เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๑
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“น้องกานต์ ยังไม่ตื่นอีกหรือลูก วันนี้ไม่ใส่บาตรหรือครับ”
เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงร้องเรียกของรพินทร์ดังขึ้นหน้าห้องบุตรชายอย่างนึกแปลกใจ ปกติรพีกานต์ตื่นเช้าเป็นนิสัยอยู่แล้วแต่วันนี้กลับผิดวิสัยไปจากทุกทีจนผู้เป็นพ่อต้องมาปลุกเรียก รพีกานต์ลืมตาแช่มช้าตื่นจากฝันหวานหลังได้ยินเสียงเคาะเรียก ภาพตรงหน้าคือแผงอกล่ำสันมีรอยข่วนเล็ก ๆ กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ แก้มขาวร้อนวาบเมื่อเห็นรอยข่วน ไพล่หวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วอดที่จะเขินอายไม่ได้
'รพีกานต์ตกเป็นของเขาแล้ว'
“พี่รักกานต์ กานต์เป็นผู้ชายคนแรกของพี่เลยนะ” อัครวินท์กระซิบถ้อยคำหวานหูหลอกล่อขณะแทรกท่อนกายร้อนผ่าวลงร่องสวาทอุ่นจัด รพีกานต์เจ็บน้ำตาเล็ด แต่ด้วยคำบอกว่า ‘รัก’ ของเขา มันช่างหวานหูประโลมความเจ็บได้ชะงัด
“พี่วินก็เป็นคนแรกของกานต์ คนแรกสำหรับทุกอย่าง” ใบหน้าซับเพลิงอารมณ์มัวเมาเอ่ยบอก อัครวินท์คือคนแรกสำหรับทุกอย่างในชีวิตรพีกานต์ จุมพิตแรก รักแรก ผู้ชายคนแรกที่ได้ครอบครองเรือนกายพิศุทธิ์ด้วยความเต็มใจ เสียงครางหวานสลับกับเสียงกระเส่าร้อนยามสองร่างสอดประสาน หยดเหงื่อโซมชุ่มกายสองร่าง สมองรพีกานต์ขาวโพลน ดวงตาสะท้อนเพียงภาพของเขา...
อา...รสแห่งเสน่หาเสพสมช่างหอมหวานยวนใจให้ลุ่มหลงเหลือเกิน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“กานต์ไม่สบายหรือเปล่าลูก”
รพีกานต์สะดุ้งจากภวังค์แสนหวาน ใบหน้าแดงซ่านผละห่างจากร่างหนาคว้าผ้าห่มพันกายหย่อนปลายเท้าก้าวลงจากเตียง ร่างกายปวดระบมครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะแตกร้าวออกเป็นเสี่ยง
อึก
“อูย”
ใบหน้าหวานนิ่วหน้าเหยเกด้วยความเจ็บเสียดที่ทางด้านหลัง ความเจ็บร้าวแล่นปราดทั่วสารพางค์จนแทบทรุดฮวบ ขาเรียวสั่นเหยง คราบน้ำรักไหลลงอาบต้นขา รพีกานต์ฉวยกระดาษทิชชู่ซับคราบน่าอายลวก ๆ ก่อนจะรีบพยุงกายเดินเขยกขาเข้าไปใกล้ประตูไม่ให้พ่อสงสัย
แกรก แอ๊ด
“ง่วงจังครับ วันนี้กานต์ขอตื่นสายหน่อยนะครับ”
รพีกานต์แง้มประตูเยี่ยมหน้าออกไปออดอ้อนบุพการี
“น้องกานต์ไม่สบายหรือลูก หน้าซีดเชียว”
รพินทร์ถามด้วยน้ำเสียงห่วงเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของบุตรชาย
“กานต์เมื่อย ๆ ตัวน่ะฮะ อยากนอนต่ออีกหน่อย”
รพีกานต์ตอบเสียงแหบเนือย อ้าปากหาวหวอด สองขาสั่นเหยงยืนแทบจะไม่ไหว
“ครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นไข้หรือลูก ไหนขอพ่อเข้าไปหน่อย”
รพินทร์อังมือกับหน้าผากมนทำท่าจะแทรกกายเข้าไปในห้อง รพีกานต์สั่นหน้าก่อนรีบปะเหลาะพ่อเสียงหวาน
“กานต์ไม่เป็นไรมากครับ สงสัยเมื่อวานจะเพลีย พ่อไปใส่บาตรก่อนเถอะครับ เดี๋ยวหลวงตาจะมาแล้วนะ น้า ขอกานต์นอนต่อนะครับ กานต์ง่วงมากเลย”
รพีกานต์พูดพร้อมอ้าปากหาวหวอดเหมือนง่วงเต็มแก่อีกหน รพินทร์เห็นท่าทีจึงไม่อยากจะวุ่นวายกับลูกมากนัก ใบหน้าเรียวพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้ลูกได้นอนต่ออีกหน่อยก่อนผละจากไป ไม่ซักไซ้อะไรต่อ รพีกานต์งับประตู รีบพยุงขากะเผลกลากมาที่เตียงเขย่าปลุกร่างหนา
“พี่วิน ตื่นเถอะครับ ต้องกลับแล้ว เดี๋ยวพ่อเห็น”
น้ำเสียงร้อนรนเขย่าเสียงคนนอนเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“อือ ห้องกานต์นอนสบายจัง ยังไม่ตื่นได้ไหม”
อัครวินท์ออกท่าทีงอแงรั้งตัวบางลงกอดแนบอกทั้งตายังไม่ลืม
“พี่วิน เดี๋ยวพ่อเห็นนะครับ”
รพีกานต์ผะหงกศีรษะพยายามปลุกคนขี้เซา
“เห็นก็ดีสิ พี่จะได้บอกพ่อพี่มาขอ คราวนี้จะได้ตัวกานต์ไปนอนกอดนอนฟัดให้พี่ได้หอมชื่นใจทุกวันเลย”
อัครวินท์ยื่นใบหน้าใบหน้ากดจูบแก้มใส ก่อนจะถอนออกมาจ้องดวงตากวางของคนที่หน้าหวานเกินชาย
“พี่วินบ้า กลับไปก่อนนะครับ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะ”
รพีกานต์เว้าวอนพยายามปะเหลาะเสียงหวาน ทั้งที่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างกายเท่าไรนัก
“ไม่อยากกลับเลย กานต์ทำพี่หมดแรง”
อัครวินท์ทำตัวง่อยกินลุกไม่ขึ้นจนรพีกานต์แก้มร้อนวาบ
“คนบ้า ทะลึ่งใหญ่แล้ว”
รพีกานต์ก้มหน้างุดหลบสายตาคมกริบเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์หวามไหวยามค่ำคืนที่ล่วงผ่านมา
“ไม่ดีหรือ กานต์จะได้มีความสุขมาก ๆ แล้วก็มีตัวเล็กให้พี่ด้วยไง”
อัครวินเย้ายิ้ม ๆ มือเกลี่ยแก้มใส ดวงตาจดจ้องเครื่องหน้าหวานล้ำได้รูปปานวาด จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นหญิงจะสวยหยาดสักแค่ไหน ไอยวริญท์น้องสาวว่าเครื่องหน้าสวยจนผู้ชายเหลียวคอแทบหัก รพีกานต์คงจะสวยล้ำยิ่งกว่าเพราะยิ่งมองก็เพลินตาไม่หยอก
“ไปกันใหญ่แล้ว”
รพีกานต์ปรามความคิดอีกฝ่าย
“ก็ไม่แน่นะ พี่ขยันป่ามป๊ามบ่อย ๆ อาจจะท้องขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้”
อัครวินท์กระซิบแหย่ไม่เลิก เมื่อคืนเขาใช้ถุงยางป้องกันแค่ช่วงแรกก่อนจะสอดแทรกฝังกายแบบเพรียว ๆ เพราะช่องทางอุ่นจัดที่บีบรัดอย่างไม่ประสาทำให้เขาคลั่งแทบบ้าจนอยากสัมผัสแบบเนื้อแบบเนื้อ จนปล่อยความปรารถนาข้างในกายอีกฝ่ายจนล้นเอ่อเพราะรพีกานต์เป็นผู้ชาย ไม่ติดปัญหาเรื่องท้องอยู่แล้ว
“พี่วินกลับไปก่อนนะ นะครับถ้าพ่อเห็นต้องช็อกแน่ ๆ ที่กานต์...”
แก้มขาวแดงซ่านก้มงุดด้วยความอาย “กานต์พาผู้ชายขึ้นบ้านแบบนี้” อัครวินท์มันเขี้ยวคนพูดจนต้องกระชับกอดแน่นหนับก่อนผละออก
“โอเค”
อัครวินท์ดีดตัวลุกจากเตียงง่าย ๆ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากเตียงทั้งล่อนจ้อน เดือดร้อนให้รพีกานต์ต้องรีบเบือนหน้าหนี สบโอกาสให้คนเจ้าเล่ห์ตาวาวเคลื่อนตัวเข้าหาพร้อมฝังจมูกหอมฟอดจนร่างเล็กกว่าสะดุ้ง รพีกานต์สะดุ้งโหยงหันขวับเจอชีเปลือยหน้าไม่อายต้องลนลานรีบหันหนีเรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขัน
“พี่วิน ชอบแกล้งกานต์” รพีกานต์บ่นอุบ
“ต้องให้เห็นบ่อย ๆ จะได้ชินเนอะตัวเล็ก”
พูดพลางฉกจูบขมับวูบ
“คนทะลึ่ง!”
รพีกานต์รีบฉวยชุดเก่าพยุงตัวไปล้างขาลวก ๆ เพื่อเตรียมไปส่งเขา อาการปวดบั่นทอนร่างแทบทรุดแต่เพราะรักจึงยอมกัดฟันอดทน ร่างเล็กเปิดประตูเยี่ยมหน้ามองซ้ายขวา ก่อนหันมาพยักหน้าส่งสัญญาณเตรียมลากขากะเผลก ๆ ออกจากห้อง อัครวินท์เห็นท่าทางเดินลำบากจึงฉวยแขนบางรั้งไว้ หัวคิ้วเข้มกดเข้าหากันเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากกายบาง
“ตัวกานต์รุม ๆ นะ กานต์ไม่ต้องลงไปส่งพี่หรอก พี่ไปเองเร็วกว่า กานต์รอส่งพี่ตรงนี้ก็ได้ จากตรงนี้มองเห็นท่าน้ำ”
ความรู้สึกวูบหวิวห่วงหาผุดขึ้นในหัวใจเล็ก ๆ อัครวินท์รีบสลัดความไขว้เขวทิ้งก่อนผละจากไปรพีกานต์พาร่างกระย่องกระแย่งเกาะราวระเบียงยืดคอมอง ขายาวก้าวฉับ ๆ ไม่นานก็เดินไปลงเรือที่ผูกไว้ยังท่า อัครวินท์หันมายิ้มหล่อโบกมือไหว ๆ ให้ก่อนพายเรือกลับที่พัก รพีกานต์อมยิ้มมีความสุขอย่างคนลุ่มหลงตกลงในบ่วงเสน่หา ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนมีเพียงชื่ออัครวินท์สม่ำเสมอ ร่างเล็กครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจับไข้แต่ยังฝืนทนรอส่งเขาจนแผ่นหลังลับสายตา รพีกานต์กัดฟันก้าวขาพาตัวเองกลับเข้าห้องไปทำความสะอาดร่างกายเปลี่ยนชุดใหม่ ใบหน้าปริ่มสุขแนบลงกับหมอนสูดกลิ่นกายเขาที่เคยนอนคลอเคลียร่วมกัน ดวงตาหลับตาพริ้มรำลึกถึงลมหายใจร้อนผ่าว ถ้อยคำกระซิบหวาน และสัมผัส...หวามไหวเร่าร้อนที่แทบเผาให้ละลาย ทั้งหมดของอัครวินท์ทำให้คนป่วยยิ้มหวานเสียมากมาย รพีกานต์นึกถึงบทละครของวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่องเวนิสวาณิชบทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละคร
Tell me where is fancy bred, Or in the heart, or in the head?
How begot, how nourished?
Reply, reply.
It is engender'd in the eyes, With gazing fed; and fancy dies
In the cradle where it lies. Let us all ring fancy's knell
I'll begin it,--Ding, dong, bell
พระราชนิพนธ์แปลความว่า
ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย
ตอบเอยตอบถ้อย เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน
แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ,
ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย
รพีกานต์เข้าใจความหมายของคำว่ารักแล้ว แม้พิษไข้ก็ไม่มีพลานุภาพกัดกร่อนหัวใจคนกำลังอิ่มเอมได้ รพีกานต์รักอัครวินท์ รัก รัก รัก และจะรักเรื่อยไปอย่างนี้จวบจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน จะมั่นคงยาวนานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดวงตากวางสีอ่อนพริ้มหลับอย่างเปี่ยมสุข ความรักเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจราวกับล่องลอยในทิพยพิมานไม่ปาน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“กานต์ลูก พ่อเอาโจ๊กมาให้”
เสียงรพินทร์เคาะประตูหน้าห้อง รพีกานต์ตาปรือห่อตัวซุกในผ้าห่มอย่างรู้สึกหนาวครั่น ร่างเล็กลุกจากเตียงเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูให้พ่อ ศีรษะหนักอึ้งเหมือนเรือนหมุน รพินทร์ตกใจรีบพยุงตัวบางด้วยแขนข้างหนึ่งประคองอย่างทุลักทุเลกลับมาที่เตียง มือวางชามโจ๊กข้นคลั่กส่งกลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะก่อนหันมาอังมือแตะหน้าผากมนเรื่อยลงต้นคอ
“น้องกานต์ตัวร้อนจังเลยลูก กินโจ๊กเองไหวไหม เดี๋ยวพ่อไปเอายากับกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้”
รพีกานต์หูผึ่งเมื่อได้ยินว่าคำเช็ดตัว ร่องรอยที่อัครวินท์ทิ้งไว้แดงพร้อยไปทั้งตัว ขืนให้พ่อเห็นคงลมจับ ไม่รู้จะโกหกว่าอย่างไร
“กานต์เช็ดไปแล้วครับพ่อ รบกวนแค่พ่อเอายามาให้ก็พอ ขอบคุณครับ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อไปเอายามาให้ กานต์กินโจ๊กรอนะลูก”
“ครับพ่อ”
รพินทร์เลื่อนเก้าอี้ไว้ใกล้ ๆ เพื่อวางชามโจ๊ก ใบหน้าห่วงใยมองลูกชายหยิบช้อนตักโจ๊กกินด้วยตัวเองได้จึงผละไปหาหยูกยามาให้ลูก รพีกานต์รู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเป็นห่วง แต่ความรักและความลุ่มหลงที่มีต่ออัครวินท์ก็มากมายเสียเหลือเกิน มือตักกินโจ๊กแต่ปากยิ้มเผล่เมื่อเห็นเขาส่งข้อความมาให้ อยากพาเขาเที่ยวแต่สังขารไม่อำนวยเอาเสียเลย
แอ๊ด
“น้องกานต์กินยาแล้วก็นอนพักนะลูก เดี๋ยวพ่อมาอยู่เป็นเพื่อน”
รพินทร์มองบุตรชายกินโจ๊กจนพร่องชามไปบ้างแล้วจึงลุกขึ้นหยิบชามไปล้าง รพีกานต์กินยาแล้วพยักหน้าหงึกเชื่อฟังเพราะอยากหายเร็ว ๆ เนื่องจากใครบางคนส่งไลน์มาบอกว่าจะเช็กเอาท์กลับกรุงเทพพรุ่งนี้พร้อมกัน รพีกานต์อยากหาย หัวใจถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์แม้ร่างกายจะป่วยไข้ เผื่อตอนเย็นเขาจะแอบพายเรือมาหาอีก คิดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มือบิดชายผ้าอย่างขวยเขินอยู่คนเดียว
รพินทร์กลับเข้าห้องมาอีกครั้งพร้อมหนังสือเล่มหนาและแล็บท็อป มือเรียววางทุกอย่างไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของลูกก่อนตรงมาจูบหน้าผากมน
“แปลก คนป่วยดูหน้าชื่นนะ อ้อ เดี๋ยวพี่ณัฐจะมาดูแลนี่เนอะ”
รพินทร์เย้ายิ้ม ๆ ขณะเลื่อนผ้าแพรคลุมชิดอกให้ ตอนใส่บาตรเจอณัฐธีร์เดินมารับบิณฑบาตกับหลวงตา รพินทร์ได้บอกกล่าวแก่อีกฝ่ายแล้วว่ารพีกานต์ไม่สบาย ณัฐธีร์กระวนกระวายไม่น้อย บอกช่วยงานหลวงตาเสร็จแล้วจะรีบรี่มาเยี่ยมหา
“น้องกานต์พักผ่อนมาก ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ”
มืออุ่นทาบข้างแก้มลูกชาย สายตารักใคร่ห่วงใยทอดส่งให้อย่างอ่อนโยน รพีกานต์รับรู้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งเต็มอกระคนรู้สึกผิด
ร่างหนาพายเรือมาจอดที่ท่าหลังโฮมเสตย์ ใบหน้ายกยิ้มกระหยิ่มผิวปากหวืออย่างอารมณ์ดี มือมองโทรศัพท์ที่เจ้าเพื่อนตัวดีส่งไลน์กระหน่ำเข้ามาด่ากราดอย่างอิจฉา ตอนที่เขาเฟซไทม์ให้เห็นว่ากำลังนอนอยู่กับใครแถมยังจงใจให้เห็นร่องรอยแดงพร้อยเป็นจ้ำบนแผ่นอกบาง ตอนนั้นรพีกานต์หมดแรงหลับอุตุไม่รู้เรื่อง มีแต่เขาที่ยักคิ้วประกาศชัยชนะให้เพื่อนพร้อมหอมแก้มขาวโชว์ให้เห็นจะ ๆ คาตาก่อนปิดเครื่องหนีอย่างสุขอุรา
ณัฐธีร์รี่มาหาตอนตะวันสายโด่งไปแล้วหลังช่วยงานที่วัดเสร็จ ใบหน้าพี่ชายร้อนรนอย่างห่วงใยเมื่อรู้ว่าน้องน้อยไม่สบาย แอบรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่เมื่อคืนเขาพาน้องร่อนทั่วงานจนลืมสังเกตท่าทีว่าน้องรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า ณัฐธีร์รู้สึกว่าตนเองใช้ไม่ได้ที่เผอเรอคิดถึงแต่ความสุขของตัวเองจนลืมห่วงใยน้องน้อย ทั้งที่รู้ดีว่าร่างกายน้องไม่ปกติเหมือนอย่างใครเขา ณัฐธีร์แบกความรู้สึกผิดไปเยี่ยมหาตอนรพีกานต์หลับไปแล้ว บนหน้าผากมนมีผ้าขนหนูผืนเล็กโปะลดไข้อยู่
“หลับไปซักพักใหญ่ ๆ แล้วละ”
คุณรพินทร์คลี่ยิ้มบางให้ก่อนเลี่ยงออกมาให้เขาได้อยู่กับน้อง ณัฐธีร์นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง มือหนากุมมือบางเขี่ยเบา ๆ ทอดมองคนหลับอย่างรักใคร่ระคนรู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะครับ”
ริมฝีปากหยักเรียวได้รูปจรดจูบมือขาวนวลก่อนจะเลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากแผ่วเบาที่เปลือกตาอย่างทะนุถนอม ณัฐธีร์จ้องมองอย่างรอคอยให้น้องน้อยตื่นขึ้นมาเจอหน้า จะได้ป้อนข้าวป้อนยาเช็ดตัวให้ รพีกานต์เติบโตมาในครอบครัวที่คุณรพินทร์เลี้ยงดูดีเหลือเกิน หากเขาจะอาจเอื้อมเขาก็ต้องไม่ดึงน้องลงมาลำบาก ณัฐธีร์เริ่มมองหาหนทางมีรายได้ระหว่างเรียน โชคดีเหลือเกินที่โลกออนไลน์สมัยนี้ทำให้เส้นทางการเข้าถึงกันของสินค้าและผู้บริโภคสะดวกขึ้นมาก เขาเริ่มจับธุรกิจเปิดเพจขายของออนไลน์ อาศัยว่ามีเพื่อนและคนติดตามในเฟซบุ๊กมากพอสมควรเพราะณัฐธีร์ทำกิจกรรมพบปะกลุ่มคนหลากหลายคณะ วางแผนว่ากว่าจะเรียนจบกว่าจะหางานได้ อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีรายได้มาจุนเจือตัวเอง หากกิจการไปได้ดี แหวนวงสวยที่เคยเล็งเอาไว้จะได้เปลี่ยนมาติดนิ้วน้องน้อยแทนที่แหวนดอกหญ้าไร้ราคาวงเก่า แค่ได้คิดฝันเพียงเท่านี้ณัฐธีร์ก็มีความสุขล้นเอ่อจนหัวใจพองโต รอยยิ้มเคลือบบนใบหน้าอิ่มสุข รพีกานต์คือแสงสว่างแห่งความหวังที่ทำให้เขามานะพยายามไม่ย่อท้อ ณัฐธีร์จูบมือบางอย่างถนอมอีกหนขณะนั่งมองหน้าคนหลับอย่างไม่รู้เบื่อ
อัครวินท์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ร่างสูงควงกุญแจรถเดินลิ่ว ๆ มาที่รถก่อนจะขับออกมาพลางคิดไปด้วยว่าเขาจะโทรนัดผู้หญิงคนไหนออกมาเที่ยวด้วย ทว่าความคิดแรกก็มีอันหยุดลงเมื่อเขาเห็นรถทะเบียนคุ้นตา อัครวินท์หักพวงมาลัยขับตามไปเรื่อย ๆ จนเห็นจุดหมายที่รถคันคุ้นตาจอด ชายหนุ่มชะลอรถแอบดูอยู่ไม่ไกล ร่างชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาอี๋อ๋อล่ำลากับคนขับรถ อัครวินท์กัดฟันกรอด มือหนาบีบพวงมาลัยรถแน่นกับภาพตรงหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
“ฮัลโล ฉันมีงานจะให้แกออกกำลังหน่อย”
อัครวินท์มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก
Tru Tru Tru
“ฮัลโล”
“เจ้าวิน แกทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”
อินทัชโพล่งเข้าประเด็นทันทีที่ลูกชายตัวดีรับสาย
“ทำอะไร”
อัครวินท์เสียงแข็งกลับไป ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มยียวนทั้งที่รู้อยู่เต็มอกถึงสาเหตุที่พ่อของเขาถึงกับเป็นพระอินทร์ร้อนอาสน์
“ทำอะไรไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ แกส่งคนไปซ้อมเก้าทำไม แกไประรานเขา เขาทำอะไรให้”
“มีหลักฐานอะไรมากล่าวหากัน ไอ้ตัวของพ่อมันอาจจะไปขวางหูขวางตาใครจนเขาคันตีนอยากกระทืบมันก็ได้นี่”
“ ‘เขา’ คนที่ว่าคงมีแต่แกนี่แหละ”
อินทัชอ่อนอกอ่อนใจกับความหัวแข็งของลูกไม่น้อย
“ปกป้องมันดีจังเลยนะ”
อัครวินท์เสียงเยาะจ้องมองตัวเองในกระจก
“วิน พ่อขอละ แค่ปู่ของแกบังคับควบคุมชีวิตพ่อเมื่อก่อนมันก็เกินพอแล้ว อย่าต้องให้ลูกของพ่อมาคอยควบคุมชีวิตพ่ออีกคนเลย”
“ผมเป็นลูกของคุณด้วยหรือ ผมเข้าใจว่าผมเป็นลูกของคนขับรถเหมือนอย่างรินเสียอีก”
อัครวินท์ทำเสียงขึ้นจมูกแค่นยิ้มหยันมองใบหน้าบิดเบี้ยวของตัวเองในกระจก
“วิน...”
อินทัชหน้าเผือดสีครางชื่อลูกชายอย่างไม่เชื่อหู ที่ผ่านมาเขาเอ็นดูไอยวริญท์เหมือนลูกแท้ ๆ ไม่น่าจะมีพิรุธให้ใครล่วงรู้ แล้วอัครวินท์รู้ได้อย่างไร
“ไม่คิดว่าผมจะรู้สินะ”
อัครวินท์แค่นยิ้มหยันอย่างสมเพชตัวเอง พ่อไปทางแม่ไปทาง ปู่ย่าเลี้ยงบำรุงบำเรอด้วยเงินทองก่ายกอง แต่หัวใจกลับมีแต่ความร้อนรุ่มไม่รู้สุข เพราะรู้ทุกอย่างหัวใจจึงเกลียดชังความรัก อินทัชยืนเงียบรอฟังเสียงลูกชายที่สิ้นศรัทธาในตัวเขา ต่อให้ตัวมายืนอยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่อาจคว้ามากอดเหมือนมีอะไรคอยกั้นไว้ตรงกลาง มองเห็นแต่จับต้องไม่ได้ ‘ไม่ต่างจากพระจันทร์บนผืนน้ำ’ อัครวินท์แสดงความเดียดฉันท์ขยะแขยงในสิ่งที่เขาเป็นจนถอยหนีห่าง และระรานทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับเขา ความปวดร้าวนี้เหมือนหนามทิ่มแทงอย่างจนหนทางออก
“ต่อให้แกไม่นับถือว่าพ่อเป็นพ่อของแก แต่พ่อก็ขอบอกแกเอาไว้ตรงนี้ว่า แกเป็นลูกของพ่อ”
อินทัชย้ำเสียงหนักแน่นผ่านโทรศัพท์ อัครวินท์จ้องมองใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกันชนิดดีเอนเอฟ้องอยู่บนใบหน้าโดยไม่ต้องตรวจหาในกระจก เพราะได้ชื่อว่าเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ทั้งรักทั้งเกลียดชังสุมแน่นอยู่ในอก ทรมานทุรนทุรายเหมือนหัวใจถูกราดรดด้วยน้ำกรด