านคนสนิทที่แสดงทีท่าฉงนออกมา
“แต่พรุ่งนี้คุณชายสิตาไม่มีเรียนหนังสือไม่ใช่หรือกระหม่อม?”
“ยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะไปหาน้องสิตา”ทรงสรวลออกมาน้อยๆ“ฉันว่าจะเข้าไปขอดูชุดที่ใช้ในการแสดงสักหน่อย หากขาดเหลือยังไงจะได้ช่วยสมทบให้ อีกอย่าง...”
พรตพลันเข้าใจเมื่อเห็นเจ้านายก้มลงทอดเนตรมองโทรศัพท์มือถือ ที่แม้หน้าจอจะมืดดับด้วยไม่ได้ถูกใช้งาน แต่คงจะเกี่ยวข้องกับสหายสนิทของคุณชายสิตาที่เขาเพิ่งได้รับข้อมูลมาจากผู้ติดตามของท่านชายอีกคนซึ่งวานให้ไปสืบหาเมื่อย่ำรุ่ง ได้ข้อมูลเสร็จสรรพก็รายงานเจ้านายทันทีในเวลาไล่เลี่ยกัน
ข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างของเด็กนักศึกษาที่ชื่อลักษมัณ สหายสนิทคนใหม่ของคุณชายสิตา เท่าที่จะหาได้ในยามนี้อยู่ในพระหัตถ์ของท่านชายหมดแล้ว
“หากทรงสนพระทัย ทรงตรัสถามจากคุณชายสิตาจะไม่เป็นการง่ายกว่าหรือกระหม่อม?”
“ฉันยอมรับว่าฉันสนใจ แต่ก็ไม่ได้อยากรู้จักเขาจากใครด้วยเหมือนกัน หากอยากรู้จัก ก็ต้องเข้าไปทำความรู้จักด้วยตัวเองสิถึงจะถูก พรตไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
พรตชะงักไป คับคล้ายแลเห็นเนตรสีนิลนั้นวาวแสงขึ้นมาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว กลั้นใจเอ่ย
“แม้‘ใคร’ที่ว่านั้นจะเป็น…คุณชายสิตาหรือกระหม่อม?”
ท่านชายทรงสรวลออกมาเบาๆ หัตถ์บิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้อง หากก่อนดำเนินออกจากห้องบรรทมไปไม่ลืมตรัสตอบคนสนิทด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย
“ฉันสนใจใคร จำเป็นต้องให้เป็นธุระของคนอื่นด้วยงั้นหรือ”
พรตเข้าใจดีว่านั้นไม่ใช่ประโยคคำถามแต่อย่างใด
กว่าสองแฝดจะกลับลักษมัณก็แทบน่วมไปทั้งตัว เล่นกับเด็กนั้นเหนื่อยเหลือแสน พ่อจ๋ากับไอ้พี่เวสอันเป็นพี่ชายนอกไส้ก็พากันหัวร้อชอบอกชอบใจ แลดูสนุกสนานกันใหญ่ที่เห็นเขาถูกเด็กรังแก อนิจจาลุงอัศเองก็เอาแต่ยืนยิ้มเอ็นดู ไม่มีใครเห็นใจและให้ความช่วยเหลือลักษมัณเลยสักคน ซาบซึ้งถึงทรวงในยิ่งนัก
นอนเหยียดเอนกายอยู่บนที่นอนนุ่มหลังจากอาบน้ำทาแป้งเย็นเรียบร้อย นึกถึงความแสบสันของสองแสบแล้วก็ให้หัวเราะออกมาเบาๆ ถึงพ่อจ๋าจะดูเหมือนไม่อยากให้มา แต่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสียเมื่อไหร่
หลานจ๊ะตาจ๋ากันจนส่งขึ้นรถนั่นล่ะ
ติ๊ด
ปิดไฟเตรียมนอนกำลังเคลิ้มได้ที่ พลันได้ยินเสียงข้อความเข้า ...ควานหยิบมือถือที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาสไลด์จอปื้ดเพื่อปลดล็อค
แทบจะตาสว่างในทันใด
ทศพักตร์(ส่วนตัว) : ...พิศพักตร์งามผ่องแผ้วดั่งทองทา...
...พิศนัยนาพริ้มเพรารับขนง...
...พิศโอษฐ์องค์นวลปรางงามอนงค์...
...พิศโฉมยงสวาทรักยากหักคืน...
ในใจคล้ายรู้สึกพองฟูนักให้หน้าร้อนจนคล้ายจะระเบิดตู้มไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลักษมัณนึกยุบหนอ ตั้งสติหนอในใจ ไม่นาน ...เมื่อตั้งสติได้พลันอมยิ้มพิมพ์ตอบกลับไป
ลักษมัณเจ้าพ่อโรงงานยาคูลท์ : ...พิษไหนฤาจะสู้พิษนิทรา...
...ให้ง่วงหง่าวหาวนอนเป็นหนักหนา...
...หลับเถิดพี่ฝันดีกล่อมอุรา...
...หัวทิ้งดิ่งลงหมอนหลับคร่อกไป ฟี้Zzz...
กดส่งไปแล้ว หัวเราะคิกคักอย่างอดไม่อยู่ เทียบกับพี่ทศแล้ว กลอนของลักษมัณให้พิลึกอย่างบอกไม่ถูก
วางมือถือไว้ที่เดิมหลับตาพริ้มทั้งที่ปากยังคงอมยิ้มไม่สร่างซา จนกระทั่ง…
ติ๊ด
คว้าหมับเข้าที่สมาร์ทโฟนก่อนเลื่อนปลดล็อคแทบทันใด มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นข้อความเตือนว่ามีคนแปลกหน้าที่เพิ่งแอดเข้ามา
HSH. Prince Chakkrit
Added you by phone number “เอชเอสเอช ปริ๊น ช ชัคคริส?”
ใครกันล่ะหว่า?
ชัคคริส… จักรกฤษณ์?
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ก็ให้เบิกตากว้าง แอบส่องรูปโปรไฟล์ก็ให้แจ่มแจ้งชัดเจน
“ท่านชายราม?”
ฉับพลันคล้ายแว่วยินเสียงกระซิบเข้าโสตหู …ทั้งคุ้นเคยแลไม่คุ้นเคยอยู่ในที
จงกลับมาหาพี่
จงกลับมาหาพี่
น้องลักษมณ์ ขมองให้ปวดตุบขึ้นมาหากเพียงไม่นาน สายลมอ่อนพลันพัดพาเอากลิ่นหอมมะลิซ้อนให้อวลไปทั่วห้อง ลักษมัณรู้สึกง่วงงุน สองตายากทานทนสองมือราวกับจู่ๆก็หมดเรี่ยวแรงลงเสียดื้อๆ
ปล่อยมือถือทิ้งวางไว้บนเตียงข้างกัน
หน้าจอที่สว่างวาบในคราวแรก …กลับดับพรึบมืดสนิทไป
หากก่อนที่ลักษมัณจะหลับใหลไม่รู้สตินั้น
หน้าผากคล้ายถูกบางอย่างสัมผัสอ่อนโยนแสนถนอม พร้อมสุ่มเสียงกระซิบหวานขับกล่อมให้หลับฝัน
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจฝืนซึ่งความง่วงงุนที่ถาโถม… จึงไม่อาจจับใจความใดจากเสียงปริศนานั้นได้
หลงเหลือไว้แต่เพียงตะกอนอันอบอุ่นฟุ้งวาบในหัวใจ
---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------
HSH.(His Serene Highness) Prince เป็น คำนำหน้าภาษาอังกฤษ ของผู้ดำรงตำแหน่งยศเป็น หม่อมเจ้า ค่ะ
ส่วนหม่อมราชวงศ์นั้นจะเป็น Mom Rajawongde ใช้ตัวอักษรย่อว่า M.R.ค่ะ